The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยสันติภาพชั้นสูง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by khantong7339, 2022-06-29 14:03:01

วิจัยสันติภาพชั้นสูง

วิจัยสันติภาพชั้นสูง

ระเบียบวิธวี จิ ยั ช้ันสงู ว่าด้วยสันตภิ าพ ๑๘๕

(๑) วิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยาชนิดตีความ ( Hermeneutic
phenomenology) เป็นการวิจัยที่นักวิจยั พยายามตีความหมายขอ้ มูลจากกลุ่มผูเ้ ข้าร่วมการวิจัยเพื่อคน้ หา
แก่นของประสบการณท์ ีก่ ลมุ่ ผูเ้ ข้ารว่ มการวจิ ัยไดร้ บั เพ่ืออธบิ ายวา่ ธรรมชาติของประสบการณท์ ี่สนใจศกึ ษาน้ัน
ประกอบข้นึ จากการมเี ง่ือนไขและปจั จยั อะไรเข้ามาเกย่ี วขอ้ งบ้าง

(๒ ) วิ จ ั ย เ ช ิงคุ ณภาพแบ บปร ากฏก ารณ์ วิทยาช นิ ดปร ะจ ัก ษ์ ( Empirical
transcendental) เป็นการวิจัยที่ไม่เน้นการตีความหมายของนักวิจัย แต่เน้นการพรรณนาประสบการณ์ที่
ผู้เข้ารว่ มการวจิ ัยให้ข้อมูลมา โดยนักวิจัยจะกักประสบการณ์ของตัวเองไม่ใหเ้ ข้าไปปนเปือ้ นกับขอ้ มูลที่ได้มา
ทั้งนี้เพื่อให้มุมมองของนักวิจัยเกี่ยวกับปรากฏการณ์นั้นๆ มีความสดและใหม่ หมายถึง สถานที่ที่ทุกอย่างถกู
มองวา่ สดชนื่ ราวกบั พ่ึงเกดิ ขนึ้ เป็นครงั้ แรก

๖.๒.๕ วจิ ยั เชิงคุณภาพแบบเล่าเรื่อง (Narrative research) เปน็ การวจิ ยั ทตี่ ง้ั อยูบ่ นแนวคดิ ว่า
ความรู้และความหมายต่างๆ แฝงอยใู่ นเรอื่ งราวชีวติ ของบุคคลท่ีสามารถถ่ายทอด เก็บรกั ษาและนำกลับคืนมา
ได้ นักวิจัยจะทำหน้าที่ผู้บรรยายเร่ืองราว (narrator) ให้แกผ่ ู้อา่ นงานวจิ ัยไดเ้ ข้าใจ ส่วนผู้อ่านงานวิจัยจะเปน็
ผู้ฟัง (audience) เป็นการที่นักวิจัยศึกษาชีวิตของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแล้วเขียนเล่าเรื่องชีวิตของบุคคล
เหล่าน้ันใหผ้ ้อู ่านงานวจิ ัยอกี ทอดหน่ึงในลักษณะของการเลา่ เรือ่ งตามลำดบั เวลา โดยในตอนทา้ ยของเรอื่ งราวที่
เล่าน้ีนักวิจยั มักจะผนวกชีวิตของตนเองเข้ากบั ชีวติ ของผูเ้ ข้าร่วมงานวิจยั ในลักษณะการเลา่ เรื่องราวแบบร่วม
(collaborative narrative) ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่นักวิจัยได้เข้าไปมีส่วนในชีวิตของผู้เข้าร่วมการวิจัยนั้นมี
เรอ่ื งราวอะไรเกิดขึน้ และนักวิจัยรู้สกึ อยา่ งไรบ้าง การวิจัยนี้แบ่งเปน็ ๒ ชนิดคอื

(๑) วิจัยเชิงคุณภาพแบบชีวประวัติ (biographical study) เป็นการวิจัยที่นักวิจัยเขยี น
เล่าเรือ่ งราวชวี ิตของบุคคลอ่นื ให้ผู้อ่านได้รบั รู้

(๒) วิจัยเชิงคุณภาพแบบอัตชีวิตประวัติ (autobiographical study) เป็นการวิจัยท่ี
ผู้เข้าร่วมการวิจยั เล่าเร่ืองชีวติ ของตนเองให้ผู้อ่านไดร้ บั รู้ อาจกล่าวไดว้ ่าเป็นงานวิจยั ที่ผู้ให้ข้อมูลเป็นนกั วิจยั
เอง๑๐

๖.๒.๖ การวิจัยแบบการสนทนากลุ่ม (Focus group research) เป็นการวิจัยที่นิยมและ
แพร่หลายในหมู่นักสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ นักวิจัยการตลาด และขยายไปสู่สาขาอื่น เช่น
มานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ การประเมินผลและการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์ของการจัด
สนทนากลุ่มที่เจาะจงเพื่อให้ไดข้ ้อมูลที่ดีที่สดุ ตรงตามจดุ มุ่งหมายของการศึกษาโดยผา่ นการอภิปรายอย่างมี
ปฏิสมั พันธ์ตอ่ กันของสมาชกิ ในวงสนทนา ซ่ึงแตกต่างจากการสัมภาษณค์ นเป็นกลุ่ม (group interview) ท่ีมุ่ง
หาขอ้ เทจ็ จริงเก่ยี วกับเร่ืองทน่ี กั วจิ ัยต้องการ ซง่ึ อาจจะเป็นขอ้ มลู เชิงปริมาณหรอื เชิงคุณภาพก็ได้ การสนทนา
กลุ่มเป็นการอภิปรายมากกวา่ จะเปน็ การสัมภาษณ์ จดุ เดน่ ของการวจิ ัยแบบสนทนากลุ่มคอื เปน็ การวจิ ัยท่ีช่วย

๑๐ขจรศกั ดิ์ บัวระพันธ์, วจิ ยั เชงิ คุณภาพ, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๖, (กรุงเทพมหานคร: บริษทั คอมม่าดีไซน์แอนด์พริ้นท์
จำกัด, ๒๕๕๗, หนา้ ๔๖-๕๓.

๑๘๖ Advanced Research Methodology on Peace

ใหเ้ ก็บข้อมลู ตัวอยา่ งจากจำนวนหลายคนได้ในเวลาเดียวกนั และสามารถเสนอผลการศกึ ษาไดใ้ นเวลาจำกัด มี
โครงสร้างยืดหยุ่น ข้อมูลที่ได้เปน็ ข้อมูลที่ได้จากการอภิปรายโต้ตอบกันของกลุ่มผู้ให้ขอ้ มูลเองทำใหม้ ัน่ ใจใน
ความถกู ตอ้ งตรงประเด็นนา่ เชอ่ื ถอื พลวัตรกลมุ่ เปน็ หัวใจสำคญั ของการดำเนินการสนทนากลุ่ม นอกจากนี้การ
สนทนากลุ่มยังมีคุณสมบัติทั้งเป็นวิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participant observation) และวิธีการ
สัมภาษณแ์ บบตัวตอ่ ตัว (individual interview) กล่าวคอื นกั วิจยั สามารถสังเกตพฤติกรรมของผเู้ ขา้ รว่ มในการ
สนทนา ผ่านทางปฏิสัมพันธ์ที่สมาชิกกลุ่มมีต่อกันในการโต้ตอบและแสดงความเห็น และในขณะเดียวกัน
นกั วิจยั สามารถซกั ถามผรู้ ว่ มวงสนทนาเป็นรายคนได้๑๑

๖.๓ หลกั การออกแบบการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ

แมว้ า่ การนำเสนอประเดน็ การออกแบบการวิจยั ทผี่ า่ นมาจะกล่าวถงึ ความสำคัญของการออกแบบ
การวิจยั ในแง่มุมของแผนทแ่ี ละการแสดงใหเ้ หน็ สง่ิ ท่เี ก่ยี วขอ้ งทตี่ อ้ งเตรยี มความพรอ้ มในการเดินทางเพื่อให้ถึง
จุดหมาย ซึ่งเบื้องหลังของการออกแบบการวิจัยนัน้ แท้จริงแล้วมาจากกระบวนทัศน์วิจัย ประกอบกับแนวคิด
ทฤษฎแี ละตรรกะของวธิ วี ทิ ยา ซง่ึ นักวจิ ยั ต้องเลือกให้เหมาะสมกบั บคุ คล สถานที่และปรากฏการณ์ท่ีจะทำวิจัย
ดังนั้นการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพกับการวิจยั เชิงปริมาณจงึ มีรายละเอยี ดที่แตกต่างกันไปตามกระบวน
ทศั น์วิจยั

๖.๓.๑ ความหมาย และความแตกต่างระหว่างการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพกับการวิจยั
เชิงปรมิ าณ

ความหมายของการออกแบบการวจิ ยั คุณภาพ ชาย โพธสิ ิตา นำเสนอไว้ว่า การออกแบบการวิจัย
เชงิ คณุ ภาพคอื แผนทที่ างความคิด ของนักวิจยั ท่ีจะบอกวา่ ในการทำวจิ ยั เพ่ือบรรลุถึงคำตอบท่สี นใจนน้ั จะตอ้ ง
ทำอะไรบ้าง และต้องทำอย่างไร จะทำอะไรก่อนอะไรหลัง และจะเกี่ยวข้องกับใครบ้าง แผนที่ทางความคิดน้ี
เหมือนกับแผนที่ของนกั เดินทางตรงท่ีทำหน้าท่ีให้แนวทางในการทำวจิ ัยเพือ่ ไปได้ถึงคำตอบที่ตอ้ งการเท่านน้ั
นักวจิ ยั (เปรียบเหมอื นนักเดินทาง) อาจจะปรบั เปลยี่ นกลยุทธใ์ นการทำงานให้ตา่ งออกไปจากท่ีออกแบบไว้แต่
แรกก็ได้ ถา้ เหน็ ว่ามีเหตผุ ลอันสมควร คุณสมบัตอิ ีกอยา่ งของแผนทีท่ างความคิดสำหรบั การทำวจิ ัย คือ แต่ละ
ขั้นตอนแต่ละองค์ประกอบใน “แผนที่การวิจัย (การออกแบบ” นี้ต่างก็มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ชนิดที่เมื่อมีการ
ปรบั เปลย่ี นในองค์ประกอบอนั หนึ่งก็จะมีผลกระทบต่อองคป์ ระกอบท่เี หลืออืน่ ๆ ไม่โดยตรงกโ็ ดยอ้อม๑๒

ความแตกต่างระหว่างการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปรมิ าณคือ ระดับความ
เข้มงวดในโครงสร้างการออกแบบ กล่าวคือ สำหรับงานวิจัยเชิงปริมาณแผนดำเนินการท่ีวางไว้จะมีความยดึ
หยนุ่ นอ้ ยหรือไมย่ ืดหยนุ่ เลย ไมว่ า่ จะเป็นในเรื่องแนวคิด การเลอื กประชากรตวั อย่างในการศกึ ษาวิธีที่ใช้ในการ
เก็บขอ้ มูล หรือวิธีวิเคราะห์ขอ้ มลู ที่เมือ่ ได้วางแผนไว้ในตอนเริม่ ต้นดแี ล้วควรดำเนินการไปตามนั้น หากมีการ

๑๑ชาย โพธิสติ า, ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ การวิจัยเชงิ คณุ ภาพ, พิมพค์ ร้ังที่ ๕,(กรงุ เทพมหานคร :บรษิ ทั อมรนิ ทร์พ
รนิ้ ติ้งแอนดพ์ ับลิชชง่ิ จำกดั (มหาชน), ๒๕๕๔), หน้า ๑๙๕-๒๐๑.

๑๒เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๙๘-๙๙.

ระเบียบวิธีวจิ ัยช้ันสูงว่าดว้ ยสนั ติภาพ ๑๘๗

ปรับเปลี่ยนจะเป็นผลลบต่อการวิจัยโดยรวม แต่สำหรับการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพจะมีความยึดหยนุ่
มากกว่าในการดำเนินการวิจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ในแทบทุกขั้นตอนถ้าเหตุนั้นมาจากความจำเป็นจาก
หลักการหรอื แนวคิดทฤษฎี ซ่ึงไม่ใช่ความจำเป็นตามความสะดวกของนักวจิ ยั ดังนนั้ การวจิ ัยเชิงคณุ ภาพจึงเป็น
การออกแบบที่สามารถปรับเปล่ยี นได้ตามสถานการณเ์ ฉพาะหน้า

๖.๓.๒ องค์ประกอบของการออกแบบการวิจัยเชงิ คณุ ภาพ
Maxwell ไดน้ ำเสนอองคป์ ระกอบสำคัญของการออกแบบการวิจยั เชิงคุณภาพมี ๕ องคป์ ระกอบ
คือ คำถามในการวิจัย จุดมุ่งหมาย กรอบแนวคิด วิธีการวิจัย ความถูกต้องตรงประเด็นการศึกษา ซึ่งทั้ง ๕
องค์ประกอบนี้ คำถามในการวิจยั จะเป็นตวั ยึดโยงท้งั ๕ องค์ประกอบไว้ดว้ ยกัน ตามภาพประกอบท่ีเคยแสดง
ไว้ในบทที่ ๒ ภาพประกอบที่ ๒.๑ ซึ่งผู้เขียนขอนำมาแสดงให้เห็นอีกครั้ง ทั้งนีเ้ พื่อใหผ้ ู้ศึกษาได้เห็นถึงความ
เชอื่ มโยงองคป์ ระกอบต่างๆ ในการออกแบบการวจิ ยั เชิงคุณภาพตามทัศนะของ Maxwel

วธิ ีการวิจยั ความถกู ตอ้ งตรง
ประเดน็

คำถามในการวิจยั

จุดมงุ่ หมายและ กรอบแนวคิด
วตั ถุประสงค์ ทฤษฎี

(๑) คำถามวจิ ัย เนอ้ื หารายละเอียดเกี่ยวกบั คำถามวิจัยไดแ้ สดงไวแ้ ล้วในบทที่ ๒ สำหรับบทนี้จึง
จะขอกล่าวถึง คำถามวิจัยในเชิงการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่ง ชายโพธิสิตา ได้แสดงทัศนะไว้ว่า คำถามวิจัยเชิง
คุณภาพ เปน็ คำถามประเภทที่มุ่งหาคำตอบสำหรับกล่มุ ตวั อยา่ ง สถานที่ หรือบริบททเี่ จาะจง เปิดกวา้ งสำหรับ
ข้อมูลหลากหลายเพื่อที่จะสามารถทำความเข้าใจในระดับลึก และเป็นคำถามท่ีมุ่งทำความเข้าใจความหมาย
และกระบวนการของสง่ิ ทีศ่ กึ ษาเปน็ หลกั ๑๓ และ Creswell (๒๐๐๗) ได้แบง่ คำถามวิจัยเชิงคณุ ภาพออกเป็น ๔
ประเภทคือ

๑๓ชาย โพธสิ ิตา, ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ การวิจยั เชงิ คุณภาพ, พิมพค์ รั้งที่ ๕,(กรงุ เทพมหานคร :บรษิ ัท อมรนิ ทร์พ
ร้นิ ตงิ้ แอนด์พับลชิ ช่งิ จำกดั (มหาชน), ๒๕๕๔), หนา้ ๑๐๙.

๑๘๘ Advanced Research Methodology on Peace

(๑.๑) คำถามวิจยั เพื่อค้นหา (Exploratory) มีจุดมุง่ หมายเพือ่ ทำความเขา้ ใจปรากฏการณ์ท่ี
นกั วจิ ยั มคี วามเขา้ ใจในปรากฏการณน์ ั้นเพยี งเล็กนอ้ ย

(๑.๒) คำถามวจิ ยั เพื่ออธบิ าย (exploratory) มจี ดุ มุ่งหมายเพือ่ อธิบายรูปแบบท่ีเกี่ยวข้องใน
ปรากฏการณท์ ่ตี อ้ งการศกึ ษา

(๑.๓) คำถามวิจัยเพือ่ บรรยาย (descriptive) มจี ุดมงุ่ หมายเพ่ือบรรยาย รายละเอียดทเ่ี กิดขนึ้
ในปรากฏการณ์ทต่ี ้องการศึกษา

(๑.๔) คำถามวิจยั เพือ่ การปฏบิ ัติ (emancipatory) มีจุดมุง่ หมายเพ่ือใหน้ ักวิจัยเข้าไปมีส่วน
ร่วมในการกระทำทางสงั คม (social action) ทเ่ี กี่ยวข้องกบั ปรากฏการณ์ทีศ่ กึ ษา

คำถามวิจัยเชิงคณุ ภาพจงึ มีลักษณะ
“อะไร (what)” และ “อย่างไร (How)” มากกว่าคำถามในลักษณะ
“ใชห่ รือไม่ (Do/Does) “ทำไดห้ รือไม่ (Can)” หรอื “ทำไม (why)”

ตารางที่ ๖.๒ ตัวอย่าง คำถามวิจยั ท่สี มั พันธ์กบั รปู แบบการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ๑๔

คำถามวิจยั รปู แบบการวจิ ัยเชงิ คุณภาพ

วัฒนธรรมของนกั เรยี นทเ่ี ปน็ พรติ ตค้ี ืออะไร วจิ ยั แบบชาติพนั ธุ์วรรณา

แก่นของประสบการณ์ของนักเรียนที่ถูกล่วงละเมิดทาง วจิ ัยแบบปรากฏการณ์วิทยา

เพศคอื อะไร

ทฤษฎีที่ใช้อธิบายการเปลี่ยนแปลงของครูในการใช้ วิจยั แบบสรา้ งทฤษฎีจากขอ้ มูล

หลกั สตู รใหมค่ ืออะไร

การตอบสนองต่อเหตกุ ารณน์ ักเรยี นยกพวกตีกันคืออะไร วิจยั แบบกรณศี ึกษา

เรือ่ งราวของครวู ทิ ยาศาสตรด์ เี ด่น วิจัยแบบเลา่ เรอ่ื ง

ระดับประเทศเปน็ อยา่ งไร

(๒) จดุ มุ่งหมายงานวจิ ยั และวตั ถปุ ระสงค์การวิจัย จุดมุ่งหมายเปน็ เรอ่ื งของเป้าหมายโดยรวมที่
ต้องการบรรลใุ นการทำวจิ ัย แตกต่างจากวัตถุประสงค์การวิจยั ซึ่งเป็นเร่ืองของการท่ีนักวิจัยจะตอ้ งทำเพ่อื ให้
บรรลุถงึ จดุ มุ่งหมายในการศกึ ษานัน้ ทัง้ น้จี ดุ มุง่ หมายการวจิ ัยควรกำหนดใหส้ อดคลอ้ งและเหมาะสมกับวิธีการ
วจิ ัยและมีจดุ เน้นทชี่ ัดเจน (focused) ลักษณะเฉพาะทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ จุดมงุ่ หมายของการวิจยั เชงิ คุณภาพ คือ

-ต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายปรากฏการณ์ที่ศึกษาโดยเฉพาะความหมายใน
ทศั นะของประชาชนท่ีถูกศึกษา

๑๔ขจรศกั ด์ิ บวั ระพนั ธ,์ วิจัยเชงิ คุณภาพ, หนา้ ๖๒-๖๓.

ระเบียบวธิ วี จิ ัยชั้นสงู วา่ ดว้ ยสนั ตภิ าพ ๑๘๙

สงิ่ ที่ศกึ ษา -ตอ้ งการทำความเขา้ ใจบรบิ ทของปรากฏการณห์ รือพฤตกิ รรมทศี่ ึกษาวา่ มีอทิ ธพิ ลอย่างไรต่อ

-ตอ้ งการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่ยังไม่เคยมกี ารศกึ ษามากอ่ น
-ต้องการหาความรเู้ พ่ืออธบิ ายปรากฏการณ์จากขอ้ มูลโดยตรง
-ตอ้ งการเขา้ ใจกระบวนการของส่ิงทศี่ กึ ษาว่ามีความเป็นไปอยา่ งไร
-ต้องการหาคำอธบิ ายเชงิ เหตุและผลของสงิ่ ทีศ่ กึ ษา๑๕

(๓) กรอบแนวคิดทฤษฎี สำหรบั งานวิจยั เชิงคณุ ภาพมองว่า การมีกรอบแนวคิดทฤษฎีไม่ใช่ส่ิงท่ี
ยึดแบบตายตัวเฉกเช่นการวิจยั เชงิ ปรมิ าณ กรอบแนวคิดทฤษฎีเป็นเพียงแนวทางสำหรบั หาคำตอบในการวจิ ยั ที่
ยดึ หยนุ่ หรอื ปรบั ได้ เมือ่ มหี ลักฐานคือขอ้ มลู ที่ชี้วัดควรปรับและท่ีมาของแนวคดิ ทฤษฎสี ำหรบั การวิจัยนั้นมี ๔
ทาง คือ

(๑) ความรู้ที่มาจากประสบการณ์ส่วนตัวของนักวิจัย ซึ่ง Maxwell และ Strauss มองว่า
ความรู้ของนักวจิ ัยนั้นถ้านำมาใช้อยา่ งพิเคราะห์พอควรก็ไม่ใช่สิ่งที่เสียหายกับงานวิจยั หากแนวคิดที่นักวิจัย
สร้างข้นึ มานั้นมีเหตผุ ลทีน่ า่ จะพสิ จู น์ได้ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ ดงั นนั้ ในหลักคิดของนักวิจัยคุณภาพจึงมองว่า
ไมค่ วรปดิ กัน้ ประสบการณส์ ว่ นตวั ของนักวจิ ัยจากการออกแบบแนวคิดในการวิจัยและในขณะเดยี วกันก็ไม่ควร
ยอมให้ประสบการณส์ ่วนตวั ครอบงำกระบวนการออกแบบแนวคิดในการศกึ ษาโดยส้ินเชงิ

(๒) แนวคิดทฤษฎีท่ีมีอยู่แล้ว ซึ่งมาจากสิง่ ท่ีเราเรียกว่าการทบทวนวรรณกรรม (Literature
review) ในมุมของนกั วจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ Maxwell มองวา่ ทถ่ี กู นนั้ แนวคดิ หรอื ทฤษฎใี นการศกึ ษาควรเป็น ส่ิงท่ี
เราสรา้ งขน้ึ เอง ไมใ่ ช่สงิ่ ทีเ่ ราไปหยิบเอาทคี่ นอนื่ เขาวา่ ไว้มาใชท้ ้ังดุ้น” ดังนน้ั การทบทวนวรรณกรรมในงานวิจัย
เชิงคุณภาพจึงไม่ใช่สิ่งที่มีไว้เพื่อสรุปเอาสิ่งที่คนอื่นค้นพบ แต่เพื่อสร้างแนวคิดของนักวิจัยสร้างข้ึ นเองจาก
การศึกษางานเหลา่ นัน้ การทบทวนวรรณกรรมในงานวิจัยเชิงคุณภาพจึงเป็นการทบทวนอย่างวพิ ากษ์วิจารณ์
และนกั วิจัยควรมองวา่ งานเหล่านั้นแม้จะให้ความคดิ ที่ถูก แต่ก็อาจไม่เหมาะกับบริบทของคนหรือปรากฏการณ์
ที่ต้องการศึกษา จึงมีความจำเป็นที่นักวิจัยจะต้องหามุมมองหรือหาทางเลือกเพื่อออกแบบแนวคิดให้เหมาะ
สำหรับการวิจยั ของตนเองให้มากทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะมากได้

(๓) การศึกษานำรอ่ ง มุ่งทำการศกึ ษาตามความสนใจและแนวคิดของนกั วจิ ัยโดยตรง นักวิจัย
สามารถออกแบบเพ่อื ทดสอบแนวคดิ และวิธกี ารของตน เพอ่ื สร้างทฤษฎีขนึ้ มาจากข้อมลู จริงๆ ไมใ่ ช่รับมาจาก
การศึกษาที่คนอื่นทำไว้แล้ว การศึกษานำร่องช่วยใหเ้ กิดมโนทัศนแ์ ละแนวคิดเกี่ยวกับประเด็นที่จะศึกษาใน
ทัศนะของประชาชนที่เราศึกษาจริงๆ ความคิดและความหมายของปรากฏการณ์ที่ศึกษาตามทัศนะของ
ประชาชนท่ีถูกศกึ ษานั้นนบั วา่ เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรบั การสรา้ งทฤษฎเี พอื่ การวิจัยเชิงคณุ ภาพ

(๔) ความคดิ สรา้ งสรรค์ เรยี กอกี อย่างวา่ “การทดลองทางความคิด” เปน็ ความคดิ สรา้ งสรรค์
ที่เกดิ จากการลองคิดแปลกไปจากทีเ่ คยคิดหรอื ต่างไปจากแนวบรรทัดฐานทีม่ ีอยู่ ด้วยคำถามในใจประเภทว่า

๑๕ชาย โพธิสิตา, ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ, หนา้ ๑๑๒.

๑๙๐ Advanced Research Methodology on Peace

“จะเป็นอยา่ งไรนะถา้ . . .” ซ่ึงเปน็ การเริ่มต้นการทดลองทางความคิดท่ีดี การคดิ อยา่ งเป็นระบบและมีเหตุผล
ช่วยให้สามารถนำความรู้เชิงทฤษฎีมาพัฒนาใช้ประโยชน์ในการวิจัยได้ และความคิดสร้างสรรค์จะแน่นข้นึ ถ้า
สามารถเชอื่ มโยงความคดิ สร้างสรรคน์ ี้กับความรูแ้ ละประสบการณส์ ่วนตวั กบั แนวคดิ ทฤษฎีที่มอี ยู่ก่อนและกับ
ความร้ทู ี่ไดจ้ ากการศกึ ษานำรอ่ ง๑๖

(๔) วิธีการวิจัย สำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพ คือ รูปแบบการวิจัยที่นำมาใช้ซึ่งมีหลากหลายให้
เลือกใช้ดังที่ Creswell ได้แสดงไว้ ๕ ประเภท และยงั มอี ีกหลายรูปแบบวิธวี ิจัยให้นักวิจัยสามารถเลือกใชใ้ น
การทำวิจยั ทง้ั นอ้ี งคป์ ระกอบหลกั ในการจะเลอื กวธิ ีวจิ ัยแบบใดในการออกแบบการวจิ ัยเชงิ คุณภาพ นกั วิจัยต้อง
พจิ ารณา ๓ ประเด็นสำคญั คอื การเลอื กตัวอยา่ งหรอื ผ้ทู ่ีจะใหข้ อ้ มลู ในการศึกษา เทคนิคท่ีจะนำมาใช้ในการ
เก็บข้อมลู และวธิ ีการวิเคราะหข์ อ้ มูล ซงึ่ จะกล่าวถึงโดยละเอยี ดในลำดับต่อไป

(๕) ความถกู ตอ้ งตรงประเด็น และความเชอ่ื ถอื ไดข้ องผลการศกึ ษา Maxwell (๑๙๙๖)กลา่ วถึง
ความถูกต้องตรงประเด็น คือ คุณสมบัติของผลผลิตจากการวิจัย ว่าถูกต้องตรงตามสภาพที่เป็นอยู่ของกลุ่ม
ตวั อยา่ งทเ่ี ราศกึ ษา และมเี หตมุ ีผลหรอื ใช้ไดเ้ พียงใด การทีเ่ ราบอกว่าสิง่ ใดสง่ิ หน่งึ ถกู ต้อง แสดงวา่ สง่ิ นน้ั ถูกต้อง
เชื่อถือได้ไม่เลื่อนลอย สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล อย่างน้อยก็ถกู ต้องหรือเป็นจริงในทางตรรกะ ในขณะท่ี
Schwandt (๒๐๐๑) กล่าวว่า การที่เราบอกว่าข้อค้นพบของการวิจัยนั้นถูกต้อง หมายถึง การมีหลักฐาน
สนับสนุนที่เป็นรูปธรรมหลักฐานที่สนับสนุนข้อค้นพบน้ันต้องมั่นคง เชื่อถือได้ มากกว่าหลักฐานที่สนับสนุน
คำอธิบายหรือขอ้ สรปุ อย่างอ่ืน

ความถกู ต้องตรงประเด็นในการวจิ ัยแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คอื ความถูกตอ้ งตรงประเด็นภายใน
กับความถูกต้องตรงประเด็นภายนอก สำหรับความถูกต้องตรงประเดน็ ภายใน คือ ถูกต้องตามความเปน็ จรงิ
ของปรากฏการณ์หรือประเด็นที่ศึกษา กล่าวคือ การวิจัยเสนอภาพของสิ่งนั้นได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ผิดไปจาก
ความจริงของสิ่งนั้น และความถูกต้องตรงประเด็นภายนอก คือ ผลของการศึกษา เช่น ข้อค้นพบ ข้อสรุป
ขอ้ เสนอจากผลการศึกษา สามารถนำไปใชก้ บั ที่อืน่ หรอื กลุม่ ประชากรอนื่ ที่ไม่ได้ถูกศึกษาได้ และความถูกต้อง
ตรงประเด็นภายนอกนม้ี คี วามหมายอย่างเดยี วกบั คำว่า generalization (ชาย โพธสิ ิตา เรยี กว่า สามัญการ)
ความถูกตอ้ งตรงประเดน็ นอกจากแบง่ เปน็ ภายในและภายนอกแลว้ ยงั สามารถจำแนกได้ ๔ ชนิด คอื (๑) ความ
ถกู ต้องตรงประเดน็ ในการพรรณนา (นักวิจัยบอกเล่าเกีย่ วกับปรากฏการณไ์ ด้ถูกตอ้ งมากนอ้ ยเพียงใด (๒) ความ
ถกู ต้องตรงประเดน็ ในการตคี วามข้อมูล (๓) ความถกู ตอ้ งตรงประเด็นทางทฤษฎี (๔) ความถูกต้องตรงประเด็น
ในการนำผลไปใชไ้ ด้กับทอ่ี ่ืน เวลาอน่ื (สามัญการ)

ความถูกต้องตรงประเด็นกับการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น คือ การที่นักวิจัยต้องรู้ว่ามี
ประเด็นอะไรบ้างที่เปน็ สง่ิ ท้าทาย หรอื ทำให้ความถูกตอ้ งตรงประเด็นหยอ่ นไป หรือสิง่ ทจ่ี ะคกุ คามความถูกตอ้ ง
ตรงประเด็น ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิจยั ตอ้ งกำหนดไว้คร่าวๆ ว่ามีอะไรบ้างท่ีน่าจะกระทบหรอื เป็นอปุ สรรคต่อความ
ถกู ตอ้ งตรงประเด็น กล่าวคอื

๑๖ชาย โพธิสิตา, ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งการวิจยั เชงิ คณุ ภาพ, หน้า ๑๑๖-๑๑๗.

ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั ชั้นสูงวา่ ด้วยสนั ตภิ าพ ๑๙๑

(๑) ส่งิ ทจี่ ะกระทบต่อความถูกตอ้ งตรงประเดน็ ในการพรรณนาปรากฏการณท์ ศี่ ึกษา ไดแ้ ก่
ความไม่สมบรู ณข์ องขอ้ มลู ซ่ึงอาจเกิดข้ึนจากหลายสาเหตุ เช่น การถามคำถามไมด่ ี ถามไมล่ กึ พอ เลือกคนให้
ข้อมูลที่ไม่ใช่ผู้รู้แท้จริงและเลือกจำนวนน้อยเกินไป นักวิจัยสังเกตไม่ละเอียดพอ หรือบันทึกข้อมูลไม่ดีพอ
ดังนั้น ในขั้นการออกแบบการวิจัยต้องวางแผนไว้ให้ดีเพ่ือว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น เช่น จะเลือกผู้ให้ข้อมลู
จำนวนเทา่ ไหร่ จะถามเร่อื งอะไร จะบันทกึ ข้อมูลอย่างไร เป็นต้น

(๒) สง่ิ ท่ีจะกระทบตอ่ ความถกู ตอ้ งตรงประเดน็ ในการตีความขอ้ มูล คอื การท่ีนกั วิจยั ยดึ ติด
ในกรอบแนวคิดทีต่ วั เองสร้างข้ึนมามากเกินไป แทนที่จะยดึ ความเหน็ ของผ้ใู ห้ข้อมลู เพ่ือป้องกันปัญหาเร่ืองนี้
นกั วิจัยอาจจะทำอะไรไมไ่ ด้มากนอกจากต้องตระหนักอย่เู สมอว่า ต้องเร่ิมตน้ การตีความโดยยดึ ทัศนะและความ
ข้อมูลเสมอื นว่าเราเป็นคนท่ถี ูกศึกษานัน้ ซึ่งเปน็ เรื่องละเอยี ดออ่ นแต่ก็เป็นส่งิ ทคี่ วรพยายาม

(๓) สิ่งที่จะกระทบความถูกต้องตรงประเด็นทางทฤษฎี คือ การใช้ทฤษฎีไม่ถูกต้องตาม
ทฤษฎีนั้นๆ กำหนด ซึ่งอาจจะเกิดจากการไม่มีข้อมูล ข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ตามที่ทฤษฎี
ต้องการ หรือนักวิจัยให้ความสำคัญแก่ข้อมูลที่สอดคล้องลงรอยกับคำอธิบายตามทฤษฎี เป็นเหตุให้การ
วิเคราะห์มีลักษณะมองด้านเดียว ไม่สมดุล เพื่อหาทางป้องกันผลกระทบในเรื่องนี้ นักวิจัยต้องคำนึงถึงความ
สมบรู ณ์รอบดา้ นของข้อมลู และต้องตระหนักถึงคำอธิบายแบบอ่นื บา้ งว่า แม้จะไมใ่ ช่จดุ เน้นของการวจิ ยั กต็ าม

(๔) สงิ่ ทีจ่ ะกระทบตอ่ ความถูกต้องตรงประเดน็ ด้านสามญั การ สำหรับงานวิจยั เชิงปริมาณ
สามัญการเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นตวั แทนของกลุ่มตวั อยา่ งท่ีได้มาจากการสุ่มตวั อย่างที่ถกู หลักการ แต่
สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ สามัญการเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตัวอย่างว่า สามารถทำได้เหมาะสมกับ
วัตถุประสงค์ของการศกึ ษาเพียงใด โดยไม่ถือเรอื่ งความเปน็ ตัวแทนเปน็ เกณฑ์สำคญั นักวิจัยเชิงคุณภาพเลือก
ตัวอย่างโดยการเจาะจงเพ่ือใหเ้ หมาะสมกบั จุดมงุ่ หมายของการศึกษา แต่การทำเชน่ นน้ั นักวิจยั จะต้องมีความรู้
เบื้องต้นก่อนว่า ประชากรเป้าหมายของการศึกษามีความแตกต่างหลากหลายอย่างไรบ้าง การเลือกตัวอย่าง
โดยไมใ่ ช้หลักสถติ แิ ต่เปน็ การเลอื กตัวอย่างท่สี ามารถสะท้อน ความเปน็ จรงิ ของประชากรกลมุ่ ทศ่ี กึ ษา๑๗

เหน็ ได้ว่าในการออกแบบการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพนั้น แม้จะมคี วามยึดหยนุ่ แตก่ ็ยงั มหี ลักการสำคัญที่
ยึดโยงการใหก้ ารออกแบบการวิจยั น้ันนำไปสกู่ ารคน้ หาคำตอบวิจยั ท่ีถูกตอ้ งน่าเชือ่ ถือและตรวจสอบได้อย่างมี
เหตมุ ีผลและมีความสร้างสรรค์ไมไ่ ด้เป็นไปตามกรอบทฤษฎอี ย่างเดยี ว แตม่ ีกลน่ิ อายทางความคดิ รวบยอดของ
นกั วิจัยทีไ่ ดม้ าจากขอ้ มลู หรอื ปรากฏการณ์จรงิ ในภาคสนาม ส่ิงท่ยี ึดโยงการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพให้มี
คณุ ภาพคอื การเลือกกลมุ่ ตัวอย่าง วิธกี ารเกบ็ ข้อมูลทค่ี วรนำมาใช้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
การวิจัย การตรวจสอบวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ คุณภาพ

๑๗ชาย โพธสิ ติ า, ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ, หนา้ ๑๒๖-๑๒๘.

๑๙๒ Advanced Research Methodology on Peace

๖.๔ เกณฑก์ ารเลือกผู้ใหข้ ้อมลู หลกั ในงานวิจยั เชงิ คุณภาพ

๖.๔.๑ กลยทุ ธ์การเลือกผ้ใู หข้ อ้ มลู หลักในงานวิจยั เชิงคุณภาพ
คำถามสำหรับนักวจิ ยั หรือผศู้ กึ ษาที่สนใจในการเลอื กใช้การวิจยั เชงิ คุณภาพในการทำวิจยั คือ การ
กำหนดจำนวนผ้ใู หข้ ้อมลู หลกั เท่าไหร่ถงึ พอเพียง และควรจะเลอื กผใู้ ห้ข้อมูลหลกั อย่างไรที่จะทำใหง้ านวจิ ยั
มีหลักการที่น่าเชื่อถือ ซึ่ง ประไพพิมพ์ สุธีวสนิ นนท์และประสพชัย พสุนนท์ ได้เขียนบทความเรื่อง “กลยทุ ธ์
การเลือกตัวอย่างสำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ” โดยได้นำเสนอ ๑๖ กลยุทธ์ในการเลือกตัวอย่าง (ผู้ให้ข้อมูล
หลัก) ตามแนวทางของ Milesand Hubermanและแนวทางในการกำหนดขนาดตัวอยา่ งสำหรับการวิจัยเชงิ
คุณภาพตามแนวทางของ Nastasi and Schensulผู้เขียนเห็นว่าการศึกษาน้ีน่าจะช่วยให้ผู้ศึกษาได้แนวทาง
สำคัญในการนำไปใช้ในการเลอื กผู้ให้ข้อมลู หลักได้อย่างเหมาะสม

(๑) การเลือกตัวอย่างแบบสุดโต่งหรือกรณีเบี่ยงเบน (Extreme or Deviant Case
Sampling) เปน็ การเลอื กตัวอยา่ งจากสิ่งที่แตกตา่ งจากลกั ษณะท่วั ไปอยา่ งเห็นไดช้ ดั แต่เป็นตัวอยา่ งท่ตี รงตาม
ส่ิงทผ่ี ้วู จิ ัยสนใจหรอื สามารถตอบปญั หาการวิจัยได้เชน่ ความสำเรจ็ หรือความลม้ เหลวท่เี หน็ เด่นชดั เหตุการณ์ที่
ผิดปกติหรือไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือวิกฤติการณ์ต่างๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น วิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง
วิกฤติการณ์แฮมเบอรเ์ กอร์เป็นต้น เพื่อทำความเข้าใจลักษณะกลุ่มตัวอยา่ งที่ถูกเลือกให้มีความกระจ่างของ
ข้อมลู กลยทุ ธ์การเลือกตวั อย่างแบบนี้เป็นการเลือกกล่มุ ตัวอยา่ งทสี่ ามารถให้ข้อมูลได้ตรงตามปัญหาการวิจัย
มากทส่ี ดุ เชน่ การศกึ ษาถึงแรงผลกั ดันของวัยร่นุ ท่ปี ระสบความสำเร็จในการสร้างธุรกจิ พันลา้ นบาท การศึกษา
ธุรกจิ อุม้ บญุ แอบแฝง เปน็ ตน้ การเลือกตวั อย่างกรณีน้ีผู้วิจยั อาจค้นพบขอ้ จำกัดของทฤษฎีท่ีมีอยู่และสามารถ
พัฒนาแนวคดิ ใหมๆ่ ขนึ้ จากกลุ่มตวั อยา่ งเหลา่ นี้ไดอ้ ยา่ งไรก็ดกี ารเลือกกลมุ่ ตัวอย่างวิธีน้ีอาจเสียเวลาในการเก็บ
ขอ้ มลู ค่อนข้างมาก

(๒) การเลอื กตัวอย่างท่ีมีข้อมลู ตรงตามประเด็นการวจิ ัยมากกว่าปกติ(Intensity Sampling)

เป็นการเลือกตัวอย่างที่มีความเด่นชัดของปรากฏการณ์ที่สนใจศึกษามากกวา่ ปกติหรือมคี วามพิเศษมากกวา่

กรณีท่วั ๆ ไป แตก่ ล่มุ ตวั อย่างดังกล่าวไม่ถึงขน้ึ ข้นั สุดโต่งหรือเบีย่ งเบนไปจากเกณฑป์ กตเิ ชน่ นักศึกษาท่ีเรียน

ได้สูงกว่ามาตรฐาน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักศึกษาทีเ่ รียนที่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองหรือในกรณี

นักศึกษาทีเ่ รียนได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ก็ไม่มีความจำเป็นทจ่ี ะตอ้ งกำหนดว่าจะต้องมีคณุ สมบัติที่ได้เกรดเฉลี่ยต่ำ

กว่า ๐.๕ เพราะลักษณะเช่นนั้นเป็นการเลือกตัวอย่างแบบสุดโต่ง จะเห็นได้ว่า กลยุทธ์การเลือก

ตวั อยา่ งแบบน้มี ีความแตกต่างจากวิธกี ารเลือกตวั อย่างแบบสุดโต่งเพราะมีช่วงกว้างของกลุ่มตัวอย่างมากกว่า

ซ่ึงการเลือกตัวอย่างด้วยวธิ นี ้ผี ู้วิจัยจำเปน็ จะต้องมีข้อมูลเบอื้ งต้นที่เกย่ี วขอ้ งกบั ประเดน็ ที่ตอ้ งการศกึ ษาอยูก่ ่อน

แลว้ ซงึ่ จะชว่ ยใหผ้ วู้ ิจัยสามารถเลือกหาข้อมลู เชงิ ลกึ ท่ีสอดคล้องกับวัตถปุ ระสงคง์ านวิจยั ได้

(๓) การเลือกตัวอย่างกรณีหลากหลาย (Maximum Variation Sampling) เป็นการเลือก
ตัวอย่างที่คลอบคลุมความหลากหลายที่ผู้วิจัยให้ความสนใจอาจจะเป็นการ ทำความเข้าใจปรากฏการ ณ์ใด
ปรากฏการณห์ น่ึงทศี่ กึ ษากลมุ่ ตัวอยา่ งทแี่ ตกต่างกัน ในพื้นท่ที ีต่ ่างกัน และในระยะเวลาทีต่ ่างกนั การเลอื กกลมุ่

ระเบียบวิธวี จิ ัยช้ันสงู ว่าด้วยสนั ติภาพ ๑๙๓

ตวั อย่างนผี้ วู้ จิ ยั ควรเลอื กกลุ่มตวั อยา่ งทีม่ ขี นาดเล็กแตค่ ลอบคลุมความหลากหลายมากท่สี ดุ เทา่ ท่ีจะมากได้ เชน่
การศกึ ษาความเกื้อกูลทางเศรษฐกจิ ของชุมชนที่มคี วามหลากหลายของการนบั ถอื ศาสนา ซงึ่ ชมุ ชนดังกล่าว มีผู้
นบั ถอื ศาสนา ๓ ศาสนา คือ ศาสนาพทุ ธ ศาสนาอสิ ลาม และศาสนาครสิ ต์ ผวู้ ิจัยจะเลือกผู้นับถือศาสนาแต่ละ
ศาสนามาให้ครบทกุ ศาสนา โดยไม่จำเปน็ ต้องคำนงึ วา่ ผใู้ ห้ข้อมูลของแตล่ ะศาสนาจะมีจำนวนน้อยหรอื มาก แต่
จำเป็นอยา่ งยง่ิ ที่จะต้องเลือกให้ครบทกุ ศาสนาเพอื่ ใหข้ ้อสรุปทค่ี รอบคลุม

(๔) การเลือกตัวอย่างแบบเอกพันธ์ (Homogeneous Sampling) เป็นการเลือกตัวอย่างที่
ตวั อย่างมีภมู หิ ลังหรือประสบการณ์ที่คล้ายคลงึ กนั มีวัตถุประสงค์ของการเลือกตวั อย่างเพื่ออธิบายลักษณะของ
กลุ่มย่อยที่มีลักษณะเฉพาะในเชิงลึก ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มบุคคลที่มีลักษณะนิสัยคล้ายกันหรือมีวัฒนธรรม
คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ตัวอย่างที่ใช้จึงมลี ักษณะคลา้ ยๆ กัน กลยุทธ์น้ีจะชว่ ยลดความผันแปร (หรือลดความ
แตกต่าง) ของข้อมูล และช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น ตลอดจนช่วยอำนวยความสะดวกในการ
สัมภาษณ์กลุ่ม (Group Interviewing) นอกจากน้ี การเลือกตัวอย่างแบบนี้ส่วนใหญ่ผู้วิจัยจะอาศัยกลยุทธใ์ น
การเกบ็ ข้อมลู จากกลุ่มตวั อยา่ งทีม่ ีภูมหิ ลงั คล้ายกันหลาย ๆ กลุ่มเพือ่ ประโยชน์ในการศกึ ษาเปรียบเทียบ และ
กลยทุ ธน์ ยี้ งั เหมาะกับการการวจิ ัยแบบสนทนากลุ่ม (Focus Group) เช่น ในการวิจัยเพ่อื พฒั นาโปรแกรมการ
เลี้ยงลกู สำหรบั คณุ พ่อ/คุณแมเ่ ล้ียงเดีย่ ว ผู้วจิ ยั อาจจะใชก้ ารเลอื กตัวอยา่ งแบบเอกพนั ธ์ในการสนทนากลุ่มเพื่อ
สร้างสารสนเทศในการพฒั นาโปรแกรมการเลีย้ งลกู ใหป้ ระสบความสำเร็จและมคี วามสุข

(๕) การเลือกตัวอย่างแบบสัญลักษณ์ (Typical Case Sampling) เป็นการเลือกตัวอยา่ งใน
เชงิ สัญลักษณ์โดยเป็นกลมุ่ ตัวอยา่ งทีผ่ ู้วิจัยให้ความสนใจ คอื กลุม่ ทัว่ ไปปกตหิ รอื อยู่ในเกณฑม์ าตรฐาน กลยุทธ์
การเลือกตวั อย่างแบบนเ้ี หมาะสำหรบั การวจิ ยั ทตี่ อ้ งการนำเสนอคุณสมบัตขิ องตวั อย่างท่ีมีลักษณะทั่วไปตั้งแต่
๑ ลกั ษณะ การใช้กลยทุ ธน์ ้จี งึ เปน็ การหาฉันทามตใิ นวงกว้างตามเกณฑเ์ ฉล่ียท่วั ๆ ไปเชน่ ผู้วิจัยอาจเลอื กกลุ่ม
ตัวอย่างจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพ้ืนท่ีใดพืน้ ทีห่ น่ึงของภาคตะวันออกเฉียงเหนอื เพือ่ สะท้อนถึงปัญหาความ
ยากจนจากราคาผลผลิตตกต่ำของเกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นต้น ซึ่งอาจจะได้ข้อค้นพบซึ่ง
สะทอ้ นความเป็นจริงในสถานการณ์ทัว่ ๆไปเหมาะสำหรบั การวิจยั เชิงคณุ ภาพท่ีใชก้ ารบรรยาย ไมเ่ น้นการสรา้ ง
นยิ าม

(๖) การเลือกตัวอย่างกรณีวิกฤติ (Critical Case Sampling) เป็นการเลือกตัวอย่างโดยมี
ตรรกะวา่ “ถา้ ส่งิ ใดก็ตามท่ีเกดิ ข้นึ ท่ีนม่ี นั จะเกดิ ขนึ้ ในทุกๆ ทีเ่ ช่นกนั และในทำนองกลบั กนั หากสิง่ ใดก็ตามท่ีไม่
เกิดขึ้นที่นี่ มันก็จะไม่เกิดขึ้นในที่ใดเลย” ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างที่เลือกมาจะเป็นกลุ่มตัวอย่างที่แสดงถึง
ความสามารถในการให้ข้อมลู หากกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวไม่สามารถให้ข้อมูลได้แล้ว นั่นหมายความว่า ไม่มีใคร
สามารถใหข้ อ้ มลู ได้เช่นกัน ซงึ่ กรณเี ช่นนเี้ ปน็ ไปได้ท้งั ที่เป็นการให้ขอ้ มูลทเี่ ป็นเชิงบวกหรอื เชิงลบ การเลอื กกลุ่ม
ตัวอยา่ งจึงมีลกั ษณะทีใ่ ชต้ รรกะซงึ่ อาจจะเป็นตรรกะทัว่ ไปหรอื ตรรกะท่ีมีค่าแตกตา่ งไปจากคา่ อนื่ ๆ เช่น ผู้วิจัย
ต้องการยืนยันว่ามาตรฐานทางบัญชีมีความยากต่อการ นำไปใช้จึงเลือกตัวอย่างนักบัญชีชั้น นำของประเทศ
จำนวน ๑๐ คน มาทำการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เชงิ ลกึ หากผลการวิจัยพบว่ามาตรฐานดังกลา่ วใชจ้ รงิ ได้ยาก ก็มี
ความเปน็ ไปได้สงู ที่นกั บญั ชที ่ัวไป ไม่สามารถนำไปใช้งานได้จริง

๑๙๔ Advanced Research Methodology on Peace

(๗) การเลือกตัวอย่างแบบก้อนหิมะหรือแบบลูกโซ่ (Snowball or Chain Sampling) เปน็
การเลือกตัวอย่างท่ีได้รับความนิยมค่อนข้างมากในการทำวิจัยเชิงคุณภาพ ขั้นตอนแรก ผู้วิจัยต้องค้นหา
ตวั อยา่ งเริ่มแรกใหไ้ ด้เสียก่อน โดยการเรม่ิ จากการค้นหาตัวอย่างที่ตรงกบั เกณฑ์ในการวจิ ยั คลา้ ยๆ กับการถาม
วา่ “ใครมีความรใู้ นเรื่อง____มากที่สดุ ” เมื่อได้ขอ้ มูลจากตวั อย่างแรกแลว้ ผู้วิจยั จงึ สอบถามถึงตวั อย่างถดั ไป
จากตัวอย่างแรกเกยี่ วกบั ประเดน็ การวิจยั ทำใหไ้ ดต้ วั อย่างที่ ๒ และใชว้ ิธีเดยี วกันนเ้ี พอ่ื หาตัวอยา่ งที่ ๓ทำเช่นน้ี
ไปเรื่อย ๆ ดงั นั้น จะพบว่าเม่อื เวลาผ่านไปขอ้ มลู ทีไ่ ด้จะเพ่มิ พูนเป็นลำดบั คลา้ ยกับการปั้นก้อนหิมะที่ต้องเริ่ม
จากก้อนหิมะเล็กๆ ก่อนจากน้ันกอ้ นหิมะจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเร่ือย ๆ ขณะกลิ้งทับถมลงบนพ้ืนหิมะ จนกระท่ัง
ข้อมูลถึงจุดอิ่มตัว (Data Saturation)อย่างไรกต็ าม ข้อควรระวังของการเลือกตัวอย่างแบบน้ี คือ ข้อมูลท่ี
ไดร้ บั อาจเบ่ียงเบนไปด้านใดดา้ นหนงึ่ เนอื่ งจากตวั อย่างแรกท่แี นะนำตัวอย่างทสี่ อง สาม ส่ี ใหส้ ว่ นใหญจ่ ะเลอื ก
ตัวอยา่ งท่มี ลี กั ษณะคล้ายกันกับตนเอง ทำใหข้ อ้ มลู ทีไ่ ดร้ ับไม่หลากหลาย

(๘) การเลอื กตวั อย่างแบบมีเกณฑ์ (Criterion Sampling) เปน็ การเลอื กตวั อย่างการวิจัยตาม
เกณฑ์บางอย่างที่ถูกกำหนดขึ้นมาแล้วล่วงหน้า เป็นการประกันระดับหนึ่งถึงคุณภาพข้อมูลที่ตรงตาม
วัตถุประสงค์ของการวิจยั เช่น ในการวิจัยถึงคา่ รักษาพยาบาลของผู้ป่วยที่มีการพักฟื้นเป็นระยะเวลานานใน
โรงพยาบาลของรัฐ ผูว้ ิจยั อาจกำหนดเกณฑใ์ นการเลือกตวั อย่างจากผู้ปว่ ยทีม่ ีการพักฟ้ืนในโรงพยาบาลของรัฐ
มากกว่า ๑ เดอื น เป็นต้น

(๙) การเลือกตัวอย่างตามทฤษฎี (Theoretical Sampling) เป็นการเลือกตัวอย่างตาม
โครงสรา้ งทฤษฎีเพอ่ื ทจ่ี ะได้นำข้อมลู คน้ พบมาอธิบายเพิ่มเตมิ ทฤษฎีน้ัน ๆเกณฑ์สำคัญในการเลือกตัวอยา่ งตาม
วธิ ีน้ี คอื กล่มุ ตวั อยา่ งน้นั จะตอ้ งมีความสอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์และมคี วามเก่ยี วข้องกับทฤษฎี กระบวนการ
ในการเลือกตัวอย่างตามทฤษฎีนี้จะเป็นการทำซ้ำไปซ้ำมา โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกกลุ่มตัวอย่างขั้นต้น การ
วิเคราะห์ขอ้ มูลและการเลือกกลุม่ ตัวอย่างเพิม่ ขึ้นอีก เพื่อกลั่นกรองทฤษฎที ่ีได้กระบวนการนี้จะดำเนินอย่าง
ต่อเนื่องจนถึงจุดที่ข้อมูลอิ่มตัวหรือไม่ หากผู้วิจัยสามารถค้นพบสิ่งใหม่เพิ่มเติมจากการเก็บข้อมูลเพิ่มได้
กระบวนการดังกลา่ วก็ยังคงดำเนนิ การต่อไป การเลอื กตวั อยา่ งตามทฤษฎนี ้มี คี วามสัมพนั ธ์กบั การพฒั นาทฤษฎี
ฐานราก ซ่งึ ทฤษฎจี ะคอ่ ยๆ กลัน่ จากข้อมูล ซึ่งจะไดข้ อ้ สรปุ หรอื ทฤษฎจี ากความเป็นจรงิ การเลือกตวั อย่างตาม
ทฤษฎีนี้ Glaseret กล่าวว่า เป็นการเก็บข้อมูลที่ถูก “ควบคุม” ด้วยทฤษฎีที่ปรากฏอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแบบ
ทางการหรือไม่ก็ตาม เช่น ทฤษฎีได้กล่าวไว้ว่า ทายาทรุ่นท่ี ๕ ของตระกูลมักไม่ประสบความสำเร็จในการ
ดำเนินธุรกจิ ดังนั้น การเลือกตัวอย่างชนดิ นี้จะเลอื กตวั อย่างจากทายาทรุน่ ที่ ๕ ของตระกลู ท่ีทำธรุ กิจแล้วค่อย
ๆ หาข้อสรุปว่าเหตุใดการดำเนินธุรกจิ ของทายาทเหล่านัน้ จึงไม่ประสบความสำเรจ็ อย่างไรก็ตาม ในระหว่าง
การดำเนินการวิจยั ภาคสนามผวู้ ิจยั อาจพบวา่ ไม่จำเป็นเสมอไปทีเ่ ลอื กตวั อยา่ งที่เปน็ ทายาทร่นุ ที่ ๕ ที่ไมป่ ระสบ
ความสำเร็จในการดำเนินธุรกจิ ดังนั้น ผู้วิจัยควรระวังความเอนเอียงจากการเลือกผู้ใหข้ ้อมูลเพราะขอ้ สรุปท่ี
ได้รบั อาจเปน็ ตามแนวทางทผ่ี ้วู จิ ัยได้กำหนดโครงร่างไว้ล่วงหน้าแลว้ ซ่งึ จะใหผ้ ลการวจิ ัยผดิ ไปจากข้อมูลท่ีเป็น
จรงิ

ระเบียบวธิ ีวิจัยชั้นสงู ว่าด้วยสนั ติภาพ ๑๙๕

(๑๐) การเลือกตัวอย่างแบบยืนยันและขัดแย้ง (Confirming and Disconfirming
Sampling) เป็นการเลือกตัวอย่างโดยเลือกพิจารณาว่าตัวอย่างที่เลือกจะสอดคล้องกับสิ่งทีค่ าดหวังรวมถึง
ตัวอย่างที่ไม่ตรงกบั ผลที่คาดหวังไว้ขั้นตอนของกระบวนการของการเลอื กตัวอย่างแบบนีผ้ ู้วิจัยควรเลอื กกลุ่ม
ตวั อยา่ งท่ีมผี ลในการให้ขอ้ มลู ในทิศทางตรงกนั ขา้ มกนั โดยปกติแลว้ การเลือกตวั อย่างแบบยนื ยันและขดั แยง้ จะ
ดำเนนิ การในชว่ งทา้ ยๆของขั้นตอนการวจิ ยั เชน่ ในการวจิ ัยเพ่ือศกึ ษาความผูกพันต่อองคก์ าร ในชว่ งท้ายผู้วิจัย
จะเหน็ เค้าลางของผลการวจิ ยั เป็นต้นวา่ มีผู้ที่ผกู พนั ต่อองคก์ ารจำนวน ๒๒ คน จาก ๒๕ คนกลมุ่ ตวั อยา่ ง ๒๒
คน ถือเปน็ กลมุ่ ตวั อย่างแบบยืนยัน อยา่ งไรกต็ าม ผวู้ ิจยั กไ็ มค่ วรละเลยที่จะศึกษาถึงความไม่ผูกพันต่อองค์กร
จากกล่มุ ตวั อยา่ ง ๓ คน ทีเ่ หลือ ถือเป็นการตรวจสอบแบบสามเส้าแบบหนงึ่ โดยท่ี ๓ คนทไี่ ม่ผูกพันต่อองค์กร
นนั้ เปน็ กลุ่มตวั อยา่ งแบบขดั แย้งนอกจากนี้ Guest แนะนำวา่ ถ้าข้อมูลเบื้องตน้ ทผี่ ู้วิจยั คน้ พบ มีความแตกต่าง
ทั้งทีย่ ืนยันและขัดแย้งกบั สิ่งที่คาดหวังไว้ให้ผู้วิจัยตรวจสอบหรือพิจารณาข้อมูลอย่างละเอียดอกี ครั้งเพื่อที่ได้
ขอ้ มลู เชิงลกึ เพมิ่ ขนึ้

(๑๑) การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามวัตถุประสงค์หรือการเลือกตัวอย่างแบบโควตา
(Stratified Purposeful Sampling or Quota Sampling) เป็นการเลอื กตัวอย่างโดยกล่มุ ตัวอยา่ งท่ศี กึ ษา
จะถูกแบง่ ย่อย ๆ ตามคุณลักษณะผูว้ ิจัยสนใจ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผู้วิจัยจะเลือกกลุ่มตวั อย่างท่ีสนใจจะศึกษา
และทำการแบ่งกล่มุ ยอ่ ย ๆ ในกลมุ่ ตวั อย่างดงั กลา่ วนั้นออกไปอกี ตวั อย่างของการแบง่ กลมุ่ ย่อยน้ี เช่น ตอ้ งการ
ศึกษาผลการปฏิบัตงิ านของนักวิชาการ ซง่ึ ในกลุ่มตัวอยา่ งหรอื กล่มุ นกั วิชาการที่เลือกมาศึกษานั้นอาจถูกแบ่ง
ออกเป็น กลุ่มที่มีผลงานต่ำกว่ามาตรฐานกลุ่มที่มีผลงานเฉลี่ยตามมาตรฐาน หรือกลุ่มที่มีผลงานสูงกว่า
มาตรฐาน เป็นตน้ หลงั จากท่กี ลุม่ ตวั อย่างได้ถูกแบง่ ออกเปน็ กลุม่ ยอ่ ย ๆ แล้วผวู้ จิ ัยจะทำการเลือกตวั อย่างจาก
กลุ่มยอ่ ย ๆ ตามนั้นตามความสะดวกวัตถุประสงคห์ ลักของการเลอื กตัวอย่างแบบนี้เพือ่ ที่ผู้วิจยั จะสามารถจัด
กลุ่มความหลากหลายของขอ้ มลู ที่ไดถ้ งึ แม้วา่ จะมขี ้อมูลอย่างที่มีความซ้ำซ้อนกนั บ้างก็ตาม สำหรับการแบ่งช้ัน
ตามวัตถุประสงค์หรือการแบง่ โควตา อาจแบง่ ตามพื้นทภี่ าระหน้าท่อี าชพี สภาพแวดลอ้ มฯลฯเป็นไปตามแต่ละ
บรบิ ทของการวิจยั น้นั ๆ ผู้วจิ ัยมีความจำเป็นจะตอ้ งมคี วามเช่ียวชาญมากพอทีจ่ ะคัดกรองกลุ่มตวั อยา่ งดังกลา่ ว

(๑๒) การเลือกตวั อย่างตามโอกาสหรอื ตามข้อมลู ท่ีปรากฏ (Opportunistic or Emergent
Sampling) การเลือกกลมุ่ ตวั อยา่ งแบบน้เี ป็นการรวบรวมขอ้ มลู จากกล่มุ ตวั อย่างใหม่ ๆ ทเี่ กดิ ข้ึนระหว่างการ
เกบ็ ขอ้ มูลภาคสนาม เปน็ การใชป้ ระโยชนจ์ ากการท่ผี ้วู จิ ยั เปิดโอกาสให้กลมุ่ คนบุคคล หรือสถานการณต์ า่ ง ๆ ที่
ผู้วิจัยไม่ได้คาดหวังว่าจะขอเก็บข้อมูลในเบื้องต้นของการดำเนินการวิจัย แต่กลับพบว่า กลุ่มคนบุคคลหรือ
สถานการณต์ า่ ง ๆ เหลา่ นนั้ สามารถใหข้ อ้ มูลที่เปน็ ประโยชน์ต่อการวจิ ยั เช่น ผวู้ จิ ยั ตอ้ งการศกึ ษาความคิดเห็น
ของบุคลากรที่มีต่อผู้บริหารองค์การ ซึ่งผู้วิจัยมีเป้าหมายท่ี จะเก็บข้อมูลจากบุคลากรภายในองค์การ แต่ใน
ระหว่างการเก็บข้อมูลพบว่าบุคลากรภายนอกองค์กร เช่น ลูกค้าหน่วยงานภายนอก หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสยี
(Stakeholders) ที่เกี่ยวข้องกส็ ามารถใหข้ ้อมูลทีเ่ ป็นประโยชน์ต่อการวิจัยเช่นกัน ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเลอื กกลุม่
ตัวอยา่ งเพิม่ เตมิ จากบคุ คลเหลา่ นี้ เปน็ ต้น

๑๙๖ Advanced Research Methodology on Peace

(๑๓) การเลือกตัวอย่างแบบสุ่มตามวัตถุประสงค์(Purposeful Random Sampling) การ
เลือกตัวอย่างแบบนี้มคี วามคลา้ ยคลงึ กับการเลอื กตัวอย่างแบบสุ่มในการวิจยั เชิงปริมาณ แตกตา่ งกันตรงที่การ
เพ่มิ ความนา่ เชอื่ ถือของกลุ่มตวั อย่าง กลา่ วคอื เมอื่ ผูว้ ิจยั มีกลมุ่ ตัวอยา่ งทต่ี รงตามวตั ถุประสงคแ์ ละมีขนาดใหญ่
เกินกวา่ ท่จี ะรวบรวมไดท้ ้ังหมด(อาจจะดว้ ยสาเหตจุ ากการเก็บรวบรวมข้อมลู ที่ต้องใชร้ ะยะเวลานาน เช่น การ
สัมภาษณ์ระดับลึก) กลยุทธ์นี้จะใช้วิธีการการเลือกตัวอย่างโดยใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กแทนที่การใช้กลุ่ม
ตัวอย่างขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูลตัวอย่าง เช่น ถ้าผู้วิจัยต้องการศึกษา
พฤติกรรมการใช้เงินของนักศึกษาที่ขอทุนการศึกษา โดยมีรายชื่อนักศึกษาจำนวน ๓๐๐ ราย ที่ได้รับการ
ตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ลักษณะเช่นน้ี ผู้วิจัยสามารถสุ่มเลือกที่จะติดตามพฤติกรรมของ
นักศึกษาที่ขอทุนการศึกษาดังกล่าวเพียง ๑๐ รายจากนักศึกษาที่ขอทุนทั้งหมดได้ เป็นต้น การเลือกกลุ่ม
ตัวอยา่ งแบบการสุม่ ตามวัตถปุ ระสงค์น้ชี ว่ ยลดการพจิ ารณาการแบง่ กลุม่ ตามวตั ถปุ ระสงค์ลง เช่น ไม่จำเปน็ ต้อง
แยกกว่ากลุ่มตัวอย่าง ๑๐ คน นั้นจะต้องเป็นชายหรือเป็นหญิงอายุต่ำกวา่ ๒๐ ปี หรือเกินกว่า ๒๐ ปีหรือไม่
เนื่องจากการเลือกกลมุ่ ตัวอย่างเปน็ แบบสุม่ แตเ่ ป็นการสมุ่ ตามวตั ถปุ ระสงค์โดยไม่คำนึงถงึ ผลลัพธ์ของข้อมูลที่
จะไดร้ บั

(๑๔) การเลือกตัวอย่างกรณีที่มีความสำคัญทางการเมือง (Sampling Politically
Important Cases) เป็นการเลอื กตัวอยา่ งแบบน้มี ีวตั ถุประสงค์ทจี่ ะหลกี เลย่ี งหรอื เน้นเหตกุ ารณท์ างการเมอื ง
ที่มีความสำคัญในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ การเลือกตัวอย่างแบบนี้เป็นได้ทั้งเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการเน้นถึง
เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น หรือเพื่อหลีกเลี่ยงจากพิจารณาถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น เช่น
ตอ้ งการศกึ ษาถงึ พฤติกรรมการลงคะแนนเลอื กตงั้ ของประชาชน หากผ้วู จิ ัยต้องการใหเ้ หตกุ ารณ์ทางการเมืองที่
เกดิ ขึ้นบางเหตุการณม์ าพจิ ารณารว่ มด้วย เช่น การเลอื กตงั้ หลงั รฐั ประหารปี ๒๕๔๙ ก็ควรจะเลอื กศึกษากลุ่ม
ตัวอยา่ งที่ไปเลอื กตงั้ ในปี ๒๕๕๐ หรือหากไมต่ อ้ งการใหร้ ฐั ประหารมีอิทธิพลตอ่ การเลือกกลมุ่ ตวั อยา่ งก็ควรจะ
หลีกเลี่ยงการเลือกตัวอย่างจากกลุ่มตัวอย่างที่ไปเลือกตั้งในปี ๒๕๕๐ โดยเปลี่ยนไปเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไป
เลือกตงั้ ในสถานการณ์ปกตหิ รือปีอืน่ ๆ แทน เป็นตน้

(๑๕) การเลือกตัวอย่างตามสะดวก (Convenience Sampling) เป็นการเลือกตัวอย่างท่ี
ขนึ้ กบั ความสะดวกในการเขา้ ถึงขอ้ มูล ภายใตข้ ้อจำกัดต่าง ๆ เช่น งบประมาณเวลา และความรว่ มมือของผู้ให้
ข้อมลู กลยทุ ธน์ ี้สามารถประหยดั แรงงาน เวลา และงบประมาณรวมถงึ ความพยายามในการรวบรวมขอ้ มูลของ
ผู้วจิ ยั หลกั เกณฑ์สำคญั ของกลยุทธ์นีค้ ือการรวบรวมข้อมูลให้ได้ครบตามทตี่ อ้ งการโดยใชเ้ หตผุ ลคร่าว ๆ ในการ
คัดเลือกข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง อย่างไรก็ตามการเลือกตัวอย่างตามสะดวกมีข้อด้อยในประเด็นเกี่ยวกับความ
น่าเชื่อถือของข้อมูล ซึ่งอาจจะได้สารสนเทศที่ขาดตกบกพร่องเพียงเพราะผู้วิจัยต้องการเข้าถึงข้อมูลที่ง่าย
แทนที่จะเลือกใช้กลยุทธ์ที่มีความเจาะจงและสมเหตสุ มผลเช่นการเลือกเพื่อนร่วมงาน สมาชิกในครอบครัว
หรอื เพ่อื นบ้านเปน็ ตวั อยา่ ง เพยี งเพราะความสะดวกสบายในการเขา้ ถึงขอ้ มูลการใช้กลยทุ ธแ์ บบน้อี าจจะเหมาะ
ในการวิจยั ที่ยังไม่มีขอ้ มลู พ้นื ฐานสนบั สนุนหรอื เปน็ การวจิ ยั นำรอ่ ง

ระเบยี บวิธวี ิจยั ชั้นสงู ว่าด้วยสนั ตภิ าพ ๑๙๗

(๑๖) การเลือกตัวอย่างแบบรวมหรือแบบผสมผสาน ( Combination or Mixed
Purposeful Sampling) เป็นการเลือกตัวอย่างทีใ่ ช้กลยุทธ์ต้ังแต่ ๒ กลยุทธ์ขึน้ ไป โดยทั่วไป เป็นการใชก้ ล
ยุทธ์ที่มากกว่า ๑ กลยุทธ์ในการผสมผสานกันเพื่อเลือกตัวอย่างให้เหมาะสมกับการตอบปัญหาการวิจัย เช่น
การเลอื กตวั อย่างแบบกอ้ นหิมะอาจจะต้องการใชก้ รณที ี่มีข้อมูลที่มคี วามสุดโต่ง เปน็ ต้นว่าการศึกษาความคุ้ม
ทนุ ในการประกอบอาชีพมือปนื รบั จา้ งกรณเี ช่นนีเ้ ปน็ ลกั ษณะทม่ี คี วามสดุ โต่งและการทจ่ี ะหาจดุ คุ้มทนุ จำเปน็ ที่
จะต้องมีข้อมูลประกอบการพจิ ารณาจำนวนหนง่ึ ดงั น้ัน จงึ เปน็ หนา้ ทผี่ ู้วิจัยทตี่ ้องใชก้ ารเลือกตัวอย่างแบบก้อน
หมิ ะเพ่อื สรา้ งสารสนเทศทม่ี ีความอมิ่ ตวั ๑๘

๖.๔.๒ การกำหนดขนาดตวั อย่างในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ
การพิจารณาขนาดตัวอย่างในการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวกล่าวคือ ขนาด
ตัวอยา่ งในการวจิ ยั เชงิ คุณภาพมีความยดื หยุ่นสงู และสามารถปรบั เปลีย่ นไดต้ ามความเหมาะสมของสถานการณ์
ทเี่ ปล่ยี นแปลงตลอดกระบวนการ และระหวา่ งขั้นตอนการดำเนนิ งานวจิ ยั อย่างไรกต็ าม มีข้อควรพิจารณาใน
การกำหนดขนาดตวั อยา่ งในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ๒ ประการ ดงั นี้

๑) ความอิ่มตวั ของขอ้ มูล (Data Saturation) มีข้อควรพจิ ารณาวา่ “ขนาดตวั อยา่ งในการวิจัย
ถึงจุดอิ่มตัวของข้อมูลหรือยัง?” นั่นคือ ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมจากตัวอยา่ งน้ัน สามารถนำไปการค้นหา
รปู แบบหรอื สร้างข้อค้นพบตามวตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั ไดห้ รอื ไม่ นักวจิ ัยเชิงคุณภาพบางทา่ นแนะนำว่าขนาด
ตวั อยา่ งจะมีจำนวนเท่าไรไม่สำคญั แตค่ วรมีขนาดเพียงพอตอ่ การหาขอ้ สรปุ การวจิ ัยโดยขนาดตวั อย่างดังกล่าว
สามารถให้สารสนเทศท่ไี มม่ ีอะไรเหลือใหเ้ รยี นร้ไู ดอ้ ีกตอ่ ไป (Nothing left to learn)ลักษณะเชน่ น้จี ะเกิดจาก
การเก็บขอ้ มูลแลว้ พบความซำ้ ซ้อน (Redundancy) ของขอ้ มูลการวิจัย โดยผู้วจิ ัยไม่พบแนวคดิ รูปแบบ หรือ
ข้อค้นพบอน่ื ๆ ที่เกิดจากความซำ้ ซอ้ นข้างตน้ แล้ว

๒) ความพอเพียงของข้อมูล (Data Sufficiency) มีขอ้ ควรพิจารณาวา่ “ขนาดตัวอย่างมขี นาด
มากพอในการเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงภายในประชากรเป้า หมายการวิจัยหรือไม่ ?”กล่าวคือขนาด
ตวั อยา่ งในการวจิ ัยเชิงคุณภาพนนั้ มีขนาดใหญม่ ากพอในการประเมินหารูปแบบหรอื ขอ้ สรุปที่นา่ สนใจ ในการ
วิจยั จากประชากรเป้าหมายที่มีความหลากหลายหรอื มีความแปรผันโดยท่ัวไปแลว้ ขนาดตวั อยา่ งของงานวิจัย
เชิงคุณภาพ ไมค่ วรมีขนาดใหญเ่ กินไปซึง่ จะทำใหย้ ากต่อการวเิ คราะห์ขอ้ มูลในขณะเดียวกันกไ็ มค่ วรมขี นาดเลก็
เกินไปจนไม่สามารถไปถึงจุดที่ข้อมูลอิ่มตัวนอกจากนี้การกำหนดขนาดตัวอย่างในการวิจัยเชิงคุณภาพ ยัง
สามารถพิจารณาจากแนวทางของระเบียบวิธกี ารวิจัยหรือแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยแต่ละแนวทางมี
หลกั การครา่ วๆ (Rules of Thumb) ตามแนวทางของ Nastasi and Schensul ดงั ตารางท่ี ๖.๓ และ ๖.๔

๑๘ประไพพิมพ์ สุธีวสินนนท์และประสพชัย พสุนนท์, กลยุทธ์การเลือกตัวอย่างสำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ,
วารสารปาริชาตมหาวทิ ยาลัยทักษณิ , ๒๕๕๙, (ปีที่ ๒๙ ฉบบั ที่ ๒ ตุลาคม – ธนั วาคม): ๓๕-๔๑.

๑๙๘ Advanced Research Methodology on Peace

ตารางที่ ๖.๓ หลักการ ในการกำหนดขนาดตวั อย่างของแนวทางการวิจยั ตามแนวทางของ Nastasi

and Schensul

ระเบียบวธิ ีการวจิ ัย หลักการ

อัตชวี ประวัติ(Biography) เลือกเพียง ๑ บคุ คล หรือ ๑ กรณปี ระมาณ ๑๐ บคุ คล

หรือ กรณีศึกษา (Case Study) แต่หากขอ้ มูลทีไ่ ด้มคี วามอ่ิมตัว

อาจจะใช้ข้อมลู ที่น้อยกว่าได้

ปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ประมาณ ๒๐ – ๓๐ บุคคล โดยจะพิจารณาถึงความ

ทฤษฎฐี านราก (Grounded Theory) อม่ิ ตวั ของข้อมลู โดยสามารถใชข้ นาดท่นี ้อยกวา่

ชาติพรรณวรรณนา (Ethnography) หรือ หลกั การได้หากข้อมูลถึงจดุ อ่ิมตวั แล้ว

การวิจยั เชิงปฏบิ ตั กิ าร (Action research)

การสัมภาษณ์ผู้ใหข้ อ้ มูลหลกั สัมภาษณ์ประมาณ ๕ – ๓๐ บคุ คล

(Interviewing key informants) และ/

หรอื การสมั ภาษณ์ระดับลกึ

(In-depth interviews)

การสนทนากลุม่ (Focus groups) สมั ภาษณป์ ระมาณ ๑-๓ กลุ่ม ในแตล่ ะกลมุ่ ควรมี

ประมาณ ๕-๑๐ บุคคล การพิจารณากลุ่มเปา้ หมายต้อง

อยู่บนพ้นื ฐานของการเป็นกลุม่ ที่สามารถเป็นตัวแทนใน

การตอบคำถามการวิจัย

การสำรวจชาตพิ รรณวรรณนา ควรเลอื กตัวอย่างทีเ่ ป็นตวั แทนทมี่ ขี นาดใหญ่ (การ

(Ethnographic surveys) กำหนดหรือสุ่มตวั อยา่ งใหเ้ ป็นไปตามวัตถุประสงค์การ

วจิ ัย) การกำหนดขนาดตัวอย่างมีแนวทางคล้ายการวิจยั

เชิงปริมาณ

ตารางท่ี ๖.๔ จำนวนผู้ถูกสัมภาษณ์ตามระยะเวลาในการสัมภาษณ์ตามแนวทางของ Nastasi
and Schensul

จำนวนผู้ถกู สัมภาษณ์ ระยะเวลาในการสัมภาษณ์ต่อผู้ ถูก
สัมภาษณ์ ๑ ทา่ น
๑๐ คน ๑ – ๒ ช่ัวโมง
๒๐ คน ๓๐ นาที – ๑ ชว่ั โมง
๓๐ คน ๒๐ – ๔๐ นาที

อย่างไรก็ตาม การกำหนดขนาดตัวอย่างและระยะเวลาที่ใช้กับผู้ให้ข้อมูลหลัก หรือบางแห่ง
เรียกว่า ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) สำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพไม่ได้ถึงกับมีหลักเกณฑ์ที่ตายตัว
เพราะการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพมีพื้นฐานท่ียึดหยุน่ ตลอดขั้นตอนการวิจยั ดังนั้นการจะเลือกจำนวน
กลุ่มตวั อยา่ งหรือผู้ใหข้ อ้ มลู นกั วิจัยหรอื ผู้ศึกษาควรนำเกณฑก์ ารออกแบบอนื่ มาประกอบการพจิ ารณา

ระเบยี บวธิ ีวิจยั ช้ันสูงว่าด้วยสันตภิ าพ ๑๙๙

๖.๕ สรุป

การออกแบบการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ แกน่ สำคญั อยู่ท่ีการทำความเข้าใจถงึ หลกั พื้นฐานสำคญั ของการ
วิจัยเชงิ คุณภาพทม่ี ีกระบวนทศั น์งานวจิ ัยที่แตกตา่ งกับงานวจิ ัยเชงิ ปริมาณแบบคนละฟากความคิด งานวิจยั เชิง
คุณภาพนัน้ จุดเนน้ คือ ความเชื่อว่าความรู้ความจริงมหี ลากหลายและเป็นพลวัตที่เคลื่อนไหว การเข้าถึงความ
จริงสามารถแสวงหาได้หลายวิธีการและควรต้องศึกษาบริบทต่างๆ ประกอบเพือ่ ทำความเขา้ ใจเร่ืองท่ีต้องการ
ศึกษา ดังนั้นการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพจงึ มีความยึดหย่นุ สูง แตอ่ ย่างไรในความยึดหยุ่นนั้นก็ต้องอาศัย
หลักการที่มีความถูกต้องตรงประเด็น และมีความน่าเชื่อถือ กระบวนการที่ได้มาของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลกั จึง
สมั พนั ธ์กับรปู แบบการวจิ ัย ซึง่ สมั พนั ธ์สอดคล้องกบั จดุ มงุ่ หมายการวจิ ยั อนั มจี ุดเรม่ิ ต้นจากคำถามวิจัย กล่าวได้
ว่า การเลือกใช้การออกแบบการวิจัยจึงเริ่มตั้งแต่กระบวนการของการตั้งคำถามวิจัย ซึ่งจะนำไปสู่การเลือก
รูปแบบวิจัยที่นำไปสู่กระบวนการวิจัย การได้มาซ่ึงกลุ่มผู้ให้ข้อมลู หลักซึ่งมีกลยุทธ์ในการเลือกที่หลากหลาย
ตามที่แสดงไว้ในเนื้อหา และการกำหนดขนาดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลที่เหมาะสม ซึ่งหัวใจหลักของการกำหนดขนาด
ของผู้ใหข้ อ้ มูลหลกั ในงานวจิ ัยเชิงคณุ ภาพไม่ใชเ่ ป็นเร่ืองของจำนวนหรือปรมิ าณ แต่เปน็ เรอ่ื งของจุดอ่ิมตัวของ
ขอ้ มูลทเ่ี พียงพอในการนำไปวิเคราะห์

ทง้ั นี้ไมว่ ่าจะเปน็ การวิจัยเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ ข้ันตอนกระบวนการวจิ ัยท่ีสำคัญอีกประการ
หนึง่ ทีม่ ิอาจมองข้ามได้ คอื การสร้างเคร่ืองมอื วิจัย เพราะแมว้ า่ ตอ่ ให้เลอื กกลุ่มตวั อยา่ งหรือผู้ให้ข้อมูลหลักได้
ถูกตอ้ งสามารถใหข้ อ้ มลู เพอ่ื ตอบคำถามวจิ ัยได้ แตถ่ า้ เครื่องมือท่นี ำไปใชใ้ นการใหไ้ ดม้ าซ่ึงข้อมลู นนั้ ไม่มคี ุณภาพ
ก็จะส่งผลต่อคุณภาพของข้อมูลที่ได้มา ดังนั้นในบทต่อไปจะกล่าวถึง การสร้างเครื่องมือให้มีคุณภาพทั้ง
เครื่องมือการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ แต่จะเน้นเนื้อหาไปทางเครื่องมือวิจัยเชิงปริมาณมากหน่อย
เน่ืองจากการวิจยั เชงิ ปรมิ าณคอ่ นขา้ งใหค้ วามสำคญั ตอ่ กระบวนการที่ไดม้ าของข้อมูลทีม่ ีคณุ ภาพ

คำถามทบทวนบทที่ ๖

๑) จงร่วมกันอธิบายถงึ คณุ ลกั ษณะสำคัญของงานวิจัยเชงิ คุณภาพ
๒) จงร่วมกนั อธบิ ายถงึ หลกั การสำคญั ของการออกแบบการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ
๓) จงร่วมกนั อธบิ ายถงึ หลักการเลือกรปู แบบการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพในแต่ละประเภท
๔) จงร่วมกนั อธิบายจุดเด่นของการเลอื กกลมุ่ ผู้ให้ขอ้ มลู หลักในกลยทุ ธก์ ารเลอื กผูใ้ หข้ ้อมูลหลัก
๕) จงร่วมกันทบทวนศัพท์งานวจิ ยั ในบทเรยี น

กจิ กรรมมอบหมายท้ายบทเรียน

๑) การทำสะทอ้ นคิด
๒) การส่งการวเิ คราะหก์ ารออกแบบงานวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพจากบทความท่ีเตรียมมา
๓) การเตรยี มตวั อย่างงานวิจยั เชงิ ปริมาณและเชงิ คณุ ภาพอยา่ งละ ๑ เร่อื ง

๒๐๐ Advanced Research Methodology on Peace

เอกสารอ้างองิ ประจำบท

ขจรศกั ดิ์ บัวระพันธ์. (๒๕๕๗). วจิ ยั เชงิ คุณภาพ. พิมพ์ครัง้ ที่ ๖. กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ทั คอมม่าดีไซน์แอนด์
พรน้ิ ท์ จำกัด.

ชาย โพธิสิตา. (๒๕๕๔). ศาสตร์และศลิ ป์แห่งการวิจัยเชงิ คุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ ๕.กรุงเทพมหานคร :บริษัท
อมรนิ ทร์พร้นิ ตง้ิ แอนด์พับลชิ ชิง่ จำกดั (มหาชน)

เบญจา ยอดดำเนนิ -แอต็ ติกจ,์ บุปผาศิริรศั มแี ละวาทินี บญุ ชะลักษี.(๒๕๓๗). ตำราประกอบการสอนและการ
วจิ ยั การศกึ ษาเชงิ คุณภาพ: เทคนคิ การวิจยั ภาคสนาม.กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั วิจยั ประชากร
และสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล.

ประวิตเอราวรรณ์. (๒๕๖๑).การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research).[ออนไลน์].แหล่งที่มา:
http://www.udru.ac.th/kmudru/ document/research2.pdf.[๒๐ เม.ย.๒๕๖๑}.

ประไพพิมพ์ สุธีวสินนนท์และประสพชัย พสุนนท์. (๒๕๕๙). กลยุทธ์การเลือกตัวอย่างสำหรับการวิจัยเชิง
คณุ ภาพ. วารสารปารชิ าตมหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ . ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๒ ตุลาคม – ธันวาคม: ๓๒-๔๘.

Creswell,J.W., (1998). Qualitative and Quantitative Approaches, CA: Thousand Oaks:sage.
________.(2003).RESEARCH DESIGN Qualitative, Quantitative and Mixed

Methods Approaches.2nd ed.University of Nebraska: Lincoln Sage Publications, Inc.
Lincoln, Y.S. and Guba, E.G.,(1985),Naturalistic Inquiry. CA: Bevery Hills, 1985:sage.
Rice, P.L., (1999). Qualitative Research Methods: Healthfocus. South Melbourne Victoria:

Oxford University Press,)
Shank, G.D., (2002).Qualitative Research: A Personal Skills Approach, Upper Saddle

River.New Jersey: Pearson Education.

บทที่ ๗
การประยกุ ต์การออกแบบงานวจิ ัยเพอ่ื สนั ติภาพ

บทนำ

จากบทที่ผ่านมาไดก้ ล่าวถึง การออกแบบงานวจิ ยั เชิงปริมาณและงานวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อให้ผู้
ศกึ ษามีพืน้ ฐานแม่บทในการออกแบบการวจิ ัยเพ่อื สนั ติภาพชนั้ สูง ซึง่ คาดหมายวา่ งานวจิ ยั ในระดบั ปรญิ ญาเอก
สาขาวิชาสันตศิ กึ ษา จะเปน็ งานวิจัยท่มี ชี วี ติ มิไดข้ น้ึ หงิ้ สามารถสร้างแรงกระเพอ่ื มในชมุ ชน สงั คม ให้เหน็ คณุ ค่า
และตระหนักถงึ การใช้สันตวิ ิธีท่ีมีพระพุทธศาสนาเป็นการพัฒนาสนั ตภิ ายใน จะช่วยให้ องค์กร ชุมชน สังคม
ประเทศ ก้าวข้ามความขัดแย้งและอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขบนความแตกต่างและหลากหลาย ในบทที่น้ี
ผู้เขียนจะไดน้ ำเสนอรูปแบบวิจัยที่เป็นการบูรณาการและประยุกต์แนวคิดระหว่างกระบวนทศั น์งานวิจัยเชงิ
ปรมิ าณและงานวจิ ัยเชงิ คุณภาพ ซ่ึงนบั วนั เป็นรูปแบบการวจิ ยั ท่ไี ด้รับการแพรห่ ลายในการศึกษาที่มงุ่ ใหเ้ กดิ การ
เปลี่ยนแปลง หรอื สรา้ งนวตั กรรมองคค์ วามรู้ใหม่ กล่าวคอื การวจิ ยั แบบผสานวธิ ี การวิจยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารอยา่ งมี
สว่ นรว่ ม และการวจิ ยั และพัฒนา (R&D)

๗.๑ การวิจยั แบบผสานวิธี (Mix Method Research)

๗.๑.๑ ท่มี าและความหมายของการวจิ ัยแบบผสานวธิ ี
เมื่อพลวตั รโลกเก่ยี วกับกระบวนการเรยี นรู้ท่ีเปลย่ี นแปลงไป ความเช่อื ของนักวจิ ัยท่ีว่ารปู แบบการ
วิจัยระหวา่ งการวิจัยเชิงปรมิ าณกับการวิจัยเชงิ คุณภาพไดเ้ ปลี่ยนแปลงไปตาม อันเน่ืองจากมีนักวจิ ัยบางกล่มุ
มองวา่ กระบวนทัศน์ทั้งปรากฏการณ์นิยมและปฏิฐานนิยม ตา่ งกน็ ่าจะสามารถอาศยั พึง่ พิงในการรว่ มอธบิ ายขอ้
คน้ พบท่ไี ดจ้ ากการวจิ ัย หรอื กล่าวอกี นัยหนึง่ คอื การไม่ยึดติดกบั รปู แบบการวิจยั แบบใดแบบหนึง่ จะเปน็ หนทาง
ใหน้ ักวิจยั ไดแ้ สวงหาความจรงิ ไดอ้ ยา่ งลกึ ซ้ึง ครอบคลุมได้มากกว่าเลอื กทีจ่ ะใชร้ ูปแบบการวิจยั แบบใดแบบหนงึ่
เฉพาะ การวิจัยแบบผสมผสาน หรือผสานวิธี (Mixed Methods Research) จึงถือกำเนิดข้ึนและช่วยลด
ข้อจำกัดของวิธีวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยแบบผสมผสานเป็นพัฒนาการวิจัยในยคุ ที่ ๓
กล่าวคือ เป็นการวิจัยทีมีรากฐานมาจากปรชั ญาปฏิบัตินิยม (Pragmatism) และแนวคิดพหุนิยม (Pluralism)
(Johnson & Onwuegbuzie, ๒๐๐๔)๑

การวจิ ัยแบบผสมผสานเกิดข้นึ ครั้งแรก ใน ค.ศ.๑๙๕๙ โดย Campbell และ Fiske เปน็ ผูแ้ นะนำ
ให้ใช้วิธีเก็บข้อมูลเชิงปริมาณหลายๆ วิธี และเพิ่มวิธีเชิงคุณภาพเข้าไปในการศึกษาเชิงปริมาณด้วย ใน
การศึกษาทางสงั คมศาสตร์และพฤตกิ รรมศาสตร์ หลงั จากนน้ั กม็ ีนักวชิ าการอกี หลายคน แสดงทัศนะเกี่ยวกับ
การผสมผสานวิธีเก็บข้อมูล เช่น Sieber Bryman, Reichardt & Rallis เป็นต้น จนกระทั่ง ค.ศ.๒๐๐๓

๑ วัลนิกา ฉลากบาง, การวิจยั แบบผสมผสาน, วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม, ปีที่ ๗ ฉบบั ที่ ๒ พฤษภาคม -
สงิ หาคม ๒๕๖๐: ๑๒๔-๑๓๐.

๒๐๒ Advanced Research Methodology on Peace
Creswell ได้เปรียบเทียบความเหมือนและความตา่ งระหว่างรูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณการวิจยั เชิงคุณภาพ
และการวิจัยแบบผสมผสาน ต่อมาใน ค.ศ.๒๐๐๕ การวิจัยแบบผสมผสานได้รับการยอมรับมากขึ้นจนมีการ
ตีพมิ พ์วารสารช่ือ Journal of Mixed Methods Research จนถงึ ปจั จุบนั

Johnson & Onwuegbuzie (๒๐๐๔) ; Brannen (๒๐๐๕) ; Creswell & Clark (2007) ;
Tashakkori & Teddlie (๒๐๐๘) และCreswell (๒๐๑๕) อธิบายตรงกันว่า การวิจัยแบบผสมผสานเปน็ การ
วิจัยที่ใช้วิธีวิทยาทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ แล้วนำ ผลการวิจัยมาสรุปร่วมกันทั้งนี้เพื่อให้ได้คำตอบท่ี
สมบรู ณ์ทีส่ ดุ สำหรบั ประเด็นในการผสมผสานนนั้ จะครอบคลุมตงั้ แต่การกำหนดปัญหาวิจยั การกำหนดวธิ ีการ
วิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การแปลความหมาย และการสรุปอ้างอิง นอกจากนี้
(Brannen, ๒๐๐๕) เสนอว่า นอกจากจะผสมผสานกนั ระหวา่ งวธิ ีเชงิ ปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพแล้ว ยงั ผสมผสาน
ขอ้ มลู ทีม่ ีลักษณะตา่ งกันและการใชผ้ ู้ศึกษาทตี่ า่ งกันอีกด้วย๒

▪ เหตุนิยมของวิจยั ผสมผสาน
๑. การมองโลกอย่างคับแคบมักจะนำ ไปสู่การปฏิบัติที่ผิดพลาด การใช้มุมมองทีแ่ ตกต่างไปจาก
เดมิ ช่วยใหเ้ ห็นภาพรวมท่ีชัดเจนย่ิงขึน้
๒. วธิ ีวิจัยตามแบบแผนวธิ ีวิธยิ าต่างมที ้ังจุดอ่อนและจดุ แขง็
๓. การวิจัยแบบผสานมปี รัชญาปฏิบัตินิยมรองรบั อยา่ งชดั เจน
๔. ปจั จบุ นั ปญั หาวิจยั ทีม่ คี วามซับซอ้ นมากขนึ้ ลกั ษณะเป็นพลวตั ร จงึ ต้องใช้วธิ ีการแกป้ ัญหาแบบ
บูรณาการ
๕. ช่วยลดทอนคา่ นิยมส่วนตวั ของผวู้ ิจยั ท่มี ผี ลต่อการเลอื กใช้วิธรี วบรวมขอ้ มูลและการแปลความ
ทำใหค้ ำตอบท่ไี ดค้ ลอบคลมุ ทส่ี ดุ ๓

▪ จุดมุ่งหมายของการวจิ ยั แบบผสมผสาน
๑. เพ่ือแก้ไขจดุ ออ่ นและเสริมจดุ แขง็ ของการวิจัยเชิงเดย่ี ว (Mono Method Research)
๒. เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในผลการวิจัยด้วยการใช้วิธีต่างๆ ในการตรวจสอบสามเส้า
(Triangulation)
๓. เพ่ือเสรมิ ความสมบูรณ์หรอื เติมเต็มประเดน็ ที่แตกตา่ งของปรากฏการณ์ทศ่ี กึ ษา
๔. เพ่ือคน้ หาประเด็นหรือข้อคน้ พบทผี่ ิดปกติ ขัดแยง้ หรือเปน็ ทัศนะใหม่
๕. เพือ่ นำผลการศกึ ษาในระยะหนึ่งไปใช้ให้เปน็ ประโยชนใ์ นอกี ระยะหนึ่งของการวิจยั
๖. เพื่อขยายงานวจิ ยั ให้มีขอบเขตกว้างขวาง ลุ่มลึกมากขน้ึ

๒ อา้ งแลว้ .
๓ วลั นิกา ฉลากบาง, การวิจัยแบบผสมผสาน, วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม ; ปีท่ี ๗ ฉบับท่ี ๒ พฤษภาคม -
สงิ หาคม ๒๕๖๐: ๑๒๔-๑๓๐.

ระเบียบวิธีวจิ ัยชั้นสงู วา่ ดว้ ยสันติภาพ ๒๐๓
๗. เพื่อใหไ้ ดข้ ้อมลู การวจิ ยั ทงั้ เชิงปรมิ าณและเชงิ คุณภาพ๔

▪ ลักษณะสำคญั ของการวจิ ัยแบบผสมผสาน
Teddlie, C. & Tashakkori, A (๒๐๐๓) ;Johnson & Christensen (๒๐๑๔) ได้สรุปลักษณะ
สำคัญของการวจิ ยั แบบผสมผสานไว้ ดงั น้ี
๑) ใช้วิธีเกบ็ รวบรวมและวธิ ีวเิ คราะหข์ อ้ มูล ท้ังเชิงปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพเพื่อตอบคำถามวิจัย
๒) รวมหรือผสมผสานข้อมูลทง้ั เชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพ
๓) ใชแ้ นวคดิ เชิงปรัชญาหรือกระบวนทัศนห์ ลากหลาย ร่วมกัน (Paradigm Pluralism)
๔) เน้นความหลากหลายในทุกระดับของกระบวนการวจิ ยั
๕) ยดึ คำถามหรือปญั หาวิจัยเปน็ หลกั ในการกำหนด วธิ ีการทจ่ี ะนำมาใช้ในการศึกษา
๖) ใชว้ ธิ ีรวบรวมขอ้ มูลหลายๆ วธิ ี เพ่ือเสริมซง่ึ กัน และกัน๕

๗.๑.๒ แบบแผนการวิจัยผสมผสานวิธี

ทง้ั น้ี แบบแผนการวิจยั แบบผสมผสานวิธไี ด้รับการพัฒนามาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งเพอื่ ใหเ้ หมาะกบั ยุคสมยั
โดยแนวคดิ ของ Creswell และคณะ (๒๐๑๑) ได้เสนอแบบแผนของการวจิ ยั แบบผสมผสานวิธีไว้ถงึ ๑๒ แบบ
ทั้งแบบแผนที่ทำการวิจัยระยะเดียวที่เรียกว่า แบบแผนคู่ขนาน (Concurrent or Simultaneous Design)
แบบแผนที่ทำการวิจัยสองระยะที่เรียกว่า แบบแผนลำดับขั้น (Sequential Design) และแบบแผนที่ทำวิจัย
มากกว่าสองระยะที่เรียกว่า แบบหลายระยะ (Multiphase or Multi-sequenced Design) แบบแผนที่ให้
ความสำคญั กับวธิ ีวิจัยเชงิ ปริมาณและเชงิ คุณภาพอยา่ งเทา่ เทยี มกัน (Equivalent Status Design) แบบแผนที่
ใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งเป็นวิธีการหลักและอีกวิธีการหนึ่งเป็นรอง (ไม่เท่าเทียมกัน) ( Dominant – less
Dominant Design) และแบบแผนรองรับภายใน (Embedded Design) ต่อมาหลังจากปี ๒๐๑๕ แบบแผนนี้
ได้ถูกพัฒนาเพื่อใหง้ า่ ยแก่การทำความเขา้ ใจและลดทอนสัญลกั ษณส์ ่ือในโมเดลแบบแผนการวิจยั

กันต์ฤทัย คลังพหล ได้สรุปถึงพัฒนาการวิธีวิจัยแบบผสมผสาน Creswell & Plano Clark
(๒๐๑๘) ได้นำเสนอแบบแผนการวิจัยแบบผสมผสานวิธี ไว้ ๗ รูปแบบ โดยมี ๓ แบบแรกเป็นวิธหี ลักซ่งึ เป็น
แบบผสมวธิ ีพนื้ ฐาน และ ๔ แบบหลัง เปน็ แบบผสมวิธขี นั้ สูง๖

๔ Creswell &Clark (2007) ; Creswell (2015) อ้างใน วัลนิกา ฉลากบาง, การวิจัยแบบผสมผสาน, วารสาร
มหาวิทยาลยั นครพนม ; ปีท่ี ๗ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๖๐: ๑๒๔-๑๓๐.

๕ Teddlie, C. & Tashakkori, A (2003) ;Johnson & Christensen (2014), อา้ งใน วัลนกิ า ฉลากบาง, การ
วิจัยแบบผสมผสาน, วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม, ๒๕๖๐.

๖ กันต์ฤทัย คลังพหล, การวิจัยแบบผสมวิธ,ี วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ วไลยอลงกรณ์ ใน
พระบรมราชปู ถัมภ์, ปที ี่ ๑๔ ฉบบั ท่ี ๑ มกราคม – เมษายน ๒๕๖๓: ๒๓๕-๒๕๖.

๒๐๔ Advanced Research Methodology on Peace
▪ แบบแผนผสมวิธีหลัก (Core Mixed Method) ไดแ้ ก่
๑) แบบแผนแบบคู่ขนาน (A Convergent Design) ใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงคุณภาพ

และเชิงปริมาณโดยวิเคราะห์ข้อมูลทั้งสองชุดพร้อมกันหรือเปน็ การเก็บขอ้ มลู ที่ไม่ได้มีลาดบั ว่าวธิ ีการใดเกบ็
ก่อนเก็บหลัง และผสานผลของการวิเคราะห์ที่ได้จากข้อมูลทั้งสองชุดเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ กล่าวคือ เป็น
การตรวจสอบผลการวิจัยโดยเปรียบเทียบข้อมูลชุดหนึ่งที่เป็นข้อมูลเชิงปริมาณกบั อีกชุดหนึง่ ที่เป็นข้อมลู เชงิ
คณุ ภาพ

ขั้นตอนของแบบแผนการวจิ ยั แบบคขู่ นานมี ดังน้ี
๑) ออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากวัตถุประสงค์การวิจัยและออกแบบวิธีการ
รวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มลู เชงิ ปริมาณและเชิงคณุ ภาพโดยทำการแยกกนั ในแต่ละวิธี
๒) วเิ คราะหข์ อ้ มลู เชิงปริมาณและวิเคราะห์เชิงคณุ ภาพตามบรบิ ทของงานวิจยั
๓) นำข้อมูลทั้งสองที่ได้จากทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมารวมผล (merge) หลังจากที่มีการ
วิเคราะหข์ ้อมูลเชิงปริมาณและเชงิ คุณภาพแยกกนั ซึ่งสามารถทำได้หลายวธิ ี เชน่ การตีความหรือข้อสรุปที่ดึง
มาจากฐานข้อมูลทั้งสอง แล้วนำเอาผลมาการอภิปรายรว่ มกัน การเปรียบเทียบผลลัพธ์จากฐานขอ้ มูลทั้งสอง
โดยการแสดงการเปรียบเทียบแบบเคียงขา้ งกัน หรืออกี วธิ หี นึ่งคือการแปลงขอ้ มูล เพอื่ แปลงฐานขอ้ มูลแบบใด
แบบหนึ่งให้เป็นรูปแบบอื่นที่สามารถเปรียบเทียบได้ง่าย ตัวอย่างเช่น จำนวนอาจจะทำจากจำนวนครั้งที่
รูปแบบต่าง ๆ ที่ปรากฏในขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ากการวเิ คราะหเ์ ชงิ คุณภาพ และค่าตัวเลขเหล่านี้สามารถแสดงตัวแปร
ใหม่ที่ปอ้ นลงในฐานข้อมูลเชงิ ปริมาณ และอีกวิธี คือ พัฒนาการแสดงผลร่วมที่จัดเรยี งผลลัพธเ์ ชิงปรมิ าณใน
รปู แบบตารางหรือกราฟ
๔) แปลผลที่เกิดขึ้นจากการนาข้อมูลทั้งสองที่ได้จากทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมารวมผล
(merge) หลังจากที่มีการรวมผลลัพธ์แล้ว ให้ตรวจสอบว่าขอบเขตอะไรของผลเชิงปริมาณท่ีได้รับ การยืนยนั
โดยผลเชิงคุณภาพ (หรือกลบั กัน) ถา้ แตกต่างกนั ให้อธิบายวา่ เหตใุ ดความแตกต่างเหล่านี้ จึงเกดิ ข้ึน
แบบแผนแบบคูข่ นานเป็นแบบแผนท่ีนิยมมากทีส่ ุดที่นักวจิ ัยส่วนใหญ่เลือกใช้ เนื่องจากสามารถ
เก็บขอ้ มูลทง้ั เชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพได้ในระยะเดยี วกัน สามารถเปรียบขอ้ มูลทง้ั สองอย่างได้โดยตรง เช่น
ข้อคดิ เห็นเชงิ คุณภาพกับผลจากการรายงานแนวโนม้ ทางสถิติ
ภาพท่ี ๗.๑ แสดงแบบแผนแบบคู่ขนาน

เกบ็ ข้อมูลและวเิ คราะหข์ อ้ มูล รวมผลและ สรุป
เชิงปรมิ าณ เปรียบเทียบ ผลการวจิ ยั

เก็บขอ้ มลู และวิเคราะหข์ ้อมลู
เชิงคุณภาพ

ระเบียบวธิ วี ิจยั ช้ันสูงวา่ ด้วยสนั ตภิ าพ ๒๐๕
๒) แบบแผนแบบขั้นตอนเชิงอธิบาย (An Explanatory Sequential Design) ใช้วธิ เี ชงิ ปริมาณ
ก่อนแล้วตามด้วยวิธีเชงิ คุณภาพแล้วนำผลเชงิ คณุ ภาพมาอธบิ ายผลของเชิงปรมิ าณในเชงิ ลกึ เป็นวิธีที่ง่ายในการ
ออกแบบ แบบแผนที่เริ่มต้นศึกษาปัญหาโดยเริ่มจากวิธีการเชิงปริมาณ แล้วจึงดำเนินการวิจัยด้วยวิธีเชิง
คณุ ภาพ การดำเนินการของวิธเี ชิงคุณภาพเป็นสิง่ ทีจ่ ะอธิบายผลการวิจัยท่ีได้จากเชงิ ปริมาณ เช่น ผลการวิจัย
ของเชงิ ปรมิ าณท่ีมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิ ช่วงของความเชื่อมน่ั วิธีการเชิงคุณภาพจะเป็นสง่ิ ท่ีสนบั สนนุ ผลการวิจัย
ของวธิ กี ารเชิงปริมาณ การออกแบบนีจ้ งึ ใช้ชอ่ื ว่าแบบแผนแบบขั้นตอนเชิงอธิบาย กล่าวว่าแม้ว่าในอดีตท่ีผ่าน
มาจะมีการใช้วธิ ีการเชิงคุณภาพหรือปริมาณที่ขึ้นก่อนแต่ในปจั จบุ ันแบบแผนนี้จะใช้เชิงปริมาณในระยะที่ ๑
ก่อน และนำผลทีไ่ ด้จากเชิงคณุ ภาพมาอธบิ ายเชิงลึกในระยะท่ี ๒

ข้นั ตอนของแบบแผนการวจิ ัยแบบแผนแบบขัน้ ตอนเชงิ อธิบาย มี ดังนี้
๑. ออกแบบเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลในระยะแรกด้วยวิธีการเชิงปริมาณโดยใช้สถิตเชิง
บรรยาย สถิตเิ ชิงอา้ งอิง หรอื คา่ ขนาดอิทธิพล เพ่อื ตอบคาถามการวจิ ัยเชงิ ปริมาณ
๒. ตรวจสอบผลของการวิเคราะห์วธิ ีการเชิงปรมิ าณที่จากขัน้ ตอนแรก และกำหนดกลุ่มตัวอย่าง
และขอบข่ายการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากที่ที่จะสำรวจต่อไปในระยะที่ ๒ ซึ่งคำถามวิจัยจะต้อง
สอดคลอ้ งเชือ่ มโยงกบั ผลการวจิ ยั ที่ไดใ้ นระยะท่ี ๑
๓. ออกแบบและดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีเชงิ คุณภาพ ในระยะที่ ๒ น้ี
จะช่วยอธบิ ายผลของวิธีการเชิงปริมาณและเพื่อตอบคำถามการวจิ ัยแบบผสมวธิ ี
๔. สรุปผลการวจิ ัยและเช่ือมโยงผลการวจิ ัยของเชิงปริมาณกับเชิงคุณภาพ ดังนี้ สรุปผลการวจิ ัย
และตคี วามผลการวิจยั เชิงปริมาณ สรปุ ผลการวิจยั และตคี วามผลการวิจยั เชิงคณุ ภาพ และ อภิปรายถงึ ผลท่ีได้
จากวิธีการเชิงคณุ ภาพทไ่ี ปอธิบายผลของข้อมลู เชิงปริมาณได้อยา่ งไร
จดุ แข็งของแบบแผนนี้ คือ ๒ ระยะทีถ่ กู เก็บรวบรวมข้อมูลข้นึ มคี วามแตกตา่ งกนั อย่างชดั เจนและ
ง่ายในการการออกแบบ แบบแผนนเ้ี ป็นที่นิยมของนกั วจิ ยั และนักศึกษาทีท่ ำวจิ ยั เพอื่ สำเร็จการศกึ ษา และเป็น
ท่นี ิยมของนักวิจยั ท่เี ช่ยี วชาญวธิ ีเชงิ ปริมาณเนือ่ งจากการศึกษาในระยะเรม่ิ ตน้ นีใ้ ช้วธิ เี ชิงปริมาณในระยะแรก

ภาพที่ ๗.๒ แสดงแบบแผนขน้ั ตอนเชงิ อธบิ าย

เก็บขอ้ มูลและ ผลการวิจยั ที่ได้ เก็บขอ้ มลู และ สรุป
วเิ คราะหข์ ้อมูล จากระยะท่ี ๑ วิเคราะห์ขอ้ มูลเชิง ผลการวิจยั
เชงิ ปริมาณ ไปอธิบายต่อ
คณุ ภาพ

ระยะที่ ๑ ระยะท่ี ๒

๓) แบบแผนแบบขั้นตอนเชิงสำรวจ (An Exploratory Sequential Design) ขั้นตอนแรก คือ
การสำรวจปญั หาดว้ ยวิธีการเชงิ คณุ ภาพเพอื่ ทำความเขา้ ใจกับปัญหา เพราะบางปัญหาผวู้ ิจัยอาจจะยงั ไม่ทราบ
ประชากรทตี่ อ้ งการศึกษายากท่ีจะเข้าถึง และหลงั จากที่สำรวจสง่ิ ท่ีจาเป็นของปัญหาแลว้ นกั วิจัยใช้วิธีการเชิง

๒๐๖ Advanced Research Methodology on Peace
คณุ ภาพเพือ่ สร้างงานในระยะทสี่ องท่เี ปน็ การศกึ ษาเชิงปรมิ าณ ซ่งึ เก่ียวกบั การออกแบบสร้างเคร่ืองมือการวัด
ตัวแปรเพื่อนำมาพัฒนาการทดลอง หรือ การออกแบบตา่ ง ๆ ในการวิจยั และในระยะที่สามเครอื่ งมือการวิจัย
เชงิ ปรมิ าณ หรือ การทดลอง หรอื ตวั แปร จะถูกนำมาใช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เชงิ ปริมาณและกระบวนการ
วิเคราะห์ข้อมลู แบบแผนนี้จึงมี ๓ ระยะคือ ระยะที่ ๑ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ระยะที่ ๒ เป็นการวิจัยเชิง
ปริมาณเพ่อื สรา้ งเครื่องมอื หรือสง่ิ ทดลอง และระยะที่ ๓ เปน็ การวิจัยเชิงปริมาณเพื่อศึกษาผลตามวัตถปุ ระสงค์
ของการวจิ ัย

ข้ันตอนของแบบแผนการวิจยั แบบแผนแบบข้ันตอนเชงิ สำรวจ มี ดังน้ี
๑. ออกแบบเกบ็ รวบรวมและวเิ คราะห์ข้อมลู เชิงคณุ ภาพ

๒. ใช้วิธีการ ออกแบบทดลองการเก็บรวบรวมข้อมูลการวัดเคร่ืองมือเชิงปริมาณโดยขึ้นจาก
ผลการวจิ ยั ท่ไี ด้จากข้อมูลเชิงคุณภาพ แนวคดิ ซึง่ เป็นองค์ประกอบเชงิ ปริมาณใหม่น้ีช่วยปรับปรุงสิ่งท่ีมีอยู่แล้ว
(เครอื่ งมือทมี่ อี ย่)ู เพราะผลเกดิ จากประสบการณจ์ ริงจากกล่มุ ตวั อย่าง

๓. ออกแบบและดำเนินการวิธีการเชิงปริมาณ โดยกำหนดวัตถุประสงค์และสมมติฐานการวิจยั
เลอื กกล่มุ ตวั อย่าง รวบรวมขอ้ มูล และวเิ คราะหข์ ้อมูล กรณีเปน็ การสร้างเคร่ืองมือจะถูกทดสอบเพื่อหาความ
ตรงและความเช่ือม่ัน

๔. สรุปผลการวจิ ัยและเช่ือมโยงผลการวิจัยของเชิงปรมิ าณกับเชิงคุณภาพ ดังนี้ สรุปผลการวจิ ัย
และตีความผลการวิจัยเชิงคุณภาพ สรุปผลการวิจัยและตีความผลการวิจัยเชิงปริมาณ และ อภิปรายถึงผลที่
ขยายความ และวิธีการของผลการวิจัยเชิงปริมาณที่ได้จากวิธีการเชิงคุณภาพที่ไปอธิบายผลของข้อมูลเชิง
ปรมิ าณได้อยา่ งไร อภปิ รายเกย่ี วกับขอบเขตและวธิ กี ารของผลสรุปท่ไี ด้จากเชิงปรมิ าณหรอื ทดสอบผลทีไ่ ดจ้ าก
เชงิ คุณภาพ

ข้อดขี องแบบแผนการวจิ ยั น้ี คือ แยกวิธีการชัดเจนในแตล่ ะระยะ และถึงแม้วา่ แบบแผนนจ้ี ะเนน้ ที่
ผลการวจิ ัยเชิงคุณภาพเปน็ หลักแต่ได้นำองค์ประกอบที่สำคัญมาสร้างเป็นเครื่องมือเชิงปริมาณที่ไม่ได้เกิดจาก
ความลำเอียงจากวิธีใดวิธีหนึ่ง แบบแผนนี้ยังทำให้นักวิจัยสามารถสร้างเครื่องมือวิจัย ตัวแปร กิจกรรม
เครอ่ื งมอื ทางดิจทิ อล ได้อย่างหลากหลาย

ระเบยี บวิธวี ิจยั ช้ันสงู วา่ ด้วยสันติภาพ ๒๐๗

ภาพท่ี ๗.๓ แสดงแบบแผนขน้ั ตอนเชิงสำรวจ

เก็บขอ้ มูลและ ผลการวิจัยท่ีได้ การวดั เชงิ ปรมิ าณ, ทดสอบ
วเิ คราะห์ข้อมูล จากระยะท่ี ๑ เคร่ืองมือการทดลอง หรอื
เชิงคณุ ภาพ ,แอพลิเคช่ัน หรอื นำไปใช้
ไปสร้าง
เครอ่ื งมอื เวปไวต์

ระยะที่ ๑ ระยะท่ี ๒

ระยะท่ี ๓ เกบ็ ข้อมูลและ
วิเคราะหข์ ้อมูล
เชิงปรมิ าณ

สรุป
ผลการวิจยั

▪ แบบแผนผสมวธิ ีข้นั สูง (Advance Mixed Method)
๔) แบบแผนเชิงทดลอง (Experimental Design or Intervention Design) โดยนักวิจัยจะใช้
แ บ บ Convergent Design, Explanatory Sequential Design ห ร ื อ Exploratory Sequential Design
ภายในของกรอบวิจัยแบบแผนเชิงทดลองผสมวิธีที่มีแบบแผนที่ใหญ่กว่า ซึ่งเป็นการออกแบบทีง่ า่ ย ในการท่ี
นกั วจิ ยั จะทำการเกบ็ รวบรวมข้อมลู และสำรวจขอ้ มลู เชิงคุณภาพในระหว่างการทดลอง หรอื ก่อนการทดลอง
และหลังการทดลอง ซึ่งข้อมูลเชงิ คุณภาพที่ได้จะถูกนำไปใช้ในการทดลอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถปุ ระสงค์ในการ
ทดลอง ซึง่ เดมิ แบบแผนนม้ี กี ารปรบั ปรงุ มาจากแบบแผนรองรบั ภายใน (Embedded design) ถ้าเพิม่ ข้อมูลเชงิ
คุณภาพก่อนเริ่มการทดลอง จะมีลักษณะเป็นแบบแผนขั้นตอนเชิงสำรวจ (Exploratory Sequential Basic
Design) หากเพ่ิมข้อมูลเชิงคณุ ภาพระหว่างทำการทดลอง เพื่อดูวา่ จะเกิดผลอย่างไรกับกลุ่มตัวอย่างเรียกวา่
เป็นการทดลองแบบคขู่ นาน (Convergent) เพราะข้อมลู เชิงคณุ ภาพกบั ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณมผี ลพรอ้ มกันในการ
การทดลอง หากเพิ่มข้อมูลเชิงคุณภาพหลังจากทำการทดลอง เพื่อติดตามผลที่เกิดขึ้นและช่วยอธิบาย
รายละเอยี ดทีต่ วั เลขเชิงสถติ อิ ธิบายไมไ่ ด้ จะเรยี กวา่ เป็นการทดลองแบบแผนขน้ั ตอนเชิงอธบิ าย (Explanatory
Sequential Design) ทซ่ี ้อนอยู่กบั แบบแทรกแซง (Intervention Design)

ข้ันตอนแบบแผนนของการทำการทดลอง คือ
๑. ตัดสินว่า จะใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพเข้าแทรกแซงในการทดลองหลักอย่างไร หากเพิ่มก่อนการ
ทดลองจะมลี ักษณะเป็นแบบแผนขนั้ ตอนเชิงสำรวจ (Exploratory Sequential Design) หากเพ่มิ ระหวา่ งการ

๒๐๘ Advanced Research Methodology on Peace
ทดลองจะมีลักษณะเป็นแบบแผนคู่ขนาน (Convergent) หรือหากเพิ่มภายหลังการทดลองจะมีลักษณะเปน็
แบบแผนข้ันตอนเชงิ อธิบาย (Explanatory)

๒. จากนั้นทำการทดลอง โดยแบง่ กลุ่มควบคมุ และกลุ่มทดลอง ทำการทดสอบกอ่ น และหลงั เกบ็
ขอ้ มลู แล้ววัดวา่ ตวั แปรต้น (Treatment) เกิดผลอย่างไร

๓. วิเคราะห์ผลเชิงคุณภาพ พิจารณาว่าการคน้ พบเชิงคุณภาพช่วยเพิ่มประสิทธภิ าพการทดลอง
อยา่ งไร ผลเชงิ คณุ ภาพทำใหก้ ารทดลองทาให้เกดิ ผลการทดลองในด้านใด ในการทดลองประเภทน้ี ผู้วจิ ยั ตอ้ งมี
ความร้เู กย่ี วกบั หลกั การทดลองหลัก อีกทั้งยงั ตอ้ งตดั สินใจวา่ จะเก็บขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพในลำดบั ขนั้ ใด หรือต้อง
เกบ็ มากกว่าหนึง่ คร้ังหรือไม่

สงิ่ ทีพ่ งึ ระวังคือ หากเพ่ิมข้อมลู เชงิ คณุ ภาพระหว่างการทดลอง นักวิจยั มักใส่ใจติดตามอยา่ งใกล้ชดิ
ทำให้ข้อมลู เชงิ คุณภาพนัน้ ไมส่ ่งผลลัพธแ์ บบท่คี วรจะเปน็

ภาพท่ี ๗.๔ แบบแผนการทดลองผสมวธิ ี

เกบ็ ขอ้ มูลและวิเคราะหข์ อ้ มูลเชงิ ปริมาณ สรุป
ผลการวจิ ัย
เก็บขอ้ มลู และวิเคราะห์ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพ (ก่อนการ
ทดลอง, ระหว่างการทดลอง, หรือ หลงั การทดลอง

๕) แบบแผนการศึกษากรณี (Case Study Design) เป็นแบบแผนที่นำแบบแผนผสมวิธีหลัก
(Convergent Design, Explanatory Sequential Design หรือ Exploratory Sequential Design มาใช้ใน
กรอบการวจิ ยั ของการศึกษารายกรณแี บบเด่ียว หรือ การศึกษาพหกุ รณี โดยเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู วเิ คราะห์ขอ้ มูล
ทั้งขอ้ มูลเชิงปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพและนำข้อมูลทั้งสองอย่างมาสรุปรวมกนั ในแต่ละกรณี และนำขอ้ สรุปแต่
ละกรณมี าเปรยี บเทยี บกนั เจตนาของแบบแผนน้ี คือการวเิ คราะห์ของกรณหี รอื หลายกรณีผา่ นการใชข้ อ้ มูลเชงิ
ปริมาณและเชิงคุณภาพโดยหาคำอธิบายที่เพิ่มขึ้น และ ผู้วิจัยมักระบุกรณีหรือกรณีที่น่าสนใจเมื่อเริ่มต้น
การศึกษา นักวิจัยต้องใช้ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเพื่ออธิบายกรณีหรือเปรียบเทียบกรณีที่ดที ่สี ุด
นักวิจัยต้องมีความเชี่ยวชาญในกระบวนการกรณีศกึ ษาเชิงคุณภาพ และมีความเข้าใจและเปรียบเทียบความ
ซับซ้อนภายในและระหว่างกรณีโดยใช้ข้อมูลวิธีการแบบผสม สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อสนบั สนุนการพัฒนา
รูปแบบท่ีหลากหลายของสถานการณท์ ่แี ตกตา่ งกันเพ่อื แสดงให้เหน็ ถึงความหลากหลายของความเปน็ ไปไดข้ อง
แต่ละกรณีเพื่อช่วยให้เข้าใจปญั หาการวิจัย แบบแผนนี้มีขั้นตอนคล้ายกับแบบแผนแบบคู่ขนาน จุดแข็งของ
แบบแผนน้ี คือ การพฒั นาในเชิงลึก เข้าใจในทางปฏบิ ตั ิและสรปุ ส่งิ ท่ีเฉพาะเจาะจงและถ่ายโอนได้ มปี ระโยชน์
สาหรับการทาความเขา้ ใจความซับซอ้ นของกรณี

ระเบียบวิธีวิจยั ชั้นสูงวา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๒๐๙

ภาพที่ ๗.๕ แบบแผนการศึกษากรณี

เกบ็ ข้อมลู และ รวมขอ้ มูล เกบ็ ข้อมลู และ
วเิ คราะห์ข้อมลู สรปุ ผล วเิ คราะหข์ อ้ มูล
เชงิ ปริมาณ เชงิ คณุ ภาพ
กรณีท่ี ๒
กรณีที่ ๑ กรณีที่ ๓
เปรียบเทียบแต่ละกรณี

๖) แบบแผนความยุติธรรมทางสังคม หรือ แบบแผนแบบปฏิรูป (Social Justice or
Transformative Designs) หรือ แบบแผนการมีส่วนร่วม-ความยุติธรรมทางสังคม (Participatory-Social
Designs) แบบแผนนี้จะมีเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมและความยุติธรรมทางสังคมเป็นหลักและแวดล้อมด้วย
แบบแผนพื้นฐาน Convergent Design, Explanatory Sequential Design หรือ Exploratory Sequential
Design แต่จะมจี ดุ เนน้ ทค่ี วามเป็นอยู่ของบุคคลในสังคมปัจจบุ ัน เช่น งานวจิ ยั เกยี่ วกบั การสิทธิสตรีทางสังคม
และการผสานหรือรวมขอ้ มูลจะเกยี่ วข้องกบั การดำเนินชวี ติ ของมนษุ ย์ แบบแผนนน้ี ับวา่ มีความซบั ซ้อนมากกวา่
แบบแผนอืน่ ตัวอยา่ งขั้นตอนแผนความยตุ ธิ รรมทางสังคม

ภาพท่ี ๗.๖ ตัวอย่างขั้นตอนของแบบแผนความยุตธิ รรมทางสงั คม

มมุ มองทางเพศ

ประสบการณ์สตรี มมุ มองทฤษฎี สทิ ธิสตรี เรียกรอ้ งให้ดำเนนิ การหรอื
เกีย่ วกับเพศ
เปล่ยี นแปลง
สาระสำคญั เกย่ี วกบั มารดา

ปญั หาการ การสำรวจ การสำรวจและ
วิจยั และการเกบ็ การวเิ คราะห์
รวบรวม
ข้อมลู
ข้อมูล

ผลของขอ้ มลู สมั ภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูล ผลท่ีได้จาก
เชิงปริมาณ จากสตรี เชงิ คุณภาพ ข้อมลู เชิง
มุ่งเน้นไปท่ี คณุ ภาพนำไป
ประสบการณ์ สนบั สนุนขอ้ มลู
เชงิ ปริมาณ
สตรี

๒๑๐ Advanced Research Methodology on Peace
๗) แบบแผนการประเมินหลายขั้นตอน (Multistage Evaluation Design) หรือ แบบแผนการ

ประเมนิ (Evaluation Design) หรอื แบบแผนการประเมนิ โปรแกรม (Program Evaluation Design) เป็นแบบ
แผนทเ่ี หมาะสาหรับการศกึ ษาทย่ี าวนานหรือโครงการทมี่ ีหลายข้ันตอน ใช้การเสาะแสวงหาท่ียาวนานจงึ ต้องใช้
การออกแบบผสมวิธีท่หี ลากหลาย และมีการแยกการศึกษาท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบผสมวิธี
พื้นฐาน Convergent Design, Explanatory Sequential Design หรือ Exploratory Sequential Design
ขั้นแรกของการออกแบบอันนี้ใช้กับการประเมินโครงการ โปรแกรม หรือประเมินเครื่องมือ ขั้นตอนมีหลาย
ระยะในการวจิ ัย ตงั้ แตก่ รอบการวจิ ยั ท้งั นี้ทางการศึกษาจะเก่ียวข้องการประเมนิ โปรแกรม การประเมินความ
ต้องการ การทดสอบโปรแกรม การติดตามโปรแกรม ในกรณีนี้การรวมข้อมูลจะอยู่ในขั้นแรกไปจนขั้นตอน
สุดท้าย จุดแข็งของแบบแผนนี้ คือ การออกแบบการประเมินผลประกอบด้วยความยืดหยุ่นท่ีจาเป็นในการใช้
องค์ประกอบการออกแบบวิธีการผสมที่จาเป็นต้องใช้เพื่อตอบคาถามชุดการวิจัยที่เชื่อมโยงถึงกัน นักวิจัย
สามารถเผยแพร่ผลการวิจัยจากการศึกษาของแต่ละบุคคลและในขณะเดียวกันก็ยังประเมินผลโดยรวมของ
โครงการวจิ ัย นกั วิจยั สามารถใช้การออกแบบนีเ้ พอ่ื ให้กาหนดกรอบการทางานโดยรวม สำหรับจดุ แข็งของแบบ
แผนนี้ คอื การออกแบบการประเมนิ ผลประกอบด้วยความยดื หยุน่ ทจี่ าเปน็ ในการใช้องคป์ ระกอบการออกแบบ
วิธกี ารผสมทจ่ี ำเปน็ ตอ้ งใชเ้ พือ่ ตอบคำถามชดุ การวจิ ยั ท่เี ชอ่ื มโยงถึงกัน นกั วจิ ัยสามารถเผยแพรผ่ ลการวจิ ัยจาก
การศึกษาของแตล่ ะบุคคลและในขณะเดยี วกันก็ยงั ประเมนิ ผลโดยรวมของโครงการวจิ ัย นกั วจิ ยั สามารถใช้การ
ออกแบบน้ีเพือ่ ใหก้ ำหนดกรอบการทำงานโดยรวม

ขนั้ ตอนการวิจัยของแบบแผนการประเมนิ แบบหลายข้นั ตอน
๑) ระบุความต้องการจำเป็นของโปรแกรมที่ต้องการจะประเมินและกำหนดสมาชิกในทีมที่จะ
ดำเนนิ การ
๒) พิจารณาเลือกแบบแผนหลักผสมวิธี จากตัวอย่างในภาพนี้ ใช้แบบแผนขั้นตอนเชิงสำรวจ
(exploratory sequential design)
๓) กาหนดขั้นตอนการประเมนิ ผล สิง่ ที่จำเป็น คือ กรอบแนวคิดทฤษฎี คุณลักษณะของการวดั
และเครื่องมือ การทดสอบโปรแกรมและเครอื่ งมือ การตดิ ตามและการทดสอบการใชโ้ ปรแกรม
๔) กาหนดวา่ ในแต่ระยะใชว้ ิธกี ารเชิงคุณภาพ/เชงิ ปรมิ าณ ในการประเมิน
๕) สรา้ งวธิ กี ารประเมินและทบทวนโปรแกรมและเคร่ืองมอื ท่จี าเป็นจากการประเมนิ

ระเบยี บวิธวี ิจัยช้ันสูงวา่ ด้วยสันตภิ าพ ๒๑๑
ภาพท่ี ๗.๗ แบบแผนการประเมนิ แบบหลายขั้นตอน

การประเมินความตอ้ งการจำเป็น กำหนดกรอบแนวคดิ ทฤษฎี การพัฒนาเครื่องมอื
Needs Assessment Theory Conceptualization Instrument and
ขัน้ ตอนเชิงคณุ ภาพ Specific to Setting Measures Development
Qualitative Stage Quantitative Stage ขนั้ ตอนเชิงปริมาณ
ขั้นตอนเชิงปริมาณ Qualitative Stage
สมั ภาษณ์ Interviews
สงั เกต Observations ทบทวนวรรณกรรม การวัดลักษณะเฉพาะ
เอกสาร Documents Literature Review Specify Measures

การพัฒนาเครื่องมอื
Develop Instruments

โปรแกรมตดิ ตามผลและการ การทดสอบโปรแกรมหรือเคร่อื งมือ
กลั่นกรอง Program Implementation and
Program Follow-Up and Test
Refinement ขัน้ ตอนเชงิ ปรมิ าณ
ข้นั ตอนเชงิ คุณภาพ Quantitative Stage
Qualitative Stage
การทดลองExperimental
สมั ภาษณ์ Interviews Intervention
สังเกต Observations
เอกสาร Documents Based การทดสอบโปรแกรมที่ขึ้นอยกู่ ับ
On Quantitative Measures การวัดเชิงปริมาณ Test Program
Based On Quantitative
Measures

๗.๑.๓ ขอ้ ดแี ละข้อจำกัดของการวจิ ยั แบบผสมผสาน
ข้อดี
๑. ทำให้สามารถตอบคำถามวิจัยได้อย่างชัดเจนและครอบคลุม ซึ่งวิธีเชิงปริมาณหรือวิธีเชิง
คุณภาพอยา่ งเดยี วไม่สามารถตอบได้
๒. ทำใหไ้ ดผ้ ลการวิจยั ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความรู้ ความเขา้ ใจในประเดน็ ท่ศี กึ ษาอยา่ งลุ่มลกึ และกว้างขวาง
๓. ทำใหน้ ักวิจัยมีโลกทศั น์ทางวชิ าการกว้างขวางสอดคล้องกับความเป็นจริงของสงั คม หรอื เรือ่ งที่
ศกึ ษามากกว่าการยึดม่นั กบั โลกทศั นเ์ ชงิ ปริมาณหรือเชิงคณุ ภาพเพยี งอยา่ งเดยี ว
๔. ทำใหน้ ักวจิ ัยตั้งคำถามวจิ ัยและความมุ่งหมายของการวิจัยได้หลากหลายและสามารถใชว้ ิธีเก็บ
ขอ้ มูลอย่างหลากหลายในการหาคำตอบ
๕. การใช้กลยุทธ์การวิจัยที่หลากหลายจะช่วยเพิ่มความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง ( Construct
Validity) และถอื เปน็ การตรวจสอบสามเสา้ ดา้ นวิธวี ทิ ยา (Methodological Triangulation)
ข้อจำกัด
๑. มคี วามย่งุ ยากในการดำเนนิ การวจิ ัยโดยเฉพาะกรณที ่ีนกั วิจยั ได้รบั การฝกึ มาเฉพาะการทำวิจัย
เชงิ ปริมาณหรอื เชงิ คณุ ภาพเพยี งดา้ นเดียว

๒๑๒ Advanced Research Methodology on Peace
๒. สิน้ เปลืองทรพั ยากร งบประมาณ และระยะเวลาในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มลู
๓. หากผลการวจิ ยั มคี วามขดั แย้งกันจะเกิดความยากในการสรปุ เพอ่ื สร้างความเขา้ ใจกบั ผูอ้ ่าน

และการนำไปใช้
๔. นักวจิ ยั ตอ้ งมคี วามร้แู ละประสบการณ์การทำวิจยั ทั้งเชงิ ปริมาณและเชงิ คุณภาพ
๕. อาจใช้การวิจยั แบบผสมผสานแบบผิดๆ ตามความนิยม เช่น เก็บขอ้ มลู ดว้ ยการสมั ภาษณแ์ บบ

ผิวเผินหรอื สมุ่ กลมุ่ ตวั อยา่ งโดยไมพ่ จิ ารณาหลกั เกณฑท์ เี่ หมาะสม๗

๗.๒ การวจิ ัยพัฒนา (R&D)

ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนา หรือ คุ้นชินในชื่อว่างานวจิ ัย R & D (Research & Development)
ซ่งึ นบั วา่ เปน็ รปู แบบการวจิ ัยที่นอกจากมุ่งเนน้ ให้เกิดผลลัพธต์ ามวัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั แล้ว ยงั มีจดุ เน้นหลักคือ
การสรา้ งนวัตกรรมท่ีเกิดจากการทำวิจัย รวมถงึ ผลกระทบที่เกิดขน้ึ ตอ่ สงั คม ชุมชน อันเนอ่ื งจากผลการวิจัยนี้
ไดร้ บั การพฒั นาและเผยแพร่ สำหรบั งานดา้ นสันติภาพในระดบั ปริญญาเอกระยะหลังไดน้ ำแนวคดิ การวจิ ัยและ
พัฒนามาใช้ในการออกแบบการวิจัยดุษฎีนิพนธ์ในประเด็นของการสร้างนวัตกรรมความรู้ทเี ปน็ แบบแผนของ
การอบรมอยู่ใหเ้ ห็นหลายชิน้ งาน อย่างไรกต็ ามเพื่อให้ผูศ้ ึกษาไดท้ ราบและเข้าใจถึงแกน่ ของงานวจิ ัยและพัฒนา
ผ้เู ขียนไดน้ ำประสบการณใ์ นการเปน็ วิทยากรบรรยายแม่ไก่ และผ่านการรบั รองจากสถาบนั วิจัยแหง่ ชาติ (วช.)
ในหมวดการวิจัยและพัฒนา และการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม มาถ่ายทอดในงานเขียนนี้ โดยมี
รายละเอยี ด ดงั น้ี๘

๗.๒.๑ ความหมายและความเปน็ มาของการวิจัยและพฒั นา
การวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) มีประวัติความเป็นมาและ
วิวัฒนาการอย่างยาวนานในการสร้างนวัตกรรม (Innovation) และประดิษฐกรรม (invention) ทางด้าน
วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมและธุรกจิ ของโลกตะวนั ตก ทำให้เกดิ ผลผลิตสำคัญของโลกมากมายที่มีบทบาทตอ่
ความคิดและการเปลย่ี นแปลงชวี ิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ ตลอดจนส่งผลกระทบต่อการเปลีย่ นแปลงโลกอย่าง
ต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบนั เช่น การค้นพบวัคซนี การประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า การพัฒนาเคร่ืองจักรสาหรับ
การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม การผลิตโทรศัพท์ ตู้เย็น การคิดค้นวิธีการคมุ กาเนิด การพัฒนาคอมพิวเตอร์
การเกิดของอินเตอร์เน็ต ที่มีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ตอ่ การสื่อสารของมวลมนุษยชาติ เป็นต้น มีผู้ให้ความหมาย
เก่ียวกบั การวจิ ยั และการพัฒนา ดงั นี้

๗ วลั นิกา ฉลากบาง, การวิจัยแบบผสมผสาน, วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม ; ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม -
สงิ หาคม ๒๕๖๐: ๑๒๔-๑๓๐.

๘ ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์, การวิจัยและพัฒนา Research & Development (R&D)และการวิจัยเชิง
ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วม, เอกสารประกอบการบรรยาย โครงการฝกึ อบรม “สรา้ งนักวิจัยรุ่นใหม่ (ลกู ไก่) รุน่ ท่ี ๑๒ โดย สำนัก
การวิจยั แหง่ ชาตแิ ละมหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๙-๑๓ สงิ หาคม ๒๕๖๔.

ระเบียบวธิ ีวิจัยช้ันสงู วา่ ดว้ ยสันติภาพ ๒๑๓

• การวจิ ัยและพฒั นา เปน็ กระบวนการศึกษาคน้ ควา้ อย่างมรี ะบบ มจี ุดมงุ่ หมายเพ่อื พัฒนา
และตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยดำเนินการทดสอบใน สภาพจริงและทำการปรับปรุงผลิตภัณฑ์
หลายๆ รอบ จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนากลุ่มคน หน่วยงานหรือองค์การให้มี
ประสิทธิภาพยิง่ ข้นึ

• การวจิ ัยและพฒั นา เปน็ ลักษณะหน่งึ ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ท่ี
มงุ่ พัฒนาทางเลอื ก หรอื วิธีการใหม่ ๆ เพ่ือใช้ในการยกระดับคุณภาพงานหรอื คุณภาพชวี ิต และผลท่ีได้จาก การ
วจิ ัยและพัฒนา คือ นวตั กรรม๙

• การวิจัยและพัฒนา เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยมีการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรม (ส่ือ
สิ่งประดษิ ฐ์ หรือวิธกี าร) แลว้ มีการทดลองใช้ เพื่อตรวจสอบคุณภาพในเชงิ ประจกั ษ์

• การวจิ ยั และพัฒนา หมายถึง การวจิ ัยทม่ี ่งุ นำเอาความร้จู าก การวิจัยวิทยาศาสตร์บริสุทธ์ิ
ไปวิจัยต่อ โดยพัฒนาเป็นเทคนิคหรือวิธีการที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาและทดลองใช้จนได้ผล เป็นท่นี า่
พอใจแลว้ จึงนำไปเผยแพร่ใชใ้ นวงกว้างเพ่อื พัฒนางานใหม้ ปี ระสิทธิภาพยง่ิ ขน้ึ ๑๐

๗.๒.๒ ลักษณะสำคญั ของการวจิ ัยและพฒั นา
๑. เป็นการนำความรูห้ รือความเข้าใจที่สร้างขึ้นมาพฒั นาเปน็ ตัวแบบใชง้ าน เป็นการทำวิจยั เพอื่
แสวงหาหรือสร้างสรรคภ์ มู ปิ ญั ญาใหม่ แลว้ ทำการพฒั นาดว้ ยการคดิ คน้ ตอ่ ยอดความรู้ความเขา้ ใจดังกล่าว ให้
อยใู่ นรูปต้นแบบการพฒั นาท่ีสามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในวงกว้างได้ เช่น ผลผลติ กระบวนการหรอื การบริการ
ใหมๆ่ ทีต่ อบสนองความตอ้ งการจาเป็นของผ้ใู ชแ้ ละสงั คม
๒. เป็นการศกึ ษาค้นควา้ อย่างเปน็ ระบบและต่อเนื่อง เนื่องจากจดุ แขง็ ของการวจิ ัยและพฒั นามี ๓
กระบวนการหลัก ได้แก่ การวิจัย การพัฒนา และการเผยแพร่ ดังนั้น การศึกษาค้นคว้าเพื่อใหไ้ ด้ความรู้หรือ
ความเข้าใจในแง่มุมใหม่ สาหรับนำไปพฒั นาผลิตภัณฑ์ และถ่ายทอดไปสู่ผู้ใชใ้ นวงกว้าง จึงต้องกระทำอย่าง
เป็นระบบและต่อเนื่อง ที่กล่าวว่า “อย่างเป็นระบบ” เป็นการดาเนินงานที่เป็นไปตามขั้นตอน ของ
กระบวนการวิจัยและพัฒนา ส่วนที่กล่าวว่า “อย่างต่อเนื่อง” เป็นกระบวนการดาเนินงานที่จะต้องกระทา
ตดิ ตอ่ กัน โดยใชร้ ะยะเวลาในการทากิจกรรมการวิจยั และพฒั นา และเผยแพรผ่ ลผลิตไปส่ผู ใู้ ช้อย่างกว้างขวาง
และเป็นรปู ธรรมตอ้ งใชร้ ะยะเวลา
๓. มีการดำเนินงานอย่างเป็นวัฏจักรด้วยวิธีการที่เชื่อถือได้ การทำวิจัยและพัฒนาทุกขั้นตอน
จะต้องกระทำอย่างพิถีพิถันภายใต้การกำกับติดตาม แล้วตรวจสอบซ้ำหลายครั้งเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า
ผลผลิต ขั้นสดุ ทา้ ย (End of Product) ของกระบวนการวิจยั และพัฒนาทอ่ี ยูใ่ นรปู ของผลิตภณั ฑ์มีความถกู ตอ้ ง
และเชื่อถอื ได้ ตรงตามระดบั มาตรฐานกอ่ นการเผยแพรไ่ ปสู่ผู้ใชห้ รือสงั คม

๙ อ้างอิง เดชกุล มัทวานุกูล, การวิจัยและการพัฒนา, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http:// www. curriculum -
instruction.com/index.php/journal.[๓ ก.ย.๒๕๖๓].

๑๐ ทิศนา แขมมณี, การวิจัยการวิจัยทางการศึกษา (Educational Research), อ้างใน แบบแผนและ
เครื่องมอื การวิจยั ทางการศกึ ษา, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพมิ พ์จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐), หนา้ ๑-๑๒.

๒๑๔ Advanced Research Methodology on Peace
๔. ใช้วิธีการผสมผสานวิธีการเชิงปริมาณ และวิธีการเชงิ คณุ ภาพในการวจิ ัย การวจิ ัยและพฒั นา

โดยทวั่ ไปนักวิจยั จะใชก้ ารผสมผสานวธิ กี ารเชิงปรมิ าณ และวธิ กี ารเชงิ คุณภาพตามฐานคติที่อยูภ่ ายใต้กระบวน
ทศั น์ แบบปฏบิ ตั นิ ิยม ประโยชนน์ ยิ มเป็นหลัก เชน่ ผสมผสานวธิ ีการเชงิ ปริมาณ ไดแ้ ก่ การวิจัยเชงิ สำรวจ ใน
ขน้ั ตอนการ การรวบรวมขอ้ มูลท่จี ำเป็นตอ่ การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการวิจยั เชิงทดลองในขั้นตอนทดสอบ
คุณภาพ ของผลิตภัณฑ์และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ การศึกษาเฉพาะกรณีในขั้นตอนการเผยแพร่
ผลิตภัณฑ์ สูก่ ลมุ่ ผูใ้ ชห้ รอื ชมุ ชนใดชุมชนหน่ึง

๕. มุ่งเน้นการตอบสนองต่อผู้ตอ้ งการใช้ผลการวิจัย และ พัฒนา จุดเน้นสำคัญของการวิจัยและ
พัฒนา เป็นการดำเนินการวิจัยที่จะต้องตอบสนองความต้องการของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลผู้ประสงค์จะนา
ผลิตภัณฑ์ ที่เป็นวิทยาการสมัยใหม่ไปใช้งาน และหรือประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหาที่มีอยู่ในหน่วยงาน
องค์การหรือชุมชนดังนนั้ ในการออกแบบการวิจยั และพัฒนา นกั วจิ ัยกำหนดให้ ผูท้ คี่ าดว่าจะนำผลการวิจัยไป
ใช้ประโยชนม์ สี ่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายของการวิจยั และพัฒนา ต้งั คำถามหรือโจทยก์ ารวจิ ยั รวมทง้ั การ
สนับสนุนงบประมาณ เป็นต้น ทั้งนี้นอกจากจะเป็นการสร้างความรูส้ กึ เป็นหุ้นส่วนในการทาวิจัยและพัฒนา
ร่วมกบั นักวจิ ัยแล้ว ยงั จะสง่ ผลดตี ่อการยอมรับและการนำผลิตภณั ฑ์ไปใชอ้ ีกด้วย

๖. ผลของการวิจยั และพัฒนาท่ีมีคุณค่าและมูลค่าสงู สามารถจดทะเบยี นเปน็ สิทธบิ ัตรได้ ผลของ
การวิจยั และพฒั นาโดยเฉพาะท่ีอย่ใู นรปู ผลติ ภัณฑ์ที่เป็นภูมปิ ัญญา ท่เี กดิ จากการสรา้ งสรรค์และการลงทุนลง
แรง๑๑

ข้อแตกตา่ งระหวา่ ง R&D กบั Action Research

๑๑ อ้างอิง เดชกุล มัทวานุกูล, การวิจัยและการพัฒนา, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http:// www. curriculum -
instruction.com/index.php/journal.[๓ ก.ย.๒๕๖๓].

ระเบยี บวิธวี จิ ัยช้ันสูงว่าดว้ ยสนั ติภาพ ๒๑๕
๗.๒.๓ ประเภทของการวจิ ยั และการพฒั นา
Mahdjoubi (๒๐๐๙) ได้จำแนกประเภทของการทำวิจัยและพฒั นาไวเ้ ป็น ๔ แบบ ดังน๑้ี ๒
๑. การวิจัยและพัฒนาทเ่ี นน้ ขั้นตอนการวจิ ัย
การวจิ ัยและพฒั นาเป็นระเบียบวธิ วี ิจยั เพอ่ื สรา้ งนวตั กรรมหรือประดษิ ฐกรรม โดยมวี ิธีดำเนินการ
๓ ขนั้ ตอน ประกอบด้วย
๑) ข้นั ตอนการวจิ ัยพื้นฐานเพื่อสรา้ งองค์ความรใู้ หม่
๒) ขั้นตอนการวิจัยประยุกต์เพื่อนำความรู้ใหม่มาประยุกต์ใชใ้ นการสร้างวิธีการ (วิธีการปฏิบัต)ิ
หรือผลผลิต (สิ่งประดษิ ฐ์)
๓) ขนั้ ตอนการพัฒนาเพื่อเปลี่ยนแปลงปรบั ปรุงและแกไ้ ขวธิ กี ารหรอื ผลผลิตจนมีประสทิ ธผิ ลและ
ประสิทธิภาพ
ภาพท่ี ๗.๘ การวจิ ยั และพัฒนาท่เี นน้ ขนั้ ตอนการวิจัย

๒) การวิจยั และพฒั นาทเี่ นน้ กระบวนการพัฒนา
การวิจัยและ พัฒนาเป็นระเบียบวิธีวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมหรือประดิษฐกรรม ผ่าน
กระบวนการพฒั นาอย่างต่อเนื่อง โดยเรม่ิ จากความต้องการของผใู้ ช้จากน้นั จงึ
๑) ออกแบบประดิษฐกรรม เบื้องตน้ แบบลองถกู ลองผดิ
๒) ออกแบบประดษิ ฐกรรมอย่างเป็นระบบ
๓) ทำการวจิ ัย การทดลองและการปรบั ปรงุ
๔) พฒั นาประดษิ ฐกรรมออกสูต่ ลาด และผ้ใู ช้นำผลผลิต ไปใชป้ ระโยชน์

๑๒ ศิริชัย กาญจนวาสี, การวิจยั และพัฒนาการศกึ ษาไทย, วารสารศลิ ปากรศกึ ษาศาสตรว์ ิจัย, ปที ่ี ๘ ฉบบั ท่ี ๒
(กรกฎาคม – ธันวาคม, ๒๕๕๙): ๑-๑๘.

๒๑๖ Advanced Research Methodology on Peace
ภาพที่ ๗.๙ การวจิ ัยและพัฒนาทเี่ นน้ กระบวนการพฒั นา

๓) การวิจัยและพัฒนาท่ีเน้นการออกแบบการพัฒนา
การวจิ ัยและพัฒนาเปน็ ระเบียบวิธีวจิ ัยเพ่อื สร้างนวตั กรรมหรอื ประดษิ ฐกรรม โดยใชก้ ระบวนการ
ออกแบบและปรับปรงุ พัฒนาควบคกู่ นั ไปจนไดผ้ ลผลิตที่พึงประสงคแ์ ละเป็น ประโยชนอ์ ยา่ งกวา้ งขวาง
ภาพท่ี ๗.๑๐ การวจิ ยั และพฒั นาที่เน้นการออกแบบการพฒั นา
๓.๑) สงั เคราะหอ์ งค์ความรู้ ออกแบบและพฒั นาผลผลิต

๓.๒) การวจิ ัยพนื้ ฐาน ออกแบบ และพัฒนาผลผลติ

๔) การวิจยั และพฒั นาท่เี น้นแหลง่ ความคดิ ของการพัฒนา
การวิจัยและพัฒนาเป็นระยะวิจัยเพ่ือพัฒนาแนวคิดใหม่ โดยการใช้การผสมผสานความคิดจาก
หลายแหลง่ มา ใชใ้ นการออกแบบ ทดสอบ และพฒั นาปรับปรุง แนวความคดิ อาจไดม้ าจากการวิจยั ท่ีจัดทำข้ึน
การวิจัยที่ ผ่านมา ความต้องการของตลาด หรือความคิดสร้างสรรค์ ของผู้วจิ ัย หน่วยงานหรือ สถาบัน นำมา
ผสานการ ออกแบบและพัฒนาผลผลติ

ระเบยี บวธิ วี ิจัยชั้นสูงว่าด้วยสันติภาพ ๒๑๗
ภาพที่ ๗.๑๑ การวจิ ยั และพัฒนาทีเ่ น้นแหลง่ ความคดิ ของการพฒั นา

๗.๒.๔ จดุ มงุ่ หมายของ R&D
เพ่อื นำไปใชเ้ ป็นแนวทางการแก้ปญั หาหรือพัฒนาคณุ ภาพของงานท่มี ปี รากฏการณ์หรือข้อมูลเชิง
ประจกั ษแ์ สดงใหเ้ ห็นวา่ มปี ัญหา (PROBLEM) หรือมีความตอ้ งการจำเป็น (NEED) เกิดข้นึ ซ่ึงอาจเป็นผลความ
คาดหวงั ใหม่ท่ีทา้ ทายของหน่วยงาน หรอื เกิดการเปลย่ี นแปลงในกระบวนทัศน์การทำงานจากกระบวนทศั นเ์ ก่า
สู่กระบวนทศั นใ์ หมท่ ีบ่ ุคลากรขาดความรู้ความเข้าใจ หรอื เกดิ จากการปฏบิ ัติงานทไี่ ม่บรรลุ
▪ ผลลัพธ์ทเ่ี กิดจากงานวิจัย R&D ท่ีสำคัญ
๑) นวตั กรรมประเภทวัตถุท่ีเป็นชิ้นอัน ซ่งึ อาจเป็นประเภท วสั ด/ุ อปุ กรณ์/ช้นิ งาน เช่น รถยนต์
คอมพวิ เตอร์ ชุดการสอน สอ่ื การสอน ชุดกิจกรรม เสริมความรู้ คมู่ อื ประกอบการทำงาน เป็นต้น เช่น งานวิจัย
เรื่อง ผลิตภัณฑ์ลูกอมอดบุหรี่ “รสกระเพรา” งานวิจัยเรื่อง UAV ยานบินไร้คนขับ ต้นแบบเทคโนโลยี
ประสานทีม
๒) นวตั กรรมประเภทท่เี ป็นรูปแบบ /วธิ ีการ/ กระบวนการ/ระบบปฏิบตั กิ าร อาทิ รูปแบบการ
สอน วิธกี ารสอน รปู แบบการบรหิ ารจัดการ ระบบการทำงาน

๒๑๘ Advanced Research Methodology on Peace
๗.๒.๕ ขอ้ สังเกตการต้ังชื่อเร่อื งการวจิ ยั และพฒั นา
การตัง้ ชอ่ื เร่ือง “วิจัยและพฒั นา”
๑) นยิ มเขียนเปน็ ประโยคบอกเลา่
๒) มีคำวา่ “พัฒนา” อย่ชู ่วงต้นของประโยค
๓) อาจมี หรือไม่มีคำว่า “วจิ ยั ” อยูท่ ช่ี อื่ เรือ่ งกไ็ ด้
๔) ปัญหาท่ีตอ้ งการวจิ ัยอยชู่ ่วงตน้ ของประโยค
๕) กลุ่มเป้าหมายอยชู่ ว่ งกลางของประโยค
๖) กลุ่มเป้าหมายอยชู่ ว่ งกลางของประโยค
๗) สว่ นท้ายประโยคบง่ บอกสถานทีห่ รือไม่กไ็ ด้

ขอ้ สงั เกตการตั้งช่อื เรอื่ ง
๑) ถ้าเปน็ สง่ิ ประดิษฐ/์ สื่อ/อปุ กรณ/์ ช้นิ งาน ชื่อเร่อื งอาจขึ้นต้นด้วย

• การพฒั นา..............
• การสรา้ งและพฒั นา...........
• การสร้างและพัฒนา............
• การวิจัยและพฒั นา..............

ตัวอย่างช่ือเรื่องวจิ ัยและการพัฒนา
- การพัฒนาอาชีพและเชือ่ มโยงโซ่อุปทานพริกปลอดภัยจังหวัดชัยภมู ิ
- การวจิ ัยและพฒั นาอากาศยานไร้นกั บนิ ( UNMANNED AERIAL VEHICLE: UAV)

๒) ถ้าเป็นการพัฒนาเทคนิควิธี / รูปแบบการทำงาน/บรหิ าร จัดการ ช่ือเรือ่ งอาจข้นึ ตน้ เหมือน
ขอ้ ๑ หรือ

• รูปแบบ...............................
• แนวทางการ........................
• การศกึ ษาเปรยี บเทียบผลการใช้สอื่ หรอื
• รปู แบบ การทำงานที่คิดขึน้ ใหมก่ บั รปู แบบเดมิ

ตัวอย่างช่ือเรือ่ งวจิ ยั และการพัฒนา
- การพัฒนางานวิจัยและระบบบริหารจัดการงานวิจัยของกลุ่มมหาวิทยาลัยรภัฎ : ให้เป็น
กลไกวิชาการเพ่ือการพัฒนาพืน้ ทีห่ น่วยงานรับผดิ ชอบ
- การพัฒนางานวิจัยและระบบบริหารจัดการงานวจิ ยั ของกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ : ใหเ้ ป็น
กลไกวชิ าการเพอ่ื การพัฒนาพืน้ ท่ี หนว่ ยงานรบั ผดิ ชอบ

ระเบียบวธิ ีวิจยั ช้ันสูงว่าดว้ ยสันตภิ าพ ๒๑๙

เทคนคิ การต้งั ช่ือเรื่อง
o การพฒั นาและตามดว้ ยนวตั กรรม (A)
o แนวคดิ ใหม่ ๆ เพม่ิ เข้าไปในนวตั กรรมน้นั (B)
o เปา้ หมายหรอื ตวั แปร (C) ของนวัตกรรมน้นั
o ระบุกล่มุ เป้าหมายของนวัตกรรมนัน้ (D)

กรณที ่ี ๑ ใชแ้ นวคดิ ใดคิดหนง่ึ เป็นหลกั เพิม่ เข้าไปในนวัตกรรมนั้น
-การพฒั นารปู แบบการจัดการเรียนการสอน (A) โดยบูรณาการหลักพุทธสนั ติวธิ ี (B) เพอื่ ปลูกฝัง
พฤติกรรมการแสดงออกทางสังคมท่ีเหมาะสม (C) ของนสิ ิตหลักสูตรสนั ติศึกษา (D)

กรณที ่ี ๒ ใช้หลายแนวคดิ ทฤษฎีในการสรา้ งนวัตกรรม
-การพัฒนาหลักสูตร (A)เพื่อเสริมสร้างสันติวัฒนธรรมในห้องเรียน(C) ของนิสิตหลักสูตรสันติ
ศกึ ษา (D)
-การพัฒนารปู แบบการเรยี นการสอน (A) เพ่อื เสริมสรา้ งอตั ลกั ษณข์ องนสิ ิตมหาจุฬา(C)ของนิสิต
หลกั สูตรสนั ตศิ กึ ษา (D)

ข้อสงั เกตหัวขอ้ วิจัย
“สรา้ ง” ใชก้ ับการศึกษาออกแบบสง่ิ ใดๆ ที่ยงั ไมเ่ คยมมี ากอ่ น
“พัฒนา” ใช้กบั การศึกษาทม่ี กี ระบวนการทำหรอื รปู แบบมากอ่ นแล้ว แต่ถูกนำมาพัฒนาเพ่มิ เตมิ

๗.๒.๖ ข้นั ตอนหรือกระบวนการวิจยั และพัฒนา
กระบวนการวจิ ยั และพัฒนามีขั้นตอน ดังนี้
๑. การสำรวจสังเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการ เป็นการดำเนินการวิจัยเชิงสำรวจ
(Survey research) หรือการสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับสภาพปัญหา
ความต้องการเกย่ี วกบั ผลิตภัณฑ์รวมทั้งลกั ษณะท่ีเหมาะสมของผลติ ภณั ฑ์ท่ตี ้องการใหพ้ ัฒนา ผลการดำเนนิ การ
ในข้นั ตอนน้ีจะทำให้ผ้วู จิ ยั สามารถพัฒนาผลิตภณั ฑไ์ ด้สอดคล้องเหมาะสมกบั ความตอ้ งการของกลมุ่ เปา้ หมายที่
จะใช้ผลติ ภณั ฑ์ท่พี ฒั นาขนึ้
๒. การออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ เปน็ การดำเนินการโดยการนำความรู้และผลการวิจัยที่ได้จาก
ขน้ั ตอนที่ ๑ มาพฒั นา ผลติ ภณั ฑ์ การกำหนดวิธีที่จะพฒั นาผลิตภัณฑ์ และทรัพยากรท่ีตอ้ งการเพอ่ื การพัฒนา
ผลิตภณั ฑ์ทง้ั ในด้านกำลังคน งบประมาณ วสั ดุ ครภุ ัณฑ์ และระยะเวลา หลงั จากนัน้ จึงต้องดำเนินการพัฒนา
ผลติ ภัณฑ์ให้มลี กั ษณะหรือรูปแบบตามความตอ้ งการของกลุม่ เปา้ หมาย ส่วนผลติ ภัณฑท์ ่ีจะจะพัฒนามีลักษณะ
อย่างไรหรอื ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์มีอะไรบ้างจะขึ้นอยูก่ ับชนิดของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ในขั้นตอนของการ
พัฒนาผลติ ภณั ฑน์ ้จี ะต้องใชบ้ ุคลากรท่มี คี วามเช่ยี วชาญเฉพาะทางในการสร้างผลติ ภณั ฑแ์ ต่ละชนดิ

๒๒๐ Advanced Research Methodology on Peace
๓. การทดลองใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ เมื่อสร้างผลติ ภัณฑ์เสร็จแลว้ จะต้องไปตรวจสอบความเหมาะสมและ

ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ถ้าหากผลการ ตรวจสอบ ความเหมาะสมและประสทิ ธิภาพยังไม่เป็นท่ีพึงพอใจ
หรือมีบางส่วนที่ไม่สมบูรณ์จะต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขจนกระทั่งผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมและมี
ประสทิ ธิภาพตามเกณฑท์ ี่กาหนด สำหรบั การทดลองใช้ผลติ ภัณฑ์จะดำเนนิ การ ดังน้ี

๓.๑ การทดลองกับกลุ่มเป้าหมายขนาดเล็ก เป็นการทดลองเบื้องต้นโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ
รวบรวมผลประเมนิ เชิงคุณภาพเบื้องต้นของผลติ ภัณฑ์นิยมทดลองใช้ผลิตภณั ฑ์เก็บรวบรวมข้อมลู โดยสังเกต
สัมภาษณ์ สอบถาม แลว้ นาขอ้ มลู ไปวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงรูปแบบของผลติ ภณั ฑ์

๓.๑ ทดลองกับกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ เป็นการนำผลิตภัณฑ์ไปทดลองกับกลุ่มเป้าหมายที่มี
ขนาดใหญ่ หรือเรียกว่ากลุ่มนำร่อง (Pilot group) โดยมีการทดสอบก่อนและหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ นำผลท่ี
ประเมินเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์หรือกลุ่มควบคุมที่เหมาะสม วัตถุประสงค์หลักของการทดลองใช้
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มขนาดใหญ่ เพื่อต้องการที่จะบ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการ
พัฒนาหรือไม่ ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ในการดำเนินการของขั้นตอนนี้จะใช้การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental
design) แล้วนำผลการวิจัยมาแกไ้ ขปรบั ปรงุ ผลิตภณั ฑ์

๓.๓ การทดลองความพร้อมนำไปใช้ หลังจากปรับปรุงรูปแบบผลิตภณั ฑ์จนมีความม่ันใจในดา้ น
คุณภาพ ผู้วิจัยจงึ นำรูปแบบไปทดลองใช้ เพื่อตรวจสอบความพร้อมสู่การปฏิบัติ โดย รวบรวมข้อมูลโดยการ
สัมภาษณ์และสังเกตเพ่ือตรวจสอบวา่ ผลติ ภัณฑ์ท่ีพัฒนาข้ึนมีความพร้อมทจ่ี ะนำไปใชไ้ ด้หรอื ไม่เพียงใดแล้วนำ
สารสนเทศทีไ่ ด้จากขั้นตอนนี้มาแก้ไขปรับปรุงผลติ ภัณฑ์ เช่น คู่มือในการใช้ผลิตภัณฑ์มีความชัดเจนหรือไม่
เปน็ ต้น การดำเนนิ การในขน้ั ตอนนี้ เปน็ การประเมนิ ผลการใช้ผลติ ภณั ฑใ์ นภาพรวมทง้ั หมด ซ่งึ จะประเมนิ ทง้ั ตวั
ผลิตภัณฑ์กระบวนการใชผ้ ลิตภณั ฑ์ผลที่ได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เป็นต้นผลที่ได้
จากการประเมินจะนาไปสู่การตัดสินใจปรับปรงุ ผลิตภัณฑ์ นั้น ๆ หากพิจารณาแล้วพบว่าไม่คุม้ ค่าหรือเสี่ยง
อนั ตรายก็จะยตุ ิการใชผ้ ลิตภณั ฑ์นั้น แตถ่ ้าหากผลการประเมินพบว่าผลติ ภัณฑ์ทพ่ี ฒั นาขึ้นสามารถนำไปใช้ได้
เปน็ อย่างดีก็จะนาไปสูก่ ารดำเนินการขัน้ ตอ่ ไปคือการจดลขิ สิทธิ์ การเผยแพร่ และการประชาสมั พันธ์ในวงกวา้ ง

๔. การเผยแพรผ่ ลติ ภัณฑ์ เป็นการนำผลการวจิ ยั และผลิตภัณฑไ์ ปเผยแพร่ เช่น การนำเสนอในที่
ประชุมสัมมนาทางวิชาการหรือวิชาชีพ การตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการ การติดต่อหน่วยงานเพือ่
จัดทำผลิตภณั ฑ์ หรอื ติดต่อกับบริษทั เพื่อผลิตจำหนา่ ยและเผยแพรใ่ นวงกว้างต่อไป๑๓

๑๓ เดชกุล มัทวานุกูล, การวิจัยและการพัฒนา, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http:// www. curriculum -
instruction.com/index.php/journal.[๓ ก.ย.๒๕๖๓].

ระเบียบวธิ วี จิ ัยชั้นสงู ว่าด้วยสันตภิ าพ ๒๒๑
ภาพท่ี ๗.๑๒ กระบวนการขนั้ ตอนวจิ ยั และการพัฒนา (R&D)

กล่าวคือ ๗.๒.๗ หลกั การออกแบบการวิจยั และพัฒนา
ในการออกแบบการวิจยั และพัฒนา (R&D) สิ่งที่ผูศ้ ึกษาหรือนักวจิ ัยต้องคำนึงถงึ ในการออกแบบ

๑) การออกแบบในเรอื่ งประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
โดยผ้วู ิจยั ต้องกำหนดเป้าหมายของประชากร หรอื กลมุ่ เป้าหมายในการใช้นวตั กรรมอย่างชัดเจน

๒๒๒ Advanced Research Methodology on Peace
๒) การออกแบบในเรื่องการวดั ตัวแปร หรือการเก็บรวบรวมข้อมลู
ผู้วิจัยจะตอ้ งกำหนดประเด็น ตัวบ่งชี้ที่ต้องการวัด พร้อมทั้งกำหนดแหล่งข้อมูล หรือผูใ้ ห้ข้อมลู

หลักอยา่ งครบถ้วน กำหนดประเภทเครื่องมอื หรือวธิ ีการวดั ช่วงเวลาในการวัด ( เช่น วัดกอ่ น และเมื่อเสรจ็ สิ้น
การทดลอง) พร้อมกำหนดแนวปฏิบัติในการพัฒนาเครื่องมือและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวัดแต่ละ
รายการ กล่าวโดยสรปุ จะต้องสรุปวา่ ตัวบ่งชี้ หรอื ประเด็นในการวัดในคร้งั นัน้ ๆ ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง แต่ละ
ตัวบง่ ช้ี หรือแตล่ ะประเด็น จะใชเ้ ครอื่ งมอื หรือวิธกี ารใดในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล จะพฒั นาเครื่องมอื แต่ละชนดิ
อยา่ งไร และจะจดั เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเมือ่ ไรบา้ ง

-การเลือกใช้เครือ่ งมอื วัด ซึ่งมีหลายชนิด เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบ
สังเกต แบบประเมนิ คุณลกั ษณะต่าง ๆ เป็นตน้ การตัดสนิ ใจวา่ จะเลือกใชเ้ คร่อื งมือวัดชนิดใด จะต้องคำนึงถึง
ธรรมชาติ หรือลกั ษณะของตวั บ่งชี้ทีต่ ้องการวัด และข้อจำกดั ต่าง ๆ อาทิ ถ้าเป็นตัวบ่งชี้ประเภทความรู้ ก็ใช้
แบบทดสอบ ถา้ เปน็ พฤติกรรม ก็ใช้แบบประเมินพฤตกิ รรม ถ้าเป็นเจตคติ ก็ใชแ้ บบวดั เจตคติ เปน็ ตน้ หรือใน
บางครั้งผู้ประเมินได้เลือกใช้เป็น แบบสอบถามที่ประกอบด้วยสาระหลายตอน แต่ละตอน มุ่งวัดตัวบ่งชี้ท่ี
แตกต่างกนั

-การเก็บรวบรวมข้อมูล เพือ่ การวิจัยและพฒั นานวัตกรรม ผวู้ จิ ัยจะต้องระลึกเสมอว่า จะต้องเน้น
ในเรื่องความรวดเร็ว คล่องตัว มีประสิทธิภาพ สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างรวดเร็วทนั กับช่วงเวลาต่าง ๆ
ในขณะดำเนินการทดลองนวัตกรรม และกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลจะต้องไม่เกิดผลกระทบเชิงลบตอ่
กระบวนการพฒั นา

๓) การออกแบบในเรอื่ งสถิติ แนวทางการวเิ คราะหข์ ้อมูล
ได้แก่ การกำหนดสถิติ ตัวแปรต้น ตัวแปรตามในงานวิจัย เครื่องมือวิจัยในงานวิจัยและพัฒนา
สถิติที่ใช้ในงานวิจัยและพัฒนา สามารถเลือกใช้สถิติในลักษณะเดียวกับงานวิจัยทั่วไป ซึ่งจะมีทั้ง สถิติเชิง
บรรยาย (Descriptive Statistics) และสถิติอ้างอิง (Inferential Statistics) ซึ่งการเลอื กใช้วิธีการทางสถิตท่ี
เหมาะสม จะเพม่ิ ความนา่ เชอื่ ถอื ของผลงานวิจัยได้ รายละเอยี ดเก่ียวกับวธิ กี ารทางสถติ ิ เหลา่ น้ีสามารถศึกษา
ได้จากเอกสารหรือตาราทั่วไป โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการวางแผนและออกแบบวิจัย และพัฒนา คือ กรอบ
แนวทางการวิจยั หรอื โครงการวิจยั ท่ีมรี ายละเอยี ดครบถ้วนสมบูรณ์

ตวั แปรตน้ ตวั แปรตามในงานวจิ ัย
ในงานวิจัยและพัฒนา ตัวแปรต้น (Independent Variable) คือ ตัวนวัตกรรม หรือปฏิบัติการ
(Treatment) ทผี่ ้วู จิ ยั ให้กับกลุ่มตัวอยา่ ง ซงึ่ อาจหมายถึง สอื่ / ชุดสอ่ื หรอื วิธกี ารใหมๆ่ ส่วนตวั แปรตาม คือ ตัว
แปรที่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการใส่ปฏิบัติการ เช่น ความรู้ ความพอใจ เจตคติ ทักษะ หรือสภาพการ
เปลี่ยนแปลงตา่ ง ๆ เป็นต้น

เคร่อื งมือวิจยั ในงานวจิ ยั และพัฒนา
เครอ่ื งมือวิจัยในงานวจิ ัยและพัฒนา ประกอบดว้ ย ๒ สว่ นที่สำคญั คือ
๑. เคร่ืองมอื ทดลอง หรอื ชุดนวตั กรรม

ระเบยี บวธิ ีวิจยั ช้ันสูงวา่ ดว้ ยสนั ติภาพ ๒๒๓
การวจิ ยั และพฒั นาจะมีคุณค่ามากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้วิจัยในการแสวงหา
นวัตกรรมที่สร้างสรรค์ ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ (ลงทุนไม่มาก สะดวกใช้ สะดวกปฏิบัติ ให้ประสิทธิผล
ตามที่คาดหวัง) ซึ่งการแสวงหานวัตกรรมที่สร้างสรรค์ ผู้วิจัยจะต้องทำการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หรือกรณี
ตวั อย่างนวตั กรรมทหี่ ลากหลาย กอ่ นท่จี ะสงั เคราะห์เป็นนวตั กรรมทีจ่ ะนามาทดลอง ทง้ั น้ี ผู้วิจยั ควรจะสามารถ
ชี้บ่ง หรือระบุลักษณะที่เห็นว่าเป็นจุดเด่น ความคิดสร้างสรรค์ หรือความเหมาะสมของนวัตกรรมได้อย่าง
ชดั เจนอีกทง้ั จะตอ้ งเปน็ นวัตกรรมทม่ี ีความถกู ต้อง เหมาะสมตามหลักวชิ า
๒. เคร่อื งมอื เก็บรวบรวมขอ้ มลู หรือเคร่ืองมืดวัดตวั แปร
ในการออกแบบด้านการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจัยจะตอ้ งวิเคราะห์ทบทวนวัตถุประสงค์ของการ
วจิ ยั กาหนดหรอื ระบุตวั แปรหรอื ประเดน็ ทมี่ ่งุ ศึกษา กาหนดแหล่งขอ้ มลู หรอื ผ้ใู ห้ข้อมูลที่จะทาให้ไดข้ อ้ มูลท่ีมี
ความตรงหรือถกู ต้อง กาหนดวธิ ีการหรอื เครือ่ งมอื ท่ใี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู และกาหนดแนวทางการ
พัฒนาเครอ่ื งมอื เกบ็ รวบรวมข้อมลู อยา่ งชดั เจน

๗.๒.๘ การวิเคราะหข์ อ้ มูลในการวจิ ยั และพฒั นา
การเลือกใช้วิธกี ารทางสถิติ เพื่อการวิเคราะห์ขอ้ มูลในงานวิจัยและพัฒนาขึน้ อยู่กับชนิดของตวั
แปร หรือตวั ชวี้ ดั ที่ทำการวิจัย ซง่ึ โดยทั่วไป จะมีวธิ ีการทางสถติ ดิ ังตอ่ ไปน้ี
๑. วิเคราะห์ความถี่ ร้อยละ สาหรับตัวแปรตัดตอนที่วัดโดยเครื่องมือประเภทแบบตรวจสอบ
รายการ หรอื อาจใชก้ ารเปรยี บเทียบสดั ส่วนดว้ นสถติ อิ า้ งอิง ไค สแควร์
๒. วเิ คราะหค์ า่ เฉลยี่ เลขคณิต คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐานของคะแนนทดสอบความรู้ หรือคะแนนจาก
มาตร ประมาณค่าและใช้สถิติอ้างอิง การทดสอบค่าที (t-test) สำหรับการเปรียบเทียบคะแนนทดสอบกอ่ น
เรียน กับหลังเรียนหรือเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ๒ กลุ่ม หรือ การวิเคราะห์ความแปรปรวน เพื่อการตรวจสอบ
ความ แตกตา่ งระหว่างค่าเฉล่ียกรณที ดสอบหลายกลมุ่ เปน็ ต้น
๓. วเิ คราะห์เนอ้ื หา (Content Analysis) สำหรับขอ้ คำถามประเภทปลายเปิด หรือใชเ้ ขียน แสดง
ความคิดเห็น หรอื บรรยายสภาพความเปล่ยี นแปลงหลังการใช้นวัตกรรม

๗.๒.๙ การเขยี นรายงานวิจยั และพฒั นา
การเขยี นรายงานผลการวิจยั และพฒั นา มจี ุดเนน้ ทกี่ ารบอกเล่ากระบวนการ พัฒนาและผลการใช้
นวัตกรรม พร้อมทั้งต้องแสดงผลงานที่ได้จากการพัฒนา คือ สื่อ อุปกรณ์ ชิ้นงาน หรือรูปแบบทำงานอยา่ ง
ชัดเจน ในการนำเสนอผลงานวิจัยและพฒั นานวัตกรรม ลักษณะการนำเสนอโดยทั่วไป จะปรากฏใน ๒ ลกั ษณะ
คือ
๑. ผลงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ อาทิ พัฒนาสื่อ อุปกรณ์ ชิ้นงาน ฯลฯ การนำ เสนอจะ
ประกอบดว้ ย ๒ ส่วนสำคญั คือ ๑) ตวั สื่อ นวตั กรรมหรือสง่ิ ประดิษฐ์ และ ๒) รายงานการพัฒนาหรือรายงาน
ผลการ ทดลองใช้ ผลงานวิจัยและพัฒนาในลักษณะนี้จะมีคุณค่ามากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจ
ความสรา้ งสรรค์ของตวั ผลงาน ส่อื อปุ กรณห์ รอื ชิ้นงาน เป็นสำคัญ

๒๒๔ Advanced Research Methodology on Peace
๒. ผลงานประเภททดลองรูปแบบการบริหาร หรือรูปแบบการปฏิบัติการ อาทิ ทดลองรูปแบบ

การสอน รปู แบบการทำงานใหม่ ๆ ฯลฯ ผลงานประเภทนจ้ี ะนำเสนอเปน็ เลม่ เดียว ในลักษณะของรายงานการ
ทดลองหรอื รายงานการพัฒนา โดยจะต้องอธบิ ายให้เหน็ รปู แบบของนวตั กรรมอย่างเปน็ รูปธรรมชดั เจน

๗.๒.๑๐ ข้อดีและขอ้ จำกดั ของการวจิ ัยและพฒั นา
๑. ข้อดีของการวจิ ัยและพฒั นา

๑.๑ ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ซึ่งนาไปใช้ในการพัฒนาบคุ ลากรหรอื องคก์ าร การวิจัยและพัฒนามี
เป้าหมายเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์นี้เป็นเสมือนเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาบคุ ลากรให้มีคุณภาพและ
พัฒนาองค์การใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ ซง่ึ การพฒั นาดังกลา่ วสอดคลอ้ งกับความตอ้ งการของบคุ ลากรและองค์การ

๑.๒ ไดผ้ ลติ ภัณฑท์ ม่ี ีความหมายและตรงกับความตอ้ งการของผูใ้ ช้ เนื่องจากกระบวนการวิจยั
และ พัฒนาเปิดโอกาสให้ผู้ที่คาดหมายว่าจะนาผลิตภัณฑ์ไปใช้ประโยชน์เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนด
เป้าหมาย โจทย์การวิจัย และสนับสนุนการวจิ ัย ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่เป็นไปได้สงู ที่จะทาให้ได้ผลิตภณั ฑ์ที่มี
ความหมาย เชื่อมโยงกับสภาพวิถกี ารดำเนินชีวิตและการทางานอย่างสอดคล้องกลมกลืน รวมทั้งตอบสนอง
ความต้องการ จำเปน็ ในการใช้งานของผู้ใช้อย่างแทจ้ รงิ

๑.๓ มีส่วนส่งเสริมชื่อเสียงและรายได้แก่นักวิจัยผู้สร้างสรรค์งานวิจัย ในการทำวิจัยและ
พัฒนา ถ้าผู้วิจัยใช้ความรู้และภูมิปัญญาของตนในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางสังคมและมีมูลค่ า
ทางการ ตลาดก็จะมีส่วนส่งเสริมให้ผู้วิจัยมีชื่อเสียงและรายได้จากการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรใน
ผลติ ภณั ฑ์ ได้พัฒนาข้ึน

๒. ข้อจำกดั ของการวจิ ยั และพัฒนา
การวิจยั และพฒั นาจะใช้ระยะเวลา พลังสตปิ ญั ญาและจติ ใจ รวมทั้งคา่ ใช้จา่ ยจำนวนมาก การวจิ ัย
ประเภทนสี้ ว่ นมากต้องการระยะเวลาในการทำวจิ ัย รวมท้งั บุคลากรทางการวิจัยที่มสี ติปัญญาดีเย่ียม มีจิตใจท่ี
มุ่งมัน่ และทุ่มเทตอ่ การทำงานวจิ ยั อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง นอกจากนี้ยงั ต้องใช้งบประมาณในการลงทนุ คอ่ นขา้ งสงู ๑๔

๑๔ ศริ ชิ ัย กาญจนวาส,ี การวิจยั และพฒั นาการศึกษาไทย, วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วจิ ัย, ปที ่ี ๘ ฉบบั ท่ี ๒
(กรกฎาคม – ธันวาคม, ๒๕๕๙): ๑-๑๘.

ระเบียบวิธวี ิจัยช้ันสงู ว่าดว้ ยสนั ตภิ าพ ๒๒๕
๗.๑๐ ตวั อย่างการออกแบบการวิจัยและพฒั นากบั งานวจิ ัยเพ่อื สนั ตภิ าพ

๒๒๖ Advanced Research Methodology on Peace

ระเบียบวธิ ีวจิ ยั ช้ันสงู วา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๒๒๗

๒๒๘ Advanced Research Methodology on Peace

ระเบียบวธิ ีวจิ ยั ช้ันสงู วา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๒๒๙

๒๓๐ Advanced Research Methodology on Peace

ระเบยี บวธิ วี ิจยั ชั้นสงู วา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๒๓๑

๗.๓ การวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมีส่วนร่วม (PAR)

การวิจยั เชงิ ปฏิบัติการอย่างมสี ่วนรว่ มนับว่าเปน็ รูปแบบวธิ วี ิจัยท่สี อดรบั กับอตั ลกั ษณข์ องหลกั สตู ร
สันติศึกษาในการมุง่ พฒั นาชุมชน สังคม ให้เกดิ ความสนั ตสิ ขุ แนวคิดเรือ่ งการมีส่วนร่วมได้ถูกถ่ายทอดใหก้ ับ
ผู้เรียนเป็นพืน้ ฐานสำหรับผู้จะเรียกตนวา่ เป็น “วิศวกรสนั ตภิ าพ” อย่างไรก็ตามกระบวนการมสี ่วนร่วมกับวธิ ี
วิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีสว่ นร่วม (PAR) แม้จะมีหลักการพื้นฐานบางอยา่ งร่วมกนั แต่ในทางระเบียบวิธวี ิจยั
ยอ่ มมรี ายละเอยี ดและสง่ิ ท่ีนสิ ติ พงึ เรยี นรศู้ กึ ษาในการนำไปใช้ในการนำการวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิการอย่างมีส่วนร่วม
ไปออกแบบงานวิจยั เพ่อื จดั การความขดั แย้ง เชื่อมประสานสามคั คี หรอื พัฒนาชมุ ชน สังคม รวมถึงองค์กรด้วย
ซึ่งผ้เู ขยี นได้เรยี บเรียนสาระสำคัญผา่ นประสบการณใ์ นการบม่ เพาะการลงพ้ืนท่ีวจิ ัย ดงั น้ี

๗.๓.๑ ความหมายและความเปน็ มาของการวิจยั เชิงปฏบิ ัติการอยา่ งมีส่วนรว่ ม
การวจิ ยั เชิงปฏิบัติการอย่างมสี ่วนรว่ ม (Participatory Action Research: PAR) เกิดข้นึ ประมาณ
ช่วงปี ค.ศ.๑๙๗๐ โดยพัฒนาต่อยอดมาจากแนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ซึ่งเกิดขึ้นใน
วงการด้านการศึกษา PAR เป็นการผสมผสานระหวา่ งการวิจัยและการปฏบิ ัติจริงเพื่อมุ่งเนน้ การแกป้ ญั หา ทัง้ น้ี
ปรัชญาของการวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการแบบมสี ว่ นร่วม (PAR) สอดคล้องกับแนวคดิ “หลงั ยคุ ทันสมยั (postmodern
tradition) ที่การวิภาษวิธีในการสร้างความเข้าใจ และมองว่าผู้มีส่วนร่วมไม่เหมือนวัตถุ ( objectivity) และ
ความจริงเป็นสิ่งที่มีหลายๆอย่างเกิดขึ้น (Kelly, 2005) Attwood (1997) กล่าวว่าปรัชญาของการวิจัยเชิง
ปฏิบตั ิการแบบมสี ่วนร่วม (PAR) ประกอบด้วย แนวคิดท่ีคนมสี ทิ ธิในการตัดสนิ การพัฒนาและตระหนักถึงความ
ต้องการสำหรับการมีส่วนร่วมในการให้ความหมายของคนในท้องถิ่น ในกระบวนการเกี่ยวกับการวิเคราะห์
สถานการณต์ า่ งๆ ของเขา เพ่อื อย่เู หนอื การถูกควบคุมหรืออำนาจ นอกจากนี้ยงั นำไปส่กู ารพัฒนาอย่างย่ังยืน
การใช้การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนรว่ ม (PAR) อาจจะมีรูปแบบของพืน้ ทีส่ าธารณะ (public space) ในท่ี
ซึ่งผู้มีส่วนร่วมและนักวิจัยสามารถปรับเปลี่ยนความรู้ของเขาสู่การผลักดันเกี่ยวกับการปกครอง สังคม
เศรษฐกิจ และบริบทของครอบครัวในชุมชนทม่ี ีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของเขา นอกจากนกี้ ารวจิ ัยเชิงปฏิบัติการ
แบบมีส่วนร่วม (PAR) เป็นกระบวนการวิจัยที่เป็นวงจรของการสะท้อนคิด และการปฏิบัติ (Marshall
&Rossman, ๒๐๐๖; Selener, ๑๙๙๗)๑๕

Kemmis&McTaggaart (๑๙๘๘) ให้ความหมาย การวิจยั เชงิ ปฏบิ ัติการอย่างมสี ่วนร่วม หมายถึง
การวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การกำหนดปญั หาและการแก้ปญั หา โดยไม่ได้เริ่มจากการมองปญั หาว่าเปน็ ความผิดปกติ
แต่จะทำความเข้าใจสภาพที่เป็นอยู่และพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้น ในขณะที่ Zuber-Skerrit (๑๙๙๕) ให้
ความหมายว่า เป็นการวิจัยเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติ สร้างนวัตกรรม พัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงการกระทำทาง

๑๕ อมาวสี อัมพันศิริรัตน์, พิมพิมล วงศ์ไชยา, การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีสว่ นร่วม : ลักษณะสำคัญและการ

ประยุกต์ใช้ในชุมชน, วารสารมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, ปที ี่ ๓๖ ฉบบั ท่ี ๖ พฤศจิกายน -
ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๖๐: ๑๙๐-๒๐๒.

๒๓๒ Advanced Research Methodology on Peace
สังคมและทำให้ผู้ปฏบิ ัติเข้าใจการกระทำของตนเองดีขนึ้ ๑๖ Koch & Kralik (๒๐๐๖) ได้ใหค้ วามหมายของการ
วิจัยเชงิ ปฏิบัติการแบบมสี ่วนร่วม ว่าเป็นกระบวนการซึ่งตัวเรา นักวิจัย และผู้มีส่วนร่วม ร่วมกันทำงานอย่าง
เปน็ ระบบในวงรอบเพ่อื การสำรวจความวติ กกงั วล การเรยี กรอ้ งหรอื ปัญหาทสี่ ง่ ผลกระทบหรอื ทำลายชวี ิตของ
ผคู้ น ความรว่ มมอื กนั ทำงานจะสะทอ้ นถึงวธิ กี ารเปลี่ยนสถานการณ์หรือการสร้างความสามารถ๑๗

กล่าวได้ว่า วิจัยเชิงปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วมเปน็ การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางสังคมให้ดขี น้ึ
ดังนั้นผู้ที่ควรจะเข้าร่วมคือคนที่เผชิญกับปัญหานั้นๆ และมีผลกระทบมากที่สุด ซึ่งเราเรียกว่า
“participatory”จุดเด่นของวจิ ัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม คือสามารถนำ ไปปฏิบัติได้ในบรบิ ทที่ซบั ซ้อน
กับผใู้ ช้บริการและผ้มู ีสว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในการพัฒนาศกั ยภาพของประชาชน (Crane & O’Regan, ๒๐๑๐)การมี
สว่ นรว่ มจะมปี ระสทิ ธิภาพสูงสุดเม่อื สามารถสนับสนุนทุกภาคสว่ นท่ีเกย่ี วขอ้ งอย่างจรงิ จงั และสง่ เสรมิ ใหบ้ ุคคล
ในกลุ่มให้สามารถปฏิบัติงานท่มี ีความสำคญั รว่ มกันได้ และสนับสนนุ ใหเ้ รยี นร้ทู ่ีจะกระทำ โดยตนเอง๑๘

๗.๓.๒ หลักการสำคัญของการวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารอยา่ งมสี ว่ นร่วม
อนึ่ง ความสำคัญของการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมสี ่วนร่วมจึงไม่ได้เป็นเพียงแต่ผลรายงานการ
วิจัย แต่เป็นงานวิจัยในแนวประชาคมและการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม หรือการวิจัยแบบ PAR น้ัน
จะต้องบูรณาการ ๓ มิติ CER เพื่อให้ผลที่เกิดขึ้นสามารถบรรลุจุดหมายครอบคลุมความจำเป็นพื้นฐาน ๓
ประการเป็นเบอื้ งตน้ อันไดแ้ ก่
๑ ) Community Orientation and Community-Based Development Integration : ก า ร
ระบุปัญหาที่มุ่งความเช่ือมโยงกับการแก้ปญั หาร่วมกันของชุมชนและสงั คม การวิจัยแบบ PAR ต้องมุ่งพัฒนา
ประเดน็ การวจิ ัยท่มี ุง่ แกป้ ญั หาทางการปฏิบัตขิ องชุมชนและกลุ่มคนต่างๆ รวมทั้งมุง่ ยกระดับความเปน็ จรงิ ทาง
สังคม และยกระดับการพัฒนาสุขภาวะและคุณภาพแห่งชีวิต ทั้งในเชิงรูปธรรมและในเชิงนามธรรม การได้
แก้ปัญหาและพฒั นาคุณภาพชีวติ ที่พงึ ประสงคข์ องชุมชน หรือเป็นวธิ ีเสรมิ พลังความเข้มแข็งใหก้ ล่มุ คนสามารถ
นาเอาปัญหามาริเริ่มแก้ไขได้ดว้ ยกระบวนการวจิ ัยแบบ PAR
๒) Education and Learning Process Integration : การพัฒนากระบวนการทางการศึกษา
และกระบวนการเรยี นรู้เพ่ือมุง่ ระดมพลงั แก้ปญั หาจากภายในชมุ ชน สร้างคนและทาใหผ้ คู้ นเกดิ ความมสี ว่ นรว่ ม
สามารถเรียนรู้และยกระดับการปฏิบัติ สามารถแปรการปฏิบัติและศักยภาพอันเกิดจากกระบวนการทาง

๑๖ อา้ งใน อุทยั ทิพย์ เจี่ยวิวรรธน์กุล, การวจิ ัยเชิงปฏบิ ัติการอย่างมีสว่ นรว่ ม: แนวคิด หลกั การ และบทเรียน,
พิมพ์ครัง้ ที่ ๒ (กรงุ เทพมหานคร: บ.พ.ี เอ.ลีฟวงิ่ .จำกดั , ๒๕๕๓), หน้า ๘.

๑๗ อ้างใน สัญญา ยีอรานและศิวิไลซ์ วนรัตน์วิจิตร, การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม สู่ความสำเร็จการ
เปลี่ยนแปลงนโยบายในระบบสุขภาพ, วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒
พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๖๑ : ๒๘๘-๓๐๐.

๑๘ อมาวสี อัมพันศิริรัตน์, พมิ พิมล วงศ์ไชยา, การวิจยั เชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมีส่วนร่วม : ลักษณะสำคัญและการ
ประยกุ ตใ์ ช้ในชมุ ชน, วารสารมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ปที ่ี ๓๖ ฉบบั ที่ ๖ พฤศจิกายน -
ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๖๐: ๑๙๔.

ระเบียบวิธวี ิจยั ชั้นสงู ว่าดว้ ยสนั ติภาพ ๒๓๓
การศึกษาและการเรยี นรู้ ไปสกู่ ารนำตนเองเข้าไปมสี ่วนร่วมในสง่ิ ต่างๆ ดีขึน้ รวมทั้งสามารถเกดิ ประสบการณ์
ทางสังคม และนำเอาความรู้ ตลอดจนประสบการณต์ ่าง ๆ ทีไ่ ดร้ บั ไปใช้ในชวี ิตประจำวันของตนเองได้การได้
PAR จงึ มใิ ช่เป็นเพยี งวิจัยแตเ่ ปน็ การสรา้ งคน พัฒนาการเรยี นรแู้ ละสร้างศกั ยภาพการพง่ึ การจัดการตนเองของ
ชุมชน สร้างความสานึกต่อการมีส่วนร่วมต่อความเปน็ ส่วนรวมของสังคมประชาธิปไตยในวิธีคิดใหม่ๆ สร้าง
ความสานกึ ต่อความเป็นพลเมอื งดว้ ยบทบาทหน้าท่ใี หม่ ๆ ตามความจำเป็นทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหม่ทัง้ ของสังคมไทยและ
สงั คมโลก ด้วยรปู แบบที่ยดื หยุ่นและมีพลวตั รไปกบั ความรวดเรว็ ของความเปลย่ี นแปลง

๓) Research Integration : การวิจยั สรา้ งความรู้ และสร้างทฤษฎีพนื้ ฐานจากการปฏบิ ตั ิ ในทาง
การศึกษานั้น การเกิดประสบการณ์และความเปลี่ยนแปลงทางการปฏิบัติ เป็นเครื่องบ่งชี้การเรียนรู้และ
ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนร้ทู ีส่ ำคัญมากอย่างหนึ่ง อีกทั้งการเรยี นรจู้ ากประสบการณน์ ้ัน กม็ ีความเชื่อมโยงอย่าง
ใกล้ชิดกบั การดาเนนิ ชวี ติ ดงั น้นั จึงเป็นความรู้และทฤษฎที มี่ พี ลังตอ่ การอธบิ ายภาคปฏิบตั ขิ องสงั คม อกี ท้ังจัด
วา่ เป็นความร้คู วามจริงเชงิ วัฒนธรรมหรอื ความรู้เชงิ ทฤษฎีทมี่ ีบริบท ซ่งึ นอกจากจะไมส่ ามารถทดแทนได้ด้วย
ความจริงที่อธิบายโดยวิทยาศาสตร์แนวกระแสหลักแล้ว ก็กลับจะสง่ เสริมเติมเต็มกันและกันให้สังคมมีความ
งอกงามมัง่ ค่ังในงานสรา้ งสรรค์ทางปัญญาได้มากย่ิงๆขึ้น การวิจัยเพือ่ สร้างความรขู้ น้ึ อย่างเปน็ ระบบจึงจาเป็น
ต้องออกแบบให้บูรณาการกับมิติอื่น ๆ ไปด้วย ดังนั้น PAR จึงเป็นกระบวนการวิจัยท่ีได้สร้างองค์ความรู้
บทเรียน และภมู ิปัญญาปฏิบัติ สั่งสมเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ มีความเตบิ โตและเจริญงอกงามทางศิลปะและ
วฒั นธรรม บูรณาการอยูใ่ นวถิ ปี ฏิบัตแิ ละวถิ คี วามเปน็ ชุมชนจะเหน็ ได้ว่าคุณลกั ษณะของการวจิ ัยดังกล่าวน้ีมิได้
มุ่งบรรลุจดุ หมายเพยี งการวิจยั สรา้ งความร้แู ละใหไ้ ด้ขอ้ มลู ความรทู้ ีส่ รา้ งขนึ้ อย่างเปน็ ระบบในรายงานการวิจัย
สักเล่มหนึ่งเท่านั้น ทว่า ความรู้และการวิจัย เป็นเพียงมรรควิถีหรือกระบวนการและขั้นตอนหนึ่งของการ
จัดการเพือ่ เปลยี่ นผา่ นตนเองของปัจเจก กลุ่มประชาคม และชมุ ชน ใหม้ ุง่ บรรลจุ ดุ หมายดังทพ่ี ึงประสงคร์ ว่ มกนั
เท่าน้นั ๑๙

๗.๓.๓ คณุ ลักษณะของนกั วจิ ยั ทีเ่ สรมิ ศกั ยภาพการเป็นนักวจิ ยั แบบ PAR
ด้วยคุณลักษณะ ความจำเปน็ และความต้องการท่ีเปน็ เหตผุ ลเบ้ืองหลังของการวจิ ยั เชิงปฏิบตั กิ าร
อย่างมีส่วนร่วม สะท้อนให้เห็นคณุ ลักษณะสำคัญของนักวิจัยในการผสมผสานงานความรู้และการดำเนินการ
ภาคปฏบิ ัติ ให้กลมกลนื มคี วามบูรณาการอยใู่ นตนเอง ศกั ยภาพท่ีสำคัญ ๓ ด้านเพอื่ เป็นนักวิจยั ในแนวทางนี้ได้
อย่างสอดคลอ้ งกบั ความจำเป็นและระบบวธิ คี ดิ ทีอ่ ย่เู บ้อื งหลงั ในขา้ งต้น ประกอบด้วย

๑) Creative Igniter and Changes Facilitator : ความเป็นกระบวนกร มีความสำนกึ ร่วมตอ่
สังคมและชมุ ชน เป็นผู้นำการเปล่ียนแปลงทางสังคมด้วยความริเร่ิมและสร้างสรรค์ และจัดวางตนเองให้เปน็
ผู้สนบั สนุนชมุ ชนหรือกล่มุ ผ้ปู ฏิบัติ สำหรบั รเิ ริ่มและทำงานต่างๆ ได้

๒) Researcher : ความเป็นนักวิจัยและนักวิชาการ เป็นผู้มีหน้าที่ต่อสังคมในการสร้างสั่งสม
ความรู้และบรกิ ารงานวชิ าการเพอ่ื เสริมกำลังการพฒั นาของสงั คม

๑๙ วิรตั น์ คาศรีจันทร์, พลังความรจู้ ากการวจิ ยั แบบ PAR, (กรงุ เทพมหานคร: บริษัท พี.เอ.ลีฟวงิ่ จากัด,
๒๕๕๔), หน้า ๔-๖ และ ๙๔.

๒๓๔ Advanced Research Methodology on Peace
๓) Educator : ความเป็นนักการศึกษา สามารถทำให้กระบวนการวิจัยเป็นเงื่อนไขการเรียนรู้

และเป็นโอกาสสร้างคน เป็นโอกาสพัฒนาการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์สงั คม เป็นครูของชมุ ชน เป็นเพื่อนร่วมคดิ
ร่วมทำ ร่วมเรียนรู้และเปล่ยี นแปลงกับผูค้ น เป็นสภาพแวดล้อมท่ใี ห้ความเชื่อมน่ั ในตนเองของชาวบ้านและก่อ
เกดิ ความบนั ดาลใจในการพึ่งการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองเพอ่ื มคี วามยัง่ ยนื ตอ่ การพฒั นาตา่ งๆ๒๐

๗.๓.๔ ความเช่อื พ้นื ฐานของ PAR
• ปจั เจกชนทกุ คน ย่อมมีศกั ยภาพ รว่ มคิด ร่วมทำ เพื่อเปลยี่ นแปลงสู่ ชุมชน/องคก์ รท่ีดกี วา่
• ทุกคนรู้ แตอ่ าจจะคนละดา้ น คนละเร่อื ง คนละมติ ิ
• การสรา้ งและใชค้ วามรู้ตอ้ งเป็นประชาธปิ ไตย
• ทรพั ยากร ประโยชน์ตอ้ งแบ่งปัน และกระจายอย่างเป็นธรรม
• ความมุ่งมน่ั รว่ มใจจากคนใน&นอก จำเปน็ ต่อการเปล่ยี นแปลง
• ทุกฝา่ ยรว่ มมอื บนพ้ืนฐานทเี่ ทา่ เทยี มกัน และยอมรับผลทเี่ กดิ รว่ มกัน
• การเปลย่ี นแปลงสสู่ ่ิงทมี่ ุ่งหวงั เปน็ ไปอยา่ งสันตวิ ิธี มดี ุลยภาพ ระหวา่ งปัจเจก สงั คม ธรรมชาติ
ความแตกต่างของ AR, PR, PAR

ท่ีมา: ชอบ เขม็ กลัด และโกวิทย์ พวงงาม, ๒๕๔๗, หน้า ๖-๗.

เหตุและปจั จยั ท่ีตอ้ งทำวจิ ัยแบบ : PAR
๑. คนในชุมชนหรือผทู้ มี่ สี ่วนเกีย่ วข้องไม่ไดม้ สี ว่ นร่วม
๒. ชาวบา้ นเป็นเพยี งผู้ถกู ศกึ ษาวิจัย
๓. วธิ ีการศึกษาถูกออกแบบมาจากผ้วู ิจยั
๔. เจา้ ของพ้นื ท่ไี ม่ไดป้ ระโยชนอ์ ย่างแทจ้ ริง
๕. ผลวจิ ัยไมส่ ามารถแกไ้ ขปญั หาของชมุ ชนไดอ้ ยา่ งตรงจุด
๖. รายงานการวิจัยอยูบ่ นห้งิ /ในห้องสมดุ

๒๐ วิรัตน์ คาศรีจันทร์, พลังความรู้จากการวิจัยแบบ PAR, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท พี.เอ.ลีฟวิ่ง จากัด,
๒๕๕๔), หนา้ ๖.


Click to View FlipBook Version