The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเผยแพร่หนังสือที่ระลึกเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ธีรวัฒน์ อินทรีย์, 2023-03-27 10:10:40

นานาสาระไทย

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเผยแพร่หนังสือที่ระลึกเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์

Keywords: นานาสาระไทย

จัดพิมพ์เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๓นานาสาระไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา นานาสาระไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา จัดพิมพ์เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๓ _20-0355 cover2.3cm.indd 1 9/7/2563 BE 13:33


_20-0355 �����.indd 1 9/7/2563 BE 13:42


_20-0355 �����.indd 2


9/7/2563 BE 13:42


_20-0355 �����.indd 3


9/7/2563 BE 13:42


_20-0355 �����.indd 4


9/7/2563 BE 13:42


จัดพิมพ์เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๓ นานาสาระไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา _20-0355(000)p3.indd 1 6/7/2563 BE 09:21


จัดท�ำโดย ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภา พิมพ์ครั้งที่ ๑ พุทธศักราช ๒๕๖๓ จ�ำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภา สนามเสือป่า เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ๑๐๓๐๐ โทร. ๐ ๒๓๕๖ ๐๔๖๖-๗๐ โทรสาร ๐ ๒๓๕๖ ๐๔๘๕ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ [email protected] เว็บไซต์ www.royin.go.th พิมพ์ที่ : บริษัท ธนาเพรส จ�ำกัด ๙ ซอยลาดพร้าว ๖๔ แยก ๑๔ แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร ๑๐๓๑๐ โทร. ๐ ๒๕๓๐ ๔๑๑๔ โทรสาร ๐ ๒๑๐๘ ๘๙๕๑ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ : [email protected] ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ นานาสาระไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา.-- กรุงเทพฯ : ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภา, ๒๕๖๓. ๓๓๐ หน้า. ๑. วัฒนธรรมไทย. ๒. ไทย -- ความเป็นอยู่และประเพณี. I. ชื่อเรื่อง. ๓๐๖.๐๙๕๙๓ ISBN 978-616-389-114-3 _20-0355(000)p3.indd 2 6/7/2563 BE 09:21


ค�ำน�ำ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ก�ำหนดให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคมของทุกปีเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ และได้มีประกาศส�ำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง วันภาษาไทยแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้ทรงพระกรุณาเสด็จ พระราชด�ำเนินไปพระราชทานกระแสพระราชด�ำริ เรื่อง ปัญหาการใช้ค�ำไทย ในการประชุม ทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุม คณะอักษรศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ประกอบกับพระราชบัญญัติราชบัณฑิตยสภา พ.ศ. ๒๕๕๘ ระบุอ�ำนาจหน้าที่ข้อหนึ่ง ของส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภาว่า “ก�ำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย การ อนุรักษ์ภาษาไทย มิให้แปรเปลี่ยนไปในทางที่เสื่อม การส่งเสริมภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ของชาติให้ปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้น” ด้วยเหตุนี้ ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภาจึงได้เริ่มจัดกิจกรรม วันภาษาไทยแห่งชาติขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยมีหัวข้อการจัดงานดังนี้ พ.ศ. ๒๕๕๔ “ภาษาไทย ภาษาชาติ” พ.ศ. ๒๕๕๕ “ภาษาไทย ภาษาถิ่น” พ.ศ. ๒๕๕๖ “ภาษาไทย ภาษาอาเซียน” พ.ศ. ๒๕๕๗ “ภาษาไทย ภาษาสื่อ” (งดจัดกิจกรรมในวันภาษาไทย แต่ผลิต รายการโทรทัศน์ “สื่อ สาน ไทย” เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา ๑๑.๕๗-๑๒.๐๐ น. เริ่มออกอากาศตั้งแต่วันพุธที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ถึง วันจันทร์ที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗) พ.ศ. ๒๕๕๘ “มรดกภูมิปัญญา ภาษาไทย ภาษาถิ่น” พ.ศ. ๒๕๕๙ “ภาษาไทย ภาษาไทยถิ่น ภาษาออนไลน์” พ.ศ. ๒๕๖๐ ภาษาไทย ภาษาไทยถิ่น “รักการอ่าน สืบสานภาษาไทย” พ.ศ. ๒๕๖๑ ภาษาไทย ภาษาไทยถิ่น “อ่าน เขียน พูดไทย อย่างถูกใจและถูกต้อง” พ.ศ. ๒๕๖๒ ภาษาไทย ภาษาไทยถิ่น “ภาษาไทยในกระแส ๔.๐” _20-0355(000)p3.indd 3 6/7/2563 BE 09:21


การจัดกิจกรรมวันภาษาไทยแห่งชาติในแต่ละปี ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภาจะ จัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยในด้านต่าง ๆ เผยแพร่เป็น ประจ�ำทุกปี เนื่องในโอกาสวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๓ ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภา เห็นว่าเนื้อหาความรู้ด้านภาษาไทยและไทยศึกษา ซึ่งคณะกรรมการเฉพาะกิจจัดท�ำ ค�ำอธิบายค�ำที่ปรากฏในเอกสารโบราณได้พิจารณาจัดท�ำไว้มีองค์ความรู้ทั้งด้านภาษา ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และประเพณี เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเล่าเรียนและการอ้างอิง ทางวิชาการ จึงได้คัดเลือกเนื้อหาที่น่าสนใจโดยคณะกรรมการด�ำเนินงานด้านการเผยแพร่ ผลงานทางวิชาการของส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภาเป็นคณะกรรมการที่ด�ำเนินการคัดเลือก และให้ใช้ชื่อหนังสือว่า “นานาสาระไทย” ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภาขอขอบคุณคณะกรรมการเฉพาะกิจจัดท�ำค�ำอธิบาย ค�ำที่ปรากฏในเอกสารโบราณซึ่งได้พิจารณาจัดท�ำเนื้อหา คณะกรรมการชุดดังกล่าวมี รายนามดังนี้ ๑. พลตรี หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี๑ ประธานกรรมการ ๒. รองศาสตราจารย์กรรณิการ์ วิมลเกษม กรรมการ ๓. นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์ ” ๔. รองศาสตราจารย์ ดร.นววรรณ พันธุเมธา ” ๕. รองศาสตราจารย์ ดร.ศานติ ภักดีค�ำ ” ๖. นางสาวศิรินันท์ บุญศิริ ” ๗. รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี ” (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชา) ๘. นางสาววีรวัลย์ งามสันติกุล ” (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชา) ๙. เลขาธิการราชบัณฑิตยสภา ” (นางสาวกนกวลี ชูชัยยะ๒ ) ๑ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙๒ เกษียณอายุราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ _20-0355(000)p3.indd 4 6/7/2563 BE 09:21


๑๐. นางสาวชลธิชา สุดมุข๑ กรรมการ ๑๑. นายปิยะพงษ์ โพธิ์เย็น กรรมการและเลขานุการ ๑๒. นางวรรณธนา มูลจันทร์ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๑๓. นางสาวรุจิเรข กิมประพันธ์ ” และขอขอบคุณคณะกรรมการด�ำเนินงานด้านการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของ ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภาซึ่งได้พิจารณาคัดเลือกเนื้อหาส�ำหรับจัดพิมพ์ คณะกรรมการชุด ดังกล่าวมีรายนามดังนี้ ๑. เลขาธิการราชบัณฑิตยสภา ประธานกรรมการ (นางสาวกนกวลี ชูชัยยะ๒ นางดวงตา ตันโช๓ ) ๒. รองเลขาธิการราชบัณฑิตยสภา กรรมการ (นางแสงจันทร์ แสนสุภา ๒ นางสาวบุญธรรม กรานทอง๔ ) ๓. นายกฤษฎา บุณยสมิต ” ๔. นายดังกมล ณ ป้อมเพชร ” ๕. นายพลพิบูล เพ็งแจ่ม ” ๖. นางพวงรัตน์ สองเมือง ” ๗. นางสาววิไลภรณ์ จงกลวัฒนา ” ๘. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมพร เจนนภา ” ๙. นางสลิลโรจน์ รุ่งสมบูรณ์ ” ๑๐. ผู้อ�ำนวยการกองศิลปกรรม ” (นางสาวสุปัญญา ชมจินดา ๕ นางนฤมล กรีพร๖ ) ๑ ลาออกจากราชการเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐๒ เกษียณอายุราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒๓ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ถึงปัจจุบัน๔ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ถึงปัจจุบัน๕ เกษียณอายุราชการในต�ำแหน่งนักอักษรศาสตร์ ระดับเชี่ยวชาญ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒๖ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ถึงปัจจุบัน _20-0355(000)p3.indd 5 6/7/2563 BE 09:21


๑๑. ผู้อ�ำนวยการกองธรรมศาสตร์และการเมือง กรรมการ (นางทิพาภรณ์ ธารีเกษ๑ ) ๑๒. ผู้อ�ำนวยการกองวิทยาศาสตร์ ” (นางสาวพัชนะ บุญประดิษฐ์๒ นางสาวปิยรัตน์ อินทร์อ่อน๑ ) ๑๓. เลขานุการกรม ” (นางสาวอารี พลดี๑ ) ๑๔. หัวหน้าฝ่ายคลัง ” ๑๕. เจ้าหน้าที่ฝ่ายแผนและประเมินผล ” (นายกมล หมื่นยุทธ) ๑๖. นายปิยะพงษ์ โพธิ์เย็น กรรมการและเลขานุการ ๑๗. นางวรรณธนา มูลจันทร์ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๑๘. นางสาวอารยา ถิรมงคลจิต ” ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภาหวังว่า หนังสือ “นานาสาระไทย” จะเป็นประโยชน์แก่ ทั้งครู อาจารย์ นักวิชาการ สื่อมวลชน นิสิต นักศึกษา รวมถึงประชาชนทั่วไป ที่จะได้มี หนังสืออ้างอิงในการท�ำงานและการศึกษาเล่าเรียนต่อไป ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภา พุทธศักราช ๒๕๖๓ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ถึงปัจจุบัน๒ รักษาราชการผู้อ�ำนวยการกอง ลาออกจากราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ _20-0355(000)p3.indd 6 6/7/2563 BE 09:21


สารบัญ เรื่อง หน้า สาระภาษาไทย ๑ ก ข้ จ ฉ้ ๓ ก ไก่ ข ไข่ ๕ กระหม่อม-หม่อม ๗ กรุงเทพฯ-บางกอก ๑๑ กะแปะ-อีแปะ ๑๓ กะหลาป๋า ๑๖ การยกเลิกอักษรที่มีเสียงซ�้ำกัน ๒๐ การเวก-วายุภักษ์ ๒๒ ข้าวตอก ๒๖ คงเส้นคงวา ๒๙ ความหมายและการใช้ค�ำว่า “กัลปนา”๓๑ ค�ำว่า ป่า ในสมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยา ๓๘ จามรี-จามร ๔๑ จิงโจ้ ๔๗ ฉทานศาลา-ศาลาฉ้อทาน ๕๑ ชบา ๕๔ ไชโย-ชโย ๕๘ ฎีกา ๖๐ ดินสอ ๖๔ _20-0355(000)p3.indd 7 6/7/2563 BE 09:21


เรื่อง หน้า ตัวพิมพ์อักษรไทย ๖๗ ทองแผ่นเดียวกัน ๖๘ ทับทิม ๗๑ นากสวาดิ-มรกต-ครุทธิกานต์ ๗๓ บางล�ำภู-บางล�ำพู ๗๔ ภาพยนตร์-หนัง ๗๖ มณฑา ๘๐ มะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไม้พูดได้ในวรรณคดีไทย ๘๒ ไม้จันทน์ ๘๖ ย�่ำรุ่ง-ย�่ำค�่ำ-เย็นย�่ำ-ไกลปืนเที่ยง ๘๙ รดน�้ำ-ด�ำหัว ๙๑ ระเบง-ระเบ็งเซ็งแซ่-ละเมงละคร-โอละพ่อ ๙๙ รัก ๑๐๑ รัก-ยางรัก ๑๐๓ รังวัด ๑๐๕ รับพระราชทาน-รับประทาน-รับ-ทาน ๑๐๖ รี-ขวาง ๑๐๙ รูปอักษรที่ใช้ในอาณาจักรสุโขทัย ๑๑๓ เรือน ๓ น�้ำ ๔ ๑๑๗ ฤๅษีแปลงสาร ๑๑๙ ลิลิตโองการแช่งน�้ำ ๑๒๐ ลูกขุนพลอยพยัก-บอกศาลา ๑๒๓ ลูกค้า-พ่อค้า ๑๒๘ _20-0355(000)p3.indd 8 6/7/2563 BE 09:21


เรื่อง หน้า วิมาย-พิมาย ๑๓๑ ศรกามเทพ ๑๓๓ สลัดได-กระล�ำพัก ๑๓๔ สะเทิน-สะเทิ้น ๑๓๙ สันนิบาต ๑๔๑ สาลี ๑๔๓ เสนา ๑๔๗ สาระไทยศึกษา ๑๕๑ การตั้งพระพุทธรูปบูชา ๑๕๓ การปฏิบัติตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา ๑๕๕ การปลูกต้นไม้ตามความเชื่อโบราณ ๑๕๗ การมอบกุญแจเมือง ๑๕๘ การรับช้างส�ำคัญ ๑๖๓ การเรียกชื่อปราสาทหิน ๑๖๖ การสัก ๑๖๘ ก�ำเนิดคชพงศ์ ตอนที่ ๑ ๑๗๑ ก�ำเนิดคชพงศ์ ตอนที่ ๒ : ช้างมงคลและช้างเผือก ๑๗๕ ก�ำเนิดครูปะก�ำ ๑๘๒ ก�ำลังวันตามต�ำรามหาทักษา ๑๘๖ ขนมเบื้องไทย ๑๘๘ ครึ-สมาคมครึ ๑๙๑ ความเชื่อเกี่ยวกับพระพรหม ๑๙๓ ความเชื่อเรื่องไม้มงคล ๑๙๖ _20-0355(000)p3.indd 9 6/7/2563 BE 09:21


เรื่อง หน้า เครื่องเทศ : ทองค�ำในโลกตะวันออกของโปรตุเกส ๑๙๘ เครื่องยาสมุนไพร ๒๐๒ เครื่องราง ๒๐๕ จากทุ่งหันตราถึงขนมหันตรา ๒๐๖ ช้างบ�ำรูงา ๒๐๘ ดาวดึงส์ ๒๑๒ ธรรมเนียมการสร้างวัด ๒๑๔ ใบบอก ๒๑๘ ปางพระพุทธรูปที่เกี่ยวเนื่องกับชัยมงคลคาถา ๒๒๐ พระกรุ ๒๒๘ พระเนื้อผง ๒๒๙ พระปิดตา ๒๓๐ พระพิฆเนศวร์ เทพเจ้าแห่งศิลปวิทยา ๒๓๑ พระแม่ธรณี ๒๓๕ พระยายืนชิงช้า ๒๓๗ พระราชปฏิสันถารทางการทูต ๒๔๐ พระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน ๒๔๕ พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ๒๔๗ พระราชพิธีสังเวยพระป้าย ๒๖๖ พระวอประเวศวัง ๒๖๙ พระแสงราชศัตราประจ�ำเมือง ๒๗๑ พระเหรียญและพระหล่อ ๒๘๔ พระอุปคุต ๒๘๕ _20-0355(000)p3.indd 10 6/7/2563 BE 09:21


เรื่อง หน้า พิธีกรรมเกี่ยวกับช้างหลวงในสมัยรัตนโกสินทร์ ๒๘๖ พิธีทอดเชือกดามเชือก ๒๘๙ พุทธกับไสยอาศัยกัน ๒๙๐ เมื่อเริ่มมีโรงเรียน ๒๙๒ แม่น�้ำเจ้าพระยา ๒๙๕ ฤกษ์และนิมิตแห่งฤกษ์ ๒๙๗ ลักษณะแมวให้คุณให้โทษ ๓๐๓ วิวัฒนาการของ “มงคล ๑๐๘” ในพระพุทธบาทลักษณะ ๓๐๖ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนสมัยอยุธยา ๓๑๐ หนังสือสมุดไทย ๓๑๓ หมายรับสั่ง ๓๑๕ _20-0355(000)p3.indd 11 6/7/2563 BE 09:21


_20-0355(000)p3.indd 12 6/7/2563 BE 09:21


1 222201.pdf 1 7/10/2562 BE 12:47 PM สาระภาษาไทย _20-0355(001-150)p3.indd 1 6/7/2563 BE 09:21


2 222201.pdf 1 7/10/2562 BE 12:47 PM _20-0355(001-150)p3.indd 2 6/7/2563 BE 09:21


3 ก ข้ จ ฉ้ คนที่เรียนหนังสือแล้วไม่รู้อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้มักถูกต�ำหนิว่า ก ข้ ไม่กระดิกหูพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เก็บส�ำนวนนี้ไว้เขียนว่า ก ข ไม่กระดิกหูแต่บอกค�ำอ่านในวงเล็บว่า (โบ อ่านว่า กอ ข้อ) ค�ำว่า ฉ ที่ไทยยืมจากภาษาบาลีแปลว่า หก พจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑิตยสถานก็วงเล็บค�ำอ่านไว้ว่าฉอ ฉ้อและฉะ ค�ำว่าฉ นี้เมื่อประกอบ กับค�ำอื่น พจนานุกรมฯให้อ่านว่าฉะก็มีเช่น ฉกามาพจร หมายถึงสวรรค์๖ ชั้น ได้แก่ ๑. จาตุมหาราช หรือ จาตุมหาราชิก หรือ จาตุมหาราชิกา ๒. ดาวดึงส์ ๓. ยามา ๔. ดุสิต ๕. นิมมานรดี ๖. ปรนิมมิตวสวัตดี อ่านว่า ฉ้อ ก็มีเช่น ฉทานศาลา หมายถึง ศาลาเป็นที่ท�ำทาน ๖ แห่ง อ่านว่า ฉอ ก็มีเช่น ฉศก เป็นค�ำเรียกปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๖ เช่น ปีชวดฉศก จุลศักราช ๑๓๔๖ และอ่านว่า ฉ้อ หรือ ฉอ ก็มีเช่น ฉกษัตริย์ หมายถึง กษัตริย์ ๖ พระองค์ใน มหาเวสสันดรชาดก ได้แก่ พระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดีพระเวสสันดร พระนางมัทรีและ กัณหาชาลี ค�ำว่า ฉศก นั้น อันที่จริงในสมัยก่อน ก็คงอ่านกันว่า ฉ้อศก ดังเช่นใน ประกาศของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ใช้ค�ำว่า ฉศก แทน ฉ้อศก ซึ่งทรงยกย่องพระธรรมกิติหรือต่อมาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) ที่อ่านออกเสียงค�ำ ฉศก ต้องพระราชนิยม ข้อความในประกาศมีว่า ด้วยพระธรรมการบดีศรีวิสุทธสาสนวโรประการ จางวางกรม พระธรรมการรับพร บรมราชโองการใส่เกล้าฯสั่งว่า ณ วันเสาร์เดือน ๗ ขึ้น ๑๕ ค�่ำ ปีขาลฉศกเพลา ๔ ทุ่มเศษ พระธรรมกิติวัดระฆังโฆสิตาราม เข้าไปถวายเทศนาในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยแล้วถวายศักราชว่าปีขาล ฉศกนั้น ทรงพระราชด�ำริเห็นว่า ค�ำที่พระธรรมกิติถวายว่าเป็นขาลฉศก เป็นค�ำถูกตามอักษรภาษาไทย ที่เล่าเรียนกันต่อ ๆ มา จึงทรงพระกรุณา หมายใช้แทนเงิน ถวายบูชาค�ำที่ว่าปีขาลฉศกแก่พระธรรมกิติหมายละ 222201.pdf 1 7/10/2562 BE 12:47 PM _20-0355(001-150)p3.indd 3 6/7/2563 BE 09:21


4 สลึง ๒๔ หมาย เป็นเงินตรา ๖ บาท แล้วทรงพระราชด�ำริเห็นว่า พระธรรมกิติอายุวัสสามาก ได้ถวายเทศนาในหลวงแลได้เทศนาในเจ้า ต่างกรม เจ้ายังมิได้ตั้งกรมฝ่ายหน้าฝ่ายใน เสนาบดีแลข้าทูลละอองธุลี พระบาทแลราษฎรทั้งปวงมีผู้นับถือโดยมากซึ่งพระธรรมกิติถวายศักราช ว่าปีขาลฉศกครั้งนี้ควรจะเป็นแบบฉบับส�ำหรับแผ่นดินต่อไปได้ตั้งแต่นี้ สืบไปเมื่อหน้า ถ้าปีใดเป็นฉศกแล้วก็ให้ใช้ว่าปี...ฉศกทุกปีตามอย่างที่ พระธรรมกิติถวายศักราชนั้นเถิด ให้พระครูอมรวิไชยประกาศกับ พระราชาคณะพระครูฐานานุกรมเปรียญเจ้าอธิการ แลพระสงฆ์อนุจร ถวายศักราชแลถวายพระพรว่า ปีขาลฉศกจงได้อย่าให้ถวายศักราช ถวายพระพรว่าปีขาลฉ้อศกเลยเป็นอันขาดทีเดียว หมายมา ณ วันอาทิตย์เดือน ๗ แรม ๑ ค�่ำ ปีขาลฉศก. ปีที่ประกาศตรงกับพุทธศักราช ๒๓๙๗ เล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรดให้อ่านค�ำว่า ฉ้อศก เพราะค�ำว่า ฉ้อ ที่แปลว่า ๖ มีเสียงพ้องกับค�ำว่า ฉ้อ ที่แปลว่าโกง สาเหตุที่คนไทยแต่ก่อนพูดว่า กอข้อไม่กระดิกหูและฉ้อศก เป็นเพราะ พยัญชนะกขสมัยก่อนอ่านว่ากอข้อและพยัญชนะจฉสมัยก่อนอ่านว่าจอฉ้อ ศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธนเขียนเล ่าเรื่องนี้ไว้ในหนังสือชีวิต ชาวไทยสมัยก่อน ดังนี้ ตัวพยัญชนะนั้นมีสองอย่าง เรียกว่า ก ข้ใหญ่ อย่างหนึ่ง ได้แก่ พยัญชนะทั้งหมด ๔๔ ตัวและกข้เล็กอีกอย่างหนึ่งซึ่งยกเว้นพยัญชนะ ทั้งหมดในวรรค ฏ และ ศ ษ พยัญชนะตัว ก ข้เล็กที่ใช้เรียกกันนั้น อ่านไม่เหมือนกับปัจจุบัน คืออ่านออกเสียง ดั่งนี้ ก (กอ) ข้(ข้อ) ฃ (ขอ) ค่ (ค่อ) ฅ (คอ) เฆาะ (เคาะ) ง (งอ) จ (จอ) ฉ้(ฉ้อ) ช (ชอ) ซ (ซอ) เฌาะ (เชาะ) ญ (ยอ) ด (ด) ต (ตอ) ถ (ถอ) ท่ (ท่อ) เธาะ (เทาะ) น (นอ) _20-0355(001-150)p3.indd 4 6/7/2563 BE 09:21


5 บ (บอ) ป (ปอ) ผ (ผอ) ฝ (ฝอ) พ่ (พ่อ) ฟ (ฟอ) เภาะ (เพาะ) ม (มอ) ย (ยอ) ร (รอ) ล (ลอ) ว (วอ) ส (สอ) ห้(ห้อ) ฬ่ (ล่อ) อ (ออ) ฮ (ฮอ) คนไทยอาจไม่พูดว่า ฉ้อศก หลังจากที่มีประกาศ แต่บางคนก็ยังพูดว่า ฉ้อกษัตริย์ฉ้อทานศาลา และส�ำนวน กอ ข้อ ไม่กระดิกหูก็ติดอยู่ในภาษาแล้ว หากใครพูดว่า กอ ขอ ไม่กระดิกหูจะฟังแปลก (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) ก ไก่ ข ไข่ ตัวอักษรที่ใช้แทนเสียงพยัญชนะ หรือที่เรียกว่าตัวพยัญชนะ ของไทย มีเสียงพ้องกันอยู่หลายตัวเช่น ขไข่กับ ฃขวดออกเสียงเหมือนกัน คควายกับ ฅฅน และ ฆ ระฆังออกเสียงเหมือนกัน ถ้าพูดแต่เพียงข หรือคก็จะสับสนว่า เป็นพยัญชนะตัวใด เมื่อมีการเล่นหวยในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า อยู่หัวจึงมีผู้น�ำค�ำในภาษาจีนมาก�ำกับตัวพยัญชนะเพื่อแยกพยัญชนะให้ชัดเจน ดังที่กาญจนาคพันธ์ุเขียนเล่าเรื่องการเรียกตัวหวยไว้ในหนังสือส�ำนวนไทยว่า ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เริ่มมีออกหวย ก ข ตัวหวยก็ออกเสียงอย่างผันนี้ เหมือนกัน คือกสามหวยข้ง่วยโป๊ฃเจียม ค่ ฮะตั๋ง ฅ เม่งจู เฆาะยิดซัว ง จีเกา... พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เห็นว่าคนไทยไม่ควรน�ำชื่อ หวยมาเป็นชื่อตัวอักษรที่ใช้แสดงเสียงพยัญชนะจึงคิดชื่อตัวอักษรขึ้น ท่านเขียน เล่าเรื่องนี้ไว้ในเรื่องวิธีสอนหนังสือไทยว่า ...ในเรื่องคิดชื่อตัวอักษรนี้ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า ชาวไทยเราจนค�ำพูด ต้องเอาชื่อหวยมาให้ชื่ออักษรคือเรียกว่าถ พันกุ้ย ญ ย่องเซงดกวางเหมง น เทียนสิน เป็นต้น ดูน่าสังเวช ข้าพเจ้าจึงคิดชื่อขึ้นสอนนักเรียนในโรง _20-0355(001-150)p3.indd 5 6/7/2563 BE 09:21


6 สกูลหลวงว่า ข ขัดข้อง ฃ อังกุษ ค คิด ฅ กัณฐา ฆ ระฆัง ช ชื่อ ฌ ฌาน ญ ญาติฎ ชะฎา ฏ รกชัด ฐ สัณฐาน ฑ บิณฑบาต ฒ จ�ำเริญ ณ คุณ ด เดชะ ต ตรา ถ รถ ท ทาน ธ เธอ น นิล พ พล ภ ภักตร์ ย ยินยล ร โรค ล วิลาศ ฬ จักรวาฬ ตั้งชื่อไว้เพื่อจะสอนเด็กให้ออกชื่อ ตัวสะกดได้ง่าย ที่ไม่มีตัวพ้อง ไม่ต้องตั้งชื่อ... ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงชื่อตัวอักษรเป็น ก ไก่ ข ไข่ ฯลฯ นายเอนก นาวิกมูล เขียนเล่าไว้ในหนังสือแกะรอย ก ไก่ว่า เดิมหนังสือแบบเรียนเร็วมีแต่ ตัวอักษร ไม่มีค�ำก�ำกับ หนังสือแบบเรียนเร็วฉบับที่มีค�ำก�ำกับตัวอักษรเป็นครั้ง แรก คือ ฉบับที่พิมพ์ครั้งที่ ๑๐ เมื่อ ร.ศ. ๑๑๘ เทียบ พ.ศ. ได้เป็น พ.ศ. ๒๔๔๒ ในหนังสือมิได้ระบุว่าใครเป็นผู้คิดค�ำก�ำกับ ก ถึง ฮ แต่นายเอนกสันนิษฐานว่าผู้ คิดค�ำอาจเป็นผู้ที่ทรงพระนิพนธ์หนังสือแบบเรียนเร็ว คือ สมเด็จฯ กรมพระยา ด�ำรงราชานุภาพ ซึ่งในขณะนั้นทรงด�ำรงพระยศเป็นกรมหมื่นด�ำรงราชานุภาพ สาเหตุที่มีการเปลี่ยนค�ำก�ำกับอักษรในหนังสือแบบเรียนเร็ว เช่น เปลี่ยน ข ขัดข้อง เป็น ข ไข่ เปลี่ยน ฃ อังกุษ เป็น ฃ ขวด น่าจะเป็นเพราะต้องการให้ เด็กจ�ำง่าย ค�ำก�ำกับ ก ถึง ฮ ในหนังสือแบบเรียนเร็วมีดังนี้ ก ไก่ ข ไข่ ฃ ฃวด ค ควาย ฅ ฅอ ฆ ระฆัง ง จ จาน ฉ ฉิ่ง ช ช้าง ซ โซ่ ฌ เฌอ ญ ผู้หญิง ฎ ชะฎา ฏ ปะฏัก ฐ ฐาน ฑ นางมณโฑ ฒ ผู้เฒ่า ณ เณร ด เด็ก ต เต่า ถ ถุง ท ทหาร ธ ธง น หนู บ ใบไม้ ป ปลา ผ ผึ้ง ฝ ฝา พ พาน _20-0355(001-150)p3.indd 6 6/7/2563 BE 09:21


7 ฟ ฟัน ภ ส�ำเภา ม ม้า ย ยักษ์ ร เรือ ล ลิง ว แหวน ศ ศาลา ษ ฤๅ ส เสือ ห หีบ ฬ ฬา อ อ่าง ฮ นกฮูก ง งูนั้นมีแต่เพียงภาพงูประกอบไม่มีค�ำก�ำกับ และ ษ ฤๅษีพิมพ์แต่เพียง ฤๅ ไม่มีษีนายเอนกสันนิษฐานว่าคงจะลืมเรียงพิมพ์ ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก ข้างต้นเหมือนกับ ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก ที่เรารู้จักกัน ในปัจจุบันเกือบทั้งหมด มียกเว้นแต่เพียง ฬ ฬา ในหนังสือแบบเรียนเร็ว เปลี่ยน เป็น ฬ จุฬา ในปัจจุบัน คือเปลี่ยนจาก ฬาซึ่งเป็นสัตว์คล้ายม้าให้กลายเป็นว่าว (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) กระหม่อม-หม่อม ค�ำว่า กระหม่อม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ ความหมายว่า“กระหม่อม น.ส่วนของกะโหลกอยู่ตรงแนวศีรษะแต่ต�่ำกว่าส่วน สูงสุดลงมาใกล้หน้าผากในเด็กแรกเกิดจนถึง ๒ ขวบ ส่วนนี้จะมีเนื้อเยื่ออ่อนปิด รอยประสานกะโหลกที่ยังเปิดอยู่หลังจากนั้นเนื้อเยื่ออ่อนนี้จะกลายเป็นกระดูก, โดยปริยายหมายรวม ๆว่า หัว เช่น เป่ากระหม่อม ลงกระหม่อม, ขม่อม ก็ว่า.” ค�ำว่ากระหม่อม นี้น่าจะเป็นค�ำไทยของเราเองเพราะพบในภาษาตระกูล ไทอีกหลายภาษา เช่น ภาษาจ้วงใต้ซึ่งพูดในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ประเทศจีน เรียกกระหม่อมว่าก้อกมอม ภาษาไทขาวและภาษาไทเมืองเติ๊กซึ่ง พูดในประเทศเวียดนาม เรียกว่ากามอม ภาษาไทใหญ่ซึ่งพูดในรัฐชาน ประเทศ พม่าเรียกว่า ซะหม้อม ภาษาไทพ่าเก่ซึ่งพูดในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดียเรียกว่า ซะหม่อม และภาษาไทอ่ายตอนซึ่งพูดในรัฐอัสสัมเช่นกันเรียกว่า ซี้ม่อม _20-0355(001-150)p3.indd 7 6/7/2563 BE 09:21


8 ด้วยเหตุที่ค�ำว่า กระหม่อม ใช้เรียกส่วนของศีรษะซึ่งเป็นส่วนสูงสุดของ ร่างกาย คนไทยจึงน�ำค�ำว่า กระหม่อม มาใช้ในราชาศัพท์คือ เมื่อผู้พูดเพศ ชายเพ็ดทูลเจ้านายชั้นหม่อมเจ้าและพระวรวงศ์เธอที่มิได้ทรงกรม จะใช้ค�ำว่า กระหม่อม แทนตนเองและใช้เป็นค�ำรับหรือค�ำลงท้ายถ้ามีค�ำว่าเกล้าซึ่งหมายถึง ศีรษะซ้อนอยู่ข้างหน้าเป็น เกล้ากระหม่อม ผู้พูดเพศชายจะใช้แทนตนเองเมื่อ เพ็ดทูลเจ้านายชั้นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ที่ทรงกรม และสมเด็จพระสังฆราชในกรณีที่ผู้พูดเป็นเพศหญิงก็เติมค�ำว่าฉัน เป็น เกล้ากระหม่อมฉัน นอกจากนั้น ค�ำว่ากระหม่อม ยังใช้ประกอบค�ำกริยาบางค�ำ คู่กับค�ำว่าเกล้าใช้แสดงกิริยาของหรือกิริยาต่อพระมหากษัตริย์พระบรมราชินี มกุฎราชกุมาร หรือ มกุฎราชกุมารีเช่น โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ทูลเกล้าทูล กระหม่อม น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม เมื่อตัดส ่วนหน้าของค�ำว ่ากระหม ่อมเหลือเพียง หม่อม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า หม่อม น.ค�ำน�ำหน้านามสตรีสามัญที่เป็นภรรยาของกรมพระราชวังบวร สถานมงคล เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หรือหม่อมเจ้า; ภรรยาที่เป็น สามัญชนของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หรือหม่อมเจ้า, หม่อมห้าม ก็เรียก; (โบ) เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หรือ หม่อมเจ้า ที่ต้องโทษถูกถอดจากฐานันดรศักดิ์, ค�ำน�ำหน้านาม สตรีสามัญที่ไม่มีบรรดาศักดิ์ซึ่งเป็นภรรยาของบุคคลในตระกูล บุนนาคที่ได้รับยกย่องเป็นพิเศษ เช่น หม่อมปาน หม่อมรอด, ค�ำน�ำหน้านามบุคคลที่เป็นบุตรขุนนางผู้ใหญ่เช่น หม่อมบุนนาค สมัยกรุงธนบุรี. นอกจากนี้ในสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรีค�ำว่า หม่อม ยังใช้น�ำหน้าชื่อ บุตรของขุนนางผู้ใหญ่อีกด้วย เช่น หม่อมปาน [ต่อมาคือเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)] ในสมัยอยุธยา หม่อมหน ในสมัยธนบุรี[ต่อมาคือเจ้าพระยาพระคลัง(หน) _20-0355(001-150)p3.indd 8 6/7/2563 BE 09:21


9 ในสมัยรัตนโกสินทร์] ค�ำว่า หม่อม ที่เป็นค�ำน�ำหน้าชื่อราชนิกุล นั้น ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ท่านผู้หญิงศรีนาถ สุริยะ เขียนไว้ในเรื่อง “นามบรรดาศักดิ์‘หม่อม’” ว่า ค�ำว่า “หม่อม” เป็นบรรดาศักดิ์ส�ำหรับราชนิกุล ชั้นหม่อมราชวงศ์ที่ เป็นชาย ซึ่งสูงกว่าบรรดาศักดิ์ชั้น “พระ” แต่ต�่ำกว่า “พระยา” ส�ำหรับ หม่อมราชวงศ์ที่ได้บรรดาศักดิ์“หม่อม” ต�ำแหน่งจะไม่เป็น “พระ” แต่ เป็น “พระยา” เลย ในรัชกาลปัจจุบัน ม.ร.ว.เฉลิมลาภ ทวีวงศ์ได้รับ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ได้เคยด�ำรงต�ำแหน่ง ราชเลขาธิการส�ำนักพระราชวัง ม.ร.ว.ตัน สนิทวงศ์ได้รับพระราชทาน บรรดาศักดิ์เป็น หม่อมสนิทวงศ์เสนีย์ ในรัชกาลที่ ๔ ม.ร.ว.กระต่าย อิศรางกูร มีบรรดาศักดิ์เป็น หม่อมราโชทัย นอกจากนี้ในสมัยก่อน ภรรยาใช้ค�ำว่าหม่อมเรียกสามีเช่น ในเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน นางวันทองกล่าวตัดรอนขุนแผนตอนขุนแผนไปตามที่บ้าน ขุนช้างว่า ไม่พอที่ที่หม่อมจะกินเดน มันนอกเกณฑ์ดอกไม่สมเสมอหน้า อย่าวนเวียนระไวอยู่ไปมา เหมือนปล่อยนกปล่อยกาให้ปลอดไป ศรีมาลาก็พูดกับพลายงามเมื่อพลายงามไปปลุก หลังจากพลายงามกลับจากไป รบที่เชียงใหม่ว่า นึกว่าหม่อมล้าเลื่อยยังเหนื่อยนัก เห็นจะพักเสียก่อนไม่ย้อนมา ในบทละครนอกเรื่องไกรทอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระ พุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อนางวิมาลาทะเลาะกับนางตะเภาแก้วตะเภาทอง ก็กล่าวถึงไกรทองซึ่งเป็นสามีว่า เขาจูงจมูกหม่อมไปหรือไร หม่อมผัวเจ้าลงไปท�ำวุ่นวาย เพราะจวนตัวกลัวตายวายชีวิต ใช่จะปลงลงจิตด้วยง่ายง่าย _20-0355(001-150)p3.indd 9 6/7/2563 BE 09:21


10 เจ้าอย่าเพ่อติฉินยินร้าย เป็นหญิงย่อมอายอยู่เหมือนกัน ทั้งเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนและบทละครนอกเรื่องไกรทองแต่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ต ่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเรื่อง “ขุนช้างขุนแผนเกล็ด” ในหนังสือทวีปัญญา เล่ม ๒ ฉบับกุมภาพันธ์ร.ศ. ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๗) นางวันทองก็ใช้ค�ำว่า หม่อม เรียกขุนช้างซึ่งเป็นสามีดังข้อความว่า อุ๊ย! น่าชัง ราวกะ...ท�ำไมหม่อมไม่เคยไปนอนค้างอ้างแรมที่ไหนมั่งรือคะ พูดน่ะ ไม่สมรูปเลย ฉันไม่เหมือนหม่อมนี่วางเสียงแนมเหน็บเปนทีโกรธ แล้วแสดงให้เปนที่แน่ด้วยแกมค้อนอีกวงหนึ่งตามธรรมดาของหญิง และใช้ค�ำว่า หม่อม เรียกขุนแผนซึ่งเป็นสามีอีกคนหนึ่ง ดังข้อความในจดหมาย ที่วันทองเขียนถึงขุนแผนว่า ...ที่หม่อมพูดถึงจะมาพบฉันอีกนั้นเปนความผิด เดี๋ยวนี้หม่อมก็ทราบอยู่ ว่าเปนคนมีสามีแล้ว คืนวัน ๗ ค�่ำ ฉันก็สั่งให้สามีของฉันกลับมาค้างบ้าง เพราะเช่นนั้นให้หม่อมจงเข้าใจเถิดว่าหม่อมจะมาไม่ได้และขออย่า มีหนังสือมาถึงฉันอีกต่อไปเลย หม่อมจงได้ทราบเทอญ “วันทอง” สรุปว่าค�ำว่ากระหม่อมกับหม่อม แม้เดิมจะเป็นค�ำเดียวกันแต่ใช้ต่างกัน และต่างก็ใช้ได้หลายกรณี (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง นววรรณ พันธุเมธา, หว่าง เหลือง, เทพีจรัสจรุงเกียรติ. รายงานการวิจัยเรื่อง “ค�ำไทเมืองเติ๊ก”. เอกสารถ่ายส�ำเนา, ๒๕๔๐. บทละครนอกเรื่องไกรทอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย. กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๐. _20-0355(001-150)p3.indd 10 6/7/2563 BE 09:21


11 บรรจบ พันธุเมธา. พจนานุกรมพ่าเก่-ไทย-อังกฤษ. เอกสารถ่ายส�ำเนา, ๒๕๓๐. ปราณีกุลละวณิชย์. พจนานุกรมจ้วงใต้-ไทย. กรุงเทพฯ : คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๕. ร้อยแก้วแนวใหม่ของไทย พ.ศ. ๒๔๑๗-๒๔๕๓.กรุงเทพฯ:สมาคมภาษาและ หนังสือแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, ๒๕๓๐. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์, ๒๕๕๖. ศรีนาถ สุริยะ. (อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ศาตราจารย์เกียรติคุณ ท่านผู้หญิงศรีนาถ สุริยะ ณ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔). ÐiềuChínhNhìm,JeanDonaldson.Tai-Vietnamese-English Dictionary. Saigon, 1970. กรุงเทพฯ-บางกอก เมืองหลวงของไทยชื่อว่ากรุงเทพมหานคร แต่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Bangkok ซึ่งเพี้ยนมาจากค�ำไทยว่าบางกอก เดิมบางกอกเป็นชุมชนเล็ก ๆ มีแม่น�้ำเจ้าพระยาไหลคดเคี้ยวโอบล้อม ลักษณะดูคล้ายถุงก้นกลม ต่อมามีการขุดคลองลัดเชื่อมแม่น�้ำเจ้าพระยาที่คดโค้ง ตรงบริเวณที่เสมือนปากถุงกระแสน�้ำในคลองลัดไหลพุ่งแรงท�ำให้คลองกว้างออก จนกลายเป็นแม่น�้ำ ส่วนแม่น�้ำซึ่งคดเคี้ยวกลับตื้นเขินจนกลายเป็นคลอง ได้แก่ คลองบางกอกน้อยคลองตลิ่งชัน คลองบางระมาดและคลองบางกอกใหญ่ชุมชน บางกอกเดิมซึ่งเคยมีแม่น�้ำเจ้าพระยาโอบล้อมกลับกลายเป็นอยู่ ๒ ฝั่งแม่น�้ำ เจ้าพระยา และมีผู้คนมาตั้งบ้านเรือนมากขึ้นจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ มีสภาพ เป็นเมืองชื่อว่าธนบุรีศรีมหาสมุทรในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเมืองนี้ เป็นเมืองหน้าด่านทางการค้า พื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีป้อมปราการที่ แข็งแกร่งป้องกันการรุกรานจากข้าศึก _20-0355(001-150)p3.indd 11 6/7/2563 BE 09:21


12 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนาธนบุรีเป็นเมืองหลวงของ ไทยได้ทรงสร้างพระบรมมหาราชวังที่ฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเจ้าพระยาแต่ต่อมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้างพระบรมมหาราชวัง ที่ฝั ่งตะวันออกของแม ่น�้ำ เมืองหลวงของไทยจึงย้ายจากฝั ่งตะวันตกมาฝั ่ง ตะวันออกของแม่น�้ำเจ้าพระยาแต่ก็ถือได้ว่าพัฒนามาจากบางกอกเช่นเดียวกับ กรุงธนบุรี เมืองหลวงใหม่ของไทยนี้เดิมชื่อซึ่งจารึกในพระสุพรรณบัฎเมื่อพ.ศ.๒๓๒๕ คือกรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพนพรัตน์ ราชธานี บุรีรมย์มหาสถานฯ ชื่อนี้เหมือนกับชื่อกรุงศรีอยุธยาเพียงแต่ยาวกว่า คือชื่อ กรุงศรีอยุธยามีว่า กรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์ นอกจากนั้นยังมีอีกชื่อหนึ่งคือ กรุงรัตนโกสินทร์ อินทรอโยธยา หรือ กรุงรัตนโกสินทร์ อินทรอยุธยา หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้าง ปราสาทราชมณเฑียรเสร็จสมบูรณ์ได้โปรดเกล้าฯให้ฉลองพระนครเป็นงานใหญ่ และพระราชทานชื่อพระนครใหม ่ว ่า กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยามหาดิลกภพนพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ เห็นได้ว่าพระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงวรรคที่ว่า บวรทวาราวดีเป็น บวร รัตนโกสินทร์ค�ำว่าโกสินทร์แปลว่า พระอินทร์ล่วงมาอีก ๓ รัชกาล ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้เปลี่ยน บวรรัตนโกสินทร์ เป็น อมรรัตนโกสินทร์เรียกกันย่อ ๆ ว่ากรุงเทพฯ กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทยเรื่อยมาจนเมื่อทางราชการเปลี่ยน การเรียกชื่อเมืองเป็นจังหวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ เมืองหลวงของไทยก็ไม่เรียกว่า กรุงเทพฯ แต่เรียกว่า จังหวัดพระนคร จังหวัดพระนครเป็นเมืองหลวงของไทย จนถึงวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ คณะปฏิวัติก็ประกาศให้รวมจังหวัดธนบุรี _20-0355(001-150)p3.indd 12 6/7/2563 BE 09:21


13 เข้ากับจังหวัดพระนคร เมืองหลวงไทยจึงมีชื่อใหม่ว่า นครหลวงกรุงเทพธนบุรี หลังจากนั้นอีกเพียงปีเดียวในวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ คณะปฏิวัติก็ ประกาศให้เปลี่ยนชื่อเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่ง คือ เปลี่ยนเป็น กรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานครเป็นชื่อเมืองหลวงของไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๔ มาจนถึง ปัจจุบัน แต่คนไทยจ�ำนวนมากก็ยังเรียกชื่อเมืองหลวงว่า บางกอก ทั้งๆ ที่ชุมชน บางกอกไม่มีอีกแล้ว เมื่อวันที่๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ กรุงเทพมหานครได้ประกาศค�ำขวัญ กรุงเทพมหานครว่า“กรุงเทพฯ ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย” (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) กะแปะ-อีแปะ กะแปะ กับ อีแปะ มีความหมายเหมือนกัน พจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายของค�ำทั้งสองไว้ดังนี้ กะแปะ น.เงินปลีกโบราณเช่นกะแปะทองแดงกะแปะดีบุก, อีแปะก็เรียก. อีแปะ ๑ น. เงินปลีกโบราณ, กะแปะ ก็เรียก. เมื่อดูพจนานุกรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พบว่าค�ำว่า อีแปะ น่าจะมีใช้ แพร่หลายกว่าค�ำว่า กะแปะ ศริพจน์ภาษาไทย์ ให้ความหมายของอีแปะว่า เงินจีนขนาดเล็กท�ำด้วยทองแดง ลิปิกรมายน ภาษาไทยแปลเปนภาษาอังกฤษ ของอี. บี. มิเชลให้ความหมายของอีแปะว่าเงินขนาดเล็กท�ำด้วยทองแดงสังกะสี ดีบุก แก้ว ฯลฯ และบอกที่มาของค�ำว่า ภาษาจีน ค�ำว่า กะแปะ ไม่ปรากฏใน พจนานุกรมทั้ง ๒ เล่ม แม้แต่ ปทานุกรมส�ำหรับนักเรียน พ.ศ. ๒๔๗๒ ก็ไม่มี ค�ำว่ากะแปะ มีแต่ค�ำว่าอีแปะให้ความหมายว่า“อีแปะ น. เหรียญตะกั่วมีตรา จีนบุราณใช้อย่างเบี้ยสตางค์.” _20-0355(001-150)p3.indd 13 6/7/2563 BE 09:21


14 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงอีแปะ ไว้ปรากฏในหนังสือสาส์นสมเด็จว่า คนจีนน�ำอีแปะติดตัวมาจากเมืองจีน ไทย เรามิได้ใช้อีแปะในการซื้อขายในท้องตลาด แต่พวกชาวมลายูตลอดขึ้นมาจนถึง ไทยที่เมืองสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราชเอาอย่างอีแปะจีนมาท�ำใช้ ลักษณะของอีแปะนั้น พระยาอนุมานราชธนบรรยายไว้ในหนังสือฟื้น ความหลังว่า ...อีแปะเป็นเงินปลีกของจีน ท�ำด้วยทองเหลืองเป็นรูปกลม ๆ บางๆ ตรงกลางมีรูส�ำหรับร้อยเชือกเป็นท�ำนองเดียวกับสตางค์แดงขอบอีแปะ โดยรอบเป็นเส้นนูน รอบรูตรงกลางก็มีขอบนูนเช่นเดียวกัน แต่เป็นรูป สี่เหลี่ยม ตัวอีแปะด้านหน้ามีหนังสืออักษรจีนอยู่ข้างละสองตัว ได้ความ ว่า เป็นค�ำบอกเมืองที่ท�ำอยู่หนึ่ง และบอกค่าของอีแปะอีกข้างหนึ่ง ส่วน ด้านหลังเป็นตัวอักษรรูปยาวๆคดไปคดมาว่าเป็นตัวอักษรของพวกตาด ชาวแมนจูซึ่งมาเป็นใหญ่ในประเทศจีนสมัยราชวงศ์เชงได้ความว่าบอกที่ ท�ำและค่าของอีแปะนั้นท�ำนองเดียวกัน ซึ่งบัดนี้ไม่มีแล้ว อีแปะนั้น ลางทีก็เรียกว่า กะแปะ... นอกจากอีแปะของจีน พระยาอนุมานราชธนยังกล่าวถึงอีแปะที่ใช้ใน โรงบ่อนอีกด้วย อีแปะในโรงบ่อนไม่ได้ท�ำด้วยทองเหลือง แต่ท�ำด้วยตะกั่ว จึงมี ราคาน้อย พระยาอนุมานราชธนไม่ทราบแน่ว่าอีแปะมีราคาเท่าไรหากเทียบกับ เงินปลีกของรัฐบาล ท่านเข้าใจว่าแต่เดิมโรงบ่อนคงคิดเทียบก�ำหนดกันขึ้นเอง ตามชอบใจ ค�ำว่า กะแปะ ผู้ที่เริ่มใช้ขึ้นก่อนอาจได้แก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ค�ำนี้ปรากฏในประกาศให้ใช้กะแปะ อัฐ แลโสฬสที่ท�ำขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๕ ความตอนหนึ่งว่า ...บัดนี้ในกรุงเทพมหานครคิดประกอบการกลไฟท�ำกะแปะ ดีบุกผสมด้วยทองแดงแลดีบุกด�ำ ท�ำให้แข็งกว ่าดีบุกปรกติ มีพื้น _20-0355(001-150)p3.indd 14 6/7/2563 BE 09:21


15 เกลี้ยงเกลาดีแลลวดลายเรียบร้อย หน้าหนึ่งมีตราจักรรูปช้างอยู่กลาง มีอักษรไทยบอกประมาณอยู่ข้างบน เลขแลอักษรอังกฤษบอกประมาณ กระหนาบอยู่สองข้าง มีอักษรจีนบอกประมาณอยู่ข้างล่างเพื่อจะให้รู้ง่าย ทั้งสามภาษา ซึ่งเป็นจ�ำพวกขายค้าโตใหญ่ได้รู้เสมอกัน หน้าหนึ่งมีตรา ประจ�ำปัตยุบันนี้เพื่อจะให้รู้ว่าเป็นของเกิดขึ้นในแผ่นดินปัตยุบันนี้ทุกแผ่น กะแปะอย่างนี้ก็หมดจดดีเกลี้ยงเกลากว่ากะแปะทองเหลืองจีน แล กะแปะสังกะสีของญวน แลปี้ทองเหลืองเช่นใช้ในบ่อนเบี้ยทั้งปวง เห็น เป็นแน่ว่าผู้อื่นไม่ท�ำปลอมได้ควรจะใช้ทั่วทั้งพระราชอาณาเขต... ค�ำว่า กะแปะ ฟังไพเราะดีกว่าอีแปะ แต่ในเมื่อคนทั่วไปใช้ค�ำว่า อีแปะ กันจนชินแล้ว จึงยังคงนิยมใช้ค�ำว่า อีแปะ มากกว่า (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา และสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ. สาส์นสมเด็จ. พิมพ์ ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๕. ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลโท หม่อมเจ้า ชิดชนก กฤดากร ณ วัดเทพศิรินทราวาสวันที่๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑. ๒ เล่ม. ราชบัณฑิตยสถาน.พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔.กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์, ๒๕๕๖. ศริพจน์ภาษาไทย์ พจนานุกรมไทย-ฝรั่งเศส-อังกฤษ ฉบับ Bishop J. L. Vey ค.ศ. ๑๘๙๖. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการช�ำระกฎหมายตราสามดวง ส�ำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ๒๕๔๕. เสฐียรโกเศศ. ฟื้นความหลัง. พระนคร : ศึกษิตสยาม, ๒๕๑๐. อี. บี. มิเชล.ลิปิกรมายน ภาษาไทยแปลเปนภาษาอังกฤษ.กรุงเทพฯ,ร.ศ. ๑๑๐. _20-0355(001-150)p3.indd 15 6/7/2563 BE 09:21


16 กะหลาป๋า ค�ำว่า กะหลาป๋า ซึ่งเขียนกันต่าง ๆ เช่น กระหลาป๋า กาหลาป๋า พบใน เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ขุนแผนท�ำกระจกมนตร์เพื่อให้รู้ว่าพระไวยถูกเสน่ห์ หรือไม่ มีบทกลอนกล่าวถึงกระจกกะหลาป๋า ดังนี้ อีเม้ยรับกลับเข้าในห้องใน หยิบกระจกบานใหญ่กระหลาป๋า เทศแท้เที่ยงดีมีราคา เอาออกมาให้ขุนแผนผู้แว่นไว และในบทละครเรื่องระเด่นลันได ก็มีบทกลอนชมโฉมนางประแดะนางเอกของ เรื่องว่า สูงเหมือนอูฐกะหลาป๋า ดังนี้ สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า พิศแต่หัวตลอดเท้าขาวแต่ตา ทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ กระจกกระหลาป๋าหมายถึงกระจกที่มาจากเมืองกระหลาป๋า และอูฐ กะหลาป๋า หมายถึงอูฐที่มาจากเมืองกะหลาป๋า ชาวเมืองกะหลาป๋าคงจะติดต่อ ค้าขายกับไทยมานาน จนคนไทยสมัยก่อนคุ้นเคยกับค�ำนี้ในบทยอพระเกียรติ ๓ รัชกาลของพระยาไชยวิชิต(เผือก)ก็กล่าวถึงกะหลาป๋า(เขียน กระหลาป๋า) ไว้ว่า จะว่าข้างสิ่งของท้องน�้ำ สลุบล�ำก�ำปั่นก็หนักหนา อแจจีนส�ำเภาเลากา ยี่ปุ่นกระหลาป๋าเข้ามากรุง พจนานุกรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์หลายเล ่มมีค�ำว่า กะหลาป๋า เช ่น อักขราภิธานศรับท์หน้า ๒๖ ให้ความหมายของค�ำ กะหลาป๋า ว่า กะหลาป๋า, เปนชื่อเกาะอันหนึ่งที่ขึ้นแก่เมืองวิลันดานั้น. และ ศริพจน์ภาษาไทย์ให้ความหมายของค�ำ กาหลาป๋า ว่า “Batavia (town)”และให้ความหมายของค�ำ “เล่ากาหลาป๋า”ว่า“RumfromBatavia.” นี่แสดงว่ากะหลาป๋าเคยขึ้นกับวิลันดา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฮอลันดา คนอังกฤษเรียกกะหลาป๋าว่า บะเตเวีย ที่มาของค�ำว่ากะหลาป๋าและ บะเตเวีย นี้ _20-0355(001-150)p3.indd 16 6/7/2563 BE 09:21


17 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ใน ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ปรากฏในหนังสือ สาส์นสมเด็จ เล่ม ๔ หน้า ๑๐๑-๑๐๒ ว่า หม่อมฉันพบอธิบายศัพท์“กล๋าป๋า”ในหนังสือว่าด้วยเมืองชวาเรื่อง หนึ่ง ว่าเดิมเจ้าชวาองค์๑ ตั้งเมืองขึ้นที่ต�ำบลสุนดากล๋าป๋า แปลค�ำไว้ใน หนังสือนั้นว่า ต�ำบลป่ามะพร้าวแล้วขนานนามเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ นั้น ตามภาษาสันสกฤตว่า “ชัยเกษตร” จึงเรียกกันว่าเมือง “ยักกัตตรา” เดิมพวกฮอลันดาไปเช่าที่ตั้งสถานีการค้าในแขวงเมืองยักกัตตรานั้น ครั้นตั้งได้มั่นคงจึงสร้างป้อมขึ้นที่สถานีเอาชื่อ รีปับลิคในฮอแลนด์มา เรียกชื่อป้อมว่า“บะเตเวีย”ฝ่ายเจ้าเมืองยักกัตตราเห็นว่า พวกฮอลันดาจะ คิดร้ายจึงยกกองทัพไปขับไล ่ แต ่รบแพ้พวกฮอลันดาถึงเสียเมือง ยักกัตตรา พวกฮอลันดาจึงย้ายมาตั้งที่เมืองยักกัตตราเป็นที่มั่น เอาชื่อป้อม มาขนานเป็นนามเมืองว่าเมืองบะเตเวียแต่พวกราษฎรชาวเมืองชวากับทั้ง พวกมลายูและไทยเราเรียกตามชื่อเดิมของต�ำบลว่าเมืองกล๋าป๋า(เหมือน อย่างเรียกกรุงรัตนโกสินทร์ว่าบางกอก) พวกมลายูยังเรียกกันอย่างนั้นอยู่ จนทุกวันนี้ต้นมะพร้าวก็ยังเรียกว่ากล๋าป๋าอยู่ในภาษามลายูเพราะเหตุ ดังกล่าวมา ค�ำกล๋าป๋าที่ไทยเราเอาไปใช้เป็นคุณศัพท์ว่า แก้วกล๋าป๋า อูฐกล๋าป๋า ชมพู่กล๋าป๋า เป็นต้น หมายความว่าเป็นของที่ได้มาจากเมือง บะเตเวีย นั้นเอง ต่อมาในลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๕ ปรากฏใน หนังสือสาส์นสมเด็จ เล่ม ๒๕ หน้า ๔๗ ทรงอธิบายเพิ่มเติมว่า มีเรื่องต�ำนานมาดังนี้คือที่ตรงนั้นมีล�ำแม่น�้ำอันเรียกชื่อมาแต่ โบราณว่า “ล�ำน�้ำกะหลาป๋า” แปลว่า “ล�ำน�้ำป่ามะพร้าว” ถึงสมัยเมื่อ พวกชวาถือศาสนาพราหมณ์ มีเจ้าชวาองค์หนึ่งมาตั้งเมืองเป็นราชธานี อยู่ริมแม่น�้ำกะหลาป๋า ขนานนามเมืองว่า “ยักกัดตา” _20-0355(001-150)p3.indd 17 6/7/2563 BE 09:21


18 แม่น�้ำกะหลาป๋านี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอด พระเนตรเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จประพาสชวาครั้งที่ ๒ เมื่อ ร.ศ. ๑๑๕ (พ.ศ. ๒๔๓๙)ดังมีข้อความในหนังสือระยะทางเที่ยวชวากว่าสองเดือน หน้า ๖๗ ว่า เวลาพลบออกจากสวนไปขี่รถดูตามถนน พบแม่น�้ำหลายแห่ง มี แม่น�้ำอันหนึ่งที่เรียกว่าแม่น�้ำกระหลาป๋าช่างเข้าใจซึมทราบดีเสียจริงๆ... นอกจากแม่น�้ำกระหลาป๋า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยัง ทรงกล่าวถึงเครื่องแก้วกะหลาป๋าและชมพู่กะหลาป๋าไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน หน้า ๔๕ และ ๕๓ ดังนี้ ๑...แม่เล็ก[สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถฯ]ซื้อเครื่องโต๊ะแก้ว หนามขนุนส�ำรับหนึ่งเพื่อจะให้เปนที่รฤกในการที่ได้มาเมืองกระหลาป๋า ที่เรา แต่ก่อนนับถือกันว่าเปนแก้วอย่างดี... ๒...น่านี้ลูกเงาะวายแต่ยังมีพอกิน มังคุดลูกชมพู่สาแหรก ชมพู่กะหลาป๋า ขายตามตลาดเกลื่อน... คนไทยสมัยนั้นคงรู้จักเครื่องแก้วกะหลาป๋าและชมพู่กะหลาป๋าว่าเป็น เครื่องแก้วอย่างดีและชมพู่รสชาติดีที่มาจากเมืองกะหลาป๋า ในค�ำให้การขุน หลวงวัดประดู่ทรงธรรม กล่าวว่าเครื่องแก้วกาหลาป๋ามีอยู่ในท้องพระคลังดังนี้ ...มีพระคลังพิมานอากาศไว้กระจกเทศ พรมเทศ เครื่องแก้วมา แต่เทศกาหลาป๋า และพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ก็กล่าวถึงชมพู่กระหลาป๋าใน แบบเรียนพรรณพฤกษาและสัตวาภิธาน ดังนี้ ชมพู่อีกหมู่นี้ จะเชิดชี้นามกร ที่มาแต่นคร กระหลาป๋าสมญามี _20-0355(001-150)p3.indd 18 6/7/2563 BE 09:21


19 ผลไม้ที่ไทยได้มาจากชวาไม ่ได้มีแต ่ชมพู ่เท ่านั้น ยังมีลางสาดอีกด้วย เจ้าพระยาภาสกรวงศ์(พร บุนนาค) เมื่อครั้งยังเป็นพระยาภาสกรวงศ์เขียนถึง ลางสาดกะหลาป๋าไว้ในบทความเรื่องสวน ลงพิมพ์ในหนังสือ วชิรญาณวิเศษ เล่ม ๔ ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒) ดังนี้ ลางสาด ปลูกที่ต�ำบลคลองสาน มักมีรสหวานเจือหอม พิเศษดี กว่าที่ต�ำบลอื่น แลพันธุ์เมืองชวาหรือบะเตเวียที่เป็นเมืองหลวง “เก๋ง” ภาษาว่ากะหลาป๋านั้น พันธุ์ที่มาปลูกเป็นขึ้นในบ้านเมืองเรา มีผลเขื่อง เติบบ้าง พวงใหญ่งามดีสีเนื้อขาวซีด มีรสหวานชืดจืดโอชะไม่ถึงลางสาด ของเราเป็นแต่นับถือว่าเป็นของชักน�ำมาแต่ต่างประเทศเท่านั้น ด้วยเป็น ของยังมีน้อยต้นอยู่ เรียกกันว่า “ลางสาดกะหลาป๋า หรือบะเตเวีย”... ค�ำว่ากะหลาป๋า ที่ใช้ต่อท้ายค�ำเรียกสิ่งบางสิ่งแสดงว่าไทยรับสิ่งเหล่านั้น มาจากเมืองกะหลาป๋า ปัจจุบันค�ำว่ากะหลาป๋าเลิกใช้ไป และสิ่งที่ไทยรับมาจาก เมืองกะหลาป๋าก็หมดความนิยมไปเช่นกัน (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ.ระยะทางเที่ยวชวากว่าสองเดือน. กรุงเทพฯ : แสงดาว, ๒๕๕๕. นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา และสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ. สาส์นสมเด็จ. พิมพ์ ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๕. ๒๗ เล่ม. มหามนตรี(ทรัพย์), พระ. บทละครเรื่องระเด่นลันได. พระนคร : พิมลชัยศึกษา การณ์, ๒๕๐๓. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์, ๒๕๕๖. _20-0355(001-150)p3.indd 19 6/7/2563 BE 09:21


20 ศรีสุนทรโวหาร, พระยา (น้อย อาจารยางกูร). ภาษาไทย เล่ม ๓. พระนคร : แพร่พิทยา, ๒๕๑๔. ศิลปากร,กรม.วิชาอาชีพชาวสยาม จากหนังสือวชิรญาณวิเศษ ร.ศ. ๑๐๘-๑๑๓. กรุงเทพฯ : เอดิสัน เพรส โพรดักส์, ๒๕๕๔. อักขราภิธานศรับท์ ของหมอปรัดเล. พระนคร:องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๔. การยกเลิกอักษรที่มีเสียงซ�้ำกัน อักษรที่ใช้แสดงเสียงพยัญชนะของไทยมี๔๔ ตัว อักษร ๒ ตัว ที่เลิกใช้ ไปคือ ฃ ขวด และ ฅ คน สาเหตุที่ยกเลิกไม่ใช้น่าจะเป็นเพราะ ฃ และ ฅ มีที่ใช้ น้อย และแม้เมื่อยกเลิกไป ก็ไม่กระทบกระเทือนอักขรวิธีไทย เพราะ ฃ ขวด มีเสียงซ�้ำกับ ข ไข่ ฅ คน มีเสียงซ�้ำกับ ค ควาย เมื่อยกเลิก ฃ ขวด ฅ คน แล้ว ก็ใช้ข ไข่ค ควาย แทนได้ การยกเลิก ฃ ฅ น่าจะเริ่มตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวใน พ.ศ. ๒๔๓๔ เอ็ดวิน ฮันเตอร์แม็คฟาร์แลนด์ได้เอาตัวหนังสือไทย ใส่เข้าในเครื่องพิมพ์ดีด แต่ตัวอักษรไทยมีถึง ๔๔ ตัว ใส่แป้นอักษรที่ดัดแปลง จากแป้นตัวอักษรโรมันไม่พอ จึงต้องตัดตัวอักษรออก ๒ ตัว อักษรที่ถูกตัดใน ครั้งนั้น คือฃฅ ในพจนานุกรม ฉบับกรมศึกษาธิการ ร.ศ. ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔) ไม่ปรากฏค�ำที่ใช้ฃ และ ฅ โดยให้เหตุผลว่า ฃ มีเสียงเหมือนกับ ข และ ฅ มีเสียงเหมือนกับ ค อย่างไรก็ตาม ต่อมามีการใส่ตัวฃฅในเครื่องพิมพ์ดีดอีกแต่ก็คงใช้ในค�ำ ไม่มากจึงถูกยกเลิกไปในที่สุดดังที่พระยาอุปกิตศิลปสารเขียนไว้ในหนังสือหลัก ภาษาไทยว่า “ตัว ฃ ฅ เดิมมีใช้ตัวละค�ำ คือ ฃ ใช้ในค�ำว่า ‘เฃตร’ และ ฅ ใช้ใน ค�ำว่า ‘ฅอ’แต่บัดนี้ใช้ขคแทนแล้ว นับว่าไม่มีที่ใช้” หากส�ำรวจปทานุกรมของ กระทรวงธรรมการซึ่งพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ ก็จะพบว่าไม่มีค�ำใดที่ใช้ฃ และ ฅ อันที่จริง ฃ ฅ น่าจะเคยใช้ในค�ำหลายค�ำ และน่าจะเคยมีเสียงต่างกับ ข คไม่เช่นนั้นคงไม่มีการคิดอักษรฃฅขึ้นใช้ในภาษาไทยจารึกพ่อขุนรามค�ำแหง _20-0355(001-150)p3.indd 20 6/7/2563 BE 09:21


21 มหาราชมีค�ำที่ใช้ฃฅอยู่หลายค�ำ เช่น ฃึ้น ฃุน ฃาม เฃ้าฅู้ม ฅวาม แฅว เสียงฃ และฅในค�ำเหล่านี้แต่เดิมน่าจะออกเสียงต่างกับ ขค ขและคเป็นพยัญชนะกัก ที่ฐานเพดานอ่อน ส่วน ฃและฅ นักภาษาศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่าเป็นเสียง ที่เกิดที่ฐานลิ้นไก่ซึ่งอยู่ถัดจากบริเวณเพดานอ่อนเข้าไป แต่บางคนก็สันนิษฐาน ว่าเป็นเสียงเสียดแทรกเกิดที่เพดานอ่อน ฃ และ ฅ ถูกยกเลิกไปเพราะปัจจัยที่มีเสียงซ�้ำกับ ข ค และมีที่ใช้น้อย นอกจาก ฃ ฅ ยังมีอักษรเขียนหลายคู่ที่มีเสียงซ�้ำกันและเคยต้องถูกยกเลิก แต่ต่อมาก็หวนกลับมาใช้อีก เหตุผลที่ยกเลิกปรากฏใน “ประกาสส�ำนักนายก รัถมนตรีเรื่องการปรับปรุงตัวอักสรไทย” ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ในราชกิจจานุเบกสา เล่ม ๕๙ ตอน ๓๕ วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๕ หน้า ๑๑๓๗-๑๑๔๑ ในสมัยที่จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีดังนี้ ...กรรมการส่งเสิมวัธนธรรมภาสาไทยได้มีการประชุมกันเป็น ครั้งแรกเมื่อวันที่๒๓ พรึสภาคม ๒๔๘๕ มีความเห็นไนชั้นต้นว่าสมควน จะปรับปรุงตัวอักสรไทยไห้กระทัดรัดเพื่อได้เล่าเรียนกันได้ง่ายยิ่งขึ้น ได้พิจารนาเห็นว่า ตัวสระและพยัชนะของภาสาไทยมีอยู่หลายตัวที่ซ�้ำ เสียงกันโดยไม่จ�ำเป็น ถ้าได้งดไช้เสียบ้างก็จะเป็นความสดวกไนการสึกสา เล่าเรียนภาสาไทยไห้เป็นที่นิยมยิ่งขึ้น ตัวอักสรที่ควนงดไช้คือ_ สระ สระ ใ, ฤ, ฤๅ, ฦ,  รวม ๕ ตัว พยัญชนะ พยัชนะ ฃ, ฅ, ฆ, ฌ, ฎ, ฏ, ฐ, ฑ, ฒ, ณ, ศ, ษ, ฬ รวม ๑๓ ตัว ส่วน ญ (หญิง) ไห้คงไว้ แต่ไห้ตัดเชิงออกเสีย คงเป็นรูป  (ไม่มีเชิง)... ในประกาศมีรายละเอียดอีกมากและหลังจากนั้นยังมีประกาศหลักเกณฑ์ เพิ่มเติมออกมาอีก ข้อความในประกาศแสดงว่ากรรมการส่งเสริมวัฒนธรรม _20-0355(001-150)p3.indd 21 6/7/2563 BE 09:21


22 ภาษาไทยเห็นข้อยุ่งยากในการเขียนหนังสือไทยและพยายามแก้ไข แต่คนไทย จ�ำนวนมากไม่พอใจเพราะหากเปลี่ยนแปลงการเขียนหนังสือไทยตามประกาศก็ จะมีปัญหาในด้านศึกษาที่มาของค�ำ และจะไม่สามารถแยกค�ำพ้องเสียงคือค�ำที่มี เสียงเหมือนกันแต่ความหมายต่างกันได้การเขียนหนังสือไทยตามแบบที่ปรับปรุง ใหม่นี้จึงมีระยะเวลาสั้น เมื่อจอมพลแปลก พิบูลสงคราม หมดอ�ำนาจลงใน พ.ศ. ๒๔๘๗ รัฐบาลใหม่ก็ยกเลิกการเขียนหนังสือไทยตามแบบที่ปรับปรุงใหม่ อักษรไทยที่มีเสียงซ�้ำกันก็ยังคงซ�้ำกันเช่นเดิม (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) การเวก-วายุภักษ์ การเวก เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กรวิก ในวรรณคดีใช้ทั้งค�ำว่า กรวิก และ การเวก เช่น สมุทรโฆษค�ำฉันท์มีว่า โหยหงสร้องก้อง กรวิกแกมกัน สมสรวลกันซร้องนัน วิกาโกญจโกกิล และพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช มีว่า “เสนาะเสียงส�ำเนียงนกการเวก ออกจากเมฆแซ่ซ้อง ร้องถวาย” การเวกและกรวิกเป็นชื่อนกที่อยู่ในป่าหิมพานต์ค�ำว่ากรวิก นั้น นอกจาก จะเป็นชื่อนกแล้วยังเป็นชื่อเขาชั้นที่ ๓ ที่ล้อมเขาพระเมรุราชซึ่งประดิษฐานอยู่ ท่ามกลางจักรวาล เขาสัตตบริภัณฑ์๗ ชั้น ที่ล้อมเขาพระเมรุราช เรียงจากเขา ชั้นในไปยังชั้นนอก ได้แก่ ยุคันธร อิสินธร กรวิก สุทัสสนะ เนมินธร วินันตกะ อัสสกัณณะ ตามล�ำดับ เขากรวิกได้ชื่อเช่นนี้เพราะมีนกกรวิกอยู่จ�ำนวนมาก นกกรวิกเป็นนกที่ มีเสียงหวานไพเราะ ดังไตรภูมิพระร่วงพรรณนาไว้ว่า เสือก�ำลังจะกินเนื้อ ครั้น ได้ยินเสียงกรวิกก็ลืมกิน เด็กที่ถูกไล่ตีครั้นได้ยินเสียงกรวิกก็มิรู้สึกที่จะแล่นหนี _20-0355(001-150)p3.indd 22 6/7/2563 BE 09:21


23 นกที่บินในอากาศ ครั้นได้ยินเสียงนกกรวิก ก็มิรู้สึกที่จะบิน ปลาที่ก�ำลังว่ายน�้ำ อยู่ครั้นได้ยินเสียงนกกรวิก ก็มิรู้สึกที่จะว่ายไป ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา พรรณนาความมหัศจรรย์ของเสียงนกกรวิกไว้ ท�ำนองเดียวกัน เพียงแต่เรียกชื่อต่างออกไปว่านกการเวก และกล่าวว่า นก การเวกกินมะม่วงที่มีรสหวานโดยใช้จะงอยปากจิกจิบน�้ำของผลมะม่วง ลักษณะของนกการเวกนั้น พระยาอนุมานราชธนกล่าวว่าในสมุดภาพสัตว์ หิมพานต์ มีหัว มือ และตีนเหมือนครุฑ ปีกอยู่ที่สองข้างตะโพก ขนหางคล้าย ใบมะขาม ยาวอย่างนกยูง ส่วนในสมุดภาพรอยพระพุทธบาท ฉบับวังหน้าใน รัชกาลที่ ๓ นกการเวกมีคอยาวและหัวเหมือนนกกระทุงขนหางเป็นพวงเหมือน ไก่ ขายาวเหมือนนกกระเรียน ขนของนกการเวกวิเศษนักอาจกลายเป็นทองค�ำ ได้ท่านเล่าไว้ในจดหมายที่เขียนกราบทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรม พระยานริศรานุวัดติวงศ์ลงวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ว่าถ้าต้องการขน นกการเวกกล่าวกันว่าต้องท�ำพิธีโดยท�ำร่างร้านไว้บนยอดไม้เอาขันใส่น�้ำไปวาง ไว้นกการเวกจะมาอาบน�้ำในขัน แล้วสลัดขนไว้ให้ท่านสันนิษฐานไว้ด้วยว่าไทย น�ำค�ำว่าการเวกมาใช้เรียกนกที่ฝรั่งเรียกว่า paradise bird นกจ�ำพวกนี้มีขนงาม บางชนิดหางเป็นพู่ยาว มีอยู่ในเกาะนิวกินีและในที่อื่น ๆแถวนั้น ขนนกการเวก ที่มีอยู่ในเครื่องราชูปโภคน่าจะได้จากขนนกจ�ำพวกนี้สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์ก็ทรงสันนิษฐานเช่นเดียวกัน ทรงเล่าไว้ในลายพระหัตถ์ตอบ จดหมายของพระยาอนุมานราชธนว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวได้ตัวนกการเวกเป็นนกยัดไส้มีขนติดบริบูรณ์คือ paradise bird นั่นเอง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดขึ้นเอาเกาะคอนมีด้าม ให้เด็กถือ น�ำยานมาศในงานสมเด็จเจ้าฟ้าโสกันต์ ชื่อนกการเวกน�ำมาใช้เรียกพลอยชนิดหนึ่งด้วย คือ พลอยสีขี้นกการเวก ภาษาอังกฤษว่า เทอร์คอยซ์ พลอยชนิดนี้มีสีฟ้าถึงสีฟ้าอมเขียว มีผู้กล่าวว่า ทิเบตถือว่าพลอยสีขี้นกการเวกเป็นอัญมณีประจ�ำชาติและชนพื้นเมืองบางเผ่า _20-0355(001-150)p3.indd 23 6/7/2563 BE 09:21


24 ในแถบอเมริกาใต้เชื่อว่าถ้ามีพลอยสีขี้นกการเวกติดตัวจะช่วยให้ไม่เกิดอันตราย ขณะขี่ม้า มีนกในป่าหิมพานต์อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า นกวายุภักษ์ เมื่อชูชกเที่ยว หาอาศรมของพระเวสสันดรในป ่าหิมพานต์ เพื่อขอสองกุมารมารับใช้นาง อมิตตดาภรรยาของตนนั้น ได้ไปพบพระอัจจุตฤๅษีพระฤๅษีได้ช่วยชี้ทางให้ชูชก และพรรณนาสัตว์ต่าง ๆ ในป่าหิมพานต์มีความตอนหนึ่งว่า ...สกุณกดไก่แก้วกระหรอดกระเรียนร้องระวังไพรจากพรากเพรียก จับพฤกษาไสวแสวงเหยื่อมาเผื่อเพื่อน สัตวาวายุภักษ์เลื่อนชะลอลม... ข้อความข้างต้นอยู่ในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มหาพน ซึ่งพระเทพโมฬี (กลิ่น) เป็นผู้นิพนธ์ท่านผู้นี้มีชีวิตอยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัยอันที่จริงก่อนหน้านี้ค�ำว่าวายุภักษ์ก็มีใช้ในภาษาไทยแล้วดังมีข้อความ ในพระธรรมนูนว่า ตราปักษาวายุภักษ์พระราชภักดีศรีรัตนราชสมบัติบดีพีรียภาหะได้ใช้ไป ตั้งนายรวาง หัวเมืองแลได้มีตราก�ำกับตราเจ้าจ�ำนวน ตั้งนายอากอรใน กรุงแขวงจังหวัดแลหัวเมืองสุราบ่อนเบี้ย สมภักษรขนอนตลาดค่าน�้ำเตา น�้ำตาน เรือจ้างแลเร่งเงินติดค้างนายอากอรณะหัววเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือ ทั้งปวง ตราพญาราชภักดีได้ใช้แต่เท่านี้ ตรานกวายุภักษ์นี้สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงกล่าว ว่าเป็นรูปนกแบบสัตว์หิมพานต์เมื่อมีการตั้งกระทรวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คณะเสนาบดีมอบหน้าที่ให้พระองค์ทรงเขียนตรา กระทรวงพระคลังเป็นรูปนกวายุภักษ์ เพราะเห็นว่าเป็นตราต�ำแหน่งพระยา ราชภักดีผู้มีหน้าที่เป็นหัวหน้าท�ำการคลังมาแต่ก่อน พระองค์ทรงเปรียบเทียบ ภาพนกวายุภักษ์ในตราพระยาราชภักดีกับภาพนกวายุภักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์ที่ พระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ภาพทั้งสองนี้ต่างกันมาก ทรงเห็นว่าผิด _20-0355(001-150)p3.indd 24 6/7/2563 BE 09:21


25 ทั้งคู่ ต่อมาทรงพบว่าขนนกการเวกที่ปักพระมาลาเรียกกันว่า ขนนกวายุภักษ์ ก็มีจึงทรงเขียนรูปนกวายุภักษ์ในตรากระทรวงพระคลังเป็นรูปนกการเวก หรือ paradise bird เพราะทรงเชื่อว่าการเวกกับวายุภักษ์เป็นนกชนิดเดียวกัน สาเหตุที่เรียกนกการเวกเป็นนกวายุภักษ์เพราะนกชนิดนี้กินลมเป็นอาหาร อย่างไรก็ตาม พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) อาจารยางกูร ได้เขียนถึง นกการเวกและนกวายุภักษ์ไว้ในเรื่องพรรณพฤกษาและสัตวาภิธาน ว่า การเวกแหวกวายุจร ในพื้นอัมพร แลส่งส�ำเนียงเสียงหวาน วายุภักษแสวงภักษาหาร บินในคัคนานต์ ประทะนกแขวกแถกถา กาพย์ฉบังข้างต้นแสดงว่าพระยาศรีสุนทรโวหารซึ่งเป็นผู้แต่งคิดว่านก การเวกกับนกวายุภักษ์เป็นนกต่างชนิดกัน (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง ไตรภูมิกถาของพระยาลิไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. พระนคร :องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๖. ธรรมปรีชา (แก้ว), พระยา. ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ฉบับที่ ๒. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๐. นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา. บันทึกเรื่อง ความรู้ต่าง ๆ ประทาน พระยาอนุมาราชธน เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการจัดพิมพ์เอกสารเนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปีพระยา อนุมานราชธน, ๒๕๓๗. ศิลปากร, กรม. เรื่องกฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ, ๒๕๒๑. สมุทรโฆษค�ำฉันท์. พระนคร : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๔. _20-0355(001-150)p3.indd 25 6/7/2563 BE 09:21


26 ข้าวตอก ข้าวตอกเป็นข้าวเปลือกข้าวเจ้าที่เอามาคั่วให้แตกบานเป็นดอก ไทยใช้ ข้าวตอกเป็นเครื่องบูชาอย่างหนึ่ง ดังที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ด�ำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ในเรื่อง “อธิบายเครื่องบูชา” ว่า เครื่องบูชาของไทยถ้าว่าตามแบบแผนใช้ของ ๔ สิ่งเป็นส�ำคัญ คือ เทียน ๑ ธูป ๑ เข้าตอก ๑ ดอกไม้๑ แต่ตามที่ใช้กันเป็นปกติในพื้นเมืองไทย ทางฝ่ายใต้เช่นในกรุงเทพฯ นี้เป็นต้น ชอบใช้แต่ดอกไม้ธูปเทียน เข้าตอก หาใคร่ใช้ไม่ส่วนไทยทางข้างเหนือ เช่น ในมณฑลพายัพชอบใช้แต่เทียน กับเข้าตอกดอกไม้ธูปหาใช้ไม่ที่ผิดกันเช่นนี้สันนิษฐานว่าเดิมเห็นจะเป็น ด้วยในท้องถิ่นหาของซึ่งลดเสียมิใคร่ได้สดวกเหมือน ๓ สิ่ง ซึ่งคงใช้อยู่ จึงมักลดเสียสิ่งหนึ่งแล้วก็เลยติดเป็นประเพณีมา แต่เครื่องนมัสการของ หลวงยังคงใช้ของ ๔ สิ่งตามแบบเดิมอยู่จนทุกวันนี้ ธรรมเนียมการใช้ข้าวตอกในการบูชาน ่าจะมาจากอินเดีย พราหมณ์ สุพรหมัณย ศาสตรีเล่าไว้ว่าชาวอินเดียโปรยข้าวตอกดอกไม้เมื่อรับเสด็จเจ้า แผ่นดิน มีข้อความตามที่ปรากฏในหนังสือพฤกษนิยาย ของ ส. พลายน้อย ต่อไปนี้ มีธรรมเนียมในประเทศอินเดียมาแต่โบราณ เมื่อรับเสด็จพระเจ้า แผ่นดิน โปรยข้าวตอก ดอกไม้ก็ใช้โปรยเหมือนกัน หาหลักฐานได้ใน วรรณคดีสันสกฤตเช่น นิพนธ์กาลิทาสเป็นต้น ดังนี้บ่งชัดว่าอัฏฐกถากล่าว ชื่อไว้เพียง ๒ อย่าง คือข้าวตอกและดอกไม้และการโปรยดอกไม้และ ข้าวตอกตามทางเสด็จเป็นธรรมเนียมประเทศอินเดีย ไทยเราใช้ข้าวตอกในการบูชามานานแล้วในสมัยสุโขทัยเมื่อมีการต้อนรับ พระมหาสามีสังฆราช ซึ่งเข้ามาประกอบพิธีอุปสมบทพญาลิไท ณ กรุงสุโขทัย ข้าวตอกก็ใช้เป็นเครื่องบูชาอย่างหนึ่งดังความใน จารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร _20-0355(001-150)p3.indd 26 6/7/2563 BE 09:21


27 แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า พระบาทกมัรเดงอัญก็รับสั่งเอาหมาก ข้าวตอก ดอกไม้เทียนธูป กัลปพฤกษ์ท�ำบูชาตลอดพระราชมรรคา... ในกฎหมายตราสามดวงมีข้อความที่แสดงว ่าไทยใช้ข้าวตอกในกรณี ต่าง ๆ เช่น ๑. ใช้บูชาคนดีมีความยุติธรรม ดัง “พระธรรมสาตร” มีว่า “แลมโนสาร อ�ำมาตยบังคับเนื้อความทั้งปวงโดยยุติธรรม แลเทวดาทังหลายก็ปรายสุวรรณ รัชฏะเข้าตอกดอกไม้เปนเครื่องสัการบูชาแก่มะโนสารอ�ำมาตยนั้น” ๒. ใช้ขอขมาที่ได้ล่วงเกินผู้อื่น อาจมีเพียงข้าวตอกดอกไม้หรือมีสิ่งอื่น ประกอบด้วยดัง พระไอยการลักษณ } ดี ด่า มีข้อความว่า“ถ้าภิริยาด่าว่าหยาบช้า สามีให้ภิริยาเอาเข้าตอกดอกไม้ขอโทษแก่สามีจึ่งควร”และมีข้อความอีกแห่งหนึ่ง ว่า “มันว่ากล่าวเกินเลยหยาบช้า แลให้เครื่องอันมิดีแก่พ่อตาแม่ยายก็ดีแลมัน ฉุกละหุกตีเมียไปต้องพ่อตาแม่ยายก็ดีให้มันแต่งเข้าตอกดอกไม้ธูปเทียนสะมา พ่อตาแม่ยายแล้วให้เรียกเอาทานบนไว้พี่เมียน้าเมียดุจเดียวกันแล” นอกจากนี้ถ้าญาติใกล้ชิด เช่น ปู่ย่าหลาน ตายายหลาน ลุงป้าน้าหลาน ด่าตีกัน มีข้อความก�ำหนดไว้ใน พระไอยการลักษณวิวาท } ผัว เมียกันว่า ...ถ้าถึงแตกหักษาหัดจึ่งให้ปรับไหมให้แก่กันดังฉันผู้อื่น ถ้ามิถึงแตกหัก ษาหัดไซ้ให้นายร้อยแขวงนายบ้านนายอ�ำเพอบังคับว่ากล่าว กันตามผิด แลชอบตามผู้ใหญ่ผู้น้อยให้ตบแต่งเข้าตอกดอกไม้ธูปเทียนนุ่งห่มเล่าเข้า เปดไก่ไปแปลงขวันกันเพราะเขาเสียกันมิได้ ๓. ใช้ในพิธีดัง กฎมณเทียรบาล มีข้อความว่า สนานตรีย�ำพวาย พระศรีอรรคราชทูลผ้า พระพลเทพทูลน�้ำ พระราช บโรหิตพระครูอภิรามถวายน�้ำสังข์ พระมเหธรพระพิเชดถวายน�้ำกลด พระญาณประกาศถวายโสลก พระอิศวรรักษาถวายพรขุนวิสุทธโภชถวาย เข้าตอกดอกไม้เข้าเม่าเข้าพองวังรับเข้าเม่าต้น... _20-0355(001-150)p3.indd 27 6/7/2563 BE 09:21


28 ในเรื่องนางนพมาศ ซึ่งสันนิษฐานกันว่าแต่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวข้าวตอกก็ใช้เป็นเครื่องบูชาตอนที่นางนพมาศขึ้นเฝ้าถวาย ตัวพระร่วง เพราะถือว่าเป็นสิ่งมงคลสิ่งหนึ่ง ดังมีข้อความว่า ครั้นเพลาขึ้นเฝ้าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ท่านก็ถือเอาพานเข้าตอก กับดอกมะลิให้ท่านมารดาถือพานเข้าสารให้ข้าน้อยถือเมล็ดพรรผักกาด ให้ชาวชะแม่ผู้หนึ่งถือพานดอกหญ้าแพรกของห้าสิ่งนี้โลกย์สมมุติว่าเป็น มงคลฯ ชาวไทใหญ่ใช้ข้าวตอกในการบูชาเช่นเดียวกับชาวไทย ศาสตราจารย์ ดร. คุณบรรจบ พันธุเมธา เล่าไว้ในเรื่อง อันเนื่องด้วยวัฒนธรรม ว่า เมื่อชาว ไทใหญ่ในรัฐฉาน สหภาพพม่าไปวัด ทุกคนจะมีข้าวตอกดอกไม้ส�ำหรับบูชาพระ เมื่อถึงวัด เขาจะน�ำข้าวตอกดอกไม้ไปใส่โตกซึ่งเรียกเผิน แล้วมัคนายกก็จะน�ำ เผินใส่ข้าวตอกดอกไม้เหล่านี้ไปประเคนพระที่จะเทศน์ เวลารับศีลแต่ละคนจะ ถือกรวยดอกไม้ซึ่งเรียกโอดหมอกและก�ำข้าวตอกไว้ด้วย รับศีลเสร็จแล้ว จึงใส่ โอดหมอกและข้าวตอกคืนลงในเผินของตนเพื่อน�ำไปทิ้งต่อไป นอกจากใช้บูชาพระข้าวตอกใช้บูชาเทพก็ได้ชาวไทใหญ่เมืองไหยเล่าให้ คุณบรรจบฟังว่าเมื่อเรียนดนตรีแล้วเกิดลืม ก็ต้องกินข้าวตอกเป็นการบูชาพระ สรัสวดีเจ้าแห่งดนตรีที่เขาเรียก “สุรัสสะหวะตี่” การขอษมาลาโทษซึ่งชาวไทใหญ่เรียก กั่นต๊อ ก็ใช้ข้าวตอก เมื่อผู้จะบวช เณรไปลาบวชเขาจะโรยใบเมี่ยงกับข้าวตอกลงบนขั้นบันไดและในการแต่งงาน เมื่อเจ้าบ่าวไปรับเจ้าสาวที่เรือนก็ต้องมีการขอษมาลาโทษพ่อแม่เจ้าสาวเผินที่ใส่ เครื่องกั่นต๊อมีดอกไม้หมาก พลูกล้วย มะพร้าว ใบมะพร้าว และข้าวตอก การที่ชาวไทยและชาวไทใหญ่ใช้ข้าวตอกในการบูชาเช่นเดียวกันนี้อาจ เป็นเพราะต่างก็ได้รับวัฒนธรรมจากอินเดีย และอาจเป็นเพราะต่างก็กินข้าว _20-0355(001-150)p3.indd 28 6/7/2563 BE 09:21


29 เป็นอาหารหลัก ข้าวตอกซึ่งเป็นข้าวที่มีลักษณะแตกบานเป็นดอกจึงถือกันว่า เป็นมงคล ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญและความอุดมสมบูรณ์ (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง ด�ำรงราชานุภาพ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระ.อธิบายเครื่องบูชา. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๑. บรรจบ พันธุเมธา.“อันเนื่องด้วยวัฒนธรรม”ใน สตรีสาร. ๘เมษายน๒๕๒๗-๒๙ ธันวาคม ๒๕๒๘. ประชุมจารึก ภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย.กรุงเทพฯ:คณะกรรมการอ�ำนวยการจัดงาน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, ๒๕๔๗. เรื่องนางนพมาศ หรือต�ำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ. พิมพ์ในงานศพเจ้าจอมมารดาสังวาล รัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๕๗. ศิลปากร, กรม. เรื่องกฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ, ๒๕๒๑. ส. พลายน้อย (นามแฝง). พฤกษนิยาย. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น, ๒๕๔๓. คงเส้นคงวา พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของค�ำว่าคงเส้นคงวา ไว้ว่า “เสมอต้นเสมอปลาย” เช่น เขาเป็นคนคงเส้นคงวา หมายถึง เขาเป็นคน ที่เสมอต้นเสมอปลาย เคยท�ำหรือเคยเป็นอย่างไรก็ท�ำอยู่ หรือเป็นอยู่อย่างนั้น หากพิจารณาตามรูปศัพท์ค�ำนี้ประกอบด้วย ค�ำ ๓ ค�ำคือ คง เส้น และวา คง แปลว่า ยังมียังเป็นอยู่อย่างเดิม เส้น แปลได้หลายอย่างคือ เป็นชื่อมาตราวัด ๒๐ วา เป็น ๑ เส้น, สิ่งที่มี ลักษณะเป็นสายแถวแนว ที่ไม่จ�ำกัดความยาวและรอยที่ปรากฏเป็นทางบนพื้น วา หมายถึง มาตราวัดตามวิธีประเพณีเท่ากับ ๔ ศอก มีอัตราเท่ากับ ๒ เมตร หรือเป็นค�ำกริยา หมายถึงกิริยาที่กางแขนเหยียดตรงออกทั้ง ๒ ข้าง _20-0355(001-150)p3.indd 29 6/7/2563 BE 09:21


30 ทั้ง เส้น และ วา ในที่นี้ควรเป็นมาตราวัด ดังนั้นความหมายตามรูปศัพท์ ของค�ำว่าคงเส้นคงวา น่าจะหมายถึงยังมีจ�ำนวนเส้นหรือจ�ำนวนวาอยู่อย่างเดิม หรือ ตรงตามขนาดที่วัดได้ซึ่งความหมายนี้น่าจะเป็นความหมายที่ใช้กันมาแต่ เดิม ดังได้พบการใช้ค�ำว่า“คงเส้นคงวา”ใน จดหมายเหตุในรัชกาลที่ ๓ เรื่อง อากรสมพัตสรในหนังสือเจ้าพระยาจักรีฯ มาถึงพระยาไชยวิชิตผู้รักษากรุงเก่า ซึ่งมีอยู่ ๒ ตอนดังนี้ ตอนที่ ๑ บอกวิธีการเก็บอากรว่าถ้าเป็นไร่หรือสวนปลูกไม้ที่มีพิกัดอัตรา อากรสมพัตสร ตั้งแต่ ๒ ชนิด ไปจนถึง ๑๐ ชนิด ให้นายอากรวัดอย่างถูกต้อง คงที่ตามขนาดของที่ไร่ที่สวน ให้เก็บอากรในไร่นั้นตามผลไม้มีพิกัดอัตราอากร สูงสุดเพียงอย่างเดียว ดังความว่า ...ถ้าปลูกท�ำสมพัตสรลงในไร ่ในขนัดนั้นพร้อมกัน ๒-๓-๙-๑๐ สิ่ง ให้นายอากรวัดคงเส้นคงวา พิเคราะห์ดูในไร่นั้นขนัดนั้น ผลไม้สิ่งใดต้อง ในพิกัดเป็นเงินอากรสูงกว่าทุกสิ่ง ก็ให้เอาผลไม้สิ่งที่อากรสูง มาตั้งเรียก อากรในไร่ในขนัดนั้นแต่สิ่งเดียวผลไม้สิ่งที่อากรเป็นอยู่ให้ยกเสีย... ตอนที่ ๒ บอกวิธีการเก็บอากรว่า ถ้าเป็นไร่หรือสวนที่ปลูกผลไม้จ�ำนวน มากและหลายชนิดให้นายอากรลงเส้นเชือกซึ่งหมายถึงเส้นเชือก(กระแสพยาน) ที่ใช้ท�ำรังวัดที่ดิน วัดอย่างถูกต้องคงที่ตามขนาดของที่ไร่ที่สวน ถ้ามีผลไม้ที่มีพิกัด อัตราอากร ๒-๓-๔-๕ อย่างก็ให้เก็บตามอากรของผลไม้ที่มีพิกัดอัตราสูงสุดเพียง อย่างเดียวเช่นกัน ดังความว่า ...ถ้าปลูกผลไม้เป็นหมู่เป็นเหล่ากันหลายสิ่ง ปลูกสิ่งหนึ่งแต่ต้น ๑-๒-๓ ต้นปลูกเคียงติดต่อกันไป นายอากรลงเส้นเชือกวัดคงเส้นคงวา ผลไม้ ต้องในที่ไร่ที่ขนัดนั้นรวมกัน ๒-๓-๔-๕ สิ่ง ก็ให้ยกเอาผลไม้สิ่งที่อากร สูงมาตั้งเรียกอากรแต่สิ่งเดียวเหมือนกัน... อากรสมพัตสรเป็นอากรที่เก็บจากจ�ำนวนพื้นที่ที่ปลูกไม้ล้มลุกบาง ประเภทและจ�ำนวนไม้ผลยืนต้นบางประเภทเป็นรายปีดังนั้นต้องมีการลงเส้น _20-0355(001-150)p3.indd 30 6/7/2563 BE 09:21


Click to View FlipBook Version