ระเบยี บวธิ วี จิ ัยช้ันสูงวา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๒๓๕
สรุป การวจิ ยั เชงิ ปฏิบัติการแบบมสี ว่ นรว่ ม (PAR) นักวิจยั เพือ่ พัฒนาสงั คมถือว่า PAR สอดรบั กบั
ความพยายามหลุดพ้นจากการถูกครอบงำ & การมุ่งฟื้นฟูสังคม เป็นการวิจัยแบบ CRITICAL & SPIRITUAL
RESEARCH แฝงเร้นดว้ ยจิตวญิ ญาณของความเป็นอิสระ เปน็ การวจิ ัยท่ีเสรมิ พลงั (EMPOWER) ในกลุ่มท่ีด้อย
กว่าในสงั คม และเป็นการวิจัยที่ทดแทนการวิจัยแบบเดิมที่ถกู วจิ ารณว์ ่าไม่แก้ปญั หาทางสังคม และเศรษฐกิจ
ของผดู้ ้อยโอกาสอยา่ งแท้จริง
๗.๓.๕ ลักษณะเฉพาะท่สี ำคัญของวิจยั เชงิ ปฏบิ ัติการแบบมีสว่ นรว่ ม
๑. PAR เป็นวงจรวงจรของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ประกอบด้วยองค์ประกอบที่
สำคญั ๕ องคป์ ระกอบคือ การสังเกต การสะท้อนคิด การวางแผนการปฏบิ ตั ิ และการแลกเปลีย่ นเรียนรู้
การสังเกต การสังเกตที่ดีต้องการการเฝ้ามองดูว่าอะไรเกิดขึ้นและพรรณนาตามความเป็นจริง
เพื่อเตรยี มข้อมลู ในการสะท้อนคิด โดยการทำ ความเข้าใจกบั สิง่ ทีเ่ กิดข้นึ จรงิ
การสะทอ้ นคดิ ขัน้ ตอนการสะทอ้ นคดิ ประกอบด้วย
๑) ถอยกลบั มาและสะทอ้ นคดิ วา่ เกิดอะไรขน้ึ ใหเ้ วลากบั การเขา้ ร่วมและฟังผู้มสี ่วนได้ส่วนเสียใน
ส่วนทีม่ มี ุมมองและการตคี วามที่ตา่ งกนั
๒) พัฒนาความคดิ ต่างๆ หรอื ทฤษฎี เก่ียวกับสิง่ ทีเ่ กดิ ขึ้น มกี ารระดมสมองโดยการพูดคุยกันการ
แลกเปล่ียนกนั อยา่ งลกึ ซ้งึ และการนำ ส่งิ ตา่ งๆมาประตดิ ประตอ่ กนั
๓) การแลกเปลีย่ นความคิดต่างๆ กับผอู้ ื่นเกย่ี วกบั การตีความ และการให้ความหมาย ได้แก่ การ
เปรยี บเทยี บสิง่ ทเี่ ราสังเกตเห็นกับสงิ่ ท่ีปรากฏ
๔) คำวา่ “แลกเปล่ยี น” หมายถงึ การแลกเปลีย่ นเกีย่ วกบั การกระทำ ใหม่ๆ อยา่ งไม่เป็นทางการ
และความเข้าใจใหม่ๆ ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และยังหมายถึงการแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกบั
กระบวนการวิจยั ด้วยคำ ถาม การปฏิบัติ และส่งิ ค้นพบต่างๆ ข้อสรปุ และขอ้ เสนอแนะเกีย่ วกับการกระทำ ใหม่
การแลกเปลี่ยนยงั รวมถึงการรายงานวิจยั เพื่อเผยแพรต่ อ่ สาธารณะ
๒๓๖ Advanced Research Methodology on Peace
การวางแผน ประกอบดว้ ย ๑) ตั้งคำถามทีจ่ ะต้องหาคำ ตอบให้ชัดเจน ๒) ระบุกิจกรรมต่างๆท่ี
ทดลอง ๓) การพัฒนาแผนปฏิบัตกิ าร
การลงมือปฏิบัติ (Act) ประกอบด้วย ๑) เป็นการทำ ตามที่วางแผนไว้อย่างเป็นระบบ ๒) การ
สือ่ สารกบั ผู้อ่ืนและเข้าร่วมในกระบวนการ ๓) ติดตามส่งิ ท่ีเกิดขนึ้
การแลกเปลี่ยน (share) ประกอบด้วย ๑) นำสิ่งที่ยงั มีคำตอบไม่แนน่ อนมาแลกเปลี่ยนในกล่มุ
๒) เชิญชวนคนอื่นๆ ให้สะท้อนคิดว่า แต่ละคนได้พบอะไร 3) กำ หนดขอบเขตข้อสรุปของแต่ละคนและ
พจิ ารณาส่งิ ทีจ่ ะนำ ไปปฏิบัตเิ พ่ือวางแผนในวงจรต่อไป
ภาพท่ี ๗.๑๓ โมเดลพื้นฐานของการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารแบบมีส่วนร่วม: การปรับปรงุ สถานการณ์
ต่างๆ จากการปฏิบตั สิ กู่ ารพฒั นา (Crane & O’Regan, ๒๐๑๐)๒๑
๒๑ อมาวสี อัมพนั ศิรริ ัตน์, พมิ พิมล วงศไ์ ชยา, การวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนร่วม : ลักษณะสำคัญและการ
ประยกุ ตใ์ ช้ในชมุ ชน, วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๖ พฤศจกิ ายน -
ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๖๐: ๑๙๖-๑๙๗.
ระเบยี บวิธวี จิ ยั ชั้นสูงว่าด้วยสนั ตภิ าพ ๒๓๗
๒. PAR เป็นวธิ ีการที่อาศยั การมสี ่วนรว่ มของผู้ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
การมสี ่วนร่วมในกระบวนการปฏิบตั แิ ละสะทอ้ นผล (Praxis) เป็นกระบวนการทม่ี ชี ีวติ ขับเคล่ือน
การเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการตัดสินหรือกำหนดเวลาที่แน่นอน
ล่วงหน้า ไมม่ ีการกำหนดคำถามหรอื ความสมั พนั ธ์ที่แน่นอน ผมู้ ีสว่ นร่วมทุกคนมสี ่วนรว่ มต้งั แต่การระบุปัญหา
การสำรวจ วเิ คราะห์ข้อมลู การลงมือปฏิบตั เิ พ่อื แก้ปัญหา เพอ่ื นำไปสูก่ ารเปลย่ี นแปลงทีด่ ีขึ้น (Smith, 1997)
ตลอดกระบวนการวิจยั ผมู้ สี ่วนรว่ มเกิดการเรียนร้รู ว่ มกันและพัฒนาไปดว้ ยกัน (Stringer, 2007)
๓. PAR เปน็ การเรยี นรอู้ ย่างเปน็ ระบบ
วิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นวิธีการศึกษาอยา่ งเปน็ ระบบที่ส่งเสรมิ ใหค้ นค้นพบวิธีการแก้ปญั หาท่เี ขา
เผชิญอยู่ในชีวิตประจำ วัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Stringer, 2007) ความรู้ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้เพื่อการ
แก้ปัญหา (knowledge for action) ไมใ่ ชค่ วามร้เู พื่อ ความเขา้ ใจ (knowledge for understanding) แตเ่ ปน็
ความรู้ที่สร้างโดยประชาชน คนชายขอบ (popular/ lay knowledge) และเขาเป็นผู้รับประโยชน์ เป็นผู้ใช้
ความรู้นนั้ โดยตรง ดังนนั้ PARเปน็ การวจิ ยั ทกี่ ระบวนการสร้างความรู้ และการใชค้ วามรู้เปน็ เรอื่ งเดียวกนั
๔. PAR เปน็ พลวัตร
กระบวนการของ PAR จะมีความยืดหยุ่นมากในแง่ของกิจกรรม เวลา และวิธีการเก็บรวบรวม
ข้อมลู การทำ วจิ ยั แบบ PAR จงึ เปน็ การยากทจ่ี ะกำ หนดกจิ กรรมทีต่ ายตวั เพราะทศิ ทศิ ทางการวิจัย ลักษณะ
กจิ กรรม ความสำเรจ็ ของงานวิจยั ขน้ึ กบั ความพรอ้ ม และภมู หิ ลังของผรู้ ว่ มวจิ ยั
๕. PAR เปน็ การพฒั นา
กระบวนการของ PAR เป็นการปฏบิ ตั อิ ย่างต่อเนื่อง ผ้มู สี ่วนร่วมจะพฒั นาความสามารถในการคิด
และทำงานดว้ ยกนั เพอ่ื ชีวติ ที่ดกี วา่ องค์ความรทู้ ักษะ และทรพั ยากรตา่ งๆ จะถกู นำมาแบ่งปันในวิถีทางท่ีเสมอ
ภาค ยุตธิ รรม ภายใต้โครงสรา้ งความ
สมั พันธ์ทเ่ี ปน็ ธรรม
๖. PAR เปน็ การวิเคราะหส์ ถานการณ์อยา่ งมวี ิจารณญาณ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในสถานการณ์อยา่ งแท้จริงตามธรรมชาติของสถานการณ์นั้นๆ จึงต้องใช้
การวิเคราะหอ์ ย่างมีวิจารณญาณ อนั จะนำไปสกู่ ารทำ ให้เกิดการเปลยี่ นแปลงแกไ้ ขอย่างลึกซงึ้ และเหมาะสม๒๒
๗.๓.๖ กระบวนการและข้ันตอนในการดำเนินการวจิ ยั PAR
๑) ระยะเตรียมการวิจยั (Pre-research Phase)
เป็นระยะการเตรียมชุมชน เพ่ือให้มีความพร้อมเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยซึ่งเป็นเร่ือง
สำคัญและเป็นแก่นแกนหลักของการวิจัยแบบนี้ โดยการดำเนินงานข้ันตอนน้ีมีจุดมุ่งเน้นสำคัญที่จะให้เกิด
๒๒ อมาวสี อัมพันศิรริ ัตน์, พิมพิมล วงศไ์ ชยา, การวจิ ัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมีสว่ นรว่ ม : ลักษณะสำคญั และการ
ประยุกต์ใชใ้ นชุมชน, วารสารมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, หน้า ๑๙๗-๑๙๘.
๒๓๘ Advanced Research Methodology on Peace
สมั พนั ธภาพที่ดีระหว่างผูว้ จิ ยั ผนู้ ำชมุ ชน ชาวบา้ น รวมถงึ เจ้าหนา้ ที่ หน่วยงานตา่ ง ๆ ที่จำเป็นตอ้ งเก่ยี วขอ้ งใน
ข้ันเตรียมการนี้ ประกอบด้วยข้ันตอนย่อย กลา่ วคือ
๑.๑) การสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน (Build-up Rapport) โดยวิธีการสร้างความสัมพันธ์กับ
ชมุ ชนทดี่ ีที่สุดคือการปฏบิ ัติตัวของนักวจิ ยั ที่สอดคลอ้ งกบั วิถีชีวติ ของคนในชมุ ชน ทั้งนนี้ กั วิจยั ควรรว่ มกิจกรรม
ทุกอย่างของชุมชน ซึ่งเป็นเครื่องช่วยให้นักวิจัยสามารถทำความเข้าใจโลกทัศน์ของชาวบ้านได้ดีมากข้ึน
โดยทั่วไปแล้ว ผู้วิจัยจะลงพื้นที่เพ่ือไปพบกับบุคคลต่าง ๆ ในชุมชนท่ีมีส่วนสำคัญและเกี่ยวข้องกับการ
ดำเนินงานวิจัย หรือเปน็ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายของการวิจัย พูดคุยแนะนำตัวเองเพ่ือใหท้ ุกฝ่ายได้ทราบถึง
วัตถุประสงค์ เป้าหมายและความต้องการส่วนร่วมของชาวบ้านในกิจกรรมการวิจัย อันจช่วยให้ชาวบ้านเกดิ
ความไว้วางใจ นอกจากน้ีผู้วิจัยยังจะสามารถทำการวิเคราะห์คาดหมายสภาพการณ์และปัญหาของการ
ดำเนนิ งานวิจยั ท่ีอาจเกดิ ข้ึนและสามารถเตรยี มรบั มอื ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
๑.๒) การสำรวจ ศึกษาชุมชน (Surveying and Studying Community) เป็นข้ันตอนของ
การศึกษาขอ้ มูลที่เป็นลักษณะทางกายภาพ และแหล่งทรัพยากรต่าง ๆ ภายในชุมชน รวมถึงการศึกษาขอ้ มลู
พื้นฐานด้านประชากร สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการเมือง ซ่ึงโดยมากแล้วผูว้ ิจัยจะใช้แบบสังเกต สมุด
บันทึก และถ่ายภาพสถานที่ตา่ ง ๆ รวมถึงการศึกษาข้อมูลจากเอกสารหลกั ฐานจากหนว่ ยงานราชการหรือจาก
องค์กรพัฒนาท่ีเก่ียวขอ้ ง นอกจากนี้ ยังมบี างโครงการวจิ ัยใชว้ ธิ ีการสัมภาษณผ์ ้นู ำชมุ ชน หรือผูส้ ูงอายุเพ่ือทราบ
ประวัตคิ วามเปน็ มาของชมุ ชนด้วย
๑.๓) คดั เลอื กชมุ ชน (Selecting Community) ไดเ้ สนอความเหน็ ไวว้ า่ โดยทั่วไปแลว้ การคัดเลอื ก
ชุมชนจะยึดหลักการเลือกชุมชนที่ด้อยโอกาสในการพัฒนา (Disadvantage Community) เพ่ือเป้าหมายใน
การยกระดบั คุณภาพชวี ิตและสร้างโอกาสความเทา่ เทียมในการพัฒนากับชุมชนอ่ืน อย่างไรก็ดี งานวจิ ยั จำนวน
มากคัดเลือกชุมชนโดยยึดเอาประเดน็ ชองปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเยียวยาโดย
เร่งดว่ น หรือบางกรณีการวิจัยมุ่งหมายกระทำตอ่ ชุมชนท่ีประชาชนมีสว่ นร่วมในการพัฒนาอย่างแข็งขนั เพื่อ
เป็นชุมชนต้นแบบของการทำวิจยั และการพัฒนาใหก้ ับชุมชนอ่ืนดว้ ยเชน่ กนั
๑.๔) การเข้าสู่ชุมชน (Entering Community) ข้อมูลชุมชนนับเป็นสิ่งสำคัญและเป็นประโยชน์
อย่างยงิ่ ตอ่ การนำมาประกอบการพจิ ารณาตัดสินใจกำหนดพื้นที่ดำเนินการ ซึ่งขอ้ มูลดงั กลา่ วควรเป็นขอ้ มลู ที่มี
รอบด้าน สำหรับแหล่งข้อมูลในขั้นตอนนี้อาจมาจากส่วนราชการ เช่น ข้อมูลความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ( จปฐ.)
ขอ้ มูลจำนวนประชากรและบุคคลทเ่ี ปน็ ปราชญช์ าวบา้ น หรือครูภูมปิ ญั ญาท้องถ่ิน เป็นตน้ และอาจเปน็ ขอ้ มลู ที่
องค์กรพัฒนาเอกชนรวบรวมไว้ หรือนักวิจัยจะดำเนนิ การเก็บข้อมูลเองโดยการสำรวจชุมชน ( Community
Surveying) ก็ได้
๑.๕) การเตรียมคนและเครอื ข่ายความร่วมมอื ในข้ันตอนนี้ มักถูกกำหนดให้เป็นข้ันตอนสุดท้าย
ของระยะก่อนการวจิ ัย โดยมุ่งหมายใหเ้ กดิ ความพรอ้ มในการดำเนินการวิจัย ซ่ึงเปน็ ระยะต่อไปและก่อให้เกิด
การประสานงานท่ีดีเพ่ือความสะดวกตอ่ การดำเนินงานวจิ ยั ในสว่ นของการเตรียมคนน้ัน เป็นการเตรยี มความ
พรอ้ มใหก้ บั ชาวบา้ นเพื่อเปน็ แกนนำในการปฏบิ ตั งิ านวิจัยร่วมกบั นักพฒั นาและคณะผูว้ ิจยั ซึ่งในทางปฏบิ ัตแิ ลว้
มักจะมีกาเตรยี มคน ๓ กลุ่ม คือ เตรียมคนในชุมชน คณะนักวิจัยมักจะลงพื้นที่เพื่อจัดประชุมในชมุ ชน โดยมี
ระเบียบวิธวี จิ ยั ช้ันสูงวา่ ด้วยสนั ติภาพ ๒๓๙
จดุ มุง่ หมายเพื่อให้ชาวบ้านรู้จกั และคุน้ เคยกับกระบวนการและการดำเนินงานวิจยั แบบมีส่วนร่วมอย่างชัดเจน
และรวดเร็วเตรียมนกั พฒั นา ด้วยการประชุมร่วมกบั นักพฒั นาซึ่งโดยทั่วไปแล้วคนกลุ่มน้ี หมายถึง ผู้นำชุมชน
พฒั นากรอำเภอหรือพฒั นาการอำเภอประจำตำบล และเจ้าหนา้ ที่หนว่ ยงานอ่ืน เชน่ ปลัดองคก์ ารบริหารส่วน
ตำบล และองค์กรพัฒนาภายนอกท่ีมีความสนใจศกึ ษารว่ มกัน กิจกรรมสำคัญของการดำเนนิ งานในขั้นตอนนี้
คอื การประสานความร่วมมอื การสรา้ งความเขา้ ใจในกรอบของการทำงานวิจัย และการหารอื แนวทางพัฒนา
ชุมชน ซึ่งมกั จะรวมถงึ การประสานงานเรื่องการใชส้ ถานท่ีดำเนินการประชุมด้วย และเตรียมนกั วจิ ัย ด้วยการ
ประชุมปรึกษากนั เพื่อใหเ้ กิดความรู้และความเข้าใจตรงกันในบทบาทหนา้ ท่ีของแต่ละฝ่ายในการทำงานวิจัย
ส่วนการเตรียมเครือข่ายความร่วมมือน้ัน งานวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมหลายชิ้นได้ใช้วิธีการให้ครู
ผวู้ จิ ยั /นกั วิจัยทำการประสานกับองคก์ รภาครฐั และหรอื องค์กรพฒั นาเอกชนเพ่ือให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือ
เพ่ือการดำเนินงานวิจัย การเตรียมเครือข่ายความร่วมมือท่ีมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งสำคัญท่ีจะช่วยให้
กระบวนการวจิ ัยดำเนินไปได้ดว้ ยดี
ในขั้นนี้ปัญหาของการวิจัยมักเป็นประเด็นเกี่ยวกับการเข้าถึงชาวบ้านกลุ่มเป้าหมายรวมถึงการ
สื่อสารการทำวจิ ัยในแง่มุมตา่ ง ๆ เช่น ข้ันตอนและผลประโยชน์ท่ีชาวบา้ นจะไดร้ ับของคณะนักวจิ ยั พงึ ทำความ
เข้าใจว่า โดยทั่วไปน้ัน งานวิจัยแบบมีส่วนร่วมมักจะเป็น “ของใหม่” ที่ในสายตาของชาวบ้านแลว้ ชวนใหเ้ ขา้
ร่วมไมน่ อ้ ย และชาวบ้านส่วนมากก็มักจะต่ืนเต้นกบั การเข้ามาทำงานเพ่ือหาแนวทางแก้ไขปัญหาของเขาจาก
บคุ คลหรอื หนว่ ยงานภายนอก แตก่ ระนั้นชาวบ้านกม็ ักจะไมม่ เี วลามากนกั การดำเนนิ กระบวนการวิจัยจึงต้อง
เป็นไปอยา่ งกระชับ เพราะยิ่งกระบวนการทอดออกยาวมากเท่าใด การมีสว่ นรว่ มของชาวบา้ นก็จะลดลงไปตาม
ส่วนเท่านั้น นอกเหนือไปจากน้ีแลว้ การจดั เวทีท่ีงา่ ยต่อความเข้าใจและสะทอ้ นความตอ้ งการของประชาชนที่มี
บรรยากาศสบาย ๆ หรอื การศกึ ษาชุมชนประกอบ ยงั จะช่วยให้คณะผวู้ ิจยั ไดร้ ับขอ้ มลู ท่ีกวา้ งขวางมากข้ึน และ
บางกรณจี ะชว่ ยให้คณะนกั วิจัยสามารถสร้างคำถามที่แหลมคมตอ่ การกำหนดปญั หาของการวิจัยได้ อกี ประการ
หนึ่ง การขาดความชัดเจนในประเด็นที่ต้องการนำเสนอเพ่ือพัฒนาหรือแก้ไขปัญหา รวมทัง การขาดความ
ต่อเนื่องในการมีส่วนร่วมวิจัยของชาวบ้าน ยังอาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมชาวบ้านคิดตามผู้นำชุมชน หรือ
ชาวบ้านส่วนใหญ่ในแบบ “ว่ายังไงกว็ ่าตามกนั ” ซึ่งบางกรณผี ู้นำชมุ ชนอาจขาดความเป็นกลางหรือมีแนวโน้ม
ฝักใฝ่ฝ่ายการเมือง กระท่ังส่งผลให้ตัวชาวบ้านตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์ และการตัดสินใจของ
ชาวบา้ น สร้างความชอบธรรมให้แกก่ ารดำเนนิ กจิ กรรม/โครงการพัฒนาของภาครัฐ
๒) ระยะดำเนินการวจิ ัย (Research Phase)
ประกอบดว้ ยข้ันตอนยอ่ ย คือ
๒.๑) การศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาชุมชน (Problem Identification and Diagnosis) ในขั้นนี้
เน้นการศึกษาวิเคราะห์ชุมชนและการให้การศึกษากับชุมชน (Community Education Participation-CEP)
โดยเน้นไปท่ีกระบวนการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ โดยวิธีการจะใช้การอภิปรายถกปัญหา ( Dialogue) เพื่อ
แลกเปล่ียนความคิดเหน็ กับชาวบ้าน ทั้งที่เปน็ การสนทนาแลกเปลยี่ นระดบั บคุ คลและระดบั กลมุ่ บคุ คล เพ่ือเปน็
การประเมนิ ปัญหาและความต้องการของชุมชน (Need Assessment) พรอ้ มไปกับการประเมินความเปน็ ไปได้
๒๔๐ Advanced Research Methodology on Peace
ในด้านทรัพยากร (Resource Assessment) ท่ีมอี ยู่ในนชุ มชน ทั้งที่เปน็ ทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะภูมิปัญญา
ทอ้ งถิ่น และทรัพยากรธรรมชาตเิ พ่ือที่จะนำทรัพยากรมาใช้ในการกำหนดแผนเพื่อการจัดโครงการต่อไป
๒.๒) การพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโครงการ (Project Appraisal and
Identification) เม่ือมกี ารวเิ คราะหโ์ ครงการโดยการประเมนิ ความต้องการของชุมชน หาแนวทางในการแก้ไข
ปัญหาน้ีในความเป็นจริงมักจะมีหลายแนวทาง ชาวบ้านและนักวิจัยจะต้องพิจารณาร่วมกันว่าวิธีการแก้ไข
ปัญหาใดที่เหมาะสมกบั ทอ้ งที่ หรอื มีความเปน็ ไปได้ โดยชาวบา้ นควรรบี ทบาทหลกั เข้ามีส่วนร่วมให้มากยิ่งขึ้น
และกำหนดโครงการหรอื กิจกรรมที่จะดำเนนิ การ
๒.๓) การกำหนดแผนงานโครงการและการจัดการ (Planning Phase) กิจกรรมในช่วงนี้จะเป็น
กระบวนการติดสินใจร่วมกันเพ่ือคัดเลือกโครงการและกิจกรรมท่ีจะต้องดำเนินการ ดังนั้น เพื่อความมั่นใจวา่
โครงการท่ีได้รับการตัดเลือก เป็นโครงการและกิจกรรที่ต้องดำเนินการ ดังน้ัน หลังจากทผ่านขั้นนตอน ๒.๑
มาแล้ว ผู้วิจัยควรจะต้องใช้วิธีการกระตุ้นให้ชาวบ้านมีบทบาทหลักในการแก้ไขปัญหา การกำหนดโครงการ
และกิจกรรมท่ีจะดำเนนิ การ
๒.๔) การปฏิบัติตามโครงการ (Implementation Phase) เป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกข้ันตอนหนึ่ง
โดยคำถามท่ีผู้วิจัยจะต้องใช้ถามกันในกลุ่มหรือในคณะทำงานเพ่ือการดำเนนิ การในข้ันนี้ คือ ใคร ทำอะไร ท่ี
ไหน เมื่อไร และอย่างไร ในแง่ปัญหาอุปสรรคท่ีอาจเกิดข้ึนในขนั้ ตอนนี้ โดยทั่วไปมักเปน็ ประเดน็ การมีสว่ นรว่ ม
ของชาวบ้านในกระบวนการวิจัย จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบวา่ ความไม่สนใจเข้ามสี ่วนร่วมของชาวบ้าน
จำนวนไม่นอ้ ย นอกเหนอื ไปจากการขาดความรู้ความเข้าใจอันดีต่อกระบวนการและผลประโยชน์ของการทำ
วิจัยแล้ว ยงั ปรากฏด้วยวา่ ชาวบา้ นมกั มองเห็นการวิจัยเปน็ เร่ืองทางเทคนิคที่ต้องอาศัยความรู้เชีย่ วชาญเฉพาะ
และไมเ่ ก่ียวอะไรนักกับปากท้องที่จะตอ้ งทำมาหากนิ เปน็ ประจำวัน ประกอบกับธรรมชาตขิ องการวจิ ัยแบบน้ีที่
มักไม่มีการจ่ายตอบแทนเป็นเงินให้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมการวิจัยด้วยแล้ว การมีส่วนร่วมในกระบวนการวาง
แผนการวจิ ยั โดยเฉพาะอย่างย่ิงการนำผลของการวิจัยไปส่กู ารปฏิบตั แิ ล้วก็ยิ่งห่างไหลจากบรบิ ทชีวิตประจำวนั
ของเขาออกไปมากขึ้น การเขา้ รว่ มงานวจิ ยั ของชาวบ้าน จึงเปน็ ไปโดยเนน้ การรับฟงั สิ่งที่ผวู้ จิ ัย และนักพัฒนา
พูดเป็นหลัก ผลสืบเน่ืองประการต่อมาคือ บุคคลที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ก็มักจะได้
ชาวบ้านท่ีเปน็ พวก “ขาประจำ” ที่มักอยู่ในวงข่ายอทิ ธิพล (Sphere of Influence) ของเจ้าหน้าที่ภาครัฐหรือ
การเมอื งท้องถิ่นมาเขา้ ร่วมกิจกรรม และสง่ ผลให้สุดทา้ ยแลว้ ผลของการวิจัยเป็นส่ิงที่ช่วยสรา้ งความชอบธรรม
ให้แก่การดำเนนิ กิจกรรม/โครงการพฒั นาของภาครัฐดังท่ีได้กลา่ วไปแล้วขา้ งต้น
๓) ระยะการติดตามและประเมนิ ผลโครงการ (Monitoring and Evaluation Phase)
เป็นข้ันตอนที่เก่ียวกับการการวัดผลสำเร็จของโครงการ ซ่ึงหากโครงการมีสามารถดำเนินการได้
อยา่ งเหมาะสมและอยา่ งต่อเนื่อง กอ็ าจจะเป็นข้อพิสจู นถ์ ึงความไม่ประสบผลสำเรจ็ ของโครงการได้ ในขั้นตอน
น้ี โดยมากแล้วคณะผูว้ จิ ัยจะวร่มกบั ชาวบ้านที่เป็นผูร้ ่วมงานวิจัย ทำการตรวจสอบขอ้ มูลท่ีเปน็ ผลของการวิจัย
วา่ ครบถว้ นถกู ต้องหรอื ไม่ จากนั้นจะมีการจดั ทำรายงานการวจิ ยั ฉบับสมบรู ณ์ และจดั เวทชี าวบา้ น เพื่อนำเสนอ
ผลการวิจยั เพื่อเรยี นรู้ร่วมกนั ระหว่างคณะผู้วจิ ัยกับชมุ ชน รวมถึงการสานต่อให้ชาวบ้านนำผลของการวิจยั ไป
ระเบียบวิธวี จิ ยั ชั้นสูงวา่ ดว้ ยสนั ติภาพ ๒๔๑
ดำเนินการแกไ้ ขปญั หาหรอื พฒั นาชุมชนต่อไป อย่างไรกด็ ี ระยะของการทำวจิ ัยและข้ันตอนของการทำวิจัยเชิง
ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมน้ัน อาจมีความแตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียด ซ่ึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดหรือถูก
หากแต่เป็นความเหมาะสมในบริบทของการดำเนินงานวิจัยท่ี อาจมีข้อจำกัดที่คณะผู้วิจัยจำเป็นต้องรวม
กิจกรรมหลายกิจกรรมไว้ดำเนินการในในคาบเวลาที่ใกล้เคียงกัน หรือเป็นความต้องการของชุมชนเองท่ีจะ
กระชับข้ันตอนของการดำเนินงานวจิ ัย เพื่อมิให้กระทบต่อการดำรงชีวติ ประจำวันข้ันตอนการดำเนินการวจิ ยั
จะส้ันหรือยาวมีรายละเอียดมากหรือน้อยเพียงใดจึงอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากแต่การมุ่งตอบสนองความ
ต้องการและข้อจำกดั ของชุมชน รวมถงึ การทำให้ชุมชนได้มองเหน็ ปญั หาของตนเอง เกิดความตอ้ งการอย่างแขง็
ขันและมุ่งม่ันมีส่วนร่วมทั้งในการปฏิบัติงานวิจัยและการนำผลของการวิจัยไปใช้เพื่อปรับปรุงชุมชนให้ดีข้ึน
นนั่ เอง นบั เป็นเรื่องท่ีสำคัญมากกว่า ในขนั้ ตอนนย้ี ังคงตอ้ งอาศัยการมีเขา้ ใจที่ถูกต้อง และการมสี ว่ นร่วมอย่าง
สร้างสรรค์และกระตือรือร้นของฝ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะชาวบ้านไม่น้อยไปกว่าข้ันตอนก่อนหน้า การมีความ
เข้าใจที่ถูกต้อง การสร้างช่องทางการตรวจสอบงานวิจัยและการมีเครื่องมือประเมินผลการวิจัยว่าประสบ
ความสำเร็จมากนอ้ ยเพียงใด มีปัญหาและอุปสรรคอย่างไรบ้างนี่เอง จะทำให้ทุกฝ่ายคาดหมายได้ว่า ผลลัพธ์
ของการวิจยั จะปรากฏออกมาสอดคล้องกับความตอ้ งการพฒั นาหรือสามารถใช้ได้กับการแก้ไขปัญหาอยา่ งตรง
จดุ และเข้าร่วมกระบวนการวจิ ัยอยา่ งตอ่ เนื่องและบังเกิดผลประโยชน์ในภาพรวม๒๓
๗.๓.๗ เครื่องมอื วิจยั และวธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมลู
การวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมีสว่ นร่วมมกี ารใช้วิธกี ารต่าง ๆ และมีความหลากหลายของเครื่องมือ
การเลอื กใช้ใหม้ ีความเหมาะสม และสามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้จริง ตัวอยา่ งเชน่ การทำแผนท่แี บบมสี ว่ นรว่ ม
(Participatory mapping) ใช้ในการรา่ งและตรวจสอบข้อมลู เกยี่ วกบั สภาพแวดล้อมและประสบการณ์ อาจจะ
ถกู นำมาใช้เพ่อื บง่ ช้พี นื้ ท่ีของปัญหา และพน้ื ที่เส่ยี งเพอื่ การวิเคราะหก์ ารเขา้ ถงึ บรกิ าร และสิทธิประโยชน์ของ
กลุ่มทางสงั คม โดยเฉพาะเมือ่ รวมกับการทำแผนที่ทางสังคม (Social mapping) สามารถนำไประบุขอ้ เสนอ
สำหรับการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และบริการที่มีอยู่ หรือการใช้แผนภูมิขนาดพกพา
(Pocket chart) เปน็ เครอ่ื งมือสืบสวนทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมระหว่างการอภปิ รายกลมุ่ และในการจัดระเบียบ
ข้อมูลระดับชุมชน เป็นวิธีการที่มีประโยชน์สำหรับผู้เข้าร่วมที่มีระดับความรู้น้อย รหัสรูปภาพ ( Picture
Codes) เป็นภาพเดี่ยวที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ เงื่อนไขหรือปัญหาที่สามารถนำมาใช้สำหรบั
กระตุ้นการอภิปรายเกีย่ วกับสภาพระบบการทำงาน สาเหตุและการปฏิบตั ิที่ต้องดำเนินการ สามารถนำมาใช้
เพอื่ หารอื และเพิม่ เติมขอ้ มูลเกย่ี วกับประเด็นท่สี นใจ และมคี วามสำคญั หรอื ฝงั ลึกอยู่ภายใน เช่น การใหบ้ ริการ
สขุ ภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธ์ุ หรอื การตอบสนองต่อการใช้สารเสพติด เปน็ ต้นอย่างไรก็ตาม ขอแนะนำ
วา่ ควรใชว้ ธิ ีการที่ไดร้ บั เลือกอยา่ งน้อยสามวิธีเพอื่ หาข้อจำกัดของแต่ละบุคคล เพ่ือใหม้ ีการวิเคราะห์ข้อมูล
เชิงสามเสา้ และการแกป้ ัญหาทมี่ ปี ระสิทธภิ าพมากขนึ้ (Streubert & Carpenter, ๑๙๙๕) ไดแ้ ก่ การสนทนา
กล่มุ การสงั เกตอย่างมสี ว่ นรว่ ม และการบันทกึ ข้อมลู การสมั ภาษณ์ การบนั ทึกประจำวันและบนั ทกึ ส่วนบุคคล
๒๓ อรณุ ร่งุ บุญธนันตพงศ์, ไม่ใช่เร่ืองงา่ ยกับการวจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมีส่วนร่วม, วารสารวจิ ัยราชภฎั พระนคร
, (มกราคม-มถิ นุ ายน, ๒๕๔๙) : หน้า ๑๙-๒๖.
๒๔๒ Advanced Research Methodology on Peace
แบบสอบถาม และการสำรวจเป็นวธิ ีการทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพในการสรา้ งขอ้ มลู ทใี่ ชใ้ นการวิจยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมี
ส่วนร่วม (Gillis & Jackson, ๒๐๐๒; McNiff & Whitehead, ๒๐๑๑) อย่างไรก็ตามวิธีการเก็บข้อมูลมี สาม
วิธกี ารที่อา้ งถงึ มากทสี่ ุด ได้แก่ การสนทนากลุม่ การสงั เกตอย่างมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์ (MacDonald,
๒๐๑๒)
การสนทนากลมุ่ (Focus groups) ไดร้ บั การพจิ ารณาว่าเป็นกระบวนการทมี่ ุง่ เน้นปรากฏการณ์
ทางสังคม และเป็นรูปแบบของการสัมภาษณ์กลุ่มที่ใช้ประโยชน์จากการสื่อสารระหว่างผู้เข้าร่วมการวิจัย
เพื่อที่จะสร้างข้อมูลขึ้นมา (Kitzinger, ๑๙๙๕) การสนทนากลุ่มประกอบด้วยบุคคลตั้งแต่ ๗ ถึง ๑๒ คน ที่มี
ลักษณะเฉพาะของการแบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับจุดเน้นของการศึกษา (Marshall & Rossman, ๒๐๐๖)
จำนวนกลมุ่ เลก็ ๆ ในการสนทนากลุ่ม ช่วยใหส้ ภาพแวดลอ้ มในการสือ่ สารท่ดี ีในกล่มุ ผเู้ ข้ารว่ มทั้งหมด ทำให้
สามารถได้ข้อมูลที่มีศักยภาพสำหรบั ใช้เป็นประโยชน์ได้ ในชว่ งการสนทนากลมุ่ นกั วิจัยสร้างสภาพแวดล้อมที่
สนับสนนุ การอภปิ รายและมุมมองท่แี ตกตา่ งกนั (Marshall & Rossman, ๒๐๑๖) ในความคดิ เหน็ ของการวิจัย
เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนร่วมผูเ้ ข้าร่วมทุกคนจะไดร้ บั การยอมรับและมีคุณคา่ เนอ่ื งจากผ้เู ข้าร่วมทุกคนมีโอกาส
สอ่ื สารกัน
การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม (Participant observation) เป็นวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพแบบใหม่
ในการสืบสวน และเป็นแหล่งรวบรวมขอ้ มูลที่หลากหลาย ซงึ่ ใช้โดยทว่ั ไปในการวจิ ัยแบบมีสว่ นรว่ ม (Marshall
&Rossman, ๒๐๑๖) ช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าถึงหัวข้อวิจัยได้อย่างเสรีในสถานการณ์ทางสังคมและทำให้
สนใจบริบทของสภาพแวดลอ้ มทางสังคมในหน้าท่ีของแต่ละบคุ คลโดยการบันทกึ พฤติกรรมของมนุษย์เชิงวัตถุ
วสิ ยั และเชิงจติ วิสยั (Gillis & Jackson, ๒๐๐๒) นักวจิ ัยกลายเปน็ ส่วนหน่ึงของกระบวนการทไ่ี ด้รับการสังเกต
และฝังลึกอยู่ในการจัดการ การได้ยิน การมองเห็น และประสบกับความเป็นจริงของสถานการณ์ทางสังคม
ร่วมกับผู้เข้าร่วม (Marshall & Rossman, ๒๐๐๖) ดังนั้น นักวิจัยในฐานะผู้ร่วมสังเกตการณ์จึงไม่เพียงแต่
สังเกตกิจกรรมผู้เขา้ รว่ ม และด้านกายภาพของสถานการณ์เท่านัน้ แต่ยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ีเหมาะสมกับ
สถานการณท์ างสังคมน้นั
การสงั เกตอยา่ งมีสว่ นร่วมต้องมีการบันทึกอย่างเปน็ ระบบ และบันทึกเหตกุ ารณ์ พฤติกรรมและ
วัตถุวิสัยต่าง ๆ ในการจัดสังคมโดยการใช้บันทึกข้อมูลรายละเอียดและมีความครอบคลุม ( Marshall &
Rossman,2 ๒๐๐๖) นกั วิจยั ไดร้ บั ความรเู้ กี่ยวกับพฤติกรรมทางสังคมท่เี กิดขึ้นตามช่วงเวลาในสถานการณ์ทาง
สังคม (Gillis &Jackson, ๒๐๐๒) เป็นผลใหน้ ักวิจยั ได้รบั มมุ มองท่กี วา้ งขึ้นเก่ียวกับส่งิ ทเี่ กิดขึ้น และมีโอกาสที่
จะเปิดเผยรายละเอยี ดสิ่งท่ไี ดร้ บั จากการสอ่ื สารและสงิ่ ท่ีเป็นนัยสำคญั ในสถานการณ์
การสัมภาษณ์ (Interviews) เป็นวิธีการท่ีใช้ในการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วม ซึ่งช่วยให้
ผเู้ ขา้ ร่วมสามารถอธิบายสถานการณ์ของพวกเขาได้ (Stringer, ๒๐๐๗) การสัมภาษณ์เปน็ แนวทางทางทฤษฎี
เพือ่ การรวบรวมขอ้ มูล รปู แบบการมีส่วนร่วมของการสอบถามรายละเอยี ด และเป็นวธิ กี ารที่เหมาะสมสำหรับ
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เกย่ี วกับประสบการณข์ องมนษุ ย์ (Kaufman, ๑๙๙๒; Kvale, ๑๙๙๖) ตามท่ี Reinhartz
(๑๙๙๒) ได้กลา่ วไว้ว่า “การสมั ภาษณ์สนบั สนนุ นกั วจิ ัยให้เข้าถงึ แนวคดิ ความคดิ และความทรงจำของบคุ คลใน
ระเบียบวธิ ีวิจัยช้ันสงู วา่ ด้วยสันตภิ าพ ๒๔๓
คำพดู ของตัวเองมากกวา่ คำพดู ของนกั วจิ ัย” นกั วิจัยสำรวจหัวขอ้ ทัว่ ไปบางส่วน เพอื่ ช่วยในการเปดิ เผยมุมมอง
ของผู้เข้าร่วมแตแ่ สดงใหเ้ หน็ ถึงความเคารพต่อกรอบของผเู้ ข้าร่วมและโครงสร้างการตอบสนอง (Marshall &
Rossman, ๒๐๐๖) ทา้ ยที่สุดการสัมภาษณ์คอื “ปฏิสัมพันธข์ องการสนทนาแบบเผชิญหนา้ ต่อหน้า” ที่นักวิจัย
พยายามที่จะล้วงเอาข้อมูลจากผู้ถูกสัมภาษณ์ โดยปกติมักจะผ่านการซักถามโดยตรง “(Gillis & Jackson,
๒๐๐๒) ทั้งผู้วิจัยและผู้เขา้ ร่วมแบ่งปัน และเรียนรู้ตลอดกระบวนการสมั ภาษณ์ในลักษณะการแลกเปล่ียนกนั
อีกทั้งตลอดกระบวนการวิจัยผู้เข้าร่วมทั้งหมดมีส่วนร่วมในการพัฒนาคู่มือการสัมภาษณ์ รวมทั้งข้อมูลการ
วเิ คราะห์ เป็นเรือ่ งสำคัญเกีย่ วกับคำถามสมั ภาษณจ์ ะได้รับการจดั ทำอยา่ งรอบคอบ เพ่อื ใหม้ ่ันใจว่าผู้เข้าอบรม
จะได้รับโอกาสสูงสุดในการนำเสนอเหตกุ ารณแ์ ละปรากฏการณ์ในทัศนะของพวกเขาและดำเนนิ ตามเอกสารที่
บันทกึ เรอ่ื งราวของพวกเขาท่ีไดเ้ ลอื กไว้ (Stringer, ๒๐๐๗)
อย่างไรก็ตามยังมีวิธีการ และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมอีกหลาย
ประเภท เช่น แผนภาพของเวน (Venn diagram), แผนผงั ใยแมงมุม (Spider diagram), การจดั ลำดับความอยู่
เป็นสุข(Well-being ranking) การจัดลำดับความชอบ (Preference ranking) การจัดลำดับเมตริก (Matrix
ranking)เมตริกคะแนน (Matrix scoring) การจัดลำดับเป็นคู่ (Pairwise ranking) แบบสอบถามแบบกลุ่ม
(Collective questionnaires) ปฏิทินฤดูกาล (Seasonal calendar) กำหนดการทำงานประจำวัน (Daily
work schedules) ประวัติชีวิต (Life histories) เรื่องเลา่ (Narratives) และเล่าเร่ือง (Storytelling) เป็นต้น
จะเห็นว่าวิธีการและเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลชุมชนเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้เข้าร่วมการวิจัยจะนำไป
ประยุกต์ใชใ้ ห้เหมาะสมกบั วัตถุประสงค์ของการศกึ ษา การเกบ็ ข้อมูลบางวิธีตอ้ งใชเ้ ทคนคิ และเครอ่ื งมือหลาย
อย่างรวมกัน เพื่อความเข้าใจในสภาพและความเปล่ียนแปลงของชุมชนอย่างแทจ้ ริง๒๔
๗.๓.๘ เทคนิคกระบวนการวางแผนแบบมีสว่ นร่วม Appreciation Influence Control (AIC)
AIC เป็นเทคนิคการประชุมท่ีนำมาใช้ในกระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม การประชุมที่ก่อให้เกิด
การทำงานร่วมกันเพื่อจัดเตรียมแผน โดยวิธีการเปิดโอกาส ให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้มีเวทีพูดคุยแลกเปลี่ยน
ความรู้และประสบการณ์ช่วยทำให้เกิดการระดมแนวคิดทีส่ ร้างสรรค์ สร้างการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างพลงั
ของท้องถนิ่ ในการพฒั นา
ขัน้ ตอนการทำ A-I-C
• ขั้นตอนการสร้างความรู้ (Appreciation : A) คือ ขั้นตอนการเรียนรู้ และแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์ ขั้นตอนน้จี ะเปดิ โอกาสให้ผู้เข้ารว่ มประชมุ ทกุ คน แสดงความเหน็ รบั ฟัง หาขอ้ สรปุ รว่ มกันอย่าง
สรา้ งสรรค์เป็นประชาธปิ ไตย
๒๔ สัญญา ยีอรานและศิวิไลซ์ วนรัตน์วิจิตร, การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม สู่ความสำเร็จการ
เปลี่ยนแปลงนโยบายในระบบสุขภาพ, วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒
พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๖๑ : ๒๘๒-๒๙๔.
๒๔๔ Advanced Research Methodology on Peace
A1: การวิเคราะหส์ ภาพการของหมู่บา้ น ชุมชน ตำบล ในปจั จุบัน
A2: การกำหนดอนาคตหรอื วิสยั ทศั น์ อันเป็นภาพพึงประสงค์ในการพฒั นา
ว่าต้องการอย่างไร** โดยการวาดภาพสำคญั
• ขั้นตอนการสร้างแนวทางการพัฒนา (Influence : I) คือ ขั้นตอนการหาวิธีการและเสนอ
ทางเลือกในการพัฒนา ตามที่ได้สรา้ งภาพพึงประสงค์ หรือที่ได้ช่วยกันกำหนดวิสัยทัศน์ (A2) เป็นขั้นตอนที่
จะต้องหามาตรการ วิธีการ และค้นหาเหตุผลเพื่อกำหนดทางเลือกในการพัฒนา กำหนดเป้าหมาย กำหนด
กิจกรรม และจดั ลำดับความสำคญั ของกิจกรรม
I1: การคดิ กิจกรรมเกี่ยวกบั กจิ กรรมโครงการทจ่ี ะทำใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ ตามภาพพึงประสงค์
I2: การจดั ลำดบั ความสำคัญของกจิ กรรม โครงการ
ระเบยี บวิธีวจิ ยั ช้ันสงู วา่ ด้วยสนั ตภิ าพ ๒๔๕
• ขั้นตอนการสรา้ งแนวทางปฏิบัติ (Control : C) คือ ยอมรับและทำงานร่วมกันโดยนำโครงการ
หรอื กิจกรรมต่างๆ มาสกู่ ารปฏิบัติ และจัดกลุ่มผู้ดำเนินการ ซง่ึ จะรับผดิ ชอบโครงการ
C1: การแบง่ ความรับผดิ ชอบ
C2: การตกลงใจในรายละเอยี ดของการดำเนินการจดั ทำแผนปฏิบัติ
๗.๓.๙ ตวั อย่างงานวจิ ัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารอยา่ งมสี ่วนร่วม
พทุ ธนวัตกรรมสร้างภูมิคมุ้ กันยาเสพติดใหเ้ ด็กและเยาวชนโดยผ่านการมสี ว่ นรว่ มของชุมชน
๒๔๖ Advanced Research Methodology on Peace
ระเบียบวธิ ีวจิ ยั ช้ันสงู วา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๒๔๗
๒๔๘ Advanced Research Methodology on Peace
ระเบียบวธิ ีวจิ ยั ช้ันสงู วา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๒๔๙
๒๕๐ Advanced Research Methodology on Peace
๔
ระเบียบวธิ ีวจิ ยั ช้ันสงู วา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๒๕๑
๒๕๒ Advanced Research Methodology on Peace
ระเบียบวธิ ีวจิ ยั ช้ันสงู วา่ ดว้ ยสันตภิ าพ ๒๕๓
๒๕๔ Advanced Research Methodology on Peace
๗.๔ สรุป
สำหรบั บทนี้ผเู้ ขียนขอสรุปเนื้อหาแบบสะท้อนคดิ เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนได้เปน็ พนื้ ฐานในการนำองค์ความรู้
รูปแบบการวิจยั ทั้งแบบผสานวิธี การวิจัยและพัฒนา หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีสว่ นร่วม มีทั้งข้อเด่น
และข้อจำกัดรวมถึงวัตถุประสงค์ของแบบการวิจัยที่ใช้ตามกรอบแนวคิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโจทย์วิจัย นักวิจัย
รวมถงึ ต้นทนุ ในดา้ นตา่ งๆ ทง้ั เรือ่ งของพืน้ ที่ ความรเู้ ดิมหรือประสบการณ์ รวมถึงทุนทรัพย์ ขอบเขตระยะเวลา
รวมถึงความพรอ้ มด้านจติ ใจและร่างกาย ดังนั้นผวู้ ิจัยจะเป็นผู้ตดั สินใจว่ารูปแบบการวจิ ัยลักษณะใดท่ีจะตอบ
โจทย์วจิ ัยทกี่ ำลงั ศกึ ษาเปน็ สำคัญ
คำถามทบทวนบทท่ี ๗
๑) จงรว่ มกันอธบิ ายถงึ คุณลักษณะสำคัญของการวจิ ยั ผสานวธิ ี R&D และ PAR
๒) จงรว่ มกนั อธบิ ายถึงหลกั การสำคญั ของการออกแบบการวิจัยงานวจิ ยั ผสานวิธี R&D และ
PAR
๓) จงรว่ มกนั อธบิ ายถงึ หลกั การเลือกรปู แบบการวจิ ัยแต่ละประเภทกบั บริบทงานวจิ ัยเพือ่
สนั ติภาพ
๔) จงร่วมกันอธบิ ายจดุ เด่นระหว่างการวิจัยผสานวิธี R&D และ PAR
๕) จงรว่ มกันทบทวนศัพทง์ านวจิ ัยในบทเรยี น
กิจกรรมมอบหมายทา้ ยบทเรียน
๑) การทำสะทอ้ นคิด
๒) การสง่ การวิเคราะห์การออกแบบงานวจิ ยั เชิงคุณภาพจากบทความทเ่ี ตรียมมา
๓) การเตรยี มตัวอย่างการวจิ ยั ผสานวธิ ี R&D และ PAR อย่างละ ๑ เรื่อง
ระเบียบวิธีวจิ ัยช้ันสูงวา่ ดว้ ยสนั ติภาพ ๒๕๕
เอกสารอา้ งองิ ประจำบท
กันต์ฤทัย คลังพหล. (๒๕๖๓). การวิจัยแบบผสมวิธี, วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภฏั วไลยอลง
กรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์. ปที ี่ ๑๔ ฉบบั ที่ ๑ มกราคม – เมษายน: ๒๓๕-๒๕๖.
ขันทอง วัฒนะประดษิ ฐ์. (๒๕๖๔). การวจิ ัยและพฒั นา Research & Development (R&D)และการวจิ ยั
เชิงปฏิบัตกิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม, เอกสารประกอบการบรรยาย โครงการฝกึ อบรม “สรา้ งนกั วจิ ัยรุ่น
ใหม่ (ลกู ไก่) รนุ่ ที่ ๑๒ โดย สำนักการวิจยั แหง่ ชาติและมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
๙-๑๓ สงิ หาคม ๒๕๖๔.
เดชกุล มัทวานุกูล. (๒๕๖๓). การวิจัยและการพัฒนา, [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http:// www. curriculum -
instruction.com/index.php/journal.[๓ ก.ย.๒๕๖๓].
ทิศนา แขมมณี. (๒๕๔๗). การวิจัยการวิจัยทางการศึกษา (Educational Research), อ้างใน แบบแผน
และเครื่องมือการวิจัยทางการศึกษา, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๔๐.
วัลนกิ า ฉลากบาง. (๒๕๖๗). การวจิ ัยแบบผสมผสาน. วารสารมหาวิทยาลยั นครพนม ; ปีที่ ๗ ฉบบั ท่ี ๒
พฤษภาคม - สงิ หาคม: ๑๒๔-๑๓๐.
วริ ตั น์ คาศรีจันทร์. (๒๕๕๔). พลังความรูจ้ ากการวจิ ัยแบบ PAR, (กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ัท พ.ี เอ.ลีฟวิ่ง
จำกดั .
ศิรชิ ยั กาญจนวาสี. (๒๕๕๙). การวจิ ยั และพฒั นาการศกึ ษาไทย, วารสารศลิ ปากรศึกษาศาสตร์วิจยั .ปีที่ ๘
ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม – ธนั วาคม): ๑-๑๘.
สัญญา ยีอรานและศวิ ิไลซ์ วนรัตน์วิจิตร. (๒๕๖๑). การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม สู่ความสำเร็จการ
เปลี่ยนแปลงนโยบายในระบบสุขภาพ, วารสารเครือขา่ ยวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุข
ภาคใต้. ปีท่ี ๕ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม - สงิ หาคม : ๒๘๒-๒๙๔.
อมาวสี อมั พนั ศริ ิรัตน,์ พิมพมิ ล วงศ์ไชยา. (๒๕๖๐). การวจิ ัยเชิงปฏบิ ัติการแบบมสี ว่ นร่วม : ลกั ษณะสำคัญและ
การประยุกต์ใช้ในชมุ ชน, วารสารมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตรมหาวิทยาลยั มหาสารคาม, ปีท่ี
๓๖ ฉบับที่ ๖ พฤศจิกายน - ธนั วาคม พ.ศ.: ๑๙๐-๒๐๒.
อรุณรงุ่ บุญธนนั ตพงศ์. (๒๕๔๙). ไมใ่ ชเ่ ร่ืองง่ายกบั การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมสี ว่ นร่วม, วารสารวจิ ัยราชภฎั
พระนคร, (มกราคม-มถิ นุ ายน) : ๑๙-๒๖.
อทุ ยั ทพิ ย์ เจ่ยี วิวรรธนก์ ลุ . (๒๕๕๓). การวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั ิการอย่างมสี ่วนรว่ ม: แนวคดิ หลกั การ และบทเรียน.
พมิ พ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพมหานคร: บ.พ.ี เอ.ลีฟวิ่ง.จำกดั .
บทที่ ๘
เครอื่ งมอื วจิ ยั : การสร้างเคร่ืองมอื การตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมือ
บทนำ
แมว้ า่ การออกแบบการวิจัยจะเป็นเข็มทิศสำคัญท่ีใช้ในการเดินทางเพอื่ ให้บรรลุจุดหมายของการ
วิจัย แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างเส้นทางนั้น การแสวงหาข้อมูลหรือการเก็บสะสมเสบียงข้อมูลที่จะใช้นำมา
วิเคราะหเ์ พ่ือพิสจู นห์ รือตอบคำถามวิจยั นัน้ ก็เป็นปจั จัยสำคัญอีกอย่างหน่ึง และมีบทบาทกับการวจิ ยั ไม่ว่าจะ
เป็นการเชิงปรมิ าณหรอื การวจิ ยั เชิงคุณภาพ เพราะการจะเลือกใชเ้ ครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั จำเปน็ อยา่ งย่งิ ทต่ี ้อง
สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนั้นการสร้างเครื่องมอื วิจัยจึงเปน็ สิง่ ทีส่ ำคัญมาก ทำอย่างไรทีจ่ ะทำให้
แน่ใจว่าเครือ่ งมือที่ใช้มีคุณภาพ และการสรา้ งเคร่ืองมือการวิจัยที่มีคุณภาพนั้นทำอย่างไร และเม่ือข้อมูลที่ได้
มาแลว้ จะมีการเกบ็ รวมรวมข้อมูลอยา่ งไร ซึ่งทัง้ งานวิจยั เชงิ ปริมาณและการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพกใ็ หค้ วามสำคัญกบั
ประเด็นเหล่านี้แม้วา่ จะมีนัยหรอื ความแตกต่างบางประการของเครือ่ งมือวิจัย วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล และ
การตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมือ ซงึ่ ทั้งหมดเปน็ เรอื่ งท่ีจะกล่าวไวใ้ นบทน้ี
๘.๑ เคร่ืองมอื การวิจัย
๘.๑.๑ เคร่อื งมือวิจยั คอื อะไร และสำคัญอยา่ งไรกบั การทำวจิ ยั
เครื่องมือวิจัย (Research Instrument)เป็นอุปกรณ์ วิธีการ เทคนิค หรือสิ่งที่นักวิจัยใช้ในการ
เก็บรวบรวมข้อมูลหรือวัดตัวแปรที่ต้องการศึกษา ข้อมูลหรือตัวแปรดังกล่าวอาจเป็นเชิงปริมาณหรือเชิง
คุณภาพก็ได้เครื่องมือวิจัยมีความสำคัญในฐานะเปน็ สิ่งที่ถูกนำมาใช้เพ่ือใช้ในการรวบรวมข้อมูลตามตวั แปรท่ี
ตอ้ งการศึกษาในงานวิจัยนำมาพจิ ารณา วเิ คราะห์ วิจารณ์ แลว้ สรปุ ผลมาเป็นคำตอบปญั หาการวิจัยว่าเป็นไป
ตามที่ได้ต้ังสมมตฐิ านไว้หรือไม่ ทั้งนี้การกำหนดเครื่องมอื วิจยั ตอ้ งมีความสอดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์การวิจัย
และผู้วิจัยไมจ่ ำเป็นตอ้ งสร้างเครือ่ งมือขึ้นมาใหม่เสมอไป แต่หากจำเป็นตอ้ งสรา้ งเครื่องมือข้ึนใหม่กต็ อ้ งสร้าง
ตามหลักวิชาการ และเครือ่ งมือวิจยั ทุกประเภทกอ่ นนำมาใช้ตอ้ งมีการตรวจสอบคุณภาพก่อนนำไปใชจ้ รงิ
ท้ังน้ี เครื่องมือวจิ ัยมีความหลากหลาย ผู้วิจยั ต้องศึกษาและทำความเขา้ ใจและเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสม
กับวัตถุประสงค์ กล่มุ ตวั อยา่ ง และการวิเคราะหข์ อ้ มูลในการวิจัยใดๆ ผวู้ ิจยั จะตอ้ งเลือกใช้เครอ่ื งมือ วิธีการที่
ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ได้มาตอบปัญหาการวิจัยได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และ
น่าเช่อื ถอื โดยท่เี ครือ่ งมอื ทีใ่ ชจ้ ะต้องมีคณุ ภาพทด่ี ี มกี ระบวนการสร้างและการพัฒนาท่ถี กู ตอ้ งตามหลักเกณฑ์
ของเคร่ืองมอื แตล่ ะประเภทด้วย และวธิ กี ารจะตอ้ งเลือกใหเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะของข้อมลู และกลมุ่ ตวั อย่างท่ี
ระเบียบวธิ วี ิจยั ชั้นสูงวา่ ด้วยสนั ตภิ าพ ๒๕๗
ศึกษา๑ กล่าวได้ว่า เครื่องมือวิจัยมีความสำคัญในฐานะต้นทางในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์
ขอ้ มูลไดอ้ ย่างถูกต้องตรงประเด็นทำให้ผลการวจิ ยั มีความน่าเชอื่ ถอื คณุ ภาพของเครือ่ งมือวจิ ัย มีผลตอ่ คุณภาพ
ของงานวจิ ัยท้ังฉบับ๒
▪ ความสำคัญของเคร่ืองมอื วิจยั
๑) เปน็ ส่วนประกอบสำคัญของการวดั และการประเมนิ ตัวแปรการวิจัย โดยทว่ั ไปการวัดตัวแปร
การวจิ ยั จะเป็น(๑) การวดั ทางตรง (direct measurement) เช่น
การวัดทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจต้องมีแบบสังเกต แบบบันทึกรายการ(๒) การวัดทางอ้อม (indirect
measurement) เป็นการวัดตัวแปรที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง (construct) เช่น การวัดความคิดเห็น การวดั
พฤตกิ รรม ซึง่ ผู้วจิ ัยอาจต้องใชแ้ บบสอบถามเปน็ เครอื่ งมือเพื่อวดั ตวั แปรหรอื รวบรวมข้อมูลท่ีต้องการ
๒) เปน็ สะพานเชอ่ื มท่ีสำคญั ระหวา่ ง ปญั หา วตั ถปุ ระสงค์ และสมมตุ ฐิ านการวจิ ัย กับข้อมูล
๓) เครื่องมือวิจัยมีส่วนสำคัญทำให้การรวบรวมข้อมูลกระชับ ตรงประเด็นตามวัตถุประสงค์มี
ความต่อเนอื่ งเป็นข้นั ตอน ช่วยลดความผดิ พลาด
๔) เครื่องมือวิจัยที่ออกแบบและสามารถวัดตัวแปรในระดับหรอื มาตรวัดสูงสุด (ข้อมูลเชิงตวั เลข
หรือข้อมูลเชิงปริมาณ) จะทำให้สามารถเลือกใช้สถิติในการวเิ คราะห์ได้หลากหลายมากขึ้น และที่สำคญั คอื
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ตัวแปรในมาตรวัดเชิงปริมาณ จะมีความสามารถในการอธิบายผลที่ได้จากการ
วเิ คราะหไ์ ดด้ ีกว่า และใหค้ วามหมายลึกซ้งึ กว่าตวั แปรในมาตรวัดระดับคณุ ภาพ
๕) เครอ่ื งมือวิจยั ทว่ี างรูปแบบท่ีดจี ะมสี ่วนชว่ ยให้การจัดเตรยี มข้อมลู การวิจยั เพื่อวิเคราะหง์ า่ ยข้ึน
และทำใหก้ ารวิจยั มีความนา่ เชื่อถอื และมีความตรงมากย่ิงขึ้น๓
๘.๑.๒ ประเภทของเครื่องมอื วจิ ัย
เคร่อื งมอื วจิ ยั สามารถแบง่ ได้หลายลกั ษณะตามการจำแนก ดงั น้ี
๑) แบ่งตามการใช้งาน ได้ ๒ ประเภท คือ เครื่องมือวัดทางวิทยาศาสตร์ และ เครื่องมือวัดทาง
จติ วิทยา
๑สมชาย วรกิจเกษมสกุล, ระเบียบวิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์,(คณะครุศาสตร์:
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุดรธาน,ี ๒๕๕๙), หน้า ๒๑๓.
๒บุรทินขำภิรัฐ, การพัฒนาเครื่องมือวิจัย, (สาขาวิชาศึกษาทั่วไป: สำนักวิชาเทคโนโลยีสังคมมหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีสุรนารี, ๒๕๕๕),[ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://cste.sut.ac.th /cste/web1/web/link/YtTHBZsmLQVq.pdf,
[๒๕ เม.ย.๒๕๖๑].
๓บุรทิน ขำภิรัฐ, การพฒั นาเคร่อื งมอื วิจัย.
๒๕๘ Advanced Research Methodology on Peace
๒) แบง่ ตามการสร้าง ได้ ๒ ประเภท คือ เครอ่ื งมือมาตรฐานกับ เคร่ืองมือเฉพาะกิจ๔
๓) แบ่งตามประเภทการวิจัย มี ๒ ประเภท คือ การวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research)
และการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ (qualitative research)
การวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต
แบบทดสอบ มาตรวดั แบบบันทกึ แบบรายการประเดน็ ท่ีใช้ในการสนทนากลุ่ม เปน็ ต้น
การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) ได้แก่ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม
แบบบันทกึ แบบรายการประเด็นทีใ่ ชใ้ นการสนทนากลุ่ม เปน็ ต้น๕
ในการวิจัยพบว่าเครื่องมือที่นิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี ๕ ประเภท ได้แก่ แบบทดสอบ
แบบสงั เกต แบบสมั ภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมินการปฏิบตั ิ เคร่ืองมอื แต่ละประเภทจะมีลักษณะท่ี
สำคัญและความสามารถในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ไดแ้ ตกต่างกนั ออกไป๖
๑) แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือที่ใช้สอบถามความคิดเห็นต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึง
หรือใช้สอบถามพฤติกรรมการปฏิบัติ โดยใหก้ ลมุ่ เป้าหมายเขียนคำตอบ หรือทำเครอื่ งหมายเลือกคำตอบที่จัด
ไวใ้ ห้ แบง่ คำถามเป็น ๒ ชนิดคือ
๑.๑) คำถามปลายปิด (closed-ended question) เป็นคำถามที่เตรียมคำตอบให้ผู้ตอบได้
เลอื กตอบ
๑.๒) คำถามปลายเปดิ (open-ended question) เปน็ คำถามที่เตรยี มคำตอบใหผ้ ูต้ อบ ตอบดว้ ย
ตนเองอย่างอิสระ มีการเว้นเนือ้ ท่ีไวใ้ ห้สำหรับตอบคำถาม
ผู้วิจัยจะใช้แบบสอบถามโดยการนำไปแจกหรือส่งให้ทางไปรษณีย์และให้กลุ่มเป้าหมายตอบ
กลับมาก็ได้ และยังสามารถใช้แบบสอบถามเป็นแบบฟอร์มในการสัมภาษณ์ได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องเปลี่ยน
ขอ้ ความท่เี ปน็ ภาษาเขยี นใหเ้ ป็นข้อความในภาษาพูด (จากประสบการณ์การเปน็ นกั วจิ ัยการตลาด พบวา่ การมี
ผู้สัมภาษณ์ตามแบบสอบถามโอกาสในการท่ีจะม่ันใจว่าข้อมูลท่ีได้มีคุณภาพจะมีมากกว่าการส่งให้ผู้ให้ข้อมลู
ตอบ เพราะการสัมภาษณ์จะสามารถสังเกตได้ว่าผู้ตอบมีความใส่ใจในการให้ข้อมูลหรือไม่อย่างไรและยังมี
ประโยชน์ในการทวนคำถาม เพราะบางครัง้ คำถามทเ่ี ปน็ ภาษาเขียนอาจทำความเข้าใจได้ยากทำให้คำตอบทไี่ ด้
อาจมาจากความเข้าใจในคำถามที่คลาดเคลื่อน การมีผู้สัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถามจึงเป็นที่นิยมสำหรับ
นกั วิจยั การตลาด)
๒) มาตรวัด (scale) เป็นแบบวัดที่ใช้ในการวัดความรูส้ ึก อารมณ์ คุณลักษณะแฝง หรือภาวะ
สันนษิ ฐาน เปน็ ลกั ษณะทีเ่ ราไมส่ ามารถสงั เกตได้โดยตรงแตเ่ ชอื่ ไดว้ า่ มลี กั ษณะนั้นอย่ใู นตัวบุคคล โดยนักวัดผล
๔เรอ่ื งเดียวกนั .
๕ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์, ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือวิจัยที่มีคุณภาพ,เอกสารประกอบการอบรมโครงการ
ฝกึ อบรม “สร้างนกั วจิ ยั รุน่ ใหม่” (ลูกไก่), เครอื ข่ายมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลง
กรณราชวทิ ยาลัยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.), ๒๕๕๙.
๖จติ ตริ ตั น์ แสงเลศิ อุทยั , เคร่อื งมือทใี่ ช้ในการวิจยั , วารสารบณั ฑิตศกึ ษามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ,
๒๕๕๘, ปที ่ี ๑๒ ฉบับที่ ๕๘ กรกฎาคม-กันยายน: ๑๓-๒๔.
ระเบียบวิธวี ิจยั ช้ันสูงว่าด้วยสนั ตภิ าพ ๒๕๙
สามารถสรุปได้จากพฤตกิ รรมการแสดงออก ความร้สู ึก และความคดิ เห็นของบคุ คล ตัวแปรเหลา่ น้ี ได้แก่ ความ
เชอ่ื ความสนใจ ความวิตกกังวล ความกลวั ค่านิยม เจตคติ ความคิดเหน็ การยอมรับ เปน็ ตน้ ลกั ษณะเหล่านี้
เป็นลักษณะที่มีอยู่ในตวั บุคคลและเป็นตัวที่กอ่ ใหเ้ กดิ ความแตกต่างขึ้นในตัวบุคคล จากนั้นส่งผลใหเ้ กดิ ความ
แตกต่างขนึ้ ในตัวบคุ คล จากนน้ั ส่งผลให้เกิดความแตกตา่ งในลกั ษณะอ่ืนๆ ที่เกย่ี วขอ้ ง เชน่ เจตคติต่อการเรียน
ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (มาตรวัดนี้ เป็นเครื่องมือหลักของการศึกษาตัวแปรทางจิตวิทยาเช่น
ความเครยี ด ความผกู พนั ในองคก์ ร)
๓) แบบทดสอบ (test) หมายถึง ชุดของข้อคำถามที่เป็นสิ่งเร้าให้ผู้ตอบแสดงพฤติกรรม
ตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจเป็นการเขียนตอบ ทำเครื่องหมาย แสดงกิริยาอาการที่ผู้วัดสามารถสังเกต
พฤตกิ รรมนนั้ ได้ สว่ นใหญน่ ิยมใชใ้ นการวัดความรู้ความสามารถ
ส่วนการสอบ (test) เป็นสถานการณ์ในการใช้แบบทดสอบกับผูส้ อบและเปน็ การเก็บขอ้ มูล
เกี่ยวกับความรู้ความสามารถของบุคคล มีการกำหนดเงื่อนไขในการทดสอบ การสอบที่ใช้กันทั่วไปมีหลาย
ประเภท แบ่งโดยใช้วธิ ีการตอบสนองตอ่ แบบทดสอบทีเ่ ปน็ สิ่งเร้าได้แก่ การสอบเป็นรายบุคคล การสอบเป็น
กลุ่ม การสอบแบบจำกัดความเร็ว การสอบเต็มความสามารถ การสอบข้อเขียน การสอบปากเปล่า การสอบ
ปฏิบัติ เปน็ ต้น
๔) แบบตรวจสอบรายการ (check list) เปน็ เครือ่ งมือทมี่ รี ายการตา่ งๆ ใหผ้ ู้ตอบแบบสอบถาม
เลอื กคำตอบท่ตี รงกับผู้ตอบต้องการอกี ทั้งยังใช้เปน็ เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ควบค่กู บั การสงั เกต (observation) และการ
สอบภาคปฏิบตั ิ (performance test) โดยใชต้ รวจสอบดูว่ากล่มุ เป้าหมายเกิดพฤติกรรมดงั รายการพฤติกรรม
ต่างๆ ทคี่ าดหวงั หรอื ไม่
นักวิชาการบางท่านเรียกการตรวจสอบรายการว่า แบบสังเกต (observation form) คือ
เครื่องมือที่ใช้ประกอบการสังเกตเป็นชุดของพฤติกรรมที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา แบบสังเกตมีหลายชนิด เช่น
ระเบียนพฤติกรรม แบบตรวจสอบรายการ (checklist) และแบบจัดอนั ดับคณุ ภาพ (rating scale) การสงั เกต
เป็นวิธีการซึ่งใช้ประสาทสัมผัสของผู้สังเกต โดยเฉพาะตา และหู เพื่อติดตามศึกษาพฤติกรรมที่บุคคลท่ี
แสดงออกได้ทุกด้าน แบบสังเกตเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยที่ผู้วิจัยสามารถใช้ได้ตลอดเวลาแบบทดสอบที่
นยิ มใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ในการวิจยั มหี ลายประเภทขึ้นอยู่กับลกั ษณะทยี่ ดึ ถอื ในการจำแนก เชน่ จำแนก
ตามพฤติกรรมที่ต้องการวัด จำแนกตามรูปแบบของคำถาม จำแนกตามรูปแบบการสอบ จำแนกตาม
กำหนดเวลาทีใ่ หต้ อบ จำแนกตามจำนวนผู้เข้าสอบ และจำแนกตามจดุ มงุ่ หมายพเิ ศษ๗
๕) แบบสัมภาษณ์ (interview form) เป็นเครื่องมือที่ใช้ประกอบการสัมภาษณ์ การสร้างข้อ
คำถามมีวิธกี ารเช่นเดยี วกับการสร้างแบบสอบถาม แตเ่ ปดิ โอกาสให้กลุ่มเป้าหมายตอบอสิ ระไมก่ ำหนดตัวเลอื ก
๗จติ ติรัตน์ แสงเลศิ อทุ ยั , เคร่ืองมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย,หนา้ ๑๕.
๒๖๐ Advanced Research Methodology on Peace
คำตอบไว้ล่วงหน้า เพราะการสัมภาษณ์ต้องการข้อมูลที่เจาะลึก ความละเอียดของคำตอบที่ได้ขึ้นอยู่กับ
ความสามารถของผสู้ ัมภาษณ์๘
๘.๑.๓ ขอ้ ดี และข้อจำกัดของเคร่ืองมือวิจยั แตล่ ะประเภท๙
๑) แบบทดสอบ
ข้อดี (๑) เป็นเคร่ืองมือท่ีเหมาะสำหรบั ใชว้ ัดพฤตกิ รรมดา้ นปญั ญา หรอื ดา้ นพทุ ธิพสิ ัยได้ดกี ว่าเครือ่ งมือ
ชนดิ อนื่
(๒) แบบทดสอบมีหลายชนดิ หลายรูปแบบ ทำใหส้ ามารถเลอื กสร้าง และใช้ให้เหมาะจดุ มุ่งหมาย
ทตี่ ่างกัน
(๓) ใชไ้ ดส้ ะดวก และประหยัด เนอ่ื งจากใช้สามารถใชส้ อบนกั เรยี นได้จำนวนมากในเวลาเดียวกนั
ขอ้ จำกดั (๑) แบบทดสอบที่มีคุณภาพดี ต้องใช้เวลาสร้างนาน ต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ด้านการ
วดั ผลมาเปน็ พน้ื ฐานในการสรา้ งจงึ จะชว่ ยใหม้ ีคณุ ภาพทเ่ี ทย่ี งตรงดยี ิ่งข้นึ
(๒) สร้างแบบทดสอบให้มีคุณภาพเป็นมาตรฐานตายตัวไม่ได้ เพราะคำถามหรือสถานการณ์ที่
กำหนดเป็นเพยี งตวั แทนของพฤตกิ รรมที่ครสู มุ่ ขนึ้ มา ซ่ึงอาจจะเปลย่ี นแปลงหรือปรับปรุงใหม่ได้
เสมอไม่มีทส่ี ้ินสุด
(๓) คะแนนผลการสอบมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้เสมอไม่มากก็น้อยทุกครั้งที่มีการสอบ
วัดผลจะมีสาเหตทุ ีท่ ำใหค้ ะแนนคลาดเคลอ่ื นจากความเปน็ จรงิ เสมอ เช่น คำถามในแบบทดสอบ
ไม่เป็นตัวแทนทีด่ ี ความบกพร่องทางเทคนคิ การสร้างแบบทดสอบ การดำเนินการสอบไม่รัดกุม
สภาพแวดลอ้ มไม่ดี ตลอดจนผสู้ อบขาดความพรอ้ ม
(๒) แบบสังเกต (observation form)
ขอ้ ดี (๑) แบบสังเกตสามารถเป็นเครื่องมือที่ใช้ติดตามศึกษาพฤตกิ รรมของบุคคลทีแ่ สดงออกมาได้ทกุ
ด้าน
(๒) แบบสงั เกตเปน็ เครื่องมอื ท่ใี ชไ้ ดส้ ะดวก ใช้ได้ทกุ เวลา และใช้ได้ทกุ สถานท่ี
(๓) แบบสงั เกตใช้สังเกตพฤติกรรมของบุคคล ทกุ เพศ ทกุ วยั โดยไม่ขึ้นอยู่กบั ระดบั การศกึ ษา
ขอ้ จำกดั (๑) พฤติกรรมหลายอย่างสงั เกตได้ยาก และต้องสงั เกตหลายครงั้ ทำใหเ้ สียเวลาสังเกตนาน
(๒) ถา้ ผู้สังเกตขาดความพรอ้ ม และทกั ษะในการสังเกต จะทำให้การบนั ทกึ ขอ้ มลู ลงในแบบสังเกต
เปน็ ขอ้ มูลทีไ่ มม่ ีประโยชนห์ รอื มีความผิดพลาด
(๓) ผู้สังเกตอาจมีความลำเอียงหรืออคติต่อผู้ถูกสังเกตบางคน ทำให้ได้ข้อมูลที่บันทึกลงใน แบบ
สังเกตบิดเบอื นทำให้การแปลผลการสงั เกตคลาดเคลอื่ น
(๔) ถ้าผ้ถู ูกสังเกตรู้ตัว จะเกิดการระวังตัวและปดิ บังพฤตกิ รรมทแี่ ทจ้ รงิ
๘สวุ ิมล ติรกานนท,์ การสรา้ งเครือ่ งมอื วัดตวั แปรในการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางสู่การปฏิบตั ิ,
(กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์แหง่ มหาจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑), หนา้ ๗-๙.
๙จติ ตริ ัตน์ แสงเลิศอุทัย, เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย,หนา้ ๑๕-๒๑.
ระเบยี บวิธวี จิ ัยชั้นสูงว่าดว้ ยสนั ติภาพ ๒๖๑
(๓) แบบสมั ภาษณ์(Interview form)
ขอ้ ดี (๑) แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้วิจัยทราบข้อมูลที่แอบแฝงอยู่ในใจของผู้รับการ
สัมภาษณไ์ ด้ โดยใช้เทคนคิ การพดู คุยทฉี่ ลาดจะทำใหผ้ ้ถู กู สมั ภาษณ์ยอมเปิดเผยข้อมูลออกมา
(๒) การสัมภาษณ์จะชว่ ยให้ได้ข้อมูลประกอบเกย่ี วกบั บุคลิกภาพของผ้ถู ูกสัมภาษณ์ ซึ่งสามารถ
สังเกตไปพรอ้ มกับการสัมภาษณ์
(๓) แบบสมั ภาษณ์เป็นเคร่อื งมอื ทใี่ ช้ไดก้ บั บคุ คล ทุกเพศ ทุกวยั โดยไม่ขึน้ กับระดบั การศกึ ษา
ข้อจำกดั (๑) เนื่องจากต้องสัมภาษณ์แบบคนต่อคน ทำให้ต้องสิ้นเปลืองเวลามาก และในกรณีที่ต้อง
เดินทางสัมภาษณน์ อกสถานที่ จะส้ินเปลืองคา่ ใช้จ่ายและเวลาเพม่ิ ข้ึน
(๒) เป็นวิธีการที่ต้องรบกวนผูถ้ ูกสัมภาษณ์ มักจะสร้างความเบ่ือหน่ายรำคาญและอาจจะไม่ได้
รบั ความร่วมมือเทา่ ท่คี วร
(๓) ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ค่อนข้างเป็นอัตนัย ความเที่ยงตรงของข้อมูลจึงขึ้นอยู่กับ
ความสามารถในการตคี วาม และสรุปความของผสู้ มั ภาษณ์
(๔) ถ้าผู้สมั ภาษณ์ไม่มีเทคนิคในการพูดคุย หรือมีบุคลิกภาพท่ีไม่ดี อาจไม่ได้รับความไว้วางใจ
และไม่ได้ขอ้ มูลท่เี ป็นจรงิ
(๔) แบบสอบถาม (questionnaire)
ข้อดี (๑) เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้กับบุคคลจำนวนมากได้ในเวลาพร้อมกัน ทำให้ประหยัดเวลา และ
คา่ ใช้จา่ ย
(๒) แบบสอบถามเป็นเคร่อื งมอื ที่ให้เวลาในการตอบอยา่ งอิสระได้ โดยให้ผ้ตู อบรับไปตอบ และ
นัดหมายเวลาสง่ คนื ซง่ึ ไมส่ ร้างความตงึ เครยี ดให้ผูต้ อบ
(๓) สามารถฝากส่งและรับแบบสอบถามคนื ไดห้ ลายวธิ ี ทำให้มีความสะดวกในการใช้เครอ่ื งมอื
(๔) แบบสอบถามที่ประกอบด้วยข้อคำถามปลายปิดที่ออกแบบดี จะช่วยให้สะดวกในการ
รวบรวมคำตอบและวิเคราะหค์ ำตอบ
ข้อจำกัด (๑) แบบสอบถามเหมาะสำหรับผู้ที่อา่ นและเขยี นหนงั สือคลอ่ งเท่านั้น
(๒) ผตู้ อบแบบสอบถามอาจไมไ่ ดต้ ง้ั ใจตอบ หรอื ไมใ่ ห้ความสำคญั ต่อขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ จรงิ หรอื มอบให้
คนอนื่ ตอบแทนทำใหข้ ้อมลู ที่ได้มาไม่ตรงหรือคลาดเคลอื่ นจากความจริง
(๓) คำถามบางข้ออาจไมช่ ัดเจนสำหรับผตู้ อบบางคน และไม่มีโอกาสได้รับคำชีแ้ จง ทำใหค้ ำตอบ
ท่ไี ดม้ าไม่มปี ระโยชน์
๒๖๒ Advanced Research Methodology on Peace
(๕) แบบประเมนิ การปฏิบตั ิ (performance assessment form)
ขอ้ ดี (๑) เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับใช้วัดพฤติกรรมด้านทักษะการใช้กล้ามเนื้อ หรือด้านทักษะ
พสิ ยั
(๒) รปู แบบของวธิ กี ารวดั ในแบบประเมนิ การปฏิบัตเิ ปน็ แบบอิสระ สามารถกำหนดขึ้นให้เหมาะ
กบั งานหรอื กจิ กรรมทตี่ อ้ งการวดั ซ่ึงแตกตา่ งกนั ไปตามธรรมชาตขิ องแตล่ ะงานหรือกจิ กรรม
ข้อจำกดั (๑) ต้องใช้เวลาในการวัดมาก โดยเฉพาะการวัดเป็นรายบุคคล เพราะต้องพิจารณาตลอดท้ัง
กระบวนการปฏบิ ตั ติ งั้ แต่เริ่มตน้ จนเกดิ ผลสมบรู ณ์
(๒) ควบคุมสถานการณ์การสอบวัดให้เป็นแบบเดียวกันโดยให้ทุกคนแสดงความสามารถของ
ตนเองอย่างอิสระไมไ่ ด้
(๒.๑) ถา้ สอบวดั พร้อมกนั โดยใหท้ ำงานหรอื กิจกรรมเดยี วกัน กจ็ ะมีปัญหาเร่อื งการควบคุม
การปฏิบัตขิ องแต่ละกลุ่มให้เป็นอิสระไมไ่ ด้ และการตรวจวัดผลงานของทุกคนในกลุ่มทำได้ ไม่
ทัว่ ถึง และไม่ทันเวลา
(๒.๒) ถา้ สอบวัดโดยใหท้ ำงานหรือกิจกรรมต่างกัน ก็จะเกิดความไมเ่ ทา่ เทยี มกันเร่ืองความ
ยากง่ายของกิจกรรม หรืออาจกำหนดกิจกรรมได้ไม่ครบทุกด้าน ทำให้ผลการวัดเอามาใช้
ประโยชนใ์ นการเปรยี บเทียบ หรอื ตัดสินไม่ได้
(๒.๓) ถ้าสอบวัดโดยใหบ้ ุคคลปฏบิ ตั งิ านเปน็ กลุ่ม ทกุ คนในกลมุ่ ก็ควรจะได้คะแนนเท่ากนั ทั้ง
ท่ีมีความสามารถหรอื ทกั ษะไมเ่ ท่ากัน คะแนนของบางคนจงึ ไม่สอดคล้องกันตามสภาพจรงิ
(๒.๔) การพิจารณาคะแนนผลการปฏิบัติงาน หรือผลการปฏิบัติกจิ กรรม ทำได้ยากเพราะ
ค่อนข้างเป็นอัตนัย แม้จะมีแบบฟอร์มกำหนดรายการวัด และบรรยายคุณภาพตามคะแนนไว้
อย่างชัดเจนแล้วก็ตาม การใหค้ ะแนนแตล่ ะรายการก็จำเป็นตอ้ งใช้ความรู้สกึ ส่วนตัวช่วยตดั สนิ
ดว้ ย
ตัวอย่างแบบสอบถาม
ตัวอยา่ งในการตอบคำถาม
ข้อความคำถาม: ผู้ใดไม่ทำร้ายชีวิตหรือร่างกายผู้อ่ืน ผลของการไม่คิดเบียดเบียนจะทำให้ผู้นัน้ มี
จิตใจสงบและมีความสุขหากข้อความนี้ ตรงกับความรู้สกึ ท่านมากที่สุด ให้ √ ในช่อง จริงมากท่ีสุด หมายถงึ
ตรงกบั ตัวฉนั มากทีส่ ดุ
ระเบียบวธิ ีวจิ ยั ช้ันสงู ว่าดว้ ยสันติภาพ ๒๖๓
แบบสัมภาษณ์ คณาจารย์และผบู้ ริหารระดบั สงู มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย
..............................................
คำช้แี จง
แบบสมั ภาษณ์น้ี จัดทำขึ้นเพื่อเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลสำหรบั การดำเนินงานวจิ ัยเรอื่ ง “ความแตกต่าง
ทางชาติพันธุ์กับวิถีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในประชาคมอาเซียน: กรณีศึกษานิสิตประเทศไทยและกลมุ่
ประเทศ CLMV ในมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยส่วนกลาง” โดยมีคณาจารย์จากหลักสูตรสันติ
ศกึ ษาเปน็ ผรู้ บั ผิดชอบในการดำเนินงานวิจัย ทั้งนี้ ไดร้ บั งบประมาณสนับสนุนทุนวิจยั จากศูนย์อาเซียนศึกษา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย คณะดำเนินงานวิจัยจะนำข้อมูลที่เกิดจากการสัมภาษณ์ไป
ทำการศกึ ษา วเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะห์อยา่ งเปน็ ระบบ เพ่อื จดั ทำและนำเสนอเป็นงานวจิ ยั ทสี่ มบูรณ์ในโอกาส
ต่อไป
คณะผู้วิจัยจึงขอความเมตตาอนุเคราะห์จากท่านได้ให้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ เพื่อจะเป็น
ประโยชนต์ อ่ การดำเนินงานวิจยั โดยมปี ระเดน็ การขอสมั ภาษณ์ ดังนี้
(๑) ท่านมแี นวคดิ อย่างไรกับนโยบายหรอื ยุทธศาสตรก์ ารเปิดรับนิสติ ตา่ งชาติท่ีมคี วามหลากหลาย
ทางชาติพันธุ์เพื่อให้มาศึกษาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และการเปิดรับนิสิตต่างชาติ
ดังกล่าวจะนำมาซง่ึ โอกาสและวิกฤตตอ่ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัยหรือไมอ่ ยา่ งไร
๒๖๔ Advanced Research Methodology on Peace
(๒) การที่นิสิตมีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และวิถีการดำเนินชีวิต
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั มกี รอบแนวคิด รูปแบบ วธิ กี าร หรอื แนวทางปฏิบตั ิอย่างไรท่ีจะทำ
ให้นสิ ิตสามารถอยรู่ ว่ มกันไดอ้ ย่างสันติสุข
(๓) ปัญหาอุปสรรคเร่งด่วนทั้งระยะสั้นและทั้งระยะยาวที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั จะต้องรีบปรบั ปรงุ แก้ไขหรอื พฒั นาให้ดขี น้ึ เพอ่ื ให้นสิ ิตตา่ งชาติที่มคี วามหลากหลายทางด้านชาติพันธ์ุ
สามารถอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ย่างสนั ติสุขไดน้ น้ั มีอะไรบา้ ง มรี ปู แบบและแนวทางอยา่ งไร
(๔) ท่านคิดว่าหลักคุณธรรมใดที่จะเป็นกรอบแนวทางให้นิสิตต่างชาติที่มีความหลากหลาย
ทางด้านชาติพันธุ์สามารถอยู่รว่ มกนั ได้อย่างสันติสุข และทั้งน้ีจะตอ้ งมีองคป์ ระกอบ ปัจจัยหรือเงื่อนไขอะไร
หรอื ไมท่ ี่จะทำให้หลกั คณุ ธรรมดังกล่าวสามารถนำไปปฏิบัติใหป้ รากฏผลไดจ้ รงิ ๑๐
ตัวอยา่ งแบบสงั เกตพฤติกรรม
ชอ่ื -นามสกุล ผสู้ งั เกต.......................................ครงั้ ท่ี.......................วนั /เวลา........................
ชอื่ - นามสกุล ผ้ถู ูกสังเกต......................................................
แบบสงั เกตนใ้ี ชส้ งั เกตผเู้ ข้าอบรมในระหว่างการทดลอง เม่ือสงั เกตแล้วให้คะแนนโดยวงกลม
รอบตัวเลขทบี่ อกระดบั พฤติกรรมทแี่ สดง คือ
๕ = มากท่สี ุด ๔ = มาก ๓ = ปานกลาง ๒ = นอ้ ย ๑ = ไมม่ ีเลย
๑๐ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ และคณะ,“ความหลากหลายทางชาติพันธุ์กับวิถีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขใน
ประชาคมอาเซียน: กรณีศึกษานิสิตประเทศไทยและนิสิตกลุ่มประเทศ CLMV ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
(สว่ นกลาง)”, รายงานวิจยั ,(ศนู ย์อาเซยี นศกึ ษา: มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘).
ระเบยี บวิธวี จิ ัยช้ันสงู วา่ ด้วยสันตภิ าพ ๒๖๕
ตัวอย่างแบบทดสอบ EQ
๘.๑.๔ การเลือกใชเ้ ครอ่ื งมือ
ทั้งนี้การเลือกใช้เครื่องมือวิจัยสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ มีจุดเน้นท่ี
แตกต่างกันเนอื่ งจากจุดมงุ่ หมายหรอื กระบวนทศั น์การวจิ ัยทแ่ี ตกตา่ งกนั ดังน้ันเครอื่ งมือท่ใี ช้จงึ มคี วามแตกตา่ ง
กนั ในลักษณะของลักษณะข้อมูล จากตัวอยา่ งเคร่อื งมือวจิ ัยทนี่ ำมาใช้ มีท้ังเครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ
มีการวัดระดับเปน็ ตัวเลข และมีทง้ั ท่ีเปน็ เครื่องมอื เชิงคุณภาพ คือ เปน็ ข้อความสมั ภาษณ์ท่ีแสดงเป็นลักษณะ
พรรณนาหรือบรรยาย ลักษณะของเครื่องมือวิจัยและการสร้างเครื่องมือวิจัยในการวิจัยเชิงปริมาณและเชิง
คุณภาพจะได้กล่าวถึงในลำดับต่อไป อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นการวิจัยประเภทอะไร หลักในการเลือกใช้
เคร่อื งมือวิจัยสง่ิ ท่นี กั วจิ ัยควรนำมาพิจารณามดี งั นี้
๑) ลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย โดยพิจารณาว่าเป็นกลุ่มใด มีระดับการศึกษาเป็นอย่างไร มี
ประเพณีและวัฒนธรรมเป็นอย่างไร และบางครัง้ อาจต้องพิจารณาถงึ ความเชื่อและค่านยิ มอกี ด้วย เช่น การ
สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำของชนบท ควรใช้แบบสัมภาษณ์จะเหมาะสมกว่าการใช้
แบบสอบถามให้ชาวบ้านกรอกเอง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเกี่ยวกับการอ่านไม่ออกหรือไม่เข้าใจในภาษาที่เปน็
ทางการ นอกจากนี้อาจต้องพิจารณาเรอื่ งของอายขุ องกลมุ่ ตัวอย่าง เพราะบรบิ ทประเดน็ คำถามบางอย่างต้อง
สอดคล้องกับพฤตกิ รรม วัฒนธรรม ความคุ้นเคยของกลุ่มตัวอยา่ ง ซึ่งกลุม่ เด็ก เยาวชน สูงวัย ต่างก็มีบริบทที่
แตกต่างกัน อีกทั้งยังเป็นเรื่องของข้อจำกดั เรื่องอายุ เช่น การรับรูท้ างสายตา การตีความขยายความหรือทำ
ความเข้าใจใหต้ รงกนั
๒) ตวั แปร หรอื ลกั ษณะ หรอื คณุ สมบตั ิที่ตอ้ งการวัด เช่น การศกึ ษาภาวะโภช-นาของชาวเขา ตัว
แปรที่วัด คือ ภาวะโภชนาการ ซึ่งเป็นลักษณะการแสดงออกของพฤติกรรม การสัมภาษณ์หรือการใช้
๒๖๖ Advanced Research Methodology on Peace
แบบสอบถามอาจได้ข้อมูลทีไ่ ม่ตรงกับความเป็นจริง จึงจำเป็นต้องใช้การสังเกต หรือ การเข้าไปมีส่วนร่วมใน
ชุมชน
นอกจากน้ีคุณลกั ษณะของตวั แปรวดั บางประเภทก็จะมีเคร่ืองมือวัดทม่ี ากกวา่ ๑ ชนิด เชน่
การวัดความรู้ ความสามารถทางสติปญั ญา (Cognitive Domain): ใชแ้ บบทดสอบ แบบสมั ภาษณ์
แบบสงั เกต
การวัดความรสู้ ึก ความคิดเห็น (Affective Domain) :ใชแ้ บบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ แบบสังเกต
ทกั ษะ
การวัดความสามารถในการปฏบิ ัติ (Psychomotor Domain): ใช้การวัดแบบสังเกต แบบทดสอบ
แบบสมั ภาษณ์ แบบประเมิน
๓) ทรพั ยากร หมายถึง งบประมาณ เวลา และกำลังคน ซ่ึงเป็นขอ้ จำกดั ในการทำวจิ ัย เชน่ เร่ือง
ของเวลาหากมรี ะยะเวลาที่เร่งรัดการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดอาจทำได้ยากเพราะต้องใช้เวลาในการเก็บ
ข้อมูลนาน จำเป็นต้องเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับระยะเวลาที่มี ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ข้อมูลที่ได้มีความ
คลาดเคลอ่ื นมากกวา่
ดงั น้นั ในการเลอื กเครอ่ื งมือวิจยั ส่ิงสำคัญคอื ประสบการณข์ องนกั วจิ ัย และการพจิ ารณาแบบรอบ
ด้านทงั้ เร่ืองของ กลุ่มเปา้ หมาย ตัวแปร และทรพั ยากร
๘.๑.๕ คุณลักษณะของเครือ่ งมอื วจิ ยั ทดี่ ี
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลการศึกษาแต่ละชนิดมีทั้งขอ้ ดีและข้อจำกดั ในการใช้ ดังนั้น การสร้าง
เครอื่ งมอื แต่ละชนดิ จงึ ตอ้ งมกี ารควบคมุ คุณลกั ษณะสำคญั หลายประการ เพ่ือให้ไดเ้ ครื่องมือทด่ี ี มีจุดอ่อนน้อย
ท่ีสดุ คณุ ลักษณะสำคัญของเครอ่ื งมอื ทุกชนดิ ทจ่ี ะตอ้ งพิจารณามี ๔ ประการ ดังน้ี
(๑) มีความเที่ยงตรง (validity)เป็นคุณลักษณะของเครื่องมือที่ทำให้ได้ผลการวัดตรงตาม
จุดมุ่งหมายในการวัดหมายความว่า เครื่องมือนั้นวัดลักษณะที่ต้องการได้จริง ถ้าเป็นคุณลักษณะของ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนธรรมดา ก็ต้องการเพยี งว่า แบบทดสอบนั้นสามารถวัดได้ครอบคลุม
เนื้อหาที่เรียน วัดได้ตรงจุดประสงค์ของการเรียนรู้ ที่สำคัญวัดเนือ้ หาทุกเรื่องโดยมีสัดส่วนจำนวนข้อทดสอบ
มาก-น้อยเหมาะสมกับเนอื้ หาทเ่ี น้นต่างกนั
(๒) ความเชื่อมั่น (reliability) เป็นคุณลักษณะของเครื่องมือที่ทำให้ได้ผลการวัดคงที่แน่นอน
หรือ คงเส้นคงวากล่าวได้ว่า ถ้านำเครื่องมือนั้นไปวัดซ้ำอีกกี่ครั้งก็ตาม ก็จะให้ผลการวัดเหมือนเดิม หรือ
คลาดเคล่ือนจากเดมิ น้อยมากถ้าไม่มีตัวแปรแทรกซ้อน การควบคุมการสรา้ งเคร่ืองมือศึกษาให้มีความเช่อื มน่ั
ตอ้ งคำนงึ ถึงสงิ่ สำคัญตอ่ ไปน้ี
(๒.๑) ต้องสร้างเครื่องมือให้มีความเที่ยงตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการก่อน จะช่วยให้
เครือ่ งมือน้ันมคี วามเชอ่ื มั่นสงู ดว้ ย
(๒.๒) จำนวนของข้อคำถาม หรือคุณลักษณะที่ต้องการศึกษาต้องมีมากเพียงพอหรือวัดได้
ครอบคลมุ จึงจะช่วยให้มคี วามเชอื่ มนั่ สูง
ระเบียบวิธวี ิจยั ชั้นสูงวา่ ดว้ ยสนั ตภิ าพ ๒๖๗
(๒.๓) ข้อคำถามทุกข้อ องค์ประกอบของคุณลักษณะที่วัดต้องมีความชัดเจนทุกด้านหรือ
เรียกว่ามคี วามเปน็ ปรนัย จงึ จะสง่ เสริมให้มคี วามเชือ่ มนั่ สูง
(๒.๔) ถ้าเปน็ แบบทดสอบ ตอ้ งประกอบดว้ ยข้อคำถามที่ยากง่ายพอเหมาะ ไม่มคี ำถามที่ยาก
เกินไป หรอื คำถามท่ีง่ายเกนิ ไป เพราะหากคำถามเหล่านจ้ี ำแนกความสามารถของบุคคลไมไ่ ด้ จะมผี ลตอ่ ความ
เช่อื มัน่ ของแบบทดสอบ
นอกจากความเชื่อมั่นจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องมือหลายประการดังกล่าวแล้ว ยังขึ้นอยู่กับ
องคป์ ระกอบอื่นอกี เชน่ ยังขึ้นอย่กู ับจำนวนขอ้ สอบหรือขอ้ คำถาม จำนวนกลุม่ ท่ีทดลองใช้ เวลาที่ใช้ในการวัด
มากหรือน้อยเกนิ ไป ความพร้อมของผู้ที่รับการสอบวัด วิธีปฏิบัติของผู้เก็บข้อมูล ตลอดจนสภาพแวดล้อมท่ี
เอ้ืออำนวย
(๓) มีความเปน็ ปรนัย (objectivity) เป็นคุณลกั ษณะที่ทำให้เครือ่ งมือมคี วามชัดเจนในแง่การ
นำไปใช้ ๓ ประการ
(๓.๑) ข้อคำถามหรอื รายการวดั ทกี่ ำหนดไวม้ ีความชดั เจน ทกุ คนอ่านแล้วมีความเข้าใจตรงกนั
ใชภ้ าษาง่ายชัดเจนรดั กมุ ไม่มีความบกพร่องทางภาษา
(๓.๒) การตรวจใหค้ ะแนนมคี วามแนน่ อนชดั เจน มีวิธที ่ีชัดเจนในการจัดกระทำกบั ขอ้ มลู หรือ
กำหนดคา่ เปน็ ตวั เลขใหก้ บั ขอ้ มูล มเี กณฑ์การตรวจใหค้ ะแนนทีเ่ ปน็ มาตรฐานเดยี วกันสำหรับคนตรวจทกุ คน
(๓.๓) การแปลความหมายมคี วามชัดเจน ผลการสรุปและประเมนิ เปน็ ทยี่ อมรับได้ของทุกฝา่ ย
ที่เกีย่ วขอ้ ง ซึ่งหมายถงึ ว่าผลที่ได้มาน้นั สอดคล้องกบั คุณลักษณะท่เี ปน็ จริง ทกุ ฝ่ายแปลความหมายของคะแนน
ไดต้ รงกนั
(๔) มีประสิทธิภาพ (efficiency) เป็นคุณลักษณะของเครื่องมือที่พิจารณาในแง่ประโยชน์ใช้
สอย ดงั นี้
(๔.๑)จัดรูปแบบได้เหมาะสม มีคำชี้แจงหรือแนวดำเนินการท่ีชัดเจน ออกแบบให้เกิดความ
สะดวกตอ่ ผ้ใู ช้
(๔.๒) มีรปู แบบท่ีสะดวกต่อการจดั กระทำกับข้อมูล ซึ่งทำให้สะดวกในการวเิ คราะห์ และแปล
ความหมายของขอ้ มูลดว้ ย
(๔.๓) มีความกะทดั รดั คอื กำหนดรายการทจี่ ะวัดเทา่ ทจี่ ำเป็น ไม่มากเกนิ ไป แต่ให้ผลการวัด
เท่ยี งตรง และเชอ่ื ถอื ได้
(๔.๔) มีความประหยดั หลายด้าน เช่น ประหยัดวัสดุในการสร้างเคร่ืองมือ ประหยดั เวลาใน
การนำไปวัดพฤตกิ รรม ประหยัดแรงงานในการจดั กระทำกับขอ้ มูล และวเิ คราะห์ขอ้ มูล
(๔.๕) ไม่มีความบกพรอ่ งทางด้านภาษาซ่งึ ทำใหก้ ารสื่อความผดิ พลาดไป
ในกรณีทีเ่ ปน็ เคร่ืองมือประเภทแบบทดสอบ อาจจะตอ้ งการคณุ ลกั ษณะสำคญั เพ่มิ อีก ดงั น้ี
(๕) มีความยาก (difficulty) หมายถึง ข้อทดสอบแต่ละข้อ หรือข้อทดสอบรวมท้ังฉบับตอ้ งไม่
ยากเกนิ ไป หรอื งา่ ยเกนิ ไปสำหรบั กลุ่มผูส้ อบ
๒๖๘ Advanced Research Methodology on Peace
(๖) มีอำนาจจำแนก (discrimination) หมายถึง ข้อทดสอบแต่ละข้อหรือข้อทดสอบรวม
ทัง้ ฉบบั จะสามารถจำแนกระดับพฤติกรรมทางปัญญาทแ่ี ตกตา่ งกนั ของผสู้ อบได้
(๗) มคี วามยตุ ิธรรม (fair) หมายถึง แบบทดสอบท่ีไมท่ ำให้เกิดการไดเ้ ปรยี บเสยี เปรียบระหว่าง
ผู้ตอบ เช่นแบบทดสอบที่ค่อนข้างยากทั้งฉบับ แบบทดสอบที่ใช้ทักษะบางอย่าง หรือแบบทดสอบที่มีแนว
ทางการเดา ดงั นัน้ แบบทดสอบทยี่ ตุ ิธรรม จะตอ้ งสรา้ งใหค้ รอบคลมุ เนือ้ หาคือ สรา้ งตามตารางวเิ คราะหเ์ นือ้ หา
และจุดประสงค์ของการเรียนรู้ และปฏบิ ตั ติ ามหลกั การสรา้ งแบบทดสอบชนดิ นน้ั
(๘) ถามลึก (searching) หมายถึง แบบทดสอบที่มีคำถามวัดความคิดหลายระดบั ไม่ใช่ มีแต่
คำถามวัดความรู้ความจำอย่างเดยี ว
(๙) มีลักษณะจงู ใจ (exemplary) หมายถึง แบบทดสอบที่มีลักษณะชวนใหผ้ สู้ อบคิดหรือตอบ
ไปจนตลอดฉบับโดยการเรียงจากคำถามง่ายไปหาคำถามยาก หรือให้มรี ปู แบบที่แปลกใหม่ดึงดูดความสนใจ
จากคุณลักษณะทีด่ ขี องเครื่องมือดงั กล่าวจะเห็นได้ว่า เครื่องมอื แตแ่ ต่ละชนิดจะมีลักษณะที่บง่ ชี้คุณภาพของ
เครือ่ งมือท่ีแตกตา่ งกนั ในการสร้างและพฒั นาเครอื่ งมอื แตล่ ะชนิด ผวู้ ิจัยจึงต้องศกึ ษาคุณลกั ษณะของเครื่องมอื
แต่ละชนิดให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้และชัดเจน ทั้งกระบวนการสร้างและการหาคุณภาพของเคร่อื งมอื
เพราะคณุ ภาพของเครอ่ื งมือจะมีผลตอ่ คุณภาพและความเทยี่ งตรงภายในของงานวจิ ยั ด้วย๑๑
๘.๒ ขนั้ ตอนการสร้างเครอ่ื งมอื วจิ ัยทม่ี ีคณุ ภาพ
๘.๒.๑ การสรา้ งเคร่อื งมอื วิจัยเชงิ ปริมาณที่มีคุณภาพ
ทัง้ นเี้ นอ่ื งจากเคร่อื งมือวจิ ยั มคี วามหลากหลายและมรี ายละเอยี ดท่แี ตกต่างกนั ไปตามลักษณะของ
ตวั แปร และขอ้ มลู ทใ่ี ช้ แตอ่ ย่างไรก็ตามเคร่ืองมือวจิ ยั ที่เป็นที่นยิ มได้แก่แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ พ้ืนฐาน
การสรา้ งเคร่อื งมือวจิ ัยทีม่ คี ุณภาพจะอยู่ในกระบวนการ ๙ ขน้ั ตอนดงั นี้๑๒
๑๑จติ ติรตั น์ แสงเลศิ อุทัย, เครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการวจิ ัย,หนา้ ๒๑-๒๓.
๑๒ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์, ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือวิจัยที่มีคุณภาพ,เอกสารประกอบการอบรมโครงการ
ฝกึ อบรม “สรา้ งนกั วิจยั รนุ่ ใหม่” (ลกู ไก่), เครือขา่ ยมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการ
วิจยั แหง่ ชาติ (วช.), ๒๕๕๙.
ระเบยี บวิธวี จิ ัยชั้นสงู วา่ ดว้ ยสันติภาพ ๒๖๙
ภาพที่ ๘.๑ แสดงกระบวนการสรา้ งเครอ่ื งมอื วจิ ยั
๙. ปรับปรุงขอ้ คำถามเพื่อนำไปใชจ้ ริง
๘. นำไปทดลองเบ้ืองต้นใช้ (Preliminary item tryout)
๗. ตรวจสอบเคร่ืองมือโดยผู้เชี่ยวชาญ
๖. สร้างข้อคำถาม ใหค้ รอบคลุมเนอ้ื หาตามตารางโครงสร้าง
๕. กำหนดรูปแบบการวัดของตัวแปร(Response formats)
๔. สรา้ งตารางโครงสรา้ งเนอื้ หา แจกแจงเน้อื หาตามนิยามปฏบิ ตั กิ าร
๓. นิยามปฏบิ ัตกิ าร (Operational Definition) ตวั แปรทต่ี ้องการวัด
๒. ระบเุ นอ้ื หา/นิยามตัวแปรตวั แปรทีจ่ ะวัด (Definition of Variable)
๑. กำหนดขอบเขตและจดุ มุ่งหมายของการสรา้ ง ศึกษาตัวแปรที่ศึกษา
๑) กำหนดขอบเขตและจดุ มุ่งหมาย
เป็นขั้นตอนแรกที่นกั วิจัยตอ้ งรู้ว่า ในการศึกษาวิจัยจะวัดอะไร วัดใคร ลักษณะของผู้ถูกวัดเป็น
อยา่ งไร เพ่ือให้สอดรรบั กบั วัตถปุ ระสงคง์ านวจิ ัยต้องการอะไร เช่น
ชื่อวิจัย : กระบวนการสร้างแรงจูงใจในการปฏบิ ัตติ ามหลกั ศลี ๕ สำหรับผนู้ ำ
ในงานวิจัยนี้จุดมุ่งหมายหลักคือ การสร้างกระบวนการอบรมที่ทำให้ผู้นำมีแรงจูงใจในการรักษาศีล ๕ โดย
ออกแบบการวิจัยเป็นแบบทดลอง ดังน้นั
สงิ่ ทตี่ อ้ งการวัด: แรงจูงใจในการปฏิบตั ติ ามหลกั ศลี ๕ เพ่ือประเมนิ การทดสอบก่อน และ หลงั การ
ทดลองของ หลักสูตรการอบรมกระบวนการสรา้ งแรงจูงใจในการปฏบิ ตั ิตามหลักศีล ๕สำหรบั ผู้นำท่ีผวู้ ิจัยสร้าง
ขึน้
ดังนั้นเพื่อให้ได้มาเกี่ยวกับสิ่งท่ีตอ้ งการวดั คอื แรงจูงใจในการปฏิบัติตามหลกั ศีล ๕ สิ่งทีน่ กั วิจยั
ต้องทำในลำดับต่อไปคือ ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่ตอ้ งการจะวัดซ่ึงในงานวิจัยน้ีไดพ้ ัฒนาขึ้นตาม
กรอบแนวคดิ แรงจูงใจภายในตามแนวพระพุทธศาสนา ได้แก่ หลัก อทิ ธบิ าท ๔ คือ ฉันทะ วิรยิ ะ จติ ตะ วิมังสา
ซึ่งแบ่งโครงสร้างหรือประเภทคำถามตามหลกั ศีล ๕ ดังนั้นแรงจูงใจในการปฏิบัติตามหลักศีล แต่ละข้อจะ
ประกอบด้วย ๔ ด้าน คอื ดา้ นฉนั ทะ ดา้ นวริ ิยะ ดา้ นจิตตะ และดา้ นวิมังสา ตามหลกั ศลี ๕ แต่ละข้อ ซ่งึ ข้อมูล
พนื้ ฐานจากการศกึ ษาทบทวนวรรณกรรมนจี้ ะนำไปสู่ขัน้ ตอนตอ่ ไปของการสร้างเครือ่ งมือ
๒๗๐ Advanced Research Methodology on Peace
๒) ระบเุ นื้อหา/นยิ ามตัวแปรทีต่ ้องการวดั
การนิยามตวั แปร (Definition of Variable) หรือการนยิ ามเชงิ ทฤษฎเี ป็นการอธิบายความหมาย
ของตัวแปรตาม หลักการหรือทฤษฎีมีลักษณะที่คลุมเครือ กว้าง ไม่ชัดเจน แต่ละคนอาจเข้าใจไม่ตรงกัน
(subjective) ซึง่ อยใู่ นรปู นามธรรม ไมส่ ามารถท่ีจะวดั ได้ชัดเจน หรอื ส่ือความหมาย ได้ตรงกนั ได้ และเป็นการ
จำกัดขอบเขตความหมายท่ีใช้สำหรบั ในงานวิจัยเร่ืองนัน้ ๆ อย่างเช่น ในงานวิจัยท่ียกตวั อย่างมานี้พบว่า การ
สร้างแรงจูงใจในการปฏบิ ัติตามหลักศีล ๕ ต้องอาศัย แรงจูงใจตามแนวพระพุทธศาสนา จึงได้ให้นิยามศัพท์
เกย่ี วกบั
แรงจูงใจตามแนวพระพุทธศาสนา คือ มี อทิ ธบิ าท ๔ ในการรักษาศีล ๕ เกดิ ฉันทะ หรือ ความ
พอใจอยากรักษาศลี ๕ เกิดวิริยะ หรอื ความเพียรพยายามทีจ่ ะรักษาศลี ให้ได้ เกดิ ความใสใ่ จท่ีจะรักษาศีล ๕
เห็นความสำคัญ คุณคา่ มรรคผลของศลี ๕ ที่ตนไดร้ บั และพัฒนาศีลของตนใหล้ ะเอยี ดย่งิ ขนึ้ โดยมีจุดมงุ่ หมาย
เพื่อพัฒนาตนเอง ด้าน กาย ศีล จิต และ ปัญญา สามารถนำมรรคผลของศีล ๕ แก้ปัญหาตนเอง ครอบครัว
สังคม และ ประเทศชาติ และเสริมสรา้ งสังคมใหม้ ีความสุขสามารถเปน็ ต้นแบบ และชกั ชวนให้ผู้อน่ื ปฏบิ ัติตาม
ได้ เมอ่ื ได้นิยามศัพทท์ ่ีได้จากแนวคิดทฤษฎแี ล้ว นำไปสู่ขั้นตอนท่ี ๓ คอื การสรา้ งนยิ ามปฏิบัตกิ าร
๓) นยิ ามปฏิบตั กิ าร (operational definition) ตัวแปรทตี่ ้องการวดั
การนิยามเชิงปฏิบัตกิ าร (operational definition) เปน็ การอธบิ ายความหมายของตัวแปร ในรูป
ของพฤติกรรม(behavior) หรือการกระทำ (action) ที่สามารถสังเกตหรือวัดได้ ทุกคนสามารถสังเกต รับรู้
และเข้าใจ ไดต้ รงกนั (objective)นอกจากน้ี นิยามปฏิบัตกิ าร เป็นการใหค้ วามหมายหรอื ให้รายละเอียดท่ีสืบ
เนื่องมาจากนิยามเชงิ ทฤษฎี เปน็ การระบุถึงสว่ นประกอบยอ่ ย ๆ หรือ ลกั ษณะยอ่ ย ๆ ของตวั แปรน้ัน ซึ่งผวู้ ิจัย
สามารถสังเกตหรอื วัดจากส่วนประกอบย่อย ๆ เหลา่ น้ันได้อย่างครบถว้ น๑๓
ตัวอย่างเช่น นิยามปฏิบัติการ: แรงจูงใจในการปฏิบัติตามหลักศีล ๕ แรงจูงใจในการปฏิบัติตาม
หลักศีล ๕ หมายถงึ การมอี ิทธบิ าท ๔ ในการจะปฏบิ ัตติ ามหลักศลี ๕ ได้แก่
ฉนั ทะ – เปน็ กศุ ลธรรมฉนั ทะ คอื มคี วามพอใจ ชอบใจ ความปรารถนาในสิง่ ทีด่ ีงาม ไม่ขดั ต่อการ
ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ศลี ๕ ปรารถนาทำส่ิงที่ดงี ามใหเ้ กดิ ขน้ึ แก่ตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ มีเจตนาที่
จะไม่เบยี ดเบยี นทำร้ายผ้อู ่นื ทง้ั กาย วาจา ใจ ตามหลักศีล ๕ ในแตล่ ะขอ้
๔) สรา้ งตารางโครงสรา้ งเนอ้ื หา แจกแจงเน้ือหาตามนิยามปฏิบตั ิการ และกำหนดจำนวนข้อ
คำถาม
ทั้งนี้การกำหนดข้อคำถามขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น จำนวนตัวแปรทั้งหมดที่ต้องการ
ศึกษา รวมทั้งกลุม่ ตัวอยา่ งท่ตี อ้ งการศึกษา DeVellis (๒๐๐๓) ไดก้ ลา่ ววา่ ในข้ันตอนแรกควรทจี่ ะคิดข้อคำถาม
ใหม้ าก เพือ่ ใหเ้ กิดความครอบคลมุ ประเดน็ ตา่ งๆ ใน เรอ่ื งท่จี ะศึกษา และในการเริม่ ตน้ รา่ งข้อคำถาม เพ่อื วดั ตวั
แปรในแต่ละตัวนัน้ ไม่ควรเร่ิมตน้ ที่ ๓ หรือคำถาม ควรมีข้อคำถามมากกว่านี้ แล้วค่อย ตัดคำถามที่ไมจ่ ำเป็น
๑๓สุวิมล ติรกานนท์, การสรา้ งเคร่ืองมอื วัดตัวแปรในการวิจัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางสู่การปฏิบัติ, หน้า
๒๑.
ระเบยี บวิธวี จิ ัยช้ันสงู วา่ ด้วยสันตภิ าพ ๒๗๑
หรอื ไม่เกีย่ วข้องออกในขนั้ ตอนต่อไป อยา่ งไรก็ตามเม่อื ตัดข้อคำถามออกไปแล้ว คำถามท่ใี ชว้ ดั ในแต่ละตัวแปร
น้ันไม่ควรที่จะตำ่ กวา่ ๓ คำถาม (Cook et al., ๑๙๘๑)
ตวั อย่างเช่น แบบวัดประกอบด้วย แรงจูงใจในการปฏบิ ตั ติ ามศีล ๕ มี ๑๒๐ ขอ้ คำถาม โดยแบ่ง
ตามศีล ๕ ข้อในแตล่ ะข้อประกอบด้วย คำถามวัดแรงจูงใจตามหลกั อิทธิบาท ๔ (ฉันทะ วริ ยิ ะ จิตตะ วิมังสา)
รวม ๒๔ ข้อ
ประเดน็ หลัก ประเดน็ นำ้ หนกั จำนวนข้อด้าน จำนวนขอ้ รวม
ย่อยยอ่ ย บวก ด้านลบ
(+)
(-)
ศีลข้อท่ี๑ ไม่ ฉนั ทะ ๒๕ ๓ (๓) ๖
ฆา่ หรอื ทำรา้ ย วริ ยิ ะ ๒๕ ๓ (๓) ๖
สตั ว์ จิตตะ ๒๕ ๓ (๓) ๖
ส่งิ มชี ีวติ วมิ งั สา ๒๕ ๓ (๓) ๖
รวม ๑๐๐ ๑๒ (๑๒) ๒๔
ดา้ น ประเดน็ ย่อย ฉันทะใน ศลี ข้อที่ ๑
(+) ๑. เหน็ คุณคา่ ของชีวิต
( - ) ๒. ไมเ่ ห็นคุณคา่ ของชีวิตสตั ว์
(+) ๓. คดิ ถึงอานิสงสก์ ารเบียดเบยี น
( - ) ๔. ผูกโกรธคิดทำลาย
(+) ๕. เหน็ โทษของการจองเวร
( - ) ๖.พอใจท่เี หน็ ทุกขผ์ ้อู ่นื
๕) กำหนดรูปแบบการวดั ของตัวแปร(Response formats)
การออกแบบ รูปแบบการวัดตัวแปรในแบบสอบถาม จะเกย่ี วขอ้ งกับเรื่องของระดับการวัดของตัว
แปรรูปแบบของคำถามปลายปิด (closed ended questionnaire) ซึ่งมีรูปแบบการวัดที่หลาก หลายวิธี
ด้วยกนั เชน่
-แบบการสำรวจรายการ (checklist) เช่น เพศ (ชาย หญิง) สถานภาพสมรส (โสด สมรส หม้าย
หย่า)
-แบบจดั อนั ดบั (rank order) เชน่ การเรียงลำดบั ประเทศทท่ี ่านตอ้ งการ ไปทำงานมากทส่ี ดุ
-มาตรประมาณค่า (rating scale) เช่น การวัดความถี่ในการปฏิบัติงาน (ทุกครั้ง บ่อย คร้ัง
บางครงั้ นอ้ ยครงั้ ไมเ่ คย)
๒๗๒ Advanced Research Methodology on Peace
-มาตรวัดลิเคิร์ท (Likert scale) เช่น วัดระดับความเห็นด้วยในเรื่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (เหน็
ด้วยอยา่ งยงิ่ เห็นดว้ ย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นดว้ ย เห็นด้วยมากทสี่ ดุ )
-มาตรจำแนกความหมาย (semantic differentials) เช่น การให้คะแนนในช่วง ๑-๑๐ ระหว่าง
ไมม่ คี วามสขุ – มคี วามสขุ
ขอ้ ควรคำนงึ การเลือกรปู แบบวัดตัวแปร
ขอ้ คำถาม ท่สี ามารถวัดไดแ้ ลว้ ควรพจิ ารณาควบคไู่ ป กับการวิเคราะห์ขอ้ มลู ของการวจิ ยั เน่อื งจาก
รูปแบบการวดั นน้ั จะมคี วามเกยี่ วข้องกบั เร่ืองระดับ การวัดของตวั แปร (level of measurement)
เป็นประเดน็ ทส่ี ามารถบง่ ช้ถี ึงสถติ ทิ นี่ ำมาใชใ้ นการทดสอบสมมตฐิ านการวจิ ยั (ถา้ ระดับการวดั ของ
ตวั แปรไมส่ อดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์ สถิตทิ ่ีใช้ หรอื เร่ืองทีต่ อ้ งการศึกษาอาจจะทำใหง้ านวิจัย เกิด
ปญั หาขน้ึ จนรา้ ยแรงทส่ี ดุ อาจทำใหผ้ ้วู จิ ยั ตอ้ ง เปลย่ี นวตั ถุประสงค์การวจิ ัย)
ตัวอยา่ ง
ข้อความคดิ เหน็
ขอ้ ขอ้ ความ ศีลขอ้ ท่ี ๑ จรงิ จริง จริง จริง จริง
มาก มาก ปาน น้อย นอ้ ย
ทสี่ ุด กลาง ที่สดุ
xxx ผ้ใู ดไม่ทำร้ายชีวิตหรือร่างกายผอู้ น่ื ผลของ √
การไมค่ ิดเบียดเบียนจะทำใหผ้ ู้นน้ั มจี ิตใจสงบ
และมคี วามสขุ
๖) สรา้ งขอ้ คำถาม ใหค้ รอบคลมุ เนอ้ื หาตามตารางโครงสรา้ ง
การสร้างขอ้ คำถาม(ความรู้สึก ความเชื่อ ความตั้งใจที่จะทำ ไม่ใช่fact) มีวิธีการสร้างข้อคำถาม
มากกวา่ ๑ วิธี ไดแ้ ก่
ระเบียบวธิ วี จิ ยั ชั้นสงู วา่ ด้วยสนั ตภิ าพ ๒๗๓
-สร้างเอง โดยการศึกษาจากแบบสอบถามหรือแบบวัดที่มีการสร้างไว้แล้ว และการทบทวน
วรรณกรรม หรืองานวจิ ัยท่เี กีย่ วข้องกบั ตัวแปรท่ีต้องการศึกษา
-สมั ภาษณ์ผูเ้ ช่ียวชาญ ทีม่ ีความเกย่ี วข้องกบั เรือ่ งท่ตี ้องการศกึ ษา
-สัมภาษณ์สังเกตพฤติกรรมหรือสนทนากลุ่มกับบุคคลที่มีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มประชากรท่ี
ศกึ ษา
ตัวอยา่ ง
จากงานวจิ ัยทย่ี กมาเปน็ กรณีตัวอย่าง ในการสรา้ งขอ้ คำถาม ผู้วจิ ยั ใชว้ ธิ ีการสมั ภาษณ์กับกลุ่มที่มี
ลักษณะคล้ายกับประชากรที่ศึกษา เพื่อทราบสิ่งที่กลุ่มตัวอย่างนึกถึงเกี่ยวกับศีลในแต่ละ ข้อเขาจะนึกถึง
จากนั้นผู้วิจัยนำคำเหลา่ น้ันมาสร้างขอ้ คำถามท้งั เชงิ บวกและลบ
ระดบั ความคดิ เห็น
ด้าน ข้อความ ศีลข้อที่ ๑ จรงิ มาก จริงมาก จริงปาน จริงนอ้ ย จรงิ น้อย
ท่สี ดุ กลาง ท่สี ุด
(+) ๑.ชีวติ ของมนษุ ย์หรือสตั ว์ เปน็ ส่ิงมีคุณคา่ จึงไมค่ วรทาลาย
(-) ๒. สัตว์เกดิ มาเพ่ือเปน็ อาหารของมนษุ ย์ ฉะนั้นการ ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารไมใ่ ช่
เร่อื งผดิ
(+) ๓. ผลของการไมค่ ดิ เบียดเบยี นทารา้ ยชีวติ หรือร่างกายผอู้ น่ื จะช่วยให้จติ ใจ
สงบ และมคี วามสุข
(-) ๔. ยุง มด แมลง หรอื หนู ชอบทาความราคาญให้มนุษยส์ มควรแลว้ ทต่ี อ้ งถูก
กาจดั
(+) ๕. โทษของการทารา้ ยร่างกาย หรือชีวติ ผ้อู ืน่ ทาให้เกดิ การจองเวรกันไม่มีสิ้นสุด
(-) ๖. กฬี าท่นี าสตั วม์ าทาร้ายกนั เช่น ชนไก่ กัดปลา สร้างความสนุกสนานต่นื เตน้
ให้กับคนดู
๗) ตรวจสอบเครื่องมือโดยผเู้ ชยี่ วชาญ
ขั้นตอนน้ีเป็นการตรวจสอบความถูกตอ้ งของขอ้ มลู ในข้ันต้น โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบความ
ตรงของขอ้ คำถาม (Content Validity) หรอื ความตรงตามเน้ือหา ความสอดคล้องของข้อคำถามตามคำจำกัด
ความและโครงสรา้ งของแบบวัด และนำมาหาคา่ IOC คือ ดัชนคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งข้อคำถามกับจุดประสงค์
(Index of Item-Objective Congruenceตดั ขอ้ ทีม่ คี า่ IOC นอ้ ยกว่า ๐.๕ และปรบั ปรงุ ขอ้ ความใหเ้ หมาะสม
สตู รคำนวณหาคา่ IOC = R
N
IOC แทน ดัชนีความสอดคลอ้ งระหวา่ งข้อสอบกับจดุ ประสงค์
(Index of Item-Objective Congruence)
R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผ้เู ชี่ยวชาญ
N แทน จำนวนผู้เชย่ี วชาญ
ความหมายของคะแนน IOC
0 หมายถงึ ไม่แน่ใจว่าสอดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์/นยิ าม
- 1 หมายถงึ ขอ้ คำถามนนั้ ไม่สอดคล้องกับวตั ถุประสงค์/นยิ ามน้ัน
๒๗๔ Advanced Research Methodology on Peace
การแปลความหมายของ IOC
IOC >0.5แสดงวา่ ข้อคำถามข้อนั้นวดั จุดประสงค/์ นิยามขอ้ นัน้ จริง
IOC < 0.5แสดงว่า ขอ้ คำถามข้อนั้นไมไ่ ดว้ ัดจดุ ประสงค์/นิยามขอ้ นั้น
ตัวอย่างตาราง IOC
แบบประเมนิ ความเท่ยี งตรงของขอ้ คำถามของ
แบบวัดแรงจูงใจในการปฏบิ ตั ิตามหลกั ศลี ๕
ผู้ประเมิน........................................................วันที.่ ..................................
จุดประ ข้อคำถาม ผลการประเมิน หมายเหตุ
สงคท์ ่/ี ขอ้ สงั เกต และ
เนื้อหา แนใ่ จว่าวัด ไม่แน่ใจ แน่ใจว่า ขอ้ เสนอแนะเพ่ิมเติม
ได้ วัดไมไ่ ด้ เพอื่ นำไปปรบั ปรงุ
+๑ ๐ -๑
๑ ๑…………………….
๒........................
๒ ๑…………………...
๒........................
๘) นำไปทดลองใช้เบื้องตน้ (Preliminary item tryout)
ท้ังนไ้ี ม่ว่าจะมนั่ ใจว่าเครือ่ งมือท่ไี ดม้ ามาจากกระบวนการสรา้ งทร่ี ดั กมุ ตามขัน้ ตอนทก่ี ำหนดไว้ แต่
อยา่ งไรก็ตามนกั วิจัยจำเป็นตอ้ งนำเครอื่ งมอื ทไี่ ดไ้ ปทำการทดลองใช้ (Try out) กบั กลุ่มทม่ี ีลักษณะเหมอื น หรอื
ใกล้เคยี งกบั กลุ่มทจ่ี ะไปเก็บรวบรวมข้อมูลจริงโดยสามารถ ทดลองใช้กบั กลุม่ ตัวอย่างขนาดเล็ก ๓-๕ คน เพ่ือ
ตรวจสอบภาษา หรอื ถา้ นำเคร่ืองมือไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง ทีม่ ีขนาดตั้งแต่ ๓๐ คนขนึ้ ไป (Netemeyer et
al., ๒๐๐๓) กล่าวว่า สามารถตรวจความเทีย่ งตรงเบื้องตน้ ของเครอื่ งมอื ไดใ้ นระดับหนง่ึ )
จุดประสงคใ์ นขั้นตอนน้ีคือ
(๑) เพ่อื เป็นการตรวจสอบความเปน็ ปรนยั หรอื ความถูกตอ้ งสมบูรณข์ องแบบสอบถามอยา่ ง เช่น
ภาษาและเนอ้ื หาท่ใี ช้ ผู้ถกู ถามมีความเขา้ ใจมากน้อยเพียงใดเกิดความซำ้ ซ้อนของข้อคำถามหรอื ไม่ และคำถาม
ใดบ้างที่ ไมเ่ กี่ยวข้องกับการวิจยั
(๒) เร่อื งความสอดคลอ้ งระหว่างข้อคำถามกบั คำตอบว่าสอดคลอ้ งกนั หรอื ไม่ การจัดเรยี งคำถาม
ว่ามี ลักษณะท่ีตอ่ เนือ่ งกนั มากน้อยเพยี งใด
(๓) เพื่อตรวจสอบว่าใช้เวลาในการสอบถามโดยเฉลี่ยนานเท่าไร ถ้าหากเครื่องมอื การวจิ ัยมคี วาม
ยาวเกนิ ไปจะมผี ลกระทบตอ่ การเกบ็ ข้อมลู ได้
ระเบียบวธิ วี ิจัยชั้นสูงวา่ ด้วยสนั ตภิ าพ ๒๗๕
ตวั อย่าง การตดั ข้อคำถาม(จากตวั อย่างงานวจิ ยั ท่ียกมาแสดง)
การหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างข้อกระทงแต่ละข้อกับคะแนนรวมของข้ออื่นๆ ในมาตรวัด
(Corrected item – total correlation: CITC) ทั้ง ๑๒๐ ข้อ เกณฑ์ในการผ่านคา่ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธร์ าย
ข้อโดยยึดถือท่คี ่า Critical r ทร่ี ะดบั นัยสำคัญ .๐๕ เทา่ กับ .๒๓๑ พบว่า
- แรงจูงใจในการปฏิบัติตามศลี ข้อที่ ๑ ปาณาติบาต ทั้ง ๒๔ ข้อ พบว่ามีข้อที่ผ่านเกณฑ์จำนวน
๑๔ ขอ้ ทไี่ ม่ผา่ นเกณฑ์ ดังน้ันจึงได้ตัดขอ้ กระทงดังกลา่ วทงิ้ ไปและคำนวณหา CITC อีกคร้ังพบวา่ ๑๐ ข้อผ่าน
เกณฑท์ ้งั หมด รวมทงั้ มาตรเทา่ กบั .๗๒๐ ค่าสัมประสทิ ธิ์สหสัมพันธ์ภายในแบบทดสอบรายด้านกับรวมท้ังฉบบั
มีค่าพิสัยอยู่ระหว่าง .๓๒๒ - .๕๗๒ค่า CITC ด้านฉันทะมีค่า .๔๗๗ ด้านวิริยะ .๖๒๖ ด้านจิตตะ .๕๘๘ ด้าน
วิมงั สา .๖๑๔
๙) ปรับปรุงข้อคำถามเพ่อื นำไปใชจ้ รงิ
ทัง้ นเ้ี มอ่ื ไดข้ อ้ คำถามท่ีผ่านกระบวนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมอื ด้วยอำนาจจำแนก
ทางสถติ ิ ประเดน็ ที่ผู้วจิ ยั ทต่ี อ้ งตรวจทานอกี ครัง้ คอื การกำหนดจำนวนคำถามใหเ้ หมาะสมกับผู้ให้ข้อมลู
สรุป สงิ่ ท่ีสะทอ้ นถึงการสรา้ งเครื่องมอื วิจัยท่ีมคี ุณภาพ
๑. คำถามส้นั กระชับ งา่ ยและได้ใจความ
๒. หน่งึ ขอ้ คำถามควรถามประเด็นเดียว
๓. ตอ้ งไมเ่ ป็นคำถามนำหรอื ช้ีนำคำตอบ
๔. คำถามต้องคำนงึ ถงึ วัย ระดับการศกึ ษา ความสามารถ ประสบการณ์ของ ผ้ตู อบ
๕. มีการเรียงลำดับข้อคำถามให้เหมาะสม
๖. จำนวนข้อคำถามไม่ควรมมี ากเกินไป
๗. มวี ัตถุประสงค์ของการวิจัย คำช้ีแจงวธิ ใี นการตอบและมตี ัวอย่างการตอบ
๘. มีการทดลองใช้ ปรบั ปรงุ ข้อบกพร่อง
๙. มีการหาคุณภาพของแบบสอบถามด้านความเท่ยี งและความตรง
๘.๒.๒ การสร้างเครือ่ งมอื วิจยั เชิงคณุ ภาพ
สำหรับงานวิจยั คุณภาพซึ่งเปน็ งานวิจัยที่มุง่ เน้นการให้ความสำคัญกับบริบทและปรากฏการณ์ท่ี
ศึกษามากกวา่ จะนำแนวคดิ ทฤษฎีมาเป็นตัวช้ีนำหรือสร้างกรอบการศึกษา รวมถึงการสรา้ งเครื่องมือวิจัยด้วย
ในขณะที่งานวิจยั เชิงคุณภาพกลบั มองว่านกั วจิ ยั เป็นเครื่องมือวจิ ัยในการวจิ ัยท่สี ำคัญทส่ี ดุ เพราะเป็นผู้เข้าไป
สร้างปฏิสัมพันธ์เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึก จึงต้องอาศัยนักวิจัยเป็นผู้ตีความและทำหน้าที่เกบ็ รวบรวมข้อมูลให้
ละเอียดที่สุดเท่าทีจ่ ะสามารถทำได้ แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม ไม่ไดห้ มายความวา่ การวิจัยเชงิ คณุ ภาพจะไม่มีเครื่องมือ
วิจัยทค่ี อยช่วยใหน้ กั วิจัยซง่ึ เปน็ เครื่องมือวิจัยหลักไดท้ ำงานไดอ้ ย่างเต็มประสทิ ธภิ าพ เครอ่ื งมอื วิจยั เชงิ คุณภาพ
๒๗๖ Advanced Research Methodology on Peace
ที่สำคัญ คือ การสัมภาษณ์ (interview) การสังเกต (observation) การเก็บรวบรวมเอกสารและวัสดุ
(collecting documents and materials)
ด้วยฐานคดิ ของการวิจัยเชิงคุณภาพทม่ี ุ่งศึกษาเชงิ ลึก ซึ่งจะคำนงึ ถงึ เรอ่ื งของบรบิ ท สภาพแวดลอ้ ม
ทกุ อย่างทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับประเดน็ ศึกษา ความเปน็ พลวัตของข้อมลู ดังนั้นคำถามหลักทน่ี กั วิจยั ในฐานะเครื่องมือ
วิจัยท่สี ำคญั จึงตอ้ งขบคิดเกี่ยวกบั ใคร (who) ทำอะไร (what) ท่ไี หน (where) อยา่ งไร (how) โดยกรอบคิดนี้
เปน็ เสมือนกบั แม่บทของ
สง่ิ ทน่ี ักวิจัยเชิงคณุ ภาพนำไปใช้ในการสรา้ งเคร่ืองมือ ซ่ึงผวู้ ิจัยนำมาใชเ้ ป็นกรอบในการสร้างเครื่องมือวิจัยเชิง
คุณภาพ ไมว่ า่ นกั วิจัยจะใช้เครือ่ งมอื แบบใด
Who Why What How
กลมุ่ ที่ตอ้ งสัมภาษณ์ ทำไมต้องสัมภาษณ์ ประเดน็ คำตอบท่ี ลักษณะของคำถาม
เก่ยี วกับงานวจิ ัย ตอ้ งการทราบ
อยา่ งไร
ตารางนช้ี ่วยใหผ้ ู้ศกึ ษาไดม้ องเหน็ ภาพรวมของเครอื่ งมือวจิ ยั ที่ควรนำมาใชเ้ พื่อให้ได้มาซ่ึงคำตอบ
ของการวจิ ัย
เพื่อให้ผู้ศึกษาได้เห็นขั้นตอนและสาระสำคัญของเครื่องมือวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้เขียนรวบรวม
เครอ่ื งมอื ทส่ี ำคญั และกระบวนการเพื่อใหไ้ ดข้ ้อมูลในงานวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ดังน้ี
๑) การสัมภาษณ์ (Interviews)เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลโดยอาศัยการสนทนา ซักถามและ
โตต้ อบระหวา่ งผูร้ วบรวมข้อมลู หรือผ้สู มั ภาษณ์ (interviewer) กบั ผใู้ หข้ ้อมลู หรอื ผถู้ ูกสมั ภาษณ์ (interviewee)
วิธีนี้ผู้รวบรวมข้อมูลมีโอกาสสังเกตบุคลิกภาพ อากัปกิริยา ตลอดจนพฤติกรรมทางกายแ ละวาจา ขณะ
สมั ภาษณ์ซ่งึ อาจใชเ้ ป็นขอ้ มลู ทีใ่ ชต้ ีความหมายพฤติกรรมของผู้ถูกสัมภาษณ์ประกอบคำสัมภาษณ์ได้ด้วย แบ่ง
ประเภทของการสัมภาษณ์ แบง่ ได้เปน็ ๒ ชนดิ
(๑.๑) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง/ ไม่มีโครงสร้าง (structured or unstructured
interviews)การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างเป็นวิธีการที่ผู้รวบรวมข้อมูลได้กำหนดรูปแบบการสัมภาษณ์
รายการคำถาม เวลาและสถานที่สมั ภาษณ์ไว้เรยี บร้อยแล้ว มกั ใช้กบั กรณีมผี ้ถู กู สมั ภาษณห์ ลายคนแตส่ ัมภาษณ์
ในเรอื่ งเดียวกนั ขณะสมั ภาษณผ์ ู้รวบรวมข้อมูลจะดำเนนิ การตามระบบที่วางไว้ ซง่ึ ทำให้บรรยากาศและวิธีการ
มคี วามคล้ายคลึงและมีมาตรฐานเดยี วกนั ทำให้ไดข้ ้อมลู ที่ใกล้เคียงกนั ไม่เบยี่ งเบนอนั เนอื่ งจากความแตกต่างใน
การสัมภาษณ์ แต่มีข้อจำกดั คืออาจทำให้ได้ข้อมูลไม่ลึกซึง้ เพียงพอในบางประเด็น ตรงข้ามกับการสัมภาษณ์
แบบไม่มีโครงสรา้ งที่ผูร้ วบรวมข้อมูลอาจตั้งคำถามเพิ่มเติมเพือ่ ให้ได้ขอ้ เท็จจรงิ มากท่ีสุดท้ังน้ีผู้รวบรวมขอ้ มูล
อาจทำการสมั ภาษณแ์ บบลกึ หรอื ต้ังคำถามตะลอ่ ม (probe) ใหผ้ ถู้ กู สมั ภาษณเ์ พง่ ความสนใจไปท่ีเร่ืองเฉพาะ
ระเบียบวธิ วี ิจัยชั้นสูงวา่ ด้วยสนั ตภิ าพ ๒๗๗
เรื่องใดเรอ่ื งหนงึ่ เป็นการสมั ภาษณแ์ บบรวมจดุ สนใจ (focused interviews) ซึ่งจะทำใหไ้ ด้ขอ้ มลู ละเอียดลกึ ซงึ้
แต่ข้อมูลที่ได้จากผู้ให้ข้อมูลแต่ละคนจะไม่เป็นโครงสร้างเดียวกันทำให้ยุ่งยากในการจัดหมวดหมู่และการ
วิเคราะห์มากกวา่ การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (แนวปฏิบตั จิ ึงใชก้ ารสมั ภาษณก์ งึ่ มีโครงสร้าง ซึ่งจะมคี วามยึด
หยนุ่ ในการถาม ในขณะเดียวกันกม็ กี รอบคำถามทำใหส้ ะดวกต่อการนำไปวเิ คราะห)์
(๑.๒) การสัมภาษณ์แบบกลุ่ม/ รายบุคคล (group/ individual interviews) ลักษณะการ
สัมภาษณ์ที่แยกตามจำนวนผู้ถูกสัมภาษณ์จะแบ่งเป็น ๒ แบบคือ แบบกลุ่มและแบบรายบุคคล กรณีมีผู้ถูก
สมั ภาษณห์ ลายคนและสมั ภาษณใ์ นประเดน็ เดยี วกนั หรือต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงของกลมุ่ ก็อาจใช้การ
สัมภาษณ์แบบกลุ่ม วิธีนี้ช่วยประหยัดเวลาในการสัมภาษณ์ และได้ข้อมูลครบถ้วนรวมทั้งได้ตรวจสอบความ
เที่ยงตรงของข้อมูลไปพร้อมกัน ส่วนการสัมภาษณ์รายบุคคลนัน้ ก็มขี ้อดีคือ ผู้ถูกสัมภาษณ์จะให้ข้อมลู ที่เป็น
ทัศนะหรือความรู้สกึ ไดอ้ ยา่ งอิสระมากกว่าการสัมภาษณแ์ บบกล่มุ เพราะไม่มีการครอบงำจากกลุ่ม และเหมาะ
กับการสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interviews) มากกว่าแบบกลุ่ม แต่ก็มีข้อจำกัดตรงทีอ่ าจได้ขอ้ เท็จจริงไม่
ครบถ้วนเพราะผู้ถูกสัมภาษณ์ไม่ได้รู้ท้ังหมด หรือจำเป็นต้องตรวจสอบซ้ำกับผู้ถูกสัมภาษณ์คนอื่น ทำให้
เสยี เวลาในการรวบรวมขอ้ มูลมาก๑๔
▪ การสร้างแนวคำถาม
ส่ิงทคี่ วรนำมาพจิ ารณาในการสรา้ งคำถามสัมภาษณ์คอื
(๑) โครงสร้างของคำถามจะใช้ลักษณะใดมีโครงสร้างหรือไม่
(๒) เปิดเผยวัตถุประสงค์หรือเก็บไว้บอกหลังจบสัมภาษณ์ ซึ่งการเปิดเผยวัตถุประสงค์เพื่อให้
คำถามตรงเข้าประเด็น ในขณะท่ีการเกบ็ วตั ถุประสงคไ์ ว้ก็เพื่อไม่ให้ผตู้ อบร้ลู ว่ งหนา้ ลกั ษณะของข้อมลู ทต่ี อ้ งการ
(๓) ความรู้ท่ีต้องการจากสมั ภาษณ์ ว่าต้องการแสวงหาความรู้ใหม่เกีย่ วกบั เรื่องใดเรื่องหนึง่ หรอื
ทดสอบสมมุตฐิ าน
(๔) ลักษณะของข้อมูลที่ต้องการเพื่อมุ่งหาความรู้เชิงพรรณนาจากผู้ตอบ หรือจะมุ่งให้ตอบ
วเิ คราะห์ หรือตคี วามประเด็นที่สมั ภาษณ์
(๕) เปา้ หมายของการสมั ภาษณ์ คอื มุ่งทจ่ี ะหาขอ้ มูลวชิ าการหรือมงุ่ หาขอ้ มูลทีแ่ สดงความรู้สกึ และ
อารมณ์ของผู้ตอบเป็นหลัก ซึ่งประเด็นหลังส่วนใหญ่เป็นงานทางจิตเวชศาสตร์ด้วยมุ่งนั้นความเข้าใจอารมณ์
ของผตู้ อบหรอื คนไขเ้ ป็นสำคญั
นอกจากนี้ในการสร้างแนวคำถาม นักวิจัยควรกำหนดหัวข้อย่อยที่มีความเชื่อมโยงกันขึ้นมา
จำนวนหน่ึง ไม่เกนิ ๓-๔ ประเดน็ โดยท่วั ไปการสร้างแนวคำถามมกั จะได้จากคำถามในการวิจัยน่ันเอง หรือจาก
กรอบแนวคิดในการวิจัย ตามความเห็นของ Rubin and Rubin (๑๙๙๕) การสัมภาษณ์เชิงคุณภาพใช้คำถาม
เพยี ง ๓ ชนดิ คอื
๑๔ป ร ะ ว ิ ต เ อ ร า ว ร ร ณ ์ , ก า ร ว ิ จ ั ย เ ช ิ ง ค ุ ณ ภ า พ , [อ อ น ไ ล น์ ], แ ห ล ่ ง ท ี ่ ม า :
http://www.udru.ac.th/kmudru/document/research2.pdf, [๒๕ เมษายน ๒๕๖๑].
๒๗๘ Advanced Research Methodology on Peace
(๑) คำถามหลัก (main question) เปน็ คำถามท่ที ำหน้าทตี่ ัง้ ประเด็นสำหรับสมั ภาษณ์หรอื เป็น
แนวคำถามที่เตรยี มไว้ คำถามหลักภายใตห้ วั ขอ้ หน่ึงๆ จะมคี วามเชือ่ มโยงภายในเป็นเรือ่ งเดยี วกนั ความสำคัญ
ของคำถามหลกั คือ คำถามท่ตี ้ังเร่ืองหรอื เปดิ ประเด็นสำหรับให้คำถามอื่นๆ ในประเดน็ ท่ีเกย่ี วข้องตามมาได้
(๒) คำถามเพอ่ื ขอรายละเอียดและความชดั เจน (peobes) เป็นคำถามหลงั
จากผู้ให้สัมภาษณ์ตอบคำถามหลักแล้วยังไม่ชัดเจน หรือมีประเด็นใหม่ที่น่าสนใจ หน้าที่สำคัญของคำถาม
ประเภทนี้คือ ช่วยให้ผู้สัมภาษณ์ได้ข้อมลู ท่ีเป็นรายละเอียดลงลกึ ในเรือ่ งน้ันๆ มากขึ้น ช่วยให้ได้ความชดั เจน
เพิ่มขึ้น แสดงให้ผู้ตอบเห็นว่าสิ่งที่กำลังพูดมีผู้รับฟังด้วยความสนใจ จุดประสงค์ของการถามคือ ขอให้เพิ่ม
รายละเอียด ขอให้พูดตอ่ ในสง่ิ ท่กี ำลงั พดู ขอให้ขยายความกระจา่ ง แสดงความสนใจและตดิ ตาม ชวนใหส้ รปุ ให้
สมบรู ณ์ หาหลักฐานสนบั สนุนว่าผู้ตอบมีความม่นั ใจในส่งิ ทีพ่ ดู
(๓) คำถามเพื่อตามประเด็น (follow-up questions) เป็นคำถามที่มุ่งเพิ่มมิติทางกว้างและ
ทางลกึ ในเรอื่ งที่ศกึ ษาให้มากข้ึน โดยหยบิ เอาเร่ืองใหมท่ เี่ พิ่งไดพ้ บจากคำตอบของผู้ใหส้ มั ภาษณ์ขึ้นมาถามต่อ
จุดหมายก็เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อที่วิจัยให้ลึกลงไป เป็นคำถามเฉพาะหน้า และถามทันทีขณะกำลัง
สมั ภาษณ์เรื่องน้ันอยถู่ า้ เหน็ วา่ สำคญั
▪ คณุ ลักษณะของผสู้ ัมภาษณ์ในฐานะเครือ่ งมอื วจิ ยั ท่ดี ี
(๑) ความรู้ กลา่ วคือ ผู้วจิ ยั ต้องมคี วามรูใ้ นสาขาวิชาทท่ี ำการวจิ ัย และหัวขอ้ ท่ีทำการวจิ ยั ภมู หิ ลัง
ความรูแ้ ละประสบการณ์ของนกั วจิ ัย ความรูเ้ ฉพาะเก่ยี วกับเรอ่ื งทสี่ ัมภาษณ์ทำใหจ้ ับประเดน็ ไดเ้ รว็
(๒) ความสามารถในการถามคำถาม และการฟัง นอกจากนักวจิ ัยต้องฝกึ ฝนด้วยการทำ role play
แล้ว สิ่งทีน่ ักวจิ ัยต้องคำนงึ คอื ใช้ภาษาทีเ่ ข้าใจงา่ ย คำถามส้นั กระชับ ไมถ่ ามหลายเร่ืองในคำถามเดียวกัน ให้
เวลาคิดแกผ่ ตู้ อบ หลกี เลี่ยงการแสดงความเหน็ ของตนตอ่ เรื่องที่สมั ภาษณแ์ ละตอ่ คำตอบของผู้ใหส้ มั ภาษณ์ ไม่
ถามแทรกหรือขดั จังหวะการพูดของผตู้ อบ กระตุ้นให้ผู้ตอบคดิ พูดให้นอ้ ยฟงั ใหม้ ากเนน้ ให้ผูต้ อบพดู มากๆ
(๓) ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ตอบ กล่าวคือเป็นเรื่องที่ทั้งผู้ถามและผู้ตอบมี
ปฏิสัมพันธ์ต่อกัน การถาม การตอบ และการมีส่วนร่วมของทั้งสองฝ่ายในการสัมภาษณ์ Holstein and
Gubrium (๑๙๙๕,๑๙๙๗) เรียกว่า active interview คือ เปน็ การสัมภาษณ์ทท่ี งั้ สองฝ่ายร่วมมือกนั อยา่ งแข็ง
ขัน การท่จี ะประสบความสำเรจ็ ในการสัมภาษณค์ ือการอาศยั การมมี นษุ ยสมั พันธท์ ด่ี ขี องนกั วจิ ยั ๑๕
นอกจากตัวนกั วิจัย และคำถามสัมภาษณ์แล้ว ประเด็นสำคัญในฐานะเครือ่ งมือวิจัย คือ การจด
บันทึกสัมภาษณ์ และการบันทึกด้วยเครื่องบันทึกเสียง ทั้งนี้เพื่อให้ขอ้ มูลและรายละเอียดจากการสัมภาษณ์
ครบถ้วนและสามารถนำมาทบทวนในการวเิ คราะห์
๑๕ชาย โพธสิ ิตา, ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิจยั เชิงคุณภาพ, พิมพ์ครงั้ ท่ี ๕,(กรงุ เทพมหานคร :บรษิ ทั อมรินทรพ์
ริน้ ติ้งแอนด์พับลชิ ชง่ิ จำกดั (มหาชน), ๒๕๕๔), หนา้ ๒๖๓-๒๗๙.
ระเบียบวิธีวจิ ัยช้ันสูงว่าดว้ ยสนั ตภิ าพ ๒๗๙
คุณสมบตั ขิ องนักสมั ภาษณ์ทีด่ ี
รอบรู้ - รลู้ กึ - มรี ะบบ - สือ่ สารชัดเจน – สภุ าพ - ฟงั อยา่ งลึกซงึ้
– ความคิดทเี่ ปิดกวา้ ง– ฟงั อยา่ งวิพากษ์ - ช่างจำ - ตีความเก่ง
การสงั เกต (observation item) เป็นเครือ่ งมือวิจัยท่ใี ช้สำหรับบนั ทกึ ข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการสังเกต
ซง่ึ การสังเกตจะเป็นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวจิ ัยท่ีอาศัยประสาทสัมผสั หลายๆ ดา้ นประกอบกนั จุดประสงค์
เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจธรรมชาตแิ ละความสัมพนั ธ์เกย่ี วข้องกนั ขององคป์ ระกอบต่างๆ ของเหตกุ ารณห์ รอื ปรากฏการณ์ที่
เกิดขึ้น การสังเกตในการวิจัยแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ (๑) การสังเกตโดยตรง (direct observation) เป็น
วิธีการที่ผู้สังเกตเฝ้าดูเหตุการณ์หรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง (๒) การสังเกตทางอ้อม (indirect
observation) เป็นวธิ ีการสังเกตทผ่ี สู้ ังเกตไมไ่ ด้เฝ้าดูเหตุการณห์ รอื พฤติกรรมทีเ่ กิดขนึ้ ด้วยตนเอง แตอ่ าศยั จาก
การถ่ายทอดเหตกุ ารณ์หรือพฤติกรรมโดยสื่อหรือเคร่ืองมืออย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น วิดีโอ ภาพยนตร์ ภาพถ่าย
เปน็ ต้น๑๖
Ulin et al (๒๐๐๒) กลา่ วถึง วิธีการสงั เกตในทางสังคมศาสตร์ แบ่งเปน็ การสังเกตจากสายตาคน
นอก คือ การสังเกตที่นักวิจัยอยู่ห่างจากผู้ถูกสังเกต หรือไม่ไปมีส่วนรวมในสถานการณ์ ( non-participant
observation) กับ การสังเกตจากสายตาคนใน คือ การที่นักวิจัยเอาตวั เองเข้าไปเกี่ยวข้องและมีปฏิสัมพันธ์
โดยตรงกับกลุ่มคนที่ตนศึกษา เรียกว่า การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participant observation)ซึ่งนักวิจัยต้อง
เข้าใกล้ชิด คลุกคลี และเกาะติดอยู่กับประชาชนที่ตนศึกษา จนได้รบั ความไว้วางใจเหมือนดังวา่ เป็นส่วนหนง่ึ
ของประชาชนท่ตี นศกึ ษา โดยผู้วิจยั จะเฝา้ สงั เกตปรากฏการณห์ รอื พฤติกรรมท่เี ปน็ เปา้ หมายของการวิจยั เพื่อ
เข้าถึงข้อมูลระดับลึกและการทำความเข้าใจแบบองคร์ วม ซึ่งการสังเกตแบบนี้เป็นเครื่องมอื หลักของการวจิ ัย
เชงิ ชาติพนั ธ์วุ รรณนา๑๗
หลกั การสังเกตการณ์อยา่ งมีสว่ นรว่ มมลี กั ษณะ กล่าวคอื
(๑) สังเกตจากมมุ มองของผถู้ ูกศกึ ษา
(๒) สังเกตรายละเอียด
(๓) ใหค้ วามสำคัญแก่บริบทของสง่ิ ที่สังเกต
(๔) ให้ความสำคัญแก่กระบวนการของสิง่ ทีส่ งั เกต
(๕) เปดิ กวา้ ง
(๖) นกั วจิ ัยในฐานะเป็นเครือ่ งมอื ในการสงั เกต
(๗) ใช้วิธอี นื่ ควบคูไ่ ปด้วยไม่มขี ีดจำกัด๑๘
๑๖กุลชลี จงเจริญและนิตยา ภัสสรศิริ, การออกแบบและการวางแผนการวจิ ัย, มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
,หนา้ ๓๑, (ออนไลน)์ , แหล่งทีม่ า www: edu.stou.ac.th /UploadedFile/9.pdf, ๒๕ เมษายน๒๕๖๐).
๑๗ชาย โพธิสติ า, ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ การวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ, หน้า ๒๘๙-๒๙๐.
๑๘เรือ่ งเดยี วกัน, หน้า ๒๙๒-๒๙๔.
๒๘๐ Advanced Research Methodology on Peace
ในการวิจัยเชิงคุณภาพ “การสังเกตแบบมีส่วนร่วม” มีความหมายอย่างเดียวกับ “การวิจัย
ภาคสนาม” (fieldwork or field research) เม่ือพดู ถึง การวจิ ยั ภาคสนาม เป็นท่ีรูก้ ันวา่ หมายถึงการวิจัยท่ีใช้
การสงั เกตแบบมสี ว่ นร่วมเป็นหลกั และเมอื่ พูดถึงการใชว้ ิธกี ารสังเกตการแบบมีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูล กเ็ ป็น
ที่เข้าใจกันว่านักวิจัยจะใช้วธิ ีอนื่ ควบคู่ไปด้วย (Loflan, ๑๙๗๑) การใชห้ ลายวธิ ีในการเก็บข้อมลู สำหรบั การวิจยั
เร่อื งเดียวกันเชน่ นี้ เป็นรูปแบบหนึง่ ของแนวทางการวิจัยที่เรียกว่า triangulation (Densin, ๑๙๗๘)๑๙
นกั วิจัยในฐานะนักสังเกตการณ์
ทั้งนีไ้ ม่ว่าข้อมูลทีต่ ้องการจะเปน็ เรื่องอะไร แต่อย่างน้อยนกั วจิ ัยควรจะสังเกตปรากฏการณห์ รือ
มองหาส่งิ ต่อไปนี้
-สถานที่ หรือบรบิ ทของเหตุการณ/์ ปรากฏการณ์
-บคุ คล หรือตัวละครที่เกย่ี วข้อง
-การคลค่ี ลายของเหตกุ ารณ์/ปรากฏการณ์ที่สงั เกต (กระบวนการ)
-รายละเอียดของสิ่งท่เี กิดขนึ้ ในขณะทส่ี งั เกต
-ความเปน็ มา และผลของเหตุการณ/์ ปรากฏการณน์ น้ั ๒๐
สิ่งที่ควรเน้นในการสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ มี ๓ ประการ คือ (๑) สถานท่ี (setting) ในการ
สงั เกตตอ้ งบนั ทกึ และพรรณนารายละเอยี ดของสถานทใ่ี หเ้ ห็นภาพ (๒) กิจกรรมทเี่ กดิ ข้ึน (activities) เป็นส่วน
สำคัญที่สุดของเหตุการณ์และข้อมูล เพราะกิจกรรมจะเชื่อมโยงไปถึงผู้กระทำโดยอัตโนมัติว่ามีใครบ้างท่ี
เกี่ยวข้อง ซ่งึ นกั วจิ ัยต้องจดบนั ทกึ ขอ้ มลู เกีย่ วกับผกู้ ระทำดว้ ย รายละเอยี ดเกย่ี วกบั ผู้กระทำว่ามีใครบา้ ง ใครทำ
อะไร ใครพูดอะไร และมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร ซึ่งกิจกรรมที่ต้องสงั เกตรวมถึงทีเ่ ป็นทางการและไม่ทางการ
รวมถึงภาษา คำพูด วลี สิ่งที่แสดงถึงความรู้สึก (๓) บริบทหรือสิ่งแวดล้อม (context) หมายถึงสิ่งแวดล้อม
ทั้งหมด ทั้งที่เกี่ยวข้องกับคนและสังคม วัฒนธรรม ตลอดจนบริบททางประวัติศาสตร์หรือความเป็นมาของ
กจิ กรรมทส่ี ังเกต บรบิ ทน้นั เสมือนฉากหรือภูมิหลงั ของกจิ กรรมท่เี กดิ ขึน้ ซง่ึ จะช่วยใหเ้ ราเขา้ ใจความหมายของ
กจิ กรรมทสี่ งั เกตดีข้ึน ดังน้ันจึงมีความเช่ือมโยงกบั ความหมายของกิจกรรมที่เราสังเกตอยา่ งใกล้ชิด ความหมาย
ของกิจกรรมทางสังคมหลายอยา่ งอาจเปลยี่ นไปตามบริบทหรือสงิ่ แวดล้อมดา้ นบคุ คลและสังคม บริบทจึงเป็น
ขอ้ มลู เชิงคุณภาพทส่ี ำคญั ส่วนหนง่ึ ๒๑
ทั้งนี้การสังเกตในงานวิจัยเชิงคุณภาพมีจุดมุ่งหมายในฐานะเครื่องมือที่ช่วยให้นักวิจัยซึ่งเป็น
เครื่องมือวจิ ยั หลักสามารถเข้าใจและเขา้ ถึงขอ้ มลู เชิงลกึ เพื่อประกอบในการวเิ คราะหต์ คี วามและทำความเขา้ ใจ
แบบองค์รวมของประเดน็ ทีศ่ กึ ษา พลวัตใดท่เี กยี่ วขอ้ งกบั ข้อมูลที่ศึกษาบ้างและมผี ลตอ่ ปรากฏการณน์ ้นั อยา่ งไร
ในขณะที่การสังเกตในงานวิจัยเชิงปริมาณเป็นเครื่องมือวิจัยที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถแปรเปลี่ยนพฤติกรรม
๑๙อ้างแล้ว, หน้า ๒๙๕
๒๐อ้างแล้ว, หน้า ๓๐๗.
๒๑อ้างแล้ว, หน้า ๓๐๙.
ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั ชั้นสูงวา่ ดว้ ยสนั ติภาพ ๒๘๑
บางอย่างที่ซ่อนเร้นหรอื ตคี วามยาก ให้เป็นตัวเลขหรือจำนวนที่นับได้ซึ่งทำให้นักวิจัยสามารถนำไปวิเคราะห์
ตามกรอบสมมตุ ิฐานงานวิจัยทต่ี ง้ั ไว้
๘.๓ การตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมือ
๘.๓.๑ ความเข้าใจพื้นฐานเกยี่ วกบั การตรวจสอบคุณภาพเครอื่ งมอื
การตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมือวจิ ยั แมว้ ่าจะปรากฏอย่ใู นในกระบวนการสร้างเครือ่ งมอื วิจยั จะได้
นำเสนอไปแล้วก่อนหน้านแี้ ลว้ น้นั แตเ่ นอ่ื งจากเป็นหัวขอ้ ท่สี ำคญั และเป็นสิง่ ทีจ่ ะทำใหน้ กั วจิ ยั มัน่ ใจวา่ การเก็บ
ข้อมลู มาจะไม่เกดิ ความคลาดเคลอื่ นอันเนอื่ งมาจากเคร่ืองมอื ไม่มีคุณภาพ ผเู้ ขยี นจงึ นำมาแยกประเด็นไว้เพ่ือ
ยำ้ เตือนและเพ่ิมรายละเอยี ดของเนอ้ื หาให้มคี วามชดั เจนมากข้ึน
การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัยนั้นในงานวิจัยเชิงคุณภาพค่อนข้างให้ความสำคัญเพราะ
เคร่อื งมือวิจยั จะไปสัมพนั ธ์เกยี่ วขอ้ งกับการนำไปวเิ คราะหผ์ ลทางสถิติ หากเคร่ืองมอื ท่ีได้มาไม่ถูกต้องหรือขาด
คณุ ภาพ จะส่งผลต่อการวเิ คราะห์ผลทันที ในขณะที่การวิจัยเชิงคุณภาพเคร่ืองมือวจิ ัยท่ีสำคัญที่สุดคือนักวิจัย
ดังนนั้ ความเข้มข้นในการใหค้ วามสำคญั ตอ่ เครือ่ งมือวจิ ยั ประเภทอนื่ จึงไม่คอ่ ยมุ่งเน้นนกั แต่กพ็ อมกี รอบทศิ ทาง
ในการตรวจสอบเครื่องมือซึ่งมักจะเปน็ การตรวจสอบการรวบรวมข้อมูลของนักวิจัยในฐานะเครื่องมือวิจัยที่
สำคัญเป็นหลัก ดังนั้นในส่วนของเนื้อหานี้ผู้เขียนจึงนำเสนอในประเด็นของการตรวจสอบเครื่องมือวิจัยเชงิ
ปริมาณเป็นหลัก และสำหรับการตรวจสอบเครื่องมือวิจัยเชิงคุณภาพจะขอนำไปขยายความในบทต่ อไป ซ่ึง
เก่ียวขอ้ งกับการรวบรวมขอ้ มูลและการวเิ คราะหผ์ ล
การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมอื ขึ้นอยูก่ ับประเภทของเคร่ืองมือ เช่น ข้อทดสอบ แบบสอบถาม
แบบสังเกต ฯลฯ ซง่ึ มวี ิธีการคำนวณต่างกัน ซง่ึ คณุ ภาพของเครอ่ื งมือจะ ประกอบด้วย
(๑) คุณภาพของเครอื่ งมือทั้งฉบบั ประกอบด้วยการหาคา่ ความเท่ียงและคา่ ความตรง
(๑.๑) คา่ ความเทย่ี ง (reliability) หรอื ความคงเสน้ คงวาของเครื่องมือ เปน็ ความสามารถ
ของเครื่องมือท่ใี ช้ในการวจิ ยั ฉบบั น้ันเมือ่ นำไปวัดหรือทดสอบส่ิงท่ีทำการวจิ ยั กี่คร้งั ก็ตาม ยงั คงให้ผลลัพธ์หรือ
ค่าคงทเี่ สมอ การหาค่าคุณภาพของเครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการวิจัยด้านความเท่ยี งน้ีวิธกี ารหา ค่าความเท่ียงหลายวิธี
การหาค่าความเที่ยงด้วยวิธีใดก็ตามขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การวิจัย สภาพของ เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยและ
ลกั ษณะของข้อมูล วธิ ีการหาค่าความเที่ยงท่นี ิยมกันมากในการวิจัยทาง สงั คมศาสตร์มี ๕วธิ ีคือ
-วิธีการสอบซ้ำ (test-retest method)
-วิธกี ารทดสอบคู่ขนาน (parallel form method)
-วธิ ีการแบง่ ครงึ่ (split half method)
-วธิ ีของคเู ดอร์ (Kuder Richardson method)
-วธิ ีของครอนบาค (Conbach method)
(๑.๒) ค่าความตรง (validity) ซึ่งประกอบด้วยความตรงเชิงเนื้อหา (content validity)
และความตรงเชิงโครงสร้าง (construct validity) เป็นการหาความตรงตามเกณฑ์ (criterion validity) ซ่ึง
๒๘๒ Advanced Research Methodology on Peace
จำแนกได้เป็นความตรงเชิงทำนาย (predictive validity) (ใช้เกณฑ์อนาคต) และความตรงตามสภาพ หรือ
concurrent validity (ใชเ้ กณฑช์ ่วงเวลาเดียวกนั ) (Wiersma&Jurs, ๒๐๐๕)
(๒) คุณภาพของเครื่องมือรายข้อได้แก่ การหาค่าความยากง่าย (difficulty) และค่าอำนาจ
จำแนก (discrimination) และคา่ ความเปน็ ปรนยั (objectivity)๒๒
๘.๓.๒ การตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่องมอื
ในการตรวจสอบความเท่ียงตรงของเครอ่ื งมือ ผเู้ ขียนนำมาแสดง ๒ วิธี ดังนี้
๑) วิธีการตรวจสอบความเท่ียงตรงเชงิ เนือ้ หา เป็นการตรวจสอบเครือ่ งมือมีความเปน็ ตวั แทน
หรือครอบคลุมเนื้อหาหรือไม่ โดยพิจารณาจากตารางวิเคราะห์เนื้อหา หรือตรวจสอบความสอดคล้ องของ
เน้อื หากับจดุ ประสงค์ทกี่ ำหนด จำแนกได้ดงั น้ี
วิธที ี่ ๑ จากการพจิ ารณาของผ้เู ช่ยี วชาญในศาสตรน์ ้ันๆ จำนวน ๓-๗ คนเพือ่ ลงสรปุ โดยใช้ดัชนี
ความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์(Index of Item Objective Congruence : IOC)(กล่าว
รายละเอียดไปแล้วกอ่ นหน้าน้ี)
วธิ ที ่ี ๒ วิธกี ารหาดัชนีความเท่ยี งตรงเชงิ เนอื้ หาทงั้ ฉบบั เป็นวิธีการทป่ี ระยุกต์จากแฮมเบลตันและ
คณะ
ขั้นที่ ๑ นำแบบทดสอบพรอ้ มเนื้อหาสาระ/โครงสร้างท่ีต้องการวัดไปให้ผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณา
ความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับเนอ้ื หาสาระ/โครงสรา้ งท่กี ำหนดเกณฑ์เพ่อื แสดงความคิดเหน็ ดงั น้ี
๑ เมือ่ พิจารณาวา่ ขอ้ คำถามไมส่ อดคลอ้ งกับเนื้อหาสาระ/โครงสรา้ ง
๒ เมื่อพจิ ารณาว่า ข้อคำถามจะต้องไดร้ บั การปรับปรงุ แก้ไขอย่างมาก
๓ เมือ่ พจิ ารณาวา่ ขอ้ คำถามจะต้องไดร้ บั แกไ้ ขปรับปรงุ เล็กน้อย
๔ เมอื่ พจิ ารณาวา่ ขอ้ คำถามมคี วามสอดคล้องกบั เนอ้ื หาสาระ/โครงสร้าง
ขั้นที่ ๒ รวบรวมความคดิ เห็นของผู้เชี่ยวชาญมาการแจกแจงเป็นตาราง
ขนั้ ที่ ๓ รวมจำนวนข้อคำถามทผ่ี ู้เชีย่ วชาญทกุ คนท่ีให้ความคิดเหน็ ในระดับ ๓ และ ๔
ขัน้ ที่ ๔ การหาดัชนคี วามเท่ียงตรงเชงิ เนื้อหาจากสูตรคำนวณ
CVI= R 3,4
N
เม่ือ CVIเป็นดชั นีความเท่ียงตรงเชงิ เนือ้ หา
R3,4 เปน็ จำนวนข้อที่ผเู้ ชี่ยวชาญทกุ คนใหร้ ะดบั 3 และ4
N เปน็ จำนวนขอ้ สอบท้ังหมดโดยมเี กณฑก์ ารพจิ ารณาความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหาทใี่ ชไ้ ด้ ตงั้ แต่ ๐.๘
ขนึ้ ไป(Davis ๑๙๙๒) และควรนำขอ้ คำถามท่ีไดจ้ ากขอ้ ที่ ๑และ ๒ไปปรบั ปรงุ แก้ไขเพื่อให้เคร่ืองมือวจิ ัยมคี วาม
ครอบคลมุ ตวั แปรทต่ี อ้ งการศึกษา ดังตัวอยา่ งการหาค่าดัชนคี วามเท่ยี งตรงเชงิ เนื้อหา
๒๒กลุ ชลี จงเจริญ และนติ ยา ภสั สรศริ ิ, การออกแบบและการวางแผนการวิจยั , หนา้ ๓๗.
ระเบียบวธิ วี ิจัยชั้นสงู ว่าดว้ ยสันติภาพ ๒๘๓
๒) วธิ กี ารตรวจสอบความเที่ยงตรงเชงิ โครงสร้าง มวี ธิ ีการตรวจสอบ ดงั น้ี
การตรวจเชิงเหตุผล เป็นการตรวจสอบเนอ้ื หาของขอ้ คำถามวา่ สอดคล้องกับกรอบแนวความคิด
หรอื ทฤษฎีทใี่ ชก้ ำหนดเป็นโครงสรา้ งในการวดั หรือไม่ โดยจัดทำเปน็ ตารางโครงสร้างให้ผูเ้ ช่ียวชาญได้พิจารณา
ตรวจสอบ
การตรวจสอบความสอดคล้องภายใน โดยการหาค่าสัมประสทิ ธ์ิสหสมั พันธ์ระหว่างข้อคำถามแต่
ละข้อกับคะแนนรวมของทั้งชดุ หรือหาสหสมั พันธ์แบบไบซีเรียลระหวา่ งกลุ่มท่ีไดค้ ะแนนสูง กับคะแนนต่ำถ้า
ข้อใดมีคา่ สมั ประสทิ ธส์ิ หสัมพันธส์ งู อย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ิ แสดงว่ามคี วามเทยี่ งตรงเชิงโครงสรา้ ง
เทคนิควิธีการใช้กลุ่มที่คุ้นเคย (Known-Group Technique) เป็นวิธีการนำเครื่องมือชุดท่ี
ต้องการตรวจสอบไปให้กลุ่มตัวอย่าง ๒ กลุ่ม (จำนวนสมาชิกเท่ากัน)ได้ตอบคำถามโดยที่กลุ่มตัวอย่างจะมี
ลกั ษณะตรงกนั ขา้ ม กล่าวคือ กล่มุ แรกจะมีลกั ษณะสอดคลอ้ งกับสิง่ ที่ต้องการในแบบสอบถาม สว่ นอีกกลมุ่ หนงึ่
จะมีลกั ษณะตรงกันขา้ มกบั กลมุ่ แรก แล้วนำข้อมูลที่ไดม้ าวเิ คราะห์เพอื่ หาอำนาจจำแนกเปน็ รายข้อโดยใช้การ
ทดสอบค่าที จากสูตรโดยค่าอำนาจจำแนกรายข้อที่ได้จะต้องมีค่าtมากกว่า ๑.๗๕ จึงจะเป็นข้อคำถามที่มี
อำนาจจำแนกคุณลักษณะของตัวแปรทีต่ ้องการ และเมอ่ื นำมาพจิ ารณาในภาพรวมจะระบวุ า่ แบบสอบถามฉบบั
นนั้ มีความเทย่ี งตรงเชิงโครงสรา้ ง๒๓
นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่นๆ อีกนอกเหนือจากที่ยกมา ผู้ศึกษาที่สนใจสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้
ตามความสนใจ แต่ในทีน่ ้ีตวั อย่างที่นำมาแสดงเพียงพอกบั การทำความเข้าใจเรื่องของการตรวจสอบคุณภาพ
เคร่ืองมือ
๘.๓.๓ แนวทางปฏิบตั เิ บอ้ื งตน้ ในการสร้างเครอ่ื งมือวจิ ยั ให้มีความเที่ยงตรง
ในการสร้างเครอื่ งมือวิจยั ใหม้ ีความเท่ยี งตรง มแี นวทางการปฏบิ ัติเบื้องตน้ ดงั น้ี
๑) ในการกำหนดความหมายของตวั แปรต้องใหม้ คี วามสอดคลอ้ งและครอบคลมุ ประเด็นทตี่ ้องการ
โดยใชแ้ นวคิด ทฤษฎี และปรึกษากบั ผเู้ ช่ยี วชาญ
๒) การกำหนดข้อคำถาม/สร้างเครอ่ื งมือวิจัย ควรคำนงึ ถงึ หลักตรรกศาสตรแ์ ละทฤษฎีท่เี กย่ี วข้อง
เปน็ กรอบแนวทาง
๓) ให้ผเู้ ชยี่ วชาญไดพ้ จิ ารณาเบื้องตน้ ในการพจิ ารณาความเหมาะสมและความครอบคลุม
๔) ระมัดระวังในความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามและการกำหนดความหมายของตัวแปรท่ี
ต้องการอยตู่ ลอดเวลา๒๔
๒๓สมชาย วรกิจเกษมสกลุ , ระเบียบวิธีการวจิ ัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสงั คมศาสตร์, หน้า ๒๖๘-๒๗๓
๒๔เรื่องเดยี วกัน,หน้า ๒๘๙.
๒๘๔ Advanced Research Methodology on Peace
๘.๓.๔ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือการวจิ ัยเชงิ ปริมาณ
การตรวจสอบคณุ ภาพแบบสอบถาม (Questionnaire)
๑) ความเที่ยงตรง (Validity) ของแบบทดสอบถาม หมายถึง คุณสมบัติของแบบสอบถามใน
ด้านความสามารถในการวัดสงิ่ ต่างๆ ที่ต้องการวดั ไดส้ อดคลอ้ งตรงกนั กับความตอ้ งการหรอื จุดมงุ่ หมายของการ
วัด ความเที่ยงตรงของแบบสอบถามเป็นความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) ซึ่งจะหาได้จาก
การใชข้ อความอนเุ คราะหจ์ ากผู้ทรงคุณวฒุ หิ รอื ผ้เู ชีย่ วชาญ (Expert) ทมี่ ีความรอบรใู้ นดา้ นเน้อื หาสาระของสิ่ง
ท่ตี ้องการศกึ ษา โดยการวดั ความสอดคล้องระหว่างข้อความหรอื รายการของคำถามกับจดุ ม่งุ หมายที่ใช้ในการ
สร้างแบบสอบถาม ซ่ึงก็เป็นการหาคา่ IOC ซงึ่ ไดก้ ล่าวไว้แล้ว
๒) ความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม หมายถึง คุณสมบัติของแบบทดสอบถามใน
ด้านความสามารถในการวัดสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการวัดได้อย่างคงทีแ่ น่นอนหรือคงเส้นคงวา (Consistency) ซึ่งมี
หลายวิธี และวธิ หี าใช้สูตรการหาเช่นเดียวกับการหาความเชือ่ ม่ันของแบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม นิยมใช้มากคือ
วธิ ขี อง ครอนบคั (Cronbach Alpha Procedure) ค่าความเช่ือม่ันของแบบสอบถามอย่างน้อยท่ีสุดไม่ควรต่ำ
กว่า ๐.๗๐
๓) อำนาจจำแนก (Discrimination) ของข้อความหรือรายการของคำถามในทีน่ ี้ใช้กับแบบวัด
หมายถงึ ดัชนีที่ใชแ้ สดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคะแนนรายข้อกบั ผลรวมของคะแนนข้ออ่ืนๆ หรือคะแนนรวมท่ี
ไมไ่ ด้รวมคะแนนของขอ้ นนั้ ๆ เขา้ ไปด้วยหรือหมายถงึ คณุ สมบตั ิของขอ้ ความหรอื รายการของคำถามที่สามารถ
จำแนกผลรวมของคะแนนทุกข้อ หรือคะแนนรวมของแบบสอบถามทั้งฉบับออกจากกันระหว่างกลุ่ม ที่ได้
คะแนนสูงกับกลุ่มที่ได้ได้คะแนนต่ำ ซึ่งวิธีการคำนวณหาค่าทีน่ ้ีสอนวิธีจากการทดสอบนัยสำคัญทางสถิตขิ อง
ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ได้คะแนนสูงกับกลุ่มที่ได้คะแนนต่ำ โดยใช้สูตร t-test โดยใช้กลุ่ม
คะแนนรวมจากแบบสอบถามทั้งฉบบั สูง และกลมุ่ คะแนนรวมจากแบบสอบถามทง้ั ฉบบั ต่ำกลุ่มละ ๒๕% ของ
จำนวนผู้ตอบแบบทดสอบถามทั้งหมดหาค่า t กลุ่มคะแนนรวมสูง มีค่าเฉลี่ยของคะแนนในข้อใดๆ สูงกว่า
คา่ เฉลย่ี ของคะแนนในขอ้ นน้ั ของกลุ่มคะแนนรวมต่ำอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ กิ แ็ ปลความหมายวา่ ขอ้ ความหรือ
รายการของคำถามในข้อน้ันๆ มีอำนาจำแนก
การตรวจสอบคณุ ภาพแบบสมั ภาษณ์ (Interview)
๑) การหาความเทย่ี งตรง ตามเนื้อหาตรวจสอบได้โดยผูเ้ ช่ียวชาญทางเนอ้ื หา
ตรวจสอบใหเ้ ช่นเดยี วกับแบบสอบถาม
๒) การหาความเช่ือมนั่ ของแบบสมั ภาษณ์ สามารถคำนวณหาหรือตรวจสอบไดห้ ลายวิธี ดงั ต่อไปนี้
๒.๑) ใช้ผู้สัมภาษณ์คนเดยี ว ดำเนินการสมั ภาษณ์จากผู้ให้สัมภาษณ์กลุ่มหนึ่งจำนวนสองครั้ง
ในระยะเวลาท่แี ตกต่างกัน นำผลจากการสัมภาษณ์สองครัง้ นนั้ มาหาความสัมพันธ์กันหรอื ความสอดคล้องกันใช้
คา่ สัมประสทิ ธ์สิ หสมั พันธ์ โดยใชส้ ูตรสมั ประสทิ ธ์สิ หสมั พันธ์ของเปียรส์ ัน หรอื สดั สว่ นของความสอดคล้องกัน
ระหวา่ งผลจากการสัมภาษณส์ องครั้งน้ัน เปน็ คา่ ความเชอื่ มน่ั ของแบบสัมภาษณ์