CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 47
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
และมีอัตราการเสียชีวิตที่มากกว่าบุคคลปกติจากสถิติของไทยช่วงวัยชราที่ยังคงอยู่คิดเป็น 0.99 % ของจำนวนช่วง
วัยทำงาน ซึ่งอาจหมายความได้ว่ามีจำนวนบุคคลออทิสติกที่เสียชีวิตไปถึง 99 % ของจำนวนบุคคลออทิสติกช่วงวัย
ทำงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสถิติที่ปรากฎจะเป็นจริงตามนั้นทั้งหมด จำนวนบุคคลออทิสติกช่วงวัยชราที่มีจำนวน
น้อยอาจมีสาเหตุจากการเข้าไม่ถึงระบบการลงทะเบียน แต่ถ้าหากเป็นตามการคาดเดาคือเสียชีวิตจริง ก็เป็นเรื่องที่น่า
เป็นห่วงและควรให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันมีเทคโนโลยีการรักษาโรคออทิสติก มีทรัพยากรทางบุคคล
ที่จะช่วยให้การสนับสนุนการดูแลบุคคลออทิสติกและครอบครัวที่ต้องดูแลบุคคลออทิสติก รวมถึงเทคโนโลยีที่จะช่วย
ขยายโอกาสและสนับสนุนให้บุคคลออทิสติกเข้าถึงการลงทะเบียนเพื่อรับบัตรคนพิการได้มากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้สถิติ
การเสียชีวิตของบุคคลออทิสติกมีจำนวนที่ลดลงได้ และสามารถมีอายุเฉลี่ยที่ยาวนานมากขึ้นโดยเขาได้รับการดูแล
รักษา ฟื้นฟูอย่างเหมาะสม รวมถึงในช่วงวัยทำงานที่มีจำนวนมากถึง 42.73% จะทำอย่างไรให้บุคคลออทิสติก
สามารถเขา้ ถงึ อาชพี และรายไดท้ ี่สามารถเลย้ี งดแู ลตนเองไดอ้ ย่างมัน่ คงและครอบคลมุ ค่าใช้จา่ ยทงั้ หมด
การให้สวัสดิการแก่บคุ คลหรือครอบครวั ทีม่ บี ุคคลออทิสตกิ
การดูแลบุคคลออทิสติกนั้นมีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากซึ่งก่อให้เกิดภาระหนี้สินตามมา และยิ่งต้องเสียสละ
อาชีพเพื่อดูแลบุคคลออทิสติกก็จะยิ่งทำให้เกิดภาวะขัดสนทางรายได้ ถึงแม้ว่า ณ ปัจจุบันมีการให้เบี้ยยังชีพคนพิการ
แก่คนออทิสติกแล้ว แต่เบี้ยยังชีพยังไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้ อีกทั้งสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการ
รักษาพยาบาลที่ยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายการรักษา ในครอบครัวที่ยากจนก็จะถูกผลักออกไปให้ห่างจากการเข้าถึงการ
รักษาพยาบาลท่ีดีส่งผลให้ไม่ได้รับกรพัฒนาการของบุคคลออทิสติกอย่างต่อเนื่อง ทำให้กลายเป็นคนพิการถาวรได้
ทั้งนี้รัฐควรคำนึงถึงค่าบริการพื้นฐานที่สถานพยาบาลให้บริการเฉพาะด้านออทิสติกค่ายานอกบัญชีหลักที่มีความ
จำเปน็ ต่อการรกั ษา และคา่ ใช้จา่ ยท่รี วมถึงอปุ กรณ์ตา่ งๆในการบำบดั แกบ่ คุ คลออทิสติกเพ่ิมเติม
การให้การสนับสนุนในรูปแบบพี่เลี้ยงที่จะช่วยดูแลแบบชั่วคราวหรือถาวรตามความต้องการและความ
เหมาะสม ให้การอบรมและประเมินความสามารถของครอบครัวในการดูแลบุคคลออทิสติกให้ครอบครัวได้เป็นส่วนหนึ่ง
ในการสนับสนุนหลักที่ทำให้ได้การพัฒนา ฟื้นฟูอาการโรคที่เกิดขึ้นของบุคคลออทิสติกการจัดให้มีหน่วยงานหรือ
ทีมงานพิเศษที่ดูแลเฉพาะด้านอย่างต่อเนื่อง การจัดวางแผนระบบหน่วยรับผิดชอบอย่างเป็นระบบจะช่วยให้การความ
ยั่งยืนในการให้ความช่วยเหลือ ช่วยให้ไม่มีการทับซ้อนระหว่างหน่วยงาน และสร้างความทีมงานที่มีความเข้าใจอย่าง
ถูกต้องเพ่ือให้ความช่วยเหลอื แกค่ นออทสิ ตกิ อย่างถกู ต้องและเหมาะสม
ครอบครัวทีต่ อ้ งดแู ลเดก็ ออทสิ ตกิ หรือบุคคลออทสิ ตกิ
ในบางครั้งผู้ดูแลหรือครอบครัวที่เป็นผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยต้องได้รับความกดดันและความเครียดเป็นอย่างมาก
ซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจ ในบางครั้งมีสมาชิกครอบครัวบางคนที่ไม่สามารถยอมรับในความพิการที่เกิดขึ้นได้ ส่งผลให้
ความสัมพันธ์ในครอบครัวเกิดความสั่นคลอน หรือความเครียดจากการดูแลเกินไปทำให้ผู้ดูแลมีสภาพทางจิตใจท่ี
ผิดปกติหรือไม่สามารถหาทางระบายอารณ์และความรู้สึกภายใต้สถานการณ์กดดันได้ หรืออาจนำไปสู่การใช้ความ
รุนแรงภายในครอบครัวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการอาการของเด็กที่เกิดขึ้นซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเด็กและ
สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว สภาพจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกของผู้ดูแลหรือครอบครัวท่ีต้องดูแลบุคคลออทิสติกจึง
สำคัญมาก การที่ให้ความดูแล ใส่ใจในผู้ป่วยน้ันต้องเริ่มจากความสบายกายสบายใจของผู้ดูแลก่อน มิเช่นนั้นผู้ดูแลจะ
กลบั กลายเปน็ ผู้ปว่ ยเองไดเ้ ชน่ กนั
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 48
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
สรุปและข้อเสนอแนะ
ผู้จัดสัมมนาได้นำข้อมูลที่ทำการค้นคว้ามาวิเคราะห์และเรียบเรียงเป็นข้อสรุปเกี่ยวกับบทบาทของนักสังคม
สงเคราะห์ที่มีต่อกลุ่มเด็ก และครอบครัวที่ต้องดูแลเด็กที่อยู่ในกลุ่มออทิสติก และนโยบายที่จะช่วยสนับสนุนให้
ครอบครวั สามารถดูแลเดก็ ออทิสตกิ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ดงั ต่อไปน้ี
บทบาทนักสังคมสงเคราะหท์ ีม่ ีต่อเดก็ และครอบครวั ท่ีตอ้ งดูแลเด็กทีอ่ ย่ใู นกลุ่มออทสิ ตกิ มีดงั นี้
1. ทมี คน้ หา
เนื่องจากเราไม่มีข้อมูลหรือจำนวนบุคคลออทิสติกที่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถรับรองได้ว่าบุคคลออทสิ ติกทุก
คนเข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่สามารถรับรองได้ว่าจะไม่มีใครตกหล่นและไม่มีใครอยู่ใน
สภาวะความลำบากที่เปน็ การลดทอนหรอื เปน็ อนั ตรายตอ่ ชวี ิตของบคุ คลออทสิ ติกได้เช่นกัน
นักศึกษาจึงเสนอบทบาทในการสนับสนุนให้นักสังคมสงเคราะห์มีการลงพื้นที่เพื่อค้นหาบุคคลออทิสติก ไม่ว่า
จะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียน ชุมชนหรือตามหน่วยครัวเรือน โดยมีการตรวจสอบอย่างรอบคอบและถี่ถ้วนว่า พื้นท่ีไหน
ที่มีบุคคลออทิสติก และจัดเก็บเป็นฐานข้อมูล นำรายชื่อเข้าสู่ระบบให้ได้รับสิทธิสวัสดิการทั่วถึงไปทุกพื้นที่ ทำให้บุคคล
ออทิสติกและครอบครัวได้รับโอกาสที่จะได้รับสวัสดิการขึ้นพื้นฐานและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเหมาะสม หรือใน
ครัวเรือนใดที่ประสงค์จะมีบุตรให้เข้ารับการตรวจสอบทางสุขภาพอย่างรอบด้าน เพื่อป้องกันความเสี่ยงตั้งครรภ์บุตร
ที่มีอาการดาวน์ชินโดรมและมีความเส่ียงเป็นออทิสติกในระยะยาว หรือให้คำปรึกษาเมื่อตรวจพบความผิดปกติในการ
ตั้งครรภ์ทางโครโมโชมอันอาจเป็นเหตุของอาการดาวน์ซินโดรมได้ นอกจากนี้ส่งผลให้เกิดอาการออทิสติกแทรกซ้อน
เม่ือโตขน้ึ หากตรวจพบได้เรว็ ก็จะชว่ ยใหค้ รอบครัวมที างเลอื กในการยุตกิ ารตั้งครรภ์ หรือวางแผนการรกั ษาต่อไปได้
รวมถึงการลงพื้นที่ค้นหาทรัพยากรเข้ามามีส่วนช่วยเหลือในการสนับสนุน ซึ่งอาจจะเป็นทรัพยากรที่มีจุดแข็ง
และมีความรู้เฉพาะทางด้านออทิสติกอยู่แล้ว หรือเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ทรัพยากรที่มีความเกี่ยวข้องกับ
กลุ่มเป้าหมายออทิสติกมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นแกนนำและเป็นที่พึ่งพาให้แก่ครอบครัวที่ต้องดูแลบุคคลออทิสติกในพื้นที่
ได้เข้าถึงบริการ และสวัสดิการด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น และระดมผู้เช่ียวชาญในแขนงต่างที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเด็ก
ออทิสติกมาให้คำแนะนำ คำปรึกษาหรือแนวทางในการดูแล รักษา ฟื้นฟูและป้องกันในระยะแก่ครอบครัวและสังคม
เพื่อไม่ให้เป็นการกระจุกตัวของความรู้อยู่แค่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ซึ่งประชาชนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่สามารถ
เขา้ ถึงได้
2. ทมี ประเมนิ
เมื่อครอบครัวให้กำเนิดบุคคลที่มีอาการดาวน์ชินโดรมจำเป็นต้องได้รับการประเมินศักยภาพของครอบครัวใน
การดูแล และประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดอาการออทิสติกเมื่อโตขึ้น หรือเมื่อครอบครัวตรวจพบว่าลูกของตนมีอาการ
ออทิสติก ลูกก็จะต้องถูกส่งต่อเข้าสู่กระบวนการรักษาทางการแพทย์ และครอบครัวต้องได้รับการประเมินความเข้าใจ
เกี่ยวกับโรคออทิสติก และความพร้อมในการดูแลเด็กออทิสติก ทั้งในด้านจิตใจ เศรษฐกิจสภาพแวดล้อมสังคม
ความสัมพันธ์ในครอบครัว เครือญาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีผลต่อการเลี้ยงดูและพัฒนาการของเด็กเป็นอย่างมาก จึงควร
ประเมินและส่งเสริมให้มีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวสามารถช่วยกันดูแล แบ่งเบา
ความเครียด และผ่านพ้นสถานการณ์กดดันในการเลี้ยงดูเด็กออทิสติกไปด้วยกันโดยไม่ทำให้ใครต้องรู้สึกแย่จากสิ่งที่
เกดิ ขนึ้
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 49
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
รวมถึงประเมินความสามารถของบุคคลออทิสติกในการดูแลตนเอง หรือความสนใจว่าสนใจเรื่องใด ด้วย
อาการของโรคแอสเพอร์เกอร์ที่จะสามารถทำได้ดีและหมกมุ่นในเรื่องที่ตนเองสนใจ หากได้รับการสนับสนุนอย่าง
ถูกต้องและถูกทางก็จะยิ่งช่วยให้บุคคลออทิสติกได้รับการยอมรับในสังคมเป็นการฟื้นฟูด้านสภาพจิตใจเสริมความ
เชื่อมั่นในตนเอง โดยการเสริมการเรียนรู้ตั้งแต่เด็กที่มีความสนใจในเรื่องใด ก็จะนำหัวข้อนั้นมาวางแผนในการเสริม
ความรู้แก่เด็กเมื่อโตขึ้น โดยเสริมทักษะที่จำเป็นในการประกอบอาชีพร่วมด้วย เพื่อจุดเป้าหมายสูงสุดคือ เขาสามารถ
ใชช้ ีวิตไต้ด้วยตนเองหรือสามารถประกอบอาชพี เลีย้ งชีพตนเองได้
3. ทมี แกไ้ ข ฟ้นื ฟู
นอกเหนือจากแพทย์ที่ให้การรักษาทางการแพทย์และคุณครูที่ให้ความรู้เพื่อพัฒนาด้านสติปัญญานักสังคม
สงเคราะห์ก็มีหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งในการเป็นพี่เลี้ยงที่ช่วยบำบัดฟื้นฟูพัฒนาการทางสังคม และความสัมพันธ์ใน
ครอบครัวด้วย เนื่องจากเด็กออทิสติก หรือแอสเพอร์เกอร์ที่มีความบกพร่องด้านการเข้าสังคมหากเด็กได้รับการ
ฝึกฝนให้พบเจอผู้คนและปรับตัวให้สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เด็กสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้
ด้วยตนเองและมีพัฒนาการของโรคไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนครอบครัวเองที่ต้องประสบช่วงเวลาที่ลำบากในการตัดสินใจ
และยอมรับสิ่งต่าง ๆ ก็ควรได้รับการฟื้นฟูด้วยเช่นกัน เพราะไม่ใช่ทุกครอบครัวที่สมาชิกจะสามารถเข้าใจและยอมรับ
ได้ สภาพจิตใจที่ต้องการการเยียวยา เพื่อให้มีความเข้มแข็งและไม่กดดันจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ก็จะช่วยให้
ความสัมพันธ์ในครอบครัวกลับมามั่นคงเหมือนเดิม ทำให้สมาชิกครอบครัวร่วมกันดูแลซึ่งกันและกันได้มากขึ้น การ
คลายเครียด การพูดคุยให้คำปรึกษา หรือการบำบัดแบบกลุ่มก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ครอบครัวหรือผู้ดูแลได้ผ่อน
คลาย มีกำลังใจและมคี วามรู้สกึ ที่ไม่ถกู ทอดทงิ้ ใหต้ ้องผ่านสถานการณ์ไปเพียงลำพงั
วิธีการรักษาหรือบำบัดด้วยการพูดคุย สื่อสาร แสดงท่ที สีหน้าอารมณ์กับครอบครัว หรือการเข้าสังคมผ่าน
การช่วยทำงานบ้าน การเล่นกับเด็กในช่วงวัยเดียวกันทำให้เขามีตัวอย่างในการแสดงออกหรือการเรียนรู้และพัฒนา
จากการเลียนแบบตัวอย่างในทุกวันก็จะช่วยฝึกฝนเด็กให้สามารถเข้าสังคมและมีความคุ้นซินกับผู้คนมากขึ้น' การ
สร้างความรู้และความเข้าใจในการดูแลอย่างถูกต้องก็เป็นเรื่องสำคัญทจ่ี ะช่วยปรับสมดุลในการดูแลบุคคลออทิสติกใน
ครอบครัวได้โดยไม่ให้เกิดความเครียดเกินไป ผ่านการกิจกรรมเวลาว่างด้วยกันนอกจากจะเสริมทักษะการเข้าสังคม
ให้แกบ่ คุ คลออทิสติกแล้วก็ยังเป็นการเสริมสร้างความสมั พนั ธ์ที่มัน่ คง
ให้แก่ครอบครัวอีกด้วย และเมื่อเด็กมีความหมกมุ่นหรือสนใจในเรื่องใดเราก็จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา
เรียนรู้จากหน่วยงานทางการศึกษาในเรื่องนั้น ๆ เช่น ศูนย์ฝึกอาชีพฯ ซึ่งเป็นไปตามความสามารถ และความต้องการ
ของเด็ก โดยไม่เร่งรัดและคาดหวังต่อเด็กจนมากเกินไปเป็นการวางแผนและสร้างความเคยชินในการปฏิบัติตนและใช้
ทักษะในการทำงานของบุคคลออทิสติกเมื่อโตขึ้น หรือเมื่อพ่อแม่จากไปเขาก็จะสามารถดำรงชีวิตได้ด้วยตนเอง และ
สามารถประกอบหาเลี้ยงชีพของตนเองหรือครอบครวั ตนเองไดใ้ นอนาคต
' หนงั สอื แนะนำ : เดก็ ออทสิ ติก คูม่ อื สำหรบั พอ่ แม/่ ผปู้ กครอง โดยสถาบนั ราชานกุ ูล
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 50
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
4. ทีมตดิ ตาม
ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงแรกเริ่ม การรักษาบำบัดฟื้นฟู หรือเสร็จสิ้นกระบวนการรักษาก็ยังคงต้องมีการติดตาม
พัฒนาการของเด็กออทิสติกและพัฒนาการของครอบครัวอยู่เสมอ ในช่วงแรกอาจจะมีการรายงานอย่างสม่ำเสมอถึง
กิจกรรมที่ครอบครัวได้ทำร่วมกับเด็ก แต่เมื่อมีการประเมินจนมั่นใจแน่แล้วว่าครอบครัวสามารถให้การดูแลได้อย่าง
ถูกต้องและเหมาะสมจึงปรับรูปแบบการติดตามเป็นการติดตามแบบห่างๆ และให้ความเป็นอิสระ และเป็นมิตรเสมือน
เพื่อนคอยเคียงข้างแก่ครอบครัว ไม่ใช่ในฐานะนักบำบัดหรือหมอสังคม เพื่อให้ครอบครัวมีอิสระในการดูแลตนเอง และ
ติดตามสภาพจิตใจของพ่อแม่หรือผู้ดูแลที่ต้องรับมือกับอาการของเด็กว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีข้อกังวลใจหรือความไม่
สบายใจอื่น I อีกหรือไม่ และเมื่อเด็กโตขึ้นมากพอที่จะสามารถแสดงความต้องการของตนเองได้เราก็ต้องสนับสนุนให้
ครอบครัวรับฟังความต้องการของเด็กด้วย การท่ีเด็กไม่สามารถใช้ชีวิตหรือคิดเองได้จากผลของโรคก็ไม่ได้เท่ากับว่า
สิ่งที่เด็กต้องการหรือสิ่งที่เด็กได้รับต้องเป็นสิ่งที่มาจากความต้องการของครอบครัวทั้งหมด แต่สิ่งที่จะเหมาะสมและ
ดที สี่ ดุ สำหรับเดก็ คอื ส่งิ ท่จี ำเปน็ และเปน็ ความต้องการของเดก็ เอง
รวมถึงหน้าที่การประสานงานครอบครัวท่ีต้องดูแลบุคคลออทิสติกกับทรัพยากรต่าง ๆ ที่จำเป็น การ
ประสานงานก็จะช่วยให้บุคคลหรือครอบครัวที่ต้องดูแลบุคคลออทิสติกสามารถเข้าถึงทรัพยากรเหล่านั้นได้ง่ายและ
เพื่อประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ ในการร่วมทำงานที่จะพัฒนาระบบในการเก็บข้อมูล การกระจายสวัสดิการไปยังทุก
พื้นที่ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่นำมาสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมและการดำรงชีวิตที่ดีของบุคคลออทิสติก
หรือครอบครวั ทต่ี ้องดแู ลบคุ คลออทิสตกิ
5. ทีมรณรงค์
บุคคลออทิสติกไม่สามารถปฏิเสธการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น ๆ ในสังคมได้ มีแต่ต้องมีการเรียนรู้ ฝึกฝนและ
ปรับตัวให้เข้ากับสังคม แต่ด้วยอาการของโรคทำให้บุคคลออทิสติกมีข้อจำกัดในการรับมือความแตกต่างและความ
เปลี่ยนแปลงได้ยาก การรณรงค์ให้สังคมทำความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสาเหตุการเกิดโรคที่ไม่ได้เกิดจากเวรกรรมทำมา
จากชาติที่แล้วที่จะเป็นการตีตราบุคคลออทิสติกและซ้ำเติมครอบครัวที่มีบุคคลออทิสติก ให้สังคมตระหนักถึงการอยู่
ร่วมกันในสังคมกับบุคคลออทิสติกอย่างเข้าใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัยและพร้อมให้ความช่วยเหลือในยามที่บุคคลออทิสติก
ต้องการความช่วยเหลือ หรืออย่างมากที่สุดคือ ไม่ทำให้การดำรงชีวิตของบุคคลออทิสติกเกิดอุปสรรคและก่อให้เกิด
การถดถอยของพฤติกรรม
รวมถึงการรณรงค์ให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนการตั้งครรภ์ ตรวจครรภ์ และการยุติการ
ตั้งครรภ์ได้เมื่อตรวจพบความผิดปกติ สร้างความเข้าใจใหม่ให้คนในสังคมเข้าใจว่าการยุติการตั้งครรภ์ไม่ใช่เรื่องที่ผิด
ศีลผิดบาป หรือเป็นการผ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่การยุติการตั้งครรภ์เป็นการเลือกหนทางหนึ่งในการมอบชีวิตที่ดีที่สุด
สำหรับเด็ก เป็นการป้องกันความเสี่ยงจากการความผิดปกติในการตั้งครรภ์ที่อาจส่งผลระยะยาวต่อตัวเด็ก และเป็น
การวางแผนชีวิตครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ และยังสามารถตอบสนองความต้องการของครอบครัว
ไดด้ ้วย
6. ทีมพฒั นา
การพัฒนาเป็นอีกหนึ่งบทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ เครื่องมือการ
ทำงาน พัฒนาทักษะความสามารถของตนและองค์กร โดยการเก็บข้อมูลวิจัยทางเลือก เช่น ค่าใช้จ่ายการดูแลรักษา
บุคคลออทิสติก อัตราการเสียชีวิตของบุคคลออทิสติก สภาพความเป็นอยู่ของบุคคลออทิสติก ความสนใจของบุคคล
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 51
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ออทิสติกที่สามารถส่งเสริมเป็นอาชีพได้ อาชีพของผู้ดูแลหลักที่ต้องดูแลบุคคลออทิสติก เป็นต้น เพื่อทราบถึงข้อมูล
ต่าง ๆ นำมาเรียบเรียงสรุปผลการเก็บข้อมูลวิเคราะห์ออกมาเป็นองค์ความรู้หรือเครื่องมือทางสังคมสงเคราะห์ท่ี
ก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้จริง เช่น การนำสถิติของบุคคลออทิสติกในแต่ละจังหวัดมาเรียบเรียงและใช้คาดการณ์
การเพิ่มขึ้นหรือลดลง เพื่อให้หน่วยงานสามารถวางแผนการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การเก็บข้อมูลเรื่อง
ค่าใช้จ่ายในการรักษาดูแลบุคคลออทิสติกนำไปสู่โยบายเบี้ยคนพิการที่ครอบคลุมการใช้ชีวิตมากขึ้น การค้นคว้า
ทรัพยากรที่นำมาจัดสรรในการรองรับผู้ป่วยออทิสติกที่อาจมีอัตราที่เพิ่มขึ้น หรืออุปสรรคที่ครอบครัวที่ต้องดูแล
บุคคลออทิสติกต้องเผชิญรวบรวมเป็นข้อมูล เพื่อนำไปสู่แนวทางในการรับมือและแก้ไขปัญหาแก่ครอบครัวอื่น ๆ ใน
การป้องกันและรับมือเมื่อเจอกับสถานการณ์เดียวกัน การส่งเสริมอาชีพที่บุคคลออทิสติกมีความสนใจและสอดคล้อง
กับทักษะความสามารถของเขานำไปสู่การส่งเสริมทางเศรษฐกิจนำรายได้มาแบ่งเบาครอบครัว หรือการนำร่องพัฒนา
หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะในการบำบัด ฟื้นฟูบุคคลออทิสติกและให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวที่ต้องดูแลบุคคลออทิ
สติกเป็นตัวอย่างแก่จังหวัดหรือพื้นที่อื่น ๆ เพื่อกระจายโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการแก่บุคคลหรือครอบครัวได้อย่าง
ทัว่ ถงึ
นโยบายช่วยสนับสนุนใหค้ รอบครวั ที่ต้องดแู ลบคุ คลออทิสตกิ ท่ีขับเคลือ่ นโดยนกั สงั คมสงเคราะห์
นอกจากบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ครอบครัวและบุคคลออทิ
สติกแล้ว นักศึกษาได้เล็งเห็นว่าที่ผ่านมาประเทศไทยมีการพัฒนานโยบายต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนและพัฒนาสวัสดิการท่ี
จะรองรับบุคคลออทิสติกมาโดยตลอด ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนาและดำเนินงานและยังไม่
มีการแยกหน้าที่เฉพาะเพื่อปฏิบัติงานที่มีขอบเขตงานเจาะจงมากขึ้นโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ สำหรับ
ออทิสตกิ นกั ศึกษาจงึ ได้วเิ คราะห์และสรปุ ออกมาเปน็ นโยบายตา่ ง ๆ ดังนี้
นโยบายดา้ นการวางแผน : การต้ังครรภ์ อาชพี การศกึ ษา
ออทิสติกเป็นโรคที่มีผลเด็กในระยะยาวมีความเกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่อครอบครัวและสังคมในวกว้าง
หากมีการวางแผนที่ดีจะช่วยให้ความเป็นอยู่และการดำรงชีวิตของทุกคนเป็นไปด้วยความสงบสุข ซึ่งการวางแผน
สามารถเร่ิมต้นได้ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ การเข้ารับบริการทางการแพทย์เพื่อประเมินความพร้อมทางด้านร่างกาย การ
เข้าพบนักจิตวิทยาเพ่ือประเมินความพร้อมทางด้านจิต การเข้าพบนักสังคมสงเคราะห์เพื่อประเมินความพร้อมทางด้าน
สังคม การประเมินต่าง ๆ นำมาสู่การป้องกันและเฝ้าระวังการเกิดโรคแก่เด็กในครรภ์แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้
แน่นอนว่า การวางแผนทั้งหมดจะสามารถป้องกันออทิสติกไม่ให้เกิดกับลูกของตนเองได้ ดังนั้นเมื่อตรวจพบอาการ
ออทิสติก การวางแผนการรับมือทางจิตใจของผู้ปกครองหรือพ่อแม่จึงเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากการรักษาหรือ
บรรเทาอาการของเด็กมีครอบครัวเป็นส่วนช่วยสำคัญที่มีผลอย่างมากการวางแผน การเตรียมความพร้อมจึงเป็น
เรื่องที่ละเอียดอ่อนขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแต่ละครอบครัว และไม่ใช่เพียงด้านการแพทย์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมี
มิติอื่นๆที่ได้รับผลกระทบจากโรคออทิสติกที่เกิดขึ้น เช่น มิติด้านเศรษฐกิจที่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอาชีพของบุคคล
ในครอบครัวจะเป็นอย่างไร มิติด้านความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ต้องอยู่ร่วมอาศัยและให้ความร่วมมือ มิติทางสังคม
และสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม หรือเมื่อเด็กโตขึ้นจะสามารถเลี้ยงชีพดูแลตนเองได้หรือไม่ โดยทุกอย่างย่อมได้รัผลกระทบ
จากโรคออทิสติกของเด็กที่ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสมกับเด็ก ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นก็ย่อมส่งผล
กระทบต่อตัวเด็กที่มีอาการออทิสติกเช่นกัน และ การวางแผนจึงสำคัญการจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาและ
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 52
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
คำแนะนำจะช่วยให้ครอบครัวสามารถหาทางออกที่ดีและเหมาะสมกับครอบครัวตนเองได้และเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อ
บคุ คลออทสิ ติก
นโยบายดา้ นการดแู ละสนับสนุน : พเ่ี ลีย้ ง
การมีลูกที่ป่วยเป็นโรคออทิสติกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่พ่อแม่ทุกคนจะสามารถปรับตัวได้ทันที ซึ่งโรคต่าง ๆ ที่
เกิดขึ้นกับลูกเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายและพ่อแม่ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ด้วยสัญชาตญาณการเป็นพ่อแม่จะหา
ตัวเลือกที่ดีที่สุดให้แก่ลูก เพื่อความปลอดภัยและการดำรงชีวิตที่ดีของลูก ดังนั้นการมีผู้ที่จะช่วยสนับสนุนพ่อแม่ให้
สามารถดูแลลูกได้อย่างเหมาะสมก็จะทำให้พ่อแม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีมากขึ้น ในหลายครอบครัวก็มีความ
แตกต่างกันไปอยู่กับรูปแบบความสบายใจ และความสะดวกของแต่ละครอบครัว เช่นพี่เลี้ยงชั่วคราวสำหรับนอก
สถานที่เมื่อเด็กต้องออกมาบำบัดที่โรงพยาบาลพี่เลี้ยงจะคอยช่วยและให้การเรียนรู้ไปพร้อมเด็กและครอบครัว พี่เลี้ยง
ชั่วคราวแต่ละช่วงวัยอาการของเด็กที่เกิดขึ้นมีความแตกต่างในแต่ละระยะของพัฒนาการ ครอบครัวจึงต้องมีความ
ยืดหยุ่นในการรับมือพี่เลี้ยงก็สามารถที่จะเข้าไปช่วยให้คำแนะนำในการรับมือต่างๆได้ เพื่อให้ครอบครัวเกิดการเรียนรู้
และสามารถเข้าใจอาการต่าง ๆ ของเด็กได้เร็วขึ้น หรือพี่เลี้ยงกึ่งถาวรในครอบครัวที่ไม่มีความสามารถในการดูแลเด็ก
ก็จำเป็นที่ต้องมีพี่เลี้ยงคอยประคับประคองอย่างใกล้ชิดและให้การฝึกฝนแก่ครอบครัวในการดูแลเด็ก แต่อย่างไรก็
ตามการมพี เ่ี ลยี้ งเปน็ เพียงแค่ส่วนช่วยใหค้ รอบครัวสามารถดูแลบุคคลออทสิ ตกิ ไดด้ ้วยตนเองเท่าน้ัน
นโยบายด้านสวัสดิการทางการรักษา บำบดั ฟนื้ ฟู
หลายครั้งที่สวัสดิการทางกรแพทย์ท่ีมีอยู่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตที่ดีของบุคคลและครอบครัวที่ต้อง
ดูแลบุคคลออทิสติก การขยายสวัสดิการ เช่น การเบิกจ่ายอุปกรณ์ในการบำบัด คลินิกเฉพาะทาง การขยายบัญซี่ยา
หลักให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่มากยิ่งขึ้น ก็จะยิ่งสนับสนุนให้ครอบครัวสามารถมีทางเลือกในการดูแลลูก และบุคคล
ออทิสติกก็สามารถได้รับโอกาสในการมีชีวิตที่ดีและได้รับการพัฒนาการทางโรคได้มากยิ่งขึ้น หรือการเบิกจ่ายในการ
รักษา เนื่องจากค่าใช้จ่ายไม่ได้มีเพียงการรักษาทางร่างกาย แต่ยังมีการเข้าบำบัดหรือการรับคำปรึกษาพิเศษตาม
อาการเพื่อลดอาการท่ีไม่ดีและพัฒนาความสามารถในการใช้ชีวิตของเด็กให้ดีมากขึ้น การจัดสรรงบประมาณที่เยอะขึ้น
ก่อให้เกิดความคุ้มค่าของเงินหรือภาษีของประชาชนที่จ่ายมาเพื่อพัฒนาสังคม และประโยชน์แก่ชีวิตของบุคคลออทิ
สตกิ หรอื ครอบครวั ที่ต้องดแู ลบคุ คลออทิสตกิ มากทสี่ ดุ
นโยบายฉกุ เฉิน เมอ่ื เกดิ ภาวะวกิ ฤต
บ่อยครั้งที่บุคคลออทิสติกถูกกระทำความรุนแรงหรือเป็นผู้กระทำความรุนแรงต่อครอบครัวหรือบุคคลอื่นท่ี
ไม่รู้จัก การจัดการด้วยความรุนแรงหรือการรับมือจากเจ้าพนักงาน เช่น ตำรวจ ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับออทิสติกอาจ
ก่อให้เกิดอันตรายแก่ตัวบุคคลออทิสติกและเจ้าพนักงานได้ หรือความรักและความอดทนของสมาชิกครอบครัวท่ีกลัว
ว่าหากแจ้งความบุคคลออทิสติกจะทำให้เกิดการแยกตัว ไม่เป็นที่สบายใจของครอบครัวเพิ่มเติมอีก แต่วิธีการอดทนก็
ไม่ใช่หนทางที่ดีที่ต้องแลกจากความสัมพันธ์ภายในครอบครัวที่ย่ำแย่ การรับแจ้งเหตุต่า งๆ หรือการรับมือกับ
สถานการณ์ความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับบุคคลออทิสติก หากมีเจ้าพนักงานที่มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญในการรับมือ
ที่เกี่ยวกับบุคคลออทิสติกก็จะเป็นผลดีในการส่งต่อและแก้ไขพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงของบุคคลออทิสติก หรือ
ป้องกันอนั ตรายที่อาจเกิดข้นึ กับบุคคลออทสิ ติกได้
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 53
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
จากการค้นคว้าและศึกษาข้อมูลในการสัมมนาหัวข้อ "ความรักที่พ่อแม่ส่งต่อมายังลูก" ของวิชา CF369
สัมมนาการพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครัว พบว่า ประเทศไทยมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถอย่างมากแต่อาจ
เป็นเพราะปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลออทิสติกได้อย่างเต็มท่ีหรือข้อจำกัดของ
หน่วยงานที่ไม่มีทรัพยากรในการให้ความช่วยเหลือ หรือข้อจำกัดของงบประมาณที่ไม่สามารถกระจายสวัสติการไปทุก
พื้นที่ไต้ แต่การเกิดข้อสงสัยหรือการตระหนักรู้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีในการเห็นมุมมองและพยายามหาหนทางในการ
ชว่ ยสนบั สนนุ และพัฒนาให้ชวี ติ ของบุคคลออทิสติกมคี วามเปน็ อยทู่ ด่ี ีมากข้ึน
ซึ่งโรคออทิสติกหรือโรคอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ไม่มีพ่อแม่คนใดอยากให้เกิดขึ้นกับลูกของตนและไม่มีเด็กคนไหนท่ี
อยากเลือกเกิดโดยมีโรคนี้ติดตัวมา การวางแผนแต่แรกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นก็เป็นการป้องกันได้ส่วนหนึ่ง แต่เมื่อ
เด็กได้เกิดมาแล้วพร้อมกับการเป็นออทิสติก การที่มีทรัพยากรต่าง ๆ เช่น หน่วยงานหรือบุคลากรที่มีความรู้ความ
เชี่ยวชาญ สวัสดิการที่มีความพร้อมคอยรองรับและให้การสนับสนุนอยู่เสมอ ช่วยให้โรคที่เหนือความคาดหมายน้ี
สามารถอยู่กับบุคคลที่มีลมหายใจได้อย่างมีความสุขร่วมกับผู้คนในสังคมที่มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค
ออทิสติกเพื่อใหค้ วามช่วยเหลือและอยู่อย่างเกอื้ กลู กันในสังคมได้อย่างสงบสขุ
อา้ งอิง
Autism Speaks. (2560). Autism and health: A special report. สืบคน้ จาก
https:/www.autismspeaks.org/sites/default/files/2018-09/autism-and-health-report.pdf
Congress. (2021). Programmatic agenda. สบื คน้ จาก https://www.autism-society.org/wp-
content/uploads/2021/03/117th-Public-Policy-Agenda-Booklet-side-by-side-2-23-2021.pdf
Motherhood. (2562). Asperger Syndrome รบั มอื อยา่ งไรหากลกู เป็น. สบื ค้นจาก
https://today.line.me/th/v2/article/OkLgoE
Public policy agenda. (2021). Other critical goals. สบื คน้ จาก https://www.autism-
society.org/wp-content/uploads/2021/03/117th-Public-Policy-Agenda-Booklet-side-by-side-
2-23-2021.pdf
ทวศี กั ดิ์ สริ ิรตั น์เรขา. (2564). เมอื่ ลูกเปน็ แอสเพอรเ์ กอร์ซินโดรม. สืบค้นจาก
http://www.happyhorneclinic.com/au28-aspergersyndromne.htm
ไทยรฐั ออนไลน.์ (2560). สหรฐั ฯวิจยั สาเหตกุ ารเสียชีวิตของผปู้ ว่ ยโรคออทสิ ตกิ . ไทยรฐั . สบื คน้ จาก
https://www.thairath.co.th/news/905862
มูลนิธิออทสิ ตกิ ไทย. (2562). ออทสิ ตกิ พบสมาชกิ วฒุ ิสภา. สบื ค้นจาก https://autisticthai.com/ออทสิ ตกิ พบ
สมาชกิ วุฒิสภ/
สถาบนั ราชานกุ ูล. (2563). Asperger's Disorder. สบื คน้ จาก https://th.rajanukul.go.th/preview-5041.html
สทุ ธานนั ท์ กลั กะ. (2561). การชว่ ยเหลือเดก็ ออทิสติก: กรณศี ึกษา. สืบค้นจาก
https://med.mahidol.ac.th/nursing/jns/DocumentLink/D 142928.pdf
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 54
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
คา่ นิยมความรุนแรงกับการลงโทษเดก็
นายจักรภทั ร ศรีเชย 6105680109
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 55
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
คำนำ
“ความรุนแรง” เป็นหนึ่งในวิธีการลงโทษที่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย “การลงโทษ” มีไว้เพื่อยับยั้งไม่ให้เกิด
พฤติกรรมที่ไม่พึงปราภนาซ้ำ เมื่อความรุนแรงกลายเป็น “ค่านิยม” ในการลงโทษ น่ันหมายถึงผู้คนในสังคมเห็นพ้อง
และเหน็ ด้วยในการใชค้ วามรนุ แรงเพอ่ื ยับยั้งพฤตกิ รรมไม่พึงประสงค์ และถูกนำมาใชเ้ ป็นบทลงโทษกบั “เด็ก”
ที่ผ่านมามีการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้ความรุนแรงในการลงโทษต่อเด็กจำนวนมาก ยืนยันว่าการ
ใช้ความรุนแรงทั้งทางร่างกายและคำพูดน้ันส่งผลกระทบต่อเด็กในระยะยาวมากกว่าก่อให้เกิดผลดีในการยับยั้ง
พฤติกรรม แต่ทว่าในประเทศไทยยังคงปรากฏให้เห็นการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก เกิดการบาดเจ็บและการสูญเสีย
บอ่ ยคร้ัง จงึ เป็นท่ีมาของหัวข้อการสัมมนา “ค่านยิ มการใชค้ วามรุนแรงในการลงโทษเด็ก”
ผู้จัดทำขอขอบคุณอาจารย์และเพื่อนนักศึกษาที่ได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนผ่านคิดเห็นในหัวข้อดังกล่าว และ
คาดหวังว่าข้อมูลความคิดเห็นที่ได้ร่วมกันจากงานสัมมนาในหัวข้อนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานสังคม
สงเคราะห์ดา้ นเด็กและครอบครวั ตอ่ ไป
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 56
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
วัตถปุ ระสงค์
สัมมนาหัวข้อ “ค่านิยมการใช้ความรุนแรงในการลงโทษเด็ก”จัดขึ้นเพื่ออภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เกี่ยวกับความรุนแรง การลงโทษ สาเหตุการกลายเป็นค่านิยมของการลงโทษ รูปแบบของการสืบทอดค่านิยมของ
ความรุนแรงที่ใช้เพื่อการลงโทษ ผลกระทบของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเด็ก และแนวทาการปรับเปลี่ยนสู่การลงโทษ
อยา่ งสร้างสรรค์ปราศจากความรุนแรง รวมไปถึงการต่อยอดสูง่ านสังคมสงเคราะหด์ า้ นเดก็ และครอบครัว
ประเด็นการอภปิ ราย
1.ความรุนแรงคืออะไร ?
2.การลงโทษคืออะไรทำไปเพอื่ อะไร ?
3.ทำไมความรุนแรงจึงกลายเป็นคา่ นยิ มในการลงโทษ ?
4.สบื ทอดค่านยิ มตอ่ กนั อยา่ งไร ?
5.หากลงโทษด้วยความรุนแรงไมไ่ ด้ ลงโทษอย่างไรใหส้ ร้างสรรค์ และไม่เกดิ ผลรนุ แรงตอ่ ผูก้ ระทำ ?
6.ต่อยอดสู่งานสงั คมสงเคราะห์
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 57
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
กำหนดการอภิปราย
15.00 น. กล่าวเปดิ หวั ขอ้ สัมมนา
15.05 น. ความรนุ แรงคอื อะไร ?
- รว่ มแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ในมุมของตนเอง
- นำเสนอนิยามของความรุนแรง
15.30 น. การลงโทษคืออะไร ทำไปเพื่ออะไร ?
- รว่ มแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ รปู แบบของการลงโทษจากประสบการณ์
15.45 น. ทำไมความรนุ แรงจงึ กลายเปน็ ค่านิยมในการลงโทษ
- ร่วมแลกเปล่ยี นความคดิ เห็นในมมุ ของตนเอง
16.00 น. สบื ทอดคา่ นิยมต่อกันอยา่ งไร
- รว่ มแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ในมุมของตนเอง
- ประสบการณจ์ ากสภุ าษติ คำสอนของคนรนุ่ เกา่
16.15 น. หากใชค้ วามรุนแรงไมไ่ ด้ ลงโทษอย่างไรใหส้ ร้างสรรค์ และต่อยอกสู่งานสงั คมสงเคราะหอ์ ย่างไร
- ร่วมแลกเปลย่ี นความคดิ เห็นในมุมของตนเอง
- บอกเลา่ ประสบการณ์ นำเสนอแนวทางในการลงโทษอยา่ งสร้างสรรค์
- วธิ ปี ระยกุ ตใ์ ช้กบั งานสงั คมสงเคราะห์
16.30 น. สรุปผลและปดิ หวั ข้อการสัมมนา
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 58
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
กลา่ วเปิดสัมมนา
โดย : จักรภทั ร ศรีเชย (ผูน้ ำสัมมนา)
กราบสวัสดีอาจารย์ และสวัสดีเพื่อนนักศึกษาในชั้นเรียนอีกครั้งนะครับ สำหรับหัวขอสัมมนาของตัวผมในวันนี้คือ
“ค่านิยมการใช้ความรุนแรงในการลงโทษเด็ก” สาเหตุที่เกิดหัวข้อสัมมนานี้เพราะว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ในช่วง
2-3 ปีนั้น มีประเด็นข่าวเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงในการลงโทษเด็ก ปรากฏให้เห็นผ่านสื่อออนไลน์ หรือสื่อโทรทัศน์
จำนวนมาก และหากย้อนไปนานกว่านั้นก็ยังพบปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้คิดขึ้นได้ว่าการใช้ความ
รุนแรงในการลงโทษนั้น ไม่ใช่วิธีการที่ได้ผลอย่างยั่งยืน ในวันนี้เราจะมาดูร่วมกันว่าแต่ละคำนั้นมีความหมายอย่างไร
ทง้ั คา่ นยิ ม ความรุนแรง และ การลงโทษ
เน้อื หาหลักประกอบการอภปิ ราย (พอสังเขป)
“ความรุนแรง” นยิ ามโดย WHO วา่ เป็น การใช้กำลังหรอื พลงั ทางกายโดยเจตนาต่อตนเอง ผู้อ่นื หรือตอ่ กลุ่ม
หรือชุมชนอื่น หรือข่มขู่ เพื่อให้เกิดหรือมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดการบาดเจ็บ การเสียชีวิต การทำร้ายจิตใจ การ
เจริญเติบโตผิดปกติหรือการลิดรอน นิยามนี้เกี่ยวข้องกับเจตนาของการก่อพฤติกรรมนั้น โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
ความรุนแรงถูกปฏเิ สธ และผูถ้ กกระทำต้องได้รับ “ความคมุ้ ครอง”
“การลงโทษ” คือ การปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ทีได้รับการปฏิบัตินั้นต้องได้รับ “ผลร้าย” เน่ืองจากได้
ฝ่าฝืนแนวปฏิบัติอันเป็นกติกาหรือข้อตกลงในการอยู่ร่วมกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำให้การแสดงออกพฤติกรรมน้ัน
ลดลง
“ค่านิยม” คือ กระแสความนิยมของบุคคล หรือกลุ่มคนในสังคมต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีผลต่อความคิด
และการกระทำ เกิดเป็นทัศนคติของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลต่อสิ่งนั้นว่าสิ่งนั้นควรจะเป็นอย่างไร ถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว
เป็นต้น
“ค่านิยมการใช้ความรุนแรงในการลงโทษ” คือ ทัศนคติของบุคคลในสังคมที่เห็นพ้องกัน ในการใช้ “ความ
รุนแรง” เพื่อการปฏิบัติต่อผู้ที่ฝ่าผืน กฎ กติกา ข้อตกลง ของการอยู่ร่วมกัน ในสังคมไทยมองว่า การลงโทษโดยการ
ใช้ความรุนแรงมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดการหลาบจำและไม่ก่อพฤติกรรมเดิมซ้ำขึ้นมาอีก และทำให้ผู้ที่ถูกกระทำนั้นเชื่อ
ฟัง ด้วยความรู้สึกว่า ถ้ากระทำพฤติกรรมนี้จะถูกลงโทษด้วยความรุนแรง “และเด็กเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญกับความ
รุนแรงจากการลงโทษมากทสี่ ดุ ในทุกช่วงวยั ”
ข้อมูลจาก UNICEF ประเทศไทย และ สำนักงานสถติ ิแห่งชาตพิ บว่าระหว่างปี 2558-2559 พบวา่ รอ้ ยละ 4.2
ของเด็กอายุระหว่าง 1-14 ปี เคยถูกลงโทษอย่างรุนแรงที่บ้าน ในช่วงเดือนก่อนการสำรวจ และในปี 2560 มีเด็กก
มากกว่า 9000 คนถูกทำร้ายและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลโดยในจำนวนนี้มีเด็กที่ได้รับบาดเจ็บจากการลงโทษอย่าง
รุนแรงรวมอยูด่ ้วยและ“ยงั ไม่นับรวมกรณเี สียชวี ติ ”
“การสืบทอดค่านิยม” ในที่นี้ได้ใช้ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของบันดูรา มาประกอบการอธิบายการสืบทอด
พฤติกรรมได้ว่า มนุษย์ส่วนมากเรียนรู้และลอกเลียนแบบโดยการสังเกต (Observational Learning) หรือการ
เลยี นแบบจากตัวแบบ (Modeling) โดยมีปัจจยั หลกั ไดแ้ ก่
กระบวนการจดจำ (Retention) : การจดจำและนำไปเลียนแบบ
กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวอย่าง (Reproduction) กระบวนการการจูงใจ (Motivation) :
คาดหวงั วา่ การเลยี นแบบจะนำประโยชนม์ าให้
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 59
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
การสืบทอดค่านิยมการใช้ความรุนแรงของคนไทยปรากฎให้เหน็ อย่างง่ายในรูปของสุภาษิตและการนำสุภาษิต
หรือคำสอนบางอย่างมาใช้ อาทิเชน่ รักววั ใหผ้ กู รกั ลกู ใหต้ ี เปน็ ผใู้ หญ่อาบน้ำรอ้ นมาก่อน เป็นตน้
สาระสำคญั จากการสัมมนา
ความรุนแรง จากนิยามของ WHO หมายถึงการใช้กำลังหรือหรือพลังทางกายโดยเจตนาต่อตนเอง ผู้อื่น
หรือต่อกลุ่มหรือชุมชนอื่น หรือข่มขู่ เพื่อให้เกิดหรือมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดการบาดเจ็บ การเสียชีวิต การทำร้าย
จิตใจ การเจริญเติบโตผิดปกติหรือการลิดรอน นิยามนี้เกี่ยวข้องกับเจตนาของการก่อพฤติกรรมนั้น โดยไม่คำนึงถึง
ผลที่ตามมา ความรุนแรงถูกปฏิเสธไม่ให้เกิดการปฏิบัติต่อผู้ใดและผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงต้องได้รับ “ความ
คุ้มครอง” อย่างไรก็ตามความรุนแรงยังปรากฏให้เห็นและถูกนำมาใช้ในรูปแบบของการลงโทษ เพื่อยับยั้งพฤติกรรมท่ี
ไม่พึงประสงค์ และกลายเป็นค่านิยมสำหรับการลงโทษรวมถึงกับเด็กที่ถูกใช้ความรุนแรงเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม
ส่วนสาเหตุที่ความรุนแรงกลายเป็นค่านิยมของการลงโทษนั้น อาจเป็นเพราะว่าความรุนแรงสามารถกระทำได้ง่าย
รวดเร็ว และส่งผลทันทีต่อผู้ถูกกระทำ และสืบทอดผ่านแนวคิด คำสอน สุภาษิตของคนไทย เช่น รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี
เป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดค่านิยมการใช้ความรุนแรงทั้งส้ิน
การแก้ไขค่านิยมเหล่านี้นั้นสามารถทำได้ เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลา ความเข้าใจและการเข้าถึงความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับ
การใช้ความรุนแรงหรือ การหลีกเล่ียงการใช้ความรุนแรงและใช้วีการลงโทษแบบสร้างสรรค์ การสร้างเงื่อนไขต่างๆ
เป็นการลงโทษแทนการใช้ความรุนแรง สุดท้ายของการสัมมนาในครั้งน้ีสามารถนำไปรูปแบบการวางเงื่อนไข การเพ่ิม
หรือลดปัจจัยสำหรับการกำหนดพฤติกรรมของบุคคล ไปประยุกต์ใช้กับงานสังคมสงเคราะห์เก่ียวกับเด็กและ
ครอบครวั ได้
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 60
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ภาคผนวก
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 61
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
“คา่ นิยม ความเชื่อ การรับบตุ รบญุ ธรรมของคนไทย”
นางสาวฐิตาพร แอนกำโภชน์ 6105680356
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 62
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
คำนำ
รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาดค.369 สัมมนาการพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครัว
ในหัวข้อค่านิยม ความเชื่อ การรับบุตรบุญธรรมของคนไทย เพื่อแลกเปลี่ยน พูดคุยความรู้ในเรื่องค่านิยม ความเช่ือ
การรบั บุตรบญุ ธรรมของคนไทย และไดศ้ กึ ษาเพอ่ื เปน็ ประโยชนก์ ับการเรียน
ผู้นำสัมมนาหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำ
หรอื ขอ้ ผิดพลาดประการใด ผ้จู ดั ทำขอน้อมรับไว้และขออภยั มา ณ ทีน่ ี้
ผู้นำสมั มนา
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 63
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
บทท่ี 1
การรับบุตรบญุ ธรรม
การรับบุตรบุญธรรม หมายถึง การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ไปรับบุคคลหนึ่งมาอุปการะเลี้ยงดูเหมือนบุตร
ของตนเอง โดยบุคคลนั้นไม่ใช่บุตร โดยกำเนิดของตน ซึ่งผู้รับบุตรบุญธรรมกับผู้ที่จะมาเป็นบุตรบุญธรรม
จะมีความเกี่ยวพัน กันในทางเครือญาติหรือไม่ก็ได้ คืออาจไม่ใช่ญาติสืบสายโลหิตและผู้ที่จะมาเป็นบุตรบุญธรรม
อาจจะเป็นผู้เยาว์หรือบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้ว หรืออาจไม่ได้มีสัญชาติ เดียวกันกับผู้รับบุตรบุญธรรมก็ได้ อย่างไรก็
ตาม การรับบุตรบุญธรรมดังกล่าวจักต้องดำเนินการจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย มิฉะนั้นแล้วย่อมไม่ก่อให้เกิด
สิทธิ และหน้าท่ีระหว่างผรู้ ับบตุ รบุญธรรมกับบตุ รบุญธรรมแต่อย่างใด
การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ดำเนินการโดยศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม สังกัด กรมพัฒนา
สังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมันคงของมนุษย์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2520 ตามมติ
คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2520 และตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
พ.ศ. 2522 เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการและดูแลด้านการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมทั่วราชอาณาจักร รวมท้ัง
ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม โดยปฏิบัติงานให้เป็นไปตาม
พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2533 และตามกฎกระทรวงที่ออกตามความใน
พระราชบัญญัติดังกล่าว ในส่วนภูมิภาคได้แต่งตั้งให้มีคณะอนุกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมประจำจังหวัด
ขึน้ ทุกจังหวดั เพอ่ื ทำหนา้ ที่ โดยมสี ำนักงานพัฒนาสงั คมและความมน่ั คงของมนุษย์จงั หวัดเปน็ สำนักงานเลขานุการ
การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมเป็นการให้บริการด้านสวัสดิการเด็ก การดำเนินงานให้รับเด็กเป็นบุตร บุญธรรม
จำเป็นต้องอาศัยหลักของกฎหมายควบคู่กับหลักการทางสังคมสงเคราะห์ ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้แก่ ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ.2522 พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็น
บุตรบุญธรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2533 กฎกระทรวงฉบับที่ 9 (พ.ศ.2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการรับเด็ก
เป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ.2522 พระราชบญั ญตั ิจดทะเบียนครอบครวั พระราชบญั ญัตทิ ะเบยี นราษฎรเปน็ ตน้
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 64
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
1.1 ลกั ษณะของการรับบตุ รบญุ ธรรม
การรับบุตรบุญธรรมตามกฎหมายหรือโดยนิตินัย จะต้องมีการปฏิบัติ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการ
รับบุตรบุญธรรมตามขั้นตอนที่กฎหมายได้กำหนดไว้ จึงจะก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างผู้รับบุตรบุญ
ธรรมกับบุตรบุญธรรม แทนที่บิดามารดาโดยกำเนิด การรับบุตรบุญธรรมตามกฎหมายนี้ แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ
คือ
1.1.1 การรับบตุ รบญุ ธรรมแบบธรรมดา เปน็ การรับบุตรบญุ ธรรมท่ีบุตรบุญธรรมยงั ไม่ตัดขาดความสมั พันธ์
จากครอบครัวเดิม สิทธิและหน้าที่ระหว่าง บิดามารดาโดยกำเนิดกับบุตรบุญธรรมยังคงมีต่อกันอยู่ เพียงแต่บิดา
มารดาโดยกำเนิด จะไม่มีอำนาจในการปกครองบุตรบุญธรรมเท่านั้น การรับบุตรบุญธรรมในลักษณะนี้ จะมีเงื่อนไข
เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้รับบุตรบุญธรรม ความยินยอมในการรับบุตรบุญธรรม การเพิกถอนการรับบุตรบุญธรรม
แบบของการรบั บุตรบญุ ธรรม และผลของการรับบุตรบญุ ธรรม
1.1.2 การรับบุตรบุญธรรมแบบสมบูรณ์ เป็นการรับบุตรบุญธรรม ที่บุตรบุญธรรมตัดขาดความสัมพันธ์จาก
ครอบครัวเดิมอย่างสิ้นเชิง สิทธิและหน้าที่ ระหว่างบิดามารดาโดยกำเนิดกับบุตรบุญธรรมไม่มีอีกต่อไป การรับบุตร
บุญธรรม ในลักษณะนี้จะมีเงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรม ความยินยอมในการรับ
บตุ รบุญธรรม การทดลองเล้ยี งดู แบบของการรับบุตรบญุ ธรรม และผลทางกฎหมาย
โดยลักษณะที่กล่าวมานั้นเป็นลักษณะทั่วไปของการรับบุตรบุญธรรมซึ่งบางประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น
และฝรั่งเศสกำหนดให้มีทั้งการรับบุตรบุญธรรม แบบสมบูรณ์และแบบธรรมดา แต่บางประเทศก็ขึ้นอยู่กับสภาพ
สังคมและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศโดยเฉพาะ และสำหรับประเทศไทยนั้นได้กำหนดให้มีการรับ บุตรบุญธรรมแบบ
ธรรมดาแต่เพียงรูปแบบเดียวเท่านั้น ประเทศไทยยึดถือความกตัญญู รู้คุณต่อบิดามารดาเป็นสำคัญ บุตรมีหน้าที่
เลี้ยงดูบิดามารดาเมื่อท่านแก่ชราหรือเจ็บป่วย ลักษณะของการรับบุตรบุญธรรมในประเทศไทยจึงเป็นการรับบุตรบุญ
ธรรมแบบ ธรรมดา โดยกำหนดให้บดิ ามารดาโดยกำเนิดหมดอำนาจปกครองบุตรบุญธรรม เมอื่ มกี ารรบั บตุ รบุญธรรม
แต่บุตรบุญธรรมยังคงมีสิทธิและหน้าที่ต่อบิดามารดา โดยกำเนิดซึ่งมีความสอดคล้องกับสภาพสังคมวัฒนธรรมไทย
อย่างไรก็ตาม การรับ บุตรบุญธรรมแบบสมบูรณ์นั้นจะได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติมากกว่า เพราะต้องการ
ที่จะอุปการะบุตรบุญธรรมดังเช่นบิดามารดาที่แท้จริง ไม่ต้องการให้บุตรบุญธรรม ต้องกระทบกระเทือนจิตใจ
และไม่ต้องการให้ครอบครัวเดิมติดต่อบุตรบุญธรรมและ ก่อให้เกิดปัญหาได้ ดังนั้น เมื่อประเทศไทยไม่มีการรับบุตร
บุญธรรมแบบสมบูรณ์ ก็อาจทำให้เด็กในสถานสงเคราะห์ เด็กเร่ร่อน เด็กยากไร้ ต้องขาดโอกาสที่จะมี คุณภาพชีวิต
ทีด่ ีได้
1.2 ขั้นตอนการรับบตุ รบุญธรรม
1. กรณบี ุตรบญุ ธรรมเป็นผู้เยาว์ ตอ้ งผ่านขัน้ ตอนของคณะกรรมการรับเดก็ เปน็ บุตรบุญธรรมก่อน
• กรณีท่ีผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมมีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร หรือต่างประเทศให้ยื่นคำขอ
พร้อมหนังสือแสดงความยินยอมของบุคคลผู้มีอำนาจให้ความยินยอม ณ ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
กรมประชาสงเคราะห์
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 65
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
• กรณีมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างจังหวัด ให้ยื่นคำขอพร้อมหนังสือแสดงความยินยอมของบุคคลผู้มีอำนาจให้
ความยินยอม ณ ทีว่ า่ การอำเภอ ก่ิงอำเภอ หรือทที่ ำการประชาสงเคราะห์จังหวดั
* เมื่อคณะกรรมการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมอนุมัติให้มีการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมได้ ให้นำหนังสือแจ้งคำ
อนุมัติของคณะกรรมการดังกล่าวไปร้องขอจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม ณ ที่ว่าการอำเภอ กิ่งอำเภอหรือเขต แห่งใด
กไ็ ด้
2. กรณีผู้เป็นบุตรบุญธรรมที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ผู้จะรับบุตรบุญธรรม หรือผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมสามารถดำเนินการ
ยื่นคำขอจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือเขต แห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ โดยไม่ต้องผ่าน
ขั้นตอนของคณะกรรมการรับเดก็ เป็นบตุ รบญุ ธรรม
ในการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม เมื่อได้มีการทดลองเลี้ยงดู ครบกำหนดแล้ว ปรากฏว่าผู้ขอรับเด็กเป็น
บุตรบุญธรรมเหมาะสมที่จะรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม และคณะกรรมการสั่งอนุมัติให้รับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
ให้ดำเนินการ ขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมได้ หากปรากฏว่าผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมไม่เหมาะสม
ที่จะรับเด็ก เป็นบุตรบุญธรรม และคณะกรรมการสั่งไม่อนุมัติให้รับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ให้ผู้ขอ รับเด็กเป็นบุตรบุญ
ธรรมมอบเด็กนั้นคืนแก่บุคคลผู้มีอำนาจให้ความยินยอมในการรับ เด็กเป็นบุตรบุญธรรม บิดามารดา ผู้ปกครอง
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่และกรณีนี้ผู้ขอ รับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมอาจอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการได้โดยทำเป็นคำ
ร้อง ย่ืนต่อศาลภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับแจ้งคำสั่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาล ผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
อาจร้องต่อศาลให้เด็กอยู่ในความเลี้ยงดูของตนก็ได้ คำสั่ง ของศาลชั้นต้นในกรณีนี้ให้เป็นที่สุด หากผู้ขอรับเด็กเป็น
บุตรบุญธรรม ไม่ดำเนินการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมภายในเวลา 6 เดือนนับแต่วันท่ีได้รับ แจ้งคำอนุมัติ
ของคณะกรรมการ หรือนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง ให้ถือว่าผู้นั้นสละสิทธิที่ จะรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม และให้มอบเด็กคืน
แก่บุคคลผู้มีอำนาจให้ความยินยอม ในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ เว้นแต่กรณีมีพฤติการณ์
พิเศษ ที่ทำให้มิอาจดำเนินการจดทะเบียนภายในกำหนดเวลาได้ คณะกรรมการอาจพิจารณา ขยายระยะเวลาการ
ดำเนนิ การจดทะเบียนรับเด็กเปน็ บตุ รบญุ ธรรมออกไปอีกไมเ่ กิน 3 เดอื นนบั แตว่ ันท่พี ฤติการณพ์ เิ ศษน้นั ได้สิ้นสดุ ลง
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 66
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
1.3 สถิตกิ ารรบั บุตรบุญธรรมในประเทศไทย
จะเห็นได้ว่าในสถิติประจำปีงบประมาณ 2563 รอบ 6 เดือนแรก มีจำนวนการจดทะเบียนบุตรบุญธรรมชาว
ไทยจำนวนทั้งสิ้น 902 คน แบ่งตามภาคที่มีการจดทะเบียนจากมากไปน้อยดังนี้ ภาคเหนือ จำนวน 66 คน, ภาค
ตะวันออกจำนวน 134 คน, ภาคใต้จำนวน 143 คน, ภาคกลาง จำนวน 190 คน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน
241 คน
ในขณะเดียวกันการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมชาวต่างชาติ จำนวนทั้งสิ้น 150 คน แบ่งออกไปตามประเทศ
ต่าง ๆ ดังนี้ ประเทศฝรั่งเศส 27 คน, ประเทศเยอรมนี 18 คน, ประเทศสหรัฐอเมริการ 14 คน, ประเทศเบลเยี่ยม 13
คน, ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 9 คน, ประเทศเดนมาร์ก 8 คน, ประเทศแคนาดา 7 คน และเฉลี่ยไปตามประเทศอื่น ๆ
จำนวน 54 คน
โดยจำแนกเด็กออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้ เด็กที่บิดามารดามอบให้ 855 คน, เด็กจากกรมกิจการเด็ก
และเยาวชนจำนวน 117 คน, เด็กในคำสั่งศาล จำนวน 43 คนและเดก็ องคก์ าร จำนวน 37 คน
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 67
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทที่ 2
คา่ นยิ ม ความเช่ือในเลี้ยงดบู ุตรบญุ ธรรมของคนไทย
ครอบครัวของสังคมไทยที่ผ่านมาการรับบุตรบุญธรรมเป็นสิ่งที่อยู่ คู่กับสังคมไทยมาช้านานแล้วซึ่งแต่เดิมการรับบุตร
บุญธรรมเป็นไปในลักษณะของการอุปการะเลี้ยงดูบุคคลที่เป็นเครือญาติเท่านั้น ต่อมาเมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป
ทำให้มีเด็กยากไร้ เด็กเร่ร่อน เด็กขอทาน และเด็กกำพร้ามากขึ้น การรับบุตรบุญธรรม จึงเปลี่ยนจากการรับบุคคลใน
เครือญาติมาเปน็ บตุ รบญุ ธรรม เปล่ียนมาเปน็ การรับเด็กที่ด้อยโอกาสมาเป็นบตุ รบญุ ธรรมมากขนึ้
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยชุดความเชื่อของไทยในเรื่องความกตัญญูที่บุตรความมีต่อพ่อแม่ของตนเอง ทำ
ให้ตัวของบุตรบุญธรรมจะยังไม่ตัดขาดความสัมพันธ์จากครอบครัวเดิม สิทธิและหน้าที่ระหว่าง บิดามารดาโดยกำเนิด
กับบุตรบุญธรรมยังคงมีต่อกันอยู่ เพียงแต่บิดามารดาโดยกำเนิด จะไม่มีอำนาจในการปกครองบุตรบุญธรรมเท่านั้น
ทำให้เป็นข้อนา่ กังวลและเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้บิดาหรือมารดาเลี้ยง ตัดสินใจไม่รับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรม ถึงแม้
จะมีความต้องการในการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมอย่างมาก กล่าวคือ ประการแรก การรับบุตรบุญธรรมนี้จะมีผลยั่งยืน
ตลอดไปบิดาหรือมารดาเล้ียงอาจมีความรู้สึกถึง ภาระหน้าที่ความผูกพันที่ยาวนานกว่าความผูกพันกับบิดามารดาท่ี
แทจ้ รงิ แต่บดิ ามารดาทแ่ี ทจ้ รงิ กลบั ยงั คงมีสทิ ธใิ นตวั ของบุตรบญุ ธรรม
และประการสอง การรับบุตรบุญธรรมนี้จะมีผลทำให้บุตรบุญธรรมมีสิทธิในการรับมรดกของผู้รับบุตรบุญ
ธรรมในฐานะทายาทโดยธรรม ซง่ึ อาจทำใหเ้ กิดความลำบากใจ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ หากตนมบี ตุ รหรอื ทายาทอืน่ อยู่
จากเหตุผลในข้างต้น จะเป็นเหตุผลในส่วนของเหตุผลทางนิตินัย แต่ในทางความคิดและความเชื่อของคน
ไทยบางส่วนนั้น ยังคงมีอคติเกี่ยวกับการรับบุตรของผู้อื่นมาเลี้ยงดูเป็นลูกคนตนเอง ดังเช่นสุภาษิต คำพังเพยไทย
ที่ว่า “เอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอม” ที่มีความหมายว่า เอาลูกของคนอื่นมาเลี้ยงเป็นลูก เป็นภาระรับผิดชอบที่
หวังผลตอบแทนแน่นอนไม่ได้ อ้างอิงจาก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ คาดหวังเอาประโยชน์ไม่ได้
ไม่ใช่ว่าเลี้ยงดี ไม่ดี แต่ความหมายของสำนวนนี้ มีความหมายประมาณว่าเลี้ยงไปก็ลูกไม่ใช่แท้ๆของเรา ถึงเวลาท่ี
เติบโตไปแลว้ กไ็ ปดูแลพอ่ แมแ่ ท้ๆของพวกเขา ซ่งึ จะทำใหเ้ หน็ ถงึ มายาคติของความกตญั ญขู องคนไทย ทจี่ ะต้องทำการ
ตอบแทนบุญคุณผู้เลี้ยงดูมา ดังนั้นการนำลูกคนอื่นมาเลี้ยง โดยที่ไม่ได้ทราบถึงอุปนิสัย พื้นเพของครอบครัวดังเดิม
ของบุตรบุญธรรมนั้น ทำให้ผู้รับเลี้ยงบุตรบุญธรรมไม่สามารถคาดหวังความกตัญญูของเด็กได้ เพราะเด็กอาจกลับไป
หาบิดามารดาโดยกลบั เนิดของตนได้
รวมไปถึงสุภาษิตของคำว่า “เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน สำนวนนี้
หมายถึง เลี้ยงลูกของศัตรูหรือคนพาลซึ่งจะนำความเดือดร้อนมาให้ คนโบราณท่านเปรียบการกระทำนี้กับการเลี้ยง
ลูกของเสือหรือลูกของจระเข้ ซึ่งไม่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ และมักนำมาใช้กับการรับเลี้ยงหรือดูแลเด็กหรือบุคคลท่ี
เกิดมาจากพ่อหรือแม่ที่มีประวัติความเป็นมาที่ไม่น่าไว้ใจ เช่น โจรผู้ร้าย ซึ่งหลายคนมักปักใจเชื่อว่าเมื่อพ่อแม่เป็นคนไม่
ดี เด็กที่เกิดจากคนเหล่านั้นก็จะเป็นคนไม่ดีด้วย อีกทั้งจะนำความเดือดร้อนมาให้ในภายหลัง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็ก
ที่ต้องการหาครอบครัวบุญธรรม บางส่วนมาจากเป็นในชั้นศาล ที่ครอบครัวเดิมอาจมีการกระทำผิดมาก่อน ดังนั้น
ความคิดและสุภาษิตบางสำนวนดังเช่นที่ได้กล่าวไปน้ัน เป็นการฝังหัวคนไทยมานานที่ทำให้เกิดการตีตราในตัวเด็ก
หรือแม้แต่ความเชื่อที่ว่าเลือดข้นกว่าน้ำ/สายเลือดมีผลมากกว่าการเลี้ยงดู ล้วนแล้วแต่เป็นมายาคติเกี่ยวกับการเลี้ยง
ดูบุตรได้ ซึง่ เป็นการตตี ราเด็กรวมไปถึงครอบครวั เดมิ ของเด็กอีกด้วย
หรือแม้แต่ยังคงมีบางส่วนที่ต้องการรับบุตรบุญธรรมเพื่อนำมาใช้แรงงานภายในบ้านของตน เพื่อเป็นผู้ดูแล
ของลูกในสายเลือดของผู้รับบุตรบุญธรรม อันเนื่องมาจากมีบางกลุ่มที่ต้องการเด็กไปใช้แรงงานในครอบครัว การรับ
เลี้ยงบุตรบุญธรรมจึงเป็นประโยชน์สำหรับพวกเขาเหล่าน้ี เพราะจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานมาเพื่อใช้
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 68
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
ประโยชน์ในครอบครัว รวมถึงคนเหล่านี้มองว่า เด็กไม่ใช่สายเลือดของตนเอง จริงไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูให้ดีมากนัก
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่การทำงานของนักสังคมสงเคราะห์ในบทบาทของผู้ที่ทำงานด้านการรับบุตรบุญธรรมต้องมีความ
ละเอยี ดรอบคอบ ไมเ่ ช่นนั้นจะดูเป็นการหากินกบั เดก็ จงึ ตอ้ งมีหน่วยงาน ทมี สหวชิ าชีพมาช่วยตรวจสอบงานในส่วนน้ี
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 69
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทท่ี 3
บทบาทนกั สงั คมสงเคราะหใ์ นการทำงาน
เป็นการให้ความช่วยเหลือโดยพิจารณาจากตัวผู้ใช้บริการหรือก็คือเด็กเป็นศูนย์กลาง ทั้งในการ ป้องกัน
แก้ไขปัญหา พัฒนาและฟื้นฟูผู้ใช้บริการ ให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีคุณภาพและพิจารณาแนวทางในระยะ
ยาว มีการวางแผนถาวรและแผนปฏิบัติงานกับผู้ใช้บริการแต่ละรายตามหลักปัจเจกบุคคล ผู้ใช้บริการแต่ละรายจะมี
สภาวะปัญหาและความต้องการที่แตกต่างกัน ทั้งสภาวะทางสุขภาพร่างกาย สภาวะทางจิตใจ สภาวะทางอารมณ์และ
สังคม จะตอ้ งปฏิบตั งิ านตามกระบวนการทางสงั คมสงเคราะห์ ได้แก่
(1) การแสวงหาข้อเท็จจรงิ
(2) การประเมินสภาวะของผใู้ ช้บริการ
(3) การวางแผนดำเนินงาน
(4) การดำเนินการตามแผนการดำเนนิ งาน
(5) การติดตามและประเมนิ ผล
3.1 บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการทำงานกบั เด็ก
การทำงานของนักสังคมสงเคราะห์ในการทำงานกับเด็ก ที่จะต้องเข้าสู่บริการการรับบุตรบุญธรรม อันดับ
แรกนั้นนักสังคมสงเคราะห์จะต้องทำความเข้าใจการว่าจะต้องหาครอบครัวให้เด็กไม่ใช่ หาเด็กไปเติมเต็มให้แก่
ครอบครัว ดังน้ันกระบวนงานต่าง ๆ นบั จากนจ้ี ะตอ้ งยดึ ประโยชน์สงู สดุ ต่อตัวเดก็
การทำงานร่วมกันกับเด็ก ดังนั้นจะต้องยึดสิทธิเด็กในการทำงาน เพื่อช่วยเหลือคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิขั้น
พื้นฐานของเด็กทุกคนให้ได้ตามการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ อีกทั้งยังช่วยให้เคารพและคุ้มครองสิทธิเด็กทุกคนที่อยู่
ภายใต้เขตอำนาจของตน ไมว่ ่าจะเปน็ คนสัญชาตขิ องประเทศนน้ั หรอื ไม่ และตอ้ งไมถ่ กู เลอื กปฏิบัตใิ นทกุ รูปแบบ
1. สิทธิที่จะมีชีวิตรอด (Right of Survival) คือสิทธิในการอยู่รอดปลอดภัยตั้งแต่เมื่อคลอด ไม่ว่าเด็กคนนั้น
จะเกิดมาปกติ หรือเกดิ มาพรอ้ มกับความบกพร่องทางร่างกายหรือจติ ใจกต็ าม
2. สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา (Right of Development) คือสิทธิที่จะได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาตาม
มาตรฐาน ความเป็นอยู่และโภชนาการทเ่ี หมาะสมตามวัย รวมถงึ การส่งเสรมิ เสรมิ พฒั นาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
3. สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง (Right of Protection) คือสิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการ
ล่วงละเมิด และการทารุณกรรมทุกรูปแบบ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการใช้แรงงานเด็กเพื่อแสวงหา
ผลประโยชน์
4. สิทธิที่จะมีส่วนร่วม (Right of Participation) คือสิทธิท่ีจะมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
การแสดงออกท้งั ในดา้ นความคดิ และการกระทำ รวมถงึ การตัดสินใจทม่ี ีผลกระทบตอ่ อนาคตของตนเอง
โดยการทำงานของนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับเด็ก ในการให้การช่วยเหลือจะต้องประเมินสภาวะ กาย จิต สังคมของ
เด็ก ซึ่งจะประเมินสภาวะทางด้านร่างกายผ่านการใช้ทักษะการสังเกตและทักษะการสัมภาษณ์ ทำการเก็บข้อมูลความ
ผิดปกติทางด้านร่างกายเพื่อประเมินปัญหาของเด็ก ต่อมาการประเมินด้านจิตใจ นักสังคมสงเคราะห์ประเมินสภาวะ
ทางด้านจิตใจผ่านพูดคุย การลงไปสัมผัสกับสิ่งที่เด็กเผชิญอยู่ เพื่อประเมินถึงความบกพร่องทางด้านสภาพจิตใจที่
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 70
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
อาจทำให้เห็นถึงสภาพปัญหา และอาจทำงานประสานกับทีมนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ที่เป็นเครือข่ายเข้ามาประเมิน
และเข้าสู่กระบวนการเยียวยาทางจิตต่อไป ท้ายที่สุดคือการประเมินด้านสังคมของเด็ก นักสังคมสงเคราะห์ประเมิน
สภาวะทางด้านสังคมผ่านการใช้ทักษะการเยี่ยมบ้านในขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริง โดยเบื้องต้นการลงพื้นที่เยี่ยม
บ้านจะใช้ทักษะการสังเกตในการสังเกตสภาพแวดล้อม ที่พักอาศัย ชุมชน รวมถึงครอบครัวเดิมของเด็กหรือคนใน
ชมุ ชนรอบขา้ ง
การเตรียมความพร้อมของเด็กและการปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของเด็ก ตลอดจนประเมินความ
ต้องการที่แท้จริงของเด็ก ขั้นตอนนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการแยกออกมาจากครอบครัวเดิมของเด็ก ไม่ว่าจะด้วย
สาเหตุใดก็ตาม อาจสร้างบาดแผลให้แก่เด็กได้ ดังนั้นจำเป็นจะต้องทำการประเมินพร้อมปรับพฤติกรรมของเด็ก อาทิ
ความก้าวร้าว ความเอาแต่ใจ เป็นต้น และการประเมินความต้องการของเด็กก็เพื่อเข้าใจปัญหาในใจและความต้องการ
ของเด็กอย่างแท้จริง ซึ่งจะสามารถนำมากำหนดทิศทางของการให้การช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม และเป็นแนวทาง
สำหรบั การปรบั พฤติกรรม จดั หาครอบครัวบญุ ธรรมท่ีจะสามารถเล้ยี งดเู ด็กได้อยา่ งเหมาะสม
การจัดหาครอบครัวบุญธรรมที่เหมาะสมให้แก่เด็ก โดยคำนึงว่าเด็กไม่ใช่สินค้า จะต้องไม่ให้ครอบครัวผู้ที่จะ
มาอุปการะเลือกซื้อไปได้ ทางนักสังคมสงเคราะห์จะไม่เลือกครอบครัวให้เด็กเช่นนั้น แต่จะต้องดูความพร้อมของ
ครอบครวั ความเหมาะสมท่ตี รงกับลักษณะของเด็กแทน เพื่อประโยชนต์ ่อตัวของเด็ก
3.2 บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการทำงานกบั ผ้รู ับอปุ การะ
การให้ความรู้ รายละเอียดเกี่ยวกับการรับบุตรบุญธรรมแก่ผู้ที่รับเลี้ยงและการขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
นั้นมีกระบวนการทำงานที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ใช้เอกสารจำนวนมากและต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ โดยผู้ขอรับเป็น
บุตรบุญธรรมเป็นบุตรบุญธรรมจะต้องเปิดเผยข้อมูลท้ังหมดของตนเอง ดังนั้นตัวของผู้รับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
จะตอ้ งมคี วามพร้อมในการเตรียมเอกสาร ขัน้ ตอน สัมภาษณ์ท่ีหลายขนั้ ตอน
การให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวผู้อุปการะเด็ก เกี่ยวเด็กตั้งแต่เริ่มขอรับไปเป็นบุตรบุญธรรม ตลอดจนได้รับไป
เปน็ บตุ รบุญธรรมเรียบรอ้ ย เพือ่ ให้เด็กได้รบั การเลยี้ งจากครอบครวั อยา่ งถกู วธิ ิ
นักสังคมสงเคราะห์จะทำความเข้าใจกับทัศนะของผู้รับอุปการะ และผู้คนในสังคมรอบข้าง รวมไปถึงการให้
ครอบครัวผู้รับบุตรบุญธรรมเข้าใจถึงมุมมองท่ีคนรอบข้างของเขาที่มองเข้ามา หากมองเข้ามาอย่างอคติ จะต้องมีการ
พดู คุย ปรบั เปล่ียนแนวคดิ มมุ มองให้ดีข้ึน เพ่อื ลดความขัดแย้งท่ีอาจจะเกิดขึน้ ได้ในอนาคต
นักสังคมสงเคราะห์ติดตามและทำงานกับครอบครัวบุตรบุญธรรมผ่านกระบวนการเยี่ยมบ้าน เพื่อติดตามผล
การเลี้ยงดู ติดตามสุขภาพกาย จิตใจ พัฒนาการและผลการเรียนตลอดจนความเป็นอยู่ของผู้ใช้บริการ บางรายอาจ
จำเป็นต้องได้รับการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการรักษา บำบัดผู้ใช้บริการ ในเรื่องขอการแยกจากเพื่อส่ง
ผู้ใช้บริการกลับคืนสู่ครอบครัวโดยกำเนิดของผู้ใช้บริการหรือส่งมอบผู้ใช้บริการให้แก่ครอบครัวบุญธรรมหรือ
ครอบครัวทดแทนถาวร ซึ่งการดำเนินงานจะต้องมีการวางแผน มีกระบวนการและขั้นตอนการทำงาน ตลอดจน
ทำงานเปน็ ทีมเพื่อให้งานบรรลตุ ามเป้าหมาย
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 71
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
รายการอ้างอิง
การปฏริ ูปกฎหมาย. (2564). การรับบุตรบุญธรรม. สืบค้นจาก http://web.senate.go.th/lawdatacenter
/includes/FCKeditor/upload/Image/b/reform/reform18.pdf
ศูนย์อำนวยการรบั บุตรบุญธรรม. (2563). สถิติการรบั บตุ รบญุ ธรรม ประจำปงี บประมาณ2563 รอบ 6 เดือนแรก.
สบื คน้ จาก https://dcy.go.th/webnew/upload/download/fileth2020170616 34001.pdf
Blogsdit. (2564). เอาลกู เขามาเล้ยี ง เอาเม่ียงเขามาอม หมายถึงอะไร ?. สืบค้นจาก
https://www.blog sdit.com/2019/11/orphan.html
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 72
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ของนักเรยี นไทยปรากฏการณ์การสือ่ สารความขบั ข้องใจ
ผ่านกลุม่ นักเรยี นเลว
นายพรี ยทุ ธ เจรญิ วงศ์วาณชิ ย์
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 73
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ประวัตศิ าสตรพ์ ฒั นาการของการเคลือ่ นไหวของกล่มุ นักเรยี นมัธยม
การมีกลุ่มนักเรียนมัธยมลุกขึ้นมาตั้งคำถาม นั้นมีมาทุกยุคทุกสมัย แต่อาจจะมีเป็นลักษณะของ ข้อต่อรอง
เสียมากกว่า ตัวอย่างของการ ลุกขึ้นมาเรียกร้องในยุคก่อนหน้านี้ เช่น เราไม่ต้องการให้คุณครูคนนี้ถูกไล่ออก ด้วย
ความไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง นักเรียนทุกคนจึงรวมตัวกันยืนขึ้นหน้าเสาธงเพื่อปกป้องและเป็นสัญลักษณ์ แต่แม้ว่า
สุดท้ายแม้ว่าผลของการเรียกร้องอาจจะไม่เป็นไปตามความตั้งใจ แต่นักเรียนก็มีความรู้สึกว่า ได้ทำหน้าที่แทนครู ได้
ปกป้องคุณครู เป็นอีกตัวอย่างความคิดเห็นที่กำลังบอกเราว่า การเรียกร้องโดยกลุ่มนักเรียนนั้นมีมาทุกยุคทุกสมัย
แตกต่างกันเพียงวิธีการ รูปแบบ ประเด็นของการเรียกร้อง รณรงค์ต่างกัน ซึ่งในยุคสมัยที่เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ทุกคน
เข้าถึงได้ จึงทำให้เป็นเครื่องมือหลักในการใช้เรียกร้อง รณรงค์ประเด็นการขับเคลื่อนต่างๆ นอกจากนี้ กลุ่มนักเรียน
เลวยังเป็นกลุ่มที่เรียกร้องและต่อกลอนกับรัฐบาล เนื่องจากเป็นกลุ่มแรกๆที่กล่าวถึงประเด็นการศึกษา ที่เชื่อมโยงไป
ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมโดยกลุม่ เยาวชน
จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนมัธยม เกิดขึ้นจากการที่นักเรียนนั้นตระหนักถึงปัญหา
บางอย่างที่ส่งผลกระทบกับตนเอง และเกิดความรู้สึกร่วมกันที่จะต้องการการเปลี่ยนแปลง และเกิดการกระทำ
ร่วมกัน ซึ่งความต่อเนื่องของการขับเคลื่อนประเด็นสังคมของกลุ่มนักเรียนมัธยมไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในสมัยนี้เท่านั้น ใน
อดีตอาจจะมีตั้งแต่การเคลื่อนไหวภายในโรงเรียน เคลื่อนไหวผ่านประเด็นเล็กๆ จากประสบการณ์ของผู้เขียน ซึ่งเคย
เป็นแกนนำการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนมัธยมในชั้นเรียนของตน ในประเด็นเรื่องการเรียน รด.ทับกับวิชาเรียนของ
โรงเรียน ขณะนั้นได้มีเสียงของนักเรียนหลายคน ที่เห็นร่วมกันว่า การออกแบบวิชาเรียนเช่นนี้เกิดผลกระทบที่ทำให้
นักเรียนขาดเรียนและจะต้องกลับมาเรียนย้อนด้วยตนเอง ซึ่งถือเป็นการผลักภาระมาสู่ผู้เรียน จึงได้ทำการรวบรวม
รายชื่อผู้ที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน และนำเสนอต่อคณะบริหารของโรงเรียน ผลสรุปของการเคลื่อนไหวนั้น ทำให้
ผู้บริหารพิจารณาและยกเลิกการจัดตาราการเรียนวิชารักษาดินแดน ทับกับวิชาเรียนปกติ แต่อาจจะไม่ได้มีการตั้งเป็น
กลุ่มการเคลื่อนไหวอย่างเช่นปัจจุบัน ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นการขับเคลื่อนในประเด็นใหญ่และภาพกว้างของระบบ
การศกึ ษารวมไปถงึ รฐั บาลดว้ ย
เดิมการเคลื่อนไหวในกลุ่มนักเรียนมัธยมนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัย ปี พ.ศ. 2556 นั่นคือกลุ่มการศึกษาเพ่ือ
ความเป็นไท นำกลุ่มนักเรียนมัธยม 50 คน โดยสมาชิกกลุ่มแรกเริ่มที่มีชื่อเสียง เช่น เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
(แฟรงค์), พริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) และณัฐนันท์ วรินทรเวช (ไนซ์) ที่เป็นสมาชิกหลักของกลุ่ม เป็นกลุ่มการ
เคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนมัธยม มีจุดมุ่งหมาย เพื่อที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาที่เน้นตัว
ผู้เรียน ต้องการปฏิวัติระบบการศึกษาที่เน้นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ของทุกคน รวมไปถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ
สิทธิมนุษยชน ต้องการให้สังคมไทยใส่ใจกับสิทธิมนุษยชน วัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนและเคารพความหลากหลาย
ทางวัฒนธรรม รวมไปถึงโลกและระบบนิเวศที่ยั่งยืน ภายใต้เป้าหมายนี้ กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ได้ทำกิจกรรม
ทุกรูปแบบ ทั้งการลงพื้นที่รณรงค์ แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ รวบรวมรายชื่อยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรี
กระทรวงศึกษาธิการ จัดเสวนาในประเด็นต่างๆและที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและเสรีภาพของนักเรียน ซึ่งยังคง
เดินหน้าเคลื่อนไหวตามเปา้ หมายอดุ มการณอ์ ยา่ งต่อเนอ่ื งมาจนถึงปจั จุบัน
องค์กรนักเรียนเลว เป็นการเคลื่อนไหวของนักเรียนมัธยมในปัจจุบันอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีผู้ก่อตั้งคือ
นายลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ หรือ มิน นักเรียนผู้ได้รับผลกระทบจากระบบ ระเบียบของการศึกษาไทย จนต้องย้ายตนเอง
ออกมาเรียนในระบบไฮสกูลแทน ได้รวมกลุ่มกับนักเรียนที่มีความรู้สึกร่วมกันคือ ถูกกระทำ-คุกคาม จากระบบ
การศึกษาเพื่อต้องการจะเป็นกระบอกเสียงให้กับนักเรียนคนอื่นๆที่โดนกระทำในลักษณะเดียวกันผ่านทวิตเตอร์ ซึ่งได้
เริ่มการเคลื่อนไหวด้วยผ่านแคมเปญเลิกบังคับหรือจับตัด เพื่อประท้วงกฎเกณฑ์เรื่องทรงผมในโรงเรียน, การจัด
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 74
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
ขบวนเดินเท้าเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ, การร่วมกิจกรรมวิ่งแฮมทาโร่ และมาจนถึงปัจจุบัน องค์กรนักเรียน
เลวได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเสนอ 3 ข้อเรียกร้อง และ 1 เงื่อนไข คือ หยุดคุกคามนักเรียน ยกเลิกกฎระเบียบล้าหลัง
ปฏิรูปการศึกษา และเงื่อนไขว่า กระทรวงศึกษาธิการไม่สามารถดำเนินการข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อข้างต้นได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการควรลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้ผู้มีความสามารถมากกว่าเข้ามา
ดำเนินการแทน นอกจากนยี้ งั ไดข้ ับเคลอื่ นและเป็นกระบอกเสียงในประเดน็ ตา่ งๆ ทีเ่ กิดขึ้นในปัจจุบันอย่างต่อเน่อื ง
ความหมายของคำวา่ นกั เรยี นดี และ นักเรยี นเลว จากสังคมโรงเรยี น
“ชื่อกลุ่มมันก็มาจากประโยคที่ผู้ใหญ่ชอบพูดนั่นแหละว่าเป็นเด็กดีต้องเชื่อฟัง เป็นเด็กดีต้องไม่ทำอะไรนอก
กรอบ เป็นเด็กดีต้องอยู่ในกรอบ เดินตามไปอย่างเดียว และถ้าเราเริ่มที่จะตั้งคำถามเมื่อไหร่ เราก็จะกลายเป็นเด็กไม่ดี
ทนั ทเี ลย เรากเ็ ลยตงั้ ชอ่ื กล่มุ เราวา่ เป็นนกั เรียนเลว”
การตั้งชื่อขององค์กรนักเรียนเลว นั้นได้นำมาสู่ประเด็นวิพากษ์ ถกเถียงกันในสัมมนาอย่างมากเกี่ยวกับ
ความประพฤติของนักเรียนในโรงเรียนที่นำมาสู่การให้ความหมายของคำว่า ดี และ เลว ในหลากหลายมุม ทั้งมองว่า
เป็นการตีความ ตีตราจากมุมมองของผู้ใหญ่ที่มองว่า นักเรียนดีนั้นจะต้องปฏิบัติตามทุกอย่างที่มีมา นักเรียนเลว
คือนักเรียนที่ไม่ได้ทำตามขนบธรรมเนียมประเพณี กฎระเบียบของโรงเรียน มีความคิดเห็นที่แตกต่าง รวมไปถึงการ
การที่ตั้งคำถาม ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจจากประเด็นวิพากษ์อยู่ที่การตั้งคำถามของนักเรียนซึ่งต้องการทราบเหตุผล ที่มา
ทีไปของกฎระเบียบ การกระทำต่างๆ ถูกทำให้มีความหมายโดยนัยว่าการกระทำนี้เป็นการขัดต่อกฎระเบียบ และทำให้
นักเรียนที่ตั้งคำถามถูกตัดสินว่าเป็นคนไม่ดีไปโดยปริยาย ซึ่งสอดคล้องกับการให้ความหมายของคำทั้งสองตาม
พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พบว่าคำว่า ดี หมายถึง มีลักษณะเป็นไปในทางที่ต้องการ น่าปรารถนา น่าพอใจ
คำว่า เลว หมายถึง มีค่าต่ำกว่ามาตรฐาน การให้ความหมายของคำว่าดี และ เลว ตามนี้จะทำให้นักเรียนถูกแบ่ง
ออกเปน็ เพียง 2 กลุ่มเท่านน้ั คอื กลมุ่ ที่ปฏบิ ตั ติ ามและกลุม่ ท่ี ไม่ปฏบิ ตั ติ ามกฎระเบียบ คำสั่ง หรอื วินัยของโรงเรยี น
ภาพซา้ ย คอื ชุดความคดิ ของคำวา่ เด็กเอ๋ย เด็กดี ทม่ี มี าต้ังแตป่ ี พ.ศ. 2489
ภาพขวา ภาพหนา้ ปกของหนงั สอื นักเรยี นเลวในระบบการศึกษาทีแ่ สนดี
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 75
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
อย่างไรก็ตามการให้ความหมายตามลักษณะดังกล่าว ในทางปฏิบัติ ไม่มีมาตรวัดที่สามารถระบุได้ว่า ว่าสิ่งใด
ที่เรียกว่าดี หรือ เลวอย่างชัดเจนด้วยเหตุผล 2 ประการ ดังนี้ เหตุผลแรก คำว่าดีหรือเลวอาจจะแตกต่างกันทาง
บริบทสังคม หรือ โรงเรียน เนื่องจากมีมาตรฐาน ค่านิยม หรือการปฏิบัติที่แตกต่างกันโดยรายละเอียด เช่น ความยาว
ของผม ลักษณะของถุงเท้า ความยาวของกางเกงหรือกระโปรง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นการให้ความหมายที่ขึ้นอยู่กับ
กลุ่มบุคคลที่ให้กำหนดกฎ ระเบียบหรือมาตรฐานไว้ เหตุผลประการที่สอง ในความเป็นจริงแล้ว การให้ความหมายของ
คำว่า ดีและเลวนั้น อาจจะมีคำว่า ชอบ หรือ ไม่ชอบมาเกี่ยวข้อง นั่นหมายถึงการใส่ทัศนคติส่วนตัวต่อการกระทำต่างๆ
ของนักเรียน ซึ่งคุณครูแต่ละคน มีทัศนคติ มุมมองต่อการกระทำที่เป็นปัจเจกบุคคลมาก เช่น ถ้าหากเราทำแบบน้ี
คณุ ครจู ะชอบ ถา้ หากเราเป็นแบบนค้ี รจู ะไม่ชอบ
จากความแตกต่างทั้งบริบททางสังคม กลุ่ม และมุมมองส่วนบุคคล อาจะสรุปได้ว่าการให้ความหมาย
ของคำว่า ดีและเลวนั้นมีความหลากหลายเกินกว่าที่จะระบุ หรือมีมาตรวัดที่ชัดเจนได้ เพราะในความเป็นจริง คำว่าดี
กับเลวอาจไม่ได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน มันอาจจะมีตรงกลาง มีหลากหลายสี ซึ่งอาจจะหมายถึงความเป็น
ปัจเจกบุคคลของตัวนักเรียน ดังนั้นสิ่งที่น่าสนใจและควรให้คุณค่ามากกว่าคำว่า ดี หรือ เลวนั้น คือการทำความเข้าใจ
ในความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ รวมไปถึงการเรียนรู้ ทำความเข้าใจกฎ ระเบียบต่างๆ ท่ีมาที่ไปในฐานะการเป็น
นักเรียนที่อยู่ภายใต้กฎระเบียบนั้น ไม่เพียงแค่ทำตามที่สังคมบอกให้ทำหรือตั้งใจเรียน รวมไปถึงการศึกษาที่สามารถ
ทำให้เด็กสามารถนำเอาความรู้ไปใช้ในชีวิต ต่อยอด สร้างทักษะความคิด ความสามารถ ที่จะสามารถครอบคลุมเรื่อง
ต่างๆที่บคุ คลหน่ึงจะเติบโตขึ้นไปขา้ งหนา้ ไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์
แนวคดิ ของกลุ่มนกั เรยี นเลวกบั ความเป็นพลเมืองของสงั คม
จากการพูดคุยเชิงลึกในสัมมนาทำให้มองเห็นประเด็นที่น่าสนใจว่าภายใต้ขับเคลื่อนของกลุ่มนักเรียนเลวมีชุด
ความคิดเรื่องของความเป็นพลเมือง จากความหมายของคำว่าพลเมือง ในหนังสือความเป็นพลเมืองในวิถีระบอบ
ประชาธิปไตย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวโดยสรุป คำว่า พลเมือง มีความแตกต่างจากคำว่า
ประชาชน และ ราษฎร ตรงที่ว่าพลเมืองจะแสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการรักษาสิทธิต่างๆของตน รวมถึงการ
มสี ่วนร่วมทางการเมือง โดยการแสดงออกซงึ่ สทิ ธิ เสรีภาพในการแสดงความคดิ เหน็
ซึ่งสามารถนำเอามาอธิบายปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนเลวได้ว่า เป็นความกระตือรือร้น
ของนักเรียนผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย มีความตระหนักที่จะรักษาไว้ซึ่งสิทธิและเสรีภาพของตนท่ี
พึงมี ไม่ว่าจะเป็นสิทธิเด็ก เสรีภาพการแสดงออก เสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็น จึงทำให้เกิดการกระทำร่วมกัน
ภายในกลุ่มนักเรียนมัธยม และเลือกใช้วิธีต่างๆ อาทิเช่น การรณรงค์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย การลงพื้นที่ การแสดงออก
เชงิ สญั ลกั ษณ์ หรือการมกี ิจกรรม แคมเปญตา่ งๆขึ้นมาในการพทิ กั ษ์ รกั ษา และนำมาซ่ึงสทิ ธิทตี่ นควรจะได้รับ
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 76
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
วเิ คราะห์เหตผุ ลภายใต้ปรากฏการณก์ ารเคลอื่ นไหวของกลุ่มนักเรียนเลว
“แจวมาแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกนกึ ถึงคนแจว (ซ้ำ)
แจวเรอื จะไปหนองคาย ใครอยากมี เสรีภาพในการแต่งกายลกุ ขนึ้ มาแจว’
แจวเรอื จะไปสีลม ใครอยากได้ เสรีทรงผม ลุกขน้ึ มาแจว
แจวเรอื จะไปศรสี ะเกษ ใคร ไม่ต้องการแบบเรียนเหยยี ดเพศ ลุกข้ึนมาแจว
แจวเรอื จะไปสงขลา ใครอยากใหม้ ี การปฏริ ูปการศกึ ษา ลุกข้นึ มาแจว
แจวเรือไปซ้อื เคร่ืองเขียน ใครอยากให้ ครูฟงั เสียงนักเรียน ลกุ ขน้ึ มาแจว”
พันธท์ุ ิพย์ ธรี ะเนตร, (2563)
เพลงสันทนาการข้างต้น คือเพลงแจวที่เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเรียน นักศึกษาสำหรับการนำมาจัดกิจกรรมเพ่ือ
ความสนุก ซึ่งการเรียบเรียงใหม่ของกลุ่มนักเรียนเลวโดยใส่ความต้องการของนักเรียนลงไปในเพลงนั้น เพื่อแสดงให้
เห็นถึงความต้องการบางอย่าง อาทิเช่น เสรีภาพในการแต่งกาย เสรีทรงผม ไม่ต้องการแบบเรียนเหยียดเพศ การ
ปฏริ ปู การศึกษา รวมถงึ ตอ้ งการใหค้ รูฟังเสียงนกั เรียน
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 77
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ขอ้ เรียกร้องขององคก์ รนักเรียนเลวเปรยี บเทยี บกับสิทธทิ เี่ ดก็ และเยาวชนควรจะมี
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 28
บุคคลย่อมมีสทิ ธแิ ละเสรภี าพในชวี ติ และร่างกาย
ข้อเรียกร้อง ยกเลิกกฎ ระเบียบของกระทรวงฯที่มี
เนื้อหาเป็นการกดขี่นักเรียน และละเมิดสิทธิมนุษยชน
ตามหลักสากลและลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ในตัว
นกั เรียน
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กข้อที่ 12 เด็กมีสิทธิได้แสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสระในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเด็กเอง
และผู้ใหญ่ควรรับฟงั อยา่ งตง้ั ใจ
อนุสญั ญาวา่ ด้วยสทิ ธเิ ด็กข้อท่ี 14 เดก็ สามารถเลอื ก
แสดงความคดิ เห็น และเลือกนับถือศาสนาได้โดยไมก่ า้ ว
ก่ายเสรีภาพของผอู้ ื่น โดยพอ่ แม่แนะนำเด็ก ๆ ได้ เพอื่ ท่ี
เด็กจะไดเ้ รยี นรู้การใชส้ ทิ ธินี้อย่างเหมาะสม
ข้อเรียกร้องของกลุ่มนักเรียนเลวที่ให้เปลี่ยนแปลงการ
สอนวชิ าพทุ ธศาสนาในโรงเรยี น
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 78
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
อนสุ ัญญาว่าดว้ ยสทิ ธิเดก็ ขอ้ ที่ 34 รัฐมีหน้าที่ คุ้มครอง
เดก็ จากการถกู แสวงประโยชน์ทางเพศ และการลว่ ง
ละเมิดทางเพศ รวมไปถึงการบังคับใหค้ ้าประเวณหี รอื
ถา่ ยทำส่อื อนาจาร
การเคลื่อนไหวประเด็นของการถูกล่วงละเมิดทางเพศ อนุสัญญาวา่ ด้วยสิทธเิ ด็กขอ้ ท่ี 26 รัฐควรใหค้ วาม
ของกลุ่มนกั เรยี นเลว ช่วยเหลือ ทั้งทางการเงินและด้านอื่น ๆ แก่เด็กท่ี
ครอบครัวยากจน
ในกรณีที่สถานศึกษายังไม่สามารถเปิดทำการเรียนการ
สอนได้ กระทรวงศึกษาธิการต้องจัดหาอุปกรณ์การ
เรียนออนไลน์ และเยียวยาค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริง
อยา่ งเร่งด่วนและทัว่ ถงึ
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กข้อที่ 28 เด็กทุกคนมีสิทธิ
ได้รับการศึกษา การเรียนระดับประถมศึกษาไม่ควรมี
ค่าใช้จ่าย และต้องจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาไว้
รองรับสำหรับเด็กทุกคน เด็กควรได้รับการศึกษาถึง
ระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นได้ ขณะที่ระเบียบวินัยภายใน
โรงเรียนต้องไม่ขัดต่อสิทธิของเด็กและปราศจากความ
รุนแรง
พรบ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
มาตรา ๑๐ การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและ
เร่งทำให้การศึกษามีคุณภาพอย่างทั่วถึงโดยไม่ต้องเสีย โอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า
ค่าใช้จ่าย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยอาจมีการ สิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่
ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการศึกษา พักชำระหนี้การศึกษา เก็บค่าใช้จา่ ย
ฯลฯ เพ่ือป้องกันไม่ให้มีนักเรียนหลุดออกจากระบบ
การศกึ ษาไปมากกว่านี้
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 79
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
จากตัวอย่างข้อเรียกร้องข้างต้นที่องค์กรนักเรียนเลวได้เป็นกระบอกเสียงในการผลักดันไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ
ปรับหลักสูตรการศึกษาที่จำกัดความรู้และเสรีภาพของนักเรียน เช่น ศาสนาพุทธ วิชาสุขศึกษาที่สอนแค่เพศ ชาย หรือ
หญิงเท่านั้น เสรีภาพในทรงผม การช่วยเหลือเด็กเข้าไม่ถึงการเรียนออนไลน์ ประกอบกับการพิจารณาจากสิทธิเด็กใน
ประเทศไทย ซึ่งมีระบุไว้เป็นบทบัญญัติในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.๒๕๔๖ และ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และตามท่ีองค์กร
Unicef ได้กล่าวไว้ว่า นักเรียนพึงรักษาสิทธิของตนเองในโรงเรียนและจะเป็นสิ่งที่ดีถ้าหากนักเรียนเข้าใจถึง
สถานการณ์ต่างๆที่พวกเขาจะต้องได้รับการคุ้มครอง สามารถสรุปได้ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนเลวนั้นไม่ใช่
เพียงการตั้งคำถามกับกฎระเบียบ วัฒนธรรม หรือกระทรวง หากแต่มีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น คือการทำความ
เข้าใจในสถานการณ์ที่นักเรียนควรจะได้รับความคุ้มครองทางสังคม และกระทำการสื่อสารผ่านรูปแบบต่างๆเพ่ือให้
นกั เรียนทกุ คนในสงั คมได้รับสิทธแิ ละเสรภี าพอย่างแท้จริง
ประเด็นวิพากษ์เพิ่มเติมจากในสัมมนาครั้งนี้ นอกเหนือจากการที่นักเรียนนั้นกระทำการพิทักษ์สิทธิ์ของ
ตนเองแล้ว โรงเรียนหรือกระทรวงไม่มีบทลงโทษสำหรับครูหรือสถานศึกษาที่กล้อนผม ไถผม ตัดผม หรือครูที่กระทำ
การละเมิดสิทธิเด็ก จากการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า บทลงโทษเช่นนี้ไม่ปรากฏอยู่ในกฎกระทรวง ในระเบียบ
กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา พ.ศ. 2548 ระบุไว้เพียงว่า ความผิดสูงสุดคือการทำ
กิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และยังระบุกำกับไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธี
รุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้งด้วยความโกรธ พยาบาท เมื่อไม่มีการระบุบทลงโทษดังกล่าวไว้ในกฎกระทรวงจึงถือได้ว่า
การกระทำนั้นกลายเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎกระทรวงและรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน แต่ไม่มีกฎหมาย หรือ ข้อกำหนด
ใดท่ีเป็นบทลงโทษสำหรบั คณุ ครู หรอื สถานศกึ ษาทใ่ี ชว้ ิธกี ารท่ีเปน็ การละเมดิ สทิ ธิมนุษยชนเช่นนี้
ประเด็นที่เกี่ยวข้องคือ การให้สิทธิคุณครูและสถานศึกษาในการสร้างกฎระเบียบ จากกฎกระทรวงกำหนด
ความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษาพ.ศ. 2548 ที่ให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาสามารถ กำหนดระเบียบว่าด้วย
ความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษาได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวง และเอามาควบคุมนักเรียน นักศึกษา
โดยไม่มีตัวแทนนักเรียนหรือนักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบกฎ กติกา ในการดำเนินใช้ชีวิตในสถานศึกษา
ซง่ึ นกั เรียนและนกั ศึกษาถือได้วา่ เป็นสมาชกิ ของสงั คม และจะต้องเปน็ อย่อู ยูภ่ ายใตก้ ารบงั คับควบคมุ ของกฎ กตกิ าน้ัน
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 80
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทบาทของโรงเรียนกบั แนวคิด Child-center
“ท่านคิดวา่ ระบบการศึกษาสรา้ งขนึ้ มาเพื่อตอบสนองใคร ?”
“ถ้าวันนี้คิดว่าการศึกษาไม่ตอบสนองนักเรียน ก็ต้องร่วมกันทำ พยายามจะทำให้เกิดให้ได้ คำตอบผมชัดเจน
ถา้ ยังไม่ตอบสนอง ผมก็คิดเหมอื นกัน ดงั นั้นเรามาชว่ ยกัน เพราะนักเรียน คอื อนาคตของประเทศ”
บทสนทนาระหว่าง ณฏั ฐพล ทปี สวุ รรณ อดตี รฐั มนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนอ้ งมิน ลภนพฒั น์
หวังไพสิฐ ตัวแทนจากกลุ่มนักเรียนเลว บนเวทีดีเบทในการชุมนุมเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2563 ที่บริเวณหน้า
กระทรวงศึกษาธิการ ในการชมุ นุมในชอ่ื วา่ #หนูรู้หนมู นั เลว
บทบาทของโรงเรียนในฐานะสถาบันทางสังคม ที่มีส่วนอย่างมากต่อพัฒนาการของเด็กและเยาวชน เด็ก
ใช้เวลาโดยประมาณ 8-9 ชั่วโมงต่อวันหรือ 1 ใน 3 ของวันอยู่ที่โรงเรียน เพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิต ผ่านวิชาการที่คุณครูได้
ถ่ายทอดให้ ผ่านการใช้ชีวิตทางสังคม ค่านิยมที่มีร่วมกันกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน เมื่อโรงเรียนมีบทบาทกับเด็กและ
เยาวชนมากกว่าสถานศึกษาที่ให้ความรู้เชิงวิชาการ การออกแบบระบบการศึกษาเพื่อที่จะตอบสนองการเรียนรู้และ
พฒั นาเดก็ จงึ เปน็ สงิ่ สำคัญ
จากการศึกษาการเรียนการสอนโดยใช้แนวคิด Child Center Education ของโครงการโรงเรียน
กรุงเทพมหานครสู่ความเป็นเลิศ คือการจัดรูปแบบการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีเป้าหมายปลายทางของการ
จัดการเรียนรู้คือนักเรียน แนวคิดของการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญนั้นจะประกอบไปด้วย
องค์ประกอบต่างๆทั้ง 4 องค์ประกอบได้แก่ คุณครู ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแนวคิด เป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้อย่าง
เข้าใจธรรมชาติ และความแตกต่างของบุคคล สอดคล้องกับความคิดเห็นของผู้ร่วมสัมมนา คือ คุณครูสำหรับแนวคิด
นี้จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนนักสังคมสงเคราะห์ในงาน case work คือมีความเชื่อว่านักเรียนทุกคนมีศักยภาพ เด็กไม่ใช่
ผู้ถูกดูแล เราเป็นผู้ที่ออกแบบสภาพแวดล้อมและการเรียนรู้ที่ไปส่งเสริม เติมเต็มศักยภาพของเด็ก ไม่ใช่ผู้ป้อนข้อมูล
คุณครูจะต้องปรับตัวเองจากการยืนหน้าห้อง มายืนข้างๆหรือข้างหลังเด็กเพื่อที่จะช่วยประคับประคองและผลักดัน
ศกั ยภาพในตวั เดก็ ออกมา
องค์ประกอบถัดมาคือ หลักสูตรที่เน้นความต้องการ ความสนใจของนักเรียนเนื่องจากที่ผ่านมาหลักสูตร
การศึกษาของไทยเป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานเดียว แต่ในเชิงการปฏิบัติแล้ว เราทำงานกับความหลากหลายของเด็ก
และเยาวชน การประเมินควรจะเป็นการประเมินตนเองของผู้เรียนที่ไม่ใช่การประเมินจากผลลัพธ์ของการสอนแล้ว
นำมาเป็นตัวชี้วัดว่าเด็กเก่ง หรือ ไม่เก่ง นอกจากนี้ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วม ผู้เรียนสามารถนำเอาความรู้
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 81
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
และทักษะไปประยุกต์ใช้จริงได้เน้นความร่วมมือของผู้เรียนในห้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำให้องค์ประกอบท่ีเป็นนักเรียนน้ัน
มีความสุขในการเรียนผู้ที่มีความกล้าแสดงออก กล้าคิด กล้า และสามารถอยู่ในระเบียบ กติกาของห้องเรียนได้ ซึ่งถ้า
หากกฎ ระเบียบนั้นนักเรียนได้มีส่วนในการออกแบบกติกาทางสังคมในการเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย
การประพฤติ ปฏิบัติตนในโรงเรยี น สภาพแวดล้อม ก็จะทำให้กฎ ระเบียบกลายเป็นสิ่งที่มีเหตุผล จับต้องได้มากกว่าแต่
วัฒนธรรมแต่เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้และจะมีผลดีกับตัวนักเรียนเช่นกัน สุดท้ายคือการมีสภาพแวดล้อมที่
เหมาะสมต่อการเรียนรู้ คือเป็นสภาพแวดล้อมเชิงบวก และมีความปลอดภัย ทั้งหมดน้ี จะทำให้การเรียนรู้เกิด
ประสิทธภิ าพ และเป็นไปเพ่อื นักเรียนอยา่ งแทจ้ ริง
เมื่อได้ลองศึกษาแนวคิด Childe – Center Education ของโครงการนี้ทำให้กลับมาทบทวนบทบาทและ
หน้าที่ที่แท้จริงของคนเป็นครู ดังความเห็นของสมาชิกผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ให้ไว้ว่า บทบาทของครูถูกทับซ้อนด้วยหน้าที่
หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการทำตามคำสั่งจากผู้บริหาร ทำการประเมินต่างๆ จากวิชาสอนต่างๆที่มากมาย หรือการ
พยายามจะเล่อื นตำแหน่งของวิชาชีพ จนทำใหค้ รูนนั้ ไม่ได้ทำหนา้ ท่ีทแ่ี ทจ้ รงิ
ท้ายที่สุดแนวคิด Childe Center Education นี้มีมานานมากรวมถึงแนวคิดทางการศึกษาอื่นๆ แต่ไม่
สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง หรือนำไปปฏิบัติแล้วผิดทิศทาง เช่น นำแนวคิดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น
ศูนย์กลาง แล้วเด็กรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเองแม้กระทั่งการบูรณาการ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการมีแนวคิดที่ดีและมี
การลงมอื ทำ จะทำใหก้ ารเปลีย่ นแปลงเกิดขน้ึ อย่างแทจ้ รงิ
บทบาทของงานสังคมสงเคราะห์ กบั ประเดน็ ตา่ งๆ
จากสัมมนาในครั้งนี้ ประเด็นของบทบาทงานสังคมสงเคราะห์ในประเด็นการเคลื่อนไหวของนักเรียนเลว
สะท้อนให้เห็นว่า งานสังคมสงเคราะห์นั้นมีบทบาทสำคัญในโรงเรียนเป็นอย่างมาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานสังคม
สงเคราะห์ทั้ง 3 ประเภทนั่นคือ งานสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย งานสังคมสงเคราะห์กลุ่มชน และนโยบายและการ
วางแผนทางสังคม วิเคราะห์โดยภาพรวมแล้วจะทำให้มองเห็นว่าควรมีนักสังคมสงเคราะห์ในโรงเรียนเพื่อช่วยเหลือ
ประเด็นปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในโรงเรียน หากถอดบทเรียนจากจุดเร่ิมต้นของการเริ่มมีองค์กรนักเรียนเลวขึ้นมาจะ
พบว่า บทบาทของงานสงั คมสงเคราะห์ได้เรม่ิ ตน้ ตัง้ แตต่ อนนน้ั
บทบาทของการพิทักสิทธ์ิของเด็กและเยาวชนในโรงเรียนจากการถูกคุกคาม ละเมิดและลิดรอนสิทธิ นัก
สังคมสงเคราะห์สามารถทำได้ทั้ง 2 ส่วนคือการแก้ไข และการป้องกัน ส่วนแรกคือการแก้ไขปัญหา จากตัวอย่างของ
มิน ผู้ก่อตั้งองค์กรนักเรียนเลว ถูกคุณครูไล่ให้ลาออกเพียงเพราะตนนั้นเรียกร้องสิทธิทางเส้นผมให้กับนักเรียนใน
โรงเรียน นอกจากนี้เครือข่ายนักกิจกรรมรุ่นมธั ยมได้เปิดเผยข้อมูลว่า จากการออกมาเรียกร้องและผลักดันประเด็น
ต่างๆที่ควรเปลี่ยนแปลงของกลุ่มนักเรียนมัธยมในโรงเรียนต่างๆของตนเองตามกระแสขององค์กรนักเรียนเลว ทำให้
ตนและเพื่อนนั้นถูกคุกคามโดยผู้มีอำนาจในสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น การหักคะแนนความประพฤติ ถูกเรียกทำทัณฑ์บน
ถูกครูข่มขู่ หรือแม้แต่ปัญหาของการคุกคามทางเพศ โดยอาจารย์ หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียน เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าวข้ึน
ไม่มีบุคคลที่คอยช่วยเหลือนักเรียนตามบทบาท มีเพียงแต่คุณครูท่ีสนิทและคุ้นเคยที่พอจะช่วยเหลือได้ หากบุคคลที่
เป็นผู้มีอำนาจในสถานศึกษา นักเรียนก็อาจจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยในบางครั้ง แต่นักสังคมสงเคราะห์เป็นนัก
วิชาชีพ มีองค์ความรู้ทางด้านกฎหมาย พรบ.ต่างๆ และมีกระบวนการที่ไม่ขึ้นอยู่กับสถานศึกษา สามารถให้ความ
ช่วยเหลือได้ตามขั้นตอนของงานสังคมสงเคราะห์ในการพิทักษ์สิทธิของเด็กและเยาวชน ในการทำให้บุคคลมองเห็น
สถานการณ์ และนำไปส่กู ารเปล่ยี นแปลงไดด้ ว้ ยตนเอง
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 82
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
นอกเหนือจากนี้ บทบาทของงานสังคมสงเคราะห์ในโรงเรียน คือการเข้ามาสนับสนุน ส่งเสริม ประเด็นต่างๆ
อย่างการที่ช่วยให้บุคคลสามารถดำรงตนในฐานะบุคคลที่ตั้งคำถาม ส่งเสริมการเคารพในการวิพากษ์ วิจารณ์ ให้ไม่
เกิดความขัดแย้งจนทำให้ถูกมองว่ากลายเป็นอื่นในสังคมได้ หากเร่ิมมีการส่งเสริมเรื่องการเคารพในสิทธิมนุษยชน
ส่งเสริมเสรีภาพของการแสดงออกมากยิ่งขึ้น กฎ กติกา หรือบทลงโทษที่จะนำมาซึ่งการลิดรอนสิทธิเด็ก เช่น การจับ
ตดั การไถผม ก็อาจจะลดลงตามไป
สุดท้ายการเข้าไปแก้ไขปัญหาเฉพาะราย กลุ่มชน อาจจะยังไม่สามารถแกไขปัญหาให้หมดไปได้ เนื่องจากบาง
ปัญหามีรากฐานมาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง หรือปัญหาจากการออกแบบและปฏิบัตินโยบายหรือเป็นงานด้าน
สวัสดกิ ารสงั คม อย่างเช่น
- ข้อเรียกร้องในการเร่งทำให้การศกึ ษามคี ณุ ภาพอยา่ งทัว่ ถึงโดยไมต่ ้องเสียค่าใช้จา่ ย
- จัดหาอปุ กรณก์ ารเรยี นออนไลน์และกระจายสญั ญาณอนิ เทอร์เน็ตและเยียวยาคา่ ใช้จา่ ยตามความเปน็ จริง
- การนำเข้าวคั ซนี ประสิทธิภาพสงู
- การออกแบบกฎ กติกาทางสังคมท่ีกำหนดชีวติ ของผเู้ รียน
นักสังคมสงเคราะห์ที่ทำงานในด้านนโยบาย หรือ นักวิเคราะห์นโยบายสามารถเข้ามาช่วยในกระบวนการออกแบบ
นโยบาย ปรับปรุงการดำเนินนโยบาย เปลี่ยนแปลงแก้ไขนโยบายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสังคม เนื่องจากการทำงาน
นโยบายสังคมมีพื้นฐานแนวคิดในการออกแบบนโยบายคือการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม สร้างสวัสดิการที่ถ้วน
หนา้ ซึ่งจะเปน็ การแก้ไขปญั หาสงั คมได้
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 83
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บรรณนานกุ รม
อ.ดร.กรี ติ คุวสานนท์. (2560). การจดั การเรียนรู้สูว่ ิถผี เู้ รียนเป็นสำคัญ (พิมพค์ รัง้ ท่1ี ). สถานทพี่ ิมพ:์ บริษทั นัชชา
วัตน์ จำกัด. จาก http://www.cydcenter.com
UNICEF. (2019). อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ด็ก. https://www.unicef.org/thailand/media/3221/file/อนุสญั ญาวา่
ด้วยสิทธเิ ด็ก.pdf
องคก์ ารยนู เิ ซฟ ประเทศไทย. (2021). สทิ ธใิ นโรงเรยี นสำหรบั นักเรียน ครู และผู้บรหิ ารโรงเรยี น ,
https://www.unicef.org/thailand/th/stories/สิทธใิ นโรงเรียนสำหรับนักเรยี น-คร-ู และผูบ้ ริหารโรงเรยี น
สำนกั งานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. (2558) ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธปิ ไตย, 1-1.
https://web.parliament.go.th/assets/portals/1/files/004ความเป็นพลเมอื งฯ.pdf
พระราชบญั ญัตักิ ารศกึ ษาแหง่ ชาตพิ ทุ ธศกั ราช 2542. (2542, 14 สงิ หาคม). ราชกิจจานุเบกษา. หน้า 5.
Karoonp. Chetpayark. (2020). นักเรยี นถาม – รัฐมนตรศี กึ ษาฯ ตอบ : สรุปประเด็นบนเวทดี ีเบทในการชุมนมุ #หนู
รูห้ นูมนั เลว. สืบค้นเม่อื วนั 29 พ.ย. 2564 , https://thematter.co/social/education/student-minister-
debate/122823
พันธุท์ พิ ย์ ธรี ะเนตร. (2563). ยทุ ธศาสตร์ ‘นักเรยี น(เลว)’ ศึกท่ผี ู้ใหญถ่ ูกไลไ่ ปต่อแถว. สืบค้นเม่ือวันท่ี 29 พ.ย. 2564,
https://www.matichon.co.th/prachachuen/prachachuen-scoop/news2319204
เบญจพร ศรีด.ี (2563). คุยกับ “มนิ ” เยาวชนวัย 17 ปี ผกู้ ่อตงั้ กลมุ่ “นักเรียนเลว” กิจกรรมมาจากเงนิ “ค่าขนม”.
สบื คน้ เม่อื วันท่ี 29 พ.ย. 2564, https://www.matichonweekly.com/column/article345406
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 84
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
“สิทธเิ ด็กกบั ความเชอ่ื ทางค่านยิ ม ศาสนา และวัฒนธรรม”
นายธวัชชยั กูลหลกั 6105680117
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 85
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
คำนำ
ความเชือ่ วฒั นธรรมและบรรทดั ฐานของสังคมทม่ี ีผลตอ่ การปกปอ้ งคมุ้ ครองเด็กและสทิ ธิเด็ก หลาย ๆความ
เชื่อทางค่านิยม ศาสนา และวัฒนธรรม กำลังละเมิดสิทธิเด็กอย่างไม่รู้ตัว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อทาง
ค่านิยม ศาสนา และวัฒนธรรม เหล่านี้ที่เป็น "ชุดความรู้" ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เกิด
เป็น "ชุดความรู้ใหม่" ที่จะเป็นตัวไปละเมิดสิทธิของเด็ก อย่างไม่ตั้งใจ ภายใต้จิตสำนักของผู้ปกครอง ที่รักและหวังดี
แตช่ ุดความรทู้ ่มี นี ้ัน ไมถ่ กู ต้องนัน่ เอง
ความเชื่อ ทัศนคติ วัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอื่น ๆ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้การทำงานของ
นักสังคมสงเคราะห์ท้าทาย (ยาก) ข้ึน แต่ไม่ได้หมายความทำไม่ได้ นักสังคมสงเคราะห์ต้องเรียนรู้ปรับตัว และเข้าใจใน
การเปลี่ยนแปลง ในความเชื่อ ทัศนคติ ฯลฯ ที่หลาย ๆ คนบอกว่าเปลี่ยนแปลงยากแต่ถ้าหากนักสังคมสงเคราะห์
สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะทำให้สามารถช่วยเหลือผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์
คือการทำความเข้าใจ "ชุดความรู้" ที่มีและเข้าใจนำไปสู่การเปลี่ยนเปลี่ยน และทำงานให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่
เปล่ียนอยูเ่ สมอน่นั เอง
บทบาทของผมในครง้ั นี้ คอื การเปน็ ผนู้ ำสมั มนาโดยได้เตรียมเนือ้ หา ประเด็นเพ่ือแลกเปลีย่ น
ร่วมพูดคุย วิเคราะห์ ให้ความเห็น เกี่ยวกับเรื่องค่านิมยม ความเชื่อ กับเรื่องสิทธิเด็ก ในการเลี้ยงดูเด็กกับความเช่ือ
ผิด ๆ (? หรือ ไม่ผิดนะ อะไร ยังไงกัน ร่วมพูดคุยกันในสัมมนาครั้งนี้ผ่านมุมมองนักศึกษาสังคมสงเคราะห์ ในด้านการ
ทำงานปกป้องคุ้มครองเด็ก สิทธิเด็ก การทำงานกับเด็กและครอบครัว และได้นำเสนอผ่านรายงานเล่มนี้ เพื่อเป้นน
ประโยชน์กบั ผทู้ ่ตี ้องการศึกษาต่อไป
ธวชั ชยั กูลหลัก
ผจู้ ดั ทำรายงาน
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 86
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
1.บทนำ
1.1 นยิ ามศัพท์
เช่อื เห็นตามด้วย เช่น เด็ก ๆ ควรเชื่อคำสั่งสอนของพ่อแม่,
คา่ นิยม มั่นใจ, ไว้ใจ,เช่น ฉันเชื่อว่าลูกจ้างคนนี้ดูแลการเงินแทน
ฉันได้
: สิ่งที่บุคคลหรือสังคมยึดถือเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจ
และกำหนดการกระทำของตนเอง
วัฒนธรรม สิ่งที่ทำความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะ เช่น
วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมในการแต่งกาย, วิถีชีวิตของ
หมู่คณะ เชน่ วฒั นธรรมพนื้ บา้ น วัฒนธรรมชาวเขา
ศาสนา ลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์อันมีหลัก คือแสดงกำเนิด
และความส้ินสดุ ของโลกเป็นต้น อันเปน็ ไปในฝา่ ยปรมตั ถ์
ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบุญบาปอันเป็นไป
ในฝ่ายศีลธรรมประการหน่ึง พร้อมทั้งลัทธิพิธีที่กระทำ
ตามความเห็นหรอื ตามคำส่งั สอนในความเช่อื ถอื นัน้ ๆ
ทมี่ า: พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ / https://dictionary.orst.go.th
1.2 สทิ ธิมนุษยชน
สิทธิมนุษยชน คือ สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่เป็นของพวกเราทุกคน ไม่ว่าเราจะเป็นใครหรืออยู่ที่ไหนบน
โลกใบน้ี ไม่ว่าคุณจะมีความเชื่ออะไร หรือใช้ชีวิตแบบไหนก็ตาม สิทธิมนุษยชนไม่สามารถถูกพรากไปได้ แต่บางคร้ัง
สิทธิมนุษยชนอาจถูกจำกัด เช่น ถ้าคุณทำผิดกฎหมาย หรือกระทำการที่อาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ
ทั้งนี้ สิทธิมนุษยชนนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าความเป็นมนุษย์ เช่น ความมีศักดิ์ศรี ความยุติธรรม ความเท่า
เทยี ม ความเคารพ และความเป็นอสิ ระ
นอกจากนี้สิทธิมนุษยชนนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิดที่เป็นนามธรรมเท่านั้น เพราะสิทธิมนุษยชนคือแนวคิดที่ได้รับการ
นิยาม และได้รบั การคมุ้ ครองตามกฎหมาย (แอมเนสต้ี, 2561)
1.3 อนุสัญญาวา่ ด้วยสิทธิเด็ก
องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กมีทั้งหมด 54 ข้อ จะ
ประกอบไปด้วยสาระสำคัญเรื่องสิทธิของเด็ก 4 ด้าน ได้แก่ สิทธิที่จะมีชีวิตรอด สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง
สิทธิในการพัฒนา และสิทธิในการมีส่วนร่วม และตั้งอยู่บนหลักการไม่เลือกปฏิบัติ และถือประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็น
ท่ีตัง้
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 87
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
1. สทิ ธทิ จี่ ะมชี วี ิตรอด
เริ่มตั้งแต่เมื่อแรกเกิด เด็ก! มีสิทธิที่จะมีชีวิตรอด ได้รับการจดทะเบียนเกิด มีสิทธิที่จะมีชื่อได้สัญชาติ และ
ได้รับการเลี้ยงดูจากบิดามารดาของตน ไม่ถูกแยกจากครอบครัว รวมทั้งได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างเหมาะสม
โดยรัฐมีหน้าที่ประกันสิทธิเหล่านี้ และจัดหาบริการพื้นฐานต่างๆเพื่อให้เด็กๆ ได้มีชีวิตรอด และเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง
ไม่ว่าจะเป็น การสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานในยามเจ็บป่วย ในด้านโภชนาการ ก็ต้องมีอาหารที่ดีมีประโยชน์ที่เหมาะ
สำหรับเดก็ มีน้ำด่ืมที่สะอาดไดอ้ าศัยอยใู่ นพื้นท่ีชุมชน ที่สะอาด ตลอดจนโอกาสเข้าถึงการพัฒนาต่อไปในอนาคต ฯลฯ
2. สิทธทิ ่จี ะได้รับการปกป้องคุ้มครอง
เมื่อเด็กๆ ได้เกิดและรอดชีวิตมาแล้ว สิ่งต่อมาที่พวกเขาควรได้รับคือการปกป้องคุ้มครอง คือได้รับความ
คุ้มครองจากการใช้ความรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ และยังรวมไปถึงการคุ้มครองจากการใช้แรงงานผิดกฎหมาย
การทำงานอันตราย หรือขัดขวางการศึกษา ในเรื่องสารเสพติดก็เช่นกัน เด็กๆจะต้องได้รับการคุ้มครองจากสาร
อันตราย สารมีพิษ และสิ่งเสพติดต่างๆ อีกหนึ่งการให้ความคุ้มครองที่สำคัญยิ่ง ก็คือ คุ้มครองจากการค้ามนุษย์ การ
ขายและการลกั พาเดก็ การลว่ งละเมิดทางเพศ และ
การแสวงประโยชน์กับเด็กในทุกรูปแบบ โดยรัฐจะมีหน้าที่ต้องฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจได้กลับคืนสู่สังคมอย่างมี
ศักดิ์ศรีอีกด้วย ในแง่ของกระบวนการกฎหมาย แม้จะเป็นเด็กก็มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือจากกระบวนการยุติธรรม
เช่นกัน และมีลักษณะเฉพาะตัวอีกด้วย นั่นคือ ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การให้ปากคำ ตลอดจนถึงการพิจารณาคดี จะต้อง
ถือประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ สำหรับเด็กที่ถูกพรากจากครอบครัว จะต้องได้รับการคุ้มครองดูแลอย่าง
เหมาะสม ตามภูมิหลังทางชาติพันธุ์ ภาษาศาสนาและวัฒนธรรมของเด็ก ในภาวะสงคราม เด็กๆ ต้องได้รับการ
คุ้มครองจากภัยสงคราม ไม่ถูกเกณฑ์เป็นทหาร หรือมีส่วนร่วมในการสู้รบ ในกรณีที่เด็กเป็นผู้ลี้ภัย จะได้รับการ
ชว่ ยเหลอื และได้รบั การปกปอ้ งคุ้มครองเป็นกรณพี ิเศษ
3. สิทธิทจ่ี ะได้รบั การพฒั นา
เพราะเด็กในวันนี้คืออนาคตของชาติในวันข้างหน้า การศึกษาและพัฒนาการจึงเป็นอีกเรื่องที่ต้องให้
ความสำคัญ เริ่มตั้งแต่ที่เด็กๆ จะต้องได้รับบริการพัฒนาปฐมวัย และได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ได้รับข้อมูล
ข่าวสารจากสื่อที่หลากหลาย โดยมีพ่อแม่เป็นผู้คอยช่วยแนะนำ ขณะที่เด็กที่มคี วามจำเป็นพิเศษ เช่น เด็กพิการ ก็ต้อง
ได้รับการดูแลให้มีชีวิตที่ปกติสุข ได้รับโอกาสพัฒนาและการศึกษาที่เหมาะสม ให้สามารถเติบโตพึ่งพาตนเองได้อย่าง
เต็มศักยภาพ ตลอดจนมีส่วนร่วมในชุมชน สิทธิด้านการพัฒนานี้นี้ยังหมายรวมถึงการต่อยอดไปสู่ทักษะเฉพาะต่างๆ
การพัฒนาความสามารถทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ที่จะทำให้เด็กๆ ได้ก้าวไปสู่อนาคตที่สดใส และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ต่อไปในอนาคต
4. สิทธิทจ่ี ะมีส่วนรว่ ม
เด็กๆ ก็คือสมาชิกคนหนึ่งในสังคม อาจจะตัวเล็กสักหน่อย แต่ก็มีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมอย่างเต็มตัว ทั้งการ
แสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี หรือเข้ามามีบทบาทในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะกับเรื่องท่ีส่งผลกระทบ หรือมีส่วนโดยตรง
กับตัวเด็กและเยาวชนเอง โดยความคิดเห็นดังกล่าวของเด็กจะต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังตามสมควรแก่
อายุและวุฒิภาวะของเด็กคนนั้น เด็กและเยาวชนแทบทุกคนมีศักยภาพที่ไม่สามารถมองขา้ มได้เลย ในขณะที่ภาครัฐมี
หน้าที่ที่จะเอ้ืออำนวยและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนตั้งแต่ระดับชุมชนเป็นต้นไป ทุกภาคส่วนก็ควรจะ
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 88
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
มีบทบาทส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กๆ และเยาวชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วม ได้แสดงความคิดเห็น มีพื้นที่ในการใช้
ศกั ยภาพของตนเอง ทจี่ ะสรา้ งความเปล่ยี นแปลงท่ดี ีสูส่ ังคม
2.ความเชอ่ื คา่ นิยม ศาสนาวฒั นธรรม กบั การเลีย้ งดเู ด็ก
ความเชื่อ วัฒนธรรมและบรรทัดฐานของสังคมที่มีผลต่อการปกป้องคุ้มครองเด็กและสิทธิเด็ก หลาย ๆ
ความเชื่อทางค่านิยม ศาสนา และวัฒนธรรม กำลังละเมิดสิทธิเด็กอย่างไม่รู้ตัว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของความเช่ือ
ทางค่านิยม ศาสนา และวัฒนธรรม เหล่านี้ที่เป็น "ชุดความรู้" ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็
เกิดเป็น "ชุดความรู้ใหม่" ท่ีจะเป็นตวั ไปละเมิดสทิ ธิของเดก็ อย่างไม่ตั้งใจ ภายใต้จิตสำนักของผู้ปกครอง ที่รักและหวัง
ดี แต่ชดุ ความรทู้ ี่มีน้ัน ไม่ถูกตอ้ งนนั่ เอง
2.1 ตวั อยา่ งความเชื่อ ค่านยิ ม ศาสนาวฒั นธรรม กับการเลยี้ งดูเดก็
1. การดัดขาช่วยให้ขาลูกหายโก่ง ความเชื่อนี้เคยทำให้เกิดอุบัติเหตุจนกระดูกขาเด็กทารกหักมาแล้ว ซึ่งมัน
ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะการออกแรงกดไปที่กระดูกไม่ได้ทำให้กระดูกขาตรงมากขึ้น จริงๆแล้วขาทารกจะ
โก่งเล็กน้อยอยู่แล้วในช่วงแรก เนื่องจากคุดคู้อยู่ในครรภ์มานาน แต่ขาจะค่อยๆหายโก่งไปเองตามอายุที่มากขึ้น ไม่
จำเป็นต้องดดั แต่อย่างใด หากอยากจะทำ ทำเพียงแคน่ วดเบาๆให้ลกู ผอ่ นคลายกพ็ อ
2. การอุ้มลูกเข้าเอวหรือใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปจะทำให้ลูกขาโก่ง อย่างที่บอกไปด้านบน ขาทารกจะโก่งเล็กน้อย
ในตอนแรกเกิดและจะค่อยๆหายไปเอง ส่วนเด็กที่ขาโก่งจริงๆจะมีสาเหตุจากพันธุกรรมหรือความผิดปกติอย่างอ่ืน
มากกวา่ ซึ่งการจะรูว้ ่าเด็กขาโก่งจริงหรอื ไมต่ ้องดตู อนทอี่ ายุ 2 ขวบขึ้นไป
3. อุ้มลูกบ่อยทำให้เด็กติดมือ เด็กทารกไม่สามารถสื่อสารได้แบบผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นเวลาเจ็บปวด หนาว ร้อน
หิว หวาดกลัวหรือรู้สึกไม่สบายตัว การสื่อสารเพียงอย่างเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือการร้องไห้ เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นการ
ตอบโต้หรือแสดงความต้องการบางสิ่งของเด็ก คุณพ่อคุณแม่มีหน้าที่ตรวจสอบดูว่าลูกต้องการอะไรในเวลานั้นๆ ไม่
ตอ้ งกังวลว่าลกู จะ
ติดมือ เพราะการอุ้มลูกและตอบสนองกับลูกน้อยตามความเหมาะสมจะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัย ไว้วางใจและช่วยสาน
สายสมั พนั ธใ์ หร้ ะหว่างแม่ลกู ให้แน่นแฟันมากยิง่ ขึน้
4. ท้องเสียเพราะเด็กยืดตัว เมื่ออายุได้ 6 เดือนขึ้นไป เด็กทารกมีโอกาสท้องเสียมากขึ้น หลายคนจะคิดว่า
เป็นเพราะเด็กยืดตัว ที่จริงแล้วสาเหตุมาจากช่วงนี้ทารกจะเริ่มทานอาหารได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น จึงมีโอกาสได้รับ
สิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกายได้ เช่น อาหารไม่สุกพอขั้นตอนการปรุงอาหารไม่สะอาด เป็นต้น ทารกบางคนเลิกดื่มนมแม่
แล้ว พอหัดทานนมผงอื่นๆก็อาจท้องเสียได้ นอกจากนี้ทารกจะเริ่มเอานิ้วหรือสิ่งของอื่นๆเข้าปากได้แล้ว สิ่งของ
บางอย่างสะอาดไม่พอ การหยบิ เข้าปากจงึ อาจทำใหท้ ้องเสยี ได้เชน่ เดียวกนั
5. รถหัดเดินใช้แล้วทำให้เดินได้เร็วขึ้น กลไกการฝึกเดินที่ถูกต้อง ส้นเท้าจะต้องลงพื้นก่อน แต่ว่าเวลาใช้รถ
หัดเดิน เท้าจะจิกและงุ้มลงพื้น เพราะฉะนั้นรถนี้ไม่ได้ช่วยให้เดินได้เร็วขึ้น แต่อาจจะทำให้ขาเปจนเดินข้าลงกว่าเดิมด้วย
ซ้ำไป นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากการลื่นไถล รถคว่ำหรือตกจากที่สูงได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นไม่แนะนำให้ใช้
เด็ดขาด
6. เด็กพูดหรือเดินเร็วฉลาดกว่า พัฒนาการแต่ละด้านในเด็กแต่ละคนจะไม่เท่ากันเพราะฉะนั้นการเดินหรือ
พูดก่อนวัยไม่ได้แปลว่าฉลาดกว่าเด็กคนอื่น ๆ แต่อย่างใด ยกเว้นในรายที่มีพัฒนาการข้าผิดปกติจริงๆอย่างเช่น อายุ
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 89
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
2 ขวบแต่เดินหรือพูดเป็นคำไม่ได้ หากเด็กรายใดมีอาการแบบน้ี ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพราะอาจมีความผิดปกติซ่อน
อยู่ หากพบแพทย์จะได้รบั วนิ จิ ฉัยและรกั ษาอยา่ งถกู ต้อง อาจจะชว่ ยกระตุ้นใหม้ ีพัฒนาการดขี ้นึ ได้
7. การใช้สื่อจะช่วยให้ลูกฉลาดมากขึ้น สื่อบางประเภทช่วยพัฒนาความสามารถทางประสาทและสมองของ
ลูกได้จริงๆ เช่น บล็อกไม้ ตัวต่อ หนังสือภาพ ของเล่นตามวัยต่างๆ เป็นต้นหากให้ลูกเล่นอย่างเหมาะสมจะช่วยกระตุ้น
พัฒนาการของลูกได้ อย่างไรก็ตามพ่อแม่หลายคนเลือกที่จะให้ลูกดูทีวีหรือโทรศัพท์มือถือ ตรงนี้เป็นเรื่องที่ผิดมาก
เพราะมนั สรา้ งผลเสีย
มากมายแก่ลูก การใช้ส่ือในลักษณะนี้ไม่ได้ฝึกอะไรเลยแม้แต่ทักษะการพูด เพราะมันคือการสื่อสารทางเดียว หากเล่น
อุปกรณป์ ระเภทหน้าจอนานๆ ลกู จะมอี าการสมาธสิ ั้นได้ ในรายท่ีอาการหนักจะเปน็ โรคออทสิ ตกิ เทียมได้เลยทเี ดยี ว
8. นมแม่หมดคุณค่าหลังลูกน้อยอายุครบ 6 เดือน นมแม่ไม่มีทางหมดคุณค่าหากคุณแม่ยังทานอาหารที่มี
ประโยชน์เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าสารอาหารท่ีได้รับจากนมแม่นั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูก เพราะฉะนั้นควร
เริ่มให้อาหารเสริมได้แล้วและให้ดื่มนมแม่ควบคู่ไปด้วยเป็นอาหารเสริม นอกจากนี้คุณแม่ยังสามารถให้นมลูกไป
จนกระทงั่ ลูกอายุ 4-5 ขวบเลยกย็ งั ได้หากคุณแมส่ ะดวก
9. ห้ามบิดผ้าเพราะจะทำให้ลูกบิดตัว ทารกสามารถบิดขี้เกียจได้ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ซึ่งการซักผ้าหรือบิดผ้าน้ัน
ไมไ่ ด้มผี ลต่อการบดิ ตัวของทารกแต่อยา่ งใด
10. ทานกล้วยดีต่อทารก มีทารกหลายรายต้องมาเสียชีวิตไปเพราะทานกล้วยก่อนถึงวัยท่ีจะต้องทานอาหาร
ในช่วงอายุ 1-6 เดือน ทรกควรดื่มนมแม่อย่างเดียว เพราะระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายยังทำงานไม่เต็มที่ การ
ทานอาหารไม่ว่าจะอะไรก็ตามในวัยที่ไม่เหมาะสมอาหารจะไม่ย่อย ทารกจะท้องอืด ขับถ่ายลำบาก ในรายที่มีอาการ
รุนแรงอาจเจอปัญหาตดิ เชอื้ ในกระแสเลอื ดหรอื ลำไสก้ ลืนกนั จนต้องผา่ ตัดไดเ้ ลยทเี ดียว
3.กรณศี กึ ษา สทิ ธเิ ดก็ กับความเช่ือ คา่ นิยม ศาสนาวฒั นธรรม
3.1 การตกเขยี ว
การตกเขียวโดยปกติแล้วข้าวที่จะนำมาเก็บเกี่ยวจะเป็นสีเหลืองทองแต่ก่อนที่จะเป็นสีทองข้าวจะเป็นสีเขียว
มาก่อนซึ่งจะมีความสดอยู่จึงเปรียบเสมือนว่าเด็กผู้หญิงเมื่อแตกเนื้อสาวแล้วจะถูกส่งตัวไปเป็นโสเภณี โดยเด็กก็จะ
รู้อยู่แล้วว่าถ้าไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่ก็จะมีบางคนที่ยินดีที่จะไปเพราะเชื่อว่าถ้าไปแล้วจะสามารถทำให้ครอบครัวสุข
สบาย มีเงนิ ใชม้ ีบ้านหลงั ใหญ่ซง่ึ หมายถึงความ
กตัญญูนั่นเอง นำไปสู่ค่านิยมแบบใหม่ที่เห็นว่าการขายลูกสาวไมใช่เรื่องผิดแปลกอะไร แต่กลับเป็นการช่วยเหลือ
ครอบครัวให้มีฐานะดีขึ้นค่านิยมดังกล่าว ส่งผลให้วิถีความคิดของคนในหมู่บ้านเปลี่ยนไปโดยเห็นว่าการขายลูกสาวให้
ไปขายบริการนั้นเป็นเรื่องธรรมดาแต่สิ่งสำคัญคือจะต้องขายให้ได้เงินคุ้มกับการเลี้ยงดูมา 10 กว่าปี ขยายความของ
การตกเขียวการตกเขียวเป็นรูปแบบการค้าประเวณีรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก็คือการซื้อเด็กสาวเพื่อนำไปประกอบอาชีพ
โสเภณีกระทำโดยการจองตัวเด็กสาวในช่วงหน้าแล้งก่อนถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีวิธีการคือติดต่อกับกับพ่อ
แม่ผู้ปกครองของเด็กเพื่อจ่ายเงินมัดจำล่วงหนา้ รอให้เด็กเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่หกเสียก่อน หลังจากนั้นก็จะมา
รับตัวไปเป็นโสเภณี สาเหตุที่ต้องให้เด็กเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่หกก่อนนั้น เพราะว่าการศึกษาภาคบังคับ บังคับให้
เด็กต้องเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่หก และถือว่าเป็นวัยที่เด็กแตกเนื้อสาวใช้การได้พอดีถ้าเอาตัวไปก่อนหน้านั้นก็
ดูจะเร็วเกนิ ไป
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 90
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
3.2 การขลบิ อวับวะเพศ
องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)/ เรียกร้องให้ทั่วโลกยุติการขริบอวัยวะเพศหญิงอย่างสิ้นเชิงเนื่องในวัน
นานาชาติเพื่อต่อต้านการขริบอวัยวะเพศหญิง ซึ่งตรงกับวันท่ี 6 ก.พ.ของทุกปี การประเมินของยูเอ็นพบว่า สตรีและ
เด็กหญิงราว 200 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 20 ของเด็กหญิงและสตรีท่ัวโลกตกเป็นเหยื่อการขริบอวัยวะเพศหญิง
(Female Genital Mutilation หรือ FGM) การขริบอวัยวะเพศหญิงเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันในหลายพื้นที่ของแอฟริกา
ตะวันออกกลาง และเอเชยี องคก์ าร
อนามัยโลกได้แบ่งรูปแบบการขริบออกเป็น 4 ประเภท คือ ตัดปุ่มคลิตอริส ตัดปุ่มคลิตอริสและแคมเล็ก ตัดทั้งแคม
ใหญ่และแคมเล็กแล้วเย็บปิดอวัยวะเพศให้เหลือเพียงช่องเล็ก ๆ การขริบหรือการกระทำใด ๆ ที่เป็นอันตรายหรือทำให้
อวัยวะเพศพิการ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ผลจากการขริบอวัยวะเพศทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ อาทิ การติดเชื้อในระบบ
ทางเดินปีสสาวะ การติดเชื้อในไต ชีสต์ ปัญหาการเจริญพันธุ์ การเจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงปัญหาด้าน
จติ ใจระยะยาว
3.บทบาทของนกั สงั คมสงเคราะห์
ความเชือ่ วัฒนธรรมและบรรทดั ฐานของสงั คมที่มผี ลตอ่ การปกปอ้ งคุม้ ครองเดก็ และสิทธเิ ดก็ หลาย ๆความ
เชื่อทางค่านิยม ศาสนา และวัฒนธรรม กำลังละเมิดสิทธิเด็กอย่างไม่รู้ตัว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อทาง
ค่านิยม ศาสนา และวัฒนธรรม เหล่านี้ที่เป็น "ชุดความรู้" ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เกิด
เป็น "ชุดความรู้ใหม่" ที่จะเป็นตัวไปละเมิดสิทธิของเด็ก อย่างไม่ตั้งใจ ภายใต้จิตสำนักของผู้ปกครอง ที่รักและหวังดี
แตช่ ดุ ความรทู้ ่มี ีนนั้ ไมถ่ ูกตอ้ งนนั่ เอง
ความเชื่อ ทัศนคติ วัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอื่น ๆ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้การทำงานของ
นักสังคมสงเคราะห์ท้าทาย (ยาก) ขึ้น แต่ไม่ได้หมายความทำไม่ได้ นักสังคมสงเคราะห์ต้องเรียนรู้ปรับตัว และเข้าใจใน
การเปลี่ยนแปลง ในความเชื่อ ทัศนคติ ฯลฯ ที่หลาย ๆ คนบอกว่าเปลี่ยนแปลงยาก แต่ถ้าหากนักสังคมสงเคราะห์
สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะทำให้สามารถช่วยเหลือผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์
คือการทำความเข้าใจ "ชุดความรู้" ที่มีและเข้าใจนำไปสู่การเปลี่ยนเปลี่ยน และทำงานให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่
เปล่ียนอย่เู สมอนั่นเอง
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 91
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
รายการอ้างอิง
มติชน (2564). เจาะลึกพิธีขลิบอวยั วะเพศหญิง ประเพณคี วามเชอ่ื โบราณสูป่ ัญหาของสตรี สืบค้นจาก
https://www.silpa-mag.com/history/article25083
ยูนิเซฟ. (2564). อนสุ ญั ญาว่าดว้ ยสิทธิเดก็ คืออะไร สบื ค้นจาก https://www.unicef.org/
thailand/th/what-is-crc
แอมเนสตี้ (2561). สิทธลมนุษยชน สบื คน้ จาก https://www.amnesty.or.th/atest/blog/62/
BBC NEWS. (2563). การขริ บอวัยวะเพศหญิ งคื ออะไร. สืบค้นจาก https://www.bbc.com/
thai/international-47130624MOM108 (2564). 10 ความเชือ่ ผิดๆ ในการเล้ียงดูทารก สืบค้นจาก
https://mom108.net/10-ความเชอื่ ผดิ ๆ-ในการเล/ี
Posttoday. (2559). บทเรยี นจาก"ตกเขยี ว"ทางแกข้ ายบรกิ ารทางเพศ. สบื คน้ จาก https://www.
posttoday.com/social/local/440873
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 92
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
"ความพเิ ศษทแ่ี ตกตา่ ง"
(ผ่านการรับชมภาพยนตร์เร่อื ง เออ๋ เหรอ)
นางสาวผกามาศ กนั ทรประเสริฐ 6105680406
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 93
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
คำนำ
รายงานฉบับนจี้ ัดขน้ึ เพือ่ เป็นส่วนหนง่ึ ของรายวิชา CF369 สัมมนาพฒั นาการเดก็ เยาวชนและครอบครวั การ
สัมมนาเป็นไปเพื่อศึกษาหาความรู้และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามประเด็นที่ผู้จัดทำได้เตรียมไว้ในหัวข้อ "ความ
พิเศษที่แตกต่าง" ผู้จัดทำจึงได้มีการศึกษาและประเมินข้อมูลอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการเรียนและการนำเสนอ
เนื้อหาตอ่ ผทู้ ่ีสนใจ
ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยต่อผู้อ่านหรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูล
เองดังกลา่ วอยู่ หากมีข้อผดิ พลาดประการใดหรอื หากมขี อ้ แนะนำ ผู้จัดทำขอน้อมรับไวแ้ ละขออภยั มา ณ ทนี่ ี้ด้วย
นางสาวผกามาศ กันทรประเสริฐ
ผจู้ ดั ทำ
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 94
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
สว่ นที่ 1 ที่มาและความสำคญั
ทมี่ าและความสำคญั
กลุ่มอาการดาวน์หรือดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome ส่วนใหญ่เรามักจะเห็นว่ากลุ่มอาการดังกล่าวน้ี
เกิดขึ้นในกลุ่มเด็ก ซึ่งเราจะพบว่าเด็กในกลุ่มอาการดาวน์ จะมีปัญหาในการใช้ภาษา การพูด มีระดับสติปัญญาอยู่ใน
เกณฑ์ท่ีบกพร่องทางสติปัญญา ระดับปานกลางถึงรุนแรง เด็กกลุ่มอาการดาวน์ชินโดมสามารมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้
หากพ่อแม่ใสใจนำลูกเข้ารับการรักษาการส่งเสริมพัฒนาการอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงแรกเกิด - 5 ปี ควรได้รับการ
ดูแล ทั้งในแง่การตรวจความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ รวมถึงการติดตามความก้าวหน้าทางพัฒนาการและให้การฝึก
การกระตนุ้ พัฒนาการตง้ั แต่ชว่ งแรกท่สี ามารถตรวจพบได้ เพอื่ เปน็ การกระตุ้นพฒั นาการอยา่ งตอ่ เน่อื ง
ดังที่กล่าวมาข้างต้นเห็นได้ว่าในสังคมปัจจุบันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ส่วนใหญ่กลุ่มที่มีอาการ
ดาวน์หรือเป็นดาวน์ชินโดรมน้ันมักจะเกิดข้ึนกับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วเด็กที่มีอาการดาวน์ วันนึงจะต้องเติบโต
มาป็นผู้ใหญ่และบางคนมีครอบครัวเป็นของตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวนักศึกษามีความสนใจเกี่ยวกับกลุ่มผู้ที่มี
อาการดาวน์ชินโดรม เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่และหากมีครอบครัว การเลี้ยงดูและการปฏิบัติตัวต่อครอบครัวนั้นเป็น
อย่างไร จึงนำมาสู่การตั้งประเด็นสัมมนาในหัวข้อ " ความพิเศษท่ีแตกต่าง " โดยได้มีการนำเนื้อหาจากภาพยนตร์เรื่อง
เอ๋อเหรอ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาและตั้งประเด็นในการแลกเปลี่ยนเน่ืองจากในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มีการ
กล่าวถึงครอบครัวหนึ่งที่มีสมาชิกในครอบครัวอยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ชินโดม โดยเนื้อหาที่น่าสนใจในการนำมาสัมมนา
ก็คือพ่อที่มีอาการดาวน์ชินโดรมจะสามารถปฏิบัติตัวเองกับครอบครัวและสังคมอย่างไร และอีกทั้งยังมีอีกหนึ่งบทบาท
คือการเป็นพ่อของลูก โดยในเนื้อหานั้นทำให้เราได้เห็นทักษะที่พ่อใช้ในการเลี้ยงดูลูก ทั้งลูกที่เป็นดาวน์ซินโดรมและลูก
ทมี่ สี ภาวะปกติ
ดังนั้นการที่นักศึกษาได้นำภาพยนตร์เรื่องเอ๋อเหรอ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสัมมนา เพื่อที่จะร่วม
แลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็นของสมาชิกผู้ร่วมสัมมนา และรวมไปถึงการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวที่มี
สมาชิกเป็นดาวน์ซินโดรมในผู้ใหญ่ ที่จะมีบทบาทสำคัญคือการเป็นพ่อหรือแม่ เพื่อที่จะศึกษาทักษะการเลี้ยงดู ทักษะ
การอยู่ร่วมกันของทั้งผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวซินโดมกับสมาชิกคนอื่นๆที่มีสภาวะปกติทั้งร่างกาย จิตใจและไม่มีความ
บกพร่องใดๆ ว่าเป็นไปอย่างไร ผ่านการศึกษาหาข้อมูลจากเอกสารสำคัญเว็บไชต์และรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนผ่าน
ห้องสัมมนา
สว่ นที่ 2 ข้อมลู เบอ้ื งตน้ และประเดน็ สัมมนา
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 95
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
1. ข้อมลู เบอื้ งตน้ ของกลมุ่ ดาวน์ซนิ โดรม (Down Syndrome)
ดาวน์ซนิ โดรม คอื
กลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome) เป็นโรคทาง 1000 ทุกกรัมที่เกิดความผิดปกติของแท่งโครโมโซมคู่ที่
21 ส่งผลให้เกิดลักษณะผิดปกติของรูปร่างหน้าตา และอวัยวะต่างๆ โอกาสในการมีบุตรที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์น้ัน
เกดิ ข้ึนไดใ้ นหญงิ ตงั้ ครรภท์ ุกวัย แต่ส่วนใหญ่มักเกดิ ข้ึนกับหญิงตั้งครรภ์ทมี่ อี ายุมากขน้ึ โดยเฉพาะ 35 ปขี นึ้ ไป
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ จะมีลักษณะทางกายที่มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ลักษณะด้านร่างกาย
ภายนอกที่จำเพาะ อาทิ ตาห่าง หางตาขี้ขึ้น ตั้งจมูกแบน ท้ายทอยแบนราบ ศรีษะเล็ก ความยาวของลำตัวสั้นกว่าปกติ
น้ำหนักแรกเกิดน้อยและเมื่ออายุมากขึ้นรูปร่างมักจะเต้ีย ในส่วนของด้านการพัฒนานั้นกลุ่มอาการดาวน์ มีระดับ
สติปัญญาอยู่ในเกณฑ์บกพร่องทางสติปัญญา ระดับปานกลางถึงรุนแรง ระดับสติปัญญามีแนวโน้มลดลงเมื่ออายุ
มากขึ้น ระดับเซาว์ปัญญโดยเฉลี่ยแล้วผู้ป่วยกลุ่มอาการดาวน์ ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นอยู่ประมาณ 50 เทียบเท่ากับเด็ก
อายุ 8-9 ปี อย่างไรก็ตามนั้นระดับสติปัญญาของผู้ป่วยเหล่านี้อาจมีความแตกต่างกันไปตามพัฒนาการของแต่ละ
บุคคล อีกทั้งพัฒนาการด้านภาษาจะช้ามากกว่าระดับสติปัญญาที่ช้าทักษะทางด้านสังคมจะพัฒนาได้ดีกว่า ทักษะการ
เรยี นรโู้ ดยการมอง จะดกี วา่ ทกั ษะการเรยี นรู้ผา่ นการฟัง
แนวทางการดแู ลรักษาและฟ้ืนฟู
เนื่องจากกลุ่มอาการดาวน์นั้น เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมอีกทั้งยังไม่มีวิธีการรักษาให้หาย อย่างถาวร
ได้ แต่แนวทางการรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพนั้นเป็นไปเพื่อรักษาตามอาการหรือแก้ไขความผิดปกติที่พบร่วมด้วย
เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการนี้สามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวันและสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับ
คนปกติมากที่สุด โดยการ ดูแลรักษาเน้นการดูแลแบบองค์รวม (holistic approach) โดยกลุ่มทีมสหวิชาชีพ มี
แนวทางการดูแล ดังน้ี
• ด้านสุขภาพอนามัย เนื่องจากกลุ่มอาการดาวน์อาจมีความผิดปกติหลายอย่างที่พบร่วมด้วย อีกทั้งยังมี
โอกาสในการเจ็บป่วยได้ง่ายมากกว่าเด็กทั่วไป จึงควรได้รับการพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มแรกและติดตามการรักษา
เปน็ ระยะๆ เพ่ือให้แพทยน์ ั้นสามารถคน้ หาและใหก้ ารรกั ษาได้ทันทีอีกท้ังการให้คำแนะนำตา่ งๆ
• การส่งเสริมพัฒนาการ ถึงแม้เด็กในกลุ่มอาการดาวน์ จะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าปกติแต่อย่างไรก็ตามยัง
สามารถพัฒนาได้ถ้าหากได้รับการฝึกสอนที่เหมาะสม บิดามารดาควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริม
พัฒนาการ ช่วยฝกึ ฝนอย่างตอ่ เนื่องและสม่ำเสมอเพอื่ ให้มีพัฒนาการใกลเ้ คยี งกับเด็กทว่ั ไป
• การดำรงชีวิต เด็กในกลุ่มอาการดาวน์ ควรได้รับการปฏิบัติและประสบการณ์ชีวิตเช่นเดียวกันกับเด็กทั่วไป
ดังนั้นผู้ปกครองควรช่วยฝึกฝนให้เด็ก งั้นสามารถช่วยเหลือตนเองได้มากที่สุด ให้เด็กนั้นสามารถเรียนรู้และ
ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม สามารถควบคุมตนเองได้มีปฏิสัมพันธ์สัมพันธ์ตะพาบอันดีกับผู้อื่น อีกทั้งยัง
สามารถปฏบิ ัตติ ามกฎเกณฑ์ของสงั คมและสามารถใช้บริการต่างๆในสังคมไดด้ ว้ ยตนเอง
• การฟื้นฟูสมรรถภาพ สามารถแบง่ ออกได้ท้งั หมด 4 ดา้ น ได้แก่
1. การฟืน้ ฟสู มรรถภาพทางการแพทย์ อาทิ การฝึกพูด กายภาพบำบดั กจิ กรรมบำบดั
2. การฟ้นื ฟสู มรรถภาพทางการศกึ ษา โดยจะต้องมกี ารจัดระบบการศกึ ษา จัดทำแผนการศึกษา
เฉพาะบคุ คล (Individualized Education Program : EP) ใหส้ อดคล้องกบั ความต้องการแลพัฒนาการ
3. การฟื้นฟสู มรรถภาพทางสงั คม อาทิ การฝึกทักษะการดำรงชีวติ ประจำวัน (Activity of
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 96
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
Dairy Living Skills) และการจดทะเบยี นรับรองความพกิ าร
4. การฟนื้ ฟูสมรรถภาพทางอาชีพโดยการฝกึ อาชพี
2. การเล้ียงดูของครอบครวั ดาวนช์ ินโดรม
จากประเด็นการสัมมนาในหัวข้อ ความพิศษที่แตกต่าง โดยได้มีการหยิบยกภาพยนตร์เรื่องเอ๋อเหรอเข้ามา
เป็นส่วนหนึ่งในการสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในการสัมมนา ได้มีการร่วมแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับ บทบาทการเลี้ยงดูลูก
ของครอบครัวดาวนช์ นิ โดรม โดยในเนอื้ หาได้มกี ารกลา่ วถึงตัวละครที่ชอ่ื สำรวย ซึง่ เปน็ ผู้อยู่ในกลุ่มอาการดาวนช์ ินโดม
และมีบทบาทหน้าที่ในการเป็นพ่อ อีกทั้งยังมีลูกที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์เช่นกนั จากในภาพยนตร์นั้นแสดงให้เราได้เห็น
ว่าสำรวยถึงแม้มีอาการดาวน์ชินโดรมแต่ทักษะในการเลี้ยงดูลูกของสำรวยนั้นถือได้ว่าเหนือความคาดหมาย ด้วย
ความท่ีสำรวยน้ันมคี วามรกั อันบรสิ ุทธิใ์ ห้แกล่ กู และครอบครวั ผา่ นความ
จริงใจ อีกทั้งสำรวยได้มีการเลี้ยงลูกด้วยเหตุผล มีความใจเย็น จากในเรื่องนั้นเราจะเห็นได้ว่าสำรวยใช้เหตุผลในการ
อธบิ ายแก่ลูกทุกครงั้ เมอ่ื จะทำสิง่ ใดสิง่ หนึง่ ว่าควรหรือไม่ควร เพราะเหตใุ ด อยา่ งไรกต็ ามสำรวยที่อยู่
ในกลุ่มอาการดาวน์นั้น มักจะขาดทักษะบางประการ อาทิ ขาดความสามารถในการตัดสินใจ ไม่สามารถแก้ไข
ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ด้วยความที่บุคคลที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์จะมีสติปัญญาและพัฒนาการที่ไม่เท่ากับคนทั่วไป จึง
แน่นอนว่าสำรวยนั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกินกว่าสติปัญญาและพัฒนาการของตนเองได้ในส่วนของการปฏิบัติตัว
และเลี้ยงดูจากสมาชิกในครอบครัวต่อผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ ก่อนอื่นนั้นจะต้องมีความรู้และความเข้าใจเก่ียวกับ
ภาวะทางด้านร่างกาย จิตใจ พัฒนาการและความต้องการ เพื่อที่จะสามารถวางแผนในการเลี้ยงดูและปฏิบัติได้อย่าง
ถูกตอ้ ง อีกทง้ั สิ่งสำคญั ที่พ่อแมแ่ ละสมาชกิ ในครอบครัวควร
ตระหนักต่อการเลีย้ งดูผู้ทีอ่ ยใู่ นกลุ่มอาการดาวน์ รวมไปถงึ ลกู ทมี่ ีความปกติ ดังนี้
1. การจัดสิ่งแวดล้อมท่ีปลอดภัยและน่าสนใจ มีลักษณะความปลอดภัยทางกายภาพและจะต้องรู้สึกได้ถึง
ความปลอดภัยในด้านจิตใจ ต้องมีการดูแลตอบสนองความต้องการของลูกหรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ ได้อย่าง
เหมาะสมตามช่วงวัยและพัฒนาการ โดยสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยนั้นจะเป็นตัวช่วยให้เขามีความรู้สึกมั่นคง อบอุ่นใจ ทำ
ใหม้ คี วามร้สู กึ กระตอื รือร้นทีจ่ ะเรยี นรแู้ ละเกดิ พฒั นาการตนเองในด้านบวก
2. การกระตุ้นการเรียนรู้ที่เหมาะสม ต้องมีการใส่ใจในด้านการเรียนรู้ของเขาทั้งในด้านสติปัญญาอารมณ์
สังคม ผู้ปกครองจะเป็นส่วนหนึ่งท่ีคอยช่วยเหลือให้เขาได้เรียนรู้ทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตผ่านการสังเกตุและ
ส่งเสริมในด้านการพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ให้สามารถเรียนรู้และเข้ากับสังคมได้อย่างปกติ
มากท่ีสดุ
3. การฝึกวินัย เนื่องจากเด็กกลุ่มอาการดาวนั มักจะมีปัญหาพฤติกรรมต่อต้าน พฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ
ปัญหาสมาธิและความสนใจ ดังนั้นการฝึกวินัยอย่างสม่ำเสมอ ให้ความสนใจต่อพฤติกรรมที่แสดงถึงปัญหาโดยมี
วิธีการสอน การปฏิบัติที่เหมาะสม การใช้วิธีฝึกที่จริงจังแต่นุ่มนวลทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะมีความรับผิดชอบต่อ
พฤตกิ รรมของตนเอง สามารถควบคุมและดแู ลตนเองได้
4. การดูแลตนเองของพ่อแม่และสมาชิกในครอบครัว โดยสมาชิกในครอบครัวจะต้องไม่อยู่ภายใต้อารมณ์ท่ี
เครียดและกงั วลใจ โดยมวี ิธีการดแู ลตนเอง ดงั นี้
• การทำงานเป็นทีมเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันมีการพูดคุยปรึกษาหารือในการเลี้ยงดู เพื่อลดอัตรา
ความเครยี ดและความกงั วลใจ