181 เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓) ต่อมาเมื่อวันที่๙ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๔๙ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า พระเศวตฯเมื่อแรก เข้ามาสู่พระบารมีนั้น ยังเป็นลูกช้างอายุน้อยเครื่องคชาภรณ์ที่พระราชทานจึงมี ขนาดเล็กเหมาะสมกับขนาดของรูปร่างในขณะนั้น ต่อมาเมื่อเจริญวัยขึ้น มีร่างกาย ใหญ่โตมากกว่าเดิม เครื่องคชาภรณ์ที่ได้รับพระราชทานในคราวแรก มีขนาดเล็ก สั้นเขินไม ่สมรูปร ่าง หากจะน�ำออกแต ่งเครื่องยืนแท ่นในการพระราชพิธี ก็จะไม ่ได้ขนาดกับตัว และไม ่สง ่างามสมยศศักดิ์ของพระยาช้างต้น จึงมี พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้กรมศิลปากรจัดสร้างเครื่องคชาภรณ์ชุดใหม่ พระราชทานพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯเพื่อให้แต่งเครื่องยืนแท่นในพระราชพิธี รับพระราชอาคันตุกะตามพระราชประเพณีณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในโอกาสพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเห็นความส�ำคัญของช้างเผือกที่เป็นช้างคู่พระบารมีรับราชการใต้เบื้อง พระยุคลบาทมานาน การที่ทรงมีพระราชด�ำริให้สร้างเครื่องคชาภรณ์ชุดใหม่ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากได้ตรวจสอบเอกสารหลายฉบับ แล้ว ยังไม่พบหลักฐานการพระราชทานเครื่องคชาภรณ์ให้แก่พระยาช้างต้นที่ เจริญวัยคงมีแต่ใช้เครื่องคชาภรณ์ชุดเดิมที่ได้รับพระราชทานเมื่อแรกขึ้นระวาง ทั้งนั้น พระราชกรณียกิจในเรื่องนี้ทรงแสดงให้คนไทยได้เห็นว ่า ทรงมี พระอัจฉริยภาพที่ละเอียดรอบคอบ ทรงมีพระกตเวทิตาธรรมต่อช้างซึ่งเคยมี บุญคุณที่ได้อาศัยช่วยให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข และทรงมีสายพระเนตรอัน กว้างไกลในการที่จะรักษาแบบแผนพระราชประเพณีเผยแพร่มรดกวัฒนธรรม อันทรงคุณค่าอย่างยิ่งของชาติให้นานาประเทศได้รู้จัก กับยังเป็นวิธีการหนึ่ง ที่ส ่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนคนไทย ได้มีโอกาสรับรู้เข้าใจ เห็นคุณค ่า ขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติซึ่งยังคงปรากฏ ให้เห็นประจักษ์ชัดอยู่เพียงประเทศเดียวในโลกที่พระมหากษัตริย์ทรงมีช้างเผือก คู่พระบารมี _20-0355(151-316)p3.indd 181 6/7/2563 BE 09:22
182 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรง เปี่ยมด้วยพระบุญญาบารมีและมากด้วยบุญญาธิการ จึงได้ทรงมีช้างเผือกที่ ขึ้นระวางเป็นพระยาช้างต้นจ�ำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยยากยิ่งที่จะหา พระมหากษัตริย์พระองค์ใดเสมอเหมือน พระเกียรติยศอันยิ่งใหญ่เช่นนี้สมควร อย่างยิ่งที่ปวงชนชาวไทยจะได้ร่วมใจกันทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญานาม พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ว่า พระเจ้า ช้างเผือก (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) ก�ำเนิดครูปะก�ำ ปะก�ำ หรือ ประก�ำ ตามความหมายที่เกี่ยวกับช้าง เป็นชื่อเรียกเชือกที่ใช้ ในการจับช้างคล้องช้างผูกช้างว่าเชือกปะก�ำ หรือเชือกบาศ ท�ำจากหนังควาย ด้วยการใช้หนังควายทั้งตัว แผ่ออกเป็นผืนใหญ่ แล้วกรีดแบ่งให้เป็นเส้นยาว ต่อเนื่องกัน กว้างประมาณ ๓ เซนติเมตรวนไปเรื่อยๆไม่ให้ขาดจากกัน จนหมด หนังทั้งตัว ท�ำอย ่างนี้อีกให้ได้หนัง ๓ เส้น แล้วน�ำมาฟั ่นรวมกันเป็นเชือก เรียกว่า เชือกปะก�ำ หรือ เชือกบาศ นอกจากนั้นค�ำว่า ปะก�ำ ยังใช้เรียกครูผู้สอนวิชาการคชกรรมต่าง ๆ มีการคล้องช้าง หรือจับช้าง เลี้ยงช้าง ฝึกหัดช้าง ดูแลรักษาช้างเมื่อเจ็บป่วย รวมทั้งพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับช้าง ว่า ครูปะก�ำ ซึ่งมีต�ำนานกล่าวไว้ว่า วิชาพฤฒิบาศศาสตร์หรือคชกรรมนั้น พระนารายณ์เทพเจ้าส�ำคัญองค์หนึ่ง ของศาสนาพราหมณ์เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก ่ชาวนา ๔ คนพี่น้อง โดยก�ำหนดให้เป็นปะก�ำท�ำหน้าที่ปราบหมู ่ช้างทั้งหลายบนพื้นโลก และน�ำ ความรู้วิชาพฤฒิบาศศาสตร์สั่งสอนให้แก่กุลบุตรท�ำการคชกรรมสืบไป เรื่องใน ต�ำนานกล่าวไว้ว่า ในกาลสมัยสร้างโลกขณะที่พระอิศวรเป็นเจ้าสถิตอยู่ณเขาไกรลาศในวัน เมื่อพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์และพระพรหมมาประชุม _20-0355(151-316)p3.indd 182 6/7/2563 BE 09:22
183 พร้อมกัน มีพระพรหมพวกหนึ่งเห็นพระพรหมธาดาทรงหงส์ทองเป็นพาหนะ พระพรหมพวกนั้นก็เกิดความริษยาพระพรหมธาดาเป็นอันมาก กรรมนั้นยังให้ พระพรหมได้จุติลงมาบังเกิดเป็นช้างชื่อ เอกทันต์มีงาเดียวงอกอยู่กลางเพดาน แข็งแรงมีอ�ำนาจมาก หากแทงมนุษย์และสัตว์ก็จะถึงตายทั้งสิ้น ช้างนั้นหยาบช้า มากเที่ยวกระท�ำย�่ำยีโลกทั้งสามได้ความเดือดร้อนอย่างยิ่ง ครั้งนั้นนักสิทธิ์ทั้งหลายมีฤษีจุฬามหาพรหมเป็นต้น ปรึกษาพร้อมกันแล้ว ขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรกราบทูลเรื่องเดือดร้อนทั้งปวง พระอิศวรจึงมีเทวโองการให้ เทพยดาทั้งสองชื่อ จัตุบทและจัตุบาทไปเชิญเสด็จพระนารายณ์ในเกษียรสมุทร มา ณ เขาไกรลาศ พระอิศวรมีเทวโองการให้พระนารายณ์ลงมาปราบช้าง เอกทันต์พระนารายณ์รับเทวโองการแล้วจึงกระท�ำองค์ด้วยเทวฤทธิ์ให้มี๖ กร ทรงเทพอาวุธ ๖ อย่าง คือ ๑. เอาก�ำลังของพระอาทิตย์พระจันทร์มากระท�ำเป็นเทพอาวุธชื่อเสมา ๒. เอาก�ำลังของพระเพลิง พระคงคา มากระท�ำเป็นเทพอาวุธชื่อ โสภา ๓. เอาก�ำลังพระยามงคลสุบรรณ มากระท�ำเป็นเทพอาวุธชื่อ ชาลัก ๔. เอาก�ำลังเขาพระสุเมรุมากระท�ำเป็นเทพอาวุธชื่อ ตรี ๕. เอาก�ำลังพระยานกอินทรีย์ชื่อท้าวศรีพิลาไลย มาเป็นเทพอาวุธชื่อ พระเฆอ ๖. เอาพระยาอนันตนาคราช มากระท�ำเป็นบาศ (เชือกบาศ) แล้วพระนารายณ์ก็เสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์ไปในทิศทั้งสี่เพื่อแสวงหาช้าง เอกทันต์ซึ่งเที่ยวกระท�ำย�่ำยีโลกทั้งหลาย มาถึงทุ่งนาแห่งหนึ่งพบชาวนา ๔ คน คนผู้เป็นพี่ใหญ่ชื่อ โภควันดีพี่หญิงที่สองชื่อ สิระวัง น้องชายอีกสองคนชื่อ คชสาตร์และสาตกรรม คนทั้ง ๔ ท�ำนาเลี้ยงชีวิตอยู่ในที่นั้น พระนารายณ์จึงมีเทวโองการตรัสถามคนทั้ง ๔ ว่า ท่านเห็นช้างเอกทันต์ มาทางนี้บ้างหรือไม่ คนทั้ง ๔ เห็นพระเป็นเจ้า ๖ กรทรงเทพอาวุธต่าง ๆ ก็ ตกใจค�ำนับลงกับพื้นโดยเบญจางคประนตแล้วทูลว่าช้างนั้นอยู่ฝั่งน�้ำฟากโน้น เป็นช้างร้ายกาจกระท�ำย�่ำยีโลกทั้งหลายให้ได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก ซึ่งท่านมา _20-0355(151-316)p3.indd 183 6/7/2563 BE 09:22
184 ถามนี้จะประโยชน์อันใด พระเป็นเจ้าก็ตรัสตอบคนทั้ง ๔ ว่าเราคือพระนารายณ์ จะมาปราบเหล่าสัตว์บาปให้โลกทั้งหลายเป็นสุข คนทั้ง ๔ ได้ฟังดังนั้นก็ยินดี เป็นอันมาก กราบถวายบังคมแล้วทูลขอเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ไปด้วย พระเป็นเจ้าก็ทรงอนุญาต คนทั้ง๔น�ำเสด็จไปถึงริมฝั่งน�้ำ แล้วกราบทูลว่าแม่น�้ำนี้กว้างใหญ่นักพวกข้า ทั้ง ๔ หาพาหนะที่จะข้ามไปมิได้พระนารายณ์จึงกระท�ำเทวฤทธิ์ใช้พระหัตถ์ซ้าย หยิบใบแสมสารมาใบหนึ่งโยนลงในท้องน�้ำ บัดเดี๋ยวใจก็กลับเป็นนาวาล�ำใหญ่ พระเป็นเจ้ากับคนทั้ง ๔ ก็ลงนาวานั้นข้ามแม่น�้ำไปถึงฟากโน้น ขึ้นจากนาวา แล้วเดินทางต่อไปถึงเชิงภูเขาหนึ่ง มีเหมืองน�้ำใหญ่เป็นป่าไม้คูนไม้ยอโดยมาก คนทั้ง ๔ ก็กราบทูลพระนารายณ์ว่าช้างเอกทันต์อันร้ายกาจเคยอาศัยอยู่ในป่านี้ ข้าพระบาทกลัวนักขอพระเป็นเจ้าช่วยป้องกันอันตรายให้ด้วยเถิด พระนารายณ์จึงกระท�ำเทวฤทธิ์ร่ายวิษณุมนตร์๓ คาบ กระท�ำประทักษิณ รอบคนทั้ง ๔ ปักพระเฆอลงบนพื้นธรณีแล้วเอารัศมีพระเพลิงมาประดิษฐานไว้ ด้านข้างขวาและซ้าย กับมีเทวโองการเรียกพระพิฆเนศให้มาประจ�ำพระเพลิง อยู่ด้านขวาและถอดสายธุร�ำของพระองค์เนรมิตให้เป็นพระเทวกรรมนั่งประจ�ำ พระเพลิงฝ่ายซ้ายให้คนทั้ง ๔ นั่งสังวัธยายมนต์พฤฒิบาศรักษาตัวอยู่ในที่นั้น ต่อจากนั้นพระนารายณ์จึงกระท�ำเทวฤทธิ์หักกิ่งไม้๗ อย่างมากวัดแกว่ง เรียกเทวดาชื่อ พระมหาเมสอให้ต้อนหมู่ช้างในป่าออกมายังที่นั้น พระมหาเมสอ ไล่ช้างเถื่อนออกมาทั้งสิ้น แต่ช้างเอกทันต์เป็นพรหมมาบังเกิด และเป็นชาติ อิศวรพงศ์จึงไม่ออกมาโดยวิษณุโองการ พระนารายณ์พิโรธนักจึงเอาไม้๗ อย่าง นั้นมาร่ายวิษณุมนตร์ ๓ คาบแล้วฟาดลงที่พื้นดินตรงรอยเท้าของช้างเอกทันต์ ๓ ครั้ง ด้วยเดชะอ�ำนาจของวิษณุมนตร์ท�ำให้ช้างนั้นปวดศีรษะดังจะแตกออก ๗ ภาค มิอาจที่จะทนได้ก็วิ่งมาด้วยก�ำลังโกรธ เข้าต่อสู้กับพระเป็นเจ้า ช้างนั้น สิ้นก�ำลัง ไม่อาจต้านทานก็บ่ายหน้าหนีพระเป็นเจ้าจึงซัดบาศอุรเคนทร์ถูกเท้า ขวาของช้างเอกทันต์แล้วพระองค์ก็ปักตรีลงบนพื้นธรณีเนรมิตให้เป็นต้นไม้ มะตูมผูกบาศไว้กับต้นมะตูมนั้น แล้วใช้พระหัตถ์ขวาดึงเถาวัลลีวัลย์ เนรมิตให้ _20-0355(151-316)p3.indd 184 6/7/2563 BE 09:22
185 เป็นทาม (เชือกหนังท�ำเป็นบ่วงส�ำหรับคล้องคอช้าง) กับภับเฌอ (เชือกส�ำหรับ ผูกคอช้างต่อจากทาม) คล้องคอช้างผูกไว้กับไม้คูน จากนั้นพระองค์ก็เสด็จมา หยุดอยู่ใต้ร่มไม้ยอแล้วตรัสเรียกคนทั้ง ๔ ออกมาจากที่ซุ่มตัวอยู่นั้น พระเป็นเจ้า จึงประทานต�ำราพฤฒิบาศประสิทธิ์ให้คนทั้ง ๔ เป็นปะก�ำส�ำหรับได้ปราบหมู่ช้าง ทั้งหลายและสอนกุลบุตรให้กระท�ำการคชกรรมต่อไป จากนั้นก็มีเทวโองการให้ เทพคชนาคน�ำช้างเอกทันต์ไปเป็นพาหนะพระอินทร์และน�ำไปอยู่ที่ป่าพ้นมนุษย์ ทั้งหลาย เสร็จแล้วพระนารายณ์ก็เสด็จกลับไปเกษียรสมุทร ส่วนชาวนาทั้ง ๔ ก็กลับมายังที่อยู่ท�ำหน้าที่เป็นครูปะก�ำได้สอนกุลบุตร ซึ่งเป็นหมอช้างให้ท�ำการคชกรรมทั้งหลายแต ่นั้นมา โดยแบ ่งหน้าที่กัน โภควันดีประสิทธิ์วิชาเหล็กซอง สิระวังประสิทธิ์วิชาบ่วงบาศ คชสาตร์ประสิทธิ์ วิชาขอ สาตกรรมประสิทธิ์วิชาตลุง ชนัก และปลอก กับยังมีข้อบังคับส�ำหรับ ผู้เรียนวิชาเป็นหมอช้างห้ามมิให้หักกิ่ง ถากเปลือก เด็ดใบ ไม้มะตูม ไม้ยอ และไม้คูน เพราะเหตุพระเป็นเจ้าได้ประสิทธิ์ให้เป็นครูปะก�ำในที่นั้น [พระโภคค์วันดีนางศิรวัง พระคชสาย พระสาตรกรรม จากหนังสือต�ำราภาพเทวรูปและเทวดานพเคราะห์, กรมศิลปากร : ๒๕๓๕] (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) _20-0355(151-316)p3.indd 185 6/7/2563 BE 09:22
186 ก�ำลังวันตามต�ำรามหาทักษา ต�ำรามหาทักษาหรือคัมภีร์มหาทักษาเป็นคัมภีร์โหราศาสตร์ที่แสดง ความเชื่อของพราหมณ์ฮินดูเกี่ยวกับวันเดือนปีที่พระอิศวรทรงสร้างขึ้น เมื่อคนไทยรับคัมภีร์มหาทักษามาแล้ว เชื่อกันว่าวันทั้ง ๗ ในสัปดาห์ มีเทวดาประจ�ำอยู่ ซึ่งคอยดูแลคุ้มครอง ให้คุณให้โทษตามแต่กาล ความเชื่อนี้ ปรากฏในวรรณคดีไทยเรื่องเฉลิมไตรภพ ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่แต่งขึ้นในสมัย อยุธยา ว่าหลังจากที่ไฟประลัยกัลป์ได้เผาผลาญโลกนี้ราพณาสูรแล้ว พระอิศวร ผู้เป็นใหญ่ได้สร้างสรรพสิ่งในโลกนี้ขึ้นมาใหม่ สิ่งที่พระอิศวรทรงสร้างขึ้นคือ มนุษย์สัตว์พืชและเหล่าเทวดาทั้งปวงเมื่อมีโลกมนุษย์ขึ้นแล้ว พระอิศวรก็ทรง สร้างพระอาทิตย์โดยน�ำราชสีห์ ๖ ตัวมาเสกป่นห่อผ้าสีแดง ประพรมน�้ำอมฤต กลายเป็นพระอาทิตย์ พระอาทิตย์จึงมีก�ำลัง ๖ และทรงราชสีห์เป็นพาหนะ ส่วนพระจันทร์สร้างโดยน�ำนางอัปสร ๑๕ ตนมาห่อผ้าสีขาวนวลเสกป่น ประพรม น�้ำอมฤต กลายเป็นพระจันทร์มีก�ำลัง ๑๕ มีม้าเป็นพาหนะ ทั้งพระอาทิตย์และ พระจันทร์มีหน้าที่ให้แสงสว่างแก่โลกทั้งกลางวันและกลางคืน จากนั้นพระอิศวร ก็ทรงตั้งจักรราศีไว้๑๒ ราศีมีสัตว์๑๒ ชนิดเป็นสัตว์ประจ�ำราศีนั้น ๆ เรียกว่า ๑๒ นักษัตร ครั้นแล้วพระอิศวรก็สร้างเทวดาองค์อื่น ๆ อีกคือ พระอังคาร สร้างขึ้นจากกระบือ ๘ ตัว ห่อผ้าสีชมพู เสกป่นประพรม น�้ำอมฤต พระอังคารจึงมีก�ำลัง ๘ ทรงกระบือเป็นพาหนะ พระพุธ สร้างขึ้นจากช้าง ๑๗ ตัว ห่อผ้าสีเขียว เสกป่นพรมด้วยน�้ำอมฤต พระพุธจึงมีก�ำลัง ๑๗ ทรงช้างเป็นพาหนะ พระพฤหัสบดีสร้างขึ้นจากฤๅษี๑๙ ตน ห่อผ้าสีเหลืองส้ม เสกป่นพรม น�้ำอมฤต พระพฤหัสบดีจึงมีก�ำลัง ๑๙ ทรงกวางทองหรือละมั่งเป็นพาหนะ พระศุกร์สร้างขึ้นจากโค ๒๑ ตัว ห่อผ้าสีฟ้าเสกป่นพรมน�้ำอมฤต พระศุกร์ จึงมีก�ำลัง ๒๑ ทรงโคเป็นพาหนะ พระเสาร์สร้างขึ้นจากเสือ ๑๐ ตัว ห่อผ้าสีด�ำ เสกป่นพรมน�้ำอมฤต _20-0355(151-316)p3.indd 186 6/7/2563 BE 09:22
187 พระเสาร์จึงมีก�ำลัง ๑๐ ทรงเสือเป็นพาหนะ พระราหูสร้างขึ้นจากหัวผีโขมด ๑๒ หัว ห่อผ้าสีทองเสกป่นพรมน�้ำอมฤต พระราหูจึงมีก�ำลัง ๑๒ ทรงครุฑเป็นพาหนะ พระเกตุสร้างขึ้นจากพญานาค ๙ ตัว เสกป่นพรมน�้ำอมฤต พระเกตุจึง มีก�ำลัง ๙ ทรงนาคเป็นพาหนะ เทวดาทุกองค์เรียกรวมกันว่าเทวดานพเคราะห์จะโคจรรอบจักรราศี โดยที่พระอิศวรมอบให้ พระอาทิตย์ (ใช้เลข ๑ เป็นสัญลักษณ์) รักษาทิศอีสาน (ทิศตะวันออก เฉียงเหนือ) พระจันทร์(ใช้เลข ๒ เป็นสัญลักษณ์) รักษาทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) พระอังคาร (ใช้เลข ๓ เป็นสัญลักษณ์) รักษาทิศอาคเนย์(ทิศตะวันออก เฉียงใต้) พระพุธ (ใช้เลข ๔ เป็นสัญลักษณ์) รักษาทิศทักษิณ (ทิศใต้) พระเสาร์(ใช้เลข ๗ เป็นสัญลักษณ์) รักษาทิศหรดี(ทิศตะวันตกเฉียงใต้) พระพฤหัสบดี(ใช้เลข ๕ เป็นสัญลักษณ์) รักษาทิศประจิม (ทิศตะวันตก) พระราหู (ใช้เลข ๘ เป็นสัญลักษณ์) รักษาทิศพายัพ (ทิศตะวันตก เฉียงเหนือ) พระศุกร์(ใช้เลข ๖ เป็นสัญลักษณ์) รักษาทิศอุดร (ทิศเหนือ) และ พระเกตุ (ใช้เลข ๙ เป็นสัญลักษณ์) ให้ประจ�ำอยู่ในทิศกลาง การเข้าครองทิศของเทวดาอัฐเคราะห์คือเว้นพระเกตุนั้น ให้ตั้งต้นที่ทิศ ทักษิณแล้วนับตั้งแต่ทิศทักษิณเป็นต้นไปเท่ากับก�ำลังของตน โดยทางทักษิณาวัตร คือเวียนขวา จากทักษิณไปหรดีเช่น พระอาทิตย์มีก�ำลัง ๖ ก็นับเริ่มต้นที่ทิศ ทักษิณเวียนขวาไปตามล�ำดับ ถึงล�ำดับ ๖ ตกที่ทิศอีสาน ดังนั้นพระอาทิตย์(๑) จึงประจ�ำอยู่ที่ทิศอีสาน ดาวพระเคราะห์อื่น ๆก็ท�ำนองเดียวกันจนครบ ๘ ดวง ท�ำให้เกิดภูมิพยากรณ์และต�ำรามหาทักษาส�ำหรับใช้พิจารณาชะตาชีวิตในวิชา _20-0355(151-316)p3.indd 187 6/7/2563 BE 09:22
188 โหราศาสตร์เบื้องต้น ทั้งเลขก�ำลังและสีประจ�ำวันที่คนไทยมีความเชื่อกันนี้ ล้วนมีที่มาจากต�ำรามหาทักษานี้ แต่อย่างไรก็ตามคนทั่วไปมักสังเกตเห็นว่าในพระอุโบสถหรือพระวิหารมี โต๊ะยาวตั้งพระพุทธรูปประจ�ำวันพร้อมบาตรขนาดเล็กวางข้างหน้า และอาจมี ป้ายเขียนก�ำกับว ่าให้ใส ่บาตรตามก�ำลังวันนั้น ๆ ท�ำให้อาจเข้าใจไปว ่าพระ พุทธรูปมีก�ำลังวัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพระพุทธรูปนั้นเป็นพระพุทธรูปประจ�ำวัน ต่าง ส่วนเลขก�ำลังวันนั้นมาจากต�ำรามหาทักษาดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) หนังสืออ้างอิง ส. พลายน้อย (นามแฝง). อมนุษยนิยาย. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น, ๒๕๔๔. อุรคินทร์วิริยะบูรณะ. ประเพณีไทยฉบับพระมหาราชครู. กรุงเทพฯ: ประจักษ์ การพิมพ์, ๒๕๑๖. ขนมเบื้องไทย ขนมเบื้องเป็นขนมชนิดหนึ่งที่รู้จักกันเป็นอย่างดีพบเห็นได้ทั่วไป มีราคา ไม่แพงและรสชาติหวานอร่อย ขนมเบื้องเป็นทั้งขนมที่ปรากฏในงานพระราชพิธี และเป็นขนมที่ราษฎรทั่วไปท�ำรับประทานทั้งในและนอกฤดูกาล และเป็นขนม ไทยโบราณที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแล้ว ในค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ระบุย่านที่ผลิตกระเบื้องและ เตากระเบื้องไว้ว่าที่“บ้านม่อ ปั้นม่อเข้าม่อแกงใหญ่เลกแลกระทะเตาขนมครก ขนมเบื้อง เตาไฟ ตะเกียง ใต้ตะคัน อยู่ในแขวงเกาะทุ่งขวัญ”แสดงว่าในอยุธยา มีการผลิตเตาขนมเบื้องดินเผาเพื่อใช้สอยทั่วไปส�ำหรับประชาชนและอาจ เป็นสินค้าซื้อขายด้วยก็ได้แต่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยว่าเตาขนมเบื้องสมัยอยุธยา มีลักษณะรูปทรงอย่างไร สันนิษฐานว่าคงแตกหักไปหมด เมื่อขนมเบื้องใช้เป็นขนมที่เลี้ยงพระในการพระราชพิธีก็คงมีการท�ำให้ วิจิตรบรรจงมากขึ้น หรือมีส่วนประกอบขนมมากขึ้น ซึ่งต่างไปจากขนมเบื้อง _20-0355(151-316)p3.indd 188 6/7/2563 BE 09:22
189 ทั่วไปของราษฎร ขนมเบื้องที่ท�ำขึ้นในงานพระราชพิธีเดือนอ้ายคือการพระราชกุศล เลี้ยงขนมเบื้อง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ใน พระราชพิธีสิบสองเดือนว่า พระราชกุศลเลี้ยงขนมเบื้องการเลี้ยงขนมเบื้องนับเป็นตรุษอย่าง หนึ่งในรอบปีก�ำหนดกันเอาเมื่อพระอาทิตย์ออกสุดทางใต้ตกนิจ[สิ้นสุด ราศีตุล] เป็นวันหยุดจะกลับขึ้นเหนืออยู่ในองศา ๘ องศาในราศีธนูไม่ ก�ำหนดแน่ว่าเป็นวันกี่ค�่ำ และไม่มีการสวดมนต์เช่นพระราชพิธีใด ๆ อีกด้วย ทรงเกณฑ์พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในละเลงขนมเบื้องและนิมนต์ พระสงฆ์ตั้งแต่เจ้าพระ และพระราชาคณะมาฉันในพระที่นั่งอมรินทร วินิจฉัย เป็นงานพระราชกุศลในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาที่ก�ำหนด พระราชทานเลี้ยงขนมเบื้องในระยะนี้เพราะกุ้งชุกชุมน�้ำลดลงตลิ่งก็แห้ง กุ้งปลาลงหนองมากมาย ทั้งกุ้งก็มีมันมาก ปีหนึ่งมีเพียงหนหนึ่ง เพราะ ไส้ขนมเบื้องนั้นต้องประกอบด้วยกุ้งจึงอร่อยส่วนข้าวในนาเมื่อน�้ำลดข้าว ก็เริ่มแก่รอที่จะสุกเก็บเกี่ยวได้เป็นเดือนที่นาไร่ก�ำลังบริบูรณ์ การพระราชกุศลเลี้ยงขนมเบื้องนี้ ปรากฏภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม และที่วัดเสนาสนาราม เป็นภาพพระสงฆ์เดิน เรียงแถวเข้าพระมหาปราสาทเพื่อเจริญพระพุทธมนต์และมีคนก�ำลังละเลง ขนมเบื้องบนกระทะอยู ่ ขนมเบื้องที่ท�ำเลี้ยงพระในการพระราชกุศลนี้เป็น ขนมเบื้องหน้ากุ้งที่ใช้เนื้อและมันกุ้งเป็นส่วนผสมของหน้าขนม เพราะในระยะนั้น มีกุ้งชุมมาก ในวรรณคดีไทยเรื่องขุนช้างขุนแผน มีฉากตอนส�ำคัญที่นางสร้อยฟ้าและ นางศรีมาลาทะเลาะกันเพราะขนมเบื้องเป็นเหตุ เริ่มมาจากพลายชุมพลกับ พระไวยชวนกันเล่นหมากรุก ถ้าพลายชุมพลแพ้จะให้ถอนขนตาแต่ถ้าชนะจะ ขอให้ท�ำขนมเบื้องให้กิน ผลปรากฏว่าพลายชุมพลชนะ รุ่งขึ้นพระไวยจึงให้ นางศรีมาลากับสร้อยฟ้าท�ำขนมเบื้อง แต่นางสร้อยฟ้าเป็นคนเหนือ ไม่ช�ำนาญ การท�ำขนมภาคกลางจึงละเลงแป้งขนมเบื้องหนาเกินไป พลายชุมพลกับนาง _20-0355(151-316)p3.indd 189 6/7/2563 BE 09:22
190 ทองประศรีติขนมเบื้องของนางสร้อยฟ้า นางสร้อยฟ้าโกรธจึงพาลทะเลาะตบตี กับนางศรีมาลา เสภาช่วงการละเลงขนมเบื้องมีว่า ศรีมาลาละเลงแผ่นบางบาง แซะใส่จานวางออกไปให้ สร้อยฟ้าไม่สันทัดอึดอัดใจ ปามแป้งใส่ไล้หน้าหนาสิ้นที พลายชุมพลจึงว่าพี่สร้อยฟ้า ท�ำขนมเบื้องหนาเหมือนแป้งจี่ พระไวยตอบว่าหนาหนาดี ทองประศรีว่ากูไม่เคยพบ ลาวท�ำขนมเบื้องผิดเมืองไทย แผ่นผ้อยมันกระไรดังต้มกบ แซะม้วนเข้ามาเท่าขาทบ พลายชุมพลดิ้นหลบหัวร่อไป ฝ่ายนางศรีมาลาชายตาดู ทั้งข้าไทยิ้มอยู่ไม่กลั้นได้ อีไหมร้องว้ายข้อยน้อยอายใจ ลืมไปคิดว่าท�ำขนมครก ในหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์อธิบายเรื่อง การท�ำขนมเบื้องไว้ว่า ปรกติแล้วขนมเบื้องมักจะท�ำในเวลาที่กุ้งชุม และการละเลง ขนมเบื้องนับเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง เพราะต้องละเลงให้แป้งบางกรอบ เครื่องมือ ที่ใช้ละเลงแป้งเรียกว่า“จ่า” ประกอบด้วยส่วนที่ละเลง เรียกว่า“ปากเป็ด”ซึ่ง ท�ำจากไม้ไผ่สดเหลาให้เกลี้ยงเกลาโตขนาด ๓ นิ้ว หลังแบน และด้ามจับท�ำจากไม้ แกะสลักอย่างประณีตเพราะเป็นการประชันฝีมือแกะสลักกันไปในตัวด้วยกระทะ ขนมเบื้องต้องเป็นดินเผาอย่างแบนมีที่จับและฝาครอบจากการที่กระทะขนมเบื้อง ท�ำจากดินเผาหรือกระเบื้องนี้จึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อว่าขนมเบื้องนั่นเอง ส่วนประกอบของขนมเบื้องที่ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์อธิบายไว้ใน หนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ประกอบด้วยแป้งข้าวเจ้าถั่วทองหรือถั่วเขียวไข่ มะพร้าว น�้ำปูนใส กุ้ง พริกไทย ผักชีใบมะกรูด น�้ำตาล พริกป่น น�้ำหอมกุหลาบหรือ นมแมว หรือกลิ่นวานิลลา วิธีการท�ำขนมเบื้องแต่โบราณต้องแช่ข้าวสารและต�ำให้ละเอียด ส่วน ถั่วเขียวหรือถั่วทองต้องคั่วให้หอม โม่ป่นเป็นแป้ง น�ำปูนแดงไปละลายน�้ำเทลง ในหม้อต้มจนเดือดแล้วยกลงทิ้งไว้ให้เย็น เมื่อจะนวดแป้งให้ผสมแป้งเข้าเจ้า และแป้งถั่ว กับไข่เป็ด ๑ ถึง ๒ ฟอง จากนั้นใส่หัวกะทิเมื่อเข้ากันดีแล้วจึงเติม _20-0355(151-316)p3.indd 190 6/7/2563 BE 09:22
191 น�้ำปูนใส คนให้เข้ากันพอข้น อย่าให้เหลวเกินไป ส่วนหน้ากุ้งนั้นสับเนื้อกุ้งให้ ละเอียดผสมมันกุ้ง โรยเกลือป่น แล้วเติมน�้ำปูนใสเล็กน้อยพอให้เนื้อกุ้งแตก เตรียมเครื่องโรยหน้าคือใบหอม ใบมะกรูด ใบผักชีหั่นฝอย มะพร้าวขูดละเอียด เมื่อเครื่องปรุงและส่วนผสมพร้อมแล้ว ก็เตรียมกระทะ โดยเอามะพร้าว ขูดเทลงบนกระทะ เกลี่ยให้ทั่ว เอาฝาปิด จนมะพร้าวไหม้เกรียม แล้วเอากาบ มะพร้าวเช็ดหรือถูกระทะให้มันเพื่อไม่ให้แป้งติดกระทะ หรือหากไม่มีมะพร้าว จะใช้ขี้ผึ้งลงถูกระทะร้อน ๆ ก็ได้เมื่อละเลงแป้งต้องอย่าให้หนามาก แล้วตัก หน้ากุ้งลงไปละเลงให้หนา เมื่อสุกแป้งจะยกขอบร ่อนออกจากกระทะ โรย มะพร้าว และใบผักต่าง ๆ แล้วแซะขึ้น หากต้องการขนมเบื้องหน้าหวาน ต้อง เตรียมหน้าโดยใช้ไข ่เป็ดหรือไข ่ไก ่ก็ได้ตีผสมน�้ำตาลทรายขาวให้ขึ้นฟูแล้ว เหยาะกลิ่นน�้ำหอม ใช้ละเลงเช่นเดียวกับหน้ากุ้ง ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์อธิบายเพิ่มเติมว่าขนมเบื้องในสมัยโบราณ แผ่นเล็ก คนหนึ่งสามารถรับประทานได้ตั้งแต่ ๓๐ ถึง ๕๐ แผ่นก็มี (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) หนังสืออ้างอิง จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ.พระราชพิธีสิบสองเดือน.กรุงเทพฯ: คลังวิทยา, ๒๕๑๐. เปลี่ยน ภาสกรวงศ์, ท่านผู้หญิง. ต�ำราแม่ครัวหัวป่าก์ เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : ต้นฉบับ, ๒๕๕๔. ครึ-สมาคมครึ ค�ำว่าครึพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ให้ความหมาย ว่า “เก่าไม่ทันสมัย” ย้อนหลังไป ๗๐ ปีปทานุกรมส�ำหรับนักเรียน พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ ให้ความหมายว่า “คร�่ำ, เร่อร่า, มีปัญญาทึบ” แต่ในสมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ค�ำนี้หมายถึง เข้าใจยาก ดังค�ำอธิบายค�ำว่า _20-0355(151-316)p3.indd 191 6/7/2563 BE 09:22
192 ครึที่ตอนท้ายของหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีว่า ค�ำว่า “ครึ” หมายความว่า ยากที่จะเข้าใจ มาแต่ว่าผู้ที่อธิบายอะไร ๆ มายกศัพท์แสงต่าง ๆ ให้ฟังยากดังครึคระ ๆ คนฟังไม่ใคร่เข้าใจ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ทรงด�ำรงพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเลือกใช้ค�ำว่า ครึ เป็นชื่อของสมาคมที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ชื่อสมาคมครึน่าจะ แปลว่าสมาคมว่าด้วยเรื่องที่ยากจะเข้าใจ พระองค์ทรงก่อตั้งสมาคมนี้ด้วยสาเหตุ ส�ำคัญประการหนึ่งคือมีพระราชประสงค์จะให้คนไทยเข้าใจเรื่องประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก หม่อมหลวงปิ่น มาลากุลกล่าวถึงสมาคมครึในหนังสือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้า ว่า ...ทรงน�ำวิธีการของประชาธิปไตยมาใช้ในกิจการของสมาคมซึ่งทรงตั้งขึ้น และมีนามแปลก ๆ ว่า “สมาคมครึ” อันที่จริงกล่าวว่าทรงยกสภาผู้แทน ราษฎรของอังกฤษมาตั้งที่กรุงเทพฯ ให้คนชมก็คงไม่ผิด การจัดที่นั่ง ของสมาชิกก็ดีวิธีโต้เถียงตลอดจนวิธีจดรายงานการประชุมลอก ประชาธิปไตยแบบครูมาทั้งสิ้น ทั้งนี้ทรงมุ่งหมายจะให้คนไทยมีความเข้าใจ มากกว่าอื่น สมาชิกของสมาคมครึมีประมาณ ๓๐๐ คน ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ หม ่อมหลวงปิ ่นให้เหตุผลว ่า “เพราะสมัยนั้น คนไทยยังด�ำเนินการแบบ ประชาธิปไตยไม่เป็น จะต้องดูชาวต่างประเทศไปก่อน” สมาชิกที่เป็นคนไทย มีอยู่บ้างเช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระเจ้าบรมวงศ์ เธอ พระองค์เจ้าหญิงวาณีราชกัญญา พระยาประสิทธิ์ศัลการ หลวงสุนทรโกษา สมาชิกทุกคนจะต้องเป็นผู้แทนเมืองใดเมืองหนึ่งจะเป็นเมืองในต่างประเทศก็ได้ และใช้นามแฝงแทนชื่อตัวเองก็ได้เช่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว _20-0355(151-316)p3.indd 192 6/7/2563 BE 09:22
193 ทรงสมมุติพระนามของพระองค์ว ่า เอ.แอล.เอม.เอ็ส. อ๊อกสฟอร์ด ผู้แทน อ๊อกสฟอร์ดตะวันออก นอกจากนั้นสมาชิกแต่ละคนต้องสังกัดพรรคการเมือง พรรคใดพรรคหนึ่งใน ๒ พรรคคือ ๑. พรรคสุภาพบุรุษ ๒. พรรคแรงงาน พรรค สุภาพบุรุษได้แบบอย่างจากพรรคอนุรักษนิยม ส่วนพรรคแรงงานได้แบบอย่าง จากพรรคแรงงานของอังกฤษ สมาคมครึส ่งเสริมการกีฬาเป็นส ่วนใหญ ่ มีการเลือกตั้งนายกสมาคม ทุกเดือน เมื่อเลือกได้นายกสมาคมแล้ว นายกสมาคมก็แต่งตั้งบุคคลในพรรค เดียวกันให้ด�ำรงต�ำแหน่งต่างๆอีก ๙ ต�ำแหน่ง ได้แก่ เหรัญญิก ผู้ช่วยเหรัญญิก บรรณารักษ์ ผู้แทนชาวต่างประเทศ เลขานุการชมรมคริกเก็ต เลขานุการชมรม ฟุตบอล เลขานุการชมรมละคร ผู้แทนสมาชิกสตรีและ เลขาธิการสภา ฤกษ์เปิดสมาคมครึคือ ๑๐.๓๒ น.วันอาทิตย์ที่๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๙ จัดงาน ๓ วัน เสร็จงานแล้วแจกเหรียญที่ระลึก อย่างไรก็ตามสมาคมนี้มีการ ประชุมกันไปก่อนแล้วตั้งแต่ยังไม่มีพิธีเปิดสมาคม (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธีสิบสองเดือน. พระนคร: ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๐๓. ปทานุกรมส�ำหรับนักเรียน. พระนคร : กรมต�ำรา กระทรวงธรรมการ, ๒๔๗๒. เสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ,ส�ำนักงาน.พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้า. กรุงเทพฯ, ๒๕๓๓. ความเชื่อเกี่ยวกับพระพรหม พระพรหม เป็นเทพเจ้าส�ำคัญองค์หนึ่งในกลุ่มเทพเจ้าทั้งสามของศาสนา พราหมณ์คือพระศิวะพระนารายณ์(หรือพระวิษณุ)และพระพรหมเมื่อรวมอยู่ใน รูปตรีมูรติพระพรหมจะอยู่เบื้องขวา พระศิวะอยู่ท่ามกลาง และพระนารายณ์ _20-0355(151-316)p3.indd 193 6/7/2563 BE 09:22
194 อยู่เบื้องซ้าย โดยก�ำหนดให้พระพรหมเป็นเทพผู้สร้างโลก ตลอดจนสรรพสิ่ง ทั้งหลาย(หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสิ่งมีชีวิตทั้งมวล) พระศิวะเป็นเทพ ผู้ท�ำลายสรรพสิ่งทั้งปวง พระนารายณ์เป็นเทพผู้ปกปักรักษา เรื่องราวของพระพรหมปรากฏอยู ่ในคัมภีร์หลายฉบับ แต ่ละฉบับมี รายละเอียดแตกต่างกันไป เช่น ในคัมภีร์ปัทมปุราณะกล่าวว่า เดิมพระพรหมมี ๕ เศียร ๕ พักตร์ซึ่งแต่ละเศียรหมายถึงคัมภีร์พระเวทแต่ละคัมภีร์กล่าวคือเศียร ที่ผินพระพักตร์ไปสู่ทิศเหนือหมายแทนคัมภีร์อาถรรพเวท เศียรที่ผินพระพักตร์ ไปสู่ทิศใต้แทนคัมภีร์ยชุรเวท เศียรที่ผินพระพักตร์ไปทิศตะวันออกแทนคัมภีร์ ฤคเวท และเศียรที่ผินพระพักตร์ไปทิศตะวันตกแทนคัมภีร์สามเวท ส่วนเศียรที่ห้า นั้นเป็นที่จดจ�ำรวมคัมภีร์พระเวททั้งสี่ไว้ทั้งหมดด้วยเหตุนี้เศียรที่ห้าจึงมีลักษณะ พิเศษ เป็นรัศมีส่งประกายโชติช่วงจนท�ำให้บรรดาเทวดาและอสูรไม่อาจทนต่อ ความร้อนของรัศมีนั้น จึงไปขอร้องพระศิวะให้ช่วย พระศิวะจึงให้ตัดเศียรที่ห้า ของพระพรหมออกไป ส ่วนอีกคัมภีร์หนึ่งกล ่าวว ่า เดิมพระพรหมมีเศียรเดียว พักตร์เดียว พระพรหมได้แบ่งภาคให้ก�ำเนิดนางศตรูปาขึ้น เป็นหญิงที่มีความงดงามอย่างยิ่ง แม้พระพรหมเองก็เกิดความหลงใหลในความงามของนาง เผลอตัวมองนาง ไม่ให้คลาดสายตา เมื่อนางเคลื่อนไหวไปทิศทางใด พระพรหมประสงค์จะได้ เห็นนางตลอดเวลา จะผินพระพักตร์ไปมอง ก็เกิดความละอายเกรงจะถูกติฉิน จึงได้เนรมิตพระพักตร์ขึ้นตามทิศที่นางเคลื่อนที่ไป เพื่อจะได้เห็นนางตลอดทิศ ทั้งสี่และได้เพิ่มพระพักตร์ส�ำหรับทิศเบื้องบนอีกหนึ่ง รวมเป็น ๕ พักตร์ต่อมา พระพรหมมีเรื่องขัดใจกับพระศิวะ ได้โต้เถียงกันจนพระศิวะกริ้ว ลืมพระเนตร ที่สามซึ่งอยู่ตรงกลางพระนลาฏเกิดเป็นไฟเผาเศียรพระพรหมที่อยู่เบื้องบนไหม้ เป็นจุณไป พระพรหมจึงเหลือเพียง ๔ พักตร์ดังที่ปรากฏรูปอยู่ในปัจจุบัน บางคัมภีร์กล่าวว่า ก่อนจะเกิดมีโลกขึ้นนั้น ปรากฏมีฟองไข่ทองค�ำขึ้น พระพรหมได้ถือก�ำเนิดในฟองไข่นั้น โดยบันดาลให้ไข่แตกออกเป็น ๒ ซีกซีกบน _20-0355(151-316)p3.indd 194 6/7/2563 BE 09:22
195 เป็นท้องฟ้า ซีกล่างเป็นโลกมนุษย์แล้วพระพรหมก็สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงขึ้น ในโลกสวรรค์และโลกมนุษย์ เช่น ให้บังเกิดมีน�้ำ ไฟ ลม และสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ด้วยเหตุนี้พระพรหมจึงได้รับสมญาว่าเป็นเทพผู้สร้างโลก คัมภีร์หนึ่งกล่าวว่า ครั้งหนึ่งขณะที่พระนารายณ์บรรทมหลับอยู่เหนือ พระแท่นอนันตนาคราชที่เกษียรสมุทร ปรากฏมีดอกบัวผุดขึ้นจากพระนาภีของ พระนารายณ์และพระพรหมก็ปรากฏขึ้นกลางดอกบัวนั้น นอกจากนี้ยังมีพระพรหมตามคติพระพุทธศาสนาเช่น ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ ไตรภูมิพระพรหมอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่าเทวดา มีทั้งรูปพรหมและอรูปพรหม จะเห็นได้ว ่าพระพรหมตามคติศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา ล้วนเป็นเทพผู้มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ด้วยพระทัยอันเปี่ยมด้วยความกรุณา ดังกล่าวมานี้ ท�ำให้มวลมนุษยชาติพากันสักการบูชา อธิษฐานขอพรต่าง ๆ และมักจะได้รับความส�ำเร็จสมความปรารถนาทุกคราว ในการสร้างรูปพระพรหมส่วนใหญ่ก�ำหนดให้มี๔ พักตร์๔ กรสีพระองค์ ขาวหรือแดง เครื่องประดับทองค�ำ มีหงส์เป็นพาหนะ อาวุธที่ทรงในแต่ละกร แตกต่างกันไป ได้แก่ คัมภีร์ซึ่งอาจหมายถึงพระเวทอันศักดิ์สิทธิ์ หรืออาจ หมายถึงคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องราวทั้งมวลของโลกมนุษย์ คทา หมายถึง อ�ำนาจ อาญาสิทธิ์ธนูอาวุธแหลมคม ซึ่งอาจหมายถึงยังให้บังเกิดความคิดเฉียบแหลม หรือได้ชัยชนะ ลูกประค�ำ หมายถึงธรรมะความบริสุทธิ์สะอาด คนโท บรรจุน�้ำ จากแม่น�้ำคงคา เชื่อกันว่าเป็นน�้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นมงคลยังให้บังเกิดความร่มเย็น ความสุข ช้อน ใช้ตักเนยใสใส่กองกูณฑ์หรือไฟบูชา ยังให้เกิดความสว่างสดใส อาวุธเหล่านี้อาจทรงไว้เพียง ๒ กร หรือ ๔ กร ก็มี พระพรหมที่ปรากฏเป็นรูปเคารพในประเทศไทย น่าจะมีมาพร้อม ๆกับ อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ ที่เข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ พุทธศตวรรษที่ ๑๐ ซึ่งนิยมบูชาร่วมกับพระศิวะ พระนารายณ์ ไม่ได้แยกบูชา เป็นเอกเทศ การสร้างรูปพระพรหมแยกบูชาเฉพาะองค์ ในสมัยโบราณพบ _20-0355(151-316)p3.indd 195 6/7/2563 BE 09:22
196 หลักฐานน้อยมาก ถึงสมัยปัจจุบันมีหลักฐานการสร้างขึ้นเป็นเอกเทศครั้งแรก ใช้ในความหมายว่า ท้าวมหาพรหมผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์ โดยสร้างขึ้นตาม ความเชื่อ เมื่อคราวจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แต่งตั้ง ให้พลต�ำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์เป็นประธานก่อสร้างโรงแรมเอราวัณ บริเวณ สี่แยกราชประสงค์กรุงเทพฯ เมื่อแรกการก่อสร้างมีอุปสรรคนานาประการ จนเมื่อพลเรือตรีหลวงสุวิชาน ซึ่งเป็นแพทย์ของกองทัพเรือ เป็นผู้มีความ สามารถพิเศษด้านการดูทางใน ได้แนะน�ำให้ประกอบพิธีบวงสรวงท้าวมหาพรหม หลังจากบวงสรวงแล้วการก่อสร้างโรงแรมก็ส�ำเร็จเรียบร้อยโดยเร็ว พลต�ำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์เกิดความเลื่อมใส จึงมอบให้นายจิตร พิมพ์โกวิท นายช่างกอง หัตถศิลป์กรมศิลปากรออกแบบปั้นรูปท้าวมหาพรหมด้วยปูนปลาสเตอร์ปิดทอง โดยนายเจือระวีชมเสวีและหม่อมหลวงปุ้ม มาลากุล เป็นผู้ออกแบบศาล แล้ว ประดิษฐานไว้ณ บริเวณโรงแรมเอราวัณ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๐ นับเป็นท้าวมหาพรหมองค์แรกที่สร้างขึ้นในยุคปัจจุบันส�ำหรับให้ประชาชน ทั่วไปได้เคารพสักการะ และทางโรงแรมเอราวัณก็ถือเอาวันที่ ๔ พฤศจิกายน ของทุกปีเป็นวันท�ำพิธีสักการะสังเวยบูชาท้าวมหาพรหม ท้าวมหาพรหมที่โรงแรมเอราวัณนี้ผู้ที่มาสักการะและขอพรก็มักจะได้ผล สัมฤทธิ์ตามความปรารถนาจึงเป็นที่เลื่องลือในหมู่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ และนิยมสร้างรูปท้าวมหาพรหมบูชากันอย่างแพร่หลายดังที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) ความเชื่อเรื่องไม้มงคล ความเชื่อเรื่องไม้มงคลมีคติด�ำเนินไปหลายประการ มีทั้งความเชื่อตาม ลัทธิศาสนาตามความนิยมสืบ ๆกันมาและตามชื่อของไม้นั้น ๆในทางศาสนา มีไม้ส�ำคัญที่เกี่ยวข้องกับศาสดา ซึ่งศาสนิกชนยึดถือว่าไม้นั้นเป็นไม้มงคล บ้าง ก็ว่าเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ในทางพระพุทธศาสนามีไม้ที่พระพุทธเจ้าในภัทรกัป _20-0355(151-316)p3.indd 196 6/7/2563 BE 09:22
197 ซึ่งเป็นกัปปัจจุบันนี้ประทับใต้ร่มเงาในคราวตรัสรู้ที่ประทับมาแล้วมี๔ ชนิด และที่จะมีมาในอนาคตอีก ๑ ชนิด ตามล�ำดับดังนี้ ๑. พระกกุสันธะ ประทับตรัสรู้ใต้ต้นไม้ซึก (ไม้ราชพฤกษ์) ๒. พระโกนาคมนะ ประทับตรัสรู้ใต้ต้นไม้มะเดื่อ ๓. พระกัสสปะ ประทับตรัสรู้ใต้ต้นไม้นิโครธ (ไม้ไทร) ๔. พระโคตมะ ประทับตรัสรู้ใต้ต้นไม้โพธิ ๕. พระศรีอาริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าในอนาคตจะประทับตรัสรู้ใต้ต้นไม้ กากะทิง ตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนายังมีไม้อีกหลายชนิดที่จัดไว้เป็นไม้มงคล เช่น ดอกบัวเป็นไม้ที่พระพุทธเจ้าเมื่อแรกประสูติทรงก้าวพระบาทไปเหนือ ดอกบัว และเมื่อตรัสรู้แล้วคราวหนึ่งทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์สยบชฎิลที่ใต้ ต้นไม้มะม่วง นอกจากนั้นยังมีไม้ที่ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ เรียกว่า ไม้สมิท หรือ สมิทธิหรือสมิต ซึ่งมีความหมายให้ยังเกิดความส�ำเร็จตามความปรารถนา มีหลายชนิด เช่น ไม้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ปัดพระองค์ในพระ ราชพิธีบรมราชาภิเษก มีไม้มะม่วง ๒๕ ใบ โดยนัยหมายให้เป็นไม้สยบภัยพิบัติ ใบทอง๓๒ใบ หมายถึงใช้แก้อุปัทวันตราย(อุบัติเหตุ)ทั้งปวงใบตะขบ๙๖ใบใช้แก้ ฉันวุฒิโรคันตราย (โรคภัยไข้เจ็บ) การใช้ใบมะม่วงน่าจะได้เค้ามาจากไม้มะม่วง ที่พระพุทธเจ้าเคยใช้เป็นที่แสดงยมกปาฏิหาริย์สยบชฎิลดาบสจึงถือว่าเป็นไม้ แก้มหาภัย ใบทองมาแต่ชื่อแร่ทองเป็นธาตุธรรมชาติแก้อุปัทวะได้ใบตะขบมา แต่ชื่อขบกัดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ และยังมีไม้ที่ใช้ใส่ในไฟเพื่อโหมกูณฑ์ในพิธี บูชาไฟ โดยเกรียกไม้โพธิให้เป็นดุ้นเล็ก ๆ ไม้โพธินั้นก็เรียกว่า ไม้สมิท ยังมีใบไม้อีกชนิดหนึ่งใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับคติศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ ใบมะตูม เนื่องจากลักษณะของใบมะตูมแยกออกเป็น ๓ แฉกรูปเหมือน ตรีศูล อาวุธของพระอิศวร ดังนั้นจึงนิยมใช้ใบมะตูมเป็นสัญลักษณ์แทนองค์ พระอิศวร _20-0355(151-316)p3.indd 197 6/7/2563 BE 09:22
198 ไม้มงคลตามชื่อของไม้ นอกจากใบตะขบ และใบทองที่กล่าวมาแล้ว ยังมีไม้ที่นิยมใช้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ปลูกสร้างอาคาร หรือวางในหลุม เสาเอกปลูกสร้างบ้านเรือน เป็นไม้ที่ชื่อเป็นมงคล ๙ ชนิด ได้แก่ ไม้ขนุน ไม้สักทอง ไม้ราชพฤกษ์ไม้ชัยพฤกษ์ไม้ทองหลาง ไม้กันเกรา ไม้พยุง ไม้ไผ่สีสุก ไม้ทรงบาดาล ตามคติความเชื่อของจีนมีไม้ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนความหมายฮกลกซิ่ว เทพเจ้าสูงสุดเปรียบได้กับพระนารายณ์ พระอิศวร และพระพรหม ตามคติ ศาสนาพราหมณ์ไม้ที่ใช้แทน ฮกได้แก่ดอกพุดตาน หรือโบตั๋น ผลส้มมือและ ต้นไผ่ ซึ่งหมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ความรุ่งเรือง ความสว่างสดใส วาสนา อันยิ่งใหญ่ไม้ที่ใช้แทน ลกได้แก่ดอกเบญจมาศผลทับทิม และต้นข้าวซึ่งหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ความสุข สนุกสนาน ร่าเริงแจ่มใส ไม้ที่ใช้แทน ซิ่ว ได้แก่ ต้นสน ผลโถ ซึ่งหมายถึง ความมีอายุยืนยาวแข็งแรง มั่นคงสถาพร (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) เครื่องเทศ : ทองค�ำในโลกตะวันออกของโปรตุเกส เครื่องเทศมีถิ่นก�ำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย มีความส�ำคัญทาง เศรษฐกิจมาช้านาน โดยเป็นสินค้าที่แลกเปลี่ยนกันระหว ่างตะวันออกกับ ตะวันตก ที่ก่อให้เกิดการแสวงหาและการครอบครองแหล่งผลิตเครื่องเทศตั้งแต่ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ (พุทธศตวรรษที่ ๒๒) หรือยุคของการค้นพบ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายของ เครื่องเทศ ว่า “น. ของหอมฉุนและเผ็ดร้อนที่ได้มาจากพืช โดยมากมาจาก ต่างประเทศส�ำหรับใช้ท�ำยาไทยและปรุงอาหารเช่น ลูกผักชียี่หร่า” ภาษาอังกฤษ ใช้ค�ำว่า“Spices” หมายถึงส่วนของพืชไม่ว่าจะเป็นชิ้นหรือบดเป็นผงซึ่งจะเป็น ตัวที่ท�ำให้เกิดกลิ่นรสเผ็ดร้อนขึ้นในอาหารหรือเครื่องดื่ม ท�ำให้เกิดความรู้สึก น่ารับประทานและรสชาติดีขึ้น _20-0355(151-316)p3.indd 198 6/7/2563 BE 09:22
199 เครื่องเทศมีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว และมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรค อาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องส�ำอาง จึงเป็นส่วนประกอบส�ำคัญของทั้งอาหาร และเครื่องบ�ำรุงร่างกายอื่น ๆ นอกจากนี้น�้ำมันหอมระเหยในเครื่องเทศเป็น ส่วนผสมส�ำคัญของยาและเป็นเครื่องท�ำให้ผ่อนคลายทางอารมณ์ได้เช่น น�้ำมัน หอมระเหย ตะไคร้กานพลูจันทน์เทศ มะกรูด พริกไทยขาว โหระพา ด้วยเหตุที่เครื่องเทศเป็นผลผลิตจากธรรมชาติที่มีคุณค ่าและราคาสูง เพราะทั้งสรรพคุณและความเชื่อที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ผนวกกับความล�ำบาก ในการแสวงหาให้ได้มาหรือการครอบครองเป็นเจ้าของก็ยิ่งส่งผลให้ราคาของ เครื่องเทศเป็นเสมือนดั่งทองค�ำ สิ่งส�ำคัญอีกประการหนึ่งคือเครื่องเทศได้ กลายเป็นเครื่องต่อรองทางอ�ำนาจการแสวงหาดินแดนใหม่ในโลกตะวันออกของ มหาอ�ำนาจ เช่น โปรตุเกสและสเปน ในด้านการค้าพาณิชย์ เส้นทางการค้าเดิมที่มีการล�ำเลียงเครื่องเทศจาก ตะวันออกไปตะวันตกนั้นอยู่ในมือของพ่อค้าอาหรับเกือบทั้งหมด เพราะพ่อค้า กลุ่มนี้รู้จักโลกตะวันออกดีอยู่แล้ว ผนวกกับมีความช�ำนาญในเส้นทางเดินเรือ และการติดต่อกับเมืองต่างๆในภาคพื้นทวีปท�ำให้เกิดการผูกขาดสินค้าเครื่องเทศ บางประเภทขึ้น ในแง่อ�ำนาจการปกครองอาจเห็นได้ว่าประเทศในภูมิภาคยุโรป ยังไม่มีความช�ำนาญใดๆเพียงพอ หรือยังไม่รู้จักโลกตะวันออกดีพอที่จะเข้ามา ครอบครองหรือสถาปนาอ�ำนาจของตนไว้ได้โดยง่ายนัก ดังนั้นการครอบครอง การค้าขายเครื่องเทศ จึงเท่ากับการได้ครอบครองพื้นที่ให้อยู่ในอ�ำนาจของ ประเทศโปรตุเกสและสเปนด้วย เครื่องเทศบางชนิดเช่น อบเชยกระวาน กานพลูขิงและขมิ้น เป็นที่รู้จัก และใช้เป็นสินค้าในตะวันออกมาตั้งแต่ยุคโบราณ เครื่องเทศเหล่านี้ได้รับการ น�ำเข้าไปยังตะวันออกกลางตั้งแต่ก่อนคริสตกาลแหล่งที่มาของเครื่องเทศก็เป็น เรื่องที่ปกปิดกันมากในบรรดาหมู่พ่อค้า การซื้อเครื่องเทศผ่านคาบสมุทรอาหรับ และสินค้าฟุ่มเฟือยตามเส้นทางการค้าเครื่องหอมรวมทั้งเครื่องเทศจากอินเดีย _20-0355(151-316)p3.indd 199 6/7/2563 BE 09:22
200 ผ้าไหม ผ้าเนื้อดีต่าง ๆ เครื่องประดับ เครื่องฟุ่มเฟือยอีกเป็นจ�ำนวนมากส่งผล ให้เมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์และเมืองท่าอื่น ๆ กลายเป็นศูนย์กลาง การค้าและการติดต่อระหว่างอินเดียและกรีก-โรมันในที่สุด เมื่อโปรตุเกสสามารถเดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปได้แล้วจึงสามารถเดินทาง เลียบชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียได้ง่ายขึ้น โดยอาศัยลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ข้ามอ่าวเบงกอลมายังหมู่เกาะนิโคบาร์ เข้าสู่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของไทย จากนั้นอาจใช้เส้นทางทางบกหรือทางทะเลเลียบชายฝั ่งทะเล เข้าช่องแคบ มะละกาไปยังหมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะที่ได้ชื่อว่าหมู่เกาะเครื่องเทศ เครื่องเทศที่ส�ำคัญที่โปรตุเกสแสวงหานั้น มีหลายประเภท เช่น ๑. กานพลูใช้ดอกตูมแห้ง มีสีน�้ำตาลเข้ม กลิ่นหอม และรสเผ็ดร้อน นิยม เคี้ยวกานพลูร่วมกับหมากเพื่อให้มีกลิ่นหอม สรรพคุณทางยาช่วยย่อยอาหาร ขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นยาชาเฉพาะที่ แก้ปวดฟัน อีกทั้งดอก กานพลูยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบ�ำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง วิธีใช้ ในการประกอบอาหาร แกะเอาเกสรออกก่อนจึงคั่ว เพื่อให้มีกลิ่นหอมและมีรส เผ็ด ถ้าใส่ในพริกแกงต้องป่นก่อน ๒. กระวาน ใช้ทั้งลูกและใบ “ลูกกระวาน” มีลักษณะกลมรีขนาดเล็ก เปลือกสีขาวไม่แข็ง ภายในมีเมล็ดสีน�้ำตาลจ�ำนวนมาก มีกลิ่นหอมฉุน มีรสเผ็ด เล็กน้อย และมีรสขมปนหวาน สรรพคุณทางยาใช้เป็นยาบ�ำรุงธาตุ ช่วยขับลม ในกระเพาะอาหาร ขับเสมหะ แก้อาการท้องเดินท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่น และใช้เป็นส่วนผสมในยาถ่ายเพื่อบรรเทาอาการเสียดท้องส่วนผสมเครื่องเทศใน น�้ำพริกแกง และยังใช้แต่งกลิ่นและสีของอาหารหลายชนิดเช่น ขนมปังอาหาร หมักดอง และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ต่าง ๆ “ใบกระวาน” มีกลิ่นหอมฉุน และรส เผ็ดร้อน สรรพคุณทางยา ขับลม บ�ำรุงเลือด บ�ำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ วิธีใช้ในการประกอบอาหาร เวลาใช้ฉีกเอาก้านกลางออกแล้วใส่เป็นชิ้นๆ เพียง เล็กน้อย ใช้ดับกลิ่นคาวเนื้อสัตว์ _20-0355(151-316)p3.indd 200 6/7/2563 BE 09:22
201 ๓. พริกไทยผลแก่ตากแห้งทั้งเปลือกเรียกว่า พริกไทยด�ำ ส่วนผลแก่เอา เปลือกออก เหลือแต่เม็ด เรียกว่า พริกไทยขาวหรือพริกไทยล่อน มีกลิ่นหอม ค่อนข้างฉุน รสเผ็ดร้อน สรรพคุณทางยา ขับเหงื่อ ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ท้องผูก ปวดฟัน ช่วยเจริญอาหาร ใช้แต่งกลิ่นอาหาร ช่วยดับกลิ่นคาว ใช้ถนอมอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ๔. พริกแห้ง มีกลิ่นฉุนและรสเผ็ดร้อน สรรพคุณทางยาขับเสมหะขับลม บ�ำรุงธาตุช่วยย่อยอาหาร ช่วยเจริญอาหาร ๕. จันทน์เทศ มีทั้งเมล็ดเรียกว่า“ลูกจันทน์”ใช้ส่วนในของเมล็ดเพราะ เมล็ดมีเปลือกแข็งต้องทุบเปลือกออกใช้เพียงส่วนเมล็ดภายในสีด�ำ กลิ่นหอมฉุน รสฝาดและรกหุ้มเมล็ดเรียกว่า“ดอกจันทน์” มีลักษณะเป็นเส้นใยแบน สีแสด กลิ่นหอมฉุนมากรสค่อนข้างเปรี้ยวอมฝาด มีสรรพคุณทางยา ขับลม บ�ำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร และใส่เป็นส่วนผสมในยาหอม ใช้แก้ลม ๖. จันทน์แปดกลีบ เป็นเครื่องเทศจากจีน ส่วนที่ใช้คือ ผลแก่ตากแห้ง ลักษณะผลเป็นรูปดาวแปดแฉกสีน�้ำตาลอมแดง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆรสเผ็ดหวาน สรรพคุณทางยา ขับลม ขับเสมหะ บ�ำรุงธาตุแก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย ๗. ลูกผักชีลักษณะลูกกลมเล็กสีขาวหม่นหรือน�้ำตาลซีด มีกลิ่นหอม ความหอมจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความแก่ของเมล็ด รสของลูกผักชีจะมีรส ซ่าอ่อน ๆ คล้ายชะเอม สรรพคุณทางยา ช่วยเจริญอาหาร แก้อาการปวดท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลม และขับปัสสาวะ ๘. ยี่หร่า หรือ เทียนขาว ลักษณะผลรูปรียาวแบน สีเหลืองอมน�้ำตาล มีกลิ่นหอมมาก รสเผ็ดร้อนและขม ยี่หร่าเมล็ดเล็ก ๆ จะหอมกว่าเมล็ดใหญ่ สรรพคุณทางยาช่วยย่อยขับระดูขาวขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อและเป็นส่วนผสม ในยาหอม ๙. อบเชย เปลือกของต้นอบเชยมีสีน�้ำตาลปนแดง กลิ่นหอมนุ่มนวล รสขมหวานฝาด สรรพคุณทางยา ขับเหงื่อ แก้อ่อนเพลีย แก้จุกแน่น ขับลม ใช้เป็นส่วนผสมของยานัตถุ์น�้ำมันอบเชยเทศมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและเชื้อจุลินทรีย์ _20-0355(151-316)p3.indd 201 6/7/2563 BE 09:22
202 เครื่องเทศเหล่านี้ชาวยุโรปใช้ประโยชน์ในการถนอมอาหาร การปรุงรส เป็นส่วนผสมของยารักษาโรคการที่โปรตุเกสต้องเตรียมกองเรือเพื่อเดินทางมายัง ตะวันออก ก็เพราะราคาจ�ำหน่ายเครื่องเทศที่สูงและได้ก�ำไรมาก หากเทียบกับ ต้นทุนการแสวงหาและซื้อขายจากประชาชนในดินแดนต่างๆ โปรตุเกสคาดว่า กองเรือที่มีแสนยานุภาพของตนผนวกกับสภาวะของผู้มีผิวขาว ย่อมท�ำให้ชาว พื้นเมืองเกิดความหวาดกลัวและยอมที่จะขายเครื่องเทศต่าง ๆ ให้แก่โปรตุเกส อย่างไม่ยากนักดังนั้นในการเจรจาความช่วงแรกของโปรตุเกสจึงมุ่งเน้นไปที่การ แสวงหาเครื่องเทศและของป่าจากเมืองต่างๆ มากกว่าความสนใจในเรื่องอื่น ๆ (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) หนังสืออ้างอิง กรมวิชาการ. ๔๗๐ ปี สัมพันธไมตรีระหว่างไทยและโปรตุเกส. กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ, ๒๕๓๑. ปรีดีพิศภูมิวิถี. กระดานทองสองแผ่นดิน. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๓. Michael KRONDL. The Taste of Conquest แปลโดยสุนิสา กาญจนกุล. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๓. เครื่องยาสมุนไพร เครื่องยาสมุนไพร หมายถึง ผลิตผลธรรมชาติที่น�ำมาใช้ประกอบเป็นยา หรือที่เรียกว่า เภสัชวัตถุมี๓ จ�ำพวกได้แก่ พืช สัตว์และแร่ธาตุซึ่งมีคุณสมบัติ น�ำไปปรุงให้เกิดฤทธิ์มีสรรพคุณทางยา ใช้บ�ำบัดรักษาโรคต่าง ๆ เภสัชวัตถุทั้ง ๓ จ�ำพวก เรียกตามศัพท์แพทย์แผนไทยว่า พืชสมุนไพร หรือ พฤกษวัตถุสัตว์ สมุนไพร หรือ สัตววัตถุและแร่ธาตุสมุนไพร หรือ ธาตุวัตถุซึ่งแพทย์ต้องรู้จัก คุณสมบัติและสรรพคุณทางยา ที่มีความแตกต่างกันของสมุนไพรทุกจ�ำพวก กล่าวคือ _20-0355(151-316)p3.indd 202 6/7/2563 BE 09:22
203 พืชสมุนไพร ส่วนต่าง ๆ ของพืชที่น�ำมาใช้เป็นเภสัชวัตถุ คือ ราก ต้น เปลือก ใบ ดอก เกสร ผล แก่น ต้น เหง้า ยาง เมล็ด กระพี้กาฝาก ซึ่งแพทย์ ต้องรู้จักว่าเป็นพืชชนิดใด มีรส กลิ่น สีรูป อย่างใด สัตว์สมุนไพร อวัยวะต่าง ๆ ของสัตว์ที่แพทย์ต้องรู้จักและน�ำมาใช้เป็น เภสัชวัตถุคือ เขา กระดูก กรามหรือฟัน มูล เนื้อ หนัง สมอง ดีเลือด เปลือก แร่ธาตุสมุนไพร แพทย์ต้องรู้จักลักษณะ รูป สีกลิ่น รส ชื่อ และรู้วิธีท�ำ ให้ฤทธิ์ของแร่ธาตุนั้นอ่อนลง เช่น รู้วิธีการสะตุสนิมเหล็กเพื่อให้พิษลดลงหรือ หมดไป เพื่อใช้เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทางยาได้ การน�ำสมุนไพรมาใช้ปรุงยามีส่วนตามที่ก�ำหนดจ�ำนวน เรียกตามศัพท์ แพทย์ว่า พิกัด ได้แก่ พิกัดสมุนไพร พิกัดส่วนเครื่องยา พิกัดธาตุและพิกัดยา พิกัดสมุนไพร หมายถึง การก�ำหนดจ�ำนวนเฉพาะส ่วนของเครื่องยา ประเภทพืชสมุนไพร แต่ละชนิดมี๕ อย่าง แพทย์ไทยโบราณนิยมเรียกเป็น สามัญว่า ทั้งห้า หมายถึง รากเปลือก(ต้นหรือเถา) ใบ ดอกผลเช่น สมอทั้งห้า หมายถึง รากสมอ เปลือกหรือต้นสมอ ใบสมอ ดอกสมอ และผลสมอ พิกัดส่วนเครื่องยา หมายถึง การก�ำหนดจ�ำนวนเครื่องยาเพื่อใช้ในการ ปรุงยาตามขนาด ปริมาณ และน�้ำหนักของตัวยา มี๓ ฐานคือ บาท สลึง เฟื้อง เครื่องยาดังกล่าวน�ำมาประสม ใช้ได้หลายวิธีเช่น สับเป็นท่อน ใช้ต้ม, ต�ำเป็น ผงใช้ละลายน�้ำหรือสุรา, หรือน�ำเครื่องยาที่สับหรือต�ำนั้นดองในน�้ำหรือสุรา การปรุงยาโดยทั่วไปถ้าจะท�ำยาต้ม ควรต้องให้เต็มส่วนคือหนัก ๑ บาท ๒ บาท เป็นต้น พิกัดธาตุ หมายถึง ส่วนของธาตุในร่างกายมี๔ ธาตุคือ เตโชธาตุหรือธาตุไฟ มีพิกัดหรือจ�ำนวนที่ก�ำหนดไว้๔ อย่าง ได้แก่ ไฟ ท�ำให้ร่างกายอบอุ่น เป็นปรกติไฟท�ำให้ร่างกายร้อนระส�่ำระสายไฟท�ำให้ร่างกาย แก่เหี่ยวแห้งทรุดโทรม ไฟส�ำหรับย่อยอาหารที่กลืนกินลงไป วาโยธาตุหรือธาตุลม มีพิกัดหรือจ�ำนวนที่ก�ำหนดไว้๖ อย่างได้แก่ลมพัด จากกระเพาะอาหารถึงล�ำคอ คือ เรอ, ลมพัดจากล�ำไส้น้อยถึงทวารหนัก คือ _20-0355(151-316)p3.indd 203 6/7/2563 BE 09:22
204 ผายลม, ลมพัดอยู่ในท้องนอกล�ำไส้และกระเพาะอาหาร, ลมพัดทั่วร่างกาย ลมนี้แพทย์โบราณหมายถึงโลหิต และลมหายใจเข้าออก อาโปธาตุหรือธาตุน�้ำ มีพิกัดหรือจ�ำนวนที่ก�ำหนดไว้๑๒ อย่าง ได้แก่ น�้ำดีเสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น�้ำตา มันเหลว น�้ำมูก น�้ำในข้อ น�้ำมูตร ปถวีธาตุหรือธาตุดิน มีพิกัดหรือจ�ำนวนที่ก�ำหนดไว้๒๐ อย่าง ได้แก่ เกศา (ผม) ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ (กล้ามและแผ่นในกาย) เส้นเอ็น กระดูก เยื่อในกระดูกหรือไข ม้าม หัวใจตับ พังผืดไต ปอดล�ำไส้ใหญ่ล�ำไส้เล็กอาหาร ใหม่ในกระเพาะอาหาร และไส้น้อย อาหารเก่า (กากอาหารที่เลื่อนลงมาอยู่ใน ล�ำไส้ตอนล่าง และเลยตกไปถึงทวารหนัก) มันในสมองซึ่งเป็นก้อนอยู่ในศีรษะ และกระดูกสันหลังติดกับเส้นประสาททั่วไป พิกัดยาความหมายหนึ่ง หมายถึงส่วนเครื่องยาแต่ละสิ่งที่ก�ำหนดจ�ำนวน ไว้มี๓ อย่าง คือ จุลพิกัดยา พิกัดยา และมหาพิกัดยา เครื่องยาแต่ละอย่าง ที่อยู่ในพิกัดเดียวกันต้องมีน�้ำหนักเสมอภาคหรือเท่ากัน มีรายละเอียดของพิกัด ต่าง ๆ ดังนี้ จุลพิกัดยา หรือ จุลพิกัด หมายถึง เครื่องยาอย่างน้อยหรืออย่างเดียวกัน แต่แตกต่างกันเฉพาะรูปร่าง หรือขนาดสีและถิ่นก�ำเนิดซึ่งจะแตกต่างกันเพียง ๒ อย่างเท่านั้นคือ กลุ่มเครื่องยาต่างขนาดหรือรูปร่าง เช่น โมกทั้งสอง หมายถึง โมกเล็ก และโมกใหญ่ มะแว้งทั้งสองหมายถึง มะแว้งต้น และมะแว้งเครือ ฯลฯ กลุ่มเครื่องยาต่างสีซึ่งมีทั้งสีขาวและแดง สีขาวและเหลือง เช่น กะเพรา ทั้งสอง หมายถึง กะเพราขาว และกะเพราแดง อังกาบทั้งสอง หมายถึง อังกาบ ขาว และอังกาบเหลือง ฯลฯ กลุ่มเครื่องยามีถิ่นก�ำเนิดต่างกันทั้ง ๆ ที่เป็นชนิดเดียวกัน คือมีทั้งใน ประเทศ ต่างประเทศ บนบก ในน�้ำ หรือตามบ้านและในป่า เช่น ชะเอมทั้งสอง หมายถึง ชะเอมไทย และชะเอมเทศ กุ่มทั้งสอง หมายถึงกุ่มบก และกุ่มน�้ำ ยอ ทั้งสอง หมายถึง ยอบ้านและยอป่า ฯลฯ _20-0355(151-316)p3.indd 204 6/7/2563 BE 09:22
205 พิกัดยาอีกความหมายหนึ่ง หมายถึงก�ำหนดเครื่องยาหลายอย่างรวมกัน เป็นหมวดหมู่ รวมเรียกเป็นชื่อเดียว มี๒ กลุ่มคือ ๑. กลุ ่มเครื่องยาจัดหมวดตามพิกัด หมายถึง เครื่องยาต ่างชนิดกัน มีจ�ำนวนตั้งแต่ ๒ สิ่งขึ้นไปรวมเรียกชื่อเป็นพิกัดเดียวกัน เช่น ทเวคันธา คือ รากบุนนาคกับ รากมะซางตรีผลาคือผลสมอไทยผลสมอพิเภกและผลมะขาม ป้อม เบญจกูลคือรากชะพลูเถาสะค้าน ดีปลีเหง้าขิงและรากเจตมูลเพลิงฯลฯ ๒. กลุ ่มเครื่องยาเรียกชื่อตามพิกัด หมายถึง เครื่องยาต ่างชนิดมีชื่อ เดียวกัน รวมเรียกชื่อตามพิกัดเครื่องยาเหล่านั้น เช่น เบญจโลหะ (โลหะทั้งห้า) คือรากทองกวาวรากทองหลางหนาม รากทองหลางใบมน รากทองพันชั่งและ รากทองโหลง, เกสรทั้งเก้า คือ ดอกบุนนาค ดอกบัวหลวง ดอกสารภีดอกพิกุล ดอกมะลิดอกจ�ำปา ดอกกระดังงา ดอกล�ำเจียก และดอกล�ำดวน ฯลฯ มหาพิกัด หมายถึงการก�ำหนดเครื่องยาหลายอย่างรวมกันเป็นหมวดหมู่ รวมเรียกเป็นชื่อเดียวกันเหมือนพิกัดยาแตกต่างกันเฉพาะน�้ำหนักของเครื่องยา ที่ใช้ในมหาพิกัดจะไม่เท่ากัน ที่ก�ำหนดเช่นนี้เพราะเป็นเครื่องยาที่ใช้แก้ในกอง ธาตุตามฤดูกาลตามอายุและตามสมุฏฐานของโรคซึ่งเป็นไปตามความเห็นของ แพทย์เช่น มหาพิกัดตรีผลา แก้กองธาตุลมช่วงฤดูฝน ใช้ผลสมอไทย ๑๒ ส่วน ผลมะขามป้อม ๘ ส่วน ผลสมอพิเภก ๔ ส่วน ถ้าแก้กองเสมหะช่วงฤดูหนาว ใช้ผลสมอไทย ๔ ส่วน ผลมะขามป้อม ๑๒ ส่วน ผลสมอพิเภก ๘ ส่วน ฯลฯ (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) เครื่องราง เครื่องรางเป็นวัตถุที่สร้างขึ้นแล้วผ่านพิธีการปลุกเสกจากเกจิอาจารย์เพื่อ ให้มีความเป็นสิริมงคลตามคติทางไสยศาสตร์ เชื่อกันว่าหากมีเครื่องรางติดตัว จะสามารถป้องกันอันตรายต่างๆ ได้เช่น ยิงไม่ออก (ปืนไม่ลั่น) ฟันไม่เข้า เครื่องรางที่นับถือกันในสังคมไทยมีหลายอย่าง เช่น ตะกรุด มีดหมอ ลูกประค�ำ ผ้าประเจียด ที่ผ่านการลงเลขยันต์หรือปลุกเสกแล้วเครื่องรางเหล่านี้ _20-0355(151-316)p3.indd 205 6/7/2563 BE 09:22
206 มักใช้พกติดตัวเวลาเดินทาง เพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ หรือในสมัยโบราณยาม บ้านเมืองมีสงคราม ชายชาติทหารที่ต้องไปรบก็มักจะมีเครื่องรางเหล่านี้ติดตัวไป ด้วยเพื่อป้องกันตัวดังเช่นเรื่องราวเกี่ยวกับพระอาจารย์ธรรมโชติบ้านบางระจัน ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า “พระอาจารย์ธรรมโชติวัดเขา นางบวชมีความรู้วิชาดีมาอยู่ ณ วัดโพธิ์เก้าต้น บ้านระจัน...พระอาจารย์นั้นลง ตะกรุด ประเจียดและมงคลแจกให้ทุกคน”และ“แลพระอาจารย์ธรรมโชติผู้ซึ่ง กระท�ำสายสิญจน์มงคลประเจียดตะกรุดต่างๆแจกให้คนทั้งปวงแต่แรกมีคุณ อยู่คงแคล้วคลาดคุ้มอันตรายอาวุธได้ขลังอยู่ภายหลังผู้คนส�ำส่อนมาอยู่ในค่าย มาก ที่นับถือแท้บ้าง ไม่แท้บ้าง ก็เสื่อมตบะเดชะลง แลตัวพระอาจารย์นั้น ลางคนว่าตายอยู่ในค่ายบ้าง ลางคนว่าสูญหายไปก็มีความหาลงเป็นแน่ไม่” แสดงให้เห็นว่า คนไทยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเครื่องรางมาตั้งแต่สมัย โบราณแล้วอย่างน้อยก็ตั้งแต่สมัยอยุธยาต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ต�ำรับต�ำรา เกี่ยวกับการสร้างเครื่องรางได้ตกทอดลงมายังเกจิพระอาจารย์ส�ำนักต่าง ๆ และมีการสร้างเครื่องรางสืบมาจนถึงปัจจุบัน (รศ. ดร.ศานติ ภักดีค�ำ) จากทุ่งหันตราถึงขนมหันตรา พื้นที่นาข้าวบริเวณทิศตะวันออกนอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา เป็นอู่ข้าวอู่น�้ำที่ส�ำคัญแต่อดีต ซึ่งนอกจากความส�ำคัญเชิงเกษตรกรรมแล้ว ยังมีความส�ำคัญเชิงประวัติศาสตร์อีกด้วย ทุ่งนาบริเวณนี้เรียกว่าทุ่งหันตรา ทุ่งพระอุทัย หรือทุ่งหลวง ซึ่งมีประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ เมืองพระนครศรีอยุธยาอยู่มิใช่น้อย ทุ่งหันตรามีศูนย์กลางอยู่ที่วัดหันตรา หรือในเอกสารเรียกวัดหารตราวัดนี้ สถาปนาขึ้นในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศดังที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาว่า“ลุศักราช ๑๑๐๐ ปีมะเมียสัมฤทธิศกถึง ณ เดือน ๖ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชด�ำเนินโดยกระบวนนาวาพยุหไปฉลอง _20-0355(151-316)p3.indd 206 6/7/2563 BE 09:22
207 วัดหารตรา ให้มีงานมหรสพสมโภชพระอารามสามวัน ทรงถวายไทยทานแก่ พระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ในวันเป็นที่สุดนั้นให้เอาช้างออกบ�ำรูกัน บังเกิดพายุ ใหญ่ฝนตกหนัก เสร็จการแล้วเสด็จกลับเข้าพระนคร” ในพระราชพงศาวดาร กรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม ระบุว่า “ณ เดือน ๖ ปีมะเมียสัมฤทธิศก ฉลอง วัดหันตรา” เป็นอันยุติได้ว่าวัดหันตรานั้นสถาปนาขึ้นในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัว บรมโกศ เมื่อจุลศักราช ๑๑๐๐ ซึ่งตรงกับพุทธศักราช ๒๒๘๑ พื้นที่บริเวณหันตรามีแนวคลองส�ำคัญที่เป็นเส้นแบ่งพื้นที่ออกหลายส่วน คือคลองกระมังหรือคลองไผ่ลิงทางด้านทิศใต้เชื่อมต่อจากแม่น�้ำป่าสักไหลไป ทางทิศตะวันออกจนไปเชื่อมกับคลองวัดโตนด ที่ต้นคลองกระมังมีคลองซอย แยกขึ้นไปทางเหนือคือคลองวัดกุฎีดาวและคลองวัดมเหยงคณ์ซึ่งนับเป็นคลอง คู่ทางประวัติศาสตร์ที่ส�ำคัญแห่งหนึ่งส่วนคลองบ้านหันตราหรือคลองหันตรานั้น สันนิษฐานว่าเป็นแม่น�้ำป่าสักสายเดิมที่ไหลลงมาจากทางเหนือมาบรรจบกับ คลองกระมัง นอกจากนี้คลองหันตรายังมีคลองซอยออกไปทางตะวันออกอีก คือคลองสาคู เมื่อมีชุมชนที่ค่อนข้างคับคั่งเช่นนี้จึงสันนิษฐานว่าบริเวณทิศตะวันออก ของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยามีร่องรอยชุมชนเดิมก่อนตั้งพระนครศรีอยุธยา อาจมีวัดมเหยงคณ์วัดอโยธยา(วัดเดิม)วัดกุฎีดาวเป็นวัดหลักส�ำคัญของบริเวณ นี้และด้วยสภาพพื้นที่ราบลุ่มมีแม่น�้ำหลายสายจึงมีตะกอนน�้ำมาก ท�ำให้บริเวณ หันตราเป็นแหล่งปลูกข้าวที่ส�ำคัญและเป็นที่ประกอบพระราชพิธีแรกนามาแต่ ครั้งสมัยอยุธยา และในสมัยรัตนโกสินทร์ก็มีหลักฐานการจัดพระราชพิธีแรกนา ที่ทุ่งหันตราแห่งนี้ในรัชกาลที่ ๕ อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถแปลค�ำว่าหันตรา หรือหารตรา ที่ปรากฏในเอกสารได้สันนิษฐานว่าอาจมาจากค�ำว่ายาตรา เพราะในบริเวณนี้ เป็นที่ชุมนุมกองทัพพระเจ้าแผ่นดินอยุธยาอยู่ในคราวศึกหลายครั้ง เช่น เป็น สมรภูมิสงครามในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิหรือสงครามในแผ่นดิน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช _20-0355(151-316)p3.indd 207 6/7/2563 BE 09:22
208 มีขนมชนิดหนึ่งที่ใช้ในงานมงคลเช่น พิธีหมั้น พิธีแต่งงานของบางพื้นที่ใน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เรียกว่า ขนมหันตราซึ่งมีชื่อพ้องกับทุ่งหันตรา ท�ำให้ คนเข้าใจว่าเป็นขนมที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและท�ำที่บริเวณทุ่งหันตรา ส�ำหรับ วิธีการท�ำขนมหันตราหรือขนมฝอย ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์อธิบายไว้ใน หนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ว่าท�ำจากถั่วเขียวกวน ปั้นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมลูกเต๋าพอค�ำ รับประทาน กดด้านบนให้บุ๋มแล้วชุบไข่ทอดพอสุก แล้วห่ออีกชั้นด้วยโสร่งไข่ (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) หนังสืออ้างอิง กรมศิลปากร. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระราชหัตถเลขา. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์, ๒๕๔๘. ๒ เล่ม. เปลี่ยน ภาสกรวงศ์. แม่ครัวหัวป่าก์. กรุงเทพฯ : ส�ำนักพิมพ์ต้นฉบับ, ๒๕๕๐. ช้างบ�ำรูงา ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หน้า ๖๗๒ มีค�ำว่า บ�ำรูให้ความหมายว่า“บ�ำรูก.ตกแต่ง; บ�ำรุง; ประเช่น ช้างบ�ำรูงาว่าช้างประงา.” ตัวอย่างของ “ช้างบ�ำรูงา” พบในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพัน จันทนุมาศ (เจิม) หน้า ๒๐ ดังนี้ ครั้นศักราช ๘๙๐, ปีชวดสัมฤทธิศก (พ.ศ. ๒๐๗๑) ณ วันเสาร์ เดือน ๕ ขึ้น ๓ ค�่ำ สมเด็จพระยอดฟ้าเสด็จออกสนามพร้อมด้วยหมู่ มุขอ�ำมาตย์มนตรีเฝ้าพระบาทยุคลเป็นอันมากด�ำรัสสั่งให้เอาช้างบ�ำรูงากัน บังเกิดทุจริตนิมิตร งาช้างพระยาไฟนั้นหักเป็น ๓ ท่อน... อย่างไรก็ตาม พระราชพงศาวดารฉบับพิมพ์ ร.ศ. ๑๒๐ เล่ม ๑ หน้า ๕๘ กล่าวถึงเหตุการณ์เดียวกัน แต่ใช้ว่า บ�ำรุงงา ไม่ใช่ บ�ำรูงา ดังนี้ ๓ ครั้นศักราช ๘๙๐ ปีชวดสัมฤทธิศก ๕ , ณ วัน ๗ ฯ ๕ ค�่ำ,สมเด็จพระ ยอดฟ้าเสด็จออกท้องสนาม, พร้อมด้วยหมู่มุขมาตย์-มนตรี, เฝ้าพระบาท _20-0355(151-316)p3.indd 208 6/7/2563 BE 09:22
209 ยุคลเป็นอันมาก,ด�ำรัสสั่งให้เอาช้างต้น พระฉัททันต์บ�ำรุงงากัน, -บังเกิด ทุจริตนิมิตงาช้างพระยาไฟนั้นหักเปน ๓ ท่อน นี่ชวนให้คิดว่าค�ำว่า บ�ำรูกับ บ�ำรุง อาจเกี่ยวข้องกัน ค�ำว่า บ�ำรู นั้น ไม่ทราบว่าไทยยืมมาจากภาษาใด และใช้เฉพาะกับค�ำว่า งา สันนิษฐานกันว่า บ�ำรูงา หมายถึง ประงา ส่วนค�ำว่า บ�ำรุง ไทยยืมจากค�ำว่า บํรุง ในภาษาเขมร ซึ่งแปลว่าจัดเตรียม ไทยใช้ค�ำว่า บ�ำรุง หมายถึง ท�ำให้งอกงาม, ท�ำให้เจริญ เช่น บ�ำรุงต้นไม้บ�ำรุงบ้านเมืองและหมายถึงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีเช่น บ�ำรุง ร่างกาย บ�ำรุงสุขภาพ บ�ำรุงงา อาจหมายถึงจัดเตรียมงา หรือหมายถึงรักษางา ให้อยู่ในสภาพที่ดีการน�ำช้างมาประงาถือได้ว่าเป็นการจัดเตรียมช้างให้พร้อม ส�ำหรับการออกศึกการน�ำช้างมาประงาจึงเรียกได้ว่า บ�ำรุงงาและถ้าเปลี่ยนเสียง เล็กน้อยก็กลายเป็น บ�ำรูงา เรื่องช้างบ�ำรูงานี้ บาทหลวง เดอ ชัวสีซึ่งเข้ามาเมืองไทยสมัยสมเด็จ พระนารายณ์มหาราชพร้อมกับคณะทูตฝรั่งเศสได้บันทึกไว้ในจดหมายเหตุ รายวันเรื่องระยะทางไปสู่เมืองไทยและนายธวัชรัตนาภิชาติได้เก็บความมาเล่าไว้ ในหนังสือ เมืองไทยในทัศนะของฝรั่ง หน้า ๗๘-๗๙ ดังนี้ ครั้งหนึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตร ช้างบ�ำรูงาและได้โปรดให้คณะทูตเข้าชมในพระราชวังด้วย บาทหลวง เดอชัวสี ได้เล่าไว้ว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จประทับทอดพระเนตร ณ ชาน ระเบียง ส่วนที่สนามนั้นมีกองทหารราชองครักษ์แต่งเครื่องครบอยู่นิ่งเงียบกับ พื้นดิน คณะทูตที่เข้าไปในพระราชวังต่างก็สงบนิ่งคอยดูอยู่ไม่มีใครพูดจาส่งเสียง ดังขึ้น ต่อมาก็ปล่อยช้างพลายออกมาต่อสู้กัน ๒ เชือกช้างทั้งสองนี้มีคนนั่งอยู่บน หลังช้างเชือกละคน แล้วก็มีพวกกรมช้างเอาโซ่เส้นใหญ่ล่ามเท้าหลังของช้างทั้ง ๒ เชือกไว้เพื่อจะได้ช่วยกันลากให้ช้างผละออกห่างจากกัน เมื่อได้ต่อสู้กัน พอสมควรแล้ว ในตอนนี้ช้างทั้ง ๒ เชือก ต่างก็ตรงเข้าต่อสู้กันถึงประงวงประงา กันอย่างดุเดือดไม่ยอมพ่ายแพ้แก่กัน ต่างฝ่ายต่างจะเอาชนะแก่กัน แม้เมื่อพวก กรมช้างจะดึงโซ่ที่ล่ามไว้กับเท้าช้างให้แยกผละจากกัน ก็ยังไม่ยอมแยกผละออก _20-0355(151-316)p3.indd 209 6/7/2563 BE 09:22
210 คงใช้ก�ำลังเข้าต่อสู้กันอีก จนบางทีโซ่ล่ามไว้นั้นขาดไป เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คิดแก้ไข โดยน�ำเอาช้างพังออกมาเชือกหนึ่ง แล้วปล่อยให้เข้าไปเสยงวงอยู่ในระหว่าง กลางของช้างที่ต ่อสู้กัน เมื่อช้างพลายเห็นช้างพังออกมาห้ามการต ่อสู้และ อยู่ระหว่างกลาง ช้างคู่ต่อสู้นั้นก็จะแยกผละออกจากกัน ไม่ต่อสู้กันอีก พวก กรมช้างก็จะน�ำช้างทั้ง ๒ เชือกนั้นออกไปนอกสนาม ให้อ้อยให้น�้ำดื่ม เพื่อช้าง จะได้มีใจคอสดชื่นดีขึ้น นอกจากจะให้ช้างบ�ำรูงาเป็นครั้งคราวแล้วสมัยก่อนอาจให้ช้างบ�ำรูงาเป็น ประจ�ำในเดือนห้าสาเหตุที่สันนิษฐานเช่นนี้เพราะในเรื่อง นางนพมาศ หน้า ๗๘ กล่าวถึงขบวนแห่คเชนทรสนานในเดือนห้า มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ขบวนสาร ซับมันมีช้างน�ำช้างแทรกช้างผะชด [ช้างต่อ] ชายให้บ�ำรูสู้งาผัดพาฬฬ่อแพน ถวายหน้าพระที่นั่ง...” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวถึงช้าง บ�ำรูงาในพระนิพนธ์เรื่องจับช้างซึ่งอยู่ในหนังสือ นิทานโบราณคดีหน้า ๖๔๓ ว่า ที่เรียกว่า“ช้างบ�ำรูงา” นั้น คือฝึกซ้อมช้างชน เลือกช้างรบที่ก�ำลัง ตกน�้ำมันทั้ง ๒ ตัว ผูกเครื่องมั่นมีหมอควานขี่ให้ซ้อมชนกัน เหตุใดจึง เลือกช้างก�ำลังตกน�้ำมัน อธิบายว่าธรรมดาช้างพลายมักเป็นสัดปีละครั้ง หนึ่งในเวลาเป็นสัดนั้น ที่ตัวช้างมีน�้ำมันตกทั้งข้างหน้าข้างท้ายจึงเรียกกัน เป็นสามัญว่า “ช้างตกน�้ำมัน” ช้างก�ำลังตกน�้ำมันมักดุร้ายและมีก�ำลัง มากกว่าเวลาอื่น ช้างที่ไม่ตกน�้ำมันมักกลัวเกรงไม่กล้าสู้เพราะฉะนั้นช้าง ที่ขี่ท�ำยุทธหัตถีจึงใช้ช้างก�ำลังตกน�้ำมัน เมื่อซักซ้อมก็ใช้ช้างก�ำลังตกน�้ำมัน เหมือนกัน แต่ช้างตกน�้ำมันคนขี่บังคับยาก เพราะก�ำลังคลั่งน�้ำมัน ไม่ท�ำร้ายแต่ช้างพัง นอกจากนั้นอะไรเข้าไปยั่วก็เกิดโทสะอยากแต่จะแทง คนขี่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการบังคับช้าง จึงอาจขี่ช้างตกน�้ำมันได้เวลา จะให้ช้างบ�ำรูงา ต้องเลือกสรรหมอควานที่ดีทั้งสองข้าง ด้วยเหตุที่ช้างที่น�ำมาบ�ำรูงาเป็นช้างตกน�้ำมัน การบ�ำรูงาจึงมีอันตรายมาก ต�ำราขี่ช้างครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแสดงว่ามีเรื่องที่ต้องพิถีพิถัน _20-0355(151-316)p3.indd 210 6/7/2563 BE 09:22
211 ระมัดระวัง ดังนี้ ๑. การล่ามช้างกับเสาปองซึ่งเป็นเสาเตี้ยๆ ปัก ๒ แถวเรียงกันเป็นระยะๆ “ให้คเนตัวช้างทั้งสองข้างเมื่อจะมาชนกันนั้นให้ถึงกันแต่ปลายงานั้นเปน ก�ำหนด” ทั้งนี้เพราะไม่ต้องการให้ช้างชนกันถึงแพ้ชนะ ด้วยธรรมดาช้างที่แพ้ จะไม่กล้าสู้ช้างใด ๆ อีกต่อไป ๒. เมื่อจะให้ช้างเดินไปยังเสาปองเพื่อล ่ามช้าง ซึ่งในต�ำราเรียกว ่า “ติดเชือก” ให้ช้างพัง ๑๔-๑๕ ช้างเดินน�ำบังตาช้างชนออกมา ๓. เมื่อจะล่ามช้าง ให้ช้างชนไปยืนอยู่ที่หน้าเสาปอง เอาเชือกบาศคล้อง ตีนหลังทั้ง ๒ ข้างเมื่อล่ามช้างฝ่ายข้างหนึ่งเสร็จแล้วจึงจะให้ช้างพังเดินน�ำบังตา ช้างชนอีกฝ่ายหนึ่งมาล่ามกับเสาปองช้างทั้ง ๒ ฝ่ายจะยังไม่เห็นกันเพราะมีช้าง พังบังไว้ ๔. การเคลื่อนช้างเข้าหากัน “อย่าให้วิ่งเข้าไป ให้ปรกติทั้งสองฝ่ายคนจึง จะไม่เปนอันตราย” ๕. เมื่อให้ช้างชนกันตามกระบวนเสร็จแล้ว “จึงถอยหลังช้างเข้ามาหา เสาปอง แล้วเอาช้างพังบังไว้ทั้งสองฝ่าย ถ้ากิริยาสงบแล้วจึงให้แก้เชือกจากเท้า เอาช้างพังบังตาเดินเข้าไปในโรง ครั้นไปถึงโรงกิริยาปรกติดีอยู่แล้ว ก็เร่งให้ใส่ มัดขาแลปลอกทรงซ้ายขวาเข้าจงเร็ว แล้วเอาหญ้าเอาอ้อยให้กิน แล้วให้กรม พระนครบาลตักน�้ำมารดสาด แล้วปิดประตูโรงไว้ช้างพังนั้นก็ยืนอยู่น่าโรงนั้น ก่อน แล้วจึงเอาช้างฝ่ายข้างหนึ่งเข้ามาเล่า ก็ให้ท�ำดุจกันนั้น” ในสมัยก่อนต้องให้ช้างบ�ำรูงาเพื่อฝึกซ้อมช้างให้คล่องแคล่วในการชน แต่ เมื่อเลิกการรบโดยใช้ช้างการให้ช้างบ�ำรูงาก็หมดความส�ำคัญ และเลิกไปในที่สุด (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง ด�ำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. นิทานโบราณคดี. พิมพ์ครั้งที่ ๑๐. พระนคร : เขษมบรรณกิจ, ๒๕๐๓. _20-0355(151-316)p3.indd 211 6/7/2563 BE 09:22
212 ต�ำราขี่ช้างครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช. พระนคร : โรงพิมพ์ โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๕. ธวัชรัตนาภิชาติ. เมืองไทยในทัศนะของฝรั่ง. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางเพิ่ม สุมาวงศ์ณ สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาส พระนคร วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๗. พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). พิมพ์ในงานศพ คุณหญิง ปฏิภาณพิเศษ (ลมุน อมาตยกุล) ณ วัดประยุรวงศาวาสวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์, ๒๕๕๖. เรื่องนางนพมาศ หรือต�ำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ. พิมพ์ในงานศพเจ้าจอมมารดาสังวาล รัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๕๗. ดาวดึงส์ ดาวดึงส์ เป็นชื่อสวรรค์ชั้นที่ ๒ แปลว่า สามสิบสาม เนื่องจากเป็นที่อยู่ ของเทวดา จ�ำนวน ๓๓ องค์ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ปรากฏเรื่องราว อยู่ในหนังสือไตรภูมิ หนังสือนี้เป็นวรรณคดี ร้อยแก้วเชื่อกันว่าพญาลิไทยกษัตริย์แห่ง อาณาจักรสุโขทัย ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๘ ด้วยมีพระราชประสงค์ที่ จะสอนให้ประชาชนของพระองค์ได้ทราบ ถึงปรัชญาการด�ำรงชีวิตตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ท�ำให้รู้จักกรรมที่ตน กระท�ำขึ้น ซึ่งกรรมนั้นจะส่งผลให้๓ ประการคือความสุขความทุกข์และความ หลุดพ้นจากความสุขและทุกข์นั้น _20-0355(151-316)p3.indd 212 6/7/2563 BE 09:22
213 เนื้อหาในหนังสือเรื่องไตรภูมิแบ่งเป็น ๓ ภูมิคือ เทวภูมิหมายถึง ภูมิที่ดีมีแต ่ความสุข เป็นภูมิของสวรรค์ มี๖ ชั้น คือ จาตุมหาราชิกาภูมิดาวดึงส์ภูมิยามาภูมิดุสิตาภูมินิมมานนรดีภูมิและ อกนิษฐาภูมิ มนุษยภูมิหมายถึง ภูมิที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ เป็นภูมิของโลก มนุษย์ อบายภูมิ หมายถึง ภูมิที่มีแต่ความทุกข์ร้อน ล�ำเค็ญ เป็นภูมิของนรก มี๔ ภูมิย่อยคือ นิริยภูมิ(นรกภูมิ) เปรตวิสัยภูมิอสุรกายภูมิและเดรัจฉานภูมิ ดาวดึงส์ ตามความที่ปรากฏในไตรภูมิระบุว่าเป็นชื่อของแผ่นดินที่ปรากฏ ขึ้นในโลกเป็นครั้งแรกก่อนแผ่นดินอื่น ๆ แผ่นดินนี้อยู่บนสวรรค์ชั้นที่สองบน ยอดเขาพระสุเมรุมีเมืองชื่อเทพนคร หรือสุทัศนมหานครตั้งอยู่เป็นเมืองสวรรค์ ที่ใหญ่โต มีขนาดกว้างยาวด้านละ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ล้อมรอบด้วยก�ำแพงที่แล้ว ไปด้วยทองสูง ๑๒ โยชน์มีประตูเมืองอยู่ทั้ง ๔ ทิศจ�ำนวน ๑,๐๐๐ ประตูทุกประตู มียอดซุ้มสูง ๑,๐๐๐ โยชน์ท�ำด้วยทองประดับแก้ว ๗ ประการ บนก�ำแพงเมือง มีเชิงเทินหอรบพร้อมสรรพ เมืองนี้มีจอมเทพเป็นผู้ปกครองชื่อ ท้าวสักกเทวราช หรือโดยทั่วไปเรียกว่าพระอินทร์ ประทับอยู่ในเวชยันต์ปราสาท บางทีเรียกว่า ไพชยนต์ปราสาท มีช้างเอราวัณเป็นพาหนะคชาธาร มีรถทรงชื่อเวชยันต์ราชรถ พระมาตุลีเทพบุตรเป็นสารถี ในดาวดึงส์สวรรค์นี้มีอุทยาน (สวน)ขนาดใหญ่ที่สวยสดงดงามน่ารื่นรมย์ ยิ่งตั้งอยู่ตามทิศต่าง ๆ คือ สวนนันทวัน อยู่ทิศตะวันออก สวนจิตรลดาวัน อยู่ ทิศตะวันตก สวนมิสสกวัน อยู่ทิศเหนือ สวนปารุสกวัน อยู่ทิศใต้สวนมหาวัน อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีสระน�้ำเต็มเปี่ยมไปด้วยน�้ำอันใสเย็นเป็นนิจสระนั้น ชื่อว่าสุนันทโบกขรณีกับยังมีศาลาขนาดใหญ่เป็นธรรมสภาศาลาสถานที่ประชุม เทวดา ชื่อ สุธรรมเทวสภา สถานที่ทั้งสามคืออุทยาน สระโบกขรณีและธรรมสภาศาลาซึ่งอุบัติขึ้นใน ดาวดึงส์ล้วนเกิดจากผลแห่งกุศลกรรมของหญิง ๓ คน คือ นางสุจิตรา นางสุนันทา _20-0355(151-316)p3.indd 213 6/7/2563 BE 09:22
214 และนางสุธรรมา ซึ่งเมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์หญิงทั้งสามเป็นภรรยาของนายมฆะ ผู้มีใจบุญชวนเพื่อนอีก ๓๒ คนอุทิศเงินแรงกายแรงใจสร้างถนนสาธารณะขึ้น ส่วนภรรยาทั้ง ๓ ก็ได้ร่วมกันสร้างสวนปลูกต้นไม้สร้างบ่อน�้ำ และสร้างศาลา ให้เป็นทานแก ่สาธารณะเช ่นเดียวกับนายมฆะผู้สามีครั้นสิ้นชีวิตผลบุญนั้น ส่งเสริมให้ไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์นายมฆะเป็นท้าวสักกเทวราชเพื่อนทั้ง ๓๒ คน เกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นเดียวกัน ภรรยาทั้ง ๓ ก็เกิดเป็นมเหสีทั้งสาม มีวิมานเป็นที่อยู่เพียบพร้อมด้วยบริวารมากมาย ยกเว้น ภรรยาคนที่ ๔ ของ นายมฆะ คือนางสุชาดา ซึ่งไม่เคยสร้างกุศลใด ๆ ไว้เลย ชมชอบแต่งกายให้ สวยงาม และโอ้อวดความงดงามของตนอย่างเดียว ครั้นสิ้นชีวิตได้ไปเกิดเป็น นกกระยาง มีขนกายขาวสะอาดงดงามยิ่งเกาะอยู่ริมสระโบกขรณีนั้นเอง ต่อมาท้าวสักกเทวราชได้แนะแนวทางปฏิบัติธรรมแก่นางนกยางครั้น ตายไปได้จุติในดาวดึงส์สวรรค์ เป็นมเหสีคนที่สี่ของท้าวสักกเทวราช เช่นเมื่อ ครั้งยังเป็นมนุษย์แต่ไม่มีวิมานอยู่เป็นของตนเองต้องอาศัยอยู่ในวิมานของ ท้าวสักกเทวราชเวลาท้าวสักกเทวราชจะเสด็จไปยังที่ใดก็พานางไปด้วยทุกครั้ง สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีพระเจดีย์จุฬามณีซึ่งประดิษฐานพระเกศธาตุเมื่อ คราวเสด็จออกมหาภิเนษกรม และเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จไปโปรด พระพุทธมารดาด้วย (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) ธรรมเนียมการสร้างวัด การสร้างวัดถือกันว่าเป็นบุญใหญ่และใช้ทุนทรัพย์มาก เพราะนอกจาก จะสร้างวัดถวายแล้วยังต้องถวายที่ดิน ไร่นา เงินทอง ถวายข้าพระ เพื่อดูแลวัด และท�ำนา ปลูกพืชต่างๆในที่ดินของวัดเพื่อเป็นจังหันถวายพระยิ่งเป็นวัดใหญ่ ต้องมีที่ดินมากย่อมต้องมีข้าพระเป็นจ�ำนวนมากเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงพบในจารึก ว่าผู้สร้างวัดโดยมากจะเป็นพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ชั้นสูง เช่น พระ _20-0355(151-316)p3.indd 214 6/7/2563 BE 09:22
215 ราชมารดา พระมเหสีเจ้าเมืองหรือขุนนาง หรือพระเถระผู้ใหญ่มีหลักฐานในจารึก ว่าถ้าผู้สร้างวัดเป็นขุนนางการจะสร้างวัดในที่ใดนั้นก็ต้องขออนุญาตและขอ ที่ดินสร้างวัดก่อน ดังความในจารึกนายศรีโยธาออกบวชว่า เมื่อนายศรีโยธา ออกบวชเมื่อ พ.ศ. ๑๙๘๔ ได้รับฉายาว่า“มหาสัทธาปุญโย” มีศรัทธาจะสร้างวัด ในต�ำบลพระศรีมหาโพธิ์จึงไปไหว้มหาสวามีศีลสาครให้ช่วยขอที่จากพระยา ศรีไสยรณรงค์สงคราม มหาสวามีศีลสาครจึงมีพุทธฎีกาไปถึงหมื่นนรินทร์ หมื่นนรินทร์จึงส่งฎีกาถึงพระยาศรีไสยรณรงค์สงคราม พระยาศรีไสยรณรงค์ สงครามจึงให้หมื่นต่างใจมา“เหยียบที่ให้โดยยาว ๔๐ เส้น กว้าง ๕ เส้น”เป็นที่ สร้างวัด แม้หากมีที่ดินแล้วต้องการจะสร้างวัดก็ต้องขออนุญาตด้วยเช่นกัน ดังเช่น มีข้อความในจารึกวัดสรศักดิ์ อายุพ.ศ. ๑๙๖๐ ว่า “นายอินทสรศักดิ์มีศรัทธา ในพุทธศาสนา จึงขอที่อันอยู่นั้น หนขื่อได้สี่สิบห้าวา หนแปได้สามสิบเก้าวานี้ แก่พ่ออยู่หัวเจ้า ธ ออกญาธรรมราชาองค์ทรงไตรปิฎกนั้น ว่าจะสร้างอาราม ถวายพระราชกุศลแก่พ่ออยู่หัวเจ้า ธ จึงพ่ออยู่หัวเจ้า ธ ให้อนุญาตแก่นาย อินทสรศักดิ์นั้น ท่านก็มาปราบให้ราบงามดีไซร้” เมื่อสร้างวัดอันประกอบด้วย เจดีย์กุฎีวิหาร เสร็จแล้วก็มีการฉลอง และได้มีการขอนาและขอที่ป่าท�ำเป็น ที่นาไว้กับวัดด้วย ในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานการทูลขออนุญาต สร้างวัดจากพระมหากษัตริย์ในจารึกแต่ก็มีประกาศว่าด้วยการสร้างวัดในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่คัดจากหมายรับสั่งเดือน ๘ ปีฉลู จุลศักราช ๑๒๑๕ (พ.ศ. ๒๓๙๖) ความว่า ด้วยมีผู้มีจิตศรัทธาสร้างวัด หรือ บูรณะซ่อมแซมศาสนสถานต่าง ๆ ภายในวัดกันมากแต่ต่างท�ำตามที่ตนพอใจ และก่อสร้างไม่ถูกต้องจนท�ำให้ไม่ทราบว่าเป็นวัดราษฎร์หรือวัดหลวง พระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผู้ที่จะสร้างหรือ บูรณะวัดแจ้งพระยาบ�ำรุงศาสนาจางวางข้าพระให้ทราบก่อน เพื่อจักได้กราบทูล _20-0355(151-316)p3.indd 215 6/7/2563 BE 09:22
216 ให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัวทรงทราบจะได้“พระราชทาน เพิ่มเติมของหลวงช่วยท�ำวัดให้แล้วเสร็จงามดีจะได้เป็นที่ไหว้ที่บูชากับอาณา ประชาราษฎร และนานาประเทศ” ดังข้อความในประกาศ ว่า ด้วยพระยาบ�ำเรอภักดิ์รับพระบรมราชโองการใส่เกล้าฯ ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ สั่งว่าทรงพระราชด�ำริว่า ทุกวันนี้พระสงฆ์ราชาคณะ แล ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยราษฎรไทยจีนที่มีศรัทธามามีศรัทธาอุตสาหสร้าง วัดวาอาราม ปฏิสังขรณ์ท�ำนุบ�ำรุงซ่อมแซมพระอุโบสถ พระวิหาร การเปรียญ หอไตร หอระฆัง โดยประณีตให้งามดีด้วยมีศรัทธามาก ท�ำตามใจรักลางทีก็ท�ำซุ้มประตูซุ้มหน้าต่างเป็นซุ้มจรน�ำ แลคูหามีช่อฟ้า ใบระกาไม่ก็มีบ้าง ลางวัดมีหอไตรหอระฆังเป็นยอดปรางค์ยอดมณฑป แลพระอุโบสถวิหารการเปรียญท�ำเป็นช่อฟ้าใบระกาก็มีบ้างหาสังเกตได้ว่า วัดหลวงวัดราษฎร์ไม่ ก็ตามใจเจ้าของที่มีศรัทธาเถิด มิใช่จะห้ามปราม แต่ให้มาบอกแก่พระยาบ�ำรุงศาสนาจางวางข้าพระเสียก่อน จะได้น�ำขึ้น กราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ว่า พระราชาคณะองค์นั้นแลข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยคนนั้น ราษฎรไทยจีน คนนั้น ๆ ที่มีศรัทธาสร้างวัดวาอารามจะโปรดเกล้าฯ พระราชทานเพิ่มเติม ของหลวงด้วยช่วยท�ำวัดให้แล้วเสร็จงามดีจะได้เป็นที่ไหว้ที่บูชากับอาณา ประชาราษฎร และนานาประเทศนั้น ให้มหาดไทย กลาโหม กรมพระ สุรัสวดีหมายบอกเจ้าต่างกรม เจ้ายังไม่ได้ตั้งกรม แลข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย แลราษฎรไทยจีนเจ๊สัวชาวแพให้รู้จงทั่ว ว่าถ้าจะท�ำพระอุโบสถ พระวิหารการเปรียญ หอไตร หอระฆังแล้ว ก็ให้มาบอกกับพระยาบ�ำรุง ศาสนาเสียก่อนอย่าให้ขาดได้ตามรับสั่ง ส่วนในจารึกล้านนานั้นผู้สร้างวัดส่วนใหญ่เป็นเจ้าเมืองแม้ไม่ต้องกราบทูล ขออนุญาตสร้างวัด แต่ก็มักจะน�ำความมากราบทูลกษัตริย์เชียงใหม่และพระ ราชมารดาหรือพระมหาเทวีเพื่อถวายโกฐาสบุญและร่วมอนุโมทนาบุญ กษัตริย์ _20-0355(151-316)p3.indd 216 6/7/2563 BE 09:22
217 เชียงใหม่หรือพระราชมารดาจะทรงร่วมอนุโมทนาและพระราชทานเงิน ที่นา และข้าวัดซึ่งเป็นเรื่องที่จ�ำเป็นส�ำหรับการท�ำนุบ�ำรุงพระพุทธศาสนาและ การด�ำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของวัดต่อไป ดังเช่นจารึกต่อไปนี้ จารึกวัดปราสาท จังหวัดเชียงราย(ช.ร. ๓)อายุพ.ศ. ๒๐๓๘ มีใจความว่า เจ้าหมื่นเชียงแสนค�ำล้านได้ให้ขุนนางไปแจ้งแก่ขุนนางเชียงใหม่ให้น�ำส่วนบุญ ในการสร้างวัดปราสาทไปถวายแด ่กษัตริย์เชียงใหม ่และพระราชมารดา กษัตริย์เชียงใหม่ (สันนิษฐานว่าคือพระเมืองแก้ว ผู้ครองเชียงใหม่ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๘-พ.ศ. ๒๐๖๘) ทรงมีพระราชศรัทธาพระราชทานข้าพระสิบครัว ที่นา และเงินแสนเบี้ยแก่วัดปราสาท โดยจารลงบนหลาบค�ำ (แผ่นส�ำหรับจารึกคล้าย ใบลานที่ท�ำด้วยทองค�ำ,สุพรรณบัตร) ดังความในจารึกว่า“...เอาวัดปราสาทถวาย เมือถวายสมเด็จบพิตรพระเป็นเจ้าทั้งสองพระองค์มีศรัทธาปลงพระราชอาชญา หื้อหลาบค�ำมาไว้คนสิบครัว...หยาดน�้ำตกแผ่นดิน เจ้าขุนผู้ใดอย่ากลั้วเกล้า ใส่การบ้านการเมืองเขาสักอัน ไว้นากับแสนเบี้ยยังเมิงม่วน ส่วนบุญมหาราช เจ้าแผ่นดินแล” จารึกวัดบุพพาราม อายุ พ.ศ. ๒๐๗๒ มีใจความว่า เจ้าเมืองแพร่อุ่น พร้อมด้วยนางเมืองสร้างวัดบุพพารามจึงให้ขุนนางน�ำความไปแจ้งแก่ขุนนาง เมืองเชียงใหม่ให้กราบทูลกษัตริย์เชียงใหม่ ซึ่งในจารึกใช้ค�ำแทนพระองค์ว่า “พระเป็นเจ้าตนเป็นพระ”(สันนิษฐานว่าคือพระเมืองเกษเกล้าผู้ครองเชียงใหม่ ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๘๑-พ.ศ. ๒๐๘๖) เมื่อทราบแล้วทรงมีประสาทศรัทธา จึงมี พระราชโองการพระราชทานคนห้าครัวนาจ�ำนวนพันข้าวไว้กับวัดบุพพาราม ตราบ ๕๐๐๐ ปี จากตัวอย่างจารึกของอยุธยาและล้านนาที่ยกมานี้เป็นหลักฐานที่แสดง ให้เห็นว่าการสร้างและปฏิสังขรณ์วัดทุกยุคทุกสมัยนั้น อยู่ในพระอุปถัมภ์ของ พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ชั้นสูงแทบทั้งสิ้น (รศ.กรรณิการ์ วิมลเกษม) _20-0355(151-316)p3.indd 217 6/7/2563 BE 09:22
218 หนังสืออ้างอิง ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๘. ประเสริฐ ณ นครและคณะ.จารึกล้านนาภาค ๑ จารึกจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา แพร่. กรุงเทพฯ : มูลนิธิเจมส์เอช ดับเบิ้ลยูทอมป์สัน, ๒๕๓๕. .จารึกล้านนาภาค ๒ จารึกจังหวัดเชียงใหม่ ล�ำพูน ล�ำปาง แม่ฮ่องสอน. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการช�ำระประวัติศาสตร์ไทย, ๒๕๕๓. รวมพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง ประชุมประกาศ รัชกาลที่ ๔. คณะกรรมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัว จัดพิมพ์เป็นที่ระลึก เนื่องในโอกาสที่วัน พระราชสมภพ ครบ ๒๐๐ ปีวันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช, ๒๕๔๗. ใบบอก ใบบอก หรือ หนังสือบอก เป็นหนังสือราชการประเภทหนึ่งใช้กันอยู่ใน สมัยโบราณ เพื่อรายงานหรือบอกเรื่องราชการต่าง ๆ จากหัวเมืองส่งเข้ามายัง เมืองหลวง เช่น หนังสือบอกจ�ำนวนไพร่พลหัวเมือง หนังสือบอกส่งของตาม จ�ำนวนเกณฑ์เป็นต้น หนังสือราชการที่ใช้กันอยู่ในสมัยโบราณเป็นหนังสือประทับตราเนื่องจาก สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องพิมพ์ดีดจึงต้องเขียนเรื่องราชการต่างๆด้วยดินสอบนแผ่น กระดาษ เมื่อจบข้อความแล้วไม่มีการลงชื่อผู้ออกหนังสือแต่ใช้ประทับตราที่ท้าย หนังสือนั้น ตราที่ใช้ประทับคือตราประจ�ำต�ำแหน่งหรือตราประจ�ำตัวของผู้ออก หนังสือ ส่วนกระดาษที่ใช้เขียนเรียกว่า “กระดาษเพลา” (อ่านว่า เพฺลา) เป็น กระดาษไทยแผ่นบางๆ ท�ำจากเปลือกข่อยหรือสา มีสีขาวนวลเป็นสีเนื้อกระดาษ โดยธรรมชาติขนาดของกระดาษกว้างโดยเฉลี่ย ๓๐-๓๕ เซนติเมตร ส่วน ความยาวมากน้อยขึ้นอยู่กับเนื้อหาของเรื่องที่จะเขียน ถ้าข้อความยาวเขียนไม่จบ ในกระดาษแผ ่นเดียว ก็จะใช้กระดาษแผ ่นใหม ่ผนึกต ่อหน้ากระดาษให้ยาว เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกว่าจะจบข้อความ ซึ่งจะท�ำให้ใบบอก หรือหนังสือนั้นมีความ _20-0355(151-316)p3.indd 218 6/7/2563 BE 09:22
219 ยาวไม่เป็นมาตรฐาน ใบบอกบางฉบับสั้นเพียง ๒๐ เซนติเมตร บางฉบับยาว ๕๐๐ เซนติเมตร ก็มีและเมื่อต่อกระดาษแล้ว ต้องประทับตราที่ด้านหลังตรง รอยต่อกระดาษนั้นทุกรอย และตราที่ใช้ประทับต้องเป็นตราของผู้ออกหนังสือ แต่มีขนาดเล็ก เรียกว่า “ตราประจ�ำต่อ” และในตอนท้ายของหนังสือจะต้อง บอกชื่อตราประจ�ำต่อที่ใช้ไว้ให้ชัดเจน เมื่อเขียนข้อความจบแล้วประทับตรา ประจ�ำต�ำแหน่ง หรือตราประจ�ำตัวของผู้ออกหนังสือไว้ที่ท้ายข้อความนั้นด้วย ส ่วนรูปแบบการเขียนหนังสือราชการในสมัยโบราณหรือในใบบอก ไม่เหมือนกับหนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณในปัจจุบัน กล่าวคือ ด้านหน้าขึ้นต้นจะบอกชื่อต�ำแหน่งของเจ้าเมืองหรือผู้ออกหนังสือ ต่อด้วยชื่อ ต�ำแหน่งข้าราชการชั้นรองลงมาและคณะกรมการเมือง ถ้าผู้ออกหนังสือบอก หรือใบบอกเป็นข้าหลวงผู้ตรวจราชการจากเมืองหลวงต้องเริ่มต้นข้อความด้วย ชื่อต�ำแหน่งข้าหลวงผู้มีบรรดาศักดิ์สูงสุดก่อน แล้วต่อด้วยชื่อเจ้าเมือง ปลัดเมือง ยกกระบัตร และกรมการเมือง ต่อจากนั้นจึงจะเริ่มต้นข้อความที่จะบอก หรือ รายงานให้ทราบ จบข้อความแล้ว บอกวัน เดือน ปีที่ออกหนังสือ ประทับตรา ผู้ออกหนังสือตรงวันเดือนปีและประทับตราของเจ้าเมือง คณะกรมการเมือง ทุกคนที่กล่าวถึงในตอนต้น และต้องเขียนชื่อเจ้าของตราก�ำกับไว้ในรอยตราที่ ประทับด้วยทุกตรา (ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการลงลายมือชื่อแทนการเขียน ชื่อเจ้าของตรา)ด้านหลังหนังสือต้องเขียนย่อเรื่องหรือสรุปเนื้อหาของเรื่องที่เขียน ไว้ด้านหน้านั้น พร้อมกับประทับตราของผู้ออกหนังสือบอกให้ครบตามจ�ำนวน เหมือนด้านหน้า และเขียนชื่อผู้ถือหนังสือบอกไว้ด้วย เมื่อกระบวนการเขียนข้อความในใบบอกเสร็จแล้วเวลาจัดส่งหนังสือบอก ไปนั้น ต้องม้วนกระดาษจากท้ายเรื่องเข้าไปจนหมดกระดาษแล้วใส่ม้วนกระดาษ ในกลักไม้ไผ่ หรือกลักโลหะ จากนั้นจึงห่อด้วยผ้า หรือถุงผ้า ปิดผนึกที่ปากถุง ประทับตราประจ�ำผนึก ซึ่งอาจเป็นตราเดียวกับตราประจ�ำต่อ แล้วมอบผู้ถือ หนังสือน�ำส่งยังที่หมายต่อไป (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) _20-0355(151-316)p3.indd 219 6/7/2563 BE 09:22
220 ปางพระพุทธรูปที่เกี่ยวเนื่องกับชัยมงคลคาถา ความเคารพศรัทธาและต้องการจะสรรเสริญพุทธานุภาพ ท�ำให้มีการน�ำ เรื่องราวที่พระพุทธเจ้าทรงมีชัยชนะตามชัยมงคลคาถาไปสร้างพระพุทธรูปถึง ๕ ปางด้วยกัน ได้แก่ ๑. ปางภูมิสปรรศมุทรา (ภูมิสปรศมุทรา) หรือ ปางมารวิชัย ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้สร้างจากเรื่องราว ที่พระพุทธเจ้ามีชัยชนะพระยามารก่อนที่จะตรัสรู้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในวันพุธ เดือน ๖ ขึ้น ๑๔ ค�่ำ ขณะที่พระองค์ประทับอยู ่บนรัตนบัลลังก์ที่ใต้ต้น พระศรีมหาโพธิ์ทรงตั้งสัจจาธิษฐานว่าจะไม่ลุกจาก รัตนบัลลังก์ถ้าไม่บรรลุพระโพธิญาณ พระยาวสวัสดี มารกลัวว่าพระองค์จะส�ำเร็จพระโพธิญาณ จึงเนรมิต มือมากถึงพันมือ ถืออาวุธต่าง ๆ ครบทุกมือขี่ช้าง ครีเมขล์ยกไพร่พลจ�ำนวนมากมาผจญพระพุทธองค์ แต่ด้วยอ�ำนาจทานบารมีท�ำให้พลมารไม่สามารถเข้าใกล้พระองค์พระยามารจึง ได้เนรมิตห่าฝน ๙ ประการ ได้แก่ ๑. ห่าฝนลมพายุใหญ่ ๒. ห่าฝนมหาเมฆฝน ตกใหญ่ ๓. ห่าฝนก้อนศิลา ๔. ห่าฝนอาวุธศัสตราต่าง ๆ ๕. ห่าฝนถ่านเพลิง ๖. ห่าฝนเถ้ารึงร้อนจัดดุจเถ้ารึงในกุกกุฬนรก ๗. ห่าฝนทรายกรวดอันละเอียด ๘. ห่าฝนเปือกตมอันร้อน ๙. ห่าฝนความมืดทั่วทุกทิศ หวังจะให้ท�ำร้ายพระ พุทธองค์แต่ห่าฝนทั้งหมดก็กลับกลายเป็นเครื่องสักการบูชาไปเสียสิ้น ท�ำให้ พระยามารโกรธมากยิ่งขึ้นจึงกล่าวว่ารัตนบัลลังก์นั้นเป็นของตน แล้วอ้างเสนามาร เป็นพยาน พระพุทธองค์ตรัสตอบว่ารัตนบัลลังก์นี้เกิดด้วยบุญแห่งทานบารมีของ พระองค์เอง พระยามารจึงให้อ้างพยาน พระพุทธองค์ทรงระลึกถึงทานที่ทรง กระท�ำมาแล้วชี้นิ้วพระหัตถ์ลงไปตรงพื้นปฐพีขอให้เป็นพยาน นางพระธรณีก็ _20-0355(151-316)p3.indd 220 6/7/2563 BE 09:22
221 ผุดขึ้นมาเป็นสักขีพยาน แล้วบิดน�้ำทักษิโณทกที่พระองค์ได้ทรงบ�ำเพ็ญทานที่ นางรองรับไว้ในมวยผมให้ไหลนองออกมาดุจห้วงมหาสมุทรท่วมพระยามารและ เสนาจนพ่ายแพ้ไป เหตุการณ์ส�ำคัญที่น�ำไปสู่ชัยชนะคือตอนที่พระพุทธเจ้าทรงชี้นิ้วพระหัตถ์ ลงไปตรงพื้นปฐพีจึงน�ำมาสร้างเป็นพระพุทธรูป มีลักษณะเป็นพระพุทธรูป ประทับนั่ง วางพระหัตถ์ขวาบริเวณพระชงฆ์ในลักษณะชี้หรือสัมผัสแผ่นดิน พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา จึงได้ชื่อว่า “ภูมิสปรรศมุทรา” แปลว่า “ปางชี้นิ้วสัมผัสแผ่นดิน” หรือปางมารวิชัยแปลว่า ปางชนะมาร พระพุทธรูป ปางนี้สร้างขึ้นในประเทศอินเดียตั้งแต่สมัยศิลปะแบบคันธาระ และเป็นปางที่ นิยมสร้างเป็นพระประธานของวัดในประเทศไทยอีกด้วย ๒. ปางโปรดอาฬาวกยักษ์ พระพุทธรูปปางโปรดอาฬาวกยักษ์ มาจาก เรื่องตอนที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ขันติธรรมเอาชนะ อาฬาวกยักษ์ผู้มีอุปนิสัยหยาบช้าทารุณกินคนและสัตว์ ด้วยพระพุทธองค์ทรงทราบด้วยญาณว่าอาฬาวกยักษ์ อาจบรรลุโสดาปัตติผลได้จึงเสด็จไปยังวิมาน อาฬาวกยักษ์ที่ใต้ต้นไทรใหญ่แต่อาฬาวกยักษ์ไม่อยู่ พระพุทธองค์จึงเสด็จไปประทับบนรัตนบัลลังก์ของ อาฬาวกยักษ์และทรงเทศนาธรรมให้บริวารทั้งหลาย ของอาฬาวกยักษ์ฟัง ส่วนคันธัพพยักษ์ผู้รักษาประตู ก็เหาะไปบอกอาฬาวกยักษ์อาฬาวกยักษ์โกรธมาก คิดจะฆ่าพระพุทธเจ้า เมื่ออาฬาวกยักษ์กลับมาเห็นพระพุทธเจ้าประทับอยู่บนบัลลังก์แสดงธรรม แก่บริวารของตนอยู่ จึงแผลงฤทธิ์บันดาลให้ห่าฝน ๙ ประการตกลงมาหวังจะ ให้ท�ำลายชีวิตของพระพุทธองค์แต่ฝนกลับกลายเป็นเครื่องสักการบูชา ท�ำให้ อาฬาวกยักษ์โกรธมากยิ่งขึ้น จึงเอาผ้าโพกที่มีฤทธิ์สามารถท�ำลายภูเขาใหญ่เท่า _20-0355(151-316)p3.indd 221 6/7/2563 BE 09:22
222 เขาพระสุเมรุให้ละเอียดได้หรือท�ำให้น�้ำในมหาสมุทรแห้งไปหมด ขว้างไปหวัง ประหารพระพุทธองค์แต่ผ้าโพกกลับตกลงมาเป็นดอกไม้ธูปเทียนบูชาแทน จากนั้นอาฬาวกยักษ์ก็แกล้งสั่งให้พระพุทธเจ้าลุกออกไปจากบัลลังก์ พระองค์ ทรงท�ำตาม แล้วอาฬาวกยักษ์ก็สั่งให้พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเข้ามา พระพุทธองค์ ก็ทรงท�ำตามอีกเช่นกัน อาฬาวกยักษ์เห็นดังนั้นก็นึกแปลกใจที่พระพุทธองค์ ไม่โกรธตอบและเป็นคนว่าง่ายท�ำตามที่บอกทุกอย่างจากนั้นพระพุทธเจ้าก็ทรง อนุญาตให้อาฬาวกยักษ์ถามปัญหา อาฬาวกยักษ์จึงถามปัญหา ๔ ข้อ ว่า ๑. อะไรเป็นทรัพย์อย่างประเสริฐของบุรุษในโลกนี้ ๒. ประพฤติอย่างไรจึงจะได้สุข ๓. รสอะไรเป็นรสประเสริฐกว่ารสทั้งปวง ๔. เป็นอยู่อย่างไรจึงจะชื่อว่าเป็นอยู่ประเสริฐ พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า ๑. ศรัทธาเป็นทรัพย์อย่างประเสริฐของบุรุษในโลกนี้ ๒. ประพฤติชอบจึงจะได้สุข ๓. รสคือความสัตย์เป็นรสประเสริฐกว่ารสทั้งปวง ๔. เป็นอยู่ด้วยปัญญาชื่อว่าเป็นอยู่อย่างประเสริฐ แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงธรรมให้อาฬาวกยักษ์ฟังจนลดพยศลง บังเกิดความความเลื่อมใสจนส�ำเร็จโสดาปัตติผลได้ดังนั้นจึงได้มีการน�ำเหตุการณ์ ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ขันติธรรมเอาชนะอาฬาวกยักษ์มาสร้างพระพุทธรูป ที่อยู่ในอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิพระหัตถ์ซ้ายอยู่บนพระเพลา(ตัก) พระหัตถ์ ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ(อก)จีบนิ้วพระหัตถ์เป็นกิริยาทรงแสดงธรรม บางแบบ พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระชานุ(เข่า) เรียกว่าปางโปรดอาฬาวกยักษ์หรือปางโปรด สัตว์ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปประจ�ำปีชวด _20-0355(151-316)p3.indd 222 6/7/2563 BE 09:22
223 ๓. ปางโปรดองคุลีมาล การโปรดองคุลีมาลของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ที่เมืองสาวัตถีมีเรื่องว ่าอหิงสกกุมารผู้เป็นบุตร ของปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ไปเรียน ศิลปศาสตร์ในส�ำนักทิศาปาโมกข์ ในเมืองตักกศิลา อหิงสกกุมารเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมมีความ พากเพียรและหมั่นปฏิบัติอาจารย์โดยเคารพ เสมอมา ท�ำให้อาจารย์รักมากกว่าศิษย์อื่น ๆ พวกศิษย์ เหล ่านั้นเกิดความริษยาพากันไปพูดยุยงอาจารย์ ว่าอหิงสกกุมารคิดประทุษร้ายต่ออาจารย์อาจารย์ หลงเชื่อจึงคิดยืมมือผู้อื่นฆ่าอหิงสกกุมาร โดยหลอก ว่าให้ไปฆ่าคนแล้วตัดนิ้วมือไว้คนละนิ้วให้ได้หนึ่งพัน จะสอนพระเวทชื่อวิษณุมนตร์ให้ อหิงสกกุมารหลงเชื่อจึงเที่ยวฆ่าคนตามป่าดง แล้วตัดนิ้วมือร้อยสะพายแล่งไว้กับตัวจึงได้ชื่อองคุลีมาลโจร องคุลีมาลฆ ่าคนมาจนอีกหนึ่งคนก็จะครบพันก็ได้พบพระพุทธเจ้าจึง วิ่งไล่ติดตามไปทางพระปฤษฎางค์หมายจะฆ่าพระพุทธองค์พระองค์ทรงบันดาล อิทธาภิสังขารท�ำให้องคุลีมาลแม้จะวิ่งจนสุดก�ำลัง ก็ไม ่อาจทันพระองค์ได้ ดังความในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ตอนที่ ๖.อังคุลิมาลสูตรว่า“...องคุลิมาลโจรได้มีความด�ำริว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีเลยด้วยว่าเมื่อก่อน แม้ช้างก�ำลังวิ่ง ม้าก�ำลังวิ่ง รถก�ำลังแล่น เนื้อก�ำลังวิ่ง เราก็ยังวิ่งตามจับได้แต่ว่าเราวิ่งจนสุดก�ำลัง ยังไม่ อาจทันสมณะนี้ซึ่งเดินไปตามปกติดังนี้จึงหยุดยืนกล่าวกะพระผู้มีพระภาคว่า จงหยุดก่อนสมณะ จงหยุดก่อนสมณะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาลท่านเล่า จงหยุดเถิด...” เมื่อองคุลีมาลได้ฟังจึงถามด้วยความสงสัยว่า “...ดูกรสมณะ ท่านก�ำลังเดินไป ยังกล่าวว่า เราหยุดแล้ว และท่านยังไม่หยุด _20-0355(151-316)p3.indd 223 6/7/2563 BE 09:22
224 ยังกล่าวกะข้าพเจ้าผู้หยุดแล้วว่าไม่หยุด ดูกรสมณะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้ กะท่าน ท่านหยุดแล้วเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุดแล้วเป็นอย่างไร” พระพุทธองค์ทรงตอบว่า พระองค์ทรงเลิกฆ่าฟันเบียดเบียนสรรพสัตว์ จึงได้ชื่อว่าหยุดแล้วในกาลทุกเมื่อ ส่วนองคุลีมาลยังฆ่าสัตว์ทั้งหลายอยู่ เพราะ ฉะนั้น เราจึงหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด เมื่อองคุลีมาลได้ฟังเกิดความเลื่อมใส จึงทิ้งดาบและอาวุธลงในเหวลึก ถวายบังคมพระบาทของพระพุทธเจ้าทูลขอ บรรพชา พระพุทธองค์จึงทรงบวชให้องคุลีมาลจึงได้เป็นเอหิภิกขุและท้ายสุด ได้เป็นพระมหาสาวกองค์ที่ ๘๐ พระพุทธรูปปางโปรดองคุลีมาลในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลง ข้างพระวรกาย พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ นิ้วพระหัตถ์ตั้งตรง หันฝ่า พระหัตถ์ไปทางซ้าย ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปประจ�ำปีมะโรง ๔. ปางทรงทรมานช้างนาฬาคิรี เหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงทรมานช้าง นาฬาคิรีมาจากพุทธประวัติตอนที่พระเทวทัตคิดจะ ฆ่าพระพุทธเจ้าโดยเอาเหล้าให้ช้างนาฬาคิรีซึ่งเป็น ช้างที่ดุร้าย เคยฆ่าคนมาแล้ว กินเพิ่มขึ้นเป็น ๒ เท่า จนเมา แล้วปล ่อยไปตามถนนที่พระพุทธองค์ เสด็จออกบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์พร้อมด้วย พระอานนท์และพระภิกษุองค์อื่น ๆ ช้างนาฬาคิรี วิ่งตรงมายังพระพุทธเจ้า พระอานนท์และพระภิกษุ ทั้งหลายต่างก็ทูลให้พระพุทธเจ้าเสด็จกลับถึงสาม ครั้ง แต่พระพุทธองค์ไม่เสด็จกลับ เวลานั้นมีหญิง อุ้มลูกวิ่งหนีช้างตรงมาที่พระพุทธองค์ครั้นช้างไล่ จวนจะทัน เห็นว่าจะหนีไม่พ้น จึงได้วางลูกเสียแล้ววิ่งเข้าข้างทางไป ช้างนาฬาคิรี ก็ตรงเข้ามาจะแทงทารกนั้น พระพุทธองค์ทรงแผ่พระเมตตาต่อช้างนาฬาคิรี _20-0355(151-316)p3.indd 224 6/7/2563 BE 09:22
225 ครั้นช้างนาฬาคิรีได้สัมผัสพระเมตตา ก็ลดงวงลงยืนอยู ่ตรงพระพักตร์ พระพุทธเจ้าทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้างนาฬาคิรีแล้วตรัสเทศนา ท�ำให้ ช้างนาฬาคิรีคลายจากความเมา เอางวงลูบละอองธุลีพระบาทแล้วพ่นลงบน กระหม่อมของตน จากนั้นก็เดินกลับไป พระพุทธรูปปางทรงทรมานช้างนาฬาคิรีอยู ่ใน พระอิริยาบถยืน ห้อยพระหัตถ์ซ้าย ยกพระหัตถ์ขวายื่น ออกไปข้างหน้าเสมอพระนาภีคว�่ำพระหัตถ์เป็นกิริยาทรง ลูบกระพองศีรษะช้างนาฬาคิรีที่เข้าเฝ้าอยู่แทบพระบาท ส่วนอีกแบบหนึ่งเป็นพระพุทธรูปยืน มีรูปพระอานนท์ และรูปช้าง หรือมีแต่รูปช้างประกอบ พระพุทธรูปปาง ทรงทรมานช้างนาฬาคิรีที่มีลักษณะดังกล่าวนี้พบน้อยมาก เช่น พระศิลาปางทรงทรมานช้างนาฬาคิรีที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ พระพุทธรูปองค์นี้ท�ำจากหินชนวนสีด�ำ และเป็นศิลปะอินเดีย สมัยปาละอายุประมาณพุทธศตวรรษที่๑๔-๑๕ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าปางทรง ทรมานช้างนาฬาคิรีเป็นปางที่มีก�ำเนิดในอินเดียอนึ่งปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ ได้ปิดทองจึงไม่เห็นว่าเป็นศิลาสีด�ำ ๕. ปางโปรดพกาพรหม เรื่องการโปรดพกาพรหมกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ตอนที่ ๙ พรหมนิมันตนิกสูตร มีความ ว ่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปชั้นพรหมโลกเพื่อโปรด ท้าวพกาพรหมผู้มีความเข้าใจผิดคิดว ่าสรรพสิ่ง ทั้งปวงมีความเที่ยงแท้ยั่งยืน ซึ่งขัดต่อค�ำสอนของ พระพุทธเจ้า ที่ว ่าสรรพสิ่งย ่อมไม ่เที่ยง เมื่อท้าว พกาพรหมแลเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาก็ทูลเชิญให้ _20-0355(151-316)p3.indd 225 6/7/2563 BE 09:22
226 เสด็จเข้ามาสู่วิมาน ในเวลานั้นบรรดาท้าวมหาพรหมทั้งหลายต่างก็พากันมา ประชุมพร้อมกันในที่นั้นเป็นอันมาก ท้าวพกาพรหมจะทูลถามข้อธรรมะด้วยประการใด ๆ พระพุทธเจ้าก็ทรง ตอบได้ทุกประการ ท้าวพกาพรหมจึงต้องการแสดงฤทธิ์ของตนให้ปรากฏโดยให้ หายตัวไป แต่ก็ไม่อาจจะท�ำได้จึงทูลให้พระพุทธเจ้าหายตัวบ้าง พระพุทธองค์ ก็ทรงหายตัวแต่ยังทรงแสดงธรรมอยู่ พวกพรหมทั้งหลายจึงได้ยินแต่พระสุรเสียง ที่แสดงธรรมเท่านั้นเป็นที่อัศจรรย์แก่พรหมทั้งหลายเป็นอันมาก เรื่องราวตอนที่ประลองอิทธิฤทธิ์หายตัวนั้นมีเล่าในบางแห่งว่าพระพุทธเจ้า ทรงหาท้าวพกาพรหมพบได้ทุกครั้งไม่ว่าจะจ�ำแลงตนเป็นอะไรแม้แต่ครั้งสุดท้าย ที่ท้าวพกาพรหมได้จ�ำแลงตนให้ละเอียดลงถึงขั้นกลายเป็นเม็ดทรายแทรกใน มหาสมุทร ก็ทรงบอกได้ว่าเป็นทรายเม็ดใด แต่เมื่อพระพุทธองค์หายพระองค์ ไปเดินจงกรมอยู่เหนือเศียรของท้าวพกาพรหม ท้าวพกาพรหมไม่สามารถจะหา พระองค์ได้ไม่ว่าจะเข้าฌานส่องทิพยจักษุญาณไปทั่วทั้งโลก อบายภูมิเทวโลก และพรหมโลก ท้าวพกาพรหมจึงยอมแพ้และขอให้พระพุทธเจ้าปรากฏพระองค์ พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระกายให้ปรากฏ แล้วตรัสเทศนาให้ท้าวพกาพรหมฟัง จนมีน�้ำใจอ่อนน้อม เชื่อในพระบรมพุทโธวาทแล้วละวางทิฏฐิเสีย ต�ำนานเรื่องที่คล้ายกันนี้พบในคัมภีร์โลกบัญญัติ กล่าวถึงพระพุทธเจ้า ทรงทรมานท้าวมหิศรเทวบุตรหรือพระอิศวร พระพุทธรูปปางโปรดพกาพรหมเป็นพระพุทธรูปยืน พระหัตถ์ทั้งสอง วางทาบบนพระเพลา (ตัก) บางแบบพระหัตถ์ประสานกันอยู่ระหว่างพระเพลา พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย ทอดพระเนตรลงต�่ำ อยู่ในอาการสร้างสังวรจงกรม บนเศียรของพกาพรหมที่ประทับบนหลังโคอุสุภราช พระพุทธรูปปางโปรดท้าว พกาพรหมนี้ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปประจ�ำปีขาล พระพุทธรูปทั้ง ๕ ปางนี้ผู้สนใจสามารถไปนมัสการได้ที่ระเบียงพระปฐม เจดีย์วัดพระปฐมเจดีย์จังหวัดนครปฐม (รศ.กรรณิการ์ วิมลเกษม) _20-0355(151-316)p3.indd 226 6/7/2563 BE 09:22
227 หนังสืออ้างอิง คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ส�ำนักนายกรัฐมนตรี.“หลักที่ ๑๓๒ จารึกบนหลังกรอบไม้สัก ด้านปฤษฎางค์พระพุทธรูปศิลา ปาง ทรมานช้างนาราคีรีวัดเชียงหมั้นจ.เชียงใหม่” ในประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๖ ตอนที่ ๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ส�ำนักท�ำเนียบนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๗. เชษฐ์ติงสัญชลี. พระพุทธรูปอินเดีย. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๕๔. ต�ำราพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ตามมติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ ปรมานุชิตชิโนรส. พิมพ์เป็นประกาศเกียรติคุณสมเด็จพระมหา สมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ๙-๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๐. ปรมานุชิตชิโนรส,สมเด็จกรมพระ. ปฐมสมโพธิกถา.กรุงเทพฯ:อ�ำนวยสาส์น, ๒๕๓๙. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรคภาค ๒ ปล่อยช้างนาฬาคีรี บรรทัดที่ ๓๖๙๗-๓๗๖๙. หน้าที่ ๑๕๓-๑๕๖. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ตอนที่ ๙ พรหมนิมันตนิกสูตร ว่าด้วยพกพรหมมีทิฏฐิอันลามก. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ตอนที่ ๖ อังคุลิมาลสูตร พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดองคุลิมาลโจร. พระยาพจนสุนทรและพระยาวิจิตรธรรมปริวัตร ผู้แปล. พุทธชัยมงคล ๘. พิมพ์ครั้งที่๓.พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานท�ำบุญอายุครบ๘๐ปีพระปรีชาเฉลิม (ติลกะเถระ) ณ พระอุโบสถวัดเฉลิมพระเกียรติจังหวัดนนทบุรี, วันที่ ๑๕-๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔. พระวินัยปิฎกจูฬวรรค[๗.สังฆเภท ขันธกะ] ๒. ทุติยภาณวาร นาฬาคิริเปสนะ ว่าด้วยพระเทวทัตปล่อยช้าง นาฬาคิรีโปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๗ หน้า : ๑๙๕-๑๙๗. สังคม ศรีราช. “มหาสาวก-พระ.” ในสารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๒๒ ภัททิยะ-มโหสถ. กรุงเทพฯ : ไทยมิตรการพิมพ์, ๒๕๓๓. _20-0355(151-316)p3.indd 227 6/7/2563 BE 09:22
228 พระกรุ ตามธรรมเนียมนิยมแต่ครั้งโบราณกาล เมื่อสร้างพระพิมพ์แล้วจะน�ำไป บรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์พระปรางค์ซึ่งนิยมเรียกว่ากรุเพื่อเป็นการท�ำบุญ และ เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา ให้มีอายุ ๕,๐๐๐ ปีตามคติเรื่องปัญจอันตรธาน ที่เชื่อว่าพระศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้าจะมีอายุเพียง ๕,๐๐๐ ปีหลังจากนั้น พระพุทธศาสนาจะสูญไป ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้นิยมสร้างพระแล้วบรรจุไว้ในกรุ เพื่อในอนาคตเมื่อมีผู้ พบพระพุทธรูปหรือพระพิมพ์แล้ว จะได้รู้จักพระพุทธศาสนา พระพิมพ์และพระพุทธรูปอื่น ๆ ที่พบในกรุของพระเจดีย์พระปรางค์ต่างๆ นิยมเรียกว่า พระกรุ ตามแหล่งที่มาที่พบ เช่น พระกรุพระพิมพ์ดินดิบพบใน เจดีย์ที่อ�ำเภอยะรังจังหวัดปัตตานีพระกรุในกรุพระปรางค์วัดราชบุรณะจังหวัด พระนครศรีอยุธยา พระกรุมีทั้งที่เป็นพระพิมพ์และพระที่หล่อด้วยโลหะต่าง ๆ เช่น ส�ำริด ชิน เงิน ทอง พระกรุที่พบในประเทศไทยมีจ�ำนวนมาก เช่น พระรอดและ พระคงซึ่งเป็นพระกรุล�ำพูนพระก�ำแพงเขย่งจากกรุทุ่งเศรษฐีจังหวัดก�ำแพงเพชร พระนางพญาจังหวัดพิษณุโลก พระกรุวัดมหาธาตุจังหวัดสุพรรณบุรีพระกรุสมัย รัตนโกสินทร์ที่ส�ำคัญได้แก่ พระสมเด็จโต (พระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี) กรุวัด บางขุนพรหม (วัดใหม่อมตรส) พระขรัวอีโต้ลอยน�้ำจากกรุวัดเลียบ (วัดราชบุรณะ กรุงเทพฯ)ซึ่งตามประวัติกล่าวว่าเปิดกรุเมื่อคราวสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้า พระกรุวัดเงินวัดทอง เปิดกรุเมื่อสร้างท่าเรือใหม่ที่ช่องนนทรีพระกรุวัดพลับ จากกรุวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม)และพระกรุวัดลิงขบ (วัดบวรมงคล บางพลัด) นอกจากนี้ยังมีพระที่ได้จากกรุวัดจักรวรรดิราชาวาส(วัดสามปลื้ม) ที่เชื่อ กันว่าเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์สิงหเสนี) สร้างแล้วบรรจุกรุไว้เป็นต้น ปัจจุบันค�ำว่า พระกรุ นิยมเรียกพระพิมพ์ที่ไม่รู้จักนามผู้สร้าง (รศ. ดร.ศานติ ภักดีค�ำ) _20-0355(151-316)p3.indd 228 6/7/2563 BE 09:22
229 พระเนื้อผง พระเนื้อผงจัดอยู่ในกลุ่มของพระพิมพ์ซึ่งนิยมสร้างขึ้นด้วยดินจากที่ต่างๆ เช่น ดินก้นกรุดินสอพองที่ปลุกเสกแล้วดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ผสมกับว่าน เช่น ว่านเสน่ห์จันทน์ดอกไม้ที่บูชาพระแล้วชานหมากของพระเกจิอาจารย์และเนื้อผง ที่ได้จากพระพิมพ์เก่า ๆ ที่ช�ำรุด พระเนื้อผงมีหลายแบบหลายชนิดด้วยกัน เมื่อสร้างแล้วจะน�ำไปบรรจุไว้ในที่ต่างๆเช่น องค์พระเจดีย์ตามฐานพระพุทธรูป หรือตามถ�้ำในภูเขา เพื่อสืบพระพุทธศาสนา พระพิมพ์ที่ประกอบขึ้นด้วยผง หรือพระเนื้อผงของไทยนั้น มีหลักฐานว่า สร้างมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัยแต่พบมากในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เช่น สมเด็จ พระสังฆราช (สุก) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า พระสังฆราชไก่เถื่อน เป็นผู้สร้างพระ เนื้อผงตั้งแต่ยังครองวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) พระผงที่ท่านสร้างเป็นพระผง ผสมปูนขาว นิยมเรียกในเวลาต่อมาว่า พระวัดพลับ ต่อมาเมื่อเสด็จมาครอง วัดมหาธาตุก็ได้ทรงสร้างขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีผู้สร้างพระผงในช่วงเวลาใกล้เคียง กันอีกหลายท่าน เช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สร้างพระสมเด็จ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์สิงหเสนี) สร้างพระเนื้อผงดินสอแล้วบรรจุไว้ที่ วัดจักรวรรดิราชาวาส การสร้างพระพิมพ์ด้วยผงดินสอนี้ตามต�ำรากล่าวว่าผงที่น�ำมาสร้างเป็น ผงดินสอที่ใช้เขียนอักขระที่เป็นคาถาตามคัมภีร์พระไตรปิฎก เช่น สูตรหัวใจ พระสุตตันตปิฎก หัวใจอิติปิโส และผงที่ได้จากการปลุกเสกด้วยพระคาถาซึ่ง เรียกชื่อตามค�ำขึ้นต้นของพระคาถาเหล่านั้น เช่น คาถาที่ขึ้นต้นด้วยอิทธิเจเรียก ผงอิทธิเจ คาถาที่ขึ้นต้นด้วย ปัถมัง เรียกว่า ผงปถมัง เชื่อกันว ่าพระเนื้อผงเช ่น พระสมเด็จ พระนางพญา พระขุนแผน มี อานุภาพในทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรีและคลาดแคล้วจากอันตราย ต่าง ๆ (รศ. ดร.ศานติ ภักดีค�ำ) _20-0355(151-316)p3.indd 229 6/7/2563 BE 09:22
230 พระปิดตา พระปิดตา หรือ พระควัมบดี(ควัมปติ) เป็นพระเครื่องรางที่มีประวัติ ความเป็นมาเกี่ยวเนื่องกับพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล คือ พระควัมบดี (บางครั้งในวงการพระเครื่องของไทยนิยมเรียกว่า พระภควัมบดีแต่ตามคัมภีร์ พระพุทธศาสนาเรียกว่า พระควัมปติ) ตามประวัติในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่าควัมปติเป็นชื่อกุลบุตร ผู้เป็นสหายของพระยสะเป็นบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีได้ทราบข่าวว่า พระยสะ ออกบวชจึงออกบวชตามพร้อมสหายอีกสามคน คือ วิมล สุพาหุ และปุณณชิ ต่อมาได้ส�ำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด กล่าวกันว่า พระควัมบดีมีรูปร่างคล้าย พระพุทธเจ้า พระควัมบดีจึงอธิษฐานให้ตนเองมีร ่างกายที่อ้วนท้องพลุ้ย ซึ่งคนไทยมักสับสนกับพระมหากัจจายนะ หรือ พระสังกัจจายน์ ซึ่งเป็น พระอรหันต์อีกรูปหนึ่ง นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า ด้วยเหตุที่พระควัมบดีมีความงามละม้ายคล้าย พระพุทธเจ้าจนท�ำให้ผู้พบเห็นมักจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระควัมบดีจึงปิดหน้าตนเองเพื่อไม ่ให้ผู้ใดได้เห็น จนท�ำให้เกิดการสร้าง พระปิดตาขึ้น การสร้างพระปิดตา นอกจากจะมีคติการสร้างที่เกี่ยวข้องกับพระควัมบดี แล้วยังมีคติการสร้างพระที่มีลักษณะคล้ายพระปิดตาคือการสร้างพระปิดทวาร ทั้งเก้า ซึ่งหมายถึงการป้องกันมิให้กิเลสเข้ามาตามทวารต่าง ๆ และการสร้าง พระปิดตามหาอุดซึ่งหมายถึงการป้องกันสรรพยันตรายทั้งหลายที่จะเข้ามาสู่ตน และปิดกั้นกิเลสทั้งปวงอีกด้วย (รศ. ดร.ศานติ ภักดีค�ำ) _20-0355(151-316)p3.indd 230 6/7/2563 BE 09:22