The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือวิทยากรยุวกาชาด สำหรับการอมรมอาสายุวกาชาดหลักสูตรพื้นฐานยุวกาชาด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tawatchai.noom.6837, 2022-03-19 13:31:31

คู่มือวิทยากรยุวกาชาด สำหรับการอมรมอาสายุวกาชาดหลักสูตรพื้นฐานยุวกาชาด

คู่มือวิทยากรยุวกาชาด สำหรับการอมรมอาสายุวกาชาดหลักสูตรพื้นฐานยุวกาชาด

Keywords: วิทยากร,อาสายุวกาชาด,พื้นฐานยุวกาชาด

ถน่ิ ฐานของชุมชน เชน่ ชอ่ื สถานที่ ชือ่ ภูเขา เนนิ เขา สายน�ำ้ วดั สถาปัตยกรรม
หรอื สิง่ กอ่ สร้างอ่ืน ๆ ทบี่ อกเรอื่ งในอดตี ได้ ชื่อใดบา้ งที่ถูกเปล่ียนโดยราชการ
ศลิ ปหตั ถกรรมและประดษิ ฐกรรมฝมี อื ชาวบา้ น เชน่ เครอ่ื งมอื จบั ปลา กงุ้ เครอ่ื งมอื
จัดการน�ำ้ เช่น เหมือง ฝาย หลุก ประปาภูเขา เปน็ ต้น
ขอ้ ห้าม ความเชื่อ เรื่องเล่า ตำ�นาน พิธีกรรมและข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ภาษาและสำ�นวนที่เกี่ยวกับน้ำ� เช่น ขุนแม่ น้ำ�สูง น้ำ�ต่ำ� แปลว่าอะไรในความคิดของชาว
บ้าน จะเป็นอย่างอนื่ ไปได้ไหม
ผี ชาวบ้านนับถือผี เจา้ พ่อ เจ้าแม่ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นหรือไม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
เหล่านั้นมีความสัมพนั ธอ์ ยา่ งไรกับท้องถน่ิ เป็นต้น
อาหาร อะไรทช่ี าวบา้ นไดจ้ ากลำ�นำ้� ฝัง่ น�้ำ เพอื่ ปรงุ เป็นอาหารหรือยารักษาโรค
พชื เชน่ สาหร่ายเตา
สัตว์ เช่น ปลา แมงอนี ิ่ว
สมุนไพรริมนำ้� เชน่ ว่าทำ�ไมชาวบา้ นจึงกินพืชหรอื สตั วเ์ ปน็ อาหาร
ของเลน่ น�้ำ กล้วยใบพัดนำ้� เรือกระดาษ เปน็ ต้น
อื่น ๆ เชน่ เครอื่ งแต่งกาย การแสดง เพลงกลอ่ มเด็ก ดอกสรอ้ ย สกั วา ฯลฯ
บนั ทึกข้อมูลที่ได้ลงในสมุด หรือใช้ข้อมูลที่ได้วาดแผนที่ชุมชนในสมัยก่อนว่าเดิมอะไรอยู่
ที่ไหนผสู้ �ำ รวจอาจไดแ้ ผนทหี่ มบู่ ้านย้อนหลงั 20 ปี หรอื 50 ปที ีแ่ ลว้ กไ็ ด้
คน้ คว้าข้อมูล
ผสู้ �ำ รวจทด่ี คี วรคน้ ควา้ หาขอ้ มลู จากหลกั ฐานทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรเพม่ิ เตมิ จากเอกสาร
ต่าง ๆ ได้แก่ หนังสือ ข่าวหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ผลงานวิจัยและอื่น ๆ อินเตอร์เน็ตติดต่อ
หน่วยงานราชการ หน่วยงานราชการในชุมชนเป็นอีกแห่งหนึ่งที่ผู้สำ�เร็จสามารถไปขอความรู้
จากคนอื่น ๆ ได้ เช่น ลักษณะภูมิศาสตร์ของหมู่บ้าน แผนที่ หรือสถิติเกี่ยวกับโรคภัย
ที่เกี่ยวข้องกับลำ�น้ำ� และปัญหาสุขภาพของชาวบ้าน
การวางแผน
บทบาทหน้าที่ของสมาชิกในการประชุมกลุ่มเพื่อวางแผนในการทำ�งานจิตอาสา
มีดงั ตอ่ ไปนี้
ประธาน
เปน็ หวั หนา้ หรอื ผนู้ �ำ ในการประชมุ กลมุ่ ประธานได้จากการเลอื กภายใต้มตหิ รือความ
เห็นชอบของสมาชกิ ในกลมุ่ หนา้ ท่ีของประธาน คือ เปน็ ผนู้ �ำ กลมุ่ เปน็ ผูน้ �ำ ในการประชมุ กลุ่ม
น�ำ อภิปราย เปน็ ผูแ้ จกแจงงาน ตลอดจนดแู ลให้สมาชิกปฏิบัติตามมตขิ องทป่ี ระชุม

94

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

รองประธาน
ไดจ้ ากการเลอื กภายในมติ หรือความเห็นชอบของสมาชิกในกลุ่มทำ�หนา้ ที่เป็นผชู้ ่วย
ประธานในการประชุมกลมุ่
เลขานุการ
ปกติแลว้ ประธานจะเป็นผูเ้ ลือกเลขานุการ หนา้ ทข่ี องเลขานุการ คอื จดบันทกึ ข้อมูล
ขอ้ คดิ เหน็ หรอื ขอ้ สรปุ เปน็ ผชู้ ่วยประธานและเป็นผรู้ ิเริม่ งานกลุ่ม
สมาชกิ
ทุกคนในกลุ่มเป็นสมาชิกของกลุ่ม มีหน้าที่ทำ�งานร่วมกัน เสนอข้อคิดเห็น ลงมติ
ปฏบิ ตั ติ ามมตขิ อ้ ตกลงของกลมุ่ ตกั เตอื นซง่ึ กนั และกนั ใหท้ กุ คนปฏบิ ตั ติ ามกฎทก่ี ลมุ่ ก�ำ หนดไว้
ประโยชนข์ องการวางแผนในการทำ�งานจติ อาสา
1. เป็นการฝึกใหส้ มาชกิ มปี ระชาธิปไตยในการทำ�งานรว่ มกบั ผู้อน่ื
2. มหี นา้ ทแ่ี ละความรับผิดชอบในการทำ�งานร่วมกับผู้อื่น และประสบความสำ�เร็จ
ในการท�ำ งานกลุ่ม
3. เป็นการฝึกสมาชกิ ให้มคี วามกลา้ ในการแสดงความคดิ เหน็
4. ร้จู ักแลกเปลีย่ นความรู้และประสบการณก์ ับผู้อนื่
5. เปน็ การเสริมสรา้ งความรว่ มมอื รว่ มใจของสมาชกิ ในกลมุ่
ตวั อยา่ งกจิ กรรมอาสายุวกาชาดในการทำ�งานจิตอาสา
การท�ำ งานจิตอาสา การบำ�เพ็ญประโยชน์หรือการบริการชุมชนเป็นหัวใจสำ�คัญของ
กิจการยุวกาชาด นอกจากเป็นกิจกรรมที่มุ่งฝึกให้อาสายุวกาชาดเป็นผู้มีจิตใจเมตตา กรุณา
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อนมนุษย์โดยทั่วไป การบริการอาสาสมัครยังเป็นวัตถุประสงค์สำ�คัญของ
ยุวกาชาด อีกทั้งเป็นการสร้างสำ�นึกให้เป็นผู้ที่รู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์
ส่วนรวม และสามารถท�ำ ได้หลายรปู แบบ เช่น
- กิจกรรมทำ�ความสะอาดในชมุ ชน
- กิจกรรมการให้ความรเู้ รอื่ งสขุ ภาพแกบ่ ุคคลในชมุ ชน
- กิจกรรมรณรงค์การป้องกันยาเสพตดิ ในชมุ ชน
- กิจกรรมการดแู ลผูส้ ูงอายุในชมุ ชน บา้ นพักคนชรา

95

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 2 : จติ อาสายวุ กาชาดพง่ึ พาได้

แบบรายงานการวางแผนในการท�ำ งานจติ อาสา
อาสายวุ กาชาด หนว่ ยส.ี ..............................
ประชุม วนั ท่.ี .....เดอื น................พ.ศ. .................

วาระที่ 1 ท่ีประชมุ เลอื กคณะกรรมการกล่มุ ได้แก่
1. ชือ่ .....................................นามสกลุ ...................................ประธาน
2. ชื่อ.....................................นามสกุล...................................รองประธาน
3. ชอ่ื .....................................นามสกุล...................................รองประธาน
4. ชอื่ .....................................นามสกลุ ...................................เลขานุการ
5. ชื่อ.....................................นามสกุล...................................ประชาสัมพนั ธ์
6. ชื่อ.....................................นามสกุล...................................เหรญั ญิก
7. ชอ่ื .....................................นามสกลุ ...................................สมาชกิ กลุ่ม
8. ชื่อ.....................................นามสกลุ ...................................สมาชิกกลมุ่
9. ชื่อ.....................................นามสกลุ ...................................สมาชิกกลุม่

10. ชอ่ื .....................................นามสกลุ ...................................สมาชกิ กลมุ่
11. ชื่อ.....................................นามสกุล...................................สมาชกิ กลุ่ม
12. ชอ่ื .....................................นามสกุล...................................สมาชิกกลมุ่
13. ช่ือ.....................................นามสกุล...................................สมาชิกกลุม่
14. ชือ่ .....................................นามสกุล...................................สมาชิกกลุ่ม

ฯลฯ
วาระท่ี 2 การวางแผนปฏิบตั งิ านจิตอาสา
1. ช่อื โครงการ/กจิ กรรม...............................................................................
2. วตั ถุประสงค์..........................................................................................

.........................................................................................................
3. เปา้ หมาย..............................................................................................

.........................................................................................................
4. วธิ ดี �ำ เนนิ การ.........................................................................................

.........................................................................................................
5. ระยะเวลาด�ำ เนนิ การ...............................................................................
6. สถานทด่ี �ำ เนินการ..................................................................................
7. วสั ดุ อปุ กรณ.์ ........................................................................................
8. ผลทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ................................................................................
9. ผ้รู บั ผิดชอบโครงการ/กจิ กรรม..................................................................

96

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

หวั ข้อเรอ่ื ง การฝึกปฏิบัตงิ านจิตอาสา

วตั ถปุ ระสงค์

เพอื่ ให้ผ้เู ขา้ รบั การอบรมได้ลงมือปฏบิ ตั งิ านจิตอาสาตามแผนงานที่วางไว้

ขอบขา่ ยเน้ือหา

การลงมือปฏบิ ัตงิ านจิตอาสาตามแผนการดำ�เนนิ งานทไ่ี ด้ประชมุ รว่ มกัน

สือ่ และอปุ กรณ์

1. อปุ กรณ์ในการปฏิบตั งิ านจติ อาสา
2. ใบงานสรปุ การปฏิบตั ิงานจิตอาสา

เวลา 1 ชัว่ โมง 30 นาที ถงึ 3 ชั่วโมง (ขนึ้ อยูก่ ับระยะเวลาในการอบรม)
การวัดผลและประเมนิ ผล

1. สังเกตพฤติกรรมของผเู้ ขา้ รบั การอบรม
2. การสอบถามผู้เขา้ รบั การอบรม
3. แบบรายงานการประชุมกลมุ่ ยอ่ ย

แนวการดำ�เนินกจิ กรรม

1. วทิ ยากรเตรยี มความพรอ้ มเพอ่ื ใหท้ กุ หนว่ ยสี มคี วามกระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะรว่ มกจิ กรรม
จากนั้นเปิดวีดทิ ศั นเ์ กยี่ วกบั การทำ�งานจิตอาสาเป็นกลุ่ม หรืองานชมรมอาสายวุ กาชาด
2. วทิ ยากรแบง่ กลมุ่ ตามบรบิ ทของพน้ื ทท่ี จ่ี ะท�ำ งานจติ อาสา (วทิ ยากรสามารถใชเ้ กม
เพลง ในการแบง่ กลมุ่ ได)้ ใหแ้ ต่ละกลุม่ เลอื กหวั หนา้ กล่มุ รองหวั หน้ากลุ่ม เพ่ือรับผิดชอบงาน
3. วิทยากรมอบหมายงานจิตอาสาเพื่อไปปฏิบัติงานจิตอาสา (วิทยากรสามารถใช้
การจับสลากงานให้แต่ละกลุ่มได้) จากนัน้ วิทยากรให้เวลาในการวางแผน และเตรียมอปุ กรณ์
การทำ�งานใหต้ รงกับงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย (วิทยากรจัดเตรียมอุปกรณ์ทงั้ หมดไว้แล้ว โดยให้
แต่ละกลุ่มไปเลือกอุปกรณต์ ามความเหมาะสมของงาน)
4. ด�ำ เนนิ การตามแผนการดำ�เนนิ งานทไ่ี ด้ประชุมรว่ มกนั

97

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 2 : จติ อาสายวุ กาชาดพง่ึ พาได้

5. หลังจากเสร็จภารกิจงานจิตอาสาแล้ว ให้ผู้เข้ารับการอบรมร่วมกันสรุปผลของ
การดำ�เนินงานที่ได้ไปปฏิบัติเพื่อเป็นบทเรียนในการทำ�กิจกรรมร่วมกับชุมชนต่อไปหัวข้อท่ีใช้
ในการสรปุ ผลการด�ำ เนนิ งานคือ
ประทับใจอะไรและรูส้ กึ อยา่ งไร
เรยี นรู้อะไร
นำ�ไปใชต้ ่ออยา่ งไร
เกดิ คุณธรรม จริยธรรมอะไรในตัวคุณและชุมชน
6. วิทยากรสรุปขัน้ ตอนการทำ�งานจติ อาสา
หมายเหตุ 1
รายวชิ าท่ีมี 1 ชวั่ โมง 30 นาที วิทยากรจะเป็นผู้สำ�รวจพื้นที่ วางแผนงานจิตอาสา
เตรยี มอปุ กรณ์ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ลงมอื ท�ำ และเมอ่ื ปฏบิ ตั งิ านเสรจ็ แลว้ วทิ ยากรจะเปน็ ผสู้ รปุ ขน้ั ตอน
การดำ�เนินงานตั้งแต่เริ่มต้น จนเสร็จสิ้นภารกิจ (สรุปจากเนื้อหาเรื่องการสำ�รวจและการ
วางแผน)
ระยะเวลา เกริน่ นำ� แบ่งงาน 20 นาที
ปฏบิ ัติงาน 50 นาที
สรปุ บทเรยี น 20 นาที
หมายเหตุ 2
กรอบแนวคิดจากค�ำ ถาม
ประทับใจอะไร และรู้สึกอย่างไร คือความคิดเชิงบวก การชื่นชม การมีทัศนคติที่ดี
ต่อกิจกรรมนั้น ๆ ต่อบุคคล ต่อสถานที่ เช่น ประทับใจเพื่อนในกลุ่ม ประทับใจที่ได้เพื่อน
ที่มีจิตอาสาเหมอื นกนั ประทับใจสถานท่ที เ่ี ราไดไ้ ปปรับปรงุ เปน็ ตน้
เรยี นรู้อะไร คือ กระบวนการและวิธีการที่เราไดท้ �ำ กิจกรรมนั้น ๆ เชน่ การได้เรียนรู้
เร่อื งการวางแผนก่อนลงมือทำ�งาน การเตรยี มความพรอ้ มของตนเอง อุปกรณ์กอ่ นการท�ำ งาน
เปน็ ตน้
การนำ�ไปใชต้ อ่ อย่างไร คอื ผลจากการเรียนรู้ แลว้ เราน�ำ ไปตอ่ ยอด หรือประยุกต์ใช้
อยา่ งไรบา้ ง เชน่ น�ำ สง่ิ ทไ่ี ดป้ ฏบิ ตั ไิ ปใชก้ บั คนในครอบครวั ได้ สามารถน�ำ ไปปรบั ปรงุ สง่ิ ตา่ ง ๆ
ในชุมชนของตนเองได้
คณุ ธรรม จรยิ ธรรม คอื สง่ิ ดี ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั ตนเอง ผอู้ น่ื และสงั คม เชน่ ความสามคั คี
ความอดทน ความเมตตา ตรงต่อเวลา ความรับผิดชอบ เป็นตน้

สาระสำ�คญั ทไ่ี ดจ้ ากกิจกรรม
รจู้ กั การท�ำ งานร่วมกัน ความสามคั คี การเสยี สละ การเหน็ ใจ และการยอมรบั ซึง่ กนั
เปน็ การสรา้ งสำ�นึกด้านจิตอาสาใหเ้ กดิ ขึ้นในการบำ�เพ็ญประโยชน์ตอ่ ชุมชน

98

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

เนือ้ หาเรือ่ ง การฝึกปฏิบัตงิ านจติ อาสา

อาสายวุ กาชาดสามารถลงมือปฏิบัตเิ พือ่ การทำ�งานจติ อาสาไดห้ ลายทาง ดงั น้ี
การท�ำ ประโยชนต์ อ่ สถานท่ี ในทน่ี ้ี หมายถงึ สถานทท่ี ใ่ี ชร้ ว่ มกนั เปน็ หลกั ซง่ึ ถอื วา่ เปน็
ประโยชน์ต่อส่วนรวมในพื้นที่ชุมชนนั้น ๆ อาจจะเป็นการบำ�รุงรักษาให้มีสภาพดีใช้งานได้
สะดวก เปน็ การกอ่ สรา้ งตอ่ เตมิ เพอ่ื ใหใ้ ชง้ านไดด้ ขี น้ึ ใชง้ านไดม้ ากขน้ึ หรอื แมแ้ ตส่ รา้ งขน้ึ
ใหม่
เพื่อให้สถานที่นั้นเกิดประโยชน์ต่อชุมชนมากขึ้น เป้าหมายหลักของการบริการชุมชน หรือ
การบ�ำ เพญ็ ประโยชนต์ อ่ สถานท่ี เปน็ การฝกึ คน ฝกึ เยาวชนใหร้ กั ภมู ใิ จในทอ้ งถน่ิ ชมุ ชนของตน
และชว่ ยกนั ทำ�นุบ�ำ รงุ รักษา สรา้ งเสริมใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ สาธารณชน
การท�ำ ประโยชนต์ อ่ บคุ คล หมายถงึ บคุ คลผมู้ พี ระคณุ ตอ่ เรา ซง่ึ แสดงถงึ ความกตญั ญู
กตเวทติ าตอ่ ผมู้ พี ระคุณ กลุ่มคนที่ด้อยโอกาสกว่าเรา หรอื บุคคลท่ีไดร้ บั ความเดอื ดร้อน และ
ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น เพื่อให้เขาได้มีโอกาสของชีวิตที่ดีขึ้น บุคคลที่นำ�มาเป็น
ตัวอยา่ งของการเข้าไปใหบ้ ริการ เชน่
กลุ่มผู้สงู อายุ ทต่ี อ้ งการความรัก ความเออื้ อาทรจากลกู หลานวัยเยาวชนอย่างอาสา
ยุวกาชาดเพื่อเป็นน้ำ�หล่อเลี้ยงจิตใจของท่านให้ชุ่มชื่น และมีกำ�ลังใจที่จะมีชีวิตอยู่อย่าง
ภาคภูมใิ จตราบจนสน้ิ ลมหายใจ
กล่มุ เดก็ กำ�พร้า กลุม่ นีม้ อี ยู่ท่สี ถานสงเคราะหต์ า่ ง ๆ ทั้งของภาครัฐและของเอกชน
ท่ีดูแลอยู่กลมุ่ เดก็ เหลา่ นตี้ ้องการการอุ้มชู การสมั ผัส การแสดงความรักท่เี หมาะสม จะท�ำ ให้
เขาเหล่านี้มีพัฒนาการ เติบโตขึ้นด้วยความรู้สึกว่ายังมีผู้คนที่รักและห่วงใยเขาเหล่านี้อยู่
เสมอ เยาวชนสามารถไปท�ำ กจิ กรรมกับนอ้ ง ๆ กล่มุ น้ไี ด้มากมาย
กล่มุ ผพู้ กิ าร อาจมที ัง้ พกิ ารทางกาย และมีปญั หาทางสมอง บางคนสามารถเรยี นได้
บางคนมพี ฒั นาการชา้ มาก การฝกึ ใหเ้ ยาวชนมจี ติ ใจทเ่ี ออ้ื อาทร หว่ งใยบคุ คลอน่ื ท�ำ ใหเ้ ยาวชน
มีจิตใจที่อ่อนโยน เห็นใจผู้อื่นและอยากทำ�ให้ผู้อื่นมีความสุข กลุ่มผู้พิการจึงเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง
ที่เยาวชนสามารถไปทำ�กิจกรรมบำ�เพ็ญประโยชน์ได้
การทำ�ประโยชน์ร่วมกับหน่วยงานของกาชาดนั้น เนื่องจากหน่วยงานของกาชาด
เป็นหนว่ ยงาน สาธารณกศุ ล ทบี่ รรเทาความทุกขย์ ากของเพ่อื นมนุษย์ หากทุกคนไดส้ มคั ร
เป็น
ยวุ กาชาดหรอื อาสายุวกาชาด กถ็ อื ไดว้ ่าเยาวชนได้สวมหัวใจกาชาด ทีเ่ รียกว่าเยาวชนรนุ่ ใหม่
หัวใจกาชาด ซึ่งสภากาชาดไทยต้องการพลังของเยาวชนทุกคนที่จะช่วยทำ�งานช่วยเหลือ
เพอ่ื นมนุษย์ทกุ คนทุกเมอื่ อยา่ งต่อเน่ือง

99

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 2 : จติ อาสายวุ กาชาดพง่ึ พาได้

ในการลงมือปฏิบัติงานจิตอาสา หรือ อาสายุวกาชาด ภาคีเครือข่ายที่อยู่ในพื้นที่
เป็นส่วนสำ�คัญที่จะทำ�ให้แผนงานที่คิดไว้สำ�เร็จหรือล้มเหลวได้ ดังนั้น ถ้าทุกคนตระหนักรู้
และเขา้ ใจบรบิ ทของแตล่ ะพน้ื ทท่ี เ่ี ราจะลงไปปฏบิ ตั งิ าน ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ จะมปี ระโยชนต์ อ่ สว่ นรวม
อย่างมากมาย ดังที่กล่าวไว้ ภาคีเครือข่ายมีความสำ�คัญในการปฏิบัติงานจิตอาสา จึงควรทำ�
ความเข้าใจรายละเอียดของภาคีเครือข่ายร่วมกัน
ความหมายของภาคเี ครอื ขา่ ย
ภาคีเครือข่าย หมายถึง องค์กร บุคคล และหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนร่วมหรือ
มีวัตถุประสงค์ในการดำ�เนินงานการจัดกิจกรรมจิตอาสา ยุวกาชาด อาสายุวกาชาด ร่วม
กัน
โดยอาจจะมรี ะดบั ตา่ ง ๆ เชน่ ระดบั ชมุ ชน อ�ำ เภอ จงั หวดั ภาค และสว่ นกลางในระดบั
นโยบาย
เป็นตน้ การประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานสถานศึกษาเพื่อสร้างเครือข่ายในการ
ทำ�งานจิตอาสา
ความจ�ำ เปน็ ของการสรา้ งภาคเี ครอื ข่ายจิตอาสา
ถ้าพิจารณาถึงความจำ�เป็นในการสร้างภาคีเครือข่ายจิตอาสายุวกาชาด พบว่า
มีหลกั การท่เี กย่ี วข้อง 3 ประการ คือ
1. สถานการณป์ ญั หาและสภาพแวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ สถานการณป์ ญั หาทซ่ี �ำ้ ซอ้ นหลากหลาย
และขยายตวั เกนิ ความสามารถของสภากาชาดไทยทจ่ี ะด�ำ เนนิ การได้ จ�ำ เปน็ ตอ้ งมกี ารรวมพลงั
หรือมีกลไกในการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขปัญหานั้น และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น เกิดการรวมกลุ่ม เกิดประสบการณ์และมีความต้องการที่จะเชื่อมโยง
คนในกลุ่มและประสบการณ์นั้นเป็นขบวนการเพื่อการจัดการขยายผลการพัฒนา
2. การสร้างพื้นที่ทางสังคม การขยายผลของการจดั กจิ กรรมจติ อาสา อาสายวุ กาชาด
นั้นจำ�เป็นต่อการสร้างเครือข่ายโดยนำ�ไปสู่การเรียนรู้ ทั้งนี้เนื่องจากเยาวชนกลุ่มต่าง ๆ
มีความต้องการคล้ายกัน มีความคิดหรืออุดมคติเหมือนกันมาร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
ข่าวสารกับกลุ่มหรือสภากาชาดไทย ทำ�ให้ตนเองมีความรู้สึกว่ามีพื้นที่ทางสังคมที่ชัดเจน
ซ่ึงเปน็ การตอบสนองทางดา้ นจิตใจ ความเช่อื มน่ั และความไว้วางใจให้กันและกนั
3. การประสานผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม เนื่องจากการจัดกิจกรรมจิตอาสา
ยุวกาชาดโดยองค์กรต่าง ๆ มีการประสานผลประโยชน์ต่อกันในลักษณะของการพึ่งพาอาศัย
เกดิ กระบวนการเรยี นรู้ และมกี ารพฒั นากจิ กรรมอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ซง่ึ จะชว่ ยใหเ้ กดิ ระบบการจดั การ
ที่มีประสิทธิภาพและเกิดกระบวนการใหม่ ความรู้ใหม่ โดยการประสานผลประโยชน์นั้น คือ

100

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

องคป์ ระกอบของการเป็นภาคีเครอื ข่ายจติ อาสา อาสายวุ กาชาด
การดำ�เนนิ การเพื่อร่วมเป็นภาคีเครอื ขา่ ยจิตอาสา อาสายุวกาชาด มีองค์ประกอบที่
ส�ำ คญั ดังนี้
1. การเรียนรู้มุมมองร่วมกัน การมีความรู้สึกนึกคิด และการรับรู้ร่วมกันถึง
เหตุผล
ของการเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่าย มีความเข้าใจในปัญหา มีสำ�นึกในการแก้ปัญหาร่วมกัน
และมคี วามต้องการความชว่ ยเหลอื ในลักษณะทค่ี ล้ายคลงึ กัน
2. การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน การมองเห็นจุดหมายในอนาคตของจิตอาสายุวกาชาด
การรับรู้ เข้าถงึ ทิศทางเดียวกันและมเี ป้าหมายทีจ่ ะดำ�เนินไปด้วยกนั
3. การมผี ลประโยชนแ์ ละความใสใ่ จรว่ มกนั หมายถงึ การทส่ี ถาบนั การศกึ ษาแตล่ ะแหง่
มารว่ มกันเพือ่ ประสานผลประโยชนแ์ ละความตอ้ งการส่งผลประโยชน์ และความตอ้ งการที่จะ
ขยายงานจิตอาสายุวกาด
4. การมีส่วนร่วมของภาคเี ครือขา่ ย มีความสำ�คัญต่อการพัฒนาความเข้มแข็งของ
การดำ�เนินงานจติ อาสายวุ กาชาดเปน็ อยา่ งย่งิ โดยการมีส่วนร่วมทำ�ให้เกดิ การเรยี นรู้ ร่วมคดิ
ร่วมตัดสินใจ และร่วมลงมือกระท�ำ อย่างเขม้ แขง็
5. กระบวนการเสรมิ สรา้ งซง่ึ กนั และกนั หมายถงึ สภากาชาดไทย สถาบนั การศกึ ษา
หนว่ ยงานพัฒนาเยาวชนต่าง ๆ รวมถงึ องคก์ รตา่ ง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้อง ตอ้ งมกี ารเสรมิ กระบวนการ
ท�ำ งานซง่ึ กนั และกนั โดยใชจ้ ดุ แขง็ ของฝา่ ยหนง่ึ ไปชว่ ยเหลอื อกี ฝา่ ยหนง่ึ ทม่ี จี ดุ ออ่ น ซง่ึ จะท�ำ ให้
เกดิ กระบวนการประสานผลประโยชนร์ ว่ มกนั
6. การปฏิสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยน เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการจัดกิจกรรม

101

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 2 : จติ อาสายวุ กาชาดพง่ึ พาได้

ใบงาน สรุปการปฏบิ ตั ิงานจติ อาสา

ประทบั ใจอะไรและรู้สึกอยา่ งไร เรยี นรู้อะไร

สรปุ การปฏิบัตงิ านจิตอาสา

น�ำ ไปใช้ตอ่ ไดอ้ ยา่ งไร เกดิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรมอะไรบา้ ง

102

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

หมวดที่ 3 การพัฒนาคณุ ภาพชีวิต

หัวขอ้ เร่ือง การปฐมพยาบาล

วัตถุประสงค์

เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ ขา้ รับการอบรม
1. มคี วามรู้ ความเข้าใจในหลกั การและทักษะในการปฐมพยาบาล
2. สามารถนำ�ความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลไปใช้ประโยชน์ในการช่วยชีวิตผู้อื่นได้
อย่างถกู ตอ้ งและปลอดภยั
3. สามารถแจ้งข้อมลู เพอื่ รบั การชว่ ยเหลือจากระบบบรกิ ารการแพทยฉ์ กุ เฉนิ ได้

ขอบข่ายเนื้อหา

1. หลักการปฐมพยาบาล
2. การปฏิบัตกิ ารชว่ ยชีวิตขนั้ พื้นฐาน
3. การสำ�ลกั
4. บาดแผลและการหา้ มเลือด
5. การเคลอ่ื นยา้ ย

สื่อและอุปกรณ์

1. สื่อ PowerPoint เรื่องการปฐมพยาบาล
2. คมู่ ือการอบรมอาสายวุ กาชาดหลักสูตรพ้นื ฐานยุวกาชาด
3. อุปกรณ์ (ตามเร่อื งทสี่ อน)

เวลา 3 ช่วั โมง

103

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

การประเมนิ ผล

1. การตอบค�ำ ถามของผู้เข้ารบั การอบรม
2. การสังเกตการฝึกปฏบิ ตั ิ

แนวการด�ำ เนินกิจกรรม

1. วิทยากรใช้คำ�ถามนำ�เข้าสู่การเรียนรู้เกี่ยวกับการบาดเจ็บต่าง ๆ ที่ผู้เข้ารับ
การอบรมทราบหรือเคยเกดิ กบั ตนเอง และใช้คำ�ถามว่าผู้เข้ารับการอบรมทำ�อย่างไรและเรา
เรียกการชว่ ยเหลอื เบ้ืองตน้ น้ันว่าอะไร
2. วิทยากรใช้สื่อ PowerPoint หลักการปฐมพยาบาล และการโทรแจ้ง 1669
โดยใชก้ ารซักถาม พูดคยุ เล่าประสบการณเ์ ร่อื งการปฐมพยาบาล
3. วิทยากรแบ่งฐานการเรียนรู้ตามขอบข่ายเนื้อหาที่กำ�หนดตามความเหมาะสม
(เลอื กหัวขอ้ เรือ่ งทสี่ นใจ)
4. วิทยากรเปิดโอกาสให้ผู้เข้ารับการอบรมซักถามและสรุปกิจกรรมที่ได้เรียนรู้
โดยใชส้ อ่ื PowerPoint เรอ่ื งการปฐมพยาบาล

สาระสำ�คัญท่ีได้จากกิจกรรม

ผูเ้ ขา้ รับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการปฐมพยาบาล และสามารถแจง้
ขอ้ มลู เพอ่ื ขอรบั การชว่ ยเหลอื จากระบบบริการการแพทยฉ์ ุกเฉนิ 1669 ได้ สามารถน�ำ ความรู้
ท่ไี ดร้ ับจากการเขา้ ฐานการเรียนรู้กลบั ไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนอ์ ยา่ งถูกต้องและปลอดภยั

104

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

เน้ือหาเร่ือง การปฐมพยาบาล

การปฐมพยาบาล
การปฐมพยาบาล หมายถึง การให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ณ ที่เกิดเหตุ โดยใช้
เครอ่ื งมอื ที่หาไดใ้ นขณะนัน้ กอ่ นส่งตอ่ ไปยงั สถานพยาบาล
วัตถุประสงคข์ องการปฐมพยาบาล
1. เพ่อื ชว่ ยชีวิตผบู้ าดเจบ็
2. ป้องกนั ความพกิ าร
3. บรรเทาอาการบาดเจ็บและปอ้ งกันอันตรายทีจ่ ะเกดิ ขน้ึ
คุณสมบตั ิของนกั ปฐมพยาบาล
1. มีความรู้และทกั ษะในการปฐมพยาบาล
2. มีสตแิ ละจติ วิทยาในการดูแลผูบ้ าดเจ็บ
3. มคี วามละเอยี ดรอบคอบในการสังเกตอาการตา่ ง ๆ
4. ประยุกต์อปุ กรณ์ใชใ้ นการปฐมพยาบาลได้
1. หลักการปฐมพยาบาล (Principle of First Aid)
1. ใช้สติ ส�ำ รวจสถานการณอ์ ย่างรวดเร็ว (Look)
2. อย่าเคลือ่ นย้ายผูบ้ าดเจ็บในทันที (Don’t move)
3. ชว่ ยเหลือผบู้ าดเจบ็ ดว้ ยความนุม่ นวล ระมดั ระวงั (Treat gently)
การประเมินสถานการณ์
เปน็ การส�ำ รวจสถานทแ่ี ละเหตกุ ารณท์ ม่ี กี ารบาดเจบ็ เพอ่ื ประเมนิ อนั ตรายทอ่ี าจ
เกดิ ขน้ึ กบั ผชู้ ว่ ยเหลอื ผบู้ าดเจบ็ และผทู้ อ่ี ยใู่ นเหตกุ ารณ์ และวางแผนป้องกนั อนั ตราย โดยต้อง
ประเมินก่อนที่จะเข้าช่วยเหลือ ดังน้ี
1. สำ�รวจว่าเกิดเหตกุ ารณ์อะไรข้ึน
2. ประเมนิ ความปลอดภยั ของสถานการณ์ จะเกดิ เหตุซำ้�หรือไม่
3. ปอ้ งกนั ตวั เองอยา่ งไร เช่น สวมถุงมือ ดงึ ปลก๊ั ไฟ ติดต้ังสัญญาณเตือนภัย
4. ประเมนิ ความรนุ แรงและจำ�นวนผบู้ าดเจ็บ
5. ประเมนิ การขอความช่วยเหลือเพื่อโทรแจ้ง และขอแหล่งสนับสนุนจาก
หนว่ ยงานอ่ืน

105

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

การประเมินการบาดเจ็บ
เปน็ การประเมนิ อาการบาดเจบ็ อยา่ งเรง่ ดว่ นกอ่ น เพอ่ื คน้ หาภาวะวกิ ฤตทิ เ่ี สย่ี ง
ต่อการเสยี ชีวิตและให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างรวดเรว็ และปลอดภัยโดยการปฏบิ ัติ ดังน้ี
1. ประเมินสภาพการบาดเจ็บทั่วไปของผู้บาดเจบ็
2. ประเมนิ ความรู้สกึ ตัว : ตบไหล่ ปลกุ เรียก
3. ประเมินการหายใจ : ดูการเคลอื่ นไหวของทรวงอก/หน้าท้อง
4. ประเมนิ ภาวะเลอื ดออกและกระดูกหัก : ตรวจรา่ งกายตงั้ แต่ศรี ษะ
จรดปลายเท้า

การขอความช่วยเหลอื
การโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน คือ
การช่วยเหลือขั้นแรกที่สำ�คัญ ที่จะช่วยให้ผู้บาดเจ็บมีโอกาสรอดชีวิตและปลอดภัยมากขึ้น
ผู้ปฐมพยาบาลสามารถขอให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นผู้โทรแจ้งขอความช่วยเหลือได้
หรือแจ้งเหตุด้วยตนเองในระหว่างทำ�การปฐมพยาบาลกรณีที่ไม่มีผู้อยู่ในเหตุการณ์
โดยใช้ระบบลำ�โพง
หมายเลขโทรศพั ทฉ์ ุกเฉินทคี่ วรทราบ
รถพยาบาล 1669 ศนู ย์นเรนทร (กระทรวงสาธารณสุข)
1646 ศูนยเ์ อราวัณ (กรงุ เทพมหานคร)
เหตดุ ่วน - เหตุรา้ ย 191 ตำ�รวจนครบาล (กองบังคับการสายตรวจและ
ปฏิบัตกิ ารพิเศษ)
อัคคภี ยั 199 สำ�นกั งานป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั
ข้อมูลส�ำ คัญในการแจ้งเหตุ
1. ลักษณะเหตกุ ารณเ์ กดิ อะไรขึ้น เชน่ รถชน คนจมน�้ำ
2. สถานที่เกดิ เหตุ เกดิ เหตทุ ไ่ี หน เช่น ถนน ซอย อาคาร หนว่ ยงาน
3. จำ�นวนผู้บาดเจบ็ มีผ้บู าดเจ็บจำ�นวนกีค่ น แต่ละคนมีอาการอยา่ งไร
4. การปฐมพยาบาล ได้ชว่ ยปฐมพยาบาลอะไรไปแล้วบา้ ง
5. จำ�นวนผ้ชู ่วยเหลือ มหี นว่ ยงานอ่ืนมาช่วยอกี หรอื ไม่
6. ชือ่ - สกลุ เบอรโ์ ทรศัพทข์ องผแู้ จง้

106

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

2. การปฏิบตั ิการช่วยชีวติ ขั้นพนื้ ฐาน (Cardiopulmonary Resuscitation : CPR)
การปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน หมายถึง การช่วยเหลือระบบการไหลเวียนโลหิต
และระบบการหายใจเม่ือเกิดภาวะหัวใจหยดุ เต้นและหยุดหายใจกะทันหัน
วตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ชว่ ยใหเ้ ซลลข์ องรา่ งกายมอี อกซเิ จนไปหลอ่ เลย้ี งเพยี งพอ โดยเฉพาะ
สมองและหัวใจ จนกระทงั่ ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำ�งานได้เป็นปกติ
ระบบทม่ี คี วามส�ำ คัญต่อการมชี ีวิต
1. ระบบหายใจ (Respiratory System)
2. ระบบไหลเวียนโลหติ (Circulatory System)
3. ระบบประสาท (Nervous System)

ระบบหายใจ ระบบประสาท

ระบบไหลเวียนโลหิต



ท้งั 3 ระบบนี้ ตอ้ งทำ�งานสมั พนั ธ์กัน ถา้ ระบบใดระบบหน่งึ หยุดทำ�งาน
อีก 2 ระบบจะหยุดทำ�งาน ถ้าไมไ่ ดร้ บั การแกไ้ ข ตาย

อาการของผบู้ าดเจ็บท่ตี ้องทำ�การปฏิบตั กิ ารช่วยชีวิตขัน้ พน้ื ฐาน
1. ไมต่ อบสนอง
2. ไม่หายใจ
3. หายใจผิดปกติ (หายใจเฮือก)
หลกั การปฏบิ ตั ิการชว่ ยชวี ติ ขั้นพืน้ ฐาน
1. ชว่ ยการไหลเวยี นโลหิต โดยการกดหนา้ อก (Chest Compression = C)
2. เปดิ ทางเดนิ หายใจ (Open Airway = A)
3. ชว่ ยการหายใจ โดยการเป่าปาก (Breathing = B)

107

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

ขน้ั ตอนในการปฏิบัตกิ ารช่วยชีวติ ขน้ั พน้ื ฐาน
ข้ันตอนที่ 1 สำ�รวจสถานการณแ์ ละประเมินความปลอดภยั

สถานการณ์
ปลอดภยั

ขั้นตอนที่ 2 ประเมินการตอบสนองและการหายใจ
ปลกุ เขยา่ ตวั เรยี กชอ่ื พรอ้ มสงั เกต 3 น. สหี นา้ การเคลอ่ื นไหวของหนา้ อกและหนา้ ทอ้ ง

ปลกุ เรยี ก สงั เกต 3 น.
คณุ คณุ คณุ หนา้ หนา้ อก หนา้ ทอ้ ง
ไมต่ อบสนอง ไมข่ ยบั เขยอ้ื น ไมห่ ายใจ

ข้นั ตอนที่ 3 ขอความช่วยเหลือ
“ชว่ ยดว้ ย ชว่ ยดว้ ย มคี นหมดสติ ไมห่ ายใจ ชว่ ยโทรแจง้ 1669 และน�ำ เครอ่ื ง AED มา

ชว่ ยดว้ ย ชว่ ยด้วย
มคี นหมดสติ ไมห่ ายใจ
ชว่ ยโทรแจง้ 1669
และนำ�เครื่อง AED มาด้วย

108

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

ขน้ั ตอนท่ี 4 การกดหน้าอก ช่วยการไหลเวียนโลหิต : โดยการกดหน้าอก ดงั นี้
1. ตำ�แหนง่ วางมือ : กง่ึ กลางหน้าอก
2. กดด้วย : ส้นมือ 2 ขา้ งซอ้ นกัน
3. กดลึก : 5 - 6 เซนติเมตร
4. ความเร็วในการกด : 100 - 120 ครง้ั ตอ่ นาที
ขนั้ ตอนท่ี 5 เปดิ ทางเดนิ หายใจ
เพื่อช่วยให้ทางเดินหายใจโล่ง โดยใช้สันมือกดหน้าผากและ 2 นิ้ว เชยคางบริเวณ
ขากรรไกรยกข้ึนให้หน้าแหงน และตรวจดสู ่งิ ของในปาก การเปิดทางเดนิ หายใจวธิ นี ใ้ี ชไ้ ดก้ บั
ผู้บาดเจบ็ ทุกกรณี

109

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

ขั้นตอนที่ 6 ชว่ ยการหายใจ
บบี เปา่ ปลอ่ ย คอื บบี จมกู เปา่ ลมเขา้ ปาก 2 ครง้ั ทกุ ครง้ั ทเ่ี ปา่ ตอ้ งเหน็ ทรวงอกขยาย
จึงปล่อยมือทีบ่ บี จมูก

การปฏบิ ตั กิ ารชว่ ยชีวติ ขัน้ พน้ื ฐานในผใู้ หญ่
อตั ราสว่ นการกดหน้าอกตอ่ การเปา่ ปาก 30 : 2
ท�ำ การกดหนา้ อก 30 ครั้งและเปา่ ปาก 2 คร้ัง ตอ่ เนื่องจนกว่าบุคลากรทาง
การแพทยม์ าช่วยเหลือ
เราจะหยดุ ท�ำ การช่วยชีวิตตอ่ เม่อื
1. มบี ุคลากรทางการแพทยม์ าช่วยเหลอื
2. ผู้บาดเจ็บมกี ารหายใจและชพี จรกลบั คืนมา
อนั ตรายจากการปฏบิ ัติการช่วยชีวิตขนั้ พ้ืนฐานที่ไม่ถกู ตอ้ ง
1. กระดูกหกั
2. อวยั วะภายใน ไดแ้ ก่ ปอด หัวใจ ตบั ฉกี ขาด ทำ�ใหเ้ สยี เลือดมาก
3. การติดเชือ้ และได้รับสารพิษจากผู้บาดเจ็บ

110

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

เคร่ืองกระตนุ้ ไฟฟ้าหัวใจอตั โนมัติ (Automated External Defibrilator : AED)

เป็นเครื่องอัตโนมัติที่มีความสามารถอ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจหยุดเต้นอย่างกะทันหัน
และสามารถกระตนุ้ ใหห้ วั ใจกลบั มาเตน้ เปน็ ปกตไิ ด้ เมอ่ื เกดิ ภาวะหวั ใจหยดุ เตน้ อยา่ งกะทนั หนั
หัวใจจะบบี ตวั ผดิ จังหวะอยา่ งรนุ แรงมาก ทำ�ให้หัวใจห้องล่างซ้ายสั่นพลิ้ว ไม่สามารถสูบฉดี
เลอื ดได้ การกระตุ้นดว้ ยไฟฟ้าจะทำ�ให้หวั ใจกลับมาเตน้ เปน็ ปกตอิ ีกครัง้

ข้ันตอนการใช้เครอ่ื งชอ็ กไฟฟ้าหวั ใจอัตโนมัติ (AED)
1. เปดิ เครื่อง ในเครอ่ื ง AED บางรนุ่ ตอ้ งกดปมุ่ เพอ่ื เปดิ เครอ่ื ง บางรนุ่ เครอ่ื งจะท�ำ งาน
ทันทเี มอื่ เปิดฝาครอบเครื่องออก
2. ตดิ แผ่นนำ�ไฟฟา้ บนตวั ผบู้ าดเจบ็ และต่อสายเข้ากบั ตัวเครื่อง

ตำ�แหนง่ การตดิ แผน่ ไฟฟ้า (Electrode) เครอ่ื ง AED โดยสว่ นมาก ขอ้ ปฏบิ ตั กิ ่อนติดแผ่นนำ�ไฟฟา้
บนแผ่นน�ำ ไฟฟ้าจะมรี ูปภาพแสดงตำ�แหน่งการติดไว้บนแผ่น
อยา่ งชดั เจน 1. เปดิ เสอ้ื
ดา้ นบนขวา 2. หากสวมเสอ้ื ชน้ั ในใหถ้ อดออก
ใตก้ ระดกู ไหปลาร้า 3. หากบรเิ วณทต่ี ดิ แผน่ น�ำ ไฟฟา้
เหนอื ราวนม มขี นใหโ้ กนขนออกกอ่ น
4. หากบรเิ วณทต่ี ดิ แผน่ น�ำ ไฟฟา้
ด้านลา่ งซา้ ย เปยี กตอ้ งเชด็ ใหแ้ หง้
บริเวณใตร้ าวนม

ด้านข้าง

111

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

3. เครื่องจะวิเคราะห์การทำ�งานของหัวใจผู้บาดเจ็บ ข้อควรระวังในระหว่างเครื่อง
ท�ำ การวเิ คราะห์ ห้ามสัมผัสถูกตัวผู้บาดเจ็บโดยเด็ดขาด ใหท้ า่ นเตือนดัง ๆ วา่ “เคร่ืองก�ำ ลัง
วเิ คราะหค์ ลน่ื ไฟฟา้ หวั ใจ ห้ามสัมผสั ผบู้ าดเจบ็ ”
4. กดปุ่มช็อก (Shock) เมื่อเครื่องสั่งให้ช็อก โดยผู้ช่วยเหลือกดปุ่มช็อก (Shock)
ที่ตัวเครื่อง ก่อนการกดปุ่มช็อก (Shock) ผู้ช่วยเหลือต้องมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสัมผัสตัวผู้บาดเจ็บ
ร้องดงั ๆ วา่ “ฉนั ถอย คณุ ถอย ทุกคนถอย” ใหม้ องซ�้ำ อกี ครั้งเปน็ การตรวจสอบครั้งสุดทา้ ย
กอ่ นกดปุ่มช็อก (Shock)
หลังท�ำ การชอ็ กแลว้ ควรรบี ท�ำ CPR ทนั ที เรม่ิ จากการกดหนา้ อก ภายหลงั ท�ำ การ CPR
ครบ 5 รอบ ภายใน 2 นาที เครื่องจะทำ�การวเิ คราะห์และบอกให้ท�ำ การชอ็ กอีกคร้ัง

หากจะใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหวั ใจอัตโนมัติรว่ มกับการนวดหวั ใจผายปอดกู้ชีพ
ควรไดร้ บั การอบรมทีถ่ ูกต้องกอ่ น

3. การส�ำ ลกั (Choking)
การส�ำ ลกั หมายถงึ การทีส่ ่งิ แปลกปลอมตกเขา้ ไปติดอยใู่ นทางเดินหายใจ ทำ�ใหเ้ กิด
การอุดกั้น อันตราย อาจทำ�ให้เสียชีวิตจากการขาดออกซิเจน ถ้าให้การปฐมพยาบาลหรือ
ช่วยเหลือไมท่ ัน
สาเหตุ
1. รับประทานอาหาร
- พดู คยุ หรือหัวเราะ ระหวา่ งการรับประทานอาหาร
- เค้ยี วอาหารไมล่ ะเอียด รบี รอ้ นในการกลนื
- ด่ืมแอลกอฮอล์ ทำ�ให้มผี ลตอ่ ความระมดั ระวงั ตวั
- ชักหรือหมดสติ ระหวา่ งการรบั ประทานอาหาร
2. เดก็ เล็กทเ่ี ล่นของเล่นชิ้นเล็ก ๆ วิ่งเล่นขณะรับประทานอาหาร
3. บาดเจ็บบริเวณศรี ษะและใบหนา้ ทำ�ให้ส�ำ ลักเลือด
อาการของผสู้ �ำ ลกั
1. ผสู้ �ำ ลกั มกั จะชไ้ี ปทล่ี �ำ คอ หรอื เอามอื กมุ รอบคอ
ของตนเอง
2. ผสู้ �ำ ลกั จะพดู ไม่ออก
3. ผสู้ �ำ ลกั จะมอี าการหายใจล�ำ บาก หรอื หายใจ
มเี สยี งดงั
4. ผ้สู ำ�ลักจะไอไม่มีเสียง มอี าการขย้อน
5. ผู้ส�ำ ลกั มผี ิวหนา้ ซดี เขยี ว อยา่ งเหน็ ได้ชดั
112 6. ผู้สำ�ลักอาจชักหรอื หมดสติ ถ้าขาดอากาศนาน

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

การปฐมพยาบาลผู้ส�ำ ลัก กรณีรู้สึกตัว
1. ถา้ ผู้ส�ำ ลกั สามารถไอได้ กระตุ้นให้ไอแรงๆ
2. ถ้าผู้สำ�ลักไม่สามารถไอได้ ให้ดันกระแทกใต้กะบังลม 5 ครั้งต่อเนื่องกัน เพื่อให้
เกิดแรงดนั ในช่องอก ขับส่ิงอุดก้ันให้หลดุ ออกมา ดังนี้
วธิ ีการปฐมพยาบาล
1. ยืนแยกเทา้ 2 ขา้ ง เพ่ือความมน่ั คง (กรณมี ีผชู้ ว่ ยเหลอื ให้ผชู้ ว่ ยเหลือยืนด้านหลัง
สอดขาระหว่างขาของผ้สู ำ�ลักเพอื่ ช่วยรองรับถา้ ผูส้ �ำ ลกั ลม้ ลง)
2. หาตำ�แหนง่ วางกำ�ปัน้ ก่งึ กลางระหว่างลน้ิ ป่ีกบั สะดือ
3. กำ�มือเป็นกำ�ปั้น วางกึ่งกลางระหว่างลิ้นปี่กับสะดือให้ด้านนิ้วหัวแม่มืออยู่แนบ
ล�ำ ตัว ใช้มืออีกขา้ งกุมกำ�ป้ันไว้ กางข้อศอกใหพ้ น้ ลำ�ตวั ใหผ้ ูส้ �ำ ลกั กม้ ตัวลง
4. ดนั กระแทกใต้กระบังลม 5 ครง้ั ตอ่ เน่ืองจนกวา่ สิ่งอดุ กัน้ จะหลดุ ออก
กรณผี ู้ส�ำ ลกั ชว่ ยเหลอื ตนเอง

กรณีผู้ส�ำ ลักมผี ชู้ ่วยเหลอื

113

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

4. บาดแผลและการหา้ มเลอื ด (Wounds and Stop Bleeding)
บาดแผล (Wounds) หมายถึง การเกิดความชอกช�ำ้ ฉีกขาดของผวิ หนงั หรอื เนื้อเยื่อ
และส่วนที่ลึกกว่าชั้นผิวหนังถูกทำ�ลายตามความรุนแรงของสิ่งที่มากระแทก และ
ตำ�แหน่งที่
เกดิ บาดแผลนน้ั ๆ
ชนดิ ของบาดแผล (Classification of wound)
การแบง่ ชนดิ ของบาดแผลมีหลายวิธี ในทน่ี ข้ี อกลา่ วถงึ บาดแผล ทแ่ี บง่ ตามระยะท่ี
เกิด
ขึ้นใหม่ เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ ร่วมกับการใช้ผิวหนังเป็นหลักในการแบ่งชนิดของบาดแผล
ได้แก่
1. แผลปิด คอื บาดแผลที่ผิวหนังไม่ฉีกขาดออกจากกัน แต่ภายใต้ผิวหนังมีการ
ฉีกขาดของเนื้อเยื่อและหลอดเลอื ด ไดแ้ ก่ แผลฟกช�ำ้ ต่าง ๆ หรอื ฟกชำ้�อวยั วะภายในรา่ งกาย
ทส่ี �ำ คญั
2. แผลเปดิ คอื บาดแผลที่ผิวหนังแตกแยกออกจากกัน และมกี ารเสียเลือดออกมา
ภายนอก เชน่ แผลถลอก แผลจากของมคี ม แผลฉกี ขาด แผลทม่ี เี นอ้ื เยอ่ื ขาดออกจากรา่ งกาย
แผลเปดิ บรเิ วณหนา้ ท้อง แผลทมี่ ีอวัยวะถูกตดั ขาด เปน็ ตน้
3. แผลไหม้ น�ำ้ รอ้ นลวก คอื การบาดเจบ็ ทเ่ี กดิ จากการไดร้ บั ความเยน็ หรอื ความ
รอ้ น
ชนิดต่าง ๆ เชน่ น�ำ้ ร้อน นำ้�มัน กระแสไฟฟา้ สารเคมปี ระเภทกรด - ดา่ ง การเสียดสี สมั ผสั
รงั สี ทำ�ให้ผิวหนังเน้อื เย่อื และเส้นประสาทถูกท�ำ ลาย

114

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

กรอบแนวคดิ ในการปฐมพยาบาลบาดแผล

แผลปิด แผลฟกช�้ำ ใช้ความเยน็ ประคบบาดแผล
แผลเปดิ
แผลฟกชำ�้ ของอวัยวะ - ประเมินสัญญาณชีพ
ภายในท่สี �ำ คญั - โทรแจง้ 1669

- แผลถลอก แผลเปดิ ทเ่ี สยี - หา้ มเลอื ดและ
- แผลจากของมีคม เลือดมาก ปอ้ งกนั ภาวะชอ็ ก
- แผลฉีกขาด แผลเปิดทเี่ สีย
- แผลที่มีเนืิ้อเยอื่ ขาดออกจากร่างกาย เลือดนอ้ ย - ปอ้ งกันการติดเชอ้ื
- ปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื
- หา้ มเลอื ด

- แผลถูกระเบิด ปฐมพยาบาลแบบเฉพาะเจาะจง
- แผลถกู แทงด้วยของแหลมคม
- แผลถูกยิง
- แผลเปิดบรเิ วณหนา้ ท้อง
- แผลท่ีมอี วยั วะถกู ตัดขาด
- แผลถกู บดขย้ี

แผลไหม้ แผลไหม้ระดับ 1 - ระบายความร้อนออกจากบาดแผล
แผลไหมร้ ะดับ 2 - ปอ้ งกนั การตดิ เชื้อ
- ระบายความรอ้ นออกจากบาดแผล
แผลไหม้ระดับ 3 - ป้องกนั การติดเชอ้ื
- โทรแจ้ง 1669

- ป้องกันการติดเชื้อ
- ปอ้ งกันภาวะช็อก
- โทรแจง้ 1669

การห้ามเลอื ด (Stop Bleeding)
เลอื ดทอ่ี อกจากรา่ งกาย โดยปกตแิ ลว้ ประมาณ 3 - 10 นาที จะแขง็ ตวั ไดเ้ องเปน็ ลม่ิ เลอื ด
อดุ รขู องเสน้ เลอื ดทฉ่ี กี ขาด ในกรณที บ่ี าดแผลรนุ แรง อาจท�ำ ใหผ้ บู้ าดเจบ็ มกี ารเสยี เลอื ด สิ่งแรก
ที่ควรจะทำ�คือการห้ามเลือด ซึ่งการห้ามเลือดมี 3 วิธีได้แก่ การใช้มือกดบนบาดแผล การใช้
ผ้ากดบนบาดแผล การกดบนหลอดเลือดแดงใหญ่

115

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

การใชม้ อื กดบนบาดแผล
กรณีผบู้ าดเจ็บรู้สึกตัวดี อาจใช้มือของผบู้ าดเจ็บกดบนบาดแผลโดยตรง
กรณมี ผี ชู้ ว่ ยเหลอื ควรสวมถงุ มอื เพอ่ื หลกี เลย่ี งการสมั ผสั เลอื ดผบู้ าดเจบ็ หรอื ใชผ้ า้ สะอาด
ขยุ้มกดบนบาดแผล แล้วใช้ผ้าอีกผืนพันทับนานประมาณ 5 - 10 นาที หรือจนกว่าเลือดจะ
หยุดถ้าผ้าปิดแผลชุ่มเลือดไม่ควรเอาออกเพราะจะทำ�ให้ลิ่มเลือดหลุดออกไปด้วย ให้ใช้
ผ้าสะอาดอีกชิ้นปิดทับ

1. ใชม้ อื กดบนบาดแผล 2. ยกอวัยวะให้สูง กรณีมีผูช้ ว่ ยเหลอื ควรสวมถุงมอื
การใช้ผ้ากดบนบาดแผล
ใชผ้ า้ สะอาดขยุ้มกดบนบาดแผลโดยตรง นานประมาณ 5 - 10 นาที ถ้าผ้าปิดแผล
ชุ่มเลือดไม่ควรเอาออกเพราะจะทำ�ให้ลิ่มเลือดหลุดออกไปด้วย ให้ใช้ผ้าสะอาดอีกชิ้นปิดทับ
ผ้าผืนแรก ถ้ามีบาดแผลบริเวณส่วนแขน ขา ต้องยกส่วนนั้นให้สูงกว่าระดับหัวใจ (ต้องไม่มี
กระดกู หัก) จะช่วยลดแรงดันเลือดในหลอดเลอื ดท�ำ ให้เลือดหยุดได้ง่าย

1. ขยุม้ ผ้ากดบนบาดแผล 2. ยกอวยั วะใหส้ ูงขึ้น 3. ใชผ้ า้ พันยดึ แนน่ พอสมควร
การกดบนหลอดเลอื ดแดงใหญ่
โดยใช้นิ้วมือกดบนหลอดเลือดแดงเหนือบาดแผล จะทำ�ให้เลือดออกจากบาดแผล
น้อยลง

116

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

การปฐมพยาบาลบาดแผลเลอื ดออกมากและป้องกันภาวะช็อก
1. ใหผ้ บู้ าดเจ็บนอนราบ ไมห่ นนุ หมอน คลายเส้ือผ้า
2. ยกขาผบู้ าดเจ็บใหส้ งู ประมาณ 1 ศอก (ใหส้ งู กว่าหวั ใจ)
3. ใช้ผา้ สะอาดห้ามเลอื ด
4. ตรวจชพี จรและการหายใจเป็นระยะและนำ�สง่ โรงพยาบาล
หมายเหตุ: ประเมนิ อาการผบู้ าดเจบ็ และใหก้ ารปฐมพยาบาล ขอความชว่ ยเหลอื จากระบบบรกิ าร
การแพทย์ฉุกเฉินเพื่อส่งต่อ

5. การเคลื่อนยา้ ยผูบ้ าดเจบ็ (Transportations of the Injured)
การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ หมายถึง การนำ�ผู้บาดเจ็บซึ่งได้รับการปฐมพยาบาลแล้ว
ส่งต่อไปยังโรงพยาบาล หรือการนำ�ผู้บาดเจ็บออกจากบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งอาจมีอันตราย
ถึงชีวิตเพื่อให้การปฐมพยาบาลขั้นตอนต่อไป

หลักการเคล่อื นย้ายผูบ้ าดเจบ็
1. ไม่ยกผบู้ าดเจ็บตามล�ำ พงั โดยเฉพาะผบู้ าดเจ็บทีม่ ีนำ้�หนกั ตัวมากกวา่ ผ้ชู ว่ ยเหลือ
หรือกรณมี ีการบาดเจบ็ ทีเ่ สยี่ งต่ออนั ตรายของกระดูกคอและหลงั
2. กระดูกสันหลังของผู้ช่วยเหลือควรอยู่ในแนวตรงขณะยกผู้บาดเจ็บ เพื่อป้องกัน
การบาดเจ็บของหลงั
3. ควรยกโดยให้น�ำ้ หนกั ตวั ผบู้ าดเจบ็ ชดิ อยกู่ บั ตัวผูช้ ว่ ยเหลือให้มากที่สดุ
4. กรณีที่มีผู้ช่วยเหลือเป็นทีม ต้องมีการสื่อสารภายในทีมให้ชัดเจนขณะให้การ
ช่วยเหลือ

การอุ้มนั่งบนมือ แบบจับ 4 มือ : ใช้ในกรณีผู้บาดเจ็บรู้สึกตัวดี แขนทั้งสองข้างใช้การได้
แตไ่ มส่ ามารถเดนิ ได้

117

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

การอมุ้ น่ังบนมอื แบบจบั 3 มือ : ใชใ้ นกรณผี ูบ้ าดเจบ็ รู้สกึ ตัวดี เดนิ ไมไ่ ด้ วิธนี ีผ้ ชู้ ว่ ยเหลอื
จะใช้มือที่ว่างหนึ่งมือประคองหลังผู้บาดเจ็บ ป้องกัน
การพลัดตกถา้ หมดสติ

การอุ้มนัง่ บนมอื แบบจบั 2 มือ : ใช้ในกรณผี ู้บาดเจ็บรู้สึกตัวดี เดินไมไ่ ด้ วธิ ีน้ีผู้ช่วยเหลือ
จะมีมอื ว่าง 2 มอื เพื่อประคองหลังผู้บาดเจ็บ ป้องกัน
การพลัดตกหากผบู้ าดเจบ็ หมดสติ

118

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

หวั ขอ้ เรอ่ื ง การบรจิ าคโลหิต ดวงตา อวัยวะ

วัตถปุ ระสงค์

เพื่อใหผ้ เู้ ข้ารบั การอบรม
1. มคี วามรู้ ความเข้าใจ เรอื่ งโลหติ และเห็นความสำ�คัญในการบริจาคโลหิต
2. มีความรู้ ความเข้าใจ และเหน็ ความส�ำ คัญในการบริจาคดวงตา อวยั วะ
3. เพอ่ื สง่ เสรมิ การบริจาคโลหิต ดวงตา อวัยวะ

ขอบขา่ ยเนื้อหา

1. ความรู้เรอ่ื งโลหิต
2. ความร้เู รอ่ื งการบรจิ าค ดวงตา อวยั วะ
3. การรณรงค์ให้บริจาคโลหติ ดวงตา อวยั วะ

สอ่ื และอุปกรณ์

1. คมู่ อื อบรมอาสายุวกาชาดหลกั สูตรพ้ืนฐานยวุ กาชาด กิจกรรมชวนเล่นเรอื่ งโลหติ
จ�ำ นวน 14 ขอ้
2. วดี ทิ ัศนเ์ ก่ียวกับการบรจิ าคโลหิต
เรื่องท่ี 1 อยากบรจิ าคเลอื ดตอ้ งเตรยี มตัวอยา่ งไร
เรอ่ื งที่ 2 ขนั้ ตอนการบรจิ าคโลหิต
เรอ่ื งที่ 3 โลหิตเชอ่ื มโยงเราไว้ดว้ ยกัน
เรื่องที่ 4 บุญครัง้ สุดทา้ ย
3. แผน่ พบั คมู่ อื การบรจิ าคโลหติ หรอื ดาวนโ์ หลดไดท้ ่ี www.blooddonationthai.com
4. สือ่ PowerPoint เร่อื งการบริจาคโลหติ ดวงตา อวยั วะ

เวลา 1 ชัว่ โมง
การประเมนิ ผล

1. การตอบค�ำ ถามของผู้เข้ารบั การอบรม
2. การมีสว่ นรว่ มแสดงความคิดเหน็ ของผเู้ ข้ารบั การอบรม

119

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

แนวการด�ำ เนินกิจกรรม

1. วิทยากรนำ�เข้าสู่บทเรียนโดยการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องโลหิต เช่น โลหิตคืออะไร
ทราบหรือไม่ว่าตนเองมีหมู่โลหิตอะไร ใครเคยบริจาคโลหิตบ้าง จากนั้นให้ผู้เข้ารับการอบรม
เปิดคู่มืออบรมอาสายุวกาชาดฯ กิจกรรมชวนเลน่ เรอ่ื งโลหิต โดยช้แี จงวา่ ภาพกิจกรรมนี้เปน็
เร่อื งทเ่ี กย่ี วกับการบรจิ าคโลหิตทัง้ สนิ้ ใหผ้ เู้ ข้ารับการอบรมเลอื กคำ�ตอบทค่ี ดิ ว่าถกู ตอ้ ง
2. วิทยากรเฉลยคำ�ตอบ โดยใช้ส่อื PowerPoint พร้อมอธิบายเพิ่มเติมในแต่ละข้อ
จากนั้นใชส้ ่อื วีดทิ ัศน์ เรื่องอยากบริจาคเลือดต้องเตรียมตัวอย่างไร เปน็ การสรปุ ความรเู้ รอื่ ง
การบรจิ าคโลหติ
3. วิทยากรแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบริจาคโลหิต โดยให้ผูเ้ ข้ารับการอบรม
ออกมาเล่าประสบการณ์ จากนั้นวิทยากรเปิดวีดิทัศน์เรื่องขั้นตอนการบริจาคโลหิตหรือ
นำ�แผ่นพับคู่มือการบริจาคโลหิต เกี่ยวกับขั้นตอนมาฝึกปฏิบัติจริง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้
ผู้เข้ารับการอบรมซักถามประเด็นที่มีข้อสงสัย
4. วิทยากรให้ชมวีดิทัศน์ เรื่องโลหิตเชื่อมโยงเราไว้ด้วยกันซึ่งเป็นวีดิทัศน์ที่แสดง
ความรูส้ กึ จากการไดร้ ับบรจิ าคโลหิต
5. วิทยากรให้ผู้เข้ารับการอบรมร่วมกันสรุปผลที่เกิดจากผู้ให้และผู้รับในการบริจาค
โลหติ และกำ�หนดแนวทางการมสี ว่ นร่วมในการบริจาคโลหิตกับหนว่ ยงานในพื้นที่
6. วิทยากรสอบถามเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จากการ
บรจิ าคอวัยวะโดยใชค้ �ำ ถาม
- ใครเคยแสดงความจ�ำ นงบรจิ าคอวยั วะบา้ ง
- อวยั วะใดบา้ งท่ีบริจาคได้
ต่อจากนัน้ ให้ชมวีดทิ ศั น์ เรื่องบุญคร้ังสดุ ทา้ ย และสอบถามสง่ิ ทีไ่ ด้รบั จากการชมวดิ ีทัศน์
7. วิทยากรใช้สื่อ PowerPoint อธิบายเพิ่มเติมเรื่องการบริจาคอวัยวะ พร้อมทั้ง
รว่ มกันคิดแนวทางในการรณรงคใ์ หบ้ รจิ าคโลหติ ดวงตา อวัยวะ

สาระส�ำ คญั ทไ่ี ดจ้ ากกิจกรรม

ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการบริจาคโลหิต ดวงตา อวัยวะ
เพอื่ ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติกิจกรรมด้านมนุษยธรรมอันดี ตลอดทง้ั มสี ่วน
ใน

120

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

เนอ้ื หาเร่อื ง การบริจาคโลหิต ดวงตา อวยั วะ

1. ความร้เู ร่ืองโลหติ
โลหติ คอื ของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดเลือดในร่างกาย ประกอบด้วย
สว่ นทเ่ี ปน็ เมด็ เลอื ดและพลาสมา อวยั วะส�ำ คญั ทท่ี �ำ หนา้ ทส่ี รา้ งเมด็ เลอื ดคอื ไขกระดกู ทอ่ี ยใู่ น
โพรงกระดกู ทว่ั รา่ งกาย โดยปรมิ าณโลหติ ในรา่ งกายจะมปี ระมาณ 4,000 - 5,000 มลิ ลลิ ติ ร (ซ.ี ซ.ี )
สามารถค�ำ นวณได้ ดังน้ี

นำ�้ หนักตวั สุทธิ (กโิ ลกรัม) x 70 = ปรมิ าณโลหิตที่มีในรา่ งกายโดยประมาณ
(หนว่ ยเป็นมลิ ลิลิตร)

สว่ นประกอบและหนา้ ทส่ี �ำ คัญของโลหิต
1. เม็ดเลอื ด จะมีอยู่ประมาณ 45% ของโลหติ ทง้ั หมด มี 3 ชนดิ คอื
เมด็ เลอื ดแดง (Red blood cell) มหี น้าที่ลำ�เลียงกา๊ ซออกซเิ จน เพ่อื ให้
เซลล์ใช้สันดาปเป็นพลังงานและนำ�ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย เมอ่ื หายใจออก
เม็ดเลอื ดแดงมอี ายปุ ระมาณ 120 วนั
เมด็ เลอื ดขาว (White blood cel) ท�ำ หนา้ ท่ใี นระบบภูมคิ ้มุ กัน มีหน้าท่ี
ท�ำ ลายเชอ้ื โรคและปกปอ้ งรา่ งกาย โดยสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั เมด็ เลอื ดขาว มปี ระมาณ 4 - 10 x 109 /
ไมโครลติ ร เมด็ เลอื ดขาวมหี ลายชนิด มีอายตุ ง้ั แต่ 6 ชัว่ โมง - 20 ปี ขน้ึ อยกู่ บั ชนดิ เมด็ เลอื ดขาว
เกลด็ เลอื ด (Platelets) ท�ำ หนา้ ทช่ี ว่ ยใหเ้ ลอื ดแขง็ ตวั ตรงจดุ ทม่ี กี ารฉกี ขาด
ของหลอดเลือดเกล็ดเลอื ดมีอายปุ ระมาณ 7 วนั
2. พลาสมา (Plasma) คอื สว่ นประกอบของโลหติ ทม่ี ลี กั ษณะเปน็ ของเหลวสเี หลอื งใส
ซง่ึ ประกอบไปดว้ ยสารโปรตนี ไดแ้ ก่ อลั บมู นิ (Albumin) โกลบลู นิ (Globulin) อมิ มโู นโกลบลู นิ
(Immunoglobulin) เป็นต้น ซง่ึ มีส่วนสำ�คญั ในการรกั ษาปรมิ าณน้�ำ ภายในหลอดเลือด ตอ่
ตา้ น
เชื้อโรคและช่วยในการแข็งตัวของเลือดตามลำ�ดับ พลาสมาจะมีอยู่ประมาณ 55% ของโลหิต

ท่ีมาภาพประกอบ : www.bangkokbiznews.com 121

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

ระบบหมู่โลหิต (Blood Group) สามารถจำ�แนกได้เป็น 2
ระบบ คือ ABO และ Rh โดยจำ�แนกตาม Antigen ที่มีอยู่
บนผิวเม็ดเลือดแดง
หมูโ่ ลหติ ระบบ ABO (ABO System)
เป็นหมู่โลหิตท่ีมีความสำ�คัญที่สุดในการให้โลหิต
(blood transfusion) เป็นระบบที่พบก่อนระบบอื่น ๆ
โดย Landsteiner ปี พ.ศ. 2443 จากการทดลองของ Landsteiner และคณะ สรุปได้ว่า
มหี ม่โู ลหติ อยู่ 4 หมู่ คือ O B A และ AB

ตารางแสดงหมโู่ ลหิตระบบ ABO

หมู่โลหติ คนไทย 100%

O 38%

B 33%

A 21%

AB 8%

หมู่โลหิตระบบ Rh (Rh System)
เป็นระบบที่ส�ำ คัญรองลงมาจากระบบ ABO
Rh (D) มี 2 ชนิด คือ Rh+ พบมากในประชากรไทย สูงถึง 99.7% และ Rh- เป็น
หมเู่ ลอื ดทพ่ี บไมบ่ อ่ ยในประชากรไทย พบไดเ้ พยี ง 0.3% หรอื 1 - 3 คน/ประชากรไทย 1,000 คน

คุณสมบตั ิ การเตรยี มตัว ขั้นตอน และการปฏบิ ัตติ นของผบู้ รจิ าคโลหิต
คณุ สมบัติของผ้บู ริจาคโลหติ
1. อายุระหวา่ ง 17 ปี ถึง 70 ปี บรบิ รู ณ์ (อายุ 65 -
70 ปี บรจิ าคท่ศี ูนยบ์ ริการโลหติ แหง่ ชาติ สภากาชาดไทย เทา่ นัน้ )
2. มีน้ำ�หนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป สุขภาพทั่วไป
สมบรู ณด์ ี
3. ไม่มีประวัติโรคตับอักเสบ ภาวะดีซ่านตัวเหลือง ตาเหลือง โรคเลอื ด
ชนิดตา่ ง ๆ
4. ไมเ่ ปน็ ไขม้ าลาเรยี ในระยะเวลา 3 ปที ผ่ี า่ นมา โรคหอบหดื โรคตดิ เชอ้ื ตา่ ง ๆ
โรคภมู แิ พ้ โรคลมชัก โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคตดิ ต่ออืน่ ๆ
5. ไม่อยูใ่ นภาวะนำ้�หนกั ลดมากในระยะสน้ั

122

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

6. ไมม่ ีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือสำ�ส่อนทางเพศ ไม่มีประวัติ
ติดยาเสพตดิ
7. งดการบริจาคโลหิตภายหลังผ่าตัดคลอดบุตร หรือแท้งบุตร 6 เดือน
(ถ้าเปน็ ผู้ท่เี คยได้รบั โลหติ ต้องงดบริจาคโลหิต 1 ปี)
8. สตรอี ยู่ระหว่างมีรอบเดอื นไมเ่ ป็นข้อหา้ มในการบรจิ าคโลหติ ถา้ ขณะน้ัน
สุขภาพแข็งแรง มีโลหิตประจำ�เดือนไม่มากกว่าปกติ ไม่มีอาการอ่อนเพลียใด ๆ ตรวจ
ความเข้มข้นโลหิตผ่านก็สามารถบริจาคโลหิตได้
การเตรยี มตวั ก่อนมาบรจิ าคโลหติ
1. นอนหลับพกั ผอ่ นใหเ้ พยี งพออยา่ งน้อยไม่ต่ำ�กว่า 6 ชวั่ โมง
2. สขุ ภาพแขง็ แรงสมบรู ณ์ ไมอ่ ยใู่ นระหวา่ งทานยาแกป้ วด หรอื ยาแกอ้ กั เสบ
3. รบั ประทานอาหารกอ่ นมาบรจิ าคโลหติ ควรเปน็ อาหารทย่ี อ่ ยงา่ ยไมม่ ไี ขมนั
4. งดเคร่อื งด่มื ทม่ี แี อลกอฮอล์กอ่ นมาบริจาค อยา่ งนอ้ ย 24 ช่ัวโมง
5. งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาค 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี
6. กอ่ นบรจิ าคโลหิตควรดืม่ น้�ำ ประมาณ 3 - 4 แก้ว
เตรียมตวั ขณะบริจาคโลหติ
1. สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้
อยา่ งนอ้ ย 3 นวิ้
2. เลอื กแขนขา้ งทีเ่ สน้ โลหติ ดำ�ใหญ่ชัดเจน ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะไม่มี
ผนื่ คนั หรอื รอยเขยี วชำ้�ถา้ แพ้ยาทาฆ่าเชอ้ื เช่น แอลกอฮอล์ ให้แจ้งเจ้าหน้าท่ที ราบล่วงหน้า
3. ไม่ควรเคย้ี วหมากฝร่ัง หรืออมลูกอมขณะบรจิ าคโลหติ
4. ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำ�เสมอ เพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการชา อาการเจ็บ
ที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบทันที
5. หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบรอ้ ยนอนพกั บนเตยี ง 5 - 10 นาที การรีบลุก
จากเตียงอาจทำ�ให้เวียนศีรษะเป็นลมได้ ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดี จึงลุกไป
ด่ืมน้ำ�และรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรอง

ข้ันตอนการบริจาคโลหิต
1. กรอกแบบฟอรม์ ผบู้ รจิ าคโลหติ และวดั ความดนั โลหิตด้วยเคร่ืองอตั โนมัติ
2. ลงทะเบยี นรบั หมายเลขถงุ บรรจโุ ลหติ ทเ่ี คานเ์ ตอรล์ งทะเบยี นผบู้ รจิ าคโลหติ
3. ตรวจความเข้มโลหิตและสอบถามประวัติเพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัยเบื้องต้น
วา่ มีสขุ ภาพพรอ้ มที่จะบริจาคโลหติ หรือไม่
4. บริจาคโลหิตท่ีห้องรบั บริจาคโลหิต

123

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

5. พกั รับประทานอาหารที่เจ้าหน้าที่จัดไว้บริการให้และนั่งพักสักระยะหนึ่ง
เพอื่ ให้ร่างกายไดป้ รับสภาพนำ้�ในร่างกาย เมือ่ ปกตดิ ีแลว้ จงึ เดนิ ทางกลับ
การปฏิบัติตัวหลังจากการบริจาคโลหิต
1. พักรับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่มที่เจ้าหน้าที่จัดไว้บริการและ
นัง่ พักอย่างนอ้ ย 15 นาที ให้ดมื่ น้ำ�มากกว่าปกติ เปน็ เวลา 1 วัน
2. ไม่ควรรีบร้อนกลับ ควรนั่งพักจนแน่ใจว่าเป็นปกติ หากมีอาการเวียน
ศีรษะคล้ายจะเปน็ ลมหรอื ร้สู ึกผิดปกติ ให้รีบแจง้ เจา้ หน้าทีท่ ราบทันที
3. หลกี เลย่ี งการขน้ึ ลงลฟิ ท์ บนั ไดเลอ่ื น อาจท�ำ ใหร้ สู้ กึ วงิ เวยี นและเปน็ ลมได้
4. ถา้ มโี ลหติ ซมึ ออกมาจากรอยผา้ ปดิ แผล ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบน
ผ้าก๊อซ กดใหแ้ นน่ และยกแขนสงู ไวป้ ระมาณ 3 - 5 นาที หากยงั ไมห่ ยดุ ซมึ ใหก้ ลบั มายงั สถานท่ี
บรจิ าคโลหิตเพ่ือพบแพทย์หรือพยาบาล
5. หลกี เลย่ี งการท�ำ ซาวน่าหรือออกกำ�ลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมาก ๆ ไม่ใช้
ก�ำ ลังแขนทเ่ี จาะบรจิ าค เช่น หา้ มยกของหนกั เป็นเวลา 24 ชว่ั โมง หลงั การบริจาคโลหิต
6. ควรพกั ผอ่ นและหลกี เลย่ี งการท�ำ กจิ กรรมตอ่ เนอ่ื งเปน็ ระยะเวลานาน อาทิ
การเดนิ ซ้อื ของอยูใ่ นบริเวณทแี่ ออัดหรืออากาศร้อนอบอา้ ว เปน็ ต้น
7. ผู้บริจาคโลหิตที่ทำ�งานปีนป่ายที่สูง หรือทำ�งานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล
ควรหยดุ พกั 1 วนั
8. หลังจากบริจาคโลหิต ให้รับประทานอาหารตามปกติ ไม่จำ�เป็นต้อง
รับประทานอาหารเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยโลหิตที่บริจาค
9. รบั ประทานธาตุเหล็กวนั ละ 1 เม็ด จนหมดชดเชยธาตเุ หล็กทีเ่ สยี ไปจาก
การบรจิ าคโลหิตและป้องกนั การขาดธาตเุ หล็ก เพื่อให้สามารถบริจาคโลหติ ไดอ้ ย่างสม่ำ�เสมอ
10. การรับประทานธาตเุ หลก็ บ�ำ รุงโลหิต พร้อมกับเครื่องดื่มที่มีวิตามินซีสูง
เช่น น้ำ�ส้ม น้ำ�ฝรั่ง หรือน้ำ�มะเขือเทศ จะทำ�ให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี ยกเว้นชาเขียว
เพราะจะไปขดั ขวางการดูดซมึ ของธาตเุ หลก็
การบริจาคส่วนประกอบโลหติ การนำ�โลหิตไปใช้ และประโยชนข์ องการบริจาคโลหติ
การบริจาคพลาสมา (Single Donor Plasma)
พลาสมา (Plasma) คือ ส่วนประกอบของโลหิตที่มีลักษณะเป็นของเหลว
สีเหลอื งใส ซง่ึ ประกอบไปด้วยสารโปรตีน ได้แก่ อลั บมู ิน โกลบูลิน อิมมูโนโกลบลู นิ ปัจจัย
การ
แข็งตัวของเลือด เป็นต้น ซึ่งมีส่วนสำ�คัญในการรักษาปริมาณน้ำ�ภายในหลอดเลือด ต่อต้าน

124

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

ผู้ป่วยที่ตอ้ งใชพ้ ลาสมาในการรักษา ไดแ้ ก่
- ผู้ปว่ ยไฟไหม้ น้ำ�รอ้ นลวก
- ขาดปจั จัยแขง็ ตัวของเลือด
- พลาสมา ถูกนำ�ไปผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อผลิตเป็น
ผลิตภัณฑ์ 3 ชนิด
- แฟคเตอร์ VIII (Factor VIII) รักษาโรคฮีโมฟเี ลีย เอ
- อมิ มโู นโกลบลู ิน รักษาโรคภูมิคมุ้ กันตอ่ ต้านตวั เอง
- อัลบมู ิน (Albumin) รักษาไฟไหม้ น�้ำ รอ้ นลวก และโรคตบั
- ผลิตเซรุ่มป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี และเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
ในโครงการบรจิ าคพลาสมาเพ่อื ท�ำ เซรุม่
การบริจาคเกล็ดเลอื ด (Single Donor Platelets)
เกล็ดเลือด (Platelets) คือ ส่วนประกอบของเลือดช่วยทำ�ให้เลือดแข็งตัว และช่วย
อุดรอยฉีกขาดของเส้นเลือด เกล็ดเลือดมีอายุสั้นเก็บได้เพียง 7 วัน ในร่างกายของคนเรา
จะมีเกล็ดเลือดประมาณ 1- 5 แสนตัว/ลูกบาศก์มิลลิลิตร
ผู้ป่วยที่ต้องใช้เกล็ดเลือดในการรักษา ได้แก่ ไขกระดูกสร้างได้น้อย เช่น
โรคไขกระดูกฝ่อ ลูคีเมีย สูญเสียเกล็ดเลือดจำ�นวนมากจากการเสียเลือด เช่น ผ่าตัดใหญ่
ผา่ ตัดหัวใจ ตกเลือดในการคลอด อุบัติเหตุ เปน็ ตน้
การบริจาคเม็ดเลอื ดแดง (Single Donor Red Cels)
เม็ดเลือดแดง (Red Cells) เป็นส่วนประกอบชนิดหนึ่งของโลหิต มีหน้าที่ส่งถ่าย
ออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ตา่ ง ๆ ท่ัวร่างกาย อายุการท�ำ งานในกระแสโลหิต ประมาณ 120 วัน
ผู้ปว่ ยทีต่ ้องใชเ้ มด็ เลือดแดงในการรกั ษา ได้แก่
- ผู้ป่วยโรคเลือดที่สร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อย เช่น โลหิตจางธาลัสซีเมีย
ไขกระดูกฝ่อ เปน็ ต้น
- ผู้ปว่ ยทส่ี ูญเสยี เลือดจากการผา่ ตัดหวั ใจ อบุ ตั ิเหตุ ตกเลอื ดในการคลอด
การบรจิ าคโลหติ คือ การเสียสละโลหิตส่วนหนึ่งที่ร่างกายเหลือใช้ให้กับผู้ป่วย ซึ่ง
โลหิตส่วนเกินที่ร่างกายไม่ได้ใช้ประโยชน์ในปริมาณครั้งละ 350 - 450 มิลลิลิตร (ซีซี) หรือ
ประมาณ 6 - 7% ของปริมาณโลหติ ในรา่ งกายท้งั หมด โดยพจิ ารณาปริมาณโลหิตจากน้ำ�หนกั
ถ้าน้ำ�หนัก 1 กิโลกรัม จะมีโลหิต 80 มิลลิลิตร ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตรายแก่ผู้บริจาค เพราะ
รา่ งกายจะมปี รมิ าณโลหติ ประมาณ 17 - 18 แกว้ น�ำ้ แตร่ า่ งกายจะใชเ้ พยี ง 15 - 16 แกว้ น�ำ้
เทา่ นน้ั

125

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

การนำ�โลหิตไปใช้ โลหิตจากการบริจาคทั้งหมดจะนำ�ไปใช้รักษาผู้เจ็บป่วยโดย
จำ�แนกได้ ดังนี้
1. เม็ดเลือดแดง ใช้มากในผู้ป่วยที่สูญเสีย
โลหิตจากอุบัติเหตุ ผู้ป่วยที่ผ่าตัด หรือซีดจากความผิดปกติ
ของเมด็ เลือดแดง โรคโลหิตจางจากธาลัสซีเมีย
2. เมด็ เลอื ดขาว ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อ
มจี ำ�นวนเมด็ เลือดขาวนอ้ ย
3. เกลด็ โลหติ ใชใ้ นผปู้ ว่ ยทม่ี ภี าวะเกลด็ เลอื ดต�ำ่
มีปญั หาเลอื ดออกไมห่ ยุด เช่น ไข้เลอื ดออก มะเร็งเม็ดเลอื ดขาว
4. พลาสมา ใช้ในผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดเป็น

ประโยชนข์ องการบริจาคโลหิต
การทีเ่ ราเอาโลหติ ออกจากร่างกายในปริมาณทบี่ ริจาคไปน้นั จะชว่ ยกระตนุ้ ให้

ไขกระดกู
ผลิตเม็ดโลหิตใหม่ ๆ ขึ้นมาทดแทน ทำ�ให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นและทำ�ให้สุขภาพ
ร่างกายแข็งแรง ผ้ทู ่ีบรจิ าคเปน็ ประจำ�ทกุ 3 เดอื นจะไดร้ ับประโยชน์ดงั น้ี
1. ไดต้ รวจเชค็ สขุ ภาพร่างกายทกุ 3 เดือน 2. ไดต้ รวจซิฟิลิส

สิทธิประโยชน์จากการบริจาคโลหติ

โรงพยาบาลในสงั กัดกระทรวงสาธารณสขุ โรงพยาบาลในสงั กัดสภากาชาดไทย
จ�ำ นวน สิทธปิ ระโยชน์
(โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลสมเดจ็ พระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา)

จำ�นวน สิทธิประโยชน์

บรจิ าคโลหติ ช่วยเหลือค่าห้องพเิ ศษและคา่ อาหารพิเศษ บรจิ าคโลหติ เสียค่ารกั ษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยสามญั
1 ครงั้ ตามสิทธิทสี่ ามารถเบกิ ไดจ้ ากหนว่ ยงาน 7 คร้ัง
ต้นสังกัดกอ่ นสว่ นที่เกินสทิ ธิให้เรยี กเกบ็ 50%

บรจิ าคโลหติ ชว่ ยเหลอื ค่าห้องพิเศษและคา่ อาหารพเิ ศษ บรจิ าคโลหติ ไม่เสียค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วย
2 ครั้ง เรียกเก็บ 50% ของอตั ราที่ก�ำ หนดไว 24 สามญั
ครัง้ ขึ้นไป

นอกจากนน้ั ผบู้ ริจาคโลหติ จะไดร้ บั เขม็ ทีร่ ะลกึ เมือ่ บริจาคครบ 1 7 16 24 36 48 60 72
84 96 และ 108 คร้งั และได้รบั เหรยี ญกาชาดสมนาคุณชน้ั 3 2 1 เม่อื บรจิ าคโลหติ ครบครงั้ ที่
50 75 และ 100 คร้ัง

126

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

ท�ำ นายนิสัยจากหมูโ่ ลหติ

หมเู่ อ : A ไม่ชอบทะเลาะกับใคร หมู่บี : B นสิ ยั ร่าเรงิ

บุคคลใดมีหมู่โลหิตเอ เป็นคนมี บคุ คลทม่ี หี มโู่ ลหติ บี พรอ้ มจะ
ความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่ชอบโต้เถียงหรือ หวั เราะ
แสดงความคิดเห็นขัดแย้งกับใคร เพราะใน ได้ทุกเวลา เพราะมนี สิ ัยรา่ เรงิ รักอิสระเสรี
ใจคิดเสมอว่าความคิดของตนถูกต้อง จึงไม่ ตามใจตัวเอง ไม่แคร์สายตาคนอื่น ใครจะ
ต้องไปขอความคิดเห็นจากคนอื่น ข้อดีของ หมั่นไส้ใครจะไม่ชอบก็ช่าง ชอบทำ�งาน
ผู้ที่มีโลหิตหมู่นี้เป็นคนเอาใจเก่ง เห็นใจผู้อื่น แบบตัวคนเดียว ไม่ชอบการทำ�งานเป็นทีม
และตามใจผู้อื่นเสมอ ข้อเสีย ไม่มีความคิด แต่เป็นคนมีใจเด็ดเดี่ยวใจกว้าง และกล้า
รเิ ริม่ สร้างสรรค์ แสดงความคดิ เหน็

อาชพี ท่ีเหมาะสม คอื ชายควรรบั ราชการ อาชพี ท่เี หมาะสม คือ ศิลปิน ผู้สื่อข่าว
หญงิ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ท่ีดี นักประชาสัมพันธ์ หากทำ�งานในองค์กร
ครู่ ักทเ่ี หมาะสม หมูเ่ อ และ หมู่บี ใหญม่ โี อกาสได้เปน็ ผบู้ ริหาร
ครู่ ักทเี่ หมาะสม หมบู่ ี คกู่ บั หมบู่ ี ดีทีส่ ุด

หมู่โอ : O ผมู้ คี วามสขุ มุ เยอื กเย็น หมูเ่ อบี : AB ไม่มีความแนน่ อน

ผู้มโี ลหติ หมูโ่ อ มคี วามสขุ มุ รอบคอบ หากตอ้ งใหผ้ ทู้ ม่ี หี มโู่ ลหติ เอบตี ดั สนิ ใจ
ตัดสินใจด้วยเหตุผล ไม่ชอบเพ้อฝัน มักจะ ละก็มักจะทำ�ให้เราผิดหวัง หรือไม่เขา้ ใจใน
เป็นผู้ที่มีงานทำ�เป็นหลักเป็นฐาน และหน้าที่ ตัวเขาหรอื เธอ ทั้งนี้เพราะผู้ที่มีหมโู่ ลหติ เอบี
การงานก็จะดีเป็นพิเศษ ข้อดี เป็นผู้ที่มีนสิ ัย มีอารมณ์อ่อนไหว คิดมาก หรือไม่ก็คิดไกล
โอบออ้ มอารี รักเพ่ือนพอ้ ง เปน็ ผบู้ ังคับบัญชา จนคนอื่นตามไม่ทัน ทำ�ให้ผู้ใกล้ชิดเดาใจ
ทด่ี ี เปน็ ทร่ี กั ใครโ่ ปรดปรานของเจา้ นาย ขอ้ เสยี ไมถ่ ูก ข้อดีของหมู่โลหิตนี้มีใจเมตตาเห็นใจ
ไม่คอ่ ยมีจินตนาการ และเคม็ นิด ๆ ในความทุกขข์ องผอู้ ืน่ เสมอ และยนิ ดชี ว่ ยแก้

ปัญหา ข้อเสียมีอารมณ์รุนแรง รักใครรักสุด
หัวใจ เกลียดใครเกลียดเข้ากระดูกดำ�

อาชพี ทเี่ หมาะสม คอื ทนายความ หรอื อาชีพทเี่ หมาะสม คอื นักประดิษฐ์คิดค้น
ผตู้ รวจสอบบญั ชี หรอื งานทม่ี คี วามมน่ั คงมาก ๆ เพราะมีความเป็นอัจฉริยะอยู่
ครู่ ักทีเ่ หมาะสม หมโู่ อไปไดด้ ีกับหมเู่ อบี ครู่ กั ทเ่ี หมาะสม ทกุ หมู่ ยกเวน้ หมเู่ อบี ดว้ ยกนั

127

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

2. การบรจิ าคดวงตา
การถนอมดวงตา
เพื่อให้ดวงตาอยู่ในสภาพปกติอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา เราจึงควรถนอมดวงตา
ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. หลีกเลี่ยงโรคติดต่อท่มี อี ันตรายต่อดวงตา เช่น โรคหนองใน โรคตาแดง
2. เลี้ยงลูกด้วยนมแม่และให้อาหารเสริมแก่เด็กตามวัย ควรรับประทานอาหารที่มี
ประโยชน์ เช่น เนื้อ นม ไข่ ตบั ผกั ใบเขยี ว ผลไม้
3. หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่ตา ถ้ามีฝุ่นผงเข้าตาควรลืมตาในน้ำ�สะอาด ถ้าเศษผง
ไมอ่ อก ควรพบแพทยโ์ ดยดว่ น ไมค่ วรซอื้ ยาหยอดเอง
4. ตรวจสขุ ภาพปีละ 1 คร้งั
5. เป็นโรคตาควรปรึกษาจักษุแพทย์
6. สวมแว่นปอ้ งกันแสงแดดจ้า ลมหรอื ฝุน่ ละออง
ขอ้ ควรทราบเกย่ี วกับการบรจิ าคดวงตา
1. การแสดงความจำ�นงบริจาคดวงตาเป็นการบอกเจตนารมณ์ของผู้มีชื่อบนบัตร
ซึ่งได้เขียนใบแสดงความจำ�นงอุทิศดวงตามอบไว้กับศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย ว่าเมื่อ
เสียชวี ิตแลว้ ขออุทิศดวงตา ใหส้ ภากาชาดไทยนำ�ไปให้ประโยชนแ์ ก่ผู้ต้องการดวงตาต่อไป
2. ผู้เสียชีวิตที่สามารถนำ�ดวงตาไปใช้ประโยชน์ได้ ต้องไม่เสียชีวิตด้วยโรคที่อาจ
ติดต่อกับผู้ป่วยในการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา เช่น โรคเอดส์ มะเร็งเม็ดเลือดขาว ไวรัส
ตับอักเสบบี ตับอักเสบซี โรคติดเชื้อในกระแสเลือด ฯลฯ
3. ศพของผู้อุทิศดวงตายังไม่ผ่านกระบวนการเก็บรักษาด้วยการฉีดน้ำ�ยารักษาศพ
4. การเก็บดวงตาต้องได้รับการยินยอมจากญาติก่อน และญาติผู้มีอำ�นาจยินยอม
ตอ้ งลงนามในใบยนิ ยอมมอบดวงตา และมที ายาทหรือพยานลงนามไมน่ อ้ ยกว่า 2 คน
5. ภายหลงั ถึงแก่กรรม ดวงตาจะเร่ิมเสื่อมคณุ ภาพ ดังนั้นจำ�เป็นต้องรีบเก็บดวงตา
ให้เรว็ ท่ีสดุ อย่างช้าไม่ควรเกิน 6 ชม. ถา้ ช้าไปดวงตาอาจใชไ้ ม่ได้หรือไมด่ เี ทา่ ทค่ี วร
6. หลังจากเกบ็ ดวงตาแล้ว แพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะทำ�การตกแต่งเย็บปิดดวงตาให้
อยใู่ นสภาพปกติ ไม่ทำ�ให้สภาพของใบหน้าเปล่ียนแปลงใด ๆ ทั้งสน้ิ
7. การจัดเก็บดวงตาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะดำ�เนินการตามกระบวนการอย่าง
ระมัดระวังที่สุดด้วยความเคารพในเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเพื่อให้สามารถนำ�ดวงตา
ไป
ใช้ประโยชนไ์ ด้สงู สุด
8. เมอ่ื มผี เู้ สยี ชวี ติ และญาตติ อ้ งการบรจิ าคดวงตา กรณุ าโทรแจง้ ท่ี 02 - 256 - 4039 - 40
หรือ 081 - 902 - 5938

128

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

การจดั สรรดวงตาท่ไี ด้รบั บรจิ าค
ศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทยมีการจัดสรรดวงตาให้ผู้ป่วยกระจกตาที่ขึ้นทะเบียนกับ
ศนู ย์ดวงตาอยา่ งเท่าเทียมและยุติธรรม
การตอบแทนผู้บริจาคดวงตา เมอื่ ศนู ยด์ วงตาได้รับดวงตามาใชป้ ระโยชน์แล้ว
1. จดั ดอกไม้หรือพวงหรดี ไปเคารพศพผูบ้ ริจาค
2. มอบเกยี รติบัตรของสภากาชาดไทย ยกย่องคณุ ความดขี องผบู้ ริจาคดวงตา
3. ขอพระราชทานเพลงิ ศพหรอื ดนิ ฝงั ศพใหเ้ ปน็ กรณพี เิ ศษเมอ่ื ทายาทมคี วามประสงค์
4. ขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีอุปการคุณสภากาชาดไทยระดับทอง (4.4) ให้ทายาทของ
ผบู้ รจิ าคดวงตา 1 คน
สิทธิประโยชนข์ องผู้มอี ปุ การคุณสภากาชาดไทย ที่บริจาคดวงตา ระดบั ทอง (4.4)
1. ไดร้ ับลดหย่อนคา่ รกั ษาพยาบาลผปู้ ่วยนอก (OPD) 50% ค่ารกั ษาพยาบาลผปู้ ว่ ย
ใน
(IPD) 50% เมอ่ื เขา้ รบั การรกั ษาตวั ในโรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ และโรงพยาบาลสมเดจ็ พระราชเทวี
ณ ศรีราชา รวมถงึ ได้รับการตรวจสุขภาพฟรปี ระจำ�ปี
2. ไดร้ บั การลดหยอ่ นคา่ หอ้ งพเิ ศษและคา่ อาหารพเิ ศษตามระเบยี บกระทรวงสาธารณสขุ
เมอ่ื เข้ารับการรกั ษาตัวในโรงพยาบาลสงั กัดกระทรวงสาธารณสุข

ใบแสดงความจำ�นงในการบริจาคดวงตา
สามารถดาวน์โหลดไดท้ ี่ http://eyebankthai.redcross.or.th/?page_id=744

129

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

ตัวอยา่ ง บัตรผ้แู สดงความจำ�นงอทุ ศิ ดวงตา

3. การบริจาคอวยั วะ
การบริจาคอวยั วะ คอื การใหอ้ วยั วะเพอ่ื น�ำ ไปปลกู ถา่ ยใหก้ บั ผปู้ ว่ ยทห่ี มดหวงั จากการ
รกั ษาด้วยวิธอี ่ืน ๆ ถือเป็น “ของขวัญเพอ่ื ชีวติ ” ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “อปุ บารมีทาน”

ทำ�ไมตอ้ งบริจาค อวยั วะ
.............................................................................
วันหนงึ่ ขา้ งหนา้ ..คุณอาจจะเป็นผแู้ สดงความขอบคุณ ในฐานะผ้ไู ดร้ บั อวยั วะ

เพือ่ ตอ่ ชีวิตของคณุ เอง หรอื ผใู้ กล้ชิด
หรือ... คณุ อาจจะเปน็ ผู้ให้อวัยวะเพ่ือชว่ ยตอ่ เติมความหวังให้กับคนอื่น ๆ

.............................................................................
การปลูกถ่ายอวัยวะในปัจจุบัน เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยต่อชีวิตใหม่ให้แก่ผู้ป่วยที่
หมดหวงั ทจ่ี ะรกั ษาดว้ ยวธิ กี ารอน่ื ๆ เพอ่ื ใหม้ ชี วี ติ อยตู่ อ่ ไปได้ ปจั จยั ส�ำ คญั ทส่ี ดุ ในการรกั ษา คอื
การใหไ้ ดม้ าซง่ึ อวยั วะบรจิ าคจากผเู้ สยี ชวี ติ ในประเทศไทยแตล่ ะปคี าดคะเนวา่ มผี เู้ สยี ชวี ติ ทอ่ี ยู่
ในเกณฑ์บริจาคอวัยวะได้เกือบ 2,000 คน แต่ในความเป็นจริงยังมีข้อจำ�กัดในการนำ�อวัยวะ
บริจาคจากผู้เสียชีวิตมาใช้รักษาผู้ป่วยอยู่มาก อุปสรรคที่สำ�คัญคือการขาดความเข้าใจที่
ถกู ต้องเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะภายหลังที่เสียชีวิตแล้วทั้งในวงการแพทย์และสาธารณชน
การส่งตัวผู้ป่วยที่เสียชีวิตแล้วจากโรงพยาบาลนอกปริมณฑล กรุงเทพมหานคร รวมทั้งการ
ประสานงานระหว่างสถาบันต่าง ๆ ทำ�ให้อวัยวะที่ได้มาต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
อุปสรรคดังกล่าวนอกจากเป็นสาเหตุให้เกิดการสูญเสียอวัยวะบริจาค อันเป็นทรัพยากร
ทางการแพทย์ที่สำ�คัญเป็นจำ�นวนมาก แล้วยังเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดความเหลื่อมล้ำ�ใน
การนำ�อวัยวะบริจาคไปใช้ในการรักษา ตลอดจนอาจนำ�ไปสู่การซื้อขายอวัยวะในที่สุด

130

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

สภากาชาดไทยได้พิจารณาเห็นว่าเป็นการสมควรที่จะเข้ามาช่วยเหลือ โดยเป็น
ศนู ยก์ ลางในการด�ำ เนนิ การ เพราะเปน็ องคก์ รกลางการกศุ ล ไดร้ บั ความไวว้ างใจจากสาธารณชน
และวงการแพทย์ จึงได้เริ่มเสนอโครงการจัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะแห่งสภากาชาดไทย
โดยไดแ้ ต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการจัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม
2531 และคณะกรรมการฯ นี้ได้มีการประชุมร่วมกับแพทย์จากสถาบันต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและ
เอกชน หลังจากนัน้ ไดเ้ สนอโครงการจดั ต้งั ศนู ย์ฯ ตอ่ คณะกรรมการเจ้าหน้าท่ี และไดร้ ับอนุมตั ิ
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2531 จากนั้นเสนอให้คณะกรรมการสภากาชาดไทยรับทราบเมื่อ
วนั ที่ 5 กนั ยายน 2531 ต่อมาได้มีคำ�สั่งจัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะแห่งสภากาชาดไทยเป็น
การภายใน ในสังกัดของสำ�นักงานกลางเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2533 แต่เนื่องจากยังขาด
สถานทีท่ �ำ ใหไ้ มส่ ามารถด�ำ เนินการได้ในขณะนั้น ในชว่ งปี พ.ศ. 2536 อันเปน็ โอกาสครบรอบ
100 ปี สภากาชาดไทย ดังนั้นจึงได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะ และแต่งตั้งคณะกรรมการ
อำ�นวยการศูนย์ฯ ขึ้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2536 โดยมี พลตำ�รวจเอกเภา สารสิน
เปน็ ประธานกรรมการ และในตน้ ปี 2537 ไดจ้ ดั หาสถานทท่ี �ำ การของศนู ยฯ์ และไดเ้ รม่ิ ปฏบิ ตั ิ
งาน
การปลกู ถ่ายอวยั วะ
คอื การผา่ ตดั อวยั วะใหมเ่ ปลย่ี นแทนอวยั วะเดมิ ทเ่ี สอ่ื มสภาพจนไมส่ ามารถท�ำ หนา้ ท่ี
ต่อไปได้ เป็นการช่วยผู้ป่วยในระยะสุดท้ายให้กลับมามีชีวิตใหม่ ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เพื่อ
สปมระอโงยตชานย์ต่อครอบครัวและสังคมต่อไป
คอื ภาวะที่แกนสมองถูกทำ�ลายจนสูญเสียการทำ�งานโดยสิ้นเชิงและถาวร ถึงแม้
กระตุ้นด้วยวิธีใด ๆ ก็จะไม่ตอบสนอง ไม่มีการไอ จาม ไม่สามารถหายใจเองได้ และแม้จะ
ใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจหรอื ยากระตนุ้ ใด ๆ กไ็ มส่ ามารถเยยี วยารกั ษาใหก้ ลบั มาฟน้ื คนื ชวี ติ ไดอ้ กี
ถือไดว้ ่าผ้นู นั้ เสยี ชีวติ แลว้
ทำ�ไมอวยั วะของผเู้ สยี ชวี ติ สมองตายจึงนำ�ไปปลูกถา่ ยได้
อวัยวะส่วนอื่น ๆ ของผู้เสียชีวิตสมองตายยังทำ�งานอยู่ได้ เนื่องจากการใส่เครื่อง
ชว่ ยหายใจไว้ ทำ�ให้ร่างกายได้รับออกซิเจน หัวใจก็สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วน
ตา่ ง ๆ ของรา่ งกายได้ โดยอาจจะไดร้ ับยากระต้นุ หัวใจร่วมดว้ ย ถ้าการทำ�งานของอวัยวะอยู่
ในสภาพเหมาะสมจะสามารถบริจาคอวัยวะเพือ่ ช่วยเหลือชวี ิตผู้อ่ืนได้

131

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

อวัยวะท่ไี ดร้ บั บรจิ าค จะน�ำ ไปใหใ้ คร
ด้วยอวยั วะทไ่ี ดร้ บั บรจิ าคมาเปน็ สง่ิ ทม่ี คี ณุ คา่ ยง่ิ ศนู ยร์ บั บรจิ าคอวยั วะจงึ จดั สรรใหแ้ ก่
ผู้รออวัยวะที่ลงทะเบียนไว้กับศูนย์รับบริจาคอวัยวะ ตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคและทายาท
เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสุดดว้ ยความเปน็ ธรรมโดยมีหลักการดงั นี้
เสมอภาค ไม่แบ่ง
ผู้รอรับอวัยวะทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการได้รับอวัยวะ
เพศ

มนษุ ยธรรม
ผปู้ ่วยท่ีได้รับการปลูกถ่ายหัวใจ ปอด ตับ ท่ีมอี าการหนัก ได้รับการจัดสรร
อวัยวะใหก้ อ่ น

ถูกหลักวชิ าการ
โดยพจิ ารณาจาก
หม่โู ลหิต
ความเข้ากันไดข้ องเน้ือเยื่อของผูบ้ รจิ าคและผูร้ ับอวยั วะ
ระดบั ภูมติ ้านทานตอ่ เน้อื เย่อื
ระยะเวลาทรี่ ออวัยวะ
อายุ
โปร่งใส
ตรวจสอบข้อมลู ได้
รายงานการจดั สรรอวัยวะแกค่ ณะอนุกรรมการวิชาการทุก 3 เดอื น

ไมม่ ีการซ้ือขาย
ไม่มกี ารใหค้ า่ ตอบแทนแกญ่ าติผู้บรจิ าค
ไมเ่ รียกเกบ็ ค่าอวัยวะจากผู้รบั อวัยวะ

การแสดงความจ�ำ นงบรจิ าคอวัยวะ
คอื การบอกเจตนารมณ์ของบุคคลนั้นวา่ มีความประสงค์บริจาคอวัยวะของตนเอง
ภายหลังจากเสียชีวิตแล้วเพื่อไปช่วยเหลือผู้ป่วยอื่น ด้วยการปลูกถ่ายอวัยวะโดยไม่หวัง
สิ่งตอบแทนใด ๆ

132

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

ผู้ทีส่ ามารถแสดงความจำ�นงบรจิ าคอวัยวะได้
บุคคลทกุ เพศ ทุกวยั ทุกเชือ้ ชาติ ที่สุขภาพแขง็ แรง ปราศจากโรคตดิ เช้อื โรคมะเรง็
สามารถแสดงความจำ�นงบริจาคอวัยวะได้ การแสดงความจำ�นงบริจาคอวัยวะไม่ต้องมี
การตรวจร่างกายใด ๆ การตรวจร่างกายจะกระทำ�เมื่อผู้นั้นอยู่ในภาวะสมองตายแล้ว เพือ่
ประเมนิ สภาพการทำ�งานของอวยั วะว่าเหมาะสมสำ�หรบั นำ�ไปปลูกถา่ ยให้แก่ผูป้ ่วยอนื่ หรอื ไม่
ขอ้ กำ�หนดในการบรจิ าคอวยั วะ
1. ผู้บริจาคอวยั วะตอ้ งมอี ายไุ มเ่ กิน 60 ปี
2. เสียชีวติ จากภาวะสมองตายด้วยสาเหตตุ ่าง ๆ
3. ปราศจากโรคติดเชื้อและโรคมะเรง็
4. ไม่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต โรคความดันโลหิตสูง
โรคตับและไม่ติดสุรา
5. อวัยวะทจ่ี ะนำ�ไปปลกู ถ่ายต้องท�ำ งานได้ดี
6. ปราศจากเชื้อที่ถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี
ไวรัสเอดส์ ฯลฯ
บรจิ าคแล้วมอบให้ทง้ั ร่างกายหรือไม่
การบริจาคอวัยวะ คอื การบริจาคเฉพาะอวัยวะภายในที่ใช้ประโยชน์ได้ เช่น หัวใจ
ตับ ปอด ไต ฯลฯ เพื่อนำ�ไปปลูกถ่ายช่วยเหลือผู้ป่วย เมื่อแพทย์ได้ผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว
จะมอบร่างให้ญาตินำ�ไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป ซึ่งแตกต่างจากการอุทิศร่างกาย
เพือ่ การศึกษาของแพทยท์ จ่ี ำ�เปน็ ตอ้ งรบั ไปทัง้ ร่างกาย
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มีชีวิตเราสามารถแสดงความจำ�นงบริจาคได้ทั้งอวัยวะและ
ร่างกาย เนื่องจากการพิจารณาว่าบุคคลนั้น สามารถบริจาคอวัยวะหรือร่างกายได้หรือไม่
ต้องพิจารณาจากสาเหตกุ ารเสียชวี ติ และการทำ�งานของอวัยวะขณะนน้ั

133

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

หัวขอ้ เรื่อง การดแู ลผูส้ ูงอายุ

วัตถุประสงค์

เพื่อใหผ้ เู้ ข้ารบั การอบรม
1. มีความรู้ ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจและสังคมของ
ผู้สูงอายุ
2. มีความรู้ ความเขา้ ใจในบทบาทของผ้ดู แู ลผูส้ ูงอายุและการอยูร่ ่วมกนั กับผสู้ งู อายุ
3. มีความรู้ ความเข้าใจในการสง่ เสริมสขุ ภาพผูส้ งู อายุ โดยใช้หลัก 8 อ.

ขอบข่ายเนอ้ื หา

1. การเปล่ยี นแปลงทางดา้ นรา่ งกาย จิตใจและสงั คมของผู้สูงอายุ
2. บทบาทของผดู้ แู ลผูส้ งู อายุและการอยู่ร่วมกันกับผู้สงู อายุ
3. การส่งเสริมสขุ ภาพผู้สูงอายุ โดยใชห้ ลกั 8 อ.

สื่อและอุปกรณ์

1. สื่อ PowerPoint เรอื่ งการเปลยี่ นแปลงของผสู้ ูงอายุ บทบาทของผดู้ แู ลผูส้ ูงอายุ
2. คมู่ ืออบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สูตรพืน้ ฐานยุวกาชาด
3. วีดทิ ัศน์ เร่ือง อุ๊ต๊ะ!! ย่าทวดเป่าเคก้ วันเกดิ ครบรอบ 102 ปี พอเป่าเทา่ น้ันแหละ!!
สุดฮา
4. กระดาษโพสท์อทิ
5. กระดาษฟลปิ ชาร์ท
6. บอรด์
7. ปากกาเคมี

เวลา 3 ชว่ั โมง
การประเมินผล

1. การตอบค�ำ ถามของผเู้ ข้ารับการอบรม
2. การสงั เกตการฝกึ ปฏบิ ตั ิ

134

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

แนวการดำ�เนนิ กิจกรรม
1. วทิ ยากรน�ำ สนทนา และแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ เรอ่ื งการเปลย่ี นแปลงของผสู้ งู อายุ
โดยการตั้งคำ�ถามว่า เมือ่ เขา้ สู่วัยผสู้ ูงอายุมกี ารเปลี่ยนแปลงอะไรบา้ ง
2. วทิ ยากรแจกโพสทอ์ ทิ ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมเขยี นการเปลย่ี นแปลงของผสู้ งู อายคุ นละ 1
อย่าง แล้วนำ�ไปติดบอร์ด โดยแยกลักษณะการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุ ทั้งด้านร่างกาย
ด้านจิตใจและด้านสังคม จากนั้นวิทยากรอ่านข้อความต่าง ๆ ที่ติดบนบอร์ดเพื่อทวนความ
เข้าใจร่วมกบั ผูเ้ ข้ารับการอบรม
3. วิทยากรใช้กจิ กรรม “ฟงั อยา่ งตง้ั ใจ” ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมจบั คู่และหนั หนา้ เขา้ หา
กนั โดยคนท่ี 1 เอามือปิดหทู ง้ั 2 ขา้ งและคนท่ี 2 เล่าเรือ่ งที่ประทับใจของตนเองด้วยน�ำ้ เสยี ง
ปกติ
3.1 วิทยากรสอบถามผู้เข้ารบั การอบรมคนท่ี 1 โดยใช้คำ�ถามวา่
- รู้สึกอยา่ งไร ไดย้ ินชัดเจนไหม
- จบั ประเด็นเนือ้ หาอะไรไดบ้ ้าง
3.2 วทิ ยากรสอบถามผู้เข้ารับการอบรมคนที่ 2 โดยใชค้ ำ�ถามว่า
- รู้สึกอย่างไรที่ต้องเล่าเรื่องของเราโดยคนฟังเอามือปิดห​ู
ต่อจากนั้นวทิ ยากรสรุปโดยเปรียบเทยี บวา่ คนท่เี อามือปดิ หู คือ ผูส้ งู อายุ ซ่งึ สญู เสียการได้ยิน
จะมอี าการหตู งึ ไดย้ นิ ไมช่ ดั เจนเปน็ การเปลย่ี นแปลงของรา่ งกายอยา่ งหนง่ึ ฉะนน้ั คนทพ่ี ดู คยุ
ดว้ ย
ต้องตระหนักว่าการใช้น้ำ�เสียงกับผู้สูงอายุควรใช้เสียงแบบไหน
4. วทิ ยากรใชก้ ิจกรรม “ปิดตาอา่ นหนังสอื ” ให้ผู้เข้ารับการอบรมอ่านหนังสือโดย
ครง้ั ท่ี 1 ให้อา่ นหนงั สอื โดยยืน่ แขนไปขา้ งหน้าให้ตงึ
ครง้ั ที่ 2 ใหอ้ า่ นหนงั สอื โดยยน่ื แขนไปขา้ งหนา้ ใหต้ งึ และใชม้ อื ขา้ งใดขา้ งหนง่ึ
ปิดตา
ต่อจากนั้นวิทยากรสรุปโดยเปรียบเทียบว่า การเอามือปิดตา คือ ผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลง
ทางด้านสายตา เลนส์ตาเสื่อมการปรับระยะภาพสายตาจะยาว ซึ่งส่งผลต่อความสามารถ
ในการดำ�เนินชีวิตประจำ�วัน
5. วทิ ยากรใช้สอื่ PowerPoint อธบิ ายเร่ืองการเปลี่ยนแปลงด้านจติ ใจและสังคมของ
ผสู้ งู อายุ จากนน้ั รว่ มกนั สรปุ เรอ่ื ง การเปลย่ี นแปลงของผสู้ งู อายทุ ง้ั ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจและสงั คม
6. วิทยากรแจกกระดาษฟลิบชาร์ทให้หน่วยสีละ 1 แผ่น แล้วให้วาดรูปผู้สูงอายุลง
ในกระดาษฟลบิ ชาร์ท โดยก�ำ หนดช่ือ เพศ อายุ และให้เขียนคำ�ถามด้านขวาของกระดาษว่า
ถ้าเราเป็นผู้สูงอายุคนนี้เราอยากได้ผู้ดูแลแบบไหน ให้แต่ละหน่วยสีช่วยกันระดมความคิด
และเขียนลงในฟลิบชาร์ท วิทยากรสุ่มเลือกหน่วยสีออกมานำ�เสนอผลงาน
7. วิทยากรใช้คำ�ถาม ถ้าเราเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุเราอยากดูแลผู้สูงอายุแบบไหน
ให้ผูเ้ ข้ารับการอบรมรว่ มกนั ตอบค�ำ ถาม 135
ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

8. วิทยากรใชส้ ่อื PowerPoint อธบิ ายเพิม่ เติมเรื่องบทบาทของผ้ดู แู ลผสู้ งู อายุ
9. วทิ ยากรเปดิ สอ่ื วดี ทิ ศั น์ เรอ่ื ง อตุ๊ ะ๊ !! ยา่ ทวดเปา่ เคก้ วนั เกดิ ครบรอบ 102 ปี พอเปา่
เทา่ นน้ั แหละ!! สดุ ฮา ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมดู ตอ่ จากน้นั วิทยากรถามผเู้ ขา้ รบั การอบรมว่า รสู้ กึ
อย่างไรกับการรับชมวีดิทัศน์ โดยวิทยากรเชื่อมโยงถึงความต้องการของผู้สูงอายุ การดแู ล
เอาใจใส่และความห่วงใยจากครอบครัวนำ�มาซึ่งการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
10. วทิ ยากรใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรม ศกึ ษาคมู่ อื การอบรมอาสายวุ กาชาดฯ เรอ่ื งการดแู ล
ผู้สูงอายุและตอบคำ�ถามในใบกิจกรรม 8 อ. ต่อจากนั้นวิทยากรสรุปให้ความรู้เพิ่มเติมเพื่อ
ความชัดเจน
11. วิทยากรเปิดโอกาสให้ผู้เข้ารับการอบรมซักถาม และร่วมกนั สรปุ เนอ้ื หาทอ่ี บรม
โดยมีความสำ�คัญคือ “การที่ผู้สูงอายุได้มีโอกาสอยู่ในครอบครัวจนสิ้นชีวิต จะเป็นผลดี
ด้วยกันทั้งผู้สูงอายุ ลูกหลานและสังคมโดยรวม สมควรที่พวกเราทุกคนจะรักษาประเพณี
วัฒนธรรมในเรื่องนี้ให้ยั่งยืนต่อไป ผู้สูงอายุเองก็ควรปรับปรุงตนเองให้เข้ากับภาวะการณ์ของ
โลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยพยายามช่วยเหลือตนเองให้มากขึ้น และฝ่ายลูกหลานก็ต้องเข้าใจ
บทบาทของตนเอง เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุที่ต้องการได้รับการดูแลช่วยเหลือที่
เหมาะสม”

สาระส�ำ คญั ท่ไี ดจ้ ากกิจกรรม

ผูเ้ ขา้ รับการอบรมมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในการเปลย่ี นแปลงของผสู้ งู อายใุ นดา้ นตา่ ง ๆ
ความเขา้ ใจในบทบาทของการเปน็ ผดู้ แู ลผู้สงู อายแุ ละการอยรู่ ่วมกนั กบั ผู้สูงอายุ

136

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

เนอื้ หาเรอื่ ง การดูแลผสู้ ูงอายุ

การดแู ลผ้สู ูงอายุ
ผสู้ ูงอายุ หมายถงึ ผ้ทู ี่มอี ายตุ ้ังแต่ 60 ปขี ้นึ ไป ท้ังน้ี ผสู้ งู อายจุ ะเรม่ิ มกี ารเปลย่ี นแปลง
ทั้งร่างกายและจิตใจ ในระยะอายุ 60 - 70 ปี ความเปลี่ยนแปลงอาจยังเห็นไม่ชัดเจนนัก
แต่เมื่ออายุระหว่าง 70 - 80 ปี จะเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้น และจะเห็นชัดเจน
ที่สุด
เมอ่ื อายเุ ลย 80 ปไี ปแลว้ ยง่ิ สงู อายขุ น้ึ ยง่ิ มคี วามเสอ่ื มของอวยั วะตา่ ง ๆ มากขน้ึ ตามธรรมชาติ
1. การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จติ ใจและสังคมของผู้สงู อายุ

การเปล่ียนแปลงของระบบต่าง ๆ ในรา่ งกาย
เมอ่ื อายเุ พม่ิ ขน้ึ การเปลย่ี นแปลงของอวยั วะตา่ ง ๆ
กม็ กี ารเปลย่ี นแปลงไป การทำ�หนา้ ทขี่ องอวยั วะตา่ ง ๆ เริ่ม
ลดนอ้ ยลง มคี วามเสอ่ื มของเนอ้ื เยอ่ื ตา่ ง ๆ ในรา่ งกาย เมอ่ื
บุคคลเข้าสู่วยั สงู อายจุ ะมกี ารเปลย่ี นแปลงทางดา้ นรา่ งกาย
ซง่ึ เกดิ จากการเสอ่ื มของอวยั วะตา่ ง ๆ ทกุ ระบบ ดังนี้
ผิวหนงั
หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังจะหนา การซึมผ่านของออกซิเจนและอาหารเข้าสู่เซลล์
เนอ้ื เยอ่ื ต่ำ� ความแข็งแรงของผวิ หนังลดลง แตกงา่ ย เหย่ี วย่น ผิวหนงั ขาดการตงึ ตวั ต่อมเหง่อื
ท�ำ งานลดลง ขบั เหงื่อได้น้อยทำ�ให้ผิวหนังแห้ง กระดา้ ง บางครั้งเป็นสาเหตุทำ�ให้เกิดผื่นคัน
ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ไม่ดี เกิดความร้อนและหนาวไม่คงที่ นอกจากนี้ไขมันใต้
ผิวหนังจะลดลงที่บริเวณใบหน้าและหลังมือ แต่ผิวหนังบริเวณหน้าท้องและต้นขาจะเพิ่มขึ้น
บรเิ วณทไ่ี ขมนั ลดลงนจ้ี ะท�ำ ใหผ้ วิ หนงั ไดร้ บั อนั ตรายไดง้ า่ ย รวมทง้ั เกดิ แผลกดทบั ไดง้ า่ ย
ปากและฟนั
ผูส้ งู อายุโดยทัว่ ไปมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการรบั ประทานอาหาร กล่าวคือ ฟนั จะ
หลดุ
และกล้ามเนื้อในการเคี้ยวมีแรงน้อยลง ตลอดจนกล้ามเนื้อในการกลืนก็เปลี่ยนแปลงด้วย
หลายคนต้องใชฟ้ ันปลอม ตอ่ มรบั รสจะมจี �ำ นวนลดลง ประมาณ 2 ใน 3 และสว่ นทเี่ หลอื ก็จะ
ฝ่อลบี ลง การรบั รสทางลน้ิ ท�ำ หน้าทไี่ ดน้ ้อยลงไปประมาณ 10 - 30 เปอรเ์ ซ็นต์ ทำ�ใหผ้ ้สู งู อายุ
ไม่รู้สึกอร่อยในรสอาหารเท่าที่ควรอย่างที่ชาวบ้านเรียกวา่ ล้ินจืด การรับรสหวานจะสญู เสยี
กอ่ นรสเปร้ยี ว เคม็ ขม จงึ เป็นเหตใุ ห้ผู้สงู อายรุ ับประทานอาหารรสหวานมากยงิ่ ขนึ้ นอกจาก
น้ันตอ่ มน้ำ�ลายจะขบั น�ำ้ ลายออกไดน้ อ้ ยท�ำ ให้ปากแห้ง

137

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

ตา
เมื่ออายมุ ากขน้ึ เลนสต์ าเสอ่ื มความสามารถในการปรบั ระยะภาพสายตาจะยาว เนอ่ื งจาก
ความยืดหยุ่นของเลนส์ลดลง การปรับกำ�ลงั ขยายเพอ่ื ดขู องใกล้เป็นไปไดไ้ มด่ ี โดยจะพบเมอ่ื
มีอายุ 40 ปีขน้ึ ไป เกิดวงแหวนขุ่นขาวรอบตาดำ� เนอ่ื งจากมีไขมันมาเกาะจับเนื้อเยื่อโดยรอบ
ความดันในลูกตาสงู มีโอกาสเกิดต้อหิน (Glaucoma) ได้ง่าย การผลิตน้ำ�ตาลดลง ทำ�ให้
ตาแหง้ และเกดิ การระคายเคอื งตอ่ เยอ่ื บตุ าไดง้ า่ ย บางรายอาจพบมนี �ำ้ ตามากกวา่ ปกติ ซง่ึ เกดิ จาก
การอุดตนั ของทอ่ น�ำ้ ตา โดยทวั่ ไปผสู้ งู อายสุ ามารถแยกสแี ดง สม้ และเหลอื งได้ดีกวา่ สนี �้ำ เงิน
ม่วงและเขียว การเลือกใช้สีที่เห็นได้ชัดเจนในการตกแต่งบ้าน จะช่วยลดอันตรายเนื่องจาก
อบุ ตั เิ หตภุ ายในบา้ นได้
หู
การสูญเสียความสามารถของการได้ยินพบได้ในผู้สูงอายุ อาจกล่าวได้ว่าประมาณ
1 ใน 4 ของผสู้ ูงอายทุ ม่ี ีอายมุ ากกว่า 65 ปี จะมีอาการหตู งึ และมักจะได้ยนิ เสยี งต�ำ่ ๆ ได้ชัด
กว่าเสียงพูดธรรมดา การผลิตขี้หูลดลง แต่มีการสะสมของขี้หูในช่องหูมากขึ้น หลอดเลือดที่
ไปเลี้ยงหูชั้นในเกิดภาวะแข็งตัว ทำ�ให้มีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง ผู้สูงอายุจึงมักมีอาการวิงเวียน
ศรี ษะเกิดอบุ ตั ิเหตุได้ง่าย
ผมและขน
อัตราการงอกของผมลดลงในผสู้ ูงอายแุ ละเสน้ ผมมีขนาดเลก็ ลงดว้ ย ในหญิงท่มี อี ายุ
มากกว่า 65 ปี จะมีขนที่บริเวณริมฝีปากและคางเพิ่มขนึ้ ส่วนเส้นผมบริเวณศีรษะลดน้อยลง
รวมทง้ั ขนรกั แรแ้ ละบรเิ วณหวั เหนา่ ส�ำ หรบั ผชู้ ายนน้ั ผมบนศรี ษะ เคราลดนอ้ ยลง แตม่ ขี นเพม่ิ ขน้ึ
ที่บริเวณหู ค้ิวและรูจมูก
หัวใจและหลอดเลือด
เมื่ออายุมากขึ้นหลอดเลือดฝอยในร่างกายส่วนใหญ่จะหนาขึ้น และมีความยืดหยุน่
ลดลง ท�ำ ใหก้ ารซมึ ผา่ นของออกซเิ จนไปสเู่ นอ้ื เยอ่ื ตา่ ง ๆ นอ้ ยลง นอกจากนย้ี งั พบอตั ราการ
เกดิ
ของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้บ่อย เนื่องจากผนังหลอดเลือดที่หนาขึ้นและมีความยืดหยุ่น
ลดลงจากการจับตัวของแคลเซียมและไขมันตามผนังหลอดเลือดที่มากขึ้น ทำ�ให้หลอด
เลือด
แคบลง แขง็ ตัวมากขึน้ สง่ ผลให้การซึมผ่านของออกซิเจนไปสู่เนื้อเยื่อได้อย่างเพียงพอทำ�ให้
หัวใจห้องล่างซ้ายโตขึ้นเล็กน้อย ปกติความดันโลหิตขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัว (systolic)
และขณะทก่ี ลา้ มเนอ้ื หวั ใจคลายตวั (diastolic) จะสงู ขน้ึ ตามอายุ จนอายุ 60 ปี ความดนั โลหติ
ขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจคลายตัวจะลดลงหรือคงที่แต่ความดันโลหิตขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจ
บีบตัวเพิ่มขึ้น

138

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

ระบบหายใจ
เมื่ออายุมากขึ้นหลอดเลือดฝอยในหลอดลมจะหนาและแข็งขึ้น ทำ�ให้ขาดความ
ยดื หยุ่นสง่ ผลให้การซึมผา่ นและการแลกเปลี่ยนของออกซเิ จนในถงุ ลมปอดไมด่ ี จงึ เปน็ สาเหตุ
ทผี่ สู้ ูงอายมุ กั เหนอื่ ยหอบไดง้ ่ายและจะพบการเกดิ ภาวะถงุ ลมโปง่ พองไดด้ ้วย
ระบบทางเดินหายใจ
พบว่ากระเพาะอาหารหลั่งกรดลดลงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ภายหลังอายุ 50 ปี
ผู้ชายลดลงมากกว่าผู้หญิง ทำ�ให้เบื่ออาหาร ท้องอืดง่าย ตับมีความสามารถในการทำ�ลาย
พิษลดลง ทำ�ให้มีการสะสมและเกิดพิษของยาที่มากเกินไปได้ง่ายในผู้สูงอายุ นอกจากนี้
การสร้างน้ำ�ดีที่ลดลงทำ�ให้มีปริมาณน้ำ�ดีลดลง แต่พบว่าความหนืดของน้ำ�ดีเพิ่มขึ้นตามอายุ
มีผลทำ�ให้เกิดนิ่วในถุงน้ำ�ดีได้ง่าย มักพบว่าตับอ่อนทำ�หน้าที่เสื่อมลง ผลิตอินซูลินได้น้อย
ลง
และมีประสิทธิภาพที่ด้อยลง ทำ�ให้การนำ�น้ำ�ตาลเข้าสู่เนื้อเยื่อต่ำ� น้ำ�ตาลในกระแสเลือดที่เข้า
สู่เนื้อเยื่อไม่หมดนั้นจะถูกสะสมเป็นไขมันส่วนหนึ่ง อกี สว่ นหนึง่ จะคงอยใู่ นกระแสเลือด และ
มีบางส่วนเท่านั้นที่ถูกขับออก ผู้สูงอายุจึงเป็นเบาหวานอย่างอ่อนได้หรือมีแนวโน้มที่จะเป็น
ระบบขับถา่ ยปสั สาวะ
กระเพาะปัสสาวะมีความจุลดลงประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 250 ซี.ซี.
ของวัยหนุ่มสาว ในผู้ชายอาจมีปัสสาวะขัด เนื่องจากต่อมลูกหมากโต ผู้หญิงกลั้นปัสสาวะ
ไมอ่ ยู่ เพราะกลา้ มเนื้ออุ้งเชงิ กรานหย่อน โดยเฉพาะในผหู้ ญิงทค่ี ลอดบุตรมาแลว้ หลายคน
ระบบกระดกู และข้อ
กระดูกของผู้สูงอายุจะเปราะและหักง่าย แม้ว่าจะไม่ได้รับอุบัติเหตุ เนื่องจากอัตรา
การสลายตัวของเซลล์กระดูกในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปขี ้นึ ไป มีมากขึ้นกว่าอัตราการสร้างและ
ในกระบวนการสลายตวั ของเซลลก์ ระดกู แตล่ ะครง้ั กจ็ ะมกี ารปลอ่ ยแคลเซยี มจากกระดกู มากขน้ึ
แคลเซียมที่ถูกปล่อยจากการย่อยสลายเซลล์กระดูกนั้น จะถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด อาจมี
แคลเซียมบางส่วนไปเกาะบริเวณกระดูกอ่อนทำ�ให้เกิดกระดูกงอกที่บริเวณต่าง ๆ ได้ เช่น
ปลายนิ้ว กระดูกชายโครงซึ่งจะทำ�ให้การเคลื่อนไหวของทรวงอกลดลงและมีอาการเจ็บ
ถ้าไม่มีการสะสมแคลเซียมที่กระดูกอ่อน กระแสเลือดจะเป็นตัวพาแคลเซียมไปสู่ท่อหน่วยไต
ซง่ึ มปี ระสทิ ธภิ าพการท�ำ งานทล่ี ดลง ท�ำ ใหก้ ารดดู แคลเซยี มกลบั สทู่ อ่ หนว่ ยไตนอ้ ยลง จงึ ท�ำ ให้
มกี ารสญู เสยี แคลเซยี มบางสว่ นไปกบั ปสั สาวะ การสญู เสยี นเ้ี องสง่ ผลใหม้ แี คลเซยี มในเลอื ดต�ำ่
เซลล์กล้ามเนื้อที่ขาดแคลเซียมจะมีอาการหดรัดตัว และเกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อทำ�ให้เกิด
ความเจ็บปวดหรือที่เราเรียกว่าเป็นตะคริวขึ้น เนื่องจากการมีอัตราการสลายตัวของเซลล์
กระดกู มากขน้ึ กวา่ อตั ราการสรา้ ง จงึ พบวา่ ผสู้ งู อายสุ ว่ นใหญจ่ ะมคี วามยาวของกระดกู สนั หลงั ลดลง
และหมอนรองกระดูกบางลง กระดูกสันหลังผุมากขึ้น หลังค่อมเอียงมากขึ้น ความสูงลดลง

139

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

2 นิ้ว จากอายุ 20 - 70 ปี (ลดลง 1.2 ซม. ทุก 20 ปี) ความยาวของกระดูกยาวคงที่แต่
ภายในจะกลวงมากขึ้น
ระบบประสาท
ความสามารถในการเรียนรู้และการจำ�ในผู้สูงอายุจะลดลง ผู้สูงอายุจะมีปัญหา
เก่ยี วกบั ความจำ�เมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไปโดยความจำ�ประกอบดว้ ย
ความจ�ำ ในอดตี (remote memory) คือ ความจำ�เรือ่ งราวในอดตี ท่ีผ่านมา
ความจ�ำ เรื่องในปจั จบุ ัน (recent memory) เปน็ ความจำ�ในเหตุการณท์ เ่ี กดิ
ขน้ึ เรอ่ื งราวประสบการณ์ หรือขอ้ มลู ท่ไี ด้รับในรอบ 24 ช่วั โมง
ความจ�ำ เฉพาะหนา้ (immediate memory) เปน็ การจดจำ�เรื่องท่ีเกิดข้นึ ใน
ทันที ชั่วระยะเวลาอนั สน้ั (ตัวเลข 5 - 7 หลกั )
ผู้สูงอายทุ ี่มปี ัญหาความจ�ำ เฉพาะหนา้ มจี ำ�นวนมาก ประเภทไดห้ น้าลมื หลงั ปกติ
คน
เราจะจ�ำ ได้ดมี ากเมื่ออายุ 5 - 24 ปี แต่พออายุมากขึ้นความสามารถในการจำ�ลดลง (ยกเว้น
เร่ืองในอดีต) ผู้สูงอายุจึงมักชอบเล่าเรื่องในอดีตที่ยังจดจำ�ได้ดีและชัดเจนกว่าเหตุการณ์
ปัจจุบัน แต่ก็พบว่าผู้สูงอายุอาจจะจำ�เรื่องปัจจุบันได้ดีเช่นกัน แต่ต้องใช้เวลาในการคิดและ
ระบบสบื พันธ์ุ
ผู้สูงอายุจะมีการเปลี่ยนแปลงของระบบอวัยวะสืบพันธุ์คือ ในเพศหญิงน้ำ�หล่อลื่น
ช่องคลอดลดลง ทำ�ให้เกิดการระคายเคืองและติดเชื้อได้ง่าย ในเพศชายลูกอัณฑะมีขนาด
เล็กลง ในด้านการสืบพันธุ์ พบว่าเพศหญิงจะหมดความสามารถในการสืบพันธุ์ทันทีที่หมด
ประจ�ำ เดอื น แตค่ วามสามารถทางเพศจะยงั คงอยู่ สว่ นในเพศชายความสามารถในการสบื พนั ธ์ุ
มไี ดต้ ลอดอายขุ ยั โดยทค่ี วามสามารถทางเพศมไี ดท้ ง้ั ชายและหญงิ แตค่ วามรสู้ กึ ทางเพศอาจ
แตกตา่ งจากวัยหรือคนอ่นื ๆ มสี าเหตุจากความกลวั ความไมม่ ัน่ ใจ วฒั นธรรม ค่านยิ มและ
ความเสอ่ื มของสุขภาพ

การเปลย่ี นแปลงด้านจิตใจและสงั คม
ดว้ ยผสู้ งู อายเุ ปน็ ชว่ งวยั ทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปในทางเสอ่ื มถอย
การทำ�หน้าที่ต่าง ๆ ลดลง บางคนต้องอยู่คนเดียวเนื่องจาก
คู่ชีวติ จากไป หรือบตุ รแยกครอบครัวท�ำ ใหเ้ กดิ ปญั หาด้านจิตใจ
เช่น เกิดความรู้สึกเหงาโดดเดี่ยว เกิดภาวะซึมเศร้า ผู้สูงอายุ
บางคนอาจรสู้ กึ มคี ณุ คา่ ในตนเองลดนอ้ ยลง เนอ่ื งจากคนรอบขา้ ง
ไม่ให้ความสำ�คัญหรือมองว่าทำ�ประโยชน์ได้น้อย แต่ผู้สูงอายุ
บางสว่ นอาจตอ้ งรบั ภาระในการเลย้ี งดลู กู หลานท�ำ ใหเ้ กดิ ความเครยี ด
บางสว่ นเขา้ สงั คมลดลงเนอ่ื งจากหนา้ ทท่ี ล่ี ดลง ปญั หาดา้ นจติ ใจในผสู้ งู อายเุ ปน็ สง่ิ ทล่ี ะเอยี ดออ่ น
ทผ่ี ดู้ แู ลผสู้ งู อายตุ อ้ งใหค้ วามส�ำ คญั และตอ้ งคอยสงั เกตการเปลย่ี นแปลงอยตู่ ลอดเวลาเพอ่ื จะได้
ให้การช่วยเหลือได้ทัน อาการผิดปกติที่อาจพบ ได้แก่ พูดคุยน้อยลง เก็บตัวอยู่ในห้องหรือ
140 ในบ้านตามล�ำ พงั รอ้ งไห้ บน่ นอ้ ยใจลกู หลาน รับประทานอาหารลดลง เป็นต้น

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

ปญั หาดา้ นจิตใจและสงั คมทพี่ บได้ในผสู้ ูงอายุ

ปัญหา สาเหตุ การแสดงออก การดแู ลช่วยเหลอื
1. หาสาเหตุของความวติ ก
วติ กกงั วล สาเหตตุ า่ ง ๆ เชน่ - กลัว กังวล
หรือเครยี ด - ต้องพึ่งพาผู้อื่น - ขาดความเชื่อมนั่ 2. รว่ มหาแนวทางการ
- อ่อนเพลยี แกป้ ัญหาตามสาเหตุ เช่น
- ต้องรบั ภาระเล้ยี งดู - อาหารไม่ย่อย ทอ้ งอดื กังวลจากความคิดตนเอง
ลกู หลาน - นอนไม่หลับ ให้ร่วมกันปรับแนวคิดให้
- หว่ งลูกหลาน มองโลกในแง่ดี เชื่อมั่นใน
- กลัวถกู ทอดทิง้ ความมีคุณค่าของตนเอง
- กลวั ตาย ที่ได้สั่งสมมา เชื่อมั่นใน
ตัวของลูกหลาน
3. การท�ำ จิตใจใหส้ งบ เชน่
ทำ�พธิ ีกรรมตามศาสนาของ
ตนเอง ฝึกสมาธิ สวดมนต์
เปน็ ตน้
4. กิจกรรมผอ่ นคลายอน่ื ๆ
เชน่ ฟังเพลง ทำ�งานฝมี อื
รว่ มท�ำ กิจกรรมกลุ่ม

ซึมเศร้า - คิดฟงุ้ ซา่ น - หงุดหงิด 1. เมือ่ ผู้สูงอายุมีอารมณ์
- ว้าเหว่ - เอาแตใ่ จตนเอง ซึมเศร้า อย่าปล่อยให้อยู่
- คชู่ วี ติ จากไป - นอนไมห่ ลับ คนเดยี ว
- เบื่ออาหาร 2. เปดิ โอกาสให้ได้พดู คยุ
- ไมส่ นใจดูแลตนเอง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
- เก็บตัว กบั คนอน่ื ๆ
- ไม่มีสมาธิ 3. ใหท้ �ำ งานอดเิ รกทพ่ี งึ
- มกั พูดเร่อื งเศร้า พอใจ
- เศร้ามากอาจคดิ และเกดิ ประโยชน์
ท�ำ ร้ายตนเอง

141

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ

ปัญหา สาเหตุ การแสดงออก การดูแลช่วยเหลือ

นอนไมห่ ลบั - นอนกลางวนั มากเกินไป - มักตืน่ ขน้ึ กลางดึกหรือ 1. แกไ้ ขตามสาเหตุ เช่น
- ไม่คอ่ ยได้ออกกำ�ลังกาย ไมก่ ็ตืน่ เช้ากว่าปกติ หากจิ กรรมใหท้ �ำ ตอนกลางวนั
หรือใชแ้ รงงาน - เมอ่ื ตน่ื ขนึ้ ตอนดึกแลว้ ปลุกปลอบใจใหห้ ายกงั วล
- ทีน่ อนท�ำ ใหน้ อนไม่สบาย จะไม่หลบั อีกมกั ลกุ ขนึ้ เป็นตน้
- อากาศร้อนหรอื เยน็ เกินไป มาทำ�กิจกรรมตา่ ง ๆ 2. หากมปี ญั หาทางกายกใ็ ห้
- มีเรื่องที่ตอ้ งคดิ เชน่ พบั ผา้ ท�ำ ความ ดูแลรักษาโรคทางกาย
- ปญั หาทางกายท่ีรบกวน สะอาดบ้าน ท�ำ อาหาร ใหท้ เุ ลา
การนอน เชน่ ปวดหลงั เปน็ ต้น 3. หากอาการนอนไมห่ ลับ
ทอ้ งอดื ถ่ายปัสสาวะบอ่ ย - ออ่ นเพลีย ยังคงเปน็ อยู่นาน
เป็นตน้ ควรให้ปรึกษาแพทย์เพ่ือให้
การบ�ำ บัดรกั ษาตอ่ ไป

ระแวง - ความคิดเปลยี่ นแปลง - ไมไ่ วว้ างใจผอู้ ่ืน 1. แนะน�ำ ใหล้ กู หลานพดู คยุ
- คดิ ซ�้ำ ซาก - ระแวงลกู หลานนนิ ทา และช้ีแจงเหตผุ ลสรา้ งความ
- คิดหมกมุ่นเรือ่ งของตน วา่ ร้ายหรอื ขโมยทรพั ย์ มั่นใจ
- กลัวถูกทอดท้งิ - กลัวผอู้ นื่ จะมาท�ำ ร้าย 2. เพิม่ ความม่นั ใจโดย
- กลวั คนดถู กู การช่วยเหลอื ลูกหลานใน
- สมองเสอ่ื ม บทบาทและกจิ กรรมทค่ี นอน่ื
ในบ้านทำ�ไม่ได้ เช่น
จัดกจิ กรรมกลมุ่ สัมพันธ์
3. ถา้ อาการระแวงมีมาก
ช้ีแจงกันอย่างไรก็ไม่รับฟัง
ควรแนะน�ำ ใหป้ รกึ ษาแพทย์

142

คมู่ อื วทิ ยากรยวุ กาชาด : ส�ำ หรบั การอบรมอาสายวุ กาชาดหลกั สตู รพน้ื ฐานยวุ กาชาด

ปัญหา สาเหตุ การแสดงออก การดูแลช่วยเหลือ
สมองเสอ่ื ม - วัยสูงอายุ
- มอี าการหลงลมื จ�ำ อดตี 1. ให้ยอมรับธรรมชาตขิ อง
ได้ดกี ว่าปจั จุบัน วยั ผู้สูงอายุ
- พูดซ้ำ� ๆ ย้�ำ ค�ำ ถาม 2. ถา้ เขยี นหนงั สือได้ให้
ค�ำ ตอบ จดบันทกึ ช่วยจ�ำ
- สับสนเวลาสถานที่ 3. จัดสิ่งของให้เป็นระเบียบ
- จ�ำ ญาตพิ ี่นอ้ งไม่ได้ 4. ญาตพิ ่นี ้องหรือผู้ใกล้ชดิ
ควรเข้าใจและเห็นอกเหน็ ใจ
พยายามให้ปฏบิ ัติกจิ วตั ร
ประจ�ำ วนั ตามปกติ คอยเตอื น
ให้ระลึกถึงชื่อบุคคลเวลา
สถานทแ่ี ละสง่ิ ตา่ ง ๆ รอบตวั
ใหช้ ว่ ยเหลอื ตนเองในสง่ิ ท่ี
พอท�ำ ไดต้ ามสมควร
5. ควรแนะน�ำ ใหป้ รกึ ษาแพทย์
เพอ่ื ใหค้ วามชว่ ยเหลอื ในการ
ชะลออาการต่อไป

143

ตอนท่ี 2 : เนอ้ื หาและกจิ กรรม หมวดท่ี 3 : การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ


Click to View FlipBook Version