ระเบยี บวธิ ีวิจัยช้ันสูงวา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๑๓๕
ซ่ึงในสถานการณใ์ นลักษณะนี้การรวบรวมข้อมูลท้งั เชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพจะให้เป็นประโยชนแ์ ก่ผูว้ ิจัยได้
อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
(๒) ประสบการณ์ส่วนตน (Personal experiences) ประสบการณ์และการฝึกอบรมของแต่ละ
บคุ คลของผู้วิจยั ยอ่ มมีอิทธิพลต่อการเลือกแบบการวิจัย การที่บคุ คลได้รับการฝึกฝน อบรมในเชงิ เทคนคิ การ
เขียนทางวิทยาศาสตร์ สถิติ และโปรแกรมสถิติคอมพิวเตอร์ หรือคุ้นเคยกบั การอ่านวารสารวิจยั เชิงประมาณ
มักจะเลอื กใชแ้ บบการวิจัยเชงิ ปริมาณ ในขณะทีบ่ ุคคลทีน่ ยิ มการเขียน หรือการสัมภาษณผ์ ู้คน หรอื การสังเกต
จะมแี นวโนม้ ในการเลอื กการวิจัยแบบคุณภาพ นักวิจยั แบบผสมผสานจะคนุ้ เคยท้งั การวิจัยเชิงปริมาณและการ
วิจัยเชิงคุณภาพ ซ่ึงผู้วิจัยแบบผสมผสานจะต้องมที ั้งเวลาและทรัพยากรอ่ืนๆ ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลท้งั เชิง
ปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพ
(๓) ลักษณะของผู้อ่านหรือผู้สนใจในงานวิจัย (Audience) เป็นเกณฑ์การเลือกวิธีวิทยาและ
วิธีการออกแบบการวิจยั ท่ีคำนึงถึงลักษณะของบุคคลที่เปน็ ผู้อ่าน พจิ ารณาและประเมินหรือสนใจ ท่ีนักวจิ ัยจะ
ทำว่ามีแนวโน้มยอมรับหรือใหก้ ารสนับสนุนการทำงานวิจัยในรูปแบบตา่ งๆกันหรือไม่ อย่างไร นกั วิจยั จะต้อง
พจิ ารณาว่าบคุ คลหรือกลุม่ บคุ คลดังกล่าวมีความคุ้นเคย ยอมรับในคุณค่า รวนท้ังเชื่อถือมโนทัศน์ รากฐานและ
ระเบียบวิธีการออกแบบต่างๆ ภายใต้ฐานคติความเชื่อในเร่ืองวิทยาการแสวงหาความรู้ความจริงเก่ียวกับ
ปรากฏการณท์ ี่น่าสนใจตามกระบวนทัศน์ท่ีนักวิจัยเลอื กมาใชใ้ นการออกแบบวจิ ยั หรือไม่เพียงใด เชน่ ถา้ ผู้อา่ น
หรือประเมินงานวิจัยมีความคุ้นเคยและให้มีคุณค่ากับการวิจัยเชงิ ปริมาณมากกวา่ การวิจัยคุณภาพ โอกาสที่
งานวิจยั ทไี่ ด้รบั การออกแบบด้วยวธิ กี ารเชงิ ปริมาณย่อมเปน็ ไปได้สงู
กลา่ วโดยสรุป การออกแบบการวิจัยที่ดที ่จี ะนำไปสู่การตอบคำถาม ปญั หาหรือประเด็นท่ไี ด้ตัง้ ไว้
อย่างถกู ตอ้ งและชัดเจน จะตอ้ งมีหลักเกณฑก์ ารพจิ ารณาแบบการวิจัย ซง่ึ ประกอบดว้ ยสง่ิ สำคญั ได้แก่ การตอบ
คำถามการวิจยั การควบคุมตัวแปรเกิน การสรปุ อ้างองิ ไปสู่ประชากร และการมคี วามตรงภายในและภายนอก
นอกจากน้ี การเลือกแบบการวิจยั อาจข้ึนอยกู่ บั ปญั หาการวิจัย ประสบการณส์ ว่ นตวั และลกั ษณะของผอู้ ่านหรอื
ผูส้ นใจงานวิจัย
๑๓๖ Advanced Research Methodology on Peace
ภาพท่ี ๕.๓ แผนผังสรุปแนวทางการออกแบบการวจิ ยั เชิงปริมาณ
ต้องการข้อสรปุ
เชิงสาเหตุหรือไม่
มี มีการควบคุม ไมม่ ี
อยา่ งเขม้ งวด กึ่งทดลอง
มีการสุ่มตัวอยา่ ง ไมใ่ ช่
เข้ากลมุ่ ไมใ่ ช่
ใช่
สุ่มตัวอย่างจาก
ประชากร
ใช่
การทดลองแท้
นอกจากการออกแบบการวิจยั เชิงปรมิ าณจะแบ่งตามประเภทของรูปแบบการวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณแล้ว
ยังสามารถนำหลักของขนาดความสัมพันธ์ การลดความคลาดเคล่ือนและการขจัดปัจจัยแทรกซ้อน แบ่ง
ประเภทของการออกแบบการวจิ ัยออกเป็น ๓ ประเภทดงั นี้
(๑) การออกแบบการวัดค่าตัวแปร (Measurement Design) เป็นการกำหนดวิธีการวัดค่า
หรือการสรา้ งและพฒั นาเคร่อื งมอื ทีใ่ ชว้ ัดคา่ ตวั แปรโดยมีลำดบั ขนั้ ตอนในการดำเนนิ การดังน้ี
๑.๑) กำหนดวัตถุประสงค์ของการวดั ค่าตวั แปร
๑.๒) กำหนดโครงสร้างและคำนยิ ามของคา่ ตวั แปรแตล่ ะตัวที่ตอ้ งการวัดใหช้ ัดเจน
๑.๓) กำหนดระดับการวดั ของขอ้ มลู และสรา้ งและพัฒนาเครื่องมอื ทีใ่ ชว้ ัดคา่ ตวั แปร
๑.๔) ตรวจสอบคุณภาพที่จำเป็นต้องมีของเคร่ืองมือท่ีใช้วัดค่าตัวแปรได้แก่ความเท่ียงตรง
(Validity) และความเชอื่ ม่ัน (Reliability)
๑.๕) กำหนดวธิ กี ารและขัน้ ตอนการเก็บรวบรวมขอ้ มูลใหช้ ดั เจน
๑.๖) กำหนดรปู แบบวิธีวดั ค่าตวั แปรหรอื การควบคมุ ตวั แปรเกนิ โดยวิธกี ารสุ่ม, การนำมาเป็น
ตวั แปรที่ศกึ ษา, การจัดสถานการณ์ใหค้ งทห่ี รือการควบคุมดว้ ยวธิ ีการทางสถิติ
๒) การออกแบบการสุ่มตัวอย่าง (Random Sampling Assignment) เป็นการดำเนินการ
เพ่ือใหไ้ ดก้ ลุ่มตวั อยา่ งทีเ่ ปน็ ตัวแทนทด่ี ีของประชากรในการนำมาศกึ ษาโดยมขี น้ั ตอนในการดำเนินการดังน้ี
ระเบียบวธิ วี ิจัยช้ันสงู วา่ ดว้ ยสนั ตภิ าพ ๑๓๗
๒.๑) กำหนดวธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ งเป็นการกำหนดขอบเขตและเลือกวธิ ีการสุม่ กลุ่มตวั อย่างท่จี ะ
ทำให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนท่ีดีของประชากรที่ศึกษาท่ีอาจจะใช้วธิ ีการสุ่มโดยใช้ความน่าจะเป็นท่ีให้
โอกาสแกท่ ุกๆหน่วยของประชากรมีโอกาสทจ่ี ะได้รับการสุ่มเป็นกลุ่มตัวอย่างหรือถ้ามีขอ้ จำกัดบางประการใน
การวจิ ยั อาจจะมกี ารเลอื กใช้วิธกี ารสมุ่ (Sampling) หรือการเลอื ก(Selection)กลมุ่ ที่เฉพาะเจาะจงมาศึกษาโดย
ไมใ่ ชห้ ลักการของความนา่ จะเปน็ ก็ได้
๒.๒) กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างท่ีเหมาะสมเป็นการกำหนดขนาด/จำนวนของกลุ่ม
ตวั อย่างจากประชากรอยา่ งเหมาะสมและมคี วามเป็นไปได้โดยการใช้สูตรการคำนวณหรอื ตารางเลขสมุ่
(๓) การออกแบบการวเิ คราะหข์ อ้ มูล เป็นการวางแผนในการดำเนินการกบั ขอ้ มลู อยา่ งเป็นระบบ
เพอื่ ที่จะไดใ้ ชใ้ นการตอบปญั หาการวิจยั ตามจุดมุ่งหมายของการวิจยั ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพมดี ังนี้
๓.๑) การเลือกใช้สถิติเชิงบรรยาย (Descriptive Statistics)เป็นการเลือกใช้สถิติในการ
วเิ คราะห์ขอ้ มูลทเี่ หมาะสมกับระดบั ของข้อมลู และสอดคลอ้ งกบั จดุ มุ่งหมายของการวจิ ยั เพอื่ ให้ได้ผลการวจิ ยั ใน
การบรรยายลักษณะต่างๆที่ศึกษาได้อย่างถูกต้องชัดเจนและน่าเช่ือถือหรือกล่าวได้ว่าผลการวิจัยมีความ
เท่ียงตรงภายใน (Internal Validity)
๓.๒) การเลือกใช้สถิติเชิงอ้างอิง (Inferential Statistics) เป็นการเลือกใช้สถิติในการ
วิเคราะห์ท่ีเหมาะสมกับข้อตกลงเบ้ืองต้น (Basic Assumption) และสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย
เพ่ือให้ได้ผ ลการวิจัยท่ีถูกต้องชัดเจนน่าเช่ือถือและสามารถใช้ผล การวิจัยในการสรุ ปอ้างอิงผล การวิจัย
(Generalization) จากกลุ่มตัวอย่างไปยังประชากรได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพหรือกล่าวได้ว่าผลการวิจัยมคี วาม
เทยี่ งตรงภายนอก (External Validity)๒๑
๕.๒.๓ Max-Min-Con Principle :หวั ใจสำคญั ในการออกแบบวจิ ัยเชิงปริมาณ
การออกแบบการวิจัยเชิงปรมิ าณให้มีคุณภาพมีหลักการสำคัญท่ีต้องคำนึงกล่าวคือ การควบคุม
ความแปรปรวน ตามหลกั การ Max Min Con หรือ Max-Min-Con Principle (Kerlinger& Lee)๒๒
(๑) Max คือ Maximize systematic variance หรือทำให้ความแปรปรวนระบบมีค่าสูงสุด
ความแปรปรวนระบบ หรือความแปรปรวนเชงิ การทดลอง หรอื ความแปรปรวนจากตัวแปรตามมีท่มี าจากตัว
แปรอสิ ระท่เี ลือกศึกษา เชน่ ศึกษาวธิ ีการบรหิ าร ๒แบบที่มีผลต่อประสทิ ธภิ าพของโรงเรยี น ในทางปฏิบตั ิการ
ทำใหค้ วามแปรปรวนจากตัวแปรตาม ซึ่งในท่ีนี้คือประสิทธภิ าพของโรงเรียนมีคา่ สูงสดุ นักวิจยั จะเลือกตัวแปร
อิสระคอื วธิ กี ารบริหาร ๒ แบบที่มีความแตกตา่ งกนั มากที่สุด
๒๑สังคม ศภุ รัตนกุล, เอกสารคำสอนรายวิชาระเบยี บวิธีวิจัยทางสาธารณสุข, หนา้ ๔๒.
๒๒Kerlinger, F N. & Lee, H. B., Foundations of Behavioral Research, 4th ed. ( Singapore:
Wadsworth, 2000), pp 459-463.อ้างอิงใน กุลชลี จงเจริญ และนิตยา ภัสสรศิร,ิ การออกแบบและการวางแผนการวิจัย,
หนา้ ๖.
๑๓๘ Advanced Research Methodology on Peace
(๒) Min คือ Minimize error variance หรือทำให้ความแปรปรวนคลาดเคล่ือนมีค่าต่ำสุด
ซ่ึงความแปรปรวนคลาดเคลื่อนเป็น Random error ทม่ี าจากแหล่งต่างๆ เชน่ ความคลาดเคล่ือนของการวัด
(Measurement error) จงึ ต้องมีเครื่องมือทมี่ ีคุณภาพ นอกจากน้ี ความคลาดเคลอ่ื นอาจเกิดจากความแตกตา่ ง
ระหว่างบุคคล เช่น นักเรียนท่ีเข้าสอบควบคุมอารมณ์ได้แตกต่างกัน เป็นต้น การควบคุมให้ความแปรปรวน
คลาดเคลื่อนมีค่าต่ำสุด ทำได้โดย (๑) ลดความคลาดเคล่ือนจากการวัด และ (๒) เพ่ิมค่าความเท่ียง
(Reliability) ของการวดั
วธิ ที ที่ ำใหค้ วามคลาดเคลือ่ นมีคา่ ตำ่ สุด
การสรา้ งเครอื่ งมือวจิ ัยใหม้ ี ความตรง (Validity) ความเทีย่ ง(Reliability)
ความเป็นปรนยั (Objectivity) และ อำนาจจำแนก (Discrimination)
(๓) Con คือ Control extraneous variance หรือการควบคุมความแปรปรวนจากตัวแปร
ภายนอกหรือตวั แปรแทรกซ้อนใหค้ งที่ ซึ่งตัวแปรแทรกซอ้ นนี้เปน็ ตัวอิสระที่เราไม่ประสงค์จะศกึ ษาแตเ่ ป็นตัว
แปรที่สง่ ผลตอ่ ตวั แปรตามจงึ ต้องควบคมุ ซง่ึ ทำได้หลายวธิ ี คือ
๓.๑ ขจดั ตัวแปรแทรกซอ้ น โดยทำให้กลุม่ ตัวอย่างมคี วามเหมอื นกันในตัวแปรอสิ ระท่เี ป็นตัวแปร
แทรกซ้อน เช่น ถ้าตัวแปรแทรกซ้อน ได้แก่ เพศ และระดับสติปัญญาก็จะทำให้การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง
(Random selection) ที่มเี พศเดยี วกนั หรือระดบั สตปิ ญั ญาเดยี วกนั เปน็ ตน้
๓.๒ ใช้กระบวนการสุ่ม (Randomization) ซ่ึงประกอบดว้ ย
ก. การเลือกกลมุ่ ตัวอย่างจากประชากรโดยการสมุ่ (Random selection)
ข. การจดั ตัวอยา่ งเขา้ กลุ่มตา่ งๆ โดยการสุ่ม (Random assignment)
ค. การกำหนดตัวแปร (Treatment) ซ่ึงเปน็ ตัวแปรอสิ ระ หรอื ตัวแปรตน้ ใหก้ ลุ่มต่างๆ โดยการสุม่
(Random treatment)
๓.๓ การนำตัวแปรอิสระที่เป็นตัวแทรกซ้อนเข้ามาเป็นตัวแปรอิสระอีกตัวหนึ่ง (Build into
design)
๓.๔ การจบั คู่ (Matching) กลุ่มตวั อย่างตามตวั แปรแทรกซ้อน
๓.๕ การควบคมุ โดยสถติ ิ (Statistic control) เป็นการควบคุมอทิ ธิพลตัวแปรแทรกซอ้ น ซึ่งเป็น
ตัวแปรอิสระทีไ่ ม่ไดน้ ำมาศึกษา แต่มีอิทธิพลต่อตวั แปรตาม ด้วยการใช้สถิติควบคุม
๕.๒.๔ ข้นั ตอนการออกแบบการวจิ ยั เชิงปรมิ าณ
นงลักษณ์ วิรัชชัย ได้สรปุ วิธีการวางแผนแบบการวิจยั เป็นการกำหนดขั้นตอนที่จะต้องดำเนินการ
ให้อย่างถูกต้องชัดเจนเพ่ือให้งานวิจัยเกิดประสิทธิผลและมีป ระสิทธิภาพมากท่ีสุดซ่ึงจ ำแนกขั้นตอนวิธีการ
วางแผนแบบการวิจัยได้ ดังน้ี
ระเบียบวธิ ีวิจยั ช้ันสงู ว่าด้วยสนั ตภิ าพ ๑๓๙
(๑) การกำหนดปัญหาการวิจัยคำถามการวิจัยและวัตถุประสงค์ของการวิจัยเป็นขั้นตอนของการ
พจิ ารณาปัญหาการวจิ ัยทจี่ ะต้องมคี วามชดั เจนท่ีแสดงความสัมพันธ์ระหวา่ งตวั แปรใชภ้ าษาง่ายๆและสามารถ
หาคำตอบได้เป็นปัญหาท่ีมคี วามสำคัญและให้ประโยชน์ในการนำไปใช้และผ้วู ิจยั มีความรู้ความสามารถอย่าง
เพียงพอท่ีจะดำเนินการวิจัยได้รวมท้ังการกำหนดคำถามการวิจัยและวัตถุประสงค์ที่สอดคล้องกับปัญหาที่มี
ขอบเขตและมคี วามชัดเจนทจ่ี ะใชเ้ ป็นแนวทางการวจิ ยั ได้
(๒) การศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องเป็นข้ันตอนของการศึกษาเอกสารและงานวจิ ัยที่
เกย่ี วข้องเพ่อื พัฒนากรอบความคิดทฤษฎี (Theoretical Framework) ทแ่ี สดงความสัมพันธร์ ะหว่างปญั หาการ
วิจั ย แ ล ะ ท ฤ ษ ฎี ท่ี ท ำให้ ได้ ตั ว แ ป ร ที่ จ ะ ศึ ก ษ า แ ล ะ ค ว บ คุ ม แ ล ะ ก ร อ บ ค วา ม คิ ด ร วบ ย อ ด ( Conceptual
Framework)ท่แี สดงโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตวั แปรท่ีศึกษาและตัวแปรสอดแทรกจะได้รับทราบข้อดี-
ข้อบกพร่องของการวางแผนแบบการวจิ ัยท่จี ะนำมาใช้ประโยชน์ในงานวจิ ยั ของตนเองรวมทั้งการไดส้ มมตุ ฐิ าน
การวจิ ัยท่สี มเหตุสมผลที่สอดคล้องกบั คำถามการวจิ ยั ที่สามารถตรวจสอบได้และมอี ำนาจในการใช้พยากรณ์สงู
(๓) การกำหนดข้อมูลและแหล่งข้อมูลเป็นข้ันตอนในการกำหนดตัวแปรท่ีศึกษามีอะไรบ้างจัด
ประเภทของตัวแปรว่าเป็นตัวแปรสาเหตตุ ัวแปรผลตัวแปรแทรกซอ้ นหรือตวั แปรสอดแทรกตามกรอบแนวคิด
ความคิดรวบยอดท่ตี อ้ งนำมากำหนดเป็นคำนยิ ามเชิงปฏิบัตกิ ารท่ีสามารถวดั และสังเกตไดอ้ ยา่ งชัดเจนและหา
วธิ ีการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนให้ได้มากท่ีสุดและมีการกำหนดกลุ่มตวั อย่างที่เป็นตัวแทนที่ดีจากประชากร
ดว้ ยการเลือกใช้“วธิ กี ารสุม่ ”ท่เี หมาะสมกับตวั แปรทจ่ี ะศกึ ษาเพ่ือให้ได้ผลการวิจยั ที่มีความเที่ยงตรงทงั้ ภายใน
และภายนอก
(๔) การกำหนดเคร่ืองมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนในการกำหนดรายละเอียด
เน้อื หาสาระวิธีการสรา้ งและการหาคุณภาพของเครอื่ งมือและกำหนดรายละเอยี ดขัน้ ตอนของการเกบ็ รวบรวม
ขอ้ มลู ตามประเภทของการวิจัยอาทกิ ารวจิ ยั เชงิ ทดลองจะตอ้ งกำหนดวิธีการดำเนินการทดลองการจัดกระทำตัว
แปรสาเหตุและการวดั ตวั แปรผลใหช้ ดั เจนเปน็ ตน้
(๕) การกำหนดวธิ ีการวิเคราะห์ขอ้ มูลและสรุปผลการวิจัยเป็นขน้ั ตอนการวางแผนการวเิ คราะห์
ขอ้ มูลที่ได้รับวา่ จะดำเนินการอย่างไรใช้สถิติอะไรท่ีเหมาะสมกับข้อมูลทดสอบสมมุติฐานอย่างไรและผลการ
วิเคราะหข์ ้อมูลสามารถใชต้ อบปัญหาการวจิ ัยไดห้ รอื ไม่๒๓
๒๓นงลักษณ์ วิรัชชัย, โมเดลลิสเรล: สถิติวิเคราะห์สำหรับการวิจัย, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๓), อ้างใน สังคม ศุภรตั นกลุ ,เอกสารคำสอนรายวชิ าระเบียบวธิ ีวิจยั ทางสาธารณสุข,หน้า ๔๓.
๑๔๐ Advanced Research Methodology on Peace
ภาพที่ ๕.๔ แสดงกระบวนการในการออกแบบการวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ
กำหนดปญั หาวจิ ยั /คำถามวจิ ยั
วตั ถุประสงค์การวิจัย
ทบทวนวรรณกรรม -ความสัมพนั ธ์ระหว่างตัวแปร
พัฒนากรอบความคดิ ทฤษฏี ท่ศี ึกษาและตัวแปรสอดแทรก
Theoretical Framework
กรอบความคดิ รวบยอด
(Conceptual Framework)
สมมตุ ิฐานการวิจยั -นิยามปฏิบัตกิ าร
Hypothesis -ควบคมุ ตวั แปรแทรกซ้อน
กำหนดตัวแปรทศี่ ึกษา
Variable
กำหนดประชากรและ ความเทย่ี งตรงทงั้ ภายใน
การสุ่มตวั อยา่ งท่ดี ี และภายนอก
กำหนดเครอื่ งมือและวธิ ีเก็บ สรา้ งเครอ่ื งมอื และ
รวบรวมขอ้ มูล ตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ
กำหนดวเิ คราะห์สรุปผล ทดสอบ กำหนดสถิติท่ีสอดรบั กบั
สมมุติฐาน ตอบคำถามวิจยั ขอ้ มลู และสมมุติฐาน
๕.๒.๕ ลกั ษณะของแบบการวจิ ัยท่ีดี
Wiersma (๒๐๐๐) ได้กลา่ วถึง ลกั ษณะของแบบการวิจัยทดี่ ีทน่ี ำมาใช้ในการวจิ ัยทม่ี ีประสทิ ธิภาพ
ควรไดพ้ จิ ารณาจากลกั ษณะ ๔ ประการดงั นี้
(๑) ปราศจากความมีอคติ (Freedom from Bias) การออกแบบการวจิ ัยจะตอ้ งทำให้ขอ้ มลู ทไ่ี ด้
และการวเิ คราะห์ขอ้ มลู มคี วามคลาดเคลอ่ื นน้อยทสี่ ดุ มีความเที่ยงตรงมีความเช่ือมั่นและสามารถนำผลการ
วิเคราะห์ไปใชต้ อบปัญหาการวจิ ยั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน
(๒) ปราศจากความสับสน (Freedom of Confounding) การออกแบบการวิจยั จะตอ้ งชว่ ยขจดั
ตวั แปรแทรกซอ้ นท่จี ะเปน็ สาเหตใุ หเ้ กิดความแปรปรวนในตวั แปรตามเพราะมฉิ ะนนั้ จะทำใหไ้ ม่สามารถจำแนก
ได้ว่าตวั แปรใดเปน็ สาเหตุทีก่ อ่ ใหเ้ กดิ ความแปรปรวนในตัวแปรตาม
ระเบียบวธิ ีวจิ ัยช้ันสูงว่าด้วยสันติภาพ ๑๔๑
(๓) สามารถควบคมุ ตวั แปรแทรกซ้อนได้ (Control of Extraneous Variables) การออกแบบ
การวิจยั จะตอ้ งสามารถควบคุมตวั แปรแทรกซ้อนโดยการทำให้เป็นตัวคงท่ีหรือกำจดั ออกจากสถานการณ์โดย
ให้เหลอื เพียงแต่ผลการวิจัยท่เี นอื่ งมาจากตัวแปรอิสระทมี่ ีอทิ ธิพลตอ่ ตัวแปรตามเท่าน้ัน
(๔) มีการเลือกใช้สถิติท่ีถกู ต้องในการทดสอบสมมุติฐาน (Statistical Precision for Testing
Hypothesis) การออกแบบการวจิ ัยทด่ี ีจะตอ้ งเลอื กใชส้ ถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการทดสอบสมมุตฐิ านที่ถูกตอ้ งและเหมาะสม
กบั ตวั แปรทีศ่ ึกษา
ดังนน้ั การออกแบบการวิจัยท่ีดมี ีประสิทธภิ าพในการวจิ ยั ที่มีลักษณะดงั น้ี
(๑) เปน็ แนวทางการหาคำตอบของปัญหาการวจิ ยั ได้อยา่ งแทจ้ รงิ
(๒) สามารถควบคมุ ตัวแปรทงั้ ตัวแปรสาเหตทุ ่ีตอ้ งการศกึ ษาและตัวแปรที่ไม่ต้องการศึกษาโดยใช้
การสุ่มตัวอย่าง (Random Sampling) การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง (Random Assignment)และการสุ่มการจัด
กระทำให้แก่กลมุ่ ตวั อย่าง (Random Treatment)
(๓) ควบคุมให้เกิดความเท่ียงตรงภายในท่ีผลการวิจัยได้มาจากตัวแปรสาเหตุเท่านั้นและความ
เทย่ี งตรงภายนอกทจ่ี ะสามารถใชผ้ ลการวิจยั สรปุ อ้างองิ ไปสู่ประชากรได้๒๔
เห็นได้ว่าการวิจัยเชิงปริมาณจะมีองค์ประกอบท่เี ก่ียวข้องและมีความสำคัญตอ่ การออกแบบการ
วิจัย คือ สมมุติฐาน ตัวแปร ประชากร กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งผเู้ ขยี นยังไม่ได้กลา่ วไว้อย่างละเอียดในบทกอ่ นหนา้ น้ี
ดังนน้ั ในสว่ นนจี้ งึ นำเน้อื หาการใหค้ วามหมายความสำคญั ของสมมุตฐิ าน ลกั ษณะและประเภทตวั แปร กอ่ นท่จี ะ
กล่าวถึงประชากร การสุ่มตวั อย่างในลำดบั ตอ่ ไป
๕.๓ สมมตุ ิฐานการวจิ ัย ตัวแปรวิจยั
๕.๓.๑ ความหมายของสมมุติฐานการวจิ ยั
สมมุตฐิ านการวิจยั (assumption) มีผู้ให้นยิ ามวา่ เป็นการเดาคำตอบไวล้ ว่ งหนา้ โดยจะต้องมีการ
นำข้อมูลมาทดสอบด้วยเทคนิคทางสถิติกับสมมุติฐานที่ต้ังไว้หรือหาข้อมูลเหตุผลมาพิสูจน์เพ่ือทดสอบ
สมมุติฐาน (วิจัยเชิงคุณภาพ)๒๕ และยังหมายถึง ข้อความในรูปแบบบอกเล่าท่ีผู้วิจัยทำนายหรือคาดคะเนใน
เรื่องท่ีศึกษา โดยต้องตั้งให้สอดคล้องกับคำถามวิจัย แต่มีเนื้อหาเจาะจงมากกว่าคำถามการวจิ ัย เพราะสม
มตุ ติฐานการวิจัยทำนายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและคาดคะเนผลท่ีจะเกิดข้ึน๒๖ นอกจากน้ีสมมุตฐิ าน
๒๔Wiesma, Research Methods in Education,(New York: Oxford University Press, 2000), อ้างใน
สังคม ศุภรตั นกุล,เอกสารคำสอนรายวชิ าระเบียบวิธีวจิ ยั ทางสาธารณสขุ ,หน้า ๔๑.
๒๕ประเวศน์ มห ารัตน์สกุล, หลักก ารแล ะวิธีการเขี ยนงานวิจัย งานวิทยานิ พ น ธ์ ส ารนิ พ น ธ์,
(กรุงเทพมหานคร: สำนักพมิ พ์ปัญญาชน, ๒๕๕๗), หนา้ ๑๒๒.
๒๖สทิ ธิ์ ธีรสรณ,์ เคล็ดลับการเขียนรายงานวิจยั และวิทยานิพนธ์, พมิ พค์ รงั้ ที่ ๔,(กรงุ เทพมหานคร: สำนักพิมพ์
แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๖๐), หนา้ ๖๐.
๑๔๒ Advanced Research Methodology on Peace
การวจิ ัย ยังเป็นข้อความท่ีระบุถงึ ความสัมพันธ์ระหวา่ งตวั แปร (variables) หรือแนวคดิ (concepts) ซง่ึ ผู้ท่ีทำ
การวจิ ัยตอ้ งการจะทำการทดสอบว่าเป็นความจริงหรอื ไม่๒๗
ในทัศนะของ เคอลินเจอร์ (Kerlinger) “สมมติฐาน คือ ข้อความแสดงความสัมพันธ์คาดเดาระหว่างตัวแปร
ตั้งแต่ ๒ ตัวข้ึนไป ที่ได้ศึกษาข้อมูลต่างๆ ตลอดจนผลการวิจัยท่ีผ่านมาอย่างถ่ีถ้วนแล้วนำมาคาดเดา
ความสมั พนั ธ์ สมมติฐานเป็นขอ้ ความที่กำหนดขนึ้ มาเพื่อจะทำการทดสอบ หากผลการทดสอบยืนยันข้อความ
ในสมมติฐานก็ถือได้ว่าสมมติฐานนั้นเป็นความจรงิ ท่ียอมรบั แต่ในทางตรงกนั ข้าม หากผลการทดสอบขัดแย้ง
กับขอ้ มูลในสมมติฐานผู้วจิ ยั กต็ ้องปฏเิ สธสมมตฐิ านน้ัน๒๘
สมมุติฐานท่ีทดสอบในงานวจิ ยั เชงิ ปริมาณ คือ สมมตุ ิฐานว่าง (null hypothesis) และสมมุตฐิ าน
ทางเลือก (alternative hypothesis) สมมุติฐานว่างเป็นสมมุตฐิ านทางสถติ ิท่ีทำนายว่าความแตกต่างใดๆ ท่ี
เกิดขึ้นนั้น เป็นความผิดพลาดแบบสุ่ม กล่าวคือ จริงๆ แล้ว คน ๒ กลุ่มไม่ได้แตกต่างกันแต่ประการใด ส่วน
สมมตุ ฐิ านทางเลอื กเปน็ การทำนายวา่ ความแตกต่างน้นั เปน็ เช่นน้ันจริงๆ๒๙
๕.๓.๒ ประเภทของสมมุติฐานการวจิ ยั
สมมตุ ิฐานการวิจยั แบ่งได้ ๓ ประเภท ได้แก่
(๑) สมมุติฐานเชิงบรรยาย เป็นสมมุติฐานที่บรรยายพฤติกรรมในแงล่ ักษณะของพฤติกรรมนั้น
และสถานการณ์ท่ีพฤตกิ รรมน้ันเกิดขน้ึ โดยไม่มุ่งหาสาเหตขุ องพฤตกิ รรมนัน้ และไมไ่ ดก้ ล่าวถงึ ความสัมพนั ธ์
ผ้วู จิ ยั ใชส้ มมุติฐานประเภทนเ้ี ปน็ แนวทางในการเกบ็ ข้อมูลของตน เชน่ ร้านคา้ ขายของชำในหมบู่ า้ นจะจำหนา่ ย
ยาชุดให้แกใ่ ครกต็ ามที่เขา้ มาหาซ้อื
(๒) สมมุติฐานเชิงเปรียบเทียบ เป็นสมมุติฐานเมื่อผู้วิจัยไม่สามารถทำนายลักษณะของความ
แตกตา่ งของคน ๒ กลุ่ม บนพน้ื ฐานของงานวจิ ยั ในอดตี ไดว้ า่ ต่างกันในลักษณะใด ก็ให้ระบแุ บบไม่มที ศิ ทางโดย
ใช้คำว่า ไมเ่ ท่ากัน หรือ แตกต่างกนั แต่ถา้ ทำนายได้ กใ็ หร้ ะบแุ บบมีทศิ ทางโดยใช้คำวา่ มากกว่า, นอ้ ยกวา่ , สงู
กวา่ หรือต่ำกว่า เชน่ ลกู คา้ ที่มปี รมิ าณเงนิ ออมมากมคี วามพึงพอใจตอ่ การบริการของธนาคารมากกว่าลูกคา้ ทมี่ ี
ปริมาณเงนิ ออมน้อย
(๓) สมมุติฐานเชิงสหสัมพันธ์ เป็นการคาดเดาว่าสิ่ง ๒ ส่ิงสัมพันธ์กัน ซึ่งความสัมพันธ์ด้ังกล่าว
เปน็ ไปได้หลายแบบ
๒๗สุชาติ ประสิทธ์ิรัฐสินธ์, ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์, พิมพ์ครั้งท่ี ๑๕,(กรุงเทพมหานคร: ห้าง
หุ้นส่วนจำกดั สามลดา, ๒๕๕๕), หน้า ๑๔๓.
๒๘Kerlinger N. Fred., Foundations of Behavioral Research, (New York: Holt. Rinehart and
Winston.Inc, 1986), pp. 17.อ้างอิงใน ประพนธ์ เจียรกูล,ประมวลสาระชุดวิชา การประเมินและวิจัยเพื่อการเรียนการ
ส อ น .ห น่ ว ย ท่ี ๘ ค ว าม รู้ พื้ น ฐ าน เก่ี ยว กั บ ก ารวิ จั ยท างก ารศึ ก ษ า ,(กรุ งเท พ มห าน ค ร : บั ณ ฑิ ต วิ ท ย าลั ย
มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช, ๒๕๕๔, หน้า ๓๒.
๒๙สทิ ธ์ิ ธีรสรณ์, เคล็ดลับการเขียนรายงานวจิ ัยและวิทยานพิ นธ์, หน้า ๖๑.
ระเบยี บวิธวี ิจัยชั้นสูงว่าดว้ ยสันติภาพ ๑๔๓
-ความสมั พันธเ์ ชิงสหสัมพนั ธ์ ถ้าผู้วิจยั ไมส่ ามารถทำนายลักษณะของความสมั พันธ์ของตัวแปร
๒ ตัว บนพ้ืนของงานวิจัยในอดีตได้ว่าสัมพันธ์กันในลักษณะใด ก็ให้ระบุแบบไม่มีทิศทางโดยใช้เพียงคำว่า มี
ความสัมพันธ์ แต่ถ้ามหี ลักฐานจากงานวิจยั อ่ืนในเรื่องทิศทางของความสมั พนั ธ์ ผูว้ ิจยั ก็อาจระบุไปด้วยวา่ เป็น
เชิงบวกหรือเชงิ ลบ เชน่ ปรมิ าณเงินออมที่ลูกค้าฝากกับธนาคารมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความพึงพอใจต่อ
บริการทไ่ี ด้รับ
-ความสมั พันธ์เชิงสาเหตุ ถ้าผูว้ ิจัยเชื่อบนพ้ืนฐานของงานวจิ ยั ในอดีต ว่าตวั แปรหนงึ่ (ตวั แปร
อิสระ) เป็นสิ่งท่ที ำใหเ้ กิดตัวแปรอีกตัวหน่ึง (ตัวแปรตาม) ก็ใหใ้ ชด้ ังตัวอยา่ ง เชน่ ปริมาณเงินออมท่ลี ูกค้าฝาก
กับธนาคารสามารถทำนายความพงึ พอใจต่อบริการท่ีได้รับ๓๐
๕.๓.๓ นานาคำถามเกี่ยวกับสมมุตฐิ านการวจิ ัย
ปุจฉา: จำเปน็ หรือไมท่ ่ตี ้องมีสมมตุ ิฐานการวจิ ัย
วิสัชนา: ประเด็นน้ีเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างนักวิจัยเชิงปริมาณและนักวิจัยเชิงคุณภาพ ซ่ึง
โดยทั่วไปผู้ท่ีทำการวิจยั เชิงคุณภาพมกั จะเห็นว่าการระบุหรอื การมีสมมตุ ิฐานน้ันเปน็ สิง่ ท่ไี มจ่ ำเป็น เน่ืองจาก
ผู้วจิ ัยเองตอ้ งการเกบ็ ข้อมลู อย่างละเอียดและเสรี ไมต่ ้องการใหส้ มมุตฐิ านใดมาสรา้ งภาระหรือมาตีกรอบในการ
เก็บขอ้ มูลหรือบดิ เบอื นความสนใจของตนไปจากประเด็นอน่ื เพราะต้องการเก็บข้อมลู ตามสภาพความเปน็ จริง
ทีเ่ กิดขึ้นโดยไม่ต้องพะวงกับสมมตุ ิฐานใดๆ
ในทางตรงขา้ ม ผูท้ ่ีทำการวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณซง่ึ ไดท้ บทวนวรรณกรรมจะทราบดวี ่าเรอื่ งท่ีตนเองสนใจ
นน้ั มีตัวแปรอะไรบ้างที่สำคญั สามารถทก่ี ำหนดกรอบแนวคดิ สำหรับการวิจัยอยา่ งชัดเจน และจะเห็นวา่ การมี
สมมตุ ฐิ านเปน็ สิ่งจำเป็นและสมควรอย่างยง่ิ เพราะสมมุติฐานแต่ละขอ้ จะชว่ ยระบุวา่ ต้องเก็บข้อมลู หรอื ตวั แปร
อะไรบ้าง ทำให้การวิจัยมีทศิ ทางทแ่ี น่นอนในการดำเนินกระบวนการตา่ งๆ ทางด้านขอ้ มลู นบั ตงั้ แต่เครอื่ งมือที่
ใชใ้ นการเก็บข้อมลู การปฏิบตั งิ านสนาม การวเิ คราะหแ์ ละการตคี วามหมายข้อมลู จะเปน็ ไปอย่างมีระบบตัง้ แต่
ตน้ จนจบ ประหยดั เวลาและค่าใชจ้ า่ ย
ข้อยตุ นิ อ้ี ยทู่ ี่การประนีประนอมกัน กลา่ วคอื หากผทู้ ี่ทำการวิจยั เชงิ คณุ ภาพยอมรับว่า ในการเก็บ
ข้อมูลของตนถึงแม้ว่าจะเก็บตามสภาพความเป็นจริงต่างๆ ท่ีเกิดขึ้น ผู้ท่ีทำวิจัยเองยังคงต้องอาศัยแนวคิด
อย่างใดอย่างหน่ึงในการมองปัญหา แมจ้ ะยังไม่ไดต้ ัดสินใจว่าจะใชแ้ นวคดิ ใด ไม่ว่าจะกำหนดไวแ้ น่นอนหรือไม่
การมองปัญหาทศิ ทางใดทศิ ทางหนึ่งของผู้วิจัยเองคือ สมมุติฐานอย่างหนึ่งนั่นเอง จึงอาจกล่าวได้ว่า การวิจัย
เชงิ คุณภาพมีสมมุตฐิ านในการเก็บและการวิเคราะห์ขอ้ มูลเช่นเดียวกันกับการวจิ ัยเชิงปริมาณ ต่างกันแต่เพียง
ว่าในการวิจัยเชิงปริมาณน้ันจะระบุสมมุติฐานเป็นข้อความอย่างเป็นทางการ ส่วนผู้วิจัยเชิงคุณภาพ ไม่ระบุ
กรอบแนวความคิดและสมมุติฐาน เสมือนหน่ึงว่าแนวความคิดและความรู้ที่มีอยู่เป็นเพียงสิ่งท่ีสามารถ
เปลีย่ นแปลงได้ หากพบว่าเม่อื ทำการเกบ็ ขอ้ มูลแล้วไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจรงิ
๓๐สิทธิ์ ธรี สรณ์, เคล็ดลบั การเขียนรายงานวจิ ัยและวิทยานพิ นธ์,หน้า ๖๑-๖๓.
๑๔๔ Advanced Research Methodology on Peace
สรุปได้ว่า สมมุติฐานเปน็ ส่ิงท่ีจำเปน็ และหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการวิจยั ไม่ว่าการวิจัยน้ันจะเป็น
การวจิ ยั เชงิ ปริมาณ หรือการวจิ ยั เชิงคุณภาพ ความแตกตา่ งของการวจิ ัยทั้ง ๒ ประเภท คือ การวิจยั เชงิ ปริมาณ
มีการระบุสมมตุ ิฐานท่ีต้องการทดสอบไว้ลว่ งหนา้ อยา่ งเป็นทางการ สว่ นการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพนนั้ จะไมม่ ีการระบุ
สมมตุ ิฐานไวล้ ่วงหนา้ ก็ได้๓๑และสำหรบั มหาวิทยาลยั มหาจุฬาฯ บัณฑติ วิทยาลัยให้ใช้คำวา่ “คำถามวจิ ัย” ซึ่งก็
คือ สมมุตฐิ านการวจิ ยั นนั่ เอง
ปุจฉา: สมมตุ ิฐานการวจิ ัยจำเปน็ ต้องมหี ลายขอ้ หรือไม่
วิสัชนา: โครงการวิจัยหนึ่งอาจมีสมมุติฐานเพียงข้อเดียวหรือหลายข้อก็ได้ สุดแท้แต่ความ
สลับซับซอ้ นของกรอบแนวคิดหรือวัตถุประสงค์ของการวิจัย แต่ส่ิงที่ไม่ควรปฏิบัติ คือ การสมมุติฐานสองตัว
แปร (ท่มี ีเพียงตัวแปรตามหนึ่งและตัวแปรอสิ ระหนึง่ ตวั ) หลายข้อ ซ่งึ สามารถนำมารวมกันเป็นสมมุติฐานหลาย
ตวั แปรได้เพยี งข้อเดียวหรอื สอง/สามข้อเท่านน้ั ผวู้ ิจัยควรเสนอสมมุติฐานเทา่ ทตี่ นคดิ ว่าจำเป็น คือ การเสนอ
สมมตุ ิฐานตามกรอบแนวความคดิ ทไ่ี ด้กำหนดไว้ สำหรบั การวจิ ัยถ้ากรอบแนวคิดแสดงให้เหน็ ว่ามสี มมตุ ิฐาน ๔
ขอ้ กต็ ้องมสี มมุตฐิ าน ๔ ข้อ ตามไปด้วย๓๒
ปจุ ฉา: การทดสอบสมมุติฐานคอื อะไร และทำตอนไหน
วสิ ัชนา: หลังจากที่ผู้วิจัยได้กำหนดสมมตุ ิฐานสำหรับการวิจัยแล้ว ผู้วจิ ัยจะต้องดำเนินการเก็บ
และวเิ คราะหข์ อ้ มูลเชิงประจักษเ์ พื่อใช้ในการทดสอบสมมุตฐิ านซง่ึ มปี ระเดน็ ต้องพิจารณา คือ ๑) วตั ถุประสงค์
การทดสอบ ๒) การเก็บขอ้ มูลทีไ่ มล่ ะเอียง ๓) การวัดทีถ่ ูกตอ้ งเหมาะสม ๔) การใช้สถติ ิทดสอบท่ีถกู ต้อง และ
๕) การตีความหมายผลท่ีไดจ้ ากการทดสอบ๓๓
๕.๓.๔ ตวั แปรวิจัย
ตัวแปร (Variable) หมายถึง คุณลักษณะร่วมกันของหน่วยท่ีได้จากการสังเกต โดยคุณลักษณะ
ดังกล่าวมีความผันแปรไปตามหน่วย (Unit or Subjects) หรือผันแปรระหว่างหน่วย(Between Subjects)
และผันแปรเป็นช่วงเวลา (Time) หรือผันแปรภายในหน่วย(Within Subjects) คุณลักษณะร่วมน้ีหมายถึง
คุณลักษณะท่ีปรากฏในทุกหน่วย แต่ผันแปรหรือมีความต่างกัน ซ่ึงความผันแปรน้ันอาจจะเป็นไปทางด้าน
ปรมิ าณ (Quantitative) เช่น อายุ ส่วนสงู น้ำหนัก ความเรว็ คะแนนสอบ ฯลฯ หรืออาจจะผนั แปร
ทางด้านคณุ ภาพ (Qualitative) เช่น เพศ เชือ้ ชาติ การนบั ถอื ศาสนา การศึกษา ภูมลิ ำเนา ฯลฯ๓๔
ตวั แปร (Variable)เป็นลกั ษณะหรือเงือ่ นไขท่ีมีความผนั แปรในกลมุ่ บุคคลหรอื ส่ิงทที่ ำการศึกษาตัว
แปร จึงเปน็ สิ่งที่ผวู้ จิ ัยสนใจทจ่ี ะศกึ ษา จดั กระทำ สังเกต หรอื ควบคุม
๓๑สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสนิ ธ,์ ระเบยี บวิธีการวิจยั ทางสงั คมศาสตร์, หน้า ๑๔๘-๑๔๙.
๓๒สุชาติ ประสทิ ธร์ิ ฐั สนิ ธ,์ ระเบียบวธิ ีการวจิ ัยทางสงั คมศาสตร์, หน้า ๑๔๖-๑๔๗.
๓๓เรอื่ งเดยี วกัน, หน้า ๑๔๙.
๓๔ศริ ชิ ัย กาญจนวาสี และชัยลิขิต สรอ้ ยเพชรเกษม, ตวั แปรสำหรบั การวจิ ยั : ความหมาย ประเภท การคดั เลือก
การวดั และการควบคมุ , วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ , ปที ่ี ๑๔ ฉบบั ที่ ๑ มกราคม-มถิ ุนายน ๒๕๕๗, หน้า ๑๑.
ระเบียบวิธีวจิ ัยช้ันสงู ว่าด้วยสนั ตภิ าพ ๑๔๕
Christensen (๑๙๙๘) กล่าววา่ ตัวแปร คือ คณุ ลักษณะใดๆของสภาวการณ์ หรอื สภาพการทดลองซึ่งสามารถ
แปรค่าได้ เมื่อสภาวการณ์หรือสภาพการทดลองเปล่ียนแปลงไป ดังน้ัน ตัวแปรจึงเป็นสิ่งท่ีแปรเปลี่ยนค่าได้
ไม่ใชต่ วั คงท่ี (Constant) แต่จะเปล่ียนไปตามบุคคล สภาวะแวดลอ้ ม และเง่อื นไขตา่ งๆทีก่ ำหนดข้ึน๓๕
๕.๓.๕ ประเภทของตวั แปร
ประเภทของตวั แปร เราสามารถแบ่งประเภทของตวั แปรได้หลายแบบ ข้ึนอยู่กับเกณฑ์ท่ใี ชใ้ นการ
แบง่ ถ้าใชเ้ กณฑ์ตา่ งกัน ก็จะมีช่ือเรียกตวั แปรตา่ งกันไปดว้ ย ดงั น้ี
แบ่งตามความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน การวิจยั โดยท่ัวไปนิยมทจี่ ะแบ่งตัวแปรโดยพิจารณาความ
เป็นเหตุเป็นผลตอ่ กนั มักใช้กนั บอ่ ยในการวิจยั เชิงทดลองหรอื กงึ่ ทดลองหรือการวจิ ัยเชิงเปรยี บเทียบสาเหตุ ซง่ึ
นิยมแบ่งตัวแปรเปน็ ตวั แปรอสิ ระ และตวั แปรตาม
(๑) ตัวแปรอสิ ระ (Independent Variable) หรือบางคร้ังเรียกว่าตัวแปรต้นหมายถงึ ตวั แปรที่
เกิดข้ึนก่อน และถอื ว่าเป็นเหตขุ องตัวแปรอ่ืน ตัวแปรอิสระจึงเป็นตัวแปรต้ังต้น หรือตวั แปรเหตุ ท่ีเกิดขึ้นมา
โดยไม่จำเปน็ ต้องมีตวั แปรอ่ืนเกิดขน้ึ มาก่อน โดยสมมติวา่ เป็นตวั แปรแรกหรือเป็นเหตุแรก (ซึ่งแท้จรงิ แล้วเหตุ
แรกย่อมเปน็ ไปไม่ได้ เพราะส่ิงหรอื คุณลกั ษณะทั้งหลายเกิดจากเหตุ) คำว่าอิสระหมายถงึ ไม่ข้ึนกับตัวแปรตัว
อืน่ ไม่ขน้ึ กบั การแปรของตัวแปรอ่นื หรอื ไม่เปน็ ผลมาจากตวั แปรตวั อน่ื หรอื คำวา่ ต้นหมายถงึ เริม่ ,แรก
(๒) ตัวแปรตาม (Dependent Variable)หมายถงึ ตวั แปรท่ีเกิดขนึ้ ตามมาและถือว่าเปน็ ผลจาก
ตัวแปรอน่ื แปรไปไดเ้ พราะตวั แปรอ่นื เกดิ การผนั แปร หรือขน้ึ กบั ตวั แปรอื่น ซง่ึ เป็นตวั แปรผล ในการวิจัย
โดยทวั่ ไป จึงเป็นตัวแปรเป้าที่สนใจศึกษา๓๖
แบ่งตามคุณลักษณะทว่ี ดั
(๑) ตวั แปรเชิงปริมาณ (Quantitative variable)เป็นตวั แปรท่ีสามารถวัดความแตกต่างของ
ตวั แปรไดโ้ ดยใช้มาตรวดั ท่มี ีอยู่ เช่น นำ้ หนกั สว่ นสูง คะแนน อายุ รายได้ เป็นต้น
(๒) ตัวแปรเชิงคุณภาพ (Qualitative variable)เป็นตัวแปรท่ีไม่สามารถวัดได้แน่นอน เช่น
ความคดิ เห็น ความเชอ่ื ภูมหิ ลัง การเลย้ี งดู เป็นตน้ ๓๗
แบง่ ตามความสัมพนั ธร์ ะหว่างตัวแปร
(๑) ตัวแปรอิสระ (Independent variable)คือ ตัวแปรท่ีเป็นอิสระไม่ขึ้นกับตัวแปรอื่น
นอกจากน้ียงั สันนิษฐานว่าจะเป็นสาเหตหุ รอื อทิ ธพิ ลต่อตวั แปรอ่ืนใหผ้ นั แปรตาม และมชี ื่อเรียกตัวแปรนใ้ี นการ
๓๕กุ ล ช ลี จ ง เจ ริ ญ แ ล ะ นิ ต ย า ภั ส ส ร ศิ ริ , ก า ร อ อ ก แ บ บ แ ล ะ ก า ร ว า ง แ ผ น ก า ร วิ จั ย ,
มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช, หน้า ๒๘.
๓๖ศิริชัย กาญจนวาสี และชัยลิขิต สร้อยเพชรเกษม,ตัวแปรสำหรับการวิจัย : ความหมาย ประเภท การ
คัดเลอื ก การวดั และการควบคุม, หน้า ๑๓.
๓๗พวงรตั น์ ทวีรัตน์, วธิ ีการวจิ ยั ทางพฤตกิ รรมศาสตร์และสังคมศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร:
สำนักทดสอบทางการศึกษาและจติ วิทยา มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒประสานมติ ร, ๒๕๓๕), หนา้ ๔๙.
๑๔๖ Advanced Research Methodology on Peace
วิจัยเชิงทดลอง อาทิ ตัวแปรต้นหรือตัวแปรจัดกระทำ (Manipulated or treatment variable) ตัวแปรเร้า
(Stimulus variable) ตวั แปรป้อน (Input variable)
(๒) ตัวแปรตาม (Dependent variable) คือตัวแปรที่ขึ้นอยู่หรือผันแปรตามตัวแปรอิสระ
หรือค่าของมนั จะแตกตา่ งไปตามประเภท ระดับ หรือความเขม้ ข้นของตวั แปรอสิ ระ ตัวแปรน้ีมชี ่ือเรียกอย่างอน่ื
อีกวา่ เป็นตวั แปรผล (Output variable)
แบ่งตามแนวคดิ
(๑)ตัวแปรแนวคิด (Conceptual variable) เป็นตัวแปรท่กี ำหนดเป็นหลักการหรือแนวคิดใน
ประเด็นสำคญั ของการวจิ ัยซ่ึงผู้วิจัยอา้ งองิ หรือประมวลมากจากแนวคดิ หรือทฤษฎตี า่ งๆ
(๒) ตัวแปรปฏิบัติการ (Operational variable)ตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดข้ึนเพื่อให้สามารถ
นำไปสู่การวดั และการวเิ คราะหข์ ้อมลู ในการวจิ ยั ได้
แบ่งตามลักษณะการวิจัยเชิงทดลอง
นอกจากนี้ ในการวิจยั เชงิ ทดลอง อาจมีตัวแปรอนื่ ๆ เกดิ ขนึ้ อกี ไดแ้ ก่
(๑) ตวั แปรแทรกซอ้ น หรอื ตวั แปรสอดแทรก (Intervening variable)เปน็ ตวั แปรท่เี กดิ แทรก
ระหว่างการทดลอง ในการทดสอบด้วยวิธีการสอนแบบหน่ึง นักเรียนอาจเกิดความเมอื่ ยล้า ความวิตกกังวล
หรือเกิดแรงจงู ใจในการเรยี นต่างกัน ซึง่ อาจมีอิทธิพลตอ่ ผลการเรยี นของนักเรยี นไดน้ อกเหนอื จากอิทธพิ ลของ
วธิ ีการสอน บางครั้งอาจเรยี กตัวแปรน้วี ่า ตวั แปรภายใน
(๒) ตัวแปรเกิน หรือตัวแปรภายนอก (Extraneous variable) เป็นตัวแปรท่ีผู้วิจัยมิได้มุ่ง
ศึกษาตัวแปรน้ัน หรอื มไิ ด้ควบคมุ ตัวแปรน้ัน แต่อิทธิพลของตวั แปรดังกลา่ วอาจส่งผลต่อตวั แปรตามได้เช่น ใน
การทดลองสอนด้วยวิธีหน่ึงกบั นกั เรียน # ชน้ั ในระดบั เดยี วกัน ปรากฏวา่ นักเรยี นช้นั หน่งึ มผี ลการเรยี นสูงกว่า
อีกช้ันหนง่ึ จากผลการวิเคราะห์ภายหลัง พบว่าช้ันเรยี นที่มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านนั้ มีนักเรียนท่ีมีอายุ
มากกว่าชั้นเรียนหนึ่งหลายคน ดังนั้น เร่ืองของอายุนักเรียนจึงเป็นตัวแปรเกินที่ผู้วิจัยไม่ได้ควบคุมและไม่
สามารถส่งผลตัวแปรตามได้ ซ่ึงอาจทำให้ข้อสรุปขาดความเท่ียงตรงได้ ดังน้ันในการวิจัยเชิงทดลอง จึงต้อง
คำนงึ ถงึ และพยายามควบคุมอิทธิพลของตัวแปรนใ้ี หไ้ ด้
(๓) ตัวแปรปรับหรอื ตัวแปรกำกบั (Moderator variable) เปน็ ตัวแปรที่ระดบั การแปรคา่ ของ
ตวั แปรปรบั หรอื ตวั แปรกำกบั มีผลต่อระดับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกบั ตัวแปรตาม หรอื กล่าวอีกนัย
หนง่ึ วา่ ตัวแปรอสิ ระส่งผลต่อตัวแปรตามแตกตา่ งกันไปตามระดบั ของตัวแปรปรบั หรอื ตัวแปรอิสระกบั ตัวแปร
ปรับมปี ฏสิ ัมพนั ธ์กัน(Interaction) ในการสง่ ผลตัวแปรนนั่ เอง๓๘
๓๘ศิริชัย กาญจนวารี, การวิเคราะห์พหุระดับ: Muti-level Analysis, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๐), หน้า ๑๗
ระเบียบวธิ วี จิ ัยช้ันสงู ว่าด้วยสนั ติภาพ ๑๔๗
แบง่ ตามการจัดกระทำ
ตัวแปรโดยทัว่ ไป โดยเฉพาะอย่างย่ิงตัวแปรอิสระ อาจจัดจำแนกออกได้เป็น ๒ แบบ ได้แก่ ตัวท่ี
สามารถจัดกระทำได้ และตวั แปรทไ่ี มส่ ามารถจัดกระทำได้
(๑) ตวั แปรที่สามารถจดั กระทำได(้ Active Variable) เป็นตวั แปรทผ่ี ูว้ ิจัยสามารถดำเนินการให้
มีการแปรค่าตามที่ต้องการได้ หรือสร้างคุณลักษณะนั้นขึ้นมาได้ เช่น ระยะเวลาการฝึกอบรมวิธีการสอน
คณติ ศาสตร์ ความยาวของภาพยนตรโ์ ฆษณา ความเข้มของแสงสว่างในโรงงาน อณุ หภมู ิในห้องทำงาน เป็นต้น
ตัวแปรที่สามารถจดั กระทำได้ มกั ใช้เปน็ ตวั แปรอิสระหรอื ตัวแปรทดลอง เพอื่ ศึกษาผลของมนั ในตวั แปรตาม
(๒) ตวั แปรท่ไี ม่สามารถจัดกระทำได้มักเปน็ ตัวแปรคณุ ลกั ษณะ (Attribute Variable)ซ่ึงเป็น
ตัวแปรที่ผวู้ จิ ยั ไม่สามารถกระทำการสร้างคุณลกั ษณะน้ันขนึ้ มาได้เนอื่ งจากเป็นคณุ ลกั ษณะภายในทม่ี อี ยเู่ ดิมใน
ประชากรนั้นอยู่แล้ว เช่น เพศ เชื้อชาติ สีผิว ฐานะเศรษฐกิจ การนับถือศาสนา เป็นต้น จึงเป็นตัวแปรท่ีจัด
กระทำไม่ได้ ในการวิจัยทดลองมักใช้ตัวแปรทไี่ ม่สามารถจดั กระทำได้เป็นตัวแปรควบคุมหรอื ตัวแปรเกิน เพ่ือ
ควบคุมอิทธิพลหรอื ผลของมันที่อาจอยใู่ นตัวแปรตาม แต่ถา้ เป็นการวิจัยเชงิ ยอ้ นรอย (Ex Post
Facto Research) เราจะจดั พวก/ประเภทของมัน โดยมีเงือ่ นไขว่าถ้าเราจัดพวกหรือทำให้มันผันแปรแล้วเรา
สังเกตว่าตัวแปรอ่ืนที่เราจะดูความสัมพันธ์ (ตัวแปรตาม) จะผันแปรหรือไม่ เช่น เพศ เราจัดกระทำให้เป็น
ผู้หญงิ หรอื ผู้ชายไมไ่ ด้ เราจึงทำเพศให้แปรโดยแบง่ พวกหรอื ทำพวกให้ไม่เหมอื นกันเสยี (ทำให้แปร)
แบง่ ตามภาวะแทรกซ้อน
เม่ือพิจารณาตวั แปรอิสระตามเป้าหมายของการวิจัยโดยทว่ั ไปจะพบวา่ มีตัวแปรอิสระกลุ่มหน่ึงท่ี
เปน็ ตัวแปรสำคัญซึ่งอยู่ในกรอบหรือเป้าหมายของการศึกษาและมีตวั แปรอิสระกลุ่มอ่ืนๆ ซึ่งไม่ได้อย่ใู นกรอบ
หรอื เป้าหมายของการศึกษาโดยตรง เรียกว่าตัวแปรเกิน (Extraneous Variables) ถา้ ผู้วิจยั ละเลยตัวแปรเกิน
เหลา่ น้ี อาจแทรกซอ้ นผลการวจิ ยั ได้ เพอื่ ความละเอียดรอบคอบในการวจิ ัยและการสรปุ ผลทมี่ คี วามตรงภายใน
(Internal Validity) ซ่งึ จะทำให้ผลการวิจยั ถูกต้องหรือน่าเชอื่ ถือ จงึ ควรพิจารณาขจดั ตัวแปรเกนิ อย่างรดั กุม
(๑) ตวั แปรอิสระที่ต้องการศกึ ษา (Independent Variable of primary interest) เป็นตัว
แปรอิสระท่ถี กู คดั เลอื กเพอ่ื ศกึ ษาผลของมนั อนั เปน็ ตวั แปรหลักทผี่ ู้วจิ ยั สนใจศึกษา (Primary Interest) ในการ
วิจัยเชิงทดลองเรียกตัวแปรอิสระท่ีต้องการศึกษาว่าตัวแปรทดลอง (Treatment Variable)ซึ่งเป็นตัวแปรที่
ผวู้ ิจยั จดั กระทำเพื่อสังเกตผลของมัน ตัวแปรประเภทนจ้ี ึงมักเป็นตวั แปรจากทฤษฎที ต่ี ้องการนำมาทดสอบผล
โดยการนิรนัย (Deduction)เพ่ือสร้างสมมติฐาน แล้วอุปนัย(Induction)โดยเก็บข้อมูลจากการสังเกต ทดลอง
เพอื่ ทดสอบสมมติฐาน หรือเปน็ ตัวแปรท่นี า่ จะเป็นสาเหตุของการเกิดเหตุการณ์หรอื ปรากฏการณต์ ่างๆ ที่สนใจ
(๒) ตัวแปรเกิน (Extraneous Variables) ตัวแปรเกิน เป็นตัวแปรอิสระที่ไม่อยู่ในข่ายของ
การศึกษา แต่อาจมผี ลตอ่ ตัวแปรตามทีม่ งุ่ ศึกษา ดงั นน้ั ตัวแปรเกนิ จงึ นับว่ามคี วามสำคัญทีผ่ วู้ ิจยั จะต้องพิจารณา
ขจัดให้หมดอทิ ธิพล หรอื นำมาเป็นตวั แปรควบคุม(Controlled Variables) คำว่าควบคมุ หมายถงึ การบงั คบั ผล
ของมนั อย่าให้ปรากฏหรือมีสว่ นอยใู่ นความแปรปรวนของตวั แปรตาม การควบคุมทำได้โดยการดำเนนิ การใหม้ ี
ความเทา่ เทียมกนั ในระหว่างกลมุ่ ต่างๆ ท่ีทำการศกึ ษา ถา้ ไม่ได้ทำการควบคมุ อยา่ งเหมาะสมก็จะทำให้การสรุป
๑๔๘ Advanced Research Methodology on Peace
ผลการวิจัย ผิดพลาดคลาดเคล่ือนได้ตัวแปรเกินหรือตัวแปรควบคุมเหล่านี้ สามารถจัดเป็นกลุ่มต่างๆ ได้ คือ
ตวั แปรลักษณะทางกาย (Organismic Variable) ตวั แปรลักษณะแวดล้อม (Environmental Variable) และ
ตัวแปรแทรกซอ้ น (Intervening Variable)
ตวั แปรลักษณะทางกาย (Organismic Variable) เปน็ ตวั แปรอิสระทีแ่ สดงรปู ลักษณห์ รือลกั ษณะ
ทางกายหรือเก่ียวข้องกับกาย,ติด,ปรากฏกับกายของตัวอยา่ ง/บุคคลที่ศึกษาซึ่งเป็นตัวแปรทางกายภาพที่ไม่
สามารถจัดกระทำหรือเปล่ียนแปลงได้ในการวิจัย แต่อาจส่งผลต่อตัวแปรตามเช่น ตัวแปรเก่ียวกับบุคคล
ทางดา้ น เพศ อายุ ภูมลิ ำเนา วุฒทิ างการศกึ ษา เปน็ ต้น
ตวั แปรลกั ษณะแวดลอ้ ม (Environmental Variable)เปน็ ตัวแปรอิสระทเี่ ปน็ บรบิ ท (Context) มี
ลักษณะแวดล้อมกลุ่มตัวอย่าง/บุคคลที่ศึกษา ซ่ึงเป็นตัวแปรทางกายภาพท่ีไม่สามารถ จัดกระทำหรือ
เปลี่ยนแปลงได้ในการวิจัย แต่อาจส่งผลต่อตัวแปรตาม เช่น สภาพแวดล้อมของสถาบัน/หน่วยงาน
สภาพแวดล้อมทางโรงเรยี นของนักเรียน ประกอบด้วย ประเภทโรงเรียน ขนาดโรงเรยี น ลักษณะทต่ี ัง้ โรงเรยี น
เปน็ ต้น
ตัวแปรแทรกซ้อน (Intervening Variables) เป็นตัวแปรอิสระที่เป็นลักษณะภายในของกลุ่ม
ตวั อย่างบุคคลท่ศี กึ ษา หรือสภาพแวดลอ้ มซงึ่ ไม่สามารถสงั เกตได้โดยตรง ในการวัดจะต้องวัดจากพฤตกิ รรมท่ี
สงั เกตหรือสงิ่ ที่ปรากฏภายนอก เพือ่ สรุปอา้ งอิงถึงคณุ ลกั ษณะภายในตวั แปรแทรกซอ้ นลักษณะภายในของกล่มุ
ตัวอย่าง เช่น IQ, ทัศนคติ, บุคลิกภาพ, พื้นความรู้เดิม, ความวิตกกังวล, แรงจูงใจ เป็นต้น ตัวแปรสภาวะ
แวดลอ้ มของโรงเรยี น เช่น บรรยากาศทางวชิ าการ ความเป็นผนู้ ำของผ้อู ำนวยการโรงเรียน
การประสานงาน เป็นต้นตัวแปรแทรกซ้อน เป็นตัวแปรท่ีคาดว่าจะมีผลแทรกซ้อนร่วมกับตัวแปรอิสระที่
ต้องการศึกษา ถา้ ไม่ควบคุมจะส่งผลแทรกซ้อนต่อตัวแปรตามท่ีสนใจ ตวั แปรแทรกซอ้ นมชี ่ือเรียกตา่ งๆ กนั เช่น
ตัวแปรปรับ (Moderator Variable) ตัวแปรแทรก (Mediator Variable) ตัวแปรกดดัน (Suppressor
Variable) เปน็ ตน้ ๓๙
๕.๓.๖ การวัดตวั แปร
การวิจัยเป็นกระบวนการศึกษาตัวแปร การที่จะนำตัวแปรมาศึกษาได้นั้น ผู้วิจัยจะต้องสามารถ
สังเกตหรือวดั ตวั แปรเหลา่ นน้ั ๆ ให้ได้เสยี ก่อน การวิจัยเชงิ ปริมาณไมส่ ามารถใหข้ อ้ สรปุ เป็นผลการวิจัยทถ่ี กู ต้อง
ได้ ถ้าปราศจากการวดั ตวั แปรต่างๆ ที่เก่ยี วข้องได้อยา่ งเหมาะสม
สเกลการวัดตัวแปร (Scale of Measurement) การวัดตัวแปรเป็นการระบุคุณลักษณะของ
หน่วยแต่ละหน่วย(Individuals) โดยให้ค่าแก่คุณลักษณะหรือตัวแปรท่ีศึกษานั้น หรอื เป็นการกำหนดตัวเลข
เพอื่ แทนคณุ ลักษะของหน่วยแต่ละหน่วย อย่าง
๓๙ศิริชัย กาญจนวาสี และชัยลิขิต สร้อยเพชรเกษม,ตัวแปรสำหรับการวิจัย : ความหมาย ประเภท การ
คดั เลอื ก การวดั และการควบคุม, หนา้ ๒๓-๒๔.
ระเบียบวิธีวจิ ัยช้ันสงู วา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๑๔๙
เป็นระบบ หรือเป็นทำนองเดียวกัน รูปแบบเดียวกัน (Systematic Way) การวัดตัวแปรในการวิจัยจะทำให้
ได้ผลการวัดปรากฏออกมาตามสเกล ทำใหต้ วั เลขเดียวกันมีความหมายต่างกนั เมอ่ื ตา่ งเสกล ซง่ึ สามารถจำแนก
ได้เป็น ๔ สเกลตามความละเอียดของสารสนเทศท่ีได้จากการวัดดงั นี้
(๑) สเกลจัดพวก (Nominal Scale) เปน็ สเกลการวดั ข้ันพ้ืนฐานท่สี ดุ ผลท่ไี ด้จากการวดั ตัวแปร
ในสเกลนี้มีลักษณะแตกตา่ งกนั ตามชอื่ หรอื หมู่พวก จงึ เปน็ เพียงการจัดประเภท หรอื จัดหมวดหมลู่ ักษณะของ
ตัวแปร(Distinctiveness) โดยยังมิได้แสดงถึงการจัดอันดับสูงต่ำของลักษณะที่ได้คำว่า Nominal มีความ
หมายถึง การต้ังข้ึนเพ่ือแทน คือนามใช้เรียกขานเพ่ือใช้แทนและบอกความต่าง เช่น สเกลท่ีได้จากการวัดตัว
แปรเก่ียวกบั เพศของนักเรียน ซงึ่ จำแนกเป็นเพียง ชาย หรอื หญิง โดยให้ ๑ แทนชาย และ ๒ แทนหญิง
ประเภท ของโรงเรียน ซ่งึ อาจจำแนกเปน็ โรงเรียนสหศึกษา แทนด้วย ๑ โรงเรียนชาย แทนด้วย
๒ และโรงเรียนหญิง แทนดว้ ย ๓ วิธกี ารสอนซ่ึงอาจจำแนกเปน็ ๒ แบบ ได้แก่ วิธกี ารสอนแบบบรรยาย แทน
ดว้ ย ๑ กบั วธิ ีการสอนแบบสมั มนา แทนดว้ ย ๒เปน็ ตน้
ตัวแปร มาตราวดั
เพศ (๑)ชาย, (๒)หญงิ
ศาสนา (๑)พุทธ, (๒)ครสิ ต์, (๓)อิสลาม
อาชีพ (๑)รับราชการ, (๒)ค้าขาย, (๓)เกษตรกร
สถานภาพสมรส (๑)แตง่ งาน, (๒)มา่ ย, (๓)โสด
(๒) สเกลจดั อันดับ (Ordinal Scale) เป็นสเกลการวัดท่ีแสดงลักษณะแตกตา่ งและอันดบั (Rank
Order)ของการวัดผลท่ีไดจ้ ากการวัดตัวแปรในสเกลน้ีมีลกั ษณะแตกต่างกันตามหมู่พวก และแสดงอนั ดับสงู ต่ำ
ของผลที่ได้ตามขนาดปริมาณ(Order in Magnitude) คือตัวเลขมากกว่า(Larger Numbers)แสดงถึง
คณุ ลกั ษณะนัน้ ๆสูงกว่าตวั เลขทนี่ อ้ ยกว่า(Smaller Numbers) เชน่ การวัดระดับพื้นความรู้เดิมของนกั เรียน ซึง่
จดั อันดับเป็น ๓ อันดับได้แก่ พื้นความรู้เดิมอันดับสงู กลาง และต่ำเมือ่ ผลการทดสอบเป็น ๙๐ ๖๐ และ ๒๐
และให้ตวั เลขแทนอนั ดบั เปน็ ๓๒และ ๑ หรือ ๑๒ และ ๓การจดั อนั ดบั นส้ี ามารถจดั จากต่ำไปสงู หรือสงู ไปต่ำได้
(Reverse) เปน็ ต้น สเกลนไี้ ม่มีศนู ย์สมั บูรณห์ รอื ศูนยแ์ ท(้ Absolute Zero)
ตัวแปร มาตราวดั
รายได้ มาก ปานกลาง นอ้ ย
ผลของการรบั สมคั ร ท่ี ๑ ท่ี ๒ ท่ี ๓
ของชมุ ชน บา้ น ตำบล อำเภอ จงั หวัด
ระดับความสงู ของเดก็ สงู มาก สูงปานกลาง สูงนอ้ ย
ความพงึ พอใจตอ่ บรกิ าร ดี พอใช้ ปรบั ปรุง
๑๕๐ Advanced Research Methodology on Peace
(๓) สเกลอนั ตรภาค (Interval Scale) เป็นสเกลการวดั ท่แี สดงลักษณะแตกตา่ ง, อันดับ และค่า
ของความแตกตา่ ง ผลที่ได้จากการวัดตัวแปรในสเกลนบี้ ง่ บอกลักษณะแตกตา่ งกันตามหม่พู วก แสดงอนั ดับสูง
ต่ำ และคา่ ของแต่ละหนว่ ยการวัดมชี ่วงค่าเทา่ กนั (Equal Interval) มีจดุ 0 ไม่แทไ้ ม่ทราบจุดเริ่ม และจดุ สน้ิ สุด
ของสเกล ผลที่ได้นำมาเปรยี บเทียบความแตกต่างกันไดต้ ามปริมาณชว่ งเท่ากัน ถา้ ช่วงไม่เท่ากันจะเปรยี บเทียบ
กนั ไม่ได้ และจะสมมติจุดเริ่มโดยจะใหเ้ ริม่ ท่ีจดุ ใดก็ได้ เมอ่ื เรม่ิ ที่จุดใด จุดนน้ั จะเปน็ 0 แลว้ จงึ เปรียบเทียบตาม
ชว่ งเท่า เช่น คะแนนผลการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรยี น คะแนนทัศนคติต่อการเรียนคณิตศาสตร์ เป็นต้น
สเกลนมี้ ักเปน็ การวัดในตัวแปรทางจติ วิทยา ซึ่งไมม่ ีศูนยส์ ัมบูรณห์ รอื ศนู ยแ์ ทเ้ ช่นความสามารถทางสมองของคน
เปน็ ต้น (คนทไี่ ม่มคี วามสามารถทางสมองคือคนตาย)
(๔) สเกลอัตราส่วน (Ratio Scale) เป็นสเกลการวัดท่ีให้สารสนเทศสมบูรณ์ท่ีสุด ผลท่ีได้จาก
การวดั ตวั แปรในสเกลนีบ้ ง่ บอกลกั ษณะความแตกต่างกนั ตามหมู่พวก แสดงอันดบั สูงต่ำ ค่าของแตล่ ะหนว่ ยการ
วดั มคี ่าเทา่ กนั และจดุ เรมิ่ ของสเกลเป็น 0 ท่ีแท้จริง คือทราบจดุ เร่ิมแต่ไมท่ ราบจดุ สิ้นสดุ ผลทว่ี ดั ไดจ้ งึ เปน็ ค่าท่ี
สามารถนำมาเปรียบเทียบความแตกต่างกนั ได้ และเพราะเหตทุ ท่ี ราบจุดเร่ิมจึงสามารถเปรยี บเทยี บอัตราส่วน
ต่อกันได้ด้วย เช่น อายุของนกั เรียน รายได้ของผู้ปกครอง ระยะทางจากบ้านถึงโรงเรียน เปน็ ต้น ในทางปฏบิ ตั ิ
เกย่ี วกับการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ด้วยวิธีการทางสถิติ ถือวา่ สเกลอนั ตรภาคและสเกลอตั ราส่วน เป็นคา่ ในเชงิ ปริมาณ
ไมม่ คี วามแตกต่างกันอยา่ งสำคัญ ในการวิจัยทางสงั คมศาสตร์นิยมปฏบิ ตั ิให้สเกลทง้ั สองมคี ณุ ลกั ษณะท่สี ามารถ
นำมาวิเคราะห์ทางสถิติได้ทัดเทียมกัน แม้ในฟิสิกส์ก็ยังใช้ได้ เช่นจินตนาการความสูงให้เป็นค่าลบ ในการ
คำนวณการเคลื่อนท่ีของวัตถุในแนวดิ่ง เปน็ ต้น๔๐
▪ วิธีการวดั ตวั แปร (Measuring of Variable)
การวดั ตวั แปรใดกต็ าม ผวู้ จิ ัยจะต้องรธู้ รรมชาติของตัวแปรน้ันเสียก่อนวา่ เป็นตัวแปรลักษณะใด?
และจำตอ้ งอธิบายได้ว่าตัวแปรน้ันมีลักษณะเชน่ ไร? หรือมีความหมายว่าอะไร?เมื่อพจิ ารณาธรรมชาติของตัว
แปรในบริบทของศาสตร์แห่งการวัด เราอาจจำแนกตัวแปรออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ตัวแปรเชิง
รปู ธรรม ทส่ี ามารถสังเกตวัดได้โดยตรง (Manifest Variable) กบั ตัวแปรเชิงนามธรรม ท่ไี ม่สามารถสงั เกตวัด
ได้โดยตรง (Latent Variable) การวัดตัวแป รเชิงรูป ธรรม ซ่ึงเป็ นการวัดท างกายภาพ (Physical
Measurement) ไม่สู้มีปัญหายงุ่ ยากมากนกั เช่น การวดั ตัวแปร เพศ อายุ รายได้ วุฒิทางการศึกษา ประเภท
และขนาดของโรงเรียน เป็นต้น แต่การวัดตัวแปรเชิงนามธรรมซ่ึงเป็นการวัดทางจิตวิทยา ( Psychological
Measurement) เช่น ทัศนคติ IQ สุขภาพจิต ภาวะผนู้ ำ เป็นต้น จะตอ้ งอาศยั แนวคิดและทฤษฎีการวัดผลเข้า
มาช่วย การวดั ตวั แปรโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งตัวแปรประเภทนามธรรม จะตอ้ งอาศยั การให้นยิ ามทีช่ ัดเจนแกต่ วั แปร
ท่ีมุ่งวัด การนิยามตัวแปรสามารถกระทำได้ ๒ ระดับ ได้แก่ นิยามเชิงมโนทัศน์ หรือทฤษฎี (Conceptual
Definition) กับนิยามเชงิ ปฏบิ ัติการ (Operational Definition)
๔๐ศิริชัย กาญจนวาสี และชัยลิขิต สร้อยเพชรเกษม,ตัวแปรสำหรับการวิจัย : ความหมาย ประเภท การ
คดั เลือก การวดั และการควบคุม,หน้า ๒๓-๒๔.
ระเบียบวิธีวิจยั ช้ันสงู วา่ ด้วยสนั ติภาพ ๑๕๑
(๑) นิยามเชิงมโนภาพ หรือทางทฤษฎีซ่ึง พลาโต (427-347 B.C.)นักปรัชญาจิตนิยมเรียกว่า
“แบบ”(Form) นิยามจึงมีลกั ษณะเป็นนามธรรม คือคุณลกั ษณะของธรรมชาตอิ นั สงั เกตไมไ่ ด้ดว้ ยอินทรีย์ทั้ง ๕
ซงึ่ ยงั ไม่สามารถทำการวัดหรอื สงั เกตได้โดยตรง มักเป็นการให้นยิ ามตวั แปรตามพจนานุกรม ตัวอย่างเช่น
“ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์” หมายถึง ผลการเรยี นรู้ทางคณิตศาสตร์ของนกั เรียนอัน
เกดิ จากการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนคณติ ศาสตร์ตามหลักสตู รของครูผสู้ อน
“IQ” หมายถึง ความสามารถทางสมองท่ีแสดงถึงไหวพริบ การคิดแก้ปัญหาและการปรับตัวต่อ
สิ่งแวดลอ้ ม
“ความคิดสร้างสรรค์” หมายถึง ความสามารถในการคิดเชิงนวัตกรรม หรือสร้างสรรค์ส่ิงแปลก
ใหมแ่ ละเปน็ ที่ยอมรับ
“เศรษฐานะ” หมายถึง สภาวะทางเศรษฐกจิ และการดำรงอยขู่ องบคุ คลในสังคม
(๒) นยิ ามเชิงปฏบิ ัตกิ าร เปน็ การบอกหรืออธบิ ายความหมายของตวั แปรในเชงิ รปู ธรรม ด้วยการ
กำหนดเงือ่ นไงท่ีสามารถนำไปปฏิบตั กิ ารหรือสงั เกตไดโ้ ดยตรง จึงเป็นนิยามทปี่ ระกอบด้วยลกั ษณะเฉพาะอัน
จำเป็นตอ่ การบ่งชีส้ ภาวะหรอื ลกั ษณะของตัวแปรท่มี งุ่ วัด ตวั อยา่ งเชน่
“ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นคณิตศาสตร์” หมายถงึ ความสามารถในการแก้โจทยป์ ญั หาเกี่ยวกับการ
บวก ลบ เลขไม่เกิน ๒ หลัก ซึ่งวัดหรือสังเกตได้จากคะแนนสอบปลายภาคการศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ของ
นักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๑ ท่ไี ดจ้ ากแบบสอบคณิตศาสตร์ทคี่ รสู ร้างขน้ึ
“IQ” หมายถงึ คะแนนที่ไดจ้ ากแบบวดั Wechsler Adult Intelligence Scale
“ความคิดสร้างสรรค์” หมายถึง คะแนนท่ีได้จากแบบสอบ Torrance Tests of Creative
Thinking
“เศรษฐานะ” หมายถึง รายได้รวมตอ่ เดือนของทุกคนในครอบครัว
การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการท่ีเหมาะสมจะต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีอันเป็นท่ียอมรับ
ของการวดั คุณลักษณะน้ัน และใช้ตวั บง่ ช้คี ณุ ลักษณะน้ันไดอ้ ย่างตรงประเดน็ และครอบคลุม๔๑
๕.๔ ประชากร ตัวอยา่ ง และกลุ่มตัวอย่างกบั การออกแบบการวิจัย
๕.๔.๑ ความหมายของประชากร ตัวอย่าง กลมุ่ ตัวอย่าง
ประชากร (Population) หมายถงึ หน่วยตา่ งๆ ทกุ หนว่ ยของสิ่งท่ีเราสนใจจะทำการศกึ ษาเป็น
หนว่ ยทส่ี ามารถใหข้ อ้ มลู ตา่ งๆ แก่เราไดเ้ ปน็ หน่วยขอ้ มูลทกุ หน่วยท่ตี อ้ งการศกึ ษาตามวัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั
การกลา่ วถงึ ประชากรตอ้ งระบขุ อบเขต จำนวน และคุณลกั ษณะของประชากรให้ชดั เจน เช่น สนใจรายได้เฉลีย่
ของข้าราชการในจังหวัดอุดรธานีดังนั้นประชากรคือข้าราชการทุกคนท่ีทำงานอยู่ในจังหวัดอดุ รธานีลักษณะ
ของประชากรท่ีศกึ ษาอาจมจี ำนวนจำกัด (Finite population) อาจมจี ำนวนอนันต์(Infinite population) เชน่
๔๑ศิริชัย กาญจนวาสี และชัยลิขิต สร้อยเพชรเกษม,ตัวแปรสำหรับการวิจัย : ความหมาย ประเภท การ
คัดเลอื ก การวัด และการควบคุม, หนา้ ๒๔-๒๕.
๑๕๒ Advanced Research Methodology on Peace
การศึกษาเกยี่ วกับประสทิ ธภิ าพของยาชนิดหนงึ่ ประชากรจะเป็นผลการทดสอบประสทิ ธภิ าพของยาในผูป้ ว่ ยที่
ใชย้ าน้ีซ่งึ ไม่สามารถบอกถงึ จำนวนท้งั หมดได้๔๒(สญั ลักษณ์ท่ีใช้แทนขนาดประชากร คือ N)๔๓
สำหรับงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับเอกสารไม่ว่าจะนำเอาเอกสารมาวิเคราะห์สังเคราะห์หรือตีความ
เอกสารดังกล่าวอาจมีอยู่แล้ว หรือต้องทำการเก็บข้ึนมาใหม่ เช่น สัมภาษณ์เจาะลึก สนทนากลุ่ม หรือการ
ประชุมระดมสมอง แล้วนำมาถอดความคำต่อคำ เพ่ือมาศึกษาวิเคราะห์ตีความ เอกสารที่ เก่ียวข้อง คือ
ประชากรเปา้ หมาย๔๔
พารามิเตอร์ (parameter) หมายถึง ค่าที่แสดงคุณลักษณะต่างๆ ของประชากร ซึ่งจะต้อง
คำนวณมาจากหนว่ ยทกุ หน่วยของประชากร พารามิเตอรจ์ ะเป็นตัวที่
ไมท่ ราบค่า เชน่ ยอดรวมของประชากร คา่ เฉลี่ยของประชากร สัดส่วนของประชากรอัตราส่วนของประชากร
และความแปรปรวนของประชากร ฉะน้ันในการศึกษาจงึ เป็นการประมาณค่าพารามเิ ตอร์ที่สนใจจะศกึ ษา ทั้งน้ี
ขึ้นอยูก่ ับวัตถปุ ระสงค์ของการสำรวจ๔๕
ตัวอย่าง (Sample) หมายถึง หนว่ ยบางหน่วยของประชากรท่ีจะให้ข้อเท็จจรงิ ตา่ งๆ ท่ีเราสนใจ
ศกึ ษาเช่น สนใจรายได้เฉล่ยี ของขา้ ราชการท่ที ำงานอยู่ในจังหวดั อุดรธานดี ังนนั้ ประชากรคอื ข้าราชการทกุ คนท่ี
ทำงานอยู่ในจงั หวดั อุดรธานีและตวั อยา่ งคอื ขา้ ราชการบางคนทท่ี ำงานอย่ใู นจงั หวดั อุดรธานีทถ่ี กู เลอื ก กล่าวคือ
ตัวอย่างเป็นส่วนหน่ึงของประชากรท่ตี ้องการทีจ่ ะนำมาศึกษาซ่ึงต้องระบุขนาดของกลุ่มตัวอย่าง วิธกี าร และ
ขั้นตอนการเลือกกลุ่มตัวอย่างละเอียด๔๖สัญลักษณ์ท่ีใช้แทนขนาดตัวอยา่ ง คือ nคา่ n ได้จากการคำนวณและ
อยใู่ นวิสัยท่ีสามารถปฏิบัติงานได้ โดย ค่า n จะมคี า่ น้อยกว่าค่า N๔๗
กลุ่มตัวอยา่ ง (Sample groups) หมายถงึ บางส่วนของประชากรท่ีถกู เลือกมาเป็นตัวแทนของ
ประชากรที่ทำการศกึ ษาการใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กจะทำให้มีโอกาสเกิดความคลาดเคล่ือนมากและการใช้
ขนาดกลุ่มตัวอย่างใหญ่จะมีโอกาสเกิดความคลาดเคล่ือนน้อยเนื่องจากขนาดกลุ่มตัวอย่าง ใหญ่ให้ข้อมูลท่ี
เที่ยงตรงการคำนวณทางสถิติมีความถูกต้องมากกว่ากลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กกลุ่มตัวอย่างยิ่งมีขนาดใหญ่มาก
๔๒สงั คม ศภุ รัตนกุล, เอกสารคำสอนรายวชิ าระเบียบวธิ วี จิ ัยทางสาธารณสุข,หนา้ ๔๐.
๔๓สำนักงานสถิตแิ ห่งชาต,ิ เทคนิคการสุ่มตัวอย่างและการประมาณค่า, กลุม่ ระเบียบวิธสี ถติ ิสำนกั นโยบายและ
วิชาการสถิติ, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา:http://service.nso. go.th/nso/nsopublish/Toneminute/files/55/A3-16.pdf,
หน้า ๖, [๑๙ เม.ย. ๒๕๖๑].
๔๔สังคม ศุภรตั นกุล, เอกสารคำสอนรายวิชาระเบยี บวิธีวจิ ัยทางสาธารณสขุ , หน้า ๔๐.
๔๕สำนักงานสถิตแิ ห่งชาติ, เทคนคิ การสมุ่ ตัวอย่างและการประมาณค่า, หน้า ๒๖.
๔๖สังคม ศุภรตั นกลุ ,เอกสารคำสอนรายวชิ าระเบียบวิธวี จิ ยั ทางสาธารณสุข, หนา้ ๔๐.
๔๗สำนักงานสถิตแิ ห่งชาต,ิ เทคนิคการสุ่มตวั อย่างและการประมาณค่า, กลุ่มระเบียบวิธีสถิตสิ ำนกั นโยบายและ
วิชาการสถิติ, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา: http://service.nso.go.th/nso/nsopu blish/Toneminute/files/55/A3-16.pdf,
หน้า ๖, [๑๙ เม.ย. ๒๕๖๑].
ระเบยี บวธิ ีวจิ ัยช้ันสงู วา่ ดว้ ยสันติภาพ ๑๕๓
เท่าใดความคลาดเคล่ือนจากการส่มุ จะลดน้อยลงแต่เม่อื ถึงจุดหนึง่ แมจ้ ะเพมิ่ ขนาดของกลมุ่ ตัวอย่างใหใ้ หญ่ข้ึน
อีกแตค่ วามคลาดเคลื่อนก็ลดลงไดไ้ ม่มากนกั ๔๘
ขนาดของตวั อย่าง (sample size) หมายถงึ จำนวนหนว่ ยการวเิ คราะห์ทเ่ี ป็นเจา้ ของคุณสมบตั ิ
หรอื ตัวแปรท่ีจะใชใ้ นการวเิ คราะห์ ซึ่งผวู้ จิ ัยตอ้ งคำนวณหาตวั อยา่ งท้งั หมดก่อนท่จี ะลงมอื ใชเ้ ทคนิคการสุม่ ตาม
ความยากงา่ ยของการสุ่ม๔๙
กรอบตัวอย่าง (sampling frame) หมายถึง บัญชีรายช่ือท่ีแสดงหน่วยทุกหน่วยท่ีประกอบกัน
เป็นประชากรท่ีต้องการศึกษา และดำเนินการเลือกหน่วยตัวอย่างจากหน่วยทุกหน่วยในบัญชีนี้ตามวิธีและ
ขนาดตัวอย่างท่ีกำหนดไว้ หน่วยแต่ละหน่วยในบัญชีจะเรียกว่าหน่วยตัวอย่าง (sampling unit) ซ่ึงกรอบ
ตัวอย่างดังกล่าวอาจจะมอี ยู่แลว้ หรือ ตอ้ งจัดทำข้ึนเอง (ในกรณไี ม่สามารถหาได้) โดยกรอบตัวอย่างที่ดีจะตอ้ ง
มีความสมบูรณ์(completeness) ไม่ขาด (omission) ไม่เกิน (duplication) ทันสมัย (up - to -date) หรือ
จดั ทำขึ้นลา่ สุด ทราบตำแหนง่ ท่ีตง้ั ของแต่ละหนว่ ย (address) มีอยู่จรงิ และถูกต้อง (can be found)๕๐
เกณฑม์ าตรฐานการเสนอประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
๑) ระบุขอบเขต จำนวน และคณุ ลกั ษณะของประชากรอย่างชดั เจน
๒) กำหนดขนาดของกลมุ่ ตัวอยา่ งเหมาะสมและถกู ตอ้ งตามหลักวิชา
๓) กำหนดวธิ ีเลือกกลุ่มตัวอย่างเหมาะสม เขยี นอธิบายวธิ กี ารเลือกกลุม่ ตัวอย่าง ใหผ้ ้อู า่ นเหน็ ภาพ
ในการปฏบิ ัติจรงิ วา่ มวี ิธกี ารดำเนนิ การในรายละเอียดอย่างไร และทำไมจึงกำหนดดังกลา่ ว
๔๘สุชาติ ประสทิ ธริ์ ฐั สินธ,์ ระเบียบวธิ ีการวิจยั ทางสังคมศาสตร์, หน้า ๔๐.
๔๙เร่ืองเดยี วกัน, หนา้ ๑๘๔.
๕๐สำนักงานสถิตแิ ห่งชาติ, เทคนิคการสุ่มตัวอย่างและการประมาณค่า, กลมุ่ ระเบียบวิธีสถติ สิ ำนักนโยบายและ
วิชาการสถิติ, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา: http:// service.nso.go.th/nso/nsopublish/Toneminute/files/55/A3-16.pdf,
หน้า ๖,[๑๙ เม.ย. ๒๕๖๑].
๑๕๔ Advanced Research Methodology on Peace
ภาพที่ ๕.๕ แสดงประชากร และ กลมุ่ ตัวอยา่ ง
ท่มี า: ศศิธร วชิรปัญญาพงศ์ (๒๕๕๙)๕๑
๕.๔.๒ การคำนวณขนาดตวั อยา่ ง และวิธีสุ่มตัวอยา่ งท่ีเป็นตวั แทนท่ดี ีของประชากร
๑) การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอยา่ งเพื่อการวจิ ยั
ขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ ง (Sample size) เป็นสิง่ สำคญั ทผี่ วู้ ิจยั ตอ้ งกำหนดให้เหมาะสมและมีความ
เป็นตวั แทนท่ีดีของประชากรที่ทำการศกึ ษาเพ่ือจะช่วยให้ผลการวิจัยมีความน่าเช่ือถือดังน้ันจึงเกิดคำถามว่า
ขนาดของกลุ่มตัวอย่างเท่าไรจึงจะทำให้ผลการวิจัยมีความเช่ือถือได้ซึ่งความจริงแล้วไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน
ตายตัวว่าจะต้องใชข้ นาดกลุ่มตวั อยา่ งจำนวนเท่าใดได้มผี ู้เสนอวิธกี ารกำหนดของตวั อย่างไว้หลายวธิ ดี ้วยกนั เชน่
การกำหนดเกณฑ์รอ้ ยละของประชากรการใชต้ ารางสำเร็จรปู หรือการใช้สตู รคำนวณซง่ึ ผู้วจิ ัยสามารถเลือกตาม
ความเหมาะสม ส่ิงทีค่ วรคำนึงในการกำหนดขนาดของกลุม่ ตวั อย่าง
การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างว่าควรมีขนาดเท่าใดนั้นผู้วจิ ัยควรคำนึงถึงส่ิงต่างๆหลายอย่างมา
ประกอบกัน (Librero, ๑๙๘๕) ดังน้ี
๑) ค่าใช้จ่ายเวลาแรงงานและเคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างนั้นว่ามี
พอทจ่ี ะทำให้ได้หรอื ไมแ่ ละค้มุ ค่าเพยี งใด
๒) ขนาดของประชากรถา้ ประชากรมีขนาดใหญ่มีความจำเป็นตอ้ งเลือกกล่มุ ตัวอยา่ งถ้าประชากร
มขี นาดเล็กและสามารถทจ่ี ะศึกษาได้ควรจะศึกษาจากประชากรทั้งหมด
๓) ความเหมอื นกันถ้าประชากรมคี วามเหมอื นกนั มากความแตกต่างของสมาชกิ มีน้อยนน้ั คือความ
แปรปรวนในกลุ่มตัวอย่างมีน้อยก็ใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กได้แต่ถ้าประชาก รมีลักษณะไม่เหมือนกันความ
แตกต่างของสมาชิกมีมากความแปรปรวนในกล่มุ มมี ากจำเป็นต้องใชก้ ลุ่มตัวอย่างขนาดใหญเ่ พื่อให้ครอบคลุม
คุณลกั ษณะต่างๆของประชากร
๕๑ศศิธร วชิรปัญญาพงศ์, การคำนวณขนาดตัวอย่างและวิธีสุ่มตัวอย่างท่ีเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร,
เอกสารประกอบการอบรมโครงการฝึกอบรม “สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่” (ลูกไก่). เครือข่ายมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.), ๑๒ ธันวาคม - ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ณ วิทยาลัยสงฆ์ศรีสะเกษ
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั .
ระเบยี บวธิ วี ิจยั ชั้นสงู ว่าดว้ ยสนั ติภาพ ๑๕๕
๔) ความแม่นยำชัดเจนถ้าต้องการความแม่นยำชัดเจนในเร่ืองที่จะศึกษาค้นคว้าต้องใช้กลุ่ม
ตวั อย่างขนาดใหญ่คอื ย่งิ ขนาดของกลมุ่ ตัวอยา่ งใหญ่มากเท่าใดผลการศึกษาย่งิ มคี วามแมน่ ยำมากขึน้ เท่านนั้
๕) ความคลาดเคลื่อนจากการสุม่ ตัวอย่างความคลาดเคลื่อนทยี่ อมใหเ้ กดิ ขึ้นไดจ้ ากการส่มุ ตวั อย่าง
โดยท่ัวไปแลว้ มกั จะยอมให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ ๑% หรอื ๕% (สัดส่วน ๐.๐๑ หรือ ๐.๐๕)และยังข้ึนอยู่
กับความสำคัญของเร่ืองที่ต้องการศึกษาด้วยถ้าปัญหามีความสำคัญมากก็ควรให้เกิดความคลาดเคลื่อนน้อย
ทส่ี ดุ เช่น ๑% แตถ่ า้ มคี วามสำคัญนอ้ ยก็อาจยอมใหเ้ กิดความคลาดเคล่ือนไดบ้ า้ งเช่น ๕% เปน็ ตน้
๖) ความเช่ือมั่นผู้วิจยั ต้องกำหนดความเช่ือมนั่ ว่ากลุ่มตัวอย่างที่สุ่มมาน้นั มีโอกาสได้ค่าอ้างอิงไม่
แตกต่างจากค่าท่ีแท้จรงิ ของประชากรประมาณเท่าไรเช่นถ้ากำหนดระดับเชื่อม่ัน ๙๕% หมายถงึ ค่าอ้างอิงมี
โอกาสถกู ตอ้ ง ๙๕% มีโอกาสผิดพลาดจากค่าทีแ่ ทจ้ รงิ ๕% น่นั คอื ค่าที่ไดจ้ ากกลมุ่ ตวั อย่าง ๘๕ กลมุ่ จาก ๑๐๐
กลุ่มท่ีสุ่มมาจากประชากรเดียวกันจะไม่แตกต่างจากค่าท่ีแท้จริงของประชากรซึ่งระดับความเช่ือมั่นอาจจะ
เพมิ่ ขนึ้ เป็น ๙๙% หรือลดลงเหลือ ๙๐%๕๒
๒) วิธีการกำหนดขนาดกลุม่ ตัวอย่าง
วิธีการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างมีด้วยกันหลากหลายวิธี สังคม ศุภรัตนกุล ได้เสนอการ
กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากการกำหนดเกณฑก์ ารใชส้ ูตรคำนวณและการใช้ตารางสำเร็จรูปซึ่งแต่ละวธิ ี
สามารถอธิบายได้ตอ่ ไปนี้๕๓
(๑) การกำหนดเกณฑ์
ในกรณนี ี้ผู้วจิ ยั ตอ้ งทราบจำนวนประชากรที่แน่นอนกอ่ นแล้วใชเ้ กณฑ์โดยกำหนดเป็นร้อยละของ
ประชากรในการพิจารณาดงั นี้
ถ้าขนาดประชากรเปน็ หลกั ร้อยควรใช้กลมุ่ ตัวอยา่ งอย่างนอ้ ย ๒๕%
ถ้าขนาดประชากรเปน็ หลักพันควรใชก้ ลุ่มตวั อย่างอยา่ งนอ้ ย ๑๐%
ถา้ ขนาดประชากรเป็นหลักหมืน่ ควรใชก้ ลมุ่ ตัวอยา่ งอย่างนอ้ ย ๕%
ถ้าขนาดประชากรเป็นหลักแสนควรใชก้ ลุ่มตวั อย่างอยา่ งนอ้ ย ๑%
(๒) การใช้ตารางสำเร็จรปู
การกำหนดขนาดของกลุ่มตวั อยา่ งด้วยตารางสำเร็จรูปมอี ยหู่ ลายประเภทขน้ึ อยกู่ ับความต้องการ
ของผ้วู ิจัยตารางสำเรจ็ รปู ท่นี ยิ มใช้กันในงานวิจยั เชิงสำรวจได้แก่ตารางสำเร็จของทาโรยามาเน่ (Yamane) และ
ตารางสำเร็จรปู ของเครจซีแ่ ละเมอร์แกน(Krejcie& Morgan) เป็นต้น
ตารางสำเรจ็ ของทาโรยามาเน่ (Yamane, ๑๙๗๓) เป็นตารางท่ีใช้หาขนาดของกลุ่มตัวอย่างเพ่ือ
ประมาณค่าสัดส่วนของประชากรโดยคาดว่าสัดส่วนของลักษณะที่สนใจในประชากรเท่ากับ ๐.๕ และระดับ
ความเช่ือม่ัน ๙๕% วิธีการอ่านตารางผู้วิจัยจะต้องทราบขนาดของประชากรและกำหนดระดับความคลาด
เคล่ือนที่ยอมรับได้เช่นต้องการหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากประชากรท่ีมีขนาดเท่ากับ ๒,๐๐๐ คน
๕๒สังคม ศภุ รัตนกุล, เอกสารคำสอนรายวชิ าระเบยี บวธิ วี จิ ัยทางสาธารณสุข, หน้า ๓๑.
๕๓สังคม ศุภรัตนกลุ , เอกสารคำสอนรายวชิ าระเบยี บวธิ วี จิ ัยทางสาธารณสขุ , หน้า ๓๒-๔๑.
๑๕๖ Advanced Research Methodology on Peace
ความคลาดเคลือ่ นท่ผี วู้ ิจัยยอมรับไดเ้ ท่ากบั ๕% ขนาดของกลมุ่ ตวั อย่างทต่ี ้องการจะเทา่ กับ ๓๓๓ คนเปน็ ตน้ ดู
ตารางประกอบ
ตารางท่ี ๕.๒ ตารางสำเรจ็ ของทาโรยามาเน่
ที่ ม า : https://sites.google.com/site/bb2 4 5 5 9 r/khnad-khxng-klum-tawxyang-thi-
hemaa-sm.
ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie& Morgan, ๑๙๗๐) ตารางน้ีใช้ในการ
ประมาณค่าสัดส่วนของประชากรเช่นเดียวกันและกำหนดให้สัดส่วนของลักษณะที่สนใจในประชากรเท่ากับ
๐.๕ ระดบั ความคลาดเคล่ือนท่ียอมรบั ได้ ๕% และระดบั ความเชื่อมั่น ๙๕% สามารถคำนวณหาขนาดของกลุ่ม
ตวั อย่างกับประชากรทมี่ ีขนาดเลก็ ได้ต้งั แต่๑๐ ขน้ึ ไป วิธีการอา่ นตารางผ้วู ิจัยต้องทราบขนาดของประชากรเช่น
ระเบียบวธิ ีวจิ ัยชั้นสูงวา่ ดว้ ยสนั ติภาพ ๑๕๗
ถ้าประชากรมีขนาดเท่ากับ ๒,๐๐๐ คนขนาดของกลุ่มตัวอย่างท่ีต้องการจะเท่ากับ ๓๒๒คนเป็นต้นดูตาราง
ประกอบ
ตารางท่ี ๕.๓ ตารางสำเรจ็ รปู ของเครจซแี่ ละมอรแ์ กน
ที่ ม า : https://sites.google.com/site/bb2 4 5 5 9 r/khnad-khxng-klum-tawxyang-thi-
hemaa-sm
ทั้งน้ีการการใช้ตารางกำหนดกลุ่มตัวอย่างส่ิงสำคัญท่ีต้องพิจารณา คือ ความผันแปรหรือความ
แปรปรวนของประชากรทง้ั หมดว่ามีเทา่ ใดและการแจกแจงเป็นปกติหรอื ไม่หากความแปรปรวนของประชากร
จรงิ ไมต่ รงกับความแปรปรวนของประชากรทีอ่ ยูใ่ นตารางกำหนดและการแจกแจงไมป่ กติ จำนวนตวั อย่างที่พึง
สุ่มก็ไมส่ ามารถจะดูไดจ้ ากตารางนั้นได้๕๔
สำหรับการกำหนดขนาดตัวอย่างจากจำนวนพารามิเตอร์หรอื จำนวนตวั แปรเช่น Schumacker
and Lomax (1996) กำหนดอตั ราสว่ นระหวา่ งหน่วยตวั อย่างตอ่ จำนวนพารามิเตอรห์ รอื ตวั แปร เปน็ ๑๐-๒๐
ตอ่ Lindeman, Merenda and Gold (1980), Hair et al.(2010) กำหนดอัตราส่วนระหว่างหน่วยตัวอยา่ งตอ่
จำนวนพารามิเตอร์หรอื ตวั แปร เป็น ๒๐ ตอ่ ๑การกำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป G*Power
ได้รับการพัฒนาเม่ือปี ๑๙๙๖ เพ่ือใช้ในการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง ลดความคลาดเคล่ือนของการพิสูจน์
๕๔สุชาติ ประสิทธร์ิ ฐั สินธ์, ระเบยี บวธิ ีการวจิ ัยทางสงั คมศาสตร์, หน้า๑๘๗.
๑๕๘ Advanced Research Methodology on Peace
สมมติฐาน จากโอกาสเกดิ ความคลาดเคลอื่ นทอ่ี าจเกิดขนึ้ ตามหลักการ Type I error และ Type II errorเป็น
การวิเคราะห์อำนาจการทดสอบ ขนาดตัวอย่างในการวจิ ัย เรียกว่า การวิเคราะห์ขนาดอทิ ธพิ ล (effect size)๕๕
นอกจากใช้ตารางสำเร็จรูปแล้ว ยังมีสูตรคำนวณขนาดตัวอย่างท้ังของทาโรยามาเน่ (Yamane)
และเครจซี่และเมอร์แกน (Krejcie& Morgan) ซึ่งผู้เขียนไม่ได้นำมาแสดงไว้เน่ืองจากปัจจุบันมีทั้งตารางสูตร
สำเร็จรูปและยังมีโปรแกรมคำนวณกลุ่มตัวอย่างที่สามารถหาได้ในอินเทอร์เนตที่ผู้ศึกษาสามารถค้นหาและ
นำมาใช้ได้เลย เรียกว่า โปรแกรมสำเร็จรูป G*Power ซึ่งเป็นอีกวิธีการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้
โปรแกรม
(๓) การกำหนดกล่มุ ตวั อยา่ งดว้ ยโปรแกรมสำเรจ็ รูป G*Power
โปรแกรมสำเร็จรูป G*Power เปน็ โปรแกรมท่ีนักวจิ ยั รุ่นใหมส่ นใจนำมาใช้ในการคำนวณหากลุ่ม
ตัวอย่าง นอกจากจะเป็นโปรแกรมท่ีสามารถดาวน์โหลดใช้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเป็นเครื่องมอื คำนวณ
ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ช่วยลดข้อผิดพลาดจากการใช้ตารางคำนวณกลมุ่ ตัวอย่างสำเร็จรูปอนั เนื่องมาจากการไม่
ทราบถงึ ข้อจำกัด เง่ือนไขของการใช้งานได้อย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม ส่งผลให้ผลการวิจัยอาจคลาดเคล่ือนได้
โปรแกรม G*Power ได้รับการพัฒนาเมือ่ปี ๑๙๙๖ โดยถูกออกแบบมาเพื่อปิดช่องว่างนี้โดยใช้หลักการ
Power Analysis ท่ีคำนวณขนาดตัวอย่างโดยคำนึงถึงขนาดของค่าความคลาดเคลื่อน Type I และ Type II
error ในการทดสอบสมมุติฐาน ซง่ึ มอี งค์ประกอบสำคัญท่ีใช้ในการคำนวณขนาดตวั อย่าง ไดแ้ ก่ ๑) ค่า Alpha
๒) ค่า Power (1-beta) ๓) ค่า effect size ซ่ึงการจะประมาณค่า effect size ได้จา (๑) ผลการวิจัย/
การศกึ ษาทีม่ ีลักษณะคลา้ ยคลึงกัน ท่ีมีผู้ศกึ ษามาก่อนแล้ว (๒) Pilot study (๓) ประมาณเป็นระดบั ต่ำ กลาง
หรือสูง โดยอ้างอิงอยู่บนหลักการ / ทฤษฎีสนับสนุนหรือการทบทวนวรรณกรรมที่ชัดเจน๕๖ ท้ังน้ีผู้สนใจ
สามารถศึกษาและทดลองใช้โปรแกรมได้โดยดาวนโ์ หลด https://www.psychologie.hhu.de/arbeitsgrupp
en/allgemeine-psychologieund-arbeitspsychologie/gpower
๓) การสมุ่ ตวั อย่าง (Random Sampling)
การสุ่มตัวอย่างเป็นการเลือกสมาชิกจากประชากรโดยพยายามทำให้สมาชิกท่ีเลือกมาเหล่าน้ัน
เป็นตัวแทนที่ดขี องประชากร การท่ีจะเลือกตวั อย่างให้เป็นตัวแทนทดี่ ีของประชากรได้น้ันจะต้องทำการเลอื ก
แบบส่มุ (random) หรอื เลือกอย่างไมล่ ำเอยี ง (un-bias) คอื พยายามให้สมาชิกแต่ละตัวของประชากรมโี อกาส
ท่ีจะได้รับการเลือกเป็นตัวแทนเท่าๆ กัน การที่จะได้ตัวอย่างเพ่ือเป็นตัวแทนของประชากรท้ังหมดได้น้ัน
จะต้องมีวิธกี ารสุ่มตัวอยา่ งที่มขี บวนการอย่างมีระบบ ซ่ึงประกอบด้วย
๕๕ศศิธร วชิรปัญญาพงศ์, การคำนวณขนาดตัวอย่างและวิธีสุ่มตัวอย่างท่ีเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร,
เอกสารประกอบการอบรมโครงการฝึกอบรม “สรา้ งนกั วิจยั ร่นุ ใหม่” (ลูกไก่).
๕๖ นพิ ฐิ พนธ์ สนทิ เหลอื , วชั รีพร สาตร์เพ็ชร์ และญาดา นภาอารักษ,์ การคำนวณขนาดตวั อย่างด้วยโปรแกรม
สำเรจ็ รปู G*POWER, วารสารวิชาการ สถาบนั เทคโนโลยแี ห่งสุวรรณภูมิ, ปที ี่ ๕ (๑): (มกราคม-มิถุนายน, ๒๐๑๙, หนา้
๔๙๖-๕๐๗.
ระเบยี บวธิ วี ิจยั ชั้นสงู ว่าดว้ ยสันติภาพ ๑๕๙
การนิยามประชากร ผู้วจิ ัยจะต้องนิยามขอบเขตของประชากรให้ชัดเจนว่าประชากรที่จะศึกษา
นนั้ ประกอบด้วยอะไรบ้าง เป็นจำนวนเทา่ ใด มขี อบเขตแคไ่ หน และมหี น่วยการวัดเป็นอย่างไร ตัวอย่าง เช่น
ตอ้ งการทราบว่ารายจ่ายโดยเฉลยี่ ของนักศึกษาในวทิ ยาลัยพลศกึ ษาเป็นเท่าใด ผวู้ จิ ัยจะตอ้ งนยิ ามว่านักศึกษา
ในวทิ ยาลัยพลศกึ ษาหมายถงึ ใครบ้าง
ขอบเขตประชากร กล่าวคือ การทราบบัญชีรายช่ือของสมาชิกในประชากร หลังจากนิยาม
ประชากรอย่างชัดเจนแล้ว ข้ันตอ่ ไปก็จะต้องทำการพิจารณารายชือ่ ของสมาชิกทั้งหมดในประชากรว่ามจี ำนวน
ถกู ตอ้ งครบถว้ นเพียงใด และเป็นรายชือ่ ท่ีเป็นปัจจบุ นั เพยี งใด
การเลือกตัวอย่าง หลังจากได้นิยามประชากรและพิจารณาบัญชีรายช่ือของสมาชิกทั้งหมดใน
ประชากรแล้ว นักวิจัยก็จะต้องทำการสุ่มตัวอย่างจากประชากรน้ัน การสุ่มตัวอย่างมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวธิ ีก็
เหมาะสมกับลักษณะของข้อมูลและจุดมุ่งหมายของการใช้ข้อมลู แตกตา่ งกันอยา่ งไรก็ดี ไม่ว่าจะใช้เทคนิคการ
สุ่มตัวอย่างแบบใดก็ตาม จุดมุ่งหมายในการสุ่มตัวอย่างก็เพื่อให้ตัวอย่างท่ีสุ่มมาได้นั้นเป็นตัวแทนท่ีดีของ
ประชากรทัง้ หมด
การกำหนดขนาดกลุม่ ตวั อยา่ ง ในการกำหนดขนาดของกลุม่ ตัวอย่างขนึ้ อย่กู ับสถานการณ์ของแต่
ละปัญหา ถ้าหากประชากรที่จะสุ่มตัวอย่างมีความเป็นเอกพันธ์ (homogeneous) ขนาดตัวอย่างเล็กๆ ก็มี
ความเพียงพอ เช่น การสุ่มตัวอย่าง น้ำ ๑ ลิตร จากน้ำทั้งหมดในโอ่ง ๑,๐๐๐ ลติ ร ก็เป็นการเพียงพอ แต่ถ้า
ประชากรไม่มีความเป็นเอกพันธ์ คือ มีการเปล่ียนแปรมาก เช่นปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในด้านการศึกษาหรือ
ทางด้านจติ วทิ ยา จำเป็นจะต้องใหข้ นาดตัวอยา่ งมีจำนวนมากพอ โดยท่ัวไปในการพจิ ารณาขนาดของตวั อยา่ งนี้
มีองค์ประกอบที่สำคญั ๓ ประการ ที่ควรนำมาพจิ ารณา คือ ธรรมชาติของประชากร เทคนิคการสุ่มตัวอย่าง
และระดบั ความถกู ตอ้ งของขอ้ มูลท่ีต้องการโดยท่ัวไปการสุ่มตัวอย่าง (Random Sampling) มี ๒ แบบคอื ๑)
การเลอื กตัวอย่างโดยใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น (Probability Sampling) และ ๒) การเลือกตัวอยา่ งโดยไม่ใช้
ทฤษฎคี วามนา่ จะเป็น (Non – Probability Sampling)
๕.๔.๓ วิธกี ารส่มุ ตัวอย่าง
(๑) การเลือกตัวอย่างโดยใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น (Probability Sampling) เป็นการเลือก
ตวั อยา่ งโดยเปดิ โอกาสใหท้ ุก ๆ หนว่ ยของมวลประชากรมีสทิ ธิ์ที่จะได้รับเลอื กขนึ้ มาเป็นตัวแทนเท่าๆ กัน การ
เลือกตัวอย่างโดยวิธีการน้ี มหี ลกั ประกันทางสถิตทิ ่ีจะเชอื่ ได้ว่าตัวอย่างที่ไดร้ ับเลือกข้ึนมาน้ัน เป็นตวั แทนของ
มวลประชากรน้นั ๆ วิธีการเลอื กตัวอย่างโดยใช้ทฤษฎีความน่าจะเปน็ ทน่ี ยิ มกันโดยท่ัวไป มีดงั นี้ คือ
(๑.๑)วิธีสุ่มอย่างง่าย (Sample Random Sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่างซ่ึงหน่วย
ตวั อยา่ งในประชากรมีโอกาสถูกเลือกเท่าๆ กนั วิธีน้ีใชไ้ ดเ้ หมาะสมกบั ประชากรทม่ี จี ำนวนไมม่ ากนักและผ้วู ิจัย
มีความรู้เกี่ยวกับประชากรที่จะศึกษาน้อย การสุ่มตัวอย่างแบบนี้ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแต่ละหน่วยจากประชากร
ทั้งหมด ซ่งึ สะดวกและจดั เปน็ วธิ ีเบ้อื งต้นทีจ่ ะนำไปส่กู ารส่มุ ตัวอยา่ งแบบอน่ื ๆการสมุ่ อาจแบ่งได้ ๒ วิธี คอื
(๑) วธิ ีจับฉลาก โดยการเขียนหมายเลขให้เท่ากับจำนวนประชากรทั้งหมดแล้วม้วนใส่
ภาชนะแล้วทำการจับหมายเลขให้เท่ากบั จำนวนทีต่ ้องการ
๑๖๐ Advanced Research Methodology on Peace
ภาพที่ ๕.๖ แสดงตัวอยา่ งการสุ่มแบบจบั ฉลาก
ทม่ี า: ศศิธร วชิรปัญญาพงศ์ (๒๕๕๙)
(๒) วิธีใช้ตารางตัวเลขสุม่ เป็นตารางท่ีนักสถิติทำข้ึนเพ่ือใหไ้ ด้เลขท่ีมโี อกาสเลือกเท่าๆ
กัน ทกุ ตวั หรือทุกชดุ ซง่ึ มอี ยทู่ ้ายหนงั สือสถิติท่ัว ๆ ไป
ภาพที่ ๕.๗ แสดงการสุม่ ตัวอย่างแบบอยา่ งง่าย
ทมี่ า: ศศธิ ร วชริ ปัญญาพงศ์ (๒๕๕๙)
(๑.๒) การสุ่มอย่างมีระบบ (Systematic Random Sampling)เป็นการสุ่มตัวอย่างที่
ใช้ได้เหมาะกับประชากรที่ได้จัดเรียงลำดับหน่วยตัวอย่างไว้แล้วอย่างมีระบบ เช่น รายชื่อนักศึกษาเรียงตาม
รหสั เลขท่ีบ้าน หมายเลขโทรศพั ท์ เปน็ ต้น การสุ่มตัวอย่างโดยวิธีนม้ี ีลกั ษณะคล้ายๆ กับการสมุ่ ตัวอย่างอย่าง
งา่ ย แตว่ ิธีน้ีง่ายกวา่ และสะดวกกว่ามาก ซ่ึงมวี ิธกี ารดงั นคี้ ือ กำหนดชว่ งของการเลือกหนว่ ยตัวอยา่ ง เช่น เลือก
๑ หน่วย เว้น ๕ หน่วย หรือเลือกทุกหน่วยที่ ๑๐ ตัวอย่างมีนักศึกษา๔๐๐ คน ต้องการเลือกมาเป็นกลุ่ม
ตวั อยา่ ง ๔๐ คน ดงั น้ันจำนวนช่วงประมาฯช่วงละ ๑๐ คน โดยเริม่ นบั จากจุดเริ่มต้นจนครบจำนวนที่ต้องการ
ระเบียบวธิ วี ิจัยช้ันสูงว่าดว้ ยสนั ติภาพ ๑๖๑
ภาพท่ี ๕.๘ การสมุ่ ตัวอย่างแบบมรี ะบบ
ทมี่ า: ศศธิ ร วชิรปญั ญาพงศ์ (๒๕๕๙)
(๑.๓) การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) โดยการแบ่ง
ประชากรออกเป็นกลุ่มๆ เรยี กวา่ ระดับชั้น (Strata) แลว้ สุ่มหน่วยตัวอย่างจากทุกระดบั ช้ัน ผวู้ จิ ยั จะใช้การสุ่ม
วธิ ีนเ้ี น่ืองจากทราบความแตกตา่ งของประชากรวา่ แบ่งเปน็ กล่มุ ๆ เช่น อาชพี ระดบั การศึกษา ช่วงอายุ ต่างกัน
จงึ ตอ้ งเลือกสมุ่ ตัวอยา่ งทีเ่ ป็นตัวแทนของประชากรโดยใหม้ ีทกุ ๆ กลุ่มย่อย การสุ่มคนระดบั ชั้นแบง่ ไดเ้ ป็น ๒ วิธี
คอื ๑) การสมุ่ เป็นระดับชนั้ อย่างเปน็ สัดสว่ นทำไดโ้ ดยนำประชากรมาแบ่งเปน็ กลุ่มยอ่ ย แลว้ เลือกตวั อยา่ งจาก
แตล่ ะกล่มุ ตามสดั ส่วนประชากร และ ๒) การส่มุ ตามระดับชนั้ ตา่ งไม่เป็นสัดส่วน เป็นการสุ่มตัวอย่างท่ีไม่เป็น
สัดสว่ นตามจำนวนของประชากรในแต่ละชนั้ ซ่ึงผู้วิจัยจะเปน็ ผ้กู ำหนดสดั ส่วนของกลุ่มตวั อย่างในแต่ละชั้นเอง
โดยไม่ได้คำนวณหาตามสัดส่วนของประชากรในแต่ละชั้น ท้ังนข้ี ึ้นอยกู่ ับดุลพินิจของผวู้ ิจัยว่าจะตัดสนิ ใจตาม
ความเหมาะสม
ภาพท่ี ๕.๙ การสุ่มตวั อยา่ งแบบแบ่งชน้ั
ท่ีมา: ศศิธร วชิรปญั ญาพงศ์ (๒๕๕๙)
๑๖๒ Advanced Research Methodology on Peace
(๑.๔) การสุ่มตวั อยา่ งแบบแบ่งกลุม่ (Cluster Random Sampling)การสุ่มตวั อย่างแบบ
นีจ้ ะกระทำเม่ือประชากรทศี่ ึกษามีลกั ษณะท่ีสามารถแบ่งเปน็ กลุม่ ๆ ได้ โดยทำการแบง่ ประชากรออกเป็นกลุ่ม
(cluster) โดยให้ภายในกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีคุณลักษณะต่างๆ กันครบถ้วนตามประชากรที่ต้องการ
ศึกษา และระหวา่ งกลุ่มมีคณุ ลกั ษณะเหมอื นกนั มากทสี่ ดุ แลว้ ใชว้ ิธีสมุ่ แบบง่าย หรอื สมุ่ แบบมีระบบก็จะได้กลมุ่
ตัวอย่างซ่งึ ได้มาโดยวิธสี มุ่ แบบแบ่งกลมุ่
ภาพท่ี ๕.๑๐ การสมุ่ ตวั อยา่ งแบบแบง่ กลุม่
ที่มา: ศศธิ ร วชิรปัญญาพงศ์ (๒๕๕๙)
(๑.๕) การสุ่มตัวอย่างแบบหลายข้ันตอน (Multistage Stage sampling)เป็นการสุ่ม
ตัวอย่างที่มีจำนวนประชากรมาก และผู้วิจัยไม่รู้ขอบข่ายแน่นอนของประชากร เช่น ประชากรทั่วประเทศ
ประชากรในแตล่ ะภาค เป็นตน้ การส่มุ แบบนท้ี ำไดโ้ ดยแบง่ ประชากรออกเปน็ กลุ่มใหญๆ่ แล้วแบ่งเป็นกล่มุ ยอ่ ย
ๆ ลงไปเร่อื ย ๆ เชน่ จงั หวัดประกอบด้วยอำเภอ อำเภอประกอบด้วยตำบลตำบลประกอบดว้ ยหมู่บา้ น หมบู่ า้ น
ประกอบดว้ ยครัวเรือน เปน็ ต้นวิธกี ารส่มุ ตวั อย่างท้ังหมดเปน็ การเลอื กตัวอย่างทต่ี ัวอยา่ งมีโอกาสจะถกู เลอื กเทา่
เทียมกันซ่ึงเป็นพื้นฐานของทฤษฎีความน่าจะเป็นและทฤษฎีความน่าจะเป็น เป็นรากฐานของสถิติอ้างอิง
(Inferential Statistics) ฉะน้นั ถ้าผ้วู ิจัยจะอ้างองิ ค่าสถติ ิจากกลุ่มตัวอย่างไปยงั ค่าพารามิเตอรก์ ค็ วรใชว้ ธิ ีการ
สุม่ แบบขา้ งตน้ น้ี
(๒) การเลือกตัวอย่างโดยไม่ใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น (Non – Probability Sampling)
เปน็ การเลือกตัวอย่างโดยเปิดโอกาสใหท้ ุก ๆ หน่วยของมวลประชากรมสี ิทธิ์ที่จะได้รับเลือกข้ึนมาเป็นตวั แทน
เท่าๆ กนั การเลอื กตัวอย่างโดยวิธีการน้ี มีหลกั ประกันทางสถิตทิ ่จี ะเช่ือไดว้ ่าตวั อยา่ งทไี่ ด้รบั เลอื กข้นึ มานั้น เป็น
ตัวแทนของมวลประชากรน้นั ๆ วิธีการเลือกตัวอย่างโดยใช้ทฤษฎคี วามนา่ จะเปน็ ที่นิยมกันโดยทว่ั ไป มดี งั นี้ คอื
(๒.๑) การเลือกแบบบังเอิญ (Haphazard or Accidental Sampling) เป็นการ
เลอื กตัวอยา่ งโดยผู้วิจัยพยายามเกบ็ ตัวอย่างเท่าทีจ่ ะทำได้ตามท่ีมอี ยู่หรือทไ่ี ด้รบั ความรว่ มมือ ตัวอย่างทีไ่ ดจ้ ึง
เป็นกรณีที่เผอญิ หรือยนิ ดีให้ความรว่ มมือหรอื อยู่ในสถานท่ีหรือตกอยใู่ นสภาวะดงั กล่าวตามจำนวนทตี่ อ้ งการ
(๒.๒) การเลือกแบบกำหนดโควต้า (Quota Sampling) เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่าง
โดยผู้วิจัยกำหนดได้ล่วงหน้าเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยบังเอิญ เชน่ ผู้วิจัยตอ้ งการกลุ่ม
ระเบียบวธิ ีวจิ ัยช้ันสงู วา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๑๖๓
ตัวอย่างจำนวน ๕๐ คน เป็นชาย ๓๐ คน เป็นหญิง ๒๐ คน แล้วก็เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์
ประชาชน ทร่ี อลงเรือที่ท่าเรอื ใหไ้ ดค้ รบจำนวนทต่ี อ้ งการ
(๒.๓) การเลือกแบบมีจุดมุ่งหมายหรือการเลือกแบบจำเพาะเจาะจง (Purposive
Sampling) เป็นการเลือกกลมุ่ ตวั อยา่ งใหต้ รงตามหลกั เกณฑห์ รอื จุดมงุ่ หมายของผวู้ จิ ยั เช่น เลอื กนักศึกษาทม่ี ี
ผลการเรยี นตง้ั แต่ ๓.๐๐ ข้ึนไป เลอื กสมั ภาษณ์นกั กรีฑาท่เี ปน็ ตัวแทนทีมชาตไิ ทย เปน็ ตน้
(๒.๔) การเลือกแบบตามสะดวก (Convenience Sampling) เป็นการเลือกกลุ่ม
ตัวอย่างที่ผู้วิจัยกำหนดหน่วยตัวอย่างขึ้นเอง โดยคำนึงถึงความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น ผู้วจิ ัย
เลือกนักเรียนท่ีอยู่ในชั้นที่ตนเองเป็นผู้สอนเป็นกลุ่มทดลองในการเปรียบเทียบวิธีสอน ๒ วิธี ผู้วิจัยเลือก
สมั ภาษณผ์ ู้ทอี่ ยใู่ นหมูบ่ า้ นใกล้เคียงกบั ภูมิลำเนาเป็นตวั อย่าง
ยังมีวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็นอีกวิธีการหน่ึงท่ีน่าสนใจและมี
นำมาใช้ในการเก็บข้อมูลท่ีมีความจำเพาะจงที่อาจหากลุ่มตัวอย่างค่อนข้างยาก เรียกวา่ การสุ่มแบบบอกต่อ (
Snowball Sampling) หรอื การเลือกแบบลกู โซ่ (Chain)
(๒.๖) การสุ่มแบบบอกต่อ ( Snowball Sampling)เป็นการสุ่มท่ีไม่มีการกำหนดว่า
จะสุ่มใครไวล้ ่วงหน้า การเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลมุ่ ตวั อย่าง ผู้วจิ ัยจะอาศัยข้อมูลจากตัวอย่างคนแรกให้ช่วย
แนะนำผู้ท่ีสมควรจะเป็นตัวอย่างคนต่อไปให้ ลักษณะเหมือนแชร์ลูกโซ่ เป็นการสุ่มที่มีลักษณะเชื่อมโยงกัน
ระหว่างหนว่ ยตัวอยา่ ง ผวู้ จิ ัยจะเก็บข้อมูลในลกั ษณะเชน่ นี้จนไดข้ ้อมูลตวั อยา่ งครบตามจำนวนที่ต้องการ๕๗
ตารางท่ี ๕.๔ สรปุ ตารางเปรยี บเทยี บวิธีการเลือกกลมุ่ ตวั อย่าง
วิธีการเลือกตวั อย่าง หลกั เกณฑ์ ขอ้ ด/ี ข้อเสีย
Simple Random
Sampling -ทกุ อยา่ งในประชากรมโี อกาสถูกเลือกเทา่ ๆ -งา่ ย
กันและเปน็ อิสระตอ่ กันในการเลอื กแต่ละคร้งั -นำไปใช้ประกอบกับวิธีสมุ่ อื่นๆ ได้
Systematic Random -มีบญั ชีรายช่ือของประชากรทีส่ มบูรณ์ -เหมาะทีจ่ ะใชก้ ับกลมุ่ ประชากรทม่ี ลี ักษณะ
Sampling -ใชว้ ธิ ีจับสลากหรอื ตารางเลขสุ่ม เล็กและมีลักษณะไม่หลากหลายมากนกั
-เสยี คา่ ใชจ้ ่ายและเวลามาก
-มบี ัญชรี ายชอื่ ของประชากรทุกหน่วย
-หา random interval (k)=N/n -สะดวกและง่าย
-หา random start (r) ทีอ่ ยรู่ ะหวา่ ง 1 ถึง k -สามารถนำไปใชป้ ระกอบกบั วิธีสุม่ แบบอืน่ ๆ
-สมุ่ หน่วยตัวอยา่ งโดยเรม่ิ ตงั้ แต่ r, r+k, r+2k,
r+3k,…ตามลำดับจนครบตามจำนวนที่
ตอ้ งการ
๕๗ศศิธร วชิรปัญญาพงศ์, การคำนวณขนาดตัวอย่างและวิธีสุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนท่ีดีของประชากร,
เอกสารประกอบการอบรมโครงการฝกึ อบรม “สร้างนักวิจัยร่นุ ใหม่” (ลกู ไก่).
๑๖๔ Advanced Research Methodology on Peace
ตารางท่ี ๕.๔ (ต่อ)
วธิ ีการเลือกตวั อย่าง หลกั เกณฑ์ ข้อด/ี ข้อเสีย
Stratified Random
Sampling -สุ่มตวั อยา่ งจากแตล่ ะ stratum ตามสัดส่วน -สามารถประมาณคา่ ในกลุม่ ยอ่ ยได้
Cluster Random -เสียคา่ ใช้จ่ายสูง
Sampling
-แบง่ ประชากรเปน็ กลุ่มย่อย(cluster) โดยให้ -ประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยและเวลาในการสร้าง
Multi-stage Random ภายในกลุ่มยอ่ ยมีลกั ษณะทส่ี นใจศึกษา กรอบตวั อยา่ งและงานสนาม
Sampling แตกตา่ งกัน แตร่ ะหว่างกลุ่มมีลักษณะ -อาจจะไม่ได้ตวั อยา่ งท่เี ป็นตวั แทนท่ดี ี
เหมอื นกันมากท่ีสดุ
Accidental -สุม่ กล่มุ ย่อย ๆ มาศึกษาทงั้ หมด -ประหยดั เวลาและค่าใชจ้ ่ายในการสรา้ ง
Sampling -แบง่ ประชากรเป็นกลุ่มยอ่ ยตามหน่วยหรอื กรอบตวั อย่างและการเกบ็ รวบรวมข้อมลู
ลำดับช้นั ตา่ ง ๆ เช่น ภาค จงั หวัด อำเภอ -ความเชื่อถอื ได้ของค่าประมาณจะน้อยกว่า
Purposive ตำบล เปน็ ต้น การสุ่มแบบง่ายเมื่อกำหนดขนาดตัวอย่าง
Sampling -ทำการสุม่ หน่วยท่ีมลี ำดับใหญ่กอ่ น จาก เทา่ กัน
หนว่ ยทีส่ มุ่ ไดท้ ำการส่มุ หนว่ ยทีม่ ีลำดับให้
Quota รองลงมาท่ลี ะชนั้ ๆ จนถึงหน่วยในลำดับช้ันที่ -งา่ ย สะดวก
Sampling เลก็ ทีส่ ดุ หรอื ระดับหนว่ ยตวั อย่างทใี่ หข้ ้อมูล -ประหยดั คา่ ใช้จา่ ยและเวลา
เลอื กตามความสะดวกของผวู้ ิจยั ครบจำนวน -ไดต้ วั อยา่ งไม่ครอบคลุมทุกลักษณะของ
Snowball ตามท่ีต้องการ ประชากร
Sampling เหมาะสำหรบั การศกึ ษาบางเร่ืองท่ีต้องการ
- เลือกตวั อย่างให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ความคิดเหน็ ความร้แู ละประสบการณ์จาก
ของการวจิ ยั โดยใช้วจิ ารณญาณของผู้วิจยั เป็น บุคคลเฉพาะกลมุ่
หลกั
- หน่วยตัวอย่างต้องมปี ระสบการณ์และ -ได้ครบทุกลักษณะของประชากร
ความรใู้ นเรื่องที่จะศกึ ษาเป็นอย่างดี -สามารถเลอื กหน่วยตัวอย่างไดง้ ่ายและ
- เลอื กตัวอย่างเปา้ หมายทมี่ ลี ักษณะและ สะดวก
จำนวนตามท่ีกำหนด -ข้อมูลในการกำหนดสดั ส่วนอาจไม่ทนั สมัย
-การคัดเลือกผู้มีคุณสมบัตไิ ดต้ รงตามท่ี
-เลือกตัวอย่างเริ่มต้นทม่ี ีคุณสมบัติตามที่ กำหนดในการปฏิบตั ิเปน็ ไปได้ยาก
ตอ้ งการ และให้ตวั อย่างน้ันๆ แนะนำตัวอย่าง -ได้ตัวอยา่ งทมี่ ีคุณสมบตั หิ รือลักษณะพเิ ศษ
ทีม่ ีลกั ษณะเดียวกันต่อไปจนครบตามท่ี ตรงตามเรือ่ งทผี่ ู้สนใจศึกษา
ตอ้ งการ -คณุ ภาพหรอื คุณสมบตั ิของหน่วยตัวอยา่ ง
ตอ่ ไปขน้ึ อยกู่ ับคุณภาพของหน่วยตวั อย่าง
ทีม่ าก่อน
ระเบียบวิธวี ิจยั ช้ันสงู ว่าดว้ ยสันติภาพ ๑๖๕
๕.๕ การเลอื กใชส้ ถิติในการออกแบบการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ
๕.๕.๑ ประเภทของสถิตกิ บั งานวิจัย
คำถามว่า งานวิจัยด้านสันติภาพ จำเป็นหรอื ไม่ที่ตอ้ งใช้งานวิจัยเชงิ ปริมาณและต้องใชส้ ถิติ ตอบ
จากประสบการณใ์ นการจัดการเรียนการสอนหลกั สูตรสันติศึกษา การจะเลือกใช้รปู แบบการวิจัยในการศึกษา
ทำวิจัยหรือวิทยานิพนธใ์ ดๆ น้ัน ข้ึนอยู่กับวตั ถุประสงค์ของการวิจยั นั้นๆ ซึง่ ส่วนใหญง่ านวจิ ยั ในสาขาวิชาสนั ติ
ศึกษา ผ้ศู ึกษามกั จะให้ความสนใจในการศึกษาปรากฏการณ์ทีอ่ ยู่แวดล้อมรอบตวั ทำใหแ้ นวโนม้ ในการทำวจิ ัย
ของสาขาวิชาจึงมักจะเอียงไปทางการใช้วิจัยเชงิ คุณภาพเสยี เป็นสว่ นใหญ่ แตอ่ ย่างไรก็ตามกม็ ไิ ด้หมายความว่า
ผ้ศู ึกษาไม่ตอ้ งรู้หลักสถิติ ในทางตรงข้ามการเข้าใจหลกั สถิติจะช่วยใหผ้ ู้ศึกษาตระหนักถึงกระบวนการทำวจิ ัย
จำเป็นต้องมหี ลักยดึ โยงอย่างใดอย่างหนึ่งไม่มากก็น้อยและการใชห้ ลกั สถติ กิ เ็ ปน็ หน่งึ ในหลกั การนั้นทคี่ วรศึกษา
ใหพ้ อเขา้ ใจในระดบั หนง่ึ ดงั น้นั ในบทนี้จงึ นำหลักสถิตเิ ท่าทจี่ ำเปน็ และพบเห็นไดบ้ ่อยในงานวิจยั มานำเสนอไว้
ให้ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจ
การแบ่งจำแนกประเภทของสถิติสามารถแบ่งได้หลายรปู แบบท้ังในแงข่ องจุดหมายและในแง่ท่ี
สัมพันธ์ต่อการนำไปวเิ คราะห์ผลตวั แปรวจิ ยั สรปุ ประเภทของสถิติทใ่ี ช้ในงานวจิ ยั แบ่งตามจดุ มุ่งหมาย กลา่ วคือ
การนำจุดมุ่งหมายเปน็ ตัวตงั้ วา่ งานวิจยั นี้ตอ้ งการมงุ่ ตอบคำถามวจิ ัยอย่างไร สถิติทใ่ี ชจ้ ึงมี ๒ ประเภท
๑) สถิตพิ รรณนา (Descriptive Statistics) เป็นวิธีการทางสถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ระดับตัว
แปรเดียว (Uni-variate Analysis) เพื่อแสดงการกระจายของข้อมูลและอธิบายคุณลักษณะทั่วไปของกลุ่ม
ตวั อยา่ ง โดยใช้สถติ ิพรรณนาจะพรรณนาลักษณะสง่ิ ตอ้ งการศกึ ษาใหอ้ ยูใ่ นรปู ของตารางขอ้ มูลสรปุ การนำเสนอ
แบบตา่ งๆ เพอ่ื ให้เข้าใจถึงขอ้ มลู ท่ีรวบรวมมาไดแ้ ต่ไม่สามารถคาดคะเนนอกเหนือไปจากขอ้ มูลท่ีมีอยูไ่ ด้๕๘ บาง
ท่านเรียกสถิติแบบน้ีว่า เป็น สถิติบรรยาย (descriptive statistics) กล่าวคือ สถิติที่บรรยายถึงลักษณะของ
ขอ้ มลู เฉพาะกล่มุ น้ันโดยไม่สรปุ อา้ งองิ ไปยงั ประชากรกลุ่มอืน่ ๆซ่งึ ประกอบดว้ ย
๑.๑) การแจกแจงความถ่ี (Frequency Distribution) เหมาะกับข้อมูลที่อยู่บนมาตรานาม
บัญญัติเช่น ถ้าต้องการทราบเก่ียวกับการวัดตัวแปร เพศ ตำแหน่งทางวิชาการจากการเก็บรวมรวมข้อมูลได้ มี
เพศชาย-เพศหญงิ ก่คี น คิดเป็นรอ้ ยละเท่าใด หรอื ตำแหน่งทางวชิ าการแต่ละตำแหน่งมีมากน้อยเพียงใด ซงึ่ จะ
ใช้ ร้อยละ(Percentage) เป็นสถติ บิ รรยาย
๑.๒) การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง (Measure of Central Tendency) เป็นการหาค่า
กลางๆ ท่ีใช้เป็นตัวแทนของข้อมูลทั้งหมดที่เก็บรวบรวมมา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย(Mean) คา่ มัธยฐาน (Median)ฐาน
นิยม (Mode) ตัวกลางเลขคณติ (Geometric Mean) และ ตวั กลางฮารโ์ มนกิ (Harmonic Mean)
๑.๓) การวดั การกระจาย (Measure of Variation) เป็นสถิตทิ แ่ี สดงให้เหน็ ความแตกตา่ งกัน
หรอื การผันแปรของข้อมลู ในกลุ่ม เป็นค่าทบี่ อกใหท้ ราบว่า ขอ้ มูลทเ่ี ก็บรวบรวมมาไดน้ ้นั แตกต่างกัน มากนอ้ ย
เพียงใด สถิติท่ีใช้วัดการกระจาย ได้แก่ ค่าพิสัย(Range) ส่วนเบ่ียงเบนควอไทล์(Quartile Deviation) ส่วน
๕๘สังคม ศภุ รัตนกลุ , เอกสารคำสอนรายวชิ าระเบียบวธิ วี ิจยั ทางสาธารณสขุ , หนา้ ๖๕.
๑๖๖ Advanced Research Methodology on Peace
เบี่ยงเบนเฉล่ีย(Mean Deviation) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)และค่าความแปรปรวน
(Variance)
๑.๔) การวัดความสัมพันธ์สถิติที่ใช้หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเป็นสถิติท่ีใช้หา
ความสัมพันธ์เรียกว่าสหสมั พันธ์(correlation) บางครั้งในการทำวิจยั เรายังต้องการที่จะอธิบายความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปรด้วยว่า ตัวแปรท่ีเราเลือกมาศึกษานั้นมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ ซ่ึงลักษณะการศึกษาหา
ความสัมพันธม์ ีหลายลกั ษณะดังนี้
(๑) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตวั แปรเพียง ๒ ตัว โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะศกึ ษา
ว่าตัวแปรทัง้ สองนั้นมีความสัมพนั ธ์หรือไมม่ ีลกั ษณะสำคญั ดังนี้
(๑.๑) ถ้าข้อมลู ทงั้ สองชุดน้ันเป็นขอ้ มลู ชนดิ อนั ตรภาคหรอื อัตราสว่ น (ratio
data) สถิตทิ ี่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูลคอื สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Product Moment
Correlation Coefficient)
(๑.๒) ถ้าข้อมูลเป็นข้อมูลชนิดจัดอันดับ ใช้การการหาค่าสัมประสิทธ์ิ
สหสมั พันธ์แบบสเปียรแ์ มนแรงค์(Spearman Rank Correlation Coefficient) เช่นการศึกษาระหว่างผลความ
สอดคล้องระหว่างการตดั สินประกวดภาพวาดของกรรมการ ๒ คน เป็นต้น
(๑.๓) ถ้าข้อมูลชุดหน่ึงเป็นข้อมูลอันตรภาคและอีกชุดหน่ึงเป็นข้อมูลนาม
บัญญัติ(nominal data) ชนดิ ท่ีมเี พียง ๒ ค่า ใช้การหาค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์แบบพ้อยท์ไบซีเรียล (Point
Biserial Correlation Coefficient) เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์กับ เพศของนักศึกษาทีเ่ รียนวิชาคณติ ศาสตร์เปน็ ต้น
(๑.๔) ถ้าข้อมูลทั้ง ๒ ชุดเป็นข้อมูล มูลนามบัญญัติทั้งคู่ใช้การหาค่า ไคส
แคว(์ Chi square) เชน่ การศกึ ษาความสัมพนั ธร์ ะหว่างฐานะทางเศรษฐกจิ กับความชอบในดนตรี เปน็ ต้น
(๒) การศกึ ษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรมากกว่า ๒ ตัวบางคร้งั การวจิ ัยเชงิ สำรวจ
ต้องการศึกษาความสัมพนั ธร์ ะหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม เชน่ ต้องการศึกษาความสมั พนั ธท์ างการเรียน
กบั องค์ประกอบทเี่ ก่ยี วข้องกบั ตัวนกั เรยี น องค์ประกอบด้านโรงเรยี น เป็นต้น ลักษณะเชน่ นี้การวิเคราะหข์ อ้ มลู
ควรหาคา่ สมั ประสทิ ธ์ิสหสัมพันธ์พหุคูณ (Multiple Correlation Coefficient)
(๓) การศึกษาความสมั พนั ธ์และการพยากรณข์ องตัวแปรการศกึ ษาท่ีต้องพยากรณค์ ่า
ของตัวแปรตาม เม่ือทราบค่าตัวแปรอสิ ระหลายตัวต้องใชก้ ารวเิ คราะหถ์ ดถอย (Regression Analysis) โดยมี
ลกั ษณะสำคญั ดงั น้ี
(๓.๑) ถ้าตัวแปรอิสระ ๑ ตัว ตัวแปรตาม ๑ ตัวควรใช้วิธีการวิเคราะห์
ถดถอยอย่างงา่ ย (Simple Regression Analysis)
(๓.๒) ถา้ ตวั แปรอสิ ระมากกว่า ๒ ตวั ขึ้นไป ตัวแปรตาม ๑ ตัว ควรใช้วธิ ีการ
วเิ คราะหก์ ารถดถอยพหุคณู (Multiple Regression Analysis)
ระเบียบวธิ ีวจิ ัยช้ันสูงว่าดว้ ยสันติภาพ ๑๖๗
การศึกษาความสัมพันธ์และการพยากรณ์ค่าของตัวแปรตามโดยวิเคราะหก์ ารถดถอย
นน้ั มีขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ว่า ตัวแปรอสิ ระแต่ละตวั เป็นอิสระตอ่ กนั ถา้ ตวั แปรอสิ ระเหลา่ นัน้ มีความสมั พันธก์ นั ควร
ใช้วธิ อี ื่นในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
(๔) การศึกษาความสัมพันธ์ในเชิงสาเหตุ(Causal Relationship) เป็นการศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระหลายตัวกับตัวแปรตาม โดยตัวแปรอิสระน้ันมีความสัมพันธ์กันและมีการ
จดั ลำดบั เวลา และลำดับความสำคญั ของตัวแปร ซ่งึ ความสัมพันธ์นนั้ อยู่ในลักษณะเปน็ เหตุเปน็ ผลซึ่งกนั และกัน
แต่ละตัวแปรมีอิทธิส่งผลต่อกันและกัน ลักษณะความสัมพันธ์เช่นน้ีไม่สามารถใช้การวิเคราะห์การถดถอย
พหคุ ูณได้ ต้องใชก้ ารวิเคราะห์เสน้ ทาง (Path Analysis)๕๙
๒) สถติ อิ นมุ าน (Inferential Statistics)เปน็ วิธกี ารทางสถติ ิท่ีใชก้ ารวิเคราะหร์ ะดบั สองตัวแปร
(Bivariate Analysis) เพอ่ื ทราบถึงการกระจายของตัวแปรตาม ในแต่ละคุณลักษณะย่อยของตัวแปรตน้ และ
การวิเคราะห์ข้อมูลตัวแปรหลายตัว (Multivariate Analysis) อาศัยทฤษฎีความน่าจะเป็นในการอนุมาน
ลักษณะของประชากร (Population) จากข้อมูลของตัวอย่าง (Sample) เช่น การศึกษาโรคขาดสารอาหารใน
เด็กวัยก่อนเรียนในภาคอีสานส่วนใหญ่จะสุ่มจากเด็กวัยก่อนเรียนมาบางส่วนเพ่ือประเมินหาอัตราการขาด
สารอาหาร เป็นต้น๖๐ สถิติอนุมานนี้ บางท่านเรียกว่า สถิติอ้างอิง และให้ความหมายว่า สถิติท่ีนำ ค่าสถิติ
พรรณนามาสรุปอ้างอิงจากค่าของกลุ่มตวั อย่างแลว้ นำผลอา้ งอิงไปยงั กลมุ่ ประชากร
สถิติอ้างอิงน้ีก่อนนำไปอ้างอิงกลุ่มประชากรต้องมีการทดสอบทางสถิติก่อนทุกคร้ังจึงสามารถ
อ้างอิงประชากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงจะต้องใช้สถิติอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ ประเภท คือ สถิติมี
พารามิเตอร์(Parametric Statistics)และสถิติแบบนอนพารามิเตอร์(Nonparametric Statistics)เพื่อสรุป
อ้างอิงจากกลุ่มตัวอย่างไปสู่ประชากรโดยท่ัวไป สถิติอ้างอิงจะใช้ในการทดสอบสมมติฐานเพ่ือพิสูจน์และลง
สรปุ ว่า สมมตฐิ านท่ีตั้งไวน้ ้นั เป็นจรงิ หรอื ไม่หากเปน็ จรงิ กจ็ ะยอมรบั (accept) สมมติฐาน Hoแตถ่ า้ ไมเ่ ป็นจรงิ ก็
จะปฏิเสธ(reject) สมมติฐาน Hoอย่างไรก็ตามการตัดสินใจยอมรับหรือปฏิเสธสมมติฐาน มีโอกาสเกิดความ
เคลื่อนใน ๒ ลักษณะคือ๑) การคลาดเคล่ือนแบบท่ี๑ (type I Error) คือความคลาดเคล่ือนอันเนื่องจากการ
ปฏิเสธสมมติฐาน Ho ท่ีเป็นจริงและ๒) การคลาดเคล่ือนแบบท่ี๒ (type II Error) คือความคลาดเคล่ือนอัน
เนื่องจากการยอมรับ สมมตฐิ าน Ho ท่ีเป็นเท็จ
ความคลาดเคลอ่ื นในการตดั สนิ ใจข้ึนอยูก่ ับองคป์ ระกอบ ๔ ประการคือ
๑) ระดบั นยั สำคัญ (level of significance) ถ้าตง้ั ค่าระดบั นยั สำคัญไว้สงู เชน่ ๐.๑ แสดงถงึ การ
ให้เกดิ ความคลาดเคล่อื นมาก ถา้ ตง้ั ไวต้ ำ่ กว่า ๐.๐๑ ความคลาดเคลอื่ นจะนอ้ ย
๒) ขนาดของกลุม่ ตวั อยา่ ง ถา้ มีขนาดใหญแ่ ละไดม้ าโดยการสุม่ ความคลาดเคลื่อนจะน้อย
๓) ความแปรปรวนของประชากร ถ้ามีความแปรปรวนมาก ความคาดเคลื่อนกจ็ ะมาก
๕๙กลุ ชลี จงเจรญิ และนิตยา ภัสสรศิริ, การออกแบบและการวางแผนการวจิ ัย, หนา้ ๓๙-๔๑.
๖๐สงั คม ศุภรัตนกลุ ,เอกสารคำสอนรายวิชาระเบียบวิธวี ิจยั ทางสาธารณสขุ ,หน้า ๖๕.
๑๖๘ Advanced Research Methodology on Peace
๔) การเลอื กใชก้ ารทดสอบแบบทางเดียว (One tailed test) หรือแบบสองทาง (Two tailed
test) ถ้าใชก้ ารทดสอบทางเดียวจะมโี อกาสคลาดเคล่อื นน้อยกว่าการทดสอบสองทาง
๒.๑) สถติ แิ บบพารามิเตอร์(Parametric Statistics)เป็นวธิ กี ารทางสถติ ิทีใ่ ช้อ้างอิงคา่ จาก
กลุ่มตัวอย่างไปหาค่าจากประชากร ใช้ในกรณีท่ีข้อมูลเป็นมาตรวัดในระดับชว่ ง (interval) ข้ึนไป และมาตรา
อัตราส่วน (ratio) โดยอาศัยสถติ ิทดสอบ ๔ ตวั คือt, z, 2และF
๑) หลักในการใช้สถิตทิ ดสอบทั้ง ๔ ตวั มีดังน้ี
ก. ต้องศกึ ษาขอ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ ของสถติ ทิ ดสอบแต่ละตัวกอ่ น
ข. เลอื กสถติ ิทดสอบให้เหมาะสมกบั เงือ่ นไขของการวจิ ยั เช่น จำนวนตัวแปรจำนวนกลุ่ม
ตัวอย่างและมาตราวดั ขอ้ มูล
ค. ตอ้ งรู้ลกั ษณะการแจกจงของสถติ ทิ ดสอบแตล่ ะตวั
๒) ขอ้ ตกลงเบือ้ งต้นของสถติ ิทดสอบ
ก. สถติ ิทดสอบ t และz มีขอ้ ตกลงเบอ้ื งต้น ดังนี้
๑) การแจกจงของประชากรเป็นโค้งปกติ
๒) ขอ้ มูลทีม่ ีจดั อยูใ่ นมาตราที่วัดได้
๓) กลุม่ ตัวอยา่ งได้จากการสุ่มจากประชากร
๔) ถา้ ศึกษาจากหลายกลมุ่ ความแปรปรวนของประชากรกต็ ่างกัน
ข. สถติ ิทดสอบ 2และFมีขอ้ ตกลงเบอ้ื งต้น ดงั นี้
๑) การแจกแจงของประชากรเป็นโค้งปกติ
๒) ขอ้ มูลทมี่ ีจดั อยใู่ นมาตราทว่ี ดั ได้
๓) กลมุ่ ตัวอยา่ งได้จากการสุ่มจากประชากร
๔) คา่ เฉล่ยี ของประชากรมีค่าไมต่ า่ งกนั
๓) การเลือกสถิตทิ ดสอบใหเ้ หมาะสม สรุปได้ดงั นี้
ก. เมอื่ มีตัวแปร ๑ ตวั หรอื มกี ลุ่มตัวอย่าง๑ กลุ่ม สามารถเลอื กใช้
๑) t-test เม่อื ทดสอบเกย่ี วกับค่าเฉลี่ยของประชากร
๒) z-test เมื่อทดสอบเก่ียวกับคา่ เฉลย่ี ของประชากร
๓) 2-testเมือ่ ทดสอบเกีย่ วกับความแปรปรวนของประชากร
ข. เมือ่ มตี วั แปร ๑ ตวั และกลุม่ ตัวอย่าง๒ กลมุ่ ที่สัมพนั ธ์กัน สามารถเลือกใช้
๑) t-test เมื่อทดสอบความแตกต่างของคา่ เฉล่ียของประชากร ๒กลมุ่
๒) z-test เมื่อทดสอบความแตกต่างของคา่ เฉลย่ี ของประชากร ๒กลุม่
๓) 2-testเมื่อทดสอบความแตกตา่ งของความแปรปรวนของประชากร ๒กลุ่ม
ค. เมอ่ื มีตัวแปร ๑ ตัวและกลุ่มตัวอยา่ ง๒ กลุ่ม ท่เี ปน็ อสิ ระตอ่ กนั สามารถเลอื กใช้
๑)t-test เม่ือทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลีย่ ของประชากร ๒ กลุ่ม
๒) z-test เมอื่ ทดสอบความแตกตา่ งของค่าเฉลยี่ ของประชากร ๒ กลุ่ม
ระเบียบวิธีวจิ ยั ชั้นสูงวา่ ดว้ ยสันติภาพ ๑๖๙
๓)F-test เมอ่ื ทดสอบความแตกต่างของความแปรปรวนของประชากร ๒ กลุ่ม
ง. เม่ือมีตวั แปร ๑ ตวั และกลุ่มตัวอยา่ งหลายกล่มุ สามารถเลือกใช้
๑) t-test เมือ่ ทดสอบคา่ สมั ประสทิ ธิ์สหสมั พันธ์ของตวั แปรในประชากร
๒) F-test ใน ANOVA และ ANCOVA เมอื่ ทดสอบความแตกต่างของคา่ เฉลี่ยของกลุ่ม
ตัวอย่างหลายกลมุ่
จ. เมอ่ื มตี วั แปรหลายตวั ใช(้ MANOVA) ทดสอบความแตกต่างของจดุ เซ็นต์ทรอยด์
๒.๑.๑) สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานเก่ียวกับความแตกต่างของคา่ เฉลี่ย ๒ กลุ่ม การ
ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉล่ยี ๒ กลมุ่ นิยมใช้สถิติt-test แต่ในกรณที ่กี ลุ่มตัวอย่างมีขนาดใหญ(่ n1และn2
มากกว่าหรือเท่ากับ๓๐) จะใช้ 2-testหรือt-testก็ไดแ้ ตถ่ ้ากลุ่มตัวอย่างมขี นาดเล็ก (n1 และn2 น้อยกวา่ ๓๐)
ใชt้ -test
๒.๑.๑.๑) กรณีกล่มุ ตัวอย่างไมเ่ ปน็ อิสระแก่กัน เช่น วดั จากกลมุ่ เดมิ ๒ คร้งั ̅
มคี า่ ๒ ค่า หรือข้อมลู มีลกั ษณะเหมอื นกันเปน็ คู่ ๆ แลว้ จับแยกคอู่ อกเป็น ๒ กล่มุ การทดสอบแตกตา่ งลกั ษณะ
น้กี ล่มุ ตวั อย่างมกั มีขนาดเล็กจงึ ใชส้ ถิติทดสอบ t-test
๒.๑.๑.๒) กรณีกลุ่มตัวอย่างเป็นอิสระจากกัน(Independence) เช่น กลุ่ม
ทดลองและกลมุ่ ควบคุมจากประชากรเดยี วกัน หรือกลุ่ม ๒ กลุ่มจากประชากร(ชาย-หญิง) นอกจากนี้ยังใช้ข้อ
สมมติ(Assume) ว่า ความแปรปรวนเท่ากันหรือความแปรปรวนไม่เท่ากัน ใช้สูตร z-test (ซ่ึงมีสูตร ๒ สูตร
ขน้ึ อยู่กบั การทราบหรือไมท่ ราบค่าความแปรปรวน) แต่ในกรณีทกี่ ลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็ก(n ในแต่ละกลุ่มน้อย
กวา่ ๓๐) ใช้t-test
๒.๑.๒ สถติ ทิ ี่ใชท้ ดสอบสมมติฐานเกยี่ วกับความแตกตา่ งระหวา่ งค่าเฉลยี่ ของกลมุ่ ๓
กลุ่มข้ึนไป ใช้เทคนิควิเคราะห์ความแปรปรวน (Analysis of Variance) เรียกย่อANOVA หรือF-Testการ
วิเคราะห์ความแปรปรวนทำได้ ๒ แบบ คือ๑) การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One way
Analysis of Variance)เป็นการวิเคราะหค์ วามผนั แปรของตวั แปรเพียงหนึ่งตวั เชน่ การวิเคราะห์วา่ วฒุ ขิ องครู
๓ ระดับ คืออนุปริญญา ปริญญาตรีและปริญญาโททางคณิตศาสตร์ส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
คณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หรือไม่ ๒) การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทาง (Two
way Analysis of Variance) เป็นแบบที่มีตัวแปรอิสระ ๒ ตัวจึงต้องการทดสอบดูว่า ตัวแปรทั้งสองนั้นจะมี
ปฏสิ ัมพนั ธ์กันและร่วมกัน สง่ ผลตอ่ ตัวแปรตามหรือไม่ เช่น จากคำถามในขอ้ ๑ ผวู้ ิจยั อยากทราบว่า นอกจาก
วฒุ ิครแู ล้วผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียนจะเปน็ ผลมาจากวธิ ีสอนทค่ี รูใช่ดว้ ยหรือไม่
๒.๑.๓ สถิติท่ีใช้ทดสอบสมมติฐานเก่ยี วกับความแตกต่างและความสัมพันธ์ในกรณี
ขอ้ มูลอยู่ในรปู ความถีใ่ ช้ 2ทดสอบซ่ึงมี ๒ ประเภท คือกลุ่มตัวอยา่ งเดียวและกลุ่มตัวอย่าง ๒ กลมุ่ ขึ้นไป ซงึ่ ใช้
สตู รการคำนวณต่างกนั
๒.๒) สถิติแบบนอนพารามิเตอร์ (Nonparametric Statistics)เป็นวิธีการทางสถิติที่
สามารถนำมาใชไ้ ด้โดยปราศจากขอ้ ตกลงเบื้องตน้ เปน็ วิธีการอนมุ านขอ้ มูลจากตัวอย่างไปอธิบายลกั ษณะของ
๑๗๐ Advanced Research Methodology on Peace
ประชากรในกรณีทขี่ อ้ มลู ไมเ่ ป็นไปตามเงอ่ื นไขหรือข้อกำหนดตามวธิ ีการอนมุ านแบบพารามเิ ตอร์เช่น ไม่ทราบ
ค่าข้อมูลของประชากรไม่ทราบว่า มีการแจกแจงแบบใดเป็นสถิติที่ไม่มีข้อจำกัดเก่ียวกับการแจกแจงของ
ประชากร(Distribution-Free Statistic) ซ่ึงการแจกจงอาจเปน็ โค้งปกตหิ รอื ไม่กไ็ ด้วธิ ีการทดสอบของ
ส ถิติ แ บ บ น อ น พ า รา มิ เต อ ร์มี ห ล าย แ บ บ แ ล ะ มี จุ ด มุ่ งห ม าย ใน ก า รใช้ แ ต ก ต่ า งกั น ตั ว อ ย่ าง ส ถิติ แบ บ น อ น
พารามิเตอร์เชน่
๒.๒.๑) Binomial Test ใชท้ ดสอบเกีย่ วกับโอกาส ๑ ใน ๒ อยา่ งทอ่ี าจเกิดขนึ้
๒.๒.๒) 2- Goodness of Fit ใช้ทดสอบว่า ความถ่ีท่ีได้จากการสังเกตเท่ากับ
ความถี่ที่ไดจ้ ากทฤษฎหี รือไม่และ 2- Independence ใชท้ ดสอบความแตกตา่ งตามเกณฑ์บางอยา่ งจากกลุ่ม
ทเ่ี ป็นอสิ ระจากกัน
๒.๒.๓)Kruskal Wallis test ใช้ทดสอบความแตกต่างของกลุ่มตัวอย่างมากกว่า ๒
กลุ่ม ท่เี ปน็ อสิ ระจากกนั วา่ มาจากกลุ่มประชากรที่เหมอื นกันหรอื ไมฯ่ ลฯ
โดยปกติแล้วนักวิจัยนิยมใช้สถิติมีพารามิเตอร์ ทั้งน้ีเพราะผลลัพธ์ท่ีได้จากการใช้สถิติมี
พารามิเตอร์มอี ำนาจการทดสอบ (Power of Test) สูงกว่า การใช้สถิตแิ บบนอนพารามิเตอร์เน่ืองจากสถติ ิมี
พารามิเตอรเ์ ป็นการทดสอบที่ได้มาตรฐาน มขี น้ั ตอนตา่ ง ๆ ที่สมบูรณ์ในการทดสอบสมมตฐิ าน๖๑
๕.๕.๒ การเลือกใช้สถติ ิในการวิเคราะห์ขอ้ มลู
การเลอื กใชส้ ถิตใิ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู นักวิจยั จะตอ้ งคำนึงถึงสงิ่ ต่าง ๆ ได้แก่ลกั ษณะ/ประเภท
ของข้อมูลวัตถุประสงค์ของการวิจัยและข้อตกลงเบื้องตน้ ของสถติ ิแต่ละประเภท ดงั นี้
๑) ลักษณะ/ประเภทของขอ้ มลู ค่าของตัวแปรทว่ี ัดได้/ขอ้ มลู ท่รี วบรวมมา มีระดบั การวัดเป็นระดับ
ใดกล่าวคือเป็นมาตรานามบัญญัติ(nominal scale) มาตราจัดอันดับ (ordinal scale) มาตราอันตรภาค
(interval scale) หรอื มาตราอัตราสว่ น (ratio scale) ซึง่ แตล่ ะระดับใชส้ ถติ แิ ตกต่างกัน
ตารางท่ี ๕.๕ เปรยี บเทยี บการใชส้ ถติ กับมาตรวดั ต่างๆ
สถติ ทิ ี่ใช้
ระดบั การวัด ลกั ษณะ สถิตทิ ่ีใชอ้ ธบิ าย สถติ ิท่ีใช้ค่า
มาตรานามบัญญัติ
เป็นการวัดระดับท่ีต่ำสดุ โดยการกำหนดเกณฑ์ คุณลักษณะ ความสมั พันธ์
. ต่างๆ เช่น ตัวเลข สีจำแนกประชากรท่ีศึกษา
ออกเป็นกลุ่ม ถ้ามีคุณสมบัติเหมือนกันก็จัดไว้ ความถร่ี ้อยละ ไคสแควรห์ รอื
ในกลุ่มเดียวกันถ้าคุณสมบัติต่างกันก็จัดไว้คน
ละกลุ่ม ซึง่ ตอ้ งแยกออกจากกนั โดยเดด็ ขาด อตั ราสว่ น สัดสว่ น สัมประสทิ ธ์ิ
ฐานนยิ ม ความสัมพันธ์
๖๑กุลชลี จงเจรญิ และนิตยา ภัสสรศิริ, การออกแบบและการวางแผนการวจิ ัย, หน้า ๔๑-๔๔.
ระเบยี บวธิ วี จิ ัยชั้นสูงว่าด้วยสันติภาพ ๑๗๑
ตารางที่ ๕.๕ (ต่อ)
มาตราจดั อนั ดับ เปน็ การวัดทีม่ ีรายละเอยี ดมากขึ้นหรือการวัดท่ี ความถีร่ ้อยละ Spearmanrank
มาตราอนั ตรภาค สูงกว่านามบัญญัติ นอกจากมีการแบ่งออกเป็น สัดสว่ นฐานนยิ ม correlation
มาตราอัตราส่วน กลุ่มแล้วยังสามารถจัดลำดับความแตกต่าง มธั ยฐานเปอร์เซ็น
ระหว่างกลุ่มได้ด้วยโดยสามารถกำหนดทิศทาง Pearson product
ของความแตกต่างได้ในลักษณะ“มากกว่า หรือ ไตล์ moment
นอ้ ยกวา่ ” correlation
เป็นการวัดท่ีสงู ขนึ้ กว่าสองระดับที่กล่าวขา้ งต้น ความถ่รี ้อยละฐาน
และเพ่ิมคุณสมบัติอ่ืนๆ อีกสามารถกำหนด นยิ มมัธยฐาน (rxy ), Partial
ปริมาณของความแตกต่างระหว่างอันดับที่๑ correlation,
และอันดับท่ี๒ ไดก้ ารวดั ในระดับนี้ไม่มีศูนย์แท้ คา่ เฉลยี่ พิสยั ควอ Multiple correlation
(Absolute zero) มีแต่ศูนย์สมมติ(Relative ไทล์สว่ นเบ่ยี งเบนค
zero) Pearson product
วอไทล์ความ moment
เป็นการวัดท่ีสูงท่ีสุดและมีความสมบูรณ์มาก เบยี่ งเบนมาตรฐาน
ที่สุดโดยมีศูนย์แท้แต่ละหน่วยของการวัดมี ความแปรปรวน correlation (rxy),
ขนาดเท่ากันเรียงลำดับอยา่ งสม่ำเสมอและชว่ ง ความถ่ีร้อยละฐาน Partial correlation,
เท่ากันดว้ ย Multiple correlation
นิยมมัธยฐาน
ค่าเฉล่ยี พิสยั ควอ
ไทล์ความเบีย่ งเบน
มาตรฐาน ความ
แปรปรวน
๒) วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการเลือกใชส้ ถติ คิ วรพิจารณาจุดมงุ่ หมายของการวิจัยว่าตอ้ งการ
ศกึ ษาตวั แปรใดบ้าง แต่ละตัวแปรด้วยข้อมลู ระดับใด ตลอดจนการพจิ ารณาจดุ ม่งุ หมายของการวจิ ัยว่าตอ้ งการ
ศกึ ษาเปรยี บเทียบ หรอื ศึกษาความสัมพนั ธ์ของตวั แปร เพือ่ เลือกใช้สถิติใหเ้ หมาะสม
๓) ข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติแต่ละประเภท สถิติท่ีนำมาใช้มีข้อตกลงเบ้ืองต้นต่างกัน เช่น การ
ทดสอบค่าท(ี t-test) ใช้กับขอ้ มลู ระดบั อันตภาค ขึ้นไป นอกจากน้สี ถิติบางประเภทต้องการข้อมูลท่ีมกี ารแจก
แจงปกติ(normality) และคุณสมบัตอิ ่ืน ๆ ซ่ึงมีทัง้ ทางบวกและทางลบ เชน่ ความเป็นเส้นตรง (linearity) และ
ความสัมพันธ์กันเองของตัวแปรต้น (multi collinearity) เป็นต้น ซ่ึงต้องการทดสอบข้อมูลก่อนการเลือกใช้
สถติ นิ อกจากน้สี ถิติบางประเภท มีการกำหนดขนาดของข้อมูลไว้ดว้ ย๖๒
๖๒กุลชลี จงเจรญิ และนิตยา ภัสสรศิริ, การออกแบบและการวางแผนการวิจัย, หนา้ ๔๕.
๑๗๒ Advanced Research Methodology on Peace
๕.๖ สรุป
กลา่ วได้ว่า การออกแบบการวจิ ยั เปน็ แกนหลกั สำคญั ที่จะยึดโยงสว่ นประกอบตา่ งๆ ของงานวจิ ัยให้
เป็นไปตามหลักการและวิธีการท่ีทำให้ผลงานวิจัยมีคุณภาพและมีความน่าเช่ือถือ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการ
ออกแบบงานวิจัยเชิงปริมาณทม่ี ีมโนทัศนใ์ นการวเิ คราะห์แบบนิรนยั กล่าวคอื การพิสูจน์ค้นหาความจรงิ จาก
สมมุติฐานการวจิ ัยท่ีตั้งไว้ ซึ่งได้มาจากกรอบแนวคดิ ทฤษฎีทมี่ าจากการทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ยี วข้อง นำไปสู่
การกำหนดตัวแปรทจี่ ะศึกษาทีส่ ัมพนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกับสมมุตฐิ านการวิจยั ทต่ี ง้ั ไว้ ทัง้ น้หี ากผู้ศึกษาสนใจท่ีจะใชก้ าร
วิจยั เชงิ ปรมิ าณในการคน้ หาคำตอบการวจิ ัย
สิ่งทผ่ี ศู้ กึ ษาควรคำนงึ ถึงคอื วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัยทจี่ ะเป็นตวั ช้วี ัดวา่ ประเภทการวิจัยเชงิ ปริมาณใด
ท่ีควรนำมาใช้ในการออกแบบการวิจัย และการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณยังยึดหลัก ถูกต้อง ชัดเจน ไม่
ปนเป้ือน ตรวจสอบได้ในความสัมพันธข์ องตัวแปรท่ีจะเกี่ยวขอ้ งกับข้อมูลท่ีศึกษาโดยตรง เพราะหากข้อมูลที่
ได้มาหรือตวั แปรที่ศึกษาน้ันมีความไม่ชัดเจน ถูกปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกแซงก็จะทำให้ผลการวิจัยน้ันดูอ่อนค่า
หรือขาดประสิทธิภาพ การออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณจึงต้องเน้นการควบคุมกระบวนการวิจัยในแต่ละ
ขนั้ ตอน นบั ต้ังแต่การเลอื กตวั แปร การเลือกรูปแบบการวจิ ัย ตลอดจนถึงการกำหนดประชากร กลมุ่ ตวั อย่าง
การเลอื กสถิติท่ีใชใ้ นการตรวจสอบสมมุตฐิ านวจิ ัย ซ่ึงจะได้นำเสนอในบทตอ่ ไป
คำถามทบทวนบทท่ี ๕
๑) จงรว่ มกันอธบิ ายถึงคณุ ลกั ษณะสำคัญของงานวิจัยเชิงปรมิ าณ
๒) จงร่วมกันอธบิ ายถงึ หลักการสำคัญของการออกแบบการวิจยั เชงิ ปริมาณ
๓) จงรว่ มกนั อธิบายถึงหลกั การตง้ั สมมตุ ฐิ านการวิจัย
๔) จงร่วมกนั อธบิ ายคณุ ลกั ษณะของรปู แบบการวิจยั เชิงปริมาณในแต่ละประเภท
๕) จงร่วมกนั อธิบายคุณลักษณะของตวั แปร การวัดตวั แปร
๕) จงรว่ มกันทบทวนศัพทง์ านวิจยั ในบทเรยี น
กจิ กรรมมอบหมายท้ายบทเรยี น
๑) การทำสะทอ้ นคิด
๒) การสง่ การวเิ คราะหก์ ารออกแบบงานวจิ ยั เชิงปริมาณจากตัวอย่างงานวจิ ัยเชงิ ปริมาณที่
เตรยี มมา
๓) การเตรียมตวั อย่างงานวจิ ยั เชิงปรมิ าณ
ระเบยี บวธิ ีวจิ ัยชั้นสูงว่าดว้ ยสันติภาพ ๑๗๓
เอกสารอ้างองิ ประจำบท
กมล กมลตระกลู . (๒๕๕๖). แนวทางการสรา้ งสนั ติภาพใน ๓ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ในมมุ มองของผ้ไู ด้รับ
ผลกระทบจากความรนุ แรง. กรงุ เทพมหานคร: สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองสิทธมิ นษุ ยชน.
กลุ ชลี จงเจรญิ และนิตยาภัสสรศริ .ิ (๒๕๖๑). การออกแบบและการวางแผนการวิจัย.๒๕๖๑.
ณรงค์ โพธ์พิ ฤกษานันท.์ (๒๕๕๗).ระเบยี บวธิ วี ิจัย. กรุงเทพมหานคร : เอ็กซเปอรเ์ นท็ .
นงลักษณ์ วิรัชชยั . (๒๕๔๓). โมเดลลิสเรล: สถติ วิ เิ คราะห์สำหรบั การวจิ ัย. กรงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
. จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
นวลฉวี ประเสรฐิ สขุ . (๒๕๕๗). จติ วิทยาการทดลอง: หลักการและการปฏิบัติ. นครปฐม: โรงพมิ พ์
มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.
นิพิฐพนธ์ สนิทเหลือ, วัชรีพร สาตร์เพ็ชร์ และญาดา นภาอารักษ์. (๒๐๑๙). การคำนวณขนาดตัวอย่างด้วย
โปรแกรมสำเร็จรูป G*POWER. วารสารวิชาการ สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ, ปีที่ ๕ (๑):
มกราคม-มถิ ุนายน: ๔๙๖-๕๐๗.
ประพนธ์ เจียรกลู . (๒๕๕๔). ประมวลสาระชุดวชิ า การประเมนิ และวิจยั เพอื่ การเรียนการสอน.หน่วยท่ี ๘
ความรู้พืน้ ฐานเก่ียวกบั การวิจยั ทางการศึกษา,กรงุ เทพมหานคร: บณั ฑิตวทิ ยาลัยมหาวทิ ยาลยั
สุโขทยั ธรรมาธริ าช.
ประภาพรรณ อบอุ่น.(๒๕๕๖). แบบการวิจัยเชิงปริมาณ: การวิจัยเชิงบรรยายและการทดลอง. เอกสาร
ประกอบการบรรยายโครงการ Research Zone ( Research Zone (2013).[ออนไลน์].
แหล่งท่มี า: http://rlc.nrct.go.th/ewt_dl.php?nid=1050[๑๘ เม.ย.๒๕๖๑].
ประเวศน์ มหารัตน์สกุล. (๒๕๕๗). หลักการและวิธีการเขียนงานวิจัย งานวิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์.
กรงุ เทพมหานคร: สำนกั พิมพ์ปญั ญาชน.
พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (๒๕๓๕). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์, กรุงเทพมหานคร: สำนัก
ทดสอบทางการศกึ ษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ประสานมติ ร.
พิสมัย หอมจำปา. (๒๕๕๙). การออกแบบการวจิ ัย. เอกสารประกอบการอบรมโครงการฝกึ อบรม “สรา้ ง
นกั วิจัยร่นุ ใหม่” (ลูกไก)่ . เครือขา่ ยมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ร่วมกบั สำนกั งาน
คณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาติ (วช.), ๑๒ ธนั วาคม - ๑๖ ธนั วาคม ๒๕๕๙ณ วทิ ยาลัยสงฆ์ศรีสะเกษ
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
ยุทธไกยวรรณ.์ (๒๕๕๙). การวางแผนการทดลองสำหรับการวิจัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ ห่ง
จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
วรรณี กามเกต.ุ (๒๕๕๕). วิธกี ารวจิ ัยทางพฤตกิ รรมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
วนิดา วาดีเจริญและคณะ. (๒๕๖๐). ระเบยี บวธิ วี จิ ยั จากแนวคดิ ทฤษฎสี ูภ่ าคปฏิบตั ิ. กรงุ เทพมหานคร : ซีเอด็
ยูเคชน่ั .
๑๗๔ Advanced Research Methodology on Peace
ศรีสมภพจติ ร์ภิรมย์ศรี. (๒๕๕๖). มมุ มองของประชาชนชายแดนใต:้ ‘ความหวงั ’ ในสถานการณ์ความ
รนุ แรงอนั ยดื เยื้อใตร้ ่มเงาแห่ง. สันติภาพศนู ย์เฝา้ ระวงั สถานการณ์ภาคใต้สถานวิจยั ความจัดแย้ง
และความลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ มอ. ปตั ตาน.ี
ศริ ิชยั กาญจนวาสี และชยั ลิขติ สรอ้ ยเพชรเกษม. (๒๕๕๗).ตัวแปรสำหรับการวจิ ัย : ความหมาย ประเภท การ
คัดเลือก การวดั และการควบคมุ , วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยทกั ษณิ , ปีที่ ๑๔ ฉบบั ท่ี ๑
มกราคม-มิถุนายน: ๙-๓๗.[ออนไลน]์ .แหลง่ ท่มี า: http://edu.stou.ac.th/EDU/UploadedFile/
9.pdf.[๑๗เมษ.๒๕๖๑].
สทิ ธิ์ ธีรสรณ.์ (๒๕๖๐). เคล็ดลับการเขียนรายงานวจิ ัยและวทิ ยานิพนธ์. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔, กรงุ เทพมหานคร:
สำนกั พมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
สิน พนั ธุ์พนิ ิจ.(๒๕๔๗).เทคนคิ การวจิ ัยทางสังคมศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร : วทิ ยพฒั น์
สชุ าติ ประสิทธริ์ ฐั สนิ ธ์. ระเบยี บวิธีการวิจัยทางสงั คมศาสตร์. พมิ พค์ รงั้ ที่ ๑๕. กรุงเทพมหานคร: ห้างหนุ้ ส่วน
จำกดั สามลดา.
สงั คม ศุภรตั นกุล. (๒๕๖๑).เอกสารคำสอนรายวิชาระเบยี บวิธีวจิ ยั ทางสาธารณสขุ ..[ออนไลน์]. แหลง่ ทีม่ า:
https://sites.google.com/site/healthsecurity.project/rabeiyb-withi-wicay-thang-
satharn such[๑๗ เม.ย. ๒๕๖๑].
Cresswell, J. W..(2009).Research Design: Qualitative, Quantitative, and Mixed Methods
Approaches. Los Angeles: SAGE.
D. Punch. ( 1 9 9 8 ) . Incidence and management of biliary complications after 291 liver
transplants following the introduction of Trans cystic stenting." Transplantation
66.9: 1201-1207.
Kerlinger N. Fred. (1986).Foundations of Behavioral Research. New York: Holt. Rinehart and
Winston.Inc.
Kirk, R. E..(1995).Experimental design: Procedures for the behavioral Sciences. Pacific
Grow, Ca: Brooks/Cole.
Wiesma, (2000).Research Methods in Education.New York: Oxford University Press.
Wiersma, W. W. &Jurs, S.G. (2005).Research Methods in Education: An Introduction.
Boston: Pearson Education.
บทท่ี ๖
การออกแบบการวิจยั เชงิ คุณภาพ
บทนำ
งานวจิ ยั เชงิ คุณภาพเปน็ รูปแบบวจิ ัยท่พี บเหน็ มากในการศึกษาบัณฑติ ศกึ ษาของมหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราชวิทยา และในหลักสูตรสันติศึกษาระดับปริญญาทั้งระดับปริญญาโทและปริญญาเอกก็
เช่นเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่างานวิจัยประเภทใดดีกว่ากัน แต่อยู่ที่วัตถุประสงคข์ องการศึกษาเป็นสิง่
สำคญั ดงั ทก่ี ลา่ วไวแ้ ตต่ อนต้นของเล่มวา่ ด้วยปรชั ญางานวิจัยสันติภาพ ซ่งึ เปน็ การนำองค์ความรู้ด้านสันติภาพ
สันติวิธีแบบศาสตร์ตะวันตกมาบูรณการกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เรียกว่าพุทธสันติวิธี หรือชุด
เครื่องมือในการจัดการความขัดแย้ง การสร้างสันติภาพที่ปรากฏคำสอนอยูใ่ นคัมภรี ์ทางพระพทุ ธศาสนา การ
ศึกษาวจิ ัยเพ่อื สันตภิ าพจงึ ให้ความสำคัญกับการศกึ ษาตคี วามทง้ั ในแง่คำสอน กบั ปรากฏการณใ์ นสังคม
ดังนั้น งานวิจัยเชิงคุณภาพจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ผู้เรียนในหลักสูตรจะต้องมีความเข้าใจและ
ประสบการณ์เพื่อใช้ในการศึกษาค้นคว้าทำวิทยานิพนธ์ ดุษฎีนิพนธ์ ซึ่งรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพมิได้มแี ต่
เพียงการวเิ คราะห์เชิงเอกสาร การศึกษากรณี แต่วิจัยเชิงคุณภาพยังมเี ครือ่ งมือและรูปแบบการวิจัยอีกหลาย
ชนดิ ทคี่ วรศึกษาไว้ใช้ในการออกแบบการวิจยั เชงิ คณุ ภาพท่มี ีความร่วมสมยั มากขึ้น บทน้ีจึงเริม่ จากการทำความ
ตระหนกั ถงึ ความนา่ สนใจของงานวจิ ัยเชิงคุณภาพ ซงึ่ ปัจจบุ นั ได้รับความนิยมในแวดวงการศึกษาและการวิจัย
มากขึ้นรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพมีแบบใดบ้าง และวิธีการเลือกการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพควรทำ
อย่างไร สิง่ ใดที่ต้องคำนงึ ถึงและนำมาพจิ ารณา ความนา่ เช่ือถอื ของงานวิจยั เชงิ คุณภาพดจู ากอะไร
๖.๑ หลักการพื้นฐานของการวิจัยเชิงคณุ ภาพ
๖.๑.๑ ความเข้าใจเก่ียวกบั งานวิจัยเชิงคุณภาพ
ปัจจุบันกระแสความนิยมการวิจัยเชิงคุณภาพได้ขยายผลไปมากขึ้นทั้งในวงการวิจัยพฤติกรรม
ศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ จิตวิทยาสงั คม ศึกษาศาสตร์ การพัฒนา รัฐศาสตร์ และแม้แตใ่ น
แวดวงการตลาดก็ยอมรับวิธีการเชิงคุณภาพในฐานะเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง กล่าวได้ว่ า งานวิจัยเชิง
คณุ ภาพไม่ได้มีสถานะเป็นเพยี งวิธกี ารชายขอบอีกตอ่ ไป โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ปจั จบุ ัน วงการวิจัยเชิงคุณภาพได้
นำเอาเทคโนโลยีคอมพวิ เตอรเ์ ข้ามาช่วยในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพ เชน่ ATLASเป็นต้น และกระแส
การเปล่ียนแปลงของการเปิดกว้างทางวิชาการ ทำใหง้ านวิจยั หรือโครงการวิจัยขนาดใหญไ่ ด้ใช้การวิจัยทั้งสอง
แบบเพื่อการตอบคำถามงานวจิ ยั ทม่ี ีประสิทธิภาพยิง่ ขน้ึ
ทั้งนี้เพราะงานวิจัยคุณภาพมจี ดุ เด่นในเร่ืองของการมุ่งทำความเข้าใจพฤติกรรมและปฏิสัมพนั ธ์
ทางสังคมในบรบิ ทตามธรรมชาติ การทำความเขา้ ใจสง่ิ ตา่ งๆ ในมมุ มองของผู้กระทำ ยอมรบั อตั วิสยั ของผู้ท่ีถูก
ศกึ ษาซงึ่ เปลยี่ นแปลงไดต้ ามกาลเวลาและสถานการณ์ จุดเด่นของงานวจิ ัยเชิงคณุ ภาพนช้ี ่วยลดช่องว่างในการ
๑๗๖ Advanced Research Methodology on Peace
อธิบายพรรณนารายละเอียดผลการศึกษา ซึ่งเป็นข้อจำกัดของงานวิจัยเชิงปริมาณ เห็นได้ว่างานวิจัยเชิง
คณุ ภาพนนั้ มเี สนห่ ใ์ นการศกึ ษาและสร้างคุณค่าใหก้ ับงานวิจยั
ถามว่าการวิจยั เชงิ คุณภาพคืออะไร มีนักวิชาการที่พยายามใหค้ วามหมายไว้หลายทา่ น ซึ่งแตล่ ะ
ทา่ นได้สะทอ้ นมุมมองคณุ ลกั ษณะเฉพาะของงานวิจัยเชงิ คุณภาพ ดังเชน่ John W.Creswell (๑๙๙๘) กล่าวว่า
วิจัยคุณภาพมีลักษณะเฉพาะที่มุ่งเนน้ คน้ หาประเด็นทางสังคม หรือปัญหาของมนุษยโ์ ดยผู้วจิ ัยรายงานทัศนะ
ของผู้ใหข้ ้อมลู อยา่ งละเอียดในสถานการณท์ ่เี ป็นธรรมชาติ๑ และ Rice and Ezzy (๑๙๙๙) กลา่ วว่า วิจัยเชิง
คุณภาพ เปน็ วจิ ัยทใ่ี หค้ วามสำคญั กับการตีความ โดยคงไว้ซ่ึงบรบิ ทของเหตุการณห์ รือการกระทำเหล่าน้ันและ
ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาที่ให้รายละเอียดเป็นบูรณาการแต่ละเหตุการณ์เชื่อมโยงกับทฤษฎีหรือ
แนวคิดที่หลากหลายมาใช้ในการศึกษา เช่น ทฤษฎีปรากฏการณ์นิยม (Phenomenology) จิตวิทยา
(Psychology) วัฒนธรรม (Cultural)๒นอกจากนี้ Lincoln and Guba (๑๙๘๕) ยังได้อธิบายว่า เครื่องมือ
สำคัญในงานวิจัยเชิงคณุ ภาพคือ นักวิจัย ด้วยวิธีดำเนนิ การวิจัยเชิงธรรม คือ (๑) เลือกตัวอย่างสำหรับศึกษา
แบบเจาะจง (๒) วิเคราะห์ข้อมลู ด้วยวิธีอุปนัย (inductive analysis) (๓) หาข้อสรุปเชิงทฤษฎีท่ีมพี ื้นฐานมา
จากข้อมูล (grounded theory) และ (๔) มีการออกแบบการวิจัยทป่ี รับเปลีย่ นไดต้ ามสถานการณ์เฉพาะหน้า
คือ มีการออกแบบที่ยึดหยุ่น สามารถปรับได้ตามความจำเป็นกับสถานการณ์เฉพาะหน้าในภาคสนาม
(emergent design)โดยไมต่ อ้ งจดั ลำดบั กอ่ นหลัง จนกระทง่ั ขอ้ มลู ท่ีได้มาใหม่ไม่แตกต่างจากท่ีได้มาก่อนหรือ
จนกระทั่งข้อสรุปที่ได้มาใหม่ ไม่แตกต่างจากข้อสรุปท่ีได้มาก่อนหน้านั้น๓มาถึงยุคของ Shank (๒๐๐๒) ได้
แสดงทัศนะเกี่ยวกับงานวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่
เป็นอยู่ โดยนักวิจัยจะนำวิธีการสอบถามอย่างเป็นระบบมาใช้เพื่อตีความสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่จะ
เข้าใจปรากฏการณท์ ่ีเกดิ ขึน้ และสาเหตรุ วมถึงรวมถึงความสมเหตสุ มผลของการกระทำท่ีบุคคลได้กระทำลงใน
เหตกุ ารณดงั กล่าว๔
การให้ความหมายการวิจัยเชิงคุณภาพดังตัวอย่างที่กล่าวมา จะเห็นว่านักการศึกษาเหล่านี้
พยายามจะสะท้อนความหมายของวิจัยเชิงคุณภาพในลักษณะของการบอกเล่าจุดหมาย วิธีการที่ได้มาของ
ข้อมูล ศาสตร์ที่ใช้ประกอบการวิเคราะห์ ซึ่งนักวิจัยเชิงคุณภาพที่มีชื่อเสียง ชาย โพธิสิตา ได้นำมาสกัดและ
นำเสนอเป็นลกั ษณะกลยุทธ์ของการวิจัยเชงิ คุณภาพ ดังนี้
๑John W.Creswell, Qualitative and Quantitative Approaches, (CA: Thousand Oaks, 1998):sage.
๒Rice, P.L., Qualitative Research Methods: Healthfocus, (South Melbourne Victoria: Oxford
University Press, 1999)
๓Lincoln, Y.S. and Guba, E.G., Naturalistic Inquiry, (CA: Bevery Hills, 1985):sage.
๔Shank, G.D, Qualitative Research: A Personal Skills Approach, Upper Saddle River, (New
Jersey: Pearson Education, 2002).
ระเบียบวธิ วี ิจยั ช้ันสงู ว่าด้วยสนั ติภาพ ๑๗๗
๖.๑.๒ ลกั ษณะเชิงกลยุทธข์ องการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ
๑) เป็นการวิจัยที่ทำในสถานการณ์ที่เป็นธรรมชาติ แบ่งเป็น ๓ ประการคือ (๑) การศึกษา
พฤตกิ รรมหรือปรากฏการณ์ ในขณะทสี่ ง่ิ เหลา่ นัน้ กำลังดำเนนิ การไปตามสภาพธรรมชาติ นักวจิ ยั เฝ้าสงั เกตและ
บันทึกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและดำเนินไปเหล่านั้น “สด”ไม่ใช่ศึกษาจากคำบอกเล่าของผู้ให้ข้อมูล (๒) การท่ี
สถานการณ์ท่ีศึกษานั้นไม่ถูกดัดแปลงแต่งเติมใหผ้ ดิ ไปจากธรรมชาติ ซึ่งหมายถงึ การเข้าไปดัดแปลงดว้ ยการ
ชี้นำ หรือจัดฉาก พฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ด้วยประการต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาของนักวิจัย(๓)
วธิ กี ารไดม้ าซึ่งขอ้ มลู ท่เี ป็นธรรมชาติ หมายถงึ การไม่กำหนดไว้ลว่ งหนา้ ก่อนการเกบ็ ข้อมลู หรอื คำตอบทตี่ ้องการ
จากผใู้ หข้ อ้ มลู ควรจะเป็นอย่างไร
(๒) ดำเนนิ การวจิ ยั แบบอุปนัยกลา่ วคือ การทำวิจัยท่ีเรม่ิ ต้นจาก “สง่ิ ทจี่ ำเพาะเจาะจง” ไปสสู่ ิ่งที่
ทวั่ ไป ซึ่งส่งิ ทจ่ี ำเพาะเจาะจง คือ ข้อมลู ทไี่ ดม้ าจากประชากรตัวอย่างทีเ่ ลอื กมาโดยเฉพาะจำนวนหนึ่ง และส่งิ ท่ี
ทั่วไป คือข้อสรุปในรูปคำอธิบายหรือกรอบแนวคิดทฤษฎี ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั่วไปกับประชากรและ
สถานการณใ์ นวงกว้างนอกเหนอื จากท่ีถูกเลอื กมาเพอ่ื การวจิ ัยน้ัน ซ่ึงวิธกี ารแบบนเี้ ปน็ การทำวิจัยเชิงคุณภาพ
ขนานแท้ และสมมตุ ิฐานไม่ใช่สงิ่ ตอ้ งหา้ ม แตส่ มมุตฐิ านในการวิจัยเชงิ คณุ ภาพขนานแท้ควรตั้งข้นึ มาจากข้อมูล
มากกว่าทีจ่ ะตัง้ มาจากแนวคดิ ทฤษฎีทมี่ ีอย่กู อ่ น
(๓) เน้นการทำความเขา้ ใจแบบเป็นองคร์ วม มโนทศั น์เรื่ององคร์ วมนีม้ นี ยั สำคัญตอ่ การออกแบบ
วิจัยเชิงคุณภาพซึ่งแตกต่างจากงานวิจัยเชิงปริมาณอย่างชัดเจน คำว่าองค์รวมนั้น หมายถึง การค้นหาว่ามี
สว่ นประกอบอะไรบา้ งภายในระบบของส่ิงท่ีศึกษาน้ันและส่วนประกอบเหล่านั้นมคี วามสมั พันธ์กันอย่างไร ซ่ึง
เป็นจดุ หมายของการวจิ ัยเชิงคุณภาพ
(๔) ใช้ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพเปน็ หลักโดยทว่ั ไปหมายถงึ ขอ้ มูลทกุ รปู แบบที่เปน็ ขอ้ ความทง้ั ทอ่ี ยูใ่ นรูป
ของคำพดู หรอื ทีไ่ ม่ไดอ้ ยูใ่ นรปู ของตวั เลข ซึง่ ตรงข้ามกบั ข้อมูลเชิงปรมิ าณ และข้อมลู ยงั หมายถึง ข้อมลู ขา่ วสาร
ทอี่ ยใู่ นรปู อื่นดว้ ย เชน่ บทสัมภาษณ์ เพลง ดนตรี ภาพยนตร์ ภาพวดี ทิ ศั น์ และเครอื่ งมอื เครอ่ื งใช้ในมนุษย์ ที่
สื่อข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งนักวิจัยสามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากการศกึ ษาได้ ข้อมูลเชิงคุณภาพอาจจะมาจาก
การบันทึก การสังเกตของนักวิจัยทีท่ ำการศึกษาชุมชน การสัมภาษณ์แบบไมม่ ีโครงสร้าง เอกสาร และบันทกึ
รูปแบบต่าง ซึ่งข้อมูลทีไ่ ด้จากการสัมภาษณ์มักเป็นเรือ่ งเก่ียวกับประสบการณ์ ความคิดความเห็น ความรู้สึก
และความรู้ของผู้ใหส้ มั ภาษณ์ ข้อมูลจากการสงั เกตสว่ นใหญ่เปน็ เชิงพรรณนาเก่ียวกับกิจกรรม พฤติกรรม การ
กระทำทเ่ี กดิ ขึ้นจริง ปฏสิ มั พันธ์ระหว่างบคุ คล ระหว่างกลุ่ม ระหว่างองค์กร ซ่ึงเปน็ สงิ่ ทีส่ ังเกตได้
(๕) นักวิจัยติดต่อโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมายในการวิจัย หัวใจสำคัญของภารกิจการวิจัยเชิง
คณุ ภาพ ในทัศนะของ Patton (๑๙๙๐) คอื การเข้าไปอยู่ในสนามและเรยี นรู้สง่ิ ท่ีตอ้ งการศกึ ษาโดยตรง ซ่งึ การ
เข้าไปมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด (มีส่วนร่วม) กับกลุ่มประชากรเป้าหมายของการวิจัย เป็นโอกาสที่นักวิจัยจะได้
สร้างความคุ้นเคยและความไว้วางใจกับกลุ่มประชากรเหล่านั้น ความสัมพันธ์อันดีนั้นมีผลตรงต่อการเข้าถงึ
ข้อมูลและคณุ ภาพของขอ้ มูล โดยปกตขิ อ้ มูลท่ีเป็นเรื่องปกปิดหรอื เรื่องส่วนบุคคล มักจะเข้าถึงไดย้ าก การใช้
แบบสอบถามในการสำรวจ อาจไมส่ ามารถได้ข้อมลู ทน่ี ่าเชื่อถือไดเ้ ทา่ ที่ควร นักวิจยั ต้องสร้างความสัมพันธ์ท่ีดี
๑๗๘ Advanced Research Methodology on Peace
จนเป็นที่ไว้วางใจของแหล่งข้อมูลก่อน จึงจะสามารถเข้าถึงข้อมูลเช่นนั้นได้ การเข้าไปใช้ชีวิตเสมือนว่าเป็น
สมาชิกคนหนึ่งในชุมชนทีศ่ ึกษา จงึ เปน็ กลยุทธท์ ี่ดอี กี อยา่ งหนึง่ ของการวจิ ัยเชิงคุณภาพ
(๖) ให้ความสำคญั แก่พลวตั ของส่ิงที่ศึกษา ซึ่งการวิจัยเชงิ คุณภาพขนานแทม้ องปรากฏการณ์ท่ี
ศึกษาว่าเป็นกระบวนการที่ไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนไหวและเปล่ียนแปลงไปตลอดเวลา นักวิจัยเชิงคุณภาพจึง
จำเปน็ ต้องพยายามเสนอภาพทีจ่ ะให้ความชัดเจนเกี่ยวกบั พลวตั ของปรากฏการณ์นั้นการที่กำหนดใหน้ กั วจิ ัย
ต้องเข้าไปมีความสัมพันธ์ หรือส่วนร่วมในภาคสนามเป็นเวลานาน (fieldwork approach) จึงช่วยในการเก็บ
ข้อมลู และการทำความเข้าใจพลวตั ของส่ิงที่ศกึ ษา
(๗) สนใจศกึ ษากรณที ม่ี ลี ักษณะเฉพาะคือการมงุ่ ศึกษาในทางลกึ มากกวา่ ทางกวา้ งซ่งึ มนี ัยสำคัญ
สองประการเกี่ยวกับการดำเนินการวิจัย คือ (๑) นักวิจัยต้องเฝ้าสังเกตการณ์โดยเก็บรายละเอียดของข้อมลู
อย่างรอบด้าน (๒) นักวิจัยต้องให้ความสนใจและเลอื กที่ศกึ ษากรณีท่ีเฉพาะเจาะจง หรือกรณีเด่น ๆ อาจเปน็
บคุ คล องค์กร เร่ืองราว หรือชมุ ชนก็ได้ จุดหมายสำคัญคอื เพื่อใหไ้ ดม้ าซ่งึ ความรคู้ วามเข้าใจทางลึกอย่างเป็น
องค์รวมเกี่ยวกับประเด็นที่ศึกษาที่ลุ่มลึกอันมาจากการศึกษากรณีเฉพาะเจาะจงที่จำนวนน้อยมากกว่าที่จะ
ไดม้ าจากการศึกษากลุ่มจำนวนมากๆ
(๘) ให้ความสำคัญแก่บริบทของสิ่งที่ศึกษา การวิจัยเชิงคุณภาพเน้นการเข้าถึงความหมายใน
ทัศนะของผูก้ ระทำ ซึ่งความหมายของผูก้ ระทำน้ันขึ้นอยู่กบั บริบทหรือสิ่งแวดลอ้ มที่ผู้กระทำอาศยั อยู่ การให้
ความสำคัญแก่บริบทของส่ิงที่ศึกษามีนัยตอ่ การดำเนนิ การวิจัยว่า นักวิจัยต้องรวบรวมขอ้ มูลเกี่ยวกบั บริบท
อยา่ งเพียงพอเพื่อประกอบการตคี วามข้อคน้ พบและขอ้ สรุปของนักวจิ ยั เอง บรบิ ทอาจเปน็ เรอ่ื งสภาพแวดล้อม
ทางธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ มทางสังคม วัฒนธรรม ศาสนา ความเชอ่ื และขนบประเพณี เปน็ ตน้
(๙) มีการออกแบบการวิจัยทีย่ ึดหยนุ่ ได้กล่าวคือ ทศั นะเกีย่ วกบั การออกแบบวิจัยเชิงคุณภาพจะ
มองว่า ไม่มกี ารออกแบบการวจิ ยั เรื่องใดเร่อื งหน่งึ ที่สมบูรณช์ นดิ หาทตี่ ิไมได้ และนกั วจิ ัยควรยึดความมีเหตุผล
ในการปฏบิ ตั ิเปน็ หลกั (pragmatic) การออกแบบวิจัยเชิงคณุ ภาพ จึงไม่ใชส่ ิง่ ทก่ี ำหนดไว้ตายตัวกอ่ นเร่มิ ตน้ เกบ็
ขอ้ มลู แตส่ ามารถยดื หยุ่นได้ตามความจำเป็น และเท่าทส่ี ถานการณ์ในภาคสนามต้องการ
(๑๐) มีเครื่องมือการวิจยั หลายอย่าง แต่นักวิจัยเป็นเครือ่ งมอื ที่สำคัญ ทั้งนี้การมุง่ หาความรูใ้ น
แนวลึก ทำให้นักวิจยั ตอ้ งไดข้ อ้ มลู หลายชนิดและละเอียดเพียงพอในประเด็นทีศ่ ึกษา ดงั น้ันนักวิจัยอาจใช้หลาย
วธิ ีเป็นเคร่อื งมือในการรวบรวมขอ้ มลู แตอ่ ยา่ งไรก็ตามเครื่องมอื ทุกอย่างในงานวจิ ัยเชงิ คุณภาพคณุ สมบตั สิ ำคญั
คือ ไม่มีโครงสร้างเคร่งครัด (unstructured) หมายความว่า ในการใช้เครื่องมือนั้นนักวิจัยสามารถปรับให้
เหมาะสมกับแหลง่ ข้อมูลและสถานการณไ์ ดต้ ราบเทา่ ที่หลกั การสำคญั ของวิธนี ัน้ ๆ ไมเ่ สยี ไป ดว้ ยเหตนุ ที้ ำให้ตัว
นักวิจัยจึงมีความสำคัญมาก ประสิทธิภาพของเครื่องมือ การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพขึ้นอยู่กับผู้ใช้เครื่องมือ
มากกว่าตัวเครื่องมือเสียอีก (ซึ่งตรงขา้ มกับวิจัยเชิงปริมาณที่เน้นเครื่องมือเป็นสำคญั ) เพราะนักวิจัยจ ะต้อง
ระเบยี บวิธวี ิจยั ชั้นสงู วา่ ดว้ ยสนั ตภิ าพ ๑๗๙
เขา้ ใจหลักการสำคัญและมที กั ษะในการใชอ้ ย่างดี ตอ้ งรู้วา่ เมือ่ ไรควรปรับ เม่อื ไรควรเครง่ ครัดในหลักการและ
ตอ้ งรสู้ าระของส่ิงทศ่ี ึกษาอย่างดีจงึ จะประสบความสำเร็จ๕
เมือ่ ไหร่ควรใช้การวจิ ัยเชงิ คุณภาพ? โดยท่วั ไปวจิ ัยเชิงคณุ ภาพเหมาะทจ่ี ะใช้เพอ่ื การคน้ หาประเดน็
รายละเอยี ด เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการ และความหมายของพฤตกิ รรมหรอื ปรากฏการณ์ ดังนัน้ ถ้าสิ่งที่
ต้องการทราบมีลักษณะเป็นคำอธิบายว่า “ทำไม. . .” และ “. .. อย่างไร” หรือต้องการทำความเข้าใจว่า
กระบวนการ (process) ของสิ่งใดสิง่ หนึ่งเป็นอย่างไร วิธีการเชงิ คุณภาพเป็นวิธที ่ีเหมาะอย่างไรก็ตามหากจะ
ออกแบบการวิจยั โดยใชว้ ธิ ีการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ส่งิ ท่นี กั วจิ ยั พึงตระหนกั เสมอคือ
ตารางที่ ๖.๑ ขอ้ พิจารณาความเหมาะสมในการใชว้ ธิ กี ารวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ๖
ควรใช้ ไมค่ วรใช้
เมื่อต้องการค้นหาประเด็นใหม่ๆ ของเรื่องใดเรื่อง เมื่อส่ิงทีต่ ้องการทราบคือ แนวโน้มและแบบแผนของ
หนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น พฤติกรรม เหตุการณ์
ปรากฏการณ์
เมื่อต้องการเขา้ ใจความหมายหรือกระบวนการของ เมือ่ ต้องการพิสจู น์สมมตุ ิฐานหรอื ทฤษฎี
การกระทำหรอื ปรากฏการณ์
เมื่อต้องการหาความรูเ้ บื้องต้นเพื่อสร้างสมมุติฐาน เมื่อสถานการณ์ไม่เอือ้ อำนวยทจ่ี ะให้นักวจิ ัยตดิ ต่อหรือ
หรอื สรา้ งแบบสอบถามสำหรบั การวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณที่ มีส่วนรว่ มกบั ประชากรเปา้ หมายอย่างใกลช้ ดิ
จะตามมาในภายหลัง
เมื่อต้องการตรวจสอบหรือหาคำอธิบายสำหรับข้อ เมอื่ เห็นวา่ การวิจัยเชงิ ปรมิ าณน่าจะให้คำตอบไดด้ กี ว่า
คน้ พบจากการวิจยั เชงิ ปริมาณ
เม่ือสถานการณห์ รือประชากรเปา้ หมายในการศกึ ษา เพียงเพราะคิดไม่ออกว่าจะใช้วิธีใดดีหรือเพราะคิดว่า
ไมเ่ หมาะทใี่ ห้ทำการวิจัยด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ วิธีการเชงิ คุณภาพนา่ จะง่ายกวา่ หรอื เมื่อยังไม่แน่ใจวา่
ตัวเองมคี วามเขา้ ใจวธิ ีการน้ีดพี อ
๖.๑.๓ หลักการพืน้ ฐาน ๕ ประการของการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ
Wiersma.W. (๒๐๐๐) นำเสนอหลักการพน้ื ฐาน ๕ ประการของวิจยั เชงิ คณุ ภาพไวด้ งั น้ี
๑) เป็นการศึกษาปรากฏการณใ์ นภาพรวม ไม่แยกบางส่วนหรือบางองคป์ ระกอบมาทำการศึกษา
๒) นักวจิ ัยต้องเข้าไปอยใู่ นสนามและสังเกตสง่ิ ทีศ่ ึกษาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มกี ารจัดกระทำใหม่
เพ่ือศึกษา
๕ชาย โพธสิ ติ า, ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งการวิจัยเชิงคุณภาพ, พิมพ์คร้งั ท่ี ๕,(กรงุ เทพมหานคร: บริษัท อมรินทร์พ
ริน้ ต้ิงแอนดพ์ ับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๕๔), หนา้ ๒๗-๔๐.
๖ชาย โพธสิ ิตา, ศาสตร์และศิลปแ์ หง่ การวิจยั เชิงคณุ ภาพ, พมิ พ์ครัง้ ที่ ๕, หนา้ ๔๗.
๑๘๐ Advanced Research Methodology on Peace
๓) การรบั รู้ “ความหมาย” ของส่ิงทเ่ี กดิ ขึ้นหรอื เปน็ ไปอยา่ งเป็นจรงิ ท่สี ดุ คอื “การวัด” ท่ีตอ้ งการ
ในการวิจัย
๔) ขอ้ ตกลงเบอ้ื งต้นใดๆ สามารถลม้ ลา้ งหรอื เปลยี่ นแปลงได้โดยขอ้ ตกลงใหม่หรอื ขอ้ สรปุ ทค่ี น้ พบ
ใหม่
๕) ปรากฏการณ์ ก็คือรูปแบบโครงสร้างหลวมๆ ท่ีมีความยืดหยุ่นในการทำนาย ไม่เฉพาะ
ตายตัว๗
นอกจากนี้เพื่อให้นักวิจัยสามารถจดจำจำแนกลกั ษณะสำคัญของงานวิจัยเชิงคุณภาพที่มีผลตอ่
คณุ ภาพในการทำการวิจัย ซง่ึ Marshall (๑๙๙๕) เสนอไว้ ๒๐ คุณลกั ษณะสำคญั ของงานวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ ดงั น้ี
▪ คณุ ลักษณะ ๒๐ ประการของการวิจยั เชิงคณุ ภาพ
๑) ประเดน็ ท่ีศึกษาตอ้ งเหมาะกบั วธิ วี ิจยั เชงิ คุณภาพ
๒) ขจัดความลำเอยี งทั้งตัวนกั วจิ ยั และเชิงทฤษฎี
๓) ปอ้ งกันการตดั สินคณุ ค่าขอ้ มูลขณะรวบรวม/วิเคราะห์
๔) มีขอ้ มูลแสดงความสัมพันธ์ของข้อคน้ พบกบั ความจรงิ
๕) กำหนดคำถามวิจยั ไว้ แล้วหาคำตอบ/ตง้ั คำถามต่อๆไป
๖) เชอ่ื มโยงการศึกษาครั้งนกี้ ับคร้ังกอ่ นๆ อย่างชดั เจน
๗) เสนอรายงานวจิ ยั ท่สี ะดวกในการเข้าถงึ สิ่งทีว่ ิจัย
๘) ขอ้ มูลท่ีนำเสนอมีความครอบคลมุ และตรวจสอบอย่างดี
๙) ผลวิจยั มีข้อจำกัดในการอ้างองิ แต่สามารถถา่ ยโยงได้
๑๐) วิธกี ารทำงานภาคสนาม และการบันทึกมีความชัดเจน
๑๑) มกี ารสงั เกตอยา่ งครอบคลุมครบวงจรกจิ กรรมทีศ่ กึ ษา
๑๒) ขอ้ มูลที่รวบรวมมา สามารถวเิ คราะห์ซ้ำ/ตรวจสอบได้
๑๓) มกี ารใชว้ ิธตี รวจสอบคุณภาพข้อมลู ท่ีน่าเชอื่ ถือ
๑๔) มกี ารบนั ทึกภาคสนามเป็นลายลกั ษณ์อักษร
๑๕) ความจริงถกู ล้วงออกมาจากมมุ มองทีข่ ้ามวฒั นธรรม
๑๖) นักวิจยั ต้องมีความละเอยี ดอ่อน และมจี รรยาบรรณ
๑๗) ในบางคร้ังผูเ้ ก่ยี วข้องในการวิจยั อาจได้รบั ประโยชนเ์ ชงิ การเสรมิ สร้างพลังร่วม
๑๘) กลยุทธร์ วบรวมขอ้ มลู ต้องมีประสทิ ธิภาพและเข้าถงึ กลุ่มผใู้ ห้ข้อมลู
๑๙) ตอ้ งพยายามสร้าง “ภาพใหญ่” ใหเ้ ห็นภาพตลอดแนวทั้งระบบ
๗Wiersma.W, (๒๐๐๐), อ้างใน ประวิตเอราวรรณ์, การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research),
[ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://www.udru.ac.th/kmudru/document/research2.pdf.[๒๐ เม.ย.๒๕๖๑].
ระเบียบวธิ วี จิ ัยช้ันสงู วา่ ด้วยสันติภาพ ๑๘๑
๒๐) ต้องพยายามทำความเข้าใจความเป็นมาของบริบทองค์กร/สถาบันว่าเป็นอย่างไร และมี
บทบาทอยา่ งไร
คณุ ลักษณะทั้ง ๒๐ ข้อน้ไี ม่จำเปน็ ทจี่ ะต้องยึดเป็นกฎเหล็กตายตัว แต่ขอเพียงผ้ศู กึ ษาได้ตระหนัก
ประเด็นเหลา่ น้ีให้มากเม่ือเลือกทีจ่ ะศกึ ษาวิจัยเชิงคณุ ภาพ อย่าให้การวิจัยคุณภาพเป็นเพยี งแต่ช่ือขาดความ
น่าเชื่อถือเพราะขาดความใสใ่ จของนักวิจัย ทั้งนี้เพราะแก่นสาระวิจยั มีผู้ไดว้ างกรอบไว้เป็นแนวทางปฏบิ ตั ิได้
ครอบคลุมทจ่ี ะทำให้งานวิจยั คณุ ภาพไดร้ บั การยอมรบั และเป็นท่ีแพรห่ ลายมากขึ้น
▪ ลกั ษณะงานวจิ ยั ท่คี วรใชก้ ารวิจยั เชิงคุณภาพ
การเข้าใจข้อจำกัดพื้นฐานแนวคิดเกี่ยวกับงานวิจัยเชิงคุณภาพ ทำให้สะท้อนถึงประโยชน์และ
คุณค่าของการวิจัยพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักวิจัยควรคำนึงถึงอีกประการหนึ่งคือ ประโยชน์ของ
งานวจิ ัยเชงิ คุณภาพควรนำไปใช้กับงานวิจัยในลักษณะใด
๑) การวจิ ัยเพื่อหาสมมุตฐิ าน เพือ่ นำไปทดสอบดว้ ยวิธีการเชงิ ปริมาณ
๒) การวิจัยที่ผู้วิจัยต้องการเข้าใจความหมาย กระบวนการหรือคำอธิบายของพฤติกรรม หรือ
ปรากฏการณต์ า่ งๆ
๓) การวิจัยในสังคมหรือชุมชนที่มีขนาดเล็ก ไม่ซับซ้อนมากนัก หรือมีขอ้ จำกดั บางประการ เช่น
คนสว่ นมากไม่รหู้ นงั สือ
๔) การวจิ ัยในเร่ืองทีม่ ลี กั ษณะเป็นนามธรรม เชน่ ความเชื่อทางศาสนา ทัศนคติ โลกทัศน์
๕) ในกรณที ผ่ี ลการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณให้คำตอบทไ่ี มช่ ัดเจนหรือในกรณีที่ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณอย่างเดียว
ให้คำตอบไดไ้ ม่หนกั แน่น การวิจัยเชงิ คณุ ภาพอาจเสริมได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ๘
กล่าวโดยสรุป ความรู้พื้นฐานการทำความเข้าใจหลักการสำคัญของงานวิจัยเชิงคุณภาพ ที่มี
เบื้องหลังกระบวนทัศนแ์ บบปรากฏการณ์นิยมทำใหผ้ ูศ้ กึ ษาได้ขบคิดและใสใ่ จส่งิ ที่เปน็ แกน่ ของการวิจยั นี้ ซงึ่ จะ
ช่วยใหก้ ารออกแบบการวจิ ัยเชงิ คุณภาพใช้ประสบการณ์และจินตนาการของนกั วิจัยในการเชื่อมโยงข้อมูลท่ีมี
รายละเอียดในเชงิ ลกึ นักวจิ ยั จึงพงึ ตระหนักถึงการใช้ศกั ยภาพของตนเองในฐานะเปน็ เครอื่ งมอื วิจยั ทส่ี ำคญั ของ
การวิจัยเชิงคุณภาพ ดังที่กล่าวไวต้ อนตน้ เก่ียวกับความนิยมของงานวิจัยเชิงคุณภาพและพัฒนาการเครื่องไม้
เครื่องมือที่ใช้ระบบซอฟท์แวร์ในการเก็บข้อมูลหรือประมวลผลในระดับต้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับ
นักวิจัย ทำให้รูปแบบการวจิ ัยเชงิ คุณภาพมีความหลากหลายขึน้ ซ่ึงรูปแบบการวิจยั
๘เบญจา ยอดดำเนิน-แอ็ตติกจ์, บุปผา ศิริรัศมีและวาทินี บุญชะลักษี, ตำราประกอบการสอนและการวจิ ยั
การศกึ ษาเชิงคุณภาพ: เทคนคิ การวจิ ัยภาคสนาม, (กรุงเทพมหานคร: สถาบันวจิ ัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล,
๒๕๓๗), หนา้ ๔๖.
๑๘๒ Advanced Research Methodology on Peace
๖.๒ รูปแบบการวจิ ัยเชิงคุณภาพ
Creswell ได้นำเสนอรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ออกเป็น ๕ ประเภท๙ ได้แก่ (๑) วิจัยเชิง
คุณภาพแบบชาติพันธุ์วรรณา(ethnographic research) (๒) วิจัยเชิงคุณภาพแบบสร้างทฤษฎีจากข้อมูล
(grounded theory research) (๓) วิจัยเชิงคุณภาพแบบกรณีศึกษา (case study research) (๔) วิจัยเชิง
คุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยา (phenomenological research) (๕) วิจัยเชิงคุณภาพแบบเล่าเรื่องราว
(narrative research)ทั้งนีน้ อกจากรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพในทัศนะของ Creswell ยังมีรูปแบบการวิจัย
อื่นๆ อีกเช่น การวิจัยสนทนากลุ่ม การวิจยั ปฏิบัตกิ าร การวิจัยแบบมสี ่วนรว่ ม ผู้เขียนได้รวบรวมรูปแบบการ
วจิ ัยเชิงคุณภาพที่เป็นพ้นื ฐานหลกั ๆ ไว้ ดงั น้ี
๖.๒.๑ วิจัยเชิงคุณภาพแบบชาติพันธุ์วรรณา (Ethnographic research)เป็นการวิจัยท่ี
นักวิจัยเข้าไปศึกษาวัฒนธรรมของกลุ่มคนกลุ่มใดกลุม่ หนึ่งสภาพและบริบทที่เป็นอยู่โดยธรรมชาติที่ไม่ได้จัด
กระทำหรอื ควบคุมภายใตร้ ะยะเวลาศกึ ษาที่ตอ่ เนื่องยาวนาน กระบวนการวจิ ัยท่ีใช้มีความยึดหยนุ่ สามารถปรับ
ใหส้ อดคล้องกบั บริบทท่ีศกึ ษาเพื่อทำความเข้าใจวัฒนธรรมของกล่มุ คนทร่ี ่วมวฒั นธรรมเดียวกนั เช่น คนกลุ่ม
นอ้ ย กลุ่มลทั ธิต่างๆ เป็นการวจิ ัยทีม่ ุง่ ศึกษาวฒั นธรรมของทั้งกลุม่ วัฒนธรรม เช่น กลุ่มนักเรียน โรงเรียน หรือ
กลุ่มสงั คม โดยนกั วิจยั พยายามอธบิ ายและตีความหมายแบบรปู ของค่านยิ ม พฤตกิ รรม ปฏิสัมพนั ธ์ และความ
เชื่อของกลมุ่ ทร่ี ว่ มวัฒนธรรมเดยี วกัน ท้งั นน้ี ักวจิ ยั มักจะต้องเกาะติดกับกลมุ่ รว่ มวฒั นธรรมอยา่ งยาวนาน ด้วย
การเข้าร่วมกับคนในกลุ่มวัฒนธรรมนั้นๆ ข้อมูลหลักจะได้จากการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ( participant
observation) และการให้สมั ภาษณ์คนในกล่มุ รว่ มวฒั นธรรมอย่างไม่เปน็ ทางการในลกั ษณะของการพูดคุยใน
ชีวติ ประจำวนั ทั่วไปวิจยั เชิงคุณภาพแบบชาติพันธุ์วรรณาอาจแบง่ ได้ ๒ ชนิด
(๑) วจิ ัยคณุ ภาพแบบชาติพนั ธวุ์ รรณาชนิดด้ังเดมิ เปน็ วิจัยเชงิ คุณภาพแบบชาตพิ ันธ์วุ รรณา
ที่ยึดถือแนวปฏิบัติแบบดั้งเดิม โดยมุ่งรายงานวัฒนธรรมที่ศึกษาในลักษณะที่เป็นภววิสัยมากที่สุด กล่าวคือ
นักวิจัยรายงานผลการวิจัยโดยรายงานสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินจากผู้เข้าร่วมวิจัย (research participant) ใน
ระหว่างการทำงานในภาคสนาม
(๒) วจิ ยั คุณภาพแบบชาตพิ ันธุ์วรรณาแบบชนิดวิกฤต เป็นวิจยั ที่มุ่งตอบสนองต่อประเด็น
ตา่ งๆ ในสงั คม เช่น ความไม่เสมอภาค ความอยุตธิ รรม สิทธิ เสรภี าพ เชอ้ื ชาติ ชนชั้น ระบบอำนาจคนชายขอบ
เปน็ ตน้ นกั วิจัยเชงิ คณุ ภาพแบบนี้มกั มีแรงผลกั ดันจากความตอ้ งการปรบั ปรงุ เปล่ียนแปลงการเมืองและสังคม
เชน่ ตอ่ ตา้ นความไม่เสมอภาคในสังคม การเสริมสร้างพลงั อำนาจแกค่ นชายและผดู้ อ้ ยโอกาสในสงั คม เป็นตน้
๖.๒.๒ วจิ ัยเชิงคณุ ภาพแบบสรา้ งทฤษฎีจากข้อมลู (Grounded theory research) หรอื บาง
ตำราเรียกว่า การวิจยั แบบฐานราก เป็นการวิจยั ทีน่ ักวิจัยพยายามสร้าง (generate) หรือค้นหา (discovery)
ทฤษฎีท่ัวไปหรือแนวคดิ เชิงนามธรรมจากขอ้ มลู เกยี่ วกับกระบวนการ การปฏบิ ตั ิ หรอื ปฏิสมั พันธ์ (interaction)
๙ John W. Creswell, RESEARCH DESIGN Qualitative, Quantitative. and Mixed Methods
Approaches University of Nebraska, Lincoln Sage Publications, Inc. 2nd ed.2003, pp.14-15.
ระเบียบวิธีวิจัยชั้นสงู ว่าด้วยสันตภิ าพ ๑๘๓
ที่ได้จากเข้าร่วมการวิจัยโดยใช้วิธีการอุปนัย เช่น กระบวนการใช้หลักสูตรใหม่กระบวนการสอนแบบ เน้น
นักเรียนเป็นสำคัญ เป็นต้น ดังนั้นผู้เขา้ ร่วมการวิจัยควรเปน็ ผู้ทีม่ ีประสบการณ์เกีย่ วกับกระบวนการทีน่ กั วจิ ยั
ต้องการศึกษา นักวิจัยควรมีหน้าที่สร้างทฤษฎีทั่วไปที่สามารถใช้อธิบายกระบวนการ การปฏิบัติ หรือ
ปฏิสัมพันธใ์ นปรากฏการณท์ ่ีสนใจได้กว้างและครอบคลมุ มากยง่ิ ข้นึ การสร้างทฤษฎจี ากขอ้ มูลน้ีมีความเช่ือว่า
ทฤษฎีไม่ได้มีอยู่ในหิ้งให้เลือกใช้ แต่นักวิจัยต้องสร้างทฤษฎีขึ้นเองจากข้อมูล แบ่งการวิจัยนี้ออกเป็น ๒
ประเภท
(๑) วิจัยเชิงคุณภาพแบบสร้างทฤษฎีจากข้อมูลโดยใช้กระบวนการเชิงระบบ
(systematic approach) เปน็ การวิจัยท่ใี ช้กระบวนการเชิงระบบนบั ตง้ั แตเ่ ริ่มเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การใหร้ หัส
ข้อมูล (coding) การสร้างหมวดหมู่ข้อมูล (categorizing) และการหาความสัมพันธ์ระหว่างหมวดหมู่ข้อมูล
กลา่ วคอื เมื่อนกั วจิ ัยไดข้ อ้ มลู มาจะใหร้ หสั แบบเปิด (open coding) แก่ข้อมูลทม่ี คี วามหมายแต่ละหนว่ ย ตอ่ มา
นักวิจัยจะเปรียบเทียบรหัสที่เกิดขึ้นใหม่กับรหัสเดิมที่มีอยู่ในลักษณะเปรียบเที ยบระหว่างกันซ้ำแล้วซ้ำอีก
(constant comparison) จนได้หมวดหมู่ ของรหัส (category) จากนั้นนักวิจัยจะเลือกหมวดหมู่ที่แสดง
ปรากฏการณห์ ลัก (core phenomena) แล้วให้รหัสแกนรอบ (axial coding) หรือรอบปรากฏการณห์ ลักนี้
โดยการเชื่อมโยงความหมายเขา้ ด้วยกนั เป็นประเด็นหลัก (theme) ปรากฏการณห์ ลักดังกล่าวอาจเปน็ เง่ือนไข
เชงิ สาเหตุ (causal condition) เชน่ ปัจจยั อะไรทที่ ำใหเ้ กดิ ปรากฏการณห์ ลกั น้ี หรอื ยุทธวิธี (strategies) เช่น
การกระทำอะไรท่ีตอบสนองตอ่ ปรากฏการณ์หลักนี้ หรือเงือ่ นไขเชิงบริบทและการแทรกแซง เช่นปจั จัยเฉพาะ
และปัจจัยทั่วไปอะไรที่ส่งผลต่อปรากฏการณ์หลักนี้ หรือผลที่ตามมา (consequence) เช่น เกิดอะไรขึ้นกบั
ปรากฏการณ์หลักหลังจากใช้ยุทธวิธีต่างๆ เป็นต้น จากนั้นนักวิจัยจะให้รหัสแบบเลือก (selective coding)
โดยอาศยั ความสัมพันธ์ของหมวดหมู่ตา่ งๆ เป็นแนวทางในการสรา้ งสมมตุ ิฐาน หรือแบบจำลองทางความคิดก็
ได้ เมื่อได้ทฤษฎีแล้ว นักวิจัยจะตรวจสอบทฤษฎีกับข้อมูลเชิงประจักษ์ด้วยการสุ่มเชิงทฤษฎี (theoretical
sampling) เพื่อให้ได้ผู้ให้ข้อมูลที่เหมาะสมต่อการทดสอบความเหมาะสมและถูกตอ้ งของทฤษฎีกระบวนการ
ทดสอบและปรับปรงุ ทฤษฎีนี้จะเกิดขึ้นหลายครั้งจนกระทั่งถึงจดุ อิม่ ตัวทางทฤษฎี (theoretical saturation)
กลา่ วคือ ทฤษฎีนน้ั สามารถใช้ได้ครอบคลุมโดยท่ัวไป ตรวจสอบซำ้ อยา่ งไรก็ให้ผลเช่นเดมิ ณ จุดน้ีนักวิจัยก็จะ
หยุดกระบวนการทั้งหมดและนำเสนอทฤษฎที ไ่ี ด้
(๒) วิจัยเชิงคุณภาพแบบสร้างทฤษฎีจากข้อมูลโดยใช้กระบวนการสร้างความรู้
(Constructivist approach) เป็นการวิจัยที่ใช้มุมมองการสร้างความรู้เชิงสังคม (social constructivist
perspective) กล่าวคือ นักวิจัยจะสร้างทฤษฎีจากข้อมูลโดยอาศัยมุมมองและพื้นฐานประสบการณ์เดิมของ
นักวิจยั นักวิจัยจะเปน็ ผูต้ ดั สนิ ใจเกยี่ วกับรหัส หมวดหม่ขู ้อมูล แบบรูป จนกระทง่ั สรา้ งทฤษฎีท่ัวไปขึ้นภายหลัง
กรอบแนวคิดและประสบการณ์ของนักวิจัย สิ่งนี้ทำให้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีที่ได้จากเชิงคุณภาพแบบนี้เป็นส่ิง
ช่ัวคราวทตี่ ้องอาศยั การพิสูจน์ยนื ยนั ดว้ ยวธิ ีการเชิงปริมาณตอ่ ไป
๖.๒.๓ วิจัยเชิงคุณภาพแบบกรณีศึกษา (Case study research) เป็นการวิจัยที่นักวิจัยมุง่
ค้นหากระบวนการ (explore process) ในปรากฏการณ์ทม่ี คี วามจำเพาะเจาะจงในเชงิ ลึกโดยคำนึงถงึ บริบทที่
๑๘๔ Advanced Research Methodology on Peace
เกี่ยวข้อง ปรากฏการณ์ที่มีความจำเพาะเจาะจงเรียกว่า กรณี (case) โดยลักษณะเฉพาะของกรณีก็คือ เป็น
ระบบที่มีขอบเขตจำกัน เช่น บุคคล (ผู้สำเร็จ ผู้ล้มเหลว ครู นักเรียน ผู้บริหาร เป็นต้น) กลุ่มชน (ห้องเรียน
ชุมชน หมู่บ้าน) สถาบัน (โรงเรยี น ครอบครัว) องค์กร (องค์กรรัฐ องค์กรเอกชน) เหตุการณ์ (การใช้หลกั สูตร
ใหม่ การปฏริ ูปการศกึ ษา) กจิ กรรม (โครงการโรงเรยี นในฝนั โครงการโรงเรียนสขี าว) หรอื เวลา (ภาคเรียน ปี
การศึกษา) เป็นต้น โดยนักวิจัยจะเก็บรวบรวมข้อมูลจากกรณีในเชิงลึกภายในระยะเวลาที่ต่อเนื่องช่วง
ระยะเวลาหน่ึง ด้วยวิธีการที่หลากหลาย อาทิ การสังเกต การสัมภาษณ์ การเก็บรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แล้วรายงานคำอธบิ าย หรือประเด็นเกยี่ วกับการศกึ ษาน้ันๆ แบง่ เป็น ๒ ชนิด คือ
(๑) วจิ ยั เชงิ คุณภาพแบบกรณีศกึ ษาเดยี่ ว (Single instrumental case study)เปน็ การ
วิจยั ท่มี ีขอบเขตจำกัดทีต่ ้องการศกึ ษาในเชงิ ลึกเพียงกรณีเดียว สว่ นใหญ่มกั จะเลอื กกรณีศึกษาทีม่ คี วามสุดโดด
เดน่ เปน็ พิเศษสุดโต่ง หรอื ท่เี รยี กวา่ การเลอื กแบบสดุ โต่ง (extreme case sampling) เชน่ นักเรยี นทมี่ อี าการ
ออธสิ ติกคนหน่ึงท่มี าเรยี นรว่ มกบั นักเรยี นปกติ เปน็ ตน้
(๒) วิจัยเชิงคุณภาพแบบพหุกรณีศึกษา (Multiple case study) เป็นการวิจัยที่นักวิจัย
เลอื กกรณีทมี่ ขี อบเขตจำกัดท่ตี อ้ งการศกึ ษาในเชงิ ลกึ มามากกวา่ ๑ กรณี ท้งั น้นี ักวจิ ยั อาจเลอื กหลายกรณีจาก
แหลง่ เช่น เลอื กกรณีศกึ ษานักเรยี น ๖ คน จาก ๓ โรงเรียน หรอื เลือกหลายกรณีจากแหล่งเดียวกนั เช่น เลอื ก
กรณศี ึกษานกั เรยี น ๖ คน แต่อยใู่ นโรงเรียนเดียวกัน เป็นต้น นักวจิ ยั เชิงคุณภาพแบบพหุกรณีศึกษาส่วนใหญ่
มกั จะเลือกแบบพหุกรณีศึกษาท่ีมีความแตกตา่ งกันอย่างหลากหลาย หรือทเ่ี รยี กว่า การเลอื กแบบหลากหลาย
ทส่ี ดุ (maximal variation sampling) เชน่ เลือกพหุกรณีศึกษาเปน็ นักเรียน ๖ คนที่คละเพศ (ชาย และหญงิ )
และคละความสามารถในการเรียนรู้ (เกง่ ปานกลาง และออ่ น เปน็ ต้น)
๖.๒.๔ วิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenological research) เป็นการ
วิจัยที่นักวิจัยพยายามอธิบายแก่นของประสบการณ์ (essence of experience) หรือความหมายแห่ง
ประสบการณ์ชวี ติ ทีก่ ลมุ่ บคุ คลใดกลุม่ หน่งึ ไดร้ บั จากประสบการณเ์ ดยี วกนั คำถามวิจัยทีเ่ ป็นเปา้ หมายของวิจัย
เชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วทิ ยาก็คือ กลุ่มบคุ คลดังกลา่ วได้รบั ประสบการณอ์ ะไร และประสบการณ์น้ันเปน็
อย่างไร โดยจะเลือกศึกษากลุม่ บคุ คลใดบุคคลหนึ่งที่ได้รับประสบการณ์ที่เหมอื นหรือคล้ายคลึงกนั เช่น กลุม่
บุคคลกลุ่มใดกลุม่ หนึ่งที่ได้รับประสบการณ์ที่เหมือนกันหรอื คล้ายคลึงกนั เช่น กลุ่มคนท่ีได้รับการเลี้ยงดูดว้ ย
ความรุนแรง กลุ่มนักเรยี นทีต่ ้งั ครรภไ์ มพ่ งึ ประสงคใ์ นวัยเรยี น กล่มุ รักร่วมเพศ กลุม่ เบย่ี งเบนทางเพศ กลุ่มผู้ติด
เชือ้ เอดส์ เปน็ ตน้ โดยนกั วิจัยจะเก็บรวบรวมขอ้ มลู อย่างเขม้ ขน้ และมองหารูปแบบของความหมายท่ีจะอธิบาย
ถงึ แกน่ ของประสบการณ์ที่กลุ่มบุคคลเหลา่ นั้นได้รับ ในการวิจยั แบบน้นี ักวิจัยจะพยายามกักประสบการณ์ของ
ตัวเองไม่ให้เข้าไปปนเปือ้ นกบั ขอ้ มูลท่ีได้ ทงั้ นี้เพื่อทำความเข้าใจแกน่ ของประสบการณ์ท่ผี ู้เขา้ ร่วมงานวิจัยไดร้ บั
ให้ตรงที่สุด โดยอธิบายเกี่ยวกับแก่นของประสบการณ์ที่ว่านี้จะมี ๒ ลักษณะ คือ คำอธิบายเชิงเนื้อหา อาทิ
ประสบการณ์ที่ผู้เข้าร่วมการวิจัยได้รับคืออะไร และคำอธิบายเชิงโครงสร้าง อาทิ ผู้เข้าร่วมการวิจัย ได้รับ
ประสบการณ์นั้นๆ ได้อย่างไร มีเงื่อนไข สถานการณ์ บริบทอะไรบ้างทีเ่ ข้ามาเกีย่ วข้อง การวิจัยนี้แบ่งเป็น ๒
ชนิด คือ