The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยสันติภาพชั้นสูง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by khantong7339, 2022-06-29 14:03:01

วิจัยสันติภาพชั้นสูง

วิจัยสันติภาพชั้นสูง

เ อ ก ส า ร คำ ส อ น
ร า ย วิ ช า

ระเบียบวิธีวิจัยชั้นสูงว่าด้วย
สันติภาพ



ADVANCED RESEARCH
METHODOLOGY ON PEACE

ผ ศ . ด ร . ขั น ท อ ง วั ฒ น ะ ป ร ะ ดิ ษ ฐ์

ห ลั ก สู ต ร สั น ติ ศึ ก ษ า ม ห า วิ ท ย า ลั ย ม ห า จุ ฬ า ล ง ก ร ณ ร า ช วิ ท ย า ลั ย

เอกสารคำสอน
รายวิชา

ระเบยี บวิธวี จิ ยั ชั้นสูงว่าดว้ ยสนั ติภาพ
Advanced Research Methodology on Peace

ผศ.ดร.ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์
สาขาวิชาสันตศิ ึกษา
บัณฑิตวิทยาลยั

มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

พ.ศ. ๒๕๖๕

เอกสารคำสอน
รายวชิ า

ระเบยี บวธิ วี จิ ยั ชั้นสูงวา่ ดว้ ยสนั ติภาพ
Advanced Research Methodology on Peace

ผศ.ดร.ขนั ทอง วัฒนะประดษิ ฐ์

บธ.บ. (การโฆษณาและประชาสัมพนั ธ์, ศศ.ม.
(จติ วทิ ยาอุตสาหกรรมและองค์การ), พธ.ด. (พระพทุ ธศาสนา)

สาขาวิชาสนั ติศกึ ษา
บณั ฑิตวทิ ยาลัย

มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั

พ.ศ. ๒๕๖๕

(๑)

คำนำ

เอกสารคำสอน ระเบียบวิธีวิจัยชั้นสูงเพื่อสันติภาพ (Advanced Research Methodology on
Peace) รหัสวิชา ๘๑๑ ๑๐๔ เล่มน้ี ผู้เขียนไดเ้ รียบเรียงและจัดทำขึ้นเพือ่ ใช้ประกอบการเรียน การสอนใน
ระดบั บัณฑติ ศึกษา สาขาวชิ าสนั ติศึกษา ตามหลกั สูตรของมหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ผเู้ ขยี นได้
แบง่ เน้อื หาออกเป็น ๑๐ บท โดยมีวัตถุประสงค์ที่มงุ่ เน้นให้ผู้ศึกษาหรือผูท้ ส่ี นใจงานด้านสนั ตภิ าพไดศ้ กึ ษาหลัก
แนวคิดพื้นฐานปรัชญางานวิจัยเพื่อสันติภาพ อันเป็นพื้นฐานในการออกแบบวิธิวิจัยด้วยระเบียบวิธีและ
กระบวนการวิจัยชั้นสูงเพื่อการสร้างสันติภาพ มุ่งเน้นการวิจัยแบบผสานวิธี ทั้งเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ
ออกแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการลงพื้นที่ การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส วนร่วม การวิจัยเชิงนโยบาย การ
ออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง ตลอดจนไปถึงการวิจัยเพ่ือรับใชสังคม เพื่อนำไปสู่การวิจัยสร้างองคความรู้ใหม่
โดยบรู ณาการเรียนการสอนผ่านการลงมอื ปฏบิ ตั ิบม่ เพาะให้ผู้เรียนเกิดอิทธิบาก ๔ ในการนำหลักพุทธสันติวิธี
มาใช้ในการบูรณาการออกแบบการวิจัยเกิดนวตั กรรมทางพระพุทธศาสนา

ผู้เขียนขอขอบคณุ คณาจารย์ผู้ประสทิ ธิประสาทวิชาความรู้เกี่ยวกับงานวิจัยทุกท่านทีม่ ีส่วนทำให้
ผู้เขียนได้รับการพัฒนาจนสามารถเขียนและเรียบเรียงองค์ความรู้เกี่ยวกับการวิจัยผ่านเอกสาร ประกอบการ
สอนนี้ และขอขอบคณุ เจ้าของผลงานทีเ่ ป็นหนังสือ ตำรา เอกสารทางวชิ าการและแหล่งข้อมูลทีน่ ำมาอ้างอิง
เติมเตม็ ให้สาระเน้ือหาของรายวชิ ามคี วามสมบรู ณย์ ิ่งขึน้ ทงั้ นีห้ ากทา่ นผ้อู า่ นได้พบเหน็ ความผิดพลาดประการ
ใด หรือตอ้ งการเสนอแนะเพมิ่ เติม ผู้เขียนยนิ ดรี บั ฟงั และพร้อมนำมาปรับปรุง พฒั นา เพ่ือให้เอกสารการสอนน้ี
มีความสมบูรณ์ยิง่ ขึน้

ผศ.ดร. ขนั ทอง วัฒนะประดิษฐ์
หลกั สตู รสนั ตศิ กึ ษา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

๓๐ ตลุ าคม ๒๕๖๓

(๒) สารบญั

คำนำ (ก)
สารบัญ
สารบญั ภาพ (๒-๙)
สารบญั ตาราง
(๑๐)
บทท่ี ๑ ปรชั ญางานวจิ ยั ด้านสันตภิ าพ (๑๒-๑๓)
๑.๑ สองกระแสแนวคิดปรชั ญาการวิจยั พ้ืนฐาน
๑.๑.๑ ปรชั ญาวจิ ัยการในทรรศนะแนวคิดตะวันตก ๑
๑.๑.๒ ปรชั ญาวิจยั ในทรรศนะของพระพทุ ธศาสนา
๑.๒ แนวคดิ พทุ ธสันตวิ ิธกี ับกระบวนสร้างสันตภิ าพ ๑
๑.๒.๑ ประเภทของความขดั แยง้ ๒
๑.๒.๒ รากเหง้าท่ีมาแหง่ ความขดั แย้งตามมุมมองพระพทุ ธศาสนา ๑๓
๑.๒.๓ ลกั ษณะการกอ่ ตัวของความขัดแยง้ ๑๖
๑.๒.๔ พุทธสันติวธิ :ี เครือ่ งมือสำคญั ของการวจิ ยั เพอ่ื สนั ตภิ าพ ๑๗
๑.๒.๕ กระบวนการสร้างสนั ตภิ าพในทางพระพุทธศาสนา ๑๗
๑.๓ ปรัชญาการวิจยั เพอื่ สันตภิ าพ ๒๒
๑.๓.๑ นกั ปรัชญาสนั ตภิ าพคนสำคญั ในโลกตะวนั ตก ๒๒
๑.๓.๒ พัฒนาการศึกษาปรัชญาสันตภิ าพ ๒๓
๑.๓.๓ ปรัชญาสนั ติภาพใหค้ วามสำคญั กบั อะไร ๒๔
๑.๓.๔ นกั ปรชั ญาสันตภิ าพในทางพระพทุ ธศาสนา ๒๔
๑.๓.๕ ปรชั ญาสนั ตภิ าพในทางพระพทุ ธศาสนาเปน็ อย่างไร? ๒๕
๑.๓.๖ ปรัชญาวจิ ยั เพ่อื สนั ติภาพ ๒๖
๑.๓.๗ วศิ วกรสนั ตภิ าพคอื อะไร และมจี ดุ มุง่ หมายอย่างไร? ๒๒
๑.๓.๖ วิศวกรสันตภิ าพกับการออกแบบงานดา้ นสันตภิ าพ ๒๙
๑.๔ สรปุ ๓๐
คำถามทบทวนบทที่ ๑ ๓๐
เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๓๑
๓๒
บทที่ ๒ ประเภท ปัญหาการวิจัย หลักการต้ังชอ่ื วิจยั ๓๓
๒.๑ ประเภทการวจิ ยั ๓๔

๓๗

๓๗

๒.๑.๑ แบ่งตามลกั ษณะจุดหมายประโยชนใ์ นการนำไปใช้ (๓)
๒.๑.๒ แบง่ ตามลักษณะวธิ ีวิทยาการวิจัย
๒.๑.๓ แบ่งตามกระบวนการเข้าถึงความรู้ ความจรงิ ๓๗
๒.๒ พัฒนาการของงานวจิ ัยเพื่อสนั ติภาพ ๓๘
๒.๒.๑ พฒั นาการศกึ ษาวิจยั เพอื่ สนั ตภิ าพในระดบั ปริญญาโท ๔๐
๒.๒.๒ พฒั นาการศกึ ษาวจิ ัยเพอ่ื สันตภิ าพในระดับปรญิ ญาเอก ๔๑
๒.๓ คำถามวิจยั และการกำหนดโจทยว์ ิจัยทส่ี อดคลอ้ งกบั งานด้านสันติภาพ ๔๒
๒.๓.๑ โจทยห์ รอื คำถามการวิจยั /ปัญหาการวจิ ัยคืออะไร? ๔๔
๒.๓.๑ โจทยห์ รอื คำถามการวจิ ยั /ปญั หาการวจิ ยั คอื อะไร? ๔๖
๒.๔ หลักการเขียนช่ือเรอื่ งการวิจัยแบบบรู ณาการด้วยพทุ ธสันตวิ ิธี ๔๖
๒.๔.๑ หลกั เกณฑใ์ นการเขียนชอื่ เร่อื งวิจยั ๕๔
๒.๔.๒ ขอ้ สังเกตเพ่ิมเตมิ หลักในการตั้งชอื่ เรอื่ งและขอ้ ควรหลกี เล่ียง ๕๕
๒.๔.๓ ถอดบทเรยี นงานวจิ ยั จากคำถามการวิจยั ไปส่กู ารตง้ั ชอ่ื เรื่อง ๕๖
๒.๕ สรปุ ๕๖
คำถามทบทวนบทท่ี ๒ ๕๗
เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๕๘
๕๘
บทท่ี ๓ การทบทวนวรรณกรรมสำหรับการวิจยั ชนั้ สงู ๖๐
๓.๑ ทำไมต้องทบทวนวรรณกรรม
๓.๑.๑ การทบทวนวรรณกรรมคืออะไร ๖๒
๓.๑.๒ การทบทวนวรรณกรรมสำคญั อยา่ งไร ๖๒
๓.๑.๓ วัตถุประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรม ๖๒
๓.๑.๔ การทบทวนวรรณกรรมอยูข่ ้ันตอนใดของการวิจัย ๖๓
๓.๑.๕ ประเภทคณุ ลกั ษณะของการทบทวนวรรณกรรม ๖๕
๓.๒ การคดั เลือกทบทวนวรรณกรรมทเ่ี หมาะสม ๖๕
๓.๓ แหล่งสืบคน้ วรรณกรรมทีเ่ กยี่ วขอ้ ง ๖๖
๓.๔ เทคนิคการเรียบเรียงประเดน็ ในการทบทวนวรรณกรรม ๖๘
๓.๔.๑ สาระสำคญั หลกั ของการทบทวนวรรณกรรม ๗๐
๓.๔.๒ ขัน้ ตอนการพฒั นาการทบทวนวรรณกรรม ๗๒
๓.๔.๓ ลำดบั ขน้ั ตอนในการเขียนทบทวนวรรณกรรมอง ๗๓
๓.๕ เทคนิคและรูปแบบการเขยี นทบทวนวรรณกรรม ๗๓
๓.๕.๑ เทคนคิ และรูปแบบการเขยี นทบทวนวรรณกรรม ๗๕
๗๕
๗๕

(๔) ๗๗
๘๕
๓.๕.๒ ตัวอยา่ งการทบทวนวรรณกรรมแบบตา่ งๆ ๘๖
๓.๕.๓ ส่งิ ทคี่ วรทำและไมค่ วรทำในการเขียนทบทวนวรรณกรรม ๘๖
๓.๕.๔ เทคนิคการเขียนเรียบเรียงทบทวนวรรณกรรม ๘๗
๓.๖ สรปุ ๘๘
คำถามทบทวนบทที่ ๓
เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๘๙
๘๙
บทที่ ๔ การสรา้ งและสังเคราะหก์ รอบแนวคดิ งานวจิ ัยสู่การตั้งวตั ถปุ ระสงค์ ๙๐
๔.๑ กรอบแนวคดิ การวิจัยคืออะไร และสำคญั อยา่ งไร ๙๒
๔.๑.๑ ความหมายกรอบแนวคิดการวจิ ยั ๙๒
๔.๑.๒ ความสำคัญของกรอบแนวคดิ การวิจัย ๙๒
๔.๑.๓ แหลง่ ทีม่ าของกรอบแนวคิดการวิจัย ๙๔
๔.๑.๔ กรอบแนวคดิ การวิจัยกบั งานวิจยั เชงิ คุณภาพและการวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ ๙๕
๔.๑.๕ ความแตกต่างระหว่างกรอบแนวคดิ กับกรอบทฤษฎี ๙๕
๔.๑.๖ องคป์ ระกอบของกรอบแนวคิด ๙๗
๔.๑.๗ หลกั ในการเลอื กกรอบแนวความคิดในการวจิ ัย ๙๗
๔.๒ การสร้างและสงั เคราะหก์ รอบแนวคิดงานวิจัยเพอ่ื สนั ตภิ าพ ๑๐๑
๔.๒.๑ การสร้างกรอบแนวคดิ ๑๐๕
๔.๒.๒ รูปแบบแผนภาพกรอบแนวคดิ การวจิ ัย ๑๐๘
๔.๒.๓ ตัวอย่างกรอบแนวคิดงานวจิ ยั เพ่อื สันตภิ าพ ๑๐๘
๔.๓ วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจยั ๑๐๙
๔.๓.๑ วัตถุประสงค์การวจิ ัยคอื อะไรและสำคัญอยา่ งไรกับงานวจิ ยั ๑๑๐
๔.๓.๒ หลกั การเขยี นวตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั ๑๑๓
๔.๓.๓ ตวั อย่างการเขยี นวัตถุประสงค์การวจิ ัยเพอื่ สนั ติภาพ ๑๑๓
๔.๔ เทคนคิ การเขียนความเปน็ มา นิยามศพั ท์ในงานวจิ ยั ๑๑๖
๔.๔.๑ เทคนิคการเขียนความเปน็ มา นิยามศพั ทใ์ นงานวิจัย ๑๑๗
๔.๔.๒ นยิ ามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัย ๑๑๘
๔.๕ สรปุ ๑๑๙
คำถามทบทวนบทที่ ๔
เอกสารอา้ งอิงประจำบท

(๕)

บทท่ี ๕ การออกแบบการวิจัยเชงิ ปรมิ าณ ๑๒๐
๕.๑ ความรู้พนื้ ฐานเก่ยี วกบั การออกแบบการวจิ ยั ๑๒๐
๕.๑.๑ อะไรทเ่ี รยี กวา่ การออกแบบการวิจยั และสำคญั อยา่ งไร? ๑๒๐
๕.๑.๒ หลกั ๕ ค. จดุ มุง่ หมายของการออกแบบการวจิ ยั ๑๒๑
๕.๑.๓ ประเภทของแบบแผนการวจิ ยั ๑๒๓
๕.๒ แบบแผนการวจิ ัยเชิงปริมาณ ๑๒๔
๕.๒.๑ ประเภทของแบบการวิจัยเชิงปริมาณ ๑๒๕
๕.๒.๒ เกณฑใ์ นการออกแบบการวิจัยเชิงปรมิ าณ ๑๓๔
๕.๒.๓ Max-Min-Con Principle :หัวใจสำคัญในการออกแบบวจิ ยั เชงิ ปริมาณ ๑๓๗
๕.๒.๔ ขัน้ ตอนการออกแบบการวิจัยเชงิ ปรมิ าณ ๑๓๘
๕.๒.๕ ลักษณะการออกแบบวิจัยท่ดี ี ๑๔๐
๕.๓ สมมุติฐานการวจิ ัย ตัวแปรวจิ ยั ๑๔๑
๕.๓.๑ ความหมายของสมมุตฐิ านการวจิ ัย ๑๔๑
๕.๓.๒ ประเภทของสมมุติฐานการวจิ ยั ๑๔๒
๕.๓.๓ นานาคำถามเกย่ี วกับสมมุติฐานการวจิ ยั ๑๔๓
๕.๓.๔ ตัวแปรวจิ ัย ๑๔๔
๕.๓.๕ ประเภทของตวั แปร ๑๔๕
๕.๓.๖ การวัดตัวแปร ๑๔๘
๕.๔ ประชากร ตัวอยา่ ง และกลมุ่ ตัวอยา่ งกบั การออกแบบการวจิ ยั ๑๕๑
๕.๔.๑ ความหมายของประชากร ตวั อยา่ ง กลมุ่ ตัวอย่าง ๑๕๑
๕.๔.๒ การคำนวณขนาดตวั อยา่ ง และวิธสี ุม่ ตัวอย่างทเี่ ปน็
ตวั แทนที่ดีของประชากร ๑๕๔
๕.๔.๓ วธิ ีการสมุ่ ตวั อยา่ ง ๑๕๙
๕.๕ การเลือกใช้สถิตใิ นการออกแบบการวิจยั เชงิ ปรมิ าณ ๑๖๕
๕.๕.๑ ประเภทของสถติ ิกับงานวจิ ัย ๑๖๕
๕.๔.๒ การเลอื กใช้สถติ ใิ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู ๑๗๐
๕.๖ สรปุ ๑๗๒
คำถามทบทวนบทท่ี ๕ ๑๗๒
เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๑๗๓

(๖)

บทท่ี ๖ การออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ๑๗๕

๖.๑ หลักการพ้ืนฐานของการวจิ ัยเชิงคุณภาพ ๑๗๕

๖.๑.๑ ความเข้าใจเก่ยี วกบั งานวิจยั เชงิ คุณภาพ ๑๗๕

๖.๑.๒ ลักษณะเชิงกลยทุ ธ์ของการวิจัยเชงิ คณุ ภาพ ๑๗๗

๖.๑.๒ ลกั ษณะเชิงกลยทุ ธข์ องการวจิ ัยเชิงคุณภาพ ๑๗๙

๖.๒ รูปแบบการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ ๑๘๒

๖.๒.๑ วจิ ัยเชิงคุณภาพแบบชาตพิ ันธุ์วรรณนา ๑๘๒

๖.๒.๒ วจิ ยั เชิงคณุ ภาพแบบสรา้ งทฤษฎีจากข้อมลู ๑๘๒

๖.๒.๓ วิจยั เชงิ คุณภาพแบบกรณศี กึ ษา ๑๘๓

๖.๒.๔ วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพแบบปรากฏการณ์วิทยา ๑๘๔

๖.๒.๕ วิจัยเชิงคณุ ภาพแบบเล่าเรอ่ื ง ๑๘๕

๖.๒.๖ วิจยั แบบการสนทนากลมุ่ ๑๘๕

๖.๓ หลักการออกแบบการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ ๑๘๖

๖.๓.๑ ความหมาย และความแตกต่างระหว่างการออกแบบการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ

กบั การวจิ ัยเชิงปริมาณ ๑๘๖

๖.๓.๒ องคป์ ระกอบของการออกแบบการวิจยั เชงิ คุณภาพ ๑๘๗

๖.๔ เกณฑก์ ารเลอื กผใู้ หข้ ้อมลู หลกั ในงานวจิ ยั เชงิ คุณภาพ ๑๙๒

๖.๔.๑ กลยุทธก์ ารเลือกผูใ้ หข้ ้อมลู หลกั ในงานวิจยั เชิงคุณภาพ ๑๙๒

๖.๔.๒ การกำหนดขนาดตัวอยา่ งในการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ ๑๙๗

๖.๕ สรปุ ๑๙๗

คำถามทบทวนบทท่ี ๖ ๑๙๙

เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๒๐๐

บทที่ ๗ การประยุกต์การออกแบบงานวิจัยเพื่อสนั ตภิ าพ ๒๐๑
๗.๑ การวิจยั แบบผสานวธิ ี (Mix Method Research) ๒๐๑
๗.๑.๑ ที่มาและความหมายของการวจิ ัยแบบผสานวธิ ี ๒๐๑
๗.๑.๒ แบบแผนการวิจยั ผสมผสานวิธี ๒๐๓
๗.๑.๓ ข้อดีและข้อจำกดั ของการวิจยั แบบผสมผสาน ๒๑๑
๗.๒ การวิจยั พฒั นา (R&D) ๒๑๒
๗.๒.๑ ความหมายและความเปน็ มาของการวิจยั และพัฒนา ๒๑๒
๗.๒.๒ ลักษณะสำคัญของการวิจยั และพัฒนา ๒๑๓
๗.๒.๓ ประเภทของการวจิ ัยและการพัฒนา ๒๑๕

๗.๒.๔ จดุ ม่งุ หมายของ R&D (๗)
๗.๒.๕ ข้อสังเกตการตงั้ ชื่อเรื่องการวิจัยและพฒั นา
๗.๒.๖ ขั้นตอนหรอื กระบวนการวจิ ัยและพฒั นา ๒๑๗
๗.๒.๗ หลกั การออกแบบการวจิ ัยและพัฒนา ๒๑๘
๗.๒.๘ การวิเคราะหข์ ้อมลู ในการวจิ ยั และพฒั นา ๒๑๙
๗.๒.๙ การเขียนรายงานวจิ ัยและพฒั นา ๒๒๑
๗.๒.๑๐ ข้อดีและข้อจำกัดของการวิจยั และพัฒนา ๒๒๓
๗.๒.๑๑ ตัวอยา่ งการออกแบบการวจิ ัยและพฒั นากบั งานวิจยั เพอ่ื สนั ติภาพ ๒๒๓
๗.๓ การวิจยั เชิงปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม (PAR) ๒๒๔
๗.๓.๑ ความหมายและความเปน็ มาของการวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารอยา่ งมสี ่วนรว่ ม ๒๒๕
๗.๓.๒ หลกั การสำคญั ของการวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิการอยา่ งมสี ่วนรว่ ม ๒๓๑
๗.๓.๓ คณุ ลักษณะของนักวจิ ยั ท่ีเสรมิ ศักยภาพการเป็นนกั วจิ ยั แบบ PAR ๒๓๑
๗.๓.๔ ความเชือ่ พน้ื ฐานของ PAR ๒๓๒
๗.๓.๕ ลกั ษณะเฉพาะทส่ี ำคญั ของวจิ ัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม ๒๓๓
๗.๓.๖ กระบวนการและขน้ั ตอนในการดำเนินการวจิ ยั PAR ๒๓๔
๗.๓.๗ เครื่องมอื วิจัยและวธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ๒๓๕
๗.๓.๘ เทคนิคกระบวนการวางแผนแบบมสี ่วนรว่ ม ๒๓๗
๗.๓.๙ ตวั อยา่ งงานวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการอยา่ งมีส่วนรว่ ม ๒๔๑
๗.๔ สรปุ ๒๔๓
คำถามทบทวนบทที่ ๕ ๒๔๕
เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๒๕๔
๒๕๔
๒๕๕

บทที่ ๘ เครื่องมอื วจิ ัย: การสร้างเครือ่ งมอื และการตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมอื ๒๕๖
๘.๑ เครอ่ื งมอื การวจิ ัย ๒๕๖
๘.๑.๑ เครอื่ งมอื วิจัยคืออะไร และสำคญั อยา่ งไรกบั การทำวิจัย ๒๕๗
๘.๑.๒ ประเภทของเครือ่ งมอื วจิ ัย ๒๕๗
๘.๑.๓ ขอ้ ดี และขอ้ จำกัดของเครอื่ งมอื วิจัยแตล่ ะประเภท ๒๖๐
๘.๑.๔ การเลือกใช้เครือ่ งมอื ๒๖๕
๘.๑.๕ คณุ ลักษณะของเคร่ืองมือวิจัยท่ีดี ๒๖๖
๘.๒ ขนั้ ตอนการสรา้ งเคร่ืองมือวิจัยทม่ี คี ุณภาพ ๒๖๘
๘.๒.๑ การสร้างเคร่อื งมือวจิ ยั เชิงปรมิ าณทม่ี ีคุณภาพ ๒๖๘
๘.๒.๒ การสรา้ งเครือ่ งมือวจิ ยั เชิงคุณภาพ ๒๗๕

(๘) ๒๘๑
๒๘๑
๘.๓ การตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมือ ๒๘๒
๘.๓.๑ ความเข้าใจพ้นื ฐานเก่ยี วกบั การตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื ๒๘๓
๘.๓.๒ การตรวจสอบความเทยี่ งตรงของเคร่ืองมือ ๒๘๔
๘.๓.๓ แนวทางปฏิบตั เิ บือ้ งต้นในการสรา้ งเครอ่ื งมอื วิจยั ใหม้ ีความเที่ยงตรง ๒๘๕
๘.๓.๔ การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่อื งมอื วจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ ๒๘๗
๘.๓.๕ การตรวจสอบคณุ ภาพเครือ่ งมอื วจิ ัยเชงิ คุณภาพ ๒๙๐
๒๙๑
๘.๔ ปัจจยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ ความคลาดเคล่อื นในการวดั ๒๙๒
๘.๕ สรปุ
๒๙๔
คำถามทบทวนบทท่ี ๘ ๒๙๔
เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๒๙๕
๒๙๕
บทท่ี ๙ การรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล และอภิปรายผล ๒๙๕
๙.๑ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ๒๙๖
๙.๑.๑ ทำความเข้าใจเกย่ี วกบั ข้อมลู ๒๙๗
๙.๑.๒ ความหมายและความสำคัญของการเก็บรวบรวมข้อมูล
๙.๑.๓ ลักษณะสำคญั ของการการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ๒๙๗
๙.๑.๔ การเตรยี มการสำหรบั การเก็บรวบรวมข้อมูล ๒๙๘
๙.๑.๕ ขน้ั ตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล ๓๐๐
๙.๑.๖ ปจั จยั ทเี่ กย่ี วข้องกบั การพิจารณาเลอื กเครอ่ื งมือและวธิ ีการใน ๓๐๐
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ๓๐๑
๙.๑.๗ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งขัน้ ตอนการเก็บขอ้ มลู กบั ขั้นตอนอ่นื ๆ ๓๐๒
๙.๒ การวิเคราะห์ข้อมลู ๓๐๒
๙.๒.๑ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู การวจิ ยั เชิงปรมิ าณ ๓๐๓
๙.๒.๒ การวิเคราะห์ขอ้ มลู เชิงปรมิ าณดว้ ยโปรแกรม SPSS ๓๑๔
๙.๒.๓ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ๓๑๗
๙.๒.๔ องคป์ ระกอบสำคญั ของการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ๓๒๐
๙.๒.๕ เทคนิคการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ คุณภาพ ๓๒๐
๙.๒.๖ การแสดงผลข้อมลู วจิ ยั เชิงคณุ ภาพ ๓๒๑
๙.๓ การอภิปรายผลการวจิ ัย
๙.๔ สรุป
คำถามทบทวนบทที่ ๙
เอกสารอ้างองิ ประจำบท

บทที่ ๑๐ จรรยาบรรณนกั วิจัยและจริยธรรมการวจิ ัยในคน (๙)
๑๐.๑ จรรยาบรรณนักวิจัยและแนวทางปฏิบตั ิ
๑๐.๒ จริยธรรมการวิจยั ในมนุษย์ ๓๒๓
๑๐.๓ จรยิ ธรรมในการวจิ ยั ๓๒๓
๑๐.๑ การลักลอกงานวชิ าการและวรรณกรรม (Plagiarism) ๓๒๗
๑๐.๕ สรปุ ๓๒๙
คำถามทบทวนบทท่ี ๑๐ ๓๓๐
เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๓๓๕
๓๓๖
บรรณานุกรม ๓๓๗
ประวัตผิ ู้เขยี น
๓๓๘
๓๔๗

(๑๐)

สารบัญภาพ

ภาพที่ หน้า
ภาพท่ี ๑.๑ แสดงการเปรียบเทยี บกระบวนทศั นก์ ารวิจัยกบั เลนส์ตา ๕
ภาพที่ ๑.๒ แสดงเปรียบเทยี บวธิ กี ารนิรนยั และวธิ กี ารเชิงอุปนัย ๙
ภาพที่ ๑.๓ กระบวนการวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ ๑๐
ภาพที่ ๑.๔ กระบวนการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ ๑๑
ภาพท่ี ๑.๕ การแสดงพทุ ธปัญญากบั กระบวนทศั น์งานวิจัยทางพระพทุ ธศาสนา ๑๖
ภาพที่ ๑.๖ การวเิ คราะหแ์ ก้ปัญหาท่ีสาเหตุ ๓๑
ภาพที่ ๑.๗ กรอบแนวคิดวธิ ีวิจยั เพอ่ื สันตภิ าพ ๓๔
ภาพท่ี ๒.๑ ความสมั พันธข์ องคำถามการวิจยั ทม่ี ผี ลตอ่ การออกแบบวจิ ัย ๔๙
ภาพท่ี ๒.๒ แหลง่ ทม่ี าของคำถามการวิจยั ในทศั นะของผเู้ ขียน ๕๒
ภาพที่ ๓.๑ แสดงความสัมพนั ธ์ระยะการทำวจิ ยั กบั การทบทวนวรรณกรรม ๘๔
ภาพที่ ๓.๒ ตวั อยา่ งทบทวนวรรณกรรมดว้ ยแผนภาพ ๘๕
ภาพที่ ๔.๑ ความสมั พนั ธข์ องการลงคะแนนเสยี งกับตัวแปรอ่นื ๆ ทีต่ ัวแปรอสิ ระไมส่ ัมพนั ธ์กัน
ภาพที่ ๔.๒ แบบจำลองทฤษฎีแรงจูงใจท่ีเกีย่ วข้องกับการฝกึ อบรมและผลการปฏบิ ัตงิ าน ๑๐๐
ภาพที่ ๔.๓ ปัจจัยทีม่ ีผลตอ่ การออกจากงาน ๑๐๐
ภาพที่ ๔.๔ ตัวอย่างกรอบแนวคิดวิจยั เชิงคณุ ภาพ ๑๐๑
ภาพท่ี ๔.๕ ตวั อย่างกรอบแนวคิดวจิ ยั แบบผสานวธิ ี ๑๐๕
ภาพที่ ๔.๖ ตวั อย่างกรอบแนวคิดวจิ ยั แบบผสานวิธี (ก่ึงทดลอง) ๑๐๕
ภาพที่ ๔.๗ ตวั อย่างกรอบแนวคดิ วิจัย (R & D) ๑๐๕
ภาพที่ ๔.๘ ตวั อยา่ งกรอบแนวคิดวิจยั แบบ PAR ๑๐๗
ภาพที่ ๕.๑ สรปุ แบบแผนการวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ ๑๐๘
ภาพที่ ๕.๒ แสดงจุดมงุ่ หมายของการวจิ ยั เชิงปรมิ าณแตล่ ะประเภท ๑๒๕
ภาพที่ ๕.๓ แผนผงั ความคดิ แนวทางการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ ๑๒๕
ภาพที่ ๕.๔ แสดงกระบวนการในการออกแบบการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ ๑๓๖
ภาพที่ ๕.๕ แสดงประชากร และ กลมุ่ ตวั อย่าง ๑๔๐
ภาพที่ ๕.๖ แสดงตัวอย่างการส่มุ แบบจบั ฉลาก ๑๕๔
ภาพที่ ๕.๗ แสดงการสมุ่ ตวั อย่างแบบอย่างงา่ ย ๑๖๐
ภาพท่ี ๕.๘ แสดงการสุม่ ตวั อย่างแบบมรี ะบบ ๑๖๐
ภาพท่ี ๕.๙ แสดงการส่มุ ตวั อยา่ งแบบแบง่ ชนั้ ๑๖๑
ภาพท่ี ๕.๑๐ แสดงการสมุ่ ตวั อย่างแบบแบง่ กลมุ่ ๑๖๑
๑๖๒

ภาพท่ี (๑๑)
ภาพท่ี ๗.๑ แสดงแบบแผนแบบคขู่ นาน
ภาพท่ี ๗.๒ แสดงแบบแผนข้ันตอนเชิงอธิบาย หน้า
ภาพที่ ๗.๓ แสดงแบบแผนขัน้ ตอนเชิงสำรวจ ๒๐๔
ภาพที่ ๗.๔ แบบแผนการทดลองผสมวิธี ๒๐๕
ภาพท่ี ๗.๕ แบบแผนการศึกษากรณี ๒๐๗
ภาพที่ ๗.๖ ตวั อย่างขนั้ ตอนของแบบแผนความยตุ ธิ รรมทางสงั คม ๒๐๘
ภาพที่ ๗.๗ แบบแผนการประเมนิ แบบหลายขั้นตอน ๒๐๙
ภาพที่ ๗.๘ การวิจยั และพัฒนาทเี่ นน้ ขนั้ ตอนการวิจัย ๒๐๙
ภาพท่ี ๗.๙ การวิจัยและพัฒนาทเี่ นน้ กระบวนการพฒั นา ๒๑๑
ภาพท่ี ๗.๑๐ การวิจยั และพฒั นาที่เนน้ การออกแบบการพฒั นา ๒๑๕
ภาพท่ี ๗.๑๐ การวจิ ัยและพัฒนาทเ่ี น้นการออกแบบการพฒั นา ๒๑๖
ภาพท่ี ๗.๑๒ กระบวนการข้ันตอนวิจยั และการพัฒนา (R&D) ๒๑๖
ภาพท่ี ๗.๑๓ โมเดลพืน้ ฐานของการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการแบบมีสว่ นร่วม ๒๑๗
ภาพที่ ๘.๑ แสดงกระบวนการสร้างเครื่องมอื วจิ ยั ๒๒๑
ภาพที่ ๙.๑ แสดงความสัมพันธ์ระหวา่ งขั้นตอนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู กับขัน้ ตอนวจิ ยั อ่ืนๆ ๒๓๖
๒๖๙
๒๙๘

(๑๒) . หนา้

สารบญั ตาราง ๙

ภาพที่ ๑๑
ตารางที่ ๑.๑ สรุปจดุ ยนื ความแตกตา่ งปรชั ญาการวจิ ยั ปฏฐิ านนยิ มกบั ปรากฏการณน์ ยิ ม ๑๒
ตารางที่ ๑.๒ แสดงตัวอยา่ ง วธิ กี ารนิรนยั /อนุมาน (deductive method) ๑๖
ตารางท่ี ๑.๓ แสดงตวั อยา่ ง วิธีการอปุ นัย/อุปมาน (inductive method) ๒๓
ตารางที่ ๑.๔ เปรยี บเทยี บปรชั ญาการวิจยั เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพ ๔๑
ตารางที่ ๑.๕ เปรียบเทยี บประเดน็ แตกต่าง การวิจยั เชิงปริมาณ : วิจยั เชงิ คุณภาพ ๔๒
ตารางที่ ๑.๖ เปรียบเทียบกระบวนการแสวงหาความรู้ ๔๗
ตารางท่ี ๑.๗ สรปุ แนวคิดพื้นฐานสำคัญในการจดั การความขัดแยง้ ตามหลักพุทธสนั ติวธิ ี ๕๐
ตารางท่ี ๒.๑ แสดงประเภทของการวจิ ัยจำแนกตามเกณฑต์ า่ งๆ ๕๓
ตารางท่ี ๒.๒ เปรยี บเทยี บงานวิจัยปรญิ ญาโทและเอก ๗๔
ตารางที่ ๒.๓ เปรียบเทยี บแนวคดิ คำถามวจิ ัยเชิงปรมิ าณและเชิงคุณภาพ ๗๕
ตารางท่ี ๒.๔ แสดงนานาทศั นะเกยี่ วกบั แหล่งที่มาของคำถามการวจิ ยั ๘๑
ตารางท่ี ๒.๕ แสดงกรอบปัญหาการวิจัยสาขาสนั ติศกึ ษา
ตารางท่ี ๓.๑ ตวั อยา่ งการใช้ระบบบัตรคำช่วยในการบนั ทกึ เอกสารทีน่ ำมาทบทวน ๑๓๓
ตารางท่ี ๓.๒ ตวั อย่างการใชต้ ารางสังเคราะห์งานวจิ ยั ๑๕๖
ตารางที่ ๓.๓ แสดงคุณธรรมทพี่ ึงสง่ เสรมิ ให้เยาวชนจากนโยบายของภาคสว่ นต่างๆ ๑๕๗
ตารางท่ี ๕.๑ สรปุ ความแตกต่างระหวา่ งแต่ละแบบแผนการวจิ ยั ๑๖๓
ตารางที่ ๕.๒ ตารางสำเรจ็ ของทาโรยามาเน่ ๑๗๐
ตารางที่ ๕.๓ ตารางสำเรจ็ รปู ของเครจซ่ีและมอร์แกน ๑๗๙
ตารางที่ ๕.๔ สรุปตารางเปรียบเทยี บวิธกี ารเลือกกลุม่ ตัวอย่าง ๑๘๘
ตารางที่ ๕.๕ เปรยี บเทยี บการใชส้ ถิตกับมาตรวัดต่างๆ
ตารางที่ ๖.๑ ขอ้ พิจารณาความเหมาะสมในการใชว้ ิธกี ารวิจยั เชงิ คณุ ภาพ ๑๙๘
ตารางท่ี ๖.๒ ตัวอย่าง คำถามวจิ ยั ที่สมั พันธ์กบั รปู แบบการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ
ตารางท่ี ๖.๓ หลักการในการกำหนดขนาดตวั อย่างของแนวทางการวจิ ัยตาม ๑๙๘
๓๐๔
แนวทางของ Nastasi and Schensul ๓๐๔
ตารางที่ ๖.๔ จำนวนผถู้ ูกสมั ภาษณต์ ามระยะเวลาในการสมั ภาษณต์ ามแนวทาง ๓๐๗
๓๐๙
ของ Nastasi and Schensul
ตารางที่ ๙.๑ การวิเคราะห์คำหลกั เพอ่ื จดั กลมุ่ คำ
ตารางท่ี ๙.๒ การวเิ คราะห์จำแนกสารระบบ
ตารางที่ ๙.๓ การวิเคราะห์โดยการเปรยี บเทยี บเหตุการณ์
ตารางที่ ๙.๔ การวเิ คราะห์สว่ นประกอบ

(๑๓)

ตารางที่ ๙.๕ การวิเคราะหส์ รปุ อปุ นยั จากบนั ทกึ พรรณนา ๓๐๙

ตารางที่ ๙.๖ ตวั อยา่ งของการจำแนกประเภทขอ้ มลู การกำหนดหน่วยของการแจงนับและวิธกี าร

แจงนับในการวิเคราะหเ์ น้ือหาจากบันทกึ การสนทนากลุ่มนกั เรียนเกย่ี วกบั สาเหตุ

ของคะแนนโอเนต็ ต่ำ ๓๑๓

ตารางท่ี ๙.๗ ตัวอยา่ งการให้รหสั และการรายงานผลโดยใชต้ ารางแสดงข้อมลู ๓๑๕

บทท่ี ๑
ปรชั ญางานวิจยั ด้านสนั ติภาพ

บทนำ

การวิจัยนอกจากเปน็ ส่วนหนึ่งของการจบการศึกษาในระดบั บัณฑิตศึกษา และเป็นเครือ่ งมือใน
การแสดงถึงความก้าวหน้าเชงิ วิชาการ ปัจจบุ ันหน่วยงานภาครัฐได้ตระหนักถึงการวิจยั เปน็ เครื่องมือสำคัญใน
การพัฒนาประเทศ โดยคาดหวงั ว่าผลการศึกษาวจิ ยั จะนำมาใชป้ ระโยชน์ในเชิงนโยบายในการพฒั นาประเทศ
เพอ่ื การพฒั นาต่อยอด สร้างนวัตกรรม เพอื่ นำไปส่กู ารผลิตและการบรกิ ารท่ที ันสมยั ๑ นอกจากน้ี การวิจัยเป็น
เคร่ืองมือวิธีการท่ดี ที ่สี ดุ ในการแสวงหาความร้ขู องปญั หาต่างๆ ทม่ี นุษยไ์ ม่รู้และตอ้ งการแสวงหาคำตอบ ทำให้
มนุษย์เกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ โลกและจักรวาล การวิจัยทำให้มนุษยชาติมีความ
เจริญก้าวหน้า มีการพัฒนา มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด๒ แต่มีข้อสังเกตว่า เมื่อกล่าวถงึ
งานวิจัยกับการเรียนระดับบัณฑิตศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระกับดุษฎีบัณฑิต ผู้เขียนมักจะพบว่า ผู้เรียน
มกั จะมองวิจยั เปน็ เรอื่ งยากทำใหเ้ สน้ ทางการเรยี นร้พู ัฒนางานวิจัยถูกปดิ กั้นด้วยทศั นคตบิ างประการหรือด้วย
ความไมเ่ ข้าใจแกน่ แท้ของการทำวิจยั

หลายครั้งในการเรียนการสอนท่ผี เู้ ขียนมกั จะเริม่ ต้นด้วยคำถามว่า งานวิจัยคอื ? ทำไมต้องทำการ
วิจยั ทำไมตอ้ งศกึ ษา? ทงั้ น้ีกเ็ พ่ือให้ผู้เรยี นไดท้ บทวนทำความเขา้ ใจแก่นสาระสำคญั ของการวิจัยอันจะเป็นการ
ปพู ืน้ ฐานความรู้ไปส่กู ารออกแบบการวิจัยทถ่ี ูกต้อง และในฐานะสาขาวิชาสนั ติศกึ ษา งานวจิ ัยเพือ่ สนั ติภาพเปน็
อย่างไร อะไรคือความแตกต่างของวิจัยในสาขาวิชาสันติศึกษากับการวิจัยในศาสตร์สาขาอื่น ดังนั้นในบทน้ี
ผู้เขียนจึงได้เรียบเรียงองค์ความรู้และประสบการณ์ในฐานะอาจารย์ประจำหลักสูตรสาขาวิชาสันติศึกษา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อแสดงถึงปรัชญางานวิจัยด้านสันติภาพที่นิสิตสาขาวิชาสันติ
ศกึ ษา พงึ เรียนร้ทู ำความเข้าใจและมีความชดั เจนเพือ่ ประโยชนใ์ นการพัฒนางานวิจัยด้านสนั ติภาพให้ก้าวหน้า
ยิ่งขนึ้

๑.๑ สองกระแสแนวคดิ ปรัชญาการวิจัยพ้ืนฐาน

แม้วา่ งานวิจยั จะถูกกลา่ วถงึ โดยนักวิชาการตะวันตก แตแ่ ท้จริงแล้วในการศกึ ษาพระพุทธศาสนามี
นกั วิชาการได้แสดงแสดงให้เห็นถึงงานวิจยั ทางพระพทุ ธศาสนาซ่งึ ผเู้ ขียนเห็นว่าท้ังสองกระแสแนวคิดต่างเป็น

๑รายงานผลการดำเนนิ งานของรฐั บาล พลเอก ประยุทธ์ จนั ทร์โอชา นายกรฐั มนตรี ครบรอบ ๑ ปี (๑๒ กนั ยายน
๒๕๕๗-๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๘), “นโยบายขอ้ ๘”, [ออนไลน์], แหล่งทีม่ า: http://www.soc.go.th/ acrobat/payut_report1
_11.pdf[๑๐ เม.ย ๒๕๖๑].

๒บญุ เฉิด โสภณ ทป่ี รกึ ษาดานการวจิ ยั ระดบั ๑๐ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา:
http://statistic.cad.go.th/download/sim2.pdf, [๑๐ เม.ย. ๒๕๖๑].

๒ Advanced Research Methodology on Peace
พ้นื ฐานสำคัญทีท่ ำให้ผู้เรียนสามารถนำมาใช้เป็นเข็มทิศเดินทางไปสคู่ วามรู้ความเขา้ ใจงานวิจัยเพื่อสนั ติภาพ

๑.๑.๑ ปรชั ญาการวิจัยในทรรศนะแนวคิดตะวันตก
วิจัย หรือ Research เป็นศัพท์ทีค่ ุ้นเคยจากแนวคิดนักวิชาการตะวันตก คำว่า “research” มา
จากภาษาฝรั่งเศส “recherché” หมายถึง “การเข้าไปคน้ หาอย่างใกล้ชิด”๓ Cambridge Dictionary ได้ให้
ความของ Research คือ “A detailed study of a subject, especially in order to discover (new)
information or reach a (new) understanding”๔ “การศึกษาที่ให้รายละเอียดในเรื่องใดเรื่องหน่ึงอย่าง
เฉพาะเจาะจงเพ่ือค้นพบสารสนเทศใหม่หรือเพ่ือเข้าถึงความเข้าใจใหม่” และมีนักวชิ าการศกึ ษา ได้ให้นิยาม
การวิจยั คือ กระบวนการขนั้ ตอนทีใ่ ช้การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือเพม่ิ ความเขา้ ใจในหัวข้อหรือประเด็น
ที่ศึกษา โดยประกอบดว้ ย ๓ ขั้นตอน คือ การตั้งคำถาม การรวบรวมข้อมูลเพื่อตอบคำถาม และการนำเสนอ
คำตอบเพ่ือตอบคำถาม๕

ทั้งน้ีการวิจัย (Research) เกิดจากการรวมคำ ๒ คำ คือ คำว่า RE + SEARCH (RE แปลว่าซ้ำ ,
SEARCH แปลว่า ค้น) Research แปลว่า ค้นคว้าซ้ำแล้วซ้ำอีก๖ และที่ประชุม Pan Pacific Science
Congress ค.ศ.๑๙๖๑ โดยนักจิตวิทยาด้านการวิจัยได้อธิบายคำว่า “Research” โดยแยกเป็นอกั ษรอธิบาย
ความหมายไวด้ ังนี้๗

R= Recruitment & Relationship
E= Education & Efficiency
S= Science & Stimulation
E= Evaluation & Environment
A = Aim & Attitude
R = Result
C= Curiosity

๓Wikipedia, the free encyclopedia, Research, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: https://en.wikipedia.org /wiki
/Research#Definitions[10 April 2018].

๔Cambridge Dictionary, Research, [อ อ น ไ ล น์ ], แ ห ล ่ ง ท ี ่ ม า : https://dictionary. cambridge.
org/dictionary /english/research [8 April 2018].

๕Creswell, J. W., Educational Research:Planning, conducting, and evaluating quantitative
and qualitative research, 3rd ed, (Upper Saddle River: Pearson, 2008).

๖การจัดการความรู้ของมหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช, “ฐานความรู้ มสธ.: การวิจัย”, [ออนไลน์], แหล่งที่มา:
http://www.stou.ac.th/knowledgemanagement/ infoserve/kmdb/read_kb.asp?db_id=7&kmdb_id=2[๑๑ เม.ย.
๒๕๖๑].

๗อานนท์ จำลองกุล, “จริยธรรมและจรรยาบรรณการวิจัยในคน”, Chula Med J, Vol. 60 No. 3 (May -
June 2016): 247-254.

ระเบยี บวธิ ีวิจัยช้ันสูงว่าดว้ ยสันติภาพ ๓

H = Horizon

กล่าวไดว้ ่า การวิจัยตามทรรศนะตะวันตก เป็นการรวบรวมข้อมูลและมองหาความเชื่อมโยงของ
ข้อมลู น้นั เพอื่ นำไปสู่การเรียนรูท้ มี่ ปี ระสทิ ธิภาพ โดยอาศัยกระบวนการวิทยาศาสตร์ที่ตอ้ งการกระตุ้นริเร่ิมให้
เกิดขึ้น มกี ารประเมนิ ผลทีค่ ำนึงถงึ สภาพแวดลอ้ มที่เก่ียวข้อง ตอบโจทยห์ รอื เปา้ หมายท่ีกำหนดไว้ชัดเจนด้วย
เจตคติทดี่ ตี ่อการวิจยั กระบวนการเหลา่ น้ที ำให้ไดม้ าซงึ่ ผลการวจิ ัยทมี่ รี ะบบและกระบวนการรองรบั ท้งั หมดจะ
เกดิ ขึน้ ได้ตอ้ งอาศยั ความอยากกระหายใครร่ ้ขู องนักวิจยั ซง่ึ จะช่วยใหข้ ยายขอบฟ้าแหง่ การเรยี นรอู้ อกไปอย่าง
ไม่มีขดี จำกดั

“วจิ ยั ตามแนวคิดตะวันตก หมายถงึ การคน้ หาความรู้ความจริงท่ี คน้ แล้วคน้ อีก
ทำให้ได้รับรูค้ วามรคู้ วามจริงท่ีนา่ เชื่อถือ ถูกตอ้ ง ดว้ ยขอ้ มูลที่เพยี งพอ

ตอ่ การสรปุ มีการพนิ จิ วิเคราะหอ์ ยา่ งเปน็ ระบบ เพือ่ ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ ไปสคู่ วามรู้ ความจริง
ในเร่อื งทีศ่ ึกษา อาจถึงข้นั สงั เคราะหเ์ พอ่ื ใหไ้ ด้ องค์ความรใู้ หม่ๆ”

อยา่ งไรกต็ าม การใหค้ วามหมายเกี่ยวกบั การวจิ ัยตามทรรศนะแนวคิดตะวันตก เบอ้ื งหลังมาจาก
พื้นฐานในการต้องการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ที่ใฝ่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวตามที่ตนให้ความสนใจใคร่รู้
การต้งั ข้อสังเกตและสรา้ งแนวทางคำตอบบางอย่างทีน่ ำไปสูก่ ารหาทางพสิ จู น์และสรุปเป็นความเช่ือ ความเห็น
ต่อส่งิ นน้ั ๆ ตามทัศนะและประสบการณค์ วามเชอ่ื และการพสิ ูจน์ความจรงิ น้ันตามวิถคี วามเชอื่ ทศั นะของตน ทำ
ให้เกิดการแบ่งฟากความคิดของกลุ่มนักวิชาการท่ีฟากหนึ่งยึดถือการใช้ระบบและการให้เหตุผลแบบ
วิทยาศาสตร์ ในขณะที่อีกฟากความคิดมองตา่ งวา่ ความรู้ความจริงไม่จำเป็นตอ้ งเปน็ สง่ิ เดียวกนั เหมอื นดงั่ ความ
เช่อื ทางวทิ ยาศาสตร์ทอ่ี งิ กบั หลกั กฎเกณฑใ์ นธรรมชาติ ด้วยทัศนะท่ีแตกตา่ งกันน้จี ึงมีนัยสำคัญมากตอ่ แนวทาง
(approach) และวิธวี ทิ ยา (methodology) ของการวิจยั ๘ การท่ีวชิ าการมีสองฟากกลมุ่ ความคิดท่ีสวนทางกัน
ทำให้ในการค้นหาความรู้ความจริงด้วยการวิจัยต่อมาจึงถูกแบ่งออกเป็น งานวิจัยเชิงปริมาณ ที่ยึด
กระบวนการพสิ ูจน์แบบวิทยาศาสตร์ กบั งานวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ ท่ยี ึดในเรอื่ งของพฤติกรรม สังคมมนษุ ย์มีความ
เป็นปัจเจกความจรงิ มใิ ช่มเี พียงหนึ่งเดยี วเสมอไป ซึง่ เบอื้ งหลงั ท้ังหมดมาจากกระบวนทศั น์ที่แตกต่างกนั คำถาม
ว่าอะไรทเ่ี รียกว่า “กระบวนทศั น”์

กระบวนทศั น์กับกระบวนทัศนก์ ารวจิ ยั
มโนทัศนเ์ กยี่ วกบั กระบวนทศั น์ (paradigm) ได้ถกู นำเสนอโดย Thomas Khun (๑๙๕๕-๑๙๙๖)
ในหนังสือ The Structure of Scientific Revolutions ปี ค.ศ.๑๙๖๒ ซึ่งทัศนะของ Khun ได้ให้ความหมาย
ของกระบวนทัศน์ไว้ ๒ นยั ยะ

๘ชาย โพธิสติ า, ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แหง่ การวจิ ัยเชิงคุณภาพ, พิมพ์คร้งั ท่ี ๕, (กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัท อมรินทร์พ
ริน้ ต้งิ แอนดพ์ ับลิชชงิ่ จำกัด (มหาชน), ๒๕๕๔), หน้า ๕๕.

๔ Advanced Research Methodology on Peace
๑) กระบวนทัศน์ คอื กรอบความวธิ คี ิด (Cognitive Framework) เป็นแนวทางสำหรบั แก้ปญั หา

ที่คนในวงการยึดถือรว่ มกัน เชน่ ในหมนู่ กั ดาราศาสตร์ นักเคมี หรือนกั มานษุ ยวิทยา เป็นต้น
๒) กระบวนทัศน์ คือ โลกทัศน์ (Worldview) สิ่งที่คนยึดถือ เป็นเรื่องของความเชื่อ ค่านิยม

วิธีการ หรือท่าทตี ่อสิง่ ใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งคนในวงการเดียวกันเชื่อหรือยึดถอื ร่วมกัน หรืออีกนัยหน่ึงเป็นมุมมองท่ี
สมาชิกกลุม่ ทงั้ ทเ่ี ป็นทางการหรอื ไมท่ างการใช้มองโลก มองปรากฏการณ์๙

กระบวนทัศนเ์ กีย่ วข้องอย่างไรกับการวจิ ยั ประเด็นน้ี Khun (๑๙๗๐) ได้นำเสนอไวอ้ ยา่ งน่าสนใจ
ว่า “เมื่อกระบวนทัศน์เปลี่ยน ความคิด พฤติกรรม และกระบวนการค้นคว้าวิจยั ท้ังหมดก็เปลี่ยน” ซึ่งจะ
นำไปสู่การค้นพบใหม่และความรู้ใหม่ การปฏิวัติศาสตร์ต่างๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง
กระบวนทศั น์๑๐ ในขณะท่ี Guba (๑๙๙๐) ใหน้ ิยามกระบวนทศั น์ คอื ระบบความเชอ่ื ทชี่ ว่ ยช้ีนำการกระทำ ไม่
ว่าจะเปน็ การกระทำที่เปน็ เรื่องปกติธรรมดาในชวี ิตประจำวัน หรือการกระทำที่เกี่ยวกับการค้นคว้าอยา่ งเป็น
ระบบหรือเป็นวชิ าการก็ตาม๑๑ สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ กระบวนทศั นม์ คี วามเช่ือมโยงกับแนวทางและวิธกี ารวิจัย ซ่ึง
ชาย โพธิสติ า เรียกวา่ กระบวนทัศนก์ ารวจิ ยั

กระบวนทศั น์การวจิ ัย คือ ระบบความเชื่อทช่ี น้ี ำวา่ นกั วจิ ัยควรทำอะไร และควรทำอย่างไร จึงจะ
บรรลถุ ึงส่ิงที่เรยี กวา่ ความจริงหรอื ความร้ไู ด้ ซ่ึง “อะไร” ในทีน่ ้ี ชาย โพธิสติ า อธิบายวา่ คือ คำถาม ธรรมชาติ
ของโลก ธรรมชาติของความจริง/ความรู้ ที่นักวิจัยต้องการนั้นเป็นอย่างไร ความจริง/ความรู้กับผู้แสวงหา
(นกั วิจยั ) มคี วามสัมพันธ์กันหรอื ไม่ ส่วน คำวา่ “อยา่ งไร” เปน็ เรือ่ งทเี่ ก่ียวขอ้ งกับคำถามว่า นักวิจัยจะเข้าถึง
ความจริงหรือความรู้ไดอ้ ย่างไร๑๒ ทงั้ นส้ี าขาการวจิ ัยสังคมศาสตร์พบวา่ เมื่อกลา่ วถงึ กระบวนทัศน์งานวิจัยถูก
แบ่งเป็น ๒ ขั้วความคิดค่อนข้างแตกต่างกันหลายประเด็น กล่าวคือ กระบวนทัศน์ปฏิฐานนิยม (Post
positivism) เป็นที่มาของแบบแผนความเชื่อของการวิจัยเชงิ ปริมาณและ กระบวนทัศน์ปรากฏการณว์ ิทยา
(Phenomenologist) เปน็ ที่มาของแบบแผนความเช่อื ของการวิจยั เชิงคณุ ภาพ

กระบวนทัศน์การวิจัยนี้ ขจรศักดิ์ บัวระพันธ์ ได้เปรียบเทียบไว้ เหมือนกับ เลนส์การวิจัย ซึ่ง
โดยทว่ั ไปอาจแบง่ เป็น ๒ เลนส์ คือ เลนสก์ ารวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ และเลนสว์ ิจยั เชงิ คณุ ภาพ๑๓ ซงึ่ หากนกั วจิ ยั สวม
เลนส์ที่แตกต่างกนั ยอ่ มส่งผลต่อวิธคี ิด กระบวนการที่จะใช้ในการเข้าถึงความรู้ ความจริง รวมถึงข้อสรุปหรือ
จุดมงุ่ หมายปลายทางของการวจิ ยั ทแี่ ตกต่างกัน

๙ชาย โพธสิ ติ า, ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งการวจิ ัยเชิงคุณภาพ, หนา้ ๕๕-๕๗.
๑๐เรือ่ งเดยี วกนั , หน้า ๕๕.
๑๑เรือ่ งเดียวกนั , หนา้ ๕๘.
๑๒ชาย โพธสิ ติ า, ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ, พมิ พค์ รง้ั ที่ ๕, หน้า ๕๙.
๑๓ขจรศกั ดิ์ บวั ระพนั ธ์, วิจัยเชิงคุณภาพ, พิมพค์ ร้งั ที่ ๖, (กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ัท คอมม่าดีไซน์แอนด์พร้ินท์
จำกัด, ๒๕๕๗), หนา้ ๑๘.

ระเบยี บวิธีวิจยั ช้ันสูงว่าด้วยสันติภาพ ๕
ภาพท่ี ๑.๑ แสดงการเปรยี บเทียบกระบวนทัศน์การวจิ ัยกบั เลนสต์ า

ปรชั ญาการวิจยั : ทีม่ าของการวิจยั เชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพ
วิธีการแสวงหาความรใู้ นทางปรชั ญา Guba ๑๙๙๐ นำเสนอไว้ ๓ ประเด็น๑๔ ดังน้ี
๑) ภวิทยา (ontology) - ธรรมชาติของความจริง/ความรู้ กล่าวคือ การถกเถียงในการค้นหา
ความจรงิ ความรู้ คืออะไร และธรรมชาติของความจริง ความรู้คอื อะไร ความเชื่อเกยี่ วกบั ธรรมชาติของความ
จรงิ /ความรู้ มนี ยั สำคัญอยา่ งยิง่ ตอ่ วธิ ีและกระบวนการวจิ ยั ไมว่ ่าจะเป็นเชงิ ปรมิ าณหรอื เชิงคณุ ภาพ
๒) ญาณวิทยา (epistemology) – ความสัมพันธ์ระหว่างผู้แสวงหาความจริง/ ความรู้กับสิ่งท่ี
ถูกรู้ กล่าวคือ การถกเถียงว่า ผู้แสวงหาความจรงิ /ความรู้ (นักวิจัย) ควรมีความสมั พนั ธอ์ ยา่ งไรกับความจริง/
ความรทู้ ีเ่ ขาแสวงหาหรอื อกี นัยหนึง่ คือ ผู้รู้กบั ส่งิ ทถี่ กู รู้ ควรมคี วามสมั พันธ์กันอยา่ งไร ซ่ึงท้ังหมดนี้มีนัยสำคัญ
ต่อการกำหนดบทบาทของผู้ทำการค้นคว้าหาความจริง/ความรู้ หรือนักวิจัย ( the knower) ควรจะมี
ความสัมพันธ์แบบมสี ่วนร่วมหรอื แบบเป็นกลางกับคนที่ตัวเองศึกษา (the known) ทั้งหมดนี้ขึ้นอยูก่ ับญาณ
วทิ ยาน้ี
๓) วิธีวิทยา (methodology) – วิธีการที่จะเข้าถึงความจริง/ความรู้ โดยถกเถียงกันว่า ผู้ทำ
การศึกษา (นักวิจัย) จะเข้าถึงความจรงิ /ความรู้ ได้อย่างไร ซึ่งคำตอบนี้ขึ้นอยู่กับคำตอบท่ีได้ในเชิงภววิทยา
และญาณวิทยา
เมื่อกระบวนทัศน์ปฏิฐานนิยม และปรากฏการณ์นิยม ต่างมีปรัชญาที่ยึดถือต่างกัน จึงทำให้
งานวิจัยทางสังคมศาสตร์แบ่งเป็นสองขั้วแนวคิด กล่าวคือ ปรัชญาวิจัยเชิงปริมาณ และปรัชญาการวิจัยเชิง
คุณภาพ นอกจากนี้ ยังมปี ระเดน็ ย่อย ๆ ทีท่ ั้งสองแนวคดิ เห็นแตกตา่ งกนั คอื
(๑) ความเป็นไปไดใ้ นการโยงความสมั พันธเ์ ชงิ เหตแุ ละผล (causality) ของปจั จยั หรือตวั แปรท่ีใช้
ในการวจิ ยั
(๒) ค่านิยม หรอื อคติ (axiology)
(๓) สามัญการ (generalization) คือ การนำเอาข้อค้นพบจากการวิจัยหนึ่ง ซึ่งทำในที่หนึ่ง ณ
เวลาหนึง่ ไปใช้ในทีอ่ ื่นหรอื ในเวลาอนื่ มคี วามเป็นไปได้มากนอ้ ยเพยี งใด
ตลอดถึงความเห็นที่แตกต่างกันในวิธีการหรือกระบวนการที่จะนำไปสู่ข้อสรุปการวิจัยที่ทัง้ สอง

๑๔ชาย โพธิสติ า, ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ การวิจัยเชิงคณุ ภาพ, พิมพ์คร้งั ที่ ๕, หน้า ๖๑-๖๒.

๖ Advanced Research Methodology on Peace
คา่ ยกย็ ังเหน็ แตกต่างกนั ซ่ึงกระบวนการวจิ ยั ทางสังคมศาสตร์มี ๒ รปู แบบวธิ ที ใ่ี ชใ้ นการสรปุ หาคำตอบการวิจยั
ได้แก่ วิธีการให้เหตผุ ลแบบนริ นยั หรือวธิ อี นุมาน (Deductive reasoning) กบั วธิ ีการให้เหตผุ ลแบบอุปนัยหรอื
อปุ มาน (Inductive reasoning) ซงึ่ จะกลา่ วถึงรายละเอียดในลำดับต่อไป

ปรัชญาวจิ ยั ปฏฐิ านนิยม : ปรากฏการณ์นยิ ม
ชาย โพธิสิตา ได้รวบรวมจุดยืนความแตกต่างปรัชญาการวิจัยระหว่าง ปฏิฐานนิยมและ
ปรากฏการณ์นิยม๑๕ ผู้วิจัยนำมาสรปุ ไวใ้ นตารางท่ี ๑.๑ จุดยืนความแตกต่างปรัชญาการวิจัยปฏิฐานนิยมกับ
ปรากฏการณน์ ยิ ม
ตารางที่ ๑.๑ สรปุ จุดยืนความแตกตา่ งปรชั ญาการวิจัยปฏิฐานนยิ มกบั ปรากฏการณน์ ยิ ม

จุดยนื ปฏฐิ านนิยม ปรากฏการณน์ ยิ ม
ภววิทยา (Ontology)
ความจรงิ มอี ยู่ เป็นภววสิ ัย มเี พยี ง ความจรงิ เปน็ ส่งิ ทถ่ี ูกสร้างขน้ึ มา มี
ญาณวทิ ยา หน่ึงเปน็ สากลใชไ้ ดท้ ั่วไป หลากหลายเป็นอัตวสิ ัยข้นึ อยบู่ ริบท
(Epistemology) (Realism) และมลี กั ษณะจำเพาะ
วิธวี ทิ ยา ผรู้ ูก้ บั สง่ิ ที่ถูกรู้ เปน็ สองส่วนทแี่ ยก ผรู้ ูก้ บั สงิ่ ท่ถี ูกรเู้ ป็นสองส่วนทีไ่ มแ่ ยก
(Methodology) จากกัน เปน็ อิสระตอ่ กนั ออกจากกนั มีปฏสิ มั พันธ์และอทิ ธิพล
ต่อกันและกนั
สามญั การ ใชว้ ธิ ที ี่นกั วจิ ยั สามารถควบคมุ ได้ ใชว้ ิธีการเชงิ คณุ ภาพหลายแบบ
เชน่ การทดลอง วิธีการเชงิ ปรมิ าณ นักวจิ ยั มีส่วนรว่ มในปรากฏการณ์ มี
ดำเนินวจิ ัยแบบนริ นัย ความยืดหยนุ่ ในการออกแบบวจิ ยั และ
ดำเนนิ การวจิ ยั แบบอปุ นัย

จดุ หมายคอื การพฒั นาความรู้แบบ จุดหมายคอื การพัฒนาความร้จู ำเพาะ

เปน็ กฎท่ใี ชไ้ ด้ทวั่ ไป เพ่อื นำไปใช้กับกรณีศึกษาเป็นเบอื้ งต้น

ญาณวิทยา ผู้รกู้ บั สงิ่ ทีถ่ กู รู้ เป็นสองสว่ นที่แยก ผู้รกู้ บั สงิ่ ท่ีถกู รู้เปน็ สองส่วนที่ไม่แยก
(Epistemology)
จากกัน เป็นอิสระตอ่ กัน ออกจากกนั มปี ฏสิ มั พันธแ์ ละอทิ ธิพล

ตอ่ กันและกนั

๑๕ชาย โพธิสิตา, ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งการวิจยั เชิงคุณภาพ, พิมพ์คร้งั ที่ ๕, หนา้ ๖๓-๘๐.

ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั ช้ันสูงว่าดว้ ยสันติภาพ ๗

ตาราง ๑.๑ (ต่อ)

จดุ ยนื ปฏิฐานนิยม ปรากฏการณ์นยิ ม

ความสัมพันธเ์ ชิงเหตุ ความสัมพันธ์เปน็ แบบเสน้ ตรง ทกุ สง่ิ มผี ลกระทบต่อกนั เหตุกบั ผล
และผล
เหตมุ ากอ่ นผล หรอื อยา่ งนอ้ ยเหตุ ไม่ไดแ้ ยกจากกนั ความสัมพนั ธส์ ง่ิ ท่ี
วธิ ีการเขา้ ถึงความจรงิ
(วธิ ีวิทยา) และผลเกดิ พรอ้ มกนั เปน็ เหตุกบั ผลสมั พนั ธ์เชิงพหุ

ค่านิยม/อคตใิ นการวจิ ัย ใชว้ ธิ ที ี่นักวจิ ัยจดั สามารถควบคุม นักวจิ ัย เป็นเครอ่ื งมอื สำคญั ในการเกบ็

ได้ เชน่ การทดลองหรอื วธิ กี ารเชงิ ขอ้ มลู โดยใชป้ ระโยชนจ์ าก

ปริมาณ กระบวนการวจิ ยั ดำเนนิ ความสัมพนั ธเ์ ชอ่ื มไปสูก่ ารได้ขอ้ มลู ท่ดี ี

ไปแบบนริ นยั กระบวนการวจิ ัยดำเนินไปแบบอปุ นัย

การวจิ ยั ต้องปราศจากอคติ วิธีการ นักวิจยั ตระหนกั ในค่านิยม/อคตทิ ่ีอาจ

ทเ่ี ป็นภววสิ ยั จะช่วยลดอคติได้ เกิดขน้ึ เปดิ เผยใหผ้ อู้ ่านผลการวิจัยเหน็

ว่ามีค่านยิ มหรอื อคติ อะไร อยา่ งไรใน

การวจิ ัย

ประเด็นทเ่ี ปน็ ข้อถกเถียงระหว่างฝา่ ยปฏิฐานนิยม หรือเชงิ ปริมาณ กบั ฝ่ายปรากฏการณ์นยิ ม หรือ
เชงิ คุณภาพ คอื เรอ่ื งของความเชอื่ ถอื ได้ของข้อมลู ทใี่ ชใ้ นการวิจัย (Reliability) ความถกู ต้องตรงประเด็นของ
ผลการวจิ ัย (validity) ความเป็นภววสิ ยั ของการวิจัย (Objective) และความเปน็ สามญั การ หรือความเป็นไปได้
ที่จะนำผลการวิจัยเชิงคุณภาพไปใช้ในวงกว้าง (Generalization) อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้งานวิจัยทาง
สงั คมศาสตรเ์ ริ่มนำวธิ ีการวิจยั ท้ังเชงิ ปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพมาบูรณาการรว่ มกนั ในการค้นหาคำตอบการวจิ ยั ที่
มคี วามยืดหยนุ่ ข้นึ โดยไม่ยดึ แบบสุดโตง่ ไปทางกระบวนทัศนใ์ ดกระบวนทัศนห์ นึ่ง แตม่ องว่าทั้งสองแง่คิดต่างก็
ชว่ ยเสริมกนั มากกว่าทจี่ ะขัดแยง้ กัน กระแสความนิยมการผสานวิธีวิจยั เชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพในการวิจัย
ทางสงั คมศาสตร์จึงมีให้พบเห็นเปน็ จำนวนมากในโครงการวิจัยใหญ่ๆ ทั้งนีข้ ึ้นอยูก่ ับเป้าประสงค์การวิจัยหรือ
คำถามการวิจัยและจุดมุ่งหมายในการวิจัยเป็นหลักว่าต้องการนำผลการวิจัยไปใช้ทำอะไร ซึ่งจะนำไปสู่การ
ออกแบบการวิจัยเพ่ือให้ตอบโจทยว์ ิจัยหรอื วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั

อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจวิธีการเข้าถึงความจริงตามกระบวนทัศน์ของปฏิฐานนยิ มและ
ปรากฏการณน์ ยิ ม หรือเรียกอกี อย่างว่า รูปแบบการวจิ ัยเชิงปริมาณและเชงิ คณุ ภาพ เป็นเร่ืองที่จำเป็นเพือ่ ให้ผู้
ศึกษาเหน็ ภาพในวงกวา้ งของวิธีการวจิ ัยเชิงปริมาณและเชงิ คุณภาพมีหลักคิดที่นำไปสู่การปฏิบตั หิ รือรูปแบบ
การวิจัยที่แตกต่างกันในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ มี ๒ วิธีการ กล่าวคือ วิธีการเชิงนิรนัย (Deductive) กับ
วิธีการอปุ นัย (Inductive) สรปุ สาระสำคญั ไดด้ ังนี้

๘ Advanced Research Methodology on Peace
วธิ ีการวิจัยแบบอุปนยั และนริ นัย
▪ วธิ กี ารเชิงนริ นัย (Deductive) เปน็ การวิธีการวจิ ัยทีเ่ ริม่ ตน้ จาก “ส่ิงทเี่ ปน็ ทั่วไป” ไปสู่

สิง่ ท่จี ำเพาะเจาะจง กลา่ วคือ การหาคำตอบจากทฤษฎีทมี่ ี นำมาสรา้ งสมมุตฐิ าน กำหนดกรอบแนวคิดทฤษฎี
จากนั้นจึงเร่ิมเก็บขอ้ มูลประชากรตัวอย่างทีเ่ ลอื กมาเฉพาะจำนวนหนึ่ง เพื่อมาพิสูจน์สมมุตติฐานตามกรอบ
แนวคดิ ทฤษฎที ต่ี ั้งไว้ สรปุ เปน็ กระบวนการท่เี ร่มิ จาก “ใหญ่ ไปหา ยอ่ ย” ซึ่งวธิ กี ารน้เี ปน็ หลักปฏิบตั ิของการ
วจิ ยั เชิงปรมิ าณ ซ่งึ แนวคดิ น้ี อรสิ โตเตลิ (Aristotle) ผ้ไู ด้รบั ยกย่องวา่ เป็นบดิ าของวิชาตรรกศาสตร์ เป็นผู้ค้น
คิดวิธีการเสาะแสวงหาความรู้โดยอาศัยหลกั ของเหตุผล ซึ่งเรียกว่า Syllogistic Reasoning หรือวิธีอนมุ าน
(Deductive reasoning) ซ่งึ เป็นการคดิ หาเหตผุ ลโดยการนำเอาส่ิงทเ่ี ป็นจรงิ ตามธรรมชาตมิ าอ้างอิงเกบ็ ขอ้ มลู
สนบั สนุนเพ่ือสรุปยนื ยันเหตุผลท่ตี ั้งสมมุตฐิ านไว้

▪ วิธีการอปุ นัย (Inductive) เป็นการวิจยั ทีเ่ ร่มิ ตน้ จาก “สง่ิ ท่จี ำเพาะเจาะจง” ไปสู่ “ส่ิงท่ี
เปน็ ทว่ั ไป” กลา่ วคือ การหาคำตอบจากขอ้ มลู ท่จี ำเพาะเจาะจง จากนั้นจึงเรมิ่ เก็บข้อมลู ทต่ี ้องการศึกษาและ
นำข้อมูลนั้นมาสรุปเพื่ อสร้างสมมุติฐานที่รอการสรุปและตีความที่สามารถอธิบ ายเป็นแนวคิดทฤษฎีที่
ครอบคลุมในวงกว้างมากขึน้ สรุปวิธีการอุปนัย เป็นกระบวนการที่เริ่มจาก “ย่อย ไปหา ใหญ่” ซึ่งวิธีการน้ี
เปน็ หลกั ปฏิบัตขิ องการวจิ ัยเชงิ คุณภาพ๑๖ ซ่ึงมมุ มองน้ีมาจากแนวคิดของ Francis Bacon (๑๕๖๑-๑๖๒๖)
เป็นผู้ที่หักล้างวธิ ีแสวงหาความรู้ของอรสิ โตเติล โดย Bacon ให้ความสำคญั กับการแสวงหาความรูด้ ้วยหลัก
เหตุผลเชิงประจักษ์ (Empirical method) ที่มีระบบชัดเจนมากขึ้น โดยใช้การสงั เกตและการทดลองอยา่ งมี
ระบบปราศจากอคติ วิธีการนี้เป็นที่รู้จักในชื่อวิธีการอุปมานแบบเบคอน (Baconian Induction) ถือว่า
Bacon เปน็ ผู้เปล่ียนความคดิ เก่ียวกบั เปา้ หมายของการแสวงหาความรู้-ความจริง จากการมงุ่ เขา้ ใจธรรมชาติ
และโลกเพ่อื การดำรงอยขู่ องมนษุ ยอ์ ยา่ งกลมกลืนกับธรรมชาติ เป็นการมุ่งครอบงำและควบคุมธรรมชาติเพ่ือ
ค้นหาสิ่งที่ดียิ่งๆ ขึ้นไป๑๗ แนวคิดของ Bacon ได้รับการสนับสนุนจากผลการศึกษาของ Sir Isaac Newton
(๑๖๔๒-๑๗๒๗) เป็นผู้คน้ พบกฎแรงโนม้ ถ่วงสากล (Newton’s low of universal gravitation) ที่เกิดจาก
การสังเกตการตกของลูกแอปเปิล แล้วนำมาสร้างเป็นข้อสรุปทีใ่ ช้อธิบายการตกของวัตถุทุกชนิดบนโลก ซ่ึง
เป็นการสะทอ้ นวิธีการเชิงอปุ นัย เป็นการแสวงหาความรู้ซึง้ เป็นพืน้ ฐานของระบบวิธีทางวทิ ยาศาสตรใ์ นช่วง
ต่อมา

๑๖สรุปจาก ชาย โพธสิ ติ า (หน้า ๒๘-๒๙) และ ขจรศกั ด์ิ บัวระพันธ์ (หน้า ๒๗).
๑๗พระประชา ปสนั นธมั โม, พระไพศาล วิสาโล, สันตสิ ุข โสภณสริ ,ิ และรสนา โตสิตระกลู , (ผูแ้ ปล), จดุ เปล่ียนแห่ง
ศตวรรษ, (กรงุ เทพมหานคร: สำนักพมิ พ์โกมล คีมทอง, ๒๕๔๙).

ระเบียบวิธีวจิ ยั ช้ันสงู ว่าดว้ ยสันติภาพ ๙
ภาพที่ ๑.๒ แสดงเปรียบเทยี บวธิ กี ารนิรนัยและวิธีการเชงิ อุปนยั ๑๘*

วธิ กี ารเชิงนริ นยั วธิ กี ารเชงิ อปุ นยั

สมมติฐาน ขอ้ สรปุ ใหญ่
“ถา้ ปล่อยหนงั สือแล้ว “วตั ถุทกุ ชนิด เมื่อปล่อย

จะตกสพู่ ืน้ ” จะตกสพู่ น้ื ”
(สรา้ งสมมุติฐานจากข้อสรุป
ใหญ่แล้วใชก้ รณีย่อยทดสอบ) (สร้างข้อสรปุ ใหญ่
จากกรณยี อ่ ย)

หนังสือตกสพู่ ้นื ยอมรบั วตั ถุ ๑ ปลอ่ ยดนิ สอ ตกส่พู ้นื
สมมตุ ิฐาน หนงั สือไม่ตกสพู่ ้นื วัตถุ ๒ ปลอ่ ยปากกา ตกสู่พน้ื
วตั ถุ ๓ ปลอ่ ยยางลบ ตกสู่พนื้
ปฏิเสธสมมุติฐาน

ตารางท่ี ๑.๒ แสดงตวั อย่าง วิธกี ารนิรนยั /อนมุ าน (deductive method)

ขนั้ ตอน ตัวอยา่ ง

๑.หาเหตใุ หญ่ (major premise) -สัตว์ปกี ทุกตวั มี ๒ ขา
๒.หาเหตุย่อย (minor premise) ไก่เปน็ สตั วป์ กี
๓.หาขอ้ สรุป (major premise) - ไก่ มี ๒ ขา

ตารางท่ี ๑.๓ แสดงตวั อย่าง วิธกี ารอปุ นัย/อุปมาน (inductive method)

ขน้ั ตอน ตัวอย่าง

๑.เกบ็ ข้อมลู -ทำการศึกษาไก่ ,นก,เปด็ ซง่ึ ทกุ ตัวเปน็ สตั ว์ปกี
๒. วิเคราะห์ข้อมลู -พบวา่ ทกุ ตัวมี ๒ ขา
๓. สรปุ ผล -สตั วป์ กี ทกุ ตวั มี ๒ ขา

๑๘ขจรศกั ด์ิ บวั ระพันธ, วิจัยเชิงคุณภาพ, พมิ พ์คร้ังที่ ๖, หน้า ๒๗.

๑๐ Advanced Research Methodology on Peace

สรุป หัวใจสำคญั ของปรัชญาวิจยั ปฏฐิ านนิยมกับปรากฏการณ์นิยม

ปฏฐิ านนยิ ม (Positivism)

➢มคี วามเช่ือวา่ ปรากฏการณ์ / ขอ้ เทจ็ จริงทางสงั คม เปน็ ไปตามกฎธรรมชาติ ซ่งึ เปน็ สิ่ง

สากล (Universal

➢ภารกิจหลักในการแสวงหาความร้ทู างสงั คมอยู่ท่กี ารคน้ หา “กฎธรรมชาติ”

➢มีลกั ษณะการแสวงหาหลักฐานข้อเทจ็ จริง (Empirical Evidence) เพอ่ื

-มงุ่ ทดสอบเชิงสถติ ิ

-สมมตฐิ าน ท่ตี ้งั ไวก้ ่อนแลว้
-ทฤษฎเี ป็น นิรนัย

-ขอ้ มลู ประจกั ษ์

ปรัชญาการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative)
❑ เช่อื ในกฎธรรมชาติ (natural law)
❑ ใชว้ ิธกี ารเชงิ ปริมาณ (Quantitative)
❑ ขอ้ มูลเชิงประจักษ์ (empirical facts)
❑ กระบวนการแบบนริ นยั (deductive)
❑ มีการควบคุมตวั แปร
❑ มงุ่ หาความจริงแบบภววสิ ัย (objective reality)

ภาพท่ี ๑.๓ กระบวนการวจิ ัยเชิงปริมาณ

ทฤษฎี สมมุติฐาน สังเกต ยืนยนั
ทดลอง

ปรากฏการณน์ ิยม (Phenomenology)

➢ สงั คมมนษุ ยม์ ลี กั ษณะเคล่ือนไหว (Dynamic) ตลอดเวลา

➢ ปรากฏการณส์ งั คมเกดิ เพราะมนษุ ย์ (สมาชกิ ของสังคม)

-มีการรบั รู้

-ใหค้ วามหมาย เป็นไปตามบรบิ ท(Context)

-แสดงพฤตกิ รรม ของสงั คม

-มีการกระทำ

-มอี ุปนสิ ัย

ระเบยี บวธิ ีวิจยั ชั้นสงู ว่าดว้ ยสันติภาพ ๑๑
ปรัชญาการวจิ ยั คณุ ภาพ (Qualitative)

❑ เน้นขอ้ มลู แบบ Facts (ไม่ใช่แบบreality)
❑ ศึกษาบรบิ ท, สัมผสั ปรากฏการณ์
❑ ใชว้ ธิ กี ารเชงิ คณุ ภาพ/แบบอปุ นยั (inductive)
❑ ไมท่ ้งิ เรอื่ งนามธรรม (ความร้สู กึ คา่ นิยม อดุ มการณ์ ความเช่ือ)
❑ เน้นวิเคราะห์หาความหมาย (meanings) ไมใ่ ช่หาความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตุ

(causal relation)
ภาพที่ ๑.๔ กระบวนการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ

สังเกต แบบแผน ทฤษฎี

ตารางท่ี ๑.๔ เปรยี บเทียบปรัชญาการวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณและเชิงคุณภาพ

วิจยั เชิงปรมิ าณ วจิ ัยเชิงคุณภาพ

- เนน้ ความสมั พนั ธเ์ ชงิ เหตุและผล - เน้นเขา้ ใจความหมายด้วยการตคี วาม
- ใชข้ ้อมลู เชิงปริมาณเป็นหลกั - ใชข้ อ้ มูลเชิงคุณภาพ
- ใช้วิธีการนิรนัย(deduction) - ใช้วิธีการอุปนัย(induction)
- ม่งุ ทำนายหรอื สรปุ องิ จากกลมุ่ ตัวอย่างไปยงั - มงุ่ อธิบายกรณเี ฉพาะดว้ ยความเข้าใจองคร์ วม
ประชากร (generalization) อย่างลึกซงึ้
- มงุ่ พสิ จู นส์ มมตุ ิฐาน/ทฤษฎที ี่มอี ยูแ่ ลว้ - ไมม่ ่งุ ทำนายและมุ่งสรา้ งสมมตุ ฐิ าน/ทฤษฎีจาก
- แบบแผนการวิจยั ตายตัว ข้อมูล
- ข้อค้นพบเกดิ จากการวเิ คราะห์เชงิ -แบบแผนการวิจยั ยดึ หยุน่ ผุดขึ้นระหว่างวจิ ยั
ปรมิ าณโดยใชส้ ถิตเิ ป็นหลกั - -ขอ้ ค้นพบเกิดจากการวิเคราะหเ์ ชิงตรรกะเป็นหลกั

๑๒ Advanced Research Methodology on Peace

ตารางท่ี ๑.๕ เปรียบเทยี บประเด็นแตกต่าง การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ : วิจัยเชงิ คณุ ภาพ

ประเดน็ ทแ่ี ตกต่าง เชิงปรมิ าณ เชงิ คณุ ภาพ

มโนทศั นท์ ีส่ ำคญั ตัวแปร/เชงิ ปฏบิ ัติการ/ความเทยี่ ง/ ความหมาย/ความรู้สกึ /ความเข้าใจ/
ของวิธวี ิจัย
เป้าหมาย/ สมมตุ ฐิ าน/ความตรง/นัยสำคัญทาง กระบวนการ
วัตถุประสงค์
การเขยี น สถติ ิ/การทำนาย
โครงร่างการวจิ ัย
ทดสอบทฤษฎี/พรรณนาทางสถิติ พฒั นามโนทศั น/์
ลกั ษณะข้อมูล
แสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปร/ พรรณนาความจริงท่ีหลากหลาย/สรา้ ง
กลมุ่ ตวั อย่าง
เทคนิค/วธิ กี าร การควบคมุ ตวั แปร ทฤษฎจี ากพื้นที/่ พฒั นาความเขา้ ใจ

เคร่ืองมอื การวิจยั -เขยี นคอ่ นข้างยาว มรี ายละเอียดและ -เขียนแบบสรปุ บอกหรอื ชี้ให้เหน็ วธิ ีการที่

เกณฑพ์ จิ ารณา จดุ เนน้ วธิ ีการดำเนนิ งานวจิ ยั เกี่ยวข้องกบั การวจิ ัย
คณุ ภาพ
-มุง่ ทบทวนวรรณกรรมที่เกยี่ วข้อง -ไมน่ ำการทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งมา

อย่างครอบคลมุ รอบด้าน ชี้นำการวจิ ยั

ปรมิ าณ/จำนวน แจงนบั การวัด พรรณนา/คณุ ลกั ษณะ บันทกึ ภาคสนาม/

เชิงสถติ ิ รปู ถา่ ย/คำพูดของบคุ คล เอกสารที่เปน็

ทางการ

ขนาดเล็ก/ ไม่ม่งุ ความเปน็ ตวั แทนที่ ขนาดใหญ่/ มงุ่ ความเป็นตัวแทนท่ีดี

ดี/สมุ่ เชงิ ทฤษฎแี นวคิด สุมแบบอาศยั ทฤษฎีความนา่ จะเป็น

การทดลองก่ึงทดลอง การสงั เกต

สมั ภาษณ์แบบมโี ครงสรา้ ง สัมภาษณ์ปลายเปิด

สงั เกตแบบมีโครงสร้าง สงั เกตแบบมีสว่ นร่วม

การสำรวจ ค้นจากเอกสาร หลกั ฐานทเี่ กีย่ วข้อง

แบบสำรวจความสนใจ แบบสอบถาม เทปบนั ทึกเสยี ง จดบันทึกยอ่

แบบทดสอบ หรือมาตรวดั ตัวนักวิจัย

คอมพิวเตอร์

ความตรงภายใน (Internal Validity) ความนา่ เชอ่ื ถือได้ Creditability

ความตรงภายนอก การถา่ ยโยง Transferability

(External Validity) ความเก่ยี วขอ้ ง Dependability

ความเทยี่ ง (Reliability การยนื ยนั มัน่ ใจ Conformability

ความเป็นวัตถุวสิ ัย Objectivity

ระเบยี บวิธีวิจัยช้ันสงู ว่าด้วยสันติภาพ ๑๓
กระบวนการวจิ ยั วิทยาศาสตร์: การหลอมรวมแนวคิดวิธีการนิรนยั และอุปนัย
มาถงึ ในยุคของ ชาร์ล ดาร์วนิ (Charles Darwin ) ไดน้ ำวิธอี นมุ านของอริสโตเตลิ และวิธอี ุปมาน
ของ เบคอน มารวมกัน เพราะเหน็ ว่าทั้งสองวิธีจะมีประโยชน์อยา่ งมากในการที่จะคน้ ความความรู้ความจรงิ
และตรวจสอบความถกู ตอ้ งความรู้ความจริงนน้ั เมอื่ รวมทัง้ สองวธิ ีเรียกว่า วิธีการอนุมาน-อุปมาน (Deductive-
Inductive Method) เปน็ ๕ ขนั้ ๑) ข้ันปญั หา (Problem) ๒) ขน้ั ตง้ั สมมติฐาน(Hypothesis) ๓) ขัน้ รวบรวม
ข้อมูล(Gathering Data) ๔) ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล(Analysis) ๕) ขั้นสรุป(Conclusion) เรียกว่า วิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ (Scientific Method) และเป็นวิธีการหาความรู้ความจริงที่มีความน่าเชื่อถือที่สุด การวิจัยได้
นำเอามาประยกุ ตเ์ ป็นกระบวนการวิจยั

Research

❑ สำรวจ (Explore) What

❑ พรรณนา(Describe) How, Who

❑ อธบิ าย (Explain) Why

กล่าวโดยสรุป การวิจัยที่ถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดนักวิชาการตะวันตก แม้ว่าจะมีจุดเริ่มต้นท่ี
เหมือนกัน คือ การสงสัยใคร่รู้ การแสวงหาความรูค้ วามจริง แต่ก็มีการแตกความคิดเกี่ยวกับวิธีการแสวงหา
ความรคู้ วามจริงท่ีทำให้เกิดปรากฏการณ์การวจิ ยั เชิงปรมิ าณและเชงิ คุณภาพ ปัจจบุ ันไดม้ ีการบรู ณาหลอมรวม
โดยนำทั้งสองวิธีการมารว่ มกันแสวงหาความรู้ใหม่ที่มีประสิทธิภาพและน่าเชือ่ ถือยิ่งข้ึน เมื่อกล่าวว่าวจิ ัยเกดิ
จากการแสวงหาความรู้ความจรงิ การคน้ พบส่งิ ใหม่ๆ มคี ำถามวา่ การศึกษาในพระพทุ ธศาสนาซึ่งถือกำเนิดจาก
การแสวงหาความรคู้ วามจริงสูงสดุ ของพระพุทธเจา้ ซึ่งน่าจะมเี ครอ่ื งไมเ้ ครื่องมอื ใดท่ีใช้ในการแสวงหาความรู้
ความจริงอันสูงสุดเฉกเช่นที่แนวคิดตะวันตกเรียกเคร่ืองมือนั้นว่าการวิจยั การวิจัยในทางพระพุทธศาสนามี
หรือไม่ และมีลกั ษณะอย่างไร เปน็ สง่ิ ทีผ่ ้ศู ึกษาในสาขาวชิ าสนั ตศิ ึกษา ตามหลกั สูตรของมหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลยั จำเปน็ ต้องศึกษาทำความเขา้ ก่อนที่จะนำไปสู่การนำเครือ่ งมือแสวงหาความรู้ความจรงิ
ในทางพระพุทธศาสนาไปใชใ้ นการทำวิจยั เพอ่ื สนั ติภาพ

๑.๑.๒ ปรชั ญาวิจยั ในทรรศนะของพระพทุ ธศาสนา
ความหมายและความสำคญั วิจัยทางพระพทุ ธศาสนา
หลกั ฐานทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถึงคำว่าวิจยั เกดิ ขนึ้ นบั ตง้ั แตอ่ งค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ในคัมภีร์
พระพทุ ธศาสนา คำวา่ “วจิ ยั ” ซ่งึ มปี รากฏในหลกั คำสอนโพชฌังคสตู รด้วยพุทธพจนว์ า่

“ยาวกีวยจฺ ภิกขฺ เว ภกิ ขฺ ู ธมฺมวจิ ยั สมั โฺ พชฺฌงฺคํ
ภาเวสฺสนฺติ ฯลณ วุฑฒฺ เึ ยว ภิกขฺ เว ภกิ ขนู ํ ปาฏกิ งขฺ า โน ปรหิ าน”

๑๔ Advanced Research Methodology on Peace
แปลว่า “ภิกษุพึงหวังได้แต่ความจริงอย่างเดียว ไม่มีความเสื่อมเลย ตราบที่ภิกษุยังเจริญ

ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์” นอกจากนี้ยังมีปรากฏใน สังขิตตพลสูตร ความโดยย่อว่า “. . . โยนิโส วิจิเน ธมฺมํ
ปญญฺ ายตฺถํ วปิ สฺสติ. . . “ พระราชปรยิ ตั ิ (สฤษดิ์ สิริธโร) ไดอ้ ธิบายความว่า “วิจเิ น คอื วจิ ิเนยยฺ ลงเอยยฺ แล้ว
ลบ ยฺย จงึ ปรากฏรปู เปน็ วจิ ิเน เป็นคำที่มีรากศพั ทเ์ ดยี วกบั คำวา่ วิจย คือ วิ บทหนา้ จิ ธาตุ วจิ ย นน้ั เอา อิ ที่
จิ เปน็ อย ธรรมท่พี งึ เลือกเฟ้นก็คอื ขอ้ ธรรมท่ีตอ้ งการหรอื เร่อื งราวนัน้ ๆ๑๙

ทง้ั นห้ี ลวงเทพดรุณานุศิษฎ์ ได้นำคำวา่ วิจยั เทยี บกบั ภาษาบาลีและสันสกฤต โดยแยกคำรากศัพท์
“จิ” หมายถึง ส่ังสม กอง ก่อสร้าง เม่อื ประกอบศัพท์เป็น “จย” หมายถงึ การสง่ั สม การเก็บการกอง การ
กอ่ หรอื สร้างไว้ การรวบรวมไว้ เตมิ อปุ สรรค วิ เปน็ วิ+จย (วิจัย) หมายถึง รวบรวมอย่างดี อยา่ งมีระเบียบ
วิธีหรืออย่างเป็นระบบถี่ถ้วนและมีเป้าหมายเป็นศัพท์ทางวิชาการ ตรงตามนัยยะของภาษาอังกฤษว่า
“Research”คือการค้นคว้าเพื่อหาข้อมูลอย่างถีถ่ ้วนตามหลักวิชาจึงตรงกับพุทธวิธกี ารสัง่ สมบารมีหรือการ
สร้างสมบุญ “ปุญญฺ สญจฺ โย” (ปญุ ฺญ + สํ + จิ + อ)๒๐

พระธรรมโกศาจารย์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ในสมัยที่ท่านดำรงสมณศกั ด์ิ พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยตุ โ์ ต)
ได้แสดงทัศนะเกย่ี วกบั ความหมายงานวิจัยในทางพระพุทธศาสนา ไว้ในหนงั สอื มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทาง
พระพุทธศาสนา วิจัย หมายถึง การรวบรวม การตรวจตรา การสอบสอน หรือการเลอื กเฟ้น เมื่อนำมาใชใ้ น
งานวิจัยทางพระพุทธศาสนา จึงเป็น กิจหรือหน้าที่ที่ต้องทำเกี่ยวกับการค้นคว้า การรวบรวม การตรวจสอบ
การสอบสวน หรอื การเลอื กเฟ้นเพอ่ื ใหไ้ ด้มาซ่ึงความรคู้ วามจรงิ ทางดา้ นพระพุทธศาสนา สรุปคอื การวิจัยทาง
พระพุทธศาสนา เป็นการแสวงหาความรู้อย่างม่ีระบบและเป็นการบุกเบิกเข้าไปในแดนแหง่ ความรู้ ทำให้เกดิ
ความลกึ ซึง้ แตกฉานในเรื่องน้ันๆ เพอื่ หาความรู้จริง และทำใหเ้ กิดความเช่ียวชาญในวชิ าการเป็นพเิ ศษ๒๑

จุดม่งุ หมายของงานวจิ ัยทางพระพุทธศาสนา
สำหรับจุดมุง่ หมายของงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา แม้ว่าส่วนหนึ่งอาจจะกำหนดจุดมุ่งหมาย
เหมือนกบั งานวจิ ัยทว่ั ไป ซ่งึ เกิดจากความสนใจใคร่รู้ของนักคดิ นักวชิ าการเพ่อื แสวงหาความรู้ใหม่ แต่วิจัยทาง
พระพุทธศาสนามีจดุ มงุ่ หมายเฉพาะไปกวา่ นนั้ กล่าวคือ
“เพื่อเอาไปใช้ในวิชาการสมัยใหม่ในสาขาตา่ งๆ เท่าที่เราเกี่ยวข้อง เพื่อความเป็นผู้นำและ
เปน็ ผู้ใหแ้ ก่อารยธรรมโลกหรือไปชว่ ยแกป้ ัญหาของโลกด้วย๒๒

๑๙คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, งานวจิ ัยและวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา, พิมพ์
คร้ังท่ี ๒, (อยธุ ยา: สำนกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๙), หน้า ๖-๗.

๒๐เทพดรณุ านศุ ิษฎ์, หลวง, ธาตุปฺปทปี กา (พจนานกุ รมบาลี-ไทย แผนกธาตุ), (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎ
ราชวิทยาลัย, ๒๕๐๙), หนา้ ๒๕๗.

๒๑พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๓,
(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๔), หนา้ ๕๔-๕๘.

๒๒คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, งานวจิ ยั และวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา, หน้า
๑๐.

ระเบยี บวธิ ีวิจัยช้ันสูงว่าด้วยสันติภาพ ๑๕
วธิ ีการแสวงหาความรคู้ วามจรงิ ในงานวจิ ัยทางพระพทุ ธศาสนา
งานวิจัยทางพระพุทธศาสนามลี กั ษณะการแสวงหาความรคู้ วามจรงิ ใน ๒ ดา้ น กล่าวคือ
๑) ด้านที่เป็นการแสวงหาความรู้ความจริงเกี่ยวกับวัตถุ (สสาร) การวิจัยด้านนี้มีลักษณะที่
ร่วมกนั กับการวิจยั ทั่วไป คือ เปน็ กจิ กรรมที่ใช้ปัญญา เปน็ การแสวงหาความร้เู ปน็ การสร้างสรรค์ มีจดุ มงุ่ หมาย
ทแ่ี นน่ อนชัดเจน มรี ะบบแผน ใชเ้ ครอื่ งมอื หรือเทคนิคทเ่ี ท่ียงตรงเชือ่ ถอื ได้ มกี ารจัดกระทำกบั ขอ้ มลู ท่ีรวบรวม
มา ดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม ไม่มีอคติใดๆ มุ่งให้ข้อความจริงหรือสัจจะ ยึดหลักเหตุผล ด้วยการ
แสวงหาความรู้ความจริงแบบนิรนัยและแบบอุปนัย ซึ่งการนิรนัยเทียบได้กับ จินตามยปัญญา ในทาง
พระพุทธศาสนา และการอุปนยั เทยี บไดก้ บั สุตมยปัญญา ซึง่ การแสวงหาความรูค้ วามจรงิ เกีย่ วกับวัตถุ ในทาง
พระพทุ ธศาสนาถือวา่ เปน็ ลักษณะของการใชป้ ญั ญาเพียง ๒ ระดับน้ี

๒) ด้านที่เป็นการแสวงหาความรูค้ วามจริงเกี่ยวกับสิ่งทีม่ ิใช่วตั ถุ (อสสาร) เป็นความรู้ความ
จริงที่สูงกว่า จินตามยปัญญา และสุตมยปัญญา ความรู้ความจริงประเภทนี้จะรู้ได้โดย “ภาวนามยปัญญา”
ลักษณะการวิจัยแบบนี้ เป็นลักษณะเฉพาะที่มีอยู่ในทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น เครื่องมือที่ใช้ในการเข้าถึง
ความรู้ความจริงประเภทนี้ คือ การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน หรือจะใช้สมถกัมมัฏฐาน เป็นฐานแล้วเจริญ
วปิ ัสสนากัมมฏั ฐานตอ่ กันไปกไ็ ด้๒๓ ท้ังนีก้ ารวิจัยในลักษณะนี้ผูศ้ กึ ษาพึงปฏบิ ัตทิ ดลองดว้ ยตนเองเปน็ วจิ ยั เฉพาะ
บุคคล ซึ่งจะไม่ไดน้ ำรายละเอียดมากลา่ วถงึ ในรายวิชานี้

พระพทุ ธเจา้ : ต้นแบบของนกั วจิ ยั ในทางพระพทุ ธศาสนา
ในการแสวงหาความรู้ความจรงิ สงู สุดของพระพทุ ธเจา้ พระองค์ทรงใชเ้ วลา เวลา ๔ อสงไขยแสน
มหากัลป์ ในการแสวงหาเสน้ ทางการเข้าถึงความรคู้ วามจริงสูงสุดนนั้ กล่าวคือ การดบั ทุกข์ การเข้าถึงนิพพาน
ที่หมายถึงความดับสนิทเย็นจากตัณหาอปุ าทานอันเป็นเหตุให้ก่อแดนเกิดในสังสารวฏั กล่าวโดยย่อ กระบวน
ทศั นข์ องพระองค์คอื ทรงมองเหน็ ทกุ ขใ์ นสงั สารวฏั และทรงมีจุดหมายทจ่ี ะแสวงหาเหตแุ หง่ การดับทุกข์ วธิ ีการ
แสวงหาคำตอบนัน้ เป็นกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ท่สี ะท้อนใหเ้ ห็นตั้งแต่พระองค์ยงั เป็นพระกุมาร ทรงเป็น
นักสังเกต ทบทวนใคร่ครวญเหตุต่างๆ และนำมาลองปฏิบัติ จนสำเร็จฌานในขณะทรงพระเยาว์ ทรงออก
ผนวชเพือ่ พสิ จู นค์ วามจริงวา่ เส้นทางการปลกี ตนจากโลกในสถานะนักบวชย่อมจะเปน็ เหตปุ จั จัยใหพ้ ระองค์ทรง
ค้นหาคำตอบความจริงอนั สูงสุดได้ และทรงทดลองปฏิบตั ิด้วยตนเอง ตามหลักคำสอนของสำนักที่ทรงได้เล่า
เรียนมา คือ การทรมานกายซง่ึ นบั ว่าเปน็ การความคิดและวิธีปฏบิ ัติท่ีสดุ โตง่ จนในทส่ี ดุ ทรงเห็นว่าหนทางที่ดี
ท่ีสดุ ในการดบั ทกุ ข์ให้ส้ินคือ ทางสายกลาง เป็นสมมุตฐิ านในพระทัย และพระองคท์ รงทดลองปฏิบตั จิ นสามารถ
ค้นพบความจรงิ อันประเสรฐิ ๔ ประการ เรยี กว่า อริยสจั ๔ พระพุทธองค์ทรงพบต้นเหตุแหง่ ความทุกขท์ ัง้ ปวง
ในอริยสจั ๔ เรยี กวา่ ทกุ ขสมุทยอรยิ สจั อนั เปน็ เหตเุ กดิ ขน้ึ ในภพใหม่๒๔ และทรงค้นพบทางสายเอก มรรคท่ี
อยู่ในอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ มรรคมีองค์ ๘ เป็นหนทางประเสริฐที่สุด เป็นหนทางที่ทำให้

๒๓เรอื่ งเดียวกัน, หน้า ๑๑-๑๒.
๒๔ที.ม.(ไทย) ๑๐/๔๐๐/๓๒๔.

๑๖ Advanced Research Methodology on Peace
เขา้ ถงึ การดับทกุ ข์๒๕ ความจรงิ อันประเสริฐนี้ไดถ้ ูกพสิ ูจนแ์ ละรบั รองจากเหลา่ พระอรหนั ตสาวก ทีเ่ ข้ามาศึกษา
ปฏิบัตแิ ละพิสูจนด์ ้วยตนเอง กล่าวไดว้ ่าพระองค์ทรงเป็นนกั วิจยั โลกต้นแบบ เพราะความรู้ความจริงท่ีพระองค์
ทรงค้นพบสามารถชว่ ยมวลมนุษยชนให้พน้ จากทกุ ข์ และมที า่ ทใี นการปฏบิ ตั ิต่อตนเองต่อสรรพสงิ่ รอบขา้ งดว้ ย
ปัญญาอนั สงู สุด แมเ้ วลาใกล้จะดับขันธ์เขา้ ถึงพระปรนิ พิ พาน พระองคย์ งั ทรงเปน็ นำส่ิงทพี่ ระองคท์ รงคน้ พบมา
ทบทวนพิจารณาและปฏิบัติจนเขา้ ถงึ พระปรนิ ิพพาน

ภาพที่ ๑.๕ การแสดงพุทธปญั ญากบั กระบวนทศั น์งานวจิ ยั ทางพระพทุ ธศาสนา

ท่ีมาภาพ: https://palungjit.org

แม้เวลาผ่านล่วงกวา่ ๒๖๐๐ ปี ส่งิ ท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงค้นพบ กระบวนทศั น์วิจัยทางพระพทุ ธศาสนา

ไดร้ ับการพิสจู น์วา่ เป็นอกาลโิ ก คือ ไมจ่ ำกัดกาล แมว้ ทิ ยาการสมัยใหม่ ระบบวธิ ีคดิ แบบวิทยาศาสตร์ก็สอดรับ

กบั พุทธวิธีทพ่ี ระองค์ทรงค้นพบ

เปรียบเทียบกระบวนการแสวงหาความรู้ตามแบบระเบียบวิธีวิทยาศาสตร์ กับพุทธวธิ ี อริยสจั ๔

ไดด้ ังน้ี

ตารางที่ ๑.๖ เปรยี บเทยี บกระบวนการแสวงหาความรู้

กระบวนการหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ พทุ ธวธิ ีแสวงหาความร้ใู นทางพระพทุ ธศาสนา

Problem พุทธวิธี อริยสจั ๔

- Hypothesis -ทุกข์ ปญั หา

- Collecting Data -สมทุ ัย หาสาเหตขุ องปญั หา

- Analysis -นโิ รธ แกป้ ญั หาใหเ้ หน็ ผล

- Conclusion -มรรค วางแนวทางแกป้ ญั หา

๑.๒ พุทธสันตวิ ธิ กี ับกระบวนการสรา้ งสันตภิ าพ

พุทธสันติวธิ ีคืออะไร? เกี่ยวข้องอยา่ งไรกับวิจัยเพือ่ สันติภาพ? เป็นคำถามที่เกดิ ข้ึนในชั้นเรียน
สิ่งที่ผู้เขียนมองว่าผู้ศึกษาหรือนิสิตสาขาวิชาสันติศึกษาควรทบทวนและทำความเข้าใจก่อนที่จะไปถึงการ
ออกแบบวิจัยเพอ่ื สันตภิ าพ การกำหนดเคร่ืองมือหรือกรอบแนวคิด การใชห้ ลักธรรมตา่ งๆ มาบูรณาการแก้ไข
ปญั หาความขัดแย้ง และกระบวนการสร้างสนั ตภิ าพ คือ ปรัชญาวจิ ยั สนั ตภิ าพ ที่แมจ้ ะเร่มิ จากแนวคิดตะวนั ตก

๒๕ดรู ายละเอยี ดใน ข.ุ อติ .ิ (ไทย) ๒๕/๒๗๓-๒๗๕/๗๘๔.

ระเบียบวธิ ีวจิ ัยช้ันสงู ว่าด้วยสันติภาพ ๑๗
ซึ่งในท่ีสุดก็มีพัฒนาการมาสู่การแสวงหาสันติภาพในทางพระพุทธศาสนา ดังนั้น การศึกษาทำความเข้าใจใน
ประเด็นนี้จะช่วยให้ผู้ศกึ ษาได้เห็นคุณค่าและจุดมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อสันติภาพในทางพระพุทธศาสนามี
ความสำคัญอย่างไร และมีเครอื่ งมือใดในการนำมาใช้เพอ่ื ออกแบบการวจิ ยั ได้บา้ ง อยา่ งไรกต็ ามแงม่ ุมท่ีสำคญั ท่ี
ผู้เขยี นจำเป็นตอ้ งกล่าวถงึ เพื่อเป็นการปูพ้นื และเชือ่ มโยงให้เหน็ ถงึ แนวคิดเก่ียวกบั ความขดั แยง้ เพ่ือเป็นฐานใน
การวิเคราะหส์ าเหตุที่จะนำไปสู่การนำหลักพุทธสันตวิ ธิ ีมาใช้ในการ

๑.๒.๑ ประเภทของความขดั แยง้
ครสิ โตเฟอร์ มัวร์ (Christopher Moor) ได้แยกความขดั แย้งออกเป็น ๕ ประเภทด้วยกัน คือ
(๑) ความขดั แยง้ ด้านข้อมูล (Data Conflict) เปน็ ปัญหาพื้นฐานของความขัดแย้ง ซ่ึงอาจาเกดิ จาก
ขอ้ มลู น้อยเกนิ ไป หรือ ขาดการส่อื สาร การตีความท่แี ตกต่างกนั ตามการรบั รู้ ทำให้เกิดการเขา้ ใจผิด ความไม่
ชัดเจนของขอ้ มลู
(๒) ความขัดแย้งดา้ นผลประโยชน์ (Interest Conflict) เป็นปญั หาทถ่ี ูกนำมาใชเ้ ปน็ เหตุผลในการ
แย่งชิงผลประโยชน์ เช่น ความขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรทางด้านธรรมชาติ หรือสิ่งต่างๆ ที่ปรารถนาและ
ตอ้ งการ เช่น อำนาจ ตำแหนง่ หนา้ ท่ี
(๓) ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ (Relationship Conflict) เป็นปัญหาเรื่องบุคลิกภาพ และ
พฤติกรรมที่ต่างกัน พฤติกรรมทางลบที่เกิดข้ึนซ้ำซาก และวิธีการในการทำสิ่งตา่ ง ๆ แตกต่างกัน เช่น วิธีการ
ทำงานต่างกัน การตดั สินใจตา่ งกัน
(๔) ความขัดแย้งด้านโครงสร้าง (Structural Conflict) เป็นปัญหาเกี่ยวกับการใช้อำนาจ ระบบ
กฎเกณฑ์ที่ทำให้เกดิ ความเหลือ่ มลำ้ ขาดความยุติธรรม ความไมเ่ ทา่ เทียมกนั
(๕) ความขัดแยง้ ด้านคุณคา่ หรือค่านยิ ม (Value Conflict) เป็นปัญหาเกี่ยวกบั ความเชื่อ ศาสนา
โลกทัศน์หรอื ความเชื่อต่างกนั การให้ความสำคญั ท่ตี ่างกัน เกณฑป์ ระเมินต่างกัน ภมู ิหลังทางวฒั นธรรมต่างกัน
ภมู ิหลังสว่ นบุคคลต่างกนั พื้นฐานทางประวตั ศิ าสตร์ตา่ งกนั ๒๖

๑.๒.๒ รากเหง้าทีม่ าแหง่ ความขัดแย้งตามมมุ มองพระพทุ ธศาสนา
พระพุทธศาสนาจะให้ความสำคญั เกย่ี วกบั ทมี่ าของความขดั แยง้ ทีแ่ ท้จริงเป็นสง่ิ ทอี่ ย่ใู นจติ ใจมนษุ ย์
ทห่ี ากสามารถเข้าใจเร่ืองเหลา่ น้กี ็สามารถจดั การความขัดแย้งไดต้ งั้ แต่ในระยะเร่มิ ตน้ ไมป่ ลอ่ ยให้ปัญหาลุกลาม
ไปสู่ความรุนแรง โดยเหตปุ ัจจัยทีก่ อ่ ให้เกิดความขดั แยง้ ในมุมมองพระพุทธศาสนาหลักใหญ่ใจความคือ เรื่อง
ของ กิเลศ และปปญั จธรรม (ตัณหา มานะ และทฏิ ฐิ) โดยมีรายละเอยี ดดังน้ี

๒๖Christopher Moor, The Mediation Process: Practical Strategic for Resolving Conflict, 2nd
ed., (San Francisco, CA: Jossey-Bass Publishers, 1996), p.60–61.อ้างใน สุกัญญา รุ่งทองใบสุรีย์, สภาพปัญหาความ
ขดั แย้งในชมุ ชนและรปู แบบในการจัดการปัญหาในจังหวดั ปทุมธานี, รายงานวจิ ัย, (สถาบนั พระปกเกล้า, ๒๕๕๖), หน้า ๑๕-
๑๖.

๑๘ Advanced Research Methodology on Peace
กิเลส: ที่มาของความขัดแย้ง รากเหงา้ มูลเหตุแหง่ ความขดั แยง้ เมื่อพจิ ารณาตามความหมายใน

แงข่ องธรรมแล้ว ตวั แปรสำคญั ท่ีก่อใหเ้ กิดความขดั แยง้ และขัดขวางการพัฒนาดา้ นจิตและปัญญานั่นคือ อกุศล
มลู หรอื กเิ ลสตณั หา ที่ประกอบด้วยความตอ้ งการท่ีจะใหท้ ุกส่ิงทุกอย่างเป็นไปตามใจทีต่ ้องการ เรียกว่า โลภะ
การไม่พอใจบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เห็นต่างจากเราหรอื ไม่เหน็ ด้วยกับการกระทำของเรา เรียกวา่ โทสะ และ
การยดึ ถอื ข้อมลู ความเหน็ ความเชื่อบางอย่างโดยขาดการพิจารณาโดยรอบหรือไตร่ตรองใครค่ รวญรบั ฟังหลายๆ
แง่มุมประกอบด้วยปญั ญาในการวิเคราะห์ เรยี กวา่ โมหะ ซ่ึงท้ัง โลภะ โทสะ โมหะ เปน็ กลไกท่ีชักโยงจติ มนุษย์
ให้คดิ พดู กระทำ ตามอกศุ ลจิตเหลา่ นั้นบงการใหเ้ ปน็ ไป พระพทุ ธเจา้ ทรงมองว่าทงั้ ๓ ตัวน้เี ปน็ อันตรายที่ซอ่ น
อยู่ในจิตใจมนุษย์ สมดังพุทธพจน์ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้ คือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นมลทิน
ภายใน เปน็ อมติ รภายใน เปน็ ศตั รูภายในเปน็ เพชฌฆาตภายใน เป็นข้าศกึ ภายใน”๒๗ ถามวา่ ภยั จากตัวการทั้ง
๓ นี้เป็นภยั อยา่ งไรกบั มนุษย์ เพราะมนั จะนำพาใหม้ นุษยส์ ามารถกระทำการบางส่ิงบางอย่างออกมาทั้งคำพูด
และการแสดงออกทางกายหรอื การกระทำทสี่ ามารถทำรา้ ย ประทุษร้ายตอ่ คนอนื่ ได้และเป็นผลสะทอ้ นกลับมา
สู่ตัวผู้กระทำเองที่ต้องรับผลของกรรมหรือการกระทำนั้น นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา พระโสภณ-คณา
ภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ) มองว่า “ตัวปัญหา” ของความขัดแย้งอยู่ที่ “อวิชชา” ซึ่งแตกกิ่งใหญ่ออกมาเป็น
“ความโลภ ความโกรธ และความหลง”๒๘ สอดคลอ้ งกับพระเทพโสภณ (ประยรู ธมมฺ จิตฺโต) กลา่ วว่า ๓ ตัวแปร
หลักของบ่อเกดิ ความขัดแยง้ คือ โลภะ โทสะ และโมหะ๒๙ ในขณะท่ี สลุ ักษณ์ ศิวรกั ษ์ กล่าวไว้วา่ เก่ียวกบั เหตุ
แห่งความขัดแย้งมาจาก “ความโกรธ” ซึ่งสภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดความเกลียดชัง ทำร้าย และฆ่ากันในหมู่
มนษุ ย๓์ ๐

นอกจากนี้ อีกหนึ่งปจั จัยทเ่ี ป็นมลู เหตแุ หง่ ความขัดแยง้ ในมุมมองพระพุทธศาสนาคือ ปปัญจธรรม
ซึ่งแปลว่า ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า เป็นกเิ ลสที่เป็นตัวการปั้นเรื่องทำให้คิดปรุงแตง่ ยึดเย้ือแผกเพี้ยนพิสดารให้
เขวออกไปจากความจริงและกอ่ ปญั หาความยุ่งยากเดือดรอ้ นเพมิ่ ขยายทกุ ข์ ปปญั จธรรม มี ๓ คอื ตัณหา มานะ
และทฏิ ฐิ๓๑ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ช้ใี หเ้ ห็นวา่ “ความอยากได้ อยากใหญ่ และใจแคบ” หรอื ตัณหา

๒๗ส.ํ ส. (ไทย) ๑/๑๑๓/๘๕.
๒๘พระโสภณคณาภรณ์, “ความขดั แย้งในจติ มนษุ ย์”, ใน สนั ตศิ กึ ษากับการแก้ปญั หาความขดั แย้ง, วลัย อรุณี,
บรรณาธิการ, (กรุงเทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๐), หน้า ๓๘.
๒๙พระมหาประยูร ธมฺมจิตฺโต, พุทธวิธีสร้างสันตภิ าพ, (กรุเทพมหานคร: อมรินท์พริ้นติ้งกรุ๊พ, ๒๕๓๒), หน้า
๑๗.
๓๐สลุ ักษณ์ ศวิ รกั ษ์ “พุทธศาสนากับอหิงสธรรม”, ใน ปฏบิ ตั ิการแห่งความรัก: ยคุ สมยั แห่งความรุนแรง, วีร
สมบรู ณ์ และไพศาล วงศ์วรวสิ ิทธิ์, (กรงุ เทพมหานคร: กลุม่ ประสานงานศาสนาเพ่ือสังคม, ๒๕๒๒), หน้า ๓๑๘.
๓๑พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑,
(กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ัท เอส.อาร์. พริ้นตงิ้ แมส โปรดักส์ จำกดั , ๒๕๕๑), หน้า ๒๐๐.

ระเบยี บวธิ ีวิจัยช้ันสงู ว่าด้วยสันติภาพ ๑๙
มานะ ทิฏฐิ ถือได้ว่าเป็น “ตัวการสำคัญ” ที่ทำให้เกิด “ความหวาดกลัว ระแวง และไม่ไว้ใจกัน”๓๒ ถามว่า
ตัณหา มานะ ทิฏฐิ คอื อะไร และเปน็ เหตแุ ห่งความขัดแยง้ ไดอ้ ยา่ งไร

ตัณหา คือ ความทะยานอยาก ความปรารถนา อยากได้ อยากเอาเพื่อตัว มี ๓ ลักษณะ คือ ๑)
กามตัณหา – ความอยากในกาม อยากไดอ้ ารมณร์ ักใคร่ ๒) ภวตัณหา – ความอยากในภพอยากเป็นน่ันเป็นนี่
และ ๓) วิภวตัณหา – ความอยากในวภิ พ ไม่อยากเป็นนั่นเป็นนี่ ธรรมชาติของมนุษย์ที่มีกิเลศหนายังเตม็ ไป
ดว้ ยหว้ งแห่งตณั หาหรอื ความอยาก ประเภทกามตัณหา หรือความอยากไดใ้ ครม่ ี เปน็ มลู เหตสุ ำคัญท่ีนำมนุษย์
ไปสู่ความขัดแย้ง ดังเรื่องเล่าในพระไตรปิฎก โดยพราหมณ์อารามทัณฑะได้ถามพระมหากจั จายะว่า อะไรคอื
เหตุปัจจยั ทำใหก้ ษตั ริยแ์ ละกษตั รยิ ์ พราหมณก์ บั พราหมณ์ คฤหบดกี ับคฤหบดี เกดิ ความขัดแยง้ กนั คำตอบมีว่า
ก็เพราะความยดึ มั่นกามราคะ ตกอยู่ในอำนาจ ยินดีในกามราคะ ถูกกามราคะกลุ้มรุมครอบงำและเปน็ เหตุ๓๓
ตัณหาหรอื ความอยากในกามน้นั มไิ ดน้ ำความววิ าทมาสหู่ มูเ่ หล่าแมว้ า่ จะเปน็ พวกเดียวกันใหแ้ ตกแยก แต่ความ
อยากในกามราคะยังเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัว ทำลายความสัมพันธ์พ่อ แม่ พี่น้อง และเพื่อน
จนกระทัง่ อาจนำไปส่กู ารลงมือทำร้ายทำลายชีวิต ทง้ั หมดก็เพราะตัณหาความอยากท่ีชักนำพาไป ดังความ
พทุ ธพจน์มวี ่า

“. . . มารดาววิ าทกับบุตรก็ได้ บุตรววิ าทกับมารดาก็ได้ บดิ าวิวาทกับบุตรกไ็ ด้ บุตรวิวาทกับบิดาก็
ได้ พีช่ ายนอ้ งชายวิวาทกับพีส่ าวนอ้ งสาวก็ได้ พีส่ าวนอ้ งสาววิวาทกบั พี่ชายน้องชายก็ได้ สหายวิวาท
กับสหายก็ได้ ชนเหล่านั้นถึงการทะเลาะ แก่งแย่งและววิ าทกนั ในที่นั้น ทำร้ายกนั และกันด้วยฝ่ามอื
บ้าง ดว้ ยกอ้ นดนิ บา้ ง ด้วยท่อนไมบ้ า้ ง ดว้ ยศสั ตราบา้ ง ถึงความตายในท่นี ัน้ บา้ ง ได้รบั ทุกข์ปางตาย
บ้าง แม้ข้อนก้ี ช็ ือ่ ว่าเป็นโทษแหง่ กามทั้งหลาย เปน็ กองทุกขท์ ีจ่ ะพงึ เหน็ ได้เอง มกี ามเปน็ เหตุ มีกาม
เป็นต้นเคา้ มกี ามเปน็ เหตเุ กิด เกดิ เพราะเหตแุ ห่งกามท้ังหลายนั่นแล ตณั หาหรอื ความอยากในกาม
เป็นเหตแุ ห่งความขัดแย้งการววิ าท”๓๔

ทิฏฐิ คือ ความเห็น ความเข้าใจ ความเชื่อถือ ทิฎฐิเมื่อมาคำเดียวโดดๆ มักมีนัยไม่ดีหมายถึง
ความยึดถอื ตามความเหน็ ความถอื ม่นั ทจ่ี ะให้เปน็ ไปตามความเชอ่ื ถือหรอื ความเหน็ ของตน การถอื ยตุ คิ วามเหน็
เปน็ ความจรงิ ความเหน็ ผิด ความยึดตดิ ทฤษฎี ซ่งึ ในภาษาไทยมกั จะหมายถึง ความดึงด้อื ถือรนั ในความเห็น๓๕
ทิฎฐใิ นบริบทของปปัญจธรรมเปน็ ทฎิ ฐใิ นแงท่ ไ่ี ม่ดี มคิ วรจะยดึ นำมาเป็นสรณะ เพราะเปน็ บ่อเกดิ หนงึ่ ของความ
ขัดแย้ง การถกเถียงทางความคิดโดยแต่ละฝ่ายก็ยึดติดกับความคิดน้ันจนไม่เปิดโอกาสรับฟังความเห็นอื่น ซ่ึง
อาจจะเอ้ือประโยชน์มากและเป็นกศุ ลกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั ญา เรอื่ งเลา่ ในพระไตรปิฎกถงึ บทสนทนาระหวา่ งพราหมณ์

๓๒พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), วิถีสู่สันติภาพ, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก, ๒๕๔๖), หน้า
๑๒-๑๖.

๓๓ดูรายละเอยี ดใน องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๓๘/๘๒-๘๓.
๓๔ดรู ายละเอยี ดใน ข.ุ จู. (ไทย) ๓๐/๑๓๖/๔๔๓-๔๔๔.
๓๕พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๒๗,
(กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ทั เอส.อาร์. พร้ินติ้ง แมส โปรดกั ส์ จำกดั , ๒๕๕๙), หนา้ ๑๓๑.

๒๐ Advanced Research Methodology on Peace
อารามทัณฑะกับพระมหากจั จายะ นอกจากจะกล่าวถึง กามเปน็ เหตแุ ห่งความขัดแย้งแล้วระหว่างหม่วู รรณะ
แลว้ สำหรบั หมู่สมณะกับหมู่สมณะก็ขัดแย้งกันได้ถ้ายังยึดม่ันทฎิ ฐิราคะ ยังตกอยู่ในอำนาจแห่งทิฎฐิ กำหนัด
ยนิ ดใี นทิฎฐิ ถกู ทฏิ ฐิราคะกล้มุ รุม และถูกทิฎฐิราคะครอบงำน้เี ปน็ เหตุแห่งความขัดแยง้ ในหมู่สมณะ” ๓๖ เร่ือง
ทิฎฐิเปน็ เหตุแหง่ ความขดั แย้ง (ววิ าท) ปรากฏใน ทฆี นสูตร มพี ุทธพจนเ์ กี่ยวกับเรื่องนว้ี า่

ทิฏฐิของสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฎฐิอย่างนี้ว่า‘สิ่งทั้งปวงเป็นที่พอใจแก่เรา’ นั้น
วญิ ญูชนย่อมพจิ ารณาเหน็ ดงั นว้ี ่า ‘ถ้าเราจะยดึ มนั่ ถอื มน่ั ทิฎฐขิ องเราว่า ‘สิง่ ทัง้ ปวงเปน็ ท่ีพอใจแก่
เรา’ แลว้ ยนื ยันอย่างแขง็ ขันว่า ‘น้ีเทา่ น้นั จรงิ อย่างอื่นไม่จริง’ เราก็จะพงึ ถือผดิ จากสมณพราหมณ์
๒ พวกน้ี คือ
๑. สมณะหรือพราหมณ์ผู้มวี าทะอยา่ งน้ี มีทิฎฐอิ ย่างนว้ี ่า ‘สิ่งท้ังปวง ไม่เป็นที่พอใจแก่เรา’
๒. สมณะหรอื พราหมณ์ผูม้ วี าทะอย่างน้ี มีทิฎฐอิ ยา่ งนีว้ ่า ‘บางสง่ิ เป็นทีพ่ อใจแกเ่ ราบางสงิ่ ไม่เปน็ ท่ี
พอใจแก่เรา’ เม่อื เราถือผิดจากสมณพราหมณ์ ๒ พวกน้ี ก็จะมีการทุ่มเถยี งกัน เม่ือมกี ารทุ่มเถียง
กนั ก็จะมกี ารทำลายกัน เม่ือมีการทำลายกัน ก็จะมกี ารเบียดเบียนกนั . . .๓๗

มานะ คือ ความถือตัว ความสำคัญตนว่าเปน็ นน่ั เป็นน่ี ในคมั ภีร์พระพทุ ธศาสนาไดร้ ะบุถงึ มานะไว้
หลายชุด มีตั้งแตห่ มวด ๑-๑๐ และมานะท่ีพงึ ทราบ คือ มานะ ๓ ไดแ้ ก่ ๑) มานะ – ความถือตัวอยภู่ ายใน โดย
มตี ัวตนที่ตอ้ งใหค้ วามสำคัญทีจ่ ะพะนอจะบำเรอจะยกชูให้ปรากฏหรือใหเ้ ดน่ ขึน้ ไว้ อันคำนึงถึงท่ีจะแบ่งแยกเรา
เขา จะเทียบจะแข่ง จะรู้สึกกระทบกระทั่ง ๒) อติมานะ – ความถือตัวเกินล่วง โดยสำคญั ตนหยาบรุนแรงขึ้น
เปน็ ความยกตวั เหนือเขา ดถู กู ดหู ม่ินเหยยี ดหยามผอู้ ืน่ ๓) โอมานะ – ความถอื ตัวตำ่ ตอ้ ย โดยเหยยี ดตวั ลงเป็น
ความดูถูกดูหมิ่นตนเอง๓๘ ในอัคคัญสูตร มีเรื่องเล่าถึงกำเนิดของมนุษย์ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มานะของมนุษย์
เริ่มต้นจากความพอใจในรูปลกั ษณะกายภายนอกผิวพรรณที่น่ามองของตนทำใหด้ ูถูกผู้ทีม่ ีผิวพรรณทรามกว่า
ดังความในพระสตู รมีว่า ‘พวกเรามผี ิวพรรณงามกว่าสัตว์เหล่าน้นั สตั ว์เหล่านนั้ มีผิวพรรณทรามกวา่ พวกเรา’
เม่อื สตั วเ์ หล่านน้ั เกดิ มีมานะถือตวั เพราะการดหู มน่ิ เรอ่ื งผวิ พรรณเป็นปจั จยั ๓๙ กลา่ วไดว้ ่า มานะ ความถือตัว
เป็นส่งิ บอ่ เกดิ แห่งการสรา้ งและการยดึ ถือตัวตนของมนษุ ย์ การดถู ูกเหยียดหยามผู้อ่ืนที่ด้อยกว่าและเปน็ มลู เหตุ
แห่งความแบ่งแยกทำให้เกิดความหลงตัวและนำไปสู่ความวิวาทได้ด้วยเพราะถือตัวตน สมดังพุทธพจน์ว่า
“ผใู้ ดสำคัญว่า เราเสมอเขา เลศิ กว่าเขา หรือด้อยกวา่ เขาผู้น้นั พงึ ตอ้ งวิวาทกันด้วยความถือตัวนั้น. . . พงึ ต้องกอ่
การทะเลาะ ก่อการบาดหมาง ก่อการแก่งแยง่ กอ่ การวิวาท กอ่ การมงุ่ ร้าย ด้วยความถือตวั นนั้ ”๔๐

๓๖ดูรายละเอียดใน ขุ.จ.ู (ไทย) ๓๐/๑๓๖/๔๔๓-๔๔๔.
๓๗ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๐๓/๒๔๑.
๓๘พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๒๗,
(กรุงเทพมหานคร: บรษิ ทั เอส.อาร.์ พรนิ้ ติ้ง แมส โปรดักส์ จำกดั , ๒๕๕๙), หนา้ ๓๑๖.
๓๙ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๒๒/๙๐.
๔๐ขุ.ม.(ไทย) ๒๙/๗๗/๒๓๒.

ระเบยี บวธิ ีวิจัยช้ันสูงว่าดว้ ยสันติภาพ ๒๑
มานะนั้นมักเกี่ยวข้องกับความเป็นชาติพันธ์ุการดูหมิ่นเหยียดหยามในชาติตระกูล เผ่าพันธ์ุ เชื้อ
ชาติ ซง่ึ ผลของมานะสามารถนำอนั ตรายมาให้ถงึ ชีวิตและชาติตระกูลได้ เหมอื นดังเรื่องของพระเจา้ วิฑูฑภะกบั
ศากยะวงศ์ เมื่อความถอื ตวั ในชาติเกิดเผา่ พนั ธ์ุว่าเปน็ เผ่าพันธุท์ ส่ี ูงศักด์ิ สง่ ผลให้เกดิ การกระทำท่ีไม่ซ่อื สตั ย์ของ
เจา้ ศากยะในการส่งนางทาสีปลอมตัวเป็นธิดากษัตรยิ เ์ จ้าศากยะเพ่ือไปแตง่ งานกบั พระเจา้ ปเสนธิโกศล จนได้
กำเนิดพระเจา้ วิฑูฑภะ เมื่อถึงคราวที่พระเจ้าวฑิ ฑู ภะเสดจ็ ไปเย่ยี มพระญาติข้างพระมารดา จนเป็นเหตุทม่ี าของ
โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เมื่อเจ้าศากยะวงศแ์ สดงความรังเกียจ โดยการนำน้ำนมมาล้าง
พระที่นั่งหรือตั่งที่พระเจ้าวฑิ ูฑภะนั่ง ซึ่งการนำน้ำนมมาล้างนอกจากเป็นการแสดงความรังเกียจแล้วยังเปน็
ความเช่ือว่าเป็นการไลส่ ่งิ ทไ่ี ม่เป็นมงคล ซ่ึงความเหลา่ นี้ทราบถงึ พระเจา้ วิฑูฑภะ จงี เปน็ เหตุแหง่ ความโกรธแคน้
เพราะถูกกระทำดูหมน่ิ ชิงชังและเหยียดหยาม ผลของการกระทำด้วยการมมี านะของเจ้าศากยะวงศ์นั้น ทำให้
ภาวะแห่งการเกลียดชังรุนแรงถึงต้องลงมือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทำให้ศากยะวงศ์สูญสิ้นเผ่าพันธุ์และวงศ์ตระกูล
เหตุการณ์นีค้ อื อุทาหรณ์สอนใจสำหรับผทู้ ี่คิดวา่ มานะไม่นา่ จะนำความขัดแยง้ และรุนแรงมาถึงตนและพวกพ้อง
ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดเป็นอย่างไร แต่ก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
ดังนั้นหากความขัดแย้งใดเดินมาสู่เรื่องศักดิศ์ รีความเปน็ มนุษย์ย่อมเปน็ เรื่องใหญย่ ากที่จะแก้ไขไดง้ ่ายเพราะ
ความโกรธแค้นได้ถูกฝังรากลึกในจิตใจและทำให้เกดิ พลังอยากแก้แค้นและตอบโต้ทร่ี นุ แรงขึ้น มลู เหตุแห่งความ
ขดั แยง้ ในมุมมองพระพทุ ธศาสนา รวมความในพุทธพจน์ วิวาทมูล ๖ ความว่า

๑. เปน็ ผมู้ ักโกรธ ผกู โกรธไว้. . .ภกิ ษุนนั้ อยอู่ ยา่ งไม่มีความเคารพ ไมม่ คี วามยำเกรงในพระศาสดา
อยอู่ ย่างไมม่ ีความเคารพ ไม่มคี วามยำเกรงในพระธรรม อยอู่ ยา่ งไมม่ ีความเคารพ ไม่มีความยำเกรง
ในพระสงฆ์ และไม่ทำสิกขาให้บริบูรณ์ ทา่ นผู้มอี ายทุ ง้ั หลาย ภกิ ษผุ ูอ้ ยูอ่ ย่างไมม่ ีความเคารพย่อมก่อ
วิวาทให้เกิดขึ้นในสงฆ์ ซึ่งเป็นไปเพื่อไม่เก้ือกูลแก่คนหมู่มาก เพื่อไม่ใช่สุขแก่คนหมู่มาก เพื่อไม่ใช่
ประโยชน์ เพ่ือไม่เก้ือกูล เพ่ือทุกข์แกเ่ ทวดาและมนษุ ยท์ ั้งหลาย ท่านผู้มีอายทุ ง้ั หลาย ถา้ ท่านท้ังหลาย
พิจารณาเห็นมูลเหตุแห่งววิ าทเชน่ นภี้ ายในหรือภายนอก ท่านท้ังหลายพงึ พยายามเพื่อละมูลเหตุแห่ง
วิวาทที่เป็นบาปภายในหรือภายนอกนั้นแล ถ้าท่านทั้งหลายไม่พจิ ารณาเห็นมูลเหตุแห่งวิวาทเช่นน้ี
ภายในหรือภายนอก ทา่ นทั้งหลายพึงปฏบิ ัตเิ พ่ือให้มูลเหตุแห่งวิวาททเี่ ปน็ บาปนน้ั แลไมย่ ืดเย้อื ต่อไป

๒. เปน็ ผู้ลบหลู่ ตเี สมอ ฯลฯ
๓. เป็นผู้รษิ ยา มีความตระหนี่ ฯลฯ
๔. เป็นผ้โู อ้อวด มมี ายา ฯลฯ
๕. เป็นผู้มคี วามปรารถนาชั่ว เปน็ มิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ
๖. เปน็ ผยู้ ึดมน่ั ทิฏฐิของตน มคี วามถอื รั้น สละสิ่งทีต่ นยึดมนั่ ไดย้ าก ฯลฯ๔๑

สรุปได้ว่า มูลเหตุแห่งความขัดแย้งทั้ง ๖ ประการ รวมความคือ กิเลส (โลภ โกรธ หลง) และ
ปปญั จธรรม (ตณั หา มานะ และทฏิ ฐิ) ทัง้ นีพ้ ทุ ธพจนย์ ังทรงชใ้ี หเ้ หน็ โทษของการววิ าทหรือความขดั แย้ง ทำให้
ไมก่ อ่ เกดิ ประโยชน์สขุ ต่อผู้ใดและต้องพิจารณาใคร่ครวญถึงเรือ่ งเหล่าน้แี ละปฏิบัตเิ พื่อจัดการมลู เหตุแห่งความ

๔๑ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๕/๓๒๒-๓๒๓.

๒๒ Advanced Research Methodology on Peace
ขัดแยง้ นัน้ ใหห้ มดไปพงึ ความระงับด้วยสนั ติวธิ เี พอื่ เป็นหนทางแหง่ การเขา้ ถงึ สนั ติสุขและประโยชน์สุขแกต่ นเอง
และผู้อื่น นอกจากวิเคราะห์สาเหตุของความขัดแย้งแล้ว สิ่งที่ผู้ศึกษางานวิจัยเพื่อสันติภาพ ควรต้องนำมา
พิจารณาในการวิเคราะห์ กล่าวคือ ลกั ษณะอาการหรือสภาวะปรากฏการณ์ความขดั แยง้ ทีเ่ กิดขน้ึ เพราะแต่ละ
ห้วงเวลาแหง่ ความขัดแยง้ การออกแบบเครือ่ งมอื จดั การความขดั แย้งอาจแตกต่างกนั ไปตามบริบท

๑.๒.๓ ลกั ษณะการกอ่ ตวั ของความขัดแยง้
เฮนกิ้น (Henkin)๔๒ และศ.นพ.วนั ชัย วัฒนศัพท์๔๓ เห็นสอดคล้องกันว่า ความขดั แย้งมีรูปแบบ
ของการก่อตัวและมีพัฒนาการความเขม้ ขน้ ของความขดั แย้ง ๓ ระยะ คอื
(๑) ระยะความขัดแย้งแฝงตัว (Latent Conflict) เป็นความขัดแยง้ ที่ซอ่ นอยู่ หรือสภาวการณ์
ของความขัดแย้งที่มีแนวโน้มที่จะเกดิ ความขัดแย้ง เกิดความครุกรุ่นอยู่ภายในจิตใจ หรือภายนอกของบุคคล
หรือกลมุ่ บคุ คล ซ่ึงความขัดแย้งชนดิ นี้ไมม่ ลี ักษณะทีป่ รากฏอย่างชัดเจน อยา่ งไรกต็ าม เม่ือบุคคลหรือกลุ่ม
บุคคลไมต่ ระหนัก หรือให้ความใส่ใจตอ่ ความขัดแยง้ ชนดิ นี้ สถานการณ์ความขดั แย้งก็จะเร่มิ สำแดงและปรากฏ
ออกมาภายนอกใหเ้ ห็นไดอ้ ย่างชัดเจน
(๒) ระยะความขดั แย้งทเี่ ริ่มปรากฏ (Emerging Conflict) เปน็ สถานการณท์ ี่คกู่ รณีหรือประเด็น
ทคี่ ู่กรณีมีส่วนเก่ยี วขอ้ งเร่มิ มองเหน็ และรับรรู้ ่วมกนั ว่ามีความขดั แย้งเกิดขึ้น และอาจมีความตึงเครียดให้เห็น
อย่างชดั เจน แตไ่ มไ่ ดแ้ สดงออกโดย การโต้เถยี งกนั การเจรจา หรือการแกไ้ ขปญั หา
(๓) ระยะความขัดแย้งที่ปรากฏชัดเจน (Manifest Conflict) เป็นสถานการณ์ที่คู่กรณีต่างกไ็ ด้
เขา้ ไปมสี ่วนรเู้ หน็ ในความขัดแย้งที่เกดิ ขึ้น และพบกบั สภาพความขัดแยง้ ท่ไี มม่ ที างออก เกดิ ความพยายามท่ีจะ
ระงับข้อขัดแย้งน้นั หรอื เรม่ิ มีการเจรจาระหว่างคพู่ ิพาท การเจรจาไกลเ่ กลย่ี

๑.๒.๔ พุทธสันติวิธ:ี เครื่องมือสำคญั ของการวจิ ัยเพอ่ื สนั ตภิ าพ
เพือ่ ปูพื้นฐานสำหรบั ผู้ศึกษาและเป็นการสะท้อนตัวอยา่ งเครื่องมอื ทางพระพทุ ธศาสนาทีใ่ ชใ้ นการ
วจิ ยั เพื่อสันตภิ าพ ผู้เขยี นจึงไดน้ ำแนวคิดพทุ ธสนั ตวิ ิธีมาสรปุ ไวเ้ ป็นแนวทางพอเป็นสังเขป ดงั น้ี
พุทธสันติวิธี เป็นคำที่พระมหาหรรษา หรรษาธมฺมหาโส, รศ.ดร. ผู้ก่อตั้งหลักสูตรสันติศึกษา
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ไดศ้ กึ ษาและใหน้ ิยามไว้ พทุ ธสันติวธิ ี หรอื สนั ติวิธเี ชงิ พทุ ธ หมายถงึ
“วิธี ข้อปฏิบตั ิ หรือชุดของวธิ อี ยา่ งใดอย่างหนง่ึ ท่พี ระพทุ ธเจ้า หรือเหลา่ สาวกของพระองค์ได้ใช้เป็นเครื่องมือ
ในการจัดการความขัดแย้งอย่างสันติ” และอีกนัยหนึ่ง พุทธสันติวิธี คือ “วิธีการในการในการจัดการความ
ขัดแย้งทีด่ ำรงอยู่ บนฐานของการ รู้ ตื่น และเบิกบาน๔๔ ผู้เขียนได้สรุปสาระสำคัญของพุทธสันติวิธี ที่ได้จาก
การศึกษาของ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส และเพิม่ เตมิ ความเหน็ ไวด้ ังนี้

๔๒ Henkin, A.B. et.al, “Conflict management strategies of principals in site–based managed
schools”, Journal of Educational Administration 38(2). 2000 : 16-17.

๔๓วนั ชัย วฒั นศัพท์, ความขัดแย้ง: หลักการ และเครอ่ื งมอื แก้ปัญหา, หนา้ ๑๒.
๔๔พระมหาหรรมษา ธมฺมหาโส, พุทธสันติวิธี : การบุรณาการหลักการและเครื่องมือจัดการความขัดแย้ง ,
(กรงุ เทพมหานคร : ๒๑ เซน็ จูรี่, ๒๕๕๔), หน้า ๑๙๗

ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั ชั้นสงู ว่าดว้ ยสันติภาพ ๒๓

ตารางที่ ๑.๗ สรุปแนวคดิ พื้นฐานสำคัญในการจดั การความขดั แยง้ ตามหลกั พทุ ธสันตวิ ธิ ี

ลักษณะ แนวคดิ พุทธสันตวิ ิธี

เชงิ รบั มลี ักษณะเป็นปจั เจกเพ่อื การพฒั นาจติ ใจมนษุ ย์ให้ หลักขันติธรรม ,หลักอนตั ตา

มภี ูมิตา้ นทานมากยิง่ ข้ึนและส่งผลต่อโลกทศั นเ์ ชงิ หลักสตปิ ฏั ฐาน

บวกของมนษุ ย์เม่อื มีความขดั แยง้ มากระทบ

เชงิ รุก การปฏิสมั พนั ธซ์ งึ่ กนั และกันในหมูอ่ งค์กร หรอื หลกั คารวธรรม

กลมุ่ ก่อให้เกดิ เปน็ เอกภาพ ในพหภุ าพ หลกั สามัคคีธรรม

เชงิ คขู่ นาน ประกอบดว้ ยทงั้ เชงิ รกุ และเชิงรบั พรหมวิหารธรรม

อปรหิ านิยธรรม

สาราณียธรรม

สังคหวตั ถุ

ศลี ๕

กระบวนการ* ม่งุ แก้ไขความขัดแย้ง อธกิ รณะ

การมสี ่วนรว่ ม มรรคมอี งค์ ๘

สงิ่ แวดล้อม สปั ปายะ ๗

พฒั นาผนู้ ำ ทศพิธราชธรรม

๑.๒.๕ กระบวนการสรา้ งสนั ติภาพในทางพระพทุ ธศาสนา
พระพรหมบัณฑิต, ศ. ดร., ได้บรรยายพิเศษ “สันติศึกษากบั การพัฒนาชีวติ และสังคม” แก่นิสติ
ชั้นเรียนปริญญาเอกรุ่น ๑ สาขาวิชชาสันติศึกษา ณ ห้องสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัยม ต. ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ๒๔ ก.ค. ๒๕๕๙ ท่านได้ให้แนวทางกระบวนการสร้าง
สันติภาพในทางพระพทุ ธศาสนาท่ีช่วยในการแก้ปญั หาความขัดแย้ง การป้องกนั ความขัดแย้งท่ีจะนำไปสู่ความ
รนุ แรง โดยทา่ นไดเ้ สนอหลักสมั มปธาน ๔ เป็นกระบวนการสร้างสนั ติภาพในทางพระพทุ ธศาสนา สรปุ ความได้
ดังนี้
๑) การระแวดระวังปอ้ งกันมิให้เกดิ ความขัดแย้งรุนแรงตอ่ กัน (Conflict Prevention): โดย
ตา่ งฝา่ ยต่างตอ้ งมคี ุณธรรมทางจติ ใจเป็นพ้นื ฐานในเรอื่ งของความจรงิ ใจ เอาใจใสต่ ่อกัน รจู้ ักเอาใจเขามาใส่ใจ
เรา มคี วามอดทน อดกลั้น ความเสียสละต่อกนั เพื่อการอยรู่ ว่ มกนั อย่างมีความสงบสนั ติสุข และต้องไม่อาฆาต
พยาบาทกนั จากปัจจัยภายนอกท่ีจะสง่ ผลในทางลบต่อปฏสิ ัมพนั ธ์ในการอยู่ร่วมกันได้ แต่ละบุคคลหรือปัจเจก
จึงต้องมี “สันติสังวร” ด้วยการยอมรับวิถีทางความคิดเห็นและทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง เคารพกัน ไม่เลือก
ปฏิบตั เิ พราะเพศ ผวิ พรรณ และการนับถือศาสนาทต่ี ่างกันเน่ืองจากศาสนาเปน็ ส่งิ ท่มี มี าชา้ นาน อกี ทง้ั หลกั การ
หรือหลกั คำสอนในทุกศาสนาก็ยึดโยงกับสิทธมิ นษุ ยชนและสอนใหท้ ุกคนเป็นคนดีมีคุณธรรม มีเหตุผล และมี
ศรทั ธาอยา่ งถูกต้องในการอาศัยอย่รู ว่ มกันอย่างสงบสุข

๒๔ Advanced Research Methodology on Peace
๒) การแก้ไขความขัดแย้ง (Conflict Resolutions): ทำโดยการเจรจา ประนีประนอมยอม

ความกัน ไกล่เกลี่ยกันด้วยวาจาสุภาพ ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกันพิจารณาด้วยการมองเห็นโทษของความวิวาท
ทะเลาะเบาะแว้งที่จะตามมา เจรจากนั อย่างสนั ติ เป็นมติ รที่ดมี คี วามรักความเมตตาตอ่ กัน เขา้ ใจกัน ให้กำลังใจ
เคารพ ให้เกยี รติกัน ยอมรบั และใหค้ วามสำคญั ในบทบาทของกนั และกนั เรอ่ื งทผี่ ่านมาขอใหท้ ำเปน็ เหมอื นไมม่ ี
อะไรเกิดขึ้น คือ ให้รู้จักปล่อยวางเพื่อความสงบสันติสุขซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากในการครองชีวิต ตั้งแต่ในระดบั
ครอบครวั ชุมชน องค์กร ประเทศชาตแิ ละโลกร่วมกัน ทั้งน้ีแต่ละบคุ คลหรอื ปจั เจกตอ้ งมี “ปหาน” คือความ
เพียรที่จะแกไ้ ขความขัดแยง้ โดยความเปน็ กลาง ไม่มุ่งประโยชน์ มีความเป็นกลางในทุกด้านรวมถึงการเมือง
และศาสนา

๓) การเยียวยาความรุนแรงที่เกิดต่อกันแล้วอย่างสามัคคีสมานฉันท์ (Conflict
Reconciliation): โดยที่แต่ละบคุ คลหรอื ปัจเจกใชก้ าร “ภาวนา” ในการเพียรสร้างความสามัคคสี มานฉนั ท์
ด้วยการอภัยแก่กันและไม่จองเวรกันอันเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้เพื่อสมานใจทั้งของคู่กรณีและของตนเองไป
พรอ้ มๆ กนั

๔) การรักษาความสงบสันตสิ ุขใหต้ อ่ เน่ืองยาวนาน (Peace Preservation): โดยแตล่ ะบุคคล
หรือปจั เจกตอ้ งมคี วามเพียรในการ “อนุรักขา” รักษาธรรมาธปิ ไตยด้วยการระลกึ ถงึ ประโยชน์สขุ สว่ นรวมเป็น
ทต่ี ั้ง ไม่ใช้อคติเปน็ ใหญ่๔๕

๑.๓ ปรัชญาการวิจัยเพ่ือสนั ติภาพ

ทั้งแง่คิดเก่ียวกับปรชั ญาการวิจัยและแง่มุมเกีย่ วกับหลักพุทธสนั ติวิธีทำให้เป็นฐานในการนำไปสู่
ความเข้าใจเก่ยี วกับปรัชญาการวิจัยเพือ่ สนั ตภิ าพ ดังน้ี

๑.๓.๑ นักปรชั ญาสนั ตภิ าพคนสำคัญในโลกตะวันตก
มานเู อล คานท์ Immanuel Kant
เจ้าของผลงาน “สันติภาพอันสถาพร” (Perpetual Peace) และ “เป้าประสงค์แห่งกฎที่เป็น
สากล” (Cosmopolitan intent) ได้รับการยอมรับว่าเป็นปรัชญาที่นิยามความหมายของสันติภาพในเชิง
สร้างสรรค์เป็นคนแรกๆ ทฤษฎีที่สำคัญของ Kant คือ สันติภาพอันสถาพร ได้นิยามของความสามารถของ
มนุษย์ในการท่ีจะทำการใดๆ ที่จะเป็นคุณแก่ผู้อื่น กิจกรรมใดๆ ที่ทำโดยบุคคลใดๆ ก็ตาม ต่างก็อยู่ภายใต้
เจตจำนงและผลแหง่ การกระทำ ทีผ่ ู้อื่นน้ันรบั รู้ เขา้ ใจ และนับวา่ กจิ กรรมนัน้ ๆ เปน็ คณุ ดว้ ยจงึ จะนับว่ากิจกรรม
นนั้ ๆ เป็นคณุ ธรรม

๔๕พูนสุข มาศรังสรรค์, บรรพต ต้นธีรวงศ์, ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์, เกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จกระบวนการสรา้ ง
สันติภาพขององค์กรและนักสนั ตภิ าพโลก, รายงานวจิ ัย, (สถาบันวจิ ยั พุทธศาสตร์: มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๕๙), หน้า ๕๑-๕๒.

ระเบียบวธิ ีวิจยั ช้ันสงู ว่าดว้ ยสันติภาพ ๒๕
โจฮัน เกาล์ตงุ (Johan Galtung)
ผู้ซึ่งได้ช่ือว่าเป็นบิดาของสันติศึกษายุคใหม่ หนังสือของ เกาล์ตงุ ท่ีโด่งดังเล่มหนึ่งคือ “สันติภาพ
โดยสันติวิธี” (Peace by Peaceful Means)” โดยเกาล์ตุงนำเสนอ สันติภาพ ไว้ ๒ นัยยะ สันติภาพ คือ
สภาพการณ์ท่ปี ราศจากหรอื ลดต่ำลงของความรุนแรงในทุกรูปแบบ (violence oriented) และสันติภาพ คือ
การแปรเปลี่ยนความขดั แยง้ โดยสร้างสรรค์ และ ไมใ่ ชค้ วามรนุ แรง (conflict oriented) ซงึ่ ทง้ั สองความหมาย
ขา้ งต้นสอ่ื ใหเ้ หน็ วา่ การทำงานเพอื่ สันติภาพ คอื การทำงานเพือ่ บรรลวุ ัตถุประสงค์ในการลดความรุนแรงโดย
สันติวิธี การศกึ ษาสันตภิ าพ คอื การศกึ ษาเง่ือนไขตา่ งๆ ในการทำงานด้านสนั ติภาพ

วิเซนต์ มาตเิ นส กูสมนั (Vicent Martinez Guzman)
ศาสตราจารย์วิเซนต์ มาติเนส กูสมัน ได้แสดงทศั นะปรัชญาสันติภาพไว้ในหนังสือ "ปรัชญาเพื่อ
การสร้างสันติภาพ (ที่หลากหลาย) (Filosofia para hacer las paces) ซึ่งได้ให้นิยามของสันติภาพไว้ว่า
“สันติภาพน้ันเกดิ จากการตื่นตวั ของผูค้ นในแต่ละชุมชนที่จะสร้างสังคมแห่งสันติสุขในบริบทของแตล่ ะชุมชน
เอง” ในภาษาสเปน คำวา่ สันตภิ าพ (Paz) สามารถใช้ในรูปของพหูพจนไ์ ด้เพราะฉะน้ันความหมาย ของคำว่า
“Paces”นั่นก็คือความหลากหลายของสันติภาพ สันติภาพในหลากหลายบริบท และรูปแบบของสันติภาพที่
สร้างข้ึนและดำรงอยโู่ ดยผ้คู นในแตล่ ะกลุ่มชน๔๖

๑.๓.๒ พัฒนาการศึกษาปรชั ญาสนั ตภิ าพ
ระยะที่หนึ่ง การศึกษาสันติภาพเชิงลบและการศึกษาสันติภาพในแง่มุมของ การศึกษาสงคราม
เนน้ การศึกษาสงครามและความเก่ยี วเนอื่ งของสงคราม มอง มนษุ ย์เป็น เขา เรา ตอ้ งการขจดั เขาออกจากเรา

ระยะที่สอง สันติภาพถูกนำมารวมไว้กบั การพัฒนา มีการจัดตั้งสถาบันที่เกี่ยวกับ การศึกษาวจิ ัย
สันติภาพ ความรุนแรง ความขัดแย้ง และสันติวิธีขึ้นมากมาย ยุคนี้มักคิดในเรื่องสันติภาพเชิงบวกและการ
วิเคราะห์ความรุนแรงทางโครงสร้าง รวมท้ังการสรา้ งความยตุ ธิ รรมและความเท่าเทียมกัน

ระยะที่สาม ให้ความสำคัญกับการลดกำลังอาวุธ ให้ความสำคญั กับเรือ่ งความเท่าเทียมกันทาง
เพศ กจิ กรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสนั ตภิ าพและสนั ติวิธจี ะมงุ่ เน้นไปทกี่ าร รว่ มมอื กนั (ทางสังคม) พยายามกดดันให้
ประเทศ (รฐั ) ต่างๆ ท่ัวโลกไดต้ ระหนักถงึ ภยันตรายของการแขง่ ขนั กนั สะสมอาวธุ และ การรณรงคก์ ารลดอาวธุ
เพอื่ ลดความตงึ เครียดระหว่างรัฐ โดยเฉพาะอาวุธนวิ เคลียร์

ระยะปัจจบุ ันสอู่ นาคต มแี นวคิดการร่วมกนั สร้างสนั ตวิ ฒั นธรรมซง่ึ มคี วามยุติธรรมเปน็ พนื้ ฐาน ที่
จะนำมนษุ ย์ไปสู่สังคมทีม่ คี วามสนั ติสขุ และสังคมสันตสิ ขุ กจ็ ะสรา้ ง สันติวฒั นธรรมตอ่ เนอื่ งกันไป

๔๖เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช, เอกสารประกอบการอบรมวิทยากรสันติวิธี ๒๑–๒๔ มกราคม ๒๕๕๑,[ออนไลน์],
แ ห ล ่ ง ท ี ่ ม า : https://www.deepsouthwatch.org/sites/default/files/ths.santiphaaph1_aaccha aryek.pdf, [๑ ๒
เมษายน ๒๕๖๑].

๒๖ Advanced Research Methodology on Peace
๑.๓.๓ ปรชั ญาสันติภาพให้ความสำคญั กบั อะไร. . .
๑) ความมั่นคงของสังคมมนุษย์โดยรวมซึ่งอยู่เหนือความสำคัญของความเป็นชาติ คานต์ได้

อธิบายไว้ว่า มนุษย์แตล่ ะคนมี ความสามารถในการเปิดใจให้รับรู้และเข้าใจในความแตกต่าง หลากหลายของ
กนั และกันได้ แต่สงั คมมนษุ ยไ์ ม่ควรยอมรบั การ ถูกบงั คบั ใหย้ อมรับ

๒) การคุม้ ครองสิทธิในการเปน็ ประชากรโลก โดยไม่ถูกลิดรอน สิทธใิ นฐานะผู้อืน่
๓) กระทำต่อกนั ในสถานะที่เปน็ เพ่ือนมนุษย์ดุจเดียวกัน คานทไ์ ด้ใหค้ ำจำกดั ความไว้ว่ามนุษย์มี
ศักยภาพในการสร้าง ความรุนแรงเฉกเช่นเดียวกับความสามารถในการสร้างสันติภาพ แต่เขาเช่ื อว่าถ้าเรา
ปรารถนาจะใหผ้ ้อู นื่ ทำดกี บั เรา เรากย็ ่อมจะทำ ดีกบั ผู้อืน่ ดจุ เดยี วกนั
๔) ความชอบธรรมเป็นส่งิ ทแ่ี ตกตา่ ง หรืออยู่ในวัฒนธรรมทตี่ า่ งไป
๕) สิทธิของมนุษย์แต่ละคนบนพื้นโลกในการครอบครอง ทรัพย์สินและการแลกเปลี่ยน ที่เท่า
เทียมกนั
๖) สิทธทิ จ่ี ะไดร้ บั การตอ้ นรับอยา่ งเทา่ เทยี มกนั ไมว่ า่ จะอยูท่ ีใ่ ดก็ ตาม
๗) การยอมรับในสทิ ธิของผูอ้ ่ืน และพรอ้ มท่จี ะเข้าใจสังคมและวถิ ี การปกครองของผคู้ นในสังคม
ทีแ่ ตกต่างจากตน ไมม่ องว่าตน ดกี วา่ ผอู้ ่ืน
๘) สิทธิที่จะได้รับและเข้าถึงการพัฒนา และการปกครองโดย ประชาชนในรูปแบบของ
ประชาธิปไตย๔๗

๑.๓.๔ นกั ปรชั ญาสันติภาพในทางพระพทุ ธศาสนา
พระพุทธทาสภิกขุ (ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้เสนอ
แนวคิดเร่ือง "ทศธรรม และตรีปณิธาน"ไว้ในหนังสือสันติภาพของโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของทา่ นใน
เรื่องสันติภาพและสันติวิธี อันเป็นแนวทาง หรือมรรควิธีที่ทำให้เกิดสันติภาพขึ้นในสังคมยุคปัจจุบัน โดย
ชี้ให้เห็นว่าสนั ติภาพนั้นมีความสำคัญในตัวเอง คือ จำเป็นสำหรับชวี ิตทกุ ชีวิตไม่ว่าจะอยูใ่ นระดับส่วนบุคคล
หรอื ทัง้ หมดในโลกลว้ นต้องการสันตภิ าพ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงทา่ มกลางวกิ ฤตการณโ์ ลกในปจั จุบันซ่ึงเกดิ ขึ้นจาก
การฉกฉวยผลประโยชนต์ ่างๆ จากธรรมชาติเพื่อสนองความอยากของตนเอง ด้วยเหตุน้ี พุทธบรษิ ัทจึงมีความ
จำเป็นเรง่ ด่วนท่ตี ้องศกึ ษาและทำความเข้าใจเรื่องสันติภาพ เพราะสันติภาพเปน็ จุดมงุ่ หมายของพระพุทธเจ้า
เพื่อให้ขวนขวายช่วยกันและกันทำให้เกิดสันติภาพขึ้น วิธีการสร้างสันติภาพและสันติสุขในสังคมไทยของ
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) มีการศึกษาพบวา่ ทา่ นมีวธิ ีการสร้างสนั ตภิ าพและสนั ติสุขใหก้ บั สงั คมผา่ น

๔๗เพมิ่ ศักด์ิ มกราภริ มย์, ทฤษฎีสนั ตภิ าพ ความขัดแย้ง และความรุนแรง, (กรงุ เทพมหานคร: ศูนย์ศึกษาและ
พ ั ฒ นาส ั นต ิ วิ ธี ม ห าวิ ท ย าล ั ย มห ิ ด ล , ๒ ๕ ๕ ๕ ๔ ) , [ออนไล น์ ], แ ห ล ่ ง ท ี ่ มา : http://www.peace.mahidol.
ac.th/th/doc_powerpoint/Peace%20Theory_Permsak.pdf. [๑๒ เมษ. ๒๕๖๑].

ระเบียบวิธีวจิ ัยชั้นสูงว่าดว้ ยสันติภาพ ๒๗
การเผยแผธ่ รรมผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้ศาสนิกชนได้รับรู้ทำใหช้ าวไทยและชาวตา่ งชาตมิ ีโอกาสไดศ้ ึกษาธรรมะ
ของพระพทุ ธเจ้าเพือ่ การดบั ทุกข์ เกดิ สันตสิ ขุ ในจติ ใจ๔๘

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต)* อกี ท่านหน่ึงทีไ่ มเ่ หน็ ดว้ ยกับการนิยามสันติภาพว่าสภาพที่ไร้
สงคราม “คนทั่วไปมักจะมองว่า สันติภาพหมายถึงภาวะไร้สงคราม ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มี การรบราฆ่าฟนั
เบยี ดเบียนกนั ที่รุนแรง” คำถามก็คือท่านมองประเดน็ นี้อย่างไร “ถ้ามองให้ลึกซงึ้ ลงไป สนั ติภาพไม่ใชเ่ พยี งแค่น้ี
ภาวะขาดสนั ติมอี ยู่ในที่อื่น และในรูปลักษณะอ่ืน ๆ แม้วา่ จะไม่ไดม้ ีการรบราฆ่าฟันกันก็ตาม เชน่ สังคมทีม่ กี าร
แก่งแย่งแข่งขนั กัน ต่างคนตา่ งมุ่งหาผลประโยชน์ เอารดั เอาเปรียบข่มเหงกัน ไมม่ กี ารชว่ ยเหลอื เกอื้ กูลกัน จึง
จดั ได้ว่าเปน็ สันติภาพไมไ่ ด้ เพราะไม่มคี วามสงบและความสขุ ทีแ่ ท้จรงิ ”

ดังนั้น “ภาวะขาดสันตภิ าพในโลกนี้จึงมีหลายแบบ”๔๙ นอกจากนี้ยังได้แสดงทัศนะต่อสันติภาพ
โลกผ่านภูมิหลังอารยธรรมโลกาภวิ ฒั น์ บางส่วนในบทสรุปแนวคิดเรอ่ื งสันติภาพ กล่าวไว้วา่ ๑) ปฏิบัติต่อทิฏฐิ
ให้ถูกต้อง ๒) ไม่เอาความตา่ งศาสนามาซำ้ เตมิ ความต่างพวก ๓) สร้างจิตสำนกึ ใหมใ่ นการรวมกลุ่มของมนุษย์
๔) พัฒนาภาวะจิตใจไร้พรมแดน ๕) ยอมรับความจริงสากล คือ หลักความจริงสากลที่เป็นกลางๆ มีผลเสมอ
เหมือนกันแก่ทุกคนทุกที่ รวมทั้งทุกศาสนา ความเป็นมนุษย์ที่เป็นสากล ความมีเมตตาที่เป็นสากล คือ แผ่
ความรู้สึกเป็นมติ รไมตรี มีความรกั ปรารถนาประโยชนส์ ขุ แกม่ นษุ ย์ทั่วทุกคนเสมอเหมือนกนั โดยไม่มีการจำกัด
หรือแบ่งแยก ๖) การยอมรับการมีท่าทีอนุรักษ์สัจจะ: ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยเมตตา ต่อสัจธรรมด้วยปัญญา
ศาสนามีคณุ ค่าต่อมนุษย์ ทำหน้าที่ต่อมนุษย์ คือ อำนวยประโยชน์สุขแก่มนุษย์ ทั้งเฉพาะแต่ละบุคคล และท่ี
รวมกันเปน็ สงั คม และ ช่วยนำมนุษยใ์ หเ้ ขา้ ถึงสจั ธรรม คอื ความจริงซึง่ เปน็ ภาวะของตวั ชวี ิตของเขาเอง๕๐

พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้นำเสนอความหมายของ “สันติภาพ” หรือ “สันต”ิ
ในทางพระพุทธศาสนาไว้ในหนังสือ Buddhist Worldview: โลกทัศน์ชาวพุทธ ว่าหมายรวมถึงความสงบทั้ง
ภายในและภายนอก ความสงบภายในนั้นรู้จักกันโดยทั่วไปว่า “ความสงบใจ” ซงึ่ เปน็ สภาวะจิตใจที่เป็นอิสระ
จากความคิดหรืออารมณ์อันกระสับกระส่าย อึดอัดรำคาญ ความสงบภายในเป็นตัวก่อให้เกิดความสงบ
ภายนอกอันเกี่ยวข้องกับความสมั พันธ์ระหว่างบุคคล ผู้ที่ได้ชือ่ ว่ามีความสงบภายนอก จะสามารถอยู่ร่วมกบั
ผู้อื่นในโลกได้อย่างกลมกลืน ความสงบภายนอกจึงรวมถึงความสงบในชุมชน ในชาติ และในโลก ความสงบ
ข้นึ อยู่กบั บุคคลพอๆ กับทข่ี ึน้ อย่กู บั กลุ่มบุคคลหรอื องค์กรต่างๆ ความสงบภายในตัวบุคคลจะสามารถสรา้ งฐาน
ให้กบั โครงสรา้ งทง้ั หมดของความสงบในสังคมทีบ่ คุ คลนั้นๆ อาศยั อยู่ นั่นแสดงวา่ สงั คมจะอยู่อย่างสงบสุขได้ก็

๔๘ทศั นี ชอ้ ยกิตติพนั ธ,์ บทบาทของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภกิ ขุ) ตอ่ การเสริมสร้างสันตภิ าพและสันติสุข
ในสงั คมไทย, วารสารสนั ตศิ กึ ษาปรทิ รรศน์, ปที ี่ ๕ ฉบับพิเศษเนอื่ งในวสิ าขบชู าโลก ๒๕๕๙, หน้า ๑-๖,

๔๙พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต), การศึกษาเพื่อสนั ติภาพ, พมิ พค์ ร้ังท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก จำกัด,
๒๕๓๘), หนา้ ๑๔.

๕๐พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต), มองสนั ตภิ าพโลกผ่านภมู ิหลังอารยธรรมโลกาภิวตั น์, (กรงุ เทพมหานคร:
มูลนิธิพทุ ธธรรม, ๒๕๔๒), หน้า ๑๘๓-๑๙๐.

๒๘ Advanced Research Methodology on Peace
ต่อเมื่อสมาชิกทุกคนในสังคมนั้นๆ ต่างก็มีจิตใจทีส่ งบสุขเช่นกนั ดังนั้นจงึ กล่าวได้ว่า หากปราศจากความสงบ
ภายในแลว้ ก็ไม่อาจทจ่ี ะมีความสงบภายนอกได้๕๑

พระมหาหรรษา ธมมฺ หาโส (นธิ ิบุณยากร) ไดร้ ะบถุ ึงพทุ ธวธิ ีในการสรา้ งสนั ติภาพแกป้ ัญหาความ
ขัดแยง้ ในหนงั สือ “พุทธสนั ตวิ ธิ ี: การบรู ณาการหลกั การและเครื่องมอื จดั การความขดั แยง้ ” ความโดยสรุปว่า
สันติวิธี เปน็ หลกั การและเครือ่ งมอื ทม่ี นุษยชาติไดน้ ำมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถานการณ์ความขัดแยง้ จากความขัดแย้ง
อันเนื่องมาจากผลประโยชน์ ข้อมูลความสัมพันธ์ ค่านิยม โครงสร้างไม่สมนัยกันโดยนำเสนอทางเลือกเป็น
ทางเลือกในการจัดการความขัดแย้ง โดยนำเครื่องมือจัดการความขัดแย้งทางโลกตะวันออกและตะวันตก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำหลกั การในพระพุทธศาสนา มาบรู ณาการกับองค์ความรู้ เพ่อื ให้ไดแ้ งม่ ุมของความ
ขัดแยง้ สนั ตวิ ิธี และสันติภาพรอบดา้ นมากยง่ิ ข้ึน ซึ่งจะนำไปสู่การเปดิ พน้ื ท่ีที่สามารถเลอื กใช้เครื่องมือเพื่อให้
สอดรับกับสถานการณ์ความขัดแย้งในสภาวการณ์ปัจจุบัน โดยนำหลักการ มัชฌิมวิธี ที่สอดรับกับความชอบ
ธรรมหรอื ธรรมิกะ ในพระพุทธศาสนาทถี่ อื วา่ เป็นจุดเดน่ ๕๒ นอกจากนย้ี ังได้กล่าวถงึ เร่อื งศีล ๕ และ สันติวิธีไว้
ในหนังสอื เร่ือง พทุ ธสันตวิ ธิ ี : การบรู ณาการหลกั การและเคร่อื งมอื จดั การความขัดแย้ง ไว้วา่ ศลี ๕ ถอื เป็นชุด
แนวความคดิ ทน่ี ำสนั ตสิ ุขมาสู่ ชมุ ชน สงั คม ประเทศชาติ โดยมีเป้าหมายคอื สนั ตภิ าพ และ กล่าวถึง“พุทธสันติ
วิธี วา่ คือ วิธีการ และเครอื่ งมือ ทกี่ ่อให้เกดิ ความสงบ ท้ังทางกาย วาจา และใจ อันเปน็ ผลจากการ รู้-ต่นื -และ
เบิกบาน” การที่จะเป็นเช่นนีก้ ็คอื การมีศีลธรรมและแนวทางปฏิบัติตามคำสอนทางพุทธศาสนา หรือ แม้แต่
ความขัดแย้งกถ็ ือเปน็ การจัดการทางสันติวิธีเชน่ กันแต่ตอ้ งใช้วิธีการในการจดั การอย่างเหมาะสม๕๓

พระไพศาล วสิ าโล ได้พดู ถึงสันติภาพไว้วา่ “เม่ือพูดถงึ สนั ตภิ าพ เรามกั นกึ ถึงสง่ิ ทีต่ รงกันข้ามกับ
สงคราม อนั ได้แก่ ภาวะที่ปลอดพ้นจากจาการรบราฆ่าฟันกนั และความโกลาหลอลหม่าน ความหมายนัยลบ
ดังกลา่ วแม้จะไม่ผดิ แตก่ ย็ งั ไดค้ วามไม่ครบถ้วนสมบรู ณ์”๕๔ ปญั หากค็ อื การมองสงครามแบบครบถ้วนหรอื แบบ
องค์รวมควรจะมองอย่างไร “เราต้องมองความหมายในเชิงบวกด้วย กล่าวคือภาวะที่สงบ ราบรื่น ผู้คน
ดำรงชีวติ เป็นสขุ และมสี มานฉันท์ต่อกัน”๕๕ และได้กล่าวถึง คำว่า สันติมใิ ช่การยอมจำนนหรอื อย่นู ิ่งเฉย ปลอ่ ย

๕๑พระธรรมโกศาจารย์ (ประยรู ธมจฺ ิตโฺ ต), A Buddhist Worldview: โลกทัศนช์ าวพุทธ, (กรงุ เทพมหานคร:
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘), หนา้ ๑๙๙.

๕๒พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นธิ บิ ุณยากร), พระพุทธศาสนากบั วิทยาการสมัยใหม่, (กรงุ เทพมหานคร: มหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๗), ปกหลัง.

๕๓พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, พุทธสันติวิธี : การบุรณาการหลักการและเครื่องมือจัดการความขัดแย้ง,
(กรงุ เทพมหานคร: ๒๑ เซ็นจูรี่, ๒๕๕๔), หนา้ ๑๖๕-๒๑๕.

๕๔พระไพศาล วิสาโล, “สันติภาพโดยสันติวิธี”, ใน สื่อในสันติภาพ สันติภาพในสื่อ, กาญจนา แก้วเทพ
บรรณาธิการ, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๐), หน้า๒๓.

๕๕พระไพศาล วิสาโล “องค์รวมแห่งสันติภาพ”,ใน สศู่ านตเิ สร:ี ๕๐ ปี สันติภาพไทย, (กรงุ เทพมหานคร: เรือน
แกว้ การพมิ พ์, ๒๕๓๘), หนา้ ๒๔–๒๗.

ระเบียบวธิ ีวิจยั ช้ันสงู ว่าด้วยสันติภาพ ๒๙
ให้อีกฝ่ายกระทำโดยไม่ตอบโต้ แท้ที่จริงสันติวิธีคือการตอบโต้อีกแบบหนึ่งโดยไม่ใช้ความรุนแรง ทั้งนี้เพ่ือ
หยุดย้งั พฤติกรรมอันไมถ่ ูกต้องหรือเพ่ือปรับเปลย่ี นสถานการณใ์ หเ้ ปน็ ไปในทางสันติ๕๖

กล่าวโดยสรปุ สันตภิ าพในมุมมองพระพุทธศาสนาเป็นวถิ ีแห่งชีวิตของมนุษยท์ เ่ี ป็นสากล กา้ วขา้ ม
ความขดั แย้งและจดั การความขดั แยง้ ด้วยปัญญาเป็นสันตวิ ธิ ี และยอมรับวา่ ความขดั แย้งเกดิ ขึ้นได้เปน็ ธรรมชาติ
แต่วิธีการจัดการความขัดแย้งต้องมีกุศลนำ มีประโยชน์ของมวลมนุษยชาติเป็นจุดหมาย การไมห่ วั่นเกรงหรือ
ผ่อนปรนต่อสิ่งที่ไม่ดงี าม หรือความชั่วร้าย การแสดงออกด้วยความนุ่มนวล ไม่ใช้ความรุนแรงทั้งกาย วาจา
และใจ๕๗

๑.๓.๕ ปรชั ญาสันตภิ าพในทางพระพุทธศาสนาเปน็ อยา่ งไร?
สันติภาพในพระพุทธศาสนา เน้นความสำคัญในการเข้าถึงความสงบโดยเริ่มต้นในระดับปัจเจก
หรือบุคคล ถึงระดับของสังคม และอาศัยการทำประโยชน์สุขเพ่ือสังคมเปน็ การพัฒนาตนให้เข้าถึงความสงบ
หรือนิพพาน ดังนั้น สันติภาพในมมุ มองพระพุทธศาสนาจึงมี ๒ ลักษณะ คือ สันติภาพภายนอกและสันติภาพ
ภายใน
สันติภาพภายนอก คอื สภาวะทีบ่ ุคคล สงั คม หรือโลก ทม่ี ีความสงบอนั เน่อื งมาจาก การท่บี ุคคล
ไมน่ ำคิดเห็นที่ตนยึดมั่น มาใชใ้ นการแก่งแย่งชิงดี เรยี กร้องผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง การแบ่งฝักแบ่ง
ฝ่าย และเป็นมูลเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาท ทำร้ายกัน สันติภาพภายนอกจะสะท้อนสังคมแห่งสันติภ าพ
กล่าวคือ ภาพของสังคมที่ปราศจากการเบียดเบียนต่อกันและกัน การแสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี
ประสานกลมกลนื กันระหว่างมนุษย์ การมีสิทธิเสรีภาพ และการเคารพในความเปน็ มนุษย์

สันตภิ าพภายใน คอื สภาวะจติ ทกี่ ้าวขา้ มพ้นบ่วงพันธนาการของกเิ ลส ที่ชกั จูงให้เกิดความเห็น
แกต่ ัว การเขา้ ถงึ จิตที่มคี วามเข้มแข็งไร้การครอบงำจากส่ิงต่างๆ ท้งั ตัณหา มานะ และทิฏฐิ เป็นสภาวะจิตที่ไร้
ความรุนแรงทกุ ชนดิ เรียกวา่ การเข้าถงึ ความสงบเยน็ หรอื นิพพาน

เห็นได้ว่าสันติภาพทั้ง ๒ ลักษณะ ในทางพระพุทธศาสนาต่างก็เป็นวิถีที่ปฏิเสธความรุนแรงทกุ
ชนดิ อย่างชัดเจน และหนทางทีจ่ ะเขา้ ถงึ สนั ตภิ าพในทางพระพุทธศาสนา มีวิถปี ฏบิ ตั ิ ๓ ทาง แหง่ การกระทำ
ที่พุทธดำรสั วา่ สนตฺ กาโย สนฺตวาโจ สนฺตมโน แปลว่า ภิกษุท่มี ีกาย วาจา และใจสงบ เราเรียกว่า ผเู้ ขา้ ไปสงบ๕๘

๕๖พระไพศาล วิสาโล, สนั ติวิธี วิถีแห่งอารยะ, (กรงุ เทพมหานคร: สำนกั พิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๔๙), หน้า
๑๓๔-๑๔๕.

๕๗ขันทอง วัฒนะประดษิ ฐ์, “ชมุ ชนสันตสิ ุขในพุทธศตวรรษท่ี ๒๖: ถอดบทเรียนชุมชนสันติสุขในพื้นท่ีท่ีมีความ
ขัดแยง้ ”, รายงานวิจัย, (สถาบนั วิจัยพทุ ธศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หนา้ ๑๗-๑๙.

๕๘ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์, “ชมุ ชนสนั ตสิ ุขในพุทธศตวรรษที่ ๒๖: ถอดบทเรียนชุมชนสันติสุขในพื้นที่ที่มีความ
ขัดแย้ง”, รายงานวจิ ยั , หนา้ ๑๓-๑๔.

๓๐ Advanced Research Methodology on Peace
๑.๓.๖ ปรัชญาวจิ ยั เพ่ือสันติภาพ
จากที่ผู้เขียนได้เรียบเรียงเน้ือหามาทัง้ หมดนับตั้งแต่การปูพื้นความหมายการวิจัย กระบวนทัศน์

การวจิ ยั ทง้ั ในทางตะวันตกและทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนถงึ ปรัชญาสันตภิ าพ เพื่อใหผ้ ูศ้ ึกษาไดแ้ นวทางใน
การทำความเขา้ ใจเก่ยี วกบั ปรัชญาวจิ ยั เพ่อื สันตภิ าพ คืออะไร มีหลกั คิดสำคัญอะไรทเ่ี กี่ยวข้องบ้าง หากใหส้ รุป
ปรัชญาวจิ ยั เพ่อื สนั ติภาพ ผ้เู ขียนสรปุ ไดด้ งั นี้

ปรัชญาวิจัยเพ่อื สนั ตภิ าพ คือ การศกึ ษากระบวนการสร้างสันติภาพอยา่ งเป็นระบบแบบแผน
ใช้เคร่อื งมอื ทเ่ี ชอ่ื ถือได้ ภายใต้วธิ รี ะเบียบวจิ ยั ทั้งวิธกี ารนริ นยั และ/หรืออปุ นัยเปน็ เครอื่ งมอื ในการแสวงหา
คำตอบการวจิ ยั ซงึ่ มจี ุดหมายตามหลกั ปรชั ญาสันติภาพในทางพระพทุ ธศาสนา ท่มี งุ่ เน้นการศกึ ษาสาเหตุ
การแก้ไขปญั หาความขัดแย้ง การปอ้ งกนั ความขัดแย้ง การพฒั นาสันติภาพและรกั ษาสันตภิ าพให้ยั่งยนื
พฒั นาสันติภาพภายในและสันติภาพภายนอก โดยใช้เคร่อื งมือสนั ตวิ ิธที ง้ั ตามหลักสากลและพุทธสนั ตวิ ิธใี น
กระบวนการแปรเปลี่ยนความขดั แย้งใหเ้ ข้าถึงสันติภาวะ ทง้ั ในระดับบคุ คล ชุมชน สังคม ประเทศ และโลก

๑.๓.๗ วศิ วกรสนั ตภิ าพคอื อะไร และมจี ุดมงุ่ หมายอย่างไร?
“วิศวกรสันติภาพ” เป็นคำท่ีบัญญัติขึ้นโดยผู้ก่อต้ังหลกั สูตรสนั ติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตร ซึ่งท่านใช้คำว่าวศิ วกรสันตภิ าพ
เป็นคำเรียกของผู้เข้ามาศึกษาในหลักสูตรทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก และเมื่อสำเร็จการศึกษา
ออกไปจะเป็นผู้ที่มีทักษะในการออกแบบ แก้ไข ปัญหาความขัดแย้ง และสามารถสร้างความปรองดองและ
สมานฉนั ทใ์ นสงั คมท่ตี นอยู่ พร้อมกนั นีย้ ังเปน็ ผู้ท่ีมีสนั ตปิ ณธิ านเป็นอุดมการณท์ ำงานเพือ่ รบั ใชผ้ ูอ้ ื่น ดังคำกล่าว
วา่ “ขา้ พเจา้ ขอสญั ญาวา่ ข้าพเจา้ จะบำเพญ็ สันติบารมี พัฒนาชีวใี ห้รู้ ตื่นและเบิกบาน รว่ มประสานมนษุ ยแ์ ละ
สงั คม ให้อดุ มด้วยสันติสุขในทกุ ลมหายใจ ตลอดไปเทอญ” ซึง่ นบั วา่ มคี วามชดั เจนแจม่ แจง้ เมอ่ื ผู้เรียนได้มาบ่ม
เพาะวถิ ีปฏิบัตทิ ่หี ลักสูตรไดว้ างกรอบไวโ้ ดยธรรมะของพระพทุ ธเจา้ เปน็ แตอ่ ย่างไรกต็ ามมิไดจ้ ำเพาะเจาะจงว่า
ตอ้ งเรยี นทสี่ าขาสันติศกึ ษาเทา่ นัน้ คำนี้สามารถใช้เรียกขานกล่มุ ทที่ ำหน้าท่เี หลา่ นี้วา่ วิศวกรสันตภิ าพ กล่าวคอื
เป็นผทู้ ่มี สี นั ตวิ ิถีในการดำเนนิ ชีวิต แสวงหาทางในการเข้าถงึ สันตภิ าพในตนเอง และมงุ่ หมายใหส้ ังคมเกิดสันติ
สขุ สามารถอยู่ร่วมกนั อย่างสมานฉันทบ์ นวิถแี ห่งความแตกต่าง ทำหน้าทใ่ี นการเชื่อมประสานสังคม แก้ไขและ
ป้องกนั ความขัดแย้งด้วยจติ อาสา ไม่นงิ่ เฉยหากเผชิญกับความขดั แยง้ และไม่ยอมรับการใชค้ วามรุนแรงในการ
แก้ปญั หา สามารถออกแบบการแกไ้ ขปัญหาความขัดแยง้ และสร้างเสริมสังคมให้เกิดสันติสุข ท้งั นีก้ ารบ่มเพาะ
ผ้เู รียนใหอ้ อกไปทำหนา้ ท่ีของวิศวกรสันติภาพนั้น พ้นื ฐานสำคญั และจำเป็นอย่างยิ่งนอกเหนือจากการพัฒนา
สนั ตภิ ายใน (Inner Peace) คอื การพัฒนาใหผ้ ู้เรยี นสามาร ฝึกฝนความเป็นแพทย์ในการรักษาโรค ทสี่ ามารถ
วเิ คราะห์สาเหตุของโรค กลา่ วคอื สามารถวเิ คราะห์ประเภทความขดั แย้ง สาเหตคุ วามขดั แยง้ เพอื่ นำไปสู่การ
สร้างสมมุติฐานในการรักษา แก้ไข เยียวยา และฟื้นฟู ซ่งึ เป็นกระบวนการสร้างสนั ติภาพทางพระพุทธศาสนา
ตามหลกั สัมมปธาน ๔ โดยมีพทุ ธสันตวิ ธิ ีเป็นทง้ั หลักการและวธิ กี าร

ระเบยี บวธิ ีวิจัยช้ันสงู ว่าดว้ ยสันติภาพ ๓๑
๑.๓.๘ วศิ วกรสันติภาพกบั การออกแบบงานดา้ นสนั ตภิ าพ
อาจมคี ำถามวา่ จำเปน็ หรอื ไมท่ ีต่ อ้ งนำพุทธสนั ตวิ ธิ ีมาใช้ในการทำวิจยั เพอื่ สนั ติภาพ สำหรับผเู้ รยี น
ในสาขาวิชาสันติศึกษามหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ที่มีแกน่ ของหลักสูตรในการนำหลกั คำสอน
ของพระพทุ ธเจ้า ไดแ้ ก่ ศลี สมาธิ ปญั ญา มาเป็นกรอบในการพัฒนาผูเ้ รยี นทงั้ ในทางปริยตั ิและปฏิบัติ นับว่า
เปน็ ความจำเปน็ ที่สาขาวิชาหรอื หลกั สตู รพยายามให้ผ้ศู ึกษาได้เรียนรูศ้ ึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่าง
ถ่องแท้ สามารถนำหลักธรรมไปประยุกต์ใช้ในงานดา้ นสันติภาพได้ แต่สำหรับผู้ศึกษางานสันติภาพอืน่ อาจนำ
แนวทางนี้ไปปรบั ใช้ตามความเชอื่ ทางศาสนา หรอื ตามประเด็นทต่ี นสนใจ ดงั นั้นผู้เขียนจึงสรปุ แผนภาพกรอบ
การออกแบบงานดา้ นสนั ตภิ าพท่เี ป็นพ้ืนฐานทั้งน้เี พือ่ ประโยชน์ในการศกึ ษาในวงกว้างตอ่ ไป

วิศวกรสนั ติภาพกบั การงานวิจยั สนั ติภาพ
ข้นั ตอนในการจดั การความขดั แยง้

๑. ขัน้ วิเคราะหป์ ญั หา
๒. ขั้นวิเคราะหส์ าเหตุของปญั หา
๓. ขั้นหาแนวทางในการแกไ้ ขปญั หา
๔. ขนั้ นำแนวคดิ หลักการไปปฏบิ ตั ิ

ภาพท่ี ๑.๖ การวเิ คราะหแ์ กป้ ญั หาทส่ี าเหตุ

วิเคราะหห์ าสาเหตขุ องโรค รกั ษาโรคดว้ ยธรรมโอสถ
ภาพ ๑.๗ กรอบแนวคดิ วิธวี ิจัยเพ่ือสันติภาพ*

*กรอบแนวคดิ วิธีการวิจัยเพ่ือสนั ตภิ าพตามแผนภาพนี้ พฒั นาจากกระบวนการสร้างสนั ตภิ าพตามกรอบปธาน ๔

๓๒ Advanced Research Methodology on Peace

๑.๔ สรุป

การศกึ ษาถึงแนวคดิ พืน้ ฐานเกย่ี วกบั ปรัชญางานวิจยั กระบวนทศั นก์ ารวิจัย วิธกี ารวิจัยทงั้ ตามแนว
ตะวันตกและตามหลักพระพุทธศาสนา ประกอบกับการทบทวนความรู้ในมิติปรัชญาสันติภาพและจุดยืน
สนั ติภาพในทางพระพทุ ธศาสนา ชว่ ยให้ผศู้ กึ ษาเกดิ ความเข้าใจ เขา้ ถงึ แก่นสาระสำคัญท่จี ะปูพน้ื ฐานไปสู่ความ
เข้าใจในปรัชญาวจิ ัยเพื่อสนั ติภาพท่มี ุง่ เน้นอิงแอบกับหลกั คำสอนในทางพระพุทธศาสนา ที่สามารถสะท้อนให้
เห็นถึงกระบวนการสร้างสันติภาพทีม่ ีมิติรอบดา้ นท้ังในการค้นหาสาเหตุของปญั หา การจดั การปอ้ งกันปัญหา
ความขัดแย้ง การสรา้ งและพัฒนาใหเ้ กิดสนั ตภิ าพ โดยหัวใจสำคัญคอื การแก้ปญั หาที่รากเหง้าในความขัดแย้ง
ของมนุษย์ กล่าวคือ การพัฒนาสันติภาพในทีจ่ ะส่งผลต่อท่าทกี ารแสดงออกต่อสภาวะภายนอกที่เรียกวา่
สันติภาพนอก ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หรือถึงแม้จะเกิดขึ้นแล้วก็จะสะท้อนกลับความขัดแย้งมาเป็นวังวน
อันเนอื่ งมาจากความขัดแยง้ นนั้ ไมไ่ ดถ้ ูกขจัดหรือถูกพัฒนาให้เกดิ สนั ติภายใน ซงึ่ ประเดน็ เหลา่ นเี้ ป็นไปตามหลัก
คำสอนในทางพระพุทธศาสนาทีส่ อดรับกบั วทิ ยาการตะวันตก โดยกระบวนการวจิ ัยท่ีมรี ะบบแบบแผนที่นำไปสู่
การค้นหาคำตอบอย่างมีเหตุผลและมีผลศึกษารบั รองยืนยัน นนั่ คือเหลา่ พระสาวกของพระพทุ ธองค์

หัวใจสำคัญของการวิจัยเพื่อสันติภาพ คือ การมุ่งเน้นในการแก้ปัญหา การป้องกัน และการ
พัฒนา/ปรับปรงุ ให้สนั ตภิ าวะท้ังในระดบั บคุ คล สงั คม ชมุ ชน เกิดขน้ึ ไดอ้ ยา่ งเปน็ รูปธรรมโดยอาศัยพทุ ธสนั ติวธิ ี
มาช่วยเติมเต็มกระบวนการสร้างสันติภาพให้มีประสิทธภิ าพยิ่งข้ึน โดยอาศัยวิธีวิจัยเชิงอุปนัยเป็นเหตุในการ
แสวงหาความจริงและโดยท่ีไม่ปฏิเสธวิธีวิจัยเชิงนิรนัยที่สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้เพื่อส่งเสริมกัน ทั้งนี้การ
เรยี นรูใ้ นบทน้เี ป็นเพยี งประตูด่านแรกทผ่ี ศู้ กึ ษาจะได้เปดิ โลกทศั น์และทำความเข้าใจการวิจัยเพอื่ สันตภิ าพ ผ่าน
ปรัชญาวิจัยเพ่ือสันติภาพ และเกิดประสบการณจ์ ากการฝึกตัง้ คำถามในชั้นเรยี น การแสวงหาโจทย์วจิ ัย และ
การใชแ้ รงบนั ดาลใจกลุ่มในการแลกเปลี่ยนเรยี นร้เู พอ่ื ไปสกู่ ารสร้างประสบการณ์การทำโครงร่างงานวิจัยผ่าน
การเรยี นในวิชาน้ี

ระเบียบวิธีวจิ ัยช้ันสูงว่าดว้ ยสันติภาพ ๓๓

คำถามทบทวนบทท่ี ๑

๑) จงร่วมกนั อธบิ ายถงึ ความแตกต่างระหว่างวธิ ีการวจิ ยั แบบอุปนยั และนริ นยั
๒) จงร่วมกันอธิบายถงึ กระบวนทศั น์การวจิ ัยคืออะไร และมคี วามสำคัญอยา่ งไร
๓) จงร่วมกันอธิบายถงึ จุดเด่นของกระบวนการวจิ ยั ทางพระพทุ ธศาสนาเปน็ อย่างไร
๔) จงรว่ มกนั อธบิ ายความแตกตา่ งระหวา่ งงานวิจยั เชงิ ปริมาณกบั เชงิ คณุ ภาพ แตกต่างกันอยา่ งไร และมหี ลกั

คิดอะไรอยู่เบือ้ งหลงั ความแตกต่างนน้ั
๕) จงรว่ มกนั แสดงความเหน็ ตอ่ นิยามปรัชญาการวิจยั เพอื่ สนั ติภาพทแ่ี สดงไวใ้ นบทเรียน
๖) จงร่วมกนั อธบิ ายหลักพุทธสนั ติวธิ เี ก่ยี วข้องอย่างไรกับงานวิจยั เพอ่ื สันตภิ าพ
๗) จงร่วมกนั สรุปสาระความรู้ ทัศนคตเิ ก่ยี วกบั งานวจิ ัยเพอ่ื สนั ตภิ าพทไี่ ด้รับเปน็ อย่างไร

กิจกรรมทา้ ยบทเรยี น

๑) การทำสะทอ้ นคดิ
๒) เฉลยการทำ pre-test
๓) มอบหมายใหค้ ้นประเด็นวจิ ัยทส่ี นใจ

๓๔ Advanced Research Methodology on Peace

เอกสารอา้ งอิงประจำบท

การจัดการความรขู้ องมหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. “ฐานความรู้ มสธ.: การวจิ ยั ”.[ออนไลน์]. แหลง่ ทม่ี า:
http://www.stou.ac.th/knowledgemanagement/infoserve/kmdb/read_kb.asp?db_id
=7&kmdb_id=2[๑๑ เม.ย. ๒๕๖๑].

ขจรศกั ดิ์ บวั ระพันธ์. (๒๕๕๗). วจิ ยั เชงิ คุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพมหานคร: บริษทั คอมมา่ ดไี ซน์แอนด์
พรน้ิ ท์ จำกดั .

ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์.(๒๕๕๙). “ชุมชนสันตสิ ขุ ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๖: ถอดบทเรียนชุมชนสันติสขุ ในพ้นื ทท่ี ม่ี ี
ความขดั แยง้ ”. รายงานวจิ ัย. สถาบันวิจยั พุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๕๙.

คณาจารย์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. (๒๕๕๙). งานวจิ ัยและวรรณกรรมทาง
พระพุทธศาสนา. พมิ พค์ รงั้ ที่ ๒,. อยธุ ยา: สำนักพิมพ์มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย.

ชาย โพธสิ ิตา. (๒๕๕๔). ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ การวิจยั เชิงคณุ ภาพ. พมิ พค์ รงั้ ที่ ๕.กรงุ เทพมหานคร :บรษิ ัท
อมรินทรพ์ ริน้ ต้ิงแอนด์พบั ลชิ ชิง่ จำกัด (มหาชน).

ทศั นี ชอ้ ยกิตตพิ ันธ์. (๒๕๕๙). “บทบาทของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภกิ ขุ) ตอ่ การเสรมิ สรา้ งสนั ตภิ าพ
และสันตสิ ขุ ในสงั คมไทย”. วารสารสนั ติศึกษาปรทิ รรศน์. ปีท่ี ๕ ฉบับพเิ ศษเนือ่ งในวสิ าขบชู าโลก.

บุญเฉดิ โสภณ. สำนกั งานคณะกรรมการวจิ ัยแหง่ ชาติ. [ออนไลน์]. แหลง่ ทีม่ า: http://statistic.cad.go.th
/download/sim2.pdf.[๑๐ เม.ย. ๒๕๖๑].

พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต). (๒๕๒๔). มหาวทิ ยาลัยกบั งานวิจยั ทางพระพุทธศาสนา. พิมพค์ รั้งที่ ๓.
กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั .

พระธรรมโกศาจารย์ (ประยรู ธมฺจติ ฺโต). (๒๕๔๘). A Buddhist Worldview: โลกทศั นช์ าวพุทธ.
กรุงเทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั

พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต). (๒๕๔๖). วถิ สี ู่สนั ติภาพ. พมิ พค์ ร้ังท่ี ๑. กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก.
_________. (๒๕๓๘). การศึกษาเพอื่ สันติภาพ., พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: สหธรรมกิ จำกัด.
พระประชา ปสนั นธัมโม, พระไพศาล วิสาโล, สนั ตสิ ุข โสภณสริ ิ, และรสนา โตสิตระกลู . (ผู้แปล). (๒๕๔๙). จุด

เปล่ียนแหง่ ศตวรรษ. กรงุ เทพมหานคร: สำนกั พมิ พ์โกมล คมี ทอง.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). (๒๕๕๑). พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๑.

กรุงเทพมหานคร: บริษัท เอส.อาร์. พร้นิ ตง้ิ แมส โปรดกั ส์ จำกดั , ๒๕๕๑), หน้า ๒๐๐.
_________. (๒๕๔๒). มองสนั ตภิ าพโลกผ่านภูมิหลงั อารยธรรมโลกาภวิ ตั น์. กรุงเทพมหานคร: มลู นธิ ิพทุ ธ

ธรรม.
พระไพศาล วิสาโล. (๒๕๓๐). “สันติภาพโดยสนั ตวิ ิธี”. ใน สื่อในสันติภาพ สนั ติภาพในส่อื .กาญจนา แกว้ เทพ

บรรณาธิการ. กรงุ เทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหา- วทิ ยาลยั .


Click to View FlipBook Version