CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 147
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
และบางคนถูกกระทำความรุนแรง หรือถูกนำค้าประเวณีและค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง
ของครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ดังนั้น "คลินิก สะไภ้ไทย - เขยฝรั่ง" ท่ี จ.ขอนแก่น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการ
ปรับเปลี่ยนเจตคติของครอบครัว และลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังการสมรสหรือก่อนตัดสินใจไปใช้ชีวิตใน
ต่างประเทศ ถ้าเกิดประสบกับปัญหาความเดือดร้อนของสะใภ้ไทย - เขยฝรั่ง สามารถโทรจากต่างประเทศ (หมายเลข
+66 99 130 1300) และแอพพลิเคชั่นไลน์ hotline 1300 ได้อีกด้วย ถ้าต้องการกลับมาประเทศไทย พม.ก็พร้อม
ประสานกับกรมการกงสุล ที่จะใหค้ วามช่วยเหลือเพ่อื ใหก้ ลบั มาเมอื งไทย และชว่ ยเหลอื ดา้ นพฒั นาอาชีพดังกล่าว
4. นโยบายรฐั บาลท่เี กีย่ วขอ้ งกับกระทรวงวฒั นธรรม (นโยบายหลัก) มีดงั นี้
นโยบายท่ี 1 การปกป้องและเชิดชสู ถาบันพระมหากษัตรยิ ์
นโยบายที่ 2 การสรา้ งความมนั่ คงและความปลอดภัยของประเทศ ความสงบสขุ ของประเทศ
นโยบายที่ 3 การทานบุ ำรุงศาสนา ศลิ ปะและวฒั นธรรม
นโยบายที่ 4 การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก
นโยบายท่ี 5 การพัฒนาเศรษฐกจิ และความสามารถในการแขง่ ขนั ของไทย
นโยบายท่ี 6 การพัฒนาสรา้ งความเขม้ แข็งจากฐานราก
นโยบายที่ 7การปฏริ ปู กระบวนการเรยี นรแู้ ละการพัฒนาศกั ยภาพของคนไทยทกุ ช่วงวัย
5. นโยบายหลัก 5 ประการของกระทรวงวัฒนธรรม
-การสบื สานงานวฒั นธรรมของชาติ
- การรักษาและหวงแหนมรดกทางวฒั นธรรม
- ต่อยอดวฒั นธรรม ด้วยการนาคณุ คา่ ของวฒั นธรรม สรา้ งสรรค์สนิ คา้ และบริการ (Creative Culture)
- ปฏิบตั ิหน้าทรี่ าชการดว้ ยหลักธรรมาภบิ าลและการสร้างคณุ ค่าทางสังคม (Value Creation)
3.2 การนำหลักการ และแนวคิดทางสงั คมสงเคราะหไ์ ปประยุกตใ์ ชใ้ นการทำงานกบั ครอบครัวข้ามวฒั นธรรม
3.2.1 การนำหลักการทางสงั คมสงเคราะห์ไปประยกุ ต์ใช้ในการทำงานกบั ครอบครวั ข้ามวฒั นธรรม
1. หลกั การรกั ษาความลบั
นักศึกษาจำเป็นต้องรักษาความลับของผู้ใช้บริการ ไม่นำข้อมูลไปเปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้ แต่อย่างไรก็ตาม
จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ใช้บริการเสมอ จึงต้องมีการชี้แจงผู้ใช้บริการได้ทราบถึงขอบเขตของการรักษา
ความลับ เว้นแต่ในกรณีการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ขอรับบริการเท่านั้น เนื่องจากผู้ใช้บริการทุกคนย่อมไม่ต้องการให้
เร่ืองราวหรือปญั หาของตนเป็นทเี่ ปดิ เผยล่วงรู้ตอ่ บคุ คลอื่น
2. หลกั การความแตกต่างของบคุ คล (Individual)
จะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าผู้ใช้บริการแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกภาพ เชื้อชาติ
ศาสนา และอื่นๆ ดังนั้น นักสังคมสงเคราะห์จึงต้องทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านั้น เคารพความแตกต่างของ
ผู้ใช้บริการ ไม่เลือกปฏิบัติ ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ใช้บริการโดยปราศจากอคติ และระมัดระวังการใช้คำพูด หรือ
การแสดงพฤตกิ รรมท่ีอาจส่งผลกระทบตอ่ ผูใ้ ช้บริการ
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 148
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
3. หลกั การยอมรับ (Acceptance)
นักสังคมสงคราะห์ต้องทำความเข้าใจปัญหาครอบครัวข้ามวัฒนธรรม ยอมรับผู้ใช้บริการ ให้บริการช่วยเหลือ
เบื้องต้น โดยปราศจากอคติ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เข้าใจความต้องการ และมองเห็นศักยภาพในตัว
ผ้ใู ชบ้ รกิ ารจากหลักการความแตกตา่ งของบุคคล
4. หลกั การร้จู ักบทบาทของตนเอง
นักสังคมสงเคราะห์จะต้องระลึกถึงบทบาทของตนเองอยู่เสมอว่าตนมีบทบาทอย่างไร และมีขอบเขตต่อการ
ใหค้ วามช่วยเหลอื ผใู้ ชบ้ รกิ ารเพียงใด มิใช่ปฏิบตั งิ านเพือ่ ตอบสนองตอ่ การรอ้ งขอของผู้ใชบ้ รกิ ารเทา่ นั้น แต่ตอ้ ง
รู้จักควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนเองไม่ให้หวั่นไหวต่อการร้องขอของผู้ใช้บริการ ไม่ใช้อารมณ์สนองตอบปฏิกิริยา
ของผูใ้ ช้บรกิ าร จนทำใหป้ ฏิบตั หิ น้าท่เี กนิ ขอบเขต
5. หลักในเร่ืองปจั เจกบุคคล
นักสังคมสงเคราะห์ต้องเข้าใจความแตกต่างของครอบครัวข้ามวัฒนธรรม ว่าผู้ใช้บริการแต่ละคนมีลักษณะ
ที่แตกต่างกัน สมาชิกในครอบครัวมาจากสังคมที่แตกต่างกัน ทั้งสภาพลักษณะกายภาพ จิตใจ สังคม อารมณ์ และ
สภาพแวดล้อมรอบตัวผู้ใช้บริการ ซึ่งปัจจัยด้านความแตกต่างของแต่ละบุคคล จะเชื่อมโยงกับปัญหาที่ผู้ใช้บริการแต่
ละคนกำลังเผชิญ เช่น รูปร่างหน้าตา การแสดงพฤติกรรม ลักษณะนิสัย ฐานะทางเศรษฐกิจสภาพครอบครัว สภาพท่ี
อยูอ่ าศยั ความตอ้ งการ เปน็ ต้น
6. หลักการไมต่ ำหนติ ิเตยี นผู้ทม่ี ีปัญหา
นักสังคมสงเคราะห์จะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อผู้ใช้บริการ ไม่ติเตียน หรือประณามความคิด การกระทำ หรือ
ลักษณะการใช้ชีวิตของผู้ใช้บริการว่ามีส่วนก่อให้เกิดปัญหาสังคม เช่น กลุ่มแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายที่มีการสร้าง
ครอบครัวข้ามวัฒนธรรม เนื่องจากผู้ใช้บริการทุกคนล้วนมีเหตุผลของการกระทำ ที่ได้เลือกตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ
ในอดีตที่ผ่านมา ในการปฏิบัติงานนักศึกษาพยายามที่จะให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ และพูดเพ่ือให้ผู้ใช้บริการเห็น
ความสำคัญของปจั จุบัน และมองข้ามขอ้ ผดิ พลาดในอดตี เพื่อเสรมิ พลงั อำนาจให้แก่ผใู้ ชบ้ รกิ าร
3.2.2 การแนวคิดทางสงั คมสงเคราะห์ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานกับครอบครวั ขา้ มวัฒนธรรม
1. แนวคิดเรอ่ื งสิทธมิ นุษยชน
นักสังคมสงเคราะห์ต้องดำเนินตามหลักการที่ไม่เลือกปฏิบัติด้วยคุณลักษณะ หรือภาวะใดๆ (non- discrimination)
การไม่กีดกันเป็นบุคคลอื่น (excluded) หรือทำให้บุคคลกลุ่มใดกลายเป็นบุคคลชายขอบ (marginalized groups) ใน
สังคม ได้รับสิทธิในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ รวมไปถึงสิทธิในการได้รับอาหารที่มีโภชนาการที่ดีต้องไม่ดำเนินชีวิต
อยู่บนความหิวโหย มีสถานที่ในการพำนักอาศัยที่เหมาะสม รวมทั้งมีน้ำดื่ม และเสื้อผ้าที่สะอาด การเข้าถึงสิทธิด้านการ
รับบริการทางสุขภาพ และสาธารณสุข การได้รับการรักษาพยาบาล ได้รับการป้องกัน การบำบัดฟื้นฟูสุขภาพเม่ือ
เจบ็ ป่วย ไม่เลอื กปฏบิ ตั ดิ ว้ ยเหตปุ จั จยั ใดใดกต็ าม
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 149
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
2. แนวคดิ การพทิ กั ษส์ ทิ ธแิ ละการเสรมิ พลงั อำนาจ
นักสังคมสงเคราะห์นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการมองเห็นศักยภาพของตนเอง เกิดการเห็นคุณค่าในตนเอง
ยอมรับกับสภาวะที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ และพร้อมที่จะพัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตนเอง รวมถึงการพิทักษ์สิทธิ
ท่ผี ใู้ ช้บริการตกหล่น ใหเ้ ข้าถึงสวัสดิการที่ควรได้รบั หรอื ถูกละเมดิ จากผ้อู น่ื
3. แนวคดิ ความเสมอภาคทางสังคม (social equity)
ในการส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคมสามารถเชื่อมโยงกับการส่งเสริมความเท่าเทียมให้แก่ครอบครัวข้าม
วัฒนธรรมได้หลากหลาย เช่น กลุ่มครอบครัวที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์, กลุ่มครอบครัวแรงงานต่างด้าว หรือ
กลุ่มครอบครัวของชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ครอบครัวกลุ่มเป้าหมายทุกระดับได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอ
ภาค โดยสามารถนำมาใช้ในการดำเนินงานสังคมสงเคราะห์ของรัฐ นั่นคือต้องเปิดโอกาสให้กับกลุ่มเปราะบาง ให้ได้รับ
โอกาสทางสังคม มีการสร้างโอกาสทางสังคมให้กลุ่มเป้าหมายได้มีพื้นที่ของตนเองในที่สาธารณะ การให้กลุ่มเป้าหมาย
เข้ามามีส่วนร่วมในการพิทักษ์สิทธิของตนเอง เพราะการใช้นโยบายสังคมของรัฐในแต่ละโครงการ กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้
ที่ได้รับผลกระทบจากผลลพั ธข์ องโครงการของรัฐอยา่ งหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้
3.3.3 ขอ้ เสนอแนะเพือ่ พัฒนาการทำงานสังคมสงเคราะห์กบั กลมุ่ เป้าหมายครอบครัวขา้ มวฒั นธรรม
1. นักสังคมสงเคราะห์จะต้องปรับเปลี่ยนมุมมองแล้วการทำงาน เปิดรับความหลากหลายมากขึ้น มีการ
พัฒนาศักยภาพของตนเองและทีมสหวิชาชีพอยู่เสมอ เนื่องจากการข้ามวัฒนธรรม เป็นพลวัตรที่ทั่วโลกต้องเผชิญ
กับการเคลื่อนย้ายประชากร ค่านิยม วัฒนธรรมใหม่ ๆ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการทำงานในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เพื่อใช้เป็นกระจกสะท้อนผลการดำเนินงาน และเป็นแนวทางในการพัฒนาแผนงานให้มีความเหมาะสม ทันสมัยตาม
สถานการณป์ ัจจุบนั มากท่ีสุด
2. นักสังคมสงเคราะห์ต้องตระหนักในเรื่องของการทำงานร่วมกับสมาชิกที่มีความแตกต่าง หลากหลายทาง
วัฒนธรรม ส่งเสริมพลังเครือข่ายชุมชน สนับสนุนการทำหน้าที่ของหน่วยย่อยในสังคมให้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
หน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน หรือทีมสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง โดยส่งเสริมการเตรียมความพร้อมในการสร้าง
ครอบครัว ทั้งในระดับครอบครัวที่เป็นวัฒนธรรมเดียวกันและครอบครัวต่างวัฒนธรรมเพื่อลดปัญหาที่จะตามมาใน
อนาคต เช่น ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว,ปัญหาความไม่พร้อมในการเลี้ยงดูบุตร, ปัญหาเศรษฐกิจครอบครัว,
ปัญหาการทอดทิง้ ผู้สงู อายุ และปญั หาการทอดท้งิ เดก็ เปน็ ต้น
3. นักสังคมสงเคราะห์ต้องส่งเสริมการเข้าถึงสวัสดิการของทุกกลุ่มเป้าหมาย และพยายามผลักดัน
สวัสดิการที่มีอยู่ให้เป็นสวัสดิการถ้วนหน้า เนื่องจาก สวัสดิการถ้วนหน้าจะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ทุกครอบครัวมี
ฐานรากที่มั่นคง ได้รับทรัพยากร บริการและสวัสดิการอย่าเท่าเทียมกันและทั่วถึง เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤติขึ้นกับ
ครอบครัว หากครอบครัวมีทรัพยากรที่สามารถใช้ดำเนินชีวิตต่อได้ ย่อมลดปัญหาสังคมด้านอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งหาก
พิจารณาเชื่อมโยงกับการส่งเสริมสวัสดิการให้กับกลุ่มเป้าหมายครอบครัวข้ามวัฒนธรรม จะเป็นการลดความเสี่ยงท่ี
จะเกิดปญั หาในหลายระดับโดยเฉพาะอย่างย่งิ ปญั หาระดบั ปัจเจกบคุ คล เชน่
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 150
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
- ปัญหาผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง เมื่อเกิดการย้ายถิ่นฐานของลูกหลานในกรณีที่มีการสร้างครอบครัวข้าม
วัฒนธรรม และตอ้ งอย่คู นละพน้ื ท่กี บั ครอบครวั เดิม
- ปัญหาการเลี้ยงดูเด็กไม่เหมาะสม ด้วยสาเหตุของการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยของครอบครัวข้ามวัฒนธรรม ใน
บางครอบครัวมีการมอบบุตรของตนเองให้กับปู่ย่า ตายายเป็นผู้ดูแลบุตร และไม่มีการส่งค่าใช้จ่ายในการส่งเลี้ยงดู
บตุ รให้กบั ผู้สงู อายุเหล่านั้น ยอ่ มสง่ ผลใหค้ า่ ใชจ้ า่ ยใน
ครอบครัวมีมากขึ้น และอาจส่งผลให้เด็กได้รับการเลี้ยงดูอย่างไม่เหมาะสมได้ หากภาครัฐมีการสนับสนุน ส่งเสริม
สวัสดิการแก่เด็กอย่างเหมาะสม เพียงพอ และทั่วถึง เด็กจะสามารถเติบโตได้อย่างหมะสมกับพัฒนาการ โดยท่ีไม่
จำเปน็ ตอ้ งตดิ ตามเคส ไกลเ่ กล่ยี ใหบ้ ิดามารดา
หนั กลบั มารับเดก็ กลับคนื สคู่ รอบครัวอยา่ งไมเ่ ต็มใจ
4. นักสังคมสงเคราะห์ควรให้ความสำคัญกับการมีบทบาทของเทคโนโลยี ซึ่งมีส่วนช่วยให้ความสัมพันธ์ของ
ผู้ที่อยู่ห่างไกลกันสามารถมีปฏิสัมพันธ์ มีการพูดคุยสื่อสารและติดต่อกันได้ หากพิจารณาในมุมมองของการทำงาน
ร่วมกบั ครอบครวั ข้ามวัฒนธรรม จะมปี ระโยชน์ในดา้ น ตา่ ง ๆ ดงั นี้
- การนำทคโนโลยีมาใช้ในการสื่อสารเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ใช้บริการจากสมาชิกในครอบครัว เพื่อช่วยใน
การทำงานสังคมสงเคราะห์เป็นไปอย่างราบรื่น เช่น กรณีที่ครอบครัวมีสมาชิกที่มีความบกพร่องด้านการสื่อสาร การ
เก็บรวบรวมข้อมลู จากสมาชิกในครอบครัวจงึ จะเข้ามามีสว่ นช่วยให้การทำงานเปน็ ไปอยา่ งปกตมิ ากยง่ิ ขึ้น
- ในครอบครัวที่อยู่ห่างไกลกัน การนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวสามารถมี
ปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีการสื่อสาร พูดคุยและใกล้ชิดกันได้มากยิ่งขึ้นเพื่อลดช่องว่างของความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก
ในครอบครัว ปอ้ งกันการทอดท้ิง และการสร้างความบอบช้ำทางจิตใจแกส่ มาชกิ ในครอบครัวได้
- ในการประเมิน ติดตามปัญหาสภาพของครอบครัวข้ามวัฒนธรรม นักสังคมสงเคราะห์สามารถนำ
เทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน เพื่อให้ทราบข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับผู้ใช้บริการเพื่อให้ทราบข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด
เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการออกแบบแผนงานแก้ปัญหาและการให้คำปรึกษาผู้ใช้บริการต่อไป ซึ่งสามารถให้บริการกับ
ผู้ใช้บริการที่อยู่ทั้งในราชอาณาจักรไทย และผู้ใช้บริการที่อยู่ต่างประเทศ ช่วยเพิ่มขอบเขตการทำงานสังคมสงเคราะห์
ไดม้ ากยิ่งขน้ึ
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 151
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
บรรณานุกรม
กระทรวงพัฒนาสงั คมและความมัน่ คงของมนษุ ย.์ (2560). การจดทะเบียนสมรสกบั ชาวต่างชาติภายใต้
กฎหมายไทย. กระทรวงการตา่ งประเทศ. สืบคน้ เม่ือ: 27 พฤศจกิ ายน 2564. สืบค้นจาก;
https://consular.mfa.go.th/th/content/กรจดทะเบียนสมรสกบั ชาวต่างชาติภายใต้กฎหมายไทย
กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมน่ั คงของมนุษย.์ (2559). นโยบายทจ่ี ะสง่ เสริมความเขม็ แขง็ ของเครอื ข่าย
หญิงไทย. กระทรวงพัฒนาสงั คมและความมั่นคงของมนษุ ย.์ สบื ค้นเมื่อ: 24 พฤศจกิ ายน 2564. สบื คน้ จาก;
https://prministry.prd.go.th/download/article/article _ 20160719160003
กระทรวงวฒั นธรรม. (2564). แนวนโยบายรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงวัฒนธรรม. แผนปฏิบัตกิ ารและแผนการใชจ้ ่าย
งบประมาณ ประจำปงี บประมาณ พ.ศ. 2564. สำนักงานวฒั นธรรมจังหวัดสรุ นิ ทร์. สบื ค้นเม่ือ: 24
พฤศจกิ ายน 2564. สืบค้นจาก; https://www.m-culture.go.th/surin
กณั ภคั ตัณฑสิทธ.ิ์ (2563). บคุ คลสองสญั ชาตใิ นมุมมองกฎหมายไทย. วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.
สืบค้นเมือ่ : 23 พฤศจกิ ายน 2564.
ปญิ ชาน์ บัวขวญั . (2558). พฒั นาการของการกลายเป็นเมยี ฝรง่ั ของหญงิ ไทย ในพืน้ ที่ อำเภอหาดใหญ่ จงั หวัด
สงขลา. เอกสารงานวจิ ัย. (พัฒนามนุษยแ์ ละสังคม). สงขลา: มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร.์
มยุรา ไกรกรึง. (2556). ศึกษาชวี ติ การสมรสของผู้หญิงไทยท่แี ตง่ งานกบั ชาวตา่ งชาต.ิ สารนพิ นธ์ กศ ม.(จิตวทิ ยา
แนะแนว). กรงุ เทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรว์ โิ รฒ.
มง่ิ ขวญั ปานบา้ นแพว้ . (2559). ทักษะการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห.์ สืบค้นเม่ือ 18 กรกฎาคม 2564. สืบคน้ จาก;
https://www.gotoknow.org/posts/616748
มงิ่ ขวัญ ปานบา้ นแพว้ . (2559). หลกั การทางสังคมสงเคราะห.์ สืบคน้ เมอ่ื 18 กรกฎาคม 2564. สืบคน้ จาก;
https://www.gotoknow.org/posts/613704
ระพพี รรณ คำหอม. (2556). หลักการและกระบวนการปฏิบตั งิ านสงั คมสงเคราะหจ์ ลุ ภาค. สบื คน้ เมอื่ 18 กรกฎาคม
จาก;https://bundanjaistatic.reeeed.com/book/ckac0gniigamu0789ykltxule/preview/9786163143
09 หลกั การและกระบวนการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะหจ์ ุจ.pdf2supportedpurview=project
สวติ ตา บุญนำภาวนา. (2556). กฎหมายและนโยบายทเ่ี กี่ยวขอ้ ง. หญงิ ไทยแต่งงานกบั ชาวต่างชาติ พ้นื ทอี่ ำเภอปง
จังหวัดพะเยา. สบื คน้ั เม่ือ 25 พฤศจิกายน 2564. สืบคน้ จาก; cmuir.cmu.ac.th.
สว่ นบรหิ ารและพฒั นาเทคโนโลยกี ารทะเบียน. (2564). การบนั ทึกฐานะแห่งครอบครวั . ฝา่ ยระบบอนิ เทอร์เน็ต กลุ่ม
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 152
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
เทคโนโลยีสารสนเทศ การทะเบียน. สบื ค้ันเมื่อ: 27 พฤศจกิ ายน 2564. สบื คน้
จาก;bora.dopa.go.th/CallCenter1548.
สำนกั บริหารและพฒั นาเทคโนโลยีการทะเบยี น. (2564). สถิติบริการดา้ นทะเบยี น. สำนกั บริหารการทะเบียนกรมการ
ปกครอง. สืบค้นเมือ่ : 27 พฤศจิกายน 2564. สบื คน้ จาก; stat.bora.dopa.go.th/stat
สำนักข่าวมตชิ น. (2561). พม. 'เปดิ คลินกิ สะใภไ้ ทย-เขยฝรง่ั ' เตรียมพร้อมหญิงไทยก่อนใช้ชวี ิตคู่ในตา่ งแดน.สืบคน้
เมื่ อ: 27 พฤศจิกายน 2564. สบื ค้นจาก; https://www.matichon.co.th/news-monitor/news 1097818
สำนักขา่ วไทยแลนด์พลัส ออนไลน.์ (2562). คณะ สค. เยือนญ่ปี ุ่น หารอื แนวทางการพฒั นาระบบการใหค้ วาม
ชว่ ยเหลือสตรแี ละครอบครัวไทย ในต่างประเทศ. สึบค้นเมอ่ื : 27 พฤศจกิ ายน 2564. สืบคน้
จาก;https://www.thailandplus.tv/archives/625062fbclid=wAR28LxC3qfEp7xxH8Mm3mfo13b
ศรัณยู ปุญญพทิ กั ษ.์ (2553). เหตผุ ลในการสมรสของผ้หู ญงิ ทำงานวัยผใู้ หญต่ อนตน้ ในกรงุ เทพมหานคร.สาร
นพิ นธ.์ (จิตวิทยาพัฒนาการ). กรุงเทพฯ: บัณฑติ วทิ ยาลัย จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Thai Women Network in Europe.(2560). ปัญหาและอปุ สรรคของครอบครัวขา้ มวฒั นธรรม. รกั ขา้ มวฒั นธรรม.
สืบคน้ เมอ่ื : 7 พฤศจิกายน 2564. สบื ค้นจาก; htps://twne.eu/multi-culturaL relationships-farang-
husband-and-thai-wife/
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 153
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
COVID-19 สรา้ งผลกระทบอยา่ งไรต่อเดก็ และเยาวชน
นายธราธร ใชยา 6205680058
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 154
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
คำนำ
ในการศึกษาหาความรู้และเป็นข้อมูลพื้นฐานเรื่อง COVID-19 สร้างผลกระทบอะไรให้กับเด็กและเยาวชน
ซึ่งผลกระทบดังกล่าวนั้นจะมีงานสังคมสงเคราะห์เข้าไปเกี่ยวขอ้ งอย่างไร และสามารถช่วยเหลือและบริการอย่างไรได้
บา้ ง พร้อมทง้ั มปี ระเดน็ ใดสำคัญและสามารถต่อยอดพฒั นาใหก้ บั ผทู้ ีส่ นใจได้
ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักศึกษา นักเรียน ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องน้ี หากมี
ขอ้ แนะนำหรอื ข้อผิดพลาดประการวดผจู้ ดั ทำขอน้อมรับไวแ้ ละขออภัยมา ณ ทีน่ ดี้ ว้ ย
นายธราธร ใชยา
ผจู้ ดั ทำ
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 155
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทนำ
ผลสำรวจยังพบว่า เด็กและเยาวชนกว่า 7 ใน 10 คน กล่าวว่าวิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ
โดยพวกเขามีความเครียด วิตกกังวลและเบื่อหน่าย นอกจากนี้ เด็กและเยาวชนเกินครึ่งรู้สึกกังวลด้านการเรียน การ
สอบ และโอกาสในการศึกษาต่อ เนื่องจากการปิดโรงเรียนเป็นระยะเวลานาน ในขณะที่ ร้อยละ 7 รู้สึกกังวลเกี่ยวกับ
ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเช่น การทะเลาะกันของผู้ปกครองและการทำร้ายร่างกาย ผลสำรวจยังสะท้อนปัญหา
ของเยาวชนกลุ่ม LGBTIQ จากการที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน โดยร้อยละ 4 ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกกังวลเรื่องเพศ
สภาพที่ถูกกดดันเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่สามารถแสดงอัตลักษณ์หรือตัวตนกับครอบครัวได้ รวมถึงบางส่วนที่อาจไม่
สามารถเข้าถึงฮอร์โมนเสริมได้ในช่วงน้ี นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า "ผลสำรวจนี้
ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าวิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบมากมายหลายด้านต่อเด็ก ๆ และเยาวชนหลายกลุ่ม โดยเด็กและเยาวชน
ต่างมีความเครียด ความกลัวและวิตกกังวลไม่ต่างจากผู้ใหญ่ เวลานี้ครอบครัวถือเป็นพลังสำคัญที่จะช่วยให้เด็ก ๆ
จัดการกับสภาวะเหล่าน้ีได้ พวกเขาควรได้รับความรักความเอาใจใส่ในช่วงเวลานี้มากกว่าที่เคย" ดร.วาสนา อิ่มเอม
รักษาการหัวหน้าสำนักงาน กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า "การสำรวจแสดงให้เห็น
ว่าร้อยละ 36 ของเยาวชนและวัยรุ่นกว่า 6,700 คนที่ตอบแบบสอบถามระบุว่ามีผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปีอยู่ท่ี
บ้าน นี่เป็นโอกาสที่ดีท่ีจะให้เยาวชนและวัยรุ่นเป็นผู้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสผ่านกิจกรรมแบบเว้นระยะห่างทางสังคมท่ี
สนับสนุนด้านสุขภาพและจิตใจให้แก่ผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในภาวะที่เสี่ยงที่สุดในช่วงการระบาดของโควิด -19
ผ่านทางการสร้างความรู้และการตระหนกั ร้ใู นเร่อื งการดูแลสุขภาพของตนเองและป้องกันการเป็นพาหะในช่วงน"้ี
ผลสำรวจยังได้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของเด็กและเยาวชนในด้านความต้องการเรียนรู้ออนไลน์เพ่ือ
เสริมความรู้และทักษะระหว่างที่โรงเรียนปิดและต้องอยู่แต่ในบ้าน โดยพบว่า สิ่งที่เด็กและเยาวชนอยากเรียนเพิ่มเติม
มากที่สุด คือ ภาษาอังกฤษ รองลงมาคือ ความรู้เสริมในวิชาที่กำลังเรียนอยู่ในปัจจุบัน ในขณะท่ี เด็ก 1 ใน 4 คนระบุว่า
อยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการกับความเครียดและโรคซึมเศร้า ด้านนางสาวสุภาพิชญ์ ไชยดิษฐ์ ประธานสภา
เด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "ภาครัฐต้องให้ความสำคัญเร่งด่วนกับปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและ
เยาวชนทั้งในช่วงการแพร่ระบาดและหลังสถานการณ์ตลอดจนให้ความใส่ใจเด็กและเยาวชนในแต่ละช่วงวัย เพราะเด็ก
ทุกคนควรได้รับการปกป้องคุ้มครองแม้อยู่ที่บ้าน เด็ก 1 ควรได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้หมาะสมกับพัฒนาการ
และช่วงวัย" นายเรอโนด์ เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า "วิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด -
19 เป็นมากกว่าวิกฤตทางสุขภาพ แต่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมต่อทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เปราะบางเช่น
เด็กและเยาวชนแต่เยาวชนเองก็มีศักยภาพมากมายที่จะเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง พวกเขามีพลัง มุ่งมั่น และมี
ทักษะด้านเทคโนโลยีที่จะมาช่วยหาแนวทางใหม่ ๆ ด้านดิจิทัล ดังนั้น การสนับสนุนเยาวชนจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ไม่
เพียงแต่ปกป้องพวกเขาจากโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพต่อการรับมือกับของวิกฤต และช่วย
สรา้ งสงั คมแหง่ การมีสว่ นร่วม ย่งั ยืน และเข้มแขง็ ต่อไป"
ยูนิเซฟได้เรียกร้องให้รัฐบาลในประเทศต่าง 1 เสริมมาตรการคุ้มครองทางสังคมเพ่ือช่วยเหลือกลุ่มประชากร
ที่เปราะบางเพื่อบรรเทาผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 ที่มีต่อเด็กและครอบครัว พร้อมส่งเสริมให้เด็กและเยาวชน
สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ออนไลน์ การศึกษาทางไกล ตลอดจนบริการให้คำปรึกษาเยียวยาจิตใจและบริการทาง
สุขภาพจิตสำหรับวัยรุ่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ว่า ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างโดยเฉพาะใน
กลุ่มเด็กเปราะบางซึ่งจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง จากข้อมูลระหว่าง 1มกราคม-4 กันยายน 2564 พบว่า
มีเด็กติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 142,870 คน อยู่ในกรุงเทพมหานครกว่า 30,000 คน ภูมิภาค 110,000 คนเศษ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังทำให้เกิดเด็กกำพร้า นายกรัฐมนตรีจึงได้มอบหมายให้กระทรวง พม. สำรวจข้อมูลเด็กกำพร้า
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 156
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
พร้อมรีบให้ความช่วยเหลือ โดยนับตั้งแต่วันท่ี 27กรกฎาคม-4 กันยายน 2564 จากการสำรวจข้อมูลเด็กกำพร้าทั่ว
ประเทศ พบว่ามีจำนวนถึง 369 คน ในภูมิภาคที่พบเด็กกำพร้ามากที่สุดอยู่ที่จังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา พบว่า
33.06% เป็นเด็กกำพร้าที่อยู่ในระดับประถมศึกษาหรืออยู่ในช่วงอายุ 6-18 ปี และได้มีการบันทึกข้อมูลในระบบ Child
Protection Information System (CPIS) เพ่อื ใหเ้ หน็ ภาพของการช่วยเหลืออย่างเปน็ รปู แบบ
สรุปแล้วปัญหาที่เด็กและเยาวชนต้องพบเจอจากการแพร่บาดของเชื้อไวรัส COVID-19 มันสามารถสร้าง
ผลกระทบเปน็ วงกวา้ งและยงั ทวีความรนุ แรงขึน้ อกี ผลกระทบนน้ั สามารถสรา้ งแรงกดดันใหก้ บั ตวั เดก็ ครอบครัว และ
สังคมเป็นอย่างมากเราจึงอยากศึกษาถึงปัจจัยที่ทำให้เกิด เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านงานสังคม
สงเคราะห์ตลอดจนเพื่อส่งต่อความต้องการของผู้ที่ประสบปัญหา เสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ดำเนินการ
ตอ่ ไปอกี ด้วย
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 157
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ผลกระทบการศกึ ษากับเด็กและเยาวชน
โควิด 19 มีผลกระทบทางการศึกษากับการศึกษาอย่างมาก เพราะเด็กนักเรียน เมื่ออยู่รวมกันในโรงเรียน จะ
เป็นแหล่งระบาดของไวรัสได้เป็นอย่างดี เพราะเด็กจะมีอาการน้อย หรือบางคนไม่มีอาการ แต่สามารถนำเชื้อกระจาย
มาท่ีบ้าน ให้บุคคลในบ้าน คุณพ่อ คุณแม่ ปู่ย่า ตา ยาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ จึงมีความเสี่ยงสูง ในช่วงการ
ระบาด เด็กนักเรียนนักศึกษาทั่วโลก มากกว่า 1,500 ล้านคนต้องหยุดการเรียนการสอนในโรงเรียน และมีการ
ปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนเป็นการสอนทางไกล เรียนที่บ้าน ใช้เทคนโลยีเข้ามาช่วย หลายคนจะต้องปรับตัว กับ
ระบบการเรียนการสอน สำหรับเด็กนักเรียนอนุบาล หรือประถมศึกษาที่อยู่ในวัยประถมวัย การเรียนการสอนจำเป็น
อย่างยิ่งที่จะต้องใช้ผู้ปกครองพ่อแม่ที่อยู่ที่บ้าน ช่วยเร่ืองการเรียนการสอนในระยะน้ี และจะเกิดขึ้น อีกหลายเดือน
สำหรับในประเทศไทย ในช่วงการระบาดช่วงแรก เป็นช่วงปิดเทอม ซึ่งนับว่โชคดี แต่ก็มีการเลื่อนเปิดเทอมออกไปได้
ระยะเวลาหนึ่ง ช่วงแรกจึงเป็นช่วงปรับเปลี่ยนวิธีการช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่บ้าน ผู้ปกครองทุกคน ก็จะมีหน้าที่ เป็นครู
สำหรับเด็กด้วยในเวลาเดียวกัน เพื่อให้การเรียนการสอนของเด็ก ไม่ติดขัด และยังเในภาคการศึกษาแรกของปีที่จะ
มาถึง ยังไม่แน่ว่านักเรียนจะไปโรงเรียนได้ทุกคน อาจต้องสลับกันไป เพื่อลดความหนาแน่น ทุกคนจะต้องช่วยกัน เพื่อ
ไม่ให้การศึกษาของเด็กไทย ต้องหยุดหรือขาดตอนไป มีการใช้ระบบการศึกษาทางไกลต่าง ๆ เข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดการ
ปรับตัวก่อนเปิดภาคเรียนในช่วงการระบาด ผลกระทบอีกด้านของการศึกษาในระดับสูงขึ้น คือวิทยาลัย และ
มหาวิทยาลัย ที่เด็กนักเรียนนักศึกษาจะต้องปรับวิธีการเรียนการสอนมาเป็นแบบออนไลน์มากขึ้น ระบบท่ีปรับเปลี่ยน
ใหม่ ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่ต้องหาทางปรับปรุง และเลือกในแนวทางที่ดีที่สุด แม้ว่าบางโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
จะสามารถเตรียมตัวรับมือกับการเรียนการสอนออนไลน์ได้ดี แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19
เป็นการบังคับให้การศึกษาต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย และเทคโนโลยีในช่วงเวลาสั้นๆ แต่หากการศึกษาต้อง
ปรับตัวในระบบออนไลน์ ซึ่งอาจทำการเปลี่ยนภาพรวมของระบบการศึกษา การศึกษาที่มีรูปแบบเป็นแพลตฟอร์ม
(Education platform) นักเรียนจะเป็นฝ่ายเลือกสิ่งที่เรียนตามความสนใจ เช่นระบบ MOOC นักเรียนเข้าใจความชอบ
และสิ่งที่ตัวเองเรียน นักเรียนอยากเรียนในวิชาที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลง
ในระยะยาว ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะคลี่คลายลงแล้ว แต่ก็ยากที่ระบบการศึกษาจะ
เปลยี่ นกลับสรู่ ูปแบบเดิม(New normal)
อีกทั้งเด็กและเยาวชนจะได้รับปัญหาที่แตกต่างตามบริบทของครอบครัวตนเอง ซึ่งผลกระทบด้านการศึกษา
จะไม่ได้ส่งผลกระทบในระดับตัวสังคมแต่จะกระทบในตัวบุคคลมากที่สุด จากปัจจัยการเรียนที่ต้องเข้าถึงระบบ การ
สอนที่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดความดูแลจากอาจารย์โดยตรงจึงทำให้เกิดปัญหาตามอันได้แก่ความเครียด การเรียนรู้และ
พัฒนาการที่ช้าลง การไม่เข้าถึงเทคโนโลยีหรือความไม่เท่าเทียมในสังคม ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์จะเข้าไปมีบทบาททาง
การศึกษาช่วยเหลือทั้งนักเรียน ครูและผู้ปกครอง ในการพิทักษ์สิทธิการแสวงหาทรัพยาการที่เป็นประโยชน์ การ
คุ้มครองสวัสดีภาพจัดสวัสดิการ โดยสามารถกระทำได้โดยวิธีการทางสังคมสงเคราะห์ เช่น การจัดการรายกรณี
(Case management) และการให้การปรึกษา (Counseling)เป็นต้น เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในระบบการเรียนอีกทั้ง
เป็นการลดภาวะความเครียดใหก้ บั ผูท้ ีศ่ ึกษเล่าเรียน
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 158
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
ผลกระทบตอ่ สุขภาพของเดก็ และเยาวชน
ไม่ได้มีเพียงผู้ใหญ่ที่เครียดและวิตกกังวลกับโควิด-19 หากยังมีเด็กและเยาวชนที่มีความรู้สึกร่วมใน
สถานการณ์เดียวกัน สะท้อนจากผลการประเมินสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นไทย ซึ่งเก็บข้อมูลจากเด็กและวัยรุ่นอายุต่ำ
กว่า 20 ปีจำนวน 183,974 คน ที่ประเมินสุขภาพจิตตนเองผ่านแอพพลิเคชั่น Mental Health Checkin ของกรม
สุขภาพจิต ในช่วง 18 เดือนของการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2564พบว่า
ร้อยละ 28 ของเด็กและวัยรุ่นมีภาวะเครียดสูง, ร้อยละ 32 มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า ในขณะที่อีกร้อยละ 22 มี
ความเสยี่ งท่จี ะฆา่ ตัวตาย สอดคล้องกบั ผลสำรวจของยนู เิ ซฟเมื่อปี 2563 พบว่า เดก็ และเยาวชนจำนวน 7 ใน 10 คนมี
สุขภาพจิตที่ย่ำแย่ลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่กังวลกับรายได้ของ
ครอบครัว การเรียน การศึกษาและการจ้างงานในอนาคต นางคยองชัน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
กล่าวว่า เด็กและวัยรุ่นในประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาด้านสุขภาพจิตมากขึ้นเรื่อยๆ และเราเชื่อว่านี่
เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง แม้ว่าผลกระทบด้านสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชน จะเป็นเรื่องสำคัญและส่งผลต่อสุขภาวะ
ของเด็กในระยะยาว แต่ประเด็นสุขภาพจิตมักถูกละเลย หรือถูกมองข้าม หรือแม้กระทั่งถูกปกปิดไว้ เนื่องจาก
สุขภาพจิตยังเป็นเรื่องที่ถูกตีตราหรือเรื่องน่าอาย แต่ในความเป็นจริงเรื่องของสุขภาพจิตควรได้รับการดูแลใส่ใจอย่าง
จริงจัง และถูกหยิบยกมาพูดถึงให้เป็นเรื่องปกติ เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนที่เผชิญปัญหาด้านสุขภาพจิต ได้รับ
การสนับสนุนและเข้าถึงบริการที่จำเป็นได้สะดวกขึ้นและรวดเร็วขึ้นด้าน พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรม
สุขภาพจิต กล่าวว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้วิถีชีวิตของเด็กและวัยรุ่นต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
เด็กจำนวนหนึ่งอาจไม่สามารถปรับตัวกับการเรียนรูปแบบใหม่ได้ จนเกิดผลกระทบต่อการเรียนและพัฒนาการได้
หลายด้าน ทั้งผลกระทบที่มีต่อผู้ปกครองและครอบครัว ก็ทำให้การเลี้ยงดูทำได้ไม่เต็มศักยภาพ ไม่สามารถใช้เวลาที่มี
คุณภาพกับเด็กได้เพียงพอ ปฏิสัมพันธ์ภายในครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปจากการเจ็บป่วย การเว้นระยะห่างทางสังคม
การงดกิจกรรมนอกบ้าน และการสวมหน้ากากอนามัยสำหรับในเด็กวัยรุ่นนั้น พบว่ามีความเครียดสูงมากขึ้น เข้า
สังคมลดลง ติดจอและเกมออนไลน์มากขึ้น ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งและความรุนแรงในครอบครัว จนนำไปสู่ปัญหา
สขุ ภาพจติ และการฆา่ ตัวตายในบางรายอีกด้วย
โดยบทบาทสำคัญที่นักสังคมสงเคราะห์สามารถเข้าถึงและช่วยเหลือได้นั้น นักสังคมสงเคราะห์จะต้องมุ่งเน้น
ไปที่ครอบครัวเป็นหลักเนื่องจากครอบครัวเป็นศูนย์กลางของเด็กชื่งผลกระทบดังกล่าวต้องทำให้เด็กและเยาวชนทุก
คนต้องเรียนอยู่ที่บ้านดังนั้นครอบครัวเป็นจุดแรกที่จะต้องเข้าไปให้ความสำคัญในเรื่องของการปรับสมดุลของ
ครอบครัวเป็นหลัก ครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่ต้องรับภาระหนักทางด้านเศรษฐกิจ สัมคมและปัญหาด้านอารม จิตใจ
ต่อมาเป็นการเข้าไปดูถึงความเป็นอยู่และสภาพการเลี้ยงดูเด็กที่ได้รับปัญหาและสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
ความเครียด ความกดดัน ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์สามารถเข้าไปให้คำปรึกษาและสามารถปรับมุมมอง พร้อมมองถึง
ปัญหาด้านอื่นๆ เช่นด้านเศรษฐกิจของทางบ้าน ปัญหาด้านการเงิน ที่อาจสร้างความไม่เท่าเทียมให้กับเด็กและเยาวชน
ได้ ด้งนน้ั นกั สังคมสงเคราะห์จงึ สามารถมองเห็นปัญหาและสามารถชว่ ยเหลอื ได้
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 159
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
ผลกระทบทางดา้ นเศรษฐกจิ ของเด็กและเยาวชน
ความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจของครัวเรือนที่มีเด็กและเยาวชนในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เกิดจากหลาย
ช่องทาง เช่น มีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสถานเลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของรัฐ หรือโรงเรียนบิดตามมาตรการ
ควบคุมการระบาดของรัฐ บางครัวเรือนที่มีเด็กเล็กและขาดผู้ดูแล จึงต้องมีค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้ดูแลเด็ก และเม่ือ
เด็กไม่ได้รับสิทธิประโยชน์อาหารกลางวันและนมจากศูนย์ฯ ทำให้ครอบครัวมีรายจ่ายด้านอาหารเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยัง
มีรายจา่ ยในการจดั หาอปุ กรณ์ป้องกนั ไวรัสให้แกเ่ ดก็ ดว้ ย
ทางด้านรายได้ ก็พบว่ารายได้ของครอบครัวลดลง เนื่องจากสถานประกอบการปิดหรือหยุดดำเนินการ ห้าง
ร้าน ตลาดนัดปิดตามมาตรการของรัฐ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น หาบเร่แผงลอย แท็กซ่ี วินมอเตอร์ไซค์ มีจำนวน
ลูกค้าลดลง เกษตรกรรายได้ลดลงเพราะผู้ซื้อน้อยลง (ห้างร้านปิด ผู้บริโภคลดลง) บางครอบครัวที่เด็กยังเล็กมาก
และไม่สามารถหาผู้ดูแลที่สามารถไว้ใจได้ คนในครอบครัวจำเป็นต้องออกจากงาน ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียรายได้
ไปอีกหนึ่งช่องทาง ยิ่งไปกว่านั้น พบว่าครอบครัวที่มีเด็กเล็กได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจในสัดส่วนที่สูงกว่า
ครอบครัวที่ไม่มีเด็กเล็ก โดยผลการสำรวจออนไลน์ที่เป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา
ประเทศไทยและสำนักงานสถิติแห่งชาติระหว่างวันที่ 27เมษายนถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 (จำนวนตัวอย่าง
27,986 มีผู้ตอบแบบสอบถามจากทุกจังหวัดในประเทศไทย) พบว่าครอบครัวที่มีเด็กเล็กถูกกระทบจากโควิด-19
มากกว่าครอบครัวที่ไม่มีเด็กเล็กในเกือบทุกด้าน (ตัวเลขเทียบระหว่างสัดส่วนในครอบครัวมีเด็กกับสัดส่วนใน
ครอบครัวไมม่ ีเด็ก)
• รายได้ลดมากกว่า (81% ในกลุ่มครัวเรือนที่มีเด็กเล็ก เทียบกับ 70% ในกลุ่มครัวเรือนที่ไม่มีเด็กเล็ก)
เพราะมสี ดั สว่ นทเ่ี ปน็ คนทำงานไม่ประจำ หรอื ธรุ กจิ นอกระบบมากกวา่
• รายจ่ายเพิ่มกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด และคิดเป็นสัดส่วนครัวเรือนมากกว่า (13% เทียบกับ
10%)
• หนี้ในระบบเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่า (18% เทียบกับ 13%) และหนี้นอกระบบก็เพิ่มในสัดส่วนมากกว่า
(13% เทยี บกบั 9%)
• สายป่านสั้นกว่า คือสามารถอยู่ในภาวะปิดเมืองแบบที่ผ่านมาได้ในระยะเวลาสั้นกว่า เช่น ตอบว่าอยู่ได้ไม่เกิน
1 เดอื นมีสดั ส่วนสงู กวา่ (21% เทียบกับ 18.5%)
• ถูกกระทบในช่องทางต่างๆ จากโควิดในสัดส่วนท่ีสูงกว่า (77% เทียบกับ 68%) และเมื่อแยกตามมาตรการ
ปดิ เมอื ง เช่น เคอร์ฟวิ ปิดร้านคา้ จำกัดรา้ นอาหาร ห้ามเดินทาง ก็ถกู กระทบมากกวา่
• ความสามารถในการแก้ปัญหาน้อยกว่า (27-31% ตอบว่าแก้ปัญหาไม่ได้ ส่วนครอบครัวที่ไม่มีเด็กมี
24-26% ตอบว่าแกป้ ญั หาไมไ่ ด)้
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 160
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
ผลกระทบทางสังคมตอ่ เด็กและเยาวชน
กล่าวได้ว่าผลกระทบระดับสังคมที่เด็กและเยาวชนต้องได้รับคือปัญหาระดับปฏิบัติการและเชื่อมโยงไประดับ
นโยบาย จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 สร้างความไม่เท่าเทียมและความเหลื่อมล้ำในเด็ก
และเยาวชนมาก ไม่ว่าด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา ด้านค่าครองชีพ ล้วนแล้วเป็นปัญหาอย่างมาก ซ่ึงปัญหา
ดังกล่าวนั้นทำให้กลุ่มครับเรือนที่มีเด็กก็ได้รับผลกระทบไปด้วย อาทิ กรณีครอบครัวที่มีเด็กเล็ก อาจสร้างปัญหาได้
หลายประการไดแ้ ก่
ด้านการเลี้ยงดู เด็กขาดผู้ดูแลทำให้บางครอบครัวต้องพาเด็กออกไปทำงานด้วย ซึ่งบางครั้งสถานที่ทำงาน
ก็ไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับเด็กเล็ก เช่น งานเก็บขยะ งานตัดต้นไม้ งานก่อสร้าง เป็นต้น หรือบางครอบครัวต้องทิ้งเด็ก
เลก็ ไวต้ ามลำพงั
ด้านโภชนาการ เด็กที่อยู่ศูนย์เด็กเล็กจะได้รับอาหารและนมตามเวลา แต่เมื่อเด็กต้องอยู่บ้านบางครั้งต้อง
ทานอาหารเหมือนของผู้ใหญ่หรือต้องกินข้าวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือไข่ หลายครอบครัวต้องเปลี่ยนมาซื้อนมกล่อง
แทนนมผงซึง่ มรี าคาแพง ทำใหเ้ ด็กได้รับสารอาหารไม่ครบถว้ น กนิ ขา้ วไดน้ อ้ ยลงเพราะเมนเู ดมิ ซ้ำ ๆ
ด้านพัฒนาการ แม้ว่าการที่ศูนย์เด็กเล็กปิดจะทำให้พ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น แต่เด็กก็ขาดกิจกรรม
หรือของเล่นที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ และการที่ผู้ปกครองเกรงว่าเด็กจะติดโควิดจึงไม่ค่อยให้ออกไปข้างนอก
เดก็ จงึ ต้องอยูใ่ นหอ้ งแคบ ๆ ดูโทรทัศนห์ รือเล่นมือถอื มากข้ึน ทำให้มพี ฤติกรรมกา้ วร้าว เอาแต่ใจตวั เอง ขาดระเบียบวินัย
ด้านสุขภาพและการเดินทาง การที่เด็กต้องอยู่ในห้องแคบ 1 ประกอบกับอากาศที่ร้อน เด็กบางคนก็เป็นผด
ผื่นส่งผลให้อารมณ์หงุดหงิด ไม่เชื่อฟัง แต่ในส่วนของการต้องพาเด็กไปรับวัคซีนตามนัดพบว่าส่วนใหญ่ยังสามารถ
พาเด็กไปรับวัคซีนได้ตามกำหนด แต่หากต้องเดินทางด้วยรถสาธารณะก็จะอาจต้องรอรถนานขึ้น นอกจากนี้จากสถิติ
การให้บริการตรวจคัดกรองและกระตุ้นพัฒนาการของกรมอนามัย พบว่าเด็กได้รับการเฝ้าระวังและส่งเสริม
พัฒนาการตามช่วงวัยลดลงมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 (ร้อยละ 63.7 เทียบกับร้อยละ 91.2) หาก
เด็กมีพฒั นาการล่าชา้ กจ็ ะเสียโอกาสในการไดร้ บั การกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสม
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 161
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทบาทของนกั สังคมสงเคราะห์กับเด็กและเยาวชนทไี่ ดร้ ับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19
นักสังคมสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานด้านเด็ก นับเป็นส่วนหนึ่งของนักวิชาการด้าน เด็ก หรือหากจะพิจารณาใน
บางมุม ความชัดเจนที่อาจชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกันของ สองกลุ่มนี้คือ การทางานในระดับภาคปฏิบัติ การ
ปฏิบัติงานโดยตรง และการปฏิบัติงาน ในระดับนโยบาย การวิจัย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิชาชีพต่างปฏิบัติงานตั้งแต่
ระดับจุลภาค จนถึงมหภาคเช่นเดียวกัน เพียงแต่มีจุดมุ่งเน้นในการปฏิบัติงานต่อกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกัน การ
ปฏิบัติงานด้านเด็กและเยาวชน บทบาทที่นักสังคมสงเคราะห์ต้องมีและพัฒนาตนเอง อยู่เสมอ คือ (1 มีองค์ความรู้
เกี่ยวกับพัฒนาการมนุษย์ และวงจรชีวิตครอบครัว เป็นพื้นฐานที่สาคัญ(2) เป็นผู้ทีสามารถประยุกต์ใช้ศาสตร์ทาง
สังคมสงเคราะห์และศาสตร์อ่ืนๆทีมีความเกียวข้องเชื่อมโยงประยุกต์เป็นศิลป์แห่งวิชาชีพในการปฏิบัติงาน
นอกจากน้ี(3) การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน นับว่าเป็นสิ่งที่มี ความสำคัญอย่างย่ิง
สาหรับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งการให้ความสาคัญ การจัดให้มีการฝึกอบรม เกี่ยวกับสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ทีหมายรวมถึง
พัฒนาการทางด้านอารมณ์ และ พฤติกรรม เพื่อให้เกิดความชานาญเฉพาะทางแก่ผู้ที่ปฏิบัติงานกับเด็กและครอบครัว
ได้ ถูกกาหนดให้มีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมาเมื่อทศวรรษก่อนในประเทศอังกฤษ (Sebuliba & Vostanis, 2001) ที่มี
จุดมุ่งหมายให้เจ้าหน้าทีทีให้บริการในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิมี ความตระหนักและให้ความสาคัญเกี่ยวกับ
สุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น และมีความรู้ ความ เข้าใจเกี่ยวกับการประเมินและการบริหารจัดการเกี่ยวกับการให้บริการ
แก่เด็กและ ครอบครัว ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์ที่ทางานด้านเด็กและครอบครัว ควรได้รับการฝึกอบรม และได้รับความรู้
ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน เพื่อให้การให้บริการสามารถตอบสนอง ความต้องการของผู้ใช้บริการและครอบครัวของ
ผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ที่มีความจาเป็นต่อการปฏิบัติงานด้านเด็กและ
ครอบครัว แล้ว (4) บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ในฐานะผู้จัดการรายกรณี (case manager) (Ji, Meeks,MSSA,
ACSW & LSW, 2001) ที่ต้องเป็นผู้สามารถประยุกต์ช้ทรัพยากรทาง สังคมและการติดต่อประสานงานระหว่างทีมสห
วิชาชีพที่มีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ อย่างสูงสุดต่อผู้ใช้บริการ รวมไปถึง (5) นักสังคมสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงาน ต้อง
เป็นผู้ที่ สามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรทางสังคมที่หลากหลาย อาทิ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่าน สื่ออินเตอร์เน็ต
เพื่อให้เกิดการบริการมีประสิทธิภาพ และ (6) การทำงานในรูปแบบ สหวิชาชีพ ที่นับว่ามีความสำคัญอย่างย่ิงต่อการ
ประเมินเด็กและครอบครัว (Child and Family Assessment) ซึ่งควรกระทาโดยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวิชาชีพ ใน
ประเทศอังกฤษ ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ในทีมสหวิชาชีพ การศึกษาวิจัย มุ่งเน้นถึง
วิธีการทางานร่วมกันของทีมสหวิชาชีพ โดยมุ่งเน้นศึกษาทีบทบาทของนักสังคม สงเคราะห์และประสบการณ์ในการ
ปฏิบัติงานในทีมสหวิชาชีพด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิง คุณภาพในบริบทรูปแบบการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ สถานะ
และพลังอานาจ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและการรักษาความลับ และความสัมพันธ์กับผู้ปฏิบัติวิชาชีพอื่น ซ่ึง
พบว่าบทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ในบริบทดังกล่าวมีทั้งความท้าทาย ต้องเผชิญกับ ความชับซ้อนและการจัดการ
กับปัญหาในขณะเดียวกันนักสังคมสงเคราะห์ต้องเป็นผู้ ประสานงานระหว่างวิชาชีพ ซึ่งบทบาทของนักสังคม
สงเคราะห์ในการปฏิบัติงานเพ่ือให้ เป็นทียอมรับในทีมสหวิชาชีพนั้นต้องอาศัยความชานาญและความเป็นมืออาชีพ
(Frost, Robinson & Anning, 2005) การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ต้องบูรณาการการ ปฏิบัติงานในระดับนโยบาย
และในระดับปฏิบัติเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการ ทางานกับเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวการผสมผสานองค์
ความรู้ทางด้านสุขภาพจิต และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและอาการทางจิตเวช จะสามารถช่วยให้การประเมินและ
วินิจฉัย เพื่อให้การวางแผนให้ความช่วยเหลือมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (Hahn & Scanlon, 2016) นอกจากนี้ยังมี
การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงานสังคม สงเคราะห์ในศตวรรษท่ี 21 โดย National Association of
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 162
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
Social Worker (Ramsay, 2003) ที่กล่าวว่าการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในศตวรษที่ 21 ยังคงต้องดาเนินตาม
องค์ประกอบหลักที่สำคัญได้แก่ คุณค่า เป้าหมาย การแทรกแซงเพ่ือให้ความช่วยเหลือ องค์ความรู้และระเบียบวิธีการ
ปฏิบัตงิ าน ซึงการปฏบิ ัตงิ านสงั คมสงเคราะหใ์ นอนาคต ยงั คงม่งุ เน้นทีคุณค่า ทฤษฎี และการปฏิบัติ
กล่าวโดยสรุป การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว ทั้งบทบาทนักวิชาการและ
บทบาทของผู้ปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ล้วนเป็นบทบาทที่มีความสอดคล้องและเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน กล่าวคือ
ผู้ปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ต้องเป็น ผู้ใฝ่หาความรู้ข้อมูลข่าวสาวเกี่ยวกับการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาวิชาชีพ ในขณะท่ี
นักวิชาการมีบทบาทเป็นผู้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและรวบรวมข้อมูลสถิติจากการปฏิบัติงานและสังเคราะห์ข้อมูลเพ่ือ
พัฒนาเป็นองค์ความรู้ใหม่ ผลักดันไปสู่การสร้างนโยบายเพื่อการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้นทั้งสองภาค
ส่วนมีส่วนสนับสนุนส่งเสริมกันทั้งใน ภาพรวม และในประเด็นเฉพาะ กล่าวได้ว่าบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ด้านเด็ก
เยาวชน และครอบครวั และนกั วชิ าการ เปน็ เสมือนฟันเฟืองทส่ี นับสนุนและเอื้อต่อการขบั เคล่ือน
เอกสารอา้ งองิ
ยศวดี อยสู่ ขุ . บทบาทท่ที า้ ทายตอ่ การพฒั นาเด็กเยาวชนและครอบครวั . วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ .
คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ เปีท่ี 26 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2561
สำนกั งานสถติ แิ หง่ ชาติ สถาบันวจิ ัยเพ่อื การพัฒนาประเทศไทย และองค์การยูนเิ ซฟ . (2563) . การสำรวผล
กระทบตอ่ ภาวะเศรษฐกิจและสงั คมจากสถานการณการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงระหวา่ ง
วันท2่ี 7เมษายนถงึ วันท่ี 18ฤษภาคม.จาก : http:/ittdashboard.so.go.th/covid19survey.php
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 163
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 164
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
คำนำ
รายงานการสัมมนาเรื่อง "เมื่อครอบครัวไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรค COVID - 19" เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ดค.369 สัมมนาการพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครัวโดยจัดทำข้ึนเพื่อ
นำเสนอการวิเคราะห์ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่ส่งผลให้ครอบครัวกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่
ปลอดภัยสำหรับใครหลายๆ คน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID- 19 ซึ่งมีผลกระทบต่อในทุก
ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังได้นำเสนอปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ปัญหาในครอบครัว ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ
เด็กและเยาวชน อุปสรรคในการแก้ไขปัญหา และนำไปสู่การวิเคราะห์ทำงานของนักสังคมสงเคราะห์ในสถานการณ์ที่มี
ขอ้ จำกัด
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานการสัมมนาเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้เข้ามาศึกษาและผู้ที่มีความ
สนใจเกี่ยวกับประเด็นของเด็ก เยาวชนและครอบครัว หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อผิดพลาดประการใดผู้จัดทำขอน้อมรับ
ไว้และขออภัยมา ณ ทนี่ ้ีดว้ ย
นางสาววณชิ ญา บญุ วาที
ผจู้ ัดทำ
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 165
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
นยิ ามและความหมายของคำวา่ "ครอบครวั " และ "พนื้ ทป่ี ลอดภัย"
การให้นิยามและความหมายของคำว่า "ครอบครัว" ได้มีกรให้คำนิยามในลักษณะที่แตกต่างกันไปตามบริบท
ของแต่ละศาสตร์การเรียนรู้ ซึ่งจากการศึกษาเอกสารนิยามและประเภทครอบครัวของกรมกิจการสตรีและสถาบัน
ครอบครัว ไดม้ กี ารพจิ ารณาคำนิยามของคำวา่ ครอบครวั จากแหล่งต่างๆ ไวด้ ังน้ี
- คำนิยามในพจนานุกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้ให้ความหมายไว้ว่า "ครอบครัวคือ สถาบัน
พื้นฐานของสังคมทปี่ ระกอบด้วยสามภี รรยาและหมายความรวมถึงลูกดว้ ย"
- คำนิยามจากนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2560 - 2564 ได้ให้ความหมายไว้
ว่า "ครอบครัวหมายถึง บุคคลต้ังแต่สองคนขึ้นไปที่ใช้ชีวิตร่วมกัน โดยมีความผูกพันธ์กันทางสายโลหิต ทางกฎหมาย
ทางจิตใจ หรอื ทางสงั คม ซ่ึงสมาชกิ ในครอบครัวต่างมีบทบาทหน้าทต่ี อ่ กัน"
- คำนิยามจาก Mosby's Medical Dictionary ได้ให้ความหมายไว้ว่า "ครอบครัว คือ กลุ่มคนท่ีเกี่ยวข้องกัน
ด้วยการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น พ่อแม่ ลูก และพี่น้อง บางครั้งครอบคลุมไปถึงกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกันโดยสมรส
หรืออาศัยอยู่บ้านเดียวกัน หรือผู้ที่มีความผูกพันห่วงใย มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างสม่ำเสมอและแบ่งปันความห่วงใยในการ
เติบโตและการพฒั นาของกลมุ่ และของสมาชกิ แตล่ ะคน"
นอกจากน้คี วามหมายครอบครวั ของ Burgess และ Lock อ้างถึงใน สุพัตรา สุภาพ ได้กล่าววา่ ครอบครวั มี
ลักษณะทส่ี ำคัญ 4 ประการ ได้แก่
1.) บุคคลที่อยู่ร่วมกันจะต้องมีลักษณะของความสัมพันธ์โดยการสมรส ความผูกพันกันทางสายเลือดหรือ
การรับบตุ รบญุ ธรรม เชน่ คสู่ ามภี รรยา พอ่ แม่และลกู พ่อแม่และบตุ รบุญธรรม เป็นต้น
2.) สมาชกิ ของครอบครัวอาจจะอย่ภู ายในทอี่ ยู่อาศยั เดียวกนั หรือแยกออกไปอยู่เพยี งลำพงั
3.) สมาชิกของครอบครัวจะต้องมีการติดต่อสื่อสารกัน และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างสมาชิกใน
ครอบครวั เช่น การแสดงความรกั ความเอาใจใส่ มีการอบรมสง่ั สอนเลีย้ งดกู นั และกนั เป็นต้น
4.) สมาชิกในครอบครวั จะตอ้ งถ่ายถอดและรับวัฒนธรรม คา่ นิยม และแบบแผนการปฏบิ ตั ติ น
เพอื่ ให้สามารถอยู่ร่วมกับสมาชิกและผ้อู น่ื ในสังคมได้
จากนิยามและความหมายข้างต้น จึงอาจสรุปได้ว่า "ครอบครัว" คือ บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่ใช้ชีวิต
ร่วมกัน อาจเป็นสามีภรรยา พ่อแม่และลูก บุตรบุญธรรม หรือพี่น้องที่มีความผูกพันกันทางสายเลือด ทางกฎหมาย
ทางจติ ใจ หรอื ทางสงั คม โดยอาจจะอย่ภู ายในทอ่ี ยู่อาศัยเดียวกันหรอื ไม่ก็ได้ ซง่ึ สมาชิกแตล่ ะคนจะมี
บทบาทหน้าที่ในการรับและถ่ายถอดวัฒนาธรรมการปฏิบัติ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีการสื่อสารและความ
หว่ งใยซง่ึ กนั และกนั อยา่ งสมำ่ เสมอ
ส่วนคำว่า "พื้นที่ปลอดภัย" หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า Safe space ซึ่งจากพจนานุกรม Oxford ได้ให้
ความหมายของคำว่าพ้ืนที่ปลอดภัยไว้ว่า "พื้นที่ปลอดภัย หมายถึง สถานที่หรือสภาพแวดล้อมที่บุคคล หรือกลุ่มผู้คน
สามารถรู้สึกมั่นใจว่าจะปราศจากการถูกเลือกปฏิบัติ การวิพากษ์วิจารณ์ การล่วงละเมิด หรือการทำร้ายทางอารณ์
และร่างกาย"
นอกจากนี้ยังมีคำอีกคำหนึ่งที่สอดคล้องไปกับคำว่าพื้นที่ปลอดภัย นั่นคือคำว่า "พื้นที่สะดวกสบาย"หรือใน
ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Comfort zone ซึ่งคำนี้มักจะถูกใช้ควบคู่หรือถูกใช้แทนคำว่าพื้นที่ปลอดภัยอยู่บ่อยครั้ง โดย
พจนานกุ รม Oxford ไดใ้ ห้ความหมายไว้วา่ "เป็นสถานทีห่ รือสถานการณ์ทร่ี ู้สกึ ปลอดภยั หรือสบายใจและไม่เครยี ด"
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 166
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ผู้จัดทำจะขอนำความคิดเห็นที่ได้จากผู้ร่วมสัมมนามาวิเคราะห์ เพื่อนำมาสู่การให้นิยามและความหมายของคำ
ว่าพื้นที่ปลอดภัยเพิ่มเติม เนื่องจากการสัมมนามีผู้ร่วมสัมมนาหลายคนได้ให้ความคิดเห็นและนิยามของพื้นที่ปลอดภัย
ในลักษณะท่ีเชอ่ื มโยงไปทศิ ทางคลา้ ยคลงึ กบั ความหมายข้างต้น ซึง่ สามารถสรุปออกมาไดด้ ังน้ี
- พื้นที่ปลอดภัยที่เป็นสถานที่ โดยเป็นพื้นที่ท่ีทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกปลอดภัย และรู้สึกอบอุ่นเมื่อเวลาที่ได้
อยูใ่ นสถานท่ีนนั้ ๆ สามารถแสดงความตัวของตนเองได้อยา่ งเต็มที่ ไม่ตอ้ งกงั วลวา่ จะเกิดอนั ตรายหรือทำให้เราสูญเสีย
ตัวตนของตนเองไป โดยสถานทใ่ี นท่ีนอี้ าจจะเปน็ พื้นทส่ี ว่ น หรอื เป็นพ้นื ทีส่ าธารณะ
- พื้นที่ปลอดภัยที่เป็นผู้คนที่อยู่รอบตัวบุคคลหรือสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทำให้บุคคลสามารถพูดคุยและ
แสดงออกถงึ ความรูส้ กึ ของตนเองออกมาไดอ้ ย่างปลอดภัยและเกดิ ความสบายใจ
- พื้นที่ปลอดภัยที่เป็นกิจกรรมหรือสิ่งของที่ตนเองชื่นชอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกชอบและ
สบายใจ
จากการให้คำนิยามและความหมายข้างต้น จึงอาจสรุปได้ว่า "พื้นที่ปลอดภัย" เป็นพื้นที่ที่บุคคลหรือกลุ่มคน
เกิดความมั่นใจได้ว่าปลอดภัยในการที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ถูกล่วงละเมิด หรือถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ และยัง
มีความหมายที่เชื่อมโยงกับความอารมณ์และความรู้สึกของผู้คน โดยเป็นพื้นที่ที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกสบายใจ
เป็นพื้นที่แห่งการพูดคุยที่สามารถแสดงออกถึงตัวตน และความรู้สึกได้อย่างปลอดภัยอาจเป็นได้ทั้งสถานที่ ผู้คนข้าง
กาย สัตว์เลี้ยง รวมไปถงึ กจิ กรรมหรอื ส่ิงทตี่ นเองชื่นชอบ
พนื้ ท่ปี ลอดภัยมคี วามสำคญั กบั ครอบครวั อยา่ งไร
ครอบครัวถือว่าเป็นสถาบันที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในสังคม นับตั้งแต่มนุษย์เกิดขึ้นมาไป
จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต และยังเป็นสถาบันแรกที่เป็นพื้นฐานเริ่มต้นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมนุษย์ทุกคน
ถึงแม้ว่าครอบครัวจะเป็นหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดในสังคม เนื่องจากครอบครัวเป็นสถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการหล่อ
หลอม และพัฒนาบุคลิกภาพของสมาชิกในครอบครัวให้มีคุณภาพ ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดค่านิยมปลูกฝังความเช่ือ
ความคิดและทัศนคติ ซึ่งครอบครัวเป็นพื้นที่ที่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานที่สำคัญให้กับมนุษย์ท้ังความ
ต้องการทางด้านร่างกาย ( Physiological Needs) ความต้องการทางด้านจิตใจ (Psychological Needs) และความ
ต้องการทางด้านด้านสังคม (Social Needs) หรือในช่วงเวลาท่ีสมาชิกภายในครอบครัวต้องเผชิญกับปัญหาที่ทำให้
เกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าหรือเกิดความกลัวข้ึน ครอบครัวจะกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สำคัญที่จะช่วยสนับสนุน
สมาชิก คอยห่วงใยเอาใจใส่ ชว่ ยเสริมสรา้ งพลงั กายและ
พลังใจให้แก่สมาชิกในครอบครัวในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับสภาวะที่เกิดความยากลำบากขึ้น นอกจากนี้หาก
ครอบครัวมีพ้ืนที่ที่ปลอดภัย มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชนที่เป็นสมาชิกในครอบครัว ก็จะส่งผล
ต่อการหล่อหลอมและการพัฒนาบุคลิกภาพของพวกเขาให้สามารถเติบโตขึ้นได้อย่างเหมาะสมในอนาคต จากเหตุผล
ทั้งหมดข้างตัน จะทำให้เห็นได้ว่าการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในครอบครัวสำหรับสมาชิกทุกคนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็น
อย่างมาก
สถานการณ์ทท่ี ำใหค้ รอบครวั กลายเปน็ "พ้นื ทไ่ี มป่ ลอดภัย" ในช่วงสถานการณ์ COVID - 19
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เป็นโรคอุบัติใหม่ที่ได้เร่ิมต้นขึ้นเมื่อ
ประมาณเดือนธันวาคมปี 2562 มีการพบการแพร่ระบาดเป็นครั้งแรกที่เมืองอู่ฮันในประเทศจีนหลังจากพบการแพร่
ระบาดเกิดขึ้น องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ได้ออกมาประกาศชื่อเรียกอย่างเป็น
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 167
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ทางการ โดยเรียกว่า COVID - 19 (Corona Virus Disease 2019) และได้ประกาศให้การระบาดนี้เป็นภาวะฉุกเฉินทาง
สาธารณสุขระหว่างประเทศ ซึ่งโรค COVID - 19 เป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางเดินหายใจและมีการกระจาย
เชื้อได้อย่างรวดเร็วจากคนสู่คน โดยแพร่กระจายได้ผ่านละอองฝอยขนาดเล็ก ทำให้ในแต่ละประเทศต้องเร่งออก
มาตรการต่างๆ มารองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเช้ือ จนกลายเป็นวิถี
ชีวิตแบบใหม่ (NewNormal) ที่ส่งผลให้วิถีชีวิตของผู้คนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป โดยมีการรักษาระยะห่างทางสังคม
หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัดสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เสมอเมื่อต้องออกจากบ้าน แต่เมื่อ
สถานการณ์การแพร่ระบาดมีความรุนแรงข้ึน ทำให้หลายประเทศทั่วโลกต้องมีการออกมาตรการล็อกดาวน์
(Lockdown) ซึ่งเป็นมาตรการบังคับหรือจำกัดการเดินทาง จำกัดการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และจำกัดการเข้าถึง
พื้นที่สาธารณะ ซึ่งความเข้มงวดก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ โดยมาตรการที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อคนทุกช่วงวัย
ไม่ว่าจะวัยทำงานที่ต้องปรับตัวทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) นักเรียนและนักศึกษาที่ต้องปรับรูปแบบของ
การเรียนเป็นลักษณะออนไลน์ ส่งผลให้ผู้คนในสังคมต้องปรับเปลี่ยนวิถีไปใช้ชีวิตและใช้เวลาอยู่ร่วมกับสมาชิกภาย
ภายในครอบครัวมากขึ้น อย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้านตามมาตรการที่เกิดขึ้น อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับใคร
หลายคน ไม่ใช่ทุกคนที่รู้สึกว่าบ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับตนเอง ซึ่งผู้จัดทำจะขอนำเสนอสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน
ครอบครวั ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ท่ีทำใหบ้ ้านกลายเปน็ พน้ื ท่ีทไ่ี ม่ปลอดภยั โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี
1.) สถานการณ์ปัญหาการกระทำความรุนแรงทางด้านร่างภายในครอบครัวความรุนแรงในครอบครัว เป็น
การกระทำหรือเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างระหว่างสมาชิกในครอบครัว ที่ส่งผลกระทบให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย
จิตใจ หรือสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการบังคับครอบงำ ข่มเหงบังคับให้สมาชิกยอม
ปฏิบัติตามความต้องการ โดยความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมทั่วโลก และเป็นปัญหาท่ี
ไม่สามารถแก้ไขให้หมดไปได้ ทำได้เพียงแค่เฝ้าระวังและป้องกันให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ซึ่งมาตรการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นใน
หลายประเทศทั่วโลกที่ประกาศใช้เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรค บ้านอาจจะเป็นสถานที่ปลอดภัย
สำหรับการติดเชื้อ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นการเพิ่มความถี่ของการกระทำความรุนแรงในคู่รัก ผู้หญิง และเด็กหลายคน
ทวั่ โลก เพราะในสถานการณท์ ่เี กิดโรคระบาด COVID - 19 ทำใหผ้ ู้ถกู กระทำเขา้ ถึงกระบวนการช่วยเหลอื ไดย้ ากลำบากข้นึ
ช่วงปี 2563 ซึ่งเป็นการที่เกิดการช่วงระบาดของโรค COVID - 19 มีข้อมูลจากสำนักงานข่าว CNN รายงาน
ว่าในเขตเมืองทางตะวันตกของนิวยอร์ก ได้มีเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเปรียบเทียบกับ
ช่วงปีก่อน และองค์กร Women Helping Women ในเมือง Cincinnati ได้รับการโทรแจ้งผ่านโทรศัพท์เพิ่มขึ้นถึง
30% นับตั้งแต่มีการกักตัวเริ่มขึ้น และในมณฑลหูเป่ยในประเทศจีน ได้มีรายงานเกี่ยวกับความรุนแรงเพิ่มขึ้นถึง 3
เทา่ ซง่ึ มีความเชือ่ มโยงกับสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรค COVID - 19
ในส่วนของประเทศไทยเองก็ได้มีการเปิดเผยถึงสถิติความรุนแรงในครอบครัวในช่วสถานการณ์การแพร่
ระบาดของโรค COVID - 19 จากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว โดยพบว่า ในช่วงเดือนตุลาคม 2563 ถึง
เดือนกันยายน 2564 ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาของการแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ที่ทางรัฐบาลได้ออก
มาตรการล็อกดาวน์ให้ผู้คนในสังคมใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้านเป็นส่วนใหญ่ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค แต่กลับมี
ผู้ถูกกระทำความรุนแรงมากถึง 2,1 77 ราย โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงเป็นเพศหญิง และถูกกระทำ
ความรุนแรงภายในบ้านของตนเอง โดยปัญหาที่พบเป็นการทำร้ายทางด้านร่างกายมากที่สุด รองลงมาเป็นทางด้าน
จติ ใจและทางเพศ
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 168
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
2.) สถานการณก์ ารทำรา้ ยอารมณ์และจิตใจระหว่างสมาชิกในครอบครัว
การทำร้ายอารมณ์และจิตใจ เป็นการกระทำหรือคำพูดที่ส่งผลให้เกิดเป็นผลเสียทางด้านจิตใจ โดยอาจใช้
คำพูดที่หยาบคาย ดูถูกเหยียดหยาม ลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ หรือในบางครั้งอาจมาในรูปแบบของการเมิน
เฉย ไม่ใส่ใจความต้องการ สิ่งท่ีเกิดขึ้นจากการทำร้ายทางอารมณ์และจิตใจมีผลให้ผู้ถูกกระทำขาดความเชื่อมั่นใน
ตนเองและในบางครั้งอาจรสู้ กึ ดอ้ ยคณุ ค่า ซงึ่ สง่ ผลกระทบต่อจิตใจในระยะยาว
โดยการทำรา้ ยทางอารมณ์และจิตใจ เป็นเร่อื งทพ่ี บไดบ้ ่อยในความสมั พันธ์ระหว่างคสู่ ามีภรรยา กลุ่มเพื่อน ญาตพิ น่ี ้อง
หรือระหว่างสมาชิกในครอบครัวด้วยกันเอง ซ่ึงในบางครั้งการกระทำในลักษณะนี้อาจจะถูกมองข้ามและมักจะถูกมอง
ว่าเป็นเรื่องที่ปกติ เช่น การพูดบ่น การดุด่าให้รู้สึกกลัวเมื่อบุคคลกระทำความผิดหรือการพูดเปรียบเทียบผ่านข้อด้อย
เป็นต้น แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นอาจสร้างบาดแผลภายในจิตใจที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยทั้งผู้ท่ี
กระทำหรือผู้ทถี่ ูกกระทำอาจจะไม่รตู้ ัว
ตัวอย่างสถานการณที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ในบางครั้งมองภายนอกอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น การ
ที่ผู้ปกครองดุด่ว่าเด็กด้วยคำพูดที่รุนแรง ซึ่งผู้ปกครองหลายคนอาจจะทำไปด้วยความคิดที่มาจากความรัก
ความหวังดี ความไม่พอใจ หรืออาจทำไปโดยไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบต่อเด็ก หรือการที่ผู้ปกครองบางคนต้องการให้เด็ก
เป็นไปตามความคาดหวัง ก็มักจะ พูดกับเด็กในเชิงเปรียบเทียบกับบุคคลอื่น ซึ่งมันสามารถเป็นได้ทั้งแรงผลักดันให้
เด็กพัฒนาตนเอง แต่ในทางกลับกันก็สามารถทำให้เกิดผลลบได้ อาจทำให้เด็กสูญเสียความมั่นใจ หรือน้อยใจใน
ความสามารถของตนเอง มองว่าตนเองไม่มีคุณค่าในสายตาของพ่อและแม่ เป็นต้นและในสถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรค COVID - 19 ที่ผู้คนต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันภายในบ้านเป็นเวลานานมากขึ้นก็อาจจะส่งผลให้ใครหลายคนเสี่ยง
เผชิญกับสถานการณ์การทำร้ายทางอารมณ์และจิตใจได้มากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนแล้วทำให้บ้านและครอบครัว
เป็นสถานการณ์ที่ทำใหบ้ ้านกลายเป็นพ้นื ที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับสมาชกิ ในครอบครวั ไดเ้ ช่นกนั
3.) สถานการณค์ รอบครัวรกุ ล้ำความเป็นสว่ นตวั
เนื่องสภาพแวดล้อมภาพการเลี้ยงดูและความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัวมีความแตกต่างกัน การให้ความ
เป็นส่วนตัวของแต่ละครอบครัวก็มีความแตกต่างกันไป ในบางครอบครัวให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวแก่
สมาชิกภายในครอบครัวเป็นอย่างมาก มีการให้ระยะห่างพอสมควร กลับกันบางครอบครัวไม่ได้มีการขีดแบ่งความเป็น
ส่วนตัวของกันและกันอย่างชัดเจน ซึ่งสถานการณ์ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นในครอบครัวที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่มักจะ
ต้องการพื้นที่ความเป็นส่วนตัวของตนเอง เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ขึ้น การปรับตัว
เข้ามาใช้ชีวิตร่วมกับสมาชิกภายในครอบครัวอาจทำให้พื้นที่ความเป็นส่วนตัวหายไปด้วยเช่นกัน และสถานการณ์
เหล่านี้มักจะเกิดในครอบครัวที่มีเด็กในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีอิสระทางความคิดของตนเอง และจะมีความอึดอัด
ได้ง่ายหากถูกก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว สถานการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นคือ การที่พ่อแม่หรือผู้ปกครอง คอยสอดส่องจับ
ตามองบุตรหลานในครอบครัว พยายามเข้าไปยุ่งเก่ียวจัดการทุกเรื่องอยู่ตลอดเวลา หรือบางครั้งอาจจะเป็นการเข้ามา
ในพื้นที่ส่วนตัวอย่างไม่ตั้งใจ อาจจะด้วยความหวังดี แต่ผลที่เกิดขึ้นคือความรู้สึกอึดอัดเนื่องจากมนุษย์ทุกคนล้วน
ต้องการความเป็นส่วนตัวที่มีเพียงแค่ตนเองบ้างในบางเวลา และอาจเกิดความรู้สึกลึกๆ ว่าบ้านเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย
ไมใ่ ชพ้ นื้ ทแี่ หง่ ความสบายใจในการแสดงออกหรือใชช้ ีวติ เพื่อทำกจิ กรรมตามภาระหน้าทขี่ องตนเอง
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 169
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
4.) สถานการณท์ ต่ี อ้ งอยู่ภายในครอบครวั ทไ่ี มเ่ ปดิ ใจยอมรับผ้ทู ี่มีความหลากหลายทางเพศ
จากความคิดเห็นของผู้ร่วมสัมมนาท่านหนึ่ง ได้ร่วมแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ทำ
ให้ครอบครัวกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยไว้ว่า " ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลายคนที่เป็นเพศทางเลือกไม่สามารถมีพื้นท่ี
ในการแสดงออกทางเพศตามความสนใจของตนเองได้เหมือนเดิม ไม่สามารถแสดงออกถึงความรู้สึก ก็ส่งผลต่อ
ความเครียดและความกดดัน "
ซึ่งจากการค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) พบว่ามาตรการที่
เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ที่มีการปิดสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ทำงาน สถานศึกษา
สถานที่ในพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้ผู้คนเว้นระยะห่างทางสังคม ลดการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมภายนอก และปรับตัวมาใช้
ชีวิตอยู่ในบ้านมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในหลายมิติ
โดยเฉพาะในเรื่องของสภาพทางจิตใจ เนื่องจากในบางครอบครัวไม่ได้ให้การยอมรับในตัวตนของพวกเขา การอยู่อาศัย
ภายในบ้านจึงเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัยทั้งทางด้านของความรู้สึก และในบางรายอาจรู้สึกไม่ปลอดภัย
ทางด้านร่างกายด้วย การอยู่ในบ้านที่ไม่ได้รับการยอมรับก็จะทำให้บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศไม่ได้รับการ
สนับสนุน ถูกเลือกปฏิบัติ ต้องปิดบังตัวตนของคนเองไม่สามารถแสดงถึงความต้องการได้ ก่อให้เกิดความรู้สึก
เครียด เกิดภาวะซึมเศร้า และอาจนำไปสู่การทำร้ายตัวเองหรือการฆ่าตัวตาย ข้านจึงกลายเป็นพื้นที่ที่พวกเขาไม่
สามารถแสดงความเป็นตัวของตัวเองและไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลผลสำรวจเรื่องการเลือก
ปฏิบัติและทัศนคติทางสังคมต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
(UNDP) ท่ี พบว่า ผู้มีความหลากหลายทางเพศเคยถูกเลือกปฏิบัติจากครอบครัวมากที่สุด โดยถูกสอนให้ระมัดระวัง
เรื่องการแสดงออกและสั่งห้ามประพฤติตัว พูด หรือแต่งการเพื่อแสดงออกทางเพศอย่างอิสระตามความต้องการ
บุคคลภายนอกจะยอมรับตวั ตนของพวกเขาไดม้ ากกว่าบคุ คลภายในครอบครัว
ปัจจยั ท่สี ง่ ผลให้เกิดปญั หาภายในครอบครวั ในช่วงสถานการณ์ COVID - 19
จากการศกึ ษาคน้ คว้าขอ้ มูลและวเิ คราะห์สถานการณต์ า่ งๆ เกีย่ วกบั ปัจจัยทีส่ ง่ ผลให้เกดิ ปญั หาขึน้ ภายใน
ครอบครวั ท่ีทำให้ครอบครัวกลายเปน็ พื้นทีไ่ ม่ปลอดภัยในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 พบว่า
ปญั หาท่ีเกิดข้ึนมาสว่ นใหญม่ าจากปัจจยั ต่างๆ ดงั น้ี
1.) ความเครยี ด
- ความเครียดท่ีเกิดจากผลกระทบทางสภาวะทางเศรษฐกิจตกต่ำ
ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรค COVID - 19 ท่สี ่งผลกระทบตอ่ ระบบ
เศรษฐกิจทั่วโลก เนื่องจากการดำเนินสิ่งต่างๆ ต้องหยุดชะงักลงกระทันหัน มาตรการที่เกิดขึ้นส่งผลให้ต้องมีการปิด
พื้นที่ต่าง ทั้งการปิดสถานที่ทำงานและห้างร้าน ส่งผลให้ผู้คนในสังคมบางกลุ่มถูกเลิกจ้าง บางครอบครัวขาดรายได้
หรือการถูกลดค่าจ้างลง ทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายในชีวิตประจำวัน ยิ่งในครอบครัวท่ีเป็นครอบครัวเปราะบาง
เมื่อประสบปัญหาทางเศรษฐกิจตกต่ำดังกล่าว ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ ไม่มีเงินเพียงพอสำหรับครอบครัวก็อาจจะ
กอ่ ใหเ้ กดิ ความเครียดที่เพม่ิ สงู ขน้ึ ไดม้ ากกว่า และอาจนำมาสู่ปัญหาภายในครอบครวั ไดใ้ นทส่ี ุด
- ความเครยี ดจากการปรับเปลย่ี นวิถีชวี ติ ประจำวนั
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 การปรับตัวกลับมาใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้าน การที่ไม่ได้
มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมภายนอก ถูกจำกัดกิจวัตรประจำวัน และความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดภายใน
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 170
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
สังคม ทำให้หลายคนเกิดความเครียดได้ง่ายขึ้น ความเครียดไม่ได้เกิดเฉพาะกับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เด็กหลายคนก็อาจจะ
มีความเครียดเกิดขึ้นได้เช่นกัน เนื่องจากถูกจำกัดการเล่น และการเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งความเครียดที่เกิดขึ้นภายใน
ตัวบุคคลไม่ได้ส่งผลแค่กับตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวอกี
ด้วย เช่น ในครอบครัวที่มีเด็กเล็กภายในบ้านอาจจะก่อให้เกิความเครียดขึ้นกับผู้ปกครองได้ง่ายว่า เพราะเด็กมักจะมี
พฤติกรรมที่ไม่หยุดนิ่งและอาจจะงอแง ซุกชนจนทำให้ผู้ปกครองหลายคนเกิดความหงุดหงิดขึ้นได้ และถ้าหาก
ผู้ปกครองไม่มีความเข้าใจในพฤติกรรมช่วงวัยของเด็ก ก็อาจจะส่งผลให้เกิดการใช้ลงมือความรุนแรงกับเด็กได้ เป็น
ตน้
2.) การด่มื สุราและการใช้สารเสพติด
เนื่องจากการเกิดการสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อบุคคลในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจที่ตกต่ำ นำมาสู่ความเครียดที่เพิ่มมากขึ้น และทำให้บุคคลหันมาดื่ม สุรา หรือใช้สารเสพ
ติดเพิ่มมากขึ้น การดื่มสุราและการใช้สารเสพติดจึงกลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดการกระทำความรุนแรงใน
ครอบครัวเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลจากมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลมีการระบุว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 พบว่า
ในช่วงของการแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการกระทำความ
รุนแรงในครอบครัวและทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และมีความเชื่อมโยงกับปัจจัยความเครียด การด่ืมสุราและการใช้
สารเสพติดนั้นส่งผลกระทบต่อความคิดและพฤติกรรมโดยทำให้ความสามารถในการควบคุมตนเอง หรือการยับยั้งชั่ง
ใจมีประสิทธิภาพที่น้อยลง ซึ่งส่งผลให้บุคคลมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและอาจเป็นตัวเสริมการเกิดความรุนแรงภายใน
ครอบครัวได้
3.) ความแตกตา่ งทางช่วงวัยของสมาชกิ ในครอบครัว
บางครอบครัวอาจประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีความแตกต่างทางช่วยวัย เช่น ครอบครัวที่เป็นครอบครัวขยาย
อาจจะมีสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่วัยเด็กเล็ก วันรุ่น วัยทำงาน และวัยผู้สูงอายุ ซึ่งความแตกต่างทางช่วงวัยน้ีก็
สามารถเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว เพราะในแต่ละช่วงวัย
อาจจะมีประสบการณ์แตกต่างกนั ทำให้ในบางครง้ั ทม่ี กี ารส่ือสารอาจสร้างความไม่เขา้ ใจกันไดแ้ ละอีกอยา่ งหนึ่งคอื แต่
ละช่วงวัยมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้มีความเครียด ความกดดันและการเผชิญกับปัญหาท่ี
แตกต่างกัน ซึ่งหากคนในช่วงวัยอ่ืนไม่เข้าใจในส่วนนี้ก็จะทำให้เกิดปัญหาการกระทบกระทั่งได้ง่ายขึ้น เช่น ใน
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ที่เกิดขึ้น เด็กหลายคนต้องปรับวิถีการเรียนมาเป็นรูปแบบออนไลน์
ผู้ปกครองบางคนอาจจะไม่เข้า และคิดว่าลูกใช้เวลาอยู่กับหน้าจอทั้งวันกับเรื่องที่ไร้สาระหรือไม่ ทำไมถึงไม่ยอม
ช่วยงานที่บา้ น ซึ่งก็อาจจะทำให้กลายเปน็ ความขดั แย้งและเกิดการปะทะกันทางวาจาและอารมณไ์ ด้ เปน็ ตน้
4.) การส่อื สารความรสู้ กึ และการมีสมั พนั ธภาพระหวา่ งสมาชิกในครอบครวั ทนี่ อ้ ยลง
การสื่อสารถือเป็นส่ิงที่มีความสำคัญสำหรับครอบครัว เป็นสิ่งที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับครอบครัวเพราะ
การสื่อสารจะช่วยให้สมาชิกในครอบครัวเกิดความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของความรู้สึก เข้าใจความคิด และ
อารมณ์ที่เกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันจะพบว่า การสื่อสารระหว่างสมาชิกในครอบครัวมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป ในหลาย
ครอบครัวมีการสื่อสารอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการต่อกันและกันในทิศทางที่น้อยลง ซึ่งในสถานการณ์การ
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 171
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
แพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ที่สมาชิกได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นกลับมีทิศทางการสื่อสารระหว่างกันน้อยลง
เพราะคดิ ว่าคนในครอบครวั จะเข้าใจถงึ ความต้องการของกันและกนั ไดเ้ อง
นอกจากนี้บางครอบครัวไม่เปิดโอกาสรับฟัง สมาชิกไม่กล้าพูดถึงความรู้สึกต่อกันและกัน เพราะมีความเกรงกลัวว่า
เมื่อสื่อสารออกไปจะไม่มีใครรับฟังจึงเลือกที่จะไม่ส่ือสารออกมา แต่ในความเป็นจริงหากครอบครัวไม่มีการสื่อสารที่มี
ประสิทธิภาพกจ็ ะสง่ ผลใหเ้ กิดปญั หาความขัดแยง้ และความไมเ่ ข้าใจกนั ไดม้ ากข้ึน
5). ภมู ิหลงั ของผ้ปู กครองทส่ี ง่ ผลต่อความคิดและความเชื่อในการเลย้ี งดเู ดก็
เป็นปัจจัยเพิ่มเติมจากความคิดเห็นของผู้ร่วมสัมมนาท่านหนึ่ง ที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น
เกี่ยวกับปัจจัยท่ีส่งผลให้เกิดปัญหาในครอบครัวไว้ว่า" ในครอบครัวที่ผู้ปกครองเติบโตมในสภาพการเลี้ยงดูที่ใช้ความ
รุนแรง หรือมีการตีและการลงโทษ เขาก็จะมองว่าการกระทำแบบที่เขาเคยเจอเป็นเรื่องที่ปกติ ซึ่งหากในสถานการณ์
โควิด กอ็ าจจะยงิ่ กระตนุ้ ใหม้ กี ารใชค้ วามรนุ แรงและกระทำช้ำกับบตุ รได้ปกติ "
ซึ่งพ่อแม่และผู้ปกครองล้วนเป็นผู้เคยผ่านประสบการณ์ต่างๆ ในช่วงวัยเด็กมาก่อน ผู้ปกครองบาง
ครอบครัวที่เคยมีประสบการณ์ได้รับความรุนแรงผ่านการเลี้ยงดูมา ก็อาจจะมีพัฒนาบุคลิกภาพมาเป็นคนที่ใช้ความ
รุนแรงกับผู้อื่นได้ในอนาคต หรือบางครอบครัวมองว่าการเล้ียงดูเด็กจำเป็นจะต้องมีการลงโทษ การลงโทษเด็กไม่ใช่
เรื่องที่ผิดอะไร ส่งผลให้เกิดการกระทำช้ำต่อเด็กจนเกิดผลกระทบทั้งร่างกายและจิตใจแก่เด็กซึ่งในสถานการณ์การ
แพรร่ ะบาดของโรค COVID - 19 ท่ีมีความเครียด ความวติ กกงั วลเขา้ มาเปน็ ปจั จัยเสรมิ ก็อาจจะกลายเปน็ สถานการณ์
กระตุ้นให้เกิดการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน นอกจากนี้ในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัด เด็กที่ถูกเลี้ยงดูใน
ลกั ษณะทไี่ มเ่ หมาะสมกไ็ มส่ ามารถขอความชว่ ยเหลือจากบุคคลภายนอกได้ด้วยเช่นกนั
ผลกระทบทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั เดก็ และเยาวชนเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางครอบครัวทไี่ มป่ ลอดภัย
จากสถานการณ์ทเี่ กิดขึ้นภายในครอบครัวทัง้ ปญั หาความสัมพันธแ์ ละปัญหาความรุนแรงในช่วงการแพร่
ระบาดของโรค COVID - 19 มผี ลกระทบตอ่ เดก็ และเยาวชนในดา้ นต่างๆ ดงั นี้
1.) ผลกระทบทางดา้ นร่างกาย
- ในกรณีที่เป็นการกระทำความรุนแรงทางร่างกาย เด็กเกิดรับร่องรอยของการบาดเจ็บตามอวัยวะต่างๆ
ของร่างกายทันทีที่ถูกกระทำความรุนแรง เช่น เกิดรอยฟกช้ำบริเวณร่างกาย โดยอาจมองเห็นจากภายนอก มี
บาดแผลฉีกขาดตามร่างกาย หรืออาจมีอาการบาดเจ็บรุนแรง เช่น กระดูกหัก เลือดออกภายในอวัยวะในร่างกาย หรือ
เสียชีวิต ซึ่งในบางรายอาจสามารถรักษาอาการบาดเจ็บให้หายเป็นปกติได้ แต่ในบางรายก็ไม่สามารรักษาได้ ทำให้เด็ก
ผู้ถูกกระทำความรุนแรงเกิดความพิการ ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในอนาคต และส่งผลต่อพัฒนาการทางด้าน
ร่างกายของเดก็
- ในกรณีของการได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม มีการเลี้ยงดูในลักษณะที่ปล่อยปละละเลยผู้ปกครองไม่ได้ให้
ความสนใจในการจัดหาสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาของเด็ก ก็จะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพของเด็ก
ได้ เช่น การเกิดอันตรายแก่เด็กเนื่องจากผู้ปกครองไม่ได้ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด การขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
หรือไม่ได้รับการสนับสนุนทางปัจจัยสี่อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า หรือที่อยู่อาศัย และการเกิดสภาวะของ
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 172
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
การเจ็บป่วยโดยไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เป็นต้น ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นในกรณีนี้บางครั้งอาจจะไม่สามารถ
สังเกตเหน็ ได้ชดั
2.) ผลกระทบทางดา้ นจติ ใจ
-เมื่อเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ถึงแม้ว่าเด็กจะได้รับความรุนแรงโดยตรงหรือไม่ก็ตาม ก็จะส่งผล
กับตัวเด็กและเยาวชนในการที่จะเกิดบาดแผลทางจิตใจขึ้น ซึ่งอาจจะแสดงออกมาในรูปแบบของความวิตกกังวล เกิด
ความหวาดกลัวผู้คนรอบข้างแม้กระทั่งคนในครอบครัว และอาจทำให้เด็กเกิดภาวะของอาการซึมเศร้า หรือเกิด
ความรู้สกึ ผดิ เพราะคิดวา่ สถานการณค์ วามขดั แยง้ ระหว่างคนในครอบครัวทเี่ กดิ ขน้ึ มีสาเหตมุ าจากตนเอง
- ในกรณีที่ครอบครัวมีการทำร้ายทางอารมณ์และจิตใจต่อเด็ก ก็จะส่งผลให้เด็กเกิดความ รู้สึกแปลกแยก
จากครอบครัว มีความรู้สึกต่อตนเองในทางลบ โดยอาจจะเป็นความรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ขาดความเชื่อมั่นใน
ตนเอง ในบางรายอาจมกี ารเรยี กร้องความสนใจหรือแสดงความก้าวรา้ ว เป็นต้น
- เกดิ ความรูส้ กึ เกลียดครอบครัว เปน็ ความรู้สกึ เกลยี ดทมี่ ีต่อพอ่ แม่ โดยสามารถเกดิ ขึน้ ไดห้ ากเดก็ ต้องอยู่
อาศัยภายในครอบครัวทเ่ี ลีย้ งดดู ว้ ยความรุนแรง มีความเข้มงวดท่ีมากจนเกนิ ไป จนทำใหเ้ กิดเปน็ บาดแผลทางจิตใจ
ขึ้น
3.) ผลกระทบทางดา้ นสังคม
- เด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว หรือต้องอยู่ภายในสภาพแวดล้อมที่ครอบครัวมีการใช้ความ
รุนแรง อาจส่งผลต่อการพัฒนาพฤติกรรมและบุคลิกภาพของเด็กได้ ทั้งในเรื่องของการพัฒนาทักษะทางด้านการเข้า
สังคม เด็กมีการแยกตัวออกจากสังคม ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับคนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวได้ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลให้
เด็กมีพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นได้ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับความคิดเห็นท่ีได้รับจากผู้ร่วมสัมมนาท่าน
หนึ่งทไ่ี ด้กลา่ วถงึ ผลกระทบท่ีมตี ่อเดก็ ทางดา้ นสงั คมไวว้ ่า
" ครอบครวั ใช้คำพดู รนุ แรงระหวา่ งกนั เสมอ เม่อื เกิดอะไรข้ึนจะพดู กับพ่อแมด่ ว้ ยคำพูดท่ีรนุ แรง
ดว้ ยความหยาบคายเหมอื นท่พี อ่ กับแม่ทำ "
ซึ่งการที่เด็กมีการใช้คำพูดที่รุนแรงกับคนในครอบครัวเหมือนกับที่ผู้ปกครองแสดงออกระหว่างกัน มีความ
สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) โดยมีความเชื่อว่า พฤติกรรมของบุคคลจะ
เกิดข้ึ นจากการสังเกตและเลียนแบบสิ่งแวดล้อม โดยการท่ีสภาพแวดล้อมภายในครอบครัวมีแต่ความรุนแรงเกิดขึ้น
ก็อาจะทำให้เด็กเรียนรู้และซึมซับการกระทำเหล่านั้นมาใช้กับบุคคลอ่ืนๆ ได้ในอนาคตได้ โดยที่เด็กอาจจะรู้สึกว่าการใช้
ความรุนแรงเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ หรือการใช้คำพูดหยาบคายเป็นเรื่องที่ปกติ เขาก็เลือกใช้วิธีการเหล่านี้ใน
อนาคต ทำให้เกิดเป็นวงจรการกระทำความรุนแรงไปเรื่อยๆ ดังนั้น การแสดงออกระหว่างสมาชิกในครอบครัว
สภาพแวดล้อมในการเลีย้ งดู จงึ เป็นส่ิงท่ีมคี วามสำคัญต่อการพฒั นาพฤติกรรมและบุคลิกภาพของเด็กเป็นอย่างมาก
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 173
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
อุปสรรคในการแกไ้ ขปัญหาทเ่ี กดิ ขึน้ ในครอบครัวในช่วงสถานการณ์ COVID - 19
จากการศกึ ษาขอ้ มูลเก่ียวกบั อปุ สรรคของการแกไ้ ขปญั หาท่เี กดิ ขึน้ ในครอบครัวที่สง่ ผลให้ครอบครวั
กลายเปน็ พื้นที่ไมป่ ลอดภัยสำหรับใครหลายคน ในช่วงสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรค COVID - 19 ท้ังในดา้ น
ของกระบวนการทำงานของหนว่ ยงานท่ีเก่ียวขอ้ ง หรอื กระบวนการเข้ารับการชว่ ยเหลอื ของผปู้ ระสบปัญหา จะ
สามารถสรุปออกมาได้ดังนี้
1.) ผ้คู นในสังคมสว่ นใหญย่ งั มคี วามคดิ และความเชื่อเกย่ี วกับปญั หาทีเ่ กิดขึน้ ในครอบครวั ในลกั ษณะทีว่ า่
" ความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวเป็นเรื่องของครอบครัว หรือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัวท่ี
คนภายนอกไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว " ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยถูกสอนมาด้วยแนวคิดเช่นนี้ ซึ่งความคิดแบบนี้ทำให้
คนที่อยู่อาศัยบ้านใกล้เรือนเคียงหลายคน เลือกที่จะเมินเฉยต่อความรุนแรง หรืออาจจะให้ความสนใจกับปัญหาท่ี
เกิดขึ้นในครอบครัวอื่น แต่ก็ไม่กล้าย่ืนมือเข้าไปช่วยเพราะคิดว่าเป็นเรื่องของสามีภรรยาหรือเป็นเรื่องระหว่างพ่อแม่ลูก
มันเป็นสิ่งที่ครอบครัวจัดการได้เอง หรือมองว่าหากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือก็จะเกิดปัญหาต่อตนเองตามมาในภายหลัง
เนื่องจากผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ยังไม่รู้ในกฎหมายที่ได้มีการกำหนดไว้ ให้สามารถกระทำการแจ้งให้กับหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องให้เข้ามาดำเนินการช่วยเหลือได้ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแจ้งผ่านโทรศัพท์ และในบางกรณีผู้ถูกกระทำ
เลือกที่จะอดทนต่อความรุนแรงในเรื่องต่างๆ โดยสาเหตุอาจมาจากความคิดของผู้ถูกกระทำที่คิดว่าปัญหาท่ีเกิดข้ึน
ภายในบ้านเปน็ เรอื่ งทีน่ า่ อบั อาย ไมค่ วรนำไปบอกหรอื ไปประกาศใหค้ นภายนอกรบั รู้
2.) ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ทำให้เกิดข้อจำกัดในการเข้าถึงความช่วยเหลือของผู้
ที่เกิดปัญหาไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์หรือปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งผู้ถูกกระทำความรุนแรง
ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ช่องการการติดต่อ ช่องทางการร้องเรียน หรือช่องการให้คำปรึกษา นอกจากนี้มาตรการของรัฐท่ี
บังคับให้มีการปิดสถานที่ต่างๆ ทำให้ผู้คนส่วนต้องกักตัวอยู่เพียงแค่ในบ้าน ความใกล้ชิดระหว่างญาติพี่น้องน้อยลง
เมื่อเกิดความรุนแรงหรือปัญหาในครอบครัวขึ้นก็จะทำให้ผู้ที่ประสบปัญหาไม่สามารถหาโอกาสติดต่อเพื่อขอความ
ช่วยเหลอื จากบคุ คลภายนอกไดห้ รอื ไม่มใี ครรบั รู้ไดว้ ่าพนื้ ทภี่ ายในบ้านกลายเปน็ พ้นื ท่ีท่ีไม่ปลอดภัย
3.) การให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานมีความล่าช้า เนื่องจากกระบวนการในส่วนของงานราชการในการ
ร้องเรียนหรือแจ้งเหตุจะมีลำดับข้ันตอนหลายขั้นตอน นอกจากนี้ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องบางส่วนอาจจะยังมีแนว
ปฏิบัติที่ไม่ชัดเจน ขาดบุคคลากรที่เข้าใจถึงปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ซึ่งอาจทำให้ผู้ประสบปัญหา
มีความคิดว่ากระบวนการยุตธิ รรมอาจจะไมส่ ามารถชว่ ยเหลอื ตนเองจากสถานการณ์ทีเ่ กดิ ได้
4.) ช่องว่างของกฎหมายที่เกี่ยวของกับการทำกระทำความรุนแรงในครอบครัว โดยในทางกฎหมายการ
กระทำที่เกิดขึ้นในครอบครัว ยังสามารถประนีประนอมยอมความกันได้ หลายกรณีจึงมีการไกล่เกลี่ยกันก่อน และก็ให้
ผู้กระทำความรุนแรงกลับไปอยู่ในครอบครัวได้ดังเดิม เพราะเป้าหมายหลักของกฎหมายเหล่ายังเน้นในเรื่องของสร้าง
ความเข้มแข็งของการเป็นสถาบันครอบครัว การรักษาความเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ โดยอาจจะไม่ได้คำนึง
ความปลอดภัยทางด้านความรู้สึก ความคิด และจิตใจของผู้ถูกกระทำ อาจจะเป็นการทำให้ปัญหาความรุนแรงยังคง
เกิดขึ้นซ้ำๆ ถึงแม้ว่าจะมีการให้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแต่ก็อาจจะเป็นการปรับเปลี่ยนได้เพียงชั่วคราว และอาจ
ก่อใหเ้ กิดการกระทำซำ้ อกี ได้
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 174
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
การวเิ คราะห์บทบาทการทำงานของนกั สังคมสงเคราะห์กบั เดก็ เยาวชนและครอบครัว
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ท่ีเกิดขึ้นจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ปัญหาความสัมพันธ์
และความรุนแรงภายในครอบครัวที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 เป็นสถานการณ์ที่มีความ
ละเอียดอ่อน และมีปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวข้อง การทำงานในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัดทางด้านมาตรการเว้นระยะห่าง
ทางสังคม จึงค่อนข้างมีความท้าทายเป็นอย่างมาก ดังนั้น บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ที่จะทำงานร่วมกับเด็ก
เยาวชนและครอบครัวที่มีปัญหาทั้งในเรื่องของความสัมพันธ์ หรือปัญหาความรุนแรงภายใต้สถานการณ์ที่มีข้อจำกัด
ตามมาตรการของรฐั อย่างในช่วงสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรค COVID - 19 กจ็ ะสามารถทำไดใ้ นลักษณะดังนี้
1.) นักสังคมสงเคราะห์ตัวกลางที่จะช่วยเหลือ และทำงานกับครอบครัวที่ประสบปัญหาในครอบครัวในช่วง
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์จะต้องสร้างความเข้าใจให้กับตนเองก่อนว่า
ในแต่ละครอบครัวมีสาเหตุของปัญหาที่แตกต่างกัน การทำงานและการจัดบริการต่างๆ ก็จะต้องมีความสอดคล้องกับ
ผู้ใช้บริการหรือแต่ละครอบครัว การช่วยเหลือครอบครัวนักสังคมสงเคราะห์ควรจะคำนึงถึงการยึดผู้ใช้บริการเป็น
ศูนย์กลาง (Cient Centered) ในการทำงาน และควรจะละทิ้งกรอบความคิดความเชื่อในสังคมที่เคยได้รับมา เช่น
กรอบแนวคิดการรักษาเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ให้ตรงตามที่สังคมคาดหวัง เพื่อไม่ให้เกิดอคติในการกำหนดวิธีการ
แก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้บริการ นอกจากนี้นักสังคมสงเคราะห์ควรจะมีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดรวมไปถึงมี
การบันทึกประวัติต่างๆ เอาไว้ใช้เป็นฐานข้อมูลในอนาคตเพื่อนำไปสู่การออกแบบพัฒนาระบบการช่วยเหลือ จะต้องมี
การพัฒนาทักษะความรู้และทักษะอย่างรอบด้าน ทั้งในเรื่องของกฎหมายที่เกี่ยวของกับเด็ก กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ
ครอบครัว หน่วยงานท่จี ะทำการประสานสง่ ต่อหรือการพฒั นาทกั ษะทางด้านเทคโนโลยี เพ่ือใหส้ ามารถทำงานไดภ้ ายใต้
สถานการณท์ ี่มขี อ้ จำกดั อย่างการแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ได้มปี ระสทิ ธิภาพมากย่งิ ขนึ้
2.) นักสังคมสงเคราะห์จะต้องผู้ช่วยแสวงหาทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ เพื่อนำมาสนับสนุนการทำงาน
ช่วยเหลือครอบครัว โดยจะต้องแสวงหาและดึงทรัพยากรที่อยู่รอบตัวของผู้ใช้บริการหรือครอบครัวมามีส่วนช่วยเหลือ
ในการปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยควรจะมีการทำงานในลักษณะที่เป็นเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งใน
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 อาจสร้างข้อจำกัดสำหรับการทำงานสังคมสงเคราะห์ในรูปแบบเดิม
มีผลทำให้นักสังคมสงเคราะห์อาจจะไม่สามารถลงพื้นที่ติดตามสภาวะของครอบครัวได้เหมือนก่อนการแพร่ ระบาด
โดยนักสังคมสงเคราะห์อาจจะมีการทำงานในลักษณะท่ีใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community - Base) ท่ีให้ชุมชนเข้ามามี
ส่วนร่วมในการสอดส่อง คอยเป็นหูเป็นตา และดูแลครอบครัวทุกครอบครัวที่อาศัยภายในชุมชนของตนเอง ท้ัง
ครอบครัวที่ไม่มีความเสี่ยงและครอบครัวที่มีความเสี่ยงพัฒนาปัญหาไปสู่ความรุนแรงได้ในอนาคตการดึงชุมชนเข้ามา
มีส่วนช่วยเหลือในการทำงานจะทำให้สามารถประเมินปัญหาได้ตั้งแต่ต้น และหากเกิดปัญหาขึ้นจริงก็จะทำให้สามารถ
เข้าช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อระหว่างผู้ปฏิบัติงานและ
ผู้ชบ้ ริการไนระหว่างการลงพืน้ ท่ีไดม้ ากขึน้
3.) นักสังคมสงเคราะห์ควรเป็นผู้ให้ความรู้สร้างความเข้าใจให้กับครอบครัวและชุมชนเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวไม่ได้มีเพียงแค่ความรุนแรงที่เป็นเรื่องของการำร้าย
ร่างกาย แต่ยังมีในมิติอื่นๆอีก เช่น การทำร้ายด้วยวาจาที่รุนแรง การลงโทษเด็กหรือปัญหาความสัมพันธ์เล็กๆน้อยๆ
นกั สังคมสงเคราะห์จึงจะต้องใหค้ วามรสู้ รา้ งความเข้าใจในประเด็นท่เี ก่ียวขอ้ งกบั ครอบครัว ดงั นี้
-สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับครอบครัวและชุมชน ปรับเปลี่ยนความคิดและทัศนคติให้มองว่าความรุนแรง
ไม่ใช่เรื่องแค่ภายในครอบครัว ให้ตระหนักว่าทุกคนสามารถพูดคุยกันถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างกันและกันได้ ให้
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 175
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ความรู้เกี่ยวกับการสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น และสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้เมื่อพอเจอกับปัญหาความ
รุนแรงในครอบครัว นอกจากนี้ยังควรจะให้ความรู้เกี่ยวกับสาระสำคัญของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว ช่อง
ทางการร้องเรียนและแจ้งเหตุ เช่น เว็บไซต์การให้คำปรึกษา เว็บไซต์การแจ้งแหตุ เบอร์โทรศัพท์ของหน่วยงานที่
เก่ียวขอ้ งให้แก่ครอบครัวและชมุ ชน
- ให้ความรู้ครอบครัวเกี่ยวกับเรื่องพัฒนาการของเด็กทั้งในด้านพฤติกรรมและด้านอารมณ์ เพื่อให้
ผู้ปกครองเข้าใจในสิ่งที่เด็กแสดงออกมา และให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการรับมือเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้
ผู้ปกครองสามารถรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องมีการใช้ความรุนแรงผ่านการลงโทษหรือใช้วาจาที่รุนแรง พร้อม
ทั้งสนับสนุนให้สมาชิกในครอบครัวใช้การสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ เพ่ือให้ครอบครัวมีความเข้มแข็ง ลดปัญหาความ
ขัดแยง้ ในครอบครัว
บทสรุปและขอ้ เสนอแนะเพ่ิมเตมิ
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ที่เกิดขึ้นในทั่วทุกมุมโลก ได้ส่งผลกระทบต่อการ
ดำเนินชีวิตของผู้คนภายในสังคม มาตรการที่เกิดขึ้นจากทางภาครัฐท่ี เป็นมาตรการการล็อกดาวน์(Lockdown) ได้
เข้ามาจำกัดวิถีชีวิตให้ผู้คนต้องปรับตัวไปใช้เวลาภายในบ้านมากยิ่งขึ้น ครอบครัวจึงกลายมาเป็นพื้นที่สำคัญมากที่สุด
สำหรับผู้คนในสังคม การที่ครอบครัวมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยก็จะส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของสมาชิกใน
ครอบครัว แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ว่าครอบครัวทุกครอบครัวจะมีความเข้มแข็งในการที่จะผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต
เหล่านี้ไปได้ จึงทำให้เกิดเป็นสถานการณ์ปัญหาข้ึนภายในครอบครัวทั้งในเรื่องของปัญหาความรุนแรงทางด้าน
ร่างกายและทางเพศ การทำร้ายกันทางอารมณ์และจิตใจ การลุกล้ำความเป็นส่วนตัว และการไม่ยอมรับในการ
แสดงออกทางตัวตนของคนในครอบครัว โดยสถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยมาประกอบกัน จึงทำให้
ปัญหาภายในครอบครัวมีความซับซ้อนมากขึ้น และในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ยังส่งผลให้
เกิดอุปสรรคต่างๆ ต่อกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ และการเข้าถึงความช่วยเหลือ ดังนั้น นอกจากการปฏิบัติงาน
ทางสังคมสงเคราะห์ที่ได้กล่าวไปข้างต้น หน่วยงานทางภาครัฐในส่วนอื่นๆ ก็เป็นอีกหน่ึงสิ่งที่สำคัญที่จะสามารถเข้ามา
มีส่วนช่วยในการสนับสนุน และการสร้างสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความรุนแรงให้กับผู้คนในสังคมมากขึ้น ผ่านการ
ประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้ผู้คนเกิดความตระ หนัก และเล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวซึ่งควร
สนับสนุนทั้งในเรื่องความรู้ทางด้านของกฎหมายให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้บางเมื่อต้องเผชิญกับปัญหา
การสร้างทัศนคติใหม่ให้กับคนในสังคม ปรับความคิดให้พวกเขามองว่าปัญหาความสัมพันธ์และความรุนแรงที่เกิดข้ึน
ในครอบครัวไม่ใช่เรื่องที่ปกติ เป็นสิ่งที่จะต้องช่วยกันสอดส่องดูแลและให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม
ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงแค่ปัญหาของความรุนแรงเพียงอย่างเดียว จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
COVID - 19 ทำให้เห็นชัดว่าหลายครอบครัวยังประสบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทางอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งก่อให้เกิด
ปัญหาความขัดแย้งได้เช่นกัน ดังนั้น ก็ควรมีการสนับสนุนช่องทางการให้ความช่วยเหลือที่ประชาชนสามารถทั่วไป
เข้าถึงได้ เพื่อเป็นการให้คำแนะนำสำหรับวิธีการปรับตัวการปฏิบัติตัวเพื่อการสร้างความสัมพันธ์ที่เหมาะสมที่จะทำให้
ครอบครัวสามารถปรับตัวเข้าหากัน เข้าใจกันและกันมากยิ่งขึ้นในสถานการณ์เช่นน้ี เพื่อที่จะสร้างครอบครัวที่เป็นพื้นที่
ปลอดภัยสำหรบั สมาชกิ ทกุ คนใหไ้ ดม้ ากทีส่ ดุ
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 176
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
ภาษาไทย เอกสารอ้างอิง
กลุม่ พฒั นาวชิ าการโรคตดิ ต่อ. (2564). สถานการณ์รคตดิ เชอ;ื ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID - 19) มาตรการ
สาธารณสขุ และปัญหาอุปสรรคการป้องกนั ควบคมุ โรคในผเู้ ดนิ ทาง. สบื คน้ จาก
https://ddc.moph.go.th/uploads/files/2017420210820025238.pdf
กรมกจิ การสตรแี ละสถาบนั ครอบครวั . (2562). นิยามและประเภทครอบครวั . สบื คน้ จาก
https://infocenter.nationalhealth.or.th/sites/default/files/นิยามและประเภทครอบครวั .pdf
ชลลดา โภคะอุดมทรพั ย.์ (2564). ดว้ ยรกั ความรนุ แรง และครอบครวั สลาย: ปิดตาธปิ ไตยกบั ความรนุ แรงใน
ครอบครวั . สบื คน้ จาก https://ww.the101.world/domestic-violence/
นวลฉวี ประเสรฐิ สขุ . (2558). สอQื สารอยา่ งสรา้ งสรรคส์ รา้ งสขุ ในครอบครวั . วารสารมนุษยศ์ าสตร์
สงั คมศาสตร์ และศลิ ปะ, 8(2), 737 - 747. สบื คน้ จาก https://he02.tci-
thaijo.org/index.phpNeridian-E-Journal/article/download/38603/31946/
ฏญิ ญ ทองด.ี ครอบครวั และสถาบนั ครอบครวั . สบื คน้ เมอQื วนั ทQี 25 พฤศจกิ ายน 2564, จาก
http://www.human.cmu.ac.th/home/hc/ebook/006103/lesson1/01.htm
ศาลเยาวชนและครอบครวั จงั หวดั สโุ ขทยั . ขอ้ เปรยี บเทยี บระหวา่ ง พ.ร...คมุ้ ครองผถู้ กู กระทาํ ความรนุ แรงใน
ครอบครวั พ.ศ.2550 และ พ. ร.บ.สง่ เสรมิ การพฒั นาและคมุ้ ครองสถาบนั ครอบครวั พ.ศ.2562.
สบื คน้ จาก https://sktjc.coj.go.th/th/content/category/detaiV/id/1/iid/150299
สภุ ตั รา สภุ าพ. (2525). การศกึ ษาเกยQี วกบั "ครอบครวั ". วารสารสงั คมศาสตร,์ 19(1), 65 - 78. สบื คน้ จาก
http://www.library.polsci.chula.ac.th/d/c19d1c613e22b00e97c5a943cfea4a78
สาํ นกั ขา่ วไทย. (2564). สถติ คิ วามรนุ แรงในครอบครวั ชว่ งโควดิ พงุ่ สงู เฉลยQี 200 เรอQื ง/ดอื น สบื คน้ จาก
https://tna.mcot.net/social-808024
สาํ นกั งานคณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชนแหง่ ชาต.ิ (2563). ปัญหาความรนุ แรงครอบครวั ภยั เงยี บในวกิ ฤตโิ รคโค
วดิ 19. มมุ มองสทิ ธ,ิ X 19(4), 1 - 5 สบื คน้ จาก
https://www.nhrc.or.th/getattachment/774d6a06-4348-414b-ba9c-f03b984aa4e2/.aspx
Sherothailand. (8 ตุลาคม 2564). Emotional Abuse: การทาํ รา้ ยทางจติ ใจทไQี มม่ ใี ครควรเผชญิ
[ขอ้ ความจากเวบ็ บลอ็ ก). สบื คน้ จาก https://www.sherothailand.org/post/emotional-abuse-
การทาํ รา้ ยทางจติ ใจทไQี มม่ ใี ครควรเผชญิ
UNDP (2019). Tolerance but not Inclusion: A national survey on experiences of discrimination
and social attitudes towards LGBT people in Thailand. Bangkok: UNDP
ภาษาต่างประเทศ
Scottie Andrew. (2020). Domestic violence victims, stuck at home, are at risk during
coronavirus pandemic. Retrieved from
https://edition.cnn.com/2020/03/27/health/domestic-violence-coronavirus-wellness-
trnd/index.html
Hannah Parker. (2021). 'An isolated world'- LGBTQ youth battle mental health issues
during pandemic. Retrieved from https://wtop.com/localV/2021/06/an-isolated-world-
lgbtq-youth-battle-mental-health-issues-during-pandemic/
Jacob Morton. (2020). What is a Safe Space? Retrieved from
https://diversity.ncsu.edu/news/2020/02/07/what-is-a-safe-space/
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 177
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
สมั มนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั (CF 369)
ภาคการศกึ ษา 1/2564 ศนู ย์ลำปาง
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 178
การกลั่นเเกลง้ ในสถานศึกษา (School bullying)คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
สริ ิชัย วิมกุ ตะลพ 6105615105
อเดล บาราเฮง 6105700162
จิณหน์ ิภา อรัญสุดประเสริฐ 6105700394
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 179
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
คำนำ
รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ดค. 369 สัมนาการพัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว
โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสาเหตุและผลกระทบของการกลั่นแกล้งในสถานศึกษา แนวทางการรับมือของการกลั่น
แกล้งในสถานศึกษา วิธีการก้ไขปัญหาของการกลั่นแกล้งในสถานศึกษา ซึ่งรายงานฉบับน้ี มีเนื้อหาประกอบไปด้วย
ที่มาและความสำคัญวัตถุประสงค์ ผลที่คาดว่าจะได้รับ ขอบเขตการศึกษา แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง องค์ประกอบ
ของการกลนั่ แกล้ง กรณีศกึ ษาและวธิ กี ารแก้ไขปญั หา และสรุปผลการศึกษา
สุดท้ายนี้คณะผู้จัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์เรื่องการกล่ันแกล้งในสถานศึกษาขอกล่าวขอบคุณ ผศ.ดร.ปิ่น
หทัย หนูนวล เป็นอย่างสูงท่ีให้คำแนะนำเพื่อแก้ไข ให้ข้อเสนอแนะในการแก้ไขหัวข้อและเนื้อหารายงาน คณะผู้จัดทำ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงายฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ หากมีข้อผิดพลาดประการใดคณะผู้จัดทำต้องขออภัย
มา ณ ทนี่ ้ี
คณะผู้จดั ทำ
26 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2564
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 180
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทที่ 1
ที่มาความสำคญั
ปัญหาการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศไทยและทั่วโลกมายาวนานและเป็นปัญหา
ที่ควรได้รับการแก้ไขเป็นอย่างมาก ซึ่งปัญหาการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนนั้นมีผลกระทบในหลายด้านทั้งด้านร่างกาย
ด้านจิตใจ ด้านสติปัญญา และด้านสังคม ซึ่งอาจนนำไปสู่การสูญเสียการเป็นบุคคล กล่าวคือ บุคคลอาจมีความกลัว
ไมม่ ีความมั่นใจ ชอบใชค้ วามรนุ แรง ตลอดจนกระทบต่อการเตบิ โตเปน็ ผูใ้ หญท่ ีด่ ใี นอนาคตได้
การกลั่นแกล้ง หรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า การบูลล่ี (bullying) เป็นพฤติกรรมก้าวร้าวประเภทหนึ่ง ซึ่ง
หมายถึงการ กระทำให้บุคคลที่อ่อนแอกว่าได้รับอันตรายทางร่างกายหรือรู้สึกเจ็บปวดทางจิตใจจากการกระทำอย่าง
ซ้ำ ๆ ด้วยความตั้งใจ โดยจุดเริ่มต้นของการกลั่นแกล้งมักเกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่น เพศ เชื้อชาติ
และรูปลักษณ์ภายนอก ในปัจจุบันการกลั่นแกล้งแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่การกลั่นแกล้งทางร่างกาย การ
กลั่นแกล้งทางวาจา การกลั่นแกล้งทางสังคม และการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์(cyberbullying) ซึ่งหากการกลั่น
แกล้งนั้นเกิดขึ้นในหมู่เด็กเยาวชน จะส่งผลกระทบทางลบที่รุนแรงทั้งต่อผู้ถูกกระทำและผู้กระทำ สำหรับผู้ถูกกระทำ
การกลั่นแกล้งอาจทำให้พวกเขาขาดสมาธิในการเรียนรู้ ไม่อยากมาโรงเรียน จนส่งผลกระทบต่อผลการเรียนรู้ รวมถึง
เกิดปมด้อยภายในจิตใจที่อาจส่งผลในระยะยาวทำให้พวกเขามีปัญหาในการดำเนินชีวิตเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในขณะที่
ผู้กระทำเองก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ท่ีมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในอนาคต ซึ่งสิ่งที่น่ากังวลก็คือ ขณะน้ี
เยาวชนทว่ั โลกตา่ งกำลงั เผชญิ กบั ปัญหาการกลัน่ แกลง้ ในโรงเรียน (มูลนธิ ยิ วุ พัฒน,์ 2562)
ปัจจุบันระดับความรุนแรงของพฤติกรรมการกลั่นแกลง้ ได้ในประเทศไทยทวีคูณมากขึ้นกว่าในอดีตจากข้อมูล
กรมสุขภาพจิตซึ่งเผยแพร่เมื่อต้น 2561 ระบุว่าเด็กนักเรียนโดนกลั่นแกล้งในโรงเรียนถึง 600,000คน เมื่อคิดเป็น
อัตราส่วนแล้วเท่ากับประมาณ 40% ถือเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศญี่ปุ่น นอกจากระดับความรุนแรงท่ี
เพิ่มขึ้นแล้ววิธีการกลั่นแกล้งก็เปลี่ยนไปจากในอดีตที่เคยใช้ เช่น การล้อเลียนชื่อพ่อแม่การเรียกชื่อสมมติหรือปมด้อย
ของเพื่อน การไม่ให้เข้าร่วมกลุ่มเล่นหรือทำกิจกรรม และการตบหัวหรือการชกต่อยเบาๆ พฤติกรรมดังกล่าวเหล่าน้ี
เป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ในการกลั่นแกล้ง แต่สำหรับในปัจจุบัน สื่อ (Media)และเทคโนโลยี (Technology) มีบทบาทสำคัญ
และเก่ียวข้องกับพฤติกรรมการกลั่นแกล้งของคนในยุคปัจจุบันสำหรับในประเทศไทย พบว่า กลุ่มเยาวชนมากกว่าร้อย
ละ 50 มีพฤตกิ รรมกล่ันแกล้งผ่านโลกไซเบอร์และคุกคามผอู้ ่นื ผา่ นสอื่ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ (pisa thailand, 2563)
ดังนั้นกลุ่มคณะผู้จัดทำจึงมีความสนใจในองปัญหาการกลั่นแกล้งกันในโรงเพื่อน เพราะมองเห็นถึง
ความสำคัญของปัญหาดังกล่าวนี้ว่าส่งผลในด้านลบต่อเด็ก เยาวน และครอบครัว จึงอยากศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุของ
การกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน ผลกระทบ การรับมือ และการแก้ปัญหา รวมถึงบทบาทหน้าที่ของนักสังคมสงเคราะห์ใน
การขับเคลื่อนการแก้ไข้ปัญหาดังกล่าวน้ี เพื่อนำสิ่งที่ได้นมาคว้ามานั้นมาพัฒนาต่อยอดในการให้ความช่วยเหลือใน
รปู แบบของงานสงั คมสงเคราะหผ์ า่ นกระบวนการ วธิ กี าร ทักษะตา่ งในอนาคตต่อๆไป
วัตถุประสงค์
1.เพอื่ ศึกษาสาเหตุและผลกระทบของการกลัน่ แกลง้ ในสถานศกึ ษา
2.เพอื่ ศึกษาแนวทางการรบั มือของการกล่นั แกลง้ ในสถานศกึ ษา
3.เพอ่ื ศึกษาวธิ ีการแก้ไขปัญหาของการกล่ันแกลง้ ในสถานศกึ ษา
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 181
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
ผลทีค่ าดว่าจะไดร้ ับ
1.ไดท้ ราบสาเหตแุ ละผลกระทบของการกลน่ั แกล้งในสถานศกึ ษา
2.ได้ทราบแนวทางการรบั มือของการกลน่ั แกลง้ ในสถานศึกษา
3.ได้ทราบวธิ ีการแก้ไขปัญหาของการกลน่ั แกล้งในสถานศึกษา
ขอบเขตการศกึ ษา
ขอบเขตด้านเนื้อหา : เป็นการศึกษาแนวทางการรับมือและแก้ไขการกลั่นแกล้งในสถานศึกษาจากกรณีศึกษา
ในประเทศและต่างประเทศ
ขอบเขตดา้ นระยะเวลา : 1 กันยายน พ.ศ. 2564 ถึง 27 พฤศจกิ ายนพ.ศ. 2564
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 182
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทท่ี 2
แนวคดิ ทฤษฎที เ่ี กย่ี วข้อง
แนวคิดเกีย่ วกบั การกลน่ั แกล้ง การกล่นั แกลง้ สามารถแบง่ ออกเป็น 4 ประเภท ดงั น้ี
การกลั่นแกล้งทางร่างกาย (Physical bullying) เป็นรูปแบบการกลั่นแกล้งที่ชัดเจน ไม่ว่าจะปรากฏใน
รูปแบบ ความรุนแรงโดยตรงต่อร่างกาย (direct) อย่างเช่น การทำร้ายร่างกาย ชก ต่อย ตี ฯลฯ หรือรูปแบบที่ส่งผล
ทางอ้อม / ไมโ่ ดยตรงตอ่ ร่างกาย(indirect) อย่างเชน่ การทำลายข้าวของสว่ น ตัวของผู้อน่ื เปน็ ตน้
การกลั่นแกล้งทางวาจา (Verbal bullying) การกลั่นแกล้งทางวาจา เป็นรูป แบบการกลั่นแกล้งที่พบเห็นได้
บ่อยที่สุดในโรงเรียนเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดต่อผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งนอกจากนี้พฤติกรรมการกลั่นแกล้งทาง
วาจายังรวมไปถึงการใช้คพูดในการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นทำให้เกิดข่าวลือนินทาหรือปล่อยข้อมูลที่ไม่เป็นจริงของผู้อื่น
ไปสู่ผู้อ่ืนหรือกลุ่มนักเรียนโดยมีความต้องการที่จะทำให้ผู้ถูกกลั่นแกล้งเจ็บปวดหรือโจมตีภาพลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น
รูปร่างหนา้ ตา สถานะทางครอบครวั เช้อื ชาติ เป็นตน้
การกลั่นแกล้งทางสังคมหรืออารมณ์ (Social/ Emotional Bullying) ใช้สังคมหรือ กลุ่มมาเป็นแรงกดดัน
และกีดกันบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อออกจากกลุ่ม นอกจากจะทำให้บุคคลคนนั้นไม่มีที่ยืนในกลุ่มเพื่อน หรือสังคมและยัง
ส่งผลให้เกิดความรู้สึกเสียใจ หรือรู้สึกเจ็บปวด โดยการกลั่นแกล้งในรูปแบบน้ี สามารถทำได้ง่ายและอาจไม่ต้องใช้
ความรุนแรงใดๆแต่เพียงทำพฤติกรรมแบบไม่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยเมินเฉยไม่ให้ความร่วมมือหรือปฏิเสธการเข้ารวมกลุ่ม
หรอื ร่วมกิจกรรม ก็สามารถกอ่ ใหเ้ กิดความร้สู ึกเสียใจเจ็บปวดแกเ่ หย่อื
การแกล้งกันในโลกไซเบอร์ (Cyberbullying) คือการรังแกผู้อื่นผ่านทางโลก ออนไลน์ ผ่านข้อความต่าง ๆ ท่ี
ส่งผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ โดยผู้กระทำอาจเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนคนรู้จักในอินเตอร์เน็ต หรือ
แม้กระท่ังบุคคลท่ีไม่เคยรู้จักทางออนไลน์ ในขณะที่ผู้กลั่นแกล้ง มักจะรู้จักเหยื่อผู้ถูกกลั่นแกล้ง แต่ผู้ถูกแกล้งจะไม่รู้
ว่าผู้กลั่นแกล้งตนเป็นใคร โดยกรรังแกในโลก ออนไลน์เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น การด่าทอ, กล่าวหา, ใช้ถ้อยคำ
เสียดสี ต่อว่าผู้อื่นโดยเป็นการ แกล้งที่เจาะจงบุคคลที่เป็นเป้าหมายในการกลั่นแกล้ง และมักมีการรังแกที่ต่อเนื่องไม
ใช่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวทั้งนี้เนื่องจากลักษณะเฉพาะในโลกออนไลน์นั้น ผู้รังแกไม่ได้เผชิญหน้ากับเหยื่อที่เป็นเป้า
หมายโดยซง่ึ หนา้ โดยตรง อกี ท้งั การรังแกกล่นั แกลง้ สามารถเกิดข้ึนไดต้ ลอดเวลา
ทฤษฎีทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การกลน่ั แกลง้
จากการศึกษาข้อมูลผู้ศึกษาพบว่า ความสัมพันธ์เชิงอำนาจอยู่คู่กับมนุษย์มตลอด การกลั่นแกล้งรังแกใน
รูปแบบต่างๆนั้นอยู่กับมนุษย์โดยไม่รู้ตัว โดยอธิบายในเชิงมานุษยวิทยาสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีกิจวัตรประจำวัน
(Routine Activity Theory) Cohen และ Felson (1979) โดยเป็นทฤษฎีที่มุ่งอธิบายว่า ทำไมอาชญากรรมเกิดขึ้นกับ
บางคน โดยได้ถกู อธิบายวา่ เกิดข้นึ ด้วยองคป์ ระกอบสามประการดงั น้ี
1. ผู้ก่อเหตุมีแรงจูงใจ หรือผู้ที่มีแนวโน้มกระทำความผิด (Likely Offender) ผู้ที่กลั่นแกล้งคนอื่น
มแี รงจงู ใจทีจ่ ะกระทำ หรอื เปน็ ผูท้ มี่ แี นวโน้มท่ีจะกระทำการกล่นั แกล้งผู้อน่ื
2. เหยื่อที่เหมาะสม (Suitable Target) ผู้ใดหรือสิ่งใดก็ตามที่มีความเหมาะสมทำให้ผู้กระทำกลั่นแกล้งเขาได้
โดยอาจเปน็ ผทู้ ีม่ ลี ักษณทีเ่ หมาะสมกบั การกลน่ั แกล้งทั้งรา่ งกาย และจิตใจ
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 183
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
3. การขาดผู้ที่จะให้การปกป้องผู้ถูกกระทำได้ (Lack of a Capable Guardian) สิ่งแวดที่มีความเหมาะสม
หรือไม่เหมาะสมที่จะสามารถทำให้ผู้กระทำนั่นสามารถกระทำได้ อาทิ ครูในโรงเรียนที่สามารถยับย้ังการกลั่นแกล้งใน
สถานศกึ ษา เปน็ ต้น
แนวคดิ การกลน่ั แกลง้ กับเดก็ ทมี่ ีความต้องการพิเศษ
เด็กในสถานศึกษาจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้ง โดยเฉพาะคนที่ขาดทักษะหรือมีความบกพร่อง
ทางการเรียนรู้ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งนั่นล้วนแต่ส่งผลต่อความเสี่ยงต่อการมีปัญหาด้านสังคม อารมณ์
และพฤตกิ รรมในอนาคต อาทิ
- การขาดทักษะทางสงั คม
- การถกู ปฏเิ สธจากสังคม
- การขาดการเรยี น
ทฤษฎีการเรียนร้ทู างสงั คม
อัลเบิร์ต แบนดูรา (Albert Bandura, 1986) นักจิตวิทยาร่วมสมัย (An Contemporary Phychologist) ณ
มหาวิทยาลัยแสตนด์ฟอร์ด (Stanford University) อัลเบิร์ต แบนดูรา กล่าวว่า การเรียนรู้ของมนุษย์นั้นเกิดจาก
พฤติกรรมบุคคลนั้นมีการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) อย่างต่อเนื่องระหว่างบุคคลนั้น(Person) และสิ่งแวดล้อม
(Environment) ซึ่งทฤษฎีนี้เน้นบุคคลเกิดการเรียนรู้โดยการให้ตัวแบบ (Learning Through Modeling) โดยผู้เรียน
จะเลียนแบบจากตัวแบบ และการเลียนแบบนี้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยการสังเกตพฤติกรรม
ของตัวแบบ การสังเกตการณ์ตอบสนองและปฏิกิริยาต่าง ๆ ของตัวแบบ สภาพแวดล้อมของตัวแบบ ผลการกระทำ
คำบอกเล่า และความน่าเชื่อถือของตัวแบบได้ การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจึงเกิดขึ้นได้ ซึ่งกระบวนการต่าง ๆ ของการ
เลยี นแบบของเดก็ ประกอบดว้ ย 4 กระบวนการ คือ
1. กระบวนการดึงดูดความสนใจ (Attentional Process) กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเด็กได้สังเกตตัวแบบและตัว
แบบนั้นดึงดูดให้เด็กสนใจที่จะเลียนแบบ ควรเป็นพฤติกรรมง่าย ๆ ไม่สลับชับซ้อน ง่ายต่อการเอาใจใส่ของเด็กที่เกิด
การเลยี นแบบและเกดิ การเรยี นรู้
2. กระบวนการคงไว้ (Retention Process) คอื กระบวนการบนั ทึกรหัสเป็นความจำ การทีเ่ ด็กจะตอ้ งมีความ
แม่นยำในการบันทึกสิ่งที่ได้เห็นหรือได้ยินเก็บเป็นความจำ ทั้งน้ี เด็กดึงข้อมูลที่ได้จากตัวแบบออกมาใช้กระทำตาม
โอกาสที่เหมาะสม เด็กที่มีอายุมากกว่าจะเรียนรู้จากการสังเกตการณ์กระทำที่ฉลาดของบุคคลอื่น ๆ ได้มากกว่า โดย
ประมวลไว้ในลักษณะของภาพพจน์ (Imaginal Coding) และในลักษณะของภาษา (Verbal Coding) และเด็กโตขึ้นนำ
ประสบกรณ์และสัญลักษณ์ต่าง ๆ มาเชื่อมโยงและต่อมาจะใช้การเรียนรู้มีเทคนิคที่นำมาช่วยเหลือความจำ คือ การ
ท่องจำ การทบทวน หรือการฝึกหัด และการรวบรวมสิ่งที่เกี่ยวพันกันในเหตุการณ์ ซึ่งจะช่วยให้เขาได้เก็บสะสมความรู้
ไว้ในระดับซงึ่ สามารถนำมาใชไ้ ดเ้ มื่อต้องการ
3. การะบวนการแสดงออก (Motor Reproduction Process) คือ การแสดงผลการเรียนรู้ด้วยการกระทำ
คือ การที่เด็กเกิดผลสำเร็จในการเรียนรู้จากตัวแบบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความแม่นยำ เด็กจะต้องแสดงพฤติกรรมได้
จากการเรียนรู้ด้วยการเคลื่อนไหวออกมา เป็นการกระทำออกมาในรูปของการใช้กล้ามเนื้อความรู้สึกด้วยการกระทำ
ครั้งแรกไม่สมบูรณ์ ดังนั้น เด็กจำเป็นต้องลองทำหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้ได้ลักษณะพฤติกรรมท่ีต้องการ แล้วเขาก็จะได้
รับทราบผลของการกระทำจากประสบการณ์เหล่านั้น เพื่อนำมาแก้ไขพฤติกรรมที่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย สิ่งนี้จะทำให้เกิด
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 184
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
พัฒนาการในการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เด็กที่มีอายุมากกว่าจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและสามารถควบคุมได้ดีกว่า
เดก็ ทม่ี อี ายุนอ้ ยกว่า
4. กระบวนการจูงใจ (Motivational Process) คือ กระบวนการเสริมแรงให้กับเด็กเพื่อแสดงพฤติกรรมตาม
ตัวแบบได้ถูกต้อง โดยเด็กเกิดการเรียนรู้จากการเรียนรู้จากการเลียนแบบตัวแบบที่จะมาจากบุคคลท่ีมีชื่อเสียง
มากกว่าบุคคลที่ไม่มีชื่อเสียง จากการเลียนแบบตัวแบบที่มาจากบุคคลที่เป็นเพศเดียวกับเด็กมากกว่าจะเป็นเพศตรง
ข้ามกัน จากการเลียนแบบตัวแบบที่เป็นรางวัล เช่น เงิน ชื่อเสียง สถานภาพทางเศรษฐกิจสูง จากพฤติกรรมของ
บุคคลที่ถูกลงโทษ มีแนวโน้มที่จะไมถ่ ูกนำมาเลียนแบบ และจากการที่เด็กได้รับอิทธิพลจากตัวแบบที่มีความคล้ายคลึง
กบั เดก็ ได้แก่ อายุ หรอื สถานภาพทางสังคม
แนวคิดของแบนดูรา เน้นพฤติกรรมใด I ก็ตามสามารถปรับหรือเปลี่ยนได้ตามหลักการเรียนรู้ เป็นการ
กระตุ้นเด็ก มีการเรียนรู้พัฒนาการทางด้านสังคม โดยใช้การสังเกตตัวแบบที่เด็กเห็น เด็กมีระดับการเรียนรู้แล้ว เด็ก
จะมีทางเลือกใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อเก็บสะสมพฤติกรรมที่เป็นไปได้เอาไว้ และยิ่งกว่านั้นตัวแปรจะช่วยให้เขาเลือก
สถานการณ์ที่ดีที่สุดไว้ใช้ปฏิบัติต่อไป (นางสาวธารารัตน์ ชิญช้าง, 2560)ทฤษฎีการเรียนรู้ทางทฤษฎีการเรียนรู้ทาง
สังคมของแบดรู าเกี่ยวข้องกับรายงานเรื่องการกลั่นแกลง้ อย่างไร?
เนื่องจากแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของแบดูราได้กล่าวถึงการที่เด็กได้เรียนรู้พฤติกรรมจากคนใน
สังคมและเกิดพฤติกรรมเลียนแบบหรือเกิดภาพจำของเด็ก ส่งผลต่ออิทธิพลทางความคิดของเด็กและเกิดเป็นความ
เชื่อของเด็กคนนั้น เช่น เพื่อนในห้องชอบแกล้งนาย a เพราะนาย a เป็นเด็กตั้งใจเรียน นาย 6 ที่เห็นว่าการเป็นเด็ก
ต้งั ใจเรยี นจะทำให้ถูกกลัน่ แกลง้ จงึ ทำนาย : เปน็ เดก็ ทไี่ มต่ ้ังใจเรยี นและมีสว่ นร่วมในการแกลง้ นาย a เปน็ ต้น
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 185
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทที่ 3
องคป์ ระกอบของการกล่นั แกลง้
3.1 สาเหตุของการกลั่นแกลง้ (Cause Of Bullying)
นักวิจัยได้พยายามหาสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง ข่มเหงรังแกผู้อื่น โดยสามารถระบุปัจจัย
เสยี่ งที่เกยี่ วขอ้ งไดด้ งั น้ี
3.1.1 ปจั จยั ดา้ นชวี ภาพ
ปัจจุบันความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมก้าวร้าวทางด้านชีวภาพมากขึ้น เช่น พันธุกรรม
ฮอร์โมนและสมอง เป็นต้น ซึ่งไม่เพียงแต่เกิดจากสาเหตุด้านจิตใจหรือสังคมเท่านั้นคนที่ทำการกลั่นแกล้งผู้อื่นอาจจะ
มีปัญหาด้านการผลิตฮอร์โมนออกชิโทชิน (oxytocin) ซึ่งเป็น ฮอร์โมนที่ทำให้เรามีความสุขเวลาเข้าสังคม ได้รับการ
ยอมรบั หากฮอร์โมนประเภทน้ีขาดหายก็อาจจะทำใหม้ ีความเห็นอกเห็นใจในคนอื่นนอ้ ยลง
3.1.2 ปัจจัยด้านจิตวทิ ยา
เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่อิทธิพลต่อพฤติกรรมการกลั่นแกล้งในหมู่เด็กและเยาวชน อันได้แก่ การที่มีความพึง
พอใจในตนเองต่ำ เช่น หากรู้สึกว่าตนเองไม่เก่ง เคยถูกผู้อื่นดูถูกตัวเอง มีปมด้อยในความเป็นตัวเอง ก็อาจจะมองหา
วิธีการที่ทำให้รู้สึกว่าตนเองดีกว่าคนอื่นๆ โดยการกดคนอื่นให้ต่ำกว่าตนเอง เป็นต้นนักจิตวิทยายังได้อธิบายถึง ความ
ไม่สมดุลของอำนาจของทั้งผู้ที่มีพฤติกรรมกลั่นแกล้ง ข่มเหงรังแกผู้อื่น และผู้ที่โดนกลั่นแกล้ง โดนรังแก คือ ทั้งสอง
ฝ่ายโดยทั่วไปมักจะมีลักษณะที่ไม่สมดุลหรือตรงกันข้ามกัน เช่น คนที่ตกเป็นเหยื่อ มักจะมีขนาดร่างกายที่เล็ก ในขณะ
ที่ผู้รังแกจะมีขนาดร่างกายใหญ่ หรือคนที่ชอบกลั่นแกล้ง รังแกอาจจะมีความรู้สึกที่เป็นปมด้อยบางเรื่องในชีวิต จึง
มกั จะอยากขม่ คนท่เี ด่นกวา่ ตนเอง หรือระบายความร้สู กึ ที่เป็นปมด้อยนน้ั ออกมา
3.1.3 ปัจจัยดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม
เป็นปัจจัยที่มีความหลากหลาย ซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนเป็นอย่างมาก เช่น การเป็นคน
ที่เคยถูกกลั่นแกล้งมาก่อน อย่างการเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีการเลี้ยงดูที่ใช้ความรุนแรงหรือการอยู่ในกลุ่มเพื่อน
ที่มีความก้าวร้าวและชอบใช้ความรุนแรง และพวกเขาก็จะรู้สึกว่าต้องระบายความโกรธท่ีตัวเองได้รับนี้ให้กับผู้อื่น อีก
ทั้งส่ือต่างๆ ท่มี คี วามรนุ แรงอย่างภาพยนตร์หรอื ละครบางเรือ่ งก็เป็นอีกสาเหตหุ นงึ่ เหมือนกัน
3.1.4 ปัจจยั ดา้ นสังคม
การอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ตลอดจนค่านิยมต่างๆหรือ
แม้แต่ความพิการ ความแตกต่างเหล่านี้จะถูกนำมาล้อเลียน จนนำไปสู่การปฏิบัติกับเหยื่อแบบที่ไม่เท่าเทียมกับคนอื่น
เพียงเพราะความแตกตา่ ง ( Tiger Rattana, 2563)
3.2 ผลกระทบของการกลั่นแกล้ง ( Effect Of Bullying)
การถูกกลั่นแกล้ง รังแก และข่มเหง จากผู้อื่น จะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกผู้ถูกกระทำเสมอ ไม่ว่าจะมาก
หรือน้อยเพียงใด โดยผลกระทบเหล่านั้นจะฝั่งไปในจิตใจ และเป็นไปได้ยากที่จะนำออกไปจากจิตใจของผู้ถูกกล่ันแกล้ง
โดยผลกระทบมดี ังนี้
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 186
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564
3.2.1 ผู้ถูกกระทำ
3.2.1.1 . ปมด้านจติ ใจ
ผู้ถูกกระทำจะมีผมในจิตใจที่ถูกฝังไว้ เช่น ผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งในเรื่องความแตกต่างทางชาติพันธ์มักจะมีปมว่า
ตนนั้นเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยไม่สามารถมีสิทธิเท่ากับคนหมู่มากได้ หรืองในอีกกรณีคือจะเกลียดคนหมู่มากและเหมา
รวมว่าคนหมู่มากชอบกดข่ี เอาเปรียบ คนกลุ่มน้อย และกรณีที่ 3 เลือกที่จะแสดงจุดยืนว่าแม้จนเป็นชนกลุ่มน้อย แต่
ตนน้ันไม่ไดค้ ุณค่าต่างจากคนหมมู่ า และกรณอี ่นื ๆ อกี มากมาย
3.2.1.2 จุดยนื ในสังคม
ผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่สังคมนั้นไม่ยอมรับ และถูกเบียดขับออกจากสังคมแต่หากพูดถึงใน
กรณีของโรงเรียนหรือสถานศึกษา การถูกเบียดขับนั้นมีความเป็นไปได้ยาก จึงมักใช้การกลั่นแกล้งแทน โดยผู้ที่ถูก
กลั่นแกล้งมักจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนที่โดนกดขี่ข่มเหง โดยผู้ที่กลั่นแกล้งเป็นคนจัดการให้ผู้ที่ถูกกกลั่นแกล้งอยู่ใน
จดุ ยืนแบบนน้ั
3.2.1.3 สิ่งรบกวนในจิตใจ
การถูกกลั่นแกล้งไม่ว่าจะในรูปแบบใด จะเป็นการเพิ่มความเครียดให้กับผู้ถูกกระทำ และในการเพิ่มความเครียดน้ัน
มักจะทำให้ผู้ถูกกระทำไม่สามารถทำในสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะมีสิ่งรบกวนในจิตใจ บางครั้งอาจจะ
เป็นเสียงจากสมองของตนเอง หรือเปน็ การนึกย้อนอดตี อนั แสนเลวรา้ ย
3.2.2 ผ้กู ระทำ
การเลียนแบบพฤติกรรมที่เกิดมาจากการเรียนรู้ทางสังคมการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนนอกจากจะส่งผล
ด้านลบกับผู้ถูกกระทำแล้วแล้ว แน่นอนว่าต้องส่งผลต่อผู้กระทำเช่นกัน โดยข้าพเจ้าข้อยกตัวอย่างผลกระทบต่อ
ผูก้ ระทำทก่ี ลน่ั แกล้งผูอ้ ืน่ ดงั น้ี
3.2.2.1 มีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ท่ีเสพติดแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดอื่นๆในอนาคตได้เนื่องจาก
ผู้ที่กลั่นแกล้งผู้อื่นเป็นอาจเป็นคนที่ต้องการเป็นที่ยอมรับในสังคมหรือมีปมด้านจิตใจบางอย่าง หากในท้ายที่สุดเขาไม่
สามารถหาหนทางในการเป็นทย่ี อมรับในสงั คมได้ มีความเปน็ ไปไดท้ ีเ่ ขาเลอื กเสน้ ทางตรงกนั ขา้ มเช่นกัน
3.2.2.2 มีพฤติกรรมลักขโมยพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงอาจมีส่วนในการสร้างระบบความคิดที่ส่งผล
กระทบในการดำเนินชีวิต หรืออาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่เรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นด้วยการชอบขโมยของ หรือ
อืน่ ๆเน่ืองจากการถูกปฏิเสธจากพฤตกิ รรมของตนเอง ทำให้ผ้อู ่นื ไมย่ อมรับที่จะให้เขา้ ร่วมอยใู่ นสงั คมของบุคคล
3.2.2.3 ส่งผลเสียด้านการเรียนเมื่อเกิดการกลั่นแกล้งเพื่อนในชั้นเรียนอาจส่งผลต่อการเข้าสังคมกับกลุ่ม
เพือ่ นคนอ่นื ๆ ทำให้
เพื่อนไม่อยากคบ และมีการต่อต้าน รวมถึงเจอการลงโทษทางโรงเรียน การลงโทษจากครอบครัว ซึ่งอาจส่งผลต่อ
สภาพจิตใจ ความคิด ความรู้สึกของผู้กระทำที่อาจไปในทางบวกคือการเลิกใช้พฤติกรรมกลั่นแกล้งเพื่อนเพื่อสามารถ
อยู่ร่วมกับผู้อื่นหรือไปในทางลบ กล่าวคือยังคงไม่สนใจและกลั่นแกล้งเพื่อนอยู่ ส่งผลให้ต้องออกจากสถานศึกษาเพ่ือ
เดนิ ไปในทางท่เี หมาะกับตนเอง
3.2.2.4 มีพฤติกรรมทางเพศก่อนวัยอันควรเนื่องด้วยผู้ที่กลั้นแกล้งผู้อื่นมักเป็นกลุ่มคนที่มักทำพฤติกรรม
ไม่เหมาะสมอาทิ ชอบส่งเสียงดังในห้องเรียน มีปัญหาาความรุนแรงกับเพื่อนกลุ่มอื่น หรือสร้างปัญหาในโรงเรียนและ
สาธารณะอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้พวกเขาเหล่านั้นอาจมีพฤติกรรมทางเพศก่อนวัยอีนควรเช่น การมีเพศสัมพันธ์ก่อน
อายุ 15หรอื การมเี พศสัมพันธ์กอ่ น 18 ถือเป็นการพรากผ้เู ยาว์ในกฎหมายอาญา เป็นต้น
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 187
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
3.2.2.5 จุดเริ่มต้นของการก่ออาญากรรมเพราะการแสดงพฤติกรรมที่ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น อาจทำให้เกิด
ความเคยชนิ และมกี าร
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกลั่นแกล้งที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นการตอบสองต่อความต้องการของผู้
กลั่นแกลง้ นำส่กู ารสรา้ งระบบความคดิ ท่ีรุนแรงมากข้นึ จนสุดท้ายกลายเป็นอาชญากรในทส่ี ดุ
3.2.2.6มีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงกับสมาชิกในครอบครัว และคนใกล้ตัวการมีพฤติกรรมที่ชอบกลั่นแกล้ง
ผู้อื่นถือเป็นจุดเริ่มตนของการใช้ความรุนแรงในอนาคตฉะนั้นแล้วเมื่อมีพฤติกรรมที่ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นจึงส่งผลให้
เกิดพฤติกรรมชอบใชค้ วามรุนแรง นอกจากน้ีอาจเกิดการเสพตดิ การใช้ความรนุ แรงได้
3.3 วธิ กี ารรับมือกับการโดนบกู ล่ันแกล้ง(Bully)
3.3.1 ส่ิงทค่ี วรให้ความสำคญั เม่อื ถูกกลนั่ แกลง้ (Bully)
ในการกลั่นแกล้งนั้นผู้ที่ประสงค์ที่จะกลั่นแกล้งผู้อื่นมีเป้าหมายคือการทำให้เหยื่อของเหตุการณ์นั้นรู้สึกแย่
กับตัวเอง ไม่พอใจ โกรธ เสียใจ และด้อยค่าตัวเองแต่ในทางกลับกันหากคุณสามารถปล่อยผ่านสิ่งเหล่านั้นไปได้และ
เมื่อคุณไม่ให้ความสนใจหรือสามารถปล่อยผ่านมันก็อาจส่งผลให้เขามีความคิดที่จะล้มเลิกการกลั่นแกล้งคุณไปเองยก
เว้นเสียแต่ว่าเขาไม่ยอมเลิกทำพฤตกรรมเหล่านั้นหากเป็นกรณีนี้สิ่งท่ีคุณทำได้คือการขอความช่วยเหลือจากผู้ที่
สามารถช่วยคุณได้อาทิผู้ปกครองอาจารย์เป็นต้นแน่นอนว่าคนท่ีเข้ามากล่ันแกล้งหรือมีพฤติกรรมที่ชอบผู้อื่นเขาก็
เหมือนกับคนทั่วไป เราจะต้องหาเลี้ยงชีพ เรียน นอน กิน เขาไม่ต่างอะไรจากผู้ที่เขากลั่นแกล้ง แต่เขาแตกต่างกับคนที่
เขากลั่นแกล้งคือการเลือกที่จะกระทำการบางอย่างเพียงเท่านั้น คนที่มากลั่นแกล้งผู้อื่นเขาอาจจะต้องการอำนาจและ
ความสนใจบางอย่างที่พวกเขาขาดหายไป จึงทำให้เขาเลือกกระทำการในรูปแบบนั้นและการกลั่นแกล้งเป็นสิ่งที่มาเติม
เต็มความรู้สึกของเขาเหล่านั้น แต่การกระทำของผู้ที่กลั่นแกล้งผู้อื่นไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้องและไม่เป็นเรื่องที่ยอมรับ
ในสังคม แต่เรื่องหล่านี้ยังพบเห็นได้ทั่วไปในสังคมและยังไม่ได้รับการแก้ไขที่เหมาะสม และในบางสถานการณ์การโดน
กลั่นแกล้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่าผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งทำเรื่องไม่ดี กลับกลายเป็นว่าผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งนั้นทำดีกว่าคนอ่ืน
จึงถูกเบียดขับจากสังคม อาทิเด็กที่เรียนดีเป็นที่รักของคุณครู ในอีกมุมมองของคนที่ไม่ชอบเขาจะมองว่าเป็นเด็กของ
คุณครูจนเกิดความไม่พอใจหรือเกิดความอิจฉา ฉะนั้นแล้วผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งในบางครั้งจึงไม่จำเป็นต้องคิดว่าตนน้ัน
ทำผดิ อะไรเสยี ดว้ ยซำ้ เนื่องจากบางสถานการณ์สงิ่ ท่ีเขาทำแคไ่ ม่ถกู ใจคนบางกลุม่ เพยี งเท่านัน้ เอง
3.3.2 การรบั มือกบั สภาพจติ ใจเมื่อถูกบลู ลี่ (Bully)
การหาสิ่งอื่นมาทดแทนอีกสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสังคม การถูกกลั่นแกล้งก็เช่นกัน แน่นอนว่า
การถูกกลั่นแกล้งนั้นเป็นเรื่องที่โหดร้ายในสังคม และยังทำให้ผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งเกิดปมด้อยซึ่งส่งผลไปยังจิตใต้สำนึก
ของผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งฉะนั้นพวกเขาเหล่านั้นมักจะหาบางสิ่งมาทดแทนเสมอเพื่อที่จะเยียวยาจิตใจของตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่นการหาสื่อบันเทิงใจเข้ามาในชีวิตจำพวก เกม หนัง เพลง เป็นต้น หรือการหาส่ิงที่จะมาระบายความเก็บ
กดในใจจำพวกกีฬาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอล ชกมวย แบดมินตัน ฯลฯ ต่อมาการหาสิ่งอื่นมาทดแทนไม่ได้จบท่ี
ลักษณะของกิจกรรมหรืองานอดิเรกเท่านั้น การหากลุ่มเพื่อนหรือหลุ่มคนที่เข้าใจเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน
การกระทบความรู้สึกในการกล่ันแกล้งนั้นจะลดทอนลงเมื่อมีเพื่อนหรือคนที่เข้าใจเราและพร้อมรับฟังเราเสมอ แม้การ
กลั่นแกล้งจะไม่ได้หายไป แต่เรานั้นนำสิ่งที่เรียนว่าคนรู้ใจมาแทน และอีกสิ่งที่ลืมไม่ได้คือการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอาทิ
จิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ เป็นต้น เพราะหากคุณมีความเครียดที่สูงขึ้น และอยู่ในภาวะซึมเศร้า สภาพจิตใจของ
คุณนั้นอาจอยู่ในจุดต่ำสุดและไม่สามารถให้ใครมาช่วยได้ แต่หากปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาจะให้วิธีการรับมือท่ี
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 188
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
ถูกต้อง และให้มอบการรักษาที่เหมาะสมเพื่อเยี่ยวยาสภาพจิตใจของคุณหากในกรณีที่เลวร้ายไม่มีใครเข้าใจเราและเรา
ยังถูกกลั่นแกล้งต่อไปโดยไม่มีใครใสใจเรา สิ่งท่ีเราจะทำได้ต่อมาคือการเปล่ียนสภาพแวดล้อมอาทิ การเปลี่ยน
โรงเรียน ที่อยู่เป็นต้น แม้การย้ายสถานที่จะเป็นเรื่องใหญ่แต่หากในกรณีที่ไม่สามารถอยู่ ณ จุดนั้นได้แล้ว การย้าย
สถานที่นับเป็นการแก้ไขปัญหาที่เห็นผลเช่นกัน และจะเป็นการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งและคุณจะได้รับประสบการณ์มาและรู้
วิธีรบั มือและวธิ เี ริม่ ตน้ ใหมท่ ี่ดยี ่ิงข้ึน (Urbinner, 2563)
3.3.3 กฎหมายทเี่ กีย่ วกับการกลน่ั แกล้ง
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้งในปัจจุบันมีความควบคลุมอย่างมากในการปกป้องเหยื่อที่ถูกกล่ัน
แกล้ง แต่ในกรณีที่เป็นสถานศึกาายังไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากสถานศึกษาเป็นกลุ่มคนที่เป็นเยาวชนที่ไม่สามารถเอา
ผดิ ตามกฎหมายได้ โดยกฎหมายทเี่ ก่ียวขอ้ งกับการกลนั่ แกลง้ จะอยใู่ น พรบ.หมน่ิ ประมาทดงั นี้
ประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3 ความผดิ ฐานหมิ่นประมาท
มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อ่ืนต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูก
เกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือ
ทัง้ จำท้ังปรับ
มาตรา 327 ผู้ใดใส่ความผู้ตายต่อบุคคลท่ีสาม และการใส่ความนั้นน่าจะเป็นเหตุให้บิดา มารดาคู่สมรส หรือ
บุตรของผู้ตายเสียช่ือเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษดัง
บญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 326 นัน้
มาตรา 328 ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี
ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึก
อักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกนิ สองปี และปรบั ไมเ่ กินสองแสนบาท
มาตรา 329 ผใู้ ดแสดงความคดิ เหน็ หรอื ขอ้ ความใดโดยสจุ รติ
(1) เพือ่ ความชอบธรรม ปอ้ งกนั ตนหรือปอ้ งกนั สว่ นได้เสียเกยี่ วกับตนตามคลองธรรม
(2) ในฐานะเปน็ เจ้าพนักงานปฏบิ ตั ิการตามหน้าที่
(3) ตชิ มดว้ ยความเป็นธรรม ซึ่งบคุ คลหรือส่งิ ใดอันเป็นวสิ ัยของประชาชนยอ่ มกระทำ หรือ
(4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุมผู้นั้นไม่มี
ความผิดฐานหมิ่นประมาท
มาตรา 330 ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็น
ความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษแต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และ
การพิสจู นจ์ ะไมเ่ ป็นประโยชนแ์ ก่ประชาชน
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 189
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
มาตรา 331 คู่ความ หรือทนายความของคู่ความ ซึ่งแสดงความคิดเห็น หรือข้อความในกระบวนพิจารณาคดี
ในศาล เพ่อื ประโยชนแ์ กค่ ดีของตน ไม่มคี วามผิดฐานหมน่ิ ประมาท
มาตรา 332 ในคดหี มนิ่ ประมาทซงึ่ มคี ำพิพากษาว่าจำเลยมคี วามผดิ ศาลอาจสั่ง
(1) ให้ยึด และทำลายวตั ถหุ รอื ส่วนของวัตถทุ ่มี ีขอ้ ความหมิ่นประมาท
(2) ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด หรือแต่บางส่วนในหนังสือพิมพ์หนี่งฉบับหรือหลายฉบับ ครั้งเดียวหรือ
หลายครัง้ โดยใหจ้ ำเลยเป็นผชู้ ำระคา่ โฆษณา
มาตรา 333 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ถ้าผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาทตาย
เสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย (สถาบันนิติ
ธรรมาลัย, 2561)
มาตรา 326 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 11) 2 มาตรา
328 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี 11) หากการกลั่นแกล้งใน
สถานศึกษานั่นมีความรุนแรงเกินกว่าเหตุรวมไปถึงการกลั่นแกล้งที่เข้าข่ายพรบ.หมิ่นประมาท ผู้ที่ถูกกลั่นแกล้ง
สามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้ อาทิ กลั่นแกล้งจนเกิดความพิการต่อเหยื่อเหยื่อสามารถฟ้องร้องต่อผู้กลั่นแกล้ง
ในคดีแพง่ และเขา้ ขา่ ยคดีอาญาดว้ ย
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 190
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
บทที่ 4
กรณีศึกษาและวธิ ีการแก้ไขปญั หา
4.1 กรณีศึกษา
4.1.1 ตา่ งประเทศ
กรณีศึกษาประเทศญี่ปุ่น จากสถิติพบว่าญี่ปุ่นมีเด็กตกเป็นเหยื่อถูกบูลล่ีในโรงเรียนมากที่สุด 612,496 ครั้ง
จากการสำรวจโรงเรียนระดับช้ันประถมและมัธยมศึกษาทั่วประเทศ ปี 2019 โดยกระทรวงศึกษาธิการ แถมตัวเลขในปี
นี้ยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 68,563 ครั้ง ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือ 8 ใน 10ของโรงเรียนที่สำรวจมาทั้งหมด จะพบการทำ
บูลลี่ด้วยการทำร้ายร่างกายและจิตใจ อย่างน้อย 1 ครั้ง แบ่งออกเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในโรงเรียนประถม 484,545 ครั้ง
เพิ่มขึ้นจากเดิม 58,701 ครั้ง ในเด็กมัธยมต้น เพิ่มขึ้น 8,820 ครั้ง เป็น 106,524 ครั้ง และมัธยมปลาย 18,352 คร้ัง
เพิ่มขึ้น 643 ครั้งและในปีนี้มีสถิติที่น่ากลัวเพิ่มมากขึ้น คือ กรณีการบูลลี่อย่างรุนแรง ที่ทำให้เด็กมีความเสี่ยงที่จะฆ่า
ตวั ตาย เพมิ่ ขนึ้ 20% จากปกี ่อนเปน็ 723 คดี แลว้ ในปีท่ีผา่ นมามเี ด็กจำนวน 10 คน เลือกที่จะจบชีวติ ตวั เอง
ในวันท่ี 18 ตุลาคม 2018 เกิดเหตุการณ์สลดขึ้น เมื่อเด็กชายวัย 15 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ลงมือใช้มีดฆ่าตา
กับยายของตัวเอง ทั้งที่เขารักทั้งสองคนเป็นอย่างมาก สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ครอบครัวของเขาต่างสับสนและมึนงกับเรื่อง
ที่เกิดขึ้น และเมื่อเด็กชายวัย 15 ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมในวันถัดมา เด็กชายที่เริ่มจะเป็นวัยรุ่นให้การสารภาพกับตำรวจว่า
"วันนั้นเขาเดินทางไปหาตากับยายที่จังหวัดไซตามะ เพื่อฆ่าตายายอันเป็นที่รักเพราะไม่อยากให้ทั้งสองรับรู้และอับอาย
ว่ามีหลานชายซึ่งกำลังจะเป็นฆาตกร เพราะเขาเตรียมวางแผนจะฆ่าเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งเป็นเพื่อนที่เขา "ไม่อาจให้อภัย
ได"้ (ทมี ข่าวเฉพาะกิจไทยรฐั ออนไลน,์ 2563)
4.1.2 ในประเทศ
กรณีศึกษา เด็กยิงเพื่อนเนื่องจากโดยกลั่นแกล้งทางวาจาและสังคม ที่เกิดเหตุหน้าห้องเรียนชั้น ม.1/2 ชั้น 5
พบ ด.ช.แบ็ง อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.1/2 นอนหายใจรวยริน เจ้าหน้าท่ีมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง กู้ชีพพระนั่งเกล้า พยายาม
ปั้มหัวใจช่วยชีวิตนานกว่าครึ่งช่ัวโมง แต่ไม่สามารถจะยื้อไว้ได้ ก่อนจะเสียชีวิตหลังเกิดเหตุตรวจสอบมีบาดแผลถูกยิง
เข้าหน้าผากทะลุท้ายทอย 1 นัด ห่างไปประมาณ 20 เมตร พบหัวกระสุนตกอยู่ 1 หัว ส่วนปลอกกระสุนพบตกอยู่
ด้านล่างจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ รปภ.และครูสามารถจับกุมตัว ด.ช.โฟร์ อายุ 12 ปี ผู้ก่อเหตุไว้ได้
ขณะกำลังจะหลบหนีออกประตูโรงเรียนด้านถนนเลี่ยงเมือง-สนามบินน้ำ ซึ่ง ด.ช.โฟร์เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับผู้เสียชีวิต
ตรวจค้นในกระเป๋าสะพายหลังพบอาวุธปืนขนาด 7.65 แบบแม็กกาซีน มีกระสุนในแม็กกาชีน 5 นัด ชุดที่สวมใส่ก่อเหตุ
มี เสื้อกันหนาวแขนยาวสีดำ 1 ตัว กางเกงขายาวสีน้ำตาล 1 ตัว หมวกโม่งคลุมหัวสีดำ 1 ใบ ถุงมือหนังสีดำ 1 คู่
หน้ากากปิดหน้าสีดำ 1 อัน จึงได้ส่งตัวผู้ก่อเหตุและของกลางให้ตำรวจ พร้อมนำตัวมาที่โรงพัก จากการสอบสวน
พยานที่เกิดเหตุทราบว่า ขณะที่ ด.ช.แข็ง ผู้ตายกำลังนั่งถอดรองเท้าเพื่อท่ีจะเข้าห้องเรียนหลังจากเคารพธงชาติเสร็จ
ด.ช.โฟร์ ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดไปรเวทเดินมาเข้าใช้อาวุธปืนจ่อยิงเข้าที่หน้าผาก 1 นัด แล้ววิ่งหลบหนีลงบันได ครูท่ีทราบ
เรื่องได้ติดตามไปจับตัวไว้ได้ ต่อมา พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ รอง ผบช.ภ.1 เดินทางมา สภ.รัตนาธิเบศร์ เพื่อ
สอบปากคำ ด.ช.โฟร์ อายุ 12 ปี คนก่อเหตุด้วยตัวเอง ทราบว่า ผู้ก่อเหตุได้ลักปืนของพ่อมายิงเพื่อนร่วมชั้น โดยสวม
ชุดนักเรียนมาเรียนตามปกติ แต่ก่อนลงมือก่อเหตุได้เปลี่ยนชุดที่เตรียมมา และหลังก่อเหตุแล้วได้เข้าห้องน้ำเปลี่ยน
เสื้อผ้าเป็นชุดนักเรียน พยายามจะเดินหนีออกจากโรงเรียน แต่ รปภ.ไม่ให้ออก จนกระทั่งมีครูวิ่งตามมา ค้นเจออาวุธ
ปืนและเสื้อผ้าที่ใส่ก่อเหตุ เบื้องต้น ด.ช.โฟร์ ให้ปากคำว่า ถูกผู้ตายชอบแกล้งตบหัวตนและล้อว่าเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ หนำ
ซ้ำเพ่ือนยังล้อตาม จนตนคับแคน้ ใจ จงึ ลักปืนพอ่ มากอ่ เหตุ
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 191
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
กรณีศึกษา เรื่องเปิดบันทึก ด.ญ.โดนบูลลี่ผูกคอกลายเป็นเจ้าหญิง จากกรณี ด.ญ.เอ (นามสมมติ)
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่จ.เชียงใหม่ ก่อเหตุผูกคอหวังฆ่าตัวตายภายในห้องน้ำ
บริเวณด้านหลังอาคารเรียน ก่อนท่ีภารโรงและครูจะเข้าไปช่วยซึ่งอยู่ในสภาพหมดสติ และเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาล
อาการโคม่า ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราก่อนที่จะเกิดดราม่า หลังจากพ่อได้เปิดรับบริจาค และถูกกล่าวหา ว่า
ใช้ลูกเป็นเครื่องมือหากิน ซึ่งพ่อของเด็กหญิงรายดังกล่าวได้ออกมาชี้แจง ว่าไม่เป็นความจริง และมีการปิดบัญชีรับ
บริจาค โดยมียอดบริจาค 3 วัน 1 แสนกว่าบาท อย่างไรก็ตามพบว่า ครอบครัวมีฐานะยากจน และความเป็นอยู่อย่าง
ลำบาก
ทั้งนี้พบว่า มีการเปิดเผยบันทึกของเด็กหญิง ซึ่งเขียนถึงเหตุการณ์การกลั่นแกล้งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนโดย
พบว่า เด็กหญิงได้ระบุว่า โดนเหวี่ยงจนล้ม และเพื่อนลากไปครึ่งสนาม เมื่อหนีได้ยังตามมาหาเรื่องถุยน้ำลายใส่
จากนั้นก็เข้ามาลากต่อ และผลักล้ม แถมยังโดนเหยียบหน้าจนร้องไห้ไปฟ้องครู ซึ่งเพื่อนที่กลั่นแกล้งได้เขียนยอมรับ
พร้อมอา้ งว่า ขอโทษแล้ว แคเ่ ลน่ กันเฉยๆ สว่ นครรู ะบุว่า เดก็ ๆ แค่เล่นกัน ไม่ไดต้ ั้งใจ (เดน่ ออนไลน,์ 2562)
4.2 วิธกี ารแกไ้ ขปัญหา
4.2.1 วิธกี ารแกไ้ ขปญั หาของต่างประเทศ
ประเทศฟินแลนด์ ฝึกเด็กให้ช่วยเหลือผู้ที่ถูกกลั่นแกล้ง และบอกกับผู้อื่นให้รู้เสมอและเด็กท่ีแกล้งคนอื่นน้ัน
จะต้องได้รับการเยียวยาโดยไม่ต้องรับบทลงโทษ แผนงานนี้ไม่ได้ระบุแค่หน้าท่ีของครู แต่นักเรียนเองก็ต้องรู้ด้วยว่าถ้า
เจอคนถูกกลั่นแกล้งจะต้องทำอย่างไร โดยต้องแสดงท่าทีเข้าข้างคนถูกรังแกและต้องรายงานเรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่ได้รับ
ทราบ ซึ่งแนวทางการปฏิบัตินี้ยังครอบคลุมไปถึงผู้ปกครอง ผ่านเว็บไซต์และช่องทางการปรึกษาที่ผู้ปกครองสามารถ
เขา้ ถงึ ได้ตลอดเวลา
ประเทศนอร์เวย์ นักเรียนและผู้ใหญ่ร่วมมือกันเพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนและโรงเรียนต้องมี
คณะกรรมการป้องกันการกลั่นแกล้ง เมื่อมีการกลั่นแกล้งเกิดขึ้นครูต้องไปที่เกิดเหตุทันที มุ่งเปลี่ยนพฤติกรรมของ
ทั้งผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งและผู้กลั่นแกล้งคนอื่น แผนป้องกันนี้กำหนดเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม โดยกำหนดให้ในระดับ
โรงเรียนต้องมี คณะกรรมการป้องกันการกลั้นแกล้ง คณะกรรมการที่มีครูผู้ปกครอง และชุมชน ทำหน้าที่ในการ
ดำเนินนโยบายและฝึกหัดครูให้รับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ต้องมีการออกกฎโรงเรียนเพื่อต่อต้านการกลั่นแกล้ง
กัน โดยผู้ปกครองและชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ส่วนในระดับห้องเรียนต้องมีการบังคับใช้กฎห้ามกลั่นแกล้ง
รังแกกัน มีการประชุมนักเรียนและผู้ปกครองในเรื่องนี้อย่างสม่ำเสมอ แนวทางนี้ยังได้ลงลึกถึงระดับบุคคลโดยให้
คุณครูดูแลกิจกรรมต่าง 1 ของนักเรียนอย่างทั่วถึง เมื่อมีการกลั่นแล้งกันเกิดขึ้นต้องมีคุณครูอยู่ ณ จุดนั้นทันที
หลังจากนั้นกำหนดให้มีการพูดคุยกันระหว่างนักเรียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องน้ี และเรียกพบผู้ปกครอง หลังจากนั้นก็มี
การมงุ่ ดูแลเพอ่ื เปล่ยี นพฤตกิ รรมของนกั เรียนทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
ประเทศสหราชอาณาจักร บังคับให้ทุกโรงเรียนมีนโยบายการป้องกันการถูกกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียน ซึ่ง
แต่ละโรงเรียนสามารถกำหนดเองตามความเหมาะสม สหราชอาณาจักรแก้ปัญหานี้ด้วยการออกกฎหมาย ให้โรงเรียน
รัฐทุกโรงเรียนต้องมีนโยบายต่อต้านการกลั่นแกล้ง โดยกฎหมายนี้บังคับใช้ในประเทศอังกฤษ เวลส์และไอร์แลนด์
เหนือ และ สนับสนุนให้มีการใช้ในสก็อตแลนด์กฎหมายฉบับนี้บังคับให้โรงเรียนต้องกำหนดคำนิยามของการกล่ัน
แกล้งอย่างชัดเจน ซึ่งต้องกำหนดขั้นตอนว่าต้องทำอะไรก่อนหลังหากเกิดปัญหาขึ้น ตลอดจนต้องมีมาตรการจัดการ
ที่เหมาะสมโดยลงรายละเอียด ทั้งนี้ทุกโรงเรียนจะถูกตรวจสอบจากกรอบ Ofsted อีกทีหนึ่งว่าได้ดำเนินนโยบายจริง
หรอื ไม่
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 192
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
ประเทศญี่ปุ่น แน่นอนว่าญี่ปุ่นไม่ได้นี่งนอนใจกับปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียน ที่เมืองโอสีเมืองหลักของจังหวัด
ชิกะ ซึ่งอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น มีแผนการรับมอื กับปัญหาน้ี โดยนายกเทศมนตรี "นาโอมิ โคชิ" ประกาศ
ว่าจะใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Al) เพื่อวิเคราะห์และคาดการณ์เหตุกลั่นแกล้งในโรงเรียน "เราจะใช้เอไอ วิเคราะห์
ข้อมูลเหตุการโดนบูลลี่ที่เคยเกิดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางป้องกันและแก้ปัญหา นอกเหนือจากการใช้วิจารณญาณของ
ครูผู้สอน โดยแผนการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินโครงการในเดือนเมษายน ปีงบประมาณถัดไป ทั้งน้ี จะมีการใช้ข้อมูล
ย้อนหลัง 6 ปี ตั้งแต่ปี 2012-2018 ซึ่งมีเหตุกลั่นแกล้งในโรงเรียนประถมและมัธยมในเมืองโอสึ รวมกว่า 9,000ครั้ง
ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปประมวลผลและวิเคราะห์เพื่อระบุกลุ่มเด็กที่อาจจะตกเป็นเหยื่อการถูกบูลล่ี เช่น เพศ ระดับ
การศึกษา ทั้งยังคาดการณ์ได้ว่าการกลั่นแกล้งกันนั้นจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาและสถานที่ใด รวมทั้งวิเคราะห์ปัจจัยอื่นที่
เกี่ยวข้องกับการบูลลี่ เช่น ช่วงเวลาลาหยุด และผลการเรียน เพื่อเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงอย่างใกล้ชิด "การบูลลี่อาจจะเร่ิม
จากความขดั แยง้ เลก็ ๆ นอ้ ยๆ ของเด็กๆ แตม่ นั อาจจะสะสมจนกลายเป็นวงจรทเี่ ลวร้าย พวกเราจงึ ต้องตรวจสอบวา่ มี
กรณใี ดบ้างทีก่ ารกล่ันแกลง้ ธรรมดาจะเร่ิมหนกั ข้อขึน้ " หน่ึงในคณะกรรมการการศกึ ษาเมืองโอสึ กลา่ ว
4.2.2 วธิ กี ารแกไ้ ขปญั หาของประเทศไทย
โครงการกล้าทำดี ยุติความรุนแรงและการรังแก ของมูลนิธิรักษ์ไทย ที่จัดทำขึ้นเพื่อช่วยแก้ปัญหาการ
รังแกและความรุนแรงในโรงเรียน โดยเน้นที่เด็กอายุระหว่าง 9-12 ปี ในโรงเรียนประถมศึกษาในพื้นที่ห่างไกลและ
เข้าถึงยาก เช่น บนดอยหรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยความพิเศษของโครงการนี้ก็คือ การไม่ตัดสินว่าใครเป็น
คนผิดหรือถูก เพื่อไม่ให้เกิดการตีตรา (labelling) ที่ทำให้เกิดเป็นปมในใจและอาจเป็นการทำร้ายสภาพจิตใจอย่างหนึ่ง
ต่อเด็กได้ และมุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กแต่ละกลุ่ม ทำให้เด็กที่ถูกรังแกสามารถปกป้องตัวเองได้
ปรับเปลี่ยนเด็กที่รังแกผู้อ่ืนให้เลิกพฤติกรรมการรังแก และเห็นคุณค่าของตัวเองและผู้อื่น เข้าใจสิทธิและความเท่า
เทียมกัน รวมถึง กลุ่มกองเชียร์ ที่ดูอยู่ห่างๆ ให้เป็นคนที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ไม่เพิกเฉย มีความรับผิดชอบ เรื่อง
การรังแก เปน็ ตน้ (schoolofchangemakers, 2562)
4.2.3 ผจู้ ดั ทำ
เนอ่ื งด้วยคณะผูจ้ ัดทำเปน็ นกั ศกึ ษาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศนู ยล์ ำปาง จงึ
ตอ้ งการแสดงทศั นะและแบง่ ปันวธิ ีการแกไ้ ขปญั หาในมมุ มองของผู้ทีศ่ กึ ษาดา้ นสงั คมสงเคราะห์
ผู้จดั ทำคนท่ี 1
ในการแก้ปัญหาการกลั่นแกล้งนั้นมิได้มีวิธีที่ตายตัว แต่การแก้ปัญหาน้ันคือการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
และบริบททางสังคมนั้นๆ ยกตัวอย่างในปัจจุบันที่มีการเรียกร้องสิทธิมากมายโดยในประเทศไทยได้มีการชุมนุมเพื่อ
เรียกร้องสิทธิความเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นเร่ือง ชาติพันธ์ สิทธิขั้นพื้นฐานสวัสดิการ เพศ ไปจนถึงความเป็นอยู่และ
ความเป็นปัจเจกชน ทั้งนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าเด็กรุ่นใหม่มีแน้มโน้มกลั่นแกล้งกันเรื่องการเหยียดหรือเบียดขับ
น้อยลง แต่ในเรื่องการกลั่นแกล้งอื่นๆ ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะยังมีต่อไปแน่นอนรวมถึงการกลั่นแกล้งที่ได้พูดไว้ข้างต้นอีก
ด้วย ฉะนั้นแล้วการแก้ไขปัญหาของข้าพเจ้าคือการเพ่ิมวิชาชีพที่มีทักษะในการให้การปรึกษาแก่เด็กและเยาวชนไป
ประจำในสถานศึกษา เพื่อเด็กและเยาวชนท่ีไม่สามารถหาทองออกให้แก่ปัญหา ณ ตอนนั้น แต่การจะเพิ่ม บุคคลากร
น้ันมขี ้อน่ากงั วลทวี่ า่ จำเปน็ จะตอ้ งมี
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 193
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
งบประมาณหรือมีผู้จัดการงบประมาณที่เห็นค่าความสำคัญของการมีผู้เชี่ยวชาญด้ายการให้การปรึกษาในร่ัว
สถานศึกษา อาทิ นกั จติ วทิ ยา นกั สงั คมสงเคราะห์ เป็นต้น
ผ้จู ดั ทำคนท2่ี
มีข้อเสนอว่า กระทรวงการศึกษาต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องน้ี เนื่องจากกระทรวงการศึกษามีอำนาจในการ
บังคับให้แกละโรงเรียนมีนโยบายการป้องกันการถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน ตามความเหมาะสมและกระทรวงการศึกษา
สามารถตรวจสอบนโยบายท่ีแต่ละโรงเรยี นกำหนดไว้ อีกท้ังตรวจสอบวา่ ทางโรงเรียนได้ใชน้ โยบายน้นั จรงิ หรอื ไม่
ผูจ้ ัดทำคนที่ 3
มีข้อเสนอแนะว่า ในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการร่วมงานกับสถานศึกษา
และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องเพื่อร่วมการวางแผนแก้ไขในเรื่องของการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน เช่น การจัดชั่วโมงให้
คำปรึกษาที่มาในรูปแบบของกิจกรรม อีกทั้งการที่นักสังคมสงเคราะห์พึงเข้าใจหน้าที่ของตนเองให้มากพอ ในการ
แก้ไขปัญหาที่ต้องแก้ตั้งแต่ต้นเหตุไม่ใช้ปลายเหตุ กล่าวคือการไม่รอให้เด็กโดนกลั่นแกล้งและส่งผลให้เด็กเกิด
บาดแผลในใจก่อนแล้วค่อยให้ความช่วยเหลือ หรือจบที่สถานส่งเคราะห์ต่างๆ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างต่างล้วน
มีความเก่ียวข้องกับระบบโครงสร้างทางสังคมที่เป็นองค์ประกอบหลัก การที่ทุกภาคส่วนควรให้ความสนใจในเรื่องน้ี
โดยเฉพาะภาครัฐ กระทรวงศึกษาที่ควรมีการเปลี่ยนหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้มีการปฏิบัติมากยิ่งขึ้น แล้วควรมีวิชาที่แนะ
แนวเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในสังคม หรือปลูกฝังให้เด็กเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่นผ่านวิชาปฏิบัติ เพราะลำพังนัก
สังคมสงเคราะหไ์ มส่ ามารถแก้ไขปัญหาดังกลา่ วได้
CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 194
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
บทที่ 5
สรุปผลการศกึ ษาและขอ้ เสนอแนะ
5.1 สรปุ ผลการศกึ ษา
การศึกษาเรื่อง "การกลั่นแกล้งในสถานศึกษา" มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.) เพื่อศึกษาสาเหตุและผลกระทบของ
การกลั่นแกล้งในสถานศึกษา 2.) เพื่อศึกษาแนวทางการรับมือของการกลั่นแกล้งในสถานศึกษา 3.) เพื่อศึกษา
วิธีการก้ไขปัญหาของการกลั่นแกล้งในสถานศึกษา โดยการศึกษาเรื่องการกลั่นแกล้งในสถานศึกษาสามารถสรุป
เนอ้ื หาได้ดงั นี้
5.1.1 สาเหตุและผลกระทบท่เี ชอื่ มโยงซ่งึ กนั และกัน
จากที่คณะผู้จัดทำได้นำสาเหตุมาวิเคราะห์ควบคู่ไปกับผลกระทบพบว่า สาเหตุในบางสถานการณ์นั้นส่งผล
ต่อผลกระทบ โดยเรอื่ งทเี่ ช่อื มโยงกันได้แกเ่ รอื่ งสังคม และ การเลยี นแบบพฤติกรรมทีเ่ กิดมาจากการเรยี นรทู้ างสังคม
1.) เมื่อสาเหตุคือต้องการเบียดขับใครสักคนหนึ่งออกจากสังคมแน่นอนว่าผลกระทบที่ตามคือการที่ผู้ถูดเบียบขับไม่
สามารถมีจุดยืนในสังคมได้อีกต่อไป ต่อมาในเรื่องของ 2. การเลียนแบบพฤติกรรมที่เกิดมาจากการเรียนรู้ทางสังคม
ในส่วนของปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเมื่อเด็กท่ีเติบโตขึ้นมาต้องเจอกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นลบยกตัวอย่างเช่นปัญหาความ
รุนแรงในครอบครัว มีโอกาสที่เด็กจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบเกิดขึ้น โดยการแก้ปัญหาที่ครอบครัวแสดงให้เด็กเห็น
คือการใช้ความรุนแรง เด็กจึงนำวิธีนั้นมาเป็นการแก้ไขปัญหาเช่นเดียวกันกับสิ่งที่เขาเห็นตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก
จนถงึ ปจั จุบัน
5.1.2 การแก้ไขปัญหาทแี่ ตกตา่ งตามบรบิ ทพนื้ ที่
จากวิธีการแก้ปัญหา คณะผู้จัดทำได้ศึกษาวิธีการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยและกรณีศึกษาประเทศอื่นๆ โดยมีผล
สรุปว่าวิธีการแก้ปัญหาของแต่ละประเทศมีความคล้ายคลึงกันคือการกำหนดหน้าที่ให้แก่ครูผู้สอนว่าต้องเข้มงวดใน
การตรวจตราและเข้าถึงสถานการณ์อย่างทันที และวิธีการแก้ไขปัญหาที่เห็นเป็นรูปธรรมอย่างในกรณีของประเทศ
นอร์เวย์และประเทศในสหราชอาณาจักรที่มีแผนการป้องกันนโยบาย วิธีการรับมือที่เข้มงวดและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะ
ประเทศในสหราชอาณาจกั รท่ีมีการออกกฎหมายการกลั่นแกลง้ เป็นต้น
5.2 ขอ้ เสนอแนะ
5.2.1 ความเอาใจใส่พฤติกรรมของเด็กสำหรับครูและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสถานศึกษาของประเทศ
ไทยสภาพแวดล้อมและสังคมในสถานศึกษาผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างครูและส่วนอื่นๆ ยังไม่ได้เอาใจใส่
ถึงปัญหาการกลั่นแกล้งเท่าที่ควร ในบางครั้งบางสถานการณ์ครูยังมองว่าส่ิงเหล่านั้นเป็นการเล่นกันของ
เดก็ โดยหารูไ้ มว่ ่านน้ั คอื การกลนั่ แกล้ง
5.2.2 กฎหมายไทยที่ไม่เฉพาะเจาะจงจากกรณีตัวอย่างในประเทศสหราชอาณาจักรมีการออก
กฎหมายที่ชี้เฉพาะและมีบทลงโทษพร้อมทั้งมีแผนการป้องกันการเกิดการกลั่นแกล้ง กล่าวคือโครงสร้างทาง
สังคมของประเทศสหราชอาณาจักรให้ความสำคัญกับปัญหาการกลั่นแกล้ง จึงทำให้มีกฎหมายการกล่ัน
แกล้งขึ้นมา
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 195
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
5.3 ขอ้ เสนอแนะต่อการศึกษาคร้ังตอ่ ไป
5.3.1 ควรศึกษาผ่านการสัมภาษณ์ผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งจริง หรือเข้าไปสัมภาษณ์ในสถานศึกษาต่างๆ
มากกว่าน้ี
5.3.2 ควรศกึ ษาเอกสารวจิ ัยเก่ยี วกบั การแกไ้ ขปัญหาของแตล่ ะกรณอี ย่างละเอยี ด
CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 196
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
บรรณานกุ รม
Faith and Bacon. (2021). การบูลลี่ คืออะไร - สาเหตแุ ละการแก้ปญั หา Bully ในสังคม. (Tiger Rattana,
ผอู้ ำนวยการสร้าง) เรยี กใช้เมื่อ พฤษจกิ ายน 2021 จาก https:/faithandbacon.com/bullyingsolutions/.
Khaosod Online. (2562). เปดิ บันทกึ ด.ญ.โดนบูลลผ่ี ูกคอกลายเป็นเจ้าหญงิ นทิ รา โดนลากครึ่งสนาม
เหยียบหน้า. เรยี กใช้เมื่อ 2564 จาก https:/www.khaosod.co.th/special-stories/news 3277730.
pisathailand. (2563). การกลนั่ แกลง้ ในโรงเรียนจากมุมมองของ PISA. เรยี กใช้เมอ่ื พฤษจิกายน 2564 จาก
https://pisathailand.ipst.ac.th/issue-2020-54/
schoolofchangemakers. (2562). [Problem Insight] การกลนั่ แกล้งกนั ในเดก็ และเยาวชน. เรยี กใชเ้ ม่อื 2564 จาก
https://www.schoolofchangemakers.com/knowledge/22482/
Urbinner. (2563). วธิ ีการรบั มอื กบั การโดนบูลลี่ (Bully และคณุ ควรดแู ลจติ ใจตวั เองอย่างไรเมอื่ ถกู บลู ล่.ี เรยี กใชเ้ ม่ือ
rAK0bdkpo 2564 จาก https://www.urbinner.com/post/how-to-deal-with-
beingbullied#viewer-23f4d.
workpoint TODAY. (2561). ศกึ ษาจากทัว่ โลก เด็กรังแกกันในโรงเรยี น' แก้ปญั หาอยา่ งไร. เรียกใชเ้ มอื่
พฤษจิกายน 2564 จาก
https://workpointtoday.com/%e0%b8%a8%e0%b8%b6%e0%8%81%e0%b8%a9%e
0968%62%0968988%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b897%e0%b8%b1%e0%b9
%88%e0%68%a 7%e0%69%82%e0%b8%a5%e0%b8%81-
%e0%69580%e09b8%94%e09b987%0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b1/.
นางสาวธารารัตน์ ชิญช้าง. (2560). ทฤษฎกี ารเรียนรูท้ างสงั คม (Social Learning Theory) ของแบนดูรา.เรยี กใช้
เมือ่ 2560 จากhttps://sites.google.com/site/thvsdiphathnakardekpthmway/thvsdi-thi-
keiywkhxng-kab-phathnakar-dek-pthmway/thvsdi-kar-reiyn-ru-thang-sangkhm-social-
learning-theory-khxng-baen-dura.
ภัทรจรัส บำรุงพงษ์ อุนิษา เลิศโตมรสกุล. (2562). การกลน่ั แกลง้ ในมหาวิทยาลัย กรณศี ึกษานสิ ิตท่ีมีความตอ้ งการ
พิเศษ. วารสารคณุ ภาพชีวิตกบั กฎหมาย.
มลู นิธิยวุ พฒั น.์ (1 เมษายน 2562). การกลนั่ แกลง้ (Bullying) ความรนุ แรงในสังคม. เรยี กใชเ้ ม่อื พฤษจิกายน 2564
สำนกั ขา่ วไทยรฐั ออนไลน.์ (2562). พบ ม.1 ยงิ ดบั เพือ่ นรว่ มห้อง "เตรียมการมาจากบา้ น" อ้างแคน้ ล้อเป็นตุ๊ด.
เรียกใชเ้ ม่อื พฤษจกิ ายน 2562 จากhttps://www.thairath.co.th/news/local/centraV/1728916.