ระเบยี บวิธวี ิจัยช้ันสูงวา่ ด้วยสันติภาพ ๒๘๕
๒.๒) ใช้สัมภาษณส์ องคน ดำเนนิ การสมั ภาษณ์จากผู้ใหส้ ัมภาษณก์ ล่มุ หน่งึ โดยผู้สัมภาษณ์ทั้ง
สองคนดำเนนิ เนนิ การสัมภาษณ์จากผู้ใหส้ มั ภาษณก์ ลมุ่ เดยี วกันและ
ดำเนินการสัมภาษณ์ซำ้ กัน นำผลจากการสัมภาษณ์สองชุดน้ันมาหาความสมั พันธ์กันหรอื
ความสอดคล้องกัน ใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เปียร์สัน หรือสัดส่วนของความสอดคลอ้ งกันระหวา่ งผลจาก
การสมั ภาษณ์สองชุดนน้ั เปน็ ค่าความเชอ่ื มน่ั ของแบบสัมภาษณ์
๒.๓) ให้สัมภาษณห์ ลายคน ดำเนินการสมั ภาษณ์จากผ้ใู หส้ ัมภาษณก์ ล่มุ หนง่ึ โดยสมั ภาษณ์แต่
ละคนดำเนินการสัมภาษณ์จากผู้ให้สัมภาษณ์กลุ่มเดียวกันและดำเนินการสัมภาษณ์ซ้ำอีก นำผลจากการ
สมั ภาษณท์ กุ ชดุ มาหาสมั ประสิทธิ์ของความสอดคล้องให้คา่ สัมประสิทธ์ิของความสอดคล้องกันระหว่างผลจาก
การสัมภาษณ์แต่ละชุดนั้น เป็นค่าความเช่ือมั่นของแบบสัมภาษณ์โดยใช้สูตรสำหรับวัดความสอดคล้องของ
เคนดอลล์หรือหาความเชื่อมั่นจากวิเคราะห์แปรปรวนแบบสองทาง (Two-Way Analysis of Variances :
Two –Way Anova)การหาสมั ประสิทธค์ิ วามสอดคลอ้ งของเคนดอลล์ (Kendall)
๘.๓.๕ การตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมอื วิจัยเชงิ คุณภาพ
ดังที่กล่าวไว้หลายที่ เกีย่ วกับการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพที่มคี วามยดื หย่นุ สูง และให้ความสำคัญกับผู้วิจัย
เป็นเครือ่ งมอื สำคญั ท่ใี ชใ้ นการเกบ็ ข้อมูลเพอื่ ใหผ้ ลการวิจัยมคี วามนา่ เช่ือถือ และเกดิ ความไวว้ างใจในคุณภาพ
ของงานวิจยั เชิงคุณภาพ ดงั นั้นผู้วจิ ัยจงึ ตอ้ งใชว้ ิธกี ารตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมูลกอ่ นนำไปวิเคราะห์ วิธี
หนึง่ ท่ไี ดร้ บั ความนิยม ก็คอื การตรวจสอบแบบสามเส้าเชงิ คุณภาพมหี ลายวิธี คอื Triangulation
Triangulation เป็นหนึ่งในวิธีการท่ีเพ่ิมความน่าเชื่อถือของผลการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งมีหลายวิธี
ทง้ั น้ีการตรวจสอบแบบสามเสา้ เปน็ แนวคิดท่ีถา่ ยทอดมาจากแนวคิดของการสำรวจหรือการช้ีทศิ ในการเดนิ เรือ
ซึง่ ถ้ารู้จุดตรึงบนแผนท่สี องจดุ แล้วลากเสน้ จากจดุ ทั้งสองมาตัดกนั กจ็ ะได้ทิศทาง หรือถ้ารู้จดุ ตรงึ เพยี งจดุ เดียว
ผสู้ งั เกตกจ็ ะรวู้ า่ ควรจะอยใู่ นทศิ ทางระนาบใดๆของเสน้ นน้ั ๆ วธิ กี ารตรวจสอบสามเส้าน้ีเปรียบเสมือนการตรึง
ความจริง ณ จุดหนง่ึ แลว้ ก็จะรูถ้ ึงความจริงอื่นๆ ซ่ึงสามารถตรวจสอบขอ้ มูลไดห้ ลายวิธี๒๕
การตรวจสอบขอ้ มูลก่อนทำการวิเคราะห์ การตรวจสอบข้อมูลท่ีใชก้ นั มากในการวิจัยเชิงคุณภาพ
คอื การตรวจสอบข้อมลู แบบสามเสา้ (triangulation) มีวธิ ีการตรวจสอบ ๔ วิธี คือ๒๖
๑) การตรวจสอบสามเส้าดา้ นข้อมูล(data triangulation)คือ การพสิ ูจน์ว่าขอ้ มูลทผี่ ้วู ิจัยได้มาน้ัน
ถูกต้องหรอื ไม่ วิธกี ารตรวจสอบ คอื
๑.๑) การตรวจสอบแหล่งของขอ้ มูล แหล่งท่ีจะพจิ ารณาในการตรวจสอบ ไดแ้ ก่
๒๕วรรณี แกมเกตุ, วิธีวิทยาการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๒,(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๑), หนา้ ๒๐๑.
๒๖สภุ างค์ จนั ทวานิช, วธิ กี ารวิจัยเชิงคณุ ภาพ, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๑๘, (กรุงเทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๓), หน้า ๑๒๘-๑๓๐.
๒๘๖ Advanced Research Methodology on Peace
-แหลง่ เวลา หมายถึง ถา้ ข้อมูลต่างเวลากันจะเหมอื นกันหรอื ไม่ เชน่ ถา้ ผู้วิจยั เคยสังเกตผู้ปว่ ย
โรคจิตเวลาเชา้ ควรตรวจสอบโดยการสงั เกตผ้ปู ่วยเวลาบา่ ยและเวลาอื่นดว้ ย
-แหล่งสถานที่ หมายถึง ถ้าข้อมูลต่างสถานที่กันจะเหมือนกันหรือไม่เช่น ผู้ป่วยโรคจิตมี
อาการคลุ้มคล่ังเมอื่ อยใู่ นบา้ น ถา้ หากไปอยู่ทอ่ี ื่นจะยงั มีอาการคลมุ้ คลง่ั หรอื ไม่
-แหล่งบุคคล หมายถึง ถ้าบุคคลผู้ให้ข้อมูลเปลี่ยนไป ข้อมูลจะเหมือนเดิมหรือไม่ เช่น เคย
ซักถามบตุ รชายผ้ปู ว่ ยเปล่ียนเป็นซักถามบุตรหญงิ หรือพยาบาล หรือเปลี่ยนจากปจั เจกบุคคลเป็นกลุ่มบุคคล
หรือกล่มุ สงั คม
๒) การตรวจสอบสามเส้าด้านผู้วิจัย(investigator triangulation)คือ ตรวจสอบว่า ผู้วิจัยแต่ละ
คนจะได้ขอ้ มลู แตกต่างกันอยา่ งไร โดยเปล่ยี นตวั ผูส้ ังเกต แทนทีจ่ ะใช้ผูว้ จิ ัยคนเดยี วกนั สังเกตโดยตลอด ในกรณี
ที่ไมแ่ น่ใจในคณุ ภาพของผู้รวบรวมขอ้ มลู ภาคสนาม ควรเปล่ียนให้มผี ูว้ ิจยั หลายคน
๓) การตรวจสอบสามเส้าด้านทฤษฎี(theory triangulation)คือ การตรวจสอบว่า ถ้าผู้วิจัยใช้
แนวคิดทฤษฎีทีต่ ่างไปจากเดิมจะทำใหก้ ารตคี วามข้อมลู แตกต่างกนั มากน้อยเพยี งใด อาจทำไดง้ า่ ยกวา่ ในระดับ
สมมติฐานชั่วคราว (working hypothesis) และแนวคิดขณะที่ลงมือตีความสร้างข้อสรุปเหตุการณ์แต่ละ
เหตุการณ์ ปกตนิ กั วจิ ยั จะตรวจสอบสามเสา้ ดา้ นทฤษฎีได้ยากกว่าตรวจสอบดา้ นอน่ื
๔) การตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีรวบรวมข้อมูล(Methodological triangulation)คือ การใช้วิธี
เก็บรวบรวมข้อมลู ต่างๆกนั เพื่อรวบรวมขอ้ มลู เรอ่ื งเดียวกัน เชน่ ใชว้ ิธีการสังเกตควบคู่กบั การซกั ถาม พร้อมกัน
นั้นก็ศึกษาข้อมลู จากแหล่งเอกสารประกอบดว้ ย
เน่อื งจากการวิจัยเชงิ คุณภาพไมเ่ นน้ ขอ้ มูลเชิงปรมิ าณ การเก็บขอ้ มูลจงึ ไมเ่ นน้ ทก่ี ารสรา้ งเครื่องมอื
ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดังน้ัน ความถกู ต้องและนา่ เชื่อถือของข้อมลู จึงฝากไว้ที่คณุ ภาพของผู้วิจัย และการ
ตรวจสอบข้อมลู กอ่ นการวเิ คราะห์ โดยจะตอ้ งตรวจสอบข้อมลู ในขณะทเ่ี ก็บข้อมลู อยู่ในภาคสนาม และเม่ืออก
จากภาคสนามก็ต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อพิจารณาว่าข้อมูลที่ได้นั้นเพียงพอที่จะตอบคำถามวิจัยได้
หรือไม่ และข้อมูลที่ได้มีความถูกต้องน่าเชื่อถือเพียงไร การตรวจสอบข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพนิยมใช้
วิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า และในทางปฏิบัตินักวิจัยภาคสนามสามารถประเมินแบบแผนความสัมพันธใ์ น
ข้อมูลได้หลายวิธี โดยใช้ผู้วิเคราะห์ หรือตีความหมายข้อมูลแตกต่างกัน( data analyst/interpreter
triangulation) การตรวจสอบโดยตัวอยา่ งผู้ใหข้ อ้ มลู การวจิ ยั (member checks) การตรวจสอบโดยกลมุ่ เพ่ือน
นักวิจัย(peer debriefing) และการตรวจสอบโดยใช้หลักฐานร่องรอย(audit trail)ต่างๆ ที่เกิดข้ึนจากการทำ
วิจัย เช่น สมุดบันทึกการสังเกตการณ์ในภาคสนาม(field note) และใบสำเนาถอดเสียงถ้อยคำให้สัมภาษณ์
(interview transcript)๒๗
๒๗องอาจ นัยพัฒน์, วิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์,
พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร: สามลดา.องอาจ นัยพัฒน์, ๒๕๕๑), หน้า ๒๕๒.
ระเบยี บวิธวี จิ ยั ช้ันสงู วา่ ดว้ ยสนั ติภาพ ๒๘๗
๘.๔ ปจั จัยท่ีส่งผลต่อความคลาดเคล่ือนของการวัด
กล่าวได้ว่าคุณภาพเครื่องมือวิจัยเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อความคลาดเคลื่อนในการวัด แต่ก็
ไมไ่ ด้หมายความวา่ เครือ่ งมอื วจิ ยั เป็นปัจจยั เดียวทส่ี ่งผลใหเ้ กิดความคลาดเคลอ่ื นในการวดั ยังมีปัจจยั อื่นอกี ซ่ึง
นกั วิจัยจะต้องศึกษาทำความเขา้ ใจเพือ่ เตรียมการปอ้ งกันเหตทุ ่ีทำใหก้ ารวัดเกดิ ความคลาดเคลื่อน
๑) ความคาดเคล่อื นท่ีเกดิ จากเครื่องมอื วิจยั (Instrument)
๑.๑) ความคลุมเครอื (Ambiguous) ของคำถาม ทำให้ผตู้ อบเข้าใจคำถามผดิ เชน่ คำถามเชิง
นิเสธ, คำถามใช้ Technical Term, คำถามมีหลายนยั อยดู่ ้วยกันคำถามวกวน สลบั ไปมา/ใช้ภาษาไมถ่ กู ตอ้ ง
๑.๒) เครอ่ื งมือขาดคุณภาพ – ทงั้ ความตรงและความเทยี่ ง
-ขาดความตรง เชน่ คำถามไมต่ รงทฤษฎี ไมต่ รงประเดน็ ไม่ตอบวัตถุประสงค์
-ขาดความเทย่ี ง เชน่ เครือ่ งมอื วัดเสีย ขาดการนำไปทดลอง
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของเครื่องมือวิจัยFraenkel and
Wallen (๑๙๙๓) สรุปไว้ดังนี้มดี งั น้ี๒๘
๑) เครอื่ งมอื วดั ผลที่ ไม่มีความเทยี่ งตรงยอ่ มไม่มคี วามเชื่อมน่ั
๒) เคร่ืองมือวัดผลมีความเทีย่ งตรงและความเชือ่ มนั่ ปานกลาง
๒๘สมชาย วรกจิ เกษมสกุล, ระเบียบวธิ กี ารวจิ ัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์,หน้า ๒๘๗-๒๘๘.
๒๘๘ Advanced Research Methodology on Peace
๓) เครื่องมือวดั ผลบางประเภทมีความเช่ือม่นั ปานกลางแต่จะมีความเท่ยี งตรงตำ่
๔) เครอ่ื งมอื วดั ผลบางประเภทมคี วามเชื่อมน่ั สงู แตจ่ ะมีความเทย่ี งตรงต่ำ
๕) เครอ่ื งมือวัดผลทต่ี ้องการคอื เครอ่ื งมือที่มคี วามเท่ียงตรงสูงและความเช่ือมั่นสูง
๒) เกิดจากการใช้เครื่องมือ (Instrument Administration)ได้แก่ ความไม่พร้อมของผู้วิจยั
และผู้ช่วยวิจยั เช่น เมื่อยล้า กังวลเบื่อหนา่ ยมีโรครบกวนต้องการพักผ่อนฯ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของทีมวจิ ยั มี
ประสบการณ์วิจัยตา่ งกนั ซึง่ จะสง่ ผลให้การสงั เกตต่างกนั การสัมภาษณต์ า่ งกนั การแปลความหมายต่างกันการ
สนทนากลมุ่ ตา่ งกันการบนั ทกึ ขอ้ มลู ต่างกันฯ
๓) ปญั หาทกั ษะการใช้เครือ่ งมอื (Skill Problems)เปน็ เร่อื งของการท่ีเคร่ืองมอื มคี วามซับซอ้ น
ต้องอาศัยผู้ชำนาญการ หรือการใช้เครื่องมือหลายชนิด แต่มีผู้ชำนาญชนิดเดียวการบันทึกพฤติกรรมทาง
จิตวิทยาที่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการสัมภาษณ์เชิงลึกเชิงสภาวธรรม หรือเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น เครื่องมือ
บางอยา่ งมคี วามพิเศษตอ้ งอาศยั ผเู้ ช่ยี วชาญหรอื ชำนาญในการใชเ้ คร่อื งมือน้นั ๆ
ระเบียบวธิ วี จิ ัยชั้นสูงว่าด้วยสนั ติภาพ ๒๘๙
๔) การใช้เครื่องมือหรอื วิธีการไมเ่ หมาะสมกับตัวแปรทศี่ กึ ษา (Inappropriate Method)เช่น
จะวัดพฤติกรรม แต่ใช้เครื่องมือสอบถามความคิดเห็นหรือ การวัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแต่กลับให้
รายงานเองการวดั ความมศี ลี ธรรมดว้ ยการทดสอบรา่ งกาย หรือการวดั ความเขา้ ใจแตไ่ ปถามความพึงพอใจ เปน็
ต้น
▪ วิธีลดความคลาดเคล่ือนจากการวัด
๑) เกดิ จากเคร่ืองมอื วจิ ัย (Instrument)ด้วย
-คำช้ีแจงในการตอบแบบสอบถาม มีความชดั เจน ภาษาเขา้ ใจงา่ ยสำหรบั ผตู้ อบ
-ใชว้ ิธรี วบรวมขอ้ มลู มากกวา่ ๑ วธิ ี เช่น สมั ภาษณ์+สงั เกต, สังเกต+ถาม, สอบถาม+วดั
-สร้างความพร้อมให้แก่ทมี วิจัยทัง้ ดา้ นความรู้ ขอ้ มลู สภาพรา่ งกาย จติ ใจ
๒) คณุ ภาพเครอ่ื งมอื วิจัย ดว้ ยการสรา้ งเครือ่ งมอื ใหเ้ ท่ียงตรง (Validity) ไดแ้ ก่
-Construct Validity :การปรับตวั แปรทใ่ี กล้เคียงใหเ้ ข้าด้วยกันดว้ ยวธิ ที างสถิติ
-Concurrent Validity :ใช้เกณฑ์ปัจจบุ ันในการวัด แบบวัดมาตรฐาน
-Predictive Validity :ทำนายได้ว่า หากมคี ำตอบเช่นน้ีกจ็ ะเป็นไปตามผลทคี่ าดหมาย
-Content Validity : ตรงตามเนือ้ หา ในทฤษฎี นิยาม ตวั แปร (CVI)
เครื่องมือเทย่ี ง (Reliability) ได้แก่
-Internal Consistency :การหาความสอดคล้องภายใน (ใชส้ ตู รทางสถติ )ิ
-Stability :การหาความคงท่ี (วัดซำ้ )
-Equivalence : การหาความเทา่ เทยี ม (เทียบเคยี ง)
๓) แกป้ ัญหาขาดทักษะการใช้เคร่ืองมือ (Skill Problems)ด้วย
-หาทีมวจิ ยั ท่มี ีทกั ษะการใชเ้ คร่อื งมอื
-ขออนเุ คราะหผ์ ้ทู รงคณุ วุฒทิ ม่ี ปี ระสบการณช์ ่วยตรวจสอบ
-หาทมี วิจยั ท่มี ปี ระสบการณ์และความรู้ในด้านเกี่ยวขอ้ ง
๔) ลดความคลาดเคลื่อนการใช้เครื่องมือหรือวิธีการไม่เหมาะสมกับตัวแปรที่ศึกษา
(Inappropriate Method)ด้วย
-ศึกษาเรียนร้แู ละเขา้ ใจเครือ่ งมอื แต่ละชนดิ ที่ใช้กับวิจยั แต่ละประเภท
-ศึกษาเรียนรู้ และเขา้ ใจเคร่ืองมอื ทีเ่ หมาะสมแตล่ ะวัตถปุ ระสงคแ์ ละตัวแปร
๒๙๐ Advanced Research Methodology on Peace
๕) ลดอคติ (Decrease Bias)เกี่ยวกับการเลือกกลุ่มตัวอย่าง การเก็บข้อมูล การคำนึงถึงตวั แปร
แทรกซ้อน ซงึ่ ส่งิ เหล่าน้มี ีเหตมุ าจากอคตขิ องผวู้ ิจัย ซึ่งทำให้การเดินไปผดิ ทางบนหนทางแหง่ การทำวิจัย การ
ดำเนินการทผ่ี ิดทางส่งผลทำใหผ้ ลการวจิ ยั คลาดเคล่อื นจากความเปน็ จรงิ ๒๙
๘.๕ สรปุ
กล่าวได้ว่าการรู้จักเคร่ืองมือวิจัยจะช่วยให้นักวิจัยสามารถออกเดินทางในเสน้ ทางสำรวจค้นหา
คำตอบงานวิจัยได้อย่างมั่นใจขึ้น สิ่งที่ควรระลึกไว้เสมอคือ ถึงแม้เครื่องมือวิจัยจะมีมากให้เลือกได้ตามการ
ออกแบบวิจยั ที่วางไว้ แต่เครื่องมือเหล่านั้นอาจด้อยประสิทธิภาพหากว่าการสร้างเครือ่ งมอื วิจยั ไม่มีคุณภาพ
ขาดความเทีย่ งและความตรงในการวดั ซง่ึ สำหรับการวจิ ยั เชิงปรมิ าณถอื วา่ เปน็ เรอ่ื งทส่ี ำคญั มาก เพราะจะสง่ ผล
เชือ่ มโยงในการนำไปวเิ คราะห์ทางสถิติและการพสิ จู นส์ มมตุ ิฐานการวิจยั ที่นำไปสู่การตอบคำถามวิจัยอาจคาด
เคลื่อนได้ การตระหนักถึงประเด็นการการสรา้ ง การตรวจสอบเครื่องมือวิจัยในการวิจัยเชิงปริมาณเป็นส่งิ ท่ี
สำคัญ และนักวิจยั ควรจะมอี งคค์ วามรเู้ กีย่ วกบั สถติ ิทีใ่ นการวเิ คราะห์ตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมือวจิ ัย
อยา่ งไรกต็ าม แม้ว่าในการวจิ ยั เชิงคุณภาพเครือ่ งมอื วิจัยทส่ี ำคญั ที่สุดคือนกั วจิ ยั แต่ไม่ได้หมายถึง
นกั วจิ ัยจะสามารถทำอยา่ งไรกไ็ ด้ในการแสวงหาข้อมูล ซง่ึ เครื่องมือวิจัยทชี่ ่วยให้เขา้ ถงึ ข้อมูลในเชิงลึกท่ีเด่น ๆ
คือ การสัมภาษณ์ และการสังเกตการณ์ การจดบันทึก เครื่องมือเหล่านี้แม้ว่าไม่ได้อาศัยหลักตรวจสอบ
เครือ่ งมืออย่างเขม้ งวดเหมอื นงานวจิ ัยเชงิ ปริมาณ แตก่ ย็ งั ต้องสร้างเครื่องมือเหลา่ นนั้ ภายใต้หลักความตรงเชิง
เนอ้ื หาและเชงิ โครงสรา้ ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตอบคำถามวจิ ยั ซ่ึงเปน็ หัวใจสำคญั การตรวจสอบแบบสามเส้า
ในการวิจัยเชงิ คณุ ภาพ จึงนับว่าเป็นสิ่งที่มาช่วยใหง้ านวิจัยเชิงคุณภาพมีระบบและดนู ่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่ ถึงกับ
เคร่งครดั เกนิ ไปยังคงกลนิ่ ไอของงานวจิ ัยเชิงคุณภาพใหไ้ ด้เหน็ ท้งั น้เี ม่อื มานกั วิจัยทราบถงึ เคร่ืองมอื การวจิ ัยแลว้
ในบทต่อไปจะเกี่ยวข้องกับการรวบรวม การวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งถือว่าเป็นปลายน้ำของการศึกษาวิจัยและมี
ความสำคญั ไม่ยิง่ หยอ่ นไปกว่ากระบวนการวจิ ัยในขั้นอื่นๆ
๒๙สุวิญ รกั สตั ย,์ ปัจจัยท่มี ีผลต่อความคลาดเคลอื่ นของการวัด, เอกสารประกอบการอบรมโครงการฝึกอบรม
“สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่” (ลูกไก่), เครือข่ายมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัย
แหง่ ชาติ (วช.), ๒๕๕๙.
ระเบยี บวิธีวิจัยชั้นสงู วา่ ด้วยสันตภิ าพ ๒๙๑
คำถามทบทวนบทท่ี ๘
๑) จงร่วมกนั อธบิ ายถึงคณุ ลกั ษณะสำคัญของเคร่อื งมือวิจัยแต่ละประเภท
๒) จงร่วมกนั อธบิ ายถงึ หลกั การสำคญั การสรา้ งเครอ่ื งมอื วจิ ัยใหม้ ีคุณภาพ
๓) จงรว่ มกันอธบิ ายถงึ หลกั การตรวจสอบเครอ่ื งมอื วิจัย
๔) จงร่วมกนั อธบิ ายความแตกต่างระหว่างเครือ่ งมอื วิจัยการวจิ ยั เชิงปรมิ าณและการวิจัย
เชิงคุณภาพ
๕) จงร่วมกนั ทบทวนศัพท์งานวิจยั ในบทเรยี น
กิจกรรมมอบหมายท้ายบทเรียน
๑) การทำสะท้อนคดิ
๒) การสง่ การวิเคราะห์เครอ่ื งมือวิจัยเชิงปรมิ าณและเชิงคุณภาพทเ่ี ตรียมไว้
๓) การเตรียมตัวอย่างงานวจิ ัยเชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพอย่างละ ๑ เรอื่ ง
๒๙๒ Advanced Research Methodology on Peace
เอกสารอ้างอิงประจำบท
กลุ ชลี จงเจรญิ และนิตยา ภัสสรศริ ิ. (๒๕๖๐).การออกแบบและการวางแผนการวจิ ัย.
มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช.[ออนไลน์]. แหล่งทีม่ า:http://www:edu.stou.ac.th /Upload
edFile/9.pdf.[๒๕ เม.ย ๒๕๖๑].
ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์. (๒๕๕๙).ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือวิจัยที่มีคุณภาพ.เอกสารประกอบการอบรม
โครงการฝึกอบรม “สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่” (ลูกไก่). เครือข่ายมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั ร่วมกบั สำนกั งานคณะกรรมการวิจัยแหง่ ชาติ (วช.).
________. (๒๕๕๘). ความหลากหลายทางชาตพิ ันธุ์กับวิถีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสขุ ในประชาคมอาเซียน:
กรณีศึกษานิสิตประเทศไทยและนิสิตกลุ่มประเทศ CLMV ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย (ส่วนกลาง)”, รายงานวิจัย. ศูนย์อาเซียนศึกษา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย.
จิตตริ ัตน์ แสงเลศิ อทุ ยั . (๒๕๕๘).เครื่องมือทีใ่ ช้ในการวจิ ยั .วารสารบณั ฑติ ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร
,ปีที่ ๑๒ ฉบับท่ี ๕๘ กรกฎาคม-กนั ยายน: ๑๓-๒๔.
ชาย โพธิสิตา. (๒๕๕๔).ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ ๕,กรุงเทพมหานคร :บริษทั
อมรนิ ทร์พร้นิ ต้งิ แอนดพ์ ับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).
บุรทิน ขำภิรัฐ. (๒๕๕๕).การพัฒนาเครื่องมือวิจัย.สาขาวิชาศึกษาทั่วไป: สำนักวิชาเทคโนโลยีสังคม
ม ห า ว ิ ท ย า ล ั ย เ ท ค โ น โ ล ย ี ส ุ ร น า รี , ๒ ๕ ๕ ๕ ) . [อ อ น ไ ล น์ ]. แ ห ล ่ ง ท ี ่ ม า :http://cste.
sut.ac.th/cste/web1/web/link/YtTHBZsmLQVq.pdf.[๒๕ เม.ย.๒๕๖๑].
ประวิต เอราวรรณ์. (๒๕๖๑).การวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ.[ออนไลน]์ .แหลง่ ทม่ี า: http://www.udru.ac.th/kmudru/
document/research2.pdf.[๒๕ เม.ย. ๒๕๖๑].
วรรณี แกมเกตุ. (๒๕๕๑).วธิ วี ทิ ยาการวจิ ยั ทางพฤตกิ รรมศาสตร์. พมิ พค์ รงั้ ที่ ๒,กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์
แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
สมชาย วรกิจเกษมสกุล. (๒๕๕๙).ระเบียบวธิ กี ารวจิ ัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสงั คมศาสตร.์ คณะครุศาสตร์:
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อดุ รธานี.
สภุ างค์ จนั ทวานิช. (๒๕๕๓).วิธีการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ.พิมพ์ครัง้ ที่ ๑๘. กรุงเทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์แห่ง
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
สุวิญ รักสตั ย์. (๒๕๕๙). ปัจจัยที่มีผลต่อความคลาดเคลื่อนของการวัด.เอกสารประกอบการอบรมโครงการ
ฝึกอบรม “สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่” (ลูกไก่). เครือข่ายมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ร่วมกบั สำนักงานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาติ (วช.).
สุวมิ ล ติรกานนท์. (๒๕๕๑).การสร้างเครอ่ื งมอื วัดตัวแปรในการวิจัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางส่กู ารปฏิบัติ.
กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ ห่งมหาจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ระเบยี บวธิ ีวิจยั ชั้นสงู วา่ ด้วยสนั ติภาพ ๒๙๓
องอาจ นัยพัฒน์. (๒๕๕๑). วิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทางพฤติกรรมศาสตร์และ
สงั คมศาสตร์.พิมพค์ ร้งั ที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: สามลดา.
บทท่ี ๙
การรวบรวมขอ้ มูล วเิ คราะหข์ อ้ มลู และอภิปรายผล
บทนำ
การรวบรวมข้อมูลนับว่าเป็นขั้นตอนที่เกือบสุดปลายนำ้ ของการเดนิ ทางในการบรรลุผลการวิจยั
ซง่ึ เป็นเร่อื งทเี่ ปรยี บได้กบั การอุดกระชอนร่ัว เพราะต่อใหน้ กั วิจัยสามารถหาข้อมลู หรือวัตถดุ บิ ทเ่ี ป็นเคร่ืองปรุง
ในการวิเคราะห์ผลการวิจัยมาได้ แตเ่ ก็บไม่หมดหรอื มีสาระสำคัญหายไป กอ็ าจทำให้ลดทอนประสทิ ธภิ าพและ
คุณภาพของผลการวิเคราะห์ข้อมูลได้ การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนการวิจัยที่เชื่อมโยง สอดคล้องกบั
ขั้นตอนอื่นของการวิจัย ทั้งในด้านของวัตถุประสงค์ คำถามวิจัย แนวคิด กรอบแนวคิด สมมุติฐาน การวัด
ตลอดจนถึงการวิเคราะหข์ อ้ มลู ซ่ึงเปน็ ปลายทางก่อนทีจ่ ะเขียนสรปุ รายงานวจิ ยั และในขณะเดียวกนั เมอ่ื มาถึง
ปลายน้ำ กล่าวคือ การวิเคราะห์ข้อมูล หากนักวิจัยใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ที่ไม่ตรง ไม่สอดรับกับ
วัตถปุ ระสงค์หรอื คำถามวิจัยที่ตัง้ ไว้ กจ็ ะทำใหก้ ระบวนการผลิตการวจิ ยั ทงั้ หมดท่ผี ่านมาแทบจะเรียกได้ว่าไป
กันละเรื่องกบั จดุ มุ่งหมายวิจัยที่ต้ังไว้ตั้งแต่ตน้ ดังนั้นในบทน้ีจะกล่าวถึงการเกบ็ รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์
ข้อมลู ทั้งงานวิจยั เชงิ ปรมิ าณและงานวจิ ัยเชงิ คุณภาพ
๙.๑ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
๙.๑.๑ ทำความเข้าใจเก่ยี วกับข้อมูล
ก่อนจะทราบถึงการเก็บรวบรวมคืออะไร และสำคัญอย่างไร ก่อนอื่นต้องทำการทบทวนความ
เข้าใจของคำวา่ “ข้อมูล” นน้ั มาจากไหน? ข้อมูล คอื ข้อเทจ็ จริง หรือข่าวสาร (Information) ต่างๆ ทอี่ าจจะ
เป็นตัวเลขหรือไม่เป็นตัวเลขก็ได้ หรือกล่าวได้ว่า ข้อมูลมีทั้งที่เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ และข้อมูลเชิงปริมาณ
ขอ้ มูลทใ่ี ช้เพื่อการวิจัยเปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื ขา่ วสารทเี่ กยี่ วกับตัวแปรหรอื สงิ่ ทจี่ ะนำมาเปน็ หลกั ฐานเพ่อื ใช้ในการ
บรรยายประเด็นตา่ งๆ ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับปญั หาวิจยั แหลง่ ทีม่ าของขอ้ มลู วิจยั มีหลายครง้ั ที่ผูศ้ ึกษายังสบั สนเกยี่ วกบั
แหล่งที่มาของข้อมูลวิจัยระหว่างข้อมูลปฐมภูมิกับข้อมูลทุตยิ ภูมิ เวลากล่าวถึง การทบทวนวรรณกรรม หรอื
การไปศึกษาหาข้อมูลท่เี ก่ียวขอ้ งกบั ประเด็นท่สี นใจศกึ ษาท้ังหมด ซ่ึงเป็นสิง่ ท่ีมผี กู้ ล่าวถงึ เกี่ยวกบั ประเด็นที่เรา
สนใจศึกษาไว้ ทั้งในเชิงแนวคิด ผลการวิจัยต่างๆ ซึ่งข้อมูลเหลา่ นี้จะมาก่อนเป็นอันดับแรกๆ ของการทำวิจัย
ทำใหผ้ ู้ศกึ ษาเขา้ ใจวา่ นีค่ อื ข้อมลู ปฐมภูมิ ซงึ่ แทจ้ รงิ แลว้ เปน็ ขอ้ มลู ในระดับทุตยิ ภูมิ แตเ่ ป็นข้อมลู ทผ่ี ูศ้ กึ ษาจะหา
ได้หรือไขว่ควา้ ไดก้ อ่ นท่ีจะได้ศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองเปน็ ขอ้ มลู ทีเ่ รียกวา่ ขอ้ มลู ปฐมภูมิ กลา่ วสรปุ คอื
๒๙๕ Advanced Research Methodology on Peace
ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary source) คือข้อมูลใดๆ ท่ีนักวิจัยต้องเกบ็ ขึ้นมาใหม่เพื่อวตั ถุประสงค์
ของการวจิ ยั นัน้ ไม่ใชเ่ ปน็ การรวบรวมสถิตหิ รอื ขอ้ มลู ท่ผี ้อู ่ืนได้ทำการเก็บรวบรวมที่พิมพ์หรือรายงานไปแล้ว๑
เป็นข้อมูลที่นักวิจัยจะต้องเก็บรวบรวมจากผู้ให้ข้อมูล หรือแหล่งที่มาของข้อมูลโดยตรง เป็นข้อมูลท่ีเก็บ
รวบรวมขึ้นใหมจ่ ากแหล่งกำเนิดของขอ้ มูลโดยตรงไม่มีการเปลีย่ นรูปหรอื เปลี่ยนความหมาย เชน่ ข้อมูลที่ได้
จากการสอบถาม การสมั ภาษณ์ การสังเกต และขอ้ มูลทไี่ ดจ้ ากการทดลองในห้องปฏิบตั ิการ เปน็ ต้น
ข้อมูลทตุ ยิ ภูมิ (Secondary source) คือ ขอ้ มูลตา่ งๆ ทมี่ ีอย่แู ล้ว ซ่ึงอาจจะอยู่ในรูปขอ้ มลู ดิบที่
ผู้อื่นได้รวบรวมไว้แล้ว หรือข้อมูลที่ผ่านกรรมวิธีทางข้อมูล หรือการวิเคราะห์มาแล้ว มีทั้งข้อมูลที่เป็น
สารสนเทศหรือเอกสาร เพอ่ื ใชใ้ นการวิจยั คณุ ภาพ หรอื ขอ้ มลู ตัวเลขทีเ่ ป็นตวั เลขสถิติ๒ กลา่ วไดว้ า่ ข้อมูลทุติย
ภูมิ เป็นขอ้ มลู ท่ีนกั วิจัยไมต่ อ้ งเกบ็ รวบรวมจากผ้ใู หข้ ้อมลู หรือแหลง่ ทมี่ าของข้อมลู โดยตรง แต่ได้มาจากข้อมูลที่
ผู้อื่นเก็บรวบรวมไว้แล้ว เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถเก็บรวบรวมจากแหลง่ กำเนิดของข้อมูลได้โดยตรง แต่ได้จาก
แหล่งทร่ี วบรวมขอ้ มูลไวแ้ ลว้ เช่น ขอ้ มลู สถิตติ ่างๆ ทมี่ กี ารบันทึกไว้แลว้ ขอ้ มลู จากรายงานการวจิ ัย บันทึกการ
นิเทศ เป็นต้น ซงึ่ อาจมกี ารเปล่ียนรปู หรือมขี ้อเท็จจรงิ ทีค่ ลาดเคลอื่ นไปจากความเปน็ จริงได้ การนำเอาข้อมูล
เหล่านี้มาใช้เป็นการประหยัดเวลา และค่าใช้จา่ ย แต่ในบางครั้งข้อมูลอาจจะไม่ตรงกบั ความตอ้ งการของผู้ใช้
หรือมรี ายละเอียดไม่เพยี งพอท่ีจะนาไปวิเคราะห์
๙.๑.๒ ความหมายและความสำคัญของการเก็บรวบรวมข้อมลู
การเก็บรวบรวมข้อมลู เปน็ กระบวนการทม่ี ีระบบ ขน้ั ตอนในการดำเนนิ การของการวจิ ยั เพื่อให้ได้
ข้อมลู ท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากแหล่งขอ้ มลู ท่กี ำหนดไว้ที่จะนำมาวเิ คราะห์ในการตอบปัญหาการวิจัย
ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ๓เปน็ การค้นหาคำตอบของปัญหาในการวจิ ยั ซง่ึ เป็นขัน้ ตอนการปฏิบตั ิที่นักวจิ ยั จะต้องใช้
เทคนิค และวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลหรือข่าวสารที่ต้องการอย่างสมบูรณ์ ถูกต้อง และน่าเชื่อถือ๔
เพ่ือให้ได้ขอ้ มูลทีจ่ ะนำไปประมวลผล และวเิ คราะห์ผลข้อมูลตรงตามที่ระบไุ วใ้ นวตั ถุประสงค์๕
๙.๑.๓ ลักษณะสำคญั ของการการเก็บรวบรวมข้อมูล
ลกั ษณะสำคัญของการเก็บรวบรวมขอ้ มูลท่ดี ีตอ่ การวจิ ัย มีดังน้ี
(๑) จะตอ้ งสนองตอบต่อวัตถุประสงค์ของการวิจัยอย่างครบถ้วน โดยหลงั จากผ้วู จิ ยั วางแผนการ
เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเสรจ็ แลว้ ควรพิจารณาวา่ ขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ ีความครอบคลมุ วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย หรอื ไม่
๑สมชายวรกิจเกษมสกุล, ระเบียบวิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์,(คณะครุศาสตร์:
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี, ๒๕๕๙), หน้า ๓๔๖.
๒เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๓๔๔.
๓Kerlinger, N.F.,Foundations of Behavioral Research. 3 rd ed.,(New York : Holt Rinehard&
Winston,Inc.,1986), p 392.
๔ณรงค์ โพธพิ์ ฤกษานันท,์ ระเบียบวธิ วี ิจัย, (กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัท ธนาเพรส จำกัด, ๒๕๕๐), หน้า ๑๙๒.
๕วิรชั วริ ชั นิภาวรรณ,หลกั การและเทคนิคการเขยี นรายงานวิจยั วทิ ยานิพนธ์ และรายงาน, (กรุงเทพมหานคร
: โฟรเ์ พซ, ๒๕๕๓), หน้า ๔๓.
ระเบียบวิธวี ิจัยช้ันสงู ว่าด้วยสันติภาพ ๒๙๖
(๒) จะต้องสนองตอบต่อการวิจัยตามกรอบแนวคิดการวิจัยและใชใ้ นการทดสอบสมมุติฐานได้
อย่างครบถว้ น
(๓) จะต้องมีการดำเนินการด้วยความระมัดระวัง รอบคอบในการเลือกใช้เครื่องมือในการวิจยั
เพือ่ ให้ได้ขอ้ มลู ตามสภาพความเปน็ จริง
▪ กระบวนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เพื่อการวจิ ัย สามารถแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ดงั น้ี๖
๑) การเก็บข้อมูล (Data Collection) กล่าวคือ ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลใหม่ การเก็บข้อมลู
ปฐมภูมิ เรมิ่ ต้ังแต่การส่งแบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกตและการทดลอง
๒) การรวบรวมข้อมูล (Data Compilation) กล่าวคือ การที่ผู้วิจัยได้นำเอาข้อมูลที่มีหน่วยงาน
หรือบุคคลทำการจัดเก็บข้อมลู เหล่านั้นไว้ในรปู ของรายงานซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทตุ ยิ ภมู ิทีย่ ังไม่มีการเรียบเรียง
ตพี มิ พ์หรือเผยแพรแ่ ต่อย่างใด
๙.๑.๔ การเตรยี มการสำหรับการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ควรไดม้ กี ารเตรียมการสำหรบั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ดังน้ี
๑) วิธีการที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลจะต้องดำเนนิ การตามแผนท่กี ำหนดไว้
โดยอาจใช้เครือ่ งมือประเภทใดประเภทหนึง่ หรือสองประเภท เพื่อให้ไดข้ ้อมูลทีถ่ ูกต้อง ชัดเจน และสมบรู ณ์
มากท่สี ุด
๒) ผู้เก็บรวบรวมข้อมลู ในการวิจยั ใด ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ดีผู้วจิ ัยจะต้องเกบ็ รวมรวมข้อมูลด้วย
ตนเอง เนื่องจากเป็นผู้ที่วางแผน และรู้เรื่อง/ข้อมูลที่จะเก็บรวบรวมได้ดีที่สุด แต่ถ้าในการวิจัยมีผู้ช่ วยเกบ็
รวบรวมขอ้ มลู จะต้องใหค้ ำแนะนำ หรอื คำช้ีแจงใหแ้ กผ่ เู้ ก็บรวบรวมข้อมลู ไดเ้ ขา้ ใจวิธกี ารและข้อมูลที่ต้องการ
เกบ็ รวบรวม เพือ่ ให้การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลมีความถกู ต้อง ครบถว้ นและปราศจากความลำเอยี ง
๓) ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ งในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล จะตอ้ งทราบว่าเป็นใคร จำนวนเท่าไร อยู่
ท่ไี หน ทจ่ี ะปรากฏในแผนการดำเนนิ การวจิ ยั ทจ่ี ะตอ้ งกำหนดให้ชดั เจนวา่ จะเก็บรวบรวมข้อมูลดว้ ยตนเอง หรอื
จดั สง่ ทางไปรษณยี ์ หรอื ใชผ้ ้ชู ว่ ยผู้วจิ ัย
๔) ลักษณะเฉพาะของผ้ใู ห้ขอ้ มูล เปน็ ลักษณะของผู้ให้ข้อมลู ที่ผวู้ จิ ัยจะตอ้ งรบั ทราบว่าเป็นอย่างไร
โดยเฉพาะเวลาทจ่ี ะให้แกผ่ วู้ ิจยั ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
๕) กำหนดระยะเวลาในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล จะตอ้ งทราบว่าจะเก็บข้อมูลในชว่ งใดท่ีสอดคล้อง
กบั ประชากรและกลุม่ ตัวอย่างท่คี วรจะต้องมกี ารวางแผนดำเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมูลว่าจะใช้เวลาในการเก็บ
รวบรวมข้อมูลเทา่ ไร ใชง้ บประมาณและแรงงานในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลมากนอ้ ยเพยี งใด
๖) จำนวนข้อมลู ที่ได้รับคืนจากการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยเฉพาะจากการจัดสง่ แบบสอบถามทาง
ไปรษณีย์จะต้องได้รับกลบั คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของแบบสอบถามทีจ่ ัดส่งทัง้ หมด และถ้ารวมกับจำนวน
๖วนิดา วาดเี จริญและคณะ, ระเบียบวิธีวิจัยจากแนวคดิ ทฤษฎีสภู่ าคปฏบิ ัติ, (กรุงเทพมหานคร : ซเี อ็ดยูเคชั่น,
๒๕๖๐), หน้า ๓๔-๓๖.
๒๙๗ Advanced Research Methodology on Peace
ข้อมูลที่เก็บรวบรวมดว้ ยตนเองจะมีการสูญหายของข้อมลู ได้ไมเ่ กินรอ้ ยละ ๕ จึงจะเป็นขอ้ มูลที่เพียงพอและ
น่าเช่ือถอื ท่ีจะนำมาวิเคราะห์สรุปผลการวิจยั
๗) การตรวจสอบความเรยี บรอ้ ยของข้อมลู ท่ไี ด้จากการเกบ็ รวบรวมข้อมลู เมือ่ ได้รับขอ้ มลู กลับคนื
แล้วจะต้องตรวจสอบความสมบรู ณ์ของข้อมูลว่ามีความครบถ้วนตามท่ีต้องการหรือไม่ถ้าตรวจสอบแลว้ พบว่ามี
การไม่ตอบในบางประเด็นอาจจะต้องมีการติดตามเป็นการเฉพาะรายบุคคลอย่างเร่งด่วน แต่ถ้าไม่สามารถ
ดำเนินการได้หรือพจิ ารณาแล้วว่ามคี วามไม่สมบูรณข์ องขอ้ มลู ให้นำข้อมลู ชดุ น้ันออกจากการวิเคราะห์ขอ้ มูล๗
๙.๑.๕ ขน้ั ตอนในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู
ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จำแนกเปน็ ขนั้ ตอนดงั นี้
๑) กำหนดข้อมูลและตัวชี้วัด เป็นการกำหนดว่าข้อมูลที่ต้องการมีอะไรบ้างโดยการศึกษาและ
วเิ คราะหจ์ ากวตั ถปุ ระสงค์หรือปญั หาของการวิจยั ว่ามตี วั แปรอะไรบา้ งทเี่ ป็นตวั แปรอิสระ ตัวแปรตาม และตัว
แปรทเี่ ก่ียวข้อง และจะใช้อะไรเป็นตัวชีว้ ัดจึงจะไดข้ อ้ มลู ทีส่ อดคล้องกบั สภาพความเปน็ จริง
๒) กำหนดแหล่งข้อมูล เปน็ การกำหนดวา่ แหลง่ ข้อมลู หรือผู้ใหข้ อ้ มลู เปน็ ใครอยู่ท่ีไหน มีขอบเขต
เทา่ ไร ที่จะต้องกำหนดให้ชัดเจน และเป็นแหลง่ ข้อมลู ปฐมภูมิหรือทุติย-ภูมิ แล้วจะต้องพิจารณาวา่ แหลง่ ข้อมูล
นนั้ ๆ สามารถท่ีจะให้ข้อมลู ได้อยา่ งครบถ้วนหรือไม่
๓) กำหนดกลุ่มตัวอย่าง เป็นการเลือกใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างเหมาะสม และขนาดของกล่มุ
ตัวอย่างทีเ่ หมาะสม
๔) เลือกวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล จะต้องเลือกใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสม
(แหลง่ ขอ้ มลู /ขนาดกลุม่ ตวั อยา่ ง/การวเิ คราะหข์ ้อมูล) ประหยดั ไดข้ อ้ มูลอย่างครบถ้วนมีมากเพียงพอและเป็น
ขอ้ มูลทีเ่ ช่ือถือได้
๕) นำเครื่องมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลไปทดลองใช้ เป็นการทดลองใช้เครอื่ งมอื ทส่ี รา้ งข้ึนหรือนำของ
คนอืน่ มาใช้กับกลุ่มตวั อย่างขนาดเล็ก เพอ่ื นำข้อมูลมาวเิ คราะห์ตรวจสอบคณุ ภาพทจี่ ะต้องปรับปรุงและแก้ไข
ใหอ้ ยู่ในสภาพทสี่ ามารถเก็บรวบรวมข้อมูลไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
๖) ออกภาคสนาม เปน็ การดำเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ตามแผนการและกำหนดการทจ่ี ัดเตรียม
ไว้และปรับเปล่ียนวิธีการตามสถานการณ์ทีเ่ ปลีย่ นแปลง เพ่ือใหไ้ ด้รับข้อมลู กลับคนื มามากท่ีสุด
๙.๑.๖ ปัจจยั ท่ีเกี่ยวข้องกับการพจิ ารณาเลือกเครื่องมอื และวธิ ีการในการเก็บรวบรวมข้อมลู
ในการพจิ ารณาเลือกเครื่องมือและวธิ ีการในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู มีปจั จัยท่ีเก่ยี วขอ้ ง ดังนี้
๑) ลกั ษณะของปญั หาการวิจัยทจ่ี ะต้องชัดเจน ทีจ่ ะช่วยใหท้ ราบประเด็นสำคญั กลุ่มเป้าหมายที่
จะเป็นกฎเกณฑเ์ บื้องตน้ ในการเลอื กใชเ้ ครือ่ งมือและวธิ ีการในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเพือ่ ตอบปัญหาการวจิ ยั
๗บญุ ธรรม จติ ตอ์ นนั ต์, การวจิ ัยทางสงั คมศาสตร์, พิมพค์ รัง้ ท่ี ๓,(กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
, ๒๕๔๖), หนา้ ๙๑-๙๒.
ระเบียบวิธวี ิจัยชั้นสูงว่าด้วยสันติภาพ ๒๙๘
๒) กรอบแนวคดิ ทฤษฎีทเ่ี ก่ียวขอ้ ง จะช่วยใหเ้ หน็ แนวทางของการวจิ ัยในประเด็นใดๆ ในอดตี ว่าใช้
ระเบียบการวจิ ัยอย่างไรในการดำเนินการวัดตวั แปรน้ันๆ
๓) ระเบยี บวิธีวิจัยท่ีแต่ละรูปแบบจะมีหลักการ ประเด็นคำถามและแนวทางในการเก็บรวบรวม
ขอ้ มลู อย่แู ลว้
๔) หน่วยการวเิ คราะห์ ไดแ้ ก่ บคุ คล กลุม่ บคุ คล วตั ถุ ทใี่ ช้เปน็ “เปา้ หมาย” ในการดำเนินการเกบ็
รวบรวมข้อมูลตามตวั แปรทก่ี ำหนดตามเครื่องมอื และวิธกี ารท่ีสอดคล้องกับหนว่ ยการวิเคราะห์
๕) ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง เพอ่ื พจิ ารณาการใชเ้ วลาและงบประมาณในการวจิ ยั
๖) คุณสมบตั เิ ฉพาะของกลุ่มตวั อย่าง อาทิ กลุ่มตัวอย่างที่เปน็ เด็กเลก็ จะต้องใชว้ ิธีการสมั ภาษณ์
หรือการสังเกตแทนการใชแ้ บบสอบถาม เปน็ ต้น๘
๙.๑.๗ ความสมั พันธ์ระหว่างขนั้ ตอนการเกบ็ ขอ้ มลู กบั ขั้นตอนอ่นื ๆ
ดงั ทกี่ ลา่ วไวต้ อนตน้ ว่า ขน้ั ตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมลู มีความสำคญั ที่เชือ่ มโยงข้ันตอนต่างๆ ของ
การวิจัย ถึงแม้ว่าจะไมใ่ ชเ่ ป็นหัวใจหรือแผนท่ีในการทำวิจัย แต่ก็ความส่งผลต่อข้ันตอนวิจัยในขัน้ ต่างๆ ซึ่ง สุ
ชาติ ประสิทธิรัฐสินธ์ ได้นำเสนอไว้ ๔ ประเด็นสำคญั ที่แสดงถงึ ความเชื่อมโยงของการเก็บรวบรวมขอ้ มูลกบั
วัตถุประสงค์การวิจัย กรอบแนวคิด การประมวลและการวิเคราะห์ข้อมูล และการรายผลการวิจัย สรุปเปน็
แผนภาพไว้ดังน้ี๙
ภาพท่ี ๙.๑ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งขน้ั ตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลกับข้ันตอนวจิ ัยอนื่ ๆ
วตั ถุประสงค์ของ การประมวลและการ
การวจิ ยั วิเคราะห์ขอ้ มลู
การเกบ็ รวบ
รวมข้อมูล
กรอบแนวความคิด การรายงาน
และสมมุตฐิ าน ผลการวจิ ยั
๘ปาริชาติ สถาปติ านนท์, ระเบียบวิธีวิจัยการสือ่ สาร, พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๒, สำนักพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๔๖), หน้า ๑๖๓-๑๖๕.
๙สุชาติ ประสิทธร์ิ ัฐสนิ ธ์, ระเบียบวิธีการวิจยั ทางสังคมศาสตร์, หน้า ๓๕๔.
๒๙๙ Advanced Research Methodology on Peace
ถา้ ดจู ากแผนภาพซ่งึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ว่า การเกบ็ รวบรวมข้อมูลนัน้ สมั พันธก์ ับวัตถุประสงค์การวิจัย
และกรอบแนวความคิด สมมุติฐาน ในฐานะเป็นส่วนที่รับเอาทั้ง ๒ ประเด็นมาใคร่ครวญในการการจะเก็บ
รวบรวมข้อมลู อย่างไร (ประเดน็ ขน้ั ตอนย่อย ๆ ขอข้ามไปเช่นการสรา้ งเครอื่ งมือเพอ่ื ใหเ้ นอ้ื หากระชับ) และเมือ่
เก็บรวบรวมขอ้ มูลมามาแล้วตามที่สอดคล้องกบั วัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย และกรอบแนวความคิดและสมมุติฐาน
วิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูลจะกลายเป็นท่อส่งหรือต้นทางที่นำไปถึงการประมวลและการวิเคราะห์ผลข้อมูล
และการรายงานผลการวจิ ยั รายละเอียดของความสัมพนั ธ์ระหว่างการรวบรวมขอ้ มูลกบั ขั้นตอนวิจยั ทง้ั ๔ ขั้น
ผเู้ ขียนนำแนวคดิ ของ สชุ าติ ประสทิ ธิรฐั สินธ์ มาสรปุ ไวด้ ังนี้
การเก็บรวบรวมข้อมูลกับวัตถุประสงค์การวิจัย: ในการเก็บรวบรวมข้อมูลสิ่งท่ีนักวิจัยจะต้อง
ระลึกอยู่เสมอคอื ขอ้ มูลทเี่ ก็บรวบรวมน้นั จะตอ้ งตอบสนองความต้องการด้านขอ้ มูลของวัตถุประสงค์การวิจยั ท่ี
ได้ระบไุ วไ้ ดอ้ ยา่ งครบถว้ นและพอเพยี ง เชน่ การวจิ ัยท่ีต้องการเปรยี บเทยี บระหว่างกลุม่ สองกลุ่ม ข้อมูลท่ีเก็บ
มาของทั้งสองกลุ่มต้องเปน็ เรื่องเดียวกนั และต้องคำนึงถึงเวลาที่ใกลเ้ คียงกนั ที่สุดเทา่ ที่จะทำได้ หากเปน็ การ
วิจัยการศกึ ษาระยะยาว การเกบ็ ขอ้ มูลต้องมีการเก็บซำ้ และตอ้ งเก็บขอ้ มูลจากหน่วยการศึกษาเดิมให้ได้อย่าง
ครบถว้ นทุกหน่วยและไม่มคี วามคลาดเคลอื่ นอนั เกิดจากการเปลยี่ นแปลงอย่างไม่มีระบบ เปน็ ตน้ นอกจากนีใ้ น
ระหว่างการวิจัย แม้ว่าผู้วิจัยจะมีการเกบ็ รวบรวมข้อมูลสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจยั แล้ว ก็ต้องทำการ
กลบั ไปศกึ ษาวตั ถปุ ระสงคอ์ ีกคร้งั เพอ่ื พิจารณาให้รอบคอบวา่ ขอ้ มลู ที่จดั เก็บและกระบวนการทใ่ี ชเ้ ก็บนน้ั ชว่ ยให้
ไดข้ ้อมลู ตามวัตถุประสงคก์ ารวิจยั หรอื ไม่ ถ้าไม่ก็ต้องปรบั ปรงุ แกไ้ ข กอ่ นทจี่ ะนำข้อมลู ไปวิเคราะห์
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลกับกรอบแนวความคดิ และสมมตุ ฐิ าน: การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู นักวิจัยตอ้ ง
มัน่ ใจวา่ จะเกบ็ ข้อมลู ครบถว้ นเพียงพอทจี่ ะใชใ้ นการศกึ ษาตามกรอบแนวความคดิ หรือในการทดสอบสมมตุ ฐิ าน
ในกรณีทมี่ สี มมุติฐานทีต่ อ้ งทดสอบ นอกเหนือจากการเก็บขอ้ มูลเพื่อตอบสนองวัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย ทั้งนี้หาก
มกี ารทดสอบสมมุตฐิ านในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู นักวจิ ยั จะตอ้ งเก็บข้อมลู ท่เี กีย่ วข้องหรืออาจเกยี่ วข้องในการ
นำมาพิสูจน์สมมุติฐาน ซึ่งหมายถึงการเก็บตัวแปรอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพียงตัวแปรต้นและตัวแปร ตาม และการจะ
ตัดสินว่าจะเก็บข้อมูลอะไรเพิ่มเติมมาจากดุลพินิจนักวิจัยที่ต้องการติดตามวิเคราะห์เพื่อให้แน่ใจเวลานำไป
สรุปผลและการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องที่แสดงให้เห็นว่าจะต้องเก็บข้อมูลตัวแปรเพิ่มเพื่อช่วยในการ
วเิ คราะห์
การเก็บรวบรวมขอ้ มูลกบั การวิเคราะห์: ทงั้ นกี้ ารเกบ็ ขอ้ มลู นกั วจิ ัยจะต้องคำนึงถึงเทคนิคต่างๆ
ที่จะนำมาวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งต้องทำด้วยความรอบคอบเพราะเทคนิคการวิเคราะห์แต่ละวิธีจะเหมาะสม กบั
ข้อมลู บางประเภทเทา่ นั้น
การเก็บรวบรวมข้อมูลกับการรายงานผลการวิจัย: นอกจากเทคนิคของการวิเคราะห์แล้ว
นกั วจิ ัยควรจะคำนงึ ถึงรายงานผลของการวจิ ัยวา่ จะรายงานอย่างไร ซง่ึ มผี ลเกย่ี วข้องโดยตรงกับขอ้ มูลทเ่ี ก็บมา
หากเป็นรายงานวิจัยเป็นเรื่องของชุมชนเฉพาะกรณี เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจะไม่เหมาะสม
ระเบียบวิธีวจิ ัยชั้นสงู ว่าด้วยสนั ติภาพ ๓๐๐
ขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าต้องการเพียงการรวบรวมเรียบเรยี งการให้รหัสประเภทของข้อความตามหัวข้อหรือหวั ขอ้ ย่อยการ
วจิ ยั ๑๐
๙.๒ การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
การวเิ คราะหข์ อ้ มูล เปน็ ขั้นตอนสดุ ทา้ ยก่อนทีจ่ ะทำการสรปุ และเขยี นรายงานซึ่งจะเปน็ ขั้นตอนที่
นกั วจิ ยั จะนำข้อท่ีรวบรวมมาได้ทำการวิเคราะหต์ ามท่ีได้ออกแบบการวิจัย และสอดคล้องกบั วัตถุประสงค์การ
วิจัยท่ีตั้งไว้ ทั้งนี้การวิเคราะห์ข้อมูลหลักๆ จะมีสองแนวทางกล่าวคือ การวิเคราะหข์ ้อมูลเชิงปรมิ าณและการ
วเิ คราะห์ข้อมูลเชงิ คณุ ภาพท่มี ีแนวทางการวิเคราะห์ทแ่ี ตกต่างกันตามระบวนทัศน์การวิจยั ตามที่กล่าวไว้ในบท
ต้นๆอย่างไรกต็ าม มผี ูใ้ หค้ วามหมายการวเิ คราะห์ข้อมลู ท่เี ปน็ ความหมายกลางๆ สามารถสะท้อนใหเ้ หน็ ถึงการ
วิเคราะห์ขอ้ มูลทง้ั การวิจัยเชิงปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพ
การวิเคราะห์ข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) หมายถึง การจัดหมวดหมู่
(Categorizing) การจัดระเบียบ การเรียงลำดับ (Ordering) การจัดกระทำ (Manipulating) และการสรุป
สาระสำคัญ (Summarizing) ของข้อมูลที่ได้จากการวิจัย เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ สังเคราะห์
กลั่นกรองหาข้อเท็จจริง และความเป็นไปของคำตอบสำหรับคำถามการวิจัย ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการ
วิเคราะห์ข้อมูล คือ การลดปริมาณข้อมูล (Data Reduction) ให้ได้ข้อสรุป ที่สามารถทดสอบได้แปล
ความหมายได้และได้สาระที่แสดงถึงความสมั พันธร์ ะหว่างตัวแปร/ปรากฏการณ์ที่นักวิจยั ต้ังการศกึ ษา๑๑ทั้งน้ี
การวเิ คราะหข์ ้อมลู ในสว่ นที่เป็นเน้ือหาการวิเคราะหข์ ้อมลู เชงิ ปริมาณ ซ่งึ เกีย่ วข้องกับเร่อื งของการเลอื กใช้สถติ ิ
ให้เหมาะสมกับการวิจัย ได้กล่าวไว้แล้วในบทท่ี ๖ ดังนั้นเนื้อหาเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลในบทนี้จะขอ
มุ่งเน้นให้เห็นถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจะนำมาสรุปไว้ให้เห็น
ประเดน็ สำคัญพอเป็นสงั เขป
๙.๒.๑ การวิเคราะห์ข้อมลู การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ
สำหรับการวจิ ัยเชงิ ปริมาณ การวเิ คราะห์ข้อมูลจะเปน็ สง่ิ ท่ตี อ้ งระบุไว้ตัง้ แต่การออกแบบการวิจัย
อยู่ในสว่ นของการออกแบบการวเิ คราะห์ข้อมลู (data analysis design) เป็นการวางแผนในการดำเนินการกับ
ข้อมูล อย่างเป็นระบบ เพื่อที่จะได้ใช้ในการตอบปัญหาการวิจัยตามจุดมุ่งหม ายของการวิจัยได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ การออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งของการออกแบบการวิจัย
นักวิจัย สถิติให้สอดคล้องและเหมาะสมกบั วตั ถุประสงค์ของการวิจัยให้มากท่ีสุดการเลอื กใช้สถิติค่าใดต้องมี
๑๐สมชาย วรกิจเกษมสกุล, ระเบยี บวิธีการวิจยั ทางพฤตกิ รรมศาสตร์และสังคมศาสตร์,หน้า ๓๕๔-๓๖๐.
๑๑วนิดา วาดีเจริญและคณะ, ระเบียบวิธีวจิ ัยจากแนวคดิ ทฤษฎสี ภู่ าคปฏิบัติ, (กรุงเทพมหานคร : ซเี อ็ดยเู คชั่น,
๒๕๖๐), หน้า ๓๐๖.
๓๐๑ Advanced Research Methodology on Peace
ความรู้ ความเข้าใจข้อตกลงเบื้องต้น (assumption) ของสถิติแต่ละค่าด้วย และค่าสถิตินั้นสามารถจะใช้ใน
สถานการณ์อะไรได้บ้าง๑๒
การวเิ คราะห์ข้อมลู ทีใ่ ช้ในการวิจัยมีการแบง่ และจดั กลมุ่ สถิตไิ ว้หลายลักษณะ ไดแ้ ก่ สถติ ิบรรยาย
(descriptive statistics) และสถติ ิอ้างองิ (inferential statistic) และการวิเคราะห์มีทั้งสถิติแบบพารามิเตอร์
(parametric) และแบบนอนพารามิเตอร์ (nonparametric) และการเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
นักวิจัย จะต้องคำนึงถึง (๑) ลักษณะ/ประเภทของข้อมูล (๒) วัตถุประสงค์ขอองการวิจัย และ (๓) ข้อตกลง
เบื้องต้นของ สถิติแต่ละประเภทซ่ึงประเดน็ เหล่านี้ไดแ้ สดงไว้แล้วในบทที่ ๕ ในบทนี้จะกล่าวถึงการวิเคราะห์
ขอ้ มูลเชิงปริมาณด้วย โปรแกรม SPSS
๙.๒.๒ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชิงปรมิ าณดว้ ยโปรแกรม SPSS
SPSS เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้เพื่อการวิเคราะหท์ างสถิติบริษัทจดั จาํ หน่าย SPSS ถูกซื้อ
โดย IBM เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๒และปัจจุบันใชช้ ื่อบริษัทว่า "SPSS: An IBM Company"SPSS เดิมชื่อว่า
"Statistical Package for the Social Sciences" (ชุดโปรแกรมสถิติเพอื่ สงั คมศาสตร์)ออกเผยแพรค่ ร้งั แรกใน
ปี ๒๕๑๑ หลังจากถูกพัฒนาโดย Norman H. Nieและ C. Hadlai Hull Norman Nieในขณะนัน้ เป็นนกั ศกึ ษา
รัฐศาสตร์ภาคบัณฑิตที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์วิจัยที่ภาควิชารัฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และศาสตราจารย์เกียรตคิ ุณสาขารัฐศาสตรท์ ่มี หาวทิ ยาลัยชิคาโก SPSS เป็นหน่ึงใน
โปรแกรมที่นิยมใช้แพร่หลายมากที่สุดสำหรับการวิเคราะห์ทางสถิติในสังคมศาสตร์ถูกใช้โดยนักวิจัยตลาด
นักวิจัยสุขภาพ บริษัทสำรวจความคิดเห็น รัฐบาล นักวิจัยการศึกษา บริษัทการตลาด ฯลฯ คู่มือการใช้งาน
SPSS ฉบบั แรก (Nie, Bent & Hull, ๑๙๗๐) ถกู อธิบายวา่ เปน็ หนงึ่ ใน "หนงั สือทท่ี รงอทิ ธิพลทส่ี ดุ ในสาขาสงั คม
วทิ ยา"
นอกเหนือไปจากการวิเคราะห์ทางสถิติแล้ว การจัดการข้อมูลในปัจจุบัน การเรียนการสอนใน
ระดับบัณฑิตศึกษาทุกสาขา จะต้องมีการทำวิทยานิพนธ์หรือปริญญานิพนธ์หรืองานวิจัย Thesis หรือ
Dissertation เพ่ือนำเสนอขอรบั ปรญิ ญามหาบณั ฑิตหรือดุษฎีบณั ฑิตในสถาบนั ท่ศี ึกษาอยตู่ ลอดจนการทำวิจัย
ของนักวิจัยที่อยู่ในหน่วยงานต่างๆ หรือครูที่ทำวิจัยเพื่อขอเลื่อนตำแหน่ง ปรับเงินเดือน จำเป็นอย่างยิ่งที่
จะต้องมีข้ันตอนของการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทงั้ ข้อมลู ทอ่ี ยู่ในรปู เชงิ คณุ ภาพและขอ้ มลู ท่ีอยู่ในรูปเชงิ ปรมิ าณ แต่ใน
การทำวิจัยทางสาขาการวัดผลและวิจัยทางการศึกษา ข้อมูลส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเชิงปริมาณ โปรแกรม
คอมพวิ เตอรท์ จ่ี ะช่วยผ้วู ิจัยให้สามารถประมวลผลขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ งรวดเร็วและถกู ตอ้ งมอี ยดู่ ้วยกนั หลายโปรแกรม
๑๒กุลชลี จงเจริญและนติ ยา ภัสสรศิริ, การออกแบบและการวางแผนการวจิ ยั ,มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช,
หนา้ ๓๙,[ออนไลน]์ , แหลง่ ท่ีมา:http//www: edu.stou.ac.th /UploadedFile/ 9.pdf>, [๒๑ เมษายน ๒๕๖๑].
ระเบียบวิธวี จิ ัยชั้นสูงวา่ ดว้ ยสนั ติภาพ ๓๐๒
ซงึ่ โปรแกรม SPSS เป็นโปรแกรมหนงึ่ ที่เป็นท่ีนิยมกนั เปน็ ส่วนใหญ่ เนอ่ื งมาจากใชง้ านได้ง่ายและสามารถหามา
ใช้ไดง้ ่าย ใหผ้ ใู้ ช้ได้นำไปประยุกต์ใชไ้ ด้อย่างถูกต้องกับลักษณะงานวจิ ยั ของตน๑๓
สำหรับผู้ศึกษาที่สนใจการวจิ ัยเชงิ ปริมาณ นอกจากควรศกึ ษาหลักการใชส้ ถิติเพม่ิ เตมิ แลว้ ยังควร
ตอ้ งศึกษาการใช้โปรแกรม SPSS ซึง่ มหี นังสือ ตำรา และการอบรมจำนวนมากตามสถาบันการศกึ ษา
๙.๒.๓ การวิเคราะห์ข้อมลู การวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ
ในการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ การวเิ คราะหข์ ้อมลู ตา่ งจากการวิเคราะห์ขอ้ มลู ในการวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณในแง
ที่ว่า ไม่ต้องรอให้การเก็บรวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยเชิงคุณภาพนักวิจัย
สามารถวิเคราะหข์ อ้ มลู ไปพร้อมๆ กบั เกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยไมต่ ้องรอใหก้ ระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลเสร็จ
สิ้นก่อน และกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพยังเป็นกระบวนการที่เกิดยอ้ นไปย้อนมาไดแ้ ละส่งผลต่อ
กนั และกนั โดยมจี ดุ ประสงคเ์ พอ่ื การตอบคำถามวจิ ัยให้ได้ดียง่ิ ขึ้น กล่าวได้วา่ การวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
คอื “การแตกออกแล้วคอ่ ยมารวมทหี ลงั (Stake, 2010)” กลา่ วคอื การแตกขอ้ มลู ออกเป็นสว่ นๆ หรือการให้
รหัส แล้วค่อยนำมารวมกันทีหลังโดยอาศัยลักษณะหรือความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการนำรหัสมา
รวมกันเพ่ือสร้างประเด็นหลกั ในทส่ี ดุ ๑๔
กล่าวไดว้ า่ การวเิ คราะหข์ ้อมูลเชงิ คณุ ภาพ เป็นเรื่องของ “ศาสตรแ์ ละศิลป์” ส่วนที่เปน็ ศาสตร์คือ
เรอื่ งหลกั การและความเครง่ ครดั ในระเบียบวธิ ี ส่วนท่ีเปน็ ศลิ ป์ คือ เร่อื งของการตีความผลการวิเคราะห์ ซง่ึ เป็น
ศิลปะอยา่ งหน่ึงของการทำความเข้าใจสง่ิ ต่างๆ และไมไ่ ด้ผูกติดอยกู่ บั เรอื่ งระเบียบวิธีเพียงอย่างเดียว แต่ต้อง
อาศัยความเข้าใจเชิงทฤษฎี บวกกับความเข้าใจในบริบทของข้อมูล ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์และ
จินตนาการ บนพนื้ ฐานของประสบการณท์ ่ีส่งั สมมาเฉพาะตวั ของนักวจิ ัยดว้ ย๑๕
๙.๒.๔ องค์ประกอบสำคัญของการวเิ คราะหข์ ้อมลู
Milesand Huberman (๑๙๙๔) ได้กล่าวถงึ เกี่ยวกับกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลมีองค์ประกอบ
หลกั ๆ ๓ ประการ คือ
(๑) การจดั ระเบียบขอ้ มลู (data organizing) เป็นกระบวนการจดั การ ด้วยกรรมวธิ ีตา่ งๆ เพอ่ื ทำ
ให้ข้อมูลเป็นระเบียบ ทั้งในทางกายภาพและในทางเนื้อหาพร้อมที่จะแสดงและนำเสนออย่างเป็นระบบใน
ข้ันตอนต่อไป
๑๓คณะกรรมการ KM คณะมนุษยศาสตรและสงั คมศาสตร์, เอกสารเผยแพร่การจัดการความรู้การวิเคราะห์
ข ้ อ ม ู ล เ ช ิ ง ป ร ิ ม า ณ , ห น ้ า ๑ - ๒ , [อ อ น ไ ล น์ ], แ ห ล ่ ง ท ี ่ ม า : http://qa.yru.ac.th/cheqa/qadoc/ Human/
school_year_2556/elements-7/indicat-7.2/7.2-4.3.pdf, [๒๗ เม.ย. ๒๕๖๑]
๑๔ขจรศกั ด์ิ บวั ระพนั ธ์, วจิ ัยเชงิ คุณภาพ, พิมพค์ รงั้ ที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท คอมม่าดีไซน์แอนด์พริ้นท์
จำกดั , ๒๕๕๗, หนา้ ๑๒๓.
๑๕ชาย โพธสิ ิตา, ศาสตร์และศิลป์แหง่ การวิจัยเชิงคุณภาพ, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๕,(กรุงเทพมหานคร :บรษิ ัท อมรินทร์พ
รน้ิ ตง้ิ แอนด์พับลชิ ช่งิ จำกดั (มหาชน), ๒๕๕๔), หน้า ๓๓๖-๓๓๗.
๓๐๓ Advanced Research Methodology on Peace
(๒) การแสดงข้อมูล (data display) เป็นกระบวกการนำเสนอข้อมูล ส่วนใหญ่อยู่ในรปู ของการ
พรรณนา อันเป็นผลมาจาจากการเชื่อมโยงข้อมูลทีจ่ ัดระเบียบแลว้ เข้าด้วยกัน ตามกรอบแนวคิดที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ เพอื่ บอก “เรอ่ื งราว” ของส่ิงทศี่ ึกษาตามความคาดหมายทีข่ อ้ มลู “พูด” ออกมา
(๓) การหาข้อสรุป การตีความและการตรวจสอบความถูกต้องตรงประเด็นของผลการวิจัย
(conclusion, interpretation and verification) เป็นกระบวนการหาข้อสรุปและการตีความหมายของผล
หรือขอ้ ค้นพบท่ไี ดจ้ ากการแสดงขอ้ มลู รวมถึงการตรวจสอบวา่ ขอ้ สรุป/ความหมายทไี่ ดน้ ้นั มีความถูกต้องตรง
ประเด็นและน่าเชื่อถือเพียงใด ข้อสรุปและสิ่งที่ตีความออกมานั้นอาจจะอยู่ในรูปของคำอธิบายกรอบแนวคิด
หรอื ทฤษฎเี กี่ยวกบั เรือ่ งทที่ ำการวิเคราะหน์ ั้น การจดั ระเบยี บข้อมลู นน้ั อาจเกดิ ขึ้นได้ในทกุ ข้ันตอนของการวิจัย
คือ ก่อนการเก็บรวบรวมข้อมูล ระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูล และหลังจากเก็บข้อมูลแล้ว ส่วนอีกสอง
องค์ประกอบที่เหลือ การแสดงข้อมูล การหาข้อสรุป และการตรวจสอบความถูกต้องตรงประเด็น เป็นสิ่งที่
นกั วจิ ยั ควรเร่มิ ทำตั้งแตข่ ้ันตอนทกี่ ำลังเก็บขอ้ มลู อยู่ และควรทำต่อเนือ่ งไปจนถงึ ตอนที่เกบ็ ข้อมูลเสร็จแล้ว การ
วิเคราะห์จะสน้ิ สุดก็ตอ่ เม่ือนักวิจยั ไดเ้ ขยี นและปรบั ปรุงรายงานวจิ ยั จนเป็นที่พอใจแลว้ ๑๖
๙.๒.๕ เทคนิคการวิเคราะหข์ ้อมลู เชิงคุณภาพ
เอ้ือมพร หลนิ เจรญิ ได้นำเสนอบทความเรื่อง เทคนคิ การวิเคราะหข์ อ้ มูลเชงิ คณุ ภาพ ซง่ึ มเี น้ือหาที่
รวบรวมสรุปเป็นประโยชนต์ ่อผศู้ กึ ษาในการทำความเขา้ ใจการวิเคราะห์ขอ้ มลู เชงิ คุณภาพในการเปน็ ท้ังศาสตร์
และศิลป์ในการศกึ ษาทำความเข้าใจและเรียบเรยี งเป็นข้อสรปุ การวิจยั เชิงคณุ ภาพ
๑) การวิเคราะห์โดยการจำแนกชนิดข้อมูล(Typological Analysis)การวิเคราะห์โดยการ
จำแนกชนิดข้อมูล คือ การจำแนกข้อมูลเป็นชนดิ (Typologies) คำว่า “Typologjes” หมายถึง ขั้นตอนของ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในกรณีที่นักวิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมลู แล้ว นักวิจั ยจำเป็นที่จะต้อง
จัดระบบข้อมูลโดยอาศยั หลักเกณฑ์ ที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้น ซึ่งการจำแนกหรือการจดั กลุ่มข้อมูลนี้ แบ่งได้เป็น ๒
ประเภทไดแ้ ก่
๑.๑) การจำแนกข้อมูลในระดับจุลภาคการจำแนกข้อมูลระดับนี้แบ่งเป็น ๒ ประเภทย่อย
ได้แก่ การวิเคราะหค์ ำหลกั (Domain Analysis) กบั การวิเคราะห์สารระบบ (Taxonomy Analysis)
การวิเคราะหค์ ำหลัก หมายถึงการจำแนกจัดกลุ่มคำชุดหน่งึ ใหอ้ ยู่ภายใต้คำอีกชุดหนึ่ง ซ่ึงคำ
ดงั กล่าวนี้มคี วามหมายครอบคลุมคำชุดน้ัน ๆ หรือ อาจกล่าวได้วา่ การวเิ คราะห์คำหลัก เป็นการจัดกลุ่มคำชุด
หนึ่งให้อยู่ร่วมกันโดยอาศัยลักษณะความสัมพันธ์บางอย่างของคำแต่ละคำ ที่นำมาใช้จัดกลุ่ม ทั้งนี้ลักษณะ
ความสัมพันธ์บางอย่างที่ว่านี้เป็นความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมที่บุคคลแต่ละสังคมเป็นผู้จัดจำแนกเช่นคำว่า
“คุณลักษณะครทู ี่ดี” นั้นมิไดห้ มายถงึ ครทู ี่สอนเทา่ นนั้ แตค่ ำนห้ี มายรวมถงึ การเปน็ ผ้ทู ีม่ คี วามสามารถด้านการ
สอน มคี ณุ ธรรมจริยธรรมและบุคลกิ ที่เป็นแบบอย่างแก่นักเรียน มีความเข้าใจด้านจิตวิทยาการเรียนการสอน
สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เป็นต้น ซึ่งถ้าเปรียบเทยี บกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณก็คือการวเิ คราะห์
๑๖เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๓๓๗-๓๓๘.
ระเบียบวธิ วี ิจยั ชั้นสงู วา่ ด้วยสันติภาพ ๓๐๔
องค์ประกอบ (Factor Analysis) เพ่อื จดั กล่มุ ตัวแปรย่อยใหอ้ ยภู่ ายใตอ้ งค์ประกอบเดยี วกันน่ันเอง ตวั อย่างของ
การวิเคราะห์คำหลกั แสดงดงั ตารางที่ ๙.๑
ตารางท่ี ๙.๑การวเิ คราะหค์ ำหลกั เพือ่ จดั กลุ่มคำ
กลมุ่ คำ ความสัมพันธ์ คำหลกั
๑. กำหนดทศิ ทางองค์กร เปน็ ส่วนหนึง่ ของ “ภาวะผู้นำองคก์ ร”
(Establishing Direction)
๒. การจัดวางคน
(Aligning People)
๓. การจูงใจ และสร้างแรง
บนั ดาลใจคน (Motivation and
Inspiration People)
การวิเคราะห์สารระบบ นั้นมคี วามหมายคล้ายคลงึ กบั การวเิ คราะหค์ ำ หลัก เพยี งแต่มีความ
แตกต่างกนั ที่ว่าการวิเคราะห์จำแนกสารระบบจะมุ่งเน้นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ระหว่างกลุ่มคำย่อย ๆ
ด้วยกันเองและคำ หลักในภาพรวมทั้งหมด ลักษณะการจำแนกจัดกลุ่มคำ หรือกลุ่มข้อมูลจะมีความซับซ้อน
และมีระดับความสัมพันธ์ระหวา่ งคำตา่ ง ๆ สูงกว่าการวิเคราะหค์ ำ หลกั ดังตัวอย่างในตารางท่ี ๙.๒
ตารางท่ี ๙.๒ การวิเคราะห์จำแนกสารระบบ
กลมุ่ คำ คำหลัก จำแนกคำหลกั
๑. กำหนดทิศทางองค์กร • กำหนดทศิ ทางการบรหิ าร
(Establishing Direction) องค์กรท่ีชดั เจน
•จัดสรรงบประมาณท่ีเพยี งพอ
•ระบบการเงนิ ที่อำนวยความ
สะดวก
๒. การจัดวางคน •มุง่ เนน้ ท่ีศกั ยภาพการทำงาน
(Aligning People) • ใช้หลักการกระจายอำนาจ
“ภาวะผนู้ ำองค์กร” • ใชท้ ีมสนับสนุนการทำงาน
• มคี วามโปรง่ ใส และยุตธิ รรม
ในการบริหารงาน
๓. การจงู ใจ และสรา้ ง • ความเป็นอนั หนงึ่ อันเดยี วกนั
แรงบนั ดาลใจคน และความร่วมมือกนั ภายใน
(Motivation and • มีระบบการจงู ใจที่ดึงดูดคนเก่ง
Inspiration People) • ผสมผสานงานทแี ตกต่าง
และคนที่แตกตา่ งเขา้ ดว้ ยกนั
๓๐๕ Advanced Research Methodology on Peace
๑.๒) การจำแนกขอ้ มูลในระดับมหภาค การจำแนกข้อมูลในระดับมหภาค เป็นการจำแนก
ข้อมูลตามเหตกุ ารณ์ (Event) หรือการวิเคราะห์เหตุการณ์ ตามเร่ืองราว (Event Analysis) ที่ปรากฏ ซึ่งการ
วิเคราะห์ข้อมูลในระดับมหภาคแบ่งได้เป็น ๒ วิธี คือ การวิเคราะห์เหตุการณ์แบบอิงทฤษฎีและแบบไม่อิง
ทฤษฎี
๑.๒.๑ การวิเคราะหเ์ หตุการณ์แบบองิ ทฤษฎี คือ การแยกชนิดในเหตุการณน์ ั้นๆ โดย
การยดึ แนวคดิ หรอื กรอบการจำแนกเหตุการณโ์ ดยอาศัยทฤษฎใี ดทฤษฎีหนง่ึ เป็นกรอบการจำแนก ซ่งึ กรอบการ
จำแนกเหตุการณท์ ี่นิยมใช้หรือมีลักษณะกลาง ๆ ที่มักนำมาใชร้ ่วมกันคือ การวิเคราะห์เหตุการณ์ออกเป็น ๖
ประเภท คอื ใคร ทำอะไร ท่ไี หน เม่ือไร อย่างไรและทำไม นอกจากนีย้ งั สามารถแยกชนิดออกเปน็ ๖ ชนดิ ตาม
กรอบปรากฏการณ์ ได้ดงั น้ี (Lofland, ๑๙๗๑) ดังน้ี
๑) การกระทำ (Acts) คือ พฤติกรรมของบุคคลในเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดขน้ึ
ในชว่ งระยะเวลาใดเวลาหนง่ึ ไม่ยาวนานหรอื ตอ่ เน่ือง
๒) กิจกรรม (Actives) คอื เหตุการณห์ รอื สถานการณ์ขนบประเพณีท่ีเกดิ ข้ึนในลักษณะ
ต่อเนื่อง กิจกรรมเป็นการกระทำ ที่เกี่ยวข้องกับคนหลายคนมากกว่าจะเป็นส่วนบุคคลหรือส่วนตัวและมักใช้
เวลานานเปน็ วนั สปั ดาห์ เดือนหรอื ชว่ งฤดู
๓) ความหมาย (Meaning)คือ การให้ความหมายของการกระทำ หรือกิจกรรมโดยคำ
พูดที่แสดงออกของผู้ให้ข้อมูลอธิบาย ให้คำจำกัดความและทิศทางของการกระทำตอ่ สิ่งของ เหตุการณ์และ
คุณลักษณะต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น ทำตามวัฒนธรรม ความเชื่อ บรรทัดฐาน อุดมการณ์หรืออคติต่าง ๆท้ัง
ทางบวกและทางลบ
๔) การมีส่วนร่วมในกิจกรรม (Participation)คือ การที่บุคคลมีความผูกพันและเขา้
ร่วมกจิ กรรม สถานการณ์หรือเหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ ขนึ้
๕) ความสัมพันธ์ (Relationship) คือ ความเกี่ยวโยงระหว่างบุคคลหลาย ๆ คนใน
สังคมหรือเหตกุ ารณท์ ศี่ ึกษาที่เกิดข้นึ ในชว่ งเวลา อาจเป็นความสัมพนั ธข์ องกจิ กรรมทเ่ี ชอ่ื มโยงรปู แบบต่าง ๆไม่
ว่าจะเป็นทางแนวตั้งหรือแนวนอน ทางมิตรหรือคู่อริ ทางปกป้องหรือละเลย รวมทั้งความสัมพันธ์เกี่ยวกบั
สถานภาพของมนษุ ย์ เช่น ความเปน็ บิดามารดา เครอื ญาติ ความเป็นครูกับศษิ ย์หรอื เจา้ นายกบั ลูกน้อง เป็นตน้
๖) สถานการณ์หรือสภาพการณ์ (Setting) คือ สถานการณ์หรือสภาพการณ์ที่การ
กระทำ หรือกิจกรรมทกี่ ำลงั ศกึ ษาอยู่ เกิดขึ้น ซงึ่ อาจเปน็ สถานท่ี เชน่ ในหอ้ งประชมุ หอ้ งเรยี นหรือสถาบนั เช่น
โรงเรยี น โรงพยาบาล มหาวทิ ยาลยั สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษา สำนักงานปลัดกระทรวงหรืออาจเป็นระบบ
เช่น ระบบราชการ ระบบเอกชน เป็นต้นการแยกชนิดของสิ่งที่ต้องสังเกตออกเป็น ๖ ขั้นตอน มีประโยชน์
โดยตรงในแง่ของการตรวจสอบข้อมูลวา่ ผู้วจิ ยั ทำงานไดค้ รบถ้วนหรือไม่ และพยายามอธิบายถึงความเป็นมา
สาเหตุ และผลลัพธ์ อันจะทำ ให้ข้อมูลที่รวบรวมมามีความเป็นระบบและก่อให้เกิดความเข้าใจในเหตุการณ์
มากขึ้น การวิเคราะหเ์ บื้องต้นนี้เปน็ สิ่งจำเป็นสำหรบั การวิจยั เชิงคณุ ภาพ ทั้งนี้เพราะงานวิจยั เชิงคุณภาพเป็น
งานวิจัยที่ต้องทำการวิเคราะห์ข้อมูลในสนามเพ่ือจะได้เก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องและในการวิเคราะหน์ ั้น ผู้วิจัย
จะต้องพยายามตอบคำถามว่าสิ่งที่วิเคราะห์นั้นมีรูปแบบอย่างไร เกิดขึ้นอย่างไร เพราะเหตุ ใดและจะมี
ระเบยี บวธิ ีวิจยั ชั้นสูงวา่ ด้วยสันติภาพ ๓๐๖
ผลกระทบตอ่ กิจกรรมสถานการณ์หรือความสัมพนั ธ์น้ันๆได้อย่างไร ซึ่งการตอบคำถามเหลา่ นั้นจะต้องอาศยั
การเกบ็ ขอ้ มูลหลายอยา่ ง หลายวธิ ี ผู้วิจัยเองจะต้องวเิ คราะหอ์ ยา่ งลึกซงึ้ และรอบคอบ เพราะเหตทุ ี่เกดิ ข้นึ ไมไ่ ด้
เกิดขน้ึ จากเรือ่ งๆ เดียว ดังนนั้ จงึ มผี ลกระทบและเรอื่ งอน่ื ๆอกี มากมายตัวอยา่ ง เช่น พฤติกรรมของนักเรียนเมอ่ื
อยู่ที่บ้านกบั พ่อแม่ หรือเมือ่ อยกู่ บั ครแู ละเพอื่ นๆ ท่โี รงเรยี น
๑.๒.๒) การวิเคราะหเ์ หตกุ ารณแ์ บบไม่องิ ทฤษฎี คือ การจำแนกขอ้ มลู ในเหตุการณห์ นึ่งๆที่
จะวิเคราะห์ตามความเหมาะสมกับข้อมูล ซึ่งอาจใช้สามัญสำ นึกหรือประสบการณ์ของผู้วิจัย ซึ่งผู้วิจัยจะ
จำแนกข้อมูลเปน็ ชนิดง่าย ๆ ตามประเภทท่ีผู้วิจัยสังเกต เมื่อจำแนกข้อมูลเป็นชนิดแล้ว ผู้วิจัยจะพิจารณา ดู
ความสมำ่ เสมอของการเกิดของข้อมลู ตา่ งๆ ซง่ึ จะเป็นพ้นื ฐานในการอธิบายสาเหตุของปรากฏการณ์ นอกจากนี้
แม้ว่าผู้วิจัยจะจำแนกเองแต่กต็ ้องอาศัยมุมมองของบคุ คลในสนามวิจยั เปน็ พื้นฐานในการจำแนก ดังตัวอย่าง
จากงานวจิ ัยของรตั นะ บวั สนธ์ (๒๕๓๕) ท่ีคณะกรรมการศกึ ษาซง่ึ เปน็ บคุ คลในสนามวิจัยไดจ้ ำแนกครอู อกเป็น
๓ กล่มุ ดงั นี้
๑) ครกู ลมุ่ หนึง่ จะอาศัยอยใู่ นหมบู่ ้าน สร้างบา้ นเรือนอยูท่ น่ี ้ี ท่เี ป็นอย่างนี้เพราะครูพวกนี้จะ
แต่งงานกบั ลกู สาวชาวบา้ นในหมู่บ้าน ครูพวกนีไ้ ม่ยา้ ยโรงเรียนไปไหน บางคนสนทิ สนมกบั ชาวบา้ นเป็นอย่างดี
แต่ครบู างคนไมค่ ่อยจะเข้ากับชาวบ้านกเ็ ป็นปัญหาจากทางเมียของครูท่เี ป็นชาวบ้านนะแหละ ทีท่ ะเลาะเบาะ
แวง้
ในกลมุ่ พ่ีน้องก็เลยลามไปถงึ ตัวครทู ี่เป็นผัวด้วย
๒) ครูอีกกล่มุ หนึ่งเปน็ คนในจังหวัดนแ้ี ละ แต่ไม่ได้อาศัยอยูใ่ นหมู่บา้ นน้ี ครพู วกนี้มีบ้านเรือน
อยู่ในตัวเมือง ตอนเช้าก็จะขับรถยนต์มาสอนหนังสือที่โรงเรียน ตอนเย็นพอโรงเรียนเลิกก็ขับรถกลับบา้ นครู
พวกนี้ไม่ค่อยสนิทกับชาวบ้านเท่าไรและไมค่ ่อยรู้เรื่องในหมู่บ้านต่างคนต่างอยู่ พอโรงเรียนมีงานทีจึงจะอยู่
กลางคนื แตถ่ ้าไมม่ งี านอะไรก็กลับบ้านวนั เสารอ์ าทติ ยก์ ม็ าบ้าง ครูกล่มุ น้ีมหี ลายคน”
๓) ครูพวกหน่ึงเป็นคนต่างจังหวดั อาศัยอยู่บา้ นพกั ครูในโรงเรียนแต่ก็แต่งงานกับครูด้วยกัน
แต่อยคู่ นละโรงเรียน เป็นโรงเรียนใกล้ ๆ กัน บางคนยงั ไมแ่ ต่งงานครูพวกนี้สนิทสนมกบั ชาวบา้ นดี ตอนเย็นๆ
โรงเรียนเลิกบางที ก็เล่นกฬี ากับพวกหนุ่ม ๆ ที่มาเล่นบอลในสนามโรงเรียน ชาวบ้านมีงานอะไรกเ็ ห็นมาร่วม
งานบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานวัดหรืองานอะไร ๆ ของหมู่บ้านจากตัวอยา่ งจะเห็นไดว้ ่าการแบง่ ครูออกเป็นกลมุ่
นน้ั แบ่งตามมมุ องของคณะกรรมการสถานศึกษาซ่งึ มิได้อิงทฤษฎีใดๆ ทงั้ ส้นิ แต่กส็ ามารถช่วยใหเ้ ขา้ ลักษณะของ
ครูได้ดยี ่ิงข้นึ
๒) การวิเคราะห์โดยการเปรียบเทยี บเหตุการณ์ (Constant Comparison)
การวิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบเหตุการณ์ คือ การใช้วิธีการเปรียบเทียบ โดยการนำข้อมูลมาเทียบเป็น
ปรากฏการณ์ วิธกี ารน้ี สามารถทำ ได้โดยการทีผ่ ้วู จิ ัยสังเกต หรือรวบรวมขอ้ มลู ได้หลายๆ อยา่ งแลว้ นำมาแยก
ตามชนดิ นำมาเปรยี บเทยี บกนั โดยทำตารางหาความสมั พันธ์จากสิ่งต่างๆ เหลา่ นน้ั และสรุปผลออกมาผลท่ีได้
จากการวเิ คราะห์ดว้ ยวธิ กี ารน้ีจะทำ ให้ไดข้ อ้ สรุปท่ีมีความเป็นนามธรรมมากขนึ้ และครอบคลมุ หรือสามารถใช้
อ้างอิงเหตุการณ์ที่เหมาะสม ทั้งนี้โดยทั่ว ๆ ไปการวิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบเหตุการณ์มักจะกระทำ
๓๐๗ Advanced Research Methodology on Peace
ภายหลังจากไดท้ ำการวเิ คราะหจ์ ำแนกหรือจดั กล่มุ ขอ้ มูลแลว้ หลังจากนนั้ จงึ นำขอ้ มูลไปใสใ่ นตารางทำการสรปุ
ลักษณะร่วมกันและลักษณะท่ีแตกต่างกันของข้อมูลเหตุการณ์เหล่านั้น วิธีการวิเคราะหโ์ ดยการเปรียบเทียบ
เหตกุ ารณ์ ขน้ั ตอนในการวเิ คราะหย์ ่อย ๆ ๔ ข้นั ตอนดงั นี้
ขั้นตอนที่ ๑ จัดชดุ เหตกุ ารณใ์ ส่ตาราง ในขัน้ ตอนน้เี ป็นการนำข้อมลู เหตุการณ์แต่ละเหตกุ ารณ์ซึ่ง
ผวู้ จิ ยั ได้ทำการวเิ คราะห์จำแนกไวม้ าใส่ในตารางเพือ่ แยกประเด็นต่าง ๆ ของแต่ละเหตุการณโ์ ดยแยกประเด็น
ในแตล่ ะเหตกุ ารณเ์ ป็น ๖ประเด็น ดงั ตวั อย่างการวเิ คราะห์โดยการเปรยี บเทียบเหตุการณ์ ดังตารางท่ี ๙.๓
ตารางท่ี ๙.๓ การวเิ คราะหโ์ ดยการเปรียบเทยี บเหตุการณ์
ชนดิ ของข้อมูล (อะไร) (อะไร/ (ทำไม) (ใคร) (อยา่ งไร) (ท่ีไหน)
๑.พฤติกรรมนักเรยี น พฤติกรร อยา่ งไร) ความหม การมี ความ สภาพ
กจิ กรรม สว่ นรว่ ม สมั พนั ธ์ แวดลอ้ ม
ม าย
ระหวา่ งการทำ งานกลุ่ม
๒.พฤติกรรมนักเรยี น
ระหว่างการศกึ ษานอก
สถานท่ี
๓.พฤตกิ รรมนักเรยี น
ระหวา่ งการจดั การเรียน
การสอนปกติ
๔.พฤติกรรมนักเรียน
ขณะเลน่ กับเพอื่ นในช่วง
พกั กลางวัน
ขั้นตอนที่ ๒ การเปรียบเทียบเหตุการณ์ หลังจากนำ เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ใส่ตารางแล้ว
ดำเนินการเปรยี บเทยี บระหวา่ งเหตุการณใ์ หม่ ๆ กบั เหตกุ ารณเ์ ดิมซ่ึงเหตกุ ารณ์เหลา่ นอี้ าจเกิดขึ้นจากการแสดง
พฤติกรรมของกลุ่มบุคคลเดิมหรือกลุ่มบุคคลอื่นๆ แต่เหตกุ ารณ์ดังกล่าวนี้ได้รับการบนั ทึกลงตารางโดยการ
จำแนกประเดน็ ต่างๆ เหมอื นกันเพ่อื ทำการเปรียบเทียบซงึ่ กันและกนั ท้งั น้เี มอ่ื เปรยี บเทยี บระหว่างเหตุการณ์
ไดแ้ ล้ว ก็ดำเนนิ การสรปุ สง่ิ ทีบ่ ันทึกไดไ้ ว้กอ่ น ซึ่งขอ้ สรุปเหล่าน้ีก็คอื ขอ้ สรุปยอ่ ย ๆ นั่นเอง
ขัน้ ตอนท่ี ๓ ประมวลข้อมลู เหตกุ ารณ์แตล่ ะชุด แตล่ ะประเดน็ ของข้อมลู เหตกุ ารณ์เข้าด้วยกันใน
ข้นั ตอนนเี้ ปน็ การนำ เหตุการณ์แต่ละชุดทีจ่ ดั ลงตารางตามประเด็นต่างๆ มาเปรยี บเทยี บกันเพอื่ หาลกั ษณะรว่ ม
และลักษณะที่แตกต่างกัน หลังจากนัน้ ก็เขียนสรุปบรรยายเชื่อมโยงข้อมูลเหตุการณ์แต่ละชุดเข้าด้วยกันเปน็
การส่ังสมขอ้ ค้นพบ หรือขอ้ สรุปย่อย ๆ จากการเปรยี บเทยี บประเภทของขอ้ มลู และคุณลักษณะของประเภทซงึ่
กันและกัน เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ผู้วิจัยกจ็ ะเริ่มเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านั้น ทำ ให้เกิดความสัมพันธ์และเกิดเป็น
แนวคิดย่อย ๆ ข้ึน
ระเบียบวธิ ีวิจัยช้ันสูงว่าด้วยสันติภาพ ๓๐๘
ขนั้ ตอนท่ี ๔ ขยายวงของการเปรยี บเทยี บแลว้ เลือกเปน็ เหตุการณ์ทีเ่ ป็นกุญแจสำคัญ ผู้วิจัยจะใช้
กรอบแนวคิดที่ไดจ้ ากการสรุปลักษณะความสัมพนั ธข์ องขอ้ มูลในเหตุการณ์ตา่ งๆ ตามข้นั ตอนท่ี ๓ มาพิจารณา
เหตกุ ารณอ์ ืน่ ๆ ที่มอี ยเู่ มอ่ื ขยายวงของการเปรียบเทียบออกไป คุณสมบตั ทิ ่ีไดค้ ล้ายคลงึ และท่ีแตกต่างกันของ
ข้อมลู ก็ย่งิ มีความชัดเจนมากข้ึน ซ่ึงทำ ให้ผวู้ จิ ัยพบข้อสรุปได้ ซงึ่ ข้อสรุปดังกลา่ วจะมีลกั ษณะเปน็ กรอบแนวคิด
เชิงนามธรรมเป็นฐานข้ันแรกของการนำไปสู่ทฤษฎหี รอื ขอ้ สรุปเชิงนามธรรมทีใ่ หญข่ น้ึ
๓. การวิเคราะหส์ ว่ นประกอบ (Component Analysis)
การวิเคราะห์ส่วนประกอบของข้อมลู เป็นการวิเคราะหค์ ุณสมบตั ิของสว่ นประกอบของข้อมูลแตล่ ะ
ชุดแล้วนำคณุ สมบัตขิ องส่วนประกอบของข้อมูล มาเปรยี บเทียบเพ่ือหาลกั ษณะร่วมที่เหมือนกันและแตกต่าง
กันหลังจากนั้นจงึ ทำการสรุปบรรยายให้เหน็ ถึงความหมายของขอ้ มลู เหล่าน้ัน โดยการวิเคราะห์ส่วนประกอบ
จะกระทำ ไดก้ ต็ ่อเม่ือมขี อ้ มลู ต้งั แต่สองชดุ ขึ้นไป แต่ไมค่ วรมากเกินสิบชดุ เพราะถ้าหากขอ้ มูลมากเกนิ ไปจะทำ
ให้ยากแก่การลงสรปุ เกีย่ วกบั คุณสมบัตขิ องส่วนประกอบข้อมูลนน้ั นอกจากนั้น
แล้วการลงสรุปขอ้ มูลที่เหมาะสมสำหรบั นำมาวิเคราะห์ส่วนประกอบ ควรเป็นข้อมูลทีม่ คี วามละเอียดและได้
จากการเก็บรวบรวมด้วยการวิเคราะห์ทีเ่ จาะลึก หรือเน้นจุดสนใจ ทั้งนี้เพราะว่าข้อมูลดงั กล่าวสามารถนำมา
แยกส่วนประกอบได้หลายส่วน ทั้งนี้การจะแยกส่วนประกอบของข้อมูลเพื่อพิจารณาคุณสมบัตินั้นจะแยก
ออกเปน็ ก่สี ่วนนน้ั ขึน้ อยู่กบั การตัดสินใจของผู้วจิ ยั วา่ หากแยกแล้วจะทำให้ได้ข้อมลู สำหรับการเปรียบเทียบได้
ชัดเจนขึ้นก็ควรแยกส่วนประกอบตามนั้น สำหรับการวิเคราะห์ส่วนประกอบของข้อมูล อาจสรุปได้เป็น ๕
ขั้นตอนตามลำดบั ดังน้ี
ขั้นตอนที่ ๑ เลือกข้อมูล (ท่ีทำการวิเคราะห์จัดกลุ่มหรือ กำหนดชื่อข้อมูลแล้ว) ที่จะนำมาแยก
ส่วนประกอบเพอ่ื หาคณุ สมบัตทิ ตี่ ้องการเปรียบเทียบ ซึง่ ควรมีขอ้ มูลอยา่ งนอ้ ยตง้ั แตส่ องชุดขึ้นไป แต่ก็ไม่ควร
มากเกนิ ไปควรพิจารณาใหเ้ หมาะสมสะดวกต่อการเปรยี บเทยี บ
ข้นั ตอนที่ ๒ วเิ คราะห์แยกสว่ นประกอบขอ้ มูลแต่ละชุด โดยพิจารณาว่าจะแยกส่วนประกอบของ
ข้อมูลเป็นกี่ส่วนจากคุณสมบตั ิใดบ้าง ส่วนประกอบทจ่ี ะแยกควรพจิ ารณาวา่ ถา้ แยกแลว้ สามารถให้คุณสมบัติท่ี
จะนำมาเปรยี บเทียบกนั ได้หรือไม่
ข้นั ตอนที่ ๓ จดรายช่อื ข้อมูลและส่วนประกอบทีจ่ ะแยกข้อมูลชดุ น้นั ๆ ไว้ ในกระดาษบันทึกเพื่อ
ป้องกันการลืม
ขั้นตอนที่ ๔ จัดทำตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติข้อมูลแต่ละชุดแยกตามส่วนประกอบและใส่
คุณสมบัติข้อมูลแต่ละชุดแยกตามส่วนประกอบลงในตาราง ถ้าคุณสมบัติของข้อมูลและส่วนประกอบใดขาด
หายไปอาจต้องเก็บข้อมูลเพ่ิมเตมิ
ข้ันตอนท่ี ๕ เปรยี บเทียบคุณสมบตั ิของขอ้ มลู ทง้ั หมดตามสว่ นประกอบ โดยพิจารณาความเหมือน
และความแตกต่างและสร้างข้อสรปุ ทีไ่ ด้จากการเปรยี บเทียบโดยบรรยายโยงให้เห็นคุณสมบัติของข้อมูลตาม
ส่วนประกอบนน้ั ๆ
๓๐๙ Advanced Research Methodology on Peace
สำหรับตัวอย่างการวิเคราะห์ส่วนประกอบจากข้อมลู ครูต้นแบบที่เป็นกรณีศึกษาจำนวน ๒ คน
ผเู้ ขียนไดจ้ ำแนกส่วนประกอบเพ่ือพจิ ารณาเปรยี บเทยี บเปน็ ๖ส่วน คอื อายุ สถานภาพสมรส ระดบั การศึกษา
สูงสุดตำแหน่ง แรงจูงใจในการพฒั นาตนเองและพฤติกรรมท่สี ะทอ้ นลกั ษณะครทู ่ีดี แสดงดังตารางที่ ๙.๔
ตารางที่ ๙.๔ การวิเคราะหส์ ่วนประกอบ
ข้อมลู อายุ สถานภาพ ระดบั การ ตำแหน่ง แรงจูงใจในการพฒั นาตนเอง
ศกึ ษาสูงสุด พฤติกรรมท่ีสะทอ้ นลกั ษณะ
๑.ครู ๔๒ สมรส ปรญิ ญาตรี คศ.3 ๑. แรงจูงใจภายใน
สมจิต - มีความมุ่งม่นั และอดุ มการณข์ อง
ตนเองท่ีตอ้ งการให้นักเรียนไดร้ ับ
๒.ครู ๔๕ สมรส ปริญญาตรี คศ.๓ ความรู้
เกษร ๒. แรงจงู ใจจากภายนอก
- การสนับสนุนจากผู้บรหิ ารและเพื่อน
ร่วมงาน
- แบบอย่างที่ดีของครอบครวั
- ความไมร่ หู้ นงั สอื ของผูเ้ รียนมี
ความสามารถด้านการสอนใช้เทคนิค
การสอนรปู แบบใหม่ๆ ทำให้ไม่น่าเบ่อื
สรา้ งสรรค์สอ่ื ประกอบการเรียนการ
สอนใหมๆ่ เพอ่ื ดึงดูดความสนใจของ
ผู้เรียนมกี ารเตรยี มการสอนล่วงหน้า
๑. แรงจูงใจภายใน
- ความตัง้ ใจทจ่ี ะพัฒนานกั เรียนให้มี
ความรู้ความสามารถ
๒. แรงจงู ใจจากภายนอก
- การสนบั สนุนจากครอบครัว
- เพอื่ นรว่ มงานใหค้ ำแนะนำและให้
การสนบั สนุนมกี ารเตรยี มการสอน
ล่วงหน้า มีมนุษยสมั พนั ธ์อันดกี ับ
ชมุ ชนและเพ่ือนร่วมงานมคี วาม
เออื้ เฟ้ือเผ่อื แผแ่ ละเปน็ ผทู้ ่ใี ฝ่รู้
ใฝ่เรียนเพอื่ พฒั นาตนเองอยูเ่ สมอมี
ความรบั ผิดชอบรู้จักแบง่ เวลาในการ
ทำงาน
จากการวเิ คราะหส์ ่วนประกอบขอ้ มลู เกีย่ วกับบุคคลทเ่ี ปน็ ครูต้นแบบท้งั ๒ คน ซึ่งจากข้อมลู ทั้ง ๖
ส่วนนบ้ี คุ คลที่เป็นกรณศี กึ ษาทงั้ สองราย กม็ ีคุณสมบตั ติ ามสว่ นประกอบทง้ั ๖ สว่ นท้ังท่เี หมือนกันและต่างกัน
ระเบียบวิธีวิจยั ชั้นสูงวา่ ดว้ ยสนั ตภิ าพ ๓๑๐
ท้ังนจ้ี ากข้อมูลในตารางทงั้ หมด สามารถที่จะสรา้ งข้อสรปุ และเขียนบรรยายเชอ่ื มโยงตามคณุ สมบัติของข้อมูล
ตามส่วนประกอบไดว้ า่ จากการวเิ คราะห์คุณลกั ษณะของครูตน้ แบบท่ดี ี พบวา่ ครูทงั้ ๒ คนไม่วา่ จะเป็นคนโสด
หรอื สมรสแล้วก็ตาม จะเปน็ ผูท้ ่ีมีความสามารถดา้ นการสอน มกี ารเตรียมการสอนลว่ งหนา้ มมี นษุ ย-สัมพนั ธ์อนั
ดีกับชุมชนและเพื่อนร่วมงาน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนเพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ โดย
แรงจูงใจท่ีทำให้เกดิ การพฒั นาตนเองของครูตน้ แบบน้ันมที ้ังแรงจงู ใจภายในทีเ่ กิดจากตัวครูต้นแบบเอง คือ มี
ความมุ่งมั่นและอุดมการณ์ของตนเอง ที่ต้องการให้นักเรียนได้รับความรู้และแรงจูงใจจากภายนอก คือ การ
สนบั สนุนจากครอบครัวและการสนบั สนนุ จากผูบ้ รหิ ารและเพื่อนรว่ มงานและความไมร่ หู้ นังสือของผูเ้ รียน”
๔. การวิเคราะห์สรปุ อปุ นัย (Analytic Induction)
การวเิ คราะหแ์ บบอุปนัย คือ การตีความสรา้ งขอ้ สรปุ ขอ้ มูลจากสง่ิ ทเี่ ป็นรปู ธรรมหรอื ปรากฏการณ์
ที่มองเหน็ ที่เก็บรวบรวมมาได้จากข้อมูลตั้งแต่ ๒ ชุดขึ้นไป เช่น การปฏิบตั ิงาน พฤติกรรมการสอน ตลอดจน
การดำเนินชีวิต ความเป็นอยู่ ฯลฯ เมื่อผู้วิจัยได้เห็นหรือสังเกตหลายๆ เหตุการณ์ต่างๆ แล้วจึงลงมือสรุปแต่
หากข้อสรุปน้ันยังไม่ได้รับการตรวจสอบอื่นๆ ก็ถือว่า ผลที่ได้เปน็ สมมตฐิ าน หากไดร้ บั การยืนยันก็ถือว่าเปน็
ข้อสรปุ ซงึ่ มคี วามเป็นนามธรรมในระดับต้นๆ ซงึ่ การวเิ คราะหส์ รปุ อุปนยั จดั ได้ว่าเปน็ วธิ กี ารวิเคราะห์
ขอ้ มูลเชิงคุณภาพทตี่ อ้ งนำมาใชส้ ำหรับวิเคราะหข์ ้อมลู ในการวิจัยเชงิ คณุ ภาพทกุ เรอ่ื ง ทง้ั นเ้ี พราะการวเิ คราะห์
สรุปอุปนัย เป็นการพิจารณาลักษณะรว่ มกันของขอ้ มลู รูปธรรมเพือ่ สรปุ ร่วมลกั ษณะดงั กล่าว ซ่ึง
เป็นไปตามหลักของคำว่า “อุปนัย” (induction) ซึ่งหมายรวมถึงการหาความจริงจากข้อเท็จจริง (fact)
ส่วนย่อยหลาย ๆ ส่วนที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมแล้วสรุปความจรงิ ชุดใหญ่ท่ีมีลกั ษณะเป็นนามธรรมครอบคลมุ
ข้อเท็จจริงส่วนยอ่ ยเหล่านัน้ ยกตัวอยา่ ง เช่น จากการสังเกตและสมั ภาษณ์ ครูต้นแบบที่มีลกั ษณะของครูที่ดี
จำนวน ๓-๕คนเราไดข้ อ้ เทจ็ จรงิ ว่า ครตู น้ แบบท่ีมีลักษณะครทู ี่ดี จะอุทิศเวลาให้กบั การสอนท้ังในเวลาราชการ
และนอกเวลาราชการ เตรยี มการสอนและสือ่ การเรยี นการสอนลว่ งหนา้ หมั่นศึกษาค้นควา้ เพ่อื พัฒนาการสอน
ของตนอย่างต่อเนื่องมีมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งข้อสรุปน้ีมีลักษณะครอบคลุมครูต้นแบบคนอื่นๆ ด้วยสำหรับวิธีการ
วิเคราะห์สรุปอุปนัยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพนั้น สามารถนำมาใชไ้ ด้ ๓ ลักษณะได้แก่ การวิเคราะห์
สรุปข้อมูลจากบนั ทึกภาคสนามทเี่ ป็นส่วนบันทึกละเอยี ดหรอื บนั ทึกพรรณนา การวเิ คราะห์สรุปขอ้ มลู ที่ได้จาก
การวิเคราะห์จำแนกหรือจัดกลุ่มและการวิเคราะห์ข้อมูลที่ทำการวิเคราะห์ส่วนประกอบแล้ว ตัวอย่างการ
วิเคราะห์สรุปข้อมูลจากบันทึกพรรณนา ดังตารางท่ี ๙.๕
๓๑๑ Advanced Research Methodology on Peace
ตารางท่ี ๙.๕ การวเิ คราะหส์ รปุ อุปนยั จากบันทึกพรรณนา
คำหลัก บันทึกพรรณนา
ช่วงเวลาทำแบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะ ช่วงพักกลางวันก่อนเวลาบ่ายโมงสักประมาณ ๒๐นาที นักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปีท่ี ๕ ได้ น่งั ทำแบบฝึกหดั เสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ท่ีครูสั่ง
ระดบั ชั้นท่ศี ึกษา ไว้ในชั่วโมงเรียนช่วงเช้า พอเห็นครูเดินเข้ามาในห้องนักเรียนส่วนหน่ึงเงย
หนา้ ขึน้ มองครูและย้ิม แลว้ กก็ ้มลงทำแบบฝึกต่อไปบางคนก็ตงั้ หน้าตั้งตาทำ
แบบฝกึ หดั โดยไม่สนใจครู บางคนนัง่ ปรกึ ษา
นวัตกรรมที่นำมาใช้ กับเพื่อน เด็กชายต้อมพูดว่า “ครูครับ ผมทำแบบฝึกหัดที่ครูให้ทำใกล้จะ
เสร็จแล้วครับ สนุกมากเลย พอทำแบบฝึกหัดของครูแล้วทำ ให้ผมเข้าใจ
เรื่องการคูณและหารทศนิยมมากขึ้น” เด็กชายอีกคนหนึ่ง(ด.ช.เก่ง) พูดว่า
“ครูครับผมอยากให้ครูมีแบบฝกึ หัดให้ผมทำแบบนีท้ ุกวันเลยสนุกดีและถา้
พฤตกิ รรมนกั เรียนระหว่างทำแบบฝึกฯ หากคุณครูมรี ปู ภาพสีสวย ๆ ใสเ่ ข้าไปดว้ ยผมวา่ นา่ จะทำ ใหน้ ่าสนใจมากกว่า
นี้” ส่วนเด็กหญิงแอ๋ม พูดว่า “ครูคะหนูว่าจำนวนข้อมันน้อยไปค่ะ ทำ
แบบฝึกหดั ไปนดิ เดยี วกำลังสนุกเลยเสร็จแล้วครูเพิ่มจำนวนข้อให้มากขึ้นอีก
ความคดิ เห็นทีม่ ีต่อแบบฝกึ สิคะ” ครูย้มิ และตอบวา่ “ขอบใจมากสำหรับคำแนะนำดี ๆ ของพวกเราแล้ว
ครจู ะนำข้อเสนอของพวกเราไปปรับปรงุ แบบฝกึ หดั นะจะ๊ ”
บันทกึ สรุป (การวิเคราะห์สรุปอปุ นัย)
นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ ๕ ทำแบบฝกึ หัดเสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการคูณและหารทศนิยมในช่วงเวลาพัก
กลางวนั ดว้ ยความต้งั ใจและร้สู ึกว่าแบบฝึกเสริมทักษะทำ ให้เกดิ ความเข้าใจเข้าใจเรื่องการคูณและหารทศนิยมมากข้ึน
และได้ใหข้ อ้ เสนอแนะในการปรบั ปรุงแบบฝึกเสรมิ ทักษะ คอื ควรมีรูปภาพสี เพิ่มเข้าไปและเพิ่มจำนวนข้อให้มากขึน้ อีก
นอกจากการให้รหัสแบบอปุ นยั แลว้ Miles and Hubermanไดก้ ลา่ วว่า การใหร้ หสั มี ๒ แบบ คือ
การใหร้ หัสแบบนริ นยั (deductive) กับ การให้รหสั แบบอปุ นัย สำหรบั การใหร้ หัสแบบนริ นัย เปน็ การท่นี กั วจิ ยั
ให้รหัสไว้ลา่ งหนา้ ตัง้ แต่ยงั ไม่ได้ออกเกบ็ ข้อมูล ซงึ่ ช่วงเวลาท่ดี ที ส่ี ุดของการใหร้ หสั แบบนคี้ ือ ชว่ งท่ีกำลังเตรียม
แนวคำถามสำหรบั การสัมภาษณ์ หรือในช่วงทีก่ ำลังเก็บข้อมลู ด้วยการสงั เกต ที่นักวิจัยสามารถกำหนดหัวข้อ
เรื่องสำคัญๆ และรหัสย่อยสำหรับข้อความที่มีความหมายสอดคล้องกับแต่ละหัวขอ้ เหล่าน้ันเป็นสิง่ ที่นักวิจยั
คาดว่าจะได้พบในข้อมลู ซึ่งรหัสท่ีเตรียมไวเ้ ปน็ เพียงการทำรายการขั้นต้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการอ่านหรือ
เลือกขอ้ ความสำหรับให้รหสั ในตอนหลงั เมอื่ ไดอ้ า่ นข้อมลู จริงๆ รหัสบางตวั ท่เี ตรยี มไว้อาจถูกใช้แต่บางตัวอาจ
ถกู เปล่ยี นหรือยกเลกิ ไป ท้งั นี้ข้ึนอยู่กบั ข้อมูลจะชน้ี ำให้นกั วิจัยตดั สินใจอย่างไร๑๗
๕. การวเิ คราะห์ข้อมูลเอกสาร
ในการวิเคราะห์ข้อมูลเอกสารนั้น สามารถทำ ได้โดยวิธีการเชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพ วิธีเชิง
ปริมาณ คือ การทำ ให้ข้อมูลของเอกสารนั้น ได้แก่ ถ้อยคำ ประโยค หรือใจความที่ปรากฏในเอกสารเป็น
๑๗Huberman, A.M. and Miels, M.B., Handbook of Qualitative Research ,( C A : Thousand Oaks,
1994), pp.428-444.
ระเบียบวิธวี ิจัยชั้นสูงวา่ ด้วยสันติภาพ ๓๑๒
จำนวนทีว่ ดั ได้แล้วแจงนบั จำนวนของถอ้ ยคำ ประโยค หรือใจความเหล่านั้น วิธกี ารวิเคราะหข์ อ้ มลู แบบนที้ ร่ี ้จู กั
กันดคี อื การวเิ คราะหเ์ น้ือหา (Content analysis) ซง่ึ โดยปกติการวิเคราะห์เนื้อหาจะทำตามเน้ือหาท่ีปรากฏ
(Manifest content) ในเอกสาร มากกว่ากระทำกับเนือ้ หาทซี่ ่อนอยู่ (Latent content) การวดั ความถี่ของคำ
หรอื ข้อความในเอกสารกห็ มายถงึ คำ หรือข้อความท่มี อี ยู่ ไมใ่ ช่คำ หรือข้อความที่ผวู้ ิจัยตคี วามได้ การตีความจะ
กระทำ ในอีกขัน้ ตอนหน่งึ ภายหลังเม่อื ผู้วิจัยจะสรุปขอ้ มูล ส่วนวธิ ีการทางคณุ ภาพ คือ การตคี วามสรา้ งขอ้ สรุป
แบบอปุ นยั (Induction) จากเอกสารดังกล่าวประกอบกับเอกสารอ่นื ๆ โดยอาจมกี ารแบง่ ประเภทตามเนื้อหา
ของเอกสาร แล้วเปรียบเทียบเนื้อหาประเภทต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทั้งนี้ในการวิจยั เชิงคุณภาพนัน้ การวิเคราะห์
ขอ้ มูลเอกสารนั้นมไิ ด้สนใจเพยี งแคข่ ้อความทป่ี รากฏในเอกสาร หากทวา่ พยายามค้นหาและตีความหมายทีแ่ ฝง
อยู่ในข้อความเหล่านั้นอีกด้วย โดยอาศัยข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ด้วยวิธีการอื่นหรือข้อมูลภูมิหลัง
สภาพแวดล้อมอนื่ ๆมาประกอบการวิเคราะห์และตีความหมายขอ้ มลู ในเอกสารสำหรับขน้ั ตอนในการวิเคราะห์
เน้อื หา โดยทัว่ ไป มีการดำเนินการดังน้ี
ขั้นตอนที่ ๑ กำหนดเกณฑ์คดั เลือกเอกสาร เป็นการกำหนดให้ชัดเจนว่าผู้วิจัยคัดเลือกเอกสาร
อะไรประเภทใด มาทำการวเิ คราะห์ ซึ่งผ้วู จิ ยั จะตอ้ งต้ังกฎเกณฑ์ขน้ึ สำหรบั การคดั เลอื กเอกสารและหวั ข้อที่จะ
ทำการวิเคราะห์ ให้ชัดเจน โดยอาจใช้ช่วงระยะเวลาปีที่พิมพ์หรือบันทึก แหล่งเผยแพร่และลักษณะการ
เผยแพร่เป็นต้น การกำหนดเกณฑ์คัดเลือกเอกสารที่ชัดเจนจะมีประโยชนม์ ากในกรณีที่มีบุคคลอืน่ มาทำการ
วเิ คราะหจ์ ะทำใหเ้ ลอื กเอกสารไดต้ รงกัน
ขั้นตอนที่ ๒ วางเค้าโครงการวิเคราะห์เป็นการจัดระบบการจำแนกคำ หรือข้อความในเนื้อหา
สาระของเอกสารซึ่งผู้วิเคราะห์ควรจัดระบบการจำแนกให้ชัดเจนว่าจะจำแนกโดยใช้คำ หรือข้อความใดบ้าง
ระบบการจำแนกที่ชัดเจนนี้จะช่วยให้ผู้วิเคราะห์สามารถที่จะนำ เนื้อหาใดมาวิเคราะห์และจะตัดเนื้อหาใด
ออกไปท้ังนกี้ ารกำหนดระบบการจำแนกควรจำแนกโดยการพจิ ารณาถงึ หลักเกณฑ์ต่อไปนี้ คอื
๑) การจำแนกควรสอดคล้องกับปัญหา วัตถุประสงคข์ องตวั แปรในการวิจยั
๒) การจำแนกควรมีความครอบคลุม คำ หรอื ข้อความทีผ่ วู้ ิจัยนำมาใชเ้ ปน็ ระบบในการจำแนกควร
มีความครอบคลมุ คำ หรอื ขอ้ ความอ่นื ๆ ท่ีมีอยู่ในเอกสารเพ่ือใหส้ ามารถนำมาลงรหสั แจงนับไดถ้ ูกต้องภายใต้
คำหลกั ในการจำแนก
๓) การจำแนกควรใชห้ ลักเกณฑ์เดียวกนั เช่น การจำแนกโดยใชฐ้ านะทางเศรษฐกิจ อาชีพ เวลา
และสถานภาพเป็นต้น ซึ่งการใช้หลักเกณฑ์เดียวกันในการจำแนกจะมีประโยชน์ปอ้ งกนั การซ้ำซอ้ นกันของคำ
หรอื ขอ้ ความทีจ่ ะปรากฏเมอ่ื ทำการแจงนบั
๔) การจำแนกควรมีระบบที่เด่นชัด ไม่ควรมีคำซ้ำซ้อนกันระหว่างข้อความที่จะนำไปแจงนับ
ภายใตร้ ะบบการจำแนกแต่ละคร้ัง
ขั้นตอนที่ ๓ พิจารณาเงื่อนไขแวดล้อม (Context) ของข้อมูลเอกสารเป็นการพิจารณาเกี่ยวกบั
ลักษณะต่างๆ ของข้อมูลเอกสารที่จะนำมาวิเคราะห์เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นไปอย่างถูกต้องมีความ
ครอบคลมุ มากที่สุด โดยลักษณะของข้อมูลที่จะพิจารณาได้แก่ แหล่งที่มาของข้อมลู ช่วงเวลาของการบนั ทึก
๓๑๓ Advanced Research Methodology on Peace
ขอ้ มูล ผู้รบั ขอ้ มลู หรอื บุคคลท่ผี ู้บนั ทกึ ขอ้ มลู ประสงค์จะสง่ ข้อมลู ถึง และแหลง่ เผยแพรข่ อ้ มูลลกั ษณะเหล่านีข้ อง
ข้อมลู จะชว่ ยใหผ้ วู้ เิ คราะห์ข้อมูลสามารถมาวเิ คราะห์เชือ่ มโยงอธิบายขอ้ มูลในเอกสารไดด้ ขี ้นึ
ขน้ั ตอนที่ ๔ การวิเคราะหข์ อ้ มูล เปน็ การนบั ความถี่ของคำ หรือข้อความท่จี ำแนกไวภ้ ายใต้ระบบ
การจำแนกท่กี ำหนดไวห้ ลังจากนน้ั กท็ ำการวเิ คราะหเ์ ช่อื มโยง สรุปบรรยายข้อมลู ทจ่ี ำแนกได้ อ้างองิ ไปสขู่ อ้ มลู
ทั้งหมดในเอกสารนั้นๆ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพทั่ว ๆ ไป เทคนิคการวิเคราะหเ์ นื้อหา นับเป็น
เทคนคิ ที่สำคัญเทคนคิ หนงึ่ ทส่ี ามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู เชิงคุณภาพโดยท่วั ไปได้ เชน่ การวิเคราะห์
เนอื้ หาจากบนั ทกึ การสมั ภาษณ์ บนั ทกึ การสงั เกต ดงั ตัวอย่างการวเิ คราะหเ์ นอ้ื หาจากแบบบันทึกการสมั ภาษณ์
ปจั จยั เชิงสาเหตุของคะแนนโอเน็ตต่ำ แสดงดงั ตารางที่ ๙.๖
ตารางท่ี ๙.๖ ตัวอยา่ งของการจำแนกประเภทข้อมลู การกำหนดหน่วยของการแจงนบั และวิธีการ
แจงนับในการวเิ คราะห์เนือ้ หาจากบนั ทกึ การสนทนากลมุ่ นักเรียนเก่ยี วกับสาเหตขุ องคะแนนโอเน็ตต่ำ
ปญั หาของการ ประเภทยอ่ ยของแนวคดิ คำ หรือข้อความ วธิ ีการแจงนบั
วิจัย
ความไมต่ ัง้ ใจในการทำ - ไม่ได้ตั้งใจทำข้อสอบ พอสอบให้ผ่านๆ
แบบทดสอบ ไปเทา่ นั้น
- ทำให้เสร็จ เสร็จแล้วก็นั่งรอให้หมด
เวลา
- มาสอบเพราะถกู ครบู งั คับไม่สนใจ
พนื้ ฐานความรู้ของนักเรียน - ไม่มคี วามรู้ ทำใหท้ ำ ไมไ่ ด้ จำนวนครั้งของความถ่ี
ปัจจัยเชิงสาเหตุ ไม่ตระหนักถงึ ความ - บางเรื่องที่ถามไม่เคยเรียนมาก่อนเลย ทค่ี ำ /ขอ้ ความปรากฏ
ของ สำคญั ของการสอบ
O-NET ทำ ไมไ่ ด้ ในเอกสารที่นำมา
คะแนนโอเน็ตต่ำ
- รตู้ วั ว่าเรียนไมด่ ีอยู่แล้ว วเิ คราะห์/จำนวน
สอบอะไรก็ทำ ไม่ค่อยได้- ไม่ค่อยใส่ใจ ผู้ตอบท่ตี อบตาม
กบั คะแนน สอบ O-NETเท่าไร เพราะให้ ข้อความ
ความสำคัญกบั การสอบในหอ้ งมากกวา่
- ไม่สนใจคะแนน O-NET เพราะไม่ได้
เรียนต่อมหาวิทยาลัยไม่สนใจคะแนน
เพราะไม่ได้ใช้เนื่องจากสอบโควต้าได้
แลว้
นอกจากเทคนิควิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ยกมาดังกล่าวแล้ว ยังมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิง
คุณภาพโดยวิธีการอ่นื ๆ อีกหลายแบบ เชน่ การวิเคราะหส์ าเหตุและการเช่ือมโยงข้อมลู การสร้างจินตนาการ
เชิงสังคมวิทยาเชื่อมโยงข้อมูลซึ่งผู้ที่สนใจศึกษาเทคนิคการวิเคราะห์เหล่านี้ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ จาก
หนงั สอื เกีย่ วกบั การวิจัยเชิงคณุ ภาพทีผ่ ู้เขยี นได้อ้างอิงไว้ นอกจากนีใ้ นปจั จบุ นั ยังมีโปรแกรมคอมพิวเตอรท์ ีช่ ่วย
อำนวยความสะดวกในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชิงคุณภาพเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโปรแกรมที่สามารถใช้ไดก้ บั
ข้อมูลเชิงคุณภาพที่เป็นภาษาไทย เช่น โปรแกรม The Ethonograph, NVIVO และ ATLAS.Ti แต่อย่างไรก็
ระเบียบวธิ วี จิ ยั ช้ันสูงวา่ ด้วยสนั ติภาพ ๓๑๔
ตามการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพนั้นผู้วิเคราะห์ข้อมูลต้องตระหนักอยู่
เสมอว่า ส่งิ ทโี่ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์สามารถทำไดค้ อื เพยี งชว่ ยบันทึกข้อมูล จดั ระเบยี บขอ้ มูลการค้นหาคำ หรอื
ข้อความที่ปรากฏในบันทึกข้อมูล การหาความสัมพันธ์ระหว่างรหัสข้อมูล ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นเพียง
ขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะหข์ อ้ มลู เท่าน้ัน ส่งิ ที่โปรแกรมคอมพวิ เตอรย์ ังไมส่ ามารถทำได้ คือการกำหนดรหัส
ขอ้ มูลและการคดิ วิเคราะห์ การเชื่อมโยงและเรยี บเรยี งถ้อยคำ เพอื่ ให้ไดข้ อ้ สรปุ ซึง่ ขั้นตอนเหล่านี้ยังต้องอาศัย
ทกั ษะและประสบการณ์ของนักวจิ ัย ตวั นกั วิจัยจงึ ยังตอ้ งเปน็ ผู้ตดั สินใจกำหนดรหสั เองว่าจะกำหนดรหัสอะไร
ส่วนการคดิ วิเคราะห์ การตรวจสอบข้อมลู รวมจนถงึ การเรียบเรียงถอ้ ยคำ เพอื่ บรรยายขอ้ สรปุ ต่างๆ เพอ่ื ให้ได้
คำตอบตามจุดมงุ่ หมายของการวจิ ัยอย่างแทจ้ ริง๑๘
ทั้งนี้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ จุดเด่นประการหนึ่งคือ เรื่องของการให้รหัสข้อมูล ซึ่งมี
หลักการและแนวทางในการอา่ นขอ้ มูลเพอื่ ให้รหสั ดงั นี้
การอา่ นขอ้ มลู เพอ่ื ใหร้ หสั : ในการอา่ นควรให้ความสนใจความหมายที่สอดคล้องกับหวั ข้อสำคญั ที่
ได้กำหนดไว้แล้ว และขณะอ่านควรหยุดถามตัวเองบ่อยๆ ว่าข้อความที่อยู่ตรงหน้านั้นหมายถึงอะไร
ความหมายนั้นเข้ากับเรื่องหรือหัวข้อใดที่เราได้กำหนดไว้แล้ว บริบทของความหมายนั้นคืออะไร นอกจา
ความหมายท่ีเราตีความแลว้ น่าจะมคี วามหมายอื่นท่ีเราคดิ ไม่ถงึ หรือท่ตี า่ งออกไปหรือไม่ ฯลฯ เมอ่ื พบใจความ
หรือความหมายทเ่ี ขา้ ขา่ ยตามที่ตอ้ งการอยู่ท่ีข้อความใด ไมว่ า่ จะเป็นวลี ประโยค ยอ่ หน้า หรือข้อความท่ียาว
กว่าน้ันก็ตาม ขอ้ ความน้ันจะถูกให้รหสั ๑๙
นอกจากการมองหาข้อความที่จะเป็นประโยชน์ในการให้รหัสแล้ว ในมุมมองของ Uin et al.
(๒๐๐๒) กล่าวว่า นักวิจัยควรให้ความสนใจในเรื่องดังต่อไปนี้เป็นพิเศษ(๑) เนื้อหาของข้อมูลทั้งหมด (๒)
คุณภาพของข้อมูล (๓) แบบแผนในข้อมลู ๒๐ เป็นสง่ิ ที่นกั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพต้องเพียรในการทบทวนใคร่ครวญก่อน
และนำใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล
๙.๒.๖ การแสดงผลขอ้ มลู วจิ ยั เชิงคุณภาพ
กล่าวคือ การนำเอาหน่วยข้อมูลที่แตกออกเป็นส่วนย่อยและให้รหัสไว้แล้ว มารวมกันใหม่
(reassembling) ให้เป็นกลุ่มๆ ตามประเด็นหรือหัวข้อการวิเคราะห์ จุดประสงค์ของการทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้
ข้อมูลในแต่ละกลุ่มสามารถ “บอก” เรื่องราวเดียวกันได้อย่างมีความหมาย การรวมในที่นี้เป็นการรวมใน
ลักษณะที่ทำให้เกิดความหมายใหม่ อันจะช่วยให้เข้าใจและตอบคำถามในการวิจัยได้ การแส ดงผลข้อมูล
สามารถทำได้โดยการใช้ตารางแสดงขอ้ มลู และการบรรยาย
๑๘เออ้ื มพร หลินเจรญิ , “เทคนคิ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู เซิงคุณภาพ”, วารสารวัดผลการศึกษา มหาวิ ทยา ลั ย
มหาสาร ค าม , ปที ่ี ๑๗, ฉบบั ที่ ๑ (กรกฎาคม) ๒๕๕๕ : ๑๓-๓๒๙.
๑๙ชาย โพธสิ ติ า, ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งการวจิ ยั เชิงคุณภาพ, หน้า ๓๔๙..
๒๐เร่อื งเดียวกัน, หนา้ ๓๔๙-๓๕๐.
๓๑๕ Advanced Research Methodology on Peace
การใช้ตารางแสดงข้อมูล: ตารางในที่น้ีแตกต่างจากตารางข้อมูลในงานวิจัยเชิงปริมาณ
ตารางขอ้ มลู เชิงคุณภาพ จดั ทำขนึ้ เพือ่ สรปุ สาระสำคัญเกี่ยวกับประเดน็ หรือหวั ขอ้ เรอื่ งใดเรือ่ งหนึ่ง เพื่อให้เห็น
ขอ้ มลู เหลา่ นน้ั ได้ชัดๆ วา่ มรี ปู แบบและสาระสำคัญอะไรบ้างที่เราได้จากขอ้ มลู ในแต่ละเรอ่ื ง นอกจากน้ีตารางยงั
จะอำนวยประโยชนใ์ นการเปรียบเทียบข้อมูลเรือ่ งเดยี วกัน เปน็ การเปรยี บเทยี บข้อมลู เชงิ ลกึ ของผใู้ หส้ ัมภาษณ์
รายที่ ๑, ๒, ๓ เป็นต้น การเปรียบเทียบข้อมูลลักษณะนี้ ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของการวิเคราะห์
ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ เพราะจะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของขอ้ ค้นพบนนั้ ๆ ทั้งหมด๒๑
ตารางที่ ๙.๗ ตวั อย่างการให้รหสั และการรายงานผลโดยใชต้ ารางแสดงข้อมูล
งานวิจัยเรื่องความหลากหลายทางชาติพันธุ์กับวิถีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในประชาคม
อาเซียน: กรณีศึกษานิสิตประเทศไทยและนิสิตกลุ่มประเทศ CLMV ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั (ส่วนกลาง)๒๒
สิ่งท่ีตอ้ งระมัดระวังใน เสียงสะท้อนจากนิสิต CLMV และไทย
การอยูร่ ว่ มกัน
รู้จักอยู่ไม่ทำตนเป็น C01:ต้องไมท่ ำตัวให้วุ่นวายเป็นปัญหา พยายามอยู่กบั เรื่องของตนเอง และไม่ไปต่อปากต่อ
ปัญหาไม่เบียดเบี ยน คำซ่งึ จะนำไปสูก่ ารถกเถยี งทะเลาะกัน
ผู้อื่น ๑) ระมัดระวังเรื่องของการแสดงออก ทั้งทางกาย วาจา ต้องสื่อออกมาด้วยวัฒนธรรมท่ี
เหมาะสมกบั บริบทสังคมไทย(L06)
L01:ระมัดระวงั เร่อื งของอารมณ์ไมใ่ จรอ้ นวู่วามเมื่อได้ยินไดฟ้ ังเร่ืองที่ทำให้ไม่พอใจ
V01:การไม่ส่งเสยี งอกึ ทกึ รบกวนผู้อ่ืน กล่าวคือ การไม่เบยี ดเบยี นผอู้ นื่ ทำให้เกิดความรำคาญ
V02:การร่วมงานกับเพื่อนต่างชาติต้องไม่ทำตัวเป็นภาระ ถ้าไม่ได้เรื่องภาษาต้องพยายาม
เตรียมตัวลว่ งหนา้ เพอ่ื ให้สามารถส่อื สารงานกลุ่มกับเพ่ือนเข้าใจ
ระมัดระวังเรื่องประเด็น C02:ต้องระมัดระวังเรื่องของความเป็นเชื้อชาติต้องไม่นำมาพูด ยกตัวอย่าง กรณีความ
เช้อื ชาติการแสดงออก ขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาประเด็นเกี่ยวกับเขาพระวิหาร การถกเถียงความถูกต้องใช่
หรือไมเ่ ก่ยี วกับปัญหาการครอบครองพนื้ ท่เี ขาวหิ าร
C03:ต้องระมัดระวงั เร่ืองการแสดงออก และการใช้คำพดู เพราะทุกคนมสี ิทธใ์ิ นการปกป้อง
ตนเอง วาจาทใี่ ชต้ ่อกันจงึ ควรนำมาใชใ้ นการให้คำแนะนำในฐานะมติ ร และการรู้จักมองกัน
ในแงท่ ่ดี ีตอ่ กนั และกัน
L04: ระมัดระวังเรื่องของวัฒนธรรมหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างกัน เคารพให้การ
ยอมรับกนั
L05:ระมัดระวงั เร่ืองคำพูดที่จะทำร้ายจิตใจผู้อ่ืน เราอยากให้ผู้อื่นทำกับเราอย่างไรเราก็พึง
ปฏบิ ัติอย่างนั้นตอ่ ผู้อื่น
๒๑Krueger, R.A., Analyzing & Reporting Focus Group Results. Focus Group Kit # 6, Thousand
Oaks: Sage.
๒๒ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ และคณะ,“ความหลากหลายทางชาติพันธุ์กับวิถีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขใน
ประชาคมอาเซียน: กรณีศึกษานิสิตประเทศไทยและนิสิตกลุม่ ประเทศ CLMV ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
(ส่วนกลาง)”,รายงานวิจยั ,(ศูนย์อาเซยี นศึกษา: มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๑๑๓-๑๑๔.
ระเบียบวิธวี ิจยั ชั้นสูงวา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๓๑๖
L02:หลีกเลีย่ งประเดน็ ประวัติศาสตร์ การยอมรับกฎกติกาของประเทศนน้ั
M02:ให้ระมัดระวังเรื่องคำพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่มีปัญหาเ รื่อง
ประวัติศาสตร์ชาตพิ ันธ์ุต่อกัน ไมใ่ ช่ภาษาที่อีกฝ่ายไม่ชอบ เช่น พระท่มี าจากพม่า แต่มีเชื้อ
สายมอญ จะไม่ชอบใหเ้ รยี กตนวา่ พระพม่า แต่ให้เรยี กพระมอญ
V03:การระมัดระวงั คำพดู ภาษาที่ใช้ตอ้ งร้วู า่ วฒั นธรรมภาษาทใ่ี ช้คำใดแล้วเพ่อื นนิสติ ไม่ชอบ
ภาษาใดทถี่ ือวา่ ไม่สุภาพ กไ็ มค่ วรใช้ และการไมพ่ ดู จาทับถมลอ้ เลียนเรอื่ งการใชภ้ าษาไมช่ ัด
T04, T03:ควรระมัดระวังเรื่องของคำพูด แม้จะเป็นการพูดเล่นแต่ถ้าไปกระทบความรู้สึก
เกยี่ วกับความภมู ิใจในชาตพิ นั ธุ์ก็อาจเปน็ เหตใุ นการนำไปสู่ความขดั แย้งได
T01: คำพูดบางอยา่ งหรือคำเรียกบางอยา่ งเพ่ือนนิสิตชาตนิ ั้นอาจไมช่ อบ เชน่ เพ่ือนที่มาจาก
ประเทศกัมพูชา ไม่ชอบให้เรียกว่า เขมร เพราะเป็นการดูถูก ส่วนเพื่อนที่มาจากประเทศ
เวียดนาม ก็ไม่ชอบให้เรียกเขาว่า พวกญวน รวมไปถึงเรื่องของประวัติศาสตร์ชาติพันธ์ุ
วพิ ากย์พงศาวดารของประเทศนั้นๆ ให้ระมดั ระวังเรื่องการแสดงออกทางสายตา การแสดง
ทา่ ทีทางกายทไ่ี มเ่ ปน็ มิตร การจ้องตาสำหรับบางประเทศถือวา่ เป็นสายตาทไี่ มเ่ ป็นมติ ร
การเปดิ ใจยอมรบั L04: การป้องกันตนเองไมใ่ หเ้ กดิ ความขัดแย้งโดยการเปดิ ใจยอมรับความแตกต่าง การมอง
ผอู้ น่ื ดว้ ยความเขา้ ใจ
การแสดงตนเป็นมิตร M01:การรู้จักทักทายทำตัวให้เปน็ มิตรดว้ ยรอยยิ้ม แสดงการทักทายตามธรรมเนียมไทยใช้
เรียนรวู้ ฒั นธรรม การไหว้ สวัสดี
M04: ต้องรจู้ ักทำความเข้าใจเร่อื งของวัฒนธรรมของกันและกนั
T02: ใหใ้ ชค้ ำพดู และการแสดงออกด้วยการไหว้ สายตาท่มี ีรอยย้ิมเป็นมิตร การกล่าวทกั ทาย
โดยผู้วิจัยใช้รหัสตัวอักษรภาษาอังกฤษแทนหมวดหมู่ประเทศของนิสิต และตามด้วยหมายเลข
หมายถงึ นสิ ติ ประเทศนนั้ คนท่ี (ทัง้ นกี้ ารให้รหัสแบบนสี้ ำหรับงานวจิ ยั ท่ีอาจสง่ ผลต่อผู้ให้ข้อมูลจึงต้องให้รหัส
แทนการใชช้ ือ่ จริง หรือบางทกี ็ใช้นามสมมุตแิ ทนกไ็ ด้เชน่ กัน)
การใชก้ ารบรรยายแสดงผลขอ้ มลู : ชาย โพธิสิตา ใหน้ ยิ ามการนำเสนอข้อมลู ดว้ ยการบรรยายว่า
“การทำใหข้ ้อมูลพูด” โดยใหเ้ หตุผลว่า การที่เราใหร้ หัสข้อมลู เป็นการทำให้ข้อความแต่ละข้อความในขอ้ มลู
นั้นบอกความหมายของตัวมนั เองเทา่ นน้ั ยงั ไมส่ ามารถบอกอะไรทเี่ ปน็ เรอ่ื งเปน็ ราวได้มากกว่านี้ พอมาถงึ ตอนนี้
ข้อมลู เริม่ จะพูดเป็นเรือ่ งราวได้ แต่ก็ยงั เป็นเร่ืองสน้ั ๆ หรือพดู เปน็ ท่อนๆ ตามประเด็นที่นักวิจัยได้จัดกลุ่ม/จัด
ประเภทไว้ อย่างไรก็ตาม ในขั้นนี้นักวิจัยสามารถทำให้ข้อมูลบอกเรื่องราวทั้งหมดของการวิจัยได้โดยการ
เชื่อมโยงประเด็นต่างๆ เขา้ ด้วยกนั ตามความสัมพนั ธท์ ปี่ ระเดน็ เหล่านั้นมีตอ่ กันแลว้ นำเสนอเปน็ การบรรยายว่า
ได้พบอะไรบา้ งที่นำไปสู่การตอบโจทย์การวิจยั ท่ีตงั้ เอาไว้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การนำเสนอในรูปของการบรรยายนี้
กค็ ือ ส่งิ เดยี วกันกับการเขียนรายงานการวจิ ยั นั่นเอง๒๓
ตวั อยา่ งการแสดงข้อมูลด้วยการบรรยาย จากงานวจิ ัยเรอ่ื งเดิม
ประเด็นหลกั ธรรมในทางพระพทุ ธศาสนาท่ีนำมาใช้ในการอยูร่ ว่ มกนั ผูเ้ ขียนไดแ้ ตกข้อมูล ให้รหัส
และนำมาสรปุ เรียบเรยี งแบบบรรยาย ดงั น้ี
๒๓ชาย โพธิสิตา, ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ การวิจัยเชิงคณุ ภาพ, หน้า ๓๖๓-๓๖๔.
๓๑๗ Advanced Research Methodology on Peace
หลกั แห่งทางสายกลางและการทำตนให้เปน็ ประโยชน์ เป็นเรอื่ งของการปรับวิถคี ิด วิถดี ำเนนิ ชวี ิต
ไม่ให้สุดโตง่ ไปด้านใดดา้ นหนง่ึ ทางสายกลาง คือ การที่เราอย่รู ว่ มกันลงเรอื ลำเดียวกนั ต้องไปดว้ ยกนั ตอ้ งเข้าใจ
กนั ความอดทน ไมส่ ดุ โต่ง เข้าใจกัน (L03) การนำหลกั พทุ ธธรรมมาประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ หลัก ชว่ ยได้มากเพราเป็น
สาระในการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระ ที่มีกฎระเบียบ พระวินัย หรือธรรมะ เป็นสว่ นประกอบหลกั
การใช้สติ และมองว่าเรามีวิถีชีวิตที่ดีในการอยู่ร่วมกัน พยายามที่จะไม่ทำตนให้เกิดปัญหา และวิถีของ
ประชาธปิ ไตย (M04) นอกจากนี้ ยงั ตอ้ งดำเนนิ ชวี ิตให้เกิดประโยชน์ในสังคมทอ่ี ยู่ ตามหลกั ทิฏฐธิ ัมมกิ ประโยชน์
๔ (หวั ใจเศรษฐ)ี มีความเพียร ออม (อ่านหนงั สอื ต้องทบทวน)
กัลยาณมติ ตตา จะเรียนสำเร็จ สมชิวติ า งานทท่ี ำต้องสจุ ริต สอบก็ต้องไมท่ ุจรติ (M02) การทำตน
ให้มีความสุขมีความสำเรจ็ ในการเรียนและสร้างสันติสุขในมหาวิทยาลัย และไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนานกิ ายใด
หลักคำสอนทจี่ ริงแทแ้ น่นอนตรงกนั คอื การใชโ้ อวาทคร้งั สดุ ท้าย คอื ความไมป่ ระมาท (M02) คอยหมั่นเตือน
ตนเอง การพยายามทจ่ี ะทำดีตอ่ กัน ทำหน้าทใี่ หด้ ีท่สี ุดและนั่นจะเปน็ สิ่งที่ช่วยปลดปลอ่ ยจติ ใจไมใ่ หส้ ะสมความ
โกรธความไมพ่ อใจต่อกันด้วยคิดว่าชีวิตนน้ี ้อยนักแตส่ ำคญั นกั ๒๔
กลา่ วได้วา่ การวิเคราะห์ขอ้ มลู ในงานวจิ ัยเชงิ คุณภาพ นักวจิ ยั เปน็ เคร่อื งมือวิเคราะห์ท่ีสำคัญท่ีสุด
ซึ่งต้องอาศัยการตคี วาม การมองบรบิ ทเนื้อหาที่ได้ข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลแบบองคร์ วม แตกประเด็นยอ่ ย แล้ว
นำมาหลอมรวมร้อยเรียงให้เกิดองค์ความรู้บนฐานความเขา้ ใจของนักวิจัย ดังนั้นการวิจัยเชิงคุณภาพ นักวิจยั
จำเปน็ ต้องมพี นื้ ฐานในเร่ืองทีศ่ ึกษาและมีทกั ษะในการเขียนเรยี บเรยี งเน้ือหาแบบมีระบบแบบแผน มีศิลปะใน
การนำความรูเ้ ชงิ ประจักษ์กับแนวคิดทฤษฎีมาเชอ่ื มโยงใหเ้ ห็นเพือ่ สรา้ งความนา่ เช่อื ถือ ในขณะท่ีการวิเคราะห์
ขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณจะเน้นเร่ืองของการตอบสมมตุ ฐิ านดว้ ยการใชส้ ถติ ิ รายงานผลไปตามลำดบั การวเิ คราะห์และ
สรุปผลท่ไี ด้เพ่ือตอบสมมุตฐิ านการวจิ ัย ทงั้ นีก้ ระบวนการวจิ ยั เมอื่ ผา่ นการวิเคราะหข์ ้อมูลแลว้ รายงานวิจัยจะ
สมบรู ณ์เมื่อนักวิจยั สามารถอภปิ รายผลการวิจยั ทไ่ี ดอ้ ยา่ งมีความน่าเชอื่ ถอื ซ่ึงเป็นประเดน็ สุดทา้ ยท่จี ะกล่าวถึง
ในบทน้ี
๙.๓ การอภปิ รายผลการวิจยั
การอภปิ รายผลการวจิ ยั นบั วา่ เปน็ กระบวนการข้ันสุดท้ายทจี่ ะทำใหร้ ายงานวจิ ัยมีความสมบูรณ์
และเปน็ สว่ นเนอ้ื หาสำคญั ที่ทา้ ทายนกั วจิ ยั ในการที่จะเขียนเช่อื มโยงใหเ้ หตุผลสนบั สนุนผลการวิจยั ทไ่ี ด้จากการ
วเิ คราะหว์ ่ามคี วามน่าเชอื่ ถอื และมีความถกู ตอ้ งมากน้อยเพียงใด และผลการวจิ ยั ทไี่ ด้สอดคล้องกับสมมุติฐาน
หรอื ไม่ โดยอาศัยแนวคดิ ทฤษฎีและผลการวจิ ยั ผูอ้ นื่ มาช่วยสนับสนนุ ผลการวจิ ยั ท่ไี ดน้ น้ั ซ่งึ ในการนำผลการวจิ ยั
หรอื แนวคดิ ทฤษฎมี าใช้ในการให้เหตผุ ลเพ่ือเพม่ิ ความนา่ เชื่อถือผลงานวิจัยนั้น มที ้งั สว่ นท่ีสนับสนุน หมายถึง
ผลการวิจัยสอดคล้องกับผลการวิจัยของผู้อื่นหรือสอดรับทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง และมีส่วนที่ขัดค้านหรือ
๒๔ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ และคณะ,“ความหลากหลายทางชาติพันธุ์กับวิถีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขใน
ประชาคมอาเซียน: กรณีศึกษานิสิตประเทศไทยและนิสิตกลุ่มประเทศ CLMV ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
(สว่ นกลาง)”,รายงานวจิ ยั ,(ศูนย์อาเซียนศึกษา: มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๘), หน้า ๑๑๓-๑๑๔.
ระเบยี บวธิ ีวิจยั ชั้นสูงวา่ ด้วยสนั ติภาพ ๓๑๘
ผลการวิจัยตรงกันข้ามกับผลการวิจัยของผู้อื่น หรืออาจขัดแย้งกับทฤษฎีบางทฤษฎี ซึ่งหากมี ผลการวิจัยใน
ลกั ษณะนีน้ ักวิจยั ยง่ิ ตอ้ งให้เขยี นให้เห็นเหตุผลเพ่ืออธบิ ายถึงความแตกตา่ งที่เกดิ ขน้ึ กล่าวโดยสรปุ การอภปิ ราย
ผลการวิจัยเปน็ สิง่ ท่ที า้ ทายและค่อนข้างยากสำหรบั นักวจิ ัยมือใหม่ ซึ่งต้องอาศยั การเรียนรู้การทำความเข้าใจ
และสร้างทักษะให้เกดิ ข้นึ จากการเรียนร้เู ทคนคิ การอภปิ รายผลการวิจัย
จักรกฤษณ์ โพดาพล ได้นำเสนอเทคนิคการอภิปรายผลการวิจัย สรุปไว้ดังนี้ความหมายการ
อภปิ รายผลคือ การอธิบายวา่ ทำไมผลการวิจยั จงึ ไดผ้ ลเชน่ น้ีและเขียนใหเ้ หน็ ว่าผลการวจิ ัยท่ีน้นั สอดคล้องหรือ
ขัดแย้งกับผลการวิจัยของผลการวิจัยของผู้อื่นอย่างไร ถ้าสอดคล้อง สอดคล้องอย่างไรในประเด็นใด แต่ถ้า
ขัดแย้งนกั วิจัยก็จะตอ้ งหาสาเหตหุ รือยกเหตผุ ลมาอธิบายและแสดงใหเ้ หน็ ถึงสิ่งท่ที ำให้ผลการวิจยั ออกมาเชน่ น้ี
นั้นมาจากเอกสารตา่ งๆ หรือเหตุผลของผวู้ จิ ยั เอง สว่ นประกอบของการเขียนอภิปรายผลการวิจยั โดยส่วนมาก
จะประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ๔ ประการ ดงั น้ี
๑) ศึกษาอะไร: ในขั้นตอนนี้คือ นักวิจัยบอกให้ผู้อ่านทราบว่างานวิจัยเกี่ยวกับอะไร กล่าวคือ
วตั ถปุ ระสงคแ์ ละหรือสมมตุ ฐิ านการวจิ ยั นนั่ เอง
จากวตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั ..................................................................................
จากสมมุตฐิ านข้อท.่ี ..........................................................................................
๒) ผลทไี่ ด้รับเปน็ อยา่ งไร: ในขัน้ ตอนนี้นักวิจยั จะรายงานผลการวิจยั ทีไ่ ดด้ ำเนินการมาว่า ได้พบ
เจออะไรบ้าง (แตกตา่ งจากการเขียนในการวิเคราะห์ผลการวจิ ยั เพราะตอ้ งเขียนแบบเรียงความรอ้ ยแก้ว ร้อย
เรียงเป็นเร่อื งราวตามลำดบั ผลการวิจัยที่เป็นเนอ้ื หาสาระสำคญั สรปุ ความให้กระชับ สน้ั กะทัดรัด ไดใ้ จความ)
ผลการวิจยั พบว่า..............................................................................................
๓) เปน็ เพราะอะไร: ขนั้ ตอนนีน้ ักวจิ ยั ให้เหตุผลว่าผลการวจิ ยั ทค่ี ้นพบ เกดิ ขึน้ ได้อยา่ งไร ทำไมถึง
เป็นเช่นนน้ั เป็นการสะท้อนทีแ่ สดงถึงความรูค้ วามเข้าใจและผลการศึกษาและทบทวนวรรณกรรมของผู้วิจัยว่า
มีมากนอ้ ยเพยี งใด
(ผลการวิจัย) ทง้ั นอี้ าจเป็นเพราะว่า..................................................................
๔) สอดคล้องกับใคร: เป็นขั้นตอนการยืนยันผลการวิจัยของเราได้สอดคล้องหรือขัดแย้งกับ
ผลการวิจัยของผู้อน่ื อย่างไร
(ผลการวจิ ัย) หลงั สอดคลอ้ งกับ ....ช่อื (ปีพ.ศ.) ท่ีกลา่ วว่า...................................
ดังที่.......ชือ่ .......(พ.ศ.)...........ที่ว่า......................................................................
ตัวอย่างรปู แบบการอภิปรายผล
แบบที่ ๑ให้นำการอธบิ ายเหตผุ ล หลงั สรุปผลการวิจยั
(๑) กรณสี อดคล้องกับสมมติฐานท่ตี ั้งไว้
........(ผลการวิจัย)...............สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ท้ังนี้เพราะ/อาจเป็นเพราะ.......
(อธิบายเหตุผลท่ีน่าเช่ือถือ ลักษณะที่เกิดผลดังกล่าว มีการอ้างองิ ทฤษฎีกล่าวถึงความสำคัญ ของผลการวจิ ัย
๓๑๙ Advanced Research Methodology on Peace
และความจำเป็นสำหรับการวิจยั เพิ่มเติม).............สอดคลอ้ งกับผลงานวิจัยของ........(ยกงานวิจัยที่สอดคลอ้ งกบั
ผ ล ก า ร วิ จ ั ย เ ท ่ า นั้ น ม า เ ข ี ย น ซ ึ ่ ง ไ ด ้ ม า จ า ก บ ท ท่ี ๒ ห ั ว ข ้ อ ง า น ว ิ จ ั ย ที่
เก่ยี วข้อง)……………………………………………………………........
(๒) กรณีไม่สอดคล้องกบั สมมตฐิ านทีต่ ง้ั ไว้
.........(ผลการวิจัย)...............ไมส่ อดคลอ้ งกบั สมมติฐานที่ต้งั ไว้ ทัง้ นี้เพราะ/อาจเป็นเพราะ............
(อธบิ ายเหตผุ ลที่น่าเชื่อถอื ลักษณะทเ่ี กดิ ผลดังกลา่ วมีการอ้างอิงทฤษฎีกล่าวถงึ ความสำคญั ของผลการวิจัยและ
ความจา เป็นสำหรับการวิจัยเพ่ิมเตมิ ).................สอดคล้องกับผลงานวิจัยของ...........(ยกงานวิจัยที่สอดคลอ้ ง
ก ั บ ผ ล ก า ร วิ จ ั ย ม า เ ข ี ย น จ า ก บ ท ท่ี ๒ ห ั ว ข ้ อ ง า น ว ิ จ ั ย ที่
เกย่ี วขอ้ ง)…………………………………………………………………………………..
แบบที่ ๒ ให้นำการอธบิ ายความสอดคล้องกับผลการวิจัย หลงั สรปุ ผลการวจิ ยั
(๑) กรณสี อดคล้องกบั สมมติฐานทต่ี ง้ั ไว้
............(ผลการวจิ ัย)...............สอดคล้องกบั สมมตฐิ านที่ตงั้ ไว.้ ................สอดคลอ้ งกบั ผลงานวจิ ยั
............(ยกงานวิจัยที่สอดคล้องกับผลการวิจัยหรือศึกษาเท่านั้นมาเขียนจากบทที่ ๒ หัวข้องานวิจัยที่
เกี่ยวขอ้ ง)....ท้ังน้เี พราะ/ อาจเป็นเพราะ........(อธบิ ายเหตผุ ลทนี่ ่าเชอ่ื ถอื ลักษณะทเี่ กิดผลดังกล่าว มกี ารอ้างอิง
ท ฤ ษ ฎ ี ก ล ่ า ว ถ ึ ง ค ว า ม ส ำ ค ั ญ ข อ ง ผ ล ก า ร ว ิ จ ั ย แ ล ะ ค ว า ม จ ำ เ ป ็ น ส ำ ห ร ั บ ก า ร ว ิ จั ย
เพม่ิ เติม).............................................................
(๒) กรณีไมส่ อดคลอ้ งกับสมมติฐานทต่ี งั้ ไว้
.........(ผลการวิจัย)...............ไม่สอดคล้องกับผลงานวิจัยของ.........(ยกงานวิจัยที่สอดคล้องกบั
ผลการวจิ ัยหรือศึกษาเท่าน้นั มาเขียนจากบทที่ ๒ หัวขอ้ งานวิจัยทเี่ กยี่ วขอ้ ง)....................ทง้ั น้ีเพราะ/ อาจเป็น
เพราะ........(อธิบายเหตุผลทีน่ ่าเชื่อถอื ลักษณะที่เกิดผลดังกล่าว มีการอ้างอิงทฤษฎี กล่าวถึงความสำคัญของ
ผลการวจิ ยั และความจำเป็นสำหรบั การวจิ ัยเพิม่ เติม)............................................................................................
▪ เทคนคิ การเขียนอภิปรายผลให้น่าอ่าน
การอภิปรายผลท่ดี ตี อ้ งสามารถสื่อสารให้ผอู้ า่ นเขา้ ใจงา่ ย โดยการเรียงลำดบั ขอ้ มลู ในองค์ประกอบ
ต่างๆ ให้ครบถว้ น และเขียนเปน็ ลำดบั ขัน้ ตอนให้อ่านได้งา่ ย ดงั นี้
๑) ไม่ควรอภิปรายผลจากผลการวิจัยท้งั หมดควรเลอื กเฉพาะสิง่ ท่เี ราสนใจ หรอื เปน็ สิง่ สำคญั ในแต่
ละประเดน็ สำหรับการอภิปรายผลในเชงิ ลึกในแต่ละด้าน
๒) ควรเริม่ ต้นอภิปรายผลดว้ ยผลการวิจยั เชิงปริมาณ และตามด้วยผลการวิจยั เชงิ คณุ ภาพ
๓) ควรใหเ้ หตผุ ลร้อยรัดกันไปและมกี ารอ้างองิ ผลงานคนอื่นอย่างนอ้ ย ๓ คนในแต่ละประเด็น๒๕
๒๕จักรกฤษณโ์ พดาพล, การเขยี นอภปิ รายผลการวิจัยให้น่าอ่าน,[ออนไลน์],
แหลง่ ทีม่ า:http://www.mbuslc.ac.th.[๓๐ เมษ.๒๕๖๑].
ระเบียบวธิ วี จิ ยั ชั้นสงู วา่ ด้วยสันตภิ าพ ๓๒๐
๙.๔ สรุป
กล่าวได้ว่า กระบวนการศึกษาวิจัยไม่ว่าจะเป็นการวิจัยเชิงปริมาณหรอื การวิจัยเชิงคุณภาพ การ
รวบรวมข้อมูลเป็นการเชื่อมโยงประสานที่มีเบื้องหลังที่ตอ้ งยึดโยงกับวัตถุประสงค์การวิจัย กรอบแนวคิด ใน
ขณะเดียวกันกต็ อ้ งมองไปข้างหนา้ ในเรอื่ งของการวิเคราะห์ข้อมลู และการสรุปรายงาน และในขณะเดียวกันใน
การวิเคราะห์ผลข้อมูลทัง้ การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพก็มลี ักษณะเดียวกัน กล่าวคอื การต้อง
ตรวจสอบความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ คุณภาพของข้อมลู และความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องนอกเหนือจากตัว
แปรที่ศึกษา และถึงแม้ว่าการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจะมีข้อกำหนดที่เคร่งครัดโดยต้องคำนึงถึงข้อมูลที่
นำมาวิเคราะห์กับสถิติท่ีใช้ในการวิจัย ที่ต้องสอดรบั กบั วตั ถุประสงค์การวิจัยและสามารถตอบสมมุติฐานการ
วิจยั ได้
ในขณะที่การวิจัยเชิงคุณภาพการวิเคราะห์ข้อมลู จะมีความยืดหยุ่นกว่ามาก แต่ก็มีกรอบกำหนด
กรรมวิธีท่ีทำให้การวิเคราะหข์ อ้ มลู น้นั น่าเชือ่ ถอื ด้วยการใหร้ หสั และการเชื่อมโยงรหสั เพอื่ นำเสนอไปสู่สงิ่ ใหม่ๆ
ซึ่งนับว่าเป็นเสน่ห์หนึ่งของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ที่ต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์ กล่าวคือ การมี
จินตนาการประกอบกับการใช้หลักเหตุและผลในการอธิบายความเชื่อมโยงของปราก ฏการณ์ที่ศึกษา ซ่ึง
งานวิจยั เพ่ือสันตภิ าพโดยมากแลว้ จะใชก้ ารวิจยั เชิงคณุ ภาพเสยี เปน็ สว่ นใหญ่ การศึกษาหลกั การเขยี นนำเสนอ
ข้อมูลวิจัยเชิงคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่ผู้ศกึ ษาควรแสวงหาความรู้และเทคนิคเพิ่มเติมนอกจากการรายงานผลดว้ ย
ตาราง ด้วยการบรรยายแล้ว ยังสามารถใช้เทคโนโลยีโปรแกรมสำเร็จรูปมาช่วยเสริมเพื่อทำให้งานวิจัยดูเปน็
ระบบและมีความทันสมยั ยิง่ ข้นึ
คำถามทบทวนบทที่ ๙
๑) จงร่วมกนั อธบิ ายถึงคณุ ลกั ษณะสำคัญของการรวบรวมขอ้ มลู
๒) จงรว่ มกนั อธิบายถึงหลักการสำคญั การวเิ คราะหข์ ้อมลู เชงิ ปรมิ าณ
๓) จงรว่ มกนั อธบิ ายถงึ หลกั การสำคัญของการวิเคราะห์ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ
๔) จงร่วมกันอธบิ ายความแตกตา่ งระหวา่ งการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ ปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพ
๕) จงรว่ มกันอธิบายหลกั การเขียนการอภิปรายผลการวจิ ัย
๕) จงรว่ มกนั ทบทวนศัพท์งานวิจยั ในบทเรยี น
กิจกรรมมอบหมายทา้ ยบทเรยี น
๑) การทำสะท้อนคดิ
๒) การส่งการวิเคราะห์การรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่
เตรียมไว้
๓) การเตรียมตัวอย่างงานการเขยี นโครงร่างการวจิ ัย๕ เร่ือง
๓๒๑ Advanced Research Methodology on Peace
เอกสารอา้ งอิงประจำบท
กุลชลี จงเจรญิ และนติ ยา ภสั สรศริ ิ. (๒๕๖๐).การออกแบบและการวางแผนการวจิ ัย. มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัย
ธรรมาธิราช .[ออนไลน์]. แหล่งท่ีมา:http://www:edu.stou.ac.th/UploadedFile/9.pdf.[๒๕
เม.ย.๒๕๖๑.
ขจรศักด์ิ บวั ระพนั ธ์. (๒๕๕จ). วิจัยเชิงคุณภาพ.พมิ พ์คร้ังท่ี ๖. กรุงเทพมหานคร: บริษัท คอมม่าดีไซน์แอนด์
พริ้นท์ จำกัด.
ขนั ทอง วัฒนะประดิษฐ์ และคณะ. (๒๕๕๘). ความหลากหลายทางชาตพิ ันธก์ุ บั วิถีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ในประชาคมอาเซียน: กรณีศึกษานิสิตประเทศไทยและนิสิตกลุ่มประเทศ CLMV ในมหาวิทยาลัย
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย (ส่วนกลาง)”, รายงานวิจัย. ศูนย์อาเซียนศึกษา: มหาวิทยาลัยมหา
จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั .
คณะกรรมการ KM คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร์. (๒๕๕๙).เอกสารเผยแพร่การจัดการความรู้การ
วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ.[ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://qa.yru.ac.th/cheqa/qadoc/
Human/school_year_2556/elements-7/indicat-7.2/7.2-4.3.pdf. [๒๗ เม.ย.๒๕๖๑).
จักรกฤษณ์ โพดาพล .การเขียนอภิปรายผลการวิจั ยให้น่า อ่าน .[ออนไลน์]. แหล่งที่มา:
http://www.mbuslc.ac.th.[๓๐ เม.ย.๒๕๖๑].
ชายโพธิสิตา. (๒๕๕๔).ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ ๕,กรุงเทพมหานคร :บริษัท
อมรินทรพ์ รน้ิ ติ้งแอนดพ์ บั ลชิ ชิง่ จำกดั (มหาชน).
ณรงค์ โพธ์พิ ฤกษานันท์. (๒๕๕).ระเบียบวิธวี ิจัย. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท ธนาเพรส จำกดั .
บุญธรรม จิตต์อนันต์. (๒๕๕๖). การวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๓, กรุงเทพมหานคร :
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.
ปาริชาติสถาปิตานนท์. (๒๕๔๖).ระเบียบวิธีวิจัยการสื่อสาร. พิมพ์ครั้งที่ ๒. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั .
วิรัช วิรัชนิภาวรรณ. (๒๕๕๓). หลักการและเทคนิคการเขียนรายงานวิจัย วิทยานิพนธ์ และรายงาน.
กรงุ เทพมหานคร : โฟรเ์ พซ.
วนิดา วาดเี จริญและคณะ. (๒๕๖๐).ระเบียบวิธวี ิจัยจากแนวคดิ ทฤษฎสี ูภ่ าคปฏบิ ตั ิ. กรงุ เทพมหานคร : ซเี อ็ด
ยเู คชั่น.
สมชาย วรกิจเกษมสกุล. (๒๕๕๙). ระเบียบวิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. คณะครุ
ศาสตร์: มหาวิทยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี.
เอ้อื มพร หลนิ เจริญ. (๒๕๕๕). เทคนิคการวเิ คราะหข์ ้อมูลเซิงคณุ ภาพ.วารสารวัดผลการศกึ ษา มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม. ปีท่ี ๑๗, ฉบบั ที่ ๑ (กรกฎาคม): ๑๓-๓๒๙.
ระเบียบวิธีวจิ ยั ช้ันสงู ว่าดว้ ยสนั ติภาพ ๓๒๒
Kerlinger, N.F., Foundations of Behavioral Research. 3 rd ed.,( New York : Holt Rinehard&
Winston,Inc.,1986), p 392.
Krueger, R.A., Analyzing & Reporting Focus Group Results. Focus Group Kit # 6, Thousand
Oaks: Sage.
บทที่ ๑๐
จรรยาบรรณนักวิจยั และจรยิ ธรรมการวิจัยในคน
บทนำ
บทส่งท้ายของเอกสารการสอนนี้เป็นเรื่องที่ผู้เขียนอยากชักชวนให้นิสิต ผู้ศึกษา หรือนักวิจัย
พึงตระหนักและให้ความสำคัญในการทำงานวจิ ยั ซ่ึงนอกจากตอ้ งรักษาวนิ ยั ในการทำการศึกษาค้นคว้าในฐานะ
นิสิตแล้ว ยังมีเรื่องของจรรยาบรรณนักวิจัย ทีค่ รอบคลุมถึงการคัดลอกผลงานวิชาการด้วย ซึ่งผู้เขียน พบว่า
การคัดลอกผลงานวิชาการบางคร้ังเกดิ ขึ้นจากความไม่รู้ถึงขอบเขตในการคัดลอกผลงานแม้จะมีการอ้างอิงถงึ
แตเ่ พยี งแค่ไหนและคดั ลอกอย่างไรไมเ่ รยี กวา่ “คัดลอกงานผู้อ่นื ” นอกจากนี้ ประเด็นเรอ่ื งจรยิ ธรรมการวจิ ยั ใน
คน หรือในมนษุ ย์ ท่ีครอบคลุมถึงงานวิจัยสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์ ซึ่งการศึกษาวิจัยงานด้านสันติศึกษา
หรือวิจัยเพื่อสันติภาพ ไม่อาจละเลยที่จะกล่าวถึงได้ เพราะนอกจากจะเกี่ยวข้องกับอาสาวิจัยหรือกลุ่ม
ประชากรศึกษาแลว้ บางงานวิจยั ยังเข้าไปข้องเกยี่ วกบั ชุมชนท่ีนำมาส่กู ารเปล่ียนแปลงวิถีชีวิต ดังนั้นในฐานะ
วิศวกรสนั ติภาพ การทำงานวิจัยเพอ่ื สันตภิ าพตอ้ งให้ความสำคัญประเดน็ ต่าง ๆ เหล่านีอ้ ย่างรอบคอบและใส่ใจ
๑๐.๑ จรรยาบรรณนกั วิจยั และแนวทางปฏิบตั ิ
จรรยาบรรณนักวจิ ยั สภาวจิ ัยแห่งชาติ
ในการออกแบบการวิจัยนอกจากนิสิตตอ้ งคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบการวิจยั
การเลือกใช้เครือ่ งมือวิจัย หรือรูปแบบการวิจัย สิ่งทีน่ ิสติ ไม่ว่าจะศึกษาอยู่ในระดับใด ต้องไม่ละเลยเรื่องของ
จรรยาบรรณหรือจรยิ ธรรมนักวจิ ยั "จรรยาบรรณ" หมายถงึ หลักความประพฤติอันเหมาะสม แสดงถงึ คุณธรรม
และจริยธรรมในการประกอบอาชีพ ที่กลุ่มบุคคลแต่ละสาขาวิชาชีพ ประมวลขึน้ ไว้เป็นหลักเพื่อให้สมาชิกใน
สาขาวิชาชพี นน้ั ๆยึดถือปฏบิ ัติเพื่อรกั ษาช่ือเสยี ง และสง่ เสริมเกียรตคิ ณุ ของสาขาวิชาชีพของตน
จรรยาบรรณในการวิจยั จดั เป็นองคป์ ระกอบที่สำคญั ของระเบยี บวธิ วี ิจยั เน่อื งด้วยในกระบวนการ
ค้นคว้าวิจัย นกั วิจยั จะตอ้ งเข้าไปเกย่ี วข้องใกล้ชิดกบั สิ่งท่ีศึกษา ไม่ว่าจะเปน็ สิ่งมีชีวติ หรอื ไม่มีชีวิต การวิจัยจึง
อาจสง่ ผลกระทบในทางลบต่อส่งิ ทศี่ ึกษาได้ หากผวู้ ิจยั ขาดความรอบคอบระมัดระวัง การวจิ ยั เป็นกิจกรรมท่ีมี
ความสำคญั อย่างยิง่ ต่อการวางแผนและกำหนดนโยบายในการพฒั นาประเทศทุกด้าน โดยเฉพาะในการพัฒนา
คุณภาพชีวิตของคนในประเทศ ผลงานวิจัยที่มคี ุณภาพขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของนกั วิจัยในเรือ่ งทีจ่ ะ
ศึกษาและขน้ึ อย่กู ับคุณธรรมจริยธรรมของนักวิจัยในการทำงานวจิ ยั ด้วยผลงานวิจยั ทด่ี อ้ ยคุณภาพด้วยสาเหตใุ ด
ก็ตามหากเผยแพร่ออกไป อาจเป็นผลเสียต่อวงวิชาการและประเทศชาติได้ สภาวิจัยแห่งชาติจึงกำหนด
"จรรยาบรรณนักวิจัย" ไว้เป็นแนวทางสำหรับนักวจิ ัยยึดถือปฏิบตั ิ เพื่อให้การดำเนนิ งานวจิ ัยตั้งอย่บู นพ้นื ฐาน
ระเบียบวธิ วี จิ ยั ช้ันสูงว่าดว้ ยสนั ติภาพ ๓๒๔
ของจริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม ตลอดจนประกันมาตรฐานของการศึกษาค้นคว้าให้เป็นไปอย่าง
สมศกั ดศิ์ รีและเกยี รตภิ มู ิของนกั วจิ ยั ไว้ ๙ ประการ๑ ดังน้ี
(๑) นักวิจัยตอ้ งซื่อสัตยแ์ ละมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจดั การ นักวิจยั ต้องมีความซือ่ สตั ย์
ต่อตนเองไม่นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่ลอกเลียนงานของผู้อื่น ต้องให้เกียรติ และอ้างถึงบุคคลหรอื
แหล่งที่มาของข้อมูลที่นำมาใช้ในงานวิจัย ต้องซื่อตรงตอ่ การแสดงหาทุนวิจัย และมีความเปน็ ธรรมเกี่ยวกับ
ผลประโยชน์ท่ีไดจ้ ากการวจิ ยั
(๑.๑) นักวิจัยต้องมีความซ่ือสัตย์ตอ่ ตนเองและผ้อู ื่น
(๑.๑.๑) นักวิจัยต้องมีความซื่อสัตย์ในทุกขั้นตอนของกระบวนการวิจัย ตั้งแต่การ
เลือกเร่อื งทจี่ ะทำวจิ ัย การเลอื กผู้เขา้ รว่ มทำวิจยั การดำเนนิ การวิจยั ตลอดจนการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์
(๑.๑.๒) นักวิจัยตอ้ งให้เกยี รตผิ ู้อ่ืนโดยการอ้างถงึ บุคคลหรือแหลง่ ทม่ี าของขอ้ มลู และ
ความคิดเห็นที่นำมาใชใ้ นงานวิจยั
(๑.๒) นักวจิ ัยตอ้ งซื่อตรงต่อการแสวงหาทนุ วจิ ัย
(๑.๒.๑) นักวิจัยต้องเสนอข้อมูลและแนวคิดอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาในการ
เสนอโครงการวจิ ยั เพือ่ ขอรับทุน
(๑.๒.๒) นักวิจยั ตอ้ งเสนอโครงการวจิ ยั ดว้ ยความซอื่ สัตยโ์ ดยไมข่ อทุนซ้ำซ้อน
(๑.๓) นกั วจิ ยั ต้องมีความเปน็ ธรรมเกีย่ วกับผลประโยชน์ท่ีได้จากการวิจัย
(๑.๓.๑) นักวจิ ยั ต้องจดั สรรสดั ส่วนของผลงานวิจยั แก่ผรู้ ว่ มวิจัยอย่างยตุ ธิ รรม
(๑.๓.๒) นกั วิจยั ตอ้ งเสนอผลงานอย่างตรงไปตรงมาโดยไมน่ ำผลงานของผู้อ่ืนมาอ้าง
วา่ เปน็ ของตน
(๒) นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทำงานวิจัย ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับหน่วยงานที่
สนับสนุนการวิจัย และต่อหน่วยงานที่ตนสังกัด นักวิจัยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีและข้อตกลงการวิจัยท่ี
ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน อุทิศเวลาทำงานวิจัยให้ได้ผลดีที่สุด และเป็นไปตามกำหนดเวลา มีความ
รับผดิ ชอบไม่ละทิง้ งานระหว่างดำเนินการ
(๒.๑) นักวจิ ัยตอ้ งตระหนกั ถึงพันธกรณใี นการทำวจิ ัย
(๒.๑.๑) นักวิจัยต้องศึกษาเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ของเจ้าของทุนอย่างละเอียด
รอบคอบเพ่อื ป้องกนั ความขดั แย้งทจ่ี ะเกดิ ข้ึนในภายหลงั
(๒.๑.๒) นักวิจัยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ระเบียบและกฎเกณฑ์ ตามข้อตกลงอย่าง
ครบถว้ น
(๒.๒) นักวิจัยตอ้ งอทุ ิศเวลาทำงานวจิ ัย
๑ส ำ น ั ก ง า น ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ว ิ จ ั ย แ ห ่ ง ช า ต ิ , จ ร ร ย า บ ร ร ณ น ั ก ว ิ จ ั ย ส ภ า ว ิ จ ั ย แ ห ่ ง ช า ติ
,<http://www.nuic.nu.ac.th/nuic2016/wp-content/uploads/2015/09/Research-Ethic.pdf>, (๓๐ เมษายน ๒๕๖๐).
๓๒๕ Advanced Research Methodology on Peace
(๒.๒.๑) นกั วจิ ัยตอ้ งทุ่มเทความรู้ ความสามารถและเวลาใหก้ บั การทำงานวิจยั เพอ่ื ให้
ได้มาซ่ึงผลงานวิจัยทมี่ คี ุณภาพและเปน็ ประโยชน์
(๒.๓) นกั วิจัยต้องมีความรับผิดชอบในการทำวจิ ยั
(๒.๓.๑) นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบไมล่ ะทิ้งงานโดยไมม่ เี หตุผลอนั ควรและสง่ งาน
ตามกำหนดเวลาไม่ทำผิดสัญญาขอ้ ตกลงจนก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หาย
(๒.๓.๒) นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบในการจัดทำรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์
เพอ่ื ให้ผลอันเกิดจากการวจิ ัยไดถ้ กู นำไปใชป้ ระโยชน์ต่อไป
(๓) นกั วจิ ยั ตอ้ งมพี ้นื ฐานความรใู้ นสาขาวิชาการที่ทำวิจยั นกั วจิ ยั ต้องมพี ้ืนฐานความรูใ้ นสาขาวิชา
การที่ทำวิจัยอย่างเพียงพอ และมีความรู้ความชำนาญ หรือมีประสบการณ์เกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่ทำวิจัย เพ่ือ
นำไปสู่งานวิจัยที่มีคณุ ภาพ และเพื่อป้องกนั ปญั หาการวิเคราะห์ การตีความ หรือการสรปุ ที่ผดิ พลาด อันอาจ
ก่อให้เกดิ ความเสยี หายตอ่
งานวิจัย
(๓.๑) นกั วจิ ยั ตอ้ งมพี ืน้ ฐานความรู้ ความชำนาญหรอื ประสบการณเ์ กยี่ วกับเรอ่ื งท่ีทำวจิ ัยอยา่ ง
เพียงพอเพือ่ นำไปสงู่ านวิจัยทมี่ ีคณุ ภาพ
(๓.๒) นักวิจัยต้องรกั ษามาตรฐานและคุณภาพของงานวจิ ัยในสาขาวิชาการนั้นๆเพ่ือป้องกนั
ความเสียหายต่อ วงการวชิ าการ
(๔) นกั วิจยั ต้องมีความรับผดิ ชอบต่อสง่ิ ที่ศกึ ษาวจิ ัย ไมว่ ่าจะเปน็ สิ่งท่มี ีชวี ติ หรือไม่มีชีวิต นักวิจัย
ต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และเที่ยงตรงในการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ พืช
ศิลปวัฒนธรรมทรัพยากร และสงิ่ แวดล้อม มจี ิตสำนึกและ มปี ณิธานทจี่ ะอนุรักษศ์ ลิ ปวฒั นธรรม ทรัพยากร
และส่งิ แวดลอ้ ม
(๔.๑) การใชค้ นหรือสัตว์เปน็ ตวั อย่างทดลอง ต้องทำในกรณที ่ไี ม่มีทางเลือกอืน่ เทา่ นั้น
(๔.๒) นักวิจัยต้องดำเนินการวิจัยโดยมีจิตสำนึกที่จะไม่ก่อความเสียหายต่อคน สัตว์ พืช
ศลิ ปวฒั นธรรม ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อม
(๔.๓) นักวิจัยต้องมคี วามรับผิดชอบต่อผลท่ีจะเกิดแกต่ นเอง กลุ่มตัวอยา่ งที่ใช้ในการศึกษา
และสงั คม
(๕) นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัยนักวิจัยต้องไม่
คำนึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการจนละเลยและขาดความเคารพในศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ ต้องถือเป็น
ภาระหน้าที่ที่จะอธิบายจุดมุ่งหมายของการวิจัยแก่บุคคลท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยไม่หลอกลวงหรือบีบบังคบั
และไมล่ ะเมิดสิทธิส่วนบุคคล
(๕.๑) นักวิจัยต้องมีความเคารพในสิทธิของมนุษย์ที่ใช้ในการทดลองโดยต้องได้รับความ
ยินยอมกอ่ นทำการวจิ ัย
๕.๒) นักวิจัยต้องปฏิบัติต่อมนุษย์และสัตวท์ ี่ใช้ในการทดลองด้วยความเมตตาไม่คำนึงถงึ แต่
ผลประโยชน์ทางวิชาการจนเกิดความเสียหายทีอ่ าจก่อให้เกดิ ความขดั แย้ง
ระเบียบวธิ วี จิ ัยชั้นสงู วา่ ด้วยสันตภิ าพ ๓๒๖
(๕.๓) นักวิจัยต้องดูแลปกป้องสิทธิประโยชน์และรักษาความลับของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ
ทดลอง
(๖) นักวจิ ัยต้องมอี สิ ระทางความคดิ โดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย นกั วิจยั ต้องมี
อิสระทางความคิด ต้องตระหนักว่า อคติส่วนตน หรือความลำเอยี งทางวิชาการ อาจส่งผลให้มีการบิดเบอื น
ขอ้ มลู และข้อบงั คบั พบทางวิชาการ อันเป็นเหตุให้ เกิดผลเสียหายตอ่ งานวิจัย
(๖.๑) นกั วจิ ยั ตอ้ งมอี ิสระทางความคิดไม่ทำงานวิจัยด้วยความเกรงใจ
(๖.๒) นกั วิจยั ต้องปฏบิ ตั ิงานวจิ ัยโดยใชห้ ลักวชิ าการเป็นเกณฑ์และไม่มอี คติมาเก่ยี วขอ้ ง
(๖.๓) นักวิจัยต้องเสนอผลงานวิจัยตามความเป็นจริงไม่จงใจเบี่ยงเบนผลการวิจัยโดยหวงั
ผลประโยชนส์ ว่ น ตน หรือตอ้ งการสร้างความเสยี หายแกผ่ อู้ ืน่
(๗) นักวิจัยพึงนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ นักวิจัยพึงเผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อ
ประโยชน์ทางวิชาการและสงั คม ไม่ขยายผลข้อค้นพบจนเกนิ ความเป็นจรงิ และไมใ่ ช้ผลงานวจิ ยั ไปทางมชิ อบ
(๗.๑) นักวจิ ยั พงึ มคี วามรบั ผดิ ชอบและรอบคอบในการเผยแพร่ผลงานวจิ ยั
(๗.๒) นกั วจิ ัยพึงเผยแพร่ผลงานวิจัยโดยคำนึงถงึ ประโยชน์ทางวชิ าการและสงั คมไม่เผยแพร่
ผลงานวจิ ยั เกิน ความเปน็ จริงโดยเห็นแกป่ ระโยชน์ส่วนตนเปน็ ทต่ี ัง้
(๗.๓) นักวิจัยพึงเสนอผลงานวิจัยตามความเป็นจริงไม่ขยายผลข้อค้นพบโดยปราศจากการ
ตรวจสอบ ยืนยันในทางวชิ าการ
(๘) นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อืน่ นักวิจัยพึงมใี จกว้าง พร้อมท่ีจะเปิดเผย
ข้อมูลและขัน้ ตอนการวจิ ัย ยอมรับฟัง ความคิดเห็นและเหตุผลทางวชิ าการของผู้อื่น และพร้อมที่จะปรบั ปรงุ
แกไ้ ขงานวจิ ัยของตนให้ถกู ต้อง
(๘.๑) นักวิจัยพึงมีมนุษยสัมพนั ธ์ที่ดี ยินดีแลกเปล่ียนความคิดเห็นและสร้างความเข้าใจใน
งานวจิ ยั กับเพอื่ นรว่ มงานและนักวชิ าการอน่ื ๆ
(๘.๒) นักวิจัยพึงยอมรบั ฟังแก้ไขการทำวิจยั และการเสนอผลงานวจิ ัยตามข้อแนะนำที่ดีเพื่อ
สรา้ งความร้ทู ี่ ถูกต้องและสามารถนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้
(๙) นกั วิจัยพงึ มคี วามรับผดิ ชอบต่อสงั คมทกุ ระดบั นักวจิ ัยพงึ มจี ิตสำนกั ทจี่ ะอุทศิ กำลังสติปัญญา
ในการทำวจิ ยั เพื่อความกา้ วหนา้ ทางวชิ าการ เพือ่ ความเจริญและประโยชนส์ ขุ ของสงั คมและมวลมนุษยชาติ
(๙.๑) นักวิจัยพงึ ไตร่ตรองหาหวั ข้อการวิจัยดว้ ยความรอบคอบและทำการวิจยั ดว้ ยจิตสำนึกที่
จะอุทิศกำลัง ปัญญาของตนเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการเพื่อความเจริญของสถาบันและประโยชน์สุขต่อ
สังคม
(๙.๒) นักวิจัยพึงรับผิดชอบในการสร้างสรรคผ์ ลงานวิชาการเพื่อความเจรญิ ของสังคมไม่ทำ
การวิจัยท่ขี ัดกับ กฎหมาย ความสงบเรยี บรอ้ ยและศลี ธรรมอันดขี องประชาชน
(๙.๓) นกั วิจยั พงึ พัฒนาบทบาทของตนใหเ้ กิดประโยชน์ยิ่งขึน้ และอุทศิ เวลา น้ำใจ กระทำการ
ส่งเสรมิ พัฒนาความรจู้ ิตใจ พฤตกิ รรมของนกั วิจัยรุ่นใหม่ให้มีส่วนสร้างสรรคค์ วามรแู้ ก่สงั คมสบื ไป
๓๒๗ Advanced Research Methodology on Peace
กล่าวได้วา่ จรรยาบรรณนักวิจัยเปน็ เสมือนเคร่ืองย้ำเตือนในการคำนงึ ถงึ ผลทจ่ี ะเกิดขน้ึ ทัง้ ทางตรง
และทางอ้อมกบั ผู้ใหข้ อ้ มูล และความรับผดิ ชอบต่อขอ้ มูลทีน่ ักวจิ ัยต้องพงึ ระวังและตระหนักถงึ ทั้งน้ี นอกจาก
จรรยาบรรณนักวิจัยแล้ว ปัจจุบันงานวิจัยมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ได้ถูกกล่าวถึงการนำหลักของ
จริยธรรมในมนุษย์หรือจริยธรรมในคนมาใช้เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ให้ข้อมูลทั้งเชิงปัจเจก
บคุ คลและชมุ ชน
๑๐.๒ จรยิ ธรรมการวจิ ัยในมนษุ ย์
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ให้ความหมายของ จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ หมายถึง
ประมวลหลักประพฤตปิ ฏบิ ตั ิทด่ี ี ทีน่ กั วจิ ยั ควรยึดถือในการวจิ ัยเก่ยี วกับมนุษย์เพื่อปกปอ้ งศักดิ์ศรี สิทธิ สวัสดิ
ภาพ ให้ความอิสระและความเปน็ ธรรมแกผ่ ู้เขา้ รว่ มวจิ ัย นอกจากนี้ ยงั ไดใ้ หค้ วามหมายของ การวจิ ัยในมนุษย์
หรอื ท่ีเก่ียวข้องกับมนุษย์ หมายถึง กระบวนการศึกษาที่ทำเป็นระบบ เพ่ือให้ไดม้ าซ่ึงความรูด้ ้านสุขภาพ หรือ
วิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ีได้กระทำต่อร่างกายหรือจิตใจของบุคคลหรือที่ได้กระทำต่อเซลล์ส่วนประกอบของ
เซลล์ วัสดุสิ่งสง่ ตรวจ เนื้อเย่ือ นำ้ คดั หลั่ง สารพันธกุ รรมเวชระเบียน หรือข้อมูลด้านสขุ ภาพของบุคคล และให้
หมายความถงึ การศกึ ษาทางสังคมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร์ทีเ่ กีย่ วกบั สขุ ภาพ๒
ความจำเปน็ ในการทำจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์?
ปัจจุบัน แนวทางของจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ได้รับการยอมรับและถูกนำมากำหนด เป็น
เง่ือนไขในทางวชิ าการดา้ นตา่ งๆ ได้แก่
▪ การนำผลการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มากำหนดเป็นเงื่อนไขสำหรับตอบรับการ
ตพี มิ พ์บทความวิจัยในวารสารวชิ าการ**
▪ การขอตำแหน่งทางวิชาการตามประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีพิจารณาแต่งต้ัง
บุคคลให้ดำารง ตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. ๒๕๖๐ กำหนดว่า
งานวจิ ยั ในคนหรอื สัตวท์ ดลองจะตอ้ งยื่นหลกั ฐานการรบั รองจากกรรมการจริยธรรมของสถาบัน
▪ ยงั ปรากฏกรณผี ้ใู ห้ทนุ อุดหนนุ การวิจยั ได้นำเงือ่ นไขการรับรองจรยิ ธรรมการวิจัยในมนุษย์มา
เป็นหลกั เกณฑพ์ ิจารณาให้ทุนสนบั สนนุ การวจิ ัยด้วยเช่นกนั
กล่าวได้ว่า จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์เป็นหลักจริยธรรมทั่วไป (Ethical Principles) เป็นที่
ยอมรับและยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติสากล The Belmont Report ซึ่งกำหนดหลักการสำคัญ ๓ ประการ
ประกอบดว้ ย
๑) หลกั ความเคารพในบคุ คล (Respect for Person)
๒) หลักคุณประโยชนไ์ มเ่ ปน็ โทษ (Beneficence and Non-Maleficence)
๓) หลักความยุตธิ รรม (Justice)
๒ สำนักการวิจัยแห่งชาติ, แนวทางจริยธรรมการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์, ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ ๒,
(กรงุ เทพมหานคร: สำนกั งานวจิ ยั แห่งชาติ, ๒๕๖๔), หน้า ๑๒.
ระเบียบวิธีวจิ ัยช้ันสงู วา่ ด้วยสันติภาพ ๓๒๘
โดยมวี ัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสทิ ธแิ ละความเป็นอยูท่ ่ดี ีของมนุษยซ์ ง่ึ เป็นอาสาสมัครท่ีเข้าร่วม
โครงการวจิ ยั ๓
๑) หลักความเคารพในบุคคล (Respect for Person)
๑.๑) การเคารพในศักดิ์ศรคี วามเปน็ มนษุ ย์ (respect for human dignity)
๑.๒) การเคารพในการให้ความยินยอมเข้าร่วมการวิจัยโดยบอกกล่าวข้อมูลอย่างเพียงพอ
และมีอิสระในการตดั สินใจ (free and informed consent)
๑.๓) การเคารพในศักดิ์ศรีของกลุ่มเปราะบาง และอ่อนแอ (respect for vulnerable
persons)
๑.๔) การเคารพในความเป็นส่วนตัว และรักษาความลับ (respect for privacy and
confidentiality)
๒) หลกั คณุ ประโยชน์ไม่ก่ออนั ตราย (Beneficence, Non-Maleficence)
๒.๑) การประเมินความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและคุณประโยชน์ (balancing risks and
benefits) **รวมถึงผลวิจัยท่อี อกมาอาจทำลายชอื่ เสยี งขององคก์ รหรือบุคคลได้**
๒.๒) การลดอันตรายใหน้ อ้ ยทสี่ ดุ (minimizing harm)
๒.๓) การสรา้ งประโยชน์ใหส้ งู สุด (maximizing benefit)
▪ ความเสีย่ ง หมายถึง โอกาส (probability) และขนาดหรอื ความร้ายแรง (magnitude or
seriousness) ของอันตรายทีจ่ ะเกิดขึ้น ความเสี่ยงจึงมรี ะดับต้ังแต่ความเสี่ยงน้อยไปจนถึงความเสีย่ งสูง มีทงั้
ความเสยี่ งทค่ี าดเดาได้ (foreseeable risks) และคาดเดาไม่ได้ (unforeseeable risks) ความเสยี่ งต่ออนั ตราย
ประเมินจากวธิ กี ารและเครอ่ื งมอื วจิ ัยท่ีใช้ วธิ กี ารเขา้ ถงึ ตัวบุคคล และมาตรการรกั ษาความลบั ได้แก่
๑) อันตรายต่อร่างกาย
๒) อันตรายต่อจิตใจ เช่น ความอับอาย ซึมเศรา้ คิดฆ่าตัวตายจากการถูกสัมภาษณ์ในเรื่อง
การตดิ เช้อื HIV การเคยถกู ขม่ ขืน
๓) อันตรายต่อสถานะทางสังคม และสถานทางการเงิน เช่น ถูกสังคมตีตรา รังเกียจ เสีย
ค่าใชจ้ า่ ย จากการท่ีขอ้ มูลการเจบ็ ปว่ ยรั่วไหล
๔) อันตรายทางกฎหมาย เช่น ถูกจบั กมุ หากขอ้ มูลพฤตณิ รมทีผ่ ิดพลาดรว่ั ไหล
๓. หลกั ยุตธิ รรม (Justice)
หลักยุติธรรม หมายรวมทั้งความเที่ยงธรรม (fairness) และความเสมอภาค (equity) ความ
ยุติธรรมเชงิ กระบวนการ ต้องมกี ระบวนการที่ได้มาตรฐานและยุติธรรมในการพิจารณาโครงรา่ งการวิจัย และ
เป็นกระบวนการอิสระ ทั้งนี้สิ่งที่นักวิจัยต้องคำนึงคือ การกระจายภาระและประโยชน์อย่างเป็นธรรม
๓ เจนวิทย์ นวลแสง, จริยธรรมการวิจยั ในมนษุ ย์ กับการวิจยั ทางสังคมศาสตร์, วารสารการเมอื ง การบริหาร
และกฎหมาย, ปีท่ี ๑๐ ฉบบั ที่ ๒ , (พฤษภาคม-สงิ หาคม, ๒๕๖๒): ๑๓๑-๑๕๕.
๓๒๙ Advanced Research Methodology on Peace
(distributive justice) ไม่เลือกกลุ่มคนที่แบกภาระอยู่แล้ว ให้แบกเพิ่มโดยไม่สมควรหรือปฏิเสธที่จะให้
ประโยชนอ์ ันเกิดจากการวจิ ัย แก่ผู้สมควรได้ ไมเ่ ลอื กบุคคลโดยลำเอยี ง การประเมินความยตุ ิธรรมอาศัย การ
พิจารณาวธิ ีการคดั เลอื กบคุ คลเข้ามาเปน็ ผรู้ ว่ มวจิ ยั ว่าเปน็ ธรรม และ ผลลัพธก์ เ็ ป็นธรรม ไม่เลอื กบางกลมุ่ บุคคล
เข้าร่วมการวิจัย ด้วยเหตุผลเพียงเพราะ หาง่าย จัดการง่าย หรือมีความเปราะบาง แทนที่จะเลือกมาด้วย
เหตผุ ล เพอ่ื ตอบโจทย์วจิ ัย
ถอดบทเรียนความสำคัญของการทำจรยิ ธรรมในมนุษย์
“มิดะ” เพลงมิดะกับการบรรยายถึงเรื่องราวของ “ลานสาวกอด” เป็นตัวอย่างที่สะทอ้ นให้
เห็นถึงความจำเป็นในการทำวิจัยจรยิ ธรรมในมนุษย์ เรื่องราวเกี่ยวกบั สตรีชาวอาข่าที่ถูกสงั คมตตี ราถงึ คุณค่า
ความเป็นผู้หญิง อันเกิดจากเนือ้ หาเพลงที่ได้รับขอ้ มูลจากงานเขียนที่ผู้เขียนได้ไปเก็บข้อมูลโดยการตีความที่
ผิดพลาด การใชภ้ าษาส่อื สารทคี่ าดเคลอ่ื นสง่ ผลใหผ้ ้หู ญิงชาวอาขา่ ได้รับความเสอ่ื มเสีย ผลที่เกิดขึน้ กว่าชาวอา
ข่าจะทราบเวลาก็ผ่านมาเนิน่ นามหลายสบิ ปี เป็นต้น ดังนัน้ งานวิจยั ด้านสังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ แม้ว่าจะ
ไม่ได้ทำการทดลองหรือเกี่ยวข้องกับร่างกายมนษุ ย์ แต่ไม่อาจกล่าวไดว้ ่าไมเ่ กีย่ วขอ้ งกับผลท่ีเกิดขึ้นด้านจิตใจ
ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่าจริยธรรมในมนุษย์ช่วยให้ผู้วิจัยหรือผู้ศึกษาได้ตระหนักถึงความเป็นมนุษย์โดยมี
คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมาช่วยประเมินเครื่องมือที่นำไปใช้เพื่ อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้
เจตนาดงั ท่ีเคยเกิดขน้ึ กบั สตรีชาวอาขา่
๑๐.๓ จริยธรรมในการวจิ ัย (Research Ethics)
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (๒๕๔๑) ได้ให้ความหมาย จริยธรรมการวิจัย (research
ethics) หมายถึง หลักเกณฑ์ที่ควรประพฤติปฏิบัตขิ องนกั วจิ ัยเพ่ือให้การดำเนนิ งานวิจัยตั้งอยู่บนพืน้ ฐานของ
จริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม ซึ่งจริยธรรมในการวิจัยถือว่าเป็นรากฐานสำคญั ที่จะสะท้อนให้เห็นถึง
ความนา่ เชื่อถือและความถูกต้องของผลการวจิ ัยที่ไดร้ บั อย่างไรกต็ ามปญั หาการขาดจรยิ ธรรมการวิจัยยังมีให้
พบเห็นท้งั ทีเ่ ป็นขา่ วและไมเ่ ปน็ ข่าวในสงั คม ทงั้ นีป้ ญั หาการขาดจรยิ ธรรมการวจิ ัย
o การคดั ลอกผลงาน ขอ้ ความ หรอื ความคิดเห็นของผู้อื่น (บางส่วนหรอื ท้ังหมด) โดยไม่อ้างอิง
แหล่งที่มาของขอ้ มลู หรือบางรายอาจคัดลอกผลงานแลว้ นำมาใชเ้ ป็นผลงานของตนเอง
o การขโมยความคิดหรือคำพดู ของผ้อู ื่น โดยไม่ได้อ้างองิ (plagiarism)
o การเขยี นทบทวนวรรณกรรมโดยไมอ่ า้ งถงึ เจา้ ของผลงานหรือแหลง่ ขอ้ มลู
o การนำข้อความของผอู้ ื่นมาดดั แปลงตัดต่อหรือแก้ไขเพ่ือเปน็ ข้อความของตนเอง แต่ไม่อ้างถึง
เจา้ ของผลงานเดมิ
o การแก้ไขผลการวิจัย ตวั เลข หรือข้อมูลบางอยา่ งที่ไม่ตรงกบั ความเป็นจรงิ
o การเปิดเผยหรอื ไม่เกบ็ ความลับของผูใ้ ห้ข้อมูล รวมทัง้ การขาดความรับผิดชอบตอ่ การรักษา
ขอ้ มูล
ระเบยี บวิธีวจิ ยั ช้ันสงู ว่าด้วยสันติภาพ ๓๓๐
o การปฏบิ ตั ติ ่อผใู้ หข้ ้อมูลอยา่ งไม่เป็นธรรม การสรา้ งภัยคกุ คามใหแ้ ก่ผใู้ ห้ข้อมลู หรือการทำให้
ผู้ให้ขอ้ มูลได้รบั อันตรายหรืออับอายจากการวิจัย
o การเขยี นขอ้ เสนอแนะจากแนวคิดของผอู้ ่ืน แต่ไม่อา้ งถึงเจ้าของแนวคดิ นนั้
o การจา้ งวานผอู้ นื่ ทำงานวจิ ยั หรอื วทิ ยานพิ นธ์ให้บางส่วนหรอื ทง้ั หมด
o การขาดความรับผิดชอบในการทำวจิ ยั หรือการดำเนนิ งานวจิ ยั ให้เสรจ็ ส้นิ ตามกำหนดเวลา๔
บทลงโทษตาม พระราชบัญญัติการอุดมศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๖๒
มาตรา ๗๐ เพื่อประโยชน์ในการรักษามาตรฐานการอุดมศึกษา หลักธรรมาภิบาล และความ
ซอื่ สัตยส์ จุ ริตทางวชิ าการ หา้ มมใิ ห้ผใู้ ด จ้าง วาน ใชใ้ หผ้ ู้อื่นทำผลงานทางวชิ าการเพื่อไปใช้ในการเสนอเป็น
ส่วนหนึง่ ของการศกึ ษาในหลกั สตู รการศึกษาระดับอุดมศกึ ษา หรือเพือ่ ไปใช้ในการทำผลงานซ่ึงเป็นสว่ นหนึ่ง
ของการขอตำแหน่งทางวชิ าการ หรอื เสนอขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง การเล่ือนตำแหนง่ การเล่ือนวิทย
ฐานะหรือการใหไ้ ด้รับเงินเดือนหรือเงินอ่ืนในระดับที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะมปี ระโยชนต์ อบแทนหรือไม่ก็ตาม
หา้ มมิใหผ้ ้ใู ดรับจ้างหรือรับดำเนินการตามวรรคหนึ่ง เพ่อื ให้ผ้อู น่ื นำผลงานนั้นไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการ
ตามวรรคหน่ึง เวน้ แต่เปน็ การชว่ ยเหลอื โดยสุจริตตามสมควร
โทษทางอาญา มาตรา ๗๗ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๗๐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกนิ สามปี หรือปรับไม่
เกินหกหมน่ื บาท หรือทง้ั จำทัง้ ปรบั
กล่าวได้ว่า นอกจากเรื่องของจรรยบรรณ จริยธรรมการวิจัยแล้ว ประเด็นที่ควรศึกษาทำความ
เขา้ ใจอย่างยิ่ง คอื เรอื่ งของการคดั ลอกผลงาน
๑๐.๔ การลักลอกงานวิชาการและวรรณกรรม (Plagiarism)
ก่อนที่จะกล่าวถึงการคัดลอกงานวิชาการเป็นอย่างไร อะไรบ้างที่ทำได้หรือไม่ควรทำในการนำ
ผลงานผู้อื่นมากล่าวอ้าง สิ่งแรกคือต้องรู้ว่าผลงานวิชาการคืออะไร ผลงาน หมายถึง วรรณกรรม ที่อยู่ใน
รูปแบบต่างๆไดแ้ ก่ หนงั สือ บทความ เอกสาร วทิ ยานิพนธ์ งานวิจยั ภาพวาด ภาพเขียน ภาพถ่าย แนวคิด (ท่ี
อาจนำเสนอในรปู โมเดล สตู ร โคด้ แผนภมู ิ แผนภาพ) สำนวน สุนทรพจน์ เว็บ อนิ เทอร์เน็ต ซอฟตแ์ วร์ สอ่ื ทงั้
ทีอ่ ยใู่ นรปู สิง่ พิมพ์ อิเล็กทรอนกิ ส์ และดจิ ิทัล
การประพฤตผิ ิดทางวิชาการ
รองศาสตราจารย์ ดร. กุลธิดา ท้วมสุข ได้ให้ความหมายและระดับของการประพฤติผิดทาง
วชิ าการจากระดบั ละเมิดจรยิ ธรรมจนถงึ ระดบั ผดิ กฎหมาย โดยเรยี งลำดบั ดังน้ี
การลักลอกผลงานทางวิชาการ (Plagiarism) หมายถึง การลอกผลงานหรอื นำผลงานของบคุ คล
อ่นื มาใช้หรอื นำเสนอ ทำให้ดเู หมอื นเปน็ ความคดิ หรอื ผลงานของตนเอง รวมถงึ การนำผลงานตนเองมาผลิตซ้ำ
(Self-Plagiarism)
๔ อัศวนิ แสงพิกุล, จริยธรรมการวจิ ัย, สทุ ธปิ ริทัศน์, [ออนไลน์],แหล่งทม่ี า:https://so05.
tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/245636/166968 [๓ ก.พ.๒๕๖๔].
๓๓๑ Advanced Research Methodology on Peace
การแก้ไขข้อมูลให้เป็นเท็จหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง (Falsification) หมายถึง การแก้ไขหรอื
บิดเบือนรายละเอียดของการวิจัย เช่น วัสดุการวิจัย เครื่องมือ กระบวนการ หรือตัดข้อมูลหรือตัดข้อมูล
บางสว่ นทิง้ หรือปรบั แตง่ ผลการวิจัย โดยไมไ่ ดแ้ สดงสงิ่ ท่เี กิดข้ึนอยา่ งแทจ้ ริง
การสร้างผลงานทางวิชาการที่เป็นเท็จ (Fabrication) หมายถึง การสร้างข้อมูลหรือผลการ
ทดลอง แล้วจัดทำบนั ทึกหรอื รายงานว่าเป็นขอ้ มลู หรือผลการทดลองจรงิ โดยท่ไี ม่ได้ทำขน้ึ จริง
การละเมิดลิขสิทธ์ิ (Copyright Infringement, Parity) หมายถงึ การทำซ้ำ ดดั แปลง เผยแพร่
ผลงานทม่ี ลี ิขสทิ ธ์ติ ามกฎหมายโดยไม่ไดร้ ับอนญุ าตจากเจ้าของลขิ สิทธ์ิ
การลกั ลอกงานวิชาการและวรรณกรรม (Plagiarism)
หมายถึง การลอกคำ ประโยค เนื้อหา กระบวนการ หรอื ความคดิ ของบคุ คลอื่น อาจเป็นการคดั ลอกคำตอ่ คำ การลอก
เพียงบางสว่ น การถอดความเนื้อหาสาระ หรอื การสรปุ ความแล้วนำเสนอใหด้ เู สมือนเป็นความคิดและผลงานของตนเอง
โดยมไิ ดร้ ะบุถงึ แหลง่ ท่ีมาของขอ้ เขยี นหรือความคดิ น้ันด้วยวิธีการอ้างอิงทส่ี มบรู ณ์ ชัดเจนและเป็นหลักสากล ท้ังน้ี ให้
หมายรวมถงึ การคัดลอกผลงานของตนเอง โดยทำให้เข้าใจผดิ วา่ เป็นงานสร้างสรรคใ์ หมด่ ้วย การลกั ลอกงานวิชาการถือ
เป็นการกระทำท่ีขาดจรยิ ธรรม/จรรยาบรณทางวชิ าการ และในบางกรณีอาจเข้าข่ายเปน็ การละเมิดลิขสิทธท์ิ ี่มคี วามผดิ
ตามกฎหมายด้วย
▪ ประเภทของการลกั ลอกผลงาน
รองศาสตราจารย์ ดร.กลุ ธดิ า ท้วมสุข ไดแ้ บ่งประเภทของการลกั ลอกผลงานไว้ ดังน้ี
Verbatim (การคดั ลอกคำตอ่ คำ) การนำข้อความจากต้นฉบับมาใชโ้ ดยไมม่ กี ารเปลยี่ นแปลงใดๆ
Word Switch (การเปล่ียนคำ) การนำขอ้ ความตน้ ฉบบั มาใช้โดยเปลีย่ นแปลงบางคำ
Paraphrase (การถอดความ) การเขียนข้อความใหม่ที่ยังคงเนื้อหาหรือความหมายเดิมของ
ต้นฉบับ โดยปรับเปลี่ยนสำนวนภาษา คำ และรูปประโยคให้เป็นภาษาของตนเอง ความยาวและน้ำหนักของ
เนอ้ื หาจะเทา่ ๆ กบั ของเดมิ
Summary (การสรุปสาระสำคัญ) การสรุปเนือ้ หามาแต่เฉพาะใจความสำคญั ทำให้ขอ้ ความน้ัน
สั้นกว่าของเดิม เช่น จากหนึ่งย่อหน้าเหลือสองบรรทัด หรือจากหน่ึงหน้าเหลอื แค่ย่อหน้าเดียว แต่เป็นภาษา
ของเราเองเหมอื นกัน
Translation (การแปลจากภาษาอืน่ ) การแปลข้อความหรือเน้ือหาตน้ ฉบบั จากภาษาหนึ่งเปน็
อกี ภาษาหนึ่ง
Ideas Plagiarism (การคัดลอกแนวคิด) การนำแนวคิดความรู้หรือทฤษฎีต่างๆ มาอธิบาย
ดดั แปลง หรอื วเิ คราะหว์ จิ ารณ์
Citation Distortion (การอ้างอิงและใส่ขอ้ มลู เทจ็ ) ลอกข้อความหรือเนื้อหา โดยมีการอา้ งอิง
แหล่งท่มี า แต่ตั้งใจใสแ่ หลง่ ทม่ี าที่เปน็ เท็จหรอื ขาดการตรวจสอบแหลง่ ที่มาทถี่ ูกต้อง
การคัดลอกงานตนเอง (Self Plagiarism) การนำงานเก่าของตนเองมาทั้งหมด หรือส่วนใหญ่
หรือส่วนท่ีเป็นสาระสำคัญ โดยไม่มกี ารพฒั นาหรือปรับปรุงแตเ่ พียงเล็กน้อย เพื่อแสดงวา่ เป็นการสร้างสรรค์
งานข้ึนใหม่
ระเบยี บวิธีวิจยั ชั้นสงู ว่าดว้ ยสนั ตภิ าพ ๓๓๒
รองศาสตราจารย์ มานิตย์ จุมปา. เขียนอย่างไรไม่ละเมิดลิขสิทธ์ิ, (๒๕๕๘) ได้นำเสนอวิชาการ
สร้างสรรค์ผลงานวิจยั อยา่ งไรไมใ่ ห้ละเมิดลิขสทิ ธิ์ การเขยี นผลงานทางวชิ าการอยา่ งไรไมล่ ะเมิดลิขสิทธิ์และไม่
เป็นการลักลอกผลงาน (Plagiarism)” ได้กล่าวถึงการลกั ลอกงานวิชาการ ๔ ประเภท พร้อมกับบอกถงึ ข้อพึง
ระวัง และข้อทสี่ ามารถกระทำได้ ซึ่งนบั ว่าเป็นแนวทางให้กับนกั วจิ ัยมือใหมห่ รอื นสิ ติ นกั ศกึ ษา ได้เป็นแนวทาง
ในการนำผลงานวิชาการของผ้อู ่ืนมาใช้ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งไม่ผดิ จรยิ ธรรมวิจยั ดังนี้
๑) การคดั ลอกคำต่อคำ และการเปลยี่ นคำ
โดยการคัดลอก หมายถงึ การคดั ลอกน้ีหมายถงึ การทาซ้ำงานของผู้อน่ื โดยไมม่ กี ารเปลยี่ นแปลงใด
ใด โดยมีขอ้ พึงปฏบิ ัตแิ ละข้อห้าม ดังนี้
ขอ้ พึงปฏิบตั ิ
๑. ใสค่ ำหรอื วลที ค่ี ดั ลอกอยใู่ นเครือ่ งหมายอญั ประกาศ “...”
๒. การคัดลอกสามารถทำได้บางตอนตามสมควร โดยถอื วา่ เปน็ การใชง้ านที่เปน็ ธรรม (Fair Use)
ตามปริมาณ ดงั น้ี
- ร้อยกรอง (คำประพนั ธ์ หรอื ถ้อยคำท่ีเรียบเรียงในรปู แบบฉนั ทลกั ษณ)์ หากเปน็ บทกวขี นาดสนั้ ท่ี
ไม่เกนิ ๒๕๐ คำ สามารถคดั ลอกไดท้ งั้ บท หากเปน็ บทกวขี นาดยาว สามารถตดั ทอนมาได้ไม่เกิน ๒๕๐ คำ
- ร้อยแก้ว (ความเรียงที่ไม่มีลักษณะเป็นร้อยกรอง) สามารถคัดลอกได้ไมเ่ กิน ๑,๐๐๐ คำ หรอื
รอ้ ยละ ๑๐ ของงานนั้น แลว้ แต่จำนวนใดนอ้ ยกว่ากนั แต่คัดลอกได้อยา่ งนอ้ ย ๕๐๐ คำ
อย่างไรกด็ ีจำนวนทร่ี ะบไุ ว้น้ี สามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม เชน่ อาจมคี วามยาวเกนิ มา
เพ่อื ให้ข้อความของของบทกวีจบบท หรอื ขอ้ ความของรอ้ ยแกว้ จบยอ่ หนา้ เป็นตน้
- แผนภูมิ (Chart) กราฟ (Graph) แผนผัง (Diagram) ภาพวาด (Printing) การ์ตูน (Cartoon)
รปู ภาพ (Picture) หรอื ภาพประกอบ (Illustration) สามารถคดั ลอกได้ ๑ ภาพ หากมคี วามจำเป็นตอ้ งคัดลอก
งานมากเกินกวา่ ปริมาณทถ่ี ือวา่ เป็นธรรม จะตอ้ งได้รบั อนุญาตจากเจา้ ของลิขสิทธิใ์ นงานนั้นก่อน มิฉะน้ันอาจ
เขา้ ขา่ ยเป็นการละเมดิ ลิขสิทธ์ไิ ด้
๓. การคัดลอกทุกเรื่อง ตอ้ งระบุแสดงถงึ ทมี่ าของงาน ดว้ ยวิธกี ารอ้างองิ
ข้อหา้ ม
๑) การคัดลอกโดยไมแ่ สดงเคร่ืองหมายอัญประกาศ
๒) การคัดลอกเกินปรมิ าณท่เี ป็นธรรม (Fair use) โดยไม่ไดร้ บั อนุญาตจากเจา้ ของลิขสิทธ์ิ
๓) การไมร่ ะบุแสดงทมี่ าของงาน หรอื ไม่แสดงการรบั รู้ความเปน็ เจา้ ของลขิ สทิ ธิ์ของผอู้ ่ืนในงานนนั้
๒) การถอดความ (Paraphrase)
การถอดความนหี้ มายความรวมถึงการสรปุ ความ การแปลภาษา และการปะตดิ ปะต่องานของผอู้ น่ื
เขา้ ดว้ ยกันให้ต่างจากงานต้นฉบบั เดิม (Patchwork, Mosaic)
ขอ้ พึงปฏบิ ัติ
๑) ต้องระบุแสดงถึงที่มาของงานต้นฉบบั หรือผ้เู ปน็ เจา้ ของ
๓๓๓ Advanced Research Methodology on Peace
๒) การแปลงานของผู้อืน่ สามารถทำได้บางตอนตามสมควร แต่ หากมีความจำเป็นต้องแปลเปน็
ปริมาณมากต้องไดร้ ับอนญุ าตจากเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิกอ่ น
ขอ้ ห้าม
๑) ไมร่ ะบุแสดงถึงงานต้นฉบบั โดยทำเสมือนเป็นงานท่ีสรา้ งสรรค์ข้ึนดว้ ยตนเอง
๒) การแปลงานอนั มีลิขสทิ ธ์ขิ องผอู้ น่ื โดยไมไ่ ด้รับอนุญาตจากเจา้ ของลขิ สิทธิ์เกินกว่าปรมิ าณท่ีเปน็
ธรรม อาจเข้าข่ายเป็นการละเมดิ ลิขสิทธไ์ิ ด้
๓) การลักนาความคดิ ของผ้อู น่ื มาแสดงโดยลวงวา่ เป็นความคิดของตนเอง
กล่าวคอื มีพฤตกิ ารณใ์ นการลักเอามาเพ่ือลวงใหด้ เู สมอื นวา่ เป็นความคดิ ของตนเอง อยา่ งไรก็ตาม
การเสนอความคิดของตนเอง โดยไม่ได้นำมาจากความคิดของผอู้ ื่น แม้ปรากฏต่อมาภายหลังว่าความคิดน้ันไป
ซำ้ กบั ความคิดของผู้อืน่ ก็ไมถ่ ือวา่ เปน็ การลักงานวชิ าการของผอู้ ่นื เพราะขาดพฤติการณ์ในการลักเอามาและไม่
มเี จตนาในการลวงให้เข้าใจผดิ
ขอ้ พึงปฏิบัติ
๑. ต้องระบุแสดงการรับรู้ความเป็นเจ้าของความคิดซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่นตาม
สมควร โดยทาเปน็ หมายเหตุ หรือทาเชิงอรรถเช่น
•พัฒนาจาก(ช่อื ผู้แตง่ ), รายละเอยี ดโปรดดหู นังสอื /บทความเร่อื ง......,ปีที่พิมพ์......,สานกั พิมพ.์ ......
•สัมภาษณ์ (ระบุชือ่ ผู้ใหส้ ัมภาษณ์), เมอื่ วนั ท.ี่ .........
๒. ต้องระบเุ ปิดเผยชื่อผู้สร้างสรรค์ซึ่งเปน็ เจ้าของความคิดอยา่ งถูกต้องและครบถ้วนทกุ คน เช่น
พัฒนาจากงานวจิ ัยเรือ่ ง..... วจิ ยั โดย(ชื่อผวู้ จิ ัย) และ(ชอื่ ผู้วจิ ยั ), ปที พี่ มิ พ์........., สานกั พิมพ์...........
ในกรณีทม่ี ผี วู้ จิ ัยหลายคนซึง่ พน้ วิสัยที่จะระบไุ ดค้ รบถ้วน ใหร้ ะบุดังนี้ พฒั นาจากงานวจิ ยั เร่ือง....
วจิ ยั โดย(ชอ่ื หัวหนา้ โครงการ)และคณะ,ปที ีพ่ ิมพ.์ ...., สำนกั พิมพ์.........
ในกรณที ม่ี ีผู้วจิ ยั หลายคนซ่ึงพ้นวสิ ัยทีจ่ ะระบุได้ครบถว้ น ให้ระบุดงั นี้ พฒั นาจากงานวิจัยเรื่อง....
วิจัยโดย(ช่อื หวั หนา้ โครงการ)และคณะ,ปีทพ่ี มิ พ.์ ...., สานกั พิมพ.์ ........
๔) การนำงานเกา่ ของตนเองมาใชใ้ หม่ (Self Plagiarism)
หมายถงึ การนำงานเก่าของตนเองมาทัง้ หมดหรอื สว่ นใหญห่ รือส่วนท่เี ป็นสาระสำคัญโดยไม่มีการ
พัฒนาหรือปรับปรงุ แต่เพียงเล็กน้อยเพ่ือแสดงลวงว่าเปน็ การสรา้ งสรรค์งานขึ้นใหม่ สุพรรณ ฟู่เจริญ ได้แบ่ง
ประเภทของการคดั ลอกผลงานตนเองไว้ ๔ ลักษณะ ดังน้ี๕
๑. Duplicate (Redundant) publication ผู้เขียนส่งบทความที่เหมือนกันหรือเกือบเหมือนกัน
ทั้งหมดทงั้ ในสว่ นของขอ้ มูลทั่วไป ผลการศึกษา วิจารณ์และสรุปผลการศึกษา ไปขอรบั การตีพิมพใ์ นวารสาร ๒
ฉบบั พร้อมกนั
๕ สุพรรณ ฟเู่ จริญ, การคดั ลอกผลงานตนเอง, วารสารเทคนคิ การแพทยแ์ ละกายภาพบำบัด, ปที ่ี ๒๖ ฉบับที่ ๓
(กนั ยายน-ธันวาคม, ๒๕๕๗): ๒๐๘-๒๑๑.
ระเบยี บวิธวี จิ ัยชั้นสงู ว่าดว้ ยสันตภิ าพ ๓๓๔
๒. Augmented publication ผู้เขียนได้ตีพิมพ์บทความไปก่อนแล้วในวารสารใดๆ จากนั้นจึง
เพ่ิมเตมิ ขอ้ มูลเขา้ ไปผลงานแรกทต่ี พี มิ พ์ไปแล้วนั้น นําไปวเิ คราะห์ให้ได้ผลการศกึ ษาใหม่แลว้ เขยี นเปน็ บทความ
เรื่องใหม่
๓. Segmented (Salami) publication ผู้เขียนต้องการเพิ่มจำนวนบทความจากการศึกษาวิจัย
เรอ่ื งเดียว ผูเ้ ขียนแบ่งการตพี ิมพบ์ ทความจากการศกึ ษาเรอ่ื งเดียวกันออกเป็น ๒ บทความหรอื มากกวา่ โดยไม่มี
เหตผุ ลสมควร ส่วนใหญส่ ่งไปตีพิมพท์ ี่วารสารต่างชนดิ กัน
๔. Text recycling ผู้เขียนนำข้อความหรือข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้ตีพิมพ์ไปแล้วในบทความฉบับ
กอ่ น มาใช้ในบทความใหม่อกี แม้จะอา้ งองิ หรือไม่อ้างองิ บทความเดิมก็ตาม ส่วนใหญเ่ กดิ จากความเข้าใจผิดว่า
บทความทั้งสองฉบับเป็นผลงานของผูเ้ ขยี นกลมุ่ เดยี วกันนา่ จะนำมาใช้ได้
ข้อพงึ ปฏบิ ัติ
๑. การนำงานเก่าของตนมาแสดงเป็นส่วนหนึ่งของงานที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่สามารถทำได้ โดย
จะต้องมีการสร้างสรรคง์ านส่วนใหญ่ หรอื สว่ นท่ีเป็นสาระสำคัญข้ึนใหม่
๒. ต้องระบุแสดงถึงทีม่ าของงานเดิมทีร่ วมอยู่ในงานสรา้ งสรรคใ์ หม่
ข้อหา้ ม
๑. การนำงานทม่ี ีอยเู่ ดิมมาแสดงซำ้ โดยไมม่ ีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขน้ึ มาเพิม่ เตมิ ในสาระสำคัญ
๒. การปกปิดไม่ระบุว่ามีงานเดิมรวมอยู่ในงานที่สร้างสรรค์ใหม่ โดยทำเสมือนว่าเป็นงานที่
สรา้ งสรรค์ขึ้นใหมท่ ง้ั หมด
ทั้งนีป้ ัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการตรวจจับเพือ่ ปอ้ งกันการคัดลอกผลงานวิชาการ ซึ่งมี
หลายเคร่อื งมอื ทั้งที่เป็นเครอ่ื งมือในประเทศและต่างประเทศ
▪ เครือ่ งมอื สำหรบั การตรวจสอบ Plagiarism
ในประเทศไทย ได้แก่
▪ CopyCatch พฒั นาโดยเนคเทค
▪ Anit-Kobpae พัฒนาโดย Uknow มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
▪ อัขราวิสุทธิ์ พัฒนาโดยคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย
ในตา่ งประเทศ ไดแ้ ก่
▪ WriteCheck ใช้สำหรับนกั เรยี น/นักศึกษา
▪ Turnitin ใช้สำหรบั อาจารย์ สถาบนั การศกึ ษา
▪ iThenticate ใช้สำหรบั นักวิจยั สำนกั พิมพ์
▪ Plagiarismcheck.org
▪ Plagramme