The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยสันติภาพชั้นสูง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by khantong7339, 2022-06-29 14:03:01

วิจัยสันติภาพชั้นสูง

วิจัยสันติภาพชั้นสูง

ระเบยี บวิธีวิจยั ช้ันสูงวา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๘๕
Facilitator) และ ตัวการสอนหรือเนอื้ หา (Content) ในการจดั กระบวนการเรียนรู้ เทคนคิ วธิ กี ารสอน สื่อท่ี
จะนำมาใช้ ต้องสอดคล้องกบั ทงั้ ๓ ปจั จัยนี้

ภาพที่ ๓.๒ ตวั อย่างทบทวนวรรณกรรมดว้ ยแผนภาพ

• นำตนเอง

• สตปิ ัญญา

ตัวผู้เรียน • อนิ ทรยี ์

Adult • ความรสู้ ึก
ความแตกต่าง • ความสามารถ
• การทบทวนตนเอง

ตัวการสอน • เหตุ -ผล
Content
อรยิ สจั ๔ • งา่ ย –ยาก

ตวั ผู้สอน • ใกล้ – ไกล
Buddhisht
Facilitator • กวา้ ง –ยอ่ ย

• ตรวจสอบความเช่ือ
๑๐ ประการ

• พรหมวหิ าร ๔ • หลกั สอนดี ๕
• หลกั คนดี ๗ • หลักมติ รดี ๔
• หลักมติ รดี ๔ • หลักตรวจสอบคนดี ๓
• หลกั สอนดี ๗

๓.๕.๓ ส่ิงที่ควรทำและไมค่ วรทำในการเขยี นทบทวนวรรณกรรม
(๑) ไม่ควรนำเสนอแบบรายชิน้ กล่าวคือ ไม่ควรนำเสนอการทบทวนวรรณกรรมโดยนำเสนอผล
เป็นรายบุคคลตามลำดับตวั อกั ษร หรือตามปี ควรนำเสนอโดยนำเน้อื หาเปน็ หลกั ควรเสนอผลงานทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั
แนวคดิ ในเรอื่ งเดยี ว
(๒) ไม่ควรนำเสนอแบบปฏมิ ากรรมตัดแปะ เพราะแสดงถงึ การขาดความรบั ผดิ ชอบและการแสดง
สติปัญญาของผู้ศึกษา ควรนำเสนอความคิดเห็นที่มีต่อวรรณกรรมที่อ่านด้วยสำนวนตนเองซึ่งจะสะท้อน
คณุ ภาพของงานนั้นด้วยผู้เขียนมีการนำความรขู้ องตนเองมาแสดงให้เหน็
(๓) ไม่ควรใช้ประโยคว่า “ในเรอื่ งน้ไี มม่ ผี ใู้ ดทำมากอ่ น” เพราะทำให้ผู้อา่ นรสู้ ึกว่าผู้เขียนแสดงถึง
การอวดอ้างเกินจรงิ ควรเขียนในลักษณะเป็นการตั้งขอ้ สงั เกต ผ้วู จิ ยั สนใจศกึ ษาเพราะเหน็ ประโยชน์ประเด็นท่ี
อาจจะยงั ไม่มีการศึกษาหรอื มผี ลการวจิ ยั ทช่ี ดั เจนในประเด็นนี้
(๔) ไม่ควรนำผลการทบทวนวรรณกรรมของผูอ้ ื่นมาเสนอราวกับเป็นของตนเองเป็นการละเมดิ
จริยธรรมการวิจัย ควรอ้างอิงให้ผู้อ่านทราบถึงแหล่งข้อมูลที่นามาแสดงและเป็นการเคารพให้เกียรติใน
การศึกษา การอ้างอิงเจ้าของผลงานถา้ เปน็ การอ้างอิงแบบ APA style (นาม ปี) สามารถใช้ได้ทั้ง ขึ้นด้วยช่ือ
แลว้ ตามดว้ ยเนอื้ หา หรือใช้ช่ือไวท้ า้ ยข้อความทนี่ ำมาอ้างอิง และถ้าเปน็ การอ้างองิ แบบมหาจฬุ าฯ ใช้ได้การเอย่
นามแลว้ ตามด้วยเน้ือหาหรืออา้ งอิงแบบเชงิ อรรถ หรือไม่เอ่ยนามก็ไดเ้ พราะการใช้อ้างอิงแบบเชิงอรรถจะมผี ู้

๘๖ Advanced Research Methodology on Peace
แต่งแสดงไว้อย่างละเอียด (อย่างไรก็ตามการอ้างอิงข้อมูลแบบใดขึ้นอยูก่ ับแหลง่ ที่จะนำผลงานไปเสนอหรือ
ตพี มิ พ์)

(๕) ควรใช้ภาษาที่แสดงเหตุผล เข้าใจง่ายเป็นประโยคมีโครงสร้าง ประธาน กริยา กรรม โดย
ผกู้ ระทำเป็นประธานของคำกริยา กล่าวคอื เป็นลักษณะภาษาแบบกรรมวาจก หรอื passive voice

(๖) ควรเว้นชอ่ งหายใจใหผ้ ู้อา่ นโดยวรรคยอ่ หนา้ ที่เหมาะสม (บางทา่ นระบุ ๑๒ บรรทัด) และเมื่อ
จะข้ึนยอ่ หน้าใหมค่ วรมที ้ายข้อความเชื่อมโยงกบั ย่อหนา้ ทจี่ ะขน้ึ ใหม่เพือ่ ทำใหเ้ กดิ ความเช่ือมโยงน่าอา่ น

๓.๕.๔ เทคนิคการเขยี นเรียบเรยี งทบทวนวรรณกรรม
“ลำดับ..ปูพน้ื ฐาน...งานวิจัย...ขอ้ สงั เกต...ทิง้ ข้อคิด”
(๑) ลำดบั เนือ้ หาการนำเสนอตามความสำคญั ของตัวแปรศกึ ษา
(๒) เรม่ิ ต้นกำเนดิ แนวคิดหรอื ทฤษฎีที่เก่ียวขอ้ ง เพอ่ื ปูพน้ื ฐานความรู้
(๓) กล่าวถึงงานวิจยั ท่ีมีข้อคน้ พบทนี่ ่าสนใจและมคี วามสำคญั ต่อประเดน็ ทศ่ี ึกษา
(๔) แสดงถึงข้อสงั เกตหรอื การวิพากยง์ านวจิ ัยหรือแนวคดิ ทกี่ ล่าวถึง
(๕) สรปุ ทง้ิ ข้อคิดหรอื ประเด็นวจิ ัยในทศั นะของผ้เู ขียน ประเด็นทนี่ ักวิจยั ควรได้ศกึ ษาต่อไป

การใชค้ ำเช่ือมในการเขยี นเรียบเรียงทบทวนวรรณกรรม
ทั้งน.ี้ . .ดังนัน้ . . .(สรปุ ). . .เห็นว่า. . . อย่างไรกต็ าม. . . สอดคลอ้ งกบั . . .

ตามทศั นะ ในมุมมองของ
อนึง่ กระน้ันกต็ าม ดว้ ยเหตนุ ้ี ปรากฎการณด์ งั กลา่ ว ในขณะเดียวกนั

แม้ว่า ถึงแมว้ ่า คำถามมีวา่ ทำอยา่ งไร
สะทอ้ นให้เหน็ ว่า แสดงใหเ้ หน็ วา่ ท้ายทส่ี ุด ฉะน้ัน

กลา่ วไดว้ า่ สรปุ วา่ พบวา่ กล่าวคือ
ฯลฯ

๓.๖ สรปุ

การทบทวนวรรณกรรมนั้นแท้จริงแล้วมีความสำคัญอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ก้าวแรกของการเริ่มต้น
ศึกษาที่ยังไม่ได้ประเด็นหัวข้อ การอ่านงานที่ผู้อื่นศึกษาค้นคว้ามาก่อนช่วยทำให้ประเด็นท่ีเราศึกษามีความ
ชัดเจนและเห็นโอกาสในการทำการศกึ ษาเพิม่ เติมมากขึ้น และยังทำใหเ้ กดิ ประสบการณก์ ารใช้ภาษาวิชาการที่
ไดจ้ ากการอา่ นมาก ทบทวนมาก และประเดน็ สำคญั การทบทวนวรรณกรรมท่ีดมี คี ณุ ภาพจะชว่ ยให้ผลการวิจัย
มีความนา่ เชือ่ ถอื และทรงคุณคา่ ยง่ิ ข้ึน เป็นการสะทอ้ นคณุ ภาพและความรบั ผิดชอบของผู้วิจัย นอกจากน้ีการ
ทบทวนวรรณกรรมยังสำคัญในฐานะเปน็ ประตทู จ่ี ะนำไปสกู่ ารหาเคร่ืองมอื การออกแบบวิจัยท่ีเหมาะสม อันจะ
พาให้การทำวิจัยใกล้ประสบความสำเร็จหรือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง และเมื่อผลการศึกษาเสร็จลง การทบทวน
วรรณกรรมยังสามารถนำมาใชส้ นับสนนุ ผลการวจิ ยั ให้มคี วามนา่ เช่ือถือยิ่งขน้ึ ท้ังนีก้ ารเรียบเรียงการเขียนการ
ทบทวนวรรณกรรมไม่ไดม้ สี ตู รสำเร็จรปู ผูศ้ ึกษาต้องหมนั่ ขยันอ่าน ฝกึ ฝนในการเขียนและควรมกี ารแลกเปล่ยี น

ระเบียบวธิ วี ิจัยช้ันสูงว่าด้วยสนั ตภิ าพ ๘๗
ให้ผอู้ น่ื ไดอ้ า่ นของตนซ่ึงจะชว่ ยในการพฒั นาภาษาและการเรียบเรยี งเนอื้ หาใหม้ คี วามเปน็ วิชาการยิง่ ข้นึ กล่าว
ได้ว่าการทบทวนวรรณกรรมจึงสำคญั ในทุกช่วงของการทำวิจยั ทผี่ ้ศู ึกษาวจิ ยั ไม่ควรมองข้าม และควรยึดมั่นใน
จริยธรรมมารยาทในทางวิชาการด้วยการอ้างอิงผลงานทถ่ี ูกนำมาใช้ในการศึกษา

คำถามทบทวนบทที่ ๓

๑) จงรว่ มกันอธบิ ายถึงความหมาย ความสำคญั ของและประเภทของการทบทวนวรรณกรรม
๒) จงร่วมกันแลกเปลยี่ นวเิ คราะหง์ านวจิ ัย บทความ ท่ีค้นคว้ามามีความเกี่ยวขอ้ งกบั ประเดน็ ที่ศึกษาหรือไม่
๓) จงร่วมกันอธบิ ายถึงจดุ มงุ่ หมายของการทบทวนวรรณกรรมคอื อะไร และการทบทวนวรรณกรรมท่ีดนี น้ั เป็น

อย่างไร
๔) จงร่วมกนั ยกตัวอยา่ งสิง่ ท่ีไม่ควรทำและควรทำในการเขียนทบทวนวรรณกรรม
๕) จงร่วมกันทบทวนศพั ทง์ านวิจยั ในบทเรยี น

กิจกรรมมอบหมายท้ายบทเรียน

๑) การทำสะทอ้ นคิด
๒) การส่งการฝกึ เขียนทบทวนวรรณกรรมจากบทคัดย่อ บทความท่มี อบหมายใหน้ ำมาคาบ

ท่ี ๒
๓) ใหเ้ ขยี นทบทวนวรรณกรรมในหัวขอ้ ประเด็นศกึ ษาที่สนใจโดยใช้วรรณกรรมอยา่ งนอ้ ย ๑๐ เร่อื ง ตามเนอ้ื หา
บทเรียนท่ไี ด้เรียนมา
๔) ให้นำงานวิจยั ประเด็นทีส่ นใจ ตามหลักการทบทวนวรรณกรรมอย่างนอ้ ย ๑๐ เรอ่ื ง สรปุ

การออกแบบวจิ ัยของแตล่ ะเล่ม ใชว้ ธิ กี ารใด ตัวแปรทีศ่ กึ ษาคอื อะไร กล่มุ ตวั อย่างเป็น ใคร เป็นต้น

๘๘ Advanced Research Methodology on Peace

เอกสารอา้ งองิ ประจำบท

กง่ิ กาญจน์ สำนวนเย็น. ๒๕๖๑. การทบทวนวรรณกรรม การสรา้ งกรอบแนวคิด สมมติฐานและตัวแปรในการ
วิจัย”. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา:http://www.ubu. ac.th/web/files_up/08f201706021430
3269.pdf[๑๔ เม.ย. ๒๕๖๑].

ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์. (๒๕๕๗). กระบวนการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติตามหลักศีล ๕ สำหรับผู้นำ.
วทิ ยานิพนธพ์ ุทธศาสตรดษุ ฎีบัณฑติ .บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย.

ชัยเสฏฐ์ พรหมศร. (๒๕๕๗). แนวทางการทบทวนวรรณกรรมสำหรับงานวิทยานิพนธ์ ระดับบัณฑิตศึกษา.
วารสารนักบริหาร. ปีท่ี ๓๔,. ฉบับที่ ๑ มกราคม-มถิ นุ ายน ๒๕๕๗): ๑๒.

ประเวศน์ มหารัตน์สกุล. (๒๕๕๗). หลักการและวิธีการเขียนงานวิจัย งานวิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์,
กรุงเทพมหานคร: สำนกั พิมพ์ปัญญาชน.

ภัทรพล หมดมลทิน. (๒๕๖๐). พทุ ธบรู ณาการเพือ่ พัฒนาเยาวชนใหเ้ ปน็ คนดี. วิทยานพิ นธ์พุทธศาสตรดุษฎี
บัณฑติ .บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย.

สุชาติ ประสิทธ์ิรัฐสินธ,์ (๒๕๕๕). ระเบียบวธิ กี ารวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพ์ครัง้ ที่ ๑๕. กรุงเทพมหานคร:
ห้างหุ้นสว่ นจำกดั สามลดา.

อัจฉรา คำมะทิตย์ และมัลลิกา มากรัตน์. (๒๕๕๙). การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ: วิธีปฏิบัติแต่ละ
ขั้นตอน. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้. ปีที่ ๓. ฉบับที่ ๓
กันยายน-ธนั วาคม ๒๕๕๙: ๒๔๗-๒๔๘.

Justus J. Randolph. ( 2 0 0 9 ) . A Guide to Writing the Dissertation Literature Review. Practical
Assessment, Research& Evaluation. Volume 14, (Nov.13, June):1-13.

POLIT, DF & HUNGLER, BP.. ( 1 9 9 9 ) . Nursing research: Principles and methods, 6th,
Philadelphia: Lippincott.

Rowley, J., & Slack, F..(2004). Conducting a literature review. Management Research News.
27(6): 31-39.

บทที่ ๔

การสรา้ งและสงั เคราะห์กรอบแนวคิดงานวิจัยสูก่ ารต้ังวัตถุประสงค์

บทนำ

กระบวนการศึกษาที่เริ่มต้นจากโจทย์วิจัยหรือคำถามวิจัยซึ่งเบื้องต้นอาจเป็นเพียงประเด็นที่ผู้
ศึกษาสนใจที่จะนำมาศกึ ษาคน้ ควา้ โดยหาคำตอบด้วยการศึกษาทบทวนวรรณกรรมท่เี ก่ียวขอ้ ง นอกจากเพอื่ หา
ช่องว่างของการวจิ ัยและยนื ยันถึงความเป็นไปได้ในการทจี่ ะศึกษาทส่ี ามารถมวี ิธีการเพ่ือตอบคำถามการวิจัยได้
ทจี่ ะสง่ ผลต่อการนำไปตง้ั วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย และการสรา้ งกรอบแนวคิดงานวิจยั ทเ่ี ปรียบเหมือนการคัดท้าย
เรือและหัวเรือ หรอื แผนท่ีและแวน่ ส่องทางท่ีควบคมุ ให้การดำเนินการวจิ ัยมุ่งไปสู่เสน้ ทางของคำตอบการวิจัย
อนั เป็นจุดหมายปลายทางทน่ี ักวิจยั หรือผู้ศกึ ษากำหนดไว้ในวัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย สรุปคอื ท้ังวัตถุประสงค์การ
วิจัยและกรอบแนวคิดการวจิ ยั เป็นเรอ่ื งทส่ี ัมพันธ์กัน

อย่างไรก็ตามความสัมพันธร์ ะหว่างวัตถปุ ระสงค์กับกรอบแนวคิดในงานวจิ ัยอะไรเป็นส่ิงท่ีเกิดข้ึน
ก่อน ซึ่งนักวิชาการบางท่านก็ให้ความเห็นว่าการเขียนวัตถุประสงค์งานวิจัยต้องอยู่ในกรอบแนวคิดการวิจัย
หากกรอบแนวคิดในการวิจัยยังไม่ชัดเจนการเขียนวัตถุประสงค์การวิจัยก็จะยังไม่ชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติ
โดยทั่วไปในการทำวิทยานิพนธ์หรือรายงานวิจัยวัตถุประสงค์จะถูกนำเสนอเป็นลำดับที่สองรองจากความ
เป็นมาและความสำคัญของปัญหา ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากการตั้งวัตถุประสงค์หรือกรอบแนวคิดในการวิจัยแต่
อย่างไรก็ตามทุกการศึกษาและวิจัยจะพบว่า ทั้งวัตถุประสงค์งานวิจัยและกรอบแนวคิดการวิจัยต่างก็ต้องมี
ทศิ ทางไปในแนวเดยี วกนั

ดังนั้นในบทน้ีจึงเริ่มต้นด้วยการนำเสนอเนื้อหาจากการทำความเข้าใจในเรื่องความหมายและ
ประเภทของกรอบแนวคิด การสร้างและสังเคราะห์กรอบแนวคิดงานวิจัยเพื่อสันติภาพ การเขยี นวัตถุประสงค์
การวิจัย และเทคนคิ การเขยี นความเป็นมา รวมถึง การเขยี นนิยามศพั ทเ์ ฉพาะงานวจิ ัย

๔.๑ กรอบแนวคดิ การวิจยั คอื อะไรและสำคญั อย่างไร

๔.๑.๑ ความหมายกรอบแนวคิดการวจิ ัย
ความหมายของกรอบแนวคิดการวิจัย สิทธิ์ ธีรสรณ์ กล่าวว่า กรอบแนวคิด (conceptual
framework) เกิดจาก ๒ คำประสมกัน คือ คำว่า กรอบ (framework) และแนวคิด (concept) คำว่า
framework มีหลายความหมาย อาจหมายถึงโครงสร้างสำหรบั บางสิ่ง แต่สำหรับงานวิจัย โครงสร้างในท่นี ้ี
หมายถึงความคิดหรือข้อเท็จจริงที่ใช้เพื่อสนับสนุนเร่ืองใดเรื่องหน่ึง เช่น คำว่า theoretical framework ท่ี
แปลว่า กรอบทฤษฎี กลา่ วคอื บรรดาทฤษฎีท่สี นับสนนุ ส่งิ ทต่ี อ้ งการศกึ ษาในงานวิจัยนั้นๆ ดงั นนั้ คำว่า กรอบ
แนวคดิ การวจิ ัย (conceptual framework) คอื บรรดาแนวคดิ ทผ่ี วู้ ิจัยนำมาสนับสนนุ ประเด็นท่เี สนอในงานที่

๙๐ Advanced Research Methodology on Peace
ทำ ซ่ึงเรยี กไดห้ ลายอยา่ ง เชน่ โมเดล แบบจำลอง ตวั แบบ เป็นต้น แตใ่ นขณะเดียวกันกอ็ าจอยู่ในรูปข้อความ
บรรยายก็ได้๑

กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual framework) ในการวิจัยทางสังคมศาสตร์หมายถึง
แนวความคิดของผู้วิจยั เก่ยี วกับความสัมพันธ์ระหวา่ งตัวแปรตา่ งๆมกั แสดงด้วยแผนภมู ิโดยเป็นแผนภูมิที่แสดง
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหรือความเก่ียวข้องสัมพันธ์ระหว่างประเด็นสำคัญที่นักวิจัยต้องการศึกษาและ
เชื่อมโยงความสัมพนั ธ์ดว้ ยลูกศรแผนภูมิดังกล่าวจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแบบแผนการวิจัยที่ผู้วิจัยใช้
ตอบคำถามวจิ ยั ๒

ลักษณะสำคัญของกรอบแนวคิดการวิจัย ไม่ว่าจะเปน็ กรอบแนวคิดของการวิจัยเชิงคณุ ภาพหรอื
เชิงปรมิ าณ คอื ความมพี นื้ ฐานเชิงทฤษฎี โดยตวั แปรแต่ละตัวทจี่ ะเลือกเข้ามาศกึ ษาจะตอ้ งมีพืน้ ฐานทางทฤษฎี
เพอ่ื แสดงความมีเหตมุ ีผลเก่ยี วกับความสำคญั และความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรท่ศี กึ ษา มใิ ช่มาจากการคิดเอง
ว่าตัวแปรนี้สำคัญ แต่ต้องผ่านการกล่ันกรองจากการทบทวนวรรณกรรมของนักวิชาการที่มีความน่าเชื่อถือ
หรือได้รับการยอมรับในวงการวิชาการ การมีพื้นฐานทางทฤษฎีของกรอบแนวคิด หมายความว่า
ในเร่อื งทศ่ี กึ ษามีทฤษฎีใดบ้างทนี่ กั วิชาการในอดีตและปัจจบุ ันนำมาใชอ้ ธบิ ายการเกิดขึ้นหรือการเปล่ียนแปลง
ของปรากฏการณ์ ตัวแปรตา่ งๆ ที่เลือกมาจากการทบทวนวรรณกรรมหรือทฤษฎี เรียกได้ว่า เป็นตัวแปรที่มี
ทฤษฎีกำกับ (theoretical underpinning)๓

๔.๑.๒ ความสำคญั ของกรอบแนวคิดการวจิ ัย
กรอบแนวคดิ การวจิ ยั มีประโยชนต์ ่อขนั้ ตอนการวิจัยในแตล่ ะขัน้ ตอน โดยเฉพาะอย่างย่งิ ข้ันตอน
การออกแบบการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูล และขั้นการตีความหมายผลที่ได้จากการ
วิเคราะห์ โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้

กรอบแนวคิดกับขน้ั ตอนการออกแบบ: กรอบแนวคิดในการวิจยั มคี วามเกี่ยวข้องโดยตรงกับการ
ออกแบบการวจิ ัยทั้งนี้เพราะแบบของการวิจัยเกีย่ วกับการเก็บข้อมลู และการวัดตัวแปรตามและตัวแปรอสิ ระ
หลักๆ ของโครงการวิจยั ตัวแปรต่างๆ ทีอ่ ยู่ในกรอบของการวิจัยแตล่ ะแนวมี (ก) ความต้องการทางดา้ นการวัด
(ข) การออกแบบการวิจัยที่แตกต่างกนั ตัวแปรบางตัวอาจตอ้ งอาศัยการทดลองในการเก็บข้อมูล บางตัวแปร
อาจต้องการเก็บขอ้ มลู สองรอบหรือมากกว่านน้ั บางตวั แปรตอ้ งการใช้วัดเชิงจิตวิสยั (subjective measures)
ในขณะทตี่ วั แปรบางตวั ต้องการใช้วดั เชิงวัตถุวสิ ยั (objective measures) ซง่ึ วิธีการต่างๆ เหล่าน้ลี ว้ นเกยี่ วขอ้ ง
กับแบบของการวจิ ยั และการวดั ตัวแปร

๑สิทธิ์ ธีรสรณ,์ เคล็ดลับการเขยี นรายงานวจิ ยั และวิทยานิพนธ์, พิมพ์คร้งั ที่ ๔, หน้า ๖๙.
๒สังคม ศุภรัตนกุล,เอกสารคำสอนรายวิชาระเบียบวิธีวิจัยทางสาธารณสุข, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: https://
sites.google.com/site/healthsecurityproject/rabeiyb-withi-wicay-thang-satharn such>[๑๗ เม.ย. ๒๕๖๑].
๓สุชาติ ประสทิ ธริ์ ฐั สินธ์, ระเบยี บวิธกี ารวจิ ัยทางสังคมศาสตร์, หนา้ ๑๒๓.

ระเบียบวิธวี จิ ยั ชั้นสงู ว่าดว้ ยสนั ตภิ าพ ๙๑
กรอบแนวคิดกับขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล: เนื่องจากกรอบแนวคิดการวิจัยจะเป็นตัว
ชใ้ี หเ้ ห็นถึง (ก) ทศิ ทางของการวจิ ยั ว่าจะเปน็ การวิจัยเชงิ ปรมิ าณหรือการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ หรือการวิจัยอนาคต
กาล (Futures Research) และ (ข) ขอ้ มลู ตัวแปรทต่ี อ้ งจดั เกบ็ ผู้ทจี่ ะทำการวจิ ัยตามกรอบแนวคดิ ดังกล่าว จะ
ทราบได้ทันทีจากสมมุติฐานตา่ ง ๆ ที่ประกอบเป็นแนวความคิดว่าตนจะต้องเก็บข้อมลู หรือตัวแปรอะไรบ้าง
และจากแหล่งใดบ้าง การทราบถึงตัวแปรหรือข้อมูลท่จี ะตอ้ งเกบ็ จะช่วยใหผ้ ทู้ จ่ี ะทำวจิ ัยเลือกวิธกี ารท่ีจะใช้เกบ็
ขอ้ มูล เชน่ การใช้การสงั เกตการณ์ การสง่ แบบสอบถาม หรอื การสัมภาษณ์รายบุคคลหรอื เป็นกลมุ่ หรอื วิธีอื่นใด
ซึ่งแตล่ ะวิธกี ารเกบ็ ขอ้ มลู จะได้ขอ้ มลู ทม่ี ีความถูกต้องหรอื ความเชอื่ ถอื ไดไ้ ม่เหมอื นกัน

กรอบแนวคิดกบั ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล: กรอบแนวความคดิ จะเกีย่ วข้องโดยตรงกบั แนวทาง
ในการวิเคราะห์ข้อมูลว่าควรจะวิเคราะห์แบบใด เพราะกรอบแนวความคิดจะระบุลักษณะและรูปแบบ
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร และสมมุติฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรไว้ชัดเจน ลักษณะหรือ
รูปแบบการของการนำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเป็นสิ่งหน่ึงที่จะกำหนดเทคนิคของการวิเคราะห์วา่
ควรเป็นวธิ ีการใด เชน่ หากระบใุ นรปู แบบของสมมุติฐานทเ่ี ป็นข้อความพรรณนา ผู้ทจี่ ะทำการวิจัยอาจใช้การ
ทำตารางไขว้ชว่ ยในการทดสอบ หรอื อาจใช้วธิ ีการอนื่ ท่ีสูงกว่าก็ได้ หรอื หากจะระบุความสมั พนั ธ์ (Correlation
analysis) หรือการวิเคราะหถ์ ดถอย (Regression analysis) หรือหากระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตา่ งๆ
ในลักษณะของภาพที่มีเส้นเชื่อมโยงระหว่างตัวแปร ผู้วิจัยอาจใช้การวิเคราะห์เส้นทางความสัมพันธ์ ( Path
analysis) หรือแบบจำลองสมการโครงสร้าง (Structural equation model) ก็ได้ จึงอาจกล่าวได้ว่า กรอบ
แนวคิดที่ผู้วิจัยเลือกใช้และวิธีการเสนอกรอบ มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับขั้นตอนของการจัดเก็บและการ
วิเคราะหข์ ้อมลู กรอบแนวคดิ ดังกล่าวชว่ ยช้ใี ห้ผทู้ จ่ี ะทำการวิจัยและผทู้ ี่อ่านผลการวจิ ัยทราบได้ว่าผู้วิจัยจะใช้
การวิเคราะห์วธิ ีใด

กรอบแนวคิดกับข้ันตอนการตีความหมาย: หลังจากทีไ่ ด้ใช้วธิ ีการทางสถติ ิวิเคราะห์ขอ้ มูลแลว้
ผู้วิจัยจะต้องทำการตีความหมายผลทีไ่ ด้จากการวิเคราะห์ กรอบแนวความคิดจะให้เน้ือหาสาระและเหตผุ ล
เกีย่ วกบั ความสมั พันธ์ระหว่างตัวแปร ทัง้ น้ีเพราะกรอบแนวความคดิ ทผ่ี ู้วิจยั ใช้ ไดม้ าจากการประมวลสงั เคราะห์
งานวิจัยในอดีตและทฤษฎีทีอ่ ธบิ ายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ความสอดคล้องระหว่างกรอบแนวความคดิ
และผลที่ปรากฏอยู่ผลงานวิจัยของผู้อื่น และทฤษฎีต่างๆ ที่ใช้ในการวิจัย กรอบแนวคิดสำหรับการวิจัยมา
สนับสนนุ

กลา่ วได้วา่ กรอบแนวคดิ มีความสำคัญอย่างยิง่ ต่อข้นั ตอนในการวิจยั แต่ละขั้นตอน ทั้งนี้การเลือก
กรอบแนวคิดควรนำเสนออยา่ งไรมีรูปแบบใดบ้างในการนำเสนอ จะได้กล่าวถึงในประเดน็ ต่อไป ต่อจากการ
ทราบแหล่งทม่ี าของกรอบแนวคิด

๙๒ Advanced Research Methodology on Peace
๔.๑.๓ แหลง่ ทมี่ าของกรอบแนวคดิ การวจิ ัย
(๑) ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หมายถงึ งานวิจัยท่ีมนี ักวชิ าการในอดีตและปัจจุบันได้ทำมาแล้วใน

ประเด็นที่ผู้วจิ ัยตอ้ งการศึกษา หรือมีเนื้อหาสาระพาดพิงประเด็นหรือมตี วั แปรบางตัวที่ต้องการศึกษารวมอยู่
ด้วย งานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้องดงั กลา่ วน้ีไม่จำเป็นตอ้ งอย่ใู นสาขาวิชาท่ผี ู้วิจัยศึกษาอยู่เสมอไป อาจจะอยู่ในสาขาวิชา
อืน่ ๆ เชน่ สาขาสังคมศาสตร์ จิตวิทยา ประชากรศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรอื มานษุ ยวทิ ยา หรอื สาขา
อื่นใดก็ได้สุดแท้แต่ว่า นักวิชาการในสาขานั้นๆ ได้มีการศึกษาในเรื่องดังกล่าวหรือตัวแปรที่อยู่ในกรอบ
แนวความคดิ มาแล้วหรือไม่

(๒) ทฤษฎีตา่ งๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง กลา่ วคอื นอกจากการศกึ ษาผลงานวจิ ยั ในอดีตแลว้ เพื่อใหไ้ ด้มาซ่ึง
กรอบแนวคดิ ทรี่ ดั กุมมเี หตมุ ีผล ผู้วจิ ัยควรอย่างยงิ่ ทจี่ ะต้องศึกษาทฤษฎตี ่างๆ ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับประเดน็ ทีศ่ ึกษา ไม่
ว่าทฤษฎีนัน้ จะอยู่ในสาขาของตนหรือสังคมศาสตร์สาขาอ่ืน ทั้งนี้เพราะไมเ่ พียงแต่จะได้ตัวแปรต่างๆ เท่านนั้
ยงั ได้ความร้เู ก่ยี วกบั ความสัมพันธ์ระหว่างตวั แปรกบั ปรากฏการณ์ท่ศี กึ ษาอยา่ งมีเน้ือหาสาระโดยแท้ คำอธิบาย
หรอื ขอ้ สรปุ ตา่ งๆ ที่ได้จากการวิจัยในการวิเคราะห์หรอื สรปุ ผลจะได้มีความหนกั แน่นและเข้มข้นในเชิงทฤษฎี
ซึ่งเป็นส่ิงทีม่ ีคุณค่าทางวิชาการและในทางปฏบิ ัติมากกว่าการวจิ ัยทีข่ าดพื้นฐานทางทฤษฎี คำว่าทฤษฎใี นท่นี ้ี
ไม่ได้หมายถึง องคค์ วามรู้ที่ได้มีการตรวจสอบความถูกต้องมาแล้วในระดบั หนึ่ง การศึกษาทฤษฎีที่เก่ียวข้อง
นอกจากจะช้ีใหเ้ ห็นถงึ ตัวแปรใดสำคัญและมี ความสัมพนั ธก์ ันอย่างไรแล้ว ยังทำให้กรอบแนวคิดในการวิจัยมี
แนวทางทช่ี ดั เจนและมีเหตผุ ล และช่วยในการตคี วามผลทไี่ ดจ้ ากการวเิ คราะหอ์ ยา่ งมเี หตมุ ผี ลเชิงทฤษฎี

(๓) แนวความคดิ ของผูว้ ิจัยเอง นอกจากการศึกษาผลงานวิจัยและทฤษฎีต่างๆทีเ่ กี่ยวข้องแล้ว
กรอบแนวความคิดสำหรบั การวิจยั ยังจะไดม้ าจากความคดิ และประสบการณข์ องผ้ทู ่ีจะวิจยั เองเกี่ยวกับสิ่งท่ีตน
ต้องการศึกษา๔

๔.๑.๔ กรอบแนวคดิ การวิจัยกบั งานวิจัยเชงิ คณุ ภาพและการวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ
ด้วยกระบวนทัศน์ของการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจยั เชิงคณุ ภาพมีฐานความเชื่อท่ีแตกต่างกัน
อย่างมากในเรื่องของการให้ความหมายของความรูค้ วามจรงิ ที่สง่ ผลตอ่ วธิ ีการเขา้ ถึงความรคู้ วามจริงน้นั จึงมัก
มีคำถามว่าหากงานวิจัยเชิงปริมาณจำเป็นต้องมีกรอบแนวคิดการวิจัยแล้ว สำห รับงานวิจัยเชิงคุณภาพ
จำเป็นต้องมีกรอบแนวคิดการวิจัยหรือไม่ ทั้งนี้ สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธ์ุ ได้นำเสนอความจำเป็นของกรอบ
แนวคิดการวิจัยในงานวิจัยเชิงคณุ ภาพและงานวจิ ยั เชิงปรมิ าณ ไวด้ งั น้ี๕

๑) กรอบแนวความคดิ การวจิ ยั กบั การวิจัยเชิงพรรณนาและเชิงคุณภาพ: สำหรบั งานวิจัยท่ีมุ่ง
แต่เพียงพรรณนาคุณสมบัติของปรากฏการณ์หรือสิ่งที่ต้องการศึกษา ซึ่งเรียกว่า การวิจัยเชิงพรรณนา
(Descriptive research) การวจิ ัยประเภทนี้จะมแี ตก่ ารระบวุ ่ามตี วั แปรอะไรบา้ งท่จี ะนำมาศกึ ษาเพ่ือท่จี ะทราบ
ว่าประชากรทีศ่ ึกษามีคุณสมบัตอิ ย่างไร เช่น ในการวิจัยเก่ียวกับข้อมูลพืน้ ฐานของพรรคการเมืองไทย ผู้วิจยั

๔สงั คม ศภุ รัตนกลุ , เอกสารคำสอนรายวิชาระเบียบวิธีวจิ ยั ทางสาธารณสุข.
๕สชุ าติ ประสทิ ธร์ิ ัฐสนิ ธ,์ ระเบยี บวิธีการวิจยั ทางสงั คมศาสตร์, พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๑๕, หนา้ ๑๒๗-๑๒๘.

ระเบียบวธิ วี ิจยั ช้ันสูงว่าด้วยสนั ตภิ าพ ๙๓
อาจจะศึกษาคุณสมบัติทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการศึกษาของสมาชิกของพรรค นโยบายของพรรคและ
ประเภทของคำขวัญท่ีใช้ในการหาเสยี ง ถ้าเปน็ การวิจัยด้านสงั คม เช่น เด็กเร่ร่อน ผู้วิจยั อาจจะต้องเก็บข้อมูล
เกี่ยวกับคณุ สมบัติของเด็กด้านอายุ การศึกษา ที่พักอาศัย ปัญหาในชีวิตประจำวนั ปัญหาเกีย่ วกับครอบครัว
และปัญหาเกย่ี วกบั เจ้าหน้าทีข่ องรฐั

การที่ผู้วิจัยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปรต่างๆ เหล่านี้หากมองในภาพรวมจะสะท้อนให้เห็นถึง
แนวความคิดของผู้วิจัยที่ใช้ในการศึกษาว่าด้วยตัวแปรเหล่านี้เกีย่ วข้องกับประเด็นที่ศึกษา แม้ว่าจะไม่เขียน
ออกมาอย่างเป็นทางการว่าเป็นกรอบแนวความคิดสำหรับการวิจัย กรอบแนวความคิดในลักษณะดงั กล่าว
สำหรบั งานวจิ ัยประเภทพรรณนาจึงเปรียบเสมือนขอบเขตทางดา้ นเนื้อหาสาระของการวิจัยซึง่ จะช้ีให้เห็น
ว่าผู้วิจัยต้องทำการเก็บตัวแปรหรือข้อมูลอะไรบ้าง จากที่ใด/ใคร แต่เมื่อไม่เขียนออกมาเป็นทางการ
นกั วิชาการบางคนจึงตีความว่าผู้วิจยั ไม่มีกรอบแนวความคดิ

๒) กรอบแนวความคิดกับการวิจัยเชิงปริมาณ: กรอบแนวความคิดในลักษณะดังกล่าวนี้มี
ความสำคัญมากสำหรบั การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณประเภทอธบิ าย (Quantitative explanatory research) เนอ่ื งจาก
การวิจัยเชงิ ปริมาณ มีจุดมงุ่ หมายทีจ่ ะหาข้อมูลเชงิ ประจกั ษ์ ทีต่ อ้ งมกี ารทดสอบสมมตฐิ านท่ีเป็นข้อความเพ่ือ
นำข้อค้นพบวา่ ใช้อธบิ ายการเกดิ ขึ้นหรอื การเปลี่ยนแปลงเชงิ สาเหตแุ ละผลของปรากฏการณท์ ตี่ อ้ งการศกึ ษา

การมีกรอบแนวความคิดดังกล่าว ในการวิจัยเชิงปริมาณมีความสำคัญมาก ทั้งน้ีเพราะ
การศกึ ษาในเรื่องเดียวกนั มที ฤษฎตี า่ งๆ หรือแนวคิดในการมองปญั หามากมายหลายรปู แบบ หัวข้อปัญหา
ของการวิจัยและประเด็นของการวิจัยที่เป็นเรื่องเดียวกัน อาจมีกรอบแนวความคิดที่จะศึกษาปัญหาและ
ประเด็นของการวจิ ัยแตกต่างกนั ได้ การระบกุ รอบแนวความคดิ จึงเปน็ การชว่ ยให้นกั วจิ ยั ของผู้อน่ื ได้ทราบวา่
ผู้วิจยั มแี นวคิดอย่างไรเกย่ี วกบั ส่งิ ทีต่ อ้ งการศกึ ษาและคิดวา่ อะไรสำคัญและอะไรสมั พนั ธ์กับอะไรในรปู แบบ
ใดและทิศทางใด

ตวั อย่างของการวจิ ยั เชิงอธบิ ายในทางรฐั ศาสตรเ์ ร่ืองเกี่ยวกับพฤตกิ รรมการเลอื กตงั้ เพอื่ ทจ่ี ะศกึ ษา
ดวู า่ อะไรทำใหค้ นไปเลอื กต้งั หรือไมไ่ ปเลือกตง้ั นกั รัฐศาสตรบ์ างทา่ นอาจให้ความสนใจเกย่ี วกับบรรยากาศทาง
การเมืองที่เป็นอยู่ในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งและขณะการเลือกตั้งว่าทำให้ประชาชน โดยทั่วไปมีความ
กระตอื รอื รน้ ทีจ่ ะไปลงคะแนนเสียงเลือกต้ังหรอื ไม่และความกระตือรือรน้ ท่ีข้นึ อย่กู ับสง่ิ ๆ ทีเ่ ป็นบรรยากาศทาง
การเมืองอะไรบ้าง เช่น ความขัดแย้งกันระหว่างอุดมการณ์การปกครองการเสนอข่าวเกี่ยวกับการเครื่องไหว
ของกลุ่มพลังต่างๆ แต่นักรัฐศาสตร์อีกท่านหนึ่งอาจจะมุ่งศึกษาถึงลักษณะทางด้านเศรษฐกิจ สังคมของ
ประชาชน และพ้นื เพทีเ่ ป็นแนวโน้มทางด้านการเมอื ง(Political orientation)นับตัง้ แต่วัยเดก็ จนถงึ ปจั จุบนั ซึง่
เกย่ี วขอ้ งกบั ลักษณะและอุดมการณ์ของการปกครองแบบประชาธิปไตย นักรัฐศาสตรบ์ างท่านอาจจะสนใจเรอื่ ง
การใช้อำนาจเงิน อำนาจรัฐ และอำนาจ กกต. ว่ามีผลต่อการเลือกตั้งอย่างไร ตัวแปรหรือข้อมูลตลอดจน
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่จะอธิบายพฤติกรรมการเลือกตั้งที่ประก อบเป็นกรอบแนวความคิดของนัก
รัฐศาสตร์เท่านี้จึงแตกต่างจากกรอบแนวความคิดของนักรัฐศาสตร์ท่านแรก และยังจะแตกต่างจากกรอบ
แนวความคิดของนกั รฐั ศาสตร์ทา่ นอื่นๆ ท่ีต้องการศึกษาเร่ืองทำนองเดยี วกนั แต่มองในมุมทีแ่ ตกตา่ งกัน

๙๔ Advanced Research Methodology on Peace
๔.๑.๕ ความแตกตา่ งระหว่างกรอบแนวคดิ การวิจัยกับกรอบทฤษฎี
เห็นได้ว่าไมว่ ่าจะเปน็ งานวิจัยเชิงปรมิ าณหรอื เชิงคุณภาพ การดำเนินการวจิ ัยน้ันต้องยึดทฤษฎีใด

ทฤษฎีหนึ่งเป็นหลกั เรียกว่า “กรอบทฤษฎี (theoretical framework)” ซึง่ เป็นส่ิงที่ผู้วิจัยใช้มองปัญหาที่
ศึกษา ผู้วจิ ยั สรา้ งกรอบทฤษฎเี พี่อนยิ ามโครงสรา้ งกว้างๆ สำหรบั การทำงานของตน ทำใหง้ านดชู ดั เจนข้นึ และ
ยังช่วยให้ผูว้ ิจัยทำงานได้เร็วขึ้นโดยจะมองทีข่ ้อมูลภายใต้กรอบทฤษฎีนั้นเท่านั้น ในขณะที่กรอบแนวคิดการ
วิจัยเป็นสิ่งที่ผู้วิจัยคิดขึ้นเองบนพื้นฐานของกรอบทฤษฎีที่ยึดเป็นหลัก เช่น เมื่อผู้เขียนทำวิจัยเกี่ยวกับตรา
ผลิตภัณฑ์ ก็ได้ศึกษาภายใต้กรอบแนวคิดของ Aaker ในสถานการณ์วิจัยส่วนใหญ่ ผู้วิจัยไม่ต้องสร้างกรอบ
แนวคิดขึ้นมาใหม่ แต่จะปรับจากกรอบทฤษฎีที่มีอยู่ เป็นความคิดของผู้วิจัยในเรื่องเกี่ยวกับวิธีที่จะศึกษา
งานวิจยั เรื่องน้นั เราใช้กรอบแนวคดิ การวิจัยเพือ่ ช้นี ำการทำงานของเรา ในขณะที่กรอบทฤษฎีเป็นทฤษฎที เ่ี ป็น
จากการวิจยั ก่อนหนา้ นีโ้ ดยผู้อื่น เป็นสิ่งที่มีอยู่แลว้ และผู้วจิ ัยนำมาใช้ กรอบทฤษฎีมขี อบเขตและมติ กิ ารมอง
ภาพทกี่ ว้างกว่ากรอบแนวคดิ เพราะไม่ไดจ้ ำเพาะกบั งานวิจยั เร่อื งใด ไมไ่ ด้ช่วยตอบโจทย์วจิ ัยของเรา

กรอบแนวคดิ การวจิ ัยจึงต้องระบตุ ัวแปรอสิ ระและตวั แปรตามในงานและความสัมพันธร์ ะหว่างตัว
แปรเหล่านั้น กรอบแนวคิดการวจิ ยั เป็นการทำให้กรอบทฤษฎมี ีลกั ษณะเชงิ ปฏิบตั ิการตรงที่จะมองในระดับการ
ทำงานสำหรับงานวิจยั เรอ่ื งหนงึ่ ๆ

กรอบทฤษฎีเปน็ สิ่งทีใ่ ช้เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งในปรากฏการณ์หนึ่งๆ แต่กรอบ
แนวคดิ เปน็ ทศิ ทางโดยเฉพาะสำหรับงานวิจยั เรอ่ื งหน่ึงๆ ถา้ จะกลา่ วด้วยภาษาสถิติ ก็กล่าวไดว้ า่ กรอบแนวคิด
ระบุตัวแปรที่จะศกึ ษาในงานน้ันๆ ซึ่งทำให้เราทราบว่าควรใช้เทคนิคทางสถติ ิแบบใดในการวเิ คราะห์ข้อมูล

ถา้ จะเปรียบกรอบทฤษฎวี ่าเป็นเสมอื นอาหารท่เี ราจะเลือกรบั ประทาน กรอบแนวคิดก็เปรียบได้
กับประเภทอาหารที่เลือก ส่วนอาหารแต่ละจานที่ประกอบหรือปรุงขึ้นก็คือตัวอย่างแต่ละรายที่เราเก็บเป็น
ข้อมูลเชน่ กัน

ความแตกตา่ งระหว่างกรอบแนวคดิ การวจิ ยั กบั กรอบทฤษฎี
กรอบทฤษฎี: สงิ่ เร้ากอ่ ใหเ้ กดิ การตอบสนอง มองความสมั พนั ธ์กวา้ งๆ ระหว่างสิง่ ๒ สิ่งกรอบแนวคิด
การวิจัย : วิธีการสอนแบบใหมท่ ำให้นักเรียนมีผลการเรียนดขี น้ึ (ระบุตัวแปร ได้แก่ วิธีสอน (สงิ่ เรา้ )
และผลการเรยี น (การตอบสนอง)

กลา่ วได้ว่า กรอบแนวคดิ ในการวิจัยไม่ใช่ส่งิ ทตี่ อ้ งสรา้ งขน้ึ ใหม่ แตส่ ามารถพบได้จากการทบทวน
วรรณกรรม และสามารถนำกรอบแนวคดิ ของงานอ่นื หรอื กรอบทฤษฎที ่ีทบทวนมาปรบั เปล่ียนให้เข้ากับบริบท
ของงานที่กำลงั ศึกษา๖

๖สทิ ธิ์ ธีรสรณ,์ เคล็ดลบั การเขียนรายงานวจิ ยั และวิทยานพิ นธ์, พิมพ์คร้ังท่ี ๔, หน้า ๗๑-๗๓.

ระเบียบวธิ วี จิ ยั ช้ันสงู ว่าดว้ ยสันติภาพ ๙๕
๔.๑.๖ องคป์ ระกอบของกรอบแนวคดิ การวิจัย
กรอบแนวคดิ การวจิ ยั เรอ่ื งหนึง่ ๆ มอี งคป์ ระกอบอย่างนอ้ ย ๒ ประการ ดงั นี้
(๑) ตัวแปร กล่าวได้ว่า ตัวแปรที่ปรากฏในกรอบแนวคิดหนึ่งๆ มีหลายประเภท เช่น ตัวแปร
อิสระ ตัวแปรตาม ตัวแปรส่งผ่าน ตัวแปรกำกับ เป็นต้น โดยเราจะจัดให้ตัวแปรเหล่านี้อยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม
(ยกเว้นสมการโครงสรา้ ง) โดยทวั่ ไปเราจะจดั ใหต้ ัวแปรอสิ ระอยู่ทางซ้ายและตัวแปรตามอยู่ทางขวา แต่เร่ืองน้ี
ไม่มีกฎเกณฑ์ทีแ่ น่นอน ขึ้นอยู่กับความซับซอ้ นของงาน งานวิจัยบางเร่ืองอาจมีตวั แปรมาก ผู้วิจัยตอ้ งวางตวั
แปรแต่ละตวั ใหอ้ ยู่ในตำแหนง่ ท่ีเห็นว่าเหมาะสม เมอื่ ลากเส้นเพอื่ แสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรแล้ว ไม่ทับ
กันจนดูเลอะเทอะไปหมด ตำแหนง่ การวางจงึ ไม่ใช่ประเด็นสำคญั

(๒) ความสัมพันธ์ ในงานวิจัยเกี่ยวข้องกับตัวแปรตั้งแต่ ๒ ตัวขึ้นไป มักจะใช้ลูกศรแทน
ความสมั พันธ์นน้ั ๆ ถ้าเป็นความสมั พันธเ์ ชิงสาเหตุระหวา่ งตวั แปรหนง่ึ กับตัวแปรหนง่ึ เสน้ ทางความสัมพันธ์จะ
ลากลูกศรทางเดยี วจากตวั แปรตวั แรกไปท่ตี วั แปรตัวหลงั ส่วนลกู ศรสองทางจะใช้เชอ่ื มตัวแปร ๒ ตัว ท่ีสัมพันธ์
กนั เชิงสหสัมพันธ์ ถา้ ตัวแปรไมม่ เี ส้นเชือ่ มกนั ก็แสดงวา่ ไม่มคี วามสัมพันธ์๗

๔.๑.๗ หลกั ในการเลือกกรอบแนวความคดิ ในการวิจัย
เนื่องจากปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา การศึกษา ธุรกิจและการเมือง ตลอดถึง
งานวิจัยด้านสันติศึกษานั้น แม้แต่จะเป็นเรื่องเดียวกันสามารถศึกษากันได้หลายแง่หลายมุมแตกต่างกัน
ผลงานวิจยั บทความทางวิชาการ และทฤษฎจี ะสะทอ้ นลกั ษณะของการมองปญั หาในเรือ่ งเดยี วกันหรอื ประเดน็
เดียวกัน ในลักษณะที่แตกต่างกัน ผู้ที่จะทำการวิจัยจำเป็นต้องเลือกแนวความคิดที่จะใช้ในการวิจัยจาก
แนวความคดิ และทฤษฎีตา่ งๆ ท่มี อี ยูท่ ัง้ ทีข่ ดั แย้งและไม่ขัดแย้งกัน มาใชส้ ร้างกรอบแนวความคิดของตนเองซ่ึง
ต้องอาศยั หลักบางประการในการเลือกหลักทส่ี ำคญั ในการเลอื กกรอบแนวความคดิ มอี ย่ดู ้วยกนั ๔ ประการคอื
๑) ความตรงประเด็น ๒) ความง่ายและไม่สลับซับซ้อน ๓) ความสอดคล้องกับความสนใจและ ๔) ความมี
ประโยชน์เชิงนโยบายรายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปน้ี๘

(๑) ความตรงประเด็น: กรอบแนวความคิดที่ผู้ที่จะทำวิจัยควรเลือก จะต้องเป็นกรอบ
แนวความคดิ ทตี่ รงกับประเดน็ ของการวจิ ัย กลา่ วคอื มีความตรงประเด็นในด้านเนอื้ หาสาระซ่งึ พิจารณาได้จาก
(ก) เน้ือหาสาระหรอื คำนยิ ามจริง/คำนิยามปฏบิ ัตกิ ารของตวั แปรอสิ ระทกุ ตวั และตัวแปรตาม (ข) ความสมั พันธ์
ระหว่างตวั แปรทกุ ตัวที่อยู่ในกรอบแนวความคิดและ (ค) ระเบียบวธิ ที ่ใี ช้ในการศึกษา เชน่ แนวทางการวิจยั เชิง
คณุ ภาพ หรอื เชงิ ปริมาณ ถา้ เป็นการวิจยั เชิงปรมิ าณ ผ้วู จิ ัยใชว้ ธิ ีการสุ่มตวั อย่างมาอยา่ งไร สรา้ งมาตรวัดตวั แปร
ทุกตัวด้วยวิธีการใด และใช้เทคนิคใดในการวิเคราะห์ข้อมูล ถ้าเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยจะใช้กรอ บ
แนวความคิดในลกั ษณะใดทีไ่ ม่สร้างปญั หาใหก้ บั การแสวงความเป็นจรงิ ในเร่ืองน้ันๆ

๗สทิ ธิ์ ธรี สรณ,์ เคลด็ ลบั การเขียนรายงานวจิ ัยและวิทยานพิ นธ์, พมิ พ์ครงั้ ที่ ๔, หน้า ๗๔-๗๕.
๘เร่อื งเดยี วกัน, หน้า ๑๓๑-๑๓๒.

๙๖ Advanced Research Methodology on Peace
ในกรณีที่มแี นวความคิดหลายๆ แนวท่เี กยี่ วข้องกับหัวข้อเร่ืองที่ต้องการจะศึกษา ผู้ท่ีจะวิจัยควร

เลือกแนวความคิดที่ตนเองคิดว่าตรงกับประเด็นที่ต้องการศึกษามากที่สุด และหากไม่อาจตัดสินใจ เลือก
แนวความคิดหลายๆ แนวที่ตรงประเด็นได้ ผู้ที่ทำการวิจัยจะต้องใช้หลักเกณฑ์อื่นประกอบหรือกำหนด
แนวความคิดของตนขึ้นมา โดยการผสมผสานหรือวิเคราะห์เชิงบูรณาการแนวความคิดต่างๆ ที่มีอยู่แล้วเข้า
ดว้ ยกัน

(๒) ความง่ายและไม่สลับซับซ้อน: กรอบแนวความคิดที่ดี ควรเป็นกรอบที่ง่ายแก่การเข้าใจ
(Simplicity) ไมย่ ุ่งยากซบั ซ้อน ถ้าหากมีทฤษฎีหลายทฤษฎีทจ่ี ะนำมาใชเ้ ปน็ กรอบแนวความคิด ผู้ท่ีจะทำการ
วิจัยควรเลือกทฤษฎีตรงไปตรงมา และสมเหตุสมผลท่สี ดุ ท่ีสามารถอธิบายปรากฏการณท์ ีต่ ้องการศึกษาไดด้ ีกวา่
หรือชัดเจนกว่า ความง่ายและความงดงามของแบบจำลองหรือกรอบแนวความคิดพิจารณาได้จากจำนวนตัว
แปรและรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่มีอยู่ในทฤษฎี กรอบแนวความคิดที่มีตัวแปรที่ผ่านการ
คดั เลือกอยา่ งดีมาแลว้ น้อยตวั กว่าและสลับซับซ้อนนอ้ ยกว่า (Parsimonious model) โดยท่วั ไปจะถือว่าดีกว่า
กรอบแนวความคิดท่ีมากมายด้วยตวั แปรและความสัมพันธ์ท่สี ลบั ซับซอ้ น

(๓) ความสอดคล้องกับความสนใจ: กรอบแนวความคิดที่จะเลือกใชค้ วรมีเนือ้ หาสาระเก่ยี วกบั
ตัวแปร หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้ที่จะทำการวิจัย เช่น ในเรื่องของ
การศึกษาว่าด้วยจิตสำนึกทางชนชั้น (Class consciousness) มีความสัมพันธ์อย่างไรกับพฤติกรรมการ
ลงคะแนน ผู้วจิ ัยควรใช้กรอบความคิดดังกลา่ วแทนทีจ่ ะใช้กรอบแนวความคดิ ท่เี กี่ยวกับเรอื่ งวิธีการหาคะแนน
เสียงของผู้สมคั รรบั เลอื กตั้ง ซึง่ ตนเองไม่สนใจ

(๔) ความมีประโยชน์เชิงนโยบาย: การวิจัยทางสังคมศาสตร์ควรเป็นงานวิจัยที่มีประโยชน์
ทางด้านนโยบายหรอื การพฒั นาแนวทาง มาตรการและวิธกี ารในการแก้ไขปัญหาสังคม เศรษฐกิจ ธุรกิจ และ
การเมืองภายในองค์การ/วงการธุรกิจ/วงการการเมือง/ชุมชน และประเทศชาติ กรอบแนวความคิดที่จะใชใ้ น
การวิจัยจึงควรสะท้อนลักษณะของพืน้ ฐานทางศาสตร์และมีเนือ้ หาสาระ (ตัวแปรอิสระ) ที่เป็นประโยชนต์ อ่
นโยบายหรือการพัฒนาบริหารในเรื่องนั้นๆ ผู้ที่จะทำการวิจัยจึงควรเลือกกรอบแนวความคิดที่มีตัวแปรที่
เก่ียวขอ้ งกบั ประเด็นปัญหาดงั กล่าว ท่ีผูบ้ รหิ ารสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและมาตรการ
ในการแก้ไขปัญหา เช่น ในการแก้ไขปัญหาความยากจน ถ้าผู้วิจัยพบว่าการทำบัญชีรายรับรายจ่ายของ
ครัวเรือนจะทำให้หัวหน้าครัวเรือนมองเห็นถึงรายจ่ายที่ก่อให้เกิดความยากจนที่ครัวเรือนสามารถตัดลด
รายจ่ายที่ไม่จำเปน็ ลงได้ มคี วามระมัดระวังเรื่องการใช้จา่ ยมากขึน้ ความยากจนของครัวเรือนจะลดลง การรูจ้ ัก
ทำบญั ชีจะเป็นตวั แปรท่ีให้ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย ทงั้ นเี้ พราะเม่ือเก็บข้อมลู เกยี่ วกับตัวแปรลกั ษณะดงั กลา่ วน้ี
มาทำการศึกษาวเิ คราะห์ ขอ้ คน้ พบทไี่ ด้สามารถนำมาใช้ประโยชนก์ ำหนดเป็นนโยบายมาตรการหรอื แนวทางใน
การพัฒนาด้านนัน้ ๆ ได้

ตวั อยา่ งของตัวแปรท่ไี ม่มคี วามเป็นนโยบายในตวั ของมันเองคือ อายุ และเพศเพราะทั้งสองตัวแปร
น้ไี มส่ ามารถเปลยี่ นแปลงไดด้ ้วยนโยบายแนวทางหรือมาตรการใดๆ ได้ แต่ตัวแปร เชน่ ความรู้เก่ยี วกับสิทธแิ ละ
หน้าที่ของประชาชนในการเลือกตั้งหรือประสบการณ์ การได้รับการฝึกอบรมในเรื่องที่เกีย่ วข้อง หรือคณุ ภาพ

ระเบียบวิธีวจิ ยั ช้ันสูงว่าด้วยสันติภาพ ๙๗
และความพึงพอใจ ในการบริการหรือสินค้า เป็นตัวแปรที่มีประโยชน์ทางด้านนโยบายและแนวทางในการ
บรกิ าร เพราะสามารถเปล่ียนแปลงได้ดว้ ยการกระทำของผ้บู ริหารองคก์ ร/ชมุ ชนและประเทศโดยการให้ความรู้
เก่ียวกับสทิ ธหิ นา้ ทขี่ องพลเมืองดหี รอื การสง่ เสรมิ การฝกึ อบรมหรอื การปรบั ปรุงบริการและคุณภาพของสินค้า
อย่างไรกต็ าม ตัวแปรเกีย่ วกับอายุและเพศ แมจ้ ะไม่สามารถเปลย่ี นแปลงไดโ้ ดยนโยบาย แตก่ ็ยงั มีประโยชน์ใน
ขั้นการคัดเลือกการดำเนินงานและการปฏิบัติการให้ตรงกับคุณสมบัติกลุ่มประชากรที่เปน็ เปา้ หมายของการ
บรหิ ารและการจัดการได้

๔.๒ การสร้างและสังเคราะห์กรอบแนวคิดงานวิจยั เพือ่ สนั ติภาพ

๔.๒.๑ การสรา้ งกรอบแนวคิด
จากการทบทวนวรรณกรรม (งานวิจัยและทฤษฎตี ่างๆ) ทเ่ี ก่ียวข้องกับปรากฏการณ์ทศี่ ึกษาเป็นสิ่ง
หนึ่งที่เชื่อมโยงงานวิจัยนั้นเข้ากับความรู้ของศาสตร์ในสาขานั้นๆ ยิ่งสามารถเชื่อมโยงกับแนวความคิดเชิง
ทฤษฎีไดม้ ากเพียงใด จะชว่ ยสง่ เสรมิ ความกา้ วหนา้ ของศาสตรไ์ ดม้ ากขนึ้ เท่าน้ัน ทฤษฎที เ่ี กดิ ข้นึ ในศาสตรแ์ ต่ละ
สาขาส่วนหนึ่งจงึ ไดม้ าจากการทบทวนวรรณกรรม และจากความสามารถของนักวิจยั ทเี่ ช่ือมโยงผลงานของตน
ในปจั จบุ ันกบั การขยายการประยุกต์ทฤษฎที ่เี ป็นองค์ความรขู้ องศาสตร์ในอดตี

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แนวความคิดเชิงทฤษฎีที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก
เพราะเป็นส่ิงท่ีจะกำหนดรปู แบบของการวจิ ัย วิธกี ารเกบ็ และการวเิ คราะหข์ อ้ มูล การวิจัยในเร่ืองเดียวกันหาก
ใช้กรอบแนวความคดิ เชิงทฤษฎที ่ีแตกตา่ งกัน ข้อมูลท่ีจะเก็บเพื่อตอบคำถามการวิจัยจะไม่เหมอื นกนั เช่น ใน
การศึกษาการหย่าร้างของครอบครัวไทย หากผู้วิจัยใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้บทบาทในวัยเด็กเป็นกรอบ
แนวความคิด ผวู้ ิจัยจะมุ่งเก็บขอ้ มูลในวัยเด็กของประชากรที่ศึกษา เช่น กิจกรรมตา่ งๆ ท่เี คยทำในวัยเด็ก และ
ความประทบั ใจและประสบการณ์ในวัยเด็ก แต่หากผู้วจิ ยั ใชท้ ฤษฎีเกย่ี วกับอิทธิพลของสื่อมวลชนท่ีมีต่อความคิด
และพฤตกิ รรมของบุคคลในเรอ่ื งของการสมรสและการหยา่ ร้าง๙

▪ การเสนอกรอบแนวความคิด: กรอบแนวคดิ ที่ใชใ้ นการวจิ ยั อาจทำได้หลายวิธีดังตอ่ ไปน๑ี้ ๐
(๑) แบบพรรณนาความ (Description) : การเสนอกรอบแนวความคิดในลักษณะของการพรรณนา
ความ เปน็ การเขียนบรรยายเพ่อื ใหเ้ หน็ ว่า
(ก) ในการวิจัยนี้มตี วั แปรอะไรบา้ งทสี่ ำคัญเก่ียวขอ้ งกบั ปัญหาหรือประเดน็ ของการวิจยั
(ข) ตัวแปรเหลา่ น้มี ีความสมั พันธ์กับตัวแปรตามอย่างไร และ
(ค) มเี หตุผลหรอื ทฤษฎอี ะไรมาสนับสนุน (เส้นทางความสัมพนั ธ์ระหว่างตวั แปรทุกเสน้ ทาง)
กรอบของแนวความคดิ ที่เสนอในลักษณะดังกล่าวนีอ้ าจจะมีความยาวมากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนตัว
แปรและความสลับซบั ซ้อนของความสมั พันธ์ระหวา่ งตัวแปร หากมีตัวแปรหลายตัวและความสัมพนั ธ์ระหว่างตวั

๙สชุ าติ ประสทิ ธ์ริ ฐั สินธ์, ระเบยี บวธิ ีการวิจยั ทางสังคมศาสตร์, พิมพ์ครงั้ ที่ ๑๕, หนา้ ๑๓๓-๑๓๔.
๑๐เรอ่ื งเดยี วกัน, ๑๓๔-๑๔๒.

๙๘ Advanced Research Methodology on Peace
แปรสลบั ซบั ซอ้ นมากและผูเ้ สนอพยายามจะอธบิ ายใหเ้ ห็นถงึ รายละเอียดและเหตผุ ลต่างๆ ดว้ ยเหตุท่ีการพรรณนา
ในบางครัง้ มคี วามยาวมากอาจทำให้ผ้อู า่ นเกดิ ความสับสนและไมช่ ดั เจนว่า ผวู้ ิจัยมีความคิดเหน็ อยา่ งไร ในบางคร้ัง
จงึ ใช้วิธกี ารเสนอแบบอืน่ ประกอบไปด้วย กรอบแนวความคิดแบบพรรณนาแสดงเป็นภาพไว้

ตัวอยา่ ง กรอบแนวคดิ แบบบรรยายความ
การศกึ ษาความสัมพันธร์ ะหว่างการใชพ้ ลังอำนาจของผู้บรหิ ารโรงเรยี นกบั ความพงึ พอใจของครใู น
สังกดั สำนกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษากาญจบุรี
กรอบแนวคิดการวจิ ัย
ผู้วิจัยศึกษาพลังอำนาจตามแนวคิดของสมบูรณ์ นนท์สกุล (๒๕๓๖) ที่ได้ประมวลแนวคิดของ
เฟร็นซ์และราเวน (French&Raven), ราเวนและกรุกลันสกี (Raven & Kruglanski) และ เฮอร์เซย์ และโกลด์
สมิท (Hersey & Goldsmith) โดยการศึกษาการใช้พลังอำนาจของผู้บริหารโรงเรียน ๗ ด้าน คือ ๑) พลัง
อำนาจในการให้รางวัล ๒) พลงั อำนาจในการบงั คับ ๓) พลังอำนาจตามกฎหมาย ๔) พลงั อำนาจอ้างองิ ๕) พลัง
อำนาจความเชีย่ วชาญ ๖) พลังอำนาจขา่ วสาร ๗) พลังอำนาจพ่ึงพา ส่วนระดับความพึงพอใจ ศึกษาความพึง
พอใจตอ่ การใช้พลงั อำนาจของผบู้ รหิ าร ๗ ด้าน

(๒) แบบจำลอง(Model): การเสนอกรอบแนวความคิดในรูปของแบบจำลองส่วนใหญ่มักจะใช้
สัญลักษณ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษหรือชื่อย่อภาษาอังกฤษที่อ่านออกเสียงได้ (ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Acronym)
กอ่ นนำมาสร้างเป็นสมการระบุความสัมพนั ธร์ ะหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม การเสนอในลักษณะนี้ส่วนหน่ึง
จะใช้ให้เห็นถงึ แนวทางในการวเิ คราะหข์ ้อมลู ว่าจะเปน็ การวเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธร์ ะหว่างตัวแปร ๒ ตัวหรอื หลาย
ตวั อีกส่วนหนึง่ จะช้ใี ห้เหน็ ถึงรปู แบบและทิศทางของความสัมพันธร์ ะหว่างตัวแปรด้วย

สมการ (๑) แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง (Voting) กับรายได้
(Income ใช้อักษรต่อ Inc) การศึกษา (Education ใช้อักษรย่อ Edu) อาชีพ (Occupation ใช้อักษรย่อ Occ)
สำหรับตวั แปรท่ีเก่ยี วกับอาชีพ หากแบ่งเปน็ ๒กลมุ่ คือ เกษตรและไม่ใช่เกษตรก็ตอ้ งมีการกำหนดค่าของกลุ่ม
ถ้าหน่วยวิเคราะห์ (เกษตร) ประกอบอาชพี เกษตรจะมีคา่ เป็น @ผู้ท่ีไมป่ ระกอบอาชพี เกษตร มีค่าเป็น 0 และ
ความเป็นสมาชกิ ของกลุ่มสังคมบางประเภท (group membership ใช้อักษรย่อ Group) ถ้าเป็นสมาชิกมีคา่
เป็น ๑ และถ้าไมเ่ ป็นสมาชิกมคี ่าเปน็ 0

Voting = f (Inc,Edu,Occ,Group)………………………………………………(๑)

ในการเสนอสมการที่ใช้อักษรหรือสัญลักษณ์ สิ่งท่ีจำเป็นอย่างยิ่งคือ ผู้ที่จะวิจัยจะต้องระบุว่า
สญั ลกั ษณห์ รอื อกั ษรแตล่ ะตวั ที่ใช้หมายความว่าอะไรเพ่ือใหผ้ ูอ้ ่านสามารถตดิ ตามได้อยา่ งชดั เจน นอกจากนั้น
จะต้องรู้จกั ว่าการใชอ้ ักษรยอ่ แทนชอ่ื ตัวแปรตอ้ งใชต้ ัวอักษรไมเ่ กนิ ๘ ตัวแปร สามารถอา่ นออกเสียงได้ และส่อื
ความได้ง่าย ทั้งน้ีบางครั้งอาจจะเสนอแบบจำลองในรูปของสมการเชิงสถิติ (Statistical equation) ที่บ่งบอก
วา่ จะใชเ้ ทคนิคอะไร ในการวิเคราะห์ดงั เชน่ สมการ (๒)

Voting=b0+b1Inc +b2 Edu + b3Occ + b4Group…………….(๒)

ระเบียบวิธีวิจัยชั้นสูงวา่ ดว้ ยสนั ตภิ าพ ๙๙
สมการ (๒) เป็นสมการท่ีใช้การวเิ คราะหถ์ ดถอยหาคา่ ตา่ ง ๆ คา่ b0 คือค่าคงทส่ี ่วนคา่ b1,b2,b3
และ b4เป็นค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์ (หรือที่เรียกในภาษาสถิติว่าค่าสัมประสทิ ธิ์สัมพันธ์ของตวั แปรระหว่าง
Inc,Edu,Occและ Group ที่มีต่อ Voting) เป็นตัวแปรตาม เมื่อตัวแปรอิสระแต่ละคน (ไม่ว่าจะเป็น Inc, Ehu,
Occ, Group) เปล่ียนแปลงไปแลว้ Voting จะเปล่ียนแปลงไปในสัดส่วนเทา่ ใด
ส่ิงท่คี วรสงั เกตคือเครื่องหมายบวกท่ีแสดงอยหู่ น้าตัวแปรในสมการแต่เม่อื ทำการวิเคราะห์ข้อมูล
แล้ว ซึ่งเครื่องหมายจะบ่งชี้ว่าทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระแต่ละตัวกับตัวแปรตาม เป็นไป
ทางบวกหรอื ทางลบได้ ดังนั้นในการนำเสนอผลการวิเคราะหต์ ้องแสดงเครอ่ื งหมายตดิ ลบถา้ ค่าสัมประสิทธต์ิ ดิ ลบ
และถ้าออกมาเป็นบวกต้องใช้เครื่องหมายบวกไว้ด้วย สมการ (๑) และสมการ (๒) อาจจะแตกย่อยออกเปน็
สมการย่อยลงมาอีกได้ เช่น การเป็นสมาชิกของกลุ่มบางประเภทขึ้นอยู่กับรายได้ การศึกษา และอาชีพ ดัง
สมการ (๓)

Group = f (Inc, Edu, Occ)……………………..………………………..……..(๓)

การเสนอแนวความคิดในรูปแบบของแบบจำลอง ไม่จำเป็นจะต้องมีเพียงสมการเดยี ว การจะมี
สมการมากน้อย ขนึ้ อย่กู บั แนวความคิดของผู้วจิ ยั เกยี่ วกบั ความสมั พันธร์ ะหวา่ งตัวแปร และเทคนคิ ทจ่ี ะนำมาใช้
ในการวเิ คราะห์ เช่น จะใช้การวิเคราะหถ์ ดถอยพหุแบบปกติ (Ordinary multiple regression) หรอื แบบเชิง
ช้ัน (Hierarchical regression) หรือการวเิ คราะห์เสน้ ทาง (Path analysis)

(๓) แบบภาพ (Pictorial): นอกจากการเสนอกรอบแนวความคิด ด้วยการพรรณนาความหรือ
แบบจำลองที่เปน็ สมการใชต้ วั อกั ษรและสญั ลกั ษณ์แล้ว ผวู้ ิจัยยงั อาจใชภ้ าพชว่ ยเพ่ือใหเ้ กดิ ความชัดเจนมากขึ้นว่า
ผู้วิจยั มีความคดิ อยา่ งไรเกยี่ วกับความสมั พันธ์ระหว่างตัวแปร ผวู้ ิจัยทีม่ ตี วั แปรอย่างเดียวกันจำนวนเท่ากันอาจมี
แนวความคิดแตกต่างกนั และแนวความคดิ ทต่ี ่างกนั สะทอ้ นให้เห็นไดช้ ัดจากภาพที่แตกต่างกนั ภาพ ๔-๑ แสดงให้
เหน็ วา่ ผ้วู จิ ยั เพยี งแตค่ ิดว่า การศึกษา รายได้ และอาชีพ ต่างมคี วามสัมพนั ธ์กับการลงคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั แต่
ไมม่ ีความสัมพนั ธ์กนั เอง รายได้และการศกึ ษามผี ลในเชงิ บวก ส่วนอาชีพเกษตรมผี ลในเชงิ ลบ ตอ่ การลงคะแนน
เสียง ส่วน 1, 2 และ 3 คือ ค่าสัมประสิทธ์ิถดถอยมาตรฐาน (Standardized regression coefficient)
หรือค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง (Path coefficient) ที่ได้จากการวิเคราะห์ถดถอยพหุ ภาพดังกล่าวนี้ไม่นิยมใช้
เพราะตัวแปรอสิ ระไมม่ ีความสัมพนั ธ์กนั ควรใช้สมการวิเคราะห์ถดถอยพหุมากกว่า ดงั ภาพท่ี ๔.๑-๔.๓

๑๐๐ Advanced Research Methodology on Peace
ภาพที่ ๔.๑ ความสมั พันธ์ของการลงคะแนนเสียงกบั ตวั แปรอนื่ ๆ ท่ีตวั แปรอสิ ระไมส่ ัมพันธก์ ัน๑๑

รายได้
Inc

การศกึ ษา + 1 การลงคะแนนเสียงเลือกตัง้
Edu Voting
+
อาชพี เกษตร
Occ

เมื่อไดเ้ สนอภาพเส้นทางความสัมพันธ์ระหว่างตวั แปรต่างๆ แล้ว ผู้วิจัยจะต้องเขียนคำพรรณนา
ความเพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบถึงแนวความคิดของผู้วิจัยซึง่ ตามภาพ๔.๒ ผู้วิจัยอาจจะเขียนคำพรรณนาความได้
ดังต่อไปนี้ บุคลิกภาพของบุคคลในด้านการควบคุมตนเอง ความรับผิดชอบในหน้าที่ แรงจูงใจใฝ่สำเรจ็ และ
ความวติ กกงั วลมีอิทธพิ ลตอ่ ความสามารถในการเรยี นรู้ สมรรถนะก่อนการฝึกอบรม และอายุมผี ลต่อคุณค่าของ
งานซึ่งตัวแปรทั้งสามตัวหลังมีผลต่อแรงจูงใจในการเรียนรู้งานนอกจากนั้นสภาวะการทำงานซึ่งได้แก่
บรรยากาศในการทำงาน การสนับสนุนจากฝ่ายจัดการและจากเพื่อนร่วมงานมีผลต่อความผูกพันกับงาน
องค์กรและอาชพี ซ่ึงความผูกพนั ดงั กลา่ วมผี ลต่อแรงจงู ใจและการทำงานและแรงจงู ใจในการทำงานมีผลต่อสิ่ง
ที่ไดจ้ ากการฝกึ อบรมซ่งึ ได้แก่ ความรู้ ทักษะและปฏกิ ิริยาตอ่ การฝกึ อบรม ผลของการฝกึ อบรมดังกลา่ วมผี ลต่อ
ผลปฏบิ ตั งิ านของผู้เขา้ รับการอบรม

ภาพที่ ๔.๒ แบบจำลองทฤษฎแี รงจูงใจท่เี กีย่ วขอ้ งกับการฝึกอบรมและผลการปฏิบัติงาน๑๒

บคุ ลกิ ภาพ ความสามารถใน แรงจงู ใจใน ผลจากการเรยี นรู้ ผลการ
การควบคมุ ตนเอง การรบั รู้ การเรยี นรู้ ความรู้ ปฏบิ ตั ิงาน
ความรบั ผิดชอบใน
สมรรถนะก่อน งาน ทกั ษะ
หนา้ ที่ ฝึกอบรม
แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ ปฏกิ ิรยิ าการ
คณุ ค่าของงาน ฝกึ อบรม
ความกงั วล
ความผกู พัน
อายุ ความผูกพนั กับงาน

สภาวะการทำงาน ความผกู พนั กับ
บรรยากาศในการทำงาน องคก์ ร

การสนบั สนุนจากฝา่ ย ความผูกพนั กับ
จัดการ อาชีพ

การสนับสนุนจากเพือ่
ร่วมงาน

๑๑สชุ าติ ประสทิ ธ์ริ ฐั สินธ์ุ,ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์, หนา้ ๑๓๗.
๑๒สุชาติ ประสทิ ธิ์รฐั สนิ ธุ์,ระเบยี บวิธีการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์, หนา้ ๑๔๑

ระเบยี บวธิ ีวิจยั ชั้นสงู ว่าด้วยสนั ตภิ าพ ๑๐๑
ในการเสนอกรอบแนวความคดิ ผู้วจิ ัยยังสามารถเสนอในภาพรวมโดยไม่แยกตวั แปรองคป์ ระกอบ
ของแต่ละตัวแปรหลักออกมาวิเคราะห์ดังภาพ ๔.๓ และเมือ่ ผู้วิจัยได้เสนอภาพแสดงความสมั พันธ์ระหว่างตวั
แปรต่างๆ แล้ว ผู้วิจัยต้องเขียนความพรรณนาให้ผูอ้ ่านได้ทราบถึงแนวความคิดของผู้วิจัย ในภาพ ๔.๓ หาก
หน่วยวิเคราะห์เป็นปจั เจกบคุ คลที่เปน็ พนกั งานขององค์กรธุรกิจ ผู้วิจัยอาจเขียนความพรรณนาภาพวา่ การที่
พนักงานจะออกจากงานหรอื ไมข่ ึ้นอยู่กบั ความพงึ พอใจในงาน ความผกู พนั กบั องค์กรและอตั ราตอบแทนการที่
พนักงานจะมคี วามผูกพันกบั องค์กรมากนอ้ ยขน้ึ อยกู่ บั ความพึงพอใจในงานและอตั ราค่าตอบแทน ส่วนความพงึ
พอใจในงานขึ้นอยู่กับความเป็นมืออาชีพของพนักงาน และความเป็นมืออาชีพของพนักงานมีผลต่ออัตรา
ค่าตอบแทนทีพ่ นักงานจะได้รับ ซึ่งข้อความเหลา่ น้ี คอื สมมตฐิ านน่ันเอง

ภาพที่ ๔.๓ ปจั จยั ทม่ี ีผลต่อการออกจากงาน๑๓

ความเป็นมืออาชีพ ความพอใจในงาน

ความผูกพันกับองค์กร การออกจากงาน

รางวลั สิ่งตอบแทน

(๔) แบบผสมผสาน (Combined methods): จะเห็นไดว้ า่ การเสนอกรอบแนวความคิดที่จะใช้ใน
การวิจยั มีหลายวธิ ี แต่ท่สี ำคัญมี ๓ วธิ ี และไม่จำเป็นว่าเมอื่ ใช้วิธีใดวิธหี น่ึงแล้วจะใช้วิธีการอื่นอีกไม่ได้ บ่อยครั้งท่ี
เรามักจะใชร้ ว่ มกนั โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ระหว่างการพรรณนากับแบบจำลองด้วยสมการ การพรรณนากบั ภาพ และ
ภาพกับแบบจำลอง

โดยสรุป การเลือกกรอบแนวความคิดมีประโยชน์มาก และเกี่ยวข้องกับทุกขั้นตอนของการวิจัย
นบั ต้ังแตก่ ารกำหนดหวั ข้อและประเด็นของการวจิ ยั การทบทวนวรรณกรรมไปจนถงึ สมมติฐานสำหรบั การวจิ ัย
การเกบ็ และการวิเคราะหข์ อ้ มูล

๔.๒.๒ รปู แบบแผนภาพกรอบแนวคดิ การวิจัย
กรอบแนวคดิ การวิจัยทีพ่ บเหน็ ได้บ่อยคอื การใชก้ รอบแนวคดิ แบบแผนภาพ ซ่งึ สิทธิ์ ธีรสรณ์ ได้
นำเสนอไว้ ๗ แบบ ดงั นี้๑๔

(๑) แบบทางตรง เปน็ กรอบแนวคิดการวจิ ัยทแ่ี สดงความสัมพันธ์แบบทางตรงเป็นความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปร ๒ ตวั ไดแ้ ก่ ตัวแปรอิสระ กบั ตัวแปรตาม ซ่ึงเป็นตวั แปรอิสระมีผลหรอื อทิ ธิพลทางตรงต่อตัว
แปรตาม ดงั ตวั อยา่ งเชน่

๑๓สชุ าติ ประสทิ ธ์ริ ัฐสินธ์ุ, ระเบียบวธิ ีการวิจัยทางสงั คมศาสตร์, หน้า ๑๔๒.
๑๔สิทธิ์ ธีรสรณ์, เคล็ดลบั การเขียนรายงานวจิ ยั และวิทยานิพนธ์, พมิ พค์ รง้ั ที่ ๔, หนา้ ๗๓-๘๔.

๑๐๒ Advanced Research Methodology on Peace
แบบท่ี ๑ มตี วั แปรตน้ ๑ ตวั ตัวแปรตาม ๑ ตวั

การฝกึ อบรม คุณภาพการบรหิ าร

แบบท่ี ๒ มตี ัวแปรต้น ๒ ตัว ตวั แปรตาม ๑ ตวั

การฝกึ อบรม คณุ ภาพการบรหิ าร
ประสบการณ์

แบบท่ี ๓ มีตวั แปรต้น ๑ ตัว ตัวแปรตาม ๒ ตัว

การฝกึ อบรม คุณภาพการบรหิ าร
ประสทิ ธผิ ลองค์กร

(๒) แบบส่งผ่าน เป็นกรอบแนวคิดทีแ่ สดงถึงความสัมพนั ธแ์ บบส่งผ่าน เป็นความสัมพันธ์ทีม่ ตี ัว
แปรส่งผ่าน (mediating variable หรือ mediator) ตัวแปรประเภทนี้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
อสิ ระกับตวั แปรตาม ทบี่ อกว่าสาเหตุทต่ี ัวแปรอิสระมผี ลต่อตัวแปรตามน้ันเป็นเพราะส่ิงใด และทำให้ทราบถึง
ความสัมพันธ์ดงั กล่าวมีลักษณะอย่างไร เช่น อายุ (ตัวแปรอิสระ) มีผลทางตรงต่อความสามารถในการขบั รถ
(ตัวแปรตาม) ส่วนประสบการณ์ (ตัวแปรส่งผ่าน) มีผลแบบส่งผ่าน (mediating effect) หรือผลทางอ้อม
(indirect) ต่อความสัมพันธร์ ะหวา่ งอายุกับการขับรถ

ประสบการณ์

อายุ ความสามารถ
ในการขบั รถ

(๓) แบบกำกับ กรอบแนวคิดที่แสดงความสัมพันธ์แบบกำกับเป็นความสัมพันธ์มีตัวแปรกำกบั
หรือตวั แปรปรับ (moderating variable หรอื moderator) ตัวแปรประเภทนีส้ ง่ ผลต่อทศิ ทางและ/หรือขนาด
ของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม หรือจะกล่าวว่าความสัมพันธด์ ังกล่าวขึ้นอยูก่ ับตัวแปร

ระเบยี บวิธีวิจัยช้ันสงู ว่าด้วยสนั ติภาพ ๑๐๓
กำกับกไ็ มผ่ ิด นอกจากนตี้ ัวแปรกำกับยังบอกให้ทราบถงึ ความสัมพันธน์ น้ั เกดิ ขน้ึ เมือ่ ไรหรือเกดิ กบั ใคร เชน่ อายุ
เป็นตวั แปรอิสระ ประสบการณ์เป็นตวั แปรตาม ส่วนการทำงานเปน็ ตัวแปรกำกับ อายมุ ีผลตอ่ ประสบการณจ์ รงิ
แตอ่ ทิ ธพิ ลนไี้ ม่เทา่ กันในกลุม่ ผูท้ ี่มงี านทำกับกลุม่ ผู้ทไ่ี มท่ ำงาน สำหรบั ผู้ทมี่ ีงานทำ อายุจะมีผลต่อประสบการณ์
ของคนนนั้ มาก แต่สำหรับผู้ท่ีไมม่ ีงานทำ อายุอาจไมท่ ำให้มปี ระสบการณ์ในการขับรถ กลา่ วไดว้ า่ การมีงานทำ
มีผลแบบกำกับ (moderating effect) ต่อความสัมพันธ์ระหว่างอายุกับประสบการณ์ และอายุมีผลแบบถกู
กำกบั (moderated effect)

การมีงานทำ

อายุ ประสบการณ์

(๔) แบบส่งผ่านท่ถี กู กำกบั เปน็ กรอบแนวคิดที่แสดงความสัมพนั ธ์แบบส่งผ่านบางทีก็ถูกกระทบ
ดว้ ยตวั แปรกำกบั กลายเป็นการสง่ ผา่ นทถ่ี กู กำกบั (moderated mediation) คอื นอกจากจะมกี ารสง่ ผา่ นแลว้
ยังมีการกำกับเกดิ ขึน้ ดงั ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธร์ ะหวา่ งอายกุ ับประสบการณจ์ ะมากหรอื น้อยขึ้นอยู่กับเพศ
กล่าวคือ สำหรับผู้ชายอายจะมีผลตอ่ ประสบการณ์ ยิ่งมีอายุมาก ก็ยิ่งมีประสบการณ์ในการขับรถแต่ถ้าเป็น
ผหู้ ญิงอายุกม็ ีผลเหมือนกันแตไ่ มม่ ากเทา่ เพราะอาจไม่คอ่ ยมโี อกาสไดข้ บั เพศจึงเปน็ ตวั แปรกำกับ

เพศ ประสบการณ์

อายุ ความสามารถ
ในการขับรถ

(๕) แบบกำกบั ท่ถี ูกสง่ ผา่ น เปน็ กรอบแนวคดิ ท่แี สดงความสัมพนั ธ์แบบกำกบั บางทีก็ถูกกระทบ
ด้วยตัวแปรส่งผ่าน กลายเป็นตัวแปร กำกับที่ถูกส่งผ่าน (mediated moderation) เช่น อายุมีผลแบบกำกับ
ต่อความสามารถในการขับรถ ประสบการณ์มีผลแบบกำกับต่อความสามารถในการขับรถ ประสบการณ์มีผล
แบบกำกับต่อความสัมพันธ์ระหว่างอายุกับความสามารถในการขับรถ ส่วนความจำนั้นมีผลแบบกำกับต่อ
ความสัมพันธ์นีเ้ ช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากถูกกระทบ (ส่งผ่าน) โดยประสบการณ์ จึงทำให้ความจำไม่ใช่ตวั แปร
กำกับทั่วไป แต่เป็นตัวแปรกำกับที่ถูกส่งผ่าน (mediated moderator) และส่งผลแบบกำกับที่ถูกส่งผ่าน
(mediated moderating effect) แทนที่จะเป็นผลแบบกำกับธรรมดา ต่อความสัมพันธ์ระหว่างอายุกับ
ความสามารถในการขับรถ

๑๐๔ Advanced Research Methodology on Peace
ประสบการณ์

ความจำ

อายุ ความสามารถ
ในการขับรถ

(๖) แบบสหสัมพันธ์ เป็นกรอบแนวคิดการวิจัยที่แสดงความสัมพันธ์แบบสหสัมพันธ์
(correlation) เปน็ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตัวแปรอิสระ ๒ ตวั โดยท่ีตัวแปรตัวหนึ่งไม่ได้เป็นสาเหตขุ องตัวแปรอกี
ตัวหนึ่ง แต่ที่สัมพันธ์กันนั้นเป็นเพราะอิทธิพลของตัวแปรตัวอื่นที่อยู่ภายนอกโมเดลของเรา ซึ่งเราไม่ ได้ให้
ความสำคญั หรอื สนใจจะศึกษาหรอื วิเคราะหค์ วามสมั พันธด์ งั กลา่ ว ในการสร้างแผนภาพน้นั เราจะใช้ลกู ศรสอง
ทางเชื่อมตัวแปร ๒ ตัวเป็นเส้นโค้ง เช่น เจตคติต่องาน และความพึงพอใจต่องาน ซึ่งต่างก็มีผลทางตรงต่อ
ประสทิ ธิภาพในการทำงาน (ตวั แปรตาม) และกย็ งั มคี วามสมั พนั ธต์ ่อกนั แบบสหสมั พนั ธ์ด้วย

เจตคตกิ ับงาน ประสทิ ธิภาพใน
การทำงาน
ความพงึ พอใจ
ต่องาน

(๗) แบบสมการโครงสร้าง เป็นกรอบแนวคิดในกรณีที่งานวิจยั สังเคราะหท์ างสถติ ิด้วยเทคนคิ
โมเดลสมการโครงสร้าง (structural equation modeling) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น LISREL, AMOS
,EQS, MPlus เป็นต้น จะแสดงองคป์ ระกอบและค่าสถิตทิ ่ีเก่ียวข้องไดอ้ ยา่ งละเอียด เช่น ตวั แปรแฝง (latent
variable) ตัวแปรเชิงประจกั (manifest variable) ค่าความคลาดเคลื่อน (error) ค่าริซิดวล (risidual) ด้วย
เหตุนี้ แผนภาพโมเดลการวัด (measurement model) ที่ได้จากการวิเคราะห์ดังกล่าวจึงเหมาะที่จะนำมา
แสดงในบทท่วี ่าด้วยผลการวจิ ยั ของรายงานวจิ ยั เชน่ ตวั อยา่ งแผนภาพแสดงตวั แปรแฝง ๒ ตวั (คือ ทกั ษะการ
วิเคราะห์ และผลการเรียน) และตัวแปรเชงิ ประจกั ษ์ ๕ ตวั (คอื เกรดวิชาเลข ผลแกป้ ญั หา ผลประเมิน เกรด
เดิม และเกรดใหม่) ซึ่งในบรรดา ๕ ตัวนี้ตัวแรกใช้ตัวแปรทักษะการวเิ คราะห์ และอีก ๒ตัว ใช้ตัวแปรผลการ
เรยี น นอกจากนี้ ในโมเดลยังแสดงค่าความคาดเคลอ่ื น ๕ ค่า และคา่ รซิ ิดวล ๑ คา่

ระเบียบวธิ ีวจิ ัยชั้นสูงวา่ ดว้ ยสันติภาพ ๑๐๕

err เกรดวิชา resi
1 เลข d

เกรดเดิม err

ผล 4
แก้ปญั หา
err ทักษะ ผลการ
2 การ เรียน

วิเคราะห์ err
5
ผล เกรดใหม่
ประเมนิ
err
3

อย่างไรก็ตาม กรอบแนวคดิ งานวิจัยที่ยกตัวอยา่ งมาสว่ นใหญ่จะมีน้ำหนกั ไปทางแนวคิดงานวจิ ัย
เชิงปริมาณ แต่สำหรับงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก สาขาวิชาสันติศึกษาที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็น
งานวิจยั เชงิ คุณภาพ เชิงผสานวิธี การทดลองนำรอ่ ง การวจิ ยั และพัฒนา และการวิจยั เชิงปฏิบตั กิ ารอยา่ งมสี ่วน
ร่วม ดังน้นั เพ่ือให้ผูศ้ ึกษาไดเ้ หน็ ตวั อย่างการเขยี นกรอบแนวคิดการวจิ ยั เชิงคุณภาพ ท่ีแสดงถึงแนวคิดทฤษฎีท่ี
นำมาใช้ในการเป็นกรอบวิเคราะห์ และเส้นทางการได้มาซึ่งข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ ผู้เขียนนำตัวอย่างมา
แสดงพอเปน็ สังเขปไดด้ งั นี้

๔.๒.๓ ตวั อย่างกรอบแนวคดิ งานวจิ ยั เพื่อสันตภิ าพ
งานวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ
ภาพที่ ๔.๔ ตวั อย่างกรอบแนวคดิ วิจยั เชิงคุณภาพ๑๕

สังเคราะหแ์ นวคดิ เกณฑช์ ว้ี ัดความสำเร็จการสร้าง ชมุ ชนสนั ตสิ ุขใน
-สนั ตภิ าพในมติ ิศาสนา และ สันตภิ าพของนักสนั ติภาพและ พุทธศตวรรษท่ี ๒๖

นักสนั ติวิธี องค์กรสันตภิ าพโลก
-ความขดั แย้ง
วเิ คราะห์ถอดบทเรียน
-สนั ตวิ ธิ ี กระบวนการสรา้ งสันตภิ าพ
ของชุมชนศึกษาทง้ั ๓ แหง่
กรณศี กึ ษาขุมชนต้นแบบ
-บคุ คล
-กระบวนการ

๑๕ ขนั ทอง วฒั นะประดษิ ฐ,์ “ชุมชนสันตสิ ุขในพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๖ : ถอดบทเรียนชมุ ชนสนั ติสขุ ในพื้นท่ีท่ีมีความ
ขดั แยง้ ”, รายงานวจิ ยั , (สถาบันวจิ ัยพุทธศาตร์: มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๙).

๑๐๖ Advanced Research Methodology on Peace
งานวิจัยแบบผสานวธิ ี
ภาพที่ ๔.๕ ตวั อย่างกรอบแนวคดิ วจิ ยั แบบผสานวิธี๑๖

แนวคดิ ทฤษฎี เกี่ยวขอ้ งกบั การเสรมิ สร้าง สันตินวัตกรรม
ความผกู พนั ในองคก์ รตามหลกั ตะวนั ตก การเสริมสร้างความผูกพัน
: ความผูกพันในองคก์ ร, การบริหารจัดการองค์กร,
สนั ติวิธี นวตั กรรม และตามหลักพุทธสนั ตวิ ิธี ในองค์กร

สภาพบรบิ ทความผกู พันองคก์ รของพนกั งาน

งานวิจัยผสานกาวรธิ ปีร(ะกปึ่งานทคดรหลลอวงง)

ภาพท่ี ๔.๖ ตัวอยา่ งกรอบแนวคดิ วจิ ยั แบบผสานวิธี (กง่ึ ทดลอง) ๑๗

แนวคดิ ทางพุทธ แนวคิดการส่อื สาร แนวคิด รูปแบบ แนวคดิ
ศาสนา ไรค้ วามรนุ แรง การส่ือสาร กระบวนการ
Coaching
Marshell David K. Berlo
Rosenberg

• เหน็ ถกู • สงั เกตแบบไม่ • ผสู้ ่งสาร • เวลาเหมาะสม
• การฟัง ตคี วาม • สาร • ความสบาย
• อคติ ๔ • ช่องทาง • เปน็ กันเอง
• หลกั การพดู • ความรสู้ กึ ทแ่ี ท้จรงิ • ผูร้ บั สาร • ไมก่ ดดัน
• สติ • ความต้องการท่ี • เรียนรู้ผา่ นกิจกรรม

แท้จริง

• การร้องขอ

นำมาประมวลรวมกนั ให้เข้าใจงา่ ย, ไมซ่ ับซอ้ น, ใชไ้ ด้ในชวี ิตประจำวนั
ชวี ิตประจำวนั

ผลประมวลบทสมั ภาษณ์, และงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวข้อง

ชดุ ฝกึ อบรม กระบวนการการส่อื สารเพ่อื เสรมิ สร้างองค์กรสันติสุขโดยพทุ ธสนั ตวิ ธิ ี

๑๖ ยุวเรช จังพานิช, “สันตินวัตกรรมการเสริมสร้างความผูกพันในองค์กร”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร์ดุษฎี
บัณฑิต (สาขาสันติศกึ ษา), (บัณฑติ วทิ ยาลัย: มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๖๑).

๑๗ สฟี ้า ณ นคร, “กระบวนการสื่อสารเพ่ือเสริมสร้างองค์กรสนั ติสุขโดยพทุ ธสนั ติวิธี”, วทิ ยานพิ นธพ์ ุทธศาสตร์
ดุษฎบี ัณฑติ (สาขาสันตศิ ึกษา), (บัณฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๖๑).

ระเบยี บวิธีวิจยั ช้ันสูงว่าดว้ ยสันตภิ าพ ๑๐๗

งานวจิ ยั และพฒั นา (R & D)
ภาพท่ี ๔.๗ ตัวอย่างกรอบแนวคิดวิจัย (R & D)๑๘

ปัจจัยนาเขา้ (Input) กระบวนการศกึ ษา (Process) Output Outcome

-กลุม่ ผู้นาชมุ ชน/ผนู้ าจิตวิญญาณ กลมุ่ วิจยั แบบ EDFR เกณฑ์ชีว้ ัดคณุ ลักษณะผ้นู า ไดช้ ดุ องค์ความรู้การพฒั นา
ผู้นา/เครือข่ายทอ้ งถนิ่ /ตวั แทนภาครฐั -สมั ภาษณ์เชงิ ลึกความต้องการ ทัศนคติของ ท้องถิ่นทีม่ ีคุณสมบัตเิ ป็น คณุ ลักษณะผูน้ าสนั ติภาพท่ี
กลุม่ ผแู้ ทนชาวบา้ น ในพ้นื ทีจ่ งั หวดั ประชาชนตอ่ ผนู้ าท้องถน่ิ ในจังหวัดปทมุ ธานี วศิ วกรสันติภาพทอ้ งถิน่ ส่งเสริมใหช้ ุมชนเกิดสนั ตสิ ขุ
ปทุมธานีและจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา -สมั ภาษณ์เชิงลึกผใู้ ห้ข้อมูลสาคัญเกย่ี วกับ เพือ่ นาไปฐานข้อมลู ในการ
-ผเู้ ช่ียวชาญดา้ นสนั ติวิธี ด้านไกลเ่ กลี่ย คณุ ลักษณะผูน้ าท้องถ่นิ ทีท่ าให้ชมุ ชนเกดิ พฒั นาเนอื้ หา กจิ กรรมใน
ด้านพฒั นาผู้นา ดา้ นผูน้ าชมุ ชนตน้ แบบ สนั ตสิ ุข EDFR รอบ ๑ การพฒั นาหลกั สตู รการ
ด้านพหุวฒั นธรรม ด้านกระบวนกร -ส่งแบบสอบถามใหผ้ ู้เช่ียวชาญตอบกลบั สรา้ งวศิ วกรทอ้ งถิน่
EDFR รอบ ๒ และรอบ ๓
R1D1
วจิ ัยเชิงคณุ ภาพ -เนื้อหา กิจกรรม การจดั การ ชุดองค์ความรแู้ นวทางการ
พัฒนาหลักสูตรการเสริมสร้างสมรรถนะ -นาเกณฑ์ชี้วัดจากโครงการย่อย ๑ มาสร้าง เรยี นรู้หลักสตู รการเสริมสร้าง พฒั นาหลักสูตรอบรมการ
ผู้นาท้องถ่นิ เคร่อื งมอื กรอบแนวคิดการพฒั นาหลักสูตร สมรรถนะผู้นาทอ้ งถนิ่ ในการ เสริมสรา้ งสมรรถนะผนู้ า
-เกณฑช์ ้วี ัดคณุ ลักษณะผูน้ าทอ้ งถนิ่ การเสริมสร้างสมรรถนะผ้นู าทอ้ งถนิ่ เป็นวิศวกรสันติภาพทมี่ ี ทอ้ งถิ่นเพอื่ สร้างสรรค์
สันติภาพจากโครงการยอ่ ย (๑) -สมั ภาษณ์เชงิ ลึกกบั กลมุ่ ผเู้ ช่ยี วชาญสาขา ประสิทธภิ าพและมเี นื้อหา ชมุ ชนสันติสุข
-กล่มุ ผูเ้ ชี่ยวชาญดา้ นต่างๆ ต่าง ๆ ที่เกย่ี วขอ้ ง ๗ กลุ่ม จานวน ๓๓ ทา่ น และกจิ กรรมทที่ ันสมัย
-ประชุมเชงิ ปฏบิ ตั ิการเพื่อประเมนิ และ สามารถพฒั นาผูน้ าได้สอดรับ
R2D2 พัฒนาหลักสตู รการเสรมิ สรา้ งสมรรถนะผนู้ า กบั เกณฑช์ วี้ ดั วศิ วกรสันติภาพ
ทอ้ งถ่ิน จานวน ๗ คน ทอ้ งถิ่น

-สภาพบริบทของ คณุ ลักษณะผ้นู า -ทดลองพฒั นารูปแบบ กล่มุ ตวั อยา่ ง ได้แก่ -รูปแบบนวัตกรรมการสรา้ ง ชุดองค์ความรู้หลกั สูตรอบรม
ท้องถน่ิ ทีส่ รา้ งสันตสิ ขุ ใหช้ ุมชนที่ชุมชน ผนู้ าท้องถิน่ ตาบลปากจั่น อาเภอนครหลวง วิศวกรสนั ติภาพท้องถ่ินท่ี เพ่อื พัฒนาผ้นู าทอ้ งถ่ินให้เป็น
จังหวดั ปทมุ ธานแี ละจงั หวดั จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา จานวน ๒๕ คน สง่ ผลต่อการสร้างสรรค์ชุมชน วศิ วกรสนั ตภิ าพทอ้ งถิ่น
พระนครศรีอยธุ ยาพงึ ประสงค์ และ -หลักสตู รการเสรมิ สร้างสมรรถนะผนู้ า ให้เกดิ สันตสิ ุข ต้นแบบท่มี สี มรรถนะในการ
สมรรถนะท่ีควรพฒั นา ท้องถ่นิ ในการเปน็ วศิ วกรสันตภิ าพเพอ่ื สร้าง -วิศวกรสันตภิ าพทอ้ งถิ่น สร้างสรรคช์ ุมชนใหเ้ กิดสันติ
-หลกั การ แนวคดิ เก่ียวกับการพัฒนา สันตสิ ุขของชมุ ชนในจงั หวดั ปทมุ ธานี และ ต้นแบบ ๖๘ คน สขุ
หลกั สตู รการเสริมสรา้ งสมรรถนะผนู้ า จังหวดั พระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย -เครือขา่ ยการทางานผ้นู า
ท้องถ่ินในการเปน็ วิศวกรสนั ติภาพเพ่ือ หลักการ /วตั ถุประสงค์/ โครงสรา้ งเนอ้ื หา วิศวกรสันตภิ าพท้องถ่ินสรา้ ง
สรา้ งสนั ติสุขในชุมชน (โครงการยอ่ ย ๒) การจดั กิจกรรม /การติดตาม ชุมชนสนั ติสขุ
-องคป์ ระกอบและตัวช้ีวัดคณุ ลักษณะ -ทดลองใช้จรงิ ๒ พน้ื ท่ี ได้แก่ -โครงการพฒั นาชมุ ชนให้เกิด
ของผ้นู าสนั ติภาพท้องถ่ินทีส่ ง่ ผลต่อการ ๑) ผู้นาทอ้ งถิน่ ตาบลบงึ นา้ รกั ษ์ จังหวัด สนั ติสขุ ของวิศวกรสนั ตภิ าพ
สรา้ งสันตสิ ขุ ในชุมชน (โครงการย่อย ๑) ปทมุ ธานี จานวน ๒๕ คน ท้องถิ่น
๒) ผู้นาท้องถิ่น เครือข่ายตาบลบ้านป้อม
R3D3 อาเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา จานวน ๑๘ คน

๑๘ ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์, “วิศวกรสันติภาพท้องถิ่น: ต้นแบบผู้นำสร้างสันติสุขให้ชุมชน”,รายงานวิจัย,
(สถาบันวจิ ัยพุทธศาตร์: มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๒).

๑๐๘ Advanced Research Methodology on Peace
งานวจิ ัยเชงิ ปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม (PAR)
ภาพที่ ๔.๗ ตัวอยา่ งกรอบแนวคิดวิจยั แบบ PAR๑๙

-ไตรสกิ ขา
-ปธาน๔
-พลังทนุ ชวี ติ

เด็กและเยาวชน พทุ ธนวตั กรรมสร้าง เดก็ และเยาวชนชมุ ชน พฒั นาการดา้ นกาย
ชุมชนหมูบ่ า้ น ภูมคิ มุ้ กนั ยาเสพตดิ หมูบ่ ้านท่าคอยนางมี พฒั นาการทางสังคม
ท่าคอยนาง ในเดก็ และเยาวชน ภูมคิ มุ้ กนั ยาเสพติด พัฒนาการทางจิตใจ
พฒั นาการทางปัญญา

การมีสว่ นรว่ ม
ของชุมชน

๔.๓ วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั

๔.๓.๑ วัตถุประสงคก์ ารวจิ ัยคืออะไรและสำคัญอยา่ งไรกับงานวิจัย
เกย่ี วกับวตั ถปุ ระสงค์คอื อะไร การใหค้ วามหมายของวตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจัยมีนักวิชาการหลายท่าน
ท่สี ะท้อนมุมมองไว้ที่ทัง้ เหมือนและแตกตา่ งกนั ไปตามความเข้าใจ ผเู้ ขียนได้รวบรวมและนำมาสรุปความหมาย
ตามนัยตา่ งๆ ไดด้ ังนี้

▪ เป็นขั้นตอนที่ทำให้การศึกษาและวิจัยมีความชัดเจน: การวิจัยบางตำรากล่าวว่าเป็นงานใน
ขั้นตอนต่อไปทีผ่ ้จู ะทำการวิจยั จะต้องทำซึง่ จะเป็นส่งิ ทีท่ ำใหก้ ารศกึ ษาและวิจยั มีความชัดเจน เพราะว่าในบาง
หัวข้ออาจไม่บอกหรือชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผูว้ ิจัยต้องการศึกษาอะไร การกำหนดวัตถุประสงค์หรือการ
กำหนดประเด็น คือ การแยกแยะแจกแจงรายละเอียดของหัวข้อเรื่องที่จะศึกษาออกเปน็ หัวข้อย่อยๆ ซึ่งใน
วงการวิจัยเชิงปริมาณเรียกว่า “วัตถุประสงค์” ของการวิจัย (research objectives) ส่วนวงการวิจัยเชิง
คุณภาพเรียกว่า “คำถามวจิ ัย” (research questions)๒๐

๑๙ ขันทอง วฒั นะประดิษฐ์, แม่ชีสุดา โรจนอทุ ัย, รงุ่ รตั น์ สวุ นาคกุล, ชนญิ ญา ชยั สุวรรณ, พุทธนวัตกรรมสร้าง
ภูมิคุ้มกันยาเสพติดให้เด็กและเยาวชนโดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน, รายงานวิจัย, (สถาบันวิจัยพุทธศาตร์:
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๖๑).

๒๐สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธ์, ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๕, (กรุงเทพมหานคร: ห้าง
หุน้ สว่ นจำกัดสามลดา, ๒๕๕๕), หน้า ๔๗-๔๘.

ระเบยี บวิธีวิจัยช้ันสงู ว่าดว้ ยสนั ติภาพ ๑๐๙
▪ เป็นระบบคิดของผู้วิจัยที่สะท้อนให้เห็นถึงกิจกรรมที่ทำเพื่อตอบคำถามวิจัยและมี
ความสัมพันธ์กับประโยชน์ที่ได้รับ: ในขณะที่มีความเห็นเก่ียวกับการเรยี กคำของวัตถุประสงคแ์ ตกต่างกันใน
งานวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณและเชิงคุณภาพ แต่บางตำราว่า การเขียนวัตถุประสงค์ (objective)สามารถใชไ้ ดก้ บั ทกุ งาน
การเขียนวตั ถปุ ระสงค์เป็นการแสดงใหเ้ ห็นถึงระบบคิดของผู้วิจยั การเขยี นวตั ถุประสงค์จะมีความสัมพันธ์กับ
ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะได้รบั คำกริยาที่นิยมในการเขียนวตั ถุประสงค์ เช่น เพื่อศึกษา. . . เพื่อส่งเสริม. . . เพือ่
พฒั นา. . . เพ่ือปรบั ปรุง. . . เป็นตน้ ๒๑ และบางตำรายังชใ้ี หร้ ายละเอียดว่า วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย เป็นขอ้ ความท่ี
กล่าวถึงกิจกรรมหรืองานที่ผู้วิจยั ตอ้ งการจะทำในอันที่จะไดม้ าซ่ึงคำตอบในการวิจยั ถือเป็นข้อความท่ีสำคัญ
ท่สี ุดในรายงานวจิ ยั ก็ว่าได้ การเขยี นวตั ถปุ ระสงค์การวิจยั อาจเขียนในสรุปขอ้ ความยอ่ หน้าหรือในรูปประโยค
เป็นขอ้ ๆ และไมว่ า่ จะเขียนแบบใด ควรมีคำว่า “เพ่อื ”หน้าคำกริยา๒๒

▪ เป็นเข็มทิศการดำเนินการวิจัยที่นำไปสู่การค้นหาคำตอบ: วัตถุประสงค์ของการวิจัย เป็น
เสมือนเข็มทิศการดำเนินการวิจัย ช่วยให้ทราบว่าจะค้นหาคำตอบอะไรจากข้อคำถามบ้าง การกำหนด
วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัยกเ็ ป็นการจำแนกประเด็นการวิจยั หรอื ตวั แปรออกมาให้เห็นเป็นขอ้ ยอ่ ยท่ีชดั เจน มีความ
เป็นวัตถุวิสัย และสามารถดำเนินการวิจัยอย่างเป็นรูปธรรมหลักการเขียนวัตถุประสงค์การวิจัย๒๓การเขียน
วัตถุประสงค์ของการวิจัยต้องการบอกเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายที่นั กวิจัยต้องการค้นคว้าหาข้อเท็จจริง
วัตถุประสงคข์ องการวิจัยจึงมีลักษณะใกล้เคียงกบั ปญั หาวิจัยแต่ไม่เหมอื นกันทีเดียว เพราะนักวจิ ัยส่วนใหญ่
นิยมเขียนวัตถุประสงค์เป็นเปา้ หมายรวม ส่ิงทค่ี วรระวังในการเขยี นวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั คอื ตอ้ งเขียนส่ิงท่ี
เป็นเป้าหมาย มิใช่สิ่งที่เป็นวิธีการดำเนนิ งานวิจัย การเขียนต้องใช้ภาษาทีง่ ่าย สั้น กะทัดรัดและสื่อความได้
กระจ่าง๒๔

๔.๓.๒ หลักการเขียนวัตถุประสงคก์ ารวิจัย
ในการเขียนวัตถุประสงค์การวิจัย นักวิจัยจำเป็นต้องตกผลึกทางความคิดของตนเองว่าต้องการ
ศึกษาอะไรทเี่ ป็นเนอื้ หาสาระที่สอดคล้องกับหวั ขอ้ เรอื่ งท่ีจะศกึ ษา และนักวิจยั นำมาแยกแยะแจกแจงประเด็น
การวจิ ัยได้ หลักการเขียนวัตถุประสงค์การวิจยั ผูเ้ ขียนสรุปไวต้ าม“หลกั ๕ ม.”ดงั นี้
๑) มคี วามชัดเจนตรงประเดน็ และสอดคลอ้ งกับหัวขอ้ วจิ ัยหรอื โจทย์วจิ ยั
๒) มคี วามเป็นไปได้ในการหาคำตอบในเชิงปฏิบตั ิ
๓) มคี วามเป็นลำดับ เรยี งตามความสำคัญประเดน็ ย่อยต่างๆ ทส่ี ัมพันธก์ นั
๔) มคี วามกะทดั รดั ชัดเจน เข้าใจง่าย ใช้ประโยคบอกเล่า

๒๑ประเวศน์ มหารตั น์สกลุ , หลักการและวิธีการเขยี นงานวจิ ัย งานวทิ ยานิพนธ์ สารนิพนธ์, หน้า ๑๒๑.
๒๒สทิ ธ์ิ ธรี สรณ์, เคล็ดลับการเขียนรายงานวิจัยและวทิ ยานพิ นธ์, พมิ พค์ ร้งั ที่ ๔,(กรงุ เทพมหานคร: สำนักพิมพ์
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๖๐), หน้า ๕๐.
๒๓สิน พันธพ์ุ ินิจ, เทคนคิ การวิจยั ทางสังคมศาสตร์, (กรงุ เทพมหานคร: วิทยพัฒน์, ๒๕๕๓).
๒๔นงลักษณ์ วิรัชชัยและคณะ, “คู่มือการเขียนโครงการวิจัย”, วารสารการวัดผลการศึกษา, ปีที่๑๒ (๓๕);
(ก.ย.-ธ.ค. ๒๕๓๕).

๑๑๐ Advanced Research Methodology on Peace
๕) ไม่ซ้ำซ้อนกับประเดน็ ที่อ่นื ทไี่ ด้ระบมุ าแล้วกอ่ นหนา้
๖) ไม่ควรมีจำนวนมากขอ้ ซ่งึ ไมค่ วรเกิน ๓ ขอ้ แต่สำหรบั การวิจัยบางประเภท เชน่ การวิจยั และ

พฒั นา R&D ท่ีเขยี นวัตถปุ ระสงคก์ ารวิจยั ๔ ข้อ ตามรปู แบบวิธีดำเนนิ การวจิ ยั
นอกจากนก้ี ารเขยี นวัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั สว่ นใหญจ่ ะขนึ้ ตน้ ด้วยคำว่า “เพ่อื ศกึ ษา. . . “ ซง่ึ ในการ

เขยี นวัตถุประสงคไ์ ม่จำเปน็ จะตอ้ งขน้ึ ดว้ ยวลีว่า “เพือ่ ศกึ ษา” แตเ่ พยี งอย่างเดียว นักวจิ ยั สามารถใช้คำหรือวลี
อ่นื เพอื่ ไมใ่ หก้ ารเขยี นดูเหมือนว่าใช้คำซ้ำๆนกั วจิ ัยสามารถใช้ประโยคขน้ึ ต้นดว้ ยคำว่า “เพ่ือ” แลว้ ตามดว้ ยคำที่
แสดงพฤติกรรมในการแสวงหาคำตอบและสาระหลกั ทตี่ อ้ งการศกึ ษา เชน่

“เพื่อเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องจิตและปัญญาระหว่างแนวคิดทางพระพุทธศาสนาและศาสตร์
ตะวันตก”

“เพอื่ สังเคราะห์งานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วกับการพัฒนาจติ และปญั ญาแบบองคร์ วม”
“เพอื่ ศึกษากระบวนการการพฒั นาจิตและปญั ญาแบบองค์รวม”
“เพอ่ื สรา้ งและพัฒนาเกณฑช์ ว้ี ัดความสำเร็จกระบวนการพฒั นาจิตและปญั ญาแบบองค์รวม”

๔.๓.๓ ตัวอย่างการเขยี นวัตถุประสงค์การวิจัยเพ่ือสนั ตภิ าพ
ตัวอยา่ งที่ ๑ วจิ ัยแบบผสานวธิ ี

ชอ่ื เรอื่ งวจิ ยั “คุณลกั ษณะผูน้ ำทอ้ งถ่นิ ที่ส่งผลต่อการสร้างสันติสุขในชุมชน”
วัตถุประสงคก์ ารวิจยั
๑. เพอื่ ศึกษาคุณลกั ษณะของผู้นำสันตภิ าพท้องถ่ินท่ชี มุ ชนพงึ ประสงคใ์ นจงั หวัดปทุมธานีและจังหวดั
พระนครศรอี ยธุ ยา
๒. เพอ่ื นำเสนอองค์ประกอบและตัวช้ีวัดคุณลักษณะของผู้นำสันติภาพทอ้ งถิ่นท่ีส่งผลต่อการสรา้ งสันติสขุ ในชมุ ชน

ตัวอยา่ งที่ ๒ งานวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ

ชื่อวิจยั เรอ่ื ง “ชุมชนสนั ตสิ ุขในพทุ ธศตวรรษที่ ๒๖: ถอดบทเรียนชุมชนสนั ติสขุ ในพื้นท่ีที่มีความขัดแย้ง”
วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย
๑) เพอ่ื ศึกษาวิถีการดำเนินชีวติ การอยู่ร่วมกันอย่างสันตสิ ขุ ของชุมชนพ้นื ทท่ี ี่มคี วามขัดแยง้
๒) เพือ่ ศึกษาสาเหตแุ ละปัจจัยความสำเร็จในการสร้างสนั ตภิ าพและเกิดสนั ติสุขของชุมชนทม่ี ีความขัดแยง้
๓) เพื่อนำเสนอแนวทางกระบวนการสรา้ งสนั ตภิ าพและพัฒนาชุมชนสนั ติสุขในพุทธศตวรรษท่ี ๒๖

ระเบียบวธิ วี จิ ัยช้ันสงู วา่ ดว้ ยสันติภาพ ๑๑๑
ตัวอยา่ งท่ี ๓ งานวจิ ัยเชิงปฏิบตั ิการอยา่ งมสี ว่ นรว่ ม

ช่อื วิจัยเร่ือง “พทุ ธนวตั กรรมสร้างภมู ิค้มุ กันยาเสพติดใหเ้ ด็กและเยาวชนโดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชมุ ชน”
วัตถุประสงค์การวจิ ยั
๑) เพือ่ สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างพุทธนวตั กรรมการสร้างภูมคิ ุ้มกันยาเสพติดให้เดก็ และ
เยาวชน
๒) เพื่อนำเสนอผลการใช้พุทธนวตั กรรมสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพตดิ ใหเ้ ด็กและเยาวชนโดยการมีส่วนร่วมของชมุ ชน

ตัวอยา่ งที่ ๔ งานวิจยั และพฒั นา (R & D)

ชือ่ วิจัยเร่อื ง “การพัฒนาสมรรถนะผู้นำด้วยรปู แบบนวัตกรรมการสรา้ งวิศวกรสันติภาพทอ้ งถิ่นทสี่ ่งผลต่อการ
สรา้ งสรรค์ชมุ ชนให้เกิดสนั ติสขุ ”
วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั
๑) เพือ่ เสรมิ สรา้ งสมรรถนะผูน้ ำท้องถน่ิ ในการเปน็ วศิ วกรสันตภิ าพเพื่อสร้างสันติสุขของชุมชนในจงั หวัดปทุมธานี
และจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา
๒) เพ่ือประเมนิ หลกั สตู รและนำเสนอการพฒั นาหลักสตู รการเสรมิ สร้างสมรรถนะผู้นำดว้ ยรูปแบบนวัตกรรมการ
สร้างวศิ วกรสันติภาพท้องถิน่ ทสี่ ่งผลต่อการสร้างสรรคช์ ุมชนให้เกิดสันติสขุ

จากตวั อย่างการเขียนวตั ถุประสงค์การวจิ ยั สามารถนำเสนอไดห้ ลายรูปแบบแตก่ ็อยู่ภายใต้กรอบ
หรอื แนวทางการเขยี นวตั ถปุ ระสงคต์ ามหลัก ๕ ม. หัวใจสำคญั ของการเขยี นวัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัยนอกจากต้อง
สอดคล้องกับชื่อเรื่องแล้ว สำคัญคือการตั้งวัตถุประสงค์ที่ไม่ซ้ำซ้อนกันและหากเขียนถอ้ ยคำภาษาทีส่ ะท้อน
วิธีการที่นำไปสู่การตอบคำถามวจิ ัยยิ่งช่วยให้งานวิจัยนั้นมีความชัดเจนในการนำเสนอยิ่งขึ้น นอกจากนี้การ
เขียนวัตถปุ ระสงค์การวิจัยยังมีหลกั การในการเขยี นเปน็ ไปตามอตั ลักษณ์ของสาขาวิชา ตวั อย่างหลักการเขียน
วัตถุประสงค์การวจิ ยั สาขาวิชาสันติศกึ ษา ดังน้ี

ตัวอย่างการเขยี นวตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัยระดับปริญญาเอก สาขาสนั ติศกึ ษา
ดังที่แสดงไว้ในบทที่ ๑ ว่าด้วยปรัชญางานวิจัยสันติภาพ ที่มุ่งเน้นในการนำหลักคำสอนในทาง
พระพุทธศาสนา หรือชุดวิธีการในการสร้างสันติภาพ การจัดการความขัดแย้งในทางพระพุทธศาสนา ที่ใน
สาขาวชิ าจะคุ้นเคยกบั คำว่า พทุ ธสันตวิ ิธีโดยมีจุดมงุ่ เนน้ การศกึ ษาวิจัยเพื่อ ศกึ ษาสาเหตแุ ละหาแนวทางป้องกนั
การจดั การความขดั แยง้ การสร้างสันติภาพและ/หรอื พฒั นาสันตภิ าพให้ยั่งยนื ซง่ึ ในการตั้งช่ือหัวข้อวิจัยท่ีมีอัต
ลักษณ์นำคำศพั ทส์ ำคญั ทางสาขามาเป็นส่วนหนง่ึ ของหวั ขอ้ การวิจัย อาทเิ ช่น การจดั การความขดั แยง้ ความ
ขัดแย้ง สันตภิ าพ สันติสุข การสรา้ ง การพัฒนา การมีสว่ นรว่ ม การเยยี วยาแก้ไข พทุ ธสันติวธิ ี หรอื การใช้
ช่อื หลกั ธรรมซึ่งเป็นหน่งึ ในชดุ หมวดธรรมในพทุ ธสันติวิธี ตวั อยา่ งการเขยี นวัตถปุ ระสงค์การวิจัยเพ่ือสันติภาพ
มตี ัวอย่างดงั นี้

๑๑๒ Advanced Research Methodology on Peace
ตัวอยา่ งที่ ๑ งานวิจยั เชิงคณุ ภาพ

ชอื่ วิจัยเร่อื ง “รูปแบบการใหค้ ำปรกึ ษาเด็กและเยาวชนสวู่ ิถสี ันตสิ ุขในศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง”
วตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั
(๑) เพ่ือศึกษาสภาพปัญหาเดก็ และเยาวชนกระทำความผิดของศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
(๒) เพอ่ื ศึกษาวิเคราะหร์ ปู แบบการให้คำปรกึ ษาเดก็ และเยาวชนสู่วิถีสันตสิ ขุ ตามแนวหลักวชิ าการรว่ มสมัย และหลกั
พระพุทธศาสนาเถรวาท
(๓) เพอ่ื เสนอรปู แบบการให้คำปรึกษาเด็กและเยาวชนสู่วิถสี ันตสิ ุขในศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง

ตวั อย่างที่ ๒ งานวิจยั เชิงปฏบิ ตั ิการ (Action Research)

ชอ่ื วิจยั เรอ่ื ง “กระบวนการบริหารจัดการสถานพกั พิงสุนัขจรจัดต้นแบบในวดั ตามหลกั
พุทธสนั ตวิ ธิ ี: ศึกษากรณี วัดโตนด อำเภอบางปะหัน จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา”
วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั
๑) ศกึ ษาสภาพปัญหาในการบรหิ ารจัดการสถานพักพงิ สนุ ขั จรจัดของวดั โตนด อาเภอบางปะหัน จงั หวัด
พระนครศรอี ยธุ ยา
๒) เพ่ือวิเคราะห์กระบวนการบรหิ ารจดั การสถานพักพิง สุนัขจรจดั ในวัดตามหลักพุทธสันติวิธี
๓) เพอ่ื นาเสนอกระบวนการบรหิ ารจัดการสถานพักพงิ สุนขั จรจดั ต้นแบบในวัดตามหลักพุทธสนั ติวิธี กรณีศกึ ษาสถานพกั
พงิ สนุ ขั จรจดั วดั โตนด อาเภอบางปะหนั จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา

ตวั อยา่ งท่ี ๓ งานวิจยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารอย่างมสี ว่ นรว่ ม (PAR)

ชื่อวจิ ัยเรอ่ื ง “พทุ ธสันตินวัตกรรมการมสี ่วนรว่ มเพื่อพัฒนาองค์กรสันตสิ ขุ ของธรุ กจิ การให้บรกิ าร”
วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั
(๑) เพอ่ื วเิ คราะห์สภาพปญั หาและบริบทการมีสว่ นรว่ มของพนักงานธุรกจิ การใหบ้ รกิ ารในการพฒั นาองค์กรสนั ตสิ ุข
(๒) เพอ่ื สร้างกจิ กรรมการมีส่วนร่วมในการแก้ปญั หาการทำงานด้วยการบรู ณาการหลกั พทุ ธสันติวธิ แี ละศาสตรส์ มัยใหม่
เพื่อองค์กรสันติสขุ ของพนักงานธรุ กิจการใหบ้ รกิ าร
(๓) เพ่อื นำเสนอผลพุทธสนั ตินวตั กรรมการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาองคก์ รสนั ติสขุ ของธุรกจิ การใหบ้ ริการ

ตัวอย่างท่ี ๔ งานวิจัยผสานวธิ ี (กงึ่ ทดลอง)

ช่อื วิจัยเรอ่ื ง “การพฒั นาเทคนคิ การปรบั ความคิดและพฤตกิ รรมเพ่ือจัดการความโกรธของวัยรุ่นดว้ ยพทุ ธสันตวิ ิธี”
วัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั
๑) เพื่อศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎีการจดั การความโกรธของวยั รุ่นตามทฤษฎีทางตะวันตกและพุทธสันติวิธี
๒) เพ่ือสร้างกระบวนการจดั การความโกรธของวัยรุ่นดว้ ยชดุ ฝึกการจัดการความโกรธของวัยรุ่นโดยการพัฒนาเทคนิค
การปรับความคิดและพฤติกรรมดว้ ย
พทุ ธสนั ติวิธี
๓) เพอ่ื นำเสนอผลของกระบวนการจดั การความโกรธของวัยรนุ่ ด้วยชดุ ฝกึ การจัดการความโกรธของวยั ร่นุ

ระเบียบวิธีวจิ ัยช้ันสงู วา่ ด้วยสนั ตภิ าพ ๑๑๓

ตัวอย่างที่ ๕ งานวจิ ัยและพฒั นา (R & D)

ช่ือวิจัยเร่ือง “การพฒั นารปู แบบการจัดการการทอ่ งเทยี่ ววถิ ีสันตภิ าพอย่างยัง่ ยนื : กรณีศึกษา วัดบ้านขะยูง ตำบลห้วยตา
มอญ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ”
วตั ถุประสงค์การวจิ ยั
๑) เพ่ือศกึ ษาสภาพ บรบิ ท รปู แบบการจดั การการท่องเท่ยี วของวดั บ้านขะยูง ต.ห้วยตามอญ อ.ภูสงิ ห์ จ.ศรีสะเกษ
๒) เพอ่ื พัฒนารปู แบบการจดั การการท่องเท่ยี ววิถีสันติภาพอย่างยงั่ ยืนของวดั บ้านขะยูง ต.ห้วยตามอญ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
๓) เพือ่ เสนอรปู แบบการจัดการการทอ่ งเที่ยววิถสี ันติภาพอยา่ งยง่ั ยืนของวดั บา้ นขะยูง ต.ห้วยตามอญ อ.ภสู ิงห์ จ.ศรสี ะเกษ

เห็นได้ว่าการเขียนวัตถุประสงคก์ ารวิจัยแม้ว่าจะดเู หมือนเป็นแผนที่ แต่จะเห็นได้วา่ ในการเขียน
บางครั้งก็ยากที่จะสะท้อนให้เห็นเส้นทางวิธีการทั้งหมดในการกิจกรรมการศึกษาเพื่อนำไปสู่การตอบคำถาม
วิจัย ดังนน้ั การมแี ผนภาพหรือกรอบแนวคิดการวจิ ัยจงึ เป็นอีกสว่ นหนึง่ ท่สี ำคญั ของการทำวิจัยท่ีพึงสอดคล้อง
กบั วัตถุประสงคก์ ารวิจัยอยา่ งไม่อาจแยกออกจากกัน

๔.๔ เทคนิคการเขยี นความเป็นมา นิยามศัพท์ในงานวจิ ัย

๔.๔.๑ การเขียนความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา
แนวคิดการเขียนความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา เป็นส่วนสำคัญที่จะนำผู้วิจัยไปสู่การ
ดำเนินการวิจัยในขั้นตอนต่างๆ ดังนั้น การเขียนความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ผู้วิจัยต้องมีข้อมลู
เกี่ยวกับเรือ่ งทีจ่ ะศึกษาและเนื้อเรอ่ื งของเรอ่ื งท่วี ิจยั ซ่งึ รวมถงึ งานวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ งเพยี งพอแลว้ ซึ่งหลักการเขียน
ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา สุนทร โคตรบรรเทา นำเสนอไว้ ๔ แนวทางคือ
(๑) การเขยี นใหเ้ ห็นความสำคัญตามช่อื เรือ่ ง: เปน็ การเขียนท่ีกลา่ วถึงเนื้อหาทต่ี อ้ งการศึกษา ซ่ึง
เปน็ การเขียนด้วยแนวคดิ และสำนวนของตนเองใหไ้ ดป้ ระมาณ ๒-๓ วรรค (ย่อหน้า) โดยไม่อา้ งองิ ใครเลย เป็น
การเขยี นแนวคิดปพู ้ืนหรอื เกรน่ิ นำ เพอ่ื นำผอู้ า่ นเข้าสเู่ รอื่ งทจ่ี ะวจิ ยั ในการเขยี นส่วนน้เี รียกวา่ เปน็ “วรรคเปดิ ”
(Opening Paragraphs) ตัวอย่างเชน่

แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
การกระจายตัวของความเจรญิ ไปส่ชู นบท ประชาชนคนไทยอ่านออกเขียนได้ และได้รับโอกาสทางการศึกษา
มากกว่าในอดีต แต่ในทางตรงกันข้าม ปัญหาทางด้านศีลธรรมของคนไทย กลับพบว่า มีการละเมิดศีล ๕
มากขน้ึ ปรากฏการณ์ของการใชค้ วามรนุ แรงในสังคม มกี ารเบียดเบียนชีวติ และทรัพยส์ นิ ของผอู้ ื่น ดังท่ีได้
เหน็ เป็นข่าวในแตล่ ะวนั สงั คมไทยต้องอยดู่ ว้ ยความหวาดระแวง คอยหาวิธีการปอ้ งกนั ความปลอดภัยในชีวิต
และทรพั ย์สินของตนเอง ปัญหาความเสื่อมถอยทางศลี ธรรมของคนไทยตามทป่ี รากฏในสงั คม เช่น เร่อื งสุรา
และของมนึ เมา. . . ๒๕

๒๕ขนั ทอง ฒนะประดษิ ฐ์, “กระบวนการสร้างแรงจงู ใจในการปฏิบตั ิตามหลักศีล ๕ สำหรับผู้นำ”, วิทยานิพนธ์
พุทธศาสตรดุษฎีบณั ฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗).

๑๑๔ Advanced Research Methodology on Peace
(๒) การเขียนให้เห็นความสำคัญตามตัวแปรตาม กล่าวคอื เปน็ การเขยี นใหเ้ หน็ ความสำคญั ตาม

ขอบเขตเน้ือหาหรือตัวแปรตาม ซงึ่ อาจเขียนรวมตามเนือ้ หาของเร่ืองวจิ ยั ตามท่ีระบุไวใ้ นขอบเขตการวจิ ยั หรือ
ตามตัวแปรตามโดยรวมและแต่ละด้าน การเขียนในส่วนนี้จะต้องเขียนให้เห็นความสำคญั ของเนื้อหาโดยรวม
และแต่ละด้านเป็นสำนวนของตนเองก่อนจนได้เป็นหน่ึงหรอื สองวรรค แล้วอ้างอิงงานเขียนผู้อื่นมาสนบั สนุน
เหตุที่ต้องอ้างอิงเนื่องจากต้องการให้แนวคิดและคำกล่าวของผู้วิจัยมนี ้ำหนักและเป็นที่ยอมรับมากขึ้น สิ่งที่
นำมาสนับสนุน/อ้างอิงคือ แนวคิด หลักการ และทฤษฎี หรือข้อค้นพบของผู้อื่นในเนื้อหาและงานวิจัยที่
เกย่ี วข้องสอดคล้องกนั และการอ้างอิงต้องให้ถูกหลักเกณฑ์ตามระบบการอ้างองิ (สำหรบั มหาวิทยามหาจุฬาลง
กรณราชวทิ ยาลยั ใชร้ ปู แบบการอ้างอิงแบบ มจร.) ตวั อยา่ งเชน่ ๒๖

การไม่รกั ษาศลี ๕ของคนไทย ทนี่ บั วันจะมีมากขนึ้ กล่าวได้วา่ “ถ้าจับเอาหลกั ทางศีลธรรมโดยเอา
ศลี ๕ เปน็ เกณฑ์ประเทศไทยของเราเป็นประเทศท่ีปจั จบุ นั มกี ารลว่ งละเมดิ ศลี ๕ มากจนแทบพดู ได้วา่ ประเทศ
ไทยเป็นประเทศไร้ศีล”๒๗ สอดคล้องกับขอ้ มูลของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี ๑๑ ระบวุ า่
ประเทศไทยกำลังเผชิญกบั วิกฤตความเสอื่ มถอยด้านคณุ ธรรมและจริยธรรม๒๘

(๓) การเขียนให้เห็นถึงปัญหาวิจัย: ซึ่งเป็นการเขียนคล้ายๆ กับแบบที่ ๒ ที่นำตัวแปรตามมา
เขียนใหเ้ หน็ ถงึ ความสำคัญของปญั หา แต่ในสว่ นนี้มคี วามแตกตา่ งคือ ตอ้ งเขยี นใหเ้ หน็ ปญั หาโดยรวมและแต่ละ
ด้านตามความคดิ เห็นของตนเอง ซึ่งอาจเป็นการเรียบเรียงจากแนวคิดของผู้อื่นหลายคนที่พบ ซึ่งการเขยี นใน
ส่วนนี้ต้องเขียนเป็นสำนวนของตนเองก่อนในแต่ละประเด็นหรือแต่ละด้าน แล้วจึงอ้างอิงความคิดเห็นหรอื
แนวคดิ ผู้อ่นื เพ่ือให้แนวคิดคำกลา่ วของผูว้ จิ ยั มคี วามนา่ เชอ่ื ถือและได้รบั การยอมรับมากขน้ึ เพราะมีผ้อู ่ืนได้ทำ
มากอ่ นแลว้ หรือมีนกั เขยี น นกั วชิ าการ ผลงานวจิ ยั กอ่ นๆ กล่าวไว้แล้วเชน่ กัน๒๙
ตวั อย่างเช่น

จากการสำรวจพฤติกรรมของพุทธศาสนิกชนไทยในการประกอบกิจทางศาสนา พบว่า
พุทธศาสนิกชนไทยมีการเข้าวัด ทำบุญ สวดมนต์ เพิ่มขึ้น แต่การรักษาศีล ๕ (ครบทุกข้อ) อย่างเป็นประจำ
มีพุทธศาสนิกชนที่ทำได้เพียงร้อยละ ๕.๔ เท่านัน้ พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ปฏิบัติศีล ๕ ได้เพียงนาน ๆ คร้งั
และมีบ้างทร่ี ักษาศีล ๕ เฉพาะวนั พระช่วงเข้าพรรษา วันสำคัญทางศาสนา เป็นตน้ ๓๐ เป็นที่นา่ สังเกตว่าท้ัง ๆ

๒๖เรือ่ งเดยี วกนั .
๒๗ดูรายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พทุ ธศาสนก์ บั ชาติไทย,(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหา
จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕), หน้า ๔๘๕.
๒๘สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ สำนกั นายกรัฐมนตรี, แผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ที่ ๑๑(พ.ศ.๒๕๕๕-๒๕๕๙), หนา้ ๙.
๒๙สุนทร โคตรบรรเทา, หลักการทำวิทยานิพนธ์และการวิจัย, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ปัญญาชน,
๒๕๖๐), หนา้ ๖๔-๖๖.
๓๐“สรุปสำหรับผบู้ รหิ าร ดำเนนิ การสำรวจสภาวะทางสงั คมและวฒั นธรรม” (๒๕๕๑), สำนักงานสถิตแห่งชาติ,
[ออนไลน์]แหลง่ ท่มี า:http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/service/ survey/cultureExec52.pdf[๒๐พ.ค. ๒๕๕๕].

ระเบยี บวธิ วี ิจยั ช้ันสูงว่าดว้ ยสนั ติภาพ ๑๑๕
ทีป่ ระเพณชี าวพุทธไทยมีการเขา้ วัดปฏิบัติธรรม และศาสนาพิธีต่าง ๆ กเ็ รม่ิ ดว้ ยการสมาทานรักษาศลี ๕ แทบ
ทั้งสิน้ แต่ขาดการนอ้ มนำไปประพฤติปฏิบตั ิตามในชวี ิตประจำวนั จากพุทธศาสนกิ ชน

สาเหตขุ องการไม่รักษาศีล ๕ เช่น ในกรณีฆ่าสัตว์ มผี ลการวจิ ัยวา่ ชาวพทุ ธไทยสว่ นใหญ่ทราบถึง
คุณ และโทษ ผลกรรมทีต่ ามมาจากการฆ่าสตั ว์ แต่ก็ยังล่วงละเมิดอยู่เพราะเห็นวา่ การรกั ษาศีลเปน็ เรือ่ งของ
อุดมคติขดั แย้งกับการปฏิบตั ิจรงิ ในชีวติ ๓๑ ส่วนสาเหตุการละเมิดอทนิ นาทานในสังคมไทย มผี ลการวจิ ยั ว่า คน
ทีล่ ะเมิดแมจ้ ะรูว้ ่าผิดศลี และผดิ กฎหมายแต่กย็ ังกระทำอยู่ เพราะเช่อื วา่ การรักษาศีลเปน็ เรอ่ื งยาก หากเหตใุ ห้
จงู ใจมากพอก็พร้อมจะทำผดิ ยงั ไมส่ ามารถเอาชนะความต้องการ หรอื ความโลภในตนเองได้๓๒

ในขณะทีส่ าเหตุของการประพฤติผดิ ในกามของสงั คมไทย มีผลการวจิ ยั วา่ สาเหตมุ าจากการตกอยู่
ใต้อำนาจวัตถุนิยมเชิงบริโภค เห็นความสุขทางกายเป็นเรื่องสำคัญ มีค่าสูงสุดในชีวิต๓๓ ส่วนสาเหตุของการ
ละเมดิ มุสาวาทนนั้ มผี ลการวจิ ยั วา่ คนไทยสว่ นมากมกั เขา้ ใจว่า การพูดความจรงิ ทำให้เสียผลประโยชน์แต่การ
พดู เทจ็ จะชว่ ยรักษาผลประโยชน์ไว้ได้ คนสว่ นใหญ่จึงเลอื กทีจ่ ะพูดเทจ็ มากกวา่ พูดความจริง ทำให้เกิดปัญหา
การทะเลาะเบาะแวง้ ในสงั คมไทยเพราะการไม่พดู ความจริงต่อกนั ๓๔ และสาเหตุของการดืม่ สรุ า มีผลการวิจัย
ว่า สาเหตุมาจากความเชื่อผิด ๆ ของคนในสังคมไทย เห็นว่าการดื่มสุรา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็น
วฒั นธรรมสว่ นหนึ่งของวิถชี ีวติ ไทยเปน็ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั ิทแี่ ทรกซมึ อยู่ในทัศนคติ จนทำให้ผคู้ นในสงั คมไทยเหน็
ว่า การดืม่ สุรา และเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์เปน็ เร่ืองปกติ ไม่เว้นแมแ้ ต่ในงานบุญทางพระพุทธศาสนาก็สามารถ
ดืม่ ได๓้ ๕ นอกจากน้ี การดืม่ สุรา และเครอ่ื งด่ืมแอลกอฮอล์ ยังเป็นต้นเหตปุ ญั หาสงั คมในหลายๆ ดา้ น ทำใหเ้ กิด
การล่วงละเมิดศลี ข้ออื่นๆ ตามมา เพราะขาดสติยับยั้งชั่วดี ขาดความละอายเกรงกลัวต่อการทำชั่วทั้งปวง๓๖
และถึงแม้จะมศี รัทธาในศลี ๕ แต่ก็ไม่มากพอที่จะสามารถปฏิบัติศีลในข้อที่ ๕ คือ การดื่มสุรา และเครือ่ งดื่ม

๓๑พระมหาพิชิตชัยยมพาลไพ่ , “การศึกษาทัศนะเรื่องศีล๕ของชาวพุทธไทยปัจจุบันศึกษาเฉพาะกรณี การฆ่า
สัตว์ ”, วทิ ยานิพนธอ์ ักษรศาสตรมหาบัณบิต, (บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล, ๒๕๔๒), หนา้ ก-ข.

๓๒พระมหาอิสระ สันเปย๊ี , “การวเิ คราะห์ปญั หาอทินนาทานตามพุทธจริยศาสตร์ เถรวาทในบรบิ ทสังคมไทย”,
วทิ ยานิพนธ์อักษรมหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหิดล, ๒๕๔๕). หน้า ก-ข.

๓๓ดรู ายละเอยี ดใน พระมหาปญั ญาชยปญฺโญ(ดาบพลหาร), “กาเมสุมิจฉาจารกับปัญหาจริยธรรมในสังคมไทย
ปจั จบุ ัน”, วทิ ยานิพนธพ์ ุทธศาสตรมหาบัณฑติ , (บณั ฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒), หน้า
๗๒-๗๓.

๓๔พระสมพงษ์ติกฺขธมฺโม, “ศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเรื่องมุสาวาทในพุทธปรัชญาเถรวาท”, วิทยานิพนธ์พุทธ
ศาสตรมหาบัณฑติ , (บณั ฑติ วิทยาลัย: มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๑), หน้า ก.

๓๕พระครูสุมณฑธรรมธาดา (สายัน บวบขม),“ศึกษาปัญหาและทางออกของการดื่มสุราที่มีผลกระทบต่อ
สงั คมไทย”, วิทยานพิ นธพ์ ุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๓), หนา้
ก.

๓๖ดูรายละเอยี ดใน พระมหาสำรวยญาณสวโร, “การศกึ ษาเรื่องผลกระทบจากการล่วงละเมิดศีลข้อท่ี ๕ท่ีมีต่อ
สงั คมไทย”, วิทยานิพนธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒), หน้า
๑๒๒-๑๒๔.

๑๑๖ Advanced Research Methodology on Peace
แอลกอฮอลไ์ ด้๓๗ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ความเข้าใจ และการรับรู้เกี่ยวกับศีล ๕ ของคนไทยยังคลาดเคลื่อนจาก
หลกั คำสอนพระพุทธศาสนาเปน็ อยา่ งมาก

(๔) การเขยี นวรรคลงท้าย: เป็นการเขียนสรปุ ของผวู้ ิจยั ในการทำวิจัยเรอ่ื งนี้ โดยมขี ้อความขึ้นต้น
ว่า “จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษา...(ระบุชื่อเรื่องวิจัย)...เพื่อนำ
ผลการวิจัยไปใชเ้ ป็นแนวทางในการพัฒนาการบรหิ ารงานวิชาการในสถานศึกษาต่อไปตัวอย่างเช่น

จากการศึกษาที่ผ่านมายังไม่พบว่า มีการศึกษาการสร้างชดุ ฝึกอบรมในการสร้างแรงจูงใจให้ผู้นำ
อยากรักษาศีล ๕ มาก่อน ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะทำการศึกษาในเรื่องนี้ โดยผู้วิจัยจะทำการศึกษาแนวคิดคำสอน
เรอ่ื งศีล ๕ และแรงจูงใจตามแนวพระพทุ ธศาสนา และการสร้างแรงจงู ใจตามแนวคดิ ตะวันตก, กระบวนการ
อบรมตามหลักไตรสิกขา และจิตวิทยาการฝึกอบรมสำหรับวัยผู้ใหญ่ และศึกษาหลักสูตรอบรมเรื่องศีล ๕
ของทพ.ญ.สีใบตอง บุญประดบั เพื่อเปน็ ฐานในการศกึ ษานำไปสร้างชุดฝึกอบรมกระบวนการสรา้ งแรงจูงใจใน
การปฏิบัติตามหลักศีล ๕ สำหรับผู้นำ และนำชุดฝกึ อบรมท่ีสร้างไปทดลองใชก้ บั ผู้นำกลุม่ ตัวอย่างท่เี ป็นผูน้ ำ
ชมุ ชน เพอ่ื เปน็ การศึกษานำรอ่ งชุดฝกึ อบรม และปรบั ปรุงก่อนนำเสนอชดุ ฝกึ อบรมกระบวนการสร้างแรงจงู ใจ
ในการปฏิบตั ติ ามหลกั ศลี ๕ สำหรบั ผู้นำ. . . ๓๘

๔.๔.๒ นิยามศัพทเ์ ฉพาะท่ใี ช้ในการวิจัย
นิยามศพั ท์เฉพาะทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั เป็นการให้ความหมายกบั คำศพั ทห์ รือตวั แปรท่ปี รากฏในงานวจิ ัย
มี ๒ ลักษณะ คือ นิยามศัพท์เฉพาะเป็นการให้ความหมายกับศัพท์ที่ต้องการให้ผู้อ่านงานวิจัยเข้าใจตรงกนั
ตลอดทั้งเลม่ เชน่ “การเรยี นรเู้ ชิงรุก หมายถึง กระบวนการทีใ่ ห้ผเู้ รียนหรือผ้เู ขา้ ร่วมกิจกรรมได้มีส่วนร่วม ได้
ลงมอื ปฏิบตั ิ คดิ วิเคราะห์และนำเสนอดว้ ยความรู้ ความเขา้ ใจ”
สำหรับการนิยามเชิงปฏิบัติการ (Operational Definition) เป็นการให้ความหมายกับตัวแปรที่
ผู้วิจัยต้องการวัดค่า ปริมาณ หรือจัดกระทำกับตัวแปร ซึ่งนำไปสู่การสร้างเครื่องมือการวิจัย โดยการให้คำ
นยิ ามเชิงปฏิบตั ิการไมใ่ ช่เป็นการใหน้ ิยามตามพจนานุกรมหรือคำทม่ี คี วามหมายท่ัวไป แต่เปน็ นิยามที่ต้องมีสิ่ง
บ่งชี้ว่าตัวแปรนน้ั ๆ สามารถวดั ปริมาณได้ หรือจดั กระทำกับตวั แปรอยา่ งไร เช่น “การรูค้ ุณคา่ แห่งตน หมายถึง
คะแนนทไ่ี ด้จากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาประเมินตนเองดา้ นดตู นออก บอกตนได้และใช้ตนเป็นจากแบบวัดการรู้
คณุ ค่าแห่งตน”

๓๗เสกสันต์ ศิริวรรณ, “ความศรัทธาในศีล ๕ ที่มีต่อการปฏิบัติตนของวัยรุ่น”, วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์
มหาบัณฑิต, (บณั ฑติ วทิ ยาลัย: มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๕๓), หน้า บทคัดยอ่ .

๓๘ขันทอง วัฒนะประดษิ ฐ,์ “กระบวนการสรา้ งแรงจูงใจในการปฏิบตั ติ ามหลักศลี ๕ สำหรับผนู้ ำ”, วทิ ยานิพนธ์
พทุ ธศาสตรดุษฎีบณั ฑติ , (บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๗).

ระเบียบวิธวี จิ ยั ชั้นสงู ว่าด้วยสันติภาพ ๑๑๗

เกณฑม์ าตรฐานการเขียนนยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ
๑.เปน็ การให้ความหมายคำศัพทห์ รอื ตัวแปรทป่ี รากฏในงานวิจยั ในความหมาย เฉพาะเจาะจง แบง่ เป็น

นิยามศัพทเ์ ฉพาะและนยิ ามเชิงปฏิบตั กิ าร
๒.นยิ ามเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารเปน็ การใหค้ วามหมายกบั ตวั แปรทีผ่ ู้วจิ ัยตอ้ งการวัดคา่ และนิยมใช้ในการวิจยั เชงิ

ปริมาณ
๓.ศพั ทท์ ี่นำมานิยามควรเปน็ คำหลกั (Keywords) ในงานวจิ ัยนัน้ มักปรากฏอย่ใู นชอื่ เร่ืองหรอื

วัตถุประสงค์การวจิ ัย
๔.ต้องนยิ ามให้ครอบคลมุ เฉพาะความหมายที่ผูว้ จิ ัยตอ้ งการใชใ้ นงานวจิ ัยของตนเท่าน้นั

๔.๕ สรุป

เห็นไดว้ ่าทัง้ วตั ถุประสงคก์ ารวิจัย และการสรา้ งกรอบแนวคดิ การวจิ ยั ต่างกเ็ ปน็ การแสดงให้เห็น
ถึงทิศทางการทำวิจัยและจุดมุ่งหมายของการวิจัยอย่างมีระบบ และเรียงลำดับความสำคัญเพื่อให้
กระบวนการวิจยั เปน็ ไปตามกรอบทวี่ างไว้ การเขยี นวตั ถุประสงคใ์ ห้ชดั เจนและไมซ่ ้ำซอ้ นจะช่วยให้ผอู้ า่ นเข้าใจ
สิ่งที่ผู้วิจัยตอ้ งการศึกษา และเมื่อมาดูท่ีกรอบแนวคิดการวิจัยย่ิงเห็นความชัดเจนในเชิงปฏิบตั จิ ริง สิ่งท่ผี ู้วจิ ยั
ต้องการจะทำให้บรรลุจุดหมายหรอื ตอบคำถามวจิ ยั จะศึกษาด้วยกระบวนการหรอื วิธกี ารอยา่ งไร สำหรับกรอบ
แนวคดิ การวจิ ยั เชิงปรมิ าณและเชิงคุณภาพ จดุ ที่แตกต่างคอื ทศิ ทางความสมั พนั ธเ์ ส้นทางของลูกศรที่บ่งบอก
ถึงความสัมพนั ธ์ระหว่างตวั แปร สำหรับเชิงปริมาณเป็นการสะทอ้ นให้เห็นถงึ เส้นทางความสัมพันธ์ระหว่างตัว
แปรตา่ งๆ ท่ีอยา่ งนอ้ ยท่ีสดุ คือความสมั พันธร์ ะหว่างตวั แปรตน้ หรือตวั แปรอสิ ระกับตัวแปรตาม จนถงึ การศกึ ษา
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่มีความซับซ้อนมากขึ้น กรอบแนวคิดการวิจัยจะยิ่งซับซ้อนตาม ทั้งนี้กรอบ
แนวคิดการวิจัยมิไดม้ ีแตก่ รอบแนวคิดทเ่ี ปน็ แผนภาพวิจยั เท่าน้ัน สามารถเขียนกรอบแนวคดิ เป็นความเรยี งหรอื
โมเดลสมการก็ได้แตส่ ว่ นใหญ่จะนิยมกรอบแนวคิดการวิจัยที่เป็นแผนภาพ แม้แต่งานวิจัยเชิงคณุ ภาพที่ส่วน
ใหญใ่ นสาขาวิชาสนั ติศกึ ษาจะใช้เปน็ แนวทางการศกึ ษาวจิ ัยเปน็ จำนวนมาก

ทั้งนี้การจะเขียนวัตถุประสงค์และสร้างกรอบแนวคิดการวิจัยได้ชัดเจนขึ้นอยู่กับตวั ผู้ศึกษาหรือ
นักวจิ ยั มกี ารศึกษาทบทวนวรรณกรรมทีเ่ กี่ยวขอ้ งมาได้มากนอ้ ยเพียงใดและครอบคลุมประเด็นวิจัยการศึกษา
แค่ไหนรวมถงึ คณุ ภาพของงานวรรณกรรมท่นี ำมาทบทวน และศกั ยภาพของผู้วจิ ัยในการมองเหน็ ความเช่อื มโยง
ทางความคดิ กรอบแนวคิดทฤษฎที ่ไี ด้จากทบทวนวรรณกรรมสามารถนำมาสร้างกรอบแนวคดิ ให้เห็นเป็นภาพท่ี
ชดั เจนไดอ้ ยา่ งไร

๑๑๘ Advanced Research Methodology on Peace

คำถามทบทวนบทท่ี ๔

๑) จงรว่ มกนั อธบิ ายถงึ ลกั ษณะของวตั ถปุ ระสงคว์ ิจยั กับคำถามวจิ ัยตา่ งกนั อยา่ งไร และการเขียนวตั ถุประสงค์ท่ี
ดีควรเป็นอย่างไร

๒) จงร่วมกันอธิบายถึงกรอบแนวคิดการวิจัยคืออะไร กรอบแนวคิดการวิจัยกับกรอบแนวคิดทฤษฎีต่างกัน
อยา่ งไร

๓) จงรว่ มกนั อธิบายความแตกต่างระหว่างกรอบแนวคดิ วจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ กับกรอบแนวคิดวจิ ยั เชงิ คุณภาพ
๔) จงร่วมกันทบทวนศัพทง์ านวิจยั ในบทเรียน

กจิ กรรมมอบหมายทา้ ยบทเรยี น
๑) การทำสะท้อนคดิ
๒) การสง่ โจทย์วิจยั ท่ีแบ่งกลมุ่ ไว้ตามประเด็นท่ีสนใจ
๓) การเตรียมบทความวจิ ัยเชงิ ปริมาณ ท่เี กี่ยวข้อง สมั พนั ธ์กับโจทยว์ ิจยั ที่สนใจมาแสดงในช้นั เรยี นอยา่ งนอ้ ย ๕

เรื่อง

ระเบยี บวธิ วี จิ ัยช้ันสูงว่าด้วยสนั ติภาพ ๑๑๙

เอกสารอ้างองิ ประจำบท

ขนั ทอง วัฒนะประดษิ ฐ์. (๒๕๕๙). ชุมชนสันตสิ ขุ ในพทุ ธศตวรรษที่ ๒๖ : ถอดบทเรยี นชมุ ชนสันตสิ ขุ ในพ้ืนท่ีทมี่ ี
ความขดั แย้ง. รายงานวจิ ัย, สถาบนั วจิ ัยพุทธศาสตร์: มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .

_________. ๒๕๖๓.“วศิ วกรสนั ตภิ าพทอ้ งถิ่น: ตน้ แบบผูน้ ำสร้างสันตสิ ุขให้ชมุ ชน. รายงานวิจัย, สถาบันวิจัย
พทุ ธศาสตร์: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .

ขนั ทอง วฒั นะประดษิ ฐ์ และคณะ.(๒๕๖๑). พุทธนวัตกรรมสรา้ งภูมิคุม้ กันยาเสพติดใหเ้ ดก็ และเยาวชนโดยผา่ น
กระบวนการมสี ่วนรว่ มของชุมชน. รายงานวิจยั . สถาบันวจิ ยั พุทธศาตร์: มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลง
กรณราชวทิ ยาลยั .

นงลักษณ์ วิรัชชัยและคณะ. (๒๕๓๕).“คู่มือการเขียนโครงการวิจัย”.วารสารการวัดผลการศึกษา.ปีที่๑๒
(๓๕); (ก.ย.-ธ.ค.).

ประเวศน์ มหารัตน์สกุล.(๒๕๕๗).หลักการและวิธีการเขียนงานวิจัย งานวิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์.
กรุงเทพมหานคร: สำนกั พมิ พป์ ญั ญาชน.

ยุวเรช จังพานิช. สันตินวัตกรรมการเสริมสร้างความผูกพนั ในองคก์ ร. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรด์ ุษฎีบณั ฑิต
(สาขาสนั ติศึกษา). บณั ฑิตวทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๖๑.

สุชาติ ประสิทธิร์ ัฐสินธ์. (๒๕๕๕). ระเบียบวิธกี ารวิจัยทางสงั คมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๕. กรุงเทพมหานคร:
ห้างหุน้ ส่วนจำกดั สามลดา.

สิทธิ์ ธีรสรณ์.(๒๕๖๐).เคล็ดลับการเขียนรายงานวิจัยและวิทยานิพนธ์. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร:
สำนกั พมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.

สิน พนั ธพ์ุ นิ จิ . (๒๕๕๓).เทคนิคการวิจยั ทางสงั คมศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร: วิทยพัฒน์.
สีฟ้า ณ นคร. กระบวนการสื่อสารเพื่อเสริมสรา้ งองค์กรสันตสิ ุขโดยพุทธสันตวิ ิธี”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร์

ดุษฎีบัณฑิต (สาขาสันติศึกษา). บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ,
๒๕๖๑.
สังคม ศุภรัตนกุล.(๒๕๖๑). เอกสารคำสอนรายวิชาระเบียบวิธีวิจัยทางสาธารณสุข.[ออนไลน์].แหล่งท่มี า:
https://sites.google.com/site/healthsecurityproject/rabeiyb-withi-wicay-thang-
satharn such[๑๗ เม.ย.๒๕๖๑].

บทท่ี ๕
การออกแบบการวจิ ยั เชิงปรมิ าณ

บทนำ

หากเปรียบกรอบแนวคดิ การวิจัยเป็นดง่ั เขม็ ทิศหรอื แผนท่ีการเดินทางที่จะนำพานักวิจัยไปสู่การ
จุดหมาย คือ การได้คำตอบงานวจิ ัยหรือค้นพบขุมทรัพย์องค์ความรู้ใหม่ แต่นอกจากการมีแผนท่ีหรือเข็มทิศ
แล้ว การวางแผนการเดินทางก็นับวา่ สำคัญเช่นเดยี วกัน ซึ่งตอ้ งมกี ารเตรยี มตวั พรอ้ มสมั ภาระเครอื่ งไมเ้ ครอ่ื งมือ
หรืออปุ กรณ์ทจ่ี ะชว่ ยให้การเดินทางนน้ั บรรลเุ ป้าหมายหรือกา้ วข้ามปญั หาอุปสรรคที่อาจเกิดขน้ึ ระหวา่ งทางได้
การวางกลยุทธ์วางแผนการเดินทางนัยน้ี เปรียบกับการออกแบบการวิจัย ท้ังนี้การออกแบบการวิจัยจะ
บรรลผุ ลไดอ้ ย่างไร กข็ น้ึ อยู่กบั การออกแบบท่ีสอดคลอ้ งกบั แบบแผนวิจัยท่ีนักวจิ ยั ใชใ้ นการศึกษาซง่ึ แบบแผน
วิจัยตามกระบวนทัศน์วิจัย หลักๆ คือการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นพื้นฐานสำคัญ แม้ว่า
ปจั จุบันการวิจัยเพ่อื สนั ติภาพจะมรี ปู แบบการวจิ ยั ท่ีใชห้ ลากหลายมากขน้ึ ทง้ั การวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารอย่างมีส่วน
รว่ ม การวิจัยผสานวธิ ี รวมถงึ การวจิ ัยและพัฒนา (R & D)

เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจ ห ลักการ ออกแบ บ การวิจัยในภาพร วม โดยเบื้อง ต้น ผู้เขียนได้น ำเส น อ
ความหมายและความสำคัญของการออกแบบการวิจัย จากน้ันจะนำเสนอการศกึ ษาออกแบบการวิจัยตามแบบ
แผนการวิจัยเชิงปริมาณ สำหรับการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ และการออกแบบการวิจัยเชิงประยุกต์ที่
ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปฏบิ ัติการอย่างมีสว่ นร่วม การวจิ ัยผสานวธิ ี และการวิจยั R&D ซงึ่ จะกล่าวถึงในบท
ต่อไปตามลำดับ ทั้งน้ีเพราะเนื้อหาและแก่นสาระของการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพค่อนข้างมีความ
แตกต่างกันอย่างย่ิง อันจะส่งผลต่อการออกแบบการวิจัย จึงจำเป็นต้องแยกนำเสนอ โดยบทนี้ผู้ศึกษาจะได้
ทราบถึงความรู้พ้ืนฐานการออกแบบการวิจัย ประเภทของการวจิ ัยเชิงปริมาณ หลักการออกแบบการวิจยั เชิง
ปริมาณ สมมุติฐานการวจิ ยั คุณลักษณะและความสำคัญของตัวแปรการวิจัยและวธิ กี ารวดั ตัวแปร

๕.๑ ความรู้พ้ืนฐานเกีย่ วกบั การออกแบบการวิจัย

๕.๑.๑ การออกแบบการวจิ ยั คืออะไร และสำคัญอยา่ งไร?
Punch (๑๙๙๘) ได้ให้ความหมาย การออกแบบการวิจัย (Research Design) คือ การวางแผน
และการจัดการโครงการวิจัยตง้ั แต่การกำหนดปัญหาการวิจยั จนกระท่ังการเขียนรายงานและการเผยแพรโ่ ดย
เกี่ยวข้องกับแนวคิด ๔ ประการได้แก่ ๑) กลยุทธ์การวิจัย ๒) กรอบแนวคิดการวิจัย ๓) ข้อมูล และ ๔)
เครื่องมือวธิ กี ารเกบ็ รวบรวมและการวิเคราะหข์ อ้ มูล๑

๑D. Punch, "Incidence and management of biliary complications after 291 livertransplants
following the introduction of Trans cysticstenting." Transplantation 66.9 (1998): 1201-1207.

ระเบียบวิธีวจิ ัยชั้นสงู ว่าดว้ ยสนั ติภาพ ๑๒๑
ในขณะท่ี Wiersma & Jurs (๒๐๐๕) กล่าวว่า แบบการวิจัยคือแผนหรือกลยุทธ์เพื่อดำเนิน
กิจกรรมทางการวจิ ัย ซึ่งแผนดังกล่าวนั้น Kerlinger & Lee (๒๐๐๐) หมายความถึง ต้องครอบคลุมโครงร่างที่
นกั วจิ ยั จะดำเนินการจากการเขยี นสมมุติฐานจนถงึ ข้ันการวิเคราะห์ และการออกแบบการวิจยั ยงั มวี ตั ถปุ ระสงค์
เพื่อให้การวิจัยสามารถตอบคำถามการวิจัยและเพ่ือการควบคุมความแปรปรวน และ Cresswell กล่าวว่า
การออกแบบการวิจยั หมายถึง แผนงานหรือโครงรา่ งในการทำวิจยั รวมไปถึงการรวมแนวคิดของปรัชญา การ
คัดเลือกกลยุทธ์ในการสืบเสาะข้อมูล (Inquiry) และระเบียบวิธีวิจัยในแต่ละลักษณะงานวิจัย (Research
methods)๒

สุชาติ ประสิทธิ์รฐั สนิ ธ์ ไดใ้ ห้ความหมายการออกแบบการวิจัย หมายถึง การวางแผนวา่ จะตอ้ งทำ
อะไรและทำอย่างไร ถึงจะไดม้ าซึ่งขอ้ คน้ พบตามทผี่ ู้วจิ ยั ตอ้ งการ การวางแผนคือ การกำหนดกระบวนการและ
ข้นั ตอนของการทำกจิ กรรมด้านตา่ งๆ ท่เี กยี่ วข้องกับการทำวิจยั ไมว่ า่ จะเป็นการออกแบบการเตรยี มการจดั เก็บ
ข้อมูล การจัดเกบ็ ขอ้ มูล การวิเคราะหข์ ้อมูล ไปจนถงึ การรายงานผลทไี่ ด้จากการดำเนนิ งานตามกระบวนการ
และขนั้ ตอนต่างๆ ทไ่ี ด้วางแผนไว้๓

๕.๑.๒ หลกั ๕ ค. จุดม่งุ หมายของการออกแบบการวิจัย
มีนักวิชาการไดแ้ สดงใหเ้ ห็นถงึ วตั ถุประสงค์ของการออกแบบการวิจยั ในลักษณะทคี่ ลา้ ยๆ กัน สรุป
เปน็ “หลัก ๕ ค.”ไดด้ ังนี้
(๑) คำตอบของปญั หาการวิจยั ที่ถกู ต้องชัดเจน และมีความตรงน่าเช่ือถือ โดยการสรา้ งกรอบ
แนวคิดการวิจัยที่ระบคุ วามสัมพันธ์ระหวา่ งตัวแปรทศี่ ึกษา เพื่อนำไปใชเ้ ป็นแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล
หรือการวิเคราะห์ข้อมูล๔กระทำโดยความระมัดระวงั บนพ้ืนฐานของกฎ ทฤษฎี และประสบการณ์ กำหนด
กรอบแบบแผนการวจิ ัยอย่างรอบคอบตามวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ จงึ ไดค้ ำตอบหรอื ผลการวิจัยทีเ่ ทยี่ งตรง มี
ความเปน็ ปรนัย ถูกต้องแมน่ ยำ และน่าเชือ่ ถอื ๕
(๒) ควบคมุ ความแปรปรวนของตัวแปรการวิจยั ที่ศกึ ษา โดยใช้แนวทาง ๓ ประการ (๑) ศึกษา
ให้มีความควบคมุ ขอบเขตของปญั หาการวจิ ัยให้มากทีส่ ดุ (๒) ควบคมุ อทิ ธิพลของตัวแปรทีไ่ ม่อยใู่ นขอบเขตของ
การวจิ ัยแต่จะมผี ลกระทบต่อผลการวจิ ยั ให้ได้มากที่สุดและ (๓) การลดความเคลอ่ื นทจี่ ะเกิดขึ้นในการวิจัยให้
เกิดขึ้นน้อยที่สุด๖ โดยการทำให้ความแปรปรวนของตัวแปรที่ศึกษามีค่าสูง ลดความคลาดเคล่ือนและความ

๒กุลชลี จงเจริญ และนิตยา ภัสสรศิริ,การออกแบบและการวางแผนการวิจัย, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา:
http://edu.stou.ac.th/EDU/UploadedFile/9.pdf., หน้า ๕,[๑๗เม.ย.๒๕๖๑].

๓สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธ์, ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๕, (กรุงเทพมหานคร: ห้าง
หนุ้ สว่ นจำกดั สามลดา, ๒๕๕๕), หน้า ๑๕๗.

๔Kerlinger, 1986: 279; สมหวัง พิธิยานุวฒั น์, ๒๕๓๐:๕๓-๕๖; นงลักษณ์วิรัชชัย, ๒๕๔๓: ๑๑๙)อ้างใน กุลชลี จง
เจรญิ และนติ ยา ภสั สรศิร.ิ การออกแบบและการวางแผนการวจิ ัย.หน้า ๗.

๕ณรงค์ โพธพ์ิ ฤกษานันท,์ ระเบียบวธิ วี จิ ยั , (กรงุ เทพมหานคร : เอ็กซเปอร์เน็ท, ๒๕๕๗), หน้า ๑๐๗-๑๐๘.
๖กลุ ชลี จงเจรญิ และนติ ยา ภัสสรศริ ิ, การออกแบบและการวางแผนการวจิ ัย, หน้า ๗.

๑๒๒ Advanced Research Methodology on Peace
แปรปรวนโดยการสุ่ม และควบคุมตามตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรเกิน โดยการเลือกเทคนิคการสุ่มแบบ
แผนการวิจัยที่เหมาะสม เชน่ การวจิ ัยเชงิ ทดลอง การวิจัยกึ่งทดลอง เปน็ ตน้ ๗

(๓) ความแม่นยำในการวัดตัวแปร การออกแบบการวิจัยได้กำหนดตัวแปรให้นิยามเชิงทฤษฎี
นิยามเชิงปฏิบัติการ และเลือกวิธีการทางสถิติไว้อย่างเหมาะสม ทำให้การวัดตัวแปรแต่ละประเภทถูกต้อง
แมน่ ยำ ลดความแปรปรวน และความคลาดเคล่อื นได้๘

(๔) คุณภาพและมีระบบในการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง เพราะการออกแบบการวิจัยเป็นการ
วางแผนอย่างมีระบบและดำเนนิ การอย่างตอ่ เนื่องตามขั้นตอนของกระบวนการวิจยั ทจี่ ะทำอะไร ทีไ่ หน เม่อื ไร
ทำให้ผู้วิจัยดำเนินการอยา่ งเป็นระบบและตอ่ เนอื่ ง๙นักวิจยั สามารถวางแนวทางป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาท่อี าจ
เกิดข้ึนระหว่างการลงพื้นท่ีเก็บข้อมูลจริง เช่น การตั้งคณะกรรมการท่ีปรึกษางานวิจัยท่ีมีประสบการณ์ใน
สาขาวชิ าท่ตี ้องการศกึ ษา เพือ่ กำหนดแผนงานสำรองในกรณีทแี่ ผนงานจรงิ ไม่สามารถดำเนนิ ตอ่ ไปได้ เน่ืองจาก
ติดขดั ปญั หาบางอย่าง๑๐

(๕) คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ การออกแบบการวจิ ัยทำให้เกิดการวางแผนตามความต้องการท่ี
แท้จริงที่รวมถึงบุคลากร งบประมาณ และวัตถุประสงค์ไว้อย่างเหมาะสมการใช้ทรัพยากรต่างๆ ต้องอยู่บน
พ้ืนฐานของเหตุและผลไม่ฟุ่มเฟือย และการทำงานวิจัยให้เสร็จตามแผนการวิจัยย่อมจะทำให้ประหยัดท้ัง
บุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ และเวลาด้วย๑๑ และนักวิจัยสามารถออกแบบเครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บ
ขอ้ มูลจากกลุ่มตัวอย่างการวิจัยได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ ซ่ึงเครื่องมือแตล่ ะประเภทมีวิธีการสร้างและนำไปใช้
แตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของการวิจัย ขอบเขตและตัวแปร การออกแบบการวจิ ัยจึงทำให้นกั วิจยั สามารถ
กำหนดแนวทางการวเิ คราะห์ขอ้ มูลได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกบั ประเภทของขอ้ มลู ทไ่ี ด้ ทำให้นักวิจัย
สามารถกำหนดงบประมาณ กำลังคน อุปกรณ์ และระยะเวลาที่ใชใ้ นการทำวิจัย ท้ังน้เี พื่อเตรยี มความพร้อม
กอ่ นการดำเนินงานจรงิ ๑๒

กล่าวได้ว่า การออกแบบการวิจัยเป็นเร่ืองของการวางแผนการทำวิจัยตลอดสาย ตั้งแต่ต้นน้ำ
กลางน้ำ และปลายน้ำ กล่าวคือ นับตัง้ แต่ว่าจะใช้เครื่องมือวิจัยใด เกบ็ ข้อมูลแบบไหน และใครเก่ียวข้องบ้าง
จะวิเคราะหผ์ ลด้วยวธิ ีการใด รวมถงึ การควบคมุ ปัจจัยทจ่ี ะเป็นอปุ สรรคต่อกระบวนการวิจยั ทัง้ หมดนีก้ ็เพ่ือให้
สามารถตอบคำถามการวิจัยได้ดว้ ยการวางแผนอย่างเปน็ ระบบและมกี ระบวนการทน่ี า่ เชื่อถือและรัดกมุ ทำให้
เชอ่ื ไดว้ า่ คำตอบวิจัยนัน้ ไดม้ าจากการทำงานตามแผนงานทม่ี ีมาตรฐานและไดร้ ับการยอมรบั ตามข้อกำหนดของ
แบบแผนงานวจิ ัยน้ันๆ

๗ณรงค์ โพธพ์ิ ฤกษานนั ท์, ระเบยี บวธิ ีวิจยั , (กรงุ เทพมหานคร : เอก็ ซเปอร์เนท็ , ๒๕๕๗), หนา้ ๑๐๗-๑๐๘.
๘เรอื่ งเดยี วกนั , หน้า ๑๐๗-๑๐๘.
๙อา้ งแล้ว
๑๐วนิดา วาดเี จริญ และคณะ,ระเบียบวธิ ีวิจยั จากแนวคิดทฤษฎีสูภ่ าคปฏบิ ัติ,(กรงุ เทพมหานคร: ซเี อด็ ยูเคชั่น,
๒๕๖๐), หน้า ๑๑๒-๑๑๓.
๑๑สิน พนั ธ์พุ นิ ิจ, เทคนิคการวิจัยทางสงั คมศาสตร์, (กรงุ เทพมหานคร: วิทยพัฒน์, ๒๕๔๗), หนา้ ๘๗-๘๘.
๑๒วนดิ า วาดีเจริญและคณะ,ระเบยี บวิธีวิจัยจากแนวคิดทฤษฎีสู่ภาคปฏิบัติ, หน้า ๑๑๒-๑๑๓.

ระเบียบวิธีวิจยั ชั้นสงู วา่ ดว้ ยสันติภาพ ๑๒๓
๕.๑.๓ ประเภทของแบบแผนการวจิ ยั
การออกแบบการวจิ ัยสามารถจำแนกได้หลายประเภทขน้ึ อย่กู บั เกณฑท์ ี่ใชใ้ นการจำแนก ท้ังนี้ กุล
ชลี จงเจริญ และนิตยา ภัสสรศิริ ได้รวบรวมและนำเสนอประเภทของการวิจัยที่จำแนกถึงการเก็บรวบรวม
ข้อมูลหลักฐานท่ีอยู่ในรูปของตัวเลข ไม่ใช่ตัวเลขและผสมผสานตัวเลขและไม่ใช่ตัวเลข ภายใต้ฐานคติของ
กระบวนทศั นป์ ฏฐิ านนยิ มหรือประสบการณน์ ิยมตีความ/สรรสรา้ งนิยม และปฏิบตั นิ ิยมหรอื ประโยชนน์ ิยม เปน็
เกณฑ์ในการจำแนก จะสามารถจำแนกได้เป็น ๓ ประเภท คือ การออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ
(Quantitative research design) การออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research design) และ
การออกแบบการวจิ ัยแบบผสมผสาน (Mixed methods research design) ซ่ึงในทน่ี ี้จะใช้เกณฑ์ดา้ นวิธกี าร
รวบรวมขอ้ มลู หลกั ฐานจำแนกประเภทของการออกแบบการวิจัยดงั ที่กล่าวไว้ ๓ ประเภทข้างต้นเพราะเกณฑน์ ้ี
มีผนู้ ยิ มนำมาใชเ้ ป็นจำนวนมากในปจั จุบัน รายละเอียดดงั ต่อไปน้ี

(๑) การออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research design) เป็นการออกแบบ
การวิจัยทมี่ ีลำดบั ข้ันตอนค่อนขา้ งเขม้ งวดตายตัว โดยมุ่งเน้นรวบรวมข้อมลู หลกั ฐานเชิงปริมาณ โดยอาศัยการ
วัดตัวแปรต่างๆ จากตัวอย่าง (Sample) ที่สุ่มมาจากประชากร (Target population) แทนปรากฏการณ์ท่ี
นักวิจัยสนใจแสวงหาความรู้ความจริงให้ออกมาอยู่ในรูปของตัวเลขที่สามารถแจงนับได้ (Quantitative
measures) แล้วจึงวิเคราะห์ข้อมูลหลักฐานเชงิ ปรมิ าณทีร่ วบรวมไดน้ ี้ด้วยวิธีการทางสถิติ เพื่อสืบคน้ หาขอ้ สรุป
ผลของการศกึ ษาวจิ ยั สำหรบั ใช้ตอบคำถามหรอื ทดสอบสมมตฐิ านการวิจัยทก่ี ำหนดไวล้ ว่ งหน้าด้วยตรรกะการ
คิดแบบนิรนยั ได้อย่างถกู ต้อง เที่ยงตรง เช่ือถือได้ และเป็นปรนัย ซึ่งอาจแบ่งการออกแบบการวิจัยเชงิ ปริมาณ
ออกเป็น ๒ ประเภทย่อย ได้แก่ การออกแบบการทดลองและกึ่งทดลอง (Experimental/quasi-
experimental designs) และการออกแบบไม่ใช่การทดลอง (Non-experimental designs) เช่น การ
ออกแบบเชิงสำรวจ (Survey design) เปน็ ตน้

(๒) การออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research design) เป็นการออกแบบ
การศกึ ษาวจิ ัยท่มี ลี ักษณะยืดหย่นุ รวมทัง้ เป็นพลวัต มกี ารปรบั เปล่ียนได้ ขนึ้ อย่สู ภาพการณ์ในระหว่างการวจิ ัย
โดยมจี ดุ มุ่งเนน้ เพือ่ การทำความเข้าใจ การตคี วาม และการให้ความหมายปรากฏการณ์ใดๆ ที่นักวิจัยตอ้ งการ
แสวงหาความรู้ ความจรงิ โดยผ่านทางข้อมลู หลักฐานเชิงคณุ ภาพหรอื ท่ีไม่อยูใ่ นรูปตวั เลข เช่น ข้อความ ภาพ
หรอื สัญลักษณท์ สี่ ะท้อนทัศนะหรือมุมมองของบุคคลผู้เก่ียวขอ้ งกบั ปรากฏการณ์น้ันแลว้ ผู้วิจยั จงึ วิเคราะห์และ
ตีความขึน้ เป็นข้อสรุปผลของการวิจยั ด้วยตรรกะการให้เหตุผลแบบอุปนัยจากข้อมูลหลกั ฐานท่ีรวบรวมได้เพ่ือ
ตอบคำถามการวจิ ัยไดอ้ ยา่ งถูกต้องเช่อื ถอื ได้เป็นทเ่ี ขา้ ใจไดแ้ ละสมเหตสุ มผล เช่น การออกแบบการวิจยั เชิงชาติ
พันธ์ุวรรณนา(Ethnographic design) การออกแบบการศึกษาเฉพาะกรณี (Case study design) การ
ออกแบบการประเมินผล (Evaluative design)

(๓) การออกแบบการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methods research design) เป็นการ
ออกแบบการวิจยั ที่ผสมผสานวธิ ีการรวบรวมและวิธกี ารวิเคราะหข์ อ้ มูลหลักฐานทั้งเชงิ ปรมิ าณและเชงิ คุณภาพ
เข้าด้วยกันท้ังที่เกิดภายในข้ันตอน (Within-stage mixed design) หรือตามแนวขวางระหวา่ งขั้นตอนต่างๆ

๑๒๔ Advanced Research Methodology on Peace
(Across-stage mixed design) ในการศึกษาวิจัยเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงในกระบวนการผสมผสานวิธีการท้ังสองนี้
ผู้วิจัยจะต้องใช้ดุลพินิจอย่างมีวิจารณญาณในการตัดสินใจท่ีสำคัญอย่างน้อย ๓ ประการ คือ การให้ลำดับ
ความสำคญั (Priority) ลำดับเวลา (Sequence) และขน้ั ตอนการผสมผสานหรือบูรณาการ(Stages of mix or
integration) ในการนำข้อมูลหลักฐานการวจิ ัยแต่ละรูปแบบมาใช้เพ่อื สืบค้นหาหรือสร้างสรรค์ขอ้ สรปุ ผลการ
ศึกษาวิจัยไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เท่ียงตรง เป็นท่ีเขา้ ใจไดช้ ัดเจน เชอ่ื ถอื ได้และสมเหตสุ มผล ซ่ึงการออกแบบการวจิ ัย
ผสมผสานวิธีออกแบบเป็น ๒ ประเภทย่อยคือ การออกแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research
design) และการออกแบบการวจิ ัยและการพัฒนา (Research and development design)

ทั้งน้ีในการผสมผสานวิธีระหว่างการวิจัย ๒ รูปแบบน้ันอาจเป็นการผสมผสานแบบคร่ึงต่อครึ่ง
การผสานแบบมีรูปแบบหลักร่วมกับรูปแบบรอง หรือแบบผสมผสานทุกขั้นตอน โดยมีวิธีการออกแบบ ดังนี้
(ผอ่ งพรรณ ตรัยมงคลกูล และสภุ าพ ฉัตราภรณ์, ๒๕๔๙) (๑) การวจิ ัยแบบ ๒ ภาค (two-phase design) เป็น
การวิจัยในรูปแบบท่ีแยกการดำเนนิ การเป็น ๒ ข้ันตอนอย่างชัดเจนดว้ ยวิธีการที่ต่างกัน (การวิจัยเชิงปริมาณ
และการวิจัยเชิงคุณภาพครึ่งต่อครึ่ง)แล้วนำ เสนอผลการวจิ ยั แบ่งออกเปน็ ๒ ตอน โดยเอกเทศแตล่ ะตอนตอบ
คำถามวิจัยต่างประเด็นกัน โดยมีบทสรปุ เปน็ ตัวเช่อื มโยงการวิจยั ท้งั สองตอนเข้าด้วยกนั (๒) การวจิ ัยแบบนำ-
แบบรอง (dominant-less dominant design)เป็นการวิจัยที่ดำเนินการด้วยวิธีการวิจัยหลักแนวทางใด
แนวทางหนึ่งแล้วเสริมด้วยอีกแนวทางหนึ่ง เช่น ใช้การวจิ ัยเชงิ ปริมาณเป็นหลักและใชว้ ิธกี ารบางอย่างของการ
วิจยั เชิงคณุ ภาพมาเสรมิ เชน่ เพ่ือขยายความ เพ่อื ตรวจสอบยืนยันหรือเพมิ่ ความลกึ ของข้อมูล หรอื อาจใชก้ าร
วิจัยเชิงคุณภาพเป็นหลักเสริมด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ(๓) การวิจัยแบบผสมผสาน (mix methodology
design หรือ integrated approach) รูปแบบนี้เป็นการผสานทั้งระดับกวา้ งและลึกระหว่าง ๒ กระบวนทัศน์
และแนวทางการวิจยั รูปแบบการ วจิ ัยนี้จดั ว่าเปน็ การวิจัยลูกผสม (hybrids) เปน็ การผสานทกุ ขั้นตอนของการ
วิจัยตั้งแต่นำเสนอปัญหาจนถึงบทสรุปของการวิจัย๑๓

๕.๒ แบบแผนการวจิ ยั เชงิ ปริมาณ

เพ่ือทบทวนความเขา้ ใจเก่ียวกบั งานวิจัยเชิงปริมาณซึ่งมีแบบแผนการวจิ ัยเชงิ ปริมาณ สรุปเป็น
แผนภาพได้ดังน้ี

๑๓กลุ ชลี จงเจรญิ และนติ ยา ภสั สรศริ ิ,การออกแบบและการวางแผนการวิจัย, หน้า ๙-๑๐.

ภาพท่ี ๕.๑ สรปุ แบบแผนการวจิ ยั เชงิ ปริมาณ ระเบยี บวธิ วี จิ ัยชั้นสงู ว่าดว้ ยสันติภาพ ๑๒๕

องค์ความร้/ู ทฤษฎี อนมุ าน/นริ นัย

กำหนดสมมตุ ฐิ าน/คำถามวิจัย อปุ มาน/อุปนยั

ใหน้ ยิ ามเชิงปฏิบตั ิการแกต่ วั แปร

เครือ่ งมือวันตวั แปร/
ข้อมลู เชิงประจกั ษ์
ทดสอบสมมุติฐาน/ตอบคำถาม

งานวิจัย

ภาพที่ ๕.๒ แสดงจดุ มงุ่ หมายของการวิจยั เชิงปริมาณแต่ละประเภท

เพื่อควบคุม มาก
(to control)
ความสามารถ
เพื่ออธบิ าย/ทานาย ในการอธิบาย
(to explain/to หรอื ควบคุม

predict) ความ
แปรปรวน
เพือ่ บรรยาย/พรรณา
(to describe) น้อย

เพือ่ สารวจ
(to explore)

ที่มา: ปรบั ปรงุ จาก Miller (๑๙๙๐)๑๔

๕.๒.๑ ประเภทของการออกการวิจยั เชิงปรมิ าณ
อนึ่ง การออกแบบการวิจัยเพื่อให้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ ประเด็นสำคัญท่ีต้องทำความเข้าใจใน
เบื้องตน้ คือ การตระหนักถงึ ประเภทของการวจิ ัยซึง่ การวจิ ยั เชิงปริมาณมีการแบ่งประเภทตามจดุ มุ่งหมายของ
การวิจัยออกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ กล่าวคือ (๑) แบบแผนการวิจัยแบบไม่ทดลอง (Non-experimental

๑๔ประภาพรรณอบอุ่น, แบบการวิจัยเชิงปริมาณ: การวิจัยเชิงบรรยายและการทดลอง, เอกสารประกอบการ
บ ร ร ย า ย โ ค ร ง ก า ร Research Zone ( Research Zone (2 0 1 3 ), , [อ อ น ไล น์ ], แ ห ล่ ง ท่ี ม า :http://rlc.nrct.
go.th/ewt_dl.php?nid=1050, [๑๘ เม.ย. ๒๕๖๑].

๑๒๖ Advanced Research Methodology on Peace
Research Design) (๒) แบบแผนการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research Design) (๓) แบบแผนการ
วิจัยเชงิ กงึ่ ทดลอง (Quasi-experimental Research Design) โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี๑๕

(๑) แบบแผนการวิจยั แบบไม่ทดลอง (Non-experimental Research Design) แบ่งเป็น ๓
ประเภท คือ การวิจัยเชิงพรรณนา/บรรยาย (Descriptive/ Explanatory Research Study) การวิจัยเชิง
อธบิ าย/ทำนาย (ความสัมพนั ธ)์ (Predictive/Correlation Research Study) การวจิ ัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
(Causal Comparative Research)

(๑.๑) การวิจยั เชงิ พรรณนา/บรรยาย (Descriptive/ Explanatory Research Study)
-เป็นการวิจยั เพอื่ ทำความเข้าใจในเร่อื งใดเรอ่ื งหน่ึงให้มีความลึกซ้ึงมากขน้ึ โดยการแจกแจง
ปรากฏการณ์ตามตัวแปรทีศ่ กึ ษา และการกระจายตัวของตัวแปรเหล่านั้น
-เปน็ การบรรยาย/พรรณนาขอ้ มูลให้ชดั เจนยง่ิ ขึน้ เป็นการอธิบายตามสภาพท่เี ป็นอยู่ โดยไมม่ ี
การควบคุมตวั แปรหรอื สถานการณ์ใหผ้ ดิ ไปจากปกติวิสัย
-นักวิจัยอาจศึกษาตวั อย่างจากหลายกลุ่ม ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง แล้วสรปุ ผลการศึกษาโดย
บรรยายเปรยี บเทยี บลกั ษณะตา่ งๆของกลมุ่ ที่ศกึ ษานน้ั
-ใช้ในการศกึ ษาหาปจั จัยทีเ่ กี่ยวข้อง (Association) กบั เร่ืองทศ่ี กึ ษาได้

 ไมใ่ ชว้ ธิ ีการควบคุมตวั แปรหรอื สถานการณ์
 ใช้แบบการวจิ ยั เชงิ สำรวจเชิงพรรณนา (Descriptive Survey)
รปู แบบการวิจยั : การวจิ ยั เชิงสำรวจ ณ จุดเวลาใดเวลาหนงึ่ (Cross-sectional study)

(๑.๒) การวิจัยเชิงอธิบาย/ทำนาย (ความสัมพันธ์) (Predictive / Explanatory
Research Study)

-เปน็ การวจิ ยั ที่มงุ่ จะอธิบายความสัมพนั ธ์ระหว่างพฤตกิ รรมทศี่ ึกษากับตวั แปรอน่ื ๆวา่ มีความ
ผันแปรตอ่ กนั อย่างไร

-เปน็ การวิจยั ทีใ่ หค้ วามสนใจกับการวิเคราะหข์ นาดและทิศทางความสัมพันธเ์ ชงิ ปริมาณ ทไี่ ม่
มีการควบคุมตัวแปร

-มุ่งศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ-ผล->บางครั้งเป็นการอธิบายเชิงทำนาย(Predictive
Explanation) โดยอาศัยข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่าง x กับ y เพ่ือทำนายปริมาณความแปรปรวนใน y ท่ี
อธบิ ายได้ดว้ ย x โดยใชส้ ถติ ใิ นการอธิบายความเก่ียวข้องระหวา่ งตัวแปร

 ไมม่ กี ารควบคุมความแปรปรวนที่เกดิ จากตัวแปรใดๆ
 ใชแ้ บบการวิจยั เชิงสหสัมพันธ์ (Correlation Study)

๑๕พิสมัย หอมจำปา, การออกแบบการวิจัย, เอกสารประกอบการอบรมโครงการฝึกอบรม “สร้างนักวิจัยรุ่น
ใหม่” (ลูกไก่), เครือข่ายมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.), ๑๒
ธนั วาคม-๑๖ ธนั วาคม ๒๕๕๙ณ วทิ ยาลยั สงฆศ์ รสี ะเกษ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .

ระเบยี บวิธวี จิ ยั ช้ันสูงวา่ ด้วยสันติภาพ ๑๒๗
รูปแบบการวิจัย: การศึกษาไปข้างหน้า (Longitudinal/Prospective study) ได้แก่
Cohort study
- เป็นการศึกษาในกลมุ่ ตัวอยา่ งท่ยี ังไมม่ ีผลลัพธ์ท่ีสนใจศึกษาเกดิ ขึ้น แล้วศกึ ษาโดยเฝา้ สังเกต
ไปข้างหน้าเมื่อระยะต่อมา (อาจเป็นในรอบปีหรือหลายสิบปี) เพ่ือประเมินว่ากลุ่มตัวอย่างมีผลลัพธ์ท่ีสนใจ
เกดิ ขน้ึ หรอื ไม่
- อาจแสดงผลการศึกษาในเชิงเชิงบรรยายก็ได้ หรือ เปรียบเทียบความเสี่ยงของผู้ท่ีได้รับ
หรือไมไ่ ดร้ ับปัจจยั ที่นำไปสกู่ ารเกิดผลลัพธท์ ศ่ี กึ ษาก็ได้

(๑.๓) การวิจยั เชงิ เปรยี บเทยี บสาเหตุ (Causal Comparative Research)
-เป็นการวิจัยท่ีมีจุดมุ่งหมายในการเปรยี บเทยี บเชิงเหตุ-ผลโดยตัวแปรเหตุหลักเกดิ ขึ้นก่อน
แล้ว จงึ เร่มิ ศกึ ษาจากผลทส่ี งั เกตพบเพอ่ื ค้นหาสาเหตุทเี่ ป็นไปได้มากที่สุด
-เปน็ การวิจัยท่ีมีการควบคมุ ตัวแปรสาเหตอุ ืน่ ๆ บางสว่ น (Partial Control) ด้วยวิธีการนำมา
ศึกษาดว้ ยให้มากทสี่ ุดเท่าท่ีจะทำได้

 มีการควบคมุ ตัวแปรสาเหตุอนื่ ๆบางส่วน (Partial Control)
 ใช้แบบการวจิ ยั เชงิ สหสมั พันธ์ (Correlation Study)

รูปแบบการวิจัย: การศึกษาย้อนหลัง(Retrospective study)ได้แก่ Case control study
- เป็นการแบ่งกลมุ่ ทม่ี ี (Case) และไมม่ ปี ัญหาท่ีศึกษา (Control)
- ศึกษายอ้ นหลังเพอื่ หาตัวแปรทำนาย (Predictor variables) เพื่ออธิบายว่า สาเหตุในกลุ่ม
Case จงึ มีปญั หาทีศ่ ึกษาข้นึ และในกลุม่ Control จงึ ไม่มปี ญั หาดงั กล่าว
- โดยมีสมมตุ ิฐานที่ต้ังไวค้ อื การมีประวัตเิ ส่ียงในอดตี เปน็ สาเหตทุ ท่ี ำให้เกิดปญั หาท่ีศึกษา
- วิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มูล ใช้แบบสมั ภาษณ์ แบบสอบถาม, Chart review

(๒) แบบการวจิ ยั เชิงทดลอง (Experimental Research Design)
การวิจัยเชิงทดลอง เป็นวิธีการแสวงหาความรู้ความจริงอย่างเป็นระบบ โดยใช้หลักการทาง
วิทยาศาสตร์(Scientific method) บนฐานคติความเช่ือของกระบวนทัศน์แบบปฏิฐานนิยม (Positivism)
เหมาะสำหรับสบื คน้ หาความสมั พนั ธ์เชิงเหตุและผลระหว่างตัวแปรอิสระ หรอื ตวั แปรทดลองท่เี ป็นตน้ เหตุและ
ตัวแปรตามที่เป็นผลภายใต้การจัดกระทำทางการวิจัยที่มีการให้ส่ิงทดลอง(Treatment) กับหน่วยตัวอยา่ งท่ี
ทำการศึกษา(Subjects) และควบคุมสภาพการทดลองไม่ให้ปัจจัยแทรกซ้อนอ่ืนๆเข้ามามีอิทธิพลต่อผลการ
ทดลองได้ ทำการสังเกตหรือวัดผลที่ไดจ้ ากการจัดกระทำในตวั แปรตามหลงั จากการจัดกระทำนั้นสรุปการวจิ ัย
เชิงทดลอง
-เป็นการวจิ ยั ที่มีจดุ มุง่ หมายเพอ่ื การควบคุม
-ม่งุ ศกึ ษาเฉพาะตวั แปรทนี่ ักวจิ ยั สนใจว่า ตัวแปรสาเหต(ุ Cause, X) จะก่อให้เกิดผลอยา่ งไรตอ่ ตัว
แปรอ่นื (Effect, Y)

๑๒๘ Advanced Research Methodology on Peace
-มุ่งทดสอบความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล คำตอบที่ได้จะมีความชัดเจนก็ต่อเมื่อ“ควบคุม”ความ

แปรปรวนทีเ่ กิดจากตวั แปรอื่นๆ
นอกจากนี้ การวิจัยเชิงทดลอง๑๖ (Experimental research) หมายถึง วิธีการแสวงหาความรู้

ความจริงอย่างเป็นระบบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยการจัดกระทำตัวแปรอิสระหรือตัวแปรจัดกระทำ
(Treatment variable) ภายใต้ความควบคลุมตัวแปรแทรกซ้อน (Extraneous variables) แล้ววัดผลการ
เปลี่ยนแปลงในตัวแปรตาม (Dependent variable) เพื่อม่งุ ศกึ ษาความสัมพันธ์เชงิ เหตแุ ละผล (Cause-and-
effect relationships) ลักษณะท่ีความสำคัญของการวิจัยเชิงทดลองการวิจัยเชิงทดลองมีลักษณะหรือ
องค์ประกอบทส่ี ำคญั ๔ ประการ (Gravetter and Forzano)๑๗ ดังน้ี

องค์ประกอบสำคญั ของการวิจัยเชิงทดลอง
(๑) การจัดกระทำ (Manipulation) ในการวจิ ัยเชงิ ทดลอง นกั วจิ ัยจะต้องจัดกระทำตัวแปรอิสระ
หรอื ตวั แปรทดลอง (Experimental variable) เพอ่ื กำหนดชุดของการเงอ่ื นไขจัดกระทำใหก้ ับหน่วยตัวอยา่ ง
(๒) การสงั เกตหรอื วัดผล (Observation or measurement) ในตัวแปรตามจากการจัดกระทำ
ในแต่ละเงอ่ื นไข
(๓) การเปรียบเทียบ (Comparison) ผลการวัดคา่ ตวั แปรตามอันเน่อื งมาจากเงอื่ นไขท่ีจดั กระทำ
ต่างกันจะถูกนำมาเปรียบเทียบกัน หากมีความแตกต่างเกิดข้ึนก็เป็นหลักฐานท่ีแสดงให้เห็นว่าการจัดทำเป็น
สาเหตุทำให้เกิดการเปลีย่ นแปลงในผลการวัดท่ีได้
(๔) การควบคุม (Control) การวิจยั เชิงทดลองจะต้องมีการควบคุมตัวแปรอื่นๆ ท่ีไม่สนใจศึกษา
เพื่อให้มน่ั ใจวา่ ตัวแปรอื่นๆ เหล่านั้นจะไมม่ ผี ลต่อความสมั พันธร์ ะหว่างตวั แปรอสิ ระและตวั แปรตามทต่ี ้องการ
ศกึ ษา

กำหนดให้ R = การสมุ่ ตวั อยา่ ง (Random sampling)
O = การวัดคา่ ตัวแปร
X = การจัดกระทำหรือการทำการทดลอง

ประเภทของการวจิ ยั เชิงทดลอง แบ่งเปน็
(๒.๑) แบบแผนการวจิ ัยเชิงทดลองขนั้ ตน้ (Pre-experimental Design)แบง่ ออกเป็น

๑๖วรรณี กามเกตุ,วธิ ีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย,
๒๕๕๕), หน้า ๑๓๕-๑๖๕.

๑๗Kirk, R. E.,Experimental design: Procedures for the behavioral sciences, (Pacific Grow, Ca:
Brooks/Cole, 1995).อ้างอิงใน นวลฉวี ประเสริฐสุข,จิตวิทยาการทดลอง: หลักการและการปฏิบัติ, (นครปฐม: โรงพิมพ์
มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร, ๒๕๕๗), หน้า ๒๒.

ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั ช้ันสูงว่าด้วยสันติภาพ ๑๒๙
(๑) การศกึ ษาแบบกลุ่มเดียววัดผลหลังทดลอง (One–shot Case Design)มวี ิธีดำเนินการ
โดยเลอื กกลมุ่ ตัวอย่างมาศกึ ษา ๑ กลมุ่ ทำการทดลองโดยให้ส่ิงทดลอง (Treatment) กับกลมุ่ ตวั อย่าง แลว้ วัด
ตวั แปรตามหลงั จากทใ่ี ห้สงิ่ ทดลอง ซงึ่ สามารถแสดงไดด้ ้วยแผนภาพดังน้ี

เมือ่ X เปน็ ตวั แปรสาเหตุทจ่ี ดั กระทำ (Treatment)
O เปน็ ตัวแปรผลที่ไดจ้ ากการทดสอบหลงั ทดลอง/การจดั กระทำ

ข้อด:ี เป็นวิธกี ารที่ง่ายและสะดวกในการดำเนนิ การทดลองหรือใชเ้ ป็นการศกึ ษานำรอ่ ง(Pilot
study) เพื่อศึกษาปัญหาต่างกันเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขต่อไป ผลการวิจัยท่ีได้อาจใช้เป็นข้อมูล
พืน้ ฐานเพอื่ การศกึ ษาคน้ ควา้ ในขน้ั ต่อไป

ข้อจำกัด: ผลการวิจัยไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าตัวแปรอิสระที่จัดกระทำกับกลุ่ม
ตวั อย่างจะสง่ ผลต่อตัวแปรตามเนอ่ื งจากแบบแผนการทดลองนีม้ ีจดุ อ่อนในเรื่องการควบคุมตัวแปรแทรกซอ้ น
ไม่มีกล่มุ เปรยี บเทียบและไม่มกี ารสมุ่ ตัวอยา่ ง ทำใหผ้ ลการวจิ ัยขาดความตรงภายในและความตรงภายนอก โดย
มีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อความตรงภายใน เช่น เหตุการณพ์ ้อง (History) วุฒิภาวะ (Maturation) ความ
ลำเอยี งในการเลือกตวั อย่าง (Selection)และการขาดหายของตัวอย่าง (Mortality) และมีปัจจัยที่อาจส่งผล
กระทบตอ่ ความตรงภายนอก คอื ปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งการเลือกตัวอยา่ งกบั สิง่ ทดลอง๑๘

(๒) แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดยี วทดสอบก่อนและหลังการจัดกระทำ(One-Group
Pretest-Posttest Design) แบบแผนการทดลองแบบศกึ ษากลุ่มเดยี ววัดสองครั้ง มวี ิธดี ำเนินการโดยเลอื กกลุม่
ตัวอย่างมาศึกษา ๑ กลุ่มและมีการวัดตัวแปรตามกอ่ นการให้สงิ่ ทดลองกับกลุ่มตัวอยา่ ง หลงั จากให้ส่ิงทดลอง
แลว้ ทำการวดั ตัวแปรตามกอ่ นให้ส่ิงทดลองเพอ่ื ประโยชนใ์ นการเปรยี บเทยี บการเปล่ยี นแปลงในตัวแปรตาม ซ่งึ
สามารถแสดงไดด้ ว้ ยแผนภาพดังน้ี

เมอ่ื X เป็นตัวแปรสาเหตุที่จัดกระทำ
O pretest เป็นผลการทดสอบก่อนทดลอง
O posttest เป็นผลการทดสอบหลงั ทดลอง

๑๘ยุทธ ไกยวรรณ์, การวางแผนการทดลองสำหรบั การวิจัย, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๙), หนา้ ๗๙.

๑๓๐ Advanced Research Methodology on Peace
ขอ้ ด:ี เน่ืองจากมีผลการทดสอบครงั้ แรกเปน็ ฐานในการเปรยี บเทยี บวา่ ผลการทดสอบหลงั การ

ทดลองเปลย่ี นแปลงไปหรอื ไม่ ทำให้ผลการศกึ ษาดนู า่ เชอื่ ถอื กวา่ แบบแรก
ข้อจำกัด: ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าการเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากส่ิง

ทดลอง ท้ังนเ้ี นอื่ งจากมปี จั จัยแทรกซอ้ นท่มี ผี ลกระทบต่อความตรงภายใน คือ เหตกุ ารณพ์ ้อง วฒุ ิภาวะ การวัด
ครงั้ แรก เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้วัด และมีปจั จัยที่สง่ ผลกระทบตอ่ ความตรงภายนอก คือ ปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหว่างการทดสอบ
คร้งั แรก กบั ส่งิ ทดลอง และปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างความลำเอียงในการเลือกตัวอย่างกบั สิง่ ทดลอง๑๙

(๒.๒) แบบแผนการวิจัยเชิงทดลองท่ีแท้จริง (True Experimental Research Design) แบ่ง
ออกเปน็

(๑) แบบแผนการทดลองก่อนและหลังได้รับการจัดกระทำแบบมีกลุ่มควบคุม (Pretest-
Posttest Control Group Design)หรือเรียกว่า Randomized controlled trial (RCT) รูปแบบการวิจัย
ชนิดน้ีใชก้ ลุ่มคนในการทำวิจัยสองกลุ่มคือ กลุ่มควบคมุ และกลุ่มทดลองการคัดเลือกบคุ คลเขา้ กลุ่มแต่ละกลุ่ม
เปน็ ไปโดยวิธีการสุ่ม และการกำหนดกลมุ่ ควบคุมและกลุ่มทดลอง ก็เปน็ ไปโดยวธิ กี ารสุ่มเชน่ เดียวกันรูปแบบนี้
มกี ารทดสอบก่อนที่จะทำการทดลอง และหลังจากทำการทดลองไปชว่ งระยะหนึ่งผูว้ ิจยั กจ็ ะทำการสงั เกตหรือ
วดั ผลหรอื ทำการทดสอบอีกครั้ง และเปรยี บเทยี บค่าเฉลยี่ ของความแตกตา่ งระหว่างO2 -O1 และคา่ เฉลี่ยของ
ความแตกตา่ งระหว่าง O4 -O3

R O X O
R ppsrrOtee1ttee ppeoosOsst2tttt

st3 est4

เมือ่ X เป็นตวั แปรสาเหตทุ จ่ี ดั กระทำ (Treatment)

O-pretest1 และ 2 เป็นผลการทดสอบก่อน และหลงั การทดลองของกลมุ่ ทดลอง

O-pretest3 และ 4เป็นผลการทดสอบกอ่ นและหลงั การทดลองของกลมุ่ ควบคมุ

เป็นการสมุ่ ตัวอย่างอยา่ งสมบรู ณ์

(๒) แบบแผนการทดลองการทดสอบหลังการจัดกระทำแบบมีกลุม่ ควบคมุ (Posttest –
Only Control Group Design)รูปแบบนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มซ่ึงคัดเลือกมาโดยวิธีการสุ่ม และจัดเข้า
กลุ่มทดลองและควบคุมด้วยวิธีการสุ่มเช่นเดียวกัน หลังจากท่ีมีการทดลองไปช่วงระยะหน่ึงแล้วก็จะมีการ
ทดสอบได้ผลจากกล่มุ ทดลองเป็น O1และผลการทดสอบจากกลมุ่ ควบคุมเป็น O2รปู แบบน้ีไม่มีผลกระทบต่อ

๑๙ยุทธ ไกยวรรณ์, การวางแผนการทดลองสำหรับการวิจัย, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๙), หน้า ๘๒.

ระเบียบวธิ ีวจิ ัยช้ันสงู ว่าด้วยสนั ตภิ าพ ๑๓๑
ความตรงภายในอันเนื่องมาจากการทดสอบสองครั้ง และสามารถเปรยี บเทียบความแตกต่างระหว่าง O1และ
O2

RX O posttest1
R O posttest2

เม่อื X เปน็ ตวั แปรสาเหตุที่จัดกระทำ (Treatment)
O posttest1 เปน็ ผลการทดสอบหลังทดลองของกลมุ่ ทดลอง
O posttest2 เปน็ ผลการทดสอบหลงั ทดลองของกลุ่มควบคมุ
เป็นการสุ่มตัวอยา่ ง

ข้อดี: การควบคุมตัวแปรกวนทำให้ผลการวิจัยน่าเช่ือถือมากข้ึนการสุ่มตัวอย่างอย่างเป็น
ระบบช่วยให้ลดอคติกับตัวอย่างที่ศึกษาในระยะเร่ิมแรกการปกปิดว่ากลุ่มใดเป็นกลุ่มได้รับการทดลอง
(Blinding the interventions) ช่วยลดอคติอันเกิดจากการตั้งใจหรือไม่ต้ังใจจัดกระทำสิ่งทดลองต่อกลุ่ม
ตัวอย่างทีศ่ กึ ษา

ขอ้ จำกัด: สิ้นเปลืองท้ังคา่ ใช้จ่ายและระยะเวลาคำถามการวิจัยหลายคำถามไม่เหมาะสมกับ
การวิจัยเชิงทดลอง สว่ นใหญ่เหมาะสำหรับการศกึ ษาวิจัยท่ตี อ่ ยอดจากการศึกษาวจิ ยั แบบบรรยายท่มี ขี อ้ สรปุ ที่
สมบูรณ์แล้ว ธรรมชาตขิ องแบบแผนการวจิ ยั เชงิ ทดลองมักมีขอบเขตการศึกษาท่จี ำกัด และมีคำถามท่ีจำเพาะ

(๒.๓) แบบแผนการวิจัยก่ึงทดลอง(Quasi-Experimental Designs)การวิจัยก่ึงทดลองมี
ลกั ษณะคล้ายการวจิ ัยเชิงทดลอง แต่การวจิ ัยกึง่ ทดลองไมม่ กี ารสมุ่ ตัวอยา่ งเข้ากลมุ่ การวจิ ยั กึง่ ทดลองพยายาม
ออกแบบการวจิ ยั ใหเ้ กดิ ความเท่ียงตรงภายในโดยมวี ิธกี ารสร้าง การควบคุมประเภทต่างๆ เพ่ือขจดั อิทธพิ ลของ
ตวั แปรภายนอกต่างๆแบบการวิจยั ก่งึ ทดลองมีหลายประเภท แบบการวจิ ัยก่งึ ทดลองทีน่ ยิ มใชไ้ ด้แก่ การวิจยั ที่
มีการทดสอบกอ่ นและหลังการทดลองในกลุ่มทดลองและกลุม่ เปรียบเทียบ

รูปแบบการวิจัยแบบก่ึงทดลอง สามารถควบคุมองค์ประกอบที่จะเกิดผลกระทบต่อความตรง
ภายในของการวิจัยได้บางชนิด ซึ่งดีกว่ารูปแบบการวิจัยที่ยังไม่เข้าข้ันการทดลอง รูปแบบการวิจัยแบบกึ่ง
ทดลอง ใช้เป็นประโยชน์ได้ดใี นสถานการณ์ท่ีผวู้ ิจัยไม่สามารถจะใช้รปู แบบการทดลองอย่างแท้จรงิ กับผู้ท่ีถูก
ทดลองได้ ในสถานการณ์ปัจจุบันและในสภาพความเป็นจริงของวงการศึกษานั้น ไมค่ ่อยเอ้ืออำนวยแก่นกั วิจัย
เท่าใดนัก นักวิจัยทางการศึกษามักจะประสบปัญหาเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคคลท่ีจะทำการทดลอง เข้ากลุ่ม
ทดลองและกลุ่มควบคมุ ทางโรงเรยี นอาจจะไมร่ ว่ มมอื ในการท่ีจะจัดทดลอง หรอื ไมต่ ้องการให้นักเรยี นจากชั้น
ตา่ งๆ ถกู เลอื กมาเข้ากลุ่มทดลองและกลุม่ ควบคุมโดยวธิ ีการสมุ่ และนักเรยี นทั้งสองกลุ่มนั้นจะได้ประสบการณ์

๑๓๒ Advanced Research Methodology on Peace
ในการเรยี นรู้ไมเ่ ทียมกัน การวิจยั ก่ึงทดลอง แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ(๑) แบบแผนการทดลองกลมุ่ ควบคมุ ที่ไม่
เท่าเทียมกัน(nonequivalent control group design) (๒) แบบแผนการทดลองแบบอนุกรมเวลา (Time
Series Design)(๓) แบบแผนการทดลองแบบอนกุ รมเวลาและมีกลุ่มควบคุม(Multiple Time Series Design)

(๑) แบบแผนการทดลองกลุ่มควบคุมทไี่ มเ่ ทา่ เทียมกัน(nonequivalent control group
design) เป็นรปู แบบที่ใชก้ ันมากในการวิจยั ทางการศึกษา คอื มีกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง และทั้งสองกลุ่มน้ี
มีการทดสอบท้ังกอ่ นและหลังการทดลอง แตก่ ารคดั เลอื กบคุ คลเข้ากล่มุ ควบคุมและกลมุ่ ทดลองเป็นไปอยา่ งไม่
เสมอภาคกัน เพราะผูว้ จิ ยั อาจจะได้รบั ความร่วมมือจากทางโรงเรียนเพียงแต่ใหน้ ักเรยี นมาคร้ังละช้ันเรยี น และ
ไม่สามารถท่ีจะจัดนักเรยี นเข้ากลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองโดยวธิ ีการสุ่มแบบธรรมดาได้ สำหรับการกำหนด
กลุ่มท่ีจะเป็นกลมุ่ ควบคมุ หรอื กลุ่มทดลองน้ันเป็นไปโดยวธิ กี ารแบบสมุ่ อาจจะจบั ฉลากหรอื โยนเหรยี ญก็ได้ ซึ่ง
มีแผนภมู ิดงั น้ี

เม่อื X เปน็ ตัวแปรสาเหตุทจี่ ัดกระทำ
O pretest1 และ 2 เป็นผลการทดสอบกอ่ นและหลังการทดลองของกลุ่มทดลอง
O pretest3 และ 4 เป็นผลการทดสอบก่อนและหลงั การทดลองของกลุม่ ควบคุม
------------ เป็นความไมเ่ ท่าเทยี มกันในการส่มุ กลมุ่ ตวั อย่าง

(๒) แบบแผนการทดลองแบบอนุกรมเวลา (Time Series Design)รูปแบบนี้แตกตา่ งจาก
รูปแบบกลุ่มที่มีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง ในแง่ของการทดสอบซ่ึงกระทำเป็นชุด ๆ หลายคร้ัง
ต่อเนื่องกัน ในการทดสอบติดต่อกันหลายๆครั้งนี้ก็จะช่วยควบคุมองค์ประกอบที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อ
ความตรงภายในของการวจิ ัยได้หลายชนิด เช่นสภาพความเป็นอยู่ของผ้ทู ่ีถูกทดลอง วุฒิภาวะ การสอบ และ
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล สำหรับข้อเสียของรูปแบบนี้คือ การไปทดสอบหรือสังเกตพฤติกรรมหลายๆครั้ง
รวมทั้งกอ่ นและหลงั นั้น อาจจะไดร้ บั ความรว่ มมือจากโรงเรียนหรอื สถานท่ีทผ่ี วู้ ิจยั ต้องการทำการทดลองได้ไมด่ ี
เท่าที่ควร

OOO X OOO
123 456

เมอื่ X เป็นตวั แปรสาเหตทุ จี่ ดั กระทำ (Treatment)
O1, O2, O3 เป็นผลการทดสอบก่อนทดลองครง้ั ที่ 1, 2, 3
O4, O5, O6 เปน็ ผลการทดสอบหลังทดลองครั้งท่ี 4, 5, 6

ระเบยี บวธิ วี ิจยั ช้ันสูงวา่ ดว้ ยสนั ตภิ าพ ๑๓๓
(๓) แบบแผนการทดลองแบบอนกุ รมเวลาและมกี ลุม่ ควบคุม (Multiple Time Series Design)

O O O X O O O
1 2 3 4 5 6 กลุม่ ทดลอง

OOO กล่มุ ควบคมุ
123 OOO

456

เมอื่ X เปน็ ตวั แปรสาเหตทุ ่จี ัดกระทำ(Treatment)
O1, O2, O3เป็นผลการทดสอบกอ่ นทดลองครั้งท่ี , 2, 3
O4, O5, O6เปน็ ผลการทดสอบหลงั ทดลองครั้งท่ี 4, 5, 6

ข้อดี: เป็นแบบแผนการวจิ ัยที่มีเหตุผลเช่นเดยี วกับ RCTมีประโยชน์มากในกรณีที่ไมส่ ามารถ
ทำการสมุ่ กลุ่มตัวอยา่ งไดห้ รือสมุ่ ได้ยาก ชว่ ยประหยัดงบประมาณและทรพั ยากร

ข้อจำกัด: จำนวนกลมุ่ ตวั อยา่ งที่ไมเ่ ท่ากันระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมทำให้เกิดอคติ
นอกเหนอื ไปจากความคลาดเคลอื่ นอนั เกดิ จากไดร้ บั และไม่ไดร้ ับการจัดกระทำของกลุ่ม การไม่ปกปิดว่ากลุ่มใด
ได้รับหรือไมไ่ ด้รบั การจดั กระทำทำให้เกดิ ความไมต่ ง้ั ใจในการปฏิบตั ริ ะหว่างกลมุ่ ต้องบนั ทกึ ข้อมลู ลักษณะตา่ งๆ
ของกลมุ่ ตวั อย่างอย่างละเอยี ดถ่ีถ้วนเพือ่ เปรียบเทยี บกลมุ่ ตวั อย่างให้ชัดเจน การรายงานผลการศึกษาจะต้อง
ระบอุ คติอันเกิดจากกลุ่มตวั อย่างท่ีศึกษา การนำผลการศึกษาไปสรุปถึงสาเหตุไปหาผลไมแ่ ข็งแกร่งเท่าทคี่ วร
เนอ่ื งจากอคตทิ ่เี กิดขน้ึ ในการวิจยั ประเภทนีเ้ มื่อเทียบกบั RCT

ตารางที่ ๕.๑ สรปุ ความแตกตา่ งระหวา่ งแตล่ ะแบบแผนการวจิ ัย

หัวข้อ การวิจยั แบบไม่ทดลอง: การวิจัยเชิงทดลองที่ การวิจยั กึง่ ทดลอง
การวิจัยเชิงบรรยาย แท้จริง

จุดมงุ่ หมาย ศกึ ษาตัวแปรตามสภาพ ศึกษาความสัมพันธ์เชงิ ค ล้ า ย ก า ร วิ จั ย เชิ ง
การณ์ปกตวิ สิ ยั เหตุ-ผลมีการจัดกระทำ ทดลอง
การควบคมุ ความ ไมม่ กี ารจดั กระทำ ใหเ้ กดิ สภาพการณ์ข้ึน
แปรปรวนของ ไมม่ ีการควบคมุ มคี วบคมุ ความ มีควบคมุ ความ
ตัวแปร แปรปรวนของตัวแปรที่ แปรปรวนของตัวแปรที่
การส่มุ ตัวอย่าง มหี รอื ไม่มีก็ได้ เกีย่ วข้อง เก่ยี วข้อง
มี ไม่มี

กลุม่ ควบคมุ ไมม่ ี มี มี

๑๓๔ Advanced Research Methodology on Peace
๕.๒.๒ เกณฑ์ในการออกแบบการวจิ ยั เชิงปริมาณ
ทงั้ นไ้ี ม่วา่ ผ้วู จิ ยั จะเลือกใช้รูปแบบการวจิ ยั เชิงปรมิ าณแบบใดในการออกแบบการวจิ ยั แต่อยา่ งไรก็

ตามสง่ิ ท่ีนักวิจัยจะต้องคำนึงถึงในการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณซ่ึงบิคแมน คุ๊คและแคมป์เบล ได้กลา่ วถึง
แบบการวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือ (Credibility) ว่าควรเป็นแบบท่ีทำให้ค่าความตรงสูงสุด (Maximizing
validity) ซึง่ ค่าความตรงของการวิจยั จะมีจดุ เน้นทแ่ี ตกตา่ งตามประเภทของการวิจัย สำหรับการวิจัยประยกุ ต์
ค่าความตรงมี ๔ ประเภท คือ (๑) ความตรงเชิงโครงสร้าง (Construct validity) (๒) ความตรงเชิงสถิต
(Statistic validity) (๓) ความตรงภายใน (Internal validity) (๔) ความตรงภายนอก (External validity)

(๑) ความตรงเชิงโครงสร้างหรือความตรงเชิงทฤษฎีเป็นความตรงท่ีมาจากตัวแปรในกรอบ
ความคดิ การวิจัย ไดร้ บั การจัดกระทำ เช่น ได้รบั การวัดอย่างเหมาะสม

(๒) ความตรงเชงิ สถติ ิเป็น ความตรงท่มี าจากการใชแ้ บบการวจิ ยั และสถิตทิ ี่เหมาะสม ทำใหค้ ้นพบ
ผลกระทบท่มี ีอยู่

(๓) ความตรงภายในเป็นความตรงของงานวิจัยที่สามารถตอบคำถามเกย่ี วกับผลกระทบ (สาเหตุ
ผลได้)

(๔) ความตรงภายนอกเป็นความตรงของงานวิจัยท่ีสรุปจากข้อมูลและบริบทงานวิจัยไปสู่
ประชากรทั่วประเทศ โดยเฉพาะทีก่ ลา่ วถึงในปัญหาการวิจัย

ค่าความตรงทั้ง ๔ ประเภทจัดว่ามีความสำคัญ แต่มีจุดมุ่งเน้นแตกต่างกันไปตามประเภทของ
คำถาม การวจิ ัยเช่น คำถามเกี่ยวกับผลกระทบ เนน้ ค่าความตรงภายในและความตรงเชิงสถิติมากกว่าค่าความ
ตรงภายนอก เนื่องจากนักวิจัยสนใจข้อสรุปเกี่ยวกับสาเหตุ-ผล มากกว่าการสรุปไปยังกรณีอื่น เครสเวล
(Creswell)๒๐ กลา่ วถงึ เกณฑใ์ นการพจิ ารณาในการแบบวิจัยจะข้ึนอยู่กบั สิ่งต่างๆเหลา่ นไี้ ดแ้ ก่

(๑) ปัญหาวิจัย (Research problem) ปัญหาการวิจัยทางสังคมจะมีลักษณะและเหตุการณ์วจิ ัย
เฉพาะ เชน่ ปัญหาทเ่ี กดิ ขน้ึ อาจตอ้ งการการทราบถงึ ปัจจยั ที่ส่งผลตอ่ ผลลพั ธ์ หรอื ต้องการทจ่ี ะเขา้ ใจถึงตัวชวี้ ัด
ทดี่ ีที่สุดของผลลัพธ์ ซึ่งจากปัญหาดังกล่าววิธีเชิงประมาณจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งควรจะใช้วธิ ีการท่ีจะท ดสอบ
ทฤษฎีหรือการอธิบายคำ ในทางกลบั กันหากต้องการศึกษาปรากฏการณ์หนง่ึ แต่มีผลงานวิจัยที่เก่ียวขอ้ งน้อย
มาก ดงั นัน้ วธิ ีการเชงิ คณุ ภาพจะเป็นทางเลือกทด่ี ที ี่สุด การวจิ ัยเชิงคณุ ภาพจะอธบิ ายและมปี ระโยชนอ์ ย่างมาก
หากนักวิจัยยงั ไม่ทราบตวั แปรท่ีสำคัญที่ต้องการตรวจสอบ หรือการวจิ ัยเชงิ คุณภาพอาจเกดิ ขึ้นในกรณีที่หวั ข้อ
ท่ีต้องการศึกษาเป็นประเด็นใหม่ เป็นประเด็นท่ีไม่เคยมีการระบุกลุ่มตัวอย่างมาก่อน หรือ ทฤษฎีท่ีมีอยู่ไม่
สามารถนำมาประยุกตใ์ ชก้ บั กลุ่มตัวอยา่ งท่ีต้องการศึกษาได้

อีกรปู แบบหนึ่งคอื การวจิ ัยแบบผสมผสาน จะถกู นำไปใชต้ อ่ เมื่อการวิจยั เชงิ ประมาณหรือการวจิ ัย
เชิงคณุ ภาพเพียงวิธเี ดยี วไม่เพยี งพอท่ีจะทำความเข้าใจกบั ปัญหาวจิ ัยได้ ผูว้ จิ ยั อาจเริ่มศึกษาวจิ ยั โดยการสำรวจ
กับกล่มุ ประชาชนขนาดใหญ่ จากน้ัน ตดิ ตามผลกับกล่มุ ผู้ใหข้ อ้ มูลจำนวนเลก็ เพ่ือให้ขอ้ มูลหรือประเดน็ สำคัญๆ

๒๐Cresswell, J. W., Research Design: Qualitative, Quantitative, and Mixed Methods Approaches.
(Los Angeles: SAGE, 2009), pp. 18-20 อา้ งใน กลุ ชลี จงเจริญ และนติ ยา ภัสสรศิร,ิ การออกแบบการวิจยั , หน้า ๑๔.


Click to View FlipBook Version