CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 197
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
สำนกั ข่าวไทยรัฐออนไลน.์ (28 ตลุ าคม 2563). มุมมืดโรงเรยี นญ่ีปนุ่ บลู ลป่ี ีละ 6 แสนคร้ัง สลด เด็ก 15 กอ่ เหตุ
สะเทอื นขวญั . (ไทยรัฐทวี ี เรยี กใชเ้ ม่ือ 23 พฤษจิกายน 2564 จาก
https://www.thairath.co.th/scoop/1962960.
หนา้ แรกสถาบันนติ ธิ รรมาลัย. (2561). หมวด ๓ ความผิดฐานหมิน่ ประมาท. เรียกใชเ้ มอ่ื 2564 จาก
https://www.drthawip.com/criminalcode/1-49?fbclid=IwAR29y7M_
fdPk4T8W23t_003U0in8Z_dNNNGwQZZT2XulBFSQFjhHPHwPQ
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 198
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
แวน๊ สกอ๊ ย
(แว๊น สกอ๊ ย)
ภาวิณี ชะรัมย์ 6105615675
สุวนันท์ หงษท์ อง 6105615857
นนั ทิกานต์ ทานะขันธ์ 6105700246
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 199
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหน่ึงของรายวิชาดค.369 สัมมนาการพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครัวโดยการศึกษา
ในหัวข้อสัมมนาแว้น สก๊อย เพื่อให้นักศึกษาสามารถวิเคราะห์เชื่อมโยงทฤษฎี แนวคิด หลักการและวิธีการทำงาน
ด้านการพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครัวเข้าด้วยกันอีกทั้งยังเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจบทบาทของงานสังคมสงเคราะห์
ในการมสี ่วนร่วมในการพฒั นาเดก็ เยาวชนและครอบครวั
คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าในเรื่องของ
บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์กับการทำงานเพื่อพัฒนาเด็กเยาวชนและครอบครัวในประเด็นของแว้นและสก๊อย
ท้งั นหี้ ากเกดิ ขอ้ ผิดพลาดประการใด คณะผู้จดั ทำ ขอน้อมรับและขออภัยมา ณ ท่ีนี้ด้วย
คณะผ้จู ดั ทำ
พฤศจิกายน
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 200
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
ความหมายของคำว่าแว้น สก๊อย
นับตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของดิจิตัล ความเป็นเปลี่ยนแปลงต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมอย่าง
รวดเร็ว มีความต้องการของการแสดงความเป้นตัวตนที่แตกต่างจากบุคคลอื่นทั่วไปหรืออัตลักษณ์เกิดขึ้นทั้งในระบบ
ของปัจเจกบุคลไปจนถึงระดับสังคม ซึ่งรวมไปถึงลักษณะเฉพาะกลุ่มที่สมาชิกยอมรับและปฏิบัติตามเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกัน การแสดงความเป็นพวกพ้องเดียวกัน การต่อต้านหรือการปฏิบัติตนตรงข้ามธรรมเนียมปฏิบัติวัฒนธรรม
ดัง้ เดิมของสังคม รวมท้ังกระแสนยิ มต่างๆซึ่งทัง้ หมดนี้เป็นทีม่ าของวัฒนธรรมย่อยท่เี กิดขึ้น
"เด็กแว้น" คำ 1 นี้เป็นท่ีรู้จักกันมากขึ้นในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา หากแต่การรู้จักอย่างกว้างขวาง เช่นว่านี้
กลับไม่ใช่ในทางที่ดีนัก เพราะเมื่อกล่าวถึงเด็กแว้นสิ่งที่คนทั่วไปในสังคมจะนึกถึงมักจะเป็นภาพของเด็กกลุ่มหน่ึง
โดยเฉพาะผู้ชายที่ขี่รถจักรยานยนต์ส่งเสียงดัง 1 รบกวนหรือสร้างความเดือดร้อนรำคาญบริเวณแหล่งชุมชน ซ้ำร้าย
ยังมีการแข่งขนั กนั เองบนถนนหรอื ทางสาธารณะซ่ึงไม่ใชท่ ่ีสำหรับแข่งรถจกั รยานยนต์ที่เสี่ยงตอ่ การเกดิ อุบัตเิ หตอุ กี ดว้ ย
มุมหนึ่งเด็กเหล่านี้อาจจะมองว่าการกระทำของตนไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะตนเองทำในสิ่งที่รักและชอบ
เลยเถิดไปถึงการอ้างว่าไม่ได้ทำให้ใครเสียชีวิตเพราะเสียงดังของรถจักรยานยนต์ทั้ง ๆ ที่ข่าวการเกิดอุบัติเหตุจากการ
แข่งขันกันแล้วพลาดพลั้งทำให้คนท่ีไม่รู้เรื่องเสียชีวิตก็มีอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงมองการขับขี่รถจักรยานยนต์ว่าเป็น
สิทธิของตนที่สามารถกระทำได้โดยไม่ได้นึกถึงความเดือดร้อนของสังคมเพราะ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเรื่องแปลกที่สังคม
จะมองเด็กแว้นเปน็ สว่ นเกิน เป็นปญั หาสงั คม จนกลมุ่ เดก็ แว้นกลายเป็นกลุ่มคนทีอ่ ยู่ชายขอบของสงั คมปกติ
โดยจากงานวิจัยส่วนใหญ่มักจะพบคำตอบจากปัญหาของเด็กแว้นในทำนองที่ใกล้เคียงกันคือเด็กแว้นมัก
เป็นกลุ่มที่ถูกสังคมทอดทิ้ง เป็นกลุ่มเด็กชายขอบของสังคม ดังนั้นการออกมารวมตัวกันนำไปสู่การ"สร้างตัวตน"
และสร้างการยอมรับ "การได้รับการยอมรับ" จึงดูเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จากการที่สังคมไม่ยอมรับไปสู่การยอมรับกัน
ภายในกล่มุ การยอมรบั ทีเ่ กดิ จาก "ความเจง๋ " ไมว่ ่าจะจากการขับรถผาดโผน
การสามารถท้าทายกฎหมายและขับขี่รถจักรยานยนต์หนีตำรวจจราจรได้ซ้ำร้ายจากปรากฎการณ์การ
บาดเจ็บอย่างรุนแรงและการเสียชีวิตจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ของเด็กวัยรุ่นที่เราพบเห็นนั้นเป็นเพียง
ปรากฏการณ์ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นจากผิวน้ำในมหาสมุทรเท่านั้น ส่วนอื่น ๆ ของภูเขาน้ำแข็งที่ชุ่มช่อนอยู่
คือการกระทำรุนแรงของเด็กวัยรุ่น โดยมีรถจักรยานยนต์เป็นเครื่องมือ อาทิการมีเพศสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยและไม่
ปลอดภยั การเสพ ชือ้ และจำหนา่ ยยาเสพติด การใชอ้ าวุธเพ่อื ต่อสู้กันระหวา่ งกลุ่ม รวมถึงการก่ออาชญากรรมตา่ ง ๆ
ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้หลายภาคส่วนมีความพยายามที่จะแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขอย่างพื้นฐานในเบื้องต้น
เช่นการกวดขันวินัยจราจร การตั้งด่านตรวจเพื่อสกัดจับ การออกกฎหมายมาควบคุมทั้งตัวผู้ขับขี่และผู้ปกครอง
การมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้นหลังการจับกุมอย่างการยึดของกลาง การนำไปอบรมการนำไปปรับทัศนคติหากแต่ก็เป็นท่ี
รับรู้กันว่าไม่ได้ทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นลดน้อยลงเลย กลับกันปัญหายิ่งดูเหมือนว่าทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมเสีย
ด้วยซำ้ (พรรณรตั นเ์ กรียงวฒั นา)
ในช่วงเวลาราวปี 2550 ราวปีพ.ศ. 2550 ถึงปัจจุบัน เกิดคำศัพท์ใหม่ที่ใช้เพื่อเรียกกลุ่มวัยรุ่นประเภท หนึ่งว่า
"เด็กแว้น" และ "สก๊อย" คำว่า แว้นนั้น มาจากเสียงท่อไอเสียที่ดัดแปลงให้เสียงดังขึ้น สมัยก่อนเครื่องยนต์ 2 จังหวะ
ขับข่ีด้วยความรวดเร็วไม่สวมหมวกกันน็อค เมื่อบิดรถมอเตอร์ไซด์ก็จะเกิดเสียงดังแว้น ๆๆๆ รวมไปถึงเสียงดังที่เกิด
จากการขับขี่มอเตอร์ไซค์หนีการจับกุมของตำรวจด้วย ลักษณะการแต่งกายมีเอกลักษณ์ของเด็กแว้นมักสวมกางเกง
ขาเดฟฟติ มาก ๆ รัดเป้ากางเกง สวมกำไลข้อมือสดี ำหรอื เรืองแสงมีสร้อยพระหรือสร้อยรูปแบบต่างๆที่คอ พร้อมเส้ือสี
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 201
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
ดำตัวเล็กที่มีสกรีน ลายนักร้องวงต่าง ๆ บางรายอาจสวมเสื้อลายสก๊อตแขนยาวและกางเกงขาสั้น ส่วนใหญ่สวม
รองเทา้ แตะ
ส่วนคำ ว่าสก๊อย หมายถึง วัยรุ่นหญิงที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของเด็กแว้นในลักษณะกอดรัด มักนุ่งกางเกง
ขาสั้นมาก ๆ ลักษณะการแต่งตัวและรูปลักษณ์ภายนอกของสก๊อย คือ สวมเสื้อยืดขนาดเล็กรัดลำตัวหรือเสื้อสาย
เดี่ยว เสื้อกล้าม เสื้อเกาะอก กางเกงขาสั้นเอวต่ำ รองเท้าแตะแบบหูคีบ มักแต่งใบหน้าให้ขาวและผูกผมเป็นจุก 2 ข้าง
หรือสไลด์ปลายผมให้บาง โกรกผมด้วยสีทองหรือน้ำตาลอ่อน ส่วนริมฝีปากจะทาสีแดงจัดด้วยเครื่องสำอางที่เรียกว่า
ทิ้น หรือน้ำยาอุทัยทิพย์ นิยมดัดฟันแฟชั่น ใส่คอนแทกเลนส์แฟชั่นหรือบิ๊กอาย บางคนนิยมเจาะสะดือเจาะจมูก หรือ
สัก ใช้หวีเป็นเครื่องประดับประจำตัว ส่วนใหญ่บริเวณน่องขาและหน้าแข้ง มักมีรอยแผลเป็นที่เกิดจากท่อไอเสียหรือ
อุบตั เิ หตจุ ากมอเตอรไ์ ซค์ เป็นต้น
แต่ไม่ว่าสังคมจะวิพากษ์วิจารณ์ภาพลักษณ์ของ "แว้นบอยสะก๊อยเกิร์ล" (Vanz Boy 'N' Sagoi Girl)เหล่านี้
อย่างไร ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการแสดงออกถึงตัวตนของพวกเขา วัยรุ่นกลุ่มนี้ยังคงสร้างสรรค์อัตลักษณ์ใหม่ๆ ผ่าน
พื้นที่บนโลกออนไลน์ หรือโซเชียลเน็ทเวิร์ค (social network) ซ่ึงเป็นพื้นที่อิสระปราศจากการจำกัดขอบเขตโดย
ผู้ปกครองหรือสังคม โดยเฉพาะ "เฟสบุ๊ค"(facebook ซึ่งเป็นสังคมออนไลน์อันดับต้นๆที่ผู้คนทั่วโลกต่างให้การ
ยอมรับ และใช้กันอย่างแพร่หลา ย ในพ้ืนที่อิสระดังกล่าว วัยรุ่นมักใช้ภาษาทั้งการพูดและเขียนที่ค่อนข้างแตกต่างไป
จากพืน้ ท่ีปกติ จนเรยี กวา่ "ภาษาวบิ ัต"ิ เพราะต้องการให้ เขยี นสน้ั อ่านง่าย สะดวก และรวดเรว็ (ตนั ติมาลา, 2556) เช่น
ฉัน = ช้นั
ไปไหน = ปายหนาย ปะหนัย
เทา่ ไหร่ = ทะหร่าย, เท่าวห์ ร่ยั
บอกตรง ๆ = บอ่ งตง
เป็นอะไร = เปงราย, เปนรยั , เปงรัย
จงั เลย = จังรุย, จังเยย, จงุ เบย เป็นต้น
หรอื ไมว่ า่ จะเป็นภาษา "ภาษาสก๊อย" ทีท่ ำใหห้ ลายคนไม่สามารถที่จะอ่านออกเสียงตามสิง่ ท่ีเหน็ ได้เช่น
- กลิ๊ มัวหรอื ยงั แปลว่า กินขา้ วหรือยงั
- พรงุ่ น้ไี ปเทยี่ วกันไหม แปลวา่ ภรงุ่ ณปี ี๊บย์ เธญิ์ กัปลั ไหฒ เป็นตน้
อีกทั้งมีการพัฒนาเว็บไชด์ขึ้นมาเพื่อแปลภาษาของภาษาสก๊อยที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่ง
วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นและน่าสนใจเป็นอย่างมากที่พวกเขาเหล่านี้ได้ทำให้เกิดสิ่งที่แปลกใหม่เกิดข้ึนและไม่คิดว่าจะมีใคร
คนใดสนใจอยากจะทำมากอ่ น น่ันก็คอื เว็บไซต์ htp://narze.github.io/toSkoy/
ภาพตวั อยา่ งการแปลภาษาสก๊อยจากเวบ็ ไซต์
ที่มา : http://narze.github.io/toSkoy/
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 202
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
การเหมารวมพฤตกิ รรมของคนทมี่ ลี ักษณะเดียวกัน
พฤติกรรมการแสดงออก การแต่งกาย รสนิยมต่างๆ ที่เป็นแสดงออกถึงตัวตนเองตนเองในมุมของเด็กแว้น
และ สก๊อย ก็เป็นส่วนหนึ่งในการก่อเกิดการเหมารวมพฤติกรรมว่า แต่งตัวแบบนี้ บุคลิกท่าทางแบบน้ี แต่งหน้าแบบน้ี
คือเด็กแว้น คือสก๊อย ซึ่งสำหรับบางคนการแต่งกาย การแต่งหน้า พฤติกรรมเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องธรรมชาติและ
เป็นปกติของพวกเขาอยู่แล้ว แต่กลับถูกเหมารวมพฤติกรรมไปด้วยว่าพวกเขาคือ เด็กแว้นและสก๊อย อีกทั้งมีการ
กำหนดชนชั้นเกดิ ข้ึนอกี ด้วย
ตัวอยา่ งบทความ คุณพิเชฐ ยิ่งเกยี รติคุณ
ในหวั ขอ้ เรอื่ ง วา่ ดว้ ย "อารยธรรมเด็กแวน้ " กบั การ stereotype ของชนชั้นกลาง
ช่วงเวลาสงกราต์ สีสันของวันสงกรานต์อย่างหนึ่งก็คือ กลุ่มชายหญิงที่โยกย้ายไปตามจังหวะเสียงเพลงท่ี
ถูกกระหน่ำจากตู้ลำโพงขนาด มหึมา ด้วยลีลาเร้าใจของเพลงแนซ์ร่วมสมัย เมื่อพูดถึงเด็กแว้นที่มาของคำมาจาก
เสียงของรถมอเตอร์ไชค์อันเป็นยานพาหนะของกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้ ที่มีเสียงดัง"แว้นนนนนนนนน "ออกมาจากท่อไอเสีย
พวกเขาเหลา่ น้มี ักจะถกู จบั กลุ่มกบั ผหู้ ญิงวัยรนุ่ ทจี่ ะเรียกวา่ "เดก็ สะก๊อย" ในช่วงสงกรานต์
หลายคนออกมาบ่นผ่าน status ของ Facebook ด้วยอารมณ์ที่อาจมองได้ว่า "เหยียด" เด็กแว้น บ้างก็
ค่อนขอดถึงลีลาการเต้นที่ปล่อยใจไปตามเสียงเพลง บ้างก็เหยียดหยามสไตล์การแต่งตัวหรืออัตลักษณ์ส่วนบุคคลท่ี
เป็นเอกลักษณ์ของ คนกลุ่มน้ี เช่น ใส่ยีนส์ขาเดฟ แว่นดำ เสื้อสีแสบๆ ย้อมผมทอง ที่แยกย่อยไปกว่านั้นก็คือ การมอง
ไลฟ์สไตล์พวกเขาแบบเบ็ดเสร็จตามที่ สื่อมักจะผลิตซ้ำความเชื่อ เช่น การแข่งรถเพื่อแลกเปลี่ยนคู่นอน วัยรุ่นที่เล่น
สนุกสดุ เหวย่ี งในช่วงสงกรานต์ อาจได้รับคำนิยาม เดก็ แวน้ " จากบางสว่ นในสงั คม
การแสดงความคิดเห็นแบบเหยียดหยามแบบนี้เป็นทัศนคติที่ค่อนข้าง น่ากลัว เพราะมันคือการมองแบบ
"เลือกจัดกลุ่ม" ให้เสร็จสรรพแล้วว่าคนเหล่านี้นั้นเป็นคนประเภทไหน หรือการจัดประเภทแบบพวกเขาพวกเรา และท่ี
แย่ก็คือการเลือกจัดกลุ่มแบบเหมารวมนั้นถูกพัฒนาให้กลายเป็น "เครื่องมือทางชนชั้น ที่น่าสนใจ คำว่า "เด็กแว้น"
กลายเป็นคำด่าเมือ่ มีเพอ่ื นหรือบคุ คลรู้จกั ทำตัวไม่เขา้ ท่า เช่น "วันนี้มงึ แตง่ ตัวแวน้ มาก" หรอื "ลลี าท่าเตน้ นแ่ี วน้ กระจาย"
คำว่า "แว้น" มีความหมายที่เลื่อนหลกลายเป็นแสลงคำด่า เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับคำว่า "เสี่ยว"หรือ
"ลาว" มาก่อนหน้านี้ หรือการนำการพูดไม่ชัดของชนกลุ่มน้อยอย่าง "กะเหรี่ยง" มาล้อเลียนเป็นเรื่องสนุกสนาน สิ่ง
เหล่านี้ถือเป็นทัศนคติแบบเดียวกันท่ีน่ากลัวไม่น้อย เพ่ือนหลายคนถึงกลับเลิกฟังเพลงของวง S0 Cool หรือวง Clash
เพราะพวกวงเหล่านี้กลายเป็นไอดอลของเด็กแว้น ทั้งที่สมัยก่อนก็เคยกอดคอฟังเพลงเหล่านี้มาด้วยกัน เหตุการณ์
แบบคล้ายกันนี้เคยเกิดข้ึนในช่วงที่เพลงป็อปวัยใสแบบ "บับเบิ้ลกัม" ของค่ายอาร์เอสกำลังดังก็จะมีกลุ่มคนต่อต้าน
หรอื ปัจจบุ ันกบั กระแสเหยยี ด "ต่ิงหเู กาหล"ี ทีเ่ อาไว้แขวะกลมุ่ นกั เรยี นมธั ยมท่คี ลง่ั ไคล้ศิลปืนเกาหลอี ยา่ งเต็มขน้ั
สื่อมวลชนก็มีหน้าที่ผลิตซ้ำคำพูดดังกล่าว เมื่อเกิดเหตุการณ์ในแง่ลบกับสังคม "เด็กแว้น" คือคนกลุ่มแรกที่
มักจะถูกโยนความผิดให้เสมอในรายการเล่าข่าวยามเช้า เช่น เกิดเรื่องการทำแท้งเถื่อนการค้ายาเสพติด โดยที่ไม่
จำเป็นต้องรับผิดชอบคำพูด โดยสรุปเหตุผลสุดท้ายของทุกเรื่องราวว่า "ก็เพราะมันเป็นเด็กแว้น" กรอบของศีลธรรม
มักจะถูกนำมาใช้เพื่อบอกว่าคนเหล่านี้ขาด "สามัญสำนึก" ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามกลับไปว่า "มาตรฐานทางศีลธรรม" น้ัน
ใครเปน็ ผู้กำหนด ? และมาตรฐานทางศีลธรรมนน้ั มีหนา้ ทเี่ พอื่ สร้างมาตรฐานทางสงั คม หรือเพ่ือเหยยี ดคนกลมุ่ หนึ่งให้
ตำ่ และทำใหต้ ัวเองรสู้ กึ สูงส่งทางศีลธรรมกันแน(่ โดยเฉพาะทัศนคติของชนชัน้ กลาง)
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 203
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทความนี้ไม่ได้ต้องการมุ่งเปลี่ยนทัศนคติจากขาวเป็นดำ หรือเพื่อเชิดชูคุณค่าของเด็กแว้นว่าเป็นต้นแบบที่
สังคมควรจะดำเนินตาม เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม เช่น การแข่งรถบนทางหลวง หรือ
การยกพวกตีกัน ก็สมควรต้องเป็นถูกลงโทษไปตามหลักนิติรัฐที่กำหนดไว้ เพียงแต่อยากให้มองกลุ่มคนเหล่านี้ว่ามี
คุณค่ามนุษย์เทียบเท่า กับ "กลุ่มคนเสื้อแพง" หรือ "กลุ่มพวกเอาพารากอนกูคืนมา"ก็เพียงเท่านั้น (น่าแปลกใจไม่เห็น
มีใครไปเหยียดกันว่า " เด็กทองหล่อ!!" หรือ "ว้าย!!เด็กสยาม" เหมือนกลายเป็นว่าการเป็นเด็กสยามหรือเด็กเมืองจะ
กลายเปน็ ชนชน้ั ขัน้ สูงสุด ของสังคมวัยร่นุ ไทย โดยเดก็ แว้นถกู ทำให้เป็นฐานล่างสุดของสงั คมลำดับข้นั )
ภาพเหล่านี้ยิ่งขยายสังคมไทยซึ่งเป็นสังคมชนชั้นให้ชัดเจนมากขึ้น ถ้าสังคมมองเขาเพียงว่าเป็น "แค่" เด็ก
แว้นเขาก็จะเป็นแค่เด็กแว้น แต่ถ้าสังคมมองเขาเป็นคนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่ดำรงด้วยความหลากหลาย และไม่ถูกฉาบ
ด้วยมายาคติที่สูงส่งกับศีลธรรมจอมปลอม (ที่ถูกฉาบไว้ให้เราไม่เห็นความเท่าเทียมท่ีมีอยู่จริงในสังคมอุปถัมภ์) เขาก็
จะเป็นเพื่อนร่วมสังคมแบบหนึ่งของเรา สิ่งสำคัญก็คือเราจะเลือกสังคมท่ีเราอยู่แบบไหน เราจะอยู่ในสังคมที่มีอารย
ธรรมหลากหลายแต่ทุกคนอยู่ภายใต้มาตรฐานทางกฎหมาย เดียวกัน หรือ สังคมที่เราพยายามจะหล่อหลอม (และ
พยายามทำให้เชื่อว่า) สังคมมี "มาตรฐานทางศีลธรรม"เดียวกัน เพื่อนำมาปกปิดมาตรฐานทางสังคมที่เต็มไปด้วย
ความเหลอื่ มลำ้ ? (ยงิ่ เกยี รตคิ ณุ , 2555)
จากบทความจะเห็นได้ว่าหลากหลายสถาบันทางสังคมที่มีส่วนทำให้เกิดการหล่อหลอมความคิดเรื่องการเหมา
รวมพฤติกรรมของเด็กแว้นและสก๊อยที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะสื่อ รายการทีวีช่องต่างๆ ที่พยายามลดคุณค่าหรือทำให้
มุมมองการชีชีวิตของกลุ่มเด็กเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่มีระดับมีชนชั้นที่ค่อนข้างต่ำกว่าผู้คนชนชั้นกลางๆ โดยปัจจุบัน
การใช้สังคมออนไลน์กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของวัยรุ่นในการแบ่งปันค่านิยมและวัฒนธรรมย่อยทำ
ให้ผู้คนพบเจอกับภาพวัยรุ่นสก๊อยเหล่านี้ผ่านโซเชียลมีเดียจนเกิดการล้อเลียนเหยียดชนช้ันต่อวัฒนธรรมแว้นสก๊อย
หรือ 'ตลาดล่าง' โดยประณามพฤติกรรมของกลุ่มวัยรุ่นชานเมืองจำนวนมากที่โพสต์ภาพมั่วสุมตามงานแข่งรถ
บริโภคสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเปิดเผย แสดงตัวตนล่อแหลมไม่ละอายต่อการกระทำ ทางเพศที่ไม่เหมาะสม
และตอบต้กับคนในอินเทอร์เน็ตอย่างหยาบคายและไร้เหตุผลหรือกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นเด็กแว้นหรือสก๊อย มักจะมีการ
ประกอบอาชีพในรูปแบบเดียวกัน ลักษณะการเข้าศึกษาต่อในทิศทางเดียวกัน ลักษะครอบครัวส่วนใหญ่หรือแม้แต่การ
เป็นเด็กแว้นหรือสก๊อยท่ี จะเกิดอยู่ในชุมชนแออัดหรือกลุ่มของคนนอกเมืองและชนบทต่างจังหวัด อีกหนึ่งสิ่งที่หาก
เรามองในเรือ่ งของภาคการศกึ ษาการใหค้ ุณคา่ กับเพือ่ นมนษุ ย์ด้วยกันไม่ว่าจะเปน็ เด็กแวน้ หรอื สก๊อย เม่อื ขน้ึ ช่อื วา่ พวก
เขาเข้าข่ายหรือมีพฤติกรรมที่เชื่อมโยงไปทางการเป็นเด็กแว้นหรือสก๊อยก็มักจะถูกปฏิบัติในอีกรูปแบบหนึ่ง หลายคร้ัง
การัดสินใจหรือการเหมารวมพฤติกรรมเหล่านี้ได้ทำลายโอกาศของเด็กคนหนึ่งไปอย่างหน้าเสียดาย เพียงแค่การมอง
แคเ่ ปลือกนอกเพียงเทา่ นนั้
มีการลงพื้นที่สำรวจศึกษา จากการลงพื้นที่ศึกษาพบว่า วัยรุ่นหญิงชนบทที่แสดงภาพตัว แทนความเป็นส
ก๊อยบนโลกออนไลน์ มีประสบการณ์ในวัยเรียนที่คล้ายกัน พวกเธอเล่าว่า นอกจากประสบการณ์ถูกแบ่งแยกชนชั้นกับ
นักเรียนที่มีฐานะหรือเด็กเรียนเก่งแล้ว หากพวกเธอประพฤติตัวเกเรก็จะถูกเลือกปฏิบัติ เช่น ครูพูดจาอ่อนหวานกับ
นักเรียนคนอื่น แต่ตัวเองถูกนำ เรื่องราวไปนินทาหรือพูดจาเสียดสีนอกจากนี้บ่อยครั้งผู้ศึกษาพบว่า ที่วัยรุ่นสก๊อย
มักจะต้องถูกบังคับ หรือกดดันให้ออกจากโรงเรียนด้วยกฎระเบียบเรื่องชู้สาวที่ถูกนำมาใช้ตามวิจารณญาณของครู
ซึ่งมีความเข้มข้นในการควบคุมเรื่องเพศวิถีของวัยรุ่นหญิงมากกว่านักเรียนชายจนเกิดความเบื่อหน่าย และขาด
แรงจูงใจในการเรียน และจำกัดเส้นทางชีวิตของพวกเธอให้เป็นเพียงแรงงานทักษะต่ำ และต้องรับผิดชอบครอบครัว
ในฐานะแม่คนตง้ั แตอ่ ายยุ งั น้อยเพียงเพราะประพฤตติ ัวนอกขนบอยู่เสมอ
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 204
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
ดังนั้น ขนบทางเพศ (gender norm) ในแบบสังคมกระแสหลักจึงเป็นเงื่อนไขในการเบียดขับวัยรุ่นสก๊อย
เหล่านี้เข้าไปทำ งานบริการที่ได้ค่าแรงต่ำ ดิ้นรนค้าขาย หรือเข้าไปอยู่ในแก๊งค์ชิ่งมอเตอร์ไซค์เพื่อปลดปล่อยตัวตนจาก
กฎเกณฑ์เหล่าน้ี โดยการเชื่อมต่ออัตลักษณ์ความเป็นสก๊อยกับการ สะสมทุนเพื่อบริโภค เพื่อหาวิธีปรับสภาพทางชน
ชั้นของตวั เองขน้ึ มาในระบบทุนนิยม และความทันสมัยที่ลน่ื ไหลเข้ามา
ครอบคลุมไปยังพื้นที่ทางสังคมของพวกเธอ ข้อค้นพบที่น่าสนใจ ประการหนึ่งคือพื้นที่ออนไลน์บนโซเชียลมีเดียได้เข้า
มามีบทบาทต่อวัยรุ่นหญิงชนบทในการเชื่อมต่อความปรารถนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด บนการผลิตช้ำแรงงานอวัตถุที่ใช้
บุคลกิ ภาพของวัยรุ่นหญงิ ในเชงิ ยัว่ ยวน เพ่ือเผยแพร่ รวี ิวสินค้าผ่านเทรนดต์ ่าง ๆ หรอื แมแ้ ตจ่ า้ งวานให้เปน็ ตัวแทนจำ หน่าย
รวมทั้งการผลิตสื่อวัฒนธรรมเหล่านี้ (บน Tick Tok) ซึ่งล้วนเข้าไปกระตุ้นวัยรุ่นหญิงให้เกิดการบริโภคเพ่ือ
การปลดปล่อยตัวเองจากการกดขี่ทางเพศของสังคม และได้เปลี่ยนรูปแบบไปสู่การขูดรีดโดยนายทุนที่คอยจัดลำดับ
ชนชั้นผ่านร่างกาย จนไปกดทับอัตลักษณ์ของวัยรุ่นแว้น สก๊อยที่เป็นมากกว่ากลุ่มวัยรุ่นที่นิยมบริโภคสินค้าละเมิด
ลิขสิทธิ์อย่างเปิดเผย แสดงตัวตนล่อแหลม แต่ปฏิบัติการณ์ต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นผ่านการทำงานบริการ ค้าขาย
ท่องเที่ยวในชีวิตของวัยรุ่นสก๊อย เป็นดั่งพ้ื นที่ ของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความสัมพันธ์ทางสังคมที่หล่อ
หลอมให้เกิดความเป็นพวกเดียวกัน และความเชื่อม่ันต่อกลุ่มบุคคลผู้ที่ให้การคุ้มครอง และคอยเคลียร์เรื่องราวต่าง ๆ
ให้แก่พวกเขา ซึ่งถูกนำ มาทดแทนเสมือนทุนทางสังคมที่เพิ่มพลังให้พวกเขากล้าที่จะเสี่ยง และกระทำการเช่นนี้ ทั้งท่ี
พวกเขามีอายุไม่มากนัก ด้วยความปรารถนาที่จะสร้างภาพตัวแทนผ่านการบริโภคเพื่อเลื่อนชนชั้น และสถานภาพที่ดี
ขนึ้ จากทเี่ ผชญิ อยูก่ บั ความสามญั ธรรมในชวี ิตประจำวันน่นั เอง (สะเภาคำ, 2564)
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 205
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
กลุ่มเด็กแวน้ สก้อยกับการทำประโยชนเ์ พื่อสังคม
กลุ่มเด็กแว้นและสก๊อยกับการทำประโยชน์เพื่อสังคม ภาพจำของผู้คนในสังคมท่ีมักจะมองว่าเด็กแว้นสก๊อย
คือ กลุ่มวัยรุ่นรวมตัวกันที่ก่อความเดือนร้อนให้แก่ผู้อื่น แต่อีกด้านหน่ึงของกลุ่มเด็กเหล่าน้ี ต่างก็มีการรวมตัวกันไป
ทำบญุ ชว่ ยเหลือผู้ยากไร้ บรจิ าคส่ิงของหรอื แม้แต่แหพ่ ่มุ กฐนิ เขา้ วัด แต่สิ่งเหล่านใ้ี นบางคร้งั ยังคงถูกกีดกนั จากผู้คน
ในสังคม ยังถูกมองว่าการทำบุญของกลุ่มเด็กแว้นเป็นการรวมตัวกันก่อความวุ่นวาย ทั้งที่จริงแล้วนั้นการรวมกลุ่มไป
ทำบุญของกลุ่มเด็กแว้นและสก๊อยหรือกลุ่มนักบิดอื่นๆ ก็เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์และเป็นสิ่งที่ดีแต่ก็ยังถูกสังคมมอง
ด้วยภาพจำดา้ นลบท่ีเหมอื นเดมิ อยู่
ทม่ี า : https://www.pptvhd36.com/news/% 0%B8%AA% 0%B8%B1% 0%B8%87%E0%B8%84%E0%
B8%A1/155745 สบื คน้ เม่อื 26 ตุลาคม 2564
ที่มา : https://www.komchadluek.net/news/396900 สืบคน้ เมอ่ื 26 ตุลาคม 2564
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 206
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
จุดเรมิ่ ต้นของการเปน็ เด็กแวน้ หรอื สกอ๊ ย
จุดเริม่ ตน้ -สาเหตุ
การเร่ิมเป็นเด็กแว้นและสก๊อย จุดเริ่มต้นมากจากสิ่งใด จากการศึกบทความความของ Thaipbsในเรื่อง
"วิถีเด็กแว้น" เป็นมุมมองจากคนใน ไม่ใช่ สรุปจากคนนอก นายโจ้ (นามสมมติ) ผู้ซึ่งมีประสบการณ์อยู่ในวงการเด็ก
แว้น มามากกว่า 10 ปีได้ให้ สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่ตนมาเป็นเด็กแว้นนั้นเกิดจาก พ่อแม่ไม่เคยรู้จักลูกบนถนน
การแก้ปัญหาเด็กแว้นต้องแก้ท่ีพ่อแม่ มันเหมือนมีประโยคที่บอกว่า บ้านไหนปลอดภัยเด็กคนไหนจะอยากออกไปจาก
บ้าน คือ ถ้าบ้านมันโอเค มีกิจกรรมที่ทำร่วมกัน เด็กก็ไม่อยากออกไปแว้นกับเพื่อนข้างนอก หรือ พ่อแม่เป็นจุดเริ่มของ
การเป็นเด็กแว้นสิ่งที่พบมากคือ เด็กแว้น มีลูกเร็ว คือ อายุ 17-18ปี มีลูกแล้ว หรือเร็วกว่านั้น ซึ่รุ่นลูกถ้ายังอยู่
ในสังคมที่พ่อแม่ ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ รุ่นลูกก็จะเป็นเด็กแว้นตามไปด้วย เด็กบางคนเติบโตมาเห็นพ่อแม่แต่งรถก็จะซึม
ซบั และเคยชิน
ในสนามแข่งที่เห็นทุกวันน้ีพ่อแม่จะพาลูกตัวเล็กๆ ไปด้วย ในสนามแข่งจะมีทุกรุ่นเลย แม่อุ้มลูกตัวเล็กๆ
มาด้วย นั่งดูพ่อแข่งรถบางคนจะให้ลูกแข่งตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะตัวเล็ก มีโอกาสชนะได้มากกว่าหรือการขอมี
"ตัวตน" ในสังคมแว้นเท่านั้น ในการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ในสังคม ส่วนใหญ่จะแตกต่างกันหรือถูกแบ่งแยก
โดยกลุ่มคน ครอบครัว เศรษฐกิจ สังคม ความรู้ อาชีพ สถาบันการศึกษา ฯลฯซึ่งโจอี้มองว่า ในความเป็นจริง
"เด็กแว้น" ก็รวมกลุ่มกัน หรือทำกิจกรรมร่วมกัน เพราะมีความชอบที่เหมือน ๆกัน เพียงแต่กิจกรรมของเด็กแว้น
กลบั ถกู มองเป็น "ลบ" จากสังคมภายนอก (ไทยพี่บีเอส, 2562)
การเป็นเด็กแว้นจึงอาจเริ่มต้นขึ้นเพียงจากแค่ความต้องการแสดงออก การอยากได้รับความยอมรับจากคน
รอบข้าง การต้องการเปน็ จดุ สนใจจากเพศตรงข้าม และพฒั นาการไปเรอื่ ย ๆ จนไม่อาจคาดเดาไดว้ ่าในอนาคตข้างหนา้
จะเกดิ อะไรขน้ึ
จากวัยรุ่นที่เสพติดความสนุกสนานในลักษณะชอบความป่วนอันเนื่องมาจากปัญหาพัฒนาการโดยตรง
ไม่ว่าจะล้มเหลวเรื่องการเรียน ทำให้พวกเขาไปแสวงหาความสนใจหรือการได้รับการยอมรับนอกห้องเรียน
โดยจิตแพทย์ระบุว่า พฤติกรรมของเด็กแว้นถือเป็นพฤติกรรมการเสพติดชนิดหนึ่งซึ่งเวลาเด็กเสพความตื่นเต้นบ่อย
ๆ กจ็ ะตดิ เช่นเดียวกบั การติดเกมหรือตดิ การพนนั
การเริ่มต้นเป็นเด็กแว้นแต่ในทางวิชาการก็มีผู้สรุปสาเหตุของการที่เด็กธรรมดา ๆ จะกลกายเป็นเด็กแว้นไว้
ทง้ั หมดสามประการคอื
1. วิธีการขายรถจักรยานยนต์ของตัวแทนจำหน่ายต่าง ๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมาที่มีการออกกิจกรรม
สง่ เสรมิ การขาย (Promotion) เพอ่ื ล่อใจอย่างมากมาย เช่น ไมต่ อ้ งดาวน์ผ่อนนอ้ ยผ่อนนาน เป็นตน้
2. ครอบครัวตามใจ ถือเป็นปัจจัยสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากเด็กแว้นที่ถูกดำเนินคดีมีอายุน้อยลง
เรื่อย ๆ ซึ่งเด็กหรือเยาวชนที่มีอายุน้อยคงไม่สามารถที่จะมีเงินซื้อรถจักรยายนต์ด้วยตนเองแน่นอน การอ้าง
เหตุผลต่าง ๆ นานาของเด็กเพื่อให้ผู้ปกครองซื้อรถจักรยานยนต์ให้จนผู้ปกครองยินยอมที่จะซื้อให้ด้วยความ
ตามใจโดยไม่ทราบว่ารถจกั รยานยนต์ทซี่ ื้อมานนั้ ถูกนำไปใช้อย่างไรจึงเปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของปัญหา
3. สื่อสังคมออนไลน์ก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะหากเป็นเมื่อสักยี่สิบปีที่แล้วการนัดพบกันเพื่อทำสิ่งใดสักอย่าง
อาจจะเป็นเรื่องยากกว่าจะได้รับรู้กันทั่วถึง แต่การที่มีสื่อสังคมออนไลน์ทำให้การนัดพบกันทำได้ง่ายขึ้นเพราะปัจจุบัน
เพียงแค่กดปุ่มเพียงปุ่มเดียวคุณก็สามารถเผยแพร่ข่าวสารออกไปได้กว้างขวางการนดั พบกันเพื่อแข่งขันจึงไม่ใช่เรื่อง
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 207
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
ยากอีกต่อไป พร้อมกันนี้สื่อสังคมออนไลน์ยังถูกใช้เป็นสถานที่เผยแพร่แสดงออกรวมไปถึงระบายความในใจของเด็ก
แวน้ อีกดว้ ย
ดังนั้น หากพิจารณากันดีๆ แล้วก็จะทราบว่าวัยรุ่นเป็นวัยที่เต็มไปด้วยความชับซ้อนเป็นวัยที่ต้องเผชิญกับ
ความยุ่งเหยิงของชีวิต ทั้งจากตัวเอง จากฮอร์โมน จากครอบครัวและจากความคาดหวังของสังคมวัยรุ่นอาจเป็นวัยที่
ดูก้าวร้าว แต่จริง ๆ ในตัวเด็กวัยรุ่นเองก็มีแง่มุมของความอ่อนไหว เต็มไปด้วยความรู้สึกมีความเปราะบางในแบบของ
ตัวเอง วัฒนธรรมแบบวัยรุ่นมี "การต่อต้าน" เป็นหัวใจอยู่แล้วเพราะในสมัยหนึ่งเราทุกคนต่างก็หัวดื้อ อยากทำในสิ่งที่
ผู้ใหญ่และสังคมห้าม อยากจะเอาชนะกรอบและกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่อยู่รอบตัว สำหรับการเป็นเด็กแว้น การท้าทาย
อาจจะข้ามไปสู่เส้นของกฎหมาย ของความปลอดภัยของชีวิตแต่นั่นแหละ เพราะความท้าทายที่มีชีวิตเป็นเดิมพันน้ีเลย
ทำเลือดทรี่ อ้ นอยูแ่ ลว้ ของวยั รนุ่ ยง่ิ เดือดสะใจเข้าไปใหญ่ (พรรณรตั นเ์ กรียงวฒั นา)
พัฒนาการตามช่วงวยั
พัฒนการตามช่วงวัยของวัยรุ่นในช่วงอายุ 13-24 ปี มักจะเป็นช่วงที่ร่างกายนั้นได้รับการพัฒนาอย่างเต็มท่ี
ร่างกายจะเจริญเติบโตสมบูรณ์อย่างเต็มท่ี การเปลี่ยนแปลงของเพศหญิง จะเริ่มมีประจำเดือนขนาดสะโพกและทรวง
อกเพิ่มขึ้น มีขนขึ้นบริเวณส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น รักแร้ อวัยวะเพศการเปลี่ยนแปลงของเพศชาย เริ่มมีการผลิต
เซลล์สบื พนั ธไุ์ ด้ เสยี งแตก มขี นขน้ึ บริเวณส่วนต่างๆของร่างกาย เชน่ หน้า รกั แร้ อวยั วะเพศ แขน ขา เป็นตน้
พัฒนาการทางด้านอารมณ์ การเปลี่ยนแปลงของวัยน้ี ทำให้เด็กวัยรุ่นเกิดความสับสนวุ่นวายในจิตใจมี
อารมณ์หลายอย่างเกิดขึ้น เช่น รัก โลภ โกรธ หลง เกลียด อวดดี อ่อนไหว หงุดหงิด ขี้อิจฉา อารมณ์ร้อน วิตกกังวล
โอ้อวด สบั สน เห็นแกต่ วั เหน็ อกเหน็ ใจผู้อนื่ ด้ือรั้น
พัฒนาการทางความคิดมีการพัฒนาทางความคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลชัดเจนขึ้นวัยรุ่นไม่เชื่ออะไรง่ายๆ วัยรุ่น
รู้จักการคิดแบบวิเคราะห์ วัยรุ่นมีการคิดแบบรวบยอด มีความเข้าใจในทฤษฎี กฎ ระเบียบ วินัย การรู้จักคิดตัดสินใจ
เรือ่ งต่างๆ
ปัญหาของวัยรุ่นที่เกิดขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย อารมณ์ สังคม การนำมาสู่การเป็นเด็กแว้น
หรือสก๊อยอาจะเกิดจากการเปลี่ยนทางด้านพัฒนาการที่เกิดขึ้น แต่เนื่องด้วยสิ่งแวดล้อมต่างๆที่มีอิทธิพลต่อการ
ตัดสินทำอะไรบางอย่าง ความต้องการเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพ่ือนหรือสังคมท่ี ตนเองเป็นอยู่อาจขาดการให้คำแนะนำท่ี
ถูกต้องหรือการปฏิบัติติดูแลรวมไปการเป็นแบบอย่างที่ดีของคนในครอบครัวหรือสังคมรอบข้าง จนทำให้เกิดการเข้า
มารวมกลุ่มกันทำกิจกรรมแข่งรถหรือไปเป็นสก๊อย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้อาจสอดคล้องกับพัฒนการตามช่วงวัยใน
ตอนน้ันพอดี
มมุ มองทางทฤษฎี
ทฤษฎีทางอาชญาวทิ ยา อธบิ ายว่า สาเหตุของปญั หาเดก็ แว้นและเด็กสกอ๊ ย คอื
(๑) เด็กแว้นและเด็กสก๊อยอาจประสบปัญหาด้านความประพฤติบางประการเป็นเหตุให้ไมไ่ ด้รับการยอมรับไม่
มสี ถานภาพในสงั คม และขาดความภาคภูมิใจในตนเอง
(๒) การประลองความเร็วให้ความสนุกสนานตื่นเต้นและทำให้เด็กแว้นบรรลุถึงความเป็นตนเอง อย่างแท้จริง
โดยเหตุนี้การจับกุมดำเนินคดีเพื่อลงโทษย่อมไม่สามารถยังยั้งปัญหาได้เพราะ การลงโทษไม่ได้แก้ไขต้นเหตุของปัญหา
ในขณะเดียวกันนักระดมกำลังตำรวจเพื่อสกัดจับแว้นกลับทำให้การประลองความเร็วมีความเสี่ยงมากขึ้นยิ่งเสี่ยงมาก
ยิ่งสนุกมากยิ่งได้รับการยอมรับมากขึ้น ดังนั้นทางออกของปัญหาน่าจะอยู่ที่การช่วยให้เด็กที่มีปัญหาขา้ งต้นได้เห็น
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 208
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
คุณค่าของตนเอง และมีโอกาสหรือช่องทางต่าง ๆ ในการแสดงให้บคุคลอื่นเห็นคุณค่าของตนเอง และหากช่องทาง
ดงั กลา่ ว เปน็ กจิ กรรมทใ่ี ห้ความสนุกสนานเพลดิ เพลินได้ จะยง่ิ จงู ใจใหเ้ ดก็ สนใจ
กิจกรรมนั้นมากข้ึนเมื่อเด็กทำกิจกรรมดังกล่าวรวมทั้งมีคนยอมรับและเห็นคุณค่าของเด็กเหล่านั้นเด็ก
เหล่านั้นก็จะเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง(self-esteem)หากสามารถทำดังนี้ได้ เชื่อว่าเด็กแว้นเด็กสก๊อยคงไม่ใช้
ช่องทางการที่เบี่ยงเบนเช่นการแข่งรถจักรยานยนต์ สร้างคุณค่า สร้างตัวตน สร้างความภาคภูมิใจ รวมทั้งสร้าง
ความสนุกสนานใหแ้ ก่ตนเองอย่างแน่นอน (สกลุ ยุช หอพิบูลสขุ , และ ณัฎฐริ า หอพบิ ลู สุข, 2555)
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 209
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
ผลกระทบทเี่ กดิ ขนึ้ ตอ่ ตนเอง ครอบครวั และสงั คม
1.ผลกระทบตอ่ ตวั เอง
- ทำให้ตัวเองบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากการแข่งขันรถบนถนนต้องใช้ความเร็วและ
ความคล่อง นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เด็กแว้นและสก๊อยสวนใหญ่ไม่สวมหมวกนิรัย โดยให้เหตุผลว่าจะทำให้รถ
นน้ั เคล่อื นตัวชา้
- ทำใหเ้ สยี อนาคต เสียการเรยี น การออกไปแข่งรถจกั ยานยนตส์ ว่ นใหญแ่ ล้วพวกเขามกั จะเลอื ก
ในเวลากลางคืน เพราะว่าถนนโล่งและปราศจากการจับตามองของผู้คน ดังน้ันหากวัยรุ่นคนใดต้องการแข่งรถต้อง
ออกไปแข่งช่วงกลางคืนกลับบ้านดีก ตอนเช้าตื่นสายม่สามารถไปโรงเรียนได้หรือง่วงนอนจนไม่สามารถมีสมาธิในการ
เรยี น และยังมอี ีกจำนวนมไม่นอ้ ยท่ีเลือกที่จะให้ความสนใจเรอ่ื งการรวมกลุม่ แข่งรถมากกวา่ การเรยี นหนังสือ
- คนในสังคมมองในทางไม่ดี เนื่องจากวัยรุ่นนั้นมีภาพจำที่มักจะเกิดขึ้นในทางที่ไม่ดีต่อคนในสังคมอยู่แล้ว
เป็นทุนเดิม ก่อให้เกิดมายาคติต่างๆเกิดขึ้นมากมา การรวมกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่
คนในสงั คม ซึง่ กน็ บั ว่าเปน็ หนง่ึ สงิ่ ท่ีตอกย้ำทำใหส้ งั คมมภี าพจำในแง่ลบมากขน้ึ ไปอกี
- เกิดปัญหาทับถมเข้าตัว การที่กลุ่มเด็กแว้นหรือสก๊อยไม่สมารถแบ่งเวลาในการชีชีวิตได้ ทั้งการเรียนการ
เล่น ปัญหาต่างๆอาจจะตามมาในภายหลังได้ เช่น เรียนไม่จบไม่สมารถนำวุฒิการศึกษาไปยื่นศึกษาต่อหรือสมัครงาน
ได้ มีความเสี่ยงในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการค้า-เสพยาเสพติด หรือ การได้รับบาดเจ็บจนกระทั่งไม่สามารถช่วยเหลือ
ตนเองได้ เป็นตน้
2.ผลกระทบตอ่ ครอบครัว
- ทำให้ครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล แน่นอนว่าทุกครอบครัวล้วนหวังให้บุตรหลานของตนเอง
เติบโตมาเป็นคนที่ของสังคมและไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น การที่ลุกออกไปแข่งรถสร้างความเดือนรำคาญให้แก่
ผู้อื่น จนเกิดการกล่าวว่าร้ายที่อาจจะลามไปถึงเรื่องของวงตระกูลที่อาจสร้างความเสียใจและอับอายแก่คนใน
ครอบครัวเดยี วกนั
- ทำให้พ่อแม่เกิดความวิตกกังวลเมื่อลูกออกไปแข่งรถจักรยานยนต์ โดยปกติพ่อและแม่จะมีความเป็นห่วง
บุตรหลานของตนเองเสมอ ยิ่งหากบุตรหลานของตนเลือกที่จะออกไปแข่งรถจักรยานยนต์ในเวลากลางคืนด้วยแล้ว
ทั้งด้วยสภาพแวดล้อมที่อันตรายท่ามกลางความมืด จะยิ่งสร้างความวิตกกังวลแก่พ่อแม่ผู้ปกครองมากยิ่งข้ึน
โดยเฉพาะผูท้ ม่ี อี ายมุ ากและมโี รคประจำตัว
- ครอบครัวมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นเน่ืองจากลูกขอเงินไปแต่งรถ เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่เริ่มเข้าสู่วงการแว้นสก้อย
ตั้งแต่ชาวงวัยรุ่นตอนต้น อีกทั้งสถานภาพของตนยังเป็นเพียงนักเรียน ไม่สามารถหาเงินด้วยตนเองได้จำเป็นต้องไป
ขอเงินจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ตัวพ่อแม่ผู้ปกครองด้วยความที่รักลูกหลายคนก็ยอมใจอ่อนที่จะซื้อรถจักยานยนต์ให้
เพราะรกั ลกู
- ครอบครัวเกิดความสูญเสียลูกชาย , ลูกสาว เนื่องจากอุบัติเหตุแล้วเสียชีวิตและเสียค่าใช้จ่ายค่า
รักษาพยาบาล เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่เสียชีวิต เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น สิ่งนี้จะทำให้ครอบครัวนั้นสูญเสีย
บุตรหลานอันเป็นท่ีรักของตนไปก่อนวัยอันควร สร้างความโศกเศร้าเสียใจให้คนในครอบครัวเป็นอย่างมากโดยเฉพาะ
ด้านจิตใจ แต่ถ้าไม่เสียชีวิต มีอาการบาดเจ็บหรือพิการ สิ่งนี้ก็สร้างความหนักใจและเศร้าใจให้แก่คนในครอบครัวเช่น
เดียว อีกทงั้ ภาระคา่ ใช่จ่ายการักษาพยาบาลทงั้ ของบตุ รหลานตนเองและผเู้ สียหายอกี ฝา่ ยหนึ่งด้วยเช่นกนั
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 210
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
3.ผลกระทบตอ่ บคุ คลทั่วไป
- เกิดความรำคาญจากเสียงที่เกิดจากเครื่องยนต์ท่ีดัดแปลงไปจากเดิม ที่อาจรบกวนเวลาการพักผ่อนของ
ผู้คนส่วนใหญ่ และสร้างความลำบากใจให้กับผู้สัญจรไปมาบนท้องถนนที่ต้องคอยระวังและหลบหลีกการขับ
รถจกั รยานยนต์ ดว้ ยความเรว็ ของกลุ่มวยั รุ่นเหล่านี้
- ความเสี่ยงที่หากเกิดอุบัติเหตุอาจทำให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตไปด้วย ซึ่งอาจทำให้
เสยี เวลาในการใช้ชวี ติ และเสียทรัพย์สนิ ของตนโดยใชเ้ หตุ
- สร้างความหนักใจให้เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาความสงบของบ้านเมือง และในบางครั้งก็
ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรในการจัดการดูแลปัญหาบ้านเมืองที่สิ้นเปลือง โดยต้องสละกำลังผลส่วนหนึ่งมาดูแลในส่วน
ของเดก็ วยั รนุ่ ทสี่ ร้างความเดือดรอ้ นแกผ่ อู้ ่ืน
4.ผลกระทบต่อสงั คม
- ทำให้ภาพพจน์ของสังคม หรือชุมชนน้ันๆ เสื่อมเสียช่ือเสียง เกิดความวุ่นวาย จนทำให้เกิดปัญหาอีกหน่ึง
ปัญหา ทำให้ภาครัฐข้าและสังคมมาจัดการเรื่องนี้ต้องร่วมเข้ามาแก้ไข และจัดการในบางครั้งต้องใช้งบประมาณ
และบุคคลในการแก้ไขปญั หาเหล่าน้ี ซ่งึ บางคร้ังอาจะเกิประโยชนม์ ากกวา่ กับเรื่องอื่นๆ
5.ผลกระทบตอ่ ประเทศ
- ทำให้ชาวต่างชาติหรือต่างเมืองไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้สถานที่นั้นๆ โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและ
สร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ เนื่องจากภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวที่สูญเสียไปพร้อมกับการกระทำที่ผิดแปลกไปจาก
เดิมและสร้างความเสียหายของกลุ่มเด็กแว้นหลังจากการลงไปเท่ียวในพื้นที่ เช่น การไปทำลายข้าวของในสถานที่
สำคัญ การยกพวกตีกันในสถานที่ท่องเที่ยวจนเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินการขับรถเสียงดังสร้างความ
รำคาญแกน่ กั ทอ่ งเที่ยวท่มี าพักผอ่ น เปน็ ต้น
- เกิดปัญหาของประเทศอีกปัญหาหนึ่ง การแข่งขันรถจักรยานยนต์แข่งดังในยามวิกาล นับเป็นการก่อความ
เดือดร้อนรำคาญแก่คนในชุนและสังคม อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งการ
กระทำเช่นนี้นับว่าเป็นส่ิงที่ผิดต่อกฎหมายและมีการออกกฎออกมาควบคุมการกระทำต่างๆ เพราะเป็นการสร้างความ
เดอื ดรอ้ นให้แก่ประชาชนรวมไปถงึ สงั คม จึงนบั ว่าเป็นอีกหน่งึ ปัญหาสังคมท่คี วรไดร้ ับการแกไ้ ข
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 211
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ปัญหาจากโครงสร้างทางสังคมหรือพฤติกรรมส่วนตัว ครอบครวั เพ่ือน ส่ือสงั คมต่างๆ
หากมองถึงความเกี่ยวข้องต่างๆที่เกิดในสังคมโครงสร้างของสังคมรวมไปถึงสถาบันแต่ละสถาบันแล้ว
สิ่งเหลา่ นลี้ ้วนมคี วามเกยี่ วขอ้ งทำให้เกดิ ปญั หาการเป็นเดก็ แว้นหรือสกอ๊ ยได้ และสามารถจำแนกไดด้ ังน้ี
1.สถาบันครอบครัว ครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญท่ีสุดในการหล่อหลอพฤติกรรมของเด็กอย่างไรก็ตาม
พบว่ามีครอบครัวที่ไม่ให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูบุตรจำนวนมาก ได้แก่ครอบครัวที่ยากจนหรือด้อยโอกาสทาง
สังคม มักไม่มีเวลาดูแล ชี้นำหรือส่งเสริมพฤติกรรมบุตรหลานให้เหมาะสมหรือเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับบุตรหลานเสีย
เองหรือเด็กไม่ได้มองพ่อแม่เป็นแบบอย่าง (Idol) ครอบครัวที่ยากจนหรือด้อยโอกาสทางสังคมเกิดจากไม่เท่าเทียม
ของโอกาสด้านเศรษฐกิจ พ่อแม่ไม่ได้มีการศึกษาท่ี ดีการมีลูกมากทำให้มีความยากลำบากในดูแลมากขึ้น สภาพสังคม
สิ่งแวดล้อมที่ครอบครัวอาศัยอยู่ที่มีผลเช่นกัน ครอบครัวที่ยากจนบางครอบครัวอาศัยชุมชนแอดอัดซึ่งเป็นแหล่งรวม
ของคนท่ีได้รับผลกระทบจากความไม่เท่าเทียมด้านโอกาสทางเศรษฐกิจ เด็กที่อยู่ในชุมชนได้ซึมซับพฤติกรรมด้านไม่ดี
ต่างๆที่เกิดขึ้นจากคนในชุมชน อย่างไรก็ตามผู้เขียนไม่ได้เหมารวมว่าครอบครัวยากจนทุกครอบครัวหรือที่อยู่ในชุมชน
แอดอัดจะสร้างให้เกิดเด็กแว้นครอบครัวร่ำรวยที่ไม่มีเวลาอบรมบุตรก็สามารถทำให้เกิดเด็กแว้นได้เช่น แต่ส่วนใหญ่ไป
แวน้ รถยนตก์ ัน
2. สถาบันการศึกษา ระบบการศึกษาแบบแข่งขันก่อให้เด็กรู้สึกกดดัน เด็กที่ทำคะแนนไม่ได้ดีไม่เกิดความ
ภูมิใจในความสามารถของตน จึงมีแนวโน้มแสดงออกทางพฤติกรรมอื่น ๆเพื่อให้ได้รับการยอมรับในหมู่เพ่ือนเช่นการ
แข่งรถ ไม่มีการกิจกรรมอื่น ให้เด็กได้แสดงความสามารถเช่น ดนตรีกีฬา กิจกรรมอย่างเพียงพอ เนื่องจากโรงเรียน
ส่วนใหญ่มุ่งเน้นด้านวิชาการ การเรียนเพื่อสอบโดยเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเรียน เด็กที่ทำคะแนนไม่ดีสามารถ
แสดงออกถึงความสามารถของตนด้านดนตรีกีฬา กิจกรรมได้หากเด็กมีความสามารถด้านนี้เขาจะรู้สึกภูมิใจใน
ความสามารถของตน และไม่ออกไปทำกิจกรรมที่ไม่ดีบุคลากรทางการศึกษาเช่น ครูผู้บริหาร กระทรวงไม่มีความรู้
ความสามารถเพียงพอในการทำให้เกดิ การสร้างสรรค์ ดา้ นวิชาการ - กจิ กรรม
3. ผู้บังคับใช้กฎหมาย ตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามจับกุมได้อย่าง
เพียงพอและเคร่งครัด หากปราบปรามอย่างเคร่งครัดแล้วเยาวชนจะกลัวและไม่กล้ากระทำความผิด สาเหตุเกิดจาก
อ่อนแอเชงิ โครงสรา้ งของสถาบนั ตำรวจในการปรบั ปรงุ ประสิทธิภาพขององค์กร
4. สื่อมวลชน สื่อไม่ได้สร้างสื่อที่ดีมีคุณภาพให้เยาวชนได้ซึมชับอย่างเพียงพอ มีแต่ละครสะท้อนสังคมที่ทำให้
เกิดซึมซับซับพฤติกรรมโดยไม่รู้ตัว มีละครชี้นำสังคมจำนวนน้อย โฆษณาชี้นำให้เกิดความต้องการด้านวัตถุ เช่น
โทรศัพท์มือถือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวขาว ไม่ค่อยมีสื่อสร้างสรรค์ ที่ส่งเสริมเยาวชน เช่น การประดิษฐ์ความรู้
วิทยาศาสตร์สารคดีกีฬา ดนตรีหากมีสื่อสร้างสรรค์จะส่งเสริมพฤติกรรมท่ี ดีให้แก่เด็กและเยาวชน นอกจากนั้นยัง
ช่วยสรา้ งแรงบันดาลใจ แรงจงู ใจใหส้ นใจใน ดนตรกี ีฬา กจิ กรรมหรือแมแ้ ต่การเรยี นดว้ ย
5.ภาครัฐ การบริหารหน่วยงานราชการ กระทรวงที่เกี่ยวข้องยังไม่มีประสิทธิภาพได้แก่กระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์กระทรวงการศึกษา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม ตำรวจซึ่งเกิดจากปัญหาของสถาบัน
การเมือง การสร้างพื้นท่ีให้เด็กและเยาวชนยังมีน้อยได้แก่ ลานกิจกรรมสวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ห้องสมุดหรือการ
สร้างกิจกรรมให้เยาวชนมีส่วนร่วม (พรรณรัตน์เกรียงวัฒนา) จากการแลกเปลี่ยนการสัมมนาสัปดาห์ที่ 5 หัวข้อ :
เด็กแว้น สก๊อย เวลา 10.00 -12.30 น. วันท่ี 26 ตุลาคม 2564 ในห้องเรียนออนไลน์มีการแลกเปลี่ยนในประเด็น
ดังกลา่ ว ดังนี้
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 212
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
เม่อื ไมน่ านมาน้ี ในสังคมออนไลน์บนเวบ็ ไซต์ twitter ไดม้ ีการแลกเปล่ียนความคดิ เหน็ กนั คอ่ นขา้ งหลากหลาย
ในเรื่องของการเป็นเด็กแว้นและสก๊อยนั้นเกิดมาจากปัญหาโครงสร้างทางสังคมที่นำไปสู่การเกิดพฤติกรรมเหล่าน้ี ซึ่ง
ผู้นำสัมมนาได้ยกประเด็นปัญหาที่ผู้เขียนมองว่าเป็นปัญหามาจากโครงสร้างทางสังคม เช่น media influences e.ฐ.
ละคร ข่าว โฆษณาชวนเชื่อ สื่อบันเทิงถือว่ามีผลมากๆกับการที่ทำให้เกิดการเหยียด ยกตัวอย่างเช่นละครที่ต้องให้คน
ต่างจังหวัดแต่งตัวมอมแมม ตัวดำ มีไฝ พูดภาษาถิ่น ซ่ึงเป็นการ นำเสนอภาพจำผิด ๆโฆษณาชวนเชื่อที่สร้างภาพจำ
ผิดๆ (ตรงนี้ก็เป็นปัญหามาจากทุนนิยม) ซึ่งพอมันเกิดภาพจำแล้ว ก็จะทำให้กลุ่มคนที่ไม่ fit in กับ standard ตรงนี้
ถูกมองว่าเป็นประชากรช้ันที่ต่ำกว่า ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีตัวชี้วัดด้วยซ้ำว่าการที่เรา fit in กับ standard เหล่านั้น จะทำให้
เราดูสูงส่งกว่าคนอื่น ๆ การนำเสนอข่าว ก็เช่นการ การที่ข่าวใช่คำพูดเชิงเหยียด ไม่ว่าจะเป็นชนชาติ ลักษณะ หรือ
อะไรก็ตาม มันก็ส่งเสริมการเหยียดกลุ่มคนเหล่าน้ี (รวมไปถึงชาติพันธ์ุ) เพราะคนที่ดูข่าวก็มีจำนวนมาก หลากหลาย
กลมุ่ หลากหลายวยั (ทวติ เตอร)์
มะม่วง (นามสมมติ) กล่าวว่า จากบทความปัญหาการแว้นอาจมาจากครอบครัว หรือพ่อแม่มีลูกไวทำให้เด็ก
ได้รับอิทธิมาจากพ่อแม่จนกลายมาเป็นเด็กแว้น จากมุมมองนักศึกษาสังคมสงเคราะห์อาจมองว่าเป็นการนิยัตินิยม
แต่พอคิดวิเคราะห์ดูแล้วอาจไม่ได้เป็นการนิยัตินิยมขนาดนั้น แต่อาจเป็นการสะท้อนให้เห็นได้มากกว่าว่าสภาพแวดล้อม
มันมีส่วนสำคัญมาก และนึกถึงปรากฏการณ์ที่กลุ่มคนที่ชอบแต่งรถ ส่วนใหญ่จะเป็นรถกระบะซิ่ง ก็จะตั้งชื่อลูกตาม
รถที่ตนเองชื่นชอบ หรือเมื่อมีการแข่งรถก็จะพาลูกของตนไปดูไปซึมชับ ซึ่งการทำแบบนี้ก็ไม่ได้จะทำให้เด็กโตมา
กลายเปน็ เด็กแว้นได้ แตก่ เ็ ป็นอทิ ธิพลท่สี ำคญั มาก ๆ และเปน็ ปัจจยั แรกท่ีเด็กได้ซึมซบั
มะขาม (นามสมมติ) กล่าวว่า เคยได้ฟังอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่าเหตุผลของการเป็นเด็กแว้นหรือสก๊อย
มักจะมาจากเด็กที่อยู่ในชุมชนแออัด เพราะในชุมชนแออัดจะมีบ้านขนาดเล็ก และเด็กแว้นหรือสก๊อยที่อาศัยอยู่ใน
ครอบครัวนั้นรู้สึกว่าที่ที่เค้าอยู่มันคับแคบแล้วรู้สึกไม่ได้รับอิสระจากการที่อยู่ในบ้านและช่วงเวลาที่ว่างของกลุ่มวันรุ่น
มกั จะเป็นชว่ งกลางคนื ดังนัน้ กลมุ่ วยั รนุ่ จึงพากนั ออกไปขับรถในตอกลางคืน
มะนาว (นามสมมติ) กล่าวว่า คิดว่าเป็นตัวบุคคล โครงสร้างทางสังคมต่าง ๆ ล้วนมีผลกับพฤติกรรมไม่ว่า
จะเป็นครอบครัวหรือสื่อ มันส่งผลให้เราแสดงพฤติกรรมออกมาได้ สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีพฤติกรรม
เหลา่ นน้ั
มะเฟือง (นามสมมติ) กล่าวว่า ปัจจัยเหล่าน้ีที่กล่าวมาคือปัญหาจากโครงสร้างทางสังคมหรือพฤติกรรม
ส่วนตัว ครอบครัว เพื่อน ส่ือสังคมต่างๆปัญหาจากโครงสร้างทางสังคมหรือพฤติกรรมส่วนตัวครอบครัว เพื่อน สื่อ
สังคมต่างๆ มักจะเป็นปัจจัยที่เราทำความเข้าใจกับผู้คนในสังคม ไม่โครงสร้างก็ตัวตนเขาเอง ซึ่งถ้ามองตัวตนก็อาจ
มองไดจ้ ากชว่ งวยั ซงึ่ ในแตล่ ะช่วงวัยกม็ ีความตอ้ งการทแ่ี ตกตา่ งกัน เช่น วยั รุ่น
ก็มีความต้องการที่จะเข้าแก๊งค์ เข้ากลุ่ม หรือต้องการเป็นที่ยอมรับ มีไอดอลและต้องการเลียนแบบเขาที่จะสามารถทำ
ให้เขามีตัวตนในสังคมนั้น ๆ ได้ ซึ่งถ้าหากไม่ได้มองโครงสร้าง แต่มองพฤติกรรมมนุษย์มนุษย์สามารถอ่านสังคมได้
ไม่ใช่อยู่ ๆ โดนกระทบด้วยสิ่งเล้าบางอย่างแล้วแสดงพฤติกรรมเลย ในช่วงเวลานั้นเค้าจตีความและให้ความหมายส่ิง
ที่มากระทบกับเค้าด้วย เพราะฉะนั้นมนุษย์เลือกที่จะทำพฤติกรรมแบบไหนและไม่ทำพฤติกรรมแบบไหนได้ด้วยขึ้นอยู่
กบั สง่ิ แวดลอ้ มทางสังคมที่อยูร่ อบตวั เขาดว้ ย
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 213
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
การแกไ้ ขต้องแก้ได้จากที่ไหน
ผู้ทจี่ ะเข้ามามบี ทบาทมสี ว่ นร่วมในการดแู ลควบคมุ แกไ้ ข
และบทบาทของนักสังคมสงเคราะห์
ประเด็นสุดท้ายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา บทความนี้ได้มีการสัมภาษณ์ในเรื่องของการแก้ปัญหาของเด็กแว้น
ในมุมมองของพวกเขาเอง ซึ่งบทความนี้โจอ้ีผู้ที่อยู่ในวงการมามากกว่าสิบปีได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า โจอี้ มองว่าสนามแข่ง
จะเป็นตัวดึงดูดให้เด็กแว้นทั้งหลายเข้าไปรวมตัวกันและลดเลิกการแข่งรถบนท้องถนน เพราะหากมีขึ้นอีกคนที่อยู่นอก
สนามจะถูกมองจากกลุ่มเด็กแว้นด้วยกันเองว่าผิดข้อตกลงและจะไม่ได้รับการยอมรับในที่สุด นั่นหมายถึงการ
ย้อนกลับมาสู่แนวคิดของเด็กแว้นที่ต้องการการยอมรับจากกลุ่มพวกเดียวกันและการแสดงตัวตนในสนามแข่งนั่นคือ
การจะถูกยอมรับไปโดยปริยายอย่างไรก็ตามแนวคิดการสร้างสนามแข่งเขาก็ยังมองว่าเป็นเรื่องยากตราบใดที่สังคม
ยังมองว่าเด็กแว้นคือคนมีปัญหา แล้วจะมาเรียกร้องอะไรอีกแต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งคือการสร้างทัศนคติใหม่เพื่อเป็น
การแก้ไขปัญหารว่ มกนั แทนทีจ่ ะจดั การเพยี งปลายเหตดุ ้วยกฎหมาย ที่ยังไมเ่ คยเกิดขึ้นไดจ้ รงิ (ไทยพบี ีเอส, 2562)
เหตุใดเดก็ แว้นไมใ่ ชส่ นามแข่งขนั มาตรฐานประลองความเรว็
ในอดีตมีผู้เสนอวิธีการแก้ปัญหาเด็กแว้นว่า ภาครัฐควรจัดให้เด็กแว้นประลองความเร็วในสนามแข่งรถ
มาตรฐานและมีอปุ กรณป์ อ้ งกนั อันตราย แตแ่ นวคดิ ดังกลา่ วถูกปฏเิ สธจากกลมุ่ เด็กแว้น คำถามคือ เหตุใดเด็กแวน้ จึง
ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวหากพิจารณาจากทฤษฎีวัฒนธรรมย่อย (subculture) และกิจกรรมท้าความตาย
(edgework) ดังกล่าวข้างต้น อาจตอบได้ว่า วัฒนธรรมย่อยการประลองความเร็วของเด็กแว้นมีลักษณะต่อต้าน
(resistance) แบบแผนการดำเนินชีวิตท่ีดีของคนส่วนใหญ่ในสังคม จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เด็กแว้นจะไมย่ อมรับ
แนวคิดดังกล่าว ส่วนข้ออ้างเรื่องของความปลอดภัยไม่เป็นที่ยอมรับของเด็กแว้นเช่นกันเพราะเด็กกลุ่มนี้เชื่อในความ
ไม่ตาย รวมทั้งเชื่อว่าการขับรถด้วยความเร็วสูงโดยปราศจากอุปกรณ์ป้องกันอันตรายเป็นเรื่องความสามารถ
เฉพาะตัว คนที่ประสบอุบัติเหตุคือ คนที่ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ดังนั้น แนวคิดเรื่องการประลองความเร็วใน
สนามแขง่ ขนั จงึ ไมไ่ ด้รับความสนใจจากเดก็ แวน้ (สกุลยชุ หอพิบลู
สุข, และ ณัฏฐริ า หอพิบูลสขุ , 2555)
จากการแลกเปลี่ยนการสัมมนาสัปดาห์ที่ 5 หัวข้อ : เด็กแว้น สก๊อย เวลา 10.00 - 12.30 น. วันที่ 26 ตุลาคม
2564 ในหอ้ งเรยี นออนไลนม์ ีการแลกเปลีย่ นในประเด็นดังกล่าว ดังนี้
มะพร้าว (นามสมมติ) กล่าวว่า จากการร่วมแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ ในชั้น มีจุดนึงที่ทำให้คิดว่าการแก้ปัญหา
ด้วยการจัดพื้นที่ให้เขาเป็นสัดส่วนเป็นกิจจะลักษณะจะเป็นการแก้ปัญหาได้จริงรีเปล่า เพราะว่ามันจะเหมือนเป็นการไป
ทำลายวัฒนธรรมกลุ่มของเขาหรือเปล่า เพราะว่ากลุ่มคนเหล่านี้แบบเขามีวัฒนธรรมมาตั้งแต่หลายสิบปีมาแล้ว ท่ีต้อง
โลดแล่นบนถนน แต่ว่าพอเห็นบทความ ก็มองว่าคุณโจอี้ก็พูดมีเหตุผล เพราะว่าคือต้องยอมรับว่าการเปิดพื้นที่ให้กับ
กลุ่มบางกลุ่มที่ไม่เคยถูกยอมรับในสังคมมันอาจจะเป็นเออเป็นตัวแปรสำคัญก็ได้ที่ทำให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลง
เกิดขึ้นจริง แต่ว่าสิ่งที่เราต้องยอมรับหรือว่าต้องคำนึงผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างขนาด
ใหญ่ท่ีมนั ต้องใช้เวลาแล้วกใ็ ชค้ วามเข้าใจ
มะกรูด (นามสมมติ) กล่าวว่า อยากแลกเปลี่ยนคือในงานพัฒนาเคยได้ยินอาจารย์ หรือวิทยากรเคยมาให้
ความรู้เกี่ยวกับเด็กแว้นกับความวุ่นวาย คือเขาเปลี่ยนจากเด็กแว้นหรือสก๊อย จากที่ขับรถบนถนนหรือชอบขับรถซ่ิง
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 214
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
เขาก็จะรู้สถานที่ต่าง ๆ ในชุมชนที่เกิดความเสียหาย เช่น เสาไฟฟ้าไม่ติด เขาก็จะรู้ทุกจุด คือ เป็นปัญหาที่เขาทราบโดย
คนอื่นนั้นไม่เคยสังเกตเลย นักพัฒนาคนนี้เขาก็เลยดึงเด็กเด็กแว้นให้ขับรถไปแล้วก็ดูว่าเสาไฟไหนในชุมชนที่ติดบ้าง
ไม่ติดบ้าง แล้วก็มาแจ้งเพื่อให้แก้ไขซ่อมแซมปรับปรุง เพื่อความปลอดภัยของคนในชุมชนด้วย แล้วในงานเทศกาลก็จะ
ให้กลุ่มเด็กแว้นหรือกลุ่มเยาวชนไปไปโบกรถ ส่วนผู้หญิงก็รวมกลุ่มกันไปฟ้อนไปรำ หรือไปทำการแสดงต่าง ๆ ที่มัน
สร้างสรรค์
มะไฟ (นามสมมติ) กล่าวว่า ถ้าสมมุติว่าเขามีพื้นที่ในการปล่อยของ เขาก็จะมีพื้นท่ีในความคิดการคิด
สร้างสรรค์ในมุมของเขาเองที่เขาต้องการ จะยกตัวอย่าง คือโมเดลของบุรีรัมย์เมื่อประมาณหกปีก่อนที่จัดให้เด็กแว้น
มาแขง่ กนั ท่ีสนามชา้ งอารีนาแต่ท่ีมนั เป็นสนามแข่งรถ เพอ่ื แก้ปัญหาไม่ใหเ้ ขาไปวนุ่ วายตามถนนในยามค่ำคืน
อีกทั้งสภาพสังคมปัจจุบันวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่เรียนไม่เก่งมักจะถูกผู้ใหญ่ตีตราว่า "มีปัญหา" ทำให้เด็กรู้สึกไม่มี
ความสุข ไม่ได้รับการยอมรับ จนต้องพยายามหาทางปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองโดยทำกิจกรรมที่ท้าทาย หรือเข้า
ไปเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อแสวงการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน เมื่อเด็กก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ในด้านงานป้องกัน
หรือให้ความรู้นักสังสงเคราะห์ควรมีบทบบาทในการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเด็กในแต่
ละช่วงวัย พร้อมกับการทำงานร่วมกับทีมแพ ทย์ผู้เชียวชาญหรือนักจิตวิทยา ที่ต้องทำงานร่วมกับคุณครูในโรงเรียน
หรือพ่อแม่ผู้ครองให้ได้รับความรู้ในเร่ือง สมองส่วนเหตุผลคิดแก้ปัญหายังอยู่ระหว่างการพัฒนา ควรฝึกให้เด็ก
แก้ปัญหา เพอื่ ให้เด็กสามารถคิดชบั ซ้อนแก้ปัญหาไดเ้ ต็ม
ศักยภาพ การเข้าร่วมกิจกรรมหรือเข้าค่ายเป็นการจัดปรับกลไกหลายอย่างทั้งความคิด พฤติกรรมความสามารถ
กลุ่มสังคม เพราะจะเป็นการฝืนสิ่งที่อยากทำในช่วงแรก และจะดึงความสามารถศักยภาพออกมาเพื่อทำให้ได้ผู้ใหญ่ให้
การยอมรับและช่ืนชม ส่วนการฟื้นฟูวัยรุ่น ต้องเป็นสัมพันธภาพที่สบาย ๆ แนะนำสิ่งใหม่ ๆ ให้วัยรุ่น ให้เกิดความ
ตระหนักว่าทุกความสามารถที่เพิ่มขึ้นคือการเรียนรู้ทั้งหมด ทำให้เด็กคดิ ไตร่ตรองจากการใช้ตนเองเป็นฐาน และพบว่า
ความสามารถของเขาเพิ่มขึ้นมีคนยอมรับ ทำให้การคิดตัดสินใจต่อชีวิตของเขาเปลี่ยนไป พฤติกรรมก็จะเปลี่ยนไปด้วย
ตวั เขาเอง
รวมไปถึงการทำงานของนักสังคมสงเคราะห์ที่จะต้องทำงานร่วมกับทางภาครัฐในการสนับสนุนการกำหนด
หลักสูตรการเรียนการศึกษาที่หลากหลายตรงต่อความต้องการเด็ก ที่มีความคิดแปลกใหม่ สร้างสรรค์และ
หลากหลายมากขึ้นในทุกๆวัน การกำหนดหลักสูตรในการเน้นให้เด็กลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ตนเองสนใจโดนในบางครั้ง
อาจไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบเสมอไป การเห็นสำคัญของพื้นที่การเล่น พื้นที่การแสดงความสามารถที่เพียงต่อกลุ่ม
เด็กในวัยอยากรู้อยากลอง ภายใต้การดูแลและเอาใจใส่จากคนในชุมชนและสังคม เพื่อทำให้เกิดการยอมรับในศักยภา
ของกลุม่ เดก็ ในทกุ ชว่ งวยั โดยเฉพาะวัยร่นุ ท่มี กั โดยสังคมมองในททางที่คอ่ นข้างมอี คตอิ ยู่เสมอ
การที่นักสังคมสงเคราะห์จะต้องทำงานร่วมกับผู้รักษากฎหมายในการออกกฎการปฏิบัติตนบนท้องถนนอย่า
เครง่ ครัด และการควบคมุ ดูแลร้านที่ รบั ซ่อมรถจกั รยานยนตใ์ นพื้นที่ต่างๆ ในปฏบิ ัติตามในส่ิงทีก่ ฎหมายกำหนด
ซึ่งสิ่งยังทำได้น้อยและยังคงเป็นไปได้ค่อนยาก คือการรับฟังความเห็นของทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ที่ต้องการจัด
ระเบียบความสงบของบ้าน ผู้ที่ควบคุมดูแลรับผิดชอบเด็กและเยาวชน กับ กลุ่มเด็กและเยาวชน รวมไปถึงเด็กแว้น
หรือสก๊อยที่เกิดขึ้นในสังคม ในการจัดเวทีรับฟังสิ่งที่ต่างๆฝ่ายต่างต้องการ เนื่องการจัดการแก้ไขปัญหาในปัจจุบันนี้
หลายสิ่งยังเป็นเพียงการกำหนดตามบริบทท่ีสังคมต้องการและเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี โดยไม่รับฟังความเห็นของทั้งสอง
ฝ่าย และสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดมาจากการแก้ปัญหาท่ีปลายเหตุทั้งสิ้น ดังนั้นหากทั้งคมยอมรับฟังสิ่งที่ตนเองต้องการทั้ง
สองฝ่าย ยอมรับให้เกิดข้อตกลงในการจัดการเพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งสองฝ่าย อาจะเกิดแนวทางในการ
แก้ไขปญั หาเกี่ยวกบั เรอื่ งทเ่ี กดิ ข้ึนไดไ้ มม่ ากกน็ อ้ ย
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 215
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บรรณานุกรม
ชวิตรา ตันติมาลา. (2556). "ภัษส๊ ก๊อยป"์ (ภาษาสก๊อย) : วฒั นธรรมอบุ ตั กิ ารณ. เรยี กใชเ้ ม่ือ 14 พฤศจกิ ายน 2564
จาก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/15175
ณัฐมน สะเภาคำ. (16 มิถนุ ายน 2564). ความปรารถนาใหมข่ องวยั รุ่นสก๊อย ในยคุ ทนุ นยิ มและความทันสมัยลน่ื ไหล.
(1), 50-51. เรยี กใช้เมอ่ื 16 พฤศจกิ ายน 2564 จาก วารสารจุดยืน:
https://wsc.soc.cmu.ac.th/journal/issue_upload/0.77422200-1625046361.pdf
ดร. พรรณรตั น์เกรียงวัฒนา. (ม.ป.ป.). เรยี กใชเ้ มอ่ื 20 พฤศจิกายน 2564 จาก
http://elibrary.constitutionalcourt.or.th/document/read.php?bibid=11819&cat=4&typ=4&file=IS
6D 610626.pdf
ไทยพี่บเี อส. (28 กรกฎาคม 2562). "วถิ เี ดก็ แวน้ " มองจากคนใน ไมใ่ ช่สรปุ จากคนนอก. เรียกใช้เมอ่ื 20 ตลุ าคม
2564 จาก https://news.thaipbs.or.th/content/282125
พิเชฐ ยง่ิ เกียรติคุณ. (15 เมษายน 2555). วา่ ด้วย "อารยธรรมเดก็ แวนซ"์ กับการ stereotype ของชนช้ันกลาง.
(ประชาไท) เรยี กใชเ้ มื่อ 14 พฤศจกิ ายน 2564 จาก ประชาไท:
https://prachatai.com/journal/2011/04/34054
สกุลยุช หอพบิ ูลสุข, และ นางณฏั ฐริ า หอพิบลู สขุ . ( 2555. เดก็ แว้นกับเด็กสกอ็ ย. วารสารสำนักวิชาฎหมาย
(Subculture of street racing), 42.
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 216
การเรยี นออนไลน์ในเด็กปฐมวยัคณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
ศภุ วชิ ญ์ เจตานนท์ 6105700329
พภิ ัช พงษ์พพิ ฒั น์ 6105700097
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 217
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
คำนำ
รายงานเล่มนี้จัดทำขั้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา คด369 การสัมมนาเด็ก เยาวชนและครอบครัว โดยมี
จุดประสงค์เพ่ือการสัมมนาในหัวข้อ กาเรียนออนไลน์ในเด็กปฐมวัย ซึ่งรายงานฉบับนี้ เป็นการสัมมานารูปแบบ การ
เรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมไว เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนในชั้นเรียนและอาจารย์ โดยในการ
สัมมนาครั้งนี้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัย และ วิธีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอน
ของคุณครูและอาจารย์ในชั้นเรียนให้สามรถตอบสนองต่อพัฒนาการของกลุ่มเด็กปฐมวัยได้มาที่สุดในรูปแบบการ
เรียนออนไลน์ และ สามรถเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของกลุ่มเด็กปฐมวัยที่ใกล้เคียงกับการเรียนใน
รูปแบบปกตไิ ดม้ ากทสี่ ุด
ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังสนใจในเรื่องของการ
เรียนออนไลนใ์ นกลมุ่ เดก็ ปฐมวยั วยั หากมีขอ้ แนะนำหรอื ขอ้ ผิดพลาดประการใด ผจู้ ัดขอน้อมรบั ไวแ้ ละขอภยั มา ณ ทนี่ ้ดี ว้ ย
คณะผ้จู ดั ทำ
นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศนู ย์ลำปาง
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 218
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
1.บทที่ 1 ท่มี าและความสำคญั
จากการแพร่ระบาดของโรค โควิด 19 มีผลกระทบทางการศึกษากับกรศึกษาอย่างมากสำหรับเด็กนักเรียน
อนุบาล หรือประถมศึกษาที่อยู่ในวัยประถมวัย การเรียนการสอนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใชผ้ ู้ปกครองพ่อแม่ที่อยู่ที่บ้าน
ช่วยเรื่องการเรียนการสอนในระยะนี้ และจะเกิดขึ้น อีกหลายเดือน สำหรับในประเทศไทย ในช่วงการระบาดช่วงแรก
เป็นช่วงปิดเทอม ซึ่งนับว่าโชคดี แต่ก็มีการเลื่อนเปิดเทอมออกไปได้ระยะเวลาหนึ่ง ช่วงแรกจึงเป็นช่วงปรับเปลี่ยน
วิธีการ ช่วงเวลาท่ีทุกคนอยู่บ้าน ผู้ปกครองทุกคน ก็จะมีหน้าท่ี เป็นครูสำหรับเด็กด้วยในเวลาเดียวกัน เพื่อให้การเรียน
การสอนของเด็ก ไม่ติดขัด และยังในภาคการศึกษาแรกของปีที่จะมาถึง ยังไม่แน่ว่านักเรียนจะไปโรงเรียนได้ทุกคน
อาจต้องสลับกันไป เพื่อลดความหนาแน่น ทุกคนจะต้องช่วยกัน เพื่อไม่ให้การศึกษาของเด็กไทย ต้องหยุดหรือขาด
ตอนไป มีการใช้ระบบการศึกษาทางไกลต่าง ๆ เข้ามาช่วย เช่น ระบบ DLTV การเรียนการสอนผ่านทีวี ใช้ระบบออนไลน์
ผ่านintenet เปลี่ยนการเรียนการสอนแบบการผสมตามความเหมาะสมของแต่ละโรงเรียน โดยมีการเตรียมการและ
ทดลอง เพือ่ ใหเ้ กดิ การปรับตวั กอ่ นเปดิ ภาคเรยี น
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ไม่ใช่รูปแบบการศึกษาเดียวที่ถูกกำหนด เพราะตามแนวทางของ
กระทรวงศึกษาธิการนั้น ได้กำหนดรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ โรงเรียนสามารถดำเนินการได้ถึง 5 แบบ ได้แก่
On-site On Air On Demand Online และ On-Hand ซึ่งสถานศึกษาแต่ละแห่งสามารถเลือกใช้แนวทางให้เหมาะสม
กับสถานการณ์และบริบทของสถานศึกษานั้น ๆ แต่ส่วนใหญ่ก็มักที่จะเลือกใช้การจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ควบคู่
กับ การจัดส่งใบงาน หนังสือ และแบบฝึกหัดให้นักเรียนได้เรียนรู้ที่บ้าน (On-Hand) ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีความเป็น
รูปธรรมและแสดงให้เห็นถึงการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนได้มากกว่า แม้ว่าบางครั้งอาจไม่เหมาะสมกับบริบท
ของนักเรียนในสถานศึกษานั้น ๆ ซึ่งในระดับอุคมศึกษาและมัธยมศึกษา การเรียนออนไลน์อาจไม่ใช่ปัญหา แต่ที่น่าเป็น
ห่วงที่สุดคงหนีไม่พ้นระดับการศึกษาปฐมวัย เพราะเป็นปฐมวัยไม่จำเป็นต้องเรียนออนไลน์เท่าการได้ออกไปเล่นข้าง
นอก ธรรมชาติในการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยนั้น พวกเขาจะเรียนรู้ด้วยประสาทสัมผัสผ่านการเล่นทั้งในร่มและ
กลางแจ้ง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาเส้นประสาทในสมองและก่อรูปเป็นวงจรที่มากพอให้พวกเขาเติบโตและเอาไว้
ใช้ไปตลอดชีวิต รวมถึงเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคมและสติปัญญา อีกด้วย ซึ่ง
การเรียนออนไลน์เพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถที่จะส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีในทุกส่วนได้ หลายครอบครัว มี
ลูกหลานหลายคนที่อยู่ในวัยเรียน และด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง มันจึงเป็นภาระอย่างมากในการจัดหาอุปกรณ์ในการ
เรียนออนไลน์ให้ลูกหลานครบทุกคน ด้วยเหตุนี้พวกเขาส่วนใหญ่จึงมักให้ความสำคัญกับการเรียนของนักเรียนในชั้นที่
สูงกว่า ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าในระดับปฐมวัย และเมื่อเทียบกับระดับการศึกษาอื่น ๆ เด็กปฐมวัยนั้นต้องได้รับ
ความช่วยเหลอื อย่างมากในการเรียนออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการใช้อุปกรณ์ ร่วมไปถึงการกำกับดูแลตัวเองให้
สนใจสง่ิ ท่ีกำลงั เรยี นรมู้ นั จึงเป็นเสมือนภาระทีเ่ พมิ่ ขึน้ ของผูป้ กครองในการดแู ลเรื่องดงั กล่าวระหวา่ งทเ่ี ด็กกำลังเรยี น
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำให้การเรียนออนไลน์สำหรับเด็กปฐมวัยนั้นอาจไม่ใช่ความจำเป็นและทางออกที่ดีนัก
ในการส่งสริมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย แต่อย่างไรก็ดี การที่ครูอนุบาลมีโอกาสพบปะเด็ก ๆ ในบางโอกาส อาจเป็น
เรื่องที่เหมาะสมและควรทำ แม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากการเรียนออนไลน์บางเวลาในแต่ละวัน หรือเพียงไม่ก่ี
วันในหนึ่งสัปดาห์ อาจช่วยให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครูผู้สอนมากขึ้น นอกเหนือจากคนในครอบครัว มันจึง
เปน็ ประโยชน์อย่างมากตอ่ พัฒนาการทางสงั คมของเดก็ ปฐมวัย ท่ามกลางสถานการณ์ทร่ี ุนแรงนี้
นอกจากนี้การที่ครูผู้สอนเข้าถึงเด็ก ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและทุ่มเทของ
ครูผู้สอน และเป็นเสมือนการแสดงผลลัพธ์ที่ชัดจนให้กับการประเมินของผู้ปกครอง รวมถึงยังสามารถใช้เป็นช่องทาง
ในการสอ่ื สารและใหค้ ำแนะนำกบั ผูป้ กครองในการส่งเสริมการเรยี นรใู้ หก้ บั เด็กทบ่ี า้ นไดอ้ กี ดว้ ย
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 219
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการเรียนออนไลน์จะมีประโยชน์กับเด็กปฐมวัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ควรที่จะใช้วิธีการน้ีนานเกินไป
โดยในหนึ่งวันอาจใช้เวลาเล็กน้อยเพียง 30 นาที สำหรับการส่งเสริมการเรียนรู้ และไม่ควรเป็นกิจกรรมที่สร้าง
ความเครียดให้กับเด็ก ซึ่งครูผู้สอนอาจจะใช้การเล่านิทาน ร้องเพลง หรือเล่นเกมการศึกษาต่าง ๆ เพื่อดึงดูดความ
สนใจของเด็ก และทำให้เด็กสนุกกับการเรียนออนไลน์ ส่วนเวลาที่เหลือนอกเหนือจากนี้ก็ควรให้เด็กทำกิจกรรมอย่าง
อิสระกับครอบครัว โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการบังคับหรือให้การบ้านจำนวนมาก เพราะการเรียนรู้ที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก
ปฐมวัยคือการเล่น ซึ่งครูผู้สอนอาจจะแนะนำกิจกรรมต่าง ๆ ให้ผู้ปกครอง ไปทำร่วมกันนักเรียน ได้ ซึ่งจะช่วยให้เด็กมี
การพัฒนาที่ดีขึ้น และยังช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วยแม้ว่าการเรียนออนไลน์สำหรับเด็กปฐมวยั อาจ
ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียวครูผู้สอนจึงสามารถใช้วิธีการในนี้ในการส่งเสริมการเรียนรู้ให้
เดก็ ได้ เพียงแต่ต้องใช้ให้เป็น และคำนึงถงึ ธรรมชาติของเด็กเป็นสำคญั
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 220
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทที่ 2 แนวคดิ ท่ีเกยี่ วขอ้ ง
เด็กปฐมวัย คือ เด็กที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 3-6 ปี ถือเป็นช่วงที่สำคัญของชีวิต ถือเป็นวัยที่เด็กจะมี
พัฒนาการให้ด้านต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว " ปฐมวัย " เป็นช่วงวัยทองของชีวิต เพราะการวางรากฐานที่มั่นคงส่งผลให้
เติบ โตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมี คุณภาพในวันข้างหน้า สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ส่งผลให้มนุษย์ดำรงชีวิต และเจริญเติบโต ในแต่
ละช่วงวัยของชีวิต มนุษย์ ล้วนแล้วแต่มีความสำกัญน้อยไปกว่ากัน เพราะแต่ละช่วงวัยต่างก็มีบทบาทต่อการดำเนิน
ชีวิต ของบุกคล ที่ก้าวต่อเพื่องานไปตั้งแต่เกิดจนถึงวัยชรา ซึ่งแต่ละขั้นตอนหรือในแต่ละวัชนั้น จะมี ลักษณะเฉพาะ
ของวัย สำหรับในวัยต้น หรือระยะปฐมวัย การจัดการศึกษาปฐมวัยเริ่มมีขึ้น โดยมีบุคคลที่มี ความคิดริเริ่มในประเทศ
ต่างๆ ได้วางรากฐานการจัดการศึกษาระดับน้ี โดยเส็งเห็นความสำคัญของการ เจริญเติบโตของเด็ก และปัญหาการ
อบรมเลี้ยงดู ซึ่งในการเรียนรู้ของเด็กได้อาศัยความเข้าใจในธรรมชาติและ สิ่งแวคล้อมของเด็กเป็นความสำคัญ
นักจิตวิทยา และนักการศึกษา ต่างให้ความสนใจที่จะศึกษาหรือหาวิธีการที่ จะทำความเข้าใจถึงลักษณะเฉพาะของวัยน้ี
ด้วยเหตุที่ว่าเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิต เป็นวัยที่เริ่มต้นแห่ง พัฒนาการด้านต่างๆ ขณะเดียวกันได้มีการ ศึกษาวิจัยที่มีข้อ
ค้นพบว่า ถ้าเด็กวัยนี้ได้รับการเตรียมตัวหรือวาง พื้นฐานด้านพัฒนาการ ไว้ดีและเหมาะสม หมายถึงว่าเด็กได้รับการ
วางรากฐานชวี ติ ทม่ี นั่ คงต่อไป
ความหมายของเดก็ ปฐมวยั
เด็กปฐมวัย คือเด็กอายุ 3-5 ปีพัฒนาการเค็กในแต่ละช่วงอายุอาจเร็วหรือช้ากว่าเกณฑ์ที่กำหนด ไว้และการ
พัฒนาจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ถ้าสังเกตพบว่าเด็กไม่มีความก้าวหน้าอย่างชัดเจนต้องพาเด็กไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
หรือแพทย์เพื่อช่วยเหลือ และแก้ไขได้ทันท่วงทีเอาว่าผมขอเอาเรื่องพัฒนาการในทุกด้านอันประกอบด้วยด้านร่างกาย,
ดา้ นอารมณ์และจิตใจ, ด้านสังคม, และดา้ นสตปิ ัญญา เปน็ อนั วา่ ครบทกุ ด้านเดก็ ปฐมวยั จัดอยู่ในระยะวัยทองของชวี ติ
โดยเฉ พาะ 3 ปีแร ก เป็นจังหวะ ทองของการ สร้างเสริมพัฒนาการเด็ก เป็นการวางรากฐานของการพัฒนาความ
เจริญเติบโตทุกด้าน โดยเฉ พาะทางด้านสมอง เพราะสมองเดิบโต และพัฒนาเร็วที่สุด ดังนั้นการอบรมเลี้ยงดูในช่วง
ระยะนี้มีผลต่อคุณภาพของคนตลอดชีวิตสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติได้ศึกษาองค์ความรู้จาก
ต่างประเทศเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย และการพัฒนาสมอง ที่สนับสนุนให้เห็นความสำคัญของการพัฒนาเด็ก
ในช่วงวัยเริ่มแรกของชีวิต เช่น การพัฒนาสมอง ซึ่งพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงวัยนี้บทบาทของพ่อแม่ในการส่งเสริม
การพัฒนาเด็กปฐมวัย กระบวนการเรียนรู้ ของเด็กปฐมวัย การพัฒนากระบวนการคิด แนวคิดนวัตกรรมในการจัด
การศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย (แนวการ เรียนรู้ภาษาอย่างธรรมชาติแบบองค์รวม แนวคิดมอนเตสซอรี่แนวคิดไฮสโกป
แนวคดิ วอลคอรฟ์ แนวคดิ เรกจิ โอ เอมเิ ลีย) ตลอดจนมาตรฐานการเลี้ยงดเู ด็กปฐมวยั
หลักสูตรการศกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 (กรมวิชาการ, 2546, หน้า 3) เด็กตั้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุ
6 ปี ซึ่งในช่วงอายุดังกล่าวนี้สามารถแยกออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มวัยทารก หมายถึงเค็ก อายุ 0 - 3 ปีและวัยเด็ก
ตอนต้น คือกลุ่มเด็กอาย 3 - 6 ปี ส่วนในเอกสารการสอนชุดวิชา การฝึกอบรมครูและผู้เกี่ยวข้องกับการอบรมเล้ียงดู
เด็กปฐมวัย ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2533, หน้า 10) ได้ระบุว่า เด็กปฐมวัยหมายถึง เด็กที่อยู่ในช่วงอายุ
ระหว่าง 3 - 5 ปี ซึ่งเป็นระยะที่เด็กกำลัง เจริญเติบโต สามารถพึ่งตนเองได้บ้างแล้ว เด็กในวัยนี้มักจะต้องการเป็น
อิสระและต้องการทดลอง ความสามารถของตนเอง ซึ่งส่วนมากจะผ่านขั้นตอนพัฒนาการมาบ้าง ทั้งด้านร่างกาย
อารมณ์ สังคม และ สติปัญญา เด็กปฐมวัยนี้บางครั้งอาจเรียกได้ว่าเป็นเด็กที่อยู่ในวัยก่อนเรียน ซึ่งคำท้ัง 2 คำนี้
สามารถใช้ แทนกันได้ เด็กปฐมวัย คือ เด็กที่มีอายุตั้งแต่ปฏิสนธิถึง 6ปีบริบูรณ์ การอบรมและเลี้ยงดูแก่เด็กปฐมวัยมี
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 221
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการการเรียนรู้ในสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ค้าน
จากบิดา มารคา คนรอบข้างและสิ่งแวคล้อมซึ่งจะส่งผลให้เกิดพัฒนาการที่เป็นรากฐานของ บุคลิกภาพ อุปนิสัย และ
การเจริญเดิบ โตทั้งทางร่างกายและจิตใจ สมอง สติปัญญา ความสามารถ เพราะเด็กในช่วงตั้งแต่ ปฏิสนธิในครรภ์
แม่จนถึง 4 ปีระบบประสาทและสมองจะเจริญเติบโตในอัตราสูงสุด (ประมาณ 80 % ของ ผู้ใหญ่) การอบรมปลูกฝัง
สร้างเสริมพัฒนาการทุกด้านให้แก่เด็กปฐมวัยได้เจริญ เติบ โตเต็มศักขภาพในช่วงอายุ น้ีจะเป็นรากฐานที่ดีจะให้เขา
เติบโตเป็นเยาวชนและพลเมืองที่ดีเฉลียวฉลาด คิดเป็น ทำเป็น และมีความสุข เด็กปฐมวัยจะมีชีวิต รอดและเติบโตได้ก็
ด้วยการพึ่งพาพ่อแม่ และผู้ใหญ่ที่ช่วยเลี้ยงดูปกป้องจากอันตราย หากผู้ใหญ่ให้ความรักเอาใจใส่ใกล้ชิดอบรมเลี้ยงดู
โดยเข้าใจเด็กพร้อมจะ ตอบสนองความต้องการพื้นฐานท่ี เปลี่ยนไปตามวัยได้อย่างเหมาะสมให้สมคุลย์กันทั้งค้าน
ร่างกาย จิตใจ อารมณ์สติปัญญา และสังคมแล้ว เด็ก จะเติบโตแข็งแรง แจ่มใส มีความมั่นคงทางใจ รู้ภาษา ใฝ่รู้และ
ใฝ่ดพี ร้อมที่จะพัฒนาตนเองในขัน้ ต่อไป ให้ เปน็ คนเกง่ และคนดอี ยูใ่ นสงั คมได้อยา่ งเป็นสุขและมีประโยชน์
ปฐมวัยหรือช่วงขวบปีแรกๆ ของชีวิต เป็นช่วงเวลาของการพัฒนาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเด็ก โดยเป็นช่วง
วัยที่เด็กจะมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วทั้งทางสมอง การใช้ภายา ทักษะทางสังคม ทางอารมณ์ และการเคลื่อนไหว เป็น
ช่วงวัยของการสร้างรากฐานสำหรับการเติบ โตและการเรียนรู้ต่อไปในชีวิต ดังนั้น การพัฒนาและการลงทุนในเค็ก
ปฐมวัย จงึ เป็นสิ่งสำคญั อันดบั ตน้ ๆ ของทุกครอบครัวและประเทศชาติ เพราะเป็นโอกาสทองครงั้ เดียวในชวี ิตเด็ก
ลกั ษณะพฒั นาการของเดก็ ปฐมวัย
พัฒนาการในขั้นต่าง ๆ ของชีวิตนั้น จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามวัยและความสามารถ ของแต่ละ
บุคคล จึงทำให้พัฒนาการในแต่ละช่วงชีวิตมีความแตกต่างกัน ฮาวิคเฮอร์ท (Havighurst) นักจิตวิทยาท่านหนึ่งได้
กล่าวว่าเด็กปฐมวัยที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปีลักษณะของความสามารถที่ เด่นชัดของเด็กปฐมวัยนี้ควร
ประกอบดว้ ย
1. ความสามารถในการเรยี นรู้ทจ่ี ะเดนิ
2. ความสามารถในการท่จี ะรับประทานอาหารที่เปน็ ของแข็งได้
3. ความสามารถในการเรียนรทู้ จี่ ะพดู
4. ความสามารถในการที่จะเรียนรกู้ ารควบคุมการขจัดของเสียออกจากรา่ งกาย
5. ความสามารถในการเรยี นรู้ความแตกตา่ งระหว่างเพศ
6. ความสามารถและ ประสบผลสำเรจ็ เก่ียวกับการพฒั นาการทางดา้ นรา่ งกายในดา้ นการทรงตัว ได้
7. ความสามารถในการสรา้ งความคดิ และรบั รู้สภาพทางสงั คม รวมทง้ั ลกั ษณะทางร่างกายของ ตนเองได้
อยา่ งถกู ต้องตรงตามความเป็นจรงิ
8. ความสามารถเรียนรใู้ นการทีจ่ ะนำเอาความรู้สึกของตนไปสัมพนั ธก์ บั ความร้สู ึกของบิดา มารดาและพ่นี อ้ ง
หรอื บุคคลอ่ืน ๆ ได้อยา่ งเหมาะสม
9. ความสามารถเรยี นรู้ในสิง่ ผดิ และสิง่ ถูก มีความสำนึกและมพี ฒั นาการทางด้านความคดิ อย่าง มเี หตุผล
อย่างไรกต็ าม ลกั ษณะพฒั นาการของเด็กปฐมวัยยังสามารถกล่าวได้ในแตล่ ะดา้ น ดังนี้
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 222
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
1. ลกั ษณะพัฒนาการและความสามารถทางรา่ งกาย
เด็กวัยนี้ชอบเคลื่อนไหว มีความกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว ว่องไว ไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย กล้ามเนื้อของเด็กวัยนี้
เจริญอย่างรวคเร็ว แต่กล้ามเนื้อใหญ่จะเจริญมากกว่ากล้ามเนื้อย่อย การประสานงาน ระหว่างกล้ามเนื้อมือและตายัง
ไม่ดีนัก ยังไม่สามารถควบคุมมือและนิ้วให้เขียนหนังสือได้และยังไม่สามารถ บังคับให้เพ็งมองวัตถุเล็ก ๆ ได้นอกจากน้ี
กระดูกยงั ไม่แขง็ แรงพอ เช่น กระดกู กระโหลกศรี ษะ เป็นตน้
อัตราพัฒนาการระหว่างเด็กหญิงกับเด็กชายจะไม่เท่ากัน ในระยะนี้เด็กหญิงจะพัฒนา เร็วกว่าเด็กชายในทุก
ๆ ด้าน โดยเฉพาะการพฒั นากลา้ มเน้อื ยอ่ ย เด็กชายจะชา้ กวา่ เด็กหญิงในการทำกิจกรรมและอุปกรณต์ า่ ง ๆ
ความถนดั การใช้มือของเดก็ พอจะสังเกตไดแ้ ลว้ โดยส่วนใหญ่เด็กจะถนัดมือขวาแต่ บางคนถนดั มอื ซา้ ย
2. ลักษณะพฒั นาการทางอารมณ์
เด็กปฐมวัยจะแสดงออกทางอารมณ์อย่างเปีดเผยเป็นอิสระ และมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้ง อารมณ์พอใจ หรือไม่
พอใจ ลักษณะพัฒนาการทางอารมณ์ โดยสรปุ ไดแ้ ก่
อารมณ์รัก เด็กในวัยนี้จะรักหรือชอบคนที่ตามใจให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการ ชอบคนที่ให้ ความสนุกสนาน
เป็นเพื่อนเล่นด้วย โดยเฉพาะคนที่ให้ของขวัญหรือของเล่นแก่ตน เด็กแสดงอารมณ์รักด้วย การกอดและจูบ
นอกจากน้เี ด็กจะรักและภูมใิ จพ่อแมข่ องตน
อารมณ์ที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็น เด็กในวัชนี้ช่างซักถาม เพราะเริ่มรู้จักใช้เหตุผล จึงอยากรู้อยากเห็น
พ่อแม่หรือครูไม่สนใจเด็กจะรู้สึกว่าผู้ใหญ่ไม่พอใจ จะค่อยๆหยุดนิสัยอยากรู้อยาก เห็นนั้น และกลายเป็นเด็กที่มี
พฤตกิ รรมนิง่ เฉขในทส่ี ุด
อารมณ์ โกรธ เด็กอาจแสดงอารมณ์ โกรธ โดยการร้องกรี๊ด เตะถีบ ทุบตีต่อสู้เมื่ออายุ เพิ่มขึ้น จะแสดงออก
ด้วยคำพูด แทนการแสดงออกด้วยกำลังกาย ลักษณะท่ีแสดงให้เห็นอีกอย่างหนึ่งของเด็ก ในวัยนี้คือ ถ้าโกรธหรือไม่
พอใจจะแยกตัวออกจากเพ่ือน การแสดงออกทางอารมณ์ โกร ธ ของเด็กอาจสรุปได้ 3 ลักษณะ คือ (1) แสดงอารมณ์
โกรธออกมาอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย เช่น การร้องกรี๊ด ดิ้นไปดิ้นมา กลั้นลมหายใจ (2) แสดงอาการต่อต้านด้วยคำพูด
และทำท่าทาง (3) แสดงอารมณ์ โกรธแกแ้ ก้น เช่น กดั ขว่ น หยกิ เปน็ ต้น
อารมณ์อวดดีเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นมากพอกับอารมณ์ โกรธ เด็กจะแสดงอารมณ์ด้วย ความดื้อรั้น เช่น อยาก
อาบน้ำเอง รับประทานอาหารเอง ใส่รองเท้าเอง เป็นต้น ผู้ถูกบังคับ เด็กจะแสดง พฤติกรรมนิ่งเฉย ไม่โด้ตอบ ทำเป็น
ไมไ่ ดย้ นิ คำขอรอ้ งของพอ่ แม่หรอื ครูหรอื ไม่เอาใจใสแ่ สร้งทำให้ช้า
อารมณ์อิจฉาริษยา เด็กในปฐมวัยมักจะมีอารมณ์อิจฉาริษยา ซึ่งมักจะเริ่มจากพ่อแม่ โดยอาจจะเนื่องจากพ่อแม่ให้
ความสนใจบุคคลอื่นมากกว่าตน โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่ให้ความสนใจกับน้องคน ใหม่ หรือคนข้างเคียง การแสดง
อารมณ์อิจฉาริษยานี้จะเห็นได้จากการที่เด็กตีน้อง รังแกน้อง แย่งของเล่นจาก น้อง เมื่อเด็กไปโรงเรียนใหม่ๆ จะรักครู
ประจำชั้น และติดครูประจำชั้นมากกว่าครูอื่น ๆ เด็กจะมีอารมณ์อิงฉา ริษยา ถ้าครูที่ตนให้ความใกล้ชิดให้ความสนใจ
เด็กคนอื่นมากกวา่
อารมณ์กลัว เด็กแสดงอารมณ์กลัวด้วยการร้องไห้หนีห่าง หรือตัวสั่น ซึ่งอาจเนื่องมาจากการที่เคยได้รับ
ความเจ็บปวดเมื่อยังเล็ก เช่น เด็กเคยถูกไฟลวก เคยถูกทำโทษหรือได้รับความ ตกใจสุดขีด ความกลัวของเด็กไทย
อาจมีสาเหตุจาก (1) สัตว์เช่น สุนัข เสือฯลฯ (2) สถานการณ์ที่น่ากลัว เช่น การลงโทษ ฯลฯ (3) ธรรมชาติบางอย่าง
เช่น ความหนาว ความร้อน ฟแ้ ลบ ฟา้ ผา่ ฯลฯ (4) กลวั ส่งิ ท่นี อกเหนือธรรมชาตเิ ช่น กลัวผยี ักษฯ์ ลฯ
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 223
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
3. ลกั ษณะพัฒนาการทางสงั คม
เด็กปฐมวยั จะมลี กั ษณะพฒั นาการทางสังคมดังน้ี
เด็กในวัยนี้ส่วนใหญ่มักมีเพื่อสนิทเพียง 1 - 2 คน แต่มิตรภาพอาจเปลี่ยนได้อย่าง รวดเร็วเด็กวัยก่อนเข้า
เรียนมักมีสังคมไม่แน่นอน และมีความสมัครใจที่จะเล่นกับเพื่อนส่วนใหญ่ในชั้นเรียน ของตน เพื่อนที่สนิทมักเป็นเพศ
เดยี วกับตน แต่มติ รภาพระหว่างเพศชายและเพศหญงิ
กเ็ รม่ิ พฒั นาขนึ้
เด็กวัยนีม้ กั เลน่ เป็นกล่มุ เล็ก ๆ และไมค่ อ่ ยเปน็ ระเบยี บ
การทะเลาะกันระหว่างเพ่อื นมักเกดิ ขน้ึ บอ่ ย ๆ เดก็ มักจะลมื การทะเลาะ ไดเ้ ร็ว และงา่ ยมาก
เด็กวัยนี้ชอบเล่นละคร และสมมติตนเองเล่นบทเช่นเดียวกับบทบาทของละครบางตัว ในรายการโทรทัศน์ที่
ตนได้ดูชอบพูดและแสดงเลียนแบบตัวละครนั้น ๆ ด้วยเด็กหญิงและเด็กชายเพิ่งจะเริ่มต้นเรียนรู้บทบาทของตนและ
ยังไม่มคี วามเข้าใจ เกีย่ วกับบทบาทของเพศชดั เจนนัก
4. ลักษณะพัฒนาการทางสตปิ ญั ญา
เด็กปฐมวัยชอบพูดชอบแสดงความคิดเห็น ชอบซักถาม และแก้ปัญหา ดังนั้น สิ่งแวคล้อมจึง มีความสำคัญ
ที่จะยั่วยุให้เด็กมีพัฒนาการทางสติปัญญา ความคิดความสามารถที่เก่ียวกับสติปัญญาของเด็ก ปฐมวัย ที่สามารถ
สังเกตไดจ้ ากพฤติกรรม ไดแ้ ก่
สามารถจำส่ิงของต่าง ๆ และเรียกชื่อได้ถูกต้อง เช่น สิ่งของที่อยู่ใกล้ตัว ผลไม้สัตว์ท่ี รู้จักของใช้ต่าง ๆ เป็น
ต้นสามารถจำแนกความเหมือน ความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ ได้ สามารถเรียงลำดับสิ่งต่าง ๆ ได้เราสามารถดู
พัฒนาการของสติปัญญาได้โดยวิธีสังเกตพฤติกรรม องค์ประกอบที่จะทำให้เราสามารถสังเกตพฤติกรรมเด็กเพื่อดู
พัฒนาการทางสติปัญญาการเล่นของเด็ก โดยการเปิดโอกาสหรือสร้างสถานการณ์ให้เด็กได้เล่นแสดง พฤติกรรม
เช่น การเล่นสิ่งของหรือแสดงออกโดยการวาดภาพ ใช้สีตกแต่งสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น การเล่นนี้ทำให้ เด็กเพลิดเพลิน
สามารถแสดงพฤติกรรมไดอ้ ย่างเสรที ำใหเ้ ราสังเกตพฤติกรรมไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง
จากการศึกษาแนวความคิดของนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง เช่น ซิกมัน ฟรอยด์ (Sigmund Freud) อีริค อีริคสัน(Erik
Erikson) และฌอง พีอาเจท์ (Jean Piaget) ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับเด็กในวัยนี้พอจะ สรุปได้ว่า เด็กในวัยนี้มีความสำคัญ
มาก กลา่ วคือ
ประสบการณ์ในวัยเด็ก นับเป็นสิ่งสำคัญและมีอิทธิพลต่อพัฒนาการด้านบุคลิกภาพของ บุคคลที่จะเติบโต
เป็นผู้ใหญ่ในอนาคต เมื่อเด็กเริ่มเข้าสู่ระยะปฐมวัยนี้ เด็กจะเริ่มเรียนรู้จากสภาพแวดล้อม ต่างๆโดยเฉพาะอย่างย่ิง
สภาพแวดล้อมใกล้ตัวเขาที่ประกอบด้วย พ่อ แม่ แต่ก็อาจมีบุคคลอื่นซึ่งมีส่วนใน การอบรมเลี้ยงดูเค็ก เช่น ปู้ ย่า ตา
ยาย ญาตพิ ่นี อ้ ง ครแู ละพีเ่ ลี้ยง ในวยั นเี้ ดก็ เร่มิ เรยี นรคู้ วามแตกตง่ ระหว่างเพศ
รู้จักเลียนแบบพฤติกรรมที่พบเห็น และรู้ว่าตนมีความสามารถที่จะทำกิจกรรมบางอย่างได้เอง ผู้ที่ดูแลเด็กจึงควรใช้
เวลาในการเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพ คือรู้จักวิธีถ่ายทอดลักษณะท่าทาง ลักษณะการ ประพฤติตนที่เหมาะสมให้กับเด็ก
เพ่อื ให้เดก็ ทราบแนวทางทีถ่ ูกตอ้ งและเหมาะสมในการปฏบิ ัติตนดา้ นตา่ งๆ
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 224
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
สังคมที่แวดล้อมตัวเด็กสามารถกำหนดให้เด็กมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันได้ และการ กำหนดบุคลิกภาพของ
เด็กนี้จะเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อเด็กยังไม่มีประสบการณ์ไม่มากนัก เด็กที่อายุประมาณ 3 - 5 ปีนี้เป็นวัยที่มีพัฒนาการทุก
คา้ นสบื ตอ่ มาจากวยั ทารกซง่ึ เป็นวัยแรกสดุ ของชวี ิตพฤติกรรมทเ่ี ด็กปฐมวยั จะแสดงออกจึงมพี นื้ ฐานจากพฒั นาการ
ขั้นแรก ถ้าพัฒนาการขั้นแรกของเด็กเป็นไปด้วยดีมีความเหมาะสมแล้ว พัฒนาการที่จะเกิดขึ้นในช่วงปฐมวัยก็จะ
พัฒนาไปในแนวทางที่ดีเช่นกัน ตัวอย่างเช่น เด็กปฐมวัยมักจะ อยากรู้จักสภาพแวดล้อม จึงต้องการจะทำอะไรตามใจ
ตนเอง โดยถือว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่ ไม่ฟังความคิดเห็น ของคนอื่น ช่วงนี้เด็กเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง มีความคิด
ริเริ่มและมีจินตนาการ ซึ่งถ้าผู้เลี้ยงดูไม่เข้าใจ สภาพของเด็กปฐมวัย ก็จะทำให้พัฒนาการของเด็กวัยนี้ถูกสกัดก้ัน
อย่างน่เสียดาย จงึ นับวา่ ชว่ งชีวิตนมี้ ี ความสำคัญสำหรบั การพัฒนบุคลิกภาพของเด็กปฐมวัยเช่นกัน
เด็กปฐมวัยจะเริ่มเรียนรู้โลกภายนอกมากขึ้น และรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ อย่างเหมาะสม หาก
ได้รับการเลี้ยงดูที่สอดคล้องกับความต้องการตามวัย ในช่วงปฐมวัยนี้เด็กได้มีโอกาสรู้จักสภาพแวดล้อมมากกว่าในวัย
ทารก รวมท้ังเขายังได้พัฒนาความสามารถมากกว่าในวัยทารก รวมทั้งเขายังได้พัฒนาความสามารถของตัวเองมา
บ้างแลว้ ทง้ั ในดา้ นร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญา เดก็ ๆ จึง ชอบที่จะทดสอบพละกำลังและความสามารถของ
ตนองอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยนั้น ยังคงเป็นไปในลักษณะของรูปธรรมมากกว่านามธรรม
โดยเค็กจะเข้าใจเฉพาะสิ่งที่เขาได้เห็นหรอื ได้สัมผัสเท่านั้น การอธิบายความหมายต่างๆ ที่เป็นลักษณะนามธรรมจะยังใช้
ไม่ได้ผลกับเด็กวัยน้ี ดังนั้น การอบรมสั่งสอนของครูและผู้เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูจึงต้องตั้งอยู่บนฐานดังกล่าว
รวมทั้งต้องคำนึงถึงควาต้องการของเด็กด้วย จึงจะทำให้เด็กผ่านช่วงวัยนี้ไปได้ด้วยดี และจะเป็นพื้นฐานที่ดีต่อช่วง
วยั ตอ่ ๆ ไปของเด็ก(มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช, 2533, หนา้ 10-11)
จติ วทิ ยาพัฒนาการ
การพัฒนาขอบเขตแห่งตนเกิดขึ้นเมื่อมีการรับรู้ว่าตนเองเป็นอีกคนหนึ่งที่แยกจากคน อื่นๆมีสิ่งที่ตนอาจจะ
เหมือนหรือแตกต่างจากคนอื่น ทั้งทางร่างกาย ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ และการแสดงออก เด็กไม่ได้มี
ขอบเขตแห่งตนตั้งแต่แรกเกิด แต่พัฒนาเมื่อ เด็กมีการพัฒนาทางสมองเพิ่มมากขึ้นสามารถแยกแยะตนเองจากคน
อ่ืน สามารถแยกแยะ คนท่ีคุ้นเคยจากคนแปลกหน้าและรับรู้สิ่งแวคล้อมท่ีแตกต่างกันได้เด็กก็จะมีการตอบสนอง ต่อ
สิ่งรอบตัวแตกต่างกันออกไปเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยและมั่นคงของตนเอง เช่น เข้าหา คนที่คุ้นเคย แต่ร้องและหนี
ออกจากคนแปลกหน้า เป็นต้น เมื่อเติบโตขึ้นเด็กจะเรียนรู้ว่า ตัวเองสามารถเลือกที่จะตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวอย่างไร
ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เด็กสามารถพัฒนาความเป็นตนเองจากการเรียนรู้ที่แยก ตนเองออกจากคนอื่นได้ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่
เค็กอายุ 18 เดือน และ เมื่อเด็กเริ่มรับรู้ตนเอง ก็จะแสดงออกถึงความต้องการที่จะเป็น ตัวของตัวเอง เช่น การเดิน
ปีนป่าย ปิด - เปิด ผลักไปหรือ ดึงมา กลั้นไว้หรือปลดปล่อยออกไป เป็นกระบวนการที่จะทำให้เด็กค่อยๆแยกจาก
ผู้ดูแลได้และเพิ่มการเป็นตัวของตัวเอง เด็กจะแสดงความภูมิใจ เมื่อสามารถทำสิ่งใหม่า ได้สำเร็จและอยากจะทำสิ่งต่างๆ
ด้วยตัวเองอีก การพัฒนาความเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่วัยเด็กเล็ก มีความสำคัญต่อการพัฒนา ความเชื่อมั่นใน
ตนเองและภาพลักษณ์ของตนในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงที่จะเลือกและกำหนด ทิศทางชีวิตของตนเองในอนาคตต่อไป
ยิ่งเค็กเดิบโตขึ้น ก็ยิ่งมีเรื่องที่เขาต้องเรียนรู้จากผู้เป็นพ่อแม่มากขึ้น และเป็นเรื่องที่ ซับซ้อนมากขึ้นทุกทีทว่าพ่อแม่มัก
ละเลยและ ขาดความเข้าใจถึงบทเรียนสำคัญเรื่องหนึ่งซึ่ง เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยโดยตรงและควรสอนให้ลูก
ตั้งแต่ยังเด็กนั่นก็คือ การรู้จักขอบเขต ของตนเองและผู้อื่นซึ่งความหมายของขอบเขตที่ว่านี้คล้ายคลึงและใกล้เคียง
กับความหมาย ของสิทธิส่วนบุคคล ถ้าจะอธิบายโดยยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนก็คือว่า ตัวเราเป็นของเรา ตัว เราในที่นี้
ไม่ได้หมายความถึงเพียงทางกายภาพเท่านั้นแต่ยังรวมถึงเรื่องของจิตใจและสังคม ของเราด้วย "ตัวเรา" เป็นสิทธิ
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 225
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
สภาพที่ผู้อื่นไม่ควรเข้ามาล่วงล้ำ ทำให้เกิดความเสียหาย และไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะต่อร่างกาย จิตใจและสังคม ใน
ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็ต้องสอนเด็กให้เหมาะสมไม่คำนึงถึงแต่สิทธิสภาพในขอบเขตของตนเองแต่เพียงฝ้ายเดียว หาก
ยังต้อง เคารพสิทธิในส่วนตัวของผู้อื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นพ่อแม่ควรมีบทบาทในการปกป้องคุ้มครอง ตลอดจน
ส่งเสริมและพัฒนาให้เด็กรู้จักสิทธิของตนเองและผู้อื่น มีความเข้มแข็ง สามารถ ดูแลปกป้องสิทธิทั้งร่างกาย จิตใจ
และสังคมของตนเองได้ และไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น ด้วยวิธีการเชิงบวกที่จะส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กอย่างได้ผล
การดูแลขอบเขตมที ัง้ 3 ลกั ษณะ คือ
1. ขอบเขตทางร่างกาย หมายถึงการที่รับรู้ส่วนต่างๆ ของร่างกายตนเอง และดูแลปกป้องไม่ให้ผู้ใดมาทำ
อันตราย ผู้ดูแลควรสอนให้เด็กรู้จักอวัยวะที่ควรปกปิด เมื่อโตขึ้นสอนให้ปัดประตูเวลาเข้าห้องน้ำใน วัยรุ่นดูแลให้แต่ง
ตวั อย่างเหมาะสม โดยผู้ดแู ลควรเปน็ แบบอยา่ ง เป็นตน้
2. ขอบเขตทางจิตใจ เป็นการรับรู้ถึงความเป็นตนเอง รู้จักแยกแยะและเคารพสิ่งที่เป็นของตนและผู้อื่น ทำให้
เกิด ความรู้สึกมีค่า มีความหมาย รู้สึกมั่นคงและมีพลัง เช่น ผู้ดูแลใช้แนวทางการสร้างวินัย เชิงบวกให้เด็กเป็นผู้
เลือกแบ่งของเล่นของตนให้น้อง เมื่อโตขึ้นผู้ดูแลยอมรับเมื่อเด็กอยาก เลือกเสื้อผ้าเอง ผู้ดูแลไม่ถือสิทธิ์คันของ
ส่วนตัวของวัยร่นุ หรือผู้ดแู ลไม่ใหเ้ ด็กตอ้ งร้สู กึ เครยี ด ทกุ ขใ์ จกบั ปญั หาของผู้ใหญ่ เปน็ ต้น
3. ขอบเขตทางสังคม หมายถึงการรับรู้และเการพถึงหน้าที่และสิทธิเสรีภาพ ของตนเองและผู้อื่นที่ต้องอยู่
ร่วมกันเพื่อให้เกิด ความสงบสุข ปลอดภัย มีความสัมพันธ์ท่ีเหมาะสม ผ่านการสร้างวินัยเชิงบวกผู้ดูแลควรสอนและ
ปฏิบตั ิ เป็นตวั อยา่ ง ทั้งในดา้ นการเคารพผู้อนื่ และปกป้องตนเอง ไมใ่ หผ้ ูใ้ ดมาลว่ งละเมดิ
การสร้างวินัยเชิงบวก หมายถึง การรับรู้กฎ กติกา ระเบียบแบบแผนที่ควรปฏิบัติในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ
คนอื่น ซึ่งมีทั้งการพัฒนาความเข้าใจในเหตุและผลที่เลือกในการตัดสินใจการปฏิบัติได้อย่าง ที่ตัดสินใจ และมี
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีภายในตนเอง การพัฒนาการแสดงออกของคุณธรรม จริยธรรมนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลง
พัฒนาจาก การแสดงออกที่ถูกควบคุมด้วยวิธีการภายนอกทั้งการให้รางวัลและการทำโทษ ไปสู่ การแสดงออกที่มา
จากการควบคุมภายใน เป็นการมีมาตรฐานของความผิดชอบชั่วดีในใจ ตนเองซึ่งกระบวนการพัฒนานี้เปลี่ยนแปลงไป
ตามวัย ในวัยเด็กเล็กเด็กเชื่อฟัง เพราะพ่อ แม่บอกให้เชื่อฟัง เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กเริ่มเลือกที่จะเชื่อฟังเมื่อต้องการจะเช่ือ
ฟัง หรือได้ ประโยชน์จากการเชื่อฟัง เมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียนและวัยรุ่น เด็กเก็บมาตรฐานความรู้ผิดชอบ ชั่วดีของพ่อแม่
และกฎ กติกาของสังคม มาเป็นมาตรฐานภายในตนเอง และต้องการ การได้รับการยอมรับจากพ่อแม่และสังคมที่เป็น
เด็กดี เมื่อเป็นผู้ใหญ่ การพัฒนา คุณธรรม จริยธรรม จะเปลี่ยนแปลงไปสู่การ ให้ความสำคัญ กับความเชื่อในการ ให้
คุณค่าและความรู้ ผิดชอบชั่วดีเป็นสำคัญมากกว่ากฎของสังคม การที่พ่อแม่จะสร้างวินัยให้ลูกนั้น พ่อแม่ควร
คำนึงถึงพัฒนาการของลูก เนื่องจาก การสร้างวินัยจำเป็นต้องกระทำให้สอดคล้องกับพัฒนาการ พ่อแม่ไม่ควรสร้าง
วินัยให้แก่ลูกทุกวัยแบบเดียวกันหมดเพราะเค็กแต่ละวัยมีสมาธิและความอดทนแตกต่างกันไป โคยเฉพาะเค็กที่อายุต่ำ
กว่า7 ปีจะมีสมาธิไม่นานเท่าใคนัก การยอมรับกฎเกณฑ์จะกระทำ ได้น้อยกว่าเด็กวัยอื่น ดังนั้นพ่อแม่ควรสร้างวินัยให้
สอดกล้องกับพัฒนาการของลูก โดยพ่อ แม่ควรจะรู้ว่า เด็กแต่ละวัยสามารถมีวินัยในระดับต่ำสุดและระดับสูงสุด
อย่างไร เช่น เด็ก เข้า ป.1 กวรจะปรับตัวได้อย่างช้าที่สุดในกี่วัน ถ้าเวลาผ่านไปเกินกำหนดมากแล้วแต่ยัง ปรับตัวไม่ได้
แสดงว่าลกู มีปัญหา ซง่ึ พอ่ แมค่ วรดทู ี่ตัวลูกและดูท่บี ุคคลแวดล้อมทโี่ รงเรยี น
การพัฒนาความผูกพันหมายถึง การตอบสนองทางอารมณ์หรือมีความผูกพันทาง ใจต่อกันระหว่างเด็กและ
ผู้ดูแลการพัฒนาความผูกพันกับผู้ดูแล เป็น กระบวนการตอบสนองความจำเป็นในชีวิตของเด็กที่ต้องการได้รับ การ
ปกป้องดูแลเพื่อการมีชีวิตรอด เป็นระบบในการครงความสัมพันธ์กับผู้ดูแลโดยมีสัญญาณจากทั้งเด็กและผู้ดูแลเป็น
ตัวกระตุ้นทำให้เกิดการแสดงออกถึงความผูกพันระหว่างกัน และความสามารถของเด็กใน การพัฒนาความสัมพันธ์
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 226
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
ทางสังคมเมื่อเดิบโตขึ้นก็มีพื้นฐานจากการที่ความผูกพันในวัยเด็ก พัฒนามาอย่างไร ถึงแม้ว่กระบวนการดังกล่าว
เกิดขึ้น โดยมีแนวโน้มของพันธุกรรมเป็นตัว ชักนำแต่การแสดงออกของคนรอบข้างของเด็กนั้น มีอิทธิพลต่อการ
พัฒนาความผูกพันให้ มั่นคง นั่นคือ เมื่อความต้องการผูกพันของทารกได้รับการตอบสนองโดยการเลี้ยงดูเอาใจใส่
เด็กก็จะรู้สึกปลอดภัย ผ่อนคลายเพียงพอและสามารถสำรวจสิ่งรอบตัว สมองเปีดรับที่จะ เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้
เค้กมีความผูกพันที่มั่นคงจากพ่อแม่ที่ดูแลเด็กอย่างอบอุ่น ปลอดภัย คงเสั้นคงวา คาดเคาได้และไม่มีเงื่อนไข ให้
ประสบการณ์ที่มั่นคงอย่างสม่ำเสมอ ในใจ สะท้อนภาพที่ทำ าให้เด็กเชื่อว่ามีคนที่รัก และพร้อมจะช่วยเหลือดูแลเป็นท่ี
พึ่งอยู่เดียงข้าง โลกนี้ปลอดภัยและชีวิตมีสิ่งงดงามเพียงพอที่จะดำรงอยู่ทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย ผ่อนคลาย
อารมณ์ที่วุ่นวาย สับสนลงได้แม้ว่าแท้จริง โลกนี้จะยังมีสิ่งที่เป็นปัญหาเกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย แต่ในโลกใบเล็กในใจ
ของเด็กมีความมั่นคงการตอบสนองจากผู้ดูแลเช่นนั้นทำให้เด็กสัมผัสกับความเชื่อท่ีหยั่งรากลึกลงในใจว่าตนเองมีค่า
มีความหมายและเป็นที่รักมาก เพียงพอท่ีมีคนใส่ใจดูแล และเป็นรากฐานให้กับความเชื่อมั่นในตนเองต่อไปการพัฒนา
ความมั่นใจในตนเองเริ่มตั้งแต่ในช่วงวัยทารก โดยการส่งเสริมของผู้ใหญ่ด้วย วิธีการเสริมสร้างเชิงบวกรวมถึงวินัย
เชิงบวกเพื่อให้เด็กสามารถเห็นคุณค่าในตนเองด้วย การที่เด็กมีความสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ท่ีมีความเมตตา เอื้ออาทร เห็น
ใจร่วมกับการที่เด็กบรรลุ ความสามารถตามที่เป็นได้ตามวัยในวัยทารกความเชื่อมั่นพัฒนาจากการที่เด็กมีความไว้ใจ
มั่นคงในความสัมพันธ์กับ พ่อแม่ผู้ดูแล เนื่องจากการดูแลสอดคล้องไปกับลักษณะพื้นอารมณ์ของเด็ก เช่น ดูแล ให้
นมเม่อื เดก็ ร้อง เปลยี่ นผ้าเมือ่ เด็กเปียก ย้ิมแยม้ เลน่ และตอบสนองเม่อื เดก็ ต้องการ เลน่ ด้วย เปน็ ตน้
การพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองในวัยเตาะแตะขึ้นกับทัศนคติของพ่อแม่และ พฤติกรรมการแสดงออก นั่น
คอื พอ่ แม่ยอมรับในตัวลกู มีทา่ ทีสนบั สนุน แม้ในช่วง เวลาทม่ี ีการตง้ั กตกิ าควบคมุ พฤติกรรมของลกู และที่สำคัญ พอ่
แม่มีความคาดหวังท่ี เป็นไปได้จริงกับลูก เช่น การชื่นชมเมื่อเด็กทำได้ยอมรับความผิดพลาดและ ให้ กำลังใจหรือให้
ความหวงั ทเี่ ปน็ ไปไดเ้ ปน็ ตน้
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 227
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทที่ 3 ตัวอย่าง และข้อสังเกต
ข้อมูลที่มีอยู่ส่วนใหญ่จะสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของครูผู้สอนและผู้เกี่ยวข้องในมิติค้านสุขภาพ และ
ความปลอดภัยของเด็กปฐมวัย แต่ข้อมูลที่แสดงถึงผลกระทบที่เกิดจากการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนการสอน
หรือการจัดกิจกรรมแก่เด็กปฐมวัยยังมีน้อยมาก ทำให้ไม่สามารถใช้อ้างถึงเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการปรับรูปแบบการ
จัดการเรียนการสอน ได้ จึงหวังว่าเมื่อการแพร่ระบาดลคลง นักวิจัยจะลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล สังเกตการจัดการเรียน
การสอน รวมทั้งได้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้เวลาของเด็กในห้องเรียนคุณภาพการจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
เหมือนเดิมหรือไม่ ครูต้องการการสนับสนุนในเรื่องใดบ้างข้อมูลที่ได้ดังกล่าวจะเป็นประ โยชน์ต่อการกำหนดหลักสูตร
และการวางนโยบายการศึกษาแบบ New Normal ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่เด็กนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ
จากสถานการณ์ COVID-19บุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ท้ัง
ค่าตอบแทน สวัสดิการและการสนับสนุนต่างๆ ที่ลดลง จากผลกระทบท่ี ได้รับน้ี ทำให้บุคลากรทางการศึกษาต้องการ
ได้รับการสนับสนุนเพื่อพัฒนาตนเองเก่ียวกับความรู้ด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และการจัดการเรียนการสอน
ทางไกล(remote leaming) ซึ่งควรมีการเก็บข้อมูลระยะยาวเกี่ยวกับผลกระทบและความต้องการของบุคลากรทาง
การศึกษาและวางระบบการสนับสนุนที่เหมาะสม เพราะหากบุคลากรเหล่านี้ได้รับการพัฒนาที่ถูกต้องสอดคล้องกับ
ความต้องการ ย่อมส่งผลต่อเด็กปฐมวัยให้ได้รับการดูแลและพัฒนาผ่านการเรียนรู้ที่มีคุณภาพท้ายที่สุดคือ เด็กจะมี
พัฒนาการท่ีเหมาะสมกบั วยั น่นั เอง
จากสถานการณ์การแพร่ระบายของโรคโควิด 19 ทำให้การปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนมาเป็น
รูปแบบออนไลน์ทำให้เปิดปัญหากับครอบครัวที่มีเป็นปฐมวัย ที่การท่ีเด็กอนุบาลเรียนออนไลน์นั้นจำเป็นต้องมี
ผู้ปกครองคอยอยู่ด้วยอีกทั้งอันตรายจากการหน้าจอ ทำให้เล็งเห็นถึงปัญหาว่าการเรียนออนไลน์นั้นไม่สามารถตอบ
โจทยเ์ ดก็ ปฐมวัยไดเ้ ทา่ ทค่ี วร จะควรมีการประเปลี่ยนรปู แบบการเรยี นการสอนหรือ
หลกั สูตรใหม้ คี วามสอดคลอ้ งกับพฒั นาการของเดก็
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 228
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
บทท่ี 4 การวเิ คราะหข์ ้อมลู การสมั มนา
ในการเปีดประเด็นการสัมมนาในเรื่องของหัวข้อการเรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยในช่วง
สถานการณ์covid-19 นั้นพวกเราเล็งเห็นถึงความสำคัญในด้านของการพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์สามารถสอดคล้อง
ต่อความต้องการของพัฒนาการเด็กในช่วงปฐมวัยได้มากที่สุดและการช่วยเหลือจากภาครัฐเองนั้นทำให้เห็นถึง
รูปแบบประเด็นและปัญหาในเรื่องของการเรียนออนไลน์ในเด็กปฐมวัยในสังคมไทยยุคปัจจุบันและรูปแบบการ
พัฒนาการทางด้านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเข้ามาตอบจกกับสถานการณ์หรือวิกฤตการณ์ในช่วงcovid-19 ได้โดย
มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาทางด้านรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถตอบโจทข์และมคี วามใกล้เคียงกับการเรียนภาค
ปกติทั้งในด้านประสบการณ์ทักษะทางความคิดและกระบวนการทางด้านพัฒนาการของสมองในกลุ่มเด็กปฐมวัย
เพราะพวกเราได้เห็นถึงจุดบกพร่องทางด้านการเรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยว่าอาจจะไม่เหมาะสมหรืออาจจะไม่
ตอบโจทย์ในช่วงพัฒนาการเด็กปฐมวัยและมันยังสามารถนำไปสู่ผลกระทบต่อไปอนาคตของพวกเขาเองได้ทั้งนี้ในการ
สัมมนาจะมุ่งเน้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางด้านความคิดของเพื่อนๆในชั้นเรียนว่าเล็งเห็นถึงปัญหาและประโยชน์ของ
การเรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยในช่วงสถานการณ์ covid-19 อย่างไรบ้างเพราะการนำหัวข้อการสัมมนานี้มา
พูดคุยกับเพื่อนๆในชั้นเรียนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการนำความรู้จากสื่อโทร ทัศน์หรือ
ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก็ตามแต่หรือจะเป็นการ หยิบยกประสบการณ์จากครอบครัวของตนเองมาพูดคุยในช้ันเรียนใน
หัวข้อการสัมมนาในครั้งน้ี ได้หรือจะรวมไปถึงการแสดงออกทางด้านความคิดเห็นในด้านการพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ให้มีความสอดคล้องต่อกลุ่มเด็กปฐมวัยได้มากที่สุดและรวมไปถึงยังเป็นการนำเสนอในด้านของมุมมองของเพื่อนๆใน
ชั้นเรียนเข้ามาแลกเปลี่ยนกันด้วยในด้านของการพัฒนาและจุดบอดของการเรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยซึ่งการ
เรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยนั้นมีการประยุกต์และปรับเปลี่ยนให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในยุดปัจจุบันได้
มากที่สุดแต่ในการเรียนออนไลน์นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียและยังมีข้อจำกัดในต่างๆอาทิเช่นการเข้าถึงรูปแบบทางด้าน
ประสบการณ์และการลงมือทำอย่างในกรณีบางกิจกรรมทั้งๆที่รูปแบบการเรียนออนไลน์นั้นสามารถจัดกิจกรรมได้
เหมือนกันแต่ก็ยังมีข้อจำกัดในด้านของประสบการณ์และการลงมือทำที่ไม่สามารถสื่ออารมณ์ได้เหมือนกับการเรียน
ภาคปกติหรือการได้ลงมือทำกลับเพื่อนๆในชั้นเรียนโดยกลุ่มเด็กปฐมวัยนั้นทักษะทางด้านพัฒนาการทางความคิด
ในช่วงนี้เองน้ันเป็นช่วงที่สามารถพัฒนาทางค้านระบบประสาทได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและเป็นช่วงที่สามารถ
ค้นหาตัวตนของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นความชอบหรือรวมไปถึงความสามารถพิเศษที่
ในช่วงปฐมวัขเองนั้น ค้นหาตัวตนของตนเอง ได้ง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงวัยอื่นๆเพราะด้วย การพัฒนาทางด้นระบบ
ประสาทเองนั้น ช่วงปฐมวัยเป็นการพัฒนาระบบประสาทได้อย่างประสิทธิมากที่สุดและยังเป็นวัยที่ต้องเรียนเรียนรู้ใน
ด้านของการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สังคม เพราะในช่วงเด็กปฐมวัยเองนั้นเป็นประตูด่านแรกที่จะต้องปรับตัว
ให้สามรถอยู่ร่วมกันกับคนในสังคมได้อย่างมากที่สุด ซึ่งในส่วนของระบบการศึกษาเองน้ันก็มี ผลที่จะช่วยขัดเกลาให้
กลุ่มเด็กปฐมวัยสามรถเรียนรู้และปรับตัวให้สามรถเข้าสู้สังคมได้อย่างมีความสุขได้ แต่ การเรียนออนไลน์เองนั้นอาจมี
ขอ้ จำกัดในด้านของผูส้ อนทไี่ ม่สามรถถ่ายทอดออกมาได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพเม่ือเทียบกับการเรียนในชั้นเรียนแบบปกติ
จากการพูดคุยกับเพื่อนๆในชั้นเรียนในหัวข้อการสัมมนาการเรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยเป็นปัญหาหรือ
เปล่าสำหรับช่วงสถานการณ์ covid-1 9 โดยการพูดคุยในครั้งนี้จะมุ่งเน้นให้เกิดการวิเคราะห์ทางกระบวนการทาง
ความคิดของเพื่อนๆว่าจริงๆแล้วการเรียนออน ไลน์ในยุคปัจจุบันตอบโจทย์กับช่วงวัยปฐมวัยหรือไม่และการเรียน
ออนไลน์นั้นในกลุ่มเด็กปฐมวัยสามารถทำอย่างไรให้รู้สึกว่าการเรียนออน ไลน์นั้นไม่น่าเบื่อและการเรียนออนไลน์นั้น
สามารถที่จะสร้างสรรค์ประสบการณ์ความรู้สึกกระบวนการทางความคิดได้เทียบเท่ากับการเรียนในชั้นปกติหรือการ
เรียนในห้องซึ่งในการสัมมนาครั้งนี้จะเป็นการบอกถึงการพัฒนาการของกลุ่มเด็กในช่วงวัยนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้างโดย
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 229
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
กลุ่มของพวกเรานั้นจะมีการพูดคุยเพื่อทำให้เพื่อนๆในชั้นเรียนหรือเพื่อนๆที่เข้ารับฟังการสัมมนานั้นเห็นถึงรูปแบบ
ทางด้านของการพัฒนาการในกลุ่มเด็กปฐมวัยว่ามีอะไรบ้างซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่จะทำให้เพื่อนๆในการสัมมนาครั้งนี้
สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกผัดการพัฒนาการได้มากยิ่งขึ้นและสามารถเข้าใจถึงหัวข้อในการสัมมนาครั้งนี้ได้กระจ่าง
มากยิ่งขึ้นโดยเรานั้นจะหยิบยกรูปแบบทางด้านข้อมูลและ ข้อเปรียบเทียบระหว่างการเรียนออนไลน์กับการเรียนในช้ัน
เรียนว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างการรียนออนไลน์สะดวกจริงๆไหมการเรียนออนไลน์ทำให้เด็กได้ซึมซับความรู้ได้
อย่างเต็มที่หรือไม่หรือการเรียนออนไลน์สามารถส่งเสริมพัฒนาการและทักษะทางด้านความคิดของกลุ่มเด็กปฐมวัย
ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือเปล่าหรือยังรวมไปถึงการเรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยนั้นสามารถสร้างเสริม
ประสบการณ์ชีวิตได้อย่างเต็มที่และเหมาะสมกับช่วงวัยนี้หรือไม่โดยจากการพูดคุยกับเพื่อนๆในชั้นเรียนการสัมมนาใน
หัวข้อการศึกษาในรูปแบบการเรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยนั้นทำให้เราได้เห็นมุมมองความคิดของเพื่อนๆในช้ัน
เรียนพี่มีหลากหลายมุมมองมากยิ่งขึ้นและหลากหลายอารมณ์มากยิ่งขึ้นบางคนบอกว่าการเรียนออน ไลน์นั้นเหมาะสม
อย่างมากต่อสถานการณ์นี้และทำให้ลดค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆได้มากยิ่งขึ้นส่วนบางคนบอกว่าการเรียนออนไลน์น้ัน
แทบจะไม่ตอบโจทย์กับสังคมไทยในบ้านเราเป็นอย่างมากซ่ึงมีหลายมุมมองมากที่มีข้อถกเถียงกันในหัวข้อการเรียน
ออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยโดยการวิเคราะห์คร้ังนี้เราจะพูดถึงมุมมองทางด้านกระบวนการทางความคิดของเพื่อนใน
ชั้นเรียนว่ามีความคิดเห็นต่อการเรียนออนไลน์ในช่วงปฐมวัยหรือไม่โดยเพื่อนๆส่วนใหญ่นั้นบอกว่าในบางวิชาอาจจะไม่
ตอบสนองต่อการเรียนออนไลน์เพราะด้วยรูปแบบความรู้และประสบการณ์อาจจะมีการพัฒนาการทางด้านความรู้ที่ไม่
เท่าเทียมกันหรืออาจจะมีความรู้พื้นฐานที่ไม่เหมือนกับเพื่อนๆในชั้นเรียนเลยทำให้การเรียนออนไลน์นั้นอาจจะไม่ตอบ
โจทย์กับระบบการศึกษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดแต่ก็ยังสามารถแก้ไขได้โดยการสอดแทรกควบคู่กับ
เนื้อหาหรือกิจกรรมที่สามารถช่วยดึงสมาธิต่อตัวเด็กเองได้และทำให้เด็กๆสามารถรับรู้ได้ถึงความสำคัญในค้านของ
การเรียนว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องต่อความต้องการของพวกเขาหรือไม่จากการวิเคราะห์ในหัวข้อประเด็นแรก
นี้ซึ่งทางกลุ่มผมมองว่าเป็นอีก 1 ความสำคัญและเป็นปัจจัยที่มีผลทำให้ตัวเด็กเองสนใจในด้านของการเรียนออน ไลน์
มากขึ้นและสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและความเบื่อหน่ายให้กลับมาสนใจในรูปแบบการเรียนออนไลน์ได้เพิ่มมากขึ้น
โดยการนำกิจกรรมหรือรูปแบบทางด้านสื่อการเรียนการสอนให้ตอบสนองต่อช่วงวัยนั้นๆซึ่งในส่วนนี้เองก็อาจจะ
สามารถแกไ้ ขปัญหาในด้านการเรยี นออนไลนไ์ ดไ้ มม่ ากกน็ อ้ ย
โดยประเด็นต่อมานั้นจากการที่ได้มีการเสนอและแลกเปลี่ยนทางด้านความคิดกับเพื่อนในชั้นเรียนบางคน
มองเห็นถึงว่าการเรียนออนไลน์นั้นอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวที่สูงขึ้นเพราะ ในบางครอบครัวนั้นอาจจะมี
รายได้ที่ไม่แน่นอนและด้วยผลกระทบจากสถานการณ์ covid-19 ทำให้รายได้อาจจะไม่มั่นคงและการเรียนออนไลน์นั้น
ก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายภายในบ้านได้ซึ่งในส่วนนี้เองกลุ่มของพวกเราได้มองเห็นถึงหลักและความสำคัญ
อย่างมากต่อผลกระทบที่เพื่อนๆ ได้นำเสนอมาพวกเรามองว่าในส่วนนี้เองก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ค่อนข้างมีความสำคัญ
ต่อตัวบริบททางด้านครอบครัวเป็นอย่างมากเพราะว่าค่าใช้จ่ายของแต่ละบ้านนั้นไม่สามารถประเมินและหาจุดตรง
กลางได้ว่าครอบครัวนี้มีรายได้มากครอบครัวนี้มีรายได้น้อยแต่การแทรกแซงการเรียนออนไลน์เข้ามานั้นอาจเป็นตัวพี่
ส่งผลกระทบต่อรายได้ภายในครอบครัวไม่มากก็น้อยซึ่งในส่วนน้ีเองพวกเราก็เล็งเห็นถึงปัญหาและ ได้มีการพูดคุย
แลกเปลี่ยนทางด้านความคิดและมีการนำเสนอเกี่ยวกับทางด้านมุมมองวิธีการทำอย่างไรให้การเรียนออน ไลน์ไม่
ส่งผลกระทบต่อรายได้ภายในครอบครัวและทำอย่างไรที่จะสามรถช่วยให้ครอบครัวผลักดัน เด็กให้ตอบสนองต่อการ
เรียนออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าใจมันมากยิ่งขึ้น ซึ่งในกาเรียนออน ไลน์นั้นมันมีทั้งผลดีต่อตัวครอบครัว
นั้นก็คือ เด็กๆในช่วงปฐมวัยนั้นเป็นช่วงที่เด็กเนี่ยสามารถจะพัฒนาการและเรียนรู้ในด้านต่างๆ ได้ดีหากแต่ได้รับการ
ดูแลและเข้าใจถึงรูปแบบธรรมชาติของตัวเด็กซึ่งเด็กๆจะสามารถเรียนรู้และจดจำส่ิงต่างๆโดยมีพ่อแม่เป็นแบบอย่าง
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 230
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
และเด็กเองจะเรียนรู้และเข้าใจบริบทของตนเองมากยิ่งข้ึนโดยกลุ่มเด็กปฐมวัยส่วนใหญ่แบบนักเรียนแบบบุคลิกภาพ
ของพ่อแม่และจะนำบุคลิกของพ่อแม่มาสร้างเป็นแบบอย่างของตนเองและพ่อแมส่ ามารถที่จะสร้างจริยธรรมให้เด็กได้
โดยเป็นการอย่างดีในด้านของการฝึกวินัยโดยมีการมอบความรักความเข้าใจในตัวธรรมชาติของเด็กควบคู่ไปด้วย
และร วมไปถึงการรับฟังความคิดเห็นและสนับสนุนคอยให้ความช่วยเหลืออยากแสดงความชื่นชมให้รางวัลเมื่อเด็กๆ
ทำตัวไม่เหมาะสมและตักเดือนเมื่อถูกทำเมื่อกระทำความผิดโดยในส่วนนี้เองพ่อและแม่จะเป็นการใช้เวลาอยู่กับเด็ก
ได้มากที่สุดและยังเป็นการสร้างสัมพันธภาพท่ีดีต่อตัวครอบครัวเองด้วยและ ในส่วนนี้เองยังจะสามารถที่จะยกระดับ
คุณภาพของการเรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยโดยมีการแนะแนวจากคุณครูประจำชั้นของตัวเด็กๆเองซึ่งในส่วนนี้
เองก็เป็นการนำเสนอของขอ้ มลู ในดา้ นของผจู้ ัดทำในการแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ กบั กลมุ่ เพอ่ื นในประเดน็ นี้
ประเด็นถัดมาที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของประชากรในอนาคตของประเทศซึ่งจากการ
พูดคุยและวิเคราะห์ความคิดเห็นของเพื่อนในชั้นเรียนที่มีความรู้สึกว่ารูปแบบทางด้านของการเรียนออนไลน์ในกลุ่ม
เด็กปฐมวัยหรือกลุ่มเด็กต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นตอนต้นวัยรุ่นตอนปลายทกุ อย่างล้วนมีรูปแบบในด้านของการกำหนด
คุณภาพชีวิตของตัประชากรเพราะจากการที่ได้แลกเปลี่ยนทางด้านความคิดเห็นกับเพื่อนมีคำพูดหนึ่งที่เพื่อนพูด
ออกมาว่าในการเรียนออนไลน์นั้นมีผลลบมากกว่าผลบวกเพราะด้วยรูปแบบการจัดระบบการศึกษาของกระทรวง
การศึกษาในปัจจุบันอาจไม่ได้มีคุณภาพมากพอที่จะสามารถส่งผลให้รูปแบบทางด้านของการเรียนออนไลน์มี
ประสิทธิภาพได้เท่าที่ควรและยิ่งเป็นระบบสังคมไทยด้วยแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าการเรียนออนไลน์จะสามารถตอบ
โจทย์กับกลุ่มประชาชนที่เป็นนักเรียนและนักศึกษาได้และยังส่งผลกระทบต่ออนาคตอีกด้วยซึ่งในการพูดคุยในหัวข้อ
การสัมมนาในกลุ่มเด็กและเยาวชนจากประเด็นที่เพื่อนพูดมานั้นทำให้เราเล็งเห็นถึงรูปแบบความสัมพันธ์ว่าการที่กลุ่ม
เด็กทุกๆคนที่มีความเกี่ยวข้องต่อระบบการศึกษาภายในประเทศนั้นในส่วนนี้เองอาจจะเป็นตัวที่สามารถชี้วัดและบ่ง
บอกถึงคุณภาพของบริบททางด้านการศึกษาของประชากรภายในประเทศได้ว่ารูปแบบทางด้านการเรียนออนไลน์
สามารถเป็นตัวชี้วัดของคุณภาพชีวิตและทักษะทางด้านการศึกษาของประชากรภายในประเทศได้จริงๆหรือไม่และการ
นำสื่อเทคโน โลยีต่างๆเข้ามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับโลกในยุคปัจจุบันสามารถสอดกล้องต่อประชากรภายในประเทศ
ได้หรือไม่ซึ่งในส่วนนี้เองจากการวิเคราะห์แล้วทำให้เสิ่งเห็นถึงรูปแบบความสำคัญที่ว่ากรนำเทกโนโลยีในรูปแบบของ
ทางด้านการเรียนออนไลน์มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในยุดปัจจุบันหรือการที่บุคลากรมีความรู้เพียง
พอที่จะสามารถสอนกลุ่มเด็กปฐมวัยหรือกลุ่มเด็กที่จัดอยู่ในระบบการศึกษาให้มีความรู้และความเข้าใจได้มากเท่าท่ี
เรียนภายในห้องเรียนหรือไม่รูปแบบทางด้านการเรียนออนไลน์สามารถเป็นตัวชี้วัดของคุณภาพชีวิตและ ทักษะ
ทางด้านการศึกษาของประชากรภายในประเทศได้จริงๆหรือไม่และการนำสื่อเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาประยุกต์ใช้ให้
เหมาะสมกับโลกในยุคปัจจุบันสามารถสอดคล้องต่อประชากรภายในประเทศได้หรือไม่ซึ่งในส่วนนี้เองจากการวเิ คราะห์
แล้วทําให้เล็งเห็นถึงรูปแบบความสําคญั ทQีว่าการนําเทคโนโลยีในรูปแบบของทางด้านการเรียนออนไลน์มาประยุกต์ใช้ให้สอดกล้องกบั
สถานการณ์ในยุดปัจจุบนั หรอื การทบQี ุคลากรมคี วามรูเ้ พยี งพอทจQี ะสามารถสอนกลุ่มเดก็ ปฐมวยั หรอื กลุ่มเดก็ ทจQี ดั อยู่ในระบบการศกึ ษาใหม้ ี
ความรแู้ ละความเขา้ ใจไดม้ ากเทา่ ทเQี รยี นภายในหอ้ งเรยี นหรอื ไม่ ซงQึ จากการทไQี ดพ้ ดู คยุ กบั กลุ่มเพอQื นทไQี ดม้ กี ารนําเสนอในหวั ขอ้ เกยQี วกบั ตวั ชว;ี ดั
คุณภาพทางดา้ นการศกึ ษาของประชากรภายในประเทศเองนัน; ทําใหเ้ หน็ ถงึ ว่าความสําคญั ในดา้ นของระบบการศกึ ษาจรงิ ๆแลว้ มนั จําเป็นทQี
จะตอ้ งเรยี นในหอ้ งเรยี นอยา่ งเดยี วหรอื ไมห่ รอื จรงิ ๆแลว้ การนําเทคโนโลยเี กยQี วกบั รปู แบบต่างๆของการเรยี นออนไลน์มาประยกุ ตใ์ ชห้ ส้ อดคลอ้ ง
กบั ในยุคปัจจุบนั จะตอบโจทยก์ บั สงั คมไทยหรอื เปล่าซงQึ ในสว่ นน;ีเองกลุ่มของพวกผมกร็ สู้ กึ ว่าเป็นคาํ ถามและเป็นปัญหาในรปู แบบเดยี วกนั ทไQี ม่
สามารถตอบไดเ้ พยี งแคค่ าํ ตอบเดยี วแต่พวกเราไดม้ กี ารนําเสนอเกยQี วกบั ทงั; 2 คาํ ถามวา่ ความจาํ เป็นในดา้ นของการเรยี นในหอ้ งเรยี นยงั ควรมี
อยู่หรอื เปล่าหรอื การนําเทค โน โลยที เQี กยQี วกบั รูปแบบต่างๆของการเรยี นออนไลน์มาประยุกต์ใชม้ นั จะสอดคลอ้ งต่อระบบทางดา้ นการศกึ ษา
ภายในประเทศอยหู่ รอื เปล่าซงQึ ในสว่ นน;ีเองดว้ ยประสบการณ์ดว้ ยความรเู้ ท่าทกQี ลุ่มของพวกผมมกี ข็ งั จะไมส่ ามารถทจQี ะใหค้ าํ ตอบไดแ้ คเ่ พยี งแค่
คําตอบเดยี วแต่พวกเราไดม้ กี ารพูดกุขถงึ ขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี ของแต่ละขอ้ ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพมากทสQี ุดและสามารถใหเ้ หตุผลไดด้ ที สQี ุดเท่าทQี
ความรแู้ ละประสบการณ์ของพวกเราพงึ มี
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 231
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
ประเด็นสุดท้ายที่เพื่อนให้ความสนใจและมีการแลกเปลี่ยนความคิดกันมากที่สุดน้ันก็คือการเปรียบเทียบ
รูปแบบของ การเรียนออนไลน์และการเรียนพิเศษผ่านหน้าจอคอม ท้ังที่ ทุกๆอย่างเหมือนกันแต่ทำไมเด็กนักเรียนส่วน
ใหญ่ถึงให้ความสนใจ ต่อการเรียนพิเศษมากกว่าการเรียนออนไลน์ทั้งๆ ที่ในระบบการศึกษาอยู่ในพื้นฐานเดียวกันแต่
กับความให้ความสนใจในตัว ของการเรียนออนไลน์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งประเด็นนี้เองได้มีการรียนเปล่ียน
พูดคยุ กนั เพอื่ นๆหลากหลายคนมาก โดยเสยี งสว่ นใหญ่จะมุ่งเน้นไปในด้านของการนำส่อื หรอื รปู แบบการเรยี นการสอน
การเรียนพิเศษนั้นดูมีความน่าสนใจมากกว่าการเรียนออนไลน์แบบปกติไม่ว่าจะเป็นความสนุกท่ีได้รับจากการเรียน
พิเศษหรือจะเป็นทัศนคติของตัวผู้สอนที่มีความแตกต่างกันทำให้ตัวเด็กทุกคนที่อยู่ในระบบการศึกษาให้ความสนใจ
และมุ่งเน้นไปเรียนพิเศษกันมากกว่าเรียนในชั้นเรียนแบบปกติหรือเรียนออน ไลน์ในยุดปัจจุบันทั้งๆที่บริบทคล้ายกัน
แต่ความสนใจกับแตกต่างกันและหลักสูตรก็หลักสูตรเดียวกันแต่ความสนใจก็แตกต่างกันมากๆทั้งๆที่การเรียนพิเศษ
นั้นจะต้องเสียเงินมากในแต่ละคอร์สของโรงเรียนก็เสียเงินมากในแต่ละเทอมแต่ความให้ความสนใจก็แตกต่างกันซ่ึง
จากการที่ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองทางด้านความคิดและการที่เพื่อนๆหยิบยกประสบการณ์ของตนเองเข้ามา
พูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อการเรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยทำให้เราเห็นถึงว่ามันมีรูปแบบของความเชื่อและสื่อโฆษณา
เข้ามาเกี่ยวข้องโดยเพื่อนๆส่วนใหญ่จะบอกว่าในการเรียนพิเศษ เราสามารถเข้าใจมันได้มากกว่าการเรียนออนไลน์ใน
รูปแบบปกติหรือการเรียนในรูปแบบปกติหรือภายในห้องเรียนเพราะความกดดันแทบจะ ไม่มีและยังมีบริบททางด้าน
สังคมที่เข้ามาเกี่ยวข้องในด้านว่าคนเลยพิเศษมักจะเป็นคนเก่งหรือเป็นค่านิยมภายในกลุ่มเพื่อนๆของแต่ละบุคคลท่ี
ชักชวนกันไปเรียนพิเศษและจะมีอยู่ 1 คนในกลุ่มที่จะเก่งมากๆหลังจากที่ได้เรียนพิเศษซึ่งแสดงให้เห็นถึงว่าการศึกษา
ในยุคปัจจุบันเองอาจจะไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชากรหรือกลุ่มเด็กๆและเยาวชนที่อยู่ภายในระบบ
การศึกษาซึ่งในส่วนนี้เองทั้งกลุ่มเราได้มีการแนะนำและวิเคราะห์ประเด็นนี้นั่นก็คือว่าถ้าหากจะแก้ไขในด้านของการ
เรียนออนไลน์ในยุคปัจจุบันนั้นก็คงจะเป็นในด้านการที่แต่ละโรงเรียนมีการแนะนำและมีการจัดการประชุมในด้านของ
การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและการทำสื่อการเรียนการสอนให้มีความสอดคล้องกับยุคปัจจุบันและขังรวมไปถึงการ
นำกิจกรรมต่างๆเข้ามาสอดแทรกขณะสอนเพื่อให้เด็กเกิดความสนใจมากยิ่งขึ้นและลดความกดดันในตัวเด็กให้ลด
น้อยลงเพื่อให้ตัวเด็กเองเปิดใจและเข้าใจถึงรูปแบบการเรียนการสอนนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งในประเด็นนี้
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ยังมีการยกเกี่ยวกับรูปแบบของการเรียน Pre Schoo! ข้ามาเสริมเพราะบางกลุ่มเพื่อนเล็งเห็นถึง
ว่าการที่ภาครัฐอยากจะขกระดับคุณภาพทางด้านการศึกษาควรมีระบบ Pre School เป็นอย่างยิ่งเพราะรูปแบบของ
การเรียนพิเศษครูนั้นจะตอบโจทย์อย่างมากในด้นของการค้นหาตนเองและความชอบของตนเองต่อกลุ่มเด็กปฐมวัย
เป็นอย่างยิ่งและทำให้รู้สึกว่าประชากรภายในประเทศนั้นมีความสนใจตอ่ ระบบทางด้านการศึกษามากยิ่งขน้ึ และเด็กเอง
ยังจะได้เรียนรู้ถึงทักษะการใช้ชีวิตเพิ่มมากขึ้นและเรียนรู้ถึงรูปแบบทางด้านสังคมเพิ่มมากขึ้นอีกด้วยซึ่งถ้าหากมี
โรงเรียน Pre Schoo! และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐนั้นในเรื่องของรูปแบบการเรียนออนไลน์อาจจะตอบโจทข์กับ
ยุคปัจจุบันก็เป็นได้และยังทำให้ผู้ปกครองของตัวเด็กๆได้เข้าใจถึงทักษะความถนัดและความชอบของตัวเด็กๆผ่าน
รูปแบบระบบการศึกษาที่เป็นระบบ Pre School ได้โดยถ้าหากภาครัฐให้ความสนใจและสามารถยกระดับคุณภาพของ
ระบบการศึกษาภายในประเทศไทยได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคตก็จะต้องผ่านระบบ p-school นี้เพ่ือที่จะช่วยแก้ไขปัญหา
การว่างงานและค่านิยมผิดๆต่อระบบการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดขอคูรูปแบบของการว่างานนั้นรวมไป
ถึงค่านิยมผิดๆต่อระบบของทางด้านการศึกษาเองก็มีส่วนมาจากการที่คนภายในประเทศหรือประชากรภายในประเทศ
เองให้ความสำคัญต่อระบบการศึกษาที่ผิดผิดยกตัวอย่างเช่นการที่ประชากรหรือบุคลากรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับ
วิชาคณิตศาสตร์ภาษาไทยวิทยาศาสตร์และอังกฤษเพียงแค่ 4 วิชานี้ถ้าหากเด็กๆที่อยู่ในระบบการศึกษาเก่งก็จะถูกยก
ย่องว่าเป็นเด็กจลาดแต่ถ้าเด็กคนไหนที่ไม่มีความถนัดในด้าน 4 วิชานี้จะถูกมองว่าเป็นเด็กที่ไม่ฉลาดและไม่เก่งซึ่งมัน
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 232
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
เป็นค่านิยมที่ถูกปลูกฝังมานานมากๆผ่านรูปแบบระบบการศึกษาภายในประเทศซึ่งการนำ p-school เข้ามามีส่วนร่วม
ในด้านของระบบการศึกษาก็จะช่วยให้ลบในเรื่องของมุมมองและทัศนคติของผู้สอนได้มากที่สุดเพราะจะทำให้เข้าใจถึง
ตัวประชากรในระบบการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร
ภายในประเทศและยังสามารถมีอาชีพที่เด็กๆทุกคนใฝ่ฝันและสามารถนำโอกาสในด้านของการค้นหาตนเองนำไป
ประกอบอาชพี ไดใ้ นอนาคต
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบทบาทและมุมมองในด้านของการวิเคราะห์จากการสัมมนาในหัวข้อของการเรียนออนไลน์
ในกลุ่มเด็กปฐมวัยและเป็นการวิเคราะห์ในส่วนของเนื้อหาการพูดคุยกับเพื่อนในชั้นเรียนตลอดการสัมมนาและยังมี
การนำเสนอเกี่ยวกับรูปแบบและวิธีการแก้ไขปัญหาในด้านของการเรียนออนไลน์ในยุคปัจจุบันและรวมไปถึงการค้นหา
แนวทางและนำทัศนคติและความรู้ไปประยุกต์ใช้ที่สามารถเป็นทางออกในด้านของทักษะการเรียนออนไลน์ในยุดปัจุบัน
ได้ซึ่งในส่วนนี้เองจากการที่ได้มีการนำเสนอและพูดคุยในหัวข้อและประเด็นนี้ทำให้ได้เห็นถึงรูปแบบและความสำคัญว่า
เพ่ือนๆในช้นั เรียนมีมุมมองและความคดิ เห็นอย่างไรเกยี่ วกับการศกึ ษาการเรยี นออนไลนใ์ นเด็กปฐมวยั
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 233
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทที่ 5 สรุปและข้อเสนอแนะ
สรปุ
จากการได้รวบรวมข้อมูลทำให้ได้เห็นถึงรูปแบบชองสภาพปัญหาที่เป็นกลุ่มเด็กปฐมวัยกำลังเผชิญอยู่ใน
ปัจจุบัน ซึ่งหากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไปจะมีแต่ผลเสียเพราะเด็กทุกคนต่างจะ สูญเสียช่วงเวลาที่ถือเป็นการเรียนรู้ท่ีดีที่สุด
ของช่วงชีวิตไป ซึ่งจากปัญหาการเรียนออนไลน์ที่ไม่สามารถทำให้สอดคล้องต่อระบบการศึกษาในประเทศไทยและขัด
ตอ่ พฒั นาการของเดก็ ปฐมวยั เนอื่ งจากการได้แลกเปลยี่ นพดู คยุ ถึงประเดน็
ทำให้ได้เห็นถึงแง่มุมต่าง ๆ ที่มองเห็นว่าหากเป็นการทำงานในบทบาทนักสังคมสงเคราะห์เราสามารถมีส่วนช่วยในการ
ประสานงานหรือความช่วยเหลือจากหน่วยงาน องค์กรต่างเพื่อให้มามีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ได้ ทั้งใน
อนาคตและปัจจุบัน ถ้หากภาครัฐสนใจในการปรับเปลี่ยนระบบโครงสร้างของการศึกษาไทยและจะส่งผลดีอย่างมาต่อ
บรบิ ทของการศกึ ษาไทยทง้ั ในปจั จบุ นั และอนาคต
ข้อเสนอแนะ
-ควรมกี ารค้นหาขอ้ มลู เกยี่ วกบั ระบบการศกึ ษาที่มคี วามหลากหลายมากกว่าเดิมจากในเน้อื หาปกติ
-ควรมีการเปรียบเทียบในเรื่องของระบบเทคโนโลยีที่ต่างประเทศนำมาใช้ต่อระบบการศึกษาที่สามรถนำไปสู่
การเปรียบเทียบต่อระบบการศึกษาไทยได้ ซึ่งจะทำให้เพื่อนๆที่เข้าร่วมการสัมมนาได้เห็นมุมมองที่มีความ
หลากหลายมากยง่ิ ขึ้นตอ่ ตวั บรบิ ทของระบบการศกึ ษา
-ควรมีการเสริมประเด็นในด้านของสุขภาพร่างกายของตัวเด็กปฐมวัยว่าถ้าหากมีการเรียนออนไลน์ที่เป็น
ระยะเวลานานจะส่งผลอยา่ งไรตอ่ สุขภาพ
-ควรมีการให้เพื่อนๆได้มีการแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับมุมมองในด้านของการจัดการแก้ไขปัญหาทางด้านการ
เรียนออนไลน์ในกลมุ่ เดก็ ปฐมว่าวัยถ้าหาไมเ่ รยี นออนไลน์ควรจะทำอะไร
-ควรมีการเสริมมุมมององค์ประกอบรอบด้าน ของตัวเด็กในการเรียนออนไลน์ในกลุ่มเด็กปฐมวัยว่า
องค์ประกอบรอบด้าน ควรมีอะไรบ้างที่นำไปสู่การเรียนออนไลน์ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด อธิเช่น สภาพ
สังคม สิ่งแวดล้อม บุคคล เป็นต้น องค์ประกอบเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่มีผลต่อ การเรียนออนไลน์ ถ้าหากได้
มกี ารนำข้อมลู เหล่านี้เขา้ ไปเพิม่ จะทำใหก้ ารแรกเปล่ยี นในการสัมมนาครง้ั น้ีดมู คี วามน่าสนใจมากยิง่ ขึ้น
-ควรมีการสอดแทรกวิธีการรับมือและยับยั้งอารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับปัญหาทางด้านความรุนแรงที่เกิดข้ึน
ต่อตัวเด็ก เพราะจากประเด็นนี้เองการที่เด็กเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้านในบางครอบครัวนั้น ผู้ปกครองจะมีการ
เฝ้าอยู่ข้างเพื่อที่เด็กจะ ได้เกิดความเกรงกลัว และ เกิดความกดดันต่อตัวเด็กและนำไปสู่การตั้งคำถามที่
ผู้ปกครองตั้งคำถามต่อตัวเด็กในเรื่องบทเรียนขณะเรียนอยู่ซึ่งในบางครอบครัว พ่อ แม่ อาจะไม่ทราบถึง
พื้นฐานทางค้านความรู้ของเด็กว่ามีพื้นฐานทางความรู้มากน้อยเพียงใดและเข้าใจถึงตัวบทเรียนมากขนาด
ไหน ซึ่งในส่วนน้ีเองบางครอบครัวเค็กไม่สามรถที่จะตอบคำถามที่ผู้ปกครองตั้งคำถาขึ้นมาได้และตัว
ผู้ปกครองส่วนใหญม่ กั เกดิ อารมณ์ที่ โมโหซึ่งส่วนนเ้ี องอาจนำไปสคู่ วามรนุ แรงทเ่ี กิดข้ึน
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 234
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
คุณแมว่ ยั ใส
ศิรภัสสร เปง็ งำเมอื ง 6105615246
วชริ ญาณ์ ร่วมจติ ร 6105700527
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 235
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
คำนำ
รายงานกลุ่มครอบครัวคุณพ่อคุณแม่วัยใสฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการเรียนวิชาดค.369 โดยมี
จุดประสงค์มุ่งเน้นให้นักศึกษาจัดนำหัวข้อการจัดสัมมนานั้น สามารถนำประเด็นที่ได้ในการแลกเปลี่ยนกันระหว่าง
สัมมนามาเพื่อหวังว่าจะสามารถรวบรวมความรู้หรือเนื้อหาข้อมูลกการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ในวัยเรียน
หรือวัยใสที่ไม่พึงประสงค์ และยังสามารถนำมาเป็นแนวทางการให้ความช่วยเหลือแหละบทบาทของนักสังคม
สงเคราะห์อีกดว้ ย
กลุ่มผู้จัดทำได้เลือก หัวข้อนี้ในการทำรายงาน เนื่องจาก เป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีปัญหามาตลอดใน
สังคมไทยรวมถึงเป็นการสะท้อนให้เห็นปัญหาที่ แก้ยากในสังคมคือการตั้งครรภ์ในวัยใสผู้จัดทำจะต้องขอขอบคุณ
(ผศ.ดร. ปิ่นหทัย หนูนวล) ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษา กลุ่มผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็น
ประโยชนต์ ่อไป
นายศิรภัสสร เปง็ งำเมือง คณะผูจ้ ัดทำ
นางสาววชริ ญาณ์ ร่วมจติ ร 6105615246
6105700527
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 236
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
ท่มี าและความสำคญั
การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นตามนิยามขององค์การอนามัยโลกหมายถึงการที่สตรีตั้งครรภ์อายุระหว่าง 10-19 ปี
(World Health Organization (WHO), 2017) ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์ก่อนวัยที่เหมาะสมในการเป็นมารดาและอีก
ความหมายหนึ่งคือการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าเนื่องจากไม่มีความรู้เรื่องการคุมกำเนิด
ที่ถูกต้องหรือไม่ได้ใช้วิธีการคุมกำเนิดเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ซึ่งการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวอาจทำให้เด็ก
ทารกท่คี ลอดออกมามคี วามผิดปกติหรือมสี ุขภาพรา่ งกายไม่สมบรู ณ์แข็งแรง หรือเปน็ การตัง้ ครรภท์ ี่ไมพ่ ร้อม
ปัจจุบันปัญหาคุณแม่วัยใสหรือหญิงที่ตั้งครรภ์และมีบุตรในช่วงวัยเรียนถือเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญปัญหา
หนึ่งของประเทศไทย และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเร่ือย ๆ ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการขาดเรียน
ของกลุ่มคณุ แมว่ ัยใส คณุ ภาพในการดแู ลเลี้ยงดเู ดก็ ทค่ี ลอดออกมา รวมถึงปญั หาทางด้านคา่ ใชจ้ ่ายต่าง ๆ
คุณแม่วัยใสส่วนมากจึงจะเป็นปัญหาของผู้ปกครองของตัวคุณของคุณแม่วัยใสที่ต้องรับผิดชอบชีวิตของ
ทั้งสองชีวิตเพราะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ไม่เพียงพอและในตัวอย่างที่ผู้ร่วมสัมมนานั้นได้ยกตัวอย่างมา ผู้ใช้บริการไม่ได้
บอกผู้ปกครองว่าตนตั้งครรภ์ และยังขอค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากผู้ปกครองมาใช้สอยดูแลเด็กที่คลอดออกมาโดยไม่ได้
ทำงานหรือหาเงินเองอีกด้วย อีกทั้งความคิดและการตัดสินชีวิตของตัววัยใสที่ท้องก่อนวัยอันควรบางรายอาจ
ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยวิธีการทำแท้ง นอกจากนั้น การซื้อยาทำแท้งมารับประทานเองหรือทำแท้งตามคลินิกเถื่อนอาจ
เสี่ยงเกิดผลข้างเคียงร้ายแรง เช่น ตกเลือด ติดเชื้อ มดลูกทะลุ ซึ่งล้วนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตบางสิ่งบางอย่างเราก็
ไมส่ ามารถตดั สินใจแทนหรอื หา้ มตวั ของเขาได้
ขอ้ มลู จากสถิติ พบวา่
เนื่องจากประเทศไทยไม่มีข้อมูลการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นโดยตรงดังนั้นในการติดตามสถานการณ์การตั้งครรภ์
ในวัยรุ่นของประเทศไทยปัจจุบันกรมอนามัยใช้ข้อมูลที่สำคัญ 3 ตัวชี้วัดคืออัตราการคลอดมีชีพในหญิงอายุ 10-14 ปี
อัตราการคลอดมีชีพในหญิงอายุ 15-19 ปีและร้อยละการตั้งครรภ์ในหญิงอายุต่ำกว่า 20 ปีโดยข้อมูลอัตราการคลอด
มีชีพจากสำนักบริหารการทะเบียนกรมการปกครอง (ฐานข้อมูลทะเบยี นราษฎร์) นับว่ามีความถูกต้องแม่นยำมากที่สุด
ข้อมูลอัตราการคลอดจากฐานทะเบียนราษฎร์ปีล่าสุดที่ได้รับจากกองยุทธศาสตร์และแผนงานสำนักงานปลัดกระทรวง
สาธารณสุขคือข้อมูลการคลอด พ.ศ. 2562 ส่วนร้อยละการตั้งครรภ์ในหญิงอายุต่ำกว่า 20 ปีนั้นใช้ข้อมูลจากระบบ
คลังข้อมูลสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข (Health Data Center: HDC) โดยข้อมูลสถานการณ์ล่าสุดใน พ.ศ. 2562 มี
ดังนี้ 1. อัตราการคลอดมชี ีพในหญิงอายุ 10-14 ปี พ.ศ. 2562 เท่ากับ 1.1 ต่อพันซึ่งลดลงจากอัตราการคลอดสูงที่สุด
ในปี พ.ศ. 2555 คือ 1.8 ต่อพันและมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ โดยค่าเป้าหมายของชี้วัดนี้ในปีงบประมาณ 2563 ไม่เกิน
1.1 ต่อพันอตั ราการคลอดมีชพี ใบหญงิ อายุ 10-14 ปี
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 237
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
สถิติแม่วัยใส เมื่อวันที่ 22 พ.ย.63 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า
สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานสถานการณ์แม่วัยใสว่า อัตราการมีบุตรของวัยใสอายุ 15 ถึง 19 ปีใน
ประเทศไทยในภาพรวมลดลงจาก 51 คนต่อประชากร 1,000 คนในปี 2558 เหลือ 23 คนต่อประชากร 1,000 คน ในปี
2562 ยังพบอัตราการมีบุตรของแม่วัยใสมากในภาคเหนือและภาคใต้ โดยภาคเหนืออัตราการมีบุตร 42 คนต่อ
ประชากร 1,000 คน ภาคใต้อัตราการมีบุตร 35 คน ต่อประชากร 1,000 คน และอัตราการมีบุตรของแม่วัยใสที่อายุต่ำ
กว่า 15 ปี มากที่สุดคือร้อยละ 0.8 โดยแม่วัยใสส่วนมากมีการศึกษาน้อย คือจบการศึกษาระดับประถมศึกษามากที่สุด
130 คนต่อประชากร 1,000 คน และจะลดลงเรื่อย ๆ ตามระดับการศึกษาของผู้หญิงที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าการ
รักษาการคงอยู่ในระบบการศึกษามีส่วนสำคัญในการช่วยลดปัญหาดังกล่าว รวมทั้งครัวเรือนยากจนจะมีปัญหาแม่วัย
ใสสูงกวา่ ครัวเรอื นรายไดส้ ูง
ข้อมูลปัจจุบัน ของการบริการ 1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม พบช่วงการระบาดโควิด-19 มี
หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อมขอรับบริการปรึกษาทางเลือกเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โดยมีสถิติสูงสุดในเดือนพฤษภาคม 2564
รวม 4,461 คน เฉลี่ย 149 คนต่อวัน เป็นหญิงอายุต่ำกว่า 20 ปีถึง 26 คน มากกว่าช่วงสถานการณ์ปกติคือ เดือน
ตุลาคม 2563 ที่มีผู้ขอรับคำปรึกษาเพียง 2,490 คน เฉลี่ย 83 คนต่อวัน เป็นหญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี 16 คน ส่วนใหญ่
มีอายุครรภ์น้อยกว่า 12 สัปดาห์ สอดคล้องกับข้อมูลจากเว็บไซต์อาร์เอสเอไทย ที่มียอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ในเดือน
พฤษภาคม 2564 สูงถึง 208,022 ครั้ง โดยหน้าที่มีการเข้าถึงสูงสุดคือ หน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับสถานบริการยุติการ
ตั้งครรภ์ มีการเข้าชมถึง 43,665 ครั้ง เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อมหลังจากปรึกษาทางเลือก
ร้อยละ 70-90 มีความประสงค์ยุติการตั้งครรภ์เนื่องจากปัจจัยแวดล้อม ทั้งสุขภาพตนเอง ครอบครัว เศรษฐกิจ
และสังคม
การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเกิดจากปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกันหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นประเพณีและวัฒนธรรมท่ี
นิยมให้ผู้หญิงแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ความยากจน การขาดโอกาสด้านการศึกษา การมีเพศสัมพันธ์จากอิทธิพล
ของการใช้แอลกอฮอล์และสารเสพติด การไมไ่ ด้รับข้อมูลเกี่ยวกับอนามัยการเจริญพันธุ์ การขาดความรู้และเข้าไม่ถึง
วิธีการคุมกำเนิด การใช้วิธีการคุมกำเนิดที่ไม่ถูกต้อง แรงกดดันจากเพื่อนที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน การถูกล่วง
ละเมิดทางเพศรวมถึงการห่มจีนและถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ ความรุนแรงในครอบครัวปัจจัยเหล่านี้มีความสัมพันธ์
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 238
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
เชื่อมโยงกันเช่นในสังคมที่ผู้หญิงมีโอกาสทางการศึกษาน้อยหรือฐานะความเป็นอยู่ที่ยากจนเป็นเหตุให้วัยรุ่นหญิงต้อง
ออกจากโรงเรียนกลางคันหรือต้องพึ่งพาค่าใช้จ่ายในการเรียนหนังสือการขาดความรู้และทักษะที่จะป้องกันตัวจาก
การถูกล่วงละเมิดทางเพศการอยู่ในภาวะที่ไม่คิดว่าจะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์จึงไม่ได้ป้องกันไม่ได้ใช้ถุงยางเป็นต้น
ในณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่เปล่ียนไปล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นหรือยั่วยุให้เด็กมีเพศสัมพันธ์
ในวัยเรียนเช่น สถานบันเทิงสื่อต่างๆรวมทั้งภาพยนตร์ละครโทรทัศน์สื่อสิ่งพิมพ์สื่ออิเลกโทรนิกส์และเครือข่ายการ
สื่อสารสังคมรูปแบบต่างๆการที่วัยรุ่นหลายคนต้องแยกมาอาศัยอยู่ในหอพักโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแลประกอบกับการท่ี
วัยรุ่นไม่เห็นความสำคัญของการป้องกันตัวหรือคุมกำเนิดตลอดจนบาดทักษะการเจรจาต่อรองเพื่อปฏิเสธการมี
เพศสัมพันธ์หรือต่อรองให้สามารถมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยการบังคับใช้กฎหมายต่างๆเพื่อส่งเสริมให้มีการ
คุ้มครองสิทธิของเด็กยังไม่มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ดังจะเห็นได้จากจำนวนนักเรียนที่ออกจากโรงเรียนกลางคันทั้งๆ
ที่กฎหมายกำหนดให้เด็ก ๆ และวัยรุ่นเหล่านี้ต้องอยู่ในวัยเรียนจนกว่าจะจบการศึกษาภาคบังคับในขณะเดียวกัน
ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับอนามัยการเจริญพันธุ์ซึ่งจะช่วยรับประกันการเข้าถึงบริการต่างๆที่เหมาะกับ
วัยรุ่นซึง่ เปน็ วยั ทรี่ า่ งกายกำลงั มีการเปลีย่ นแปลงและเป็นวยั ทก่ี ำลงั ต้องการความสนใจ
สรุป
การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเป็นการสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาสในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างหน่ึง
อย่างเช่นการที่เด็กหรือวัยรุ่นบางกลุ่มไม่ได้รับการศึกษาเรื่องเพศศึกษาที่เหมาะสมกับวัยเป็นการถูกปฏิเสธสิทธิในการ
ได้รับความรู้และการพัฒนาตนเองการที่เด็กวัยรุ่นบางส่วนตั้งครรภ์เนื่องจากถูกล่วงละเมิดทางเพศเป็นการละเมิด
สิทธิของเด็กที่จะได้รับความคุ้มครองนอกจากนี้ถือได้ว่าแม่วัยรุ่นบางคนที่มีอาการแทรกซ้อนจากการคลอดก่อนวัยอัน
ควรถูกละเมิดสิทธิในการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานจากสถานการณ์ การตั้งครรภ์ไม่พร้อมที่ได้ลดลงไปแล้วนั้นกลับ
กลายเป็นปญั หาขึน้ มาอีกในขณะที่สถานการณ์ในประเทศไทยปัจจบุ นั ทก่ี ำลงั เผชิญกับสถานการณโ์ ควิด
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนปัญหาการเข้าไม่ถึงบริการอนามัยเจริญพันธุ์ ทั้งการคุมกำเนิด การป้องกัน
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากสถานพยาบาลหรือหน่วยบริการมีภารกิจหลักในการค้นหาและดูแลผู้ป่วยโควิด-
19 ส่งผลให้เกิดข้อจำกัดต่อบริการอนามัยเจริญพันธุ์ ทั้งการคุมกำเนิด การป้องกันโรค ซึ่งมีผลต่อสุขภาวะทางเพศ
ของคนไทยเป็นอย่างมาก และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์โดยที่ไม่พร้อมหรือไม่ได้มีการวางแผน
ครอบครัวเพมิ่ มาก
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 239
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
แนวคดิ /ทฤษฎวี ัยใส
Erikson ( 1968 ) ได้มองว่า วัยใสเป็นวัยท่ีมนุษย์พยายามค้นหาความต้องการที่แท้จริง เรียนรู้บทบาทหน้าที่
และพัฒนาความสามารถเฉพาะตน เพื่อวางแผนชีวิตต่อไปในอนาคต ซึ่งถ้าในระยะนี้วัยใสประสบความสำเร็จในการ
ค้นหาเอกลักษณ์ของตัวเอง ก็จะส่งผลให้วัยใสเข้าใจในบทบาทหน้าที่ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักความสามารถของตน
รวมทั้งมีการวางแผนที่เหมาะสม ในทางตรงกันข้าม หากเกิดความล้มเหลวในการค้นหาเอกลักษณ์เฉพาะตน วัยใสก็จะ
สับสนในบทบาทหน้าที่ และมผี ลกระทบต่อการเติบโตเปน็ ผูใ้ หญใ่ นอนาคต
จากกรณีศึกษาที่ได้ศึกษานั้นแนวคิด/ทฤษฎีที่เกี่ยวกับวัยใสก็เป็นแนวคิด/ทฤษฎีที่มีความสำคัญในการ
ปฏิบัติงานทางสังคมสงเคราะห์กับการมองในภาพของความเป็นเอกลักษณ์ของวัยใสรายบุคคล ลักษณะเฉพาะของแต่
ละบุคคล เช่น ลักษณะนิสัย ความคิดและทัศนคติต่าง ๆ ในการวางแผนชีวิตในอนาคต เป็นต้น ซึ่งรวมไปถึงในการ
มองสภาพแวดล้อมรอบข้างของตัววัยใสด้วยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัววัยใส ที่ทำให้มผี ลกระทบต่อตัววัยใสในการ
เตบิ โตเป็นผูใ้ หญ่ในอนาคต
แนวคดิ เกย่ี วกับการต้ังครรภใ์ นแมว่ ัยรุ่น
หมายถึงการตั้งครรภ์ในผู้หญิงหรือผู้ที่มีอายุระหว่าง 10-19 ปีโดยถืออายุ ณ เวลาที่คลอดบุตรเป็นเกณฑ์
จำแนกได้ 2 กลุ่มคือการตั้งครรภ์ในผู้ที่มีอายุระหว่าง 10-14 ปีและการต้ังครรภ์ในผู้ที่มีอายุระหว่าง 15-19 ปีโดย
การศึกษาครั้งนี้ใช้แม่วัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15-19 ปีเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีอัตราการตั้งครรภ์สูงสุด (สำนักงาน
ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, 2559) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นที่พบ
จากงานวิจัยมีหลายประการทั้งด้านประเพณีวัฒนธรรมความยากจนการขาดโอกาสในการศึกษาอิทธิพลของ
แอลกอฮอล์การใช้สารเสพติดและการขาดความรู้เกี่ยวกับอนามัยการเจริญพันธุ์ซึ่งการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไม่ได้มีสาเหตุ
จากวัยรุ่นเพียงเท่านั้นการเลี้ยงดูของครอบครัวสภาพแวดล้อมคุณลักษณะของผู้เลี้ยงดูล้วนส่งผลต่อการตั้งครรภ์ใน
วัยรุ่นทั้งสิ้น (นฤมลนิราทร, 2561) โดยผลกระทบต่อวัยรุ่นที่ชัดเจน ได้แก่ การต้องเผชิญและปรับตัวต่อสถานการณ์
อันเป็นผลจากการตั้งครรภ์ทั้งปัญหาสุขภาพกายสุขภาพใจการศึกษาอาชีพตลอดจนการปรับตัวต่อการดำรงบทบาท
แม่ (ชดุ าณัฏฐข์ นุ เพชร, 2557
ทฤษฎีเกี่ยวกบั การปรับตวั
จากการศึกษาทฤษฎีของนักวิชาการหลายท่านสามารถสรุปได้ว่ามนุษย์จำเป็นต้องเผชิญกับการปรับตัว
ตลอดเวลาเพื่อรักษาความสมดุลของร่างกายจิตใจสังคมและเพื่อให้ตนเองสามารถใช้ชีวิตได้ภายใต้สถานการณ์
แวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในครอบครัวที่อยู่ในระยะเริ่มเลี้ยงดูบุตรหรือระยะที่บุตรคนแรกคลอดนับเป็นช่วงที่
ครอบครัวต้องเผชิญต่อภาวะวิกฤติเพราะเป็นช่วงของการปรับตัวโดยเฉพาะการปรับตัวเข้าสู่บทบาทความเป็นพ่อแม่
(Duvall, 1962 อ้างถึงในชุดาณัฏฐ์ขุนเพชร, 2557) เช่นเดียวกับแม่วัยรุ่นเม่ือเกิดการตั้งครรภ์และคลอดบุตรจะต้อง
เผชิญต่อการเปลี่ยนแปลงหลายด้านอันเกิดจากสภาวะความเครียดความกดดันส่งผลให้ต้องปรับตัวใน 3 ด้าน ได้แก่
ด้านร่างกายด้านจิตใจและด้านสังคมเพื่อให้แม่วัยรุ่นเกิดความรู้สึกมั่นคงจนสามารถดำรงบทบาทแม่ได้อย่างมี
ความสุข (จอมขวญั เกตุแกว้ , 2555)
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 240
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
ทฤษฎบี ทบาทการเปน็ แม่และพฒั นกจิ หญงิ ตงั้ ครรภข์ อง May and Mahlmeister
ทฤษฎีนี้ของ May and Mahlmeister (1994 อ้างถึงในกิ่งดาวแสงจินดา, 2559) กล่าวถึงพัฒนกิจการเป็น
แม่ไว้ 6 ระยะคือ (1) การยอมรับการตั้งครรภ์หญิงตั้งครรภ์จะมีความรู้สึกหลายอย่างร่วมกันเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์การ
ยอมรับการตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นเมื่อหญิงตั้งครรภ์ยอมรับความจริงเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ได้และหากการตั้งครรภ์มี
ความสำคัญต่อสามีหรือบุคคลในครอบครัวหญิงตั้งครรภ์จะยืนยันการตั้งครรภ์โดยการยอมรับการตั้งครรภ์เป็นพัฒน
กิจที่สำคัญเกิดขึ้นเป็นลำดับแรกและเกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดการตั้งครรภ์ (2) การสร้างสัมพันธภาพกับทารกการท่ี
หญิงตั้งครรภ์จะสร้างสัมพันธภาพกับทารกได้หญิงตั้งครรภ์ต้องรับรู้และยอมรับว่าทารกเป็นอีกหนึ่งชีวิตต้องมีการ
พูดคุยสร้างปฏิสัมพันธ์ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นความผูกพันระหว่างแม่และทารก (3) การปรับตัวต่อการ
เปลี่ยนแปลงในตนเอง 2 ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกายการปรับตัวด้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของการตั้งครรภ์โดยจะเริ่มทันทีที่การ
ตั้งครรภ์เกิดขึ้นและคงอยู่จนระยะหลังคลอดด้านอารมณ์เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตลอดจนความ
วิตกกังวลจากภาวะการคลอดการต้องรับผิดชอบต่อภาระผูกพันอันเกิดจากบทบาทความเป็นแม่ (4) การปรับตัวด้าน
การเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพกับคู่สมรส ได้แก่ ภาวะการพึ่งพาอาศัยด้านร่างกายอารมณ์สังคมและการเปลี่ยนแปลง
ด้านความสัมพันธ์ทางเพศหากได้รับการตอบสนองในทางที่ดีจะช่วยให้หญิงตั้งครรภ์สามารถปรับตัวต่อการตั้งครรภ์
การคลอดและการเป็นแม่ได้เป็นอย่างดี (5) การเตรียมสำหรับการคลอดและการเป็นแม่การปรับตัวต่อบทบาทการเป็น
แม่จะสมบูรณ์เมื่อหญิงตั้งครรภ์มีการเตรียมตัวสําหรับการคลอดและเตรียมตัวสำหรับบทบาทการเป็นแม่ (6) การ
ยอมรับบทบาทการเป็นแม่ความสำเร็จในการแสดงบทบาทแม่จะปรากฏชัดในระยะหลังคลอดโดยจะเกิดขึ้นเมื่อหญิง
ตง้ั ครรภ์รสู้ กึ พงึ พอใจสขุ สบายและรสู้ ึกว่าตนเองมีความสามารถเพยี งพอในการดำรงบทบาทแม่
แนวคดิ เกยี่ วกบั การให้ความช่วยเหลอื และสงั คมสงเคราะห์
แนวคิดบริการการสวัสดิการสังคม / บริการสังคมบริการสังคม (Social Services) เป็นบริการที่หน่วยงานผู้
ใหบ้ ริการสามารถเลอื กใหบ้ รกิ ารไดต้ ามความตอ้ งการของตนเป็นหน้าทค่ี วามรบั ผิดชอบอย่างหน่งึ ของรัฐและเอกชนใน
การจัดสรรสวัสดิการเพื่อสร้างเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมีจุดมุ่งหมายของป้องกันการบำาบัดความ
เดือดรอ้ นการสรา้ งและพัฒนาชวี ิตความเป็นอยู่ของประชาชนใหเ้ ปน็ ไปตามอตั ภาพ (ระพีพรรณคำหอม, 2557) ซง่ึ การ
ให้บริการสวัสดิการสังคมด้านเด็กต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดเป็นสําคัญโดยเด็กทุกคนต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือ
และคุ้มครองอย่างเสมอภาคต้องส่งเสริมให้ครอบครัวและชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดบริการโดยผู้ให้บริการต้องปฏิบัติ
ตามและสอดคล้องกับกฎเกณฑ์หรือข้อกำหนดในขอบเขตของกฎหมายและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กต้องส่งเสริม
ความเป็นอยู่และพัฒนาครอบครัวให้มีความเป็นอยู่อย่างสมศักดิ์ศรี (สำนักมาตรฐานพัฒนาสังคมและความมั่นคง
ของมนุษย์. 2547) โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญในการให้บริการสังคมเพื่อที่จะสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่มนุษย์
ใหม้ ากที่สุดเท่าทจ่ี ะมากได้ในทางเศรษฐกิจและสงั คมมาตราฐานความเป็นอยู่สขุ อนามยั โอกาสเท่าเทยี มกนั ในด้านต่างๆ
จีรพรรณกาญจนะจิตรา 2538) เมื่อพิจารณาจากบริการสังคมที่หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อมแล้วนั้นบริการสังคมหมายถึง
บริการหรือกิจกรรมต่างๆที่รัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจหรือองค์กรเอกชนจัดขึ้นโดยมีหลักการไม่แสวงหากำไรเพื่อช่วย
หญิงตั้งครรภ์ไม่ปรารถนาเหล่านี้ในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมและป้องกันปัญหาในระดับต่างๆทั้ง
ปัญหาส่วนตัวปัญหาครอบครัวปัญหาสังคมตลอดจนการฟื้นฟูทางด้านบุคลิกภาพความสามารถหรือศักยภาพอันเป็น
ส่วนหนึ่งขององคป์ ระกอบงานสวสั ดกิ ารสงั คมตรงึ เนตรพรรณดวงเนตร, 2538
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 241
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
หลกั การปฏิบัติงานบรกิ ารสวสั ดิการสงั คม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ประมาณถาวรพรหม, 2552 อ้างในกระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์, 2547) กล่าวถึงหลักการปฏิบัติงานสวัสดิการสังคม 1) หลักการยอมรับการที่ผู้ให้บริการ
ยอมรับในสภาพความรูส้ กึ ทา่ ทขี องผูร้ บั บรกิ ารยอมรบั ว่าทุกคนมีคุณค่ามศี ักด์ศิ รีความเปน็ มนุษย์เข้าใจความหมายและ
สาเหตุของความคิดและการกระทำของผู้รับบริการโดยปราศจากอคติจะทำให้ผู้รับบริการรู้สึกเป็นมิตรเป็นอิสระ
ปลอดภัยและไว้ใจที่จะเผยเรื่องราวทำให้ผู้ให้บริการสามารถช่วยเหลือได้ตรงประเด็น 2) หลักการตัดสินใจด้วยตัวเอง
ให้ความเคารพในการตัดสินใจของผู้รับบริการเคารพในสิทธิส่วนบุคคลสามารถกำหนดและรับผิดชอบวิถีชีวิตของ
ตนเองแนวทางการแก้ไขปัญหาของบุคคลได้และผู้ให้บริการไม่ควรตัดสินใจแทนผู้รับบริการ 3) หลักการไม่ตำหนิผู้
ให้บริการต้องไม่ตำหนิผู้รับบริการ แต่ควรมีการประเมินทัศนคติหรือการกระทำเพื่อบรรลุเป้าหมายในการแก้ปัญหา
ด้วยตนเองโดยประเมินจากพฤติกรรมทางสังคมว่าสามารถกระทำได้หรือไม่ได้มากกว่าตัดสินว่าถูกหรือผิด 4) หลัก
ปัจเจกบุคคลผู้ให้บริการต้องเข้าใจความแตกต่างของแต่ละบุคคลที่มีลักษณะกลุ่มชุมชนที่แตกต่างกัน 5) หลักการมี
ส่วนร่วมการมีส่วนร่วมร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการในการพิจารณาปัญหาเข้าใจปัญหาร่วมกันหาทาง
ออกจนถึงลงมือแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้รับบริการในการ
แก้ปัญหาด้วยตัวเอง 6) หลักการรักษาความปลอดภัยผู้ให้บริการต้องรักษาความลับไม่เผยแพร่ให้ผู้อื่นรู้นอกจาก
ได้รับอนุญาตจากผู้รับบริการ 7) หลักการตระหนักต่อตนเองเป็นการที่ผู้ให้บริการต้องมีความเข้าใจตนเองรับรู้ถึง
บทบาทและหน้าที่ที่ตนเองทำอยู่ต้องยึดมั่นในหลักการสามารถนำหลักการและทฤษฎีนั้น ๆ มาใช้อย่างเหมาะสมโดยมี
เป้าหมายงานบริการสวัสดิการสังคม 2 ประกาศ ได้แก่ 1) เพื่อส่งเสริมชีวิตครอบครัวให้มีสวัสดิภาพทั้งทางร่างกาย
และสุขภาพจิตที่ดีจะนำไปสู่ความสุขราบรื่นมั่นคงและปลอดภัยและ 2) เพื่อจัดบริการทดแทนที่มาสามารถอยู่กับ
ครอบครัวของตนเองได้ด้วยเหตุผลใดก็ตามงานบริการสวัสดิการสังคมจึงเป็นการเตรียมเพื่อให้เด็กมีชีวิตที่ดีอบอุ่น
และมีความพร้อมที่จะทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมต่อไปศรีทับทิมพานิชพันธ์. 2538) กล่าวได้ว่าบริการสวัสดิการสังคม
เป็นเป็นบริการสังคมที่หน่วยงานเลือกจัดบริกสวัสดิการเฉพาะกลุ่มบุคคลหรือตามนโยบายแนวทางของหน่วยงานนั้น
ซึ่งหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือแม่วัยใสจะมีส่วนรับผิดชอบในการจัดสวัสดิการสังคมให้แก่แม่วัยใสซึ่งการให้บริการ
สวัสดิการสังคมสําหรับแม่วัยใสต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของแม่วัยใสในฐานะผู้รับบริการแม่วัยใสทุกคนควรได้รับ
การดูแลและคุ้มครองอย่างเสมอภาคโดยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานหรือผู้ให้บริการควรคำนึงถึงการแก้ปัญหาร่วมกัน
ระหว่างแม่วัยใสและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานผู้ปฏิบัติงานต้องยอมรับสภาพความเดือดร้อนที่แตกต่างกันของแม่วัยใสเข้า
ขอรับบริการโดยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานต้องปราศจากอคติไม่ตำหนิให้เกียรติและทำให้แม่วัยใสรู้สึกเป็นมิตรปลอดภัยและ
เผยเรอ่ื งราวทำให้เจ้าหนา้ ท่ีปฏบิ ัติงานสามารถดำเนนิ การชว่ ยเหลอื ได้อยา่ งถูกตอ้ ง
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 242
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
ความรนุ แรงที่เกิดจากการตัง้ ครรภโ์ ดยไมพ่ รอ้ ม
ประเทศไทย มีเด็กผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จำนวนมาก ถ้ามองจากมุมการคุ้มครองสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์
สิทธิของเด็กผู้หญิงเหล่านี้ ถูกปฏิเสธทำให้ไม่สามารถเข้าถึงความรู้การศึกษา และบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ที่
เหมาะสม ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมอย่างรวดเร็ว เช่น การเติบโตของสังคมเมือง
และสังคมคนชั้นกลางที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทางเลือกและการพัฒนาสื่อทางเทคโนโลยีต่าง ๆ มีมากขึ้น แต่ใน
ขณะเดียวกันเด็ก และวัยใสกลับไม่ได้รับความรู้อย่างเหมาะสมกับวัยของพวกเขาอย่างเพียงพอ เพื่อให้สามารถรับมือ
และป้องกันตัวเองจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสาเหตุหลายประการปัจจัยหลาย
ประการทั้งปัจจัยทางด้านครอบครัวการศึกษาตลอดจนบริบททางสังคมวัฒนธรรมและสภาพสิ่งแวดล้อม ทำให้
ประเทศไทยมีจำนวนเด็กวัยใสที่ตั้งครรภ์จำนวนมาก วัยใสที่ตั้งครรภ์ส่วนหนึ่งอาจทำแท้งจากสถานการณ์ที่บังคับ
ส่วนหนึ่งอาจเลือกตั้งครรภ์ต่อไปจนคลอดกลายเป็น แม่วัยใส ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใดก็ตาม รายงานวิจัยจำนวนมาก
ยืนยันตรงกันว่า วัยใสยังเป็นวัยที่ไม่พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์และการเป็นแม่ ดังนั้นการเป็นแม่วัยใสจึงถือว่าเกิดจาก
การตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเพราะแต่งงานหรือตั้งใจจะตั้งครรภ์ก็ตาม การเปลี่ยนบทบาทจากวัยใสมาเป็นแม่
วัยใส วัยใสจำนวนหนึ่งที่ตั้งครรภ์และเป็นแม่วัยใสมักต้องแยกทางกับคู่ ในที่สุดทำให้ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาตาม
ลำพังเกิดสภาวะความไม่มั่นคงทางอารมณ์ทำให้เครียด และอาจมีภาวะซึมเศร้าเด็กผู้หญิงหลายคนต้องปกปิดเรื่อง
การตั้งครรภ์ต่อผู้ปกครองและคนรอบตัว จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตและเจ็บป่วยระหว่างตั้งครรภ์และคลอด
รวมทั้งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทารกน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่ามาตรฐาน คลอดก่อนกำหนดทารกมีภาวะแทรกซ้อน
หรือเสียชีวิตหลังคลอด และเด็กส่วนหนึ่งถูกทิ้งไว้ทโ่ี รงพยาบาล ความไม่พร้อมในการเลี้ยงดูบุตรของแม่วัยใส ยังทำให้
เด็กจำนวนหนึ่งถูกทอดทิ้ง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กไทยในอนาคต เด็กที่เกิดจากแม่วัยใส มีแนวโน้มที่จะเป็นแม่
วัยใสเมื่อเติบโตขึ้น ดังนั้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยใส ด้วยมาตรการที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยตัด
วงจรการเป็นแม่วัยใสไม่ให้เกิดขึ้นกับประชากรรุ่นต่อ ๆ ไปทำให้วัยใสมีสุขภาวะทางเพศที่ดีมีโอกาสทางการศึกษาและ
สามารถใช้ศักยภาพของตนเอง อย่างเต็มที่เพื่อที่จะเติบโตเป็นวัยแรงงานที่มีคุณภาพต่อไป ซึ่งบรรทัดฐานของสังคม
เรื่องเพศในสังคมไทยมีบรรทัดฐานทางเพศแตกต่างกันผู้หญิงถูกคาดหวังให้ประพฤติตัวเรียบร้อยโดยเฉพาะเรื่องการ
พูดจาและความสัมพันธ์ทางเพศวิถี การสอนเรื่องเพศศึกษาสมัยก่อนมักเรียนรู้อย่างอ้อม ๆ อยู่ในรูปแบบวรรณกรรม
ต่าง ๆ คำสอนของศาสนาคําคมสุภาษิตภาพวาดของจิตรกรที่สอดแทรกการเรียนรู้ในลักษณะสัมพันธ์ชาย การรับ
กระแสนิยมเรื่องเพศภาวะและเพศวิถีจากตะวันตกเช่นการแต่งกายที่เน้นถึงสัดส่วนการทักทายโดยการกอดการ
สัมผัสการได้มีโอกาสพบปะและทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้นเรื่องการสัมผัสตัวชายหญิงจะผ่อนปรนมากขึ้นการรักนวล
สงวนตัวจึงมักถูกเน้นในประเด็นเรื่องการรักษาความบริสุทธิ์ก่อนแต่งงานของผู้หญิงค่อนข้างมากโดยเฉพาะผู้หญิงที่
ถูกจับตามองเป็นพิเศษคือเด็กสาวที่กำลังอยู่ในวัยรุ่นซึ่งสังคมมองว่ายังไม่ถึงวัยที่ควรจะมีเพศสัมพันธ์ ในขณะท่ี
ผู้ชายมีการปฏิบัติตัวเร่ืองเพศไม่เคร่งครัดมากสังคมไทยขัดเกลาผู้ชายว่าควรมีประสบการณ์เรื่องเพศก่อนการ
แต่งงานการสะสมประสบการณ์แบบที่เรียกกันว่า "ฟันผู้หญิง” ได้รับการยอมรับเป็นบรรทัดฐานในกลุ่มผู้ชายดังนั้น
ชายไทยแท้ในกรอบเพศภาวะที่ว่านี้จึงต้องเป็นผู้ชายที่เจนโลกโลกีย์มีทั้งทักษะและความรู้ที่อาจสั่งสมได้จาก
เพศสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวจากการอ การปลูกฝังเรื่องเพศของสังคมไทยมักอยู่ในรูปแบบการห้ามและการสนับสนุน
ให้ทำเช่นการรักนวลสงวนตัวการประพฤติปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเช่นการแต่งกายเรียบร้อยการแสดงออกเรื่องเพศซึ่ง
ชี้ให้เห็นถึงคำสอนต่าง ๆ ท่ีควบคุมเรื่องเพศโดยใช้อำนาจทางวัฒนธรรมเป็นกลไกควบคุมผ่านความคิดเชิงจา
ประเพณีนี้หรือชุดความคิดต่าง ๆ ผ่านวาทกรรมหลายแบบหลากหลายช่องทางและสร้างวัฒนธรรมทางเพศสอง
มาตรฐานขึ้นมานั่นคือการใช้ความรู้ความเข้าใจและค่านิยมต่อเรื่องเพศวิถีต่างชุดกันในการสั่งสอนผู้หญิงกับผู้ชาย
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 243
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
โดยผู้ชายจะได้รับการปลูกฝังเรื่องเพศแบบหนึ่งและผู้หญิงจะถูกปลูกฝังอีกแบบ ครูส่วนมากยังยอมรับว่ารู้สึกอึดอัด
ใจในการสอนเพศศกึ ษาให้แกว่ ัยรุ่นบิดามารดาและคนทวั่ ไปเองมองว่าการสอนเพศศึกษาเปน็ การช้โี พรงให้
การจัดสวสั ดกิ ารเพ่ือชว่ ยเหลอื แมว่ ัยใส
รูปแบบที่ควรมีการจัดสวัสดิการเพื่อการแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมของวัยใสเพื่อให้ได้รับ
ผลประโยชน์ มีดงั นี้
1. จิตใจ การจัดหน่วยงานให้คำปรึกษาเยียวยาด้านจิตใจเพื่อบำบัดรักษาฟื้นฟูด้านร่างกายจิตใจและสังคมแก่แม่วัยใส
และครอบครวั
2. การศึกษาต่อ การจัดสรรทุนการศึกษาโดยส่งเสริมและสนับสนุนทุนการศึกษาแก่แม่วัยใสที่ขาดแคลน การจัด
หน่วยงานให้คำปรึกษาและแนะแนวการศึกษาต่อโดยบริการให้คำแนะนำการศึกษาต่อหรือแนะแนวการศึกษาทางเลือก
กรณีไมส่ ามารถกลับไปเรยี นไดเ้ ตม็ เวลา
3. เศรษฐกิจ การจัดหน่วยงานการฝึกอาชีพสร้างรายได้โดยการจัดให้มีการฝึกอาชีพตามความสนใจและความถนัด
แก่แม่วัยใสที่ประสงค์จะเข้ารับการฝึกอาชีพและประสานงาน เพื่อจัดหางานให้แม่วัยใสได้ประกอบอาชีพตามที่ได้รับการ
ฝึกอบรมมา รวมถึงการจัดบริการให้คำปรึกษาแนะแนวทางการประกอบอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมแก่แม่วัยใสก่อน
เข้าสู่ตลาดแรงงานหรือจัดบริการจัดหางานโดยเฉพาะแก่กลุ่มแม่วัยใสที่ผ่านการฝึกอาชีพรวมท้ังการพัฒนาฝีมือ
แรงงานเพ่ือใหก้ ลุ่มแมว่ ัยใสเป็นแรงงานท่ีมคี ณุ ภาพในอนาคต
4. การเลี้ยงดูบุตร การจัดหน่วยงานให้คำปรึกษาคำแนะนำด้านการเลี้ยงดูบุตรโดยให้คำปรึกษาให้ทักษะความรู้เรื่อง
การดูแลแม่วัยใสระหว่างตั้งครรภ์อย่างเหมาะสมเรื่องการเลี้ยงดูบุตรพัฒนาการตามวัยของบุตร-การจัดหน่วยงาน
บริการปัจจัยพื้นฐานด้านการเลี้ยงดูบุตรเช่น นม วัคซีน ฯลฯ โดยการจัดให้แม่วัยใสที่คลอดบุตรแล้วไปตรวจสุขภาพ
หลังคลอดตามนัดและการนำบุตรไปรับวัคซีนตามโปรแกรมที่แพทย์กำหนด-การจัดสรรทุนการศึกษาของบุตรโดยการ
สง่ เสรมิ สนับสนุนเงินช่วยเหลือการศึกษาบตุ รในกรณแี ม่วยั ใสขาดแคลนเป็นต้น
5. ครอบครัว การปรับทัศนคติของพ่อแม่ในการยอมรับความผิดพลาดของวัยใส เช่น การจัดตั้งคลินิกพ่อแม่เพื่อให้
เป็นกลไกให้ความรู้และให้คำปรึกษาแก่พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกในวัยใส การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่เป็นปัญหาต่าง ๆ
ของลูกวัยใสรวมถึงการส่งเสริมสนับสนุนให้ครอบครัวของพ่อและแม่วัยใสเข้าช่วยเหลือเพื่อประคับประคองให้พ่อและ
แม่วัยใสร่วมกันรับผิดชอบเลี้ยงดูบุตรที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุดจากรูปแบบสวัสดิการเพื่อการป้องกันและแก้ไขไรเหาการ
ตั้งครรภ์ไม่พร้อมของวัยใสและปัจจุบันสังคมไทยได้ผลักดันให้มีกฎหมายที่ครอบคลุมให้กับครอบครัวพ่อแม่วัยใส
รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนให้เด็กท้อง แต่เมื่อท้องและอยู่ในวัยใส ก็ต้องดูแลกันเพื่อให้แม่วัยใสมีชีวิตที่มั่นคง ใครไล่เด็กท้อง
ออกจากโรงเรียน ก็คือทำผิดกฎหมาย ครม. ได้อนุมัติร่างกฎกระทรวงการจัดสวัสดิการสังคมที่เกี่ยวกับการป้องกัน
และแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยใส ซึ่งรัฐต้องจัดสวัสดิการสังคมและบริการต่าง ๆ ให้แม่วัยใส เช่น การฝึกอาชีพ
จัดหาพ่อแม่บุญธรรมในกรณีที่แม่วัยใสไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ บริการให้คำปรึกษา จัดหาที่พักที่ปลอดภัย และจัดการ
ศึกษาให้แม่วัยใสอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ยังได้กำหนดให้มีการทำงานเชิงรุก โดยส่งเสริมให้สภาเด็ก
และเยาวชนทุกระดับสร้างเครือข่ายเยาวชนในพื้นที่เพื่อเป็นแกนนำป้องกัน แก้ไข และเฝ้าระวังปัญหาการตั้งครรภ์ใน
วัยใส และสนับสนุนให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้รับข้อมูลข่าวสารและความรู้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติ
หน้าที่และเฝ้าระวัง และได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปรง กฎหมาย รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาให้
ข้อมูลถึง ผลการประชุมว่า ครม. ได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการจัดสวัสดิการสังคมที่เกี่ยวกับการป้องกัน และแก้ไข
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 244
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยใส ท่ีกำหนดให้รัฐต้องจัดสวัสดิการสังคมที่เกี่ยวกับการป้องกัน และการแก้ปัญหาการ
ต้ังครรภใ์ นวยั ใส สำหรบั สวสั ดกิ ารทจี่ ะช่วยเหลือคณุ แมว่ ยั ใสนัน้ มี 3 เรอื่ ง ไดแ้ ก่
1. กำหนดให้กรมกิจการสตรี และสถาบันครอบครัวมี การฝึกอาชีพหรือจัดหาที่ฝึกอาชีพให้แก่แม่วัยใสที่ประสงค์จะเข้า
รับการฝึกอาชพี ตามความสนใจ และความถนดั
2. กำหนดให้กรมกิจการเด็ก และเยาวชน จัดหาผู้ประสงค์ที่จะรับเลี้ยงดูบุตรของแม่วัยใสเป็นการชั่วคราวเพื่อทำ
หน้าที่ครอบครัวทดแทนในกรณีที่แม่วัยใสไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรได้ โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์ของเด็ก และได้รับความ
ยินยอมจากแมว่ ัยใส
3. กำหนดให้กระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์จัดให้มีบริการให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำแก่วัยใส และ
ครอบครัว และให้จัดหาที่พักที่เหมาะสม ปลอดภัย รวมถึงประสานหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องให้แม่วัยใสได้รับการศึกษา
อยา่ งเหมาะสม
ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจปัญหาด้านการเงิน เป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งที่แม่วัยใสต้องเผชิญ
ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่ากินอยู่ค่านมค่าผ้าอ้อมค่ารักษาพยาบาลและค่าอุปกรณ์ที่จำเป็นในชวี ิตประจำวันต่าง ๆ ทำให้
แม่วัยใสซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยเรียนไม่มีรายได้เป็นของตัวเองและยังอาศัยรายได้จากครอบครัวและสามีเป็นหลัก
ต้องการความช่วยเหลือภาระหน้าที่ความเป็นแม่ทำให้แม่วัยใสที่ออกจากระบบการศึกษากลางคัน ไม่สามารถกลับไป
เรียนต่อได้ ซึ่งส่งผลต่อการไม่มีงานทำหรือหากมีงานทำก็เป็นงานที่มีรายได้ไม่มากนัก เช่น รับจ้างทั่วไป แม่วัยใสเห็น
ว่าการจัดหาอาชีพและให้โอกาส เพื่อนำความรู้ไปประกอบอาชีพต่อไปในกรณีที่ต้องออกจากระบบการศึกษาจะช่วยให้
เขามีรายได้ สำหรับการดูแลตนเองและแบ่งเบาภาระของครอบครัวแม่วัยใสหลายรายต้องการได้รับโอกาสในการ
ฝึกอบรมหรือเพิ่มทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพตามความสนใจ เช่น งานฝีมือเสริมสวย เป็นต้น อีกทั้งต้องการ
ให้มีการจัดหางานหรือมีอาชีพเสริมที่สามารถทำอยู่ที่บ้านได้เนื่องจากมีความจำเป็นต้องเลี้ยงดูลูกจึงไม่สามารถออกไป
ทำงานไดใ้ นระยะแรกหลงั การคลอดบตุ ร
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 245
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
ประเดน็ ท่ีไดห้ ลังจากการสมั มนา
ประเด็นวุฒิภาวะมีความสำคัญกับความพร้อมในการตั้งครรภ์อย่างไร ซึ่ง วุฒิภาวะนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่าง
หนึ่งในการเกิดปัญหาของคุณแม่วัยใสเพราะเด็กบางคนที่ตั้งครรภ์นั้นเกิดจากความไม่รู้ ความอยากรู้อยากลองหรือ
ความรักในช่วงเวลาเวลาหนึ่ง จึงเกิดเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในสังคม เรื่องปัญหาเด็กที่ท้องไม่พร้อมหรือตั้งครรภ์
ก่อนวัยอันควรมีสูงมาก เพราะการคบเพื่อนต่างเพศเป็นเรื่องที่ปกติของวัยรุ่น เด็กบางคนมีอิสระในการใช้ชีวิต
สามารถทำอะไรได้ตามใจตัวเองมากขึ้น และเรื่องเทคโนโลยีก็ก้าวหน้าไปมากทำให้การติดต่อสื่อสารกันระหว่างเพื่อน
ต่างเพศเป็นเรื่องที่ง่ายมากโดยมากเมื่อเกิดการตั้งครรภ์ อาจจะต้องออกจากโรงเรียนปัญหาต่อมาคือเด็กที่เกิดมา
ได้รับการดูแลที่ไม่ถูกต้อง ขาดการดูแลเอาใจใส่ หรือบางคนตัดสินใจด้วยการทำแท้งซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดทางศีลธรรม
อย่างมากการทำแท้งจะส่งผลกระทบจิตใจต่อผู้ทำและยังส่งผลเสียต่อด้านร่างกายอีกด้วย และวัยรุ่นที่มีปัญหา
เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ มักจะนึกถึงการยุติการตั้งครรภ์เอง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อยามาใช้เอง หรือใช้บริการคลินิกเถื่อน
ในทางนี้ไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหาที่ดีเพราะอาจส่งผลถึงสุขภาพในอนาคตหรือช่วงเวลานั้นเสี่ยงการติดเชื้อหรือเกิดตก
เลือดได้ ดังนั้นหากครอบครัวหรือสถาบันให้ความสำคัญกับเด็ก วัยรุ่น ทำให้เด็กเข้าถึงความรู้ที่แท้จริงปัญหาเหล่านี้ก็
อาจจะลดน้อยยลงไป
การแก้ไขปัญหาวัยรุ่นท้องไม่พร้อมต้องเริ่มจาก ครอบครัว คนในครอบครัวควรให้ความรักและเอาใจใส่
เด็ก ๆ ให้มาก ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่กับตัวเองมากเกินไป และสถาบันการศึกษาก็มีส่วนสำคัญมากเพราะเป็นที่ ๆ เด็ก
ใช้เวลาอยู่มากพอๆ กับอยู่บ้าน ควรการสอนหรือแนะนำการใช้ชีวิตและวิธีการมีเพศสัมพันธ์รวมไปถึงการป้องกันอย่าง
ละเอียด เพ่ือให้เด็ก วัยรุ่นเข้าใจถึงปัญหาหรือความเสี่ยงทจ่ี ะเกิดขึ้นในอนาคตและมีวุฒิภาวะในการควบคุมดูแลตนเอง
ไดม้ ากยง่ิ ข้นึ
ประเด็นชว่ งวยั กับความเหมาะสมที่สงั คมกำหนดน้นั ถกู หรอื ผิด มีช่วงวยั ที่เหมาะสม
การมีช่วงวัยที่เหมาะสำหรับการมีเพศสัมพันธ์หรือการตั้งครรภ์นั้นมีความสำคัญอย่างหนึ่งเพราะการเลี้ยงดู
บุตรหรือเด็กคนหนึ่งหรือการจะมีครอบครัวต้องมีการวางแผนชีวิตที่ดี คือ การกำหนดเป้าหมายของชีวิตในด้านต่าง ๆ
การวางแผนชีวิตเป็นกระบวนการนำไปสู่วัตถุประสงค์ที่วางไว้ โดยมีแนวทางที่แน่นอน ซึ่งประกอบด้วยหลักการ และ
เหตุผลที่มีประสิทธิภาพ เป็นการวางแผนชีวิตของบุคคลจะช่วยให้บุคคลปฏิบัติตามแนวทางหรือกรอบที่วางไว้ ซึ่ง
เปรียบเสมือนพิมพ์เขียว ของการสร้างบ้านก็ว่าได้ เพราะเมื่อช่างก่อสร้างได้ดูพิมพ์เขียวแล้วก็ลงมือทำการก่อสร้าง
บ้านได้ตามแผนที่วางไว้ ฉะนั้นการวางแผนชีวิตจึงมีความสำคัญอย่างมาก การตระเตรียมชีวิตเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ
หรือเป้าหมายที่วางไว้ การวางแผนชีวิตเป็นกระบวรการบริหารจัดการไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำอย่างไร ทำเมื่อไร ใคร
เป็นคนทำ และจะใช้วัสดุอุปกรณ์อะไรบ้าง งบประมาณเท่าไร ซึ่งเป้าหมายแนวทางสำหรับปฏิบัติให้สำเร็จตามเป้าหมาย
และวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ทำให้บุคคลเกิดความมั่นใจที่จะทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้มีการ
วางแผนชีวิตไว้เหมือนกับชีวิตขาดเป้าหมายและอาจพบปัญหามากมาย ทำให้ชีวิตไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด
ไว้ ไม่ได้ผลเท่าที่ควรทั้งที่มีการวางแผนไว้อย่างดี ในบางครั้งเรากำหนดเป้าหมายและแผนของชีวิตไว้เป็นอย่างดี
แล้วแต่ก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ มีอุปสรรคเกิดขึ้นจนได้ แต่เราก็สามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็วว่าที่เรา
ปฏิบัตินั้นมีขั้นตอนไหนผิดไปจากแผนที่กำหนดไว้ การวางแผนหรือการกำหนดเป้าหมายของชีวิตก็ยังทำให้เรา
สามารถตรวจสอบเรื่องที่ผิดพลาดได้ง่ายว่าที่ผิดพลาดนั้นเกิดจากสาเหตุหรือขั้นตอนใด และทำให้สามารถหาแนว
ทางแก้ไขได้ทัน ดังนั้นการดำเนินชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุขหรือประสบความสำเร็จในชีวิตจงึ จำเป็นต้องมีการกำหนด
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 246
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
เป้าหมาย และวางแผนชีวิตไว้ล่วงหน้าชีวิตจึงจะมีความสุขการวางแผนชีวิตครอบครัว หมายถึง การวางแผนร่วมกัน
ของคู่สมรสในเรื่องที่จะทำให้ชีวิตสมรสยั่งยืนผาสุก ซึ่งได้แก่ การจัดการในบ้าน ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของ
ครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว เครือญาติ และเพื่อน การวางแผนครอบครัว การอบรมเลี้ยงดูให้
การศึกษาและวางอนาคตให้แก่บุตร จึงเห็นได้ว่าการมีความพร้อมการมีช่วงวัยที่เหมาะสมนั้นมีความสำคัญไม่ว่าจะเป็น
ในเรอ่ื งของวุฒิภาวะ ความคิดหรือฐานะทางเศรษฐกิจสิง่ เหล่าเปน็ ความจำเปน็ อยา่ งยิง่ ในการเตรยี มพร้อมทจี่ ะมบี ตุ ร
วิเคราะหผ์ ลกระทบของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสงั คมของคุณพอ่ คณุ แม่วัยใส
สื่อในปัจจุบันมีความหลากหลายและเข้าถึงคนดูได้ง่ายและกว้างขวางโดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์และสื่อออนไลน์
เช่น เว็บไซต์ลามกอนาจารที่สามารถเข้าถึงวัยใสได้ง่ายและมีอิทธิพลอยา่ งมากต่อพฤติกรรมของวัยใสในปัจจุบัน สิ่งยั่ว
ยุที่ถูกนำเสนอตามสื่อต่าง ๆ เช่น ฉากการพลอดรักข่มขืนในหนังและละครการแต่งกายที่ล่อแหลมของตัวละครและ
นักแสดงที่เห็นจนชินตา ทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบโดยไม่มีการคัดกรองในหมู่วัยใสและกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่
เสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่ยังไม่พร้อม ซึ่งนำไปสู่การตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยใสแม้ว่าภาครัฐจะมีการควบคุม
การนำเสนอทางสื่อที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นทางหนึ่งในการลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ไม่พร้อมของวัยใส เช่น
การเซ็นเซอร์ภาพที่ล่อแหลมและไม่เหมาะสมการจัดระบบความเหมาะสมและประเมินเนื้อหาของสื่อโทรทัศน์ หรือการ
รณรงค์เรื่องการคุมกำเนิด แต่ผู้ให้สัมภาษณ์กลับเห็นว่าเป็นวิธีการที่ไม่ได้ผลเท่าใดนักเพราะรณรงค์ไปก็ไม่ทำอยู่ดี
และเป็นการรณรงค์แค่ชั่วคราว เพราะภาพที่ล่อแหลมและสิ่งยั่วยุให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ของวัยใสนั้นยังคงถูก
นำเสนออยู่ตามสื่อต่าง ๆ และมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับการจัดเรตติ้งรายการโทรทัศน์ที่ผู้ให้สัมภาษณ์เล่าว่า ไม่รู้ว่า
คืออะไร
ค่านิยมและวัฒนธรรมค่านิยมมีการเปลี่ยนแปลงในทุกยุคทุกสมัยซึ่งทำให้วัฒนธรรมที่เคยปฏิบัติสืบทอดกัน
มาได้จางหายไป ในยุคปัจจุบันวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลต่อวิธีชีวิตของคนไทยโดยเฉพาะวัยใสซึ่งเป็นวัย
อยากรู้อยากลองและมักทำตามกระแสนิยมเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ทำกันและต้องการเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อน
และสังคม ในขณะเดียวกันวัฒนธรรมตะวันตกได้หลั่งไหลเข้ามาและครอบงำวิถีชีวิตของวัยใส ในปัจจุบันการจับมือถือ
แขนและการกอดจูบแสดงความรักในที่สาธารณะการอยู่ก่อนแต่งตามแบบตะวันตกได้กลายเป็นค่านิยมที่วัยใสยึดถือ
และปฏิบัติเมื่อค่านิยมการรักนวลสงวนตัวได้หายไปจากสังคมไทยยุคปัจจุบันการปฏิบัติตามประเพณีที่ถูกต้องตาม
ครรลองครองธรรม ได้จางหายไปด้วยการมีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรสการอยู่กินกันก่อนแต่งจึงไม่ใช่เรื่อง ที่ผิดแปลกไป
จากค่านิยม แต่เป็นเรื่องที่ ใคร ๆ ก็ทำ รวมถึงวัยใสในปัจจุบันที่ยึดถือค่านิยมที่ว่า วัยใสต้องมีแฟน ทำให้การมี
เพศสัมพันธ์ในขณะที่ยังไม่พร้อมนั้นกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบันมากข้ึน และนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของการ
ต้ังครรภไ์ ม่พร้อมในวัยใสและเมือ่ มกี ารต้ังครรภ์ข้ึนแม้ว่าแรก ๆ จะรู้สึกอายเวลาถูกเพื่อนนนิ ทาแม่วัยใส เชน่ กไ็ มแ่ ปลก
เพราะปีหน้าเดี๋ยวก็มีรุ่นน้องท้องอีกเรื่องของหนูก็ตกไป จากคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความละอายต่อการทำผิด
ครรลองครองธรรมไดจ้ างหายไปด้วยอย่างไรก็ตามเมื่อพอ่ แม่รู้วา่ ลกู ทอ้ งกม็ ักจับแตง่ งานเพ่ือให้ถกู ตอ้ งตามประเพณี
การเลี้ยงดูบุตร ครอบครัวแม่วัยใสส่วนใหญ่ทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองแม้ว่าแม่วัยใสส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่
กับพ่อแม่หรือพ่อแม่ของสามีหรือของตนเอง แต่พ่อแม่และสามีหรือตนเองต้องออกไปทำงานทำให้แม่วัยใสต้องเลี้ยงดู
ลูกเป็นหลัก จึงไม่มีเวลากลับไปเรียนการใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลี้ยงลูกและหน้าที่รับผิดชอบที่เพิ่มข้ึน ทำให้แม่วัยใส
เกิดความเครียดเพราะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองและไม่มีเวลาสมาคมกับเพื่อนในวัยเดียวกัน เหมือนคุณแม่วัยใสหลาย
รายประสบกับปัญหาเรื่องการบำรุงครรภ์และการเลี้ยงดูลูกหลังคลอด เช่น ด้านโภชนาการการเลือกอาหารเสริมและ
ขาดความรู้เรื่องการฉีดวัคซีนที่จำเป็นต่าง ๆ แต่ ไม่รู้จะปรึกษาใคร และไม่มั่นใจว่าจะสามารถเลี้ยงลูกให้เหมาะสมตาม