The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเผยแพร่หนังสือที่ระลึกเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ธีรวัฒน์ อินทรีย์, 2023-03-27 10:10:40

นานาสาระไทย

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเผยแพร่หนังสือที่ระลึกเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์

Keywords: นานาสาระไทย

31 เชือกวัดอย่างถูกต้องว่าที่ไร่ที่สวนนั้นมีขนาดกี่ไร่ หรือมีขนาดกี่เส้นกี่วาเพื่อใช้ ค�ำนวณการเก็บอากรตามพิกัดอัตรา เช่น กล้วยปลูกใหม่ อ้อยปลูกใหม่ คราม ปลูกใหม่ หอม กระเทียม แตงโม ถั่วลิสง อากรไร่ละบาท ข่า อากรไร่ละ ๓ สลึง ถั่วเขียว ถั่วด�ำ ถั่วแระ ข้าวโพด งา ต้นแมงลัก อากรไร่ละ ๒ สลึง มันเทศ กระจับ พริกเทศ ฟักทอง อากรไร่ละ ๑ สลึง พลูไม้ล้มลุก ๑๒ ค้างต่อ ๑ เฟื้อง มะขาม ๒ ต้น ๑ เฟื้อง ดังนั้นค�ำว่าคงเส้นคงวาตามอากรสมพัตสร หมายถึง“ตรงตามหรือคงที่ ตามขนาดของที่ไร่ที่สวน”จะเห็นได้ว่าปัจจุบันความหมายเปลี่ยนไปแต่ก็ยังมีเค้า ของความหมายเดิมอยู่และค�ำนี้น่าจะมีที่มาจากการวัดที่ดินที่ไร่ที่สวน นั่นเอง (รศ.กรรณิการ์ วิมลเกษม) หนังสืออ้างอิง ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๙ จดหมายเหตุในรัชกาลที่ ๓ เรื่องอากรสมพัตสร หนังสือเจ้าพระยาจักรีฯ มาเถิงพระยาไชยวิชิตผู้รักษากรุงเก่า. หน้า ๔๓-๔๘. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์, ๒๕๕๖. ความหมายและการใช้ค�ำว่า “กัลปนา” กัลปนา เป็นค�ำโบราณที่พบใช้จารึกมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัยดังที่พบ ในจารึกขอมสมัยก ่อนพระนครซึ่งอายุตั้งแต ่พุทธศตวรรษที่ ๑๕ เป็นต้นมา เช่น จารึกบ้านพังพวย พ.ศ. ๑๔๘๔ จังหวัดสระแก้ว จารึกศาลเจ้าเมืองลพบุรี พุทธศตวรรษที่๑๖ จารึกอุบมุงจังหวัดอุบลราชธานีพ.ศ. ๑๕๓๖ จารึกปราสาท หินพนมวัน ๒ พ.ศ. ๑๕๙๘ และ จารึกปราสาทหินพนมวัน ๓ พ.ศ. ๑๖๒๕ จังหวัดนครราชสีมา และมีใช้ในสมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ค�ำว่า _20-0355(001-150)p3.indd 31 6/7/2563 BE 09:21


32 กัลปนา มาจากค�ำภาษาสันสกฤตว่า“กลฺปนา”ตรงกับค�ำภาษาบาลีว่า“กปฺปนา” มีความหมายว่า จัดแจง ตระเตรียม หรือ ด�ำริ จากการส�ำรวจการใช้ค�ำกัลปนาในจารึกและเอกสารโบราณของไทยแล้ว พบว่า ใช้ทั้งเป็นค�ำกริยาและค�ำนาม ใช้เป็นค�ำกริยายังคงใช้ค�ำศัพท์ว่ากัลปนา หมายถึง เจาะจงให้ให้หรือ อุทิศให้และใช้เป็นค�ำนาม หมายถึง ศาสนสถาน หรือศาสนวัตถุ ข้าคน สัตว์สิ่งของเครื่องใช้ที่ดินหรือสิ่งอื่นซึ่งเจ้าของอุทิศ ผลประโยชน์ให้แก่วัดหรือศาสนาจะใช้ค�ำศัพท์ว่า พระกัลปนา เฉพาะที่ดิน ใช้ค�ำศัพท์ว ่า ที่กัลปนา ซึ่งเหมือนกับความหมายตามพจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังมีรายละเอียดการใช้ในแต่ละสมัยดังนี้ การใช้ค�ำกัลปนาในสมัยสุโขทัย ในสมัยสุโขทัยใช้ค�ำกัลปนาเป็นค�ำกริยา ที่เป็นการอุทิศส ่วนบุญหรือ อานิสงส์จากการท�ำบุญ ดังตัวอย่างในจารึกต่อไปนี้ จารึกวัดเขากบ พ.ศ. ๑๙๐๒-๑๙๐๔ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๔ ว่า“..กัลปนา บุญไปฝากพระยาราม..” แปลว่า อุทิศบุญให้แก่พระยาราม จารึกของสมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์๒ หลักคือจารึกวัดอโสการาม พ.ศ. ๑๙๔๒ ด้านที่๑ บรรทัดที่๓๗-๔๐ ว่า“...สมเด็จพระราชเทวีเจ้าท่านแสร้ง แกล้งกัลปนาให้เป็นโกฏฐาสบุญโจทนาไปแด่สมเด็จปู่พระยา พ่อออก แม่ออก ท่าน อีกสมเด็จมหาธรรมราชาธิราช พระศรีธรรมราชมารดา ญาติกุลพานพบสบ สัตว์ทั้งหลาย...”แปลว่าสมเด็จพระราชเทวี(สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์) ทรงตั้งใจอุทิศให้เป็นส่วนบุญไปถึงสมเด็จปู่พระยา พ่อออกแม่ออกสมเด็จมหา ธรรมราชาธิราช พระศรีธรรมราชมารดา ญาติในตระกูลเดียวกันและสรรพสัตว์ ทั้งหลาย และจารึกวัดบูรพาราม พ.ศ. ๑๙๕๖ บรรทัดที่ ๔๔-๔๗ ซึ่งมีใจความ คล้ายกันว่า“...ผลานิสงส์ดังนี้สมเด็จพระราชเทวีเจ้าท่านแสร้งแกล้งกัลปนาผล เป็นโกฏฐาสบุณย์เฉพาะไปแก่สมเด็จมหาธรรมราชาธิราชผู้เป็น(ภัษฎรา)ธิบดี แก่สมเด็จพระศรีธรรมราชมาดาสมเด็จปู่พระยา พ่อออกแม่ออกท่าน อีกญาติ” _20-0355(001-150)p3.indd 32 6/7/2563 BE 09:21


33 แปลว่าผลแห่งอานิสงส์นี้สมเด็จพระราชเทวีเจ้าตั้งใจอุทิศเป็นส่วนบุญเฉพาะแก่ สมเด็จพระธรรมราชาผู้เป็นพระสวามีแก่สมเด็จพระศรีธรรมราชมาดา สมเด็จ ปู่พระยา พ่อออก แม่ออก และญาติ การใช้ค�ำกัลปนาในสมัยอยุธยา ในสมัยอยุธยาพบการใช้ค�ำกัลปนา ทั้งที่เป็นค�ำกริยาและเป็นค�ำนาม จารึกที่ใช้เป็นค�ำกริยาเป็นการอุทิศส่วนบุญเหมือนในสมัยสุโขทัย มีดังนี้ จารึกแผ่นดีบุกวัดมหาธาตุด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๕ ว่า “กัลปนาอานิสงส์นี้ ไปทั่วไตรภพสบสัตว์นิกร บิดรญาติสาธุชน” จารึกวัดเขมา พ.ศ. ๒๐๗๙ ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๑๔-๑๗ ว่า “กูกัลปนา บุญส่งไปแก่ครูอุปัชฌาย์พ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ ญาติแก่ท้าวแก่พระยา แก่เทพยดา ทั้งหลายแลสัตว์อันไปตกนรกก็ดีอันได้เป็นเปรตดิรัจฉานก็ดีจงได้ความสุข ทุก ๆ คน” จารึกวัดพระเสด็จ พ.ศ. ๒๐๖๘ ใช้เป็นค�ำกริยาเหมือนกันแต่เป็นการ กัลปนาหรืออุทิศข้าคน และสิ่งของต่างๆให้แก่วัดดังความในด้านที่ ๓ บรรทัด ที่ ๙-๑๒ ว่า “...จึงนายพันเทพรักษา อ�ำแดงค�ำกอง แลอ�ำแดงศรีบัวทองผู้ลูกมี ใจศรัทธากัลปนาอีแก้วข้าแลฆ้องดวงหนึ่งเป็นเงินเจ็ดบาทไว้กับอาราม คนใส่ไว้ ให้รักษาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” ด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๑๔-๑๖ ว่า “เมื่อ นายพันเทพรักษากัลปนาอีแก้วแลหล่อน�้ำทักษิโณทกต่อหน้าพระสงฆ์ทั้งหลาย หมายเป็นประธาน” และด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๑๕-๒๒ ว่า “จึงนายไกรเชียร แลอ�ำแดงศรีบัวทองให้ท�ำพินัยกรรมนี้ไว้แม่เทพแลพ่อห้นลูกให้เป็นข้าอุโบสถ โดยกัลปนานายพันเทพแลอ�ำแดงน้อย แม่ศรีบัวทองลูก...” ส่วนการใช้เป็นค�ำนามพบใช้ค�ำว่า พระกัลปนา กัลปนา และ ที่กัลปนา หมายถึง ผลประโยชน์จากที่ดิน ข้าคน หรือสิ่งของที่อุทิศให้แก่วัดดังหลักฐาน การใช้ในจารึกและเอกสารโบราณต่อไปนี้ _20-0355(001-150)p3.indd 33 6/7/2563 BE 09:21


34 ค�ำว่า พระกัลปนา พบในจารึกวัดจุฬามณี พ.ศ. ๒๐๐๗ ด้านที่๑ บรรทัด ที่ ๒๖-๒๘ ใช้ในความว่า “ให้ลงจารึกพระราชพงศาวดาร แลพระราชต�ำรา พระกัลปนาข้าพระจุฬามณีอันประจุพระเกศาแลเป็นข้าพระพุทธบาท” และ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑ กล่าวถึงแผ่นดินสมเด็จ พระเอกาทศรถ มีความตอนหนึ่งว่า “ลุศักราช ๙๕๗ (พ.ศ. ๒๑๓๘) ปีมะแม สัปตศก ทรงพระกรุณาตั้งก�ำหนดกฎหมายพระไอยการและส่วยสัดพัฒนากร ขนอนตลาดแลพระกัลปนาถวายเป็นนิตยภัตรแก่สังคาราม คามวาสีอรัญญวาสี บริบูรณ์”ค�ำว่า พระกัลปนาในข้อความข้างต้น หมายถึงข้าคนและผลประโยชน์ จากที่ดินที่อุทิศให้แก่วัด ค�ำว่า กัลปนา พบในประชุมพระต�ำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนา สมัย อยุธยา ภาค ๑ มีข้อความที่กล่าวถึงการที่พระมหากษัตริย์ทรงถวายที่ดิน ไร่นา และถวายข้าพระโยมสงฆ์ให้แก่วัดโดยเด็ดขาด ใครจะล่วงละเมิดมิได้เพื่อให้ ดูแลปรนนิบัติพระสงฆ์และต้องท�ำไร่ท�ำนาเพาะปลูกบนผืนดินที่ทรงพระบรมราชูทิศพระราชทาน เพื่อน�ำผลผลิตไปบ�ำรุงวัดและเป็นปัจจัยแก่พระสงฆ์ท�ำให้ สรุปความหมายของค�ำว่า กัลปนา ว่า หมายถึง ที่ดินและข้าคนที่ถวายให้แก่วัด ซึ่งเป็นความหมายเดียวกับค�ำว่า พระกัลปนา นั่นเอง ค�ำว่า ที่กัลปนา พบในหนังสือ ต�ำนานกฎหมายไทยและประมวลค�ำ อธิบายทางนิติศาสตร์ พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ด�ำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายค�ำว่า ที่กัลปนา ในสมัยอยุธยาไว้ในประมวล ค�ำอธิบายทางนิติศาสตร์ข้อที่ ๖ ว่า “ในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวอีก อย่าง ๑ ว่า สมเด็จพระเอกาทศรฐพระราชทานที่กัลปนาเป็นนิจภัตต์พระสงฆ์ ที่เรียกว่าพระราชทานที่กัลปนานั้น หมายความว่าพระราชทานผลประโยชน์ซึ่ง ได้ในภาษีที่ดินเป็นนิจภัตต์เลี้ยงพระสงฆ์ไม่ได้พระราชทานตัวที่ดิน”ดังนั้นค�ำว่า ที่กัลปนาตามค�ำอธิบายนี้จึงหมายถึง ที่ดินที่พระราชทานอุทิศแต่ผลประโยชน์ อันเกิดจากที่ดินนั้นให้แก่วัด _20-0355(001-150)p3.indd 34 6/7/2563 BE 09:21


35 การใช้ค�ำกัลปนาในสมัยรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัตนโกสินทร์พบการใช้ค�ำกัลปนาทั้งที่เป็นค�ำกริยาและเป็นค�ำนาม เช่นเดียวกัน การใช้เป็นค�ำกริยาที่เป็นการอุทิศผลบุญพบในจารึกวัดชุมพลนิกายาราม พ.ศ. ๒๔๐๖ (หลักที่ ๑๙๑ จารึกบนหินอ่อน)ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๙-๒๑ ว่า “...แลทรงพระราชอุทิศกัลปนาผลเพื่อให้ถึงแด่เจ้าฟ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ ผู้ซึ่งได้มาท�ำนุบ�ำรุงปฏิสังขรณพระเจดีย์แลพระอารามนี้ครั้งหนึ่งนั้นด้วย...” ส่วนค�ำกัลปนาที่ใช้เป็นค�ำนาม พบใช้ค�ำว่า ที่กัลปนา หรือ ที่พระกัลปนา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้พระสงฆ์เป็นเจ้าของที่ดิน ดังความใน ต้นประกาศพระราชทานแลกเปลี่ยนที่วิสุงคามสีมาเมืองลพบุรีว่า “ที่ซึ่งทรงพระราชอุทิศถวายเปลี่ยนนั้น ไม่สักแต่ว่าเป็นที่พระกัลปนาสัดพระสัด สงฆ์ตามธรรมเนียม ทรงพระราชอุทิศยกให้เป็นที่ของสงฆ์ขาดให้สงฆ์เป็นเจ้าของ ด้วยให้บริโภคค่านาเป็นพระกัลปนาด้วยเหมือนหนึ่งราษฎรเช่านาท่านผู้อื่นท�ำ ต้องเสียค่าเช่าให้เจ้าของนาด้วยฉันใด ผู้ที่เข้าไปท�ำนาในที่ของสงฆ์อันนั้น ต้อง เสียค่าเช่าส่วนหนึ่งค่านาส่วนหนึ่งเป็นของสงฆ์ทั้งสองส่วน”แต่ในสมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ซึ่ง ประกาศใช้เมื่อวันที่๑๖ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ได้ให้ค�ำ จ�ำกัดความของ ที่กัลปนาในมาตรา ๖ ว่า“คือที่แห่งใดๆซึ่งพระเจ้าแผ่นดินได้ ทรงพระราชอุทิศเงินอากรค่าที่แห่งนั้นขึ้นวัดก็ดีหรือที่ซึ่งเจ้าของมิได้ถวาย กรรมสิทธิ์อุทิศแต่ผลประโยชน์อันเกิดแต่ที่นั้นขึ้นวัดก็ดีที่เช่นนั้นเรียกว่า ที่ กัลปนา” ซึ่งตามค�ำนิยามนี้ระบุว่าวัดหรือพระสงฆ์มิได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ต่อมาในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ได้ให้ความหมาย ของค�ำว่าที่กัลปนา ในมาตราที่ ๔๐ ว่า “คือที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้วัด หรือพระศาสนา” และยังคงความหมายนี้มาจนถึงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นการแก้ไขครั้งล่าสุด ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน _20-0355(001-150)p3.indd 35 6/7/2563 BE 09:21


36 นอกจากการใช้ค�ำว่ากัลปนาแล้วยังพบว่าในจารึกเป็นจ�ำนวนมาก มีการ ใช้ค�ำศัพท์อื่น ๆ ที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงกันแทนค�ำว่า กัลปนา รวมทั้งจารึกบางหลักที่ใช้ค�ำว่ากัลปนาแล้วเช่นจารึกวัดพระเสด็จที่ใช้ค�ำว่าใส่ไว้ และ ไว้ อีกด้วย ค�ำศัพท์ที่ใช้แทนค�ำว่ากัลปนาในแต่ละสมัยมีดังนี้ สมัยสุโขทัย สมัยสุโขทัยใช้ค�ำว่า โอยทาน อวยทาน โอย เวน ไว้ พระราชทาน ประดิษฐาน ให้ ให้ไว้ ให้ทาน ทาน แต่ง ตัวอย่างเช่น ในจารึกพ่อขุนรามค�ำแหง พ.ศ. ๑๘๓๕ ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๑๔-๑๖ ว่า “เมื่อกรานกฐินมีพนมเบี้ย พนมหมาก มีพนมดอกไม้มีหมอนนั่งหมอนโนน บริพารกฐิน โอยทานแล่ปีแล้ญิบล้าน...” จารึกเจดีย์พิหาร ด้าน ๒ บรรทัดที่ ๑๐-๑๒ มีข้อความว่า “มาฉลองโอย (ทาน)ผู้หญิงผู้ชายวัวคู่หนึ่ง เกวียนอันหนึ่งคราดไถ”และบรรทัดที่ ๒๒-๒๖ ว่า “...จึงเวนทั้งกุฎีพิหารไร่นาสวนหมากแต่เชียงแก้วให้เป็นเจ้า” จารึกวัดเขากบ ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๑๒ ว่า “...มหาสะพาน ไว้คนฝูงดี ตักน�้ำล้างตีนฝูงสงฆ์” จารึกวัดอโสการาม ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๖-๗ ใช้ค�ำว่า ประดิษฐา (ประดิษฐาน) ว่า “ท่านจึงประดิษฐาพระสถูปไว้ในวัดอโสการาม” และบรรทัด ที่ ๒๙-๓๐ ว่า“แล้วท่านประดิษฐานาร้อยหนึ่งเป็นข้าวสิบเกวีย(น)ไพร่สิบเรือน แต่งพยาบาลวัดนั้น” จารึกวัดสรศักดิ์๑๙๖๐ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๘-๑๙ ว่า“ท่านเสด็จขึ้นมา ให้ทานช้างเผือกและราชรถแก่พระสงฆ์ทุกเมือง”ด้านที่๑ บรรทัดที่๒๔-๒๕ ว่า “จึงพ่ออยู่หัวเจ้าธมีพระศาสน์ธ ให้นาไว้กับอาราม ๔๐๐ ไร่ แม่อยู่หัวเจ้า ธ ไว้นา ๓๓๕ ไร่นี้เป็นนาแจก” สมัยอยุธยา สมัยอยุธยาใช้ค�ำว่า ให้ทาน ให้ แต่ง ถวาย ปลง ไว้กับ ไว้ สร้างไว้และ _20-0355(001-150)p3.indd 36 6/7/2563 BE 09:21


37 อุทิศถวาย ตัวอย่างเช่น จารึกวัดส่องคบ ๑ พ.ศ. ๑๙๕๑ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๖-๗ ว่า “ธ ให้ทาน เรือนอัน ธ กระท�ำกุฏิพิหารในศรีอโยธยา ให้ข้าสองคนแม่ลูก พระสงฆ์สี่ตน” จารึกนายศรีโยธาออกบวช พ.ศ. ๒๐๗๑ ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๙-๑๔ ว่า “...แต่พระยาศรีไสยณรง ไว้นากับ (หน) หัวนอน วัด ๑๘๐ ไร่ฝ่าย (ปลาย) ตีน เจ้าเมืองรามราชไว้๑๘๐ ไร่ พระยาศรีธรรมไว้คนครัวหนึ่ง ชายหนึ่ง หญิงสาม ไว้กับพระเจ้า (พระ) มหาสัทธา” จารึกวัดเขมา พ.ศ. ๒๐๗๙ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๕-๑๖ ความว่า “แต่นี้ เจ้าเทพรูจีแต่งเครื่องส�ำรับไว้กับพระพุทธเจ้าในพิหาร ผ้าเบงจตีผืนหนึ่งค่าสอง ต�ำลึง...” และบรรทัดที่ ๓๑-๓๓ ความว่า “แต่นี้อ�ำแดงหยาด สร้างไว้บูชาพระ เป็นเจ้า ฆ้องดวงหนึ่งด�ำหน้าศอกหนึ่งค่าสองต�ำลึงกลองลูกหนึ่งไม้สักต�ำลึงหนึ่ง กังสะดาลลูกหนึ่งหนักสองชั่ง ค่าหกสลึง...” จารึกวัดใหม่ศรีโพธิ์ พ.ศ. ๒๒๙๘ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑-๒ ในความว่า “ท้าวพรหมกันดาลอุทิศถวาย นายนากเสมียน นายมาพรรคพวกเป็นนายหมวด อ้ายบุญใหญ่อ้ายบุญน้อย...” สมัยรัตนโกสินทร์ สมัยรัตนโกสินทร์ใช้ค�ำว่าถวาย อุทิศ อุทิศถวาย มอบถวาย สร้าง บูชา ดังตัวอย่างจากจารึกต่อไปนี้ จารึกในพระวิหารโลกนาถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พ.ศ. ๒๓๓๑ ใช้ ค�ำว่า ถวาย ในความด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๘ ว่า “ช่วยคนชายฉกรรจ์หกสิบหก คน สมโนครัวสองร้อยยี่สิบสี่คน เป็นเงินเก้าสิบห้าชั่งสิบเอ็ดต�ำลึง สักแขนขวา ถวายเป็นข้าพระ ขาดไว้ในพระอาราม..” และในบรรทัดที่ ๒๒ ว่า “แล้วถวาย แก่พระพุทธปฏิมากร แพรยกไตรยหนึ่ง บาตรเหล็ก เครื่องอัฐบริขารพร้อมย่าม ก�ำมะหยี่ เครื่องย่ามพร้อมพัดแพร ร่มแพร เสื่ออ่อน โอเถาโอคณะ กาน�้ำ...” จารึกวัดปรมัยยิกาวาส ๓ พ.ศ. ๒๔๒๑ ใช้ค�ำว่า ถวาย และ อุทิศถวาย _20-0355(001-150)p3.indd 37 6/7/2563 BE 09:21


38 ในด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๒-๓ ว่า “ทรงถวายไตรยบริขารเครื่องเสนาสนพร้อมแก่ พระสงฆ์๑๖ รูป แลทรงพระราชอุทิศถวายหมู่กุฎีเป็นสังฆิกาวาส” จารึกที่ผนังพระอุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติ๑ พ.ศ. ๒๔๒๑ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๖ ใช้ค�ำว่า อุทิศ ในความว่า “แล้วทรงพระราชศรัทธาสร้าง พระอารามนี้ขึ้นไว้ทรงพระราชอุทิศให้เป็นจาตุรทิศสังฆิกาวาศ” จะเห็นได้ว่ามีค�ำที่ใช้เหมือนกันตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ คือค�ำว่า อุทิศ ถวาย และ อุทิศถวาย ซึ่งค�ำว่า อุทิศ แปลตามรูปศัพท์นั้นว่า เจาะจง และไทยเราน�ำมาใช้ในความหมายว่า ให้ยกให้หรือมอบให้จึงได้ใช้ ค�ำนี้แทนค�ำว่า กัลปนา ที่เป็นค�ำกริยาและใช้ซ้อนกับค�ำว่า กัลปนา เช่นค�ำว่า พระราชอุทิศกัลปนา มาโดยตลอด (รศ.กรรณิการ์ วิมลเกษม) ค�ำว่า ป่า ในสมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยา ค�ำว่า ป่า ปรากฏในจารึกสมัยสุโขทัยหลายหลัก เช ่น จารึกพ ่อขุน รามค�ำแหง ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๓-๔ มีข้อความว่า “ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้” ด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๔-๕ มีข้อความว่า “เมืองสุโขทัย นี้มีกุฎีพิหารปู่ครูอยู่ มีสรีดภงค์มีป่าพร้าวป่าลาง มีป่าม่วงป่าขาม” และด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๒๕ มีข้อความว่า “ในกลวงป่าตาลนี้มีศาลาสองอัน” จารึกวัดศรีชุม ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๖๙-๗๐ มีข้อความว่า “ช้างสรายนั้น เดินเจ็บหนักหนาคนหนดินก็ยังช่อยแทงช้างสรายนั้น จึงยักเพลียกมุดป่าพงหนี” จารึกนครชุม ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๒๘-๒๙ มีข้อความว่า“ปลูกหมากพร้าว หมากลางทุกแห่ง...เปนป่าเปนดง ให้แผ้วให้ถาง” จารึกวัดป่ามะม่วงภาษาไทย หลักที่ ๑ ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๒๕ มีข้อความ ว่า “กุฎีพิหารในป่าม่วงนี้” จารึกวัดป่ามะม่วงภาษาไทย หลักที่ ๒ ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๓๕-๓๖ มีข้อความว่า “แผ่นดินป่าม่วงนี้” _20-0355(001-150)p3.indd 38 6/7/2563 BE 09:21


39 จารึกวัดสรศักดิ์ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๒๕ มีข้อความว่า “แม่อยู่หัวเจ้าธไว้ นา ๓๓๕ ไร่นี้เป็นนาแจก นายสรศักดิ์ขอป่าสร้างเป็นนา” ตัวอย่างการใช้ค�ำว่าป่า ในจารึกสมัยสุโขทัยแสดงว่า ป่า หมายถึงที่ซึ่งมี ต้นไม้ต่าง ๆ ขึ้นมาก ถ้าเป็นป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ชนิดใด ก็ระบุชื่อต้นไม้ชนิด นั้นไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม เอกสารสมัยอยุธยามีตัวอย่างการใช้ค�ำ ป่า ที่ความหมาย ต่างออกไป ในค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม มีข้อความที่ว่าด้วยสถานที่ ต่าง ๆ ในก�ำแพงพระนครศรีอยุธยา สถานที่หลายแห่งมีค�ำว่าป่าอยู่ด้วย เช่น ย่านป่าโทน ย่านป่าขนม ย่านป่าถ่าน ย่านป่าทอง ดังจะกล่าวถึงสถานที่ที่มี ค�ำว่า ป่า ไปตามล�ำดับ ๑. ถนนย่านป่าโทนมีร้านขายทับโทนเรไรปี่แก้ว จังหน่อง... ๒. ถนนย่านป่าขนม ชาวบ้านย่านนั้นท�ำขนมขายแลนั่งร้านขายขนม ชะมด กงเกวียน สามเกลอ หินฝนทอง ขนมกรุบ ขนมพิมพ์ถั่ว ขนมส�ำปะนีแล ขนมแห้งต่าง ๆ... ๓. ถนนย่านป่าขันเงินมีร้านขายขันขายผอบตลับของเครื่องเงินแล ถมยาด�ำ... ๔. ถนนย่านป่าฟูก มีร้านขายฟูก เบาะ เมาะ หมอน มุ้งผ้ามุ้งป่าน... ๕. ถนนย่านป่าผ้าเขียวหลังคุก มีร้านขายเสื้อเขียวเสื้อขาวเสื้อแดงชมภู เสื้อยี่ปุ่น เสื้อจีบอก เสื้อฉีกอก เสื้อสรวมศีศะ กังเกงสีต่าง ๆ... ๖. ถนนย่านป่าสมุด...มีร้านช�ำขายสมุดกระดาษขาวด�ำ... ๗. ถนนย่านป่าเหลกวัดป่าฝ้าย มีร้านขายของสรรพเครื่องเหลกมีดพร้า... ๘. ถนนย่านป่าพัดท�ำพัดใบโตนดคันกลมแลคันแบนใหญ่น้อยขาย... เห็นได้ว่า ค�ำว่าป่าในชื่อสถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้หมายถึงที่ซึ่งมีบางสิ่ง มาก เช่น ป่าโทนมีร้านขายโทนและเครื่องดนตรีอื่น ๆ ป่าฟูกมีร้านขายฟูกและ เครื่องนอนอื่น ๆศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธนมีความเห็นว่าความหมาย _20-0355(001-150)p3.indd 39 6/7/2563 BE 09:21


40 ดังกล่าวของค�ำว่า ป่า ขยายมาจากความหมายเดิมว่า ที่ซึ่งมีต้นไม้มาก ท่านได้ เขียนกราบทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ว่า ป่ามักมีต้นไม้ขึ้นเป็นดง ป่าและดงจึงเลือนความหมายไปแปลว่า มากและ ใช้ปะปนกันไป แล้วขยายวงความหมายที่ว่ามากด้วยต้นไม้มาเป็นมากด้วย สิ่งอื่น ๆ เป็นป่าตะกั่ว ป่าผ้า ดงผู้ชาย ดงเสือ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาภาษาในตระกูลไทภาษาต่างๆ ประกอบ ค�ำ ป่า ที่หมายถึงที่ซึ่งมีต้นไม้มากมีใช้ในภาษาไทบางภาษา เช ่น ภาษาไทขาว ป๊า หมายถึงป่าไม้แต่ในภาษาไทบางภาษา ป่า หมายถึงที่ที่มีบางสิ่งชุมนุมกันอยู่ เช่น ภาษาไทพ่าเก่ ป๊าโก๊น หมายถึงที่ที่มีคนหนาแน่น ป๊าโง้ป๊าจ้าง หมายถึง ที่ที่มีวัวมีช้างชุม ป๊าหิน หมายถึงที่ที่มีหินมาก ป๊าเทิ้น หมายถึงที่ที่มีป ่า หนาแน่น ภาษาไทเหนือ ค�ำ ป่า ก็มีความหมายใกล้เคียงกับค�ำ ป่า ในภาษาไท พ่าเก่คือหมายถึงที่ชุมนุมก็ได้เช่น ป่าโก๊น หมายถึงที่ที่มีคนมาก และหมายถึง ที่ที่มีต้นไม้หรือหญ้าขึ้นมาก ๆ ก็ได้เช่น ป่าไม่ หมายถึง ป่าไม้ป่ายา หมายถึง ทุ่งหญ้า ป่าสูง หมายถึง ที่ราบสูง แม้ภาษาถิ่นในประเทศไทยเอง ก็มีการใช้ ค�ำ ป่า ให้หมายถึงที่ซึ่งมีบางสิ่งมากเช่น ภาษาไทยถิ่นใต้มีค�ำ ปาทาก หมายถึง ที่ซึ่งมีทากชุม ปาคน หมายถึงที่ซึ่งมีคนมาก แต่ที่ใช้ค�ำ ปา ให้หมายถึงป่าก็มี เช่น ปาแก หมายถึงป่าดงดิบ ความหมายของค�ำว่า ป่าในภาษาไทภาษาต่างๆและภาษาไทยถิ่นท�ำให้ สันนิษฐานได้เป็น ๒ ทาง ข้อสันนิษฐานทางหนึ่งคือค�ำว่า ป่า มี๒ ความหมาย ความหมายหนึ่ง คือ ที่ที่มีต้นไม้ขึ้นจ�ำนวนมาก ค�ำว่า ป่า ในสมัยสุโขทัยมี ความหมายนี้อีกความหมายหนึ่งคือ ที่ที่มีบางสิ่งชุมนุมกันอยู่ค�ำว่า ป่า ในสมัย อยุธยามีความหมายนี้ข้อสันนิษฐานอีกทางหนึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องการกลาย ความหมาย เดิม ค�ำว่า ป่า อาจหมายถึงที่ชุมนุม ที่ที่มีบางสิ่งอยู่หนาแน่น แต่ ความหมายได้แคบลง ใช้หมายถึงที่ที่มีต้นไม้มาก ในภาษาไทยปัจจุบัน (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) _20-0355(001-150)p3.indd 40 6/7/2563 BE 09:21


41 หนังสืออ้างอิง ค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง.กรุงเทพฯ:คณะ กรรมการช�ำระประวัติศาสตร์ไทยฯส�ำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ม.ป.ป. นริศรานุวัดติวงศ์,สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าฯและพระยาอนุมานราชธน. บันทึกเรื่องความรู้ต่าง ๆ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ประทานพระยาอนุมานราชธน ๕ เล่ม. พระนคร :สมาคมสังคมศาสตร์ แห่งประเทศไทย, ๒๕๐๖. นววรรณ พันธุเมธา. ภาษาพาสงสัย. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา, ๒๕๕๐. บรรจบ พันธุเมธา. พจนานุกรมพ่าเก่-ไทย-อังกฤษ. เอกสารอัดส�ำเนา, ๒๕๓๐. ประชุมจารึกภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย.กรุงเทพฯ:คณะกรรมการอ�ำนวยการจัดงาน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, ๒๕๔๗. จามรี-จามร ค�ำว่าจามรีและจามร มีความหมายเกี่ยวข้องกัน จามรีเป็นชื่อสัตว์จ�ำพวก วัวขนยาวมากและละเอียดอ่อน สีน�้ำตาลเข้มจนถึงด�ำ หรือสีขาว หางยาวเป็นพู่ อาศัยอยู่ในเขตที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น แถบภูเขาสูงในทิเบต ส่วน จามร พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า “แส้ ด้ามยาวท�ำด้วยขนจามรีมีฝักแบนรูปคล้ายน�้ำเต้าส�ำหรับสอดเก็บแส้เป็นเครื่องสูง ชนิดหนึ่ง” ค�ำว่าจามรีมีใช้ในภาษาไทยมานาน พบในไตรภูมิพระร่วงซึ่งเป็นวรรณคดี สมัยสุโขทัย แต่หมายถึงขนจามรีไม่ได้หมายถึงตัวจามรีดังข้อความที่กล่าวถึง นางฟ้าที่เป็นชายาของพระอินทร์ว่า ...มีหน้าอันงามนักหนาแลแต่งแง่แผ่ตนด้วยเครื่องประดับด้วยเทียรย่อม แก้วแหวนเงินทองทั้งหลาย บ้างถือกัลออมแก้ว บ้างถือคนทีบ้างถือจามรี แลจามรแก้ว บ้างถือธงแก้วแลธงทองแกว่งแล... _20-0355(001-150)p3.indd 41 6/7/2563 BE 09:21


42 ส่วนจามรีที่เป็นสัตว์นั้น ในไตรภูมิพระร่วงเรียกว่า จามจุรีดังที่กล่าวถึง จามจุรีในป่าหิมพานต์ว่า“ป่าอันนั้นมีทรายจามจุรีอยู่มากนักฝูงคนที่อยู่แห่งนั้น เขาเทียรย่อม(เอา)หางจามจุรีมามุงเรือนอยู่แล” ไทยน ่าจะยืมค�ำว ่าจามรีหรือจามจุรีมาจากค�ำในภาษาบาลีและภาษา สันสกฤตว่า จมรีในวรรณคดีสมัยอยุธยาเรียกสัตว์ชนิดนี้ว่า จมรีก็มีจามรี ก็มีเช่น ในสมุทรโฆษค�ำฉันท์ พระสมุทรโฆษถูกท้าให้ยิงเส้นจามรีที่ผูกห้อยไว้ ห่างออกไป ๑ โยชน์ดังกาพย์ฉบังมีว่า แล้วจึ่งให้ห้อยเส้นขน จมรีโดยกล แลผูกเปนขวั้นแขวนวง และรถของกษัตริย์ชื่อจิตรเสนเทียมด้วยตัวจามรีดังนี้ ถัดนั้นจิตรเสนคือไกร- สรรถแกว่งไกว แลเทียมด้วยตัวจามรี ส่วนในอนิรุทธค�ำฉันท์ ตอนที่พระกฤษณะรบกับเจ้ากรุงพาณ จามรีใช้ เป็นพาหนะของพลยักษ์ดังนี้ ขี่เสือโคร่งขี่เลียงผา ขี่แรดขี่จา- มรีนิกรและสีห์ ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์อักขราภิธานศรับท์เรียกจามรีว่าจามจุรีและ จามมะรีดังที่ให้ความหมายของค�ำทั้งสองนี้ว่า จามจุรี, เปนชื่อสัตว์อย่างหนึ่งสี่เท้า,ขนมันเส้นเล็กเลอียดนักศีขาวๆ. จามมะรี, เป็นสับทแปลว่าตัวจามจุรี, ที่มันมีขนเส้นเล็กเลอียดนักนั้น. ศริพจน์ภาษาไทย์ นั้นแยกความหมาย จามะจุรีเป็นค�ำเรียกตัวจามรี ส่วน จามะรีหมายถึง พวงขนจามรีใช้ส�ำหรับเรือ เรือที่กล่าวถึงนี้คงหมายถึง เรือสุพรรณหงส์ _20-0355(001-150)p3.indd 42 6/7/2563 BE 09:21


43 ปัจจุบันชื่อสัตว์ชนิดนี้ไทยเรียกว่า จามรีถือกันว่ามีลักษณะเด่นคือมีขน เส้นละเอียดและรักขนยิ่งชีวิต ทั้งนี้อาจเป็นด้วยอิทธิพลของไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ที่พรรณนาว่า“ทรายจามรีสู้เสียชีวีมิให้เสียขน”และโคลงสองบาทแรกของโคลง โลกนิติบทหนึ่งที่ว่า “จามรีขนข้องอยู่ หยุดปลด ชีพบ่รักรักยศ ยิ่งไซร้” ส่วนค�ำว่าจามจุรีใช้เป็นชื่อต้นไม้ซึ่งดอกเป็นฝอยละเอียดเปรียบได้กับขน ของตัวจามรีกล่าวกันว่าบาทหลวงรอมิเอลซึ่งเป็นนักบวชที่อยู่ในวัดอัสสัมชัญน�ำ พันธุ์จามจุรีมาจากเมืองไซ่ง่อน ประเทศเวียดนาม จามจุรีต้นแรกในประเทศไทย ปลูกอยู่ภายในโรงเรียนอัสสัมชัญ ค�ำว่าจามรก็มีใช้ในภาษาไทยมานาน พบในไตรภูมิพระร่วงเช่นเดียวกับ ค�ำว่า จามรีดังข้อความที่กล่าวถึงคนธรรพ์ซึ่งเป็นบริวารของท้าวธตรฐ มีว่า “...ทั้งเครื่องแห่เครื่องแหนเขานั้น เทียรย่อมเงินแลทองทั้งหอก ดาบ แลจามร จามรีเทียรย่อมเงินทองแล” นอกจากไตรภูมิพระร่วง จามรยังปรากฏในวรรณคดีไทยอีกหลายเรื่อง เช่น โคลงยวนพ่ายพรรณนาถึงทัพของพระอินทราชา พระราชโอรสของสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ ดังนี้ ภูมิศวรราชเรื้อง เอารส ท่านนา หมายหมู่หลังเหนือตรา แต่งเต้า จามรมาศกลดธง ชยโบก โบยแฮ คฤโฆษกลองฆ้องเคล้า คลี่ดูริย และบุณโณวาทค�ำฉันท์กล่าวถึงจามรในกระบวนเสด็จพยุหยาตราทาง ชลมารคของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ดังนี้ พัดโบกและจามรมณี ทรกั้งก�ำบังสูรย์ ธงฉานฉวัดวรพิบูลย์ รยะยาบที่ธงไชย น่าสังเกตว่า จามรในตัวอย่างที่ยกมาเป็นจามรแก้วหรือจามรทองและใช้ ในกระบวนแห่ นี่ชวนให้คิดว่าจามรท�ำด้วยแก้วและทอง และใช้ในกระบวนแห่ _20-0355(001-150)p3.indd 43 6/7/2563 BE 09:21


44 เท่านั้น อย่างไรก็ดีจามรน่าจะท�ำด้วยหางจามรีเพราะค�ำนี้ไทยน่าจะยืมมาจากค�ำ จมร หรือจามรในภาษาสันสกฤตตาม สสกฤต-ไท-อังกฤษอภิธาน ํจมร หมายถึง แส้ที่ท�ำด้วยขนหางจามรี(ใช้ปัดแมลงที่รบกวน) และหมายถึง มฤคชนิดหนึ่ง ส่วน จามร หมายถึง หางจามรี(ใช้ปัดแมลง และเป็นเครื่องประดับยศเจ้านาย) การใช้แส้ขนจามรีประดับเกียรติยศนี้คงมีในอินเดียเรื่อยมา สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงทราบเรื่องนี้จากพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเล่าประทานพระยาอนุมานราชธน ในลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ว่า “พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ตรัสเล่าว่าเจ้าแขกทางอินเดียเขามีคนถือแส้จามรี เคียงข้างพระที่นั่ง และไม่ใช่ถือไปเฉย ๆ มีการกระทุ้งกระแทกขึ้นลง ให้ขน พะเยิบพะยาบด้วย...” ไทยใช้จามรเป็นเครื่องประดับเกียรติยศเช่นเดียวกับเจ้าอินเดีย ม.ร.ว. เทวาธิราช ป. มาลากุลกล่าวว่าเดิมจามรเป็นแส้ท�ำด้วยขนจามรีมีด้ามยาวและ มีปลอกหนังรูปเหมือนน�้ำเต้าแต่แบนสวมภายนอก ส�ำหรับเจ้าพนักงานเดินถือ ปัดในเวลาประทับอยู่เบื้องสูงเช่น เวลาทรงพระราชยาน จามรส�ำรับหนึ่งมี๑๖ คัน ต ่อมาขนจามรีหลุดหายไปเหลือแต ่ปลอกติดอยู ่ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เปลี่ยนเป็นเชิญทวนหรือพุ่มดอกไม้เงินทองแทน จามร ๑๖ คันนี้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเล่าว่า ผู้ถือเรียกกันว่าอินทร์พรหม ผู้ถือจามร ๘ คนที่ใส่เสื้อสีเขียวเดินแซงซ้ายพระที่นั่ง เรียกว่า อินทร์ผู้ถือจามร ๘ คนที่ใส่เสื้อสีแดงเดินแซงขวาเรียกว่า พรหม ในสมัยก่อนจามรอาจมิได้ใช้เฉพาะเมื่อพระมหากษัตริย์ประทับอยู่เบื้องสูง เท ่านั้น อาจใช้ถวายงานโบกปัดโดยทั่วไปก็ได้เช ่น ในสมุทรโฆษค�ำฉันท์ พระโพธิ์ร�ำพึงว่าพระสมุทรโฆษเคยบรรทมเหนือแท่นทอง มี“นางแก้วกรไกวจามร เคยโอบเอวสมร ดนูพธูจงปอง” และในอนิรุทธค�ำฉันท์จามรตั้งอยู่ข้างแท่น บรรทมของนางอุษา พระธิดาของเจ้ากรุงพาณ ดังนี้ _20-0355(001-150)p3.indd 44 6/7/2563 BE 09:21


45 ยลฐานทองสองนิทรา มลังเมลืองอาภา พิสุทธิ์อาสนอิงเขนย ยลจามรจามริ์ร�ำเพย พานสลาทึกเสวย ส�ำอางส�ำอาดอบองค์ จามรในสมุทรโฆษค�ำฉันท์ใช้ไกว ส่วนจามรในอนิรุทธค�ำฉันท์ใช้ร�ำเพย คือใช้พัด ในไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ซึ่งแต ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จามรก็ใช้พัด ดังข้อความที่พรรณนาว ่าขณะที่สมเด็จ พระพุทธองค์เสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงมาตามบันไดแก้วนั้น “สยามเทวบุตร ทรงจามรทองตามพัดวีสมเด็จพระพุทธองค์” นอกจากนี้จามรยังใช้ตั้งแต่งในงานพระราชพิธีเช่น พระราชพิธีราชาภิเษก ดังปรากฏในค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ตอนหนึ่งว ่า “...ที่น่า ราชบัลลังก์มีเตียงตั้งเครื่องราชอุปะโภคแลเครื่องเบญจ์กุกกุธภัณฑ์...แล้วจึ่ง ตั้งอภิรุมแลธงทองแลพัดโบกจามรทานตะวัน แลบังสูริยบังแทรก แลพัดชะนี คันนั้นหุ้มทองทั้งสิ้น ตั้งซ้ายสี่แถวขวาสี่แถว...”และพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ ดังปรากฏข้อความในค�ำให้การขุนหลวงหาวัด ตอนหนึ่งว ่า “พระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินนั้น...มีเครื่องสูงเศวตฉัตรอภิรุมชุมสายพัดโบก จามรชอนตวันบังสุริยันบังแซกแซงครบเครื่องสูงส�ำรับ ๑...” สรุปว่า แม้คนไทยสมัยก่อนจะไม่เคยเห็นตัวจามรีแต่ก็รู้มานานแล้วว่า จามรีเป็นสัตว์ที่มีก�ำลังและมีขนเส้นเล็กละเอียด ทั้งยังถือคติตามอินเดียที่ น�ำแส้ขนจามรีมาประดับเกียรติยศของบุคคลชั้นสูง ในกรณีของไทยแส้ขนจามรี ใช้ส�ำหรับพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ชั้นสูงเท่านั้น (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง ค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการช�ำระ ประวัติศาสตร์ไทยฯ ส�ำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ม.ป.ป. _20-0355(001-150)p3.indd 45 6/7/2563 BE 09:21


46 ค�ำให้การขุนหลวงหาวัด. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช, ๒๕๔๗. ไตรภูมิพระร่วงของพระญาลิไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. พระนคร : องค์การค้าของ คุรุสภา, ๒๕๐๖. ธรรมปรีชา (แก้ว), พระยา. ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ฉบับที่ ๒. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๐. นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา. บันทึกเรื่อง ความรู้ต่าง ๆ ประทานพระยาอนุมานราชธน เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการจัดพิมพ์เอกสารเนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปีพระยา อนุมานราชธน, ๒๕๓๗. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์, ๒๕๕๖. . พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทยสมัยอยุธยา โคลงยวนพ่าย.กรุงเทพฯ: นิวไทยมิตรการพิมพ์, ๒๕๔๔. . อนิรุทธค�ำฉันท์. กรุงเทพฯ : ทีฟิล์ม, ๒๕๕๐. ราชูปโภคและพระราชฐาน. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระสุนทรภูษา จม. บช. (จีน สิงหเสนี) ณ วัดจักรวรรดิราชาวาส, ๒๒ มีนาคม ๒๕๐๓. ศริพจน์ภาษาไทย์ พจนานุกรมไทย-ฝรั่งเศส-อังกฤษ-ฉบับ Bishop J. L. Ver ค.ศ. ๑๘๕๖. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการช�ำระกฎหมายตราสามดวง ส�ำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ๒๕๔๕. ศิลปากร,กรม.กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์.วรรณกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย. กรุงเทพฯ, ๒๕๓๑. อักขราภิธานศรับท์ ของหมอปรัดเล. พระนคร:องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๔. _20-0355(001-150)p3.indd 46 6/7/2563 BE 09:21


47 จิงโจ้ ค�ำว่า จิงโจ้พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ บอก ความหมายไว้ถึง ๕ ความหมาย ดังนี้ ๑. ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขาคู่หน้าสั้น คู่หลังยาวแข็งแรง ใช้กระโดดได้ ไกล ๆ ตัวเมียออกลูกเป็นตัว มีถุงที่หน้าท้องส�ำหรับใส่ลูก มีถิ่นก�ำเนิดในทวีป ออสเตรเลีย ๒. ชื่อแมลงล�ำตัวลีบและยาวขาคู่หน้าสั้น ใช้จับสัตว์เล็กๆกิน ขาคู่กลาง และคู่หลังยาวกว่าล�ำตัวมาก สามารถวิ่งไปตามผิวน�้ำได้ ๓. เครื่องป้องกันใบจักรเรือไม่ให้สวะเข้าไปปะ กันกระทบ และกันไม่ให้ เพลาแกว่ง ๔. ชื่อทหารผู้หญิงในวังครั้งรัชกาลที่ ๔ ว่าทหารจิงโจ้ ๕. ชื่อเครื่องแขวนให้เด็กดู ทหารผู้หญิงที่เรียกว่าจิงโจ้นั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ด�ำรงราชานุภาพทรงกล ่าวถึงในลายพระหัตถ์ถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ลงวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ว่า ...สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสเรียกโขลนแต่งตัวเป็นทหารในงานแห่ โสกันต์ทางฝ่ายในว่า จิงโจ้และทรงประดิษฐ์ค�ำบอกทหารพวกนั้นว่า “จิงโจ้กัด”แทนวันทยาวุธ“จิงโจ้หยุด”แทนบ่าอาวุธและ“จิงโจ้นอน” แทนเรียบวุธ... ในพระราชนิพนธ์โคลงดั้นเรื่องพระราชพิธีโสกันต์ข้างในพระบรมมหาราชวัง ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งอยู่ในหนังสือมิวเซียม เล่ม ๑ ก็มีโคลงที่กล่าวถึงทหารจิงโจ้ดังนี้ การเล่นทุกสิ่งล้วน ฝ่ายใน สิ้นแฮ พิณพาทยรายทางวาง ช่องเว้น _20-0355(001-150)p3.indd 47 6/7/2563 BE 09:21


48 เรบงอ้ววอีกแทงวิสัย ญวนหก ล้วนแต่หญิงแกล้งเหล้น อย่างชาย จิงโจ้ยืนรยบร้อย ริมถนน เสื้อจีบชายกระจาย สุกอ้า ถือปืนท่ววทุกคน พล่องแพล่ง นายดาบเดอรด้อมก้า ก่องถนน ส่วนจิงโจ้ที่เป็นชื่อเครื่องแขวนให้เด็กดูพระยาอนุมานราชธนกล่าวไว้เล็ก น้อยในจดหมายที่ท่านเขียนกราบทูลสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ว่า “...เรียกเครื่องห้อยเปลให้เด็กดูเล่นว่า จิงโจ้แต่ลูกที่ห้อยอยู่ ๔ มุมเรียกว่า กระจับ” สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์ทรงอธิบายเรื่องจิงโจ้ที่เป็นเครื่องห้อยเปลเด็กในลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ประทานพระยาอนุมานราชธนว่า ...เขาท�ำด้วยไม้ไผ่จัก ส่วนกระจับนั้นท�ำด้วยเศษผ้าซึ่งมีอยู่ในเรือน ที่จริง จิงโจ้ก็จิงโจ้กระจับก็กระจับ ที่ท่านเห็นห้อยกลางเป็นจิงโจ้ห้อยริมเป็น กระจับนั้น เขาท�ำปนกันเสียแล้วจิงโจ้จักด้วยไม้ไผ่จะต้องเป็นของมาก่อน เพราะท�ำด้วยของป่ากระจับมาทีหลังเพราะท�ำด้วยเศษผ้าแสดงว่าจ�ำเริญ ขึ้นแล้ว... นอกจากความหมายทั้ง ๕ ความหมายที่กล่าวมาแล้ว ค�ำว่า จิงโจ้อาจมี ความหมายอย่างอื่นอีกเพราะในบทร้องเล่นของเด็กมีว่า“จิงโจ้มาโล้ส�ำเภา หมา ไล่เห่า จิงโจ้ตกน�้ำ หมาไล่ซ�้ำ จิงโจ้ด�ำหนีให้กล้วยสองหวีท�ำขวัญจิงโจ้” ค�ำว่า จิงโจ้ในบทร้องเล่นนี้ไม่ทราบแน่ว่าเป็นอะไร สันนิษฐานกันว่าน่า จะเป็นคน ที่เชิงบานหน้าต่างพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามมีรูป เรือส�ำเภาในเรือมีหมาและมีรูปคนเท้าเป็นนกเกาะอยู่ที่หัวเรือรูปนี้ช่างเขียนคง ต้องการแสดงถึง“จิงโจ้มาโล้ส�ำเภา”สมเด็จฯกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรง สันนิษฐานสาเหตุที่ช่างเขียนจิงโจ้เป็นรูปคนเท้าเป็นนก ปรากฏในลายพระหัตถ์ _20-0355(001-150)p3.indd 48 6/7/2563 BE 09:21


49 ถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ลงวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ว่า ...พิเคราะห์ดูเขียนอย่างนั้นก็มีหลักฐาน เช่นในบทชมดงที่ท่านประทาน มาเป็นตัวอย่างว่า“กะลุมพูจับกะล�ำพ้อจิงโจ้จับจิงจ้อแล้วส่งเสียง”ความ ก็ว่าจิงโจ้เป็นนก แต่บทที่เด็กร้องเล่นว่า “จิงโจ้มาโล้ส�ำเภา” ความบ่งว่า เป็นมนุษย์จึงอาจโล้ส�ำเภาได้จึงเอาความทั้ง ๒ บทนั้นมาเขียนจิงโจ้เป็น รูปมนุษย์ตีนเป็นนก... [รูปจิงโจ้โล้ส�ำเภาที่เชิงบานหน้าต่างพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม] บทชมดงที่สมเด็จฯกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงนั้นอยู่ในบท พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเรื่องอิเหนา พระยา อนุมานราชธนก็เคยอ่านบทพระราชนิพนธ์เรื่องนี้และเขียนถึงจิงโจ้ที่เป็นนก ใน จดหมายกราบทูลสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ว่า ...ตามธรรมดาค�ำที่เป็นชื่อนกข้าพระพุทธเจ้าเคยสังเกตมาโดยมากตั้งชื่อ ตามเสียงที่ร้องดีร้ายนกจิงโจ้คงตั้งชื่อตามเสียงของนกนั้น และเวลาร้องคง ส่ายหัวและย้ายตัว และนกตัวเดียวอาจเรียกกันเป็นหลายชื่อแล้วแต่ ท้องถิ่นไหน เพราะเคยมีชื่อนกหลายชื่อซึ่งข้าพระพุทธเจ้าจดชื่อจาก _20-0355(001-150)p3.indd 49 6/7/2563 BE 09:21


50 หนังสือไปถามผู้รู้ว่าเป็นนกอะไรในภาษาทางวิทยาศาสตร์ก็ได้รับตอบ ว่าเป็นชื่อนกอย่างเดียวกัน แต่เรียกกันเป็นสองอย่างโดยส�ำคัญผิดว่าเป็น นกต่างชนิดกัน ข้าพระพุทธเจ้าได้สอบถามถึงเรื่องนกจิงโจ้ก็ไม่มีใครรู้จัก มาเมื่อเย็นวานนี้ข้าพระพุทธเจ้าไปสอบถามนายสุดอีกว่า นกที่ร้องคล้าย เสียง จิงโจ้มีบ้างไหม นายสุดบอกว่ามีเรียกในอีสานว่า นกจีโจ้เป็นนก ขนาดเล็กโตกว่านกกระจอกเล็กน้อย หน้าอกเหลืองชอบอยู่ตามละเมาะ ไม้พบตัวเดียวโดดไม่ไปเป็นฝูงร้องจี(ลากเสียงยาว) โจ้ะ ฟังแล้ววังเวงใจ เวลาร้องยกหัวและโยกย้ายตัว มีคนชาวอีสานนั่งอยู ่ที่นั้นอีกคนก็ รับรองต้องกัน นายสุดว่านกชนิดนี้ไม่เคยเห็นในกรุงเทพฯชาวนครสวรรค์ คนหนึ่งบอกข้าพระพุทธเจ้าว่า เคยเห็นนกอย่างที่อธิบายนี้แต่นึกชื่อที่ เรียกกันแถบนครสวรรค์ไม่ออก ข้าพระพุทธเจ้าสืบได้ความมาอย่างนี้ จิ้งโจ้เดิมเป็นชื่อนก คือ นกจิโจ้โดยที่นกอย่างนี้มีอาการโยกไปย้ายมา ไม่อยู่นิ่งไปเข้ากับค�ำว่าจิ้งและจี้ในภาษาไทยใหญ่และไทยย้อยแปลว่า โคลง จึงเอาลักษณะนั้นมาตั้งชื่อให้ตัวแกงกะรูแมงมุมจิงโจ้ก็จะเอา ลักษณะที่โก้งเก้งยงโย่ยงหยกมาตั้งให้ส่วนจิงโจ้แขวนเปลตั้งชื่อตามรูป ที่เหมือนแมงมุมจิงโจ้ทหารผู้หญิงที่เรียกว่า จิงโจ้จะเป็นเพราะมีกิริยา ท่าทางเก้งก้างไม่มั่นคงหมือนทหารผู้ชายจึงได้ตั้งชื่อให้เป็นใส่ไคล้ค�ำเด็ก เล่นว่า จิงโจ้มาโล้ส�ำเภา และรู้จักด�ำน�้ำได้ เห็นจะหมายถึงเจ๊กโล้เรือ มีกิริยาโยกไปย้ายมาหรือโคลงไปโคลงมาสุนัขเห็นแปลกจึงไล่กัดจึงต้อง ด�ำน�้ำหนี...” ต่อมาในจดหมายกราบทูลสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ลง วันที่๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ พระยาอนุมานราชธนได้กล่าวถึงนกจีโจ้เพิ่มเติมว่า นกจีโจ้นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่าเป็นนกขมิ้น ซึ่งเป็นนกขนาดเขื่องกว่านกกระจอกตัวลายท้องเหลืองคนละตระกูลกับ นกขมิ้นเหลืองอ่อน _20-0355(001-150)p3.indd 50 6/7/2563 BE 09:21


51 อย่างไรก็ตาม ค�ำว่า จีโจ้นี้ไม่พบในพจนานุกรมภาคอีสาน-ภาคกลาง และสารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ ในหนังสือทั้ง ๒ เล่มมีแต่ค�ำว่า จี่จู้ หมายถึง นกคีรีบูน แต่ในพจนานุกรมภาษาถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จี่จู้ หมายถึง นกกางเขน และในพจนานุกรมล้านนา-ไทย ฉบับแม่ฟ้าหลวง มีค�ำว่า จีจ้อ หมายถึง นกชนิดหนึ่งตัวเล็ก สีด�ำ ท้องเหลือง จิงโจ้ที่ “จับจิงจ้อแล้วส่งเสียง” ในบทพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา จึงยัง ไม่ทราบว่าเป็นนกชนิดใดแน่ ส่วนจิงโจ้ที่โล้ส�ำเภาอาจเป็นคนจีนดังที่พระยา อนุมานราชธนสันนิษฐานไว้ (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) ฉทานศาลา-ศาลาฉ้อทาน ฉทานศาลา (อ่านว่า ฉ้อ-ทาน-นะ-สา-ลา) แปลว่า ศาลาบ�ำเพ็ญทาน หรือโรงทาน ๖ แห่ง ค�ำนี้ปรากฏอยู่ในมหาชาติค�ำหลวงและร่ายยาวมหา เวสสันดรชาดก ซึ่งแปลจากเวสฺสนฺตรชาตกชาดกดังกล่าวเป็นเรื่องว่าด้วยพระ เวสสันดรซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์พระชาติสุดท้ายก่อนทรงอุบัติเป็นพระสิทธัตถะ ซึ่งต่อมาทรงบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่งเป็น ปฐยาวัตฉันท์ทั้งหมด ๑๐๐๐ คาถาคนไทยนิยมเรียกว่าคาถาพัน แบ่งเป็น ๑๓ กัณฑ์ได้แก่ ทศพร หิมพานต์ทานกัณฑ์วนปเวสน ชูชก จุลพน มหาพน กุมาร มัทรีสักกบรรพ มหาราช ฉกษัตริย์และนครกัณฑ์ ทั้งมหาชาติค�ำหลวงและร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกมีค�ำว่าฉทานศาลา อยู่ในกัณฑ์หิมพานต์แต่เวลาที่สร้างฉทานศาลาในวรรณคดี๒ เรื่องนี้ต่างกัน เล็กน้อย ในมหาชาติค�ำหลวง พระนางผุสดีซึ่งในมหาชาติค�ำหลวงเรียกว่า พระสบรรษดีทรงปรารถนาให้สร้างฉทานศาลาหลังจากที่พระเวสสันดรทรงอุบัติ ในพระครรภ์ดังนี้ _20-0355(001-150)p3.indd 51 6/7/2563 BE 09:21


52 ...อันว่าพระมหาสัตว์ เมื่ออุบัติในครรภ์สา ผุสฺสตี โทหลินี หุตฺวา อันว่า พระสบรรษดีก็มีพระไทยปรารถนา ให้ท�ำฉทานศาลาหกแห่ง จตุสุ นครทฺวาเรสุ นครมชฺเฌ ให้ตกแต่งแทบประตูเมืองท่ามกลาง ในรวาง ตรอกพ่อค้า วิสชฺเชตฺวา ให้จ�ำหน่ายจ่ายทรัพย์ทั้งหลาย ฉสตสหสฺสานิ โดยมั่นหมายได้หกแสน เทวสิกํ เทวสิกํ ก�ำหนดแม่นเปนนิรันดร์... ส่วนในร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก พระเวสสันดรทรงให้อ�ำมาตย์สร้าง ฉทานศาลา หลังจากที่พระองค์ทรงครองราชย์แล้ว ดังนี้ ...ฝ่ายหน่อพระชินศรีเสวยสวัสดิโภไคยเป็นจอมฉัตรพิชัยสีพีทานํ ปวตฺเตสิ ท้าวเธอก็เปรมปรีดิ์ที่จะบริจาคทานมิได้ขาดจึงให้อ�ำมาตย์ท�ำฉทานศาลา ทานํ ปวตฺเตตฺวา ให้จัดแจงทั้งเงินทองเสื้อผ้าราชวัตถาศุภาภรณ์พรรณ แพรม้วนมุ้งม่าน สรรพภัณฑ์เครื่องดีอันมีค่าตามแต่จะปรารถนาแล้วยกให้ แก่ยาจกเข็ญใจทุกถ้วนหน้า ท้าวเธอทรงพระราชศรัทธามิรู้สิ้น ดุจพื้น พระธรณินทร์อันหนาหนัก เป็นที่บ�ำรุงรักแก่ไพร่ฟ้า... ฉทานศาลา หรือโรงทาน ๖ แห่งนี้มีค�ำอธิบายว่าอยู่ที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ทิศ อยู่ที่ท่ามกลางพระนคร และอยู่ที่ประตูพระราชวัง ในกรุงเทพฯ ก็มีฉทานศาลา หรือเรียกอย่างไทย ๆ ว่า ศาลาฉ้อทาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงศาลาฉ้อทานในเรื่อง พระราชพิธีเดือนสี่ ปรากฏอยู่ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน ดังนี้ อนึ่งในตรุษสามวันนี้ มีตั้งศาลาฉ้อทาน ๕ ต�ำบล คือหน้าวัด บวรนิเวศต�ำบล ๑ หน้าวัดมหาธาตุ ซึ่งยังคงเรียกอย่างเก่าว่า หน้าวัด พระศรีสรรเพชญต�ำบล ๑ วัดสุทัศนเทพวรารามต�ำบล ๑ วัดพระเชตุพน ต�ำบล ๑ วัดอรุณราชวรารามต�ำบล ๑ แต่เดิมว่าในแผ่นดินพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีที่หน้าวัดราชโอรสด้วย จะเป็นเลิกที่หน้าวัด ราชโอรส มาวัดบวรนิเวศ หรือประการใด ไม่ทราบ มีโรงปลูกขึ้นใหม่ _20-0355(001-150)p3.indd 52 6/7/2563 BE 09:21


53 ทุกแห่งวิเสทห้าโรงเป็นผู้ท�ำครัวและเป็นผู้เลี้ยงและมีผู้ก�ำกับ คือกรมสัสดี มหาดไทย กลาโหม ชาววัง ตัวสี ชาวคลัง สรรพากร มหาดเล็ก วังนอก ซ้ายขวา จ่ายข้าวสารโรงหนึ่งข้าวขาววันละ ๕ ถังข้าวแดงวันละ ๑๐ ถัง ห้าโรงเป็นข้าวขาววันละ ๒๕ ถังข้าวแดงวันละ ๕๐ ถังสามวันเป็นข้าวขาว ๗๕ ถัง ข้าวแดง ๑๕๐ ถังแต่ส่วนที่ซื้อกับข้าวนั้นเมื่อถึงก�ำหนดตรุษและ สงกรานต์แล้ว ท้าวอินทร์สุริยาก็น�ำเงิน ๑๐ ชั่งมาถวายทรงจบพระหัตถ์ แล้วจึงไปจ่ายให้แก่นายวิเสททั้ง ๕ โรง และมีในหมายเกณฑ์ให้กรมแสง จัดมีดโกนและกรรไตรไปประจ�ำอยู่ที่โรงทานทั้ง ๕ ต�ำบล ส�ำหรับราษฎร จะได้ตัดผม ดูการที่จัดนั้นจะเป็นการสนุกอย่างศาลาฉ้อทานพระเวสสันดร อย่างเก่าๆจะให้มีพรักพร้อมทุกอย่าง...ได้ขอจ�ำนวนหางว่าวที่กรมวังมา เก็บยอดบัญชีลงไว้เป็นตัวอย่างปีหนึ่งมีจ�ำนวนดังนี้โรงทานทั้ง ๕ โรงมีคน กินเลี้ยง ๓ วัน พระสงฆ์๔๑๒ สามเณร ๒๘๓ ข้าราชการ ๒๔๑ ราษฎร ชายหญิง ๓๓๓ นักโทษ ๒๒๕ รวม ๑๔๙๔ คน จ�ำนวนส�ำรับที่เลี้ยง ส�ำรับเอก ๓๑๓ ส�ำรับโท ๒๕๙ ส�ำรับตรี๓๑๒ รวม ๘๘๔ ส�ำรับ อย่างไรก็ตาม การตั้งโรงทานในการพระราชพิธีตรุษอาจมิได้มีจ�ำนวน เท่ากันทุกปีในหมายรับสั่งรัชกาลที่ ๓ จ.ศ. ๑๒๐๔ เลขที่ ๕ มีข้อความเกี่ยวกับ การตั้งโรงทานว่า วันเสาร์แรม ๙ ค�่ำ เดือน ๔ ปีฉลูตรีศก ด้วยเจ้าพระยาธรรมารับ พระราชโองการใส่เกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสั่งว่า ทรงพระราช ศรัทธาให้ตั้งโรงทานในการพระราชพิธีตรุษ ณ ปีฉลูตรีศก จะได้ตั้งโรง ๔ โรง เลี้ยงพระสงฆ์สามเณร ชีพราหมณ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท เก๋งโรงทาน หน้าวัดมหาธาตุ สะพานตรงวังหน้า หน้าวัดสุทัศน์ _20-0355(001-150)p3.indd 53 6/7/2563 BE 09:21


54 หนังสืออ้างอิง จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธีสิบสองเดือน. พระนคร: ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๐๓. ประชุมหมายรับสั่งภาค ๔ ตอนที่ ๒ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จ.ศ. ๑๒๐๓-๑๒๐๕.กรุงเทพฯ:คณะกรรมการ ช�ำระประวัติศาสตร์ไทยและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และ โบราณคดีส�ำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ๒๕๓๗. ราชบัณฑิตยสถาน.พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทยสมัยอยุธยา มหาชาติค�ำหลวง. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๙. มหาเวสสันดรชาดก. พระนคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๐๔. ชบา ค�ำว่า ชบา มาจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตว่า ชปา ซึ่งแปลว่า ชบา หรือกุหลาบ นักพฤกษศาสตร์กล่าวว่าชบาเป็นพรรณไม้ถิ่นจีน ฮาวายอาจเป็น ด้วยเหตุนี้พจนานุกรมภาษาบาลี-อังกฤษจึงแปลค�ำ ชปาว่า China-roseส่วนค�ำ แปลชบาเป็นภาษาอังกฤษนั้นพจนานุกรมไทย-อังกฤษ ใช้ว่าtheshoe- flower สาเหตุที่เรียกเช ่นนี้ส. พลายน้อย อ้างหนังสือเกี่ยวกับพฤกษชาติของฝรั่ง ๑๔ ชาย ๔ แรม ค�่ำ อาณาประชาราษฎร์ ณ โรงทาน ณ วันเดือน ๑๕ ทั้ง ๓ วัน หญิง ๕ ขึ้นค�่ำหนึ่ง เห็นได้ว ่า เมื่อ จ.ศ. ๑๒๐๔ (พ.ศ. ๒๓๘๕) มีการตั้งโรงทานในการ พระราชพิธีตรุษเพียง ๔ โรง (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) _20-0355(001-150)p3.indd 54 6/7/2563 BE 09:21


55 เล่มหนึ่งว่าดอกชบาใช้ย้อมผม และขัดรองเท้าได้ด้วย ประเทศไทยเราน่าจะมีพรรณไม้ที่เรียกกันว่าชบามานานแล้วอย่างน้อย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย และแต่เดิมชบาคงจะมีสีแดงและสีแดงอ่อน ไตรภูมิพระร่วง จึงเปรียบเทียบรัศมีสีแดงในฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าว่าเหมือนดอกชบา และเปรียบเทียบรัศมีสีแดงอ่อนว่าเหมือนดอกชบาเทศ ดังนี้ ...แลว่าพระรัศมีอันหนึ่งมีพรรณแดงดั่งแสงน�้ำคร�่ำแลชาติหิงคุละแลดอก ชบา ดั่งดอกถีทับทิม แลพระรัศมีอันหนึ่งมีพรรณขาวแลงามดั่งดอกพุด แลสังข์แลพระรัศมีอันหนึ่งแดงอ่อนแลงามดั่งดอกอโนชาแลดอกชบาเทศ แลดอกเทียนไทยแลดอกทองฟ้า อันออกแสงดั่งทองแดงอันท่านขัด... ต่อมาในสมัยอยุธยาค�ำว่าชบา (เขียนฉบา) ก็มีใช้ในมหาชาติค�ำหลวง กัณฑ์มหาพน อรรจุตฤๅษีพรรณนาไว้ตอนหนึ่งว่า ...กณฺณวิรา จ ปุปฺผิตา ฉบาบานดวงดอกก็มีอชฺชุนา อชฺชุกณฺณา จ รกฟ้าออกอินทนิลก็มี... ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ก็พบค�ำว ่าชบาในบทละครพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเรื่องสังข์ทอง พวกเด็ก ๆ บอกวิธีที่ จะล่อเจ้าเงาะไปที่วังท้าวสามนต์ว่าให้เก็บดอกไม้แดงผูกปลายไม้แกว่งไปมาให้ เจ้าเงาะวิ่งไล่ พวกอ�ำมาตย์ก็ท�ำตามค�ำแนะน�ำของเด็กดังบทกลอนมีว่า บัดนั้น อ�ำมาตย์ตบมือหัวเราะร่า ต่างวิ่งชิงเก็บดอกชบา ผูกปลายไม้มาล่อเงาะ พวกหลังไสส่งให้ตรงไป ถือดอกไม้น�ำหน้าพาวิ่งเหยาะ ลางคนบ้างกลัวบ้างหัวเราะ ล่อเงาะเข้ามาถึงวังใน ปฐมสมโพธิกถาพระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิต ชิโนรสก็มีค�ำว่าชบา ในตอนที่พรรณนาถึงฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า ดังนี้ _20-0355(001-150)p3.indd 55 6/7/2563 BE 09:21


56 ...พระรัศมีที่ขาวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณีแลสีสังข์แลแผ่นเงินแล ดวงพกาพรึกพุ่งออกจากพระสริระประเทศในที่อันขาวแล้วแล่นไปในทิศ โดยรอบ พระรัสมีหงสบาทก็พิลาสเล่ห์ประดุจสีดอกเซ่งแลดอกชบาแล ดอกหงอนไก่ออกจากพระกรัชกายรุ่งเรืองจ�ำรัส... สีหงสบาทเป็นสีคล้ายเท้าหงส์คือสีแดงปนเหลือง หรือสีแดงเรื่อ เห็นได้ ว่าสีดอกชบาในวรรณคดีเกือบทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นสีแดง อย่างไรก็ดีในสมัย ต้นรัตนโกสินทร์ดอกชบาที่มีสีนวลก็มีดังอักขราภิธานศรับท์ให้ความหมายของ ค�ำชบา (เขียนฉะบา) ไว้ว่า ฉะบา, เป็นชื่อต้นไม้อย่างหนึ่ง, ดอกคล้าย ๆ ดอกพุดตาน, ศีแดงบ้าง, ศีนวลบ้าง, ดูงาม. ตามอักขราภิธานศรับท์ชบาเป็นดอกไม้งาม แต่คนไทยคงจะไม่นิยม ถือเป็นดอกไม้อัปมงคลใช้ทัดหูและร้อยเป็นมาลัยสวมศีรษะและคอหญิงที่ท�ำชู้ ดังข้อความในพระไอยการลักษณะผัวเมีย ในกฎหมายตราสามดวง มีว่า ๏ ส่วนหญิงอันร้ายให้เอาเฉลวปะหน้า ทัดดอกฉบาแดงสองหูร้อยดอกฉบา ศีศะ เป็นมาไลยใส่ ให้นายฉะมองตีฆ้องน�ำหน้าประจานสามวัน ถ้าจไถ่โทษประจานให้ คอ ไถ่ตามกระเสียรอายุศมหญิงเป็นข้าหย้าช้างหลวงถ้าชายผัวมันยังรักเมียมัน มิให้ ประจานไซ้ให้เอาสีนไหมเข้าพระคลังหลวง ฯ ๏ ๗ มาตราหนึ่ง หยิงใดท�ำชู้นอกใจผัว มันเอาชายชู้นั้นมาร่วมประเวณีใน วันเดียว ๒ คนขึ้นไป ท่านว่าเป็นหญิงแพศยา มิให้ปรับไหมชายชู้นั้นเลยให้เอาปูน เขียนหน้าหยิงร้ายนั้นเปนตราง ร้อยดอกฉะบาเปนมาไลยใส่ ศีศะ แล้วเอาขึ้น คอ ขาหย่างผจาน โดยพระราชกฤษฎีกาฯ _20-0355(001-150)p3.indd 56 6/7/2563 BE 09:21


57 ในหนังสือเรื่อง นางนพมาศ ก็กล่าวถึงพิธีสะเดาะเคราะห์ส�ำหรับพระนคร ว่าให้ลอยแพผู้ท�ำอุบาทว์เสีย โดยให้ท�ำแพด้วยไม้สะเดา ปักกิ่งชบา ดังความใน เรื่องมีว่า ๏ พระเจ้าวัฒนะราชก็สิ้นสิ่งวิตกจึงด�ำรัสถามราชประโรหิตว่า บัดนี้ เราก็จับตัวอุบาทว์ได้แล้ว ท่านจะให้ท�ำการเป็นประการดังฤๅ บ้านเมืองจึงจะพ้น ไภยอันตราย ให้มีความจ�ำเริญสวัสดิมงคลทั่วทั้งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ความศุข เป็นปรกติเหมือนแต่หลัง ราชประโรหิตก็กราบทูลว่าขอพระองค์จงโปรดให้ กระท�ำการพระราชพิธีเสียเคราะห์พระนครแล้วให้ท�ำแพด้วยไม้สะเดาปักกิ่ง ชะบา เอานางนกไส้(ตัวอุบาทว์) ใส่กระโปรง [ภาชนะเย็บด้วยกาบมะพร้าว กาบหมาก หรือใบไม้ส�ำหรับใส่ของต่าง ๆ] ให้มีน�้ำท่าอาหารบริโภค แล้วแขวน ประจานลอยไปตามกระแสน�้ำไหลกับขอให้เขียนอักษรเป็นพระราชบัญญัติห้าม อย่าให้นรชนชายหญิงเอานาง นกไส้ตัวนี้ขึ้นเลี้ยงไว้ในบ้านในนิคมเป็นอันขาด แม้นแพจะเข้าติดเข้าเกยอยู่แห่งใด ต�ำบลใด ใครเห็นก็ให้เสือกใสลอยไปเสีย จนตกท้องพระมหาสมุทรฯ เห็นได้ว่าชบาถือเป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคล ที่มาของความเชื่อนี้ ยังไม่แน่ชัด มีผู้เห็นว่าไทยอาจรับมาจากอินเดียในอินเดียสมัยโบราณมักใช้ดอก ชบาทัดหูผู้มีโทษถึงประหาร ในอินเดียภาคใต้ใช้ดอกชบาร้อยเป็นพวงมาลัย สวมคอนักโทษที่จะต้องถูกประหารชีวิต นอกจากนี้ตามลัทธิฮินดูถือว่าดอกชบา เป็นดอกไม้ประจ�ำองค์ของเจ้าแม่กาลีและมีผู้กล่าวว่าพระกาลเทพแห่งความตาย มีดอกชบาทัดที่หูอาจเป็นเพราะเหตุนี้ชบาจึงเกี่ยวข้องกับความเป็นอัปมงคลและ ความตาย อย่างไรก็ดีปัจจุบันคนไทยไม่ได้เชื่อเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง ไตรภูมิพระร่วงของพระญาลิไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. พระนคร : องค์การค้าของ คุรุสภา, ๒๕๐๖. _20-0355(001-150)p3.indd 57 6/7/2563 BE 09:21


58 บทละครนอกเรื่องสังข์ทอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย. กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๐. ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ. ปฐมสมโพธิกถา (ฉบับกรมการศาสนา). กรุงเทพฯ : สหธรรมิก, ๒๕๓๗. มหาชาติค�ำหลวง. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, ๒๕๑๖. ราชบัณฑิตยสถาน. กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. อมรินทร พริ้นติ้งแอนด์พับบลิชชิ่ง จ�ำกัดมหาชน, ๒๕๕๐. ส. พลายน้อย (นามแฝง). พฤกษนิยาย. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น, ๒๕๔๓. สังข์ พัธโนทัย. ปทานุกรมพรรณไม้ในต�ำนานเมือง. ม.ป.ท., ม.ป.ป. อักขราภิธานศรับท์ ของหมอปรัดเล. พระนคร:องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๔. A.P. Buddhadatta Mahãthera. Concise Pali-English Dictionary. Colombo: The Colombo Apothecaries’ Co., Ltd., 1957. So Sethaputra. New Model Thai-English Dictionary. พระนคร : คลังวิทยาบูรพา, 2510. ไชโย-ชโย ไชโย หรือ ชโย เป็นค�ำที่เปล่งออกมาแสดงความยินดีหรืออ�ำนวยพร เป็นต้น เพลงสรรเสริญพระบารมีเดิมลงท้ายว่า ฉะนี้แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็น ชโย คือเดิมลงท้ายว่า “ดุจะถวายชัย ฉะนี้” เปลี่ยนเป็น “ดุจะถวายชัย ชโย” หลวงบุณยมานพพานิช(อรุณ บุณยมานพ)ซึ่งใช้นามปากกาว่าแสงทองได้เขียน จดหมายถึงบรรณาธิการของหนังสือ วงวรรณคดีเล่าเรื่องการเปลี่ยนถ้อยค�ำ ไว้ดังนี้ ค�ำว่า “ฉนี้” เปลี่ยนเป็น “ชโย” ในรัชกาลที่ ๖ โดยมีWAR CRY ของทหารในเวลาเข้าตะลุมบอน เมื่อก่อนนี้ใช้“โห่ฮิ้ว โห่ฮิ้ว” ซึ่งเมื่อร้อง กันมากไม่แสดงว่าขึงขัง เวลานั้นทูลกระหม่อมจักรพงศ์[สมเด็จพระเจ้า _20-0355(001-150)p3.indd 58 6/7/2563 BE 09:21


59 บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ] ทรงเอาพระหฤทัยใส่ในทางทหาร และปรับปรุงให้เจริญก้าวหน้าขึ้น มากมายทุกทาง ก็เลยปรับปรุง WAR CRY ในเวลาตะลุมบอนด้วย และ ให้ใช้“ชโย” แทน ซึ่งร้องพร้อม ๆกันทั้งกองทัพก็เป็นที่น่าสยดสยองอยู่ และค�ำ “ฉะนี้” ท้ายค�ำสรรเสริญพระบารมีจึงเปลี่ยนเป็น “ชโย” หลวงบุณยมานพพานิชไม่ได้บอกว่าใครเป็นผู้เปลี่ยนค�ำว่า ฉะนี้ในเพลง สรรเสริญพระบารมีเป็น ชโย แต่หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงบันทึกไว้ ปรากฏในสมุดพกของพระองค์ว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงแก้ค�ำว่า-ฉะนี้-เป็น-ไชโย” ส่วนที่มาของค�ำ ไชโย นั้น จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) อดีต มหาดเล็กของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เล่าไว้ในค�ำบรรยาย เรื่อง “ลายพระราชหัตถเลขารัชกาลที่ ๖ ที่ยังมิได้เปิดเผยมาก่อน” ต่อมา ค�ำบรรยายนี้ลงพิมพ์ในหนังสือ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๔ (มีนาคม-พฤษภาคม ๒๕๑๑) มีข้อความตอนหนึ่งว่าได้มีการซ้อมรบเสือป่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินออก จากพระราชวังสนามจันทร์จังหวัดนครปฐม โดยมีคณะที่ไปในกระบวนเสด็จ ได้แก่กองเสือป่าเสนาหลวงรักษาพระองค์ทั้งหมด กองลูกเสือหลวง กองทหาร มหาดเล็กรักษาพระองค์จ.ป.ร.และกองทหารรักษาวังในพระองค์รวมทางเสด็จ พระราชด�ำเนิน ๓,๒๖๘ เส้น ได้เดินทางอยู่๗ วัน วันที่๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๖ ก็ไปถึงเจดีย์ยุทธหัตถีวันต่อมามีการเดินประทักษิณเวียนพระเจดีย์๓ รอบ และ โห่ร้องถวายชัย บังเอิญการโห่นั้นร้องรับไม่พร้อมกัน ด้วยพระปฏิภาณอันฉับไว จึงมีรับสั่งว่า ในวันอันอุดมฤกษ์ที่เรามีโอกาสมาสู ่สถานศักดิ์สิทธิ์อันเป็น เกียรติประวัตินี้เราจึงขอถือโอกาสว่า วาระนี้เสมือนเราทั้งหลายได้มา ชุมนุมกันเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้ทรงน�ำ _20-0355(001-150)p3.indd 59 6/7/2563 BE 09:21


60 ชัยชนะมาสู่ชาติไทยในอดีต ฉะนั้นเราจึงขอน�ำค�ำว่า “มีชัย” มาให้เป็น ปฐมฤกษ์จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงเปล่งเสียง “ชัยโย” เป็นการถวาย ราชสดุดีจงพร้อมเพรียงกัน จมื่นอมรดรุณารักษ์เล่าว่าพอสิ้นกระแสรับสั่ง ก็ทรงเปล่งพระสุรเสียง ขึ้นมาว่า “ชัย” ทันใดนั้นก็มีเสียง “โย” พร้อมกัน ๓ ครั้ง โดยมิได้ซักซ้อมไว้ ล่วงหน้าเลย ตั้งแต่นั้นมา ค�ำว่า ไชโย ก็ใช้เป็นค�ำอวยพรของไทย (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง แสงทอง. “จดหมายเรื่องเพลงสรรเสริญพระบารมี.” ในวงวรรณคดีเล่ม ๑๐ (พฤศจิกายน ๒๔๘๙). พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์, ๒๔๘๙. อมรดรุณารักษ์,จมื่น.“ลายพระราชหัตถเลขารัชกาลที่๖ที่ยังมิได้เปิดเผยมาก่อน.” ในสังคมศาสตร์ปริทัศน์ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๔ (มีนาคม-พฤษภาคม ๒๕๑๑). ฎีกา ค�ำว่า ฎีกา มาจากค�ำภาษาบาลีว่า ฏีกา หนังสือ ประวัติคัมภีร์บาลี บอกความหมายของ ฏีกา ซึ่งไทยแผลงเป็น ฎีกา ว่า ...หมายถึง หนังสืออธิบายอรรถกถาโดยเลือกค�ำหรือความที่ยากใน อรรถกถาขึ้นอธิบายให้เข้าใจง่าย...หนังสือฎีกาฝ่ายเถรวาทในระยะแรก หมายเฉพาะหนังสือที่อธิบายอรรถกถาของพระไตรปิฎก แต่ภายหลังมี ความหมายกว้างขึ้น คือหมายถึง หนังสือที่อธิบายความหมายของหนังสือ ใดที่ไม่ใช่พระไตรปิฎกเช่น ฎีกาพงศาวดารบาลีฎีกาของต�ำราไวยากรณ์ และการประพันธ์ฎีกาคัมภีร์มิลินทปัญหา เป็นต้น ไทยใช้ค�ำว่า ฎีกา มานานแล้ว และใช้ในความหมายต่าง ๆ กัน เช่น ๑. ฎีกา หมายถึง หมายเรียกดังมีข้อความในพระไอยการลักษณรับฟ้อง _20-0355(001-150)p3.indd 60 6/7/2563 BE 09:21


61 ในกฎหมายตราสามดวง ว่า ...ผู้มีคะดีท�ำหนังสือฟ้องร้องแก่ขุนการในลักษณหนังสือร้องนั้นมีชื่อโจท เข้าชื่อร้องฟ้องหลายคน ให้ขุนการเรียกผู้เข้าชื่อมาถาม ถ้ารับว่าเข้าชื่อร้อง ฟ้องจริง จงให้ขุนนางเขียนโฉนฎฎีกาตราสารไปให้ส่งผู้มีคะดีออกมา พิจารณา... ๒. ฎีกา หมายถึงถ้อยค�ำ เช่น พุทธฎีกา หมายถึงถ้อยค�ำของพระพุทธเจ้า ดังมีค�ำว่า พุทธฎีกาในข้อความที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ตอบพระราชปุจฉา ของพระเพทราชาตอนหนึ่งว่า ...จึงสมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า เศรษฐีธิดานั้นมีสมภารได้ บ�ำเพญมาบริบูรณ์แล้ว แลจะถึงพระอรหรรต์ในชาตินั้น จึงมีพุทธฎีกา ตรัสว่าท่านทั้งหลายอย่าห้ามเลยให้เข้ามาเถิด และถวายฎีกา หมายถึง ทูล เช่น พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน มีข้อความว่า ...ศักราช ๑๐๐๕ ปีมแม เบญจศก พระโหราถวายฎีกาว่า ในสามวันจะ เกิดเพลิงในพระราชวัง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟังตกพระไทย ด้วยพระโหราคนนี้แม่นย�ำนัก... ๓. ฎีกา หมายถึงค�ำร้องทุกข์ดังมีข้อความในประกาศการที่จะทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาใน พ.ศ. ๒๔๐๑ ว่า ...ตัวคนถวายฎีกาหน้าพระที่นั่ง ให้กรมพระต�ำรวจรับตัวไว้คนที่มายื่น ถวายเรื่องราวร้องฎีกาแก่พระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส ที่หน้า พระที่นั่งสุทไธสวรรย์นั้น ให้กรมล้อมพระราชวังรับตัวไว้... ๔. ฎีกา หมายถึง หนังสือที่บอกเรื่องราวต่าง ๆ ดังอักขราภิธานศรับท์ ให้ความหมายของฎีกาว่า _20-0355(001-150)p3.indd 61 6/7/2563 BE 09:21


62 ดีกา, เปนหนังสือจดหมาย, ที่บอกเรื่องราวต่าง ๆ จะให้เปนส�ำคัญนั้น, เหมือนอย่างฎีกาเก็บตลาดเปนต้น. ตัวอย่างค�ำว่า ฎีกาความหมายนี้พบในต�ำราหน้าที่มหาดเล็ก มีข้อความในต�ำรา ดังกล่าวตอนหนึ่งว่า ถ้าบอกฎีกาอาการพระสังฆราชราชาคณะอาพาธ อาการกรม พระราชวังฯ ประชวร อาการเจ้าต่างกรมประชวร อาการข้าทูลละอองฯ ป่วย มหาสงกรานต์, พระราชพิธีจันทร์สูรย์ช้าง ม้า เข้ามาให้กราบทูล พระกรุณา เป็นพนักงานมหาดเล็กหุ้มแพร ยามค�่ำรับเอากราบทูล พระกรุณา แต่อาการพระสงฆ์ราชาคณะ ข้าทูลละอองฯ และอาการ กรมพระราชวังฯ อาการเจ้าต่างกรม มหาสงกรานต์ พระราชพิธี จันทรอุปราคา สุริยอุปราคา ช้างม้านั้น ให้ส่งหัวหมื่นนายเวรกราบทูล ๕. ฎีกา หมายถึง ใบขอเบิกเงิน ดังมีข้อความในพระราชบัญญัติส�ำรับ พระคลังมหาสมบัติหมวดมาตราที่ ๑๓ ว่าด้วยหนังสือขออนุญาตที่จะท�ำการ ต่าง ๆ ว่า เติมข้อ ๕ ว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่ได้ขออนุญาตไว้แล้วเมื่อถึงเดือนถือ ก�ำหนดต้องท�ำฎีกามาเบิกตามการที่ได้ใช้นั้น คือ หนังสือขออนุญาตที่ ยื่นไว้ มิใช ่เปนตั๋วฎีกา เปนแต่บอกประมาณล่วงน่าไว้เพื่อจะให้ เจ้าพนักงานรู้ไว้ก่อนจะได้เกบหาเงินเตรียมไว้ให้ภอเมื่อถึงก�ำหนดจะเบิก จึงต้องท�ำฎีกามาเบิก เพราะฎีกานั้นเหมือนที่อังกฤษเรียกว่าริสิตคือ ใบเสรจส�ำรับที่จะได้รับเงินแลแจ้งสิ่งของตามที่ได้ซื้อได้ท�ำโดยสุจริต ๖. ฎีกา หมายถึง ใบรับสิ่งของหรือใบรับเงิน เช่น ฎีการับส่วยสิ่งของที่ส่ง มาจากหัวเมือง ปัจจุบัน ค�ำว่า ฎีกา ยังคงมีความหมายบางความหมายข้างต้น และมี ความหมายอื่น ๆอีกบ้างดังที่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ _20-0355(001-150)p3.indd 62 6/7/2563 BE 09:21


63 ให้ความหมายของค�ำ ฎีกา ไว้ว่า ฎีกา น.ค�ำอธิบายขยายความ เช่น ฎีกาพาหุง;ชื่อคัมภีร์หนังสือ ที่แก้หรืออธิบายคัมภีร์อรรถกถา; หนังสือที่เขียนนิมนต์ พระสงฆ์; ใบแจ้งการขอเบิกเงินจากคลัง; ใบบอกบุญ เรี่ยไร; (กฎ) ค�ำร้องทุกข์ที่ราษฎรทูลเกล้าฯ ถวายต่อ พระมหากษัตริย์; ชื่อศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศไทย ซึ่งเรียกว่า ศาลฎีกา; การคัดค้านค�ำพิพากษาหรือค�ำสั่ง ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์เพื่อเสนอให้ศาลฎีกาพิจารณา พิพากษาหรือ วินิจฉัยชี้ขาด; (โบ) ใบเรียกเก็บเงิน. (ปาก) ก. ยื่นค�ำร้องขอหรือค�ำคัดค้านต่อศาลฎีกา เช่น คดีนี้จะ ฎีกาหรือไม่. (ป. ฏีกา). (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง ประชุมจดหมายเหตุ สมัยอยุธยา ภาค ๑. พระนคร : คณะกรรมการจัดพิมพ์ เอกสารทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและโบราณคดีส�ำนักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๐. ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลโท หม่อมเจ้า ชิดชนก กฤดากร ณ วัดเทพศิรินทราวาสวันที่๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑. ๒ เล่ม. พระมหาอดิศร ถิรสีโล. ประวัติคัมภีร์บาลี. กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓. พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน. มูลนิธิ“ทุน พระพุทธยอดฟ้า”ในพระบรมราชูปถัมภ์จัดพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศล ในการพระราชทานเพลิงศพพระธรรมปัญญาบดี(ถาวรติสฺสานุกโร ป.ธ.๔) ณ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘. _20-0355(001-150)p3.indd 63 6/7/2563 BE 09:21


64 ราชกิจจานุเบกษา. กรุงเทพฯ : ส�ำนักพิมพ์ต้นฉบับ, ๒๕๔๐. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์, ๒๕๕๖. ศิลปากร, กรม. ต�ำราแบบธรรมเนียมในราชส�ำนักครั้งกรุงศรีอยุธยากับ พระวิจารณ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : หจก. จงเจริญการพิมพ์, ๒๕๓๙. . เรื่องกฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ, ๒๕๒๑. ดินสอ ปัจจุบัน ค�ำว่า ดินสอ ใช้เรียกเครื่องเขียนอย่างหนึ่ง ถ้ามีไส้ท�ำด้วยแร่ แกรไฟต์ผสมดินเหนียวมีไม้หุ้มเรียกว่าดินสอด�ำ นอกจากนั้นค�ำว่าดินสอยังใช้ เป็นชื่อถนนสายหนึ่งในกรุงเทพมหานครถ้าแปลค�ำว่าดินสอตรงตัวก็คือดินขาว เพราะค�ำว่าสอ มาจากค�ำภาษาเขมรส[ซอ]แปลว่าขาว แต่เดิมดินสออาจท�ำ ด้วยดินและมีสีขาว แต่ต่อมาดินสอท�ำด้วยวัสดุอื่นก็มีและมีสีอื่น ๆ อีกหลายสี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐาน สาเหตุที่เกิดค�ำ ดินสอ ไว้ว่า ค�ำว่า “ดินสอ” นั้น คิดหามูลออกฉงน ด้วยค�ำ “ดิน” เป็นภาษาไทย ค�ำ “สอ” เป็นเขมร ถ้าเป็นของไทยประดิษฐ์ขึ้นไฉนไม่เรียกว่า “ดินขาว” เหมือนเช่นเรียกดินแดงที่ใช้ทาฝาเรือน ถ้าเป็นของเขมรประดิษฐ์ไฉน ไม่เรียกค�ำดินตามภาษาเขมร ถ้าจะลองเดาดูมูลเหตุ เห็นว่าเดิมไทย จะเขียนหนังสือแต่ด้วยเส้นด�ำน�้ำหมึกตามแบบจีน มาได้วิธีเขียนเส้นขาว จากเขมร จึงได้ค�ำ “สอ” ติดมาด้วย ก็สอนั้นได้มาจากดิน เป็นดินก้อน เทือกหินอะไรอย่าง ๑ เป็นดินผงเอามาเกรอะท�ำเป็นแท่งอย่าง๑ จึงเรียกว่า “ดินสอหิน” และ “ดินสอพอง” เป็น ๒ อย่าง ต่อมาเอาเขม่าปั้นเขียน เส้นด�ำเหมือนอย่างใช้ดินสอขาวจึงเรียกว่าดินสอด�ำ ดินสอแดงและสีอื่น _20-0355(001-150)p3.indd 64 6/7/2563 BE 09:21


65 เพิ่งมีใช้เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็พลอยเรียกว่าดินสอตามไปด้วย ค�ำว่า ดินสอจึง หมายความแปรไปเป็นถรรพสัมภาระส�ำหรับเขียนหนังสือด้วยประการฉะนี้ ดินสอหินที่สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงว่ามีมา แต่เดิมนั้นท�ำกันในประเทศไทย ในบทความเรื่อง “วิธีท�ำดินสอ” ซึ่งตีพิมพ์ใน หนังสือวชิรญาณวิเศษรัตนโกสินทร์ศก๑๑๑(พ.ศ.๒๔๓๕)เล่าว่าดินสอหินที่นิยม ซื้อขายกันมี๒ ชนิด คือ ดินสอเหลืองและดินสอขาว ดินสอเหลืองหรือดินสอหินเหลืองได้จากเขาหินดินสอซึ่งเป็นเขาเตี้ย ๆ อยู ่ในป ่าแขวงเมืองกาญจนบุรีมีผู้เดินทางไปขุดหินดินสอในระหว ่างเดือน ๓ เดือน ๔ ก่อนจะขุดต้องบวงสรวงรูปเทพารักษ์ซึ่งมีอยู่ในศาลที่ปลูกไว้ริมเชิง เขาเพื่อให้เทพารักษ์ซึ่งสมมุติเรียกกันว่าพ่อปู่ช่วยดลใจหรือมาเข้าฝันแนะน�ำบอก ที่ซึ่งมีหินดินสอ เมื่อขุดหาหินดินสอจนถึงเดือน ๗ เดือน ๙ ใกล้ถึงเทศกาลฝน ก็น�ำหินดินสอที่ขุดได้มาขาย ผู้รับซื้อไว้จะเลื่อยก้อนดินสอออกเป็นแผ่น ๆ หนา นิ้วหนึ่งขนาดโตบ้างเล็กบ้างตามขนาดก้อนดินสอใช้มีดขีดตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วเหลาให้กลม ๆ หัวท้ายเรียวแหลมทั้ง ๒ ข้าง ดินสอขาว ได้จากหินเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา เมืองพัทลุง เป็นต้น กล่าวกันว่าดินสอขาวที่ได้จากเมืองนครศรีธรรมราชมีคุณสมบัติดีที่สุด ส�ำหรับใช้เขียนสมุดไทยด�ำ ผู้น�ำหินดินสอมาขายจะท�ำให้เป็นก้อน กว้างยาวและ หนาเท่าแผ่นอิฐ หินขาวค่อนข้างจะแข็งกว่าหินเหลือง ผู้ท�ำดินสอจะเลื่อยและ เหลาหินขาวท�ำนองเดียวกับหินเหลือง ดินสออีกชนิดหนึ่งที่น�ำมาใช้เขียนคือดินสอด�ำปั้น ท�ำที่บ้านหลังวัดระฆัง โดยมาก ดินสอด�ำปั้นท�ำด้วยดินเหนียวซึ่งละลายด้วยน�้ำข้าว กรองด้วยผ้าอย่าง บางผสมกับเขม่าไม้เสม็ดบดละเอียดและแก้วแกลบคือขี้เถ้าแกลบอย่างละเอียด ที่จับกันเป็นก้อน ๆ บดละเอียด ผสมดิน ๕ ส่วน เขม่าและแก้วแกลบอย่างละ ๑ ส่วน โขลกในครกให้เข้ากันแล้วคลึงเข้ากับไม้แป้นอย่างท�ำขนมด้วงให้กลม ๆ หัวท้ายเรียวแหลม ยาวประมาณ ๒ องคุลีน�ำออกผึ่งแดดพอหมาดแล้วผึ่งลม _20-0355(001-150)p3.indd 65 6/7/2563 BE 09:21


66 ในที่ร่มจนแห้งสนิทดี ต�ำบลที่ขายดินสอปรากฏชื่อโด่งดังคือ ตรอกดินสอ ใกล้โบสถ์พราหมณ์ หากไม่ซื้อดินสอมาใช้ก็อาจท�ำดินสอใช้เอง ดังที่พระยาอนุมานราชธนเล่าไว้ใน หนังสือชีวิตชาวไทยสมัยก่อนว่า ดินสอเขียน โดยมากพระท่านท�ำเอง ท�ำด้วยดินหรือหินชนิดอ่อน ดินสอ ที่ท�ำด้วยดิน มีดินสอท�ำจากดินดาน เอามากรองเพื่อคัดดินที่เป็นเม็ดและ กรวดทรายออกเสียให้หมด มิฉะนั้นเวลาเขียนดินสอจะกัดกระดาน เอามาเลื่อยเป็นแท่ง ๆ และเหลาให้เป็นรูปดินสอ ที่ใช้ดินเหนียวข้างตลิ่ง มาปั้นเป็นแท่งก็มีที่ท�ำด้วยดินสอพองปนขมิ้นเอามาปนปั้นเป็นแท่งยาว แล้วเลื่อยออกเป็นแท่งเล็ก ๆ พอเหมาะแก่ความต้องการก็มีอย่างนี้ เรียกว่าดินสอเหลือง ท�ำด้วยขี้พลอดปูหรือดินมันปูซึ่งมีสีเหลืองๆอมขาว เอามาปั้นเป็นแท่งก็มีดินสอชนิดนี้ไม่สู้ดีแต่พอใช้แก้ขัดได้ พระยาอนุมานราชธนเล ่าไว้ด้วยว ่า ดินสอหินแต ่ก ่อนเคยมีขายที่ใน กรุงเทพฯ แถวถนนดินสอ “ซึ่งได้ชื่อเช่นนี้เพราะเป็นย่านเคยขายดินสอ” ถนนดินสอตัดผ่านตรอกดินสอเดิมคือเริ่มต้นจากถนนบ�ำรุงเมืองใกล้ลาน เสาชิงช้า ตรงไปจดถนนพระสุเมรุตรงเชิงสะพานเฉลิมวันชาติพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนนี้ใน พ.ศ. ๒๔๔๑ เริ่มสร้าง วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๑ แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินทรงเปิดถนนดินสอเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๒ ค�ำว่าดินสอกลายความหมายจากเดิมเพราะลักษณะของดินสอเปลี่ยนไป นอกจากนั้น ค�ำว่าดินสอยังขยายความหมายไป ใช้เรียกสถานที่มีดินสอขายอีก ด้วย แม้ปัจจุบันบริเวณถนนดินสอไม่มีดินสอขายอีกแล้ว แต่ค�ำว่าดินสอก็ยังติด อยู่เป็นชื่อของถนน (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) _20-0355(001-150)p3.indd 66 6/7/2563 BE 09:21


67 หนังสืออ้างอิง กนกวลีชูชัยยะ. พจนานุกรมวิสามานยนามไทย : วัด วัง ถนน สะพาน ป้อม. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๘. นริศรานุวัดติวงศ์,สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ.สาส์นสมเด็จ เล่ม ๒๔. พระนคร:องค์การค้า ของคุรุสภา, ๒๕๐๕. วิชาอาชีพชาวสยาม จากหนังสือวชิรญาณวิเศษ ร.ศ. ๑๐๘-๑๑๓.กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๕๔. เสฐียรโกเศศ (ศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน). ชีวิตชาวไทย สมัยก่อน. พระนคร : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๑๐. ตัวพิมพ์อักษรไทย ศาสตราจารย์ก�ำธร สถิรกุลเขียนเล่าไว้ในหนังสือลายสือไทย ๗๐๐ ปีว่า ผู้ออกแบบตัวพิมพ์อักษรไทยเป็นคนแรกคือแหม่มจัตสัน (Mrs. Ann Hazeltine Judson) ซึ่งติดตามสามีเข้าไปอยู่ในเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า สามีของแหม่ม จัตสันเป็นมิชชันนารีอเมริกัน คณะแบบติสต์และมุ่งสอนคริสต์ศาสนาให้ชาวพม่า ส่วนแหม่มจัตสันสนใจภาษาไทยได้ศึกษาภาษาไทยจากเชลยไทยที่ถูกกวาดต้อน ไปอยู่ประเทศพม่าคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งหลังและได้ออกแบบตัวพิมพ์อักษร ไทยให้ช่างพิมพ์ของคณะมิชชันนารีหล่อขึ้นไว้ ใน ค.ศ. ๑๘๑๙ (พ.ศ. ๒๓๖๒) มีการผลัดแผ่นดินพม่า เกิดสถานการณ์ คับขัน คณะมิชชันนารีอเมริกันจึงน�ำเอาแท่นพิมพ์และตัวพิมพ์อักษรไทย พม่า มอญ ไปไว้ที่เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ตัวพิมพ์ไทยชุดนี้ได้ใช้พิมพ์หนังสือ ไวยากรณ์ไทย (A Grammar of the Thai or Siamese Language) ซึ่งกัปตัน เจมส์โลว (Capt. James Low) เป็นผู้แต่ง หนังสือเล่มนี้พิมพ์เมื่อ ค.ศ. ๑๘๒๘ (พ.ศ. ๒๓๗๑) นับเป็นหนังสือเล่มแรกที่มีตัวพิมพ์อักษรไทยศาสตราจารย์ก�ำธร _20-0355(001-150)p3.indd 67 6/7/2563 BE 09:21


68 กล่าวว่าหนังสือไวยากรณ์ไทยมีบางหน้าเป็นลายมือเขียน อักษรไทยพิมพ์ด้วย บล็อก และบางหน้าพิมพ์ด้วยตัวเรียงอักษรไทย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นตัวพิมพ์ที่ แหม่มจัตสันให้จัดท�ำขึ้น ต่อมามีการขายตัวพิมพ์ชุดนี้ไปสิงคโปร์ โรงพิมพ์ที่สิงคโปร์ได้ขายต่อให้ มิชชันนารีคณะ A.B.C.F.M. ใน ค.ศ. ๑๘๓๕ (พ.ศ. ๒๓๗๘) ซึ่งได้ให้หมอ บรัดเลย์(Dan Beach Bradley) น�ำเข้ามาในกรุงเทพฯ ในปีนั้น หมอบรัดเลย์ บันทึกไว้ว่ามีการพิมพ์หนังสือไทยในประเทศไทยส�ำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๗๙ และคณะมิชชันนารีได้หล่อตัวพิมพ์ไทยขึ้นใช้เองได้ ส�ำเร็จ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔ ตัวพิมพ์อักษรไทยที่หล่อในประเทศไทยสวยงามกว่า ตัวพิมพ์ที่หล่อจากสิงคโปร์ (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) ทองแผ่นเดียวกัน ส�ำนวน ทองแผ่นเดียว หรือ ทองแผ่นเดียวกัน หมายถึง เกี่ยวดองกัน โดยการแต่งงาน ผู้ใหญ่ฝ่ายชายมักใช้ส�ำนวนทองแผ่นเดียวกันเมื่อสู่ขอหญิงสาว จากผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง ส�ำนวนทองแผ ่นเดียวกันมีใช้มานานแล้ว ในบทละครพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ ๒ เรื่องอิเหนา ท้าวกะหมังกุหนิงส่งพระราชสาส์นไปยังท้าวดาหาเพื่อ ขอนางบุษบาให้วิหยาสะก�ำ ก็ใช้ส�ำนวนทองแผ่นเดียวกัน ดังนี้ พระอย่าสลัดตัดเยื่อใย จงอวยให้ดังใจประสงค์ จะเป็นทองแผ่นเดียวด้วยพระองค์ อันทรงทศพิธไม่ผิดธรรม ส�ำนวนทองแผ่นเดียวกันไม่ได้ใช้เฉพาะเรื่องการขอหญิงสาว พงศาวดาร กรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม)มีส�ำนวนทองแผ่นเดียวกันในพระราชสาส์น ขอช้างเผือกที่สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีมีถึงสมเด็จพระมหาจักรพรรดิดังนี้ _20-0355(001-150)p3.indd 68 6/7/2563 BE 09:21


69 ...พระราชอนุชาท่านประสงค์จะขอช้างเผือกพลาย ๒ ช้าง มาไว้เป็นศรี ในกรุงหงสาวดีให้สมเด็จพระเชษฐาเราเห็นแก่ทางพระราชไมตรีอนุชา ท่านเถิดกรุงหงสาวดีกับพระมหานครศรีอยุธยาจะได้เป็นราชสัมพันธมิตร สนิทเสน่หา เป็นมหาพสุธาทองแผ่นเดียวกันไปตราบเท่ากัลปาวสาน... เห็นได้ว่าส�ำนวนทองแผ่นเดียวกัน หมายถึง มีไมตรีกัน เมื่อจ.ศ. ๑๒๒๑ (พ.ศ. ๒๔๐๒) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับพระราชสาส์นของ พระเจ้ากรุงเดนมาร์กและทรงพระราชนิพนธ์พระราชสาส์นตอบ มีความตอน หนึ่งว่า ...ด.ก.แมสอนอิศเกอร์(ผู้ว่าการแทนกงสุลเดนมาร์ก) ได้ส่งพระราชสาส์น นั้น ให้ถึงพระราชหัตถ์กรุงสยามต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งปวงในที่ประชุม กรุง สยามได้อ่านแล้วแปลความออกแล้วแสดงให้แจ้งแก่พระราชวงศานุวงศ์ แลเสนาบดีผู้ใหญ่ ในที่ประชุมนั้นฟังทราบความด้วย ท่านทั้งปวงนั้น ได้ทราบแล้ว ก็มีความยินดีพร้อมกันกับกรุงสยามด้วย ได้เจริญ ราชอิศริยยศเกียรติคุณในที่ได้รับพระราชสาส์นเจริญทางพระราชไมตรี มาตรงเฉพาะแต่ส�ำนักกรุงเดนมาร์กเป็นพระเจ้าแผ่นดินอันใหญ่ สมควร เป็นทองแผ่นเดียวโดยพระราชไมตรีกับกรุงสยาม ดังเมืองฝรั่งเศส เมือง อังกฤษ เมืองโปรตุคอล แลอื่น ๆ นั้น ฯ กาญจนาคพันธุ์กล ่าวถึงส�ำนวนทองแผ ่นเดียวกันว ่ามีที่มาจากการท�ำ หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและอ้างถึงค�ำอธิบายของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ซึ่งทรงนิพนธ์ไว้ในพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๒ ว่า ...ปรากฏว่าเมื่อโปรตุเกศแรกออกมาค้าขายถึงประเทศทางตะวันออก เมื่อท�ำหนังสือสัญญากับเจ้าที่ครองเมืองทางตะวันออกนี้หนังสือสัญญา จาฤกลงในแผ่นทองแลทั้งสองฝ่ายเอาหัวแหวนประทับแทนตราดังนี้ ก็เข้าใจได้ว่าประเพณีท�ำสัญญาระหว่างพระนครในมัชฌิมประเทศแต่ _20-0355(001-150)p3.indd 69 6/7/2563 BE 09:21


70 โบราณมาคงจะจาฤกลงในแผ่นทอง จึงเป็นศัพท์ที่ใช้กันในหนังสือที่แต่ง ต่อมาว่า สองพระนครเป็นทองแผ่นเดียวกัน หรือใช้เป็นอุประมาว่า สองพระนครเป็นสุวรรณปถพีอันเดียวกัน ทั้ง ๒ ค�ำนี้เห็นจะเกิดจาก ประเพณีที่จาฤกหนังสือสัญญาระหว่างประเทศลงในแผ่นทองนั้นเอง ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔๕ รวมจดหมายเหตุเรื่องทูตไทยไปประเทศ อังกฤษเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ก็ทรง กล่าวถึงการจารึกพระราชสาส์นลงในแผ่นทอง ดังนี้ ว่าด้วยพระราชสาส์นตามแบบโบราณ ต้องจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ เขียนจ�ำลองลงแผ่นกระดาษแต่ส�ำเนาซึ่งส่งไปกับศุภอักษรของเสนาบดี การที่จารึกลงแผ่นทองถือว่าเป็นเครื่องหมายแห่งไมตรีแม้หนังสือสัญญา ทางไมตรีที่มีต่อกันในระหว่างประเทศ ก็ใช้จารึกในแผ่นสุพรรณบัฏ และการที่หมายส�ำคัญใช้ประทับยอดหัวแหวนกดรอยไว้ในแผ่นทองแทน การประทับตรา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นค�ำพูดกันว่า “เป็นทองแผ่นเดียวกัน” และ “เป็นสุวรรณปัถพีอันเดียวกัน” มาแต่โบราณ ประเพณีอันนี้ไม่มีใน ประเทศฝรั่งและประเทศจีน ส�ำนวน ทองแผ่นเดียวกัน มีที่มาจากการจารึกพระราชสาส์นและหนังสือ สัญญาทางไมตรีลงในแผ่นทองส�ำนวนนี้เคยใช้แสดงไมตรีระหว่างเมืองระหว่าง ประเทศ แต่ปัจจุบันกลายความหมายไป มักใช้แสดงความเกี่ยวดองระหว่าง ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูล (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง กาญจนาคพันธุ์(นามแฝง).ส�ำนวนไทย. ๒ เล่ม. พระนคร : รวมสาส์น, ๒๕๑๓. ประชุมพงศาวดารฉบับหอสมุดแห่งชาติ เล่ม ๑๑ (ภาคที่ ๔๔, ๔๕). พระนคร : ก้าวหน้า, ๒๕๑๓. _20-0355(001-150)p3.indd 70 6/7/2563 BE 09:21


71 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๔ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). พิมพ์ในงานปลงศพ คุณหญิงปฏิภาณพิเศษ (ลมุน อมาตยกุล) ณ วัดประยุรวงศาวาส, ๒๔๗๙. พระราชสาส์นในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานไปยัง ประเทศต่าง ๆ ภาค ๒. พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพคุณหญิงพิสัยสิทธิสงคราม (อาบ พรโสภณ) ณ วัดมกุฎกษัตริยาราม, ๒๕๐๑. ทับทิม ค�ำว่า ทับทิม มี๒ ความหมาย คือ หมายถึง พลอยสีแดงชนิดหนึ่ง หรือ หมายถึงผลไม้ชนิดหนึ่ง ทับทิมที่เป็นพลอยกับทับทิมที่เป็นผลไม้มีลักษณะคล้าย กันคือ พลอยทับทิมมีสีแดงใส ผลทับทิมก็มีเมล็ดที่มีเนื้อสีแดงใสหุ้ม ดูคล้ายกับ ทับทิมที่เป็นพลอย ค�ำว่า ทับทิม ที่ใช้เรียกพลอยและทับทิมที่ใช้เรียกผลไม้เป็นค�ำค�ำเดียวกัน มาจากค�ำสันสกฤตว่า ทาฑิม หมายถึง ต้นทับทิม ไทยน่าจะยืมค�ำว่าทาฑิม มาออกเสียงว่า ทับทิม ใช้เรียกผลไม้และต่อมาใช้เรียกพลอยที่มีสีแดงใสคล้าย เมล็ดทับทิมว่า ทับทิม ด้วย ชนหลายชาติชอบผลทับทิม ส. พลายน้อยเล่าไว้ในพฤกษนิยายว่า ชาว อินเดียที่นับถือพระคเณศร์นิยมเอาทับทิมไปถวายเพราะถือว่าพระคเณศร์โปรด ทับทิม ชาวอินเดียทั้งหลายก็ชอบกินทับทิมโดยคั้นน�้ำกิน พวกปาร์สีในบอมเบย์ เวลาคนใกล้จะตายเขาจะคั้นทับทิมเอาน�้ำกรอกเข้าไปในปากชาวจีนถือว่าทับทิม เป็นเครื่องหมายของความอุดมสมบูรณ์การมีลูกหลานมาก นิยมให้ทับทิมกันเป็น ของขวัญในวันแต่งงานเพื่ออวยพรให้คู่บ่าวสาวมีลูกมากใบหรือกิ่งทับทิมชาวจีน ก็ถือว่ามีอ�ำนาจไล่ผีได้ส. พลายน้อยเล่าว่าตามประเพณีของชาวเมืองเตี้ยจิว เมื่อฝ่ายชายน�ำเงินสินสอดไปให้ฝ่ายหญิงต้องเอาใบทับทิมและดอกจือลั้งเคล้า กับเงินสินสอดไปด้วย ในเวลาแต่งงานเขามักใช้ยอดทับทิมปักที่ผม เวลาเซ่น _20-0355(001-150)p3.indd 71 6/7/2563 BE 09:21


72 หรือไหว้เจ้าก็เอายอดทับทิมปักที่เครื่องเซ่น เมื่อไปงานศพกลับมาใช้ใบทับทิม แช่น�้ำล้างหน้า ล้างมือ ชาวญี่ปุ่นก็ชอบทับทิม ถือว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแม่กิชิโบยิน ซึ่งเป็นเจ้าแม่ที่คอยพิทักษ์รักษาเด็ก และช่วยให้สตรีได้มีบุตร ตามวัดต่าง ๆ ในญี่ปุ่นมักจะมีรูปของเจ้าแม่กิชิโบยิน และมักจะท�ำเป็นรูปมือข้างหนึ่งหรือ ๒ ข้าง ถือผลทับทิม สตรีที่ยังไม่มีบุตรมักจะไปบูชาเจ้าแม่กิชิโบยินเพื่อขอให้มีบุตร ส่วนสตรีที่มีบุตรแล้วก็ไปบูชาเจ้าแม่กิชิโบยินเพื่อให้พิทักษ์รักษาบุตรของตน ในการไปบูชาเขามักจะน�ำผลทับทิมไปถวายเจ้าแม่ด้วย โดยเชื่อว่าถ้าเด็ก ๆ กินทับทิมแล้วจะไม่ถูกภูตผีปิศาจรบกวน มิใช่แต่อินเดีย จีน และญี่ปุ่น ที่เป็นชาติตะวันออกเท่านั้นที่นิยมทับทิม ชนชาติตะวันตกบางชาติก็นิยมทับทิมด้วย เช ่น ชาวสเปนถือว ่าดอกทับทิม เป็นดอกไม้ประจ�ำชาติของสเปน และชาวเมืองเยรุซาเล็มในสมัยโบราณก่อน คริสต์กาลถือว่าทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ใช้ประดับยอดเสาวิหารของกษัตริย์ โซโลมอน ทับทิมที่เป็นชื่อพลอยได้รับความนิยมเช่นเดียวกับผลทับทิม ไทยเราถือว่า ทับทิมเป็นรัตนะอย่างหนึ่งในรัตนะทั้ง ๙ ที่เราเรียกกันว่า นพรัตน์ถือเป็นรัตนะ ที่มีค่ายิ่ง พบได้หลายแห่งในโลก เช่น แอฟริกา ปากีสถาน เขมร ซีลอน พม่า และไทย แหล่งทับทิมของไทยอยู่ที่จังหวัดจันทบุรีทับทิมไทยถือว่าดีเป็นที่ ๒ รองจากทับทิมพม่า เมื่อเปรียบเทียบทับทิมไทยกับทับทิมพม่า ทับทิมไทยมีเนื้อ แข็งกว่า และเนื้อส่วนมากสะอาดกว่า เมื่อเจียระไนให้ได้สัดส่วนเท่ากันทับทิม ไทยจะมีประกายดีกว่า แต่สีของทับทิมไทยสู้ทับทิมพม่าไม่ได้เดิมพ่อค้าพลอย ชาวอังกฤษไม่ยอมเรียกทับทิมของไทยว่า ruby แต่เรียกว่า red corundum แปลว่าหินสีแดง หรือหินตระกูลcorundum (เนื้อแข็ง) ที่มีสีแดงคือไม่ยอมยก ให้ทับทิมของไทยเป็นอัญมณีตลาดเพชรพลอยในอังกฤษก็จ�ำหน่ายแต่ทับทิม ของพม่าและส่งไปขายทั่วโลกชาวยุโรปและอเมริกาในสมัยนั้นไม่ยอมซื้อทับทิม _20-0355(001-150)p3.indd 72 6/7/2563 BE 09:21


73 ของไทยซื้อแต่ทับทิมพม่า ต่อมาเมื่ออังกฤษต้องยอมยกเอกราชให้พม่า การค้า พลอยก็ตกอยู ่ในมือของอินเดียและพม ่า ชาวยุโรปหาซื้อทับทิมพม ่าได้ยาก จึงหันมาสนใจทับทิมของไทย และยอมรับว ่าทับทิมของไทยก็คือ ruby เหมือนกัน เรียกว่า Siam ruby หรือทับทิมสยาม (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) นากสวาดิ-มรกต-ครุทธิกานต์ นากสวาดิมรกตและครุทธิกานต์เป็นรัตนชาติที่เกิดจากการส�ำรอกของ นาคตามต�ำราว่าด้วยที่เกิดเนาวรัตน์ ของหลวงนรินทาภรณ์(ชู) เมื่อมหาพลอสูร บ�ำเพ็ญตบะและสิ้นชีวิตลงนั้น มีพญานาคจากนาคพิภพมาดูดเลือดแล้วส�ำรอก ออกเป็นรัตนชาติ๓ ชนิด คือ นากสวาดิมรกต และครุทธิกานต์ดังร่ายว่า ...ปางอิศรราชอสุรินทร์ดับกสิณสิ้นชีพิตร มีมหิทธิอุรคภพ เข้าสู่ศพ สูบเลือดดื่มดูดเดือดแห้งหาย แล้วลาศผายเลื่อนเลื้อย เร็วเรื่อยเรื้อยโดย สดอกไปส�ำรอกราบเรือง ประเทศเมืองตรุษดาษ เปนนากสวาดิทั้งผอง เคารพสองมรกฎ เขฬะหยดครุทธิการ ครบเอาวสานสิ้นสุด นาคม้วยมุด วายชนม์ ในสิงหฬประเทศ เพื่อผลเหตุโลหิต อสูรต้องติดพิศม์โสรม ศรีเขียวขจีพรายเพริศก�ำเนิดรัตนาสาม มีพรรณงามเงื่อนแต้ม ควรคู่ขวัญ เนตรแย้ม อย่างไว้คุงวัน นี้นา นากสวาดิแบ่งตามลักษณะสีเป็น ๔ ชนิด ได้แก่ ๑. สีดังงูเขียว ๒. สีผิว ไม้ไผ่ ๓.สีตับเต่าซึ่งเป็นผักชนิดหนึ่ง ๔.สีเขียวด�ำ นากสวาสดิทั้ง ๔ ชนิดนี้ให้คุณ ถ้าถูกอสรพิษขบกัดน�ำนากสวาดิไปแช่น�้ำ แล้วน�ำน�้ำนั้นลูบแผลและดื่มจะขจัด พิษร้ายได้นอกจากนั้นถ้ามีนากสวาดิขณะต่อสู้ศัตรูจะพ่ายแพ้นากสวาดิที่แท้ เมื่อถึงเดือน ๔ ของทุกปีจะมีรูปงูปรากฏในเนื้อแก้ว ๓ ครั้ง มรกตที่ให้คุณมี๔ สีคือ ๑. สีเขียวใบแค ๒. สีขนคอนกแขกเต้า ๓. สีปีก แมลงทับ ๔. สีขาวดังส�ำลีแต่เมื่อจับขึ้นจะเป็นแสงสีเขียว ดังโคลงว่า _20-0355(001-150)p3.indd 73 6/7/2563 BE 09:21


74 หนึ่งเขียวเขียวคู่คล้าย ใบแค ลางเล่ห์ขนคอแน แขกเต้า แมลงทับปีกปานแล สลาบเลื่อม บางฬ่อส�ำลีเคล้า จับขึ้นแสงเขียว มรกตที่ให้โทษมี๔ ลักษณะ ๑.สีเหมือนข้าวสุกขย�ำกับแกงผัก ๒. หลังหว�ำ คือด้านบนเป็นรอยบุ๋มลง ๓. มีดินแทรกอยู่ในเนื้อ ๔. สีไม่เขียวสวย (ในโคลงว่า บางไป่เขียวงามไซ้ส่อซ�้ำเสร็จสาร) มรกตที่มีลักษณะปราศจากโทษจะท�ำให้เจ้าของมีความสุข และพ้น อันตรายจากอสรพิษ ครุทธิกานต์ มีสีเขียวดังทองคลุกกับดิน หรือมีผิวเป็นส�ำริดถูกไฟ หรือมี สีทองด้าน รัตนชาติชนิดนี้ท�ำให้เจ้าของมีเสน่ห์มีทรัพย์สินมากมายและมีความ สามารถในการต่อสู้ (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) บางล�ำภู-บางล�ำพู บางล�ำพูมีชื่อเช่นนี้เพราะแต่ก่อนริมแม่น�้ำเจ้าพระยาในย่านนี้มีต้นล�ำพู ขึ้นอยู่มาก ค�ำว่า ล�ำพูในสมัยก่อนใช้ภ ส�ำเภา ดังแบบสอนหนังสือไทยของ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เรื่องพรรณพฤกษา ซึ่งเขียนไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗ มีว่า “ประดู่ล�ำภูไผ่ หมู่ไม้ไล่แลเสลา กะพ้อกอกะเพรา กอส่าเล่า เถาพลูแก” ค�ำว่า บางล�ำพูจึงใช้ภ ส�ำเภา เขียน เป็น บางล�ำภูไปด้วย เช่น พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี ก็มีข้อความตอนหนึ่งว่า ...แล้วโปรดให้มีท้องตราออกไป เกณฑ์เขมร ๑๐,๐๐๐ มาขุดคูพระนคร ด้านตะวันออก ตั้งแต่บางล�ำภูมาออกแม่น�้ำข้างใต้ยาว ๘๕ เส้น ๑๓ วา กว้าง ๑๐ วา ลึก ๕ ศอก ให้ชื่อว่าคลองรอบกรุง... _20-0355(001-150)p3.indd 74 6/7/2563 BE 09:21


75 ต่อมามีการเปลี่ยนแปลง ใช้พ พาน เขียนค�ำว่า ล�ำพูจึงมีผู้เห็นว่าควร เปลี่ยนตัวอักษรในค�ำว่าบางล�ำภูด้วย กล่าวกันว่าสถานที่แห่งแรกที่แก้ตัวอักษร ในชื่อ เขียนว่า บางล�ำพูคือที่ท�ำการไปรษณีย์บางล�ำพูถนนสิบสามห้าง นอกจากค�ำว่า บางล�ำพูจะใช้เป็นชื่อย่านชุมชน ยังใช้เป็นชื่อคลองวัดและ ตลาดอีกด้วย คลองบางล�ำพูเป็นส่วนหนึ่งของคลองรอบกรุงที่พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯให้ขุดขนานไปกับแนวคูเมืองเดิม เริ่มจาก ริมแม่น�้ำเจ้าพระยาตรงบางล�ำพูวกไปออกแม่น�้ำข้างใต้บริเวณเหนือวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิราชาวาส) ประชาชนเรียกชื่อคลองรอบกรุงนี้แตกต ่างกันตาม สถานที่ที่คลองผ่าน เช่น ตอนต้นคลองซึ่งผ่านบางล�ำพูเรียกคลองบางล�ำพูเมื่อ ผ่านสะพานหันเรียกคลองสะพานหัน เมื่อผ่านวัดเชิงเลน (วัดบพิตรภิมุข) เรียก คลองวัดเชิงเลน และช่วงสุดท้ายเรียกคลองโอ่งอ่าง เพราะเคยเป็นแหล่งค้าขาย เครื่องปั้นดินเผาของชาวมอญและชาวจีน วัดบางล�ำพูเป็นวัดโบราณมีมาก่อนสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งอยู่ริมคลอง บางล�ำพูเดิมชื่อวัดสามจีน (ชื่อพ้องกับชื่อเดิมของวัดไตรมิตรวิทยาราม) เพราะ ตามต�ำนานมีว่าจีน ๓ คน ช่วยกันสร้าง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงสถาปนาวัดนี้พระราชทาน นักชียายพระองค์เจ้ากัมพูฉัตร ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงปฏิสังขรณ์อีกครั้งหนึ่งต่อมาอหิวาตกโรคระบาดหนักคนตายมาก จนเผาไม่ทัน ต้องทิ้งศพลงแม่น�้ำล�ำคลอง มีผู้ใจบุญออกเงินจ้างสัปเหร่อเก็บศพ ในแม่น�้ำและในคลองบางล�ำพูขึ้นมาเผาที่วัดบางล�ำพูต้องเผากันทั้งกลางวันกลาง คืน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดบางล�ำพู และพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดสังเวชวิศยาราม (เดิมเขียนว่า สังเวชวิษยาราม) ซึ่งสื่อถึงความสังเวชจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลาดบางล�ำพูหรือตลาดยอด เป็นตลาดในย่านบางล�ำพู เดิมเป็นตลาด เล็กๆ หม่อมเจ้าหญิงประสงค์สม บริพัตร ทรงเล่าไว้ในบันทึกความทรงจ�ำบางเรื่อง และส.พลายน้อยได้คัดมาลงไว้ในหนังสือ“ร้อยแปด[ที่]กรุงเทพฯ”ตอนหนึ่งว่า _20-0355(001-150)p3.indd 75 6/7/2563 BE 09:21


76 ...อยู่วังสามเสน การจ่ายอาหารรับประทานล�ำบากมากคนจ่ายตลาดต้อง เดินมาถึงบางล�ำพูบางทีก็จ่ายที่บางล�ำพูนั่นเอง บางทีก็ต้องขึ้นรถเจ๊กไป จ่ายที่เสาชิงช้า เพราะบางล�ำพูเป็นตลาดเล็กมาก ไม่ค่อยจะมีของดีๆ... ตลาดบางล�ำพูตามที่กล่าวถึงในบันทึกนี้ขยายใหญ่ขึ้นเป็นล�ำดับ ปัจจุบัน ไม่ได้เป็นตลาด แต่เป็นย่านการค้าที่ยังมีผู้คนซื้อขายสินค้ากันคึกคัก บางล�ำพูบริเวณตลาดบางล�ำพูนี้เรียกว่า บางล�ำพูบน คู่กับ บางล�ำพูล่าง ซึ่งอยู่ในเขตคลองสาน (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) ภาพยนตร์-หนัง ภาพที่บันทึกลงบนฟิล์มแล้วฉายด้วยเครื่องให้เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวได้ เราเรียกว ่า ภาพยนตร์ ถ้าพูดอย ่างไม ่เป็นทางการเรียกว ่า หนัง การเรียก ภาพยนตร์ว่าหนังเป็นการเรียกโดยเปรียบเทียบ ก่อนที่จะมีภาพยนตร์มาฉาย ในประเทศไทย คนไทยเคยดูหนังมาก่อน ดังมีข้อความในกฎมณเฑียรบาลใน กฎหมายตราสามดวง ว่า เดือน ๑๒ การพิทธีตรองเปรียง ลดชุดลอยโคมลงน�้ำ ตั้งระทาดอกไม้ใน พระเมรุ์๔ ระทา หนัง ๒ โรง... ค�ำว่า หนัง ในกฎมณเฑียรบาลน่าจะหมายถึง หนังใหญ่ หลังจากมีหนัง ใหญ่แล้ว ต่อมาก็มีหนังตะลุง การเล่นหนังใหญ่และหนังตะลุงต้องใช้จอเมื่อมีมหรสพแบบใหม่ที่ต้องใช้ จอเช่นกัน จึงเรียกว่า หนังแต่มีค�ำว่า ญี่ปุ่น ขยายเป็น หนังญี่ปุ่น กาญจนาคพันธุ์ อธิบายค�ำว่า หนังญี่ปุ่น ไว้ในหนังสือคอคิดขอเขียน ชุดที่ ๒ ว่า ...ค�ำว่าญี่ปุ่นเติมเข้าไปก็เพราะคนญี่ปุ่นเป็นผู้น�ำเข้ามาฉายก่อน เมื่อจะ เรียกให้ต่างกับหนังตะลุงหนังใหญ่ที่เรามีจึงได้เรียกว่า “หนังญี่ปุ่น” _20-0355(001-150)p3.indd 76 6/7/2563 BE 09:21


77 ค�ำว่า หนังญี่ปุ่นนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ก็ทรงกล่าวถึงไว้ในลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๔ ปรากฏ ในหนังสือสาส์นสมเด็จว่า ...หนังฉายนั้นเดิมไทยเราเรียกว่า“หนังญี่ปุ่น”เพราะญี่ปุ่นเอาเข้ามาเล่น ในกระโจมผ้าตั้งที่ลานนครเกษมก่อน ครั้นชาวกรุงเทพฯ ตั้งเล่นบ้างจึง เรียกว่า“ภาพยนต์”มาจนเกิดมีโรงเล่นแพร่หลายจึงเรียกกันว่า“หนังฉาย” สืบมา เห็นได้ว่า ค�ำว่า “หนังญี่ปุ่น” เริ่มมีขึ้นก่อน ต่อมาเปลี่ยนไปใช้ค�ำว่า “ภาพยนต์” และ “หนังฉาย” ตามล�ำดับ ค�ำว่าหนังฉายเมื่อพูดกันสั้น ๆ ก็คง กลายเป็น “หนัง” ไป ส่วนค�ำว่า “ภาพยนต์” เปลี่ยนการสะกดการันต์เสียใหม่ กลายเป็น “ภาพยนตร์” อันที่จริงค�ำว่า“ภาพยนต์” ที่น�ำมาใช้แทนค�ำว่า“หนังญี่ปุ่น” นี้มีใช้มานาน แล้ว ในหนังสือ พระราชพงษาวดาร ฉบับพิมพ์ ร.ศ. ๑๒๐ ซึ่งสันนิษฐานกันว่า ช�ำระจากต้นฉบับพระราชพงศาวดารฉบับกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส มีค�ำว่า “ภาพยนต์” ในข้อความว่า ...จึ่งอัญเชิญพระศพเสด็จเหนือบุษบก-พิมาน, -แลประดับด้วยกลิ้งกลด- จามร-มาศ-บวรนิมิตร์-ประไภย-ไมย-ด้วยกาญจน-ดิเรก-ดุริยางค์ดนตรี- นิฤนาท-เดียรดาษด้วยภาพยนต-มณฑปอันรจนาต่าง ๆ, ตั้งประดับเรียง รายย้ายโดยขะบวนซ้ายขวา,... และหนังสือระยะทางเที่ยวชวากว่าสองเดือนที่พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในคราวเสด็จประพาสเกาะชวา ครั้งที่ ๒ มีข้อความตอนหนึ่งว่า กลับมาถึงบ้านทุ่ม ๑ แล้วไปดูเทียเตอร์คอมมิกเขาตัดเล่นเปนท่อน เพราะกลัวเวลาจะไม่พอ เล่นเรื่องนิทานเยอรมณี...เล่นเปนกระบวรตลก _20-0355(001-150)p3.indd 77 6/7/2563 BE 09:21


78 อีกตอนหนึ่งเต้นอย่างเสปน ถือแตรมบุรินผู้หญิง ๒ คนแล้วเต้นงูเต้นเสือ ต่อไปเล่นภาพยนต์... ค�ำว่า “ภาพยนต์” ในหนังสือ ๒ เล่มนี้น่าจะหมายถึง รูปหุ่นที่เดินได้ ทั้งนี้เพราะค�ำอธิบายท้ายเล่มหนังสือพระราชพงษาวดารฯให้ความหมายของค�ำ “ภาพยนต์”ไว้เช่นนั้น นอกจากนี้อักขราภิธานศรับท์ ยังมีค�ำว่า“พะยนต์”และ “รูปภาพะยนต์” ให้ความหมายไว้ดังนี้ พะยนต์, คือรูปภาพพะยนต์ที่เขาชักเรียกหุ่นนั้น. รูปภาพะยนต์,คือรูปมะนุษที่เขาท�ำด้วยไม้มีสายยนต์คนชักให้มันยกมือ ร�ำฟ้อนได้นั้น. อย่างไรก็ตาม ภาพยนต์มีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า ภาพที่เคลื่อนไหว ได้ดังปรากฏในจดหมายเหตุเสด็จพระราชด�ำเนิรประพาศทวีปยุโรป ครั้งที่ ๒ มีข้อความว่า ...ครั้นทรงพระด�ำเนิรทอดพระเนตรโคมไฟพอสมควรแล้ว เสด็จประทับ โต๊ะเสวยสัปเปอร์ในเรสเตอรองแห่งหนึ่งข้างนอกปลูกต้นไม้เลื้อยตามฝา แลเสาข้างในทาสีขาวล้วน เพดานติดกระจกเงาแผ่นเล็กๆต่อกันเกือบเต็ม ชั่วแต่เหลือที่ท�ำเป็นกรอบไว้โดยรอบหน่อยหนึ่งเท่านั้น ดูแปลกดีเวลานั่ง บริโภคอาหารแหงนขึ้นไปเห็นรูปภาพยนต์นั่งเรียงเป็นแถวศีร์ษะปักลงมา ข้างล่าง ค�ำว่า “ภาพยนต์” จะเปลี่ยนเขียนเป็น “ภาพยนตร์” เมื่อไรไม่ทราบแน่ แต่ในสมัยที่กาญจนาคพันธุ์เป็นวัยรุ่น คือเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีมาแล้ว มีค�ำว่า “รูปพยนตร์”และ“ภาพยนตร์”อยู่ในชื่อบริษัทหนึ่งดังที่กาญจนาคพันธุ์เขียน ไว้ในหนังสือ ๘๐ ปี ในชีวิตข้าพเจ้า ว่า ว่าถึงเจ้าของหนังหรือบริษัทหนังสมัยข้าพเจ้าวัยรุ่นและคลุกคลี อยู่กับละครปรีดาลัยนั้น ขอรวบกล่าวสั้น ๆ พอเข้าใจง่ายๆว่ามี๒ บริษัท _20-0355(001-150)p3.indd 78 6/7/2563 BE 09:21


79 บริษัทหนึ่งเรียกว่า“บริษัทรูปพยนตร์กรุงเทพ” มีนายซุ่นใช้เจ้าของห้าง รัตนมาลาที่อยู่หัวมุมสี่แยกพาหุรัดเป็นผู้จัดการกับบริษัทสยามภาพยนตร์ มีนายโลเปงทอง เจ้าของห้างซินซิ้นฮะ ที่อยู ่ถนนพาหุรัดตอนใกล้ สะพานหันเป็นผู้จัดการ บริษัทรูปพยนตร์ฉายหนังฝรั่งเศสของบริษัท ปาเต๊ะตราไก่แจ้ตามแบบที่โรงหนังญี่ปุ่นฉายมาก่อน.... ส่วนบริษัทสยามภาพยนตร์ฉายหนังอเมริกัน หนังอเมริกันท�ำเป็น เรื่องทีหลังหนังฝรั่งเศส... เห็นได้ว่าในสมัยนั้นมีการใช้ค�ำว่า ภาพยนตร์และรูปพยนตร์แต่ต่อมาค�ำว่า รูปพยนตร์เลิกใช้ไป ในปทานุกรมส�ำหรับนักเรียน ซึ่งพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ มีแต่ค�ำว่า ภาพยนตร์ให้ความหมายว่า “ภาพยนตร์ น. ภาพที่เห็นเคลื่อนไหว ได้อย่างจริง; หนังฉาย.” (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง กาญจนาคพันธุ์(นามแฝง). คอคิดขอเขียน. พระนคร : บ�ำรุงสาส์น, ๒๕๑๓. .๘๐ปี ในชีวิตข้าพเจ้า.อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓. จดหมายเหตุเสด็จพระราชด�ำเนิรประพาศทวีปยุโรป ครั้งที่ ๒ เล่ม ๑ รัตนโกสินทร ศก ๑๒๕-๑๒๖. กรุงเทพฯ : สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, ๒๕๔๗. จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ.ระยะทางเที่ยวชวากว่าสองเดือน. กรุงเทพฯ : แสงดาว, ๒๕๕๕. นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา และสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ. สาส์นสมเด็จ. พิมพ์ ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๕. _20-0355(001-150)p3.indd 79 6/7/2563 BE 09:21


80 ปทานานุกรมส�ำหรับนักเรียน. พระนคร: กรมต�ำรากระทรวงธรรมการ, ๒๔๗๒. พระราชพงษาวดาร ฉบับพิมพ์ ร.ศ. ๑๒๐. กรุงเทพฯ : สมาคมประวัติศาสตร์ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ๒๕๕๐. ๓ เล่ม. ศิลปากร, กรม. เรื่องกฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ, ๒๕๒๑. อักขราภิธานศรับท์ ของหมอปรัดเล. พระนคร:องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๔. มณฑา ค�ำว่า มณฑา หรือ มณฑารพ เป็นชื่อต้นไม้เมืองสวรรค์หนึ่งในห้าต้น เฉพาะค�ำว่ามณฑา มีความหมายอีกอย่างหนึ่งคือชื่อไม้พุ่มเตี้ยใบใหญ่ดอกใหญ่ กลีบแข็งสีเหลืองนวลลักษณะดอกคล้ายยี่หุบแต่โตกว่าเวลาบานไม่คลี่เต็มดอก กลิ่นหอมแรง ค�ำว่า มณฑา และ มณฑารพ ๒ ค�ำนี้ยืมมาจากภาษาสันสกฤต มนฺทาร และภาษาบาลีมนฺทารว ซึ่งหมายถึงต้นไม้สวรรค์หนึ่งในห้าต้น ต้นไม้สวรรค์ ทั้งห้านี้ได้แก่ มณฑา ปาริชาตสังตาน กัลปพฤกษ์และหริจันทน์อยู่ที่สวนของ พระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดอกมณฑามีบทบาทในพุทธประวัติท�ำให้พระมหากัสสปซึ่งจะเดินทาง จากปาวานครไปสู่เมืองกุสินาราทราบได้ว่าพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน แล้ว ทั้งนี้เพราะขณะที่พระมหากัสสปนั่งพักใต้ร่มไม้ระหว่างทาง ท่านได้เห็น อาชีวกผู้หนึ่งเอาไม้เสียบดอกมณฑาเข้าเป็นคันกั้นมาต่างร่ม ท่านด�ำริในใจดังที่ ปฐมสมโพธิกถาบรรยายไว้ว่า ...แท้จริงอันว่ามณฑาร์บุบผชาติจะได้มีในมนุษยโลกเป็นนิจกาลนั้นหามิได้ ต่อเมื่อใดพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ เสด็จลงมาสู่ครรภ์พระมารดาแลกาล เมื่อประสูติแลกาลออกสู่มหาภิเนษกรมณ์และกาลอภิสมโพธิแลตรัส เทศนาพระธรรมจักร แลกระท�ำพระยมกปาฏิหาริย์แลกาลเสด็จลงจาก _20-0355(001-150)p3.indd 80 6/7/2563 BE 09:21


Click to View FlipBook Version