The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเผยแพร่หนังสือที่ระลึกเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ธีรวัฒน์ อินทรีย์, 2023-03-27 10:10:40

นานาสาระไทย

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเผยแพร่หนังสือที่ระลึกเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์

Keywords: นานาสาระไทย

231 พระพิฆเนศวร์ เทพเจ้าแห่งศิลปวิทยา พระพิฆเนศวร์เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์ที่ได้รับความนิยม กราบไหว้บูชาอย่างมาก ด้วยเหตุที่พระนามของพระองค์แปลว่า ผู้ขจัดความ ขัดข้องหรืออุปสรรคทั้งปวง ซึ่งหมายถึงทรงเป็นเทพผู้ประทานความส�ำเร็จใน ทุกสิ่งทุกอย่าง ท�ำให้นับถือกันว่า ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาทุกแขนง พระพิฆเนศวร์เป็นโอรสของพระศิวะกับพระนางปารพตี(พระอุมา) มีลักษณะร ่างกายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะคือ รูปร ่างเป็นมนุษย์สัณฐานเตี้ย พระอุระกว้าง พระอุทรพลุ้ย มีเศียรเป็นช้าง มีงาข้างเดียวสีกายแดงหรือสีทองค�ำ ที่ก�ำลังร้อน มีหนูเป็นพาหนะ ประวัติของพระพิฆเนศวร์ปรากฏในคัมภีร์หลายฉบับและยังมีรายละเอียด แตกต่างกัน เช่น ตามคัมภีร์พรหมไววรรตปุราณะ กล่าวว่า เนื่องจากพระนาง ปารพตีไม่เกิดโอรสพระศิวะจึงแนะน�ำให้พระนางท�ำพิธีปันยากพรตบูชาพระวิษณุ พระนางก็ได้โอรสตามความปรารถนา เมื่อเหล่าทวยเทพทราบข่าวก็พากันมา แสดงความยินดีครั้งนั้นพระศนิ(พระเสาร์) ก็มาด้วย แต่เนื่องจากพระศนินั้น มีนัยน์ตาที่มองดูหน้าใครผู้นั้นก็จะประสบภัย พอพระศนิมองดูพระกุมาร เศียร ของพระกุมารก็ขาดจากพระศอกระเด็นหายไป เมื่อพระวิษณุทรงทราบก็ทรง ครุฑไปยังแม่น�้ำบุษปภัทร ทอดพระเนตรเห็นช้างนอนหลับ หันหัวไปทางทิศเหนือ ซึ่งถือกันว่าเป็นทิศอัปมงคลจึงตัดหัวช้างมาต่อที่พระศอของพระกุมาร พระกุมาร มีเศียรเป็นช้างแล้วกลับฟื้นคืนชีพดังเดิม ส่วนพระศนิก็ถูกพระนางปารพตีสาป ให้เดินขาเขยกมาแต่คราวนั้น อีกคัมภีร์หนึ่งกล่าวว่า พระนางปารพตีเอาไคลขมิ้นที่ทาพระพักตร์และ พระกายมาปั้นแล้วเนรมิตเป็นชายรูปงาม ให้ท�ำหน้าที่เป็นทวารบาลเฝ้าประตู ขณะที่พระนางก�ำลังสรงน�้ำอยู่ วันหนึ่งพระศิวะจะเสด็จเข้าไปสู่ที่สรงนั้น แต่ นายทวารบาลไม่ยอมให้เข้าไป เกิดต่อสู้กันพระศิวะสู้ไม่ได้ขอให้พระวิษณุกับ ทวยเทพมาช่วยแต่ก็สู้ไม่ได้อีก พระวิษณุจึงใช้อุบายเนรมิตรูปมายาเป็นนางงาม _20-0355(151-316)p3.indd 231 6/7/2563 BE 09:22


232 นายทวารบาลเหม่อดูรูปมายานั้น พระวิษณุได้โอกาสตัดคอนายทวารบาลขาด ความทราบถึงพระนางปารพตีกริ้วมาก พระศิวะจึงต้องให้เทพไปหาหัวผู้ที่นอน หันหัวไปทางทิศเหนือ ซึ่งเป็นทิศอัปมงคลมาใส่แทน เทพนั้นได้หัวช้างมาต่อ นายทวารบาลจึงมีหัวเป็นช้าง พระศิวะได้แต่งตั้งให้เป็นใหญ่ในหมู่เทพรับใช้ของ พระองค์จึงได้นามว่า วินายก หรือ คเณศ หรือ คณบดี พระพิฆเนศวร์โปรดเสวยขนมโมทกะ (ขนมต้ม) คราวหนึ่งเสวยขนมต้ม ที่คนน�ำมาบูชาในงานพิธีมากเกินขนาดจนท้องยุ้ย เสร็จงานแล้วทรงนั่งมาบน หลังหนูกลับในเวลากลางคืน ระหว่างทางมีงูตัวหนึ่งเลื้อยผ่านหน้าไป หนูไม่ทัน ระวังเห็นงูก็ตกใจหลบอย่างกะทันหัน พระพิฆเนศวร์พลัดตกลงจากหลังหนูโดย แรงถึงท้องแตก ขนมต้มทะลักออกจากท้อง ด้วยความเสียดาย พระพิฆเนศวร์ รีบโกยขนมเข้าไว้ในท้องตามเดิม แล้วจับงูตัวนั้นรัดท้องไว้นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระพิฆเนศวร์มีงูพันอยู่รอบท้องหรือคล้องเป็นสังวาลเสมอ ขณะนั้นพระจันทร์ มองเห็นก็นึกข�ำ จึงหัวเราะเสียงดัง พระพิฆเนศวร์อายและโกรธมากที่พระจันทร์ หัวเราะเยาะจึงสาปให้พระจันทร์อับแสงไปตลอดกาลโลกที่เคยมีแสงสว่างตลอด เวลากลับต้องมืดมิดไปในยามราตรีเหล่าทวยเทพต่างเศร้าหมองอย่างยิ่งจึงพากัน ไปอ้อนวอนขอให้พระพิฆเนศวร์ถอนค�ำสาป พระพิฆเนศวร์ใจอ่อนแต่ก็ยังไม่หาย โกรธเสียทีเดียว ยอมถอนค�ำสาปให้ครึ่งหนึ่ง โดยก�ำหนดให้ภายใน ๑ เดือน พระจันทร์จะส่องแสงสว่างได้๑๕ วัน และอีก ๑๕ วันจะมืดมิดไป จึงท�ำให้มีวัน ข้างขึ้นข้างแรมขึ้นในโลกนับแต่นั้นเป็นต้นมา ในส ่วนที่กล ่าวว ่าพระพิฆเนศวร์มีงาเดียวก็เล ่าไว้หลายอย ่าง เช ่นใน คัมภีร์หนึ่งกล่าวว่า ครั้งหนึ่งขณะที่พระศิวะกับพระนางปารพตีก�ำลังพักผ่อน พระอิริยาบถอยู่ด้วยกันในพระราชฐานชั้นใน โดยสั่งให้พระพิฆเนศวร์เฝ้าประตู ไว้ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปภายใน ขณะนั้นปรศุราม ซึ่งเป็นอวตารของพระวิษณุได้ ขอยืมขวานของพระศิวะไปท�ำลายเหล่ากษัตริย์ เมื่อเสร็จภารกิจแล้วจะขอเข้า เฝ้าพระศิวะ พระพิฆเนศวร์ไม่ยอมให้เข้าไปเฝ้า ปรศุรามกริ้วมากใช้ขวานของ _20-0355(151-316)p3.indd 232 6/7/2563 BE 09:22


233 พระศิวะขว้างไปยังพระพิฆเนศวร์ พระพิฆเนศวร์จ�ำได้ว่าเป็นขวานของพระบิดา ไม่บังอาจเข้าต่อสู้จึงใช้งาข้างขวารับขวานนั้นท�ำให้งาหัก พระพิฆเนศวร์จึงน�ำงา ที่หักนั้นมาถือเป็นอาวุธ คัมภีร์หนึ่งตามคติไทยกล่าวว่า มีอัปสรตนหนึ่งกระท�ำความผิด จุติมา เกิดเป็นช้างน�้ำชื่ออสุรภังคีมีนิสัยดุร้ายเกเร ท�ำความเดือดร้อนให้แก่โลกทั้งสาม พระอิศวรจึงให้พระขันทกุมาร โอรสของพระองค์ไปปราบ แต่จะให้โสกันต์ก่อน จึงจัดงานพิธีบนเขาไกรลาส กับให้เชิญเทพเจ้าผู้เป็นใหญ ่มีพระพรหม พระนารายณ์มาเจริญพระเกศา ในวันมงคลนั้น พระนารายณ์บังเอิญบรรทม หลับสนิท พระอิศวรจึงให้พระอินทร์น�ำพระมหาสังข์ไปเป ่าปลุกบรรทม พระนารายณ์แว่วเสียงสังข์ก็ลืมพระเนตรขึ้นเห็นพระอินทร์จึงถามว่า “โลกมี เหตุอันใด” พระอินทร์ทูลว่า “พระอิศวรมีเทวโองการให้เชิญเสด็จไปเจริญ พระเกศาพระขันทกุมาร” พระนารายณ์ก็พลั้งพระโอษฐ์ว่า “ลูกหัวหายจะนอน หลับให้สบายก็ไม่ได้”แล้วพระองค์ก็เสด็จสู่เขาไกรลาสพร้อมกับพระอินทร์ขณะที่ พระนารายณ์ตรัสออกมานั้น ด้วยอ�ำนาจวาจาสิทธิ์พระเศียรกุมารหายไปทันที พระอิศวรจึงให้พระวิษณุกรรมไปยังโลกมนุษย์เพื่อตัดศีรษะคนที่จะถึงมรณกรรม พระวิษณุกรรมเดินทางเสาะหาจนทั่วในวันนั้น ไม ่มีคนผู้ใดตาย พบแต่ช้าง นอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก จึงตัดศีรษะช้างนั้นไปต่อเศียรพระขันทกุมาร เทพเจ้าทั้งสามพร้อมใจกันเปลี่ยนนามพระขันทกุมารให้ใหม่ว่า วิฆเนศ หรือ พิฆเนศวร์แล้วพระพิฆเนศวร์ก็ส�ำแดงเดชให้มี๔ กร ถือบ่วงบาศขอค้อน และ ก้อนเหล็กแดง ทรงหนูเป็นพาหนะเดินทางไปปราบอสุรภังคีตามพระบัญชาของ พระอิศวรขณะต่อสู้กันอสุรภังคีหนีด�ำลงไปในน�้ำ พระพิฆเนศวร์ก็ลงไปสูบน�้ำขึ้น ไว้ในท้องจนหมด พอเห็นตัวก็หักงาซ้ายขว้างถูกอสุรภังคีตาย จากนั้นพระองค์ ก็คายน�้ำออกมาคืนดังเก่า และน�ำงาที่หักนั้นถือเป็นอาวุธสืบไป ในการสร้างเป็นรูปเคารพ เฉพาะประเทศไทยพบประติมากรรมพระ พิฆเนศวร์เก่าที่สุดอยู่ที่เทวสถาน ถนนดินสอกรุงเทพฯ อายุราวพุทธศตวรรษที่ _20-0355(151-316)p3.indd 233 6/7/2563 BE 09:22


234 ๑๐ เป็นรูปพระพิฆเนศวร์ประทับในท่ามหาราชลีลากับยังได้ขุดพบพระพิฆเนศวร์ ศิลาประทับนั่งที่เมืองพระศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒หลักฐานทั้ง๒นี้บ่งบอกถึงความเชื่อว่าในดินแดนประเทศไทยมีการนับถือ เคารพบูชาพระพิฆเนศวร์มาแล้ว อย่างน้อยน่าจะอยู่ในช่วงเวลาพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๒ และในเวลาต่อมาก็พบว่ามีรูปเคารพพระพิฆเนศวร์ปรากฏอยู่ในศิลปะ ทุกยุคทุกสมัยของประเทศไทย เนื่องจากพระพิฆเนศวร์เป็นที่นับถือกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสติปัญญาและ ยังเป็นผู้ขจัดอุปสรรคทั้งปวงดังนั้น เมื่อผู้ใดจะประกอบกิจการงานส�ำคัญ ๆเช่น เมื่อจะเริ่มต้นแต่งหนังสือ ก็จะบวงสรวงขอพรให้คุ้มครองรักษาและบันดาลให้ กิจการนั้น ๆ ประสบผลส�ำเร็จและด้วยเหตุที่พระองค์เคยปราบช้างน�้ำอสุรภังคี และยังมีเศียรเป็นช้างด้วย จึงถูกดึงให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับพิธีคชกรรม โดยยก ขึ้นเป็นบรมครูแห่งช้าง ได้นามว่า พระเทวกรรม เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งวรรณคดี สโมสรใน พ.ศ. ๒๔๕๗ ทรงก�ำหนดให้ใช้รูปพระพิฆเนศวร์เป็นตราของวรรณคดี สโมสร โดยท�ำเป็นตรารูปกลม มีพระพิฆเนศวร์นั่งแท่นอยู่ตรงกลาง มี๔ กร กรขวาบนทรงวัชระ กรขวาล่างทรงงา กรซ้ายบนทรงบ่วงบาศ กรซ้ายล่างทรง หม้อน�้ำ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๘๐ กรมศิลปากรได้น�ำรูปพระพิฆเนศวร์มาเป็นตรา ประจ�ำกรม โดยท�ำเป็นตรารูปกลม พระพิฆเนศวร์ประทับอยู่บนลายเมฆตรงกลาง รอบวงกลมมีลวดลายเป็นดวงแก้ว๗ดวงแต่ละดวงหมายถึงศิลปวิทยาการ๗สาขา คือ จิตรกรรม ช่างปั้น สถาปัตยกรรม ดุริยางคศิลป์ นาฏศิลป์อักษรศาสตร์ และวาทศิลป์ เมื่อมหาวิทยาลัยศิลปากรก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๖ ก็ได้ใช้ตรา พระพิฆเนศวร์เป็นตราประจ�ำมหาวิทยาลัยด้วย คนทั้งหลายนับถือว่าพระพิฆเนศวร์เป็นบรมครูทางศิลปะ ในสมัยต่อ ๆ มายังเพิ่มพูนความเชื่อเกี่ยวกับพระพิฆเนศวร์มากขึ้น นิยมสร้างรูปขึ้นเคารพบูชา แพร่หลายอย่างกว้างขวางในรูปแบบต่างๆหลากหลายอิริยาบถและแม้แต่บทสวด บูชาก็มากมายหลายอย่าง โดยมีความเชื่อเป็นหนึ่งเดียวกันว่า พระพิฆเนศวร์ _20-0355(151-316)p3.indd 234 6/7/2563 BE 09:22


235 เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาและสติปัญญา เป็นผู้ขจัดอุปสรรค และอ�ำนวยความ ส�ำเร็จ ให้ผู้เคารพบูชาประสบผลสมปรารถนาทุกเรื่องทุกประการ ตัวอย่างบทสวดบูชา ๏ โอม ศรีคเณศายะ นะมะ II ๏ สวัสติชยะ ลาภะ ฤทธิประสิทธิเม II (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) พระแม่ธรณี พระแม่ธรณีแปลตามศัพท์ว่า มารดาของโลกหรือมารดาของแผ่นดิน เป็นเทวสตรีที่เป็นที่รู้จักกันดี ในพุทธประวัติก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ครั้งนั้น พญาวสวัตดีมารเข้าขัดขวางการบ�ำเพ็ญบารมีของพระองค์ โดยอ้างว่า พุทธบัลลังก์ที่ประทับนี้เป็นของตนมาก่อน และต้องการให้พระองค์ลุกจากที่นั่ง ไปเสีย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอ้างพระแม่ธรณีเป็นพยานว่าบัลลังก์นี้เคยเป็นของ พระองค์และทุกครั้งที่ทรงบ�ำเพ็ญบารมีจะทรงหลั่งน�้ำเพื่อเป็นเครื่องหมายของ การบ�ำเพ็ญบารมีด้วยดังความที่ปรากฏตอนหนึ่งในปฐมสมโพธิกถาว่า“พื้นปฐพี อันปราศจากเจตนาได้สดับค�ำอาตมาในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า แล้ว เหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะ ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้น มหิรธรา จึงออกพระวาจาประกาศแก่พระนางธรณีว่า ดูกรวนิดาดลนารีตั้งแต่ อาตมาบ�ำเพ็ญพระสมดึงบารมีมาตราบเท่าถึงอัตตภาพเป็นพระเวสยันดรภาพ ได้เสียสละบุตรทานบริจาคและสัตตสดกทาน สมณพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระท�ำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้มีแต่พสุนธรนารีนี้และรู้เห็นเป็นพยาน อันใหญ่ยิ่งเป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยาน อาตมในกาลบัดนี้”แล้วพระแม่ธรณี ก็ปรากฏกายขึ้นและกล ่าวว ่าพระบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ทรงบ�ำเพ็ญแต ่ อดีตชาตินั้นมีมากมาย แล้วบิดมวยผมแสดงอุทกทานที่พระโพธิสัตว์ได้กรวดน�้ำ ไว้ท�ำให้กองทัพพญามารพ่ายแพ้ปลาสนากาลไปสิ้น _20-0355(151-316)p3.indd 235 6/7/2563 BE 09:22


236 รูปปั้นพระนางธรณีและภาพจิตรกรรมรูปพระนางธรณีที่พบ เป็นภาพ เทพธิดา หรือเทวดาสตรีในท่ายืนบิดมวยผม หรือนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง เอียงกาย เล็กน้อย และกรีดนิ้วบีบมวยผม จิตรกรรมฝาผนังรูปพระนางธรณีนี้มักจะเขียน อยู่ใต้ภาพพระพุทธเจ้าประทับในเรือนแก้ว ใต้ร่มโพธิ์พฤกษ์มีกองทัพพญามาร เข้ามากระท�ำการต่อสู้ทางด้านซ้ายมือของพระองค์และกองทัพพญามารที่ ยอมศิโรราบต่อพุทธบารมีปรากฏทางด้านขวา จิตรกรรมรูปพระนางธรณีที่งาม เช่น ที่วัดชมภูเวก จังหวัดนนทบุรีเป็นรูปพระนางธรณีนั่งชันเข่า อยู่ในซุ้ม ยอดแหลม นิ้วที่กรีดบีบน�้ำจากมวยผมนั้นงามยิ่งนัก หรือรูปพระนางธรณีที่วัด เกาะแก้วสุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรีก็แสดงพลังอย่างชัดเจนด้วยสีพื้นหลัง ที่แดงสด พระนางธรณียืนบิดกาย มวยผมยาวจรดบั้นเอว มือซ้ายยกขึ้นเหนือ ศีรษะจับที่โคนมวยผม มือขวากรีดนิ้วจับปลายมวยเพื่อปล่อยอุทกทานออกมา มีเครื่องประดับทับทรวงตกแต่งอย่างสวยงาม ส่วนงานประติมากรรม เช่น รูปปั้นพระแม่ธรณีที่บริเวณริมคลองคูเมืองเดิม ใกล้กับสนามหลวงด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถมีพระราชเสาวนีย์ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ เป็นอุทกทาน ส�ำหรับประชาชนทั่วไปได้ใช้น�้ำประปา หรือที่ฐานพระพุทธรูปซึ่ง มักจะแกะหรือ ปั้นเป็นรูปพระนางธรณียืน บีบมวยผมที่ยาวตกมาด้านข้างเช่น ฐานพระพุทธรูป ปูนปั้น ศิลปะอยุธยาที่จัดแสดงในอาคาร ๒ พิพิธภัณฑสถานแห ่งชาติเจ้า สามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นรูปพระแม่ธรณีปูนปั้นลงรักยืนบีบ มวยผม บิดเอวเล็กน้อยพองาม อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว เค้าโครงใบหน้าเป็นรูปไข่ ท่อนแขนโค้งอ่อนรับกับทรวดทรงที่มีความพอดีไม่เทอะทะแต่ก็แฝงไว้ด้วยความ สุขุมลุ่มลึก สมกับผู้ที่เป็นพยานหลักของแผ่นดิน นอกจากนี้อาจพบเห็นภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผมที่ตราประจ�ำการประปา แห่งประเทศไทยได้อีกด้วย (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) _20-0355(151-316)p3.indd 236 6/7/2563 BE 09:22


237 หนังสืออ้างอิง ปรมานุชิโนรส,สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระ. ปฐมสมโพธิกถา. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๐. พระยายืนชิงช้า ในพระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปรียบเทียบการเสด็จไปเที่ยวห้างของพระองค์ว่าเป็นเรื่องเหมือนพระยายืน ชิงช้า และคนดูพระองค์แน่นเหมือนดูพระยายืนชิงช้า ดังนี้ ก่อนเวลากินเข้า ได้ไปเที่ยวห้างริม ๆ นั้นเอง การมันใหญ่มากเหมือน พระยายืนชิงช้าเมื่อจะออกเดินจากชมรมนี้ไปชมรมโน้น มีโปลิศม้าไปกัน คนเสียก่อน แล้วราชองครักษ์แลเจ้าเมืองกรมการเดินสองข้างเหมือน พราหมณ์พวกคนก็ดูแน่นเหมือนดูพระยายืนชิงช้า... พระยายืนชิงช้า คือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่รับหน้าที่เป็นพระอิศวรในพิธี ตรียัมปวาย ตามความเชื่อที่ว่าพระอิศวรเสด็จลงมาเยี่ยมโลกปีละครั้ง ครั้งหนึ่ง ก�ำหนด ๑๐ วัน เทพยดาทั้งหลายมาเฝ้าประชุมพร้อมกัน โลกบาลทั้งสี่ได้แก่ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ท้าวกุเวร ก็มาโล้ชิงช้าถวาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล่าไว้ในหนังสือพระราชพิธี สิบสองเดือน ว่าตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวผู้ที่เป็นพระยายืนชิงช้าคือเจ้าพระยาพลเทพ (ต�ำแหน่งเสนาบดีกรมนา) ครั้นถึงปลายรัชสมัยเจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม)ถึงอสัญกรรม ไม่ทรงตั้งเจ้าพระยา พลเทพต่อไป โปรดให้เจ้าพระยานิกรบดินทร์ซึ่งยังเป็นพระยาราชสุภาวดียืนชิงช้า แทนปีหนึ่ง ต่อไปก็เปลี่ยนเป็นเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (เสือ) ซึ่งยังเป็นพระยา ราชนิกูลเป็นผู้ยืน ต่อไปเป็นเจ้าพระยายมราช(ศุข) เมื่อยังเป็นพระยาสุรเสนาเป็น ผู้ยืน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ข้าราชการที่ได้ รับพระราชทานพานทองเปลี่ยนกันยืนชิงช้าปีละคนเป็นธรรมเนียมติดต่อมา จนถึงรัชกาลของพระองค์ _20-0355(151-316)p3.indd 237 6/7/2563 BE 09:22


238 ข้าราชการผู้จะเป็นพระยายืนชิงช้าต้องถวายบังคมลาพระมหากษัตริย์ ก่อนไปท�ำหน้าที่ยืนชิงช้า การแต่งกายของพระยาผู้ยืนชิงช้าคือนุ่งผ้าเยียรบับ และนุ่งแบบที่เรียกว่า บ่าวขุน มีชายห้อยอยู่เบื้องหน้าสวมเสื้อเยียรบับ คาดเข็มขัด สวมเสื้อครุยลอมพอกเกี้ยวตามบรรดาศักดิ์ พราหมณ์จะเชิญพระยายืนชิงช้า แห่แหนกันไปที่ชมรม (โรงที่ปลูกขึ้นใช้ชั่วคราวแบบปะร�ำ)ก�ำหนดผู้เข้ากระบวน แห่ ๘๐๐ คน แต่พระยายืนชิงช้าอาจจัดหาผู้คนมาเพิ่มเติม มีคนเข้ากระบวนแห่ ถึงสี่พันคนก็มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มีเงินเบี้ยเลี้ยงของหลวงพระราชทานสิบต�ำลึง พระยายืนชิงช้าต้องจ่ายเงินเพิ่มเติม ถ้ามีกระบวนมากก็ต้องลงทุนรอนมาก ทั้งเงิน ที่เข้าโรงครัวเลี้ยงคนในกระบวน เงินแจก และเงินค่าผ้านุ่งห่มเครื่องแต่งตัว เห็นได้ว ่า การแห ่พระยายืนชิงช้าเป็นเรื่องใหญ ่ และผู้คนคงมาดูกัน เนืองแน ่น มีผู้เล ่าถึงกระบวนแห ่พระยายืนชิงช้าไว้หลายคน เช ่น พระยา อนุมานราชธนเขียนในหนังสือฟื้นความหลังว่า ...กระบวนแห่นี้นอกจากกระบวนโบราณของหลวงแล้ว ยังมีกระบวน เชลยศักดิ์ด้วยกระบวนแห่นี้ถ้า“พระยายืนชิงช้า”เป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ ใหญ่กระบวนแห่ก็มีแปลก ๆ น่าดูเป็นกระบวนยาวยืด ถ้า “พระยายืน ชิงช้า” คนใด ไม่ใช่เป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ กระบวนแห่ก็น้อย บางที ก็มีแต่กระบวนแห่ของหลวงเท่านั้น... ศาสตราจารย์คุณหญิงผะอบ โปษะกฤษณะก็เล่าถึงกระบวนแห่พระยา ยืนชิงช้าไว้ในเรื่องสาวชาวกรุงว่า ...เวลานั้นรู้สึกสนุกจริง ๆ ที่ได้ดูขบวนแต่งตัวสีสันต่าง ๆ กัน มีเสียง ประโคมแตรสังข์ทั้งๆ ที่ดูไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไรคนที่แต่งตัวอย่างนั้น หมายถึงอะไร แต่ก็สนุกเพราะมีผู้คนคึกคัก คนที่เข้าขบวนจ�ำนวนหลาย ร้อยคน ถืออาวุธต่าง ๆ กัน ยังมีเครื่องสูง ได้เห็นพระยาแต่งตัวเสื้อครุย มีเครื่องตกแต่งระยิบระยับ สวมพอกเหมือนเทวดาที่เห็นในโบสถ์... _20-0355(151-316)p3.indd 238 6/7/2563 BE 09:22


239 เมื่อพระยายืนชิงช้าไปถึงชมรมแล้ว จะไปนั่งที่ราว ราวในชมรมท�ำด้วย ไม้ไผ่หุ้มผ้าขาว มี๒ ราว ใช้ส�ำหรับนั่งราวหนึ่งส�ำหรับพิงราวหนึ่ง วิธีนั่งต้องเอา เท้าซ้ายยันพื้นไว้เท้าขวาพาดเข่าซ้าย ถ้าท�ำเท้าขวาตกเหยียบดินจะถูกปรับ ส. พลายน้อยเขียนไว้ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทยว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าพระยาพลเทพ (ทองอิน) ได้ท�ำเท้าขวาตก การก�ำหนดให้พระยายืนชิงช้านั่งเช ่นนี้น ่าจะเนื่องมาจากต�ำนานที่ว ่า พระอิศวรต้องการตรวจสอบว่าโลกแข็งแรงมั่นคงหรือไม่จึงให้พญานาคตัวหนึ่ง เอาหางเกี่ยวพันภูเขาริมแม่น�้ำฟากหนึ่ง ส่วนข้างหัวพันกับภูเขาริมแม่น�้ำอีก ฟากหนึ่ง แล้วไกวตัวไปมาแบบเล่นชิงช้า ถ้าโลกไม่มั่นคงก็จะเกิดแผ่นดินไหว พระอิศวรทรงยืนบนพื้นโลกด้วยพระบาทข้างเดียว พระบาทอีกข้างหนึ่งพาด พระชานุ ถ้าแผ่นดินไหวก็จะทรงยืนเช่นนี้ไม่ได้พระยายืนชิงช้ารับหน้าที่เป็น พระอิศวรจึงต้องนั่งในลักษณะที่เหมือนกับการยืนด้วยเท้าข้างเดียว เรื่อง “การยืนตีนเดียว” นี้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังมีข้อความในหนังสือ ค�ำให้การขุนหลวงหาวัดว่า ...อันพระยาพลเทพนั้นจึงยืนตีนเดียวแล้วดูพราหมณถีบชิงช้าอยู่ถ้าและ ยืนสองตีน พราหมณ์ทั้งปวงจึงริบเอาเครื่องอุปโภคบริโภคของพระยา พลเทพทั้งสิ้น อันนี้เปนอย่างธรรมเนียมตามพิธีของพราหมณท�ำมาแต่ ก่อนครั้น เปนประเพณีเปนเยี่ยงอย่างกันมา สันนิษฐานได้ว่า ผู้รับหน้าที่เป็นพระอิศวร “ยืนตีนเดียวแล้วดูพราหมณ์ ถีบชิงช้าอยู่” จึงได้ชื่อว่า พระยายืนชิงช้า มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นพระยา ยืนชิงช้าเรื่อยมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่อรัฐบาลยกเลิกพระราชพิธีตรียัมปวาย พระยายืนชิงช้าคนสุดท้ายคือพระยาชลมารควิจารณ์(หม่อมหลวงพงศ์ สนิทวงศ์) (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) _20-0355(151-316)p3.indd 239 6/7/2563 BE 09:22


240 หนังสืออ้างอิง ค�ำให้การขุนหลวงหาวัด. นนทบุรี: โครงการเลือกสรรหนังสือ มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๔๗. จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ไกลบ้าน เล่ม ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๔๕. ๓ เล่ม. . พระราชพิธีสิบสองเดือน. พระนคร : ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๐๓. ผะอบ โปษะกฤษณะ. สาวชาวกรุง. ม.ป.ป., ม. ป.ท. ส. พลายน้อย(นามแฝง).สารานุกรมวัฒนธรรมไทย.กรุงเทพฯ: พิมพ์ค�ำ, ๒๕๕๓. เสฐียรโกเศศ (นามแฝง). ฟื้นความหลัง. พระนคร : ศึกษิตสยาม, ๒๕๑๐. พระราชปฏิสันถารทางการทูต เมื่อมีคณะราชทูตหรือแขกเมืองเข้าฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อเจริญ ทางพระราชไมตรีนั้น ราชทูตและคณะจะได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทตาม ธรรมเนียมปฏิบัติตามวันและเวลาที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก�ำหนดขึ้น ในสมัยอยุธยา ราชทูตจะเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ณ พระที่นั่งสรรเพชร ปราสาท ในบริเวณพระราชวังหลวง โดยราชประเพณีนั้น เมื่อพระเจ้าแผ่นดิน เสด็จออก เจ้าพนักงานกรมพระอาลักษณ์อ่านพระราชสาส์นฉบับแปล จบแล้ว พระมหากษัตริย์จะมีพระราชปฏิสันถารก่อน แล้วราชทูตจึงกราบบังคมทูลตอบ ผ่านล่ามและผ่านพระคลัง พระราชพิธีที่พระเจ้าแผ่นดินทรงซักถามราชทูต เรียกว่ามีพระราชปฏิสันถาร เมื่อเสร็จการแล้ว จะพระราชทานหมาก เสื้อผ้า หรือสิ่งอื่นแก่ราชทูตและคณะ วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน พรรณนาพระราชพิธีเสด็จออกรับแขกเมือง ล้านช้างของพระพันวษาว่า เสด็จออกพระที่นั่งมุขกระสัน ประดับแก้วแกมสุวรรณเฉิดฉาย กลองชนะแตรสังข์ตั้งราย จ่ากองท้าถวายเชิญเสด็จพลัน _20-0355(151-316)p3.indd 240 6/7/2563 BE 09:22


241 พนักงานพระวิสูตรก็รูดม่าน ขุนนางอลหม่านอยู่ตัวสั่น ราชมนูก็ชูพุ่มสุวรรณ แตรสังข์ดังลั่นประโคมไป ข้าราชการน้อยใหญ่ก็หมอบราบ ก้มเกล้าลงกราบหาช้าไม่ มีพระโองการพลันทันใด สั่งให้ไปหาแขกเมืองมา จดหมายเหตุของวิละภาเคทะระ เรื่องคณะทูตลังกามาประเทศสยาม เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๓ ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศบันทึกว่าเมื่อคณะทูตเข้าเฝ้า ถวายพระราชสาส์นแล้ว “พระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระราชปฏิสันถาร ๓ นัด ถาม ราชทูตว่าสุขส�ำราญไร้ทุกข์โศกทั้งใจและกายหรืออย่างไร” ในขุนช้างขุนแผน อธิบายเหตุการณ์การพระราชปฏิสันถารว่า ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ช�ำเลืองพระเนตรผายผัน เห็นราชทูตมาถวายบังคมคัล กับทั้งเครื่องสุวรรณบรรณา จึงตรัสประภาษปราศรัย มาในป่าไม้ใบหนา กี่วันจึงถึงพระพารา มรรคายากง่ายประการใด อนึ่งกรุงนาคบุรี ข้าวกล้านาดีหรือไฉน ฤๅฝนแล้งข้าวแพงมีภัย ศึกเสือเหนือใต้สงบดี ทั้งองค์พระเจ้าเวียงจันทน์ ทรงธรรม์เป็นสุขเกษมศรี ไม่มีโรคายายี อยู่ดีอย่างไรในเวียงจันทน์ ในลิลิตตะเลงพ่าย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงพระนิพนธ์ตอนสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตรัสกับทูตเมืองเชียงใหม่ไว้ว่า จักรพงศ์ภูวนาถเฝ้า พสุธาร เผยพระราชปฏิสันถาร ถั่งถ้อย บูรณ์ฉบับนับตรีวาร จารีต นั้นนา ทักแขกแรกฤๅน้อย มากไซร้ไป่มี การมีพระราชปฏิสันถารนี้มักจะประกอบด้วยค�ำถาม ๓ ข้อส�ำคัญคือ ไต่ถามว่าพระเจ้าแผ่นดินหรือพระราชวงศ์ทรงพระส�ำราญดีหรือไม่ฝนฟ้าตกต้อง _20-0355(151-316)p3.indd 241 6/7/2563 BE 09:22


242 ตามฤดูกาลและมีความอุดมสมบูรณ์หรือไม่ และมีข้าศึกมาประชิดเมืองหรือ ท�ำสงครามหรือไม่อย่างไรแต่ในบางครั้งพระราชปฏิสันถารอาจยักเยื้องเพิ่มเติม ได้ตามแต่พระราชประสงค์ในสมัยที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงรับคณะทูตลังกา นั้น หนังสือค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม บันทึกไว้ว่า ครั้นพร้อมแล้ว พระองค์จึ่งสระสรงทรงเครื่องแล้วจึ่งทรงพระภูษา พื้นแดงปักทองทรงจีบโจงแล้ว ทรงฉลองพระองค์ซับในอย่างน้อยพื้นทอง แล้วทรงฉลองพระองค์ซับนอกอย่างเทศแล้วทรงตาบทิพทาบนาบประดับ แล้วสังวาลย์ประดับเพชร แล้วทรงพระมหามงกุฏประดับเพชร แล้วทรง พระธ�ำมรงค์ราคาค่ากรุงแล้วจึ่งทรงถือพระแสงดาบตราใจเพชรจึ่งเสด็จ ทั้งพระมเหสีสามพระองค์ ทั้งพระสนมก�ำนันอันพรึดพร้อม แวดล้อม ตามเสด็จออกมาเป็นอันมากครั้นได้เวลาสัญญาแล้วจึ่งประโคมแตรสังข์ ฆ้องกลองมโหรีปี่พาททั้งปวงแล้วจึ่งชักม่านทองสองไขครั้นเสด็จออกจึ่ง หยุดประโคม กรมมาลาการนั้น คือ ราชมณูเทพมณูนั้น ชูดอกไม้ทอง แล้วจึ่งน�ำแขกเมือง เข้ามาในพระราชวัง แล้วจึ่งน�ำกราบสามครั้ง จึ่งถึง ที่เฝ้าจึ่งตรัสเรียกหมากกลางขุนทินบรรณารับสั่งขุนทานก�ำนันตั้งหมาก แล้วพระอาลักษณ์จึ่งรับพระราชสาส์นนั้นเชิญขึ้นไว้บนเตียงประดับกระจก จึ่งตั้งไว้บนพานทองสองชั้น แล้วพระองค์จึ่งปราศัยตามอย ่างตาม ธรรมเนียม ถ้าเป็นแขกเมืองใหญ่ทรงพระราชประดิษฐาน ๗ นัดถ้าเป็น แต่แขกเมืองน้อย พระราชประดิษฐาน ๓ นัด พระองค์จึ่งประดิษฐานตาม เมืองใหญ่ ๗ นัด จึ่งทรงพระปราศัยเจ็ดค�ำ ว่ากรุงลังกานั้นพระศาสนา รุ่งเรืองอยู่ฤๅค�ำหนึ่ง ข้าวปลาอาหารบริบูรณอยู่ฤๅสองค�ำ อันฝนฟ้านั้น บริบูรณ์อยู่ฤๅสามค�ำพ้นจากโรคภัยอยู่ฤๅสี่ค�ำ อันบ้านเมืองนั้นพ้นจาก โจรผู้ร้ายเบียดเบียฬอยู่ฤๅห้าค�ำ พระมหากษัตริย์เป็นธรรมอยู่ฤๅหกค�ำ อันเสนาอ�ำมาตย์นั้นอยู่ในธรรมอยู่ฤๅเจ็ดค�ำ อันนี้ทรงพระปราศัยเป็นตาม อย่างธรรมเนียม ทูตจึงกราบทูลตามมีพระสีหนาถราชโองการทั้ง ๗ นัด _20-0355(151-316)p3.indd 242 6/7/2563 BE 09:22


243 แล้วอาลักษณ์จึ่งอ่านถวายว่า พระเจ้ากรุงศิริวัฒนบุรีนั้น มีพระราชสาส์น แลเครื่องบรรณาการเข้ามาถวายเป็นทางไมตรีอันพระเกียรติยศนั้น ฦๅไปถึงกรุงศิริวัฒนบุรี.... เรื่องประเพณีการรับแขกเมืองนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชาธิบายพระราชทานพระยาศรีสหเทพ (เส็ง วิริยะศิริ) ราชปลัด ทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย เพิ่มเติมว่า แบบพระราชปฏิสันถารแต่โบราณ ถ้าเป็นทูตมาแต่พระเจ้าแผ่นดิน เอกราชซึ่งแต่ก่อนมีเมืองพม่าเมืองลังกาเมืองญวน มีพระราชปฏิสันถาร ๗ นัด คือพูดด้วย ๗ ค�ำ ปลัดทูลฉลองจะต้องเตรียมรับสั่งแลกราบทูล ๗ ครั้งถ้าแขกเมืองมาแต่ประเทศอันไม่ได้เป็นข้าขอบขัณฑสีมาคือเมือง ทวายแลเมืองมลายูในเกาะสุมาตราแลเมือง ๑๙ เจ้าฟ้าเข้ามาสวามิภักดิ์ มีพระราชปฏิสันถาร ๕ นัด ถ้าแขกเมืองประเทศราชข้าขอบขัณฑสีมา ถวายต้นไม้ทองเงินแลเครื่องราชบรรณาการตามก�ำหนดปีมีพระ ราชปฏิสันถาร ๓ นัดแต่พระราชปฏิสันถารในชั้นหลังๆ มายักเยื้องจาก แบบบ้าง บางทีกว่า ๓ นัดบ้างในเมื่อตัวเจ้าประเทศราชเข้ามาเองเป็นต้น ก็ต้องรับสั่งแลกราบบังคมทูลตามที่มีพระราชปฏิสันถารนั้น นอกจากนี้หน้าที่ของปลัดทูลฉลองที่จะต้องรับพระราชกระแสขณะมีพระ ราชปฏิสันถารก็มีแบบแผนก�ำหนดที่ชัดเจนด้วยดังพระบรมราชาธิบายต่อมาว่า เมื่อมีพระราชปฏิสันถารจบลง ๑ นัด ปลัดทูลฉลองต้องกราบทูล รับสั่งว่าข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระบรมราชโองการใส่เกล้าใส่กระหม่อม ขอเดชะ แล้วจึงน�ำไปพูดกับแขกเมือง เมื่อจะน�ำค�ำแขกเมืองกราบบังคมทูลพระกรุณา ต้องขึ้นต้นว่า สรวมชีพข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรง ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยข้าพระพุทธเจ้า(ออกชื่อเมืองที่มาทุกเมือง) ให้กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ฯลฯ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ _20-0355(151-316)p3.indd 243 6/7/2563 BE 09:22


244 ธรรมเนียมการมีพระราชปฏิสันถารกับราชทูตหรือแขกเมืองนี้เปลี่ยนแปลง ไปในการรับแขกเมืองเมื่อครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยมีแขกเมืองเข้ามามากกว่าก่อน หากปฏิบัติตามโบราณราชประเพณีเดิม ก็จะเสียเวลายืดยาวนัก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงลดทอน ให้สั้นลงแต่ทรงเพิ่มเติมค�ำขึ้นต้นค�ำกราบบังคมทูลว่า“สรวมชีพข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณาในที่ประชุมพระบรมวงศานุวงศ์ท่าน เสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ ่ผู้น้อยให้ทรงทราบฝ ่าพระบาท” หมายถึงทรงรับ แขกเมืองในที่ประชุมของทั้งพระบรมวงศ์และขุนนาง มิใช่ทรงรับเฉพาะเบื้อง พระพักตร์เพียงพระองค์เดียว (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) หนังสืออ้างอิง คณะกรรมการช�ำระประวัติศาสตร์ไทย. ค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว, ๒๕๓๔. ศิลปากร, กรม. ประมวลพระราชนิพนธ์เบ็ดเตล็ดในพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พิมพ์แจกเป็นอนุสรณ์ในงานพระราชเพลิงศพ ม.ล.ประจวบ กล้วยไม้(จมื่นเทพสุรินทร์) ณ เมรุวัดสังเวชวิศยาราม วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๐๕. .จดหมายเหตุของวิละภาเคทะระเรื่องคณะทูตลังกาเข้ามาประเทศสยาม นางสาวนันทา สุตกุล แปล. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางทองอยู่ วีระเวศม์เลขา (สามสูตร) ณ เมรุวัด ประยุรวงศาวาส ๒๑ มีนาคม ๒๕๐๘. _20-0355(151-316)p3.indd 244 6/7/2563 BE 09:22


245 พระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน ในสมัยโบราณเมื่อครั้งที่ราชการบ้านเมืองยังใช้ช้างและม้าเป็นยุทธปัจจัย อย่างหนึ่งส�ำหรับกองทัพ กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับช้างและม้าจึงเป็นเรื่อง ที่ต้องท�ำกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ก็เพื่อฝึกปรือให้มีความช�ำนิช�ำนาญในการต่อสู้ และยังต้องตรวจตราก�ำลังไพร่พล พาหนะ รวมทั้งเครื่องศัสตราวุธทั้งปวง ให้มี ความพร้อมส�ำหรับการศึกสงคราม ขณะที่บ้านเมืองเป็นปรกติว่างเว้นจากการศึกสงคราม ทหารในกองทัพ รวมทั้งพาหนะต่าง ๆ ก็ต้องมีการฝึกซ้อมอยู่สม�่ำเสมอ ให้รู้งาน รู้หน้าที่ ขณะ เดียวกันยังต้องสร้างขวัญและก�ำลังใจให้แก่กองทหารเหล่านั้นด้วย สิ่งที่เป็น ขวัญและก�ำลังใจอย่างหนึ่งของหมู่ทหารผู้ได้ฝึกซ้อมกันมาตลอดระยะเวลาอัน ยาวนาน ก็คือ พิธีกรรม การประกอบพิธีกรรมของทหารช้างและม้า ในสมัยโบราณมีธรรมเนียม ปฏิบัติที่ต้องจัดให้มีขึ้นทุกปีปีละ ๒ ครั้ง คือ ในเดือน ๕ ครั้งหนึ่ง และเดือน ๑๐ ครั้งหนึ่ง พิธีนี้พระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์เสด็จออกทอดพระเนตร จึง จัดเป็นการพระราชพิธีใหญ่ เรียกว่า พระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน หรือที่เรียก กันเป็นสามัญว่า พิธีออกสนามใหญ่ หรือ แห่สระสนาน โดยจัดให้มีการเดิน กระบวนช้าง กระบวนม้า พร้อมด้วยทหารถือเครื่องศัสตราวุธครบมือ เป็นการ แสดงแสนยานุภาพให้เห็นก�ำลังและความพร้อมเพรียงของกองทัพ จะได้เป็นที่ เกรงขามของข้าศึกศัตรูการพิธีนั้นกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะเดียวกับการเดินสวน สนามในปัจจุบัน ช ่วงเวลาก�ำหนดการพิธีจะตรงกับเวลาที่มีการประชุมข้าราชการทั้ง ในกรุง หัวเมือง เอกโท ตรีจัตวารวมทั้งเจ้าประเทศราชก็เข้ามาเฝ้าตามก�ำหนด ถวายดอกไม้ทอง เงิน เครื่องราชบรรณาการ เป็นการประชุมใหญ่ครั้งหนึ่ง ควร ที่จะจัดพลโยธาทวยหาญทั้งปวงให้พรักพร้อม แสดงพระเดชานุภาพให้หัวเมือง ประเทศราชทั้งหลายย�ำเกรงพระบารมีและยังเชื่อว่าท�ำให้บังเกิดความเจริญ _20-0355(151-316)p3.indd 245 6/7/2563 BE 09:22


246 เป็นสิริสวัสดิมงคลแก่ราชพาหนะ และเหล่าทหารที่เป็นก�ำลังแผ่นดิน อีกทั้งยัง ขจัดอัปมงคลให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับช้างม้าทั้งปวงด้วย พิธีออกสนาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชนิพนธ์ รายละเอียดไว้ในหนังสือเรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือน ซึ่งมีใจความสรุปได้ว่า เป็นพิธีของพราหมณ์พฤฒิบาศ ซึ่งจะเป็นผู้ด�ำเนินการก่อนถึงวันออกสนาม พราหมณ์จะประกอบพิธีบูชาบวงสรวงพระเทวกรรม วันต่อมาจึงเป็นการออก สนาม โดยจัดให้ช้างเดินเป็นกระบวนน�ำมาก ่อนแล้วจึงถึงกระบวนม้าผ ่าน พราหมณ์ซึ่งนั่งอยู่บนเกย ท�ำหน้าที่ประพรมน�้ำมนตร์ให้แก่ทหารในกระบวน เหล่านั้น เนื่องจากในสมัยโบราณ ช้าง ม้าในราชการมีจ�ำนวนมากการเดินสนาม จึงต้องใช้เวลา ๓ วัน วันแรกเดินพระยาช้าง และม้าระวางต้น (ช้าง ม้า ที่ขึ้น ระวางเป็นพระราชพาหนะของพระเจ้าแผ่นดิน)วันที่ ๒ เดินช้าง ม้าระวางวิเศษ (ช้าง ม้า ที่ขึ้นระวางเป็นพาหนะของข้าราชการขุนนางราชวงศ์ระดับสูง)วันที่๓ เดินช้าง ม้า ระวางเพรียว (ช้าง ม้า ที่ขึ้นระวางเป็นพาหนะของทหารทั่วไป และ ทหารที่อยู่กองหน้า ช้าง ม้า กลุ่มนี้ได้รับการฝึกหัดให้มีความคล่องแคล่วว่องไว ในการบุกตลุยไปเบื้องหน้า) หลังจากเสร็จพิธีเดินสนานแล้วมีการมหรสพ เวลาค�่ำมีหนัง จุดดอกไม้เพลิง สมโภชพระเทวกรรม การแห่สระสนานเดินกระบวนช้างม้าตลอด ๓ วันนั้น ไพร่พลในกองทัพ รวมทั้งพาหนะ ช้าง ม้า และศัสตราวุธที่ใช้ในการแห่มีจ�ำนวนมากไม่ซ�้ำกัน เป็นการตระเตรียมไพร่พลให้พรักพร้อมอยู่เสมอ ปีหนึ่งได้เดินกระบวนสระ สนานใหญ่ เป็นการถวายตัวต่อพระเจ้าแผ่นดิน ๒ ครั้ง เพื่อทอดพระเนตรตรวจ ตราไพร่พล พาหนะ จะทรุดโทรม เสื่อมถอยไปอย่างไร หรือบริบูรณ์ดีอยู่ก็จะ ทรงทราบ อีกทั้งบรรดาคนทั้งปวงซึ่งได้เห็นก�ำลังไพร่พลและพาหนะของพระเจ้า แผ่นดินพรักพร้อมบริบูรณ์อยู่ก็เป็นที่ย�ำเกรง ไม่ก่อเหตุการณ์อันใดขึ้นได้จึงมี ค�ำกล่าวมาแต่โบราณว่า พระราชพิธีนี้ท�ำให้ประชาชนทั้งปวงมีใจสวามิภักดิ์รัก พระเจ้าแผ่นดิน เป็นที่เกรงขามแก่ข้าศึกศัตรู _20-0355(151-316)p3.indd 246 6/7/2563 BE 09:22


247 ในสมัยรัตนโกสินทร์การศึกสงครามลดน้อยลงยุทธวิธีการรบเปลี่ยนแปลง ไป ช้าง ม้า พาหนะ และศัสตราวุธที่เคยใช้ราชการอยู่ในกองทัพลดจ�ำนวนลง การจัดช้างม้าเข้ากระบวนแห่มีไม่เต็มกระบวนสระสนาน ต้องขอยืมช้าง ม้า จากหัวเมืองเข้ามาบ้างศัสตราวุธที่ใช้ก็มีไม่ครบกระบวน จะท�ำอาวุธเหล็กขึ้นใหม่ ก็มีราคาแพง อย่างเช่น ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ปรากฏความในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาว่า “ใน แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น โปรดตั้งท�ำเนียบระวางช้าง ม้าและโปรด ให้มีแห่สระสนานอย่างใหญ่ ขุนนางผู้ใหญ่ต้องแห่เป็นกระบวน ๆ กันครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นเครื่องอาวุธที่แห่ใช้ท�ำด้วยไม้จริง” เมื่อใช้อาวุธไม้แทนก็ไม่มีประโยชน์ เปลืองเงินเปล่าส่วนขุนนางผู้ต้องเข้ากระบวนแห่ เดิมเป็นแม่ทัพ เป็นทหารช�ำนิ ช�ำนาญในการขี่ช้าง ขี่ม้า เมื่อมาเข้ากระบวนเดินสนานก็ไม่เดือดร้อนอันใด ภายหลังขุนนางไม่ช�ำนาญการทัพศึก ประพฤติตัวเป็นพลเรือนไปหมดเมื่อจะต้อง ขี่คอช้าง ม้ากลัวเป็นผู้ใหญ่แล้วจะฝึกหัดก็อายส่วนไพร่พลประจ�ำเมืองก็ใช้เป็น พลเรือนโดยมากคนแห่ในกระบวนมีน้อยเมื่อเดินไปพอพ้นหน้าพลับพลาแล้วต้อง วนย้อนกลับมาเดินกระบวนหลังต่อไปใหม่ ก็ไม่เป็นประโยชน์อันใดในการที่จะ ตรวจตราไพร่พล และไม่เป็นพระเกียรติยศจะให้เป็นที่เกรงขามอันใด การ พระราชพิธีคเชนทรัศวสนานในสมัยรัตนโกสินทร์จึงได้จัดให้มีขึ้นได้เพียง ๓ รัชกาลรัชกาลละ ๑ ครั้ง พอเป็นพิธีหรือเป็นพระเกียรติยศเท่านั้น ครั้นถึงรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่มีการพระราชพิธีออกสนามทั้งๆ ที่ พระองค์โปรดการพระราชพิธีอย่างเก่า ๆ มาก (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือพระราชพิธีถือน�้ำพิพัฒน์สัจจา หรือพระราชพิธีศรีสัจจปานกาลก็เรียก และเรียกอย่างย่อว่า พิธีถือน�้ำ เป็น _20-0355(151-316)p3.indd 247 6/7/2563 BE 09:22


248 พระราชพิธีส�ำคัญของไทยแต่โบราณจัดเป็นการประจ�ำปีปีละ ๒ ครั้งในเดือน ๕ ขึ้น ๓ ค�่ำ หลังพิธีตรุษและในเดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค�่ำ ก่อนพิธีสารท ก�ำหนดให้ เจ้านายทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ขุนนางข้าราชการและภรรยาต้องดื่มน�้ำที่แทง ด้วยอาวุธ สาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์รับราชการด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริต หากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามค�ำสาบานก็จะมีความสุขเจริญก้าวหน้า หากปฏิบัติผิดจากค�ำสาบานแล้วจะต้องมีอันเป็นไป ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีถือน�้ำฯ ปีละ ๑ ครั้ง ใน วันที่ ๒-๓ เมษายน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๗ เป็นต้นมา หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้เลิก พระราชพิธีถือน�้ำฯเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ จนกระทั่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมหา ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้โปรดเกล้าฯ ให้รื้อฟื้นพระราชพิธี ถือน�้ำฯ จัดผนวกกับพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์ รามาธิบดีใน พ.ศ. ๒๕๑๒ เรียกชื่อรวมกันว่า “พระราชพิธีพระราชทานเครื่อง ราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีและพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชพิธีถือน�้ำฯไว้ในเรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือน ว่าลัทธิการใช้น�้ำล้างอาวุธ เป็นน�้ำดื่มในการสาบานตนนี้น่าจะเกิดในประเทศอินเดีย เวลาเกิดศึกสงคราม เมื่อมีผู้มาอ่อนน้อมอยู่ใต้อ�ำนาจ จึงได้เอาอาวุธที่เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์รักษาและ อยู่ใกล้ตัวล้างน�้ำให้ดื่มพร้อมกับให้สาบานตน เพราะเชื่อว่าหากคิดทรยศก็จะใช้ อาวุธนั้นลงโทษผู้ที่คิดประทุษร้ายได้ต่อมาประเทศใกล้เคียงรับธรรมเนียมนี้ มาใช้เป็นประเพณีบ้านเมืองจัดเป็นพระราชพิธีใหญ่ประจ�ำปีและยังเชื่อกันว่า เป็นพิธีระงับยุคเข็ญของบ้านเมืองอีกด้วยโดยเฉพาะประเทศไทย ปรากฏหลักฐาน ในกฎมณเทิยรบาล กฎหมายตราสามดวง ก�ำหนดท�ำการพระราชพิธีในเดือน ๑๐ เรียกชื่อว่า“ถวายบังคมเลี้ยงลูกขุนถือน�้ำพระพิพัท”และระบุว่าพระภรรยาเจ้า ทั้ง ๔ [พระอัครชายา, แม่หยัวเมือง,ลูกหลวง, หลานหลวง] พระราชกุมาร _20-0355(151-316)p3.indd 248 6/7/2563 BE 09:22


249 พระราชนัดดา“ถวายบังคมถือน�้ำในหอพระพระบรมวงศานุวงศ์นอกนั้นถือน�้ำใน พระที่นั่งมังคลาภิเษก”ส่วนขุนนางข้าราชการนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า บรรดาขุนนางข้าราชการถือน�้ำที่วัดพระศรี สรรเพชญ ต่อมาย้ายไปถือน�้ำที่วิหารพระมงคลบพิตร เมื่อถือน�้ำแล้วไปถวาย บังคมพระเชษฐบิดร คือพระรูปพระเจ้าอู่ทองผู้ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา แล้วจึง เข้าไปถวายบังคมพระเจ้าแผ่นดิน ความหมายของค�ำว่า น�้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงแปลความหมายไว้ในเรื่อง อธิฐานน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ว่า อันน�้ำมนต์ชื่อว่า น�้ำพระพิพัฒสัตยานี้แปลว่าน�้ำส�ำหรับความสัตย เพื่อเจริญพรอธิบายว่า ถ้าใครปฏิญญาความสัตยอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ตั้งอยู่ในความสัตยนั้นแล้วก็จะให้เจริญชนมายุพรรณ ศุข พละ ปฏิภาณ ศุภสารศิริสมบัติสวัสดิมงคล ศุภผลทุกประการ ก็ถ้าไม่ตั้งในความสัตย ผลพิบัติซึ่งเปนอันขัดแก่ผลของความสัตยที่ว่านั้น ก็จะพึงมีด้วยผลแห่ง บาปคือความเท็จ ไม่ได้ตั้งอยู่ในสัตยนั้น... โดยน�ำน�้ำที่ตั้งในพระราชพิธีตรุษและพระราชพิธีสารท มาท�ำการอธิษฐานเป็น น�้ำพระพิพัฒน์สัตยา และ เมื่อท�ำอธิฐานน�้ำพระพิพัฒสัตยามหามงคลมนตรนี้ไว้แล้ว จะไป เจือจานเพิ่มเติมในน�้ำพระพิพัฒสัตยาซึ่งชีพ่อพราหมณ์อ่านอิศรเวท วิศนุมนตร์แลท�ำโดยการแทงด้วยพระแสงส�ำหรับแผ่นดินนั้นก็ได้จะให้ รับพระราชทานต่างหากก็ได้เปนมหามงคลแก่ผู้รับพระราชทานซึ่งตั้งอยู่ ในความซื่อสัตยทั้งปวง... อย่างไรก็ตาม ความในกฎมณเฑียรบาลยังระบุโทษและข้อก�ำหนดในการ ถือน�้ำของข้าราชการไว้ดังนี้ _20-0355(151-316)p3.indd 249 6/7/2563 BE 09:22


250 ...ลูกขุนผู้ใดขาดถือน�้ำพระพิพัทโทษถึงตายถ้าบอกป่วยคุ้มถ้าลูกขุน ผู้ถือน�้ำพระพิพัท ห้ามถือ [ห้ามสวม] แหวนนาก แหวนทอง แลกินเข้า กินปลากินน�้ำยาแลเข้ายาคูก่อนน�้ำพระพิพัทถ้ากินน�้ำพระพิพัทจอกหนึ่ง แลยื่นให้แก่กันกินแล้ว แลมิได้ใส่ผม เหลือนั้นล้างเสีย [เททิ้ง] โทษเท่านี้ ในระวางกระบถ... ในวรรณกรรมสมัยอยุธยา มีลิลิตโองการแช่งน�้ำ หรือประกาศแช่งน�้ำ โคลงห้าส�ำหรับพราหมณ์ใช้อ่านหรือสวดในพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ประกอบด้วยเนื้อความตามล�ำดับต่อไปนี้ ๑. ความน�ำ เป็นบทสรรเสริญพระนารายณ์พระอิศวร พระพรหม และ เรื่องไฟล้างโลก การสร้างโลกและการอภิเษกพระเจ้าแผ่นดิน ๒. การอัญเชิญพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมาเป็นพยานใน พระราชพิธี ๓. ค�ำสาปแช่งผู้ที่คิดร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งในเวลาที่ผู้นั้นยังมีชีวิต และเมื่อตาย ๔. ค�ำอวยพรแก่ผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินทั้งในเวลาที่ผู้นั้น ยังมีชีวิตและเมื่อตาย ๕. ค�ำถวายพระพรแด่พระเจ้าแผ่นดิน ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีพระราชประสงค์จะให้มี“ต�ำราราชประเพณีไว้ส�ำหรับพระนคร” ใน พ.ศ. ๒๔๒๐ จึงทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเรื่อง พระราชกรัณยานุสรในเวลา ที่ทรงว่างจากพระราชกิจ แต่ต่อมาเวลาว่างส�ำหรับทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ นี้ก็น้อยลงทุกทีจึงจ�ำเป็นต้องหยุด โดยทรงพระราชนิพนธ์การพระราชพิธี ได้เพียงเฉพาะ ราชประเพณีเดือน ๕ ซึ่งเป็นเรื่องพระราชพิธีถือน�้ำเท่านั้น จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๓๑ เมื่อพระองค์ทรงบัญชาการหอพระสมุดวชิรญาณแทน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ขณะยัง _20-0355(151-316)p3.indd 250 6/7/2563 BE 09:22


251 ทรงพระเยาว์นั้นโปรดเกล้าฯให้ชักชวนบรรดาสมาชิกของหอพระสมุดฯที่สามารถ ช ่วยกันแต ่งเรื่องลงพิมพ์ในหนังสือ วชิรญาณ กับทั้งทรงรับจะเขียนเรื่อง พระราชทานลงพิมพ์ด้วยเช่นกัน จึงรับสั่งถามความประสงค์บรรดาสมาชิกว่าจะ ให้ทรงเรื่องอะไร บรรดาสมาชิกซึ่งเคยอ่านหนังสือพระราชกรัณยานุสรที่ค้างอยู่ จึง “...กราบทูลอาราธนาให้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องพระราชพิธี๑๒ เดือน คือ ขอให้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องพระราชกรัณยานุสรนี้อย่างย่อๆ พอเปนประโยชน์ ทางความรู้แก่สมาชิกทั้งปวงเพราะฉนั้นหนังสือพระราชกรัณยานุสรนี้คือต้นเค้า ของพระราชนิพนธ์เรื่องพระราชพิธี๑๒ เดือนนั้นเอง...” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาไว้ในหนังสือพระราชพิธี ๑๒ เดือน สรุปความ ได้ดังนี้ ทรงจัดกลุ่มพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาในรัชสมัยของพระองค์ ว่ามีการถือน�้ำ ๕ อย่าง ๒ อย่างจัดเป็นการถือน�้ำประจ�ำตามก�ำหนดเวลา คือ การถือน�้ำประจ�ำปีของข้าราชการ ปีละ ๒ ครั้ง ในเดือน ๕ และเดือน ๑๐ และ การถือน�้ำประจ�ำเดือนของทหาร ท�ำในวันขึ้น ๓ ค�่ำทุกเดือน และอีก ๓ อย่าง จัดเป็นการถือน�้ำจรคือการถือน�้ำเมื่อแรกที่พระเจ้าแผ่นดินทรงรับสิริราชสมบัติ การถือน�้ำของผู้ที่เข้ามาสวามิภักดิ์พึ่งพระบรมโพธิสมภารและการถือน�้ำของผู้ที่ เป็นที่ปรึกษาราชการเมื่อแรกรับต�ำแหน่ง ทั้ง๓อย่างนี้จัดขึ้นแล้วแต่เหตุการณ์ไม่มี ก�ำหนดเวลาที่แน่นอน ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการถือน�้ำเพิ่มขึ้นอีก ๒ อย่าง ใน พ.ศ. ๒๔๕๔ ได้แก่ การถือน�้ำพิเศษของ สมาชิกเสือป่า และการถือน�้ำตามพระราชบัญญัติแปลงชาติ ในช่วงรัชกาลที่ ๑-๓ มีรายละเอียดเกี่ยวกับพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์ สัตยาดังนี้บรรดาข้าราชการและภรรยาหลวงของข้าราชการที่มีศักดินาตั้งแต่ ๔๐๐ ขึ้นไป ถือน�้ำที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ก ่อนสร้างวัด พระศรีรัตนศาสดาราม ถือน�้ำที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) แล้วน�ำธูปเทียน ไปถวายบังคมพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่หอพระธาตุมณเฑียร _20-0355(151-316)p3.indd 251 6/7/2563 BE 09:22


252 ในพระบรมมหาราชวัง [ในรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการถวายบังคม พระบรมอัฐิของสมเด็จพระปฐมบรมมหาปัยกาธิบดี(พระชนกของพระองค์) แทนการถวายบังคมพระเชษฐบิดรในสมัยอยุธยา ในรัชกาลต่อมา ก็ถวายบังคม พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลก่อนนั้น]จากนั้นจึงพร้อมกัน เฝ้าฯ กราบถวายบังคมพระเจ้าแผ่นดินในท้องพระโรงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ส ่วนกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) และพระบรมวงศานุวงศ์นั้น เจ้าพนักงานน�ำน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาถวายให้เสวยหน้าพระที่นั่งในท้องพระโรง เวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกให้ข้าราชการถวายบังคม เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวใกล้สวรรคต พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระผนวชอยู่ บรรดาขุนนางได้เชิญเสด็จเข้าไป ประทับณพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ครั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู ่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัวจึงทรงรับครอง สิริราชสมบัติแล้วมีการประกอบพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาเมื่อแรก เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ความใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ระบุว่าใช้เวลา ถึง ๑๕ วัน และเมื่อโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๔ ก็โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีถือน�้ำ พระพิพัฒน์สัตยาอีกครั้งหนึ่งในการถือน�้ำแต่ละครั้งมีผู้เข้าร่วมในพิธี“...นับรวม เข้าด้วยกันทั้งหญิงและชายมีประมาณถึงสามหมื่น หรือมากกว่านั้น”ในปีต่อๆ มา พระองค์มีพระราชด�ำริว่า ...การที่ประชุมพร้อมกันท�ำสัตยานุสัตย์ถือน�้ำพระพิพัฒน์สัจจา เฉพาะพระพักตร์พระมหามณีรัตนปฏิมากรและพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัยซึ่งเป็นพระฉลองพระองค์สมเด็จพระบรม อัยกาธิราช สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทั้งสองพระองค์นี้ดูเป็นการสวัสดิ มงคลและพร้อมเพรียงกัน ดีกว่าที่แยกย้ายกันอย่างแต่ก่อน... _20-0355(151-316)p3.indd 252 6/7/2563 BE 09:22


253 ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชด�ำเนิน ไปพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเพื่อทรงร ่วมในพระราชพิธีถือน�้ำ พระพิพัฒน์สัตยา และร่วมเสวยน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วย โดยทรงให้เหตุผลว่า “...การถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นการใหญ่จะให้พระบรมวงศาและข้าราชการ ผู้ใหญ่ผู้น้อยรับน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาแต่ฝ่ายเดียว ก็ไม่เป็นการยุติธรรมต่อกัน ถ้าถือดังนั้น ก็ผู้รับน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาก็ต้องรักษาความสุจริตแต่ฝ่ายเดียว พระเจ้าแผ่นดินไม่ถือด้วยจะคิดร้ายประการใด ๆ ก็ได้ความสุจริตข้าง ๑ รักษา ข้าง ๑ ไม่รักษาก็ไม่สมควร ต้องรักษาด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย น�้ำพระพิพัฒน์สัตยา จึงจะศักดิ์สิทธิ์...” ทั้งนี้พระองค์ทรงกระท�ำสัตย์รับน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาก่อน ผู้อื่น แล้วพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการก็สาบานตน และรับน�้ำพระพิพัฒน์ สัตยาตามล�ำดับผู้ใหญ่ผู้น้อย รวมทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลงการเก่าบางอย่าง เช่น มีการทรง เลี้ยงพระที่มีสมณศักดิ์ราว ๕๐๐ รูป เพื่อความเป็นสิริมงคลและเพิ่มพูน พระราชกุศลการนิมนต์พระสงฆ์สวดมนต์ในพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา แต่ก่อนเพียง ๑๐ รูป เมื่อพระองค์โปรดเกล้าฯให้จารึกพระนามพระเจ้าแผ่นดิน สมัยอยุธยา ธนบุรีและรัตนโกสินทร์ที่ฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ๓๗ ปาง ที่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู ่หัวโปรดเกล้าฯ ให้หล ่อด้วยแร ่ทองแดง จากเมืองจันทึก เพื่อทรงพระราชอุทิศแด่พระเจ้าแผ่นดินในกรุงศรีอยุธยาและ กรุงธนบุรี๓๔ พระองค์กรุงรัตนโกสินทร์๓ พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์ พระสงฆ์สวดมนต์ในพระราชพิธีเพิ่มจาก ๑ รูป เป็น ๓๗ รูป ซึ่งการนิมนต์ พระสงฆ์สวดในพระราชพิธีนี้จะนิมนต์เพิ่มจ�ำนวนขึ้น ๑ รูป ตามรัชกาล คือ รัชกาลที่ ๕ นิมนต์พระสงฆ์๓๘ รูป รัชกาลที่ ๖ นิมนต์๓๙ รูป และรัชกาลที่ ๗ นิมนต์ ๔๐ รูปตามล�ำดับ ทั้งนี้จะนิมนต์เฉพาะ “...เจ้าพระ พระราชาคณะชั้น ผู้ใหญ่และพระราชาคณะที่เป็นเปรียญทั้งสิ้น...” นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงเพิ่มเติมให้ อาลักษณ์อ่าน “ประกาศวันสวดมนต์พระราชพิธีถือน�้ำ” เมื่อเวลาทรงศีล ก่อน _20-0355(151-316)p3.indd 253 6/7/2563 BE 09:22


254 พระสงฆ์สวดมนต์ ประกาศนี้เป็นพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับประวัติพระพุทธมหา มณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกตกระแสพระราชด�ำริทรงวินิจฉัยฝีมือช่างที่สร้างพระ และสรรเสริญพระคุณว่าเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ต่อด้วย จดหมายเหตุย่อในการแผ่นดิน และสรรเสริญพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมราชวงศ์จักรีสุดท้ายเป็นค�ำตักเตือนข้าราชการผู้ถือน�้ำ ทั้งปวงให้ท�ำราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและอธิษฐานขอพรเทพยดาจบแล้ว พระสงฆ์สวดมนต์มหาราชปริตรสิบสองต�ำนาน พราหมณ์อ่านดุษฎีค�ำฉันท์เป็น ค�ำสรรเสริญพระแก้วมรกต สรรเสริญพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอธิษฐาน แล้วราชบัณฑิตอธิษฐานน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีพระราชหัตถเลขาถึง คณะทูตไทยที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศว่า ห้ามถือน�้ำใน เขตแดนประเทศอื่นรวมถึงเรือก�ำปั่นหรือเรือส�ำเภาของชาติอื่น ดังนั้นพระองค์ จึงทรงห้ามคณะทูตไม่ให้ถือน�้ำในเรือของชาติอื่นหรือในแผ่นดินอื่น ทรงก�ำหนด เขตแดนที่คณะทูตจะถือน�้ำได้เพียง “แขวงเมืองสงขลา เมืองถลาง เมืองพังงา แลเมืองประจันตคิรีเขต[เกาะกง] เข้ามา หรือจะถือได้แต่บนเรือก�ำปั่นแลส�ำเภา เป็นของกรุงเทพฯ เท่านั้น...” รายละเอียดของพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ในรัชกาลพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในเรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือน สรุปความได้ดังนี้ วันแรก ในเดือน ๑๐ แรม ๑๒ ค�่ำ (ถือน�้ำสารท) และเดือน ๕ ขึ้น ๒ ค�่ำ (ถือน�้ำตรุษ) เป็นวันพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ตอนเย็น ในพระอุโบสถวัด พระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ทรงศีล อาลักษณ์อ่านค�ำประกาศรัตนพิมพวงศ์ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดังกล่าวมาแล้ว จบแล้วพระสงฆ์จ�ำนวน ๓๘ รูป สวด พระพุทธมนต์ พราหมณ์อ ่านดุษฎีค�ำฉันท์ สรรเสริญพระพุทธมหามณี รัตนปฏิมากรแก้วมรกต _20-0355(151-316)p3.indd 254 6/7/2563 BE 09:22


255 วันที่ ๒ เดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค�่ำ และเดือน ๕ ขึ้น ๓ ค�่ำ เดิมมีการเลี้ยง พระเช้าในพระอุโบสถ ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปเลี้ยงพระที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์แล้วยกเลิกการเลี้ยงพระเช้าในพระราชพิธีนี้เพราะต้องจัดเตรียมสถานที่ และเป็นการยากล�ำบากแก่พระสงฆ์ที่ต้องมาร่วมพิธีแต่เช้า เมื่อพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกที่พระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธมหามณี รัตนปฏิมากรแก้วมรกต พระพุทธสัมพรรณีพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แล้วทรงจุดธูป เทียนนมัสการ พระราชทานพระบรมวงศ์ไปทรงบูชาพระพุทธปฏิมากรจ�ำลอง พระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๔ พระองค์ ที่หอพระราชกรมานุสร เป็นเทียน ๔ เล่ม และทรงบูชาพระพุทธปฏิมากรจ�ำลองพระองค์ในพระเจ้าแผ่นดิน กรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรีที่หอพระราชพงศานุสรเป็นเทียน ๓๔ เล่ม จากนั้น พระมหาราชครูพิธีอ ่านโองการแช ่งน�้ำและเชิญพระแสง ๓ องค์ที่พระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น คือ พระแสงพรหมาสตร์ ประลัยวาตและอัคนิวาตมาแทงน�้ำในพระขันหยกจบแล้วอาลักษณ์อ่านค�ำสาบาน แช่งน�้ำ เจ้ากรมพราหมณ์พฤฒิบาศรับพระแสงรวม ๑๕ องค์จากเจ้าพนักงาน กรมแสง มีผ้าขาวรองมือ เชิญพระแสงออกจากฝักแทงน�้ำในหม้อเงินและขัน สาครทุกหม้อทุกขัน ในเวลาเดียวกันพระสงฆ์สวดคาถาสจฺจํ เวอมตาวาจาฯลฯ หลังจากอาลักษณ์อ่านค�ำประกาศจบ ข้าราชการที่เฝ้าฯ อยู่หน้าพระอุโบสถ ขึ้นไปอ่านค�ำสาบานอย่างย่อ แล้วพระมหาราชครูพิธีแบ่งน�้ำที่แทงพระแสงศร ลงในถ้วยพระโมราเครื่องต้น เจือกับน�้ำพระราชพิธีพราหมณ์ซึ่งอบมีกลิ่นหอม ทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดื่ม เจ้ากรมพราหมณ์พฤฒิบาศ รับน�้ำในพระขันหยกไปเทเจือปนในหม้อเงินและขันสาคร แล้วแจกน�้ำแทง พระแสงให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) พระบรมวงศานุวงศ์และ ข้าราชการรับพระราชทานต่อไป เสร็จแล้วน�ำดอกไม้ธูปเทียนไปถวายบังคม พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๔ รัชกาล รวมทั้งพระอัฐิสมเด็จ พระปฐมบรมมหาปัยกาธิบดีด้วยที่หอพระธาตุมณเฑียร _20-0355(151-316)p3.indd 255 6/7/2563 BE 09:22


256 ในช่วงต้นรัชกาล ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๑๕ เป็นช่วงระยะเวลาที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัวทรงมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหา ศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์อยู่นั้น ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว ่าพระองค์มิได้เสวยน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ต ่อมาเมื่อ บรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๔๑๖ จึงโปรดเกล้าฯให้ด�ำเนินตามแบบอย่าง ในสมเด็จพระบรมชนกนาถ ดังความว่า ...แต่ในแผ่นดินปัจจุบันนี้เมื่อแรกๆ ท่านผู้บัญชาการในพระราชพิธี ทั้งปวง[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ามหามาลากรมขุนบ�ำราบปรปักษ์ ต้นราชสกุล มาลากุล สุดท้าย คือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยา บ�ำราบปรปักษ์] ก็ได้ยกเลิกน�้ำที่ถวายพระเจ้าแผ่นดินเสวยเสีย จะเป็น ด้วยตัดสินกันประการใด หรือเกรงใจว่าไม่ได้รับสั่งเรียกก็ไม่ทราบเลย ภายหลังมา เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเป็น อย่างไว้แล้ว เมื่อยกเลิกเสียโดยมิได้ปรากฏเหตุการณ์อย่างไร ก็ดูเหมือน หนึ่งไม่ตั้งใจที่จะรักษาความสุจริตกระดากกระเดื่องอย่างไรอยู่จึงได้สั่งให้ มีขึ้นตามแบบเดิมตั้งแต่ปีบรมราชาภิเษกครั้งหลังมา [พ.ศ. ๒๔๑๖]… ส่วนการถือน�้ำของพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน ท้าวนางข้าราชบริพารและ บรรดาภรรยาหลวงของข้าราชการที่มีศักดินา ๔๐๐ ขึ้นไปนั้น แต่เดิมต้องไป ร่วมพิธีถือน�้ำที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามทั้งสิ้น ต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ยกเว้นท้าวนางที่เป็น เจ้าจอมมารดาทั้งฝ่ายในต่างวังธิดาเสนาบดีและภรรยาม่ายของข้าราชการที่ยัง ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดอยู่ เข้าไปถือน�้ำข้างในพระราชมณเฑียรเมื่อพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปประทับที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ บรรดาพระ บรมวงศานุวงศ์ข้าราชการฝ่ายใน และภรรยาข้าราชการเฝ้าฯเจ้าพนักงานฝ่ายในผู้ มีเชื้อสายตระกูลพราหมณ์อ่านค�ำสาบาน แล้วรับพระราชทานน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา หน้าพระที่นั่ง จากนั้นเสด็จฯ ไปถวายบังคมพระบรมอัฐิที่หอพระธาตุมณเฑียร _20-0355(151-316)p3.indd 256 6/7/2563 BE 09:22


257 ก�ำหนดการแต่งกายไปร่วมในพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา หากไป ถือน�้ำที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามต้องนุ ่งขาวห ่มขาวทุกพระองค์และทุกคน แต่เมื่อไปถวายบังคมพระบรมอัฐิแต่งเครื่องสีตามธรรมเนียม พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ไว้ว่า ...ข้าราชการนั้นนุ่งสองปักท้องขาวเชิงกรวยสวมเสื้อผ้าขาวคาด เสื้อครุยเสมอมาจนปัจจุบันนี้แต่เปลี่ยนรูปเสื้อไปตามกาลเวลา...ท้าว นางข้างในนุ่งผ้าม่วงพื้นขาวจีบ ห่มแพรชั้นใน ห่มผ้าปักทองแล่งชั้นนอก มีหีบทองหีบถมเครื่องยศพร้อมทั้งกาน�้ำและกระโถนออกไปตั้งตรงหน้าที่ นั่งในพระอุโบสถด้วย ภรรยาท่านเสนาบดีบางคนที่ได้รับพระราชทาน เครื่องยศหีบทองเล็ก กา กระโถนและผ้าปักทองแล่ง ก็แต่งตามยศที่ได้ พระราชทาน ตั้งเรียงต่อท้าวนางไป ภรรยาข้าราชการที่ถือน�้ำนี้แต่ก่อน เล่ากันว่า เป็นการประกวดประขันกันยิ่งนัก ตัวผู้ที่เป็นภรรยาถือน�้ำต้อง นุ่งขาวห่มขาว แต่แต่งภรรยาน้อยที่มาตามห่มสีสัน ถือเครื่องใช้สอย ต่าง ๆ กระบวนละมาก ๆ การจัดพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้ถือเป็นแบบอย่างเดียวกัน ทั้งพระราชอาณาจักร การถือน�้ำในหัวเมืองก็ก�ำหนดวันพร้อมกันกับการ พระราชพิธีที่กรุงเทพฯ เมืองใดที่ได้รับพระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำ เมืองก็ใช้พระแสงราชศัสตรานั้นแทงน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาเมืองอื่น ๆก็ใช้กระบี่ยศ ที่พระราชทานเจ้าเมืองเป็นอาวุธแทงน�้ำ จัดพิธีที่พระอารามหลวงหรือวัดส�ำคัญ กลางเมืองเช่นวัดมหาธาตุเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังในหัวเมือง คือ พระราชวังจันทรเกษมที่พระนครศรีอยุธยา และพระนครคีรีที่เพชรบุรีก็โปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีถือน�้ำในพระราชวังนั้น การถือน�้ำที่จัดขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๕ และ ๖ ได้แก่ ๑. การถือน�้ำเมื่อแรก แต่งตั้งที่ปรึกษาราชการฯ ๒. การถือน�้ำประจ�ำเดือนของทหาร ๓. การถือน�้ำ พิเศษของเสือป่า และ ๔. การถือน�้ำของผู้ที่ขอแปลงสัญชาติมีรายละเอียด ดังนี้ _20-0355(151-316)p3.indd 257 6/7/2563 BE 09:22


258 ๑. การถือน�้ำเมื่อแรกแต่งตั้งที่ปรึกษาราชการฯ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ประกอบ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่๒ ใน พ.ศ. ๒๔๑๖ แล้ว ในปีต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสภาที่ปรึกษาราชการในพระองค์และสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ส�ำหรับ ทรงปรึกษาราชการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข แม้ว่าจะเป็นเสมือนการ “...ลดหย่อนพระราชอิศริยยศลง มิได้ถือพระองค์ยอม ให้ท่านทั้งหลายทูลทัดทานขัดขวางในการซึ่งทรงพระราชด�ำริซึ่งยังไม่ต้องด้วย ยุติธรรม แลให้กราบทูลการซึ่งตัวได้คิดเหนว่าเปนคุณ ตามความคิดฃองตนเพื่อ จะให้เปนคุณเปนประโยชน์แก่ราษฎรไปภายน่า...” ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาสภาทั้ง ๒ สภาดังกล่าวแล้วจะต้องถือน�้ำถวายสัตยานุสัตย์ สาบานตัวก่อนเข้ารับต�ำแหน่งรวม ๗ ข้อ “...ด้วยความเตมใจ จะไม่เปนสักแต่ ว่าออกวจีเภท” คือ ๑. จะร่วมประชุมทุกครั้งและจะกราบทูลเรื่องราวต่างๆเต็มสติปัญญา ๒. จะค�ำนึงถึงพระเกียรติยศและประโยชน์ของแผ่นดินรวมทั้งความสุข ของประชาชนเป็นส�ำคัญ ไม่เกรงกลัวอ�ำนาจผู้ใด และไม่เห็นแก่ญาติพี่น้อง ๓. รักษาความลับของที่ประชุม ๔. ไม่ท�ำผิดกลับเอาเท็จเป็นจริงเพราะเห็นแก่สินบนและผลประโยชน์ ส่วนตัว ๕. จะเอาใจใส ่ช ่วยสนับสนุนการที่ตกลงกันในที่ประชุมให้ด�ำเนิน ไปด้วยดี ๖. จะตอบโต้ผู้ขัดขวางมติที่ประชุมอย่างเต็มสติก�ำลังและจะต่อสู้กับ ผู้ที่คิดประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยชีวิต ๗. จะตั้งใจรักษาประพฤติตนให้สมควรแก่ต�ำแหน่งหน้าที่ ซื่อสัตย์ กตัญญูสวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากมิได้ท�ำตามค�ำสาบานนี้แม้เพียงข้อหนึ่งข้อใดแล้ว _20-0355(151-316)p3.indd 258 6/7/2563 BE 09:22


259 ...ฃออ�ำนาจสิ่งซึ่งเปนใหญ่เปนประธานในสกลโลกย์แลอ�ำนาจเทพยดา ซึ่งรักษายุติธรรมแลโทษแห่งวจีทุจริตจงบันดานโทษทุกขไภย ให้ถึง ข้าพระพุทธเจ้าจนถึงชีวิตตันตรายด้วยความล�ำบากให้เหนประจักษแก่ตา โลกยในชาตินี้อนึ่งทางใดซึ่งเปนช่องจะให้ได้ถึงความสุข ความเจริญใน ภพนี้และภพน่า ทางนั้นฃออย่าให้ข้าพระพุทธเจ้าได้ประสบภพเลย นอกจากนี้ยังมีการถือน�้ำของที่ปรึกษาราชการที่ส�ำคัญอีกอย ่างหนึ่ง ได้แก่การถือน�้ำของผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์และคณะที่ปรึกษาของ ผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดิน ตามความใน “พระราชก�ำหนดผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดิน รัตนโกสินทรศก ๑๑๕” ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะ เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๔๐ ในวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการประชุมสโมสรสันนิบาต และประกอบ พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เพื่อ “...สมเด็จ พระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ซึ่งส�ำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์ทรง กระท�ำสัจจาธิษฐาน กับทั้งผู้เป็นที่ปรึกษาต้องกระท�ำสัตย์สาบานในการที่รับ ต�ำแหน่งนั้น ๆ ด้วย” เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินีนาถถวายปฏิญาณ และเสวยน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาแล้วคณะที่ปรึกษาฯถวายสัตยานุสัตย์สาบานและ รับพระราชทานน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาตามล�ำดับ คือ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมีกรมพระจักรพรรดิพงศ์ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์กรมพระภาณุพันธุวงศ์ วรเดช พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นด�ำรงราชานุภาพ และ เจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ(GustaveRolin-Jaequemynsกุสตาฟ โรแลง เชเกอแมงส์) _20-0355(151-316)p3.indd 259 6/7/2563 BE 09:22


260 ๒. การถือน�้ำประจ�ำเดือนของทหาร ในช่วงการพัฒนากองทหารแบบใหม่เมื่อต้นรัชกาล พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าหลวงเดิม คือ พระอินทรเทพ (อ�่ำ อัมรานนท์สุดท้ายเป็น พระยาพิไชยสงคราม)ด�ำรงต�ำแหน่ง “กอลอแนนต์อินชีพ ผู้ว่าการที่หนึ่ง” ในกรมทหารรักษาพระองค์รวม ๑๕ กรม ได้แก่กรมรักษาพระองค์ปืนทองปรายซ้าย-ขวากรมรักษาพระองค์ปืนปลายหอก ซ้าย-ขวา กรมรักษาพระองค์ในข้าหลวงเดิมซ้าย-ขวา กรมทหารหน้าอย่าง ยุโรปซ้าย-ขวากรมล้อมพระบรมมหาราชวังกรมรามัญ กรมเกณฑ์หัดซ้าย-ขวา กรมมหาดไทยซ้าย-ขวา และกรมช้าง ซึ่งทหารในกรมเหล่านี้ล้วนท�ำหน้าที่ ถืออาวุธแห่น�ำและตามเสด็จพระราชด�ำเนิน จุกช่องล้อมวง ถวายอารักขาแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. ๒๔๑๗ พระอินทรเทพ ผู้ว่าการที่หนึ่ง เห็นสมควรให้“...ออฟฟิเซอร์แลทหารนั้นถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาธิฐานเสมอ ทุกเดือนจึ่งจะชอบ...” จึงก�ำหนดการให้ทหารถือน�้ำในวันขึ้น ๓ ค�่ำของทุก เดือน โดยเดินแถว ๔ กระบวนจากสนามฝึกหัดไปยังพระอุโบสถวัดพระศรี รัตนศาสดาราม แล้ว ...ออฟฟิเซอร์จึ่งได้บอกวิเซนต์[น่าจะตรงกับ วันทยาวุธ] อย่างยุโรป ท�ำค�ำนับพระพุทธปฏิมากร พระสงฆ์ ๕ รูปเจริญพระพุทธมนต์ชีพ่อ พราหมณ์แลเจ้าพนักงานก็กระท�ำบวงสรวง แลอ่านค�ำประกาศ แล้ว ออฟฟิเซอร์จึ่งรับเอาค�ำสาบาลต่อกรมพระอาลักษณ์อ่านให้ทหารทั้ง ๔ กระบวนฟัง ครั้นอ่านค�ำสาบาลเสรจแล้ว ทหารทั้งปวงก็ค�ำนับรับเอาน�้ำ พระพิพัฒน์สัตยาธิฐานถือ[ดื่ม] ทั้ง ๔ กระบวน ออฟฟิเซอร์จึ่งได้บอกค�ำ วิเซนอย่างยุโรป น้อมค�ำนับลาพระพุทธปฏิมากรอีกครั้งหนึ่ง แล้วน�ำ กระบวนกลับมาพร้อมกันยังที่สนามฝึกหัดทั้ง ๔ กระบวน ออฟฟิเซอร์ บอกวิเซนค�ำนับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วแยกกอมปนีกลับไป ยังที่ทหารอยู่นั้น _20-0355(151-316)p3.indd 260 6/7/2563 BE 09:22


261 ยกเว้นเฉพาะเดือน ๕ และเดือน ๑๐ ทหารจึงร่วมถือน�้ำในพระราชพิธีถือน�้ำฯ ประจ�ำปีแต่การถือน�้ำประจ�ำเดือนของทหารนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่ายกเลิกไปเมื่อพ.ศ.๒๔๓๑หากแต่ว่า“...เปลี่ยนไป เป็นธรรมเนียมตัวทหารที่เข้ารับราชการใหม่และนายทหารซึ่งจะได้รับต�ำแหน่ง ใหม่ ต้องถือน�้ำทุกครั้งที่ได้เปลี่ยนต�ำแหน่ง...” โดยถือน�้ำที่ออฟฟิศกรมยุทธนา ธิการ (ปัจจุบันคือกระทรวงกลาโหม) ๓. การถือน�้ำพิเศษของเสือป่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติใน พ.ศ. ๒๔๕๓ ในปีต่อมา พระองค์ทรงสถาปนากองเสือป่าเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ โดยมีพระราชประสงค์เพื่อให้โอกาสแก่พลเรือนที่เป็นข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ได้รับการฝึกหัดอบรมแบบทหาร ท�ำให้มีวินัยเคารพกฎหมาย ของบ้านเมือง รักชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมทั้งเสริมสร้างความ สามัคคีในหมู่พลเรือน เมื่อมีผู้สมัครเป็นสมาชิกของกองเสือป่ามีจ�ำนวนถึงพอ จะตั้งได้เป็นหนึ่งกองร้อยแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ของเสือป ่าเป็นครั้งแรก ในวันที่ ๖ พฤษภาคม ปีเดียวกันที่พระอุโบสถวัด พระศรีรัตนศาสดาราม และได้จัดต่อมาอีกหลายครั้งในปีนั้น หากอยู่ในช่วงการ ซ้อมรบเสือป่าก็จัดพิธีที่พระราชวังสนามจันทร์จังหวัดนครปฐม พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาของเสือป่ามีรายละเอียดส�ำคัญ ที่แตกต่างกับพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจ�ำปีคือ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในฐานะ “นายกเสือป่า” ทรงอธิษฐานแทงน�้ำแทน พราหมณ์พระมหาราชครูพิธีและอาวุธที่ใช้แทงน�้ำที่ส�ำคัญคือพระแสงศร ก�ำลังราม ซึ่งเป็นศรสัมฤทธิ์โบราณที่ได้รับทูลเกล้าฯถวายจากเทศาภิบาลมณฑล นครสวรรค์(พระยารณไชยชาญยุทธ – ศุข โชติกเสถียร) เมื่อต้นรัชกาล ปลาย พ.ศ. ๒๔๕๓ และพระองค์มีพระบรมราชวินิจฉัยไว้ว่า _20-0355(151-316)p3.indd 261 6/7/2563 BE 09:22


262 ...ศรนี้น่าจะได้สร้างขึ้นไว้ใช้ในการพิธีอย่างใดอย่างหนึ่งตามลัทธิ พราหมณ์ถ้าแม้จะให้เดา ก็ว่าจะให้ชุบน�้ำท�ำน�้ำมนต์ฤๅแช่งน�้ำสาบาล อย่างเช่นท�ำน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาเปนต้น เมื่อมีความเห็นเช่นนี้จึ่งเห็นว่า เปนสิ่งสูงสมควรที่จะใช้เข้าพิธีต่อไป... หลังจากทรงอธิษฐานพระแสงศรก�ำลังราม ๓ ครั้ง ทรงแทงน�้ำในพระขันหยก แล้วจึงทรงพระแสงต่างๆแทงน�้ำในหม้อน�้ำทุกหม้อ ทรงเจือน�้ำจากพระขันหยก ลงในหม้อน�้ำทุกหม้อ ให้สมาชิกเสือป่ารับพระราชทานทั่วกัน ๔. การถือน�้ำของผู้ที่ขอแปลงสัญชาติ ตามความใน “พระราชบัญญัติแปลงชาติ” ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔) ซึ่งก�ำหนดว่า เมื่อผู้ใดร้องขอแปลงสัญชาติเป็นคนใน บังคับสยาม และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วผู้นั้นจะต้องเข้าพิธี ซึ่งเรียกเฉพาะว่า “พิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยานุสัตย์” ตามวันเวลาและสถานที่ ที่เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศแจ้งให้ทราบ แล้วจึงลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ทราบทั่วกัน การถือน�้ำของผู้ขอแปลงสัญชาติในกรุงเทพฯ จะต้องมี ผู้นั่งก�ำกับ ๒ คน จะเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศหรือปลัดทูลฉลอง หรือที่ปรึกษาทั่วไปก็ได้ส ่วนในหัวเมืองก�ำหนดให้ข้าหลวงเทศาภิบาลกับ ปลัดมณฑลเทศาภิบาลเป็นผู้นั่งก�ำกับการถือน�้ำ ทั้งนี้หากผู้ร้องขอแปลงสัญชาติ ยังไม ่สันทัดภาษาไทย จะให้สัตยาธิฐานเป็นภาษาต ่างประเทศที่ผู้นั่งก�ำกับ การถือน�้ำเข้าใจดีก็ได้ ส่วนพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจ�ำปีละ ๒ ครั้งนั้น เมื่อ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ออก“ประกาศวิธีนับวัน เดือนปี”ในปลายพ.ศ.๒๔๕๕ก�ำหนดให้ใช้พระพุทธศักราชในราชการทั้งปวงแทน การใช้รัตนโกสินทรศกต่อมาพระองค์มีพระราชด�ำริว่า พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ ซึ่งเป็นการบ�ำเพ็ญพระราชกุศลสิ้นปีที่ท�ำกลางเดือนมีนาคมกับพระราชพิธีเผด็จ ศกสงกรานต์ซึ่งเป็นการบ�ำเพ็ญพระราชกุศลขึ้นปีใหม่ที่ท�ำกลางเดือนเมษายนนั้น _20-0355(151-316)p3.indd 262 6/7/2563 BE 09:22


263 สมควรจะท�ำต่อเนื่องรวมเป็นพิธีเดียวกันได้จึงโปรดเกล้าฯให้เลื่อนวันประกอบ พระราชพิธีทั้งสิ้นปีเก่าและขึ้นปีใหม่ให้ต่อเนื่องกัน เรียกชื่อว่า “พระราชพิธี ตะรุษะสงกรานต์”รวมทั้งโปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนก�ำหนดการประกอบพระราชพิธี ถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นปีละครั้งในวันที่ ๓ เมษายน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๗ เป็นต้นมา ให้ยกเลิกการพระราชพิธีถือน�้ำกลางปีในเดือน ๑๐ และพระราชพิธี สารทเดือน ๑๐ อีกด้วย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์ปกครองภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาก็ยกเลิกไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นต้นมา จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก�ำหนดหลักเกณฑ์ในการ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีซึ่งตราขึ้นตั้งแต่รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าให้เป็นพระราชอ�ำนาจที่จะพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้แก่ผู้กระท�ำความดีความชอบเป็นพิเศษ หรือผู้ที่ท�ำ ประโยชน์อย่างยิ่งต่อราชการทหารทั้งในยามสงครามและยามสงบ และอาจ พระราชทานแก่มีผู้มีเกียรติชาวต่างประเทศโดยไม่จ�ำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีความดี ความชอบต ่อราชการทหารก็ได้ หลังจากโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่อง ราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีแล้ว ๓ ครั้ง ใน พ.ศ. ๒๕๐๕, ๒๕๐๘ และ ๒๕๑๑ ในการพระราชทานครั้งที่๔เมื่อพ.ศ.๒๕๑๒ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา จัดรวมกับพระราชพิธีพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีก�ำหนดการจัดงานพระราชพิธีรวม๒วัน ในวันที่๒๔-๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ และมีข้อก�ำหนดเฉพาะผู้เป็นสมาชิกเครื่อง ราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีเท่านั้นที่ต้องถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา นอกจากนั้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ยังมีการพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นการจรเป็น กรณีพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ การถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาเนื่องใน “พระราชพิธี _20-0355(151-316)p3.indd 263 6/7/2563 BE 09:22


264 เฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร”เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามกระแส พระราชด�ำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ที่ว่า ในฐานะที่สมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงด�ำรง ต�ำแหน่งรัชทายาท ย่อมจะต้องทรงมีส่วนร่วมในการปฏิบัติพระราชภารกิจเพื่อ ชาติและประชาชน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาว่าจะทรงปฏิบัติราชการแผ่นดิน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติศาสนา และพสกนิกร พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นพระราชพิธีส�ำคัญของบ้านเมือง มาแต่โบราณ ซึ่งมีเหตุและผลในทางการเมืองการปกครองเป็นเรื่องส�ำคัญ มีอิทธิพลทางด้านจิตใจ ความรู้สึก อันเกี่ยวพันกับค�ำสอนทางพระพุทธศาสนา ที่ว่า “ท�ำดีได้ดีท�ำชั่วได้ชั่ว” การฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ในรัชกาลที่ ๙ นับเป็นการ รักษาสืบทอดโบราณราชประเพณีส�ำคัญ อันมีผลต่อความมั่นคงของชาติ (นางสาวศิรินันท์ บุญศิริ) หนังสืออ้างอิง “ข่าวทหารถือน�้ำประจ�ำเดือน.” ใน ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑ แผ่นที่ ๑๖ (วันอาทิตย์เดือน ๙ แรม ๓ ค�่ำ ปีจอฉศก ๑๒๓๖) : ๑๕๒. จอมเกล้าเจ้าอยู ่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ชุมนุมพระบรมราชาธิบายใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หมวดวรรณคดีและหมวด โบราณคดี และประชุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๔ ภาคปกิณกะ. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๑. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทาน เพลิงศพ นายสนั่น สุมิตร ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑. จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชกรัณยานุสร.กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์กรมศิลปากร, ๒๕๔๑. _20-0355(151-316)p3.indd 264 6/7/2563 BE 09:22


265 จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธีสิบสองเดือน เล่ม ๑. พระนคร : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๖. ทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์(ม.ร.ว.เฉลิมลาภ ทวีวงศ์), พลตรี หม่อม.“พระราชพิธีถือน�้ำ พระพิพัฒน์สัตยา.” ใน ประเพณีในราชส�ำนัก (บางเรื่อง). พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์,๒๕๑๔. พิมพ์ฉลองพระคุณในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์(ม.ร.ว.เฉลิมลาภ ทวีวงศ์) ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์๒๕๑๔. ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๒๑. ประชุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๔ และนิพนธ์ของพระอมราภิรักขิต (เกิด). กรุงเทพฯ: พุทธอุปถัมภ์การพิมพ์, ๒๕๑๖.วัดบรมนิวาสพิมพ์เป็นอนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมดิลก (ทองด�ำ จนฺทูปโม ป.ธ. ๗) ณ เมรุหน้าพลับพลาราชอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๑๖. ประชุมพระราชนิพนธ์ภาษาบาลีในรัชกาลที่ ๔ ภาค ๒. นครหลวงฯ: โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๑๕.คณะธรรมยุตพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศล ในงานพระเมรุพระศพสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (จวน อุฏฺายี) ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๑๕. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทยสมัยอยุธยา ลิลิตโองการ แช่งน�้ำ. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๐. ศิลปากร,กรม. พระราชพิธีในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชฯ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร, ๒๕๔๓.จัดพิมพ์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องใน พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒. _20-0355(151-316)p3.indd 265 6/7/2563 BE 09:22


266 ศรีสหเทพ (เส็ง วิริยศิริ), พระยา.จดหมายเหตุเสด็จประพาสยุโรป ร.ศ. ๑๑๖. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๐. องค์การค้าของคุรุสภาพิมพ์เผยแพร่ ในโอกาสฉลองครบ ๑๐๐ ปีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช ๒๕๔๐. พระราชพิธีสังเวยพระป้าย ใน “ปฏิทินหลวง” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานส�ำหรับ ความสุขปีใหม่แก่บรรดาพสกนิกรผู้จงรักภักดีซึ่งไปลงนามถวายพระพรเป็น ประจ�ำทุกปีมีก�ำหนดงานพระราชพิธีงานหนึ่งที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ จัดขึ้นในเทศกาลตรุษจีน ได้แก่พระราชพิธีสังเวยพระป้ายเป็นการถวายอาหาร ทั้งอาหารคาว และอาหารหวานบูชาเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามธรรมเนียมจีน การประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้ายมีขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่การก่อสร้างพระที่นั่ง เวหาศจ�ำรูญ พระราชวังบางปะอินแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๔๓๒ เป็นพระที่นั่งซึ่งสร้าง ตามแบบสถาปัตยกรรมจีนที่บรรดาขุนนางเชื้อสายจีนในกรมท่าซ้ายสร้างถวาย มีชื่อเป็นภาษาจีนว่า “เทียน เหม็ง เต้ย” (เทียน หมายถึง ฟ้า คือ “เวหาศ”, เหม็ง หมายถึง สว่าง คือ “จ�ำรูญ”, เต้ย หมายถึง พระที่นั่ง) มีการเฉลิม พระราชมณเฑียรระหว่างวันที่ ๒๗-๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๒ พิธีฉลองท�ำตาม แบบจีน เช่น โปรดเกล้าฯ ให้จัดเสื้อกุยเฮง, เสื้อตั้วตั๋งทั้งแพรและป่านสีต่าง ๆ พระราชทานแก่พระเจ้าน้องยาเธอ และข้าราชการให้สวมถวายตัว ณ ที่เฝ้าฯ มีการลงนามอย่างจีนด้วยการใช้พู่กันเขียนด้วยหมึกบนกระดาษสีแดง บรรดา เจ้านายและขุนนางทูลเกล้าฯถวายดอกไม้ธูปเทียน กิมฮวยอั้งติ๋ว(วิมานเทวดาท�ำ ด้วยกระดาษ) เครื่องโต๊ะลายคราม การจัดโต๊ะเลี้ยงก็เลี้ยงแบบโต๊ะจีน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นประทับพระที่นั่ง เวหาศจ�ำรูญ ตามพระฤกษ์เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๒ นั้น นอกจาก _20-0355(151-316)p3.indd 266 6/7/2563 BE 09:22


267 พระองค์ทรงฉลองพระองค์ฉลองพระมาลา และฉลองพระบาทอย่างจีนแล้ว ยังโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายฉลองพระองค์แบบจีนและให้ขุนนางแต่งตัวอย่าง ขุนนางจีนเข้าเฝ้าฯ อีกด้วย ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพิธีแต้มป้ายพระนามพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และป้ายพระนามสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี ในวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ วันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ เพื่อจะได้อัญเชิญพระป้ายนี้ไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งเวหาศจ�ำรูญ พระราชวังบางปะอิน ส�ำหรับทรงสักการบูชาร�ำลึกถึง พระมหากรุณาธิคุณ พระป้ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสลักพระนามเป็นอักษร จีน เป็นป้ายท�ำด้วยไม้จันทน์กรอบไม้สลักเป็นรูปมังกร ส่วนพระป้ายสมเด็จ พระเทพศิรินทรา บรมราชินีนั้น กรอบไม้สลักเป็นรูปหงส์พิธีแต้มป้ายพระนาม เป็นการสมมุติว่าได้อัญเชิญดวงพระวิญญาณเข้าสถิตในพระป้ายแล้ว จากนั้น โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ณ ห้องพระวิมาน หรือห้องพระป้ายที่ พระที่นั่งเวหาศจ�ำรูญ เมื่อวันที่๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๓ รวมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้ายถวายในวันปีใหม่จีนต่อมาทุกปีตาม ธรรมเนียมจีนที่ต้องมีป้ายชื่อบรรพบุรุษที่เรียกว่า “เกสิน” (แต้จิ๋วออกเสียงว่า เกซิ้ง, จีนกลางออกเสียงว่า เจียเสริน เจีย = บ้าน เสริน = เทวดา) ตั้งไว้เคารพ บูชาเป็นการแสดงความกตัญญูแก่บุพการีและเป็นสิริมงคลแก่ลูกหลาน นอกเหนือจากพระป้ายดังกล่าวแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อเทวรูปทรงเครื่องกษัตริยาธิราช ลักษณะคล้ายกับพระสยามเทวาธิราช พระพักตร์คล้ายพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงขรรค์พระหัตถ์ซ้ายจีบเสมอ พระอุระ ประดิษฐานในซุ้มเรือนแก้วแบบเก๋งจีน ท�ำด้วยไม้จันทน์สลักลงรัก _20-0355(151-316)p3.indd 267 6/7/2563 BE 09:22


268 ปิดทอง จารึกพระปรมาภิไธยเป็นอักษรจีนไว้ที่ด้านหลังเรือนแก้ว อัญเชิญไป ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต การประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้ายในรัชกาลที่ ๕ ส่วนใหญ่พระองค์ จะเสด็จฯ ไปทรงประกอบพระราชพิธีสังเวยที่พระที่นั่งเวหาศจ�ำรูญ ในวันไหว้ ก่อนวันตรุษจีน ๑ วัน โดยเจ้าพนักงานในกรมท่าซ้ายเป็นผู้จัดเตรียมเครื่องสังเวย ทูลเกล้าฯ ถวาย ส ่วนที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตจะจัดพิธีใน วันตรุษจีน คือ วันขึ้น ๑ ค�่ำ เดือน ๑ ของจีน โดยสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ทรงเป็นผู้จัดพิธีทูลเกล้าฯ ถวาย เครื่องสังเวยจะเป็นเครื่องคู่มี หัวหมูเป็ด ไก่ ขนมเปี๊ยะ ขนมเข่ง ซาลาเปา ผลไม้กระดาษทอง กระดาษเงิน กิมฮวยอั้งติ๋ว ประทัด ดอกไม้ธูป เทียนทอง เทียนเงิน รัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวใน พ.ศ. ๒๔๗๐ พระองค์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระป้ายพระนามพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระราชชนนี พันปีหลวง แล้วอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ห้องพระวิมาน พระที่นั่งเวหาศจ�ำรูญ พระราชวังบางปะอิน เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ คู่กับพระป้ายพระนาม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี รายละเอียดของพระราชพิธีสังเวยพระป้ายตามหมายก�ำหนดการ มี ดังนี้เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินถึงสถานที่ประกอบ พระราชพิธีทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะ ทรงจุดธูปหางปักที่เครื่องสังเวย พนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์แตร ดุริยางค์แล้วเสด็จพระราชด�ำเนินลงจาก พระที่นั่งไปทรงเผากระดาษทองกระดาษเงิน (แต ่เดิมทรงจุดประทัดด้วย) แล้วเสด็จพระราชด�ำเนินกลับ เมื่อธูปที่ปักไว้ที่เครื่องสังเวยไหม้หมดดอกแล้ว เจ้าหน้าที่จึงลาถอนเครื่องสังเวย และน�ำกิมฮวยอั้งติ๋วไปปักไว้ที่โต๊ะเครื่องบูชา พร้อมทั้งผูกผ้าสีชมพูเป็นเสร็จพิธี (นางสาวศิรินันท์ บุญศิริ) _20-0355(151-316)p3.indd 268 6/7/2563 BE 09:22


269 หนังสืออ้างอิง จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีฉลูเอกศก พุทธศักราช ๒๔๓๒. พระนคร:สนิทพันธ์การพิมพ์, ๒๕๑๔. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พิมพ์ในการ พระราชทานเพลิงศพ นางจงกลนี โสภาคย์จ.ช. ที่เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ เวลา ๑๗.๐๐ น. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช ๒๔๓๓. พระนคร:โรงพิมพ์ตรีรณสาร,๒๕๑๔.พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงลัยเทพาธิบดี(ลัย บุนนาค) ต.จ. ณ เมรุวัดธาตุทองวันอาทิตย์ที่๑๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๘. ศิลปากร, กรม. ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่มที่ ๓ ขนบธรรมเนียมประเพณีและ วัฒนธรรม กรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ:กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๒๕. คณะกรรมการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปีจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๕๒๕. ส�ำนักพระราชวัง. พระราชวังบางปะอิน. ม.ป.ท., : ๒๕๔๘. พิมพ์ในงาน พระราชทานเพลิงศพ นายสง่า กล่อมเปลี่ยน ณ ฌาปนสถาน วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร วันอังคารที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เวลา ๑๗.๐๐ น. พระวอประเวศวัง วอหรือพระวอ เป็นเครื่องหามประเภทหนึ่งมีลักษณะคล้ายเสลี่ยงแต่มี หลังคาเป็นพระราชยานที่สร้างขึ้นเพื่อประกอบพระเกียรติยศแม้จะไม่ปรากฏชื่อ วอหรือพระวอในกฎมณเฑียรบาลที่ตราขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แต่ก็สันนิษฐานว่ามีการใช้วอเป็นเครื่องแสดงเกียรติยศแล้ว _20-0355(151-316)p3.indd 269 6/7/2563 BE 09:22


270 พระวอจัดเป็นเครื่องหามประเภทราบ ดังที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงอธิบายเรื่องยานคานหามต่าง ๆ ไว้ว่า ยาน จ�ำแนกได้๒ ประเภทคือยานประเภทนั่งห้อยขาเช่น พระยานุมาศ หรือพระที่นั่ง ราเชนทรยาน อีกประเภทหนึ่งคือยานประเภทนั่งราบ ทั้งนี้ทรงอธิบายเพิ่มเติมว่า ยานประเภทวอได้แก่ราชยานมีจ�ำลอง เทวียาน สีวิกา วอ และยั่ว ซึ่งมีลักษณะ ร่วมคือคนขี่นั่งราบกับพื้น คานหามแบบมีสาแหรก มีหลังคาและม่าน และใช้ใน เวลาปรกติทั่วไป ในสมัยรัตนโกสินทร์มีพระวอที่ส�ำคัญ ๓ องค์คือ พระวอสีวิกากาญจน์ พระวอประเวศวัง และวอพระประเทียบ พระวอประเวศวังเป็นพระวอที่มีประวัติการสร้างในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ มีขนาดกว้าง ๐.๘๖ เมตรยาวรวมคาน ๓.๘๐ เมตร สูง ๑.๗๗ เมตร ตัวพระวอเป็นเตียงรูปฐานสิงห์ ประดับกระจังปฏิญาณ ที่ขอบพนักด้านหน้า ผูกม่านที่เสาทั้ง ๔ และมีหลังคาทรงคฤห์(ทรงจั่ว) บุด้วย ผ้าตาดทองเย็บลายทองแผ่ลวด ที่ขอบหลังคามีระบายโดยรอบ ๓ ชั้น ขึ้นลง ทางด้านข้าง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕ ทรงพระราชนิพนธ์ ถึงที่มาของพระวอองค์นี้ไว้ในหนังสือบุรพภาคพระธรรมเทศนาเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า เมื่อทรงพระอุตสาหะเสด็จเข้ามาเฝ้าทูลละอองพระบาท ในเวลาซึ่งเสด็จ พระราชด�ำเนินออกประทับ ณ ห้องท้องพระโรงและพระบัญชรทุกเวลา มิได้ขาดทั้งเช้าค�่ำ ทั้งเสด็จเข้ามาประจ�ำว่าราชกิจการต่างๆตามต�ำแหน่ง ของพระองค์อยู่เนืองนิจเช่นนั้น เมื่อถึงวัสสานฤดูถึงเป็นเวลาฝนตกมาก น้อยเท่าใดก็ดีพระองค์ก็มิได้รั้งรออยู่จนฝนหายให้เคลื่อนคลาดจากเวลา ราชการจึงเป็นการล�ำบากแก่พระองค์ซึ่งทรงพระเสลี่ยงมาในที่โถงต้อง ผลัดพระภูษาในเวลาเมื่อเสด็จมาประทับถึงที่ในพระบรมมหาราชวัง จึง ทรงพระราชด�ำริแปลงแคร่กันยา ซึ่งเป็นของส�ำหรับข้าราชการใช้ใน _20-0355(151-316)p3.indd 270 6/7/2563 BE 09:22


271 ขณะนั้น ให้เป็นพระวอขนาดน้อยหุ้มด้วยผ้าขี้ผึ้ง ส�ำหรับทรงเสด็จเข้า ในพระบรมมหาราชวังในฤดูฝน ครั้นเมื่อได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ แล้วจึงพระราชทานนามพระวอนั้นว่าวอประเวศวังและได้เป็นแบบอย่าง ส�ำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งเป็นกรม ทรงท�ำตามอย่างนั้นส�ำหรับทรง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสืบมา ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน พระวอประเวศวังให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ทรงใช้สืบต่อมา ปัจจุบันพระวอประเวศวัง จัดแสดงไว้ณ พระต�ำหนักสวนฝรั่งกังไส พระราชวังดุสิต (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) หนังสืออ้างอิง จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระ. บุรพภาคพระธรรมเทศนาเฉลิม พระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เลี่ยงเซียง, ๒๕๔๗. พระแสงราชศัสตราประจ�ำเมือง การพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาในหัวเมืองจะก�ำหนดวันพร้อมกับ การจัดพระราชพิธีในกรุงเทพฯ และถือเป็นแบบอย ่างเดียวกันทั้งพระ ราชอาณาจักร หากเจ้าประเทศราชที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในกรุงเทพฯ ขณะมีการพระราชพิธีถือน�้ำฯ ก็ก�ำหนดให้ร่วมในพระราชพิธีถือน�้ำฯ ในพระ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามพร้อมกับข้าราชการทั้งปวงยกเว้นเจ้าเมืองแขก ประเทศราชท�ำพิธีถือน�้ำตามศาสนาที่ศาลาลูกขุนใน ในพระบรมมหาราชวังและ ให้ใช้ค�ำสาบานตามศาสนาที่นับถือถ้าข้าราชการในเมืองหลวงที่ไปราชการตาม หัวเมือง เมื่อถึงก�ำหนดวันพระราชพิธีถือน�้ำฯ ที่เมืองใด ก็ต้องไปร่วมพิธีถือน�้ำฯ ในเมืองนั้น พร้อมด้วยเจ้าเมืองกรมการเมืองและข้าราชการทั้งปวง ทั้งนี้น่าจะ ยกเว้นต�ำแหน่งยกกระบัตรซึ่งเป็นต�ำแหน่งสังกัดกรมวัง ที่ออกไปอยู่ประจ�ำตาม _20-0355(151-316)p3.indd 271 6/7/2563 BE 09:22


272 หัวเมือง เพื่อท�ำหน้าที่สอดส่องอรรถคดีความทั้งหลาย ต้องเข้าร่วมพระราชพิธี ถือน�้ำฯในเมืองหลวงตามที่ปรากฏความใน “พระราชก�ำหนดวิธีปกครองหัวเมือง ครั้งแผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ” ลงวันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๘ ค�่ำ จ.ศ. ๑๐๘๙ ปีมะแมนพศก ตรงกับ พ.ศ. ๒๒๗๐ ดังนี้ อนึ่งถ้าเทศกาลการพระราชพิธีตรุษสารทไซ้ยุกรบัตรเข้าไปถือน�้ำ พระพิพัฒน์สัจจา โดยการพระราชพิธี... ทั้งนี้ยังมีข้อความระบุถึงหน้าที่ของยกกระบัตรในเวลาที่เข้าไปเมืองหลวง ทั้งไปราชการหรือไปร่วมในพิธีถือน�้ำ ว่า ...ครั้น...ยุกรบัตรเข้าไปกิจราชการก็ดีมารับพระราชทานน�้ำพระพิพัฒน์ สัจจาเมื่อใดจะให้มหาดไทยแลกรมวังถามด้วยกิจราชการแลกิจสุขทุกข์ ราษฎรทั้งปวง แลคนแอบแฝงซุ่มซ่อนจรจัดพลัดให้ๆ การจนสิ้นเชิง ถ้า แลมิว่าตามจริงไซ้จะให้เฆี่ยนถามให้สิ้นเชิง ถ้าแลเข้ามาแก้แต่ปากเปล่า แลให้การมิได้ไซ้จะให้มีโทษถึงสิ้นชีวิต... แต่อีก ๔ ปีต่อมา ใน พ.ศ. ๒๒๗๔ พระเจ้าท้ายสระโปรดให้ตรา“กฎเรื่อง ให้รับน�้ำพระพิพัฒนสัจจา” ออกเมื่อวันอังคาร เดือน ๔ แรม ๘ ค�่ำ ปีกุนตรีศก จุลศักราช ๑๐๙๓ (พ.ศ. ๒๒๗๔) ก�ำหนดหน้าที่ของยกกระบัตรในพิธีถือน�้ำฯ ในหัวเมืองว่าให้ยกกระบัตรเป็นผู้แจ้งให้ขุนนางข้าราชการเข้าร่วมในการถือน�้ำ หากผู้ใดไม ่เข้าร ่วมในพิธีให้ยกกระบัตรคุมตัวส ่งเข้าเมืองหลวงเพื่อรับโทษ ดังความละเอียดที่ว่า กฎให้แก่เจ้าพระยาและพระยา พระ หลวง เจ้าราชนิกุลขุน หมื่น พันทนายฝ่ายทหารพลเรือน ผู้รักษาเมือง ผู้รั้ง กรมการเมืองเอก โท ตรี จัตวา ปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือทั้งปวงด้วยฯ ทรงฯตรัสเหนือเกล้าฯสั่งว่าเทศการ พระราชพิธีตรุสสารทครั้งนี้ในกรุงฯ นั้น เจ้าพระยาและพระยา พระหลวง เจ้าราชนิกุลขุน หมื่น พัน ทนายฝ่ายทหารพลเรือน ข้าทูลลอองฯ ทั้งปวง ไปพร้อมกัน ณะวัดพระศรีสรรเพชญ์มีธูปเทียนข้าวตอกดอกไม้มาสักการ _20-0355(151-316)p3.indd 272 6/7/2563 BE 09:22


273 บูชากราบถวายบังคมรับน�้ำพระพิพัฒนสัจจากรมวังได้หมายบอกต�ำรวจ ตราเอาบาญชีและฝ่ายข้างผู้รักษาเมือง ผู้รั้ง กรมการ หลวง ขุน หมื่น นายที่ นายส่วยสาอากรปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือนั้น ครั้นถึงเทศกาลพระราชพิธี ตรุสสารท ให้มีธูปเทียนเข้าตอกดอกไม้เปนเครื่องสักการบูชาไปพร้อมกัน รับน�้ำพระพิพัฒนสัจจาณะวัดวาอารามใหญ่ ซึ่งเป็นต�ำแหน่งเคยรับ พระราชทานน�้ำพระพิพัฒนสัจจานั้น เป็นพนักงานขุนยกระบัตรได้ บัตรหมายเอาบาญชีตามโบราณราชประเพณีแต่ก่อนมา ถ้าผู้ใดเจ็บป่วย พ้นก�ำลังที่จะหาบหามมามิได้และมีผู้ถูกเกณฑ์ไปราชการไกลกลับมามิทัน ชันสูตรสืบสมคุ้มโทษ ให้ตรวจตัวตามบาญชีแต่เช้าในเที่ยงถ้าพ้นเที่ยงและ ผู้ใดขาด มิได้มากราบถวายบังคมพระราชอุททิศรับน�้ำพระพิพัฒนสัจจา จะเอาตัวผู้นั้นเปนโทษเท่าโทษขบถตามบทพระอัยการ ถ้าหัวเมืองให้ ยกระบัตรเอาตัวถาม บอกส่งตัวและค�ำถามเข้ามายังลูกขุนณะศาลาถ้าใน กรุงฯให้กรมวังเอาตัวถามเอาเนื้อความกราบบังคมทูลพระกรุณาจะเอาตัว เปนโทษโดยโทษานุโทษ และให้กฎหมายบอกจงทั่ว สมัยรัตนโกสินทร์แม้ว่าในหลักการจะก�ำหนดให้จัดพิธีถือน�้ำในวันเดียว กับกรุงเทพฯ แต่ในทางปฏิบัติก็มีการเปลี่ยนแปลงวันเวลาไปบ้าง ตามพระ ราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ว่า ...บรรดาหัวเมืองทั้งปวงต้องถือน�้ำพระพิพัฒน์สัจจาเหมือนอย่างใน กรุงเทพฯ ก�ำหนดวันถือน�้ำนั้นตรงตามกรุงเทพฯ นี้โดยมาก ที่ยักเยื้อง ไปบ้างนั้น ด้วยเหตุสองประการคือ ที่คงถืออย่างเก่า ท้ายพิธีตรุษก่อนพิธี สารทนั้นอย่างหนึ่ง เป็นเมืองใหญ่ที่มีเมืองขึ้นหลาย ๆ เมือง เจ้าเมือง กรมการในเมืองขึ้นเหล่านั้นต้องเข้ามาถือน�้ำในเมืองใหญ่ทั้งสิ้น บางเมือง ที่มาล่าต้องรั้งรอกันไป ก�ำหนดวันก็เคลื่อนออกไป แล้วก็เลยตั้งเป็นแบบ เคลื่อนวันอยู่เช่นนั้น อาวุธซึ่งใช้ท�ำน�้ำนั้นใช้กระบี่พระราชทานส�ำหรับยศ เจ้าเมือง วัดที่ถือน�้ำ วัดใดวัดหนึ่งซึ่งเป็นวัดส�ำคัญในเมืองนั้น... _20-0355(151-316)p3.indd 273 6/7/2563 BE 09:22


274 ส่วนก�ำหนดวันถือน�้ำในหัวเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปตามพระราชนิพนธ์นั้น เมื่อต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยามหาอ�ำมาตยาธิบดี (เส็ง วิริยศิริ) ปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยได้ไต่ถามท้าวพระยาหัวเมือง เช่น เมืองหลวงพระบาง เมืองจ�ำปาศักดิ์ เมืองเชียงใหม่ เมืองน่าน เมืองล�ำพูน เมืองล�ำปาง ฯลฯ ได้ความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทเกี่ยวกับการถือน�้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมืองน่าน ว่า มีพิธีถือน�้ำปีละ ๒ ครั้ง ครั้งแรกในเดือน ๕ หลังสงกรานต์แล้ว ๑๕ วัน ตั้งการพิธีที่หน้าพระวิหารวัดสถารส ในการพิธีครั้งนี้ ...พญาพฤฒาจารย์เอาค�ำสาบาลซึ่งพระราชทานขึ้นไปแต่กรุงเทพฯ จาน ใส่ในใบตาน เขียนชื่อพญาน่าน พญาหอน่า พญาราชวงษ์ พญาบุรีรัตน์ พญาราชบุตรใส่ลงในค�ำสาบาล พญาพฤฒาจารย์อ่านค�ำสาบาลเสร็จแล้ว เอาชุบลงในบาตรนั้น เอากระบี่ หอก ทวน ปืนคาบศิลา อาวุธซึ่ง พระราชทานขึ้นไปจุ่มลงในบาตรน�้ำแล้วพญาน่านพญาหอน่าพญาราชวงษ์ พญาบุรีรัตน์ พญาราชบุตร แสนท้าวพญาลาวผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองน่าน กับเจ้าเมืองแสนท้าวเมืองขึ้น พร้อมกันบ่ายหน้าต่อกรุงเทพฯ กราบ ถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับพระราชทานน�้ำพระพิพัฒน์ สัจจาทุกคนกระท�ำสัตย์ถวายต่อใต้ฝ่าละอองฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ... ครั้งที่๒ ท�ำในเดือน ๑๑ หลังออกพรรษาแล้ว ๑๕ วัน แต่ในครั้งนี้เป็นการ ให้สัตย์สาบานตัวต่อเจ้าเมืองน่านผู้เป็นข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ กรุงเทพฯ ว่าจะ “...มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อพญาน่านซึ่งเป็นเจ้าเมืองผู้ใหญ่...” และในการนี้ ...พญาน่านหาได้รับพระราชทาน [น�้ำ] ไม่ เป็นแต่ไปนั่งเป็นประธานบ้าง ไม่ได้ไปบ้าง ถ้าแสนท้าวพญาลาวคนใดป่วยเจ็บมาไม่ได้ให้บุตรมาแทน ถ้าไม่ป่วยเจ็บไม่ได้มาถือน�้ำให้เอาตัวจ�ำตรวนไว้แล้วให้หาดอกไม้ธูปเทียน _20-0355(151-316)p3.indd 274 6/7/2563 BE 09:22


275 ไปสมัครสมาไถ่โทษตัวต่อพญาน่าน ๆรับดอกไม้ธูปเทียนไว้แล้วคนที่ขาด ถือน�้ำจึงจะพ้นโทษ... แต่การพิธีถือน�้ำในหัวเมืองในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู ่หัวนั้น ยังมีการที่ไม ่เป็นแบบอย ่างเดียวกัน ตามพระนิพนธ์อธิบาย เรื่องเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรง ราชานุภาพ ได้แก่การท�ำน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจ�ำปีในแต่ละเมือง ที่ว่า ...จังหวัดที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ต้องมารับน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาไปจาก กรุงเทพฯ แต่จังหวัดที่อยู่ห่างออกไป แต่ก่อนมาเคยใช้กระบี่เครื่องยศ ที่พระราชทานผู้ว่าราชการเมืองชุบน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาแทนพระแสง ครั้นเลิกประเพณีการพระราชทานเครื่องยศประจ�ำต�ำแหน่งเสียแล้ว หัวเมืองยังหามีพระแสงส�ำหรับชุบน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาไม่... ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาส หัวเมืองฝ่ายเหนือระหว่างวันที่ ๒ ตุลาคม-๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๔ จึงทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ...สร้างพระแสงราชาวุธขึ้นส�ำหรับพระราชทานไว้ประจ�ำหัวเมืองจังหวัด ละองค์จังหวัดอันเปนที่ตั้งที่ว่าการมณฑลเปนพระแสงด้ามทอง ฝักทอง ลงยาราชาวดีจังหวัดนอกนั้นเปนพระแสงด้ามทองฝักทองเมื่อเสด็จไปถึง เมืองไหนก็พระราชทานพระแสงส�ำหรับจังหวัดนั้น แลมีพระราชก�ำหนดว่า ถ้าเสด็จไปประทับในจังหวัดใด เมื่อใด ให้ถวายพระแสงราชาวุธส�ำหรับ จังหวัดมาไว้ประจ�ำพระองค์ตลอดเวลาที่เสด็จประทับอยู่ในจังหวัดนั้น อย่างหนึ่ง แลให้ชุบน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วยพระแสงราชาวุธนั้นด้วย อีกอย่าง ๑... นอกจากการพระราชทานพระแสงราชาวุธหรือพระแสงราชศัสตราประจ�ำ เมืองในการเสด็จประพาสครั้งนั้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว _20-0355(151-316)p3.indd 275 6/7/2563 BE 09:22


276 ยังโปรดเกล้าฯให้สร้างเสมาเงินเป็นลายรูปพระจุลมงกุฎอันเป็นพระราชลัญจกร ประจ�ำพระองค์กับอักษรพระนาม ส�ำหรับพระราชทานเด็กชายเด็กหญิงตามเมือง ที่เสด็จประพาสครั้งนั้นอีกด้วย จึงเกิดเป็นประเพณีการพระราชทานพระแสง ประจ�ำเมืองและพระราชทานแจกเสมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๔ เป็นต้นมาในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระแสงประจ�ำเมือง จ�ำนวน ๙ เมือง แล้วพระราชทานครั้งต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๔๙ พ.ศ. ๒๔๕๐ และ พ.ศ. ๒๔๕๑ อีก ๔ เมือง รวมพระแสงประจ�ำเมืองที่พระราชทานในรัชกาล จ�ำนวน ๑๓ องค์พระแสงที่พระราชทานนี้มีลักษณะเฉพาะคือ มีค�ำจารึกบนใบ พระแสงว่า “พระแสงส�ำหรับมณฑล...” หรือ “พระแสงส�ำหรับเมือง...” ในรัชกาลต ่อมา ทั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู ่หัวและ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู ่หัวต ่างทรงด�ำเนินตามพระยุคลบาทใน สมเด็จพระบรมชนกนาถในการพระราชทานพระแสงประจ�ำเมืองเมื่อเวลาเสด็จ พระราชด�ำเนินประพาสเมืองต่าง ๆ ในพระราชอาณาจักร ในรัชกาลพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการพระราชทานพระแสงประจ�ำเมืองรวม ๑๓ องค์ มีจารึกบนใบพระแสงเพียงชื่อมณฑลหรือจังหวัด ในรัชกาลพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการพระราชทานพระแสงประจ�ำเมืองรวม ๖ องค์ ไม่ปรากฏว่ามีการจารึกบนใบพระแสง พระแสงราชศัสตราประจ�ำเมืองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หัวใน พระบรมราชจักรีวงศ์พระราชทานไว้เป็นเครื่องหมายแทนพระองค์และใช้ ส�ำหรับแทงน�้ำในพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาอันเป็นพิธีสาบานตนว่าจะ ถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและรับราชการด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริตรวมทั้งสิ้น ๔๒ องค์ซึ่งต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเขตการปกครอง บางแห่ง จึงอัญเชิญพระแสงประจ�ำเมืองคืนส�ำนักพระราชวัง ๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัวพระราชทานพระแสง ประจ�ำเมืองเมื่อครั้งเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือ ได้แก่ ๑ จ�ำนวน ๒ องค์ _20-0355(151-316)p3.indd 276 6/7/2563 BE 09:22


277 ๑. วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสง ประจ�ำมณฑล กรุงเก่าแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นมรุพงษ์ศิริพัฒน์(ต้นราชสกุลวัฒนวงศ์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า) ที่พระราชวังบางปะอิน ๒. วันที่๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจ�ำเมืองอ่างทอง แก่พระวิเศษชัยชาญ (อวบ เปาโรหิตย์) ผู้ว่าราชการเมือง ๓. วันที่๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจ�ำเมืองสิงห์บุรี แก่พระอนุรักษ์ภูเบศร์(โคม) ผู้รั้งเมือง ๔. วันที่๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจ�ำเมืองชัยนาท แก่พระยาสุรบดินทรสุรินทรฦๅไชย (ติ่ง ศกุนะสิงห์) ผู้ว่าราชการเมืองชัยนาท ๕. วันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจ�ำเมือง อุทัยธานีซึ่งขณะนั้น พระยาพิไชยสุนทรเป็นผู้ว่าราชการเมือง และพระยา ประธานคโรทัยเป็นจางวางก�ำกับราชการเมืองอุทัยธานี ๖. วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจ�ำมณฑล นครสวรรค์ขณะนั้นพระยาราชพงศานุรักษ์(แฉ่ บุนนาค ต่อมาเป็นพระยาไกร เพชรรัตนสงคราม) เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์และเฉพาะที่มณฑล นครสวรรค์นี้มีการถือน�้ำเป็นกรณีพิเศษ ตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาไว้ความว่า “...การพิธีได้ไปตั้งที่ว่าการมณฑล มีให้พระแสงตามเคยแล้วจึงถือน�้ำ มีข้าราชการแลฝรั่งจีนพ่อค้ามากเวลา ๒ ทุ่ม จึงได้เสร็จการ...” ๗. วันที่๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจ�ำเมืองพิจิตร ขณะนั้น พระยาเทพาธิบดี(อิ่ม เทพานนท์) เป็นผู้ว่าราชการเมืองพิจิตร ๘. วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจ�ำมณฑล พิษณุโลกแก่พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (เชย กัลยาณมิตร ซึ่งต่อมาในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ได้พระราชทานสัญญาบัตรเป็น พระยาสุรสีห์วิศิษฐศักดิ์สุดท้าย เป็น เจ้าพระยาสุรสีห์วิศิษฐศักดิ์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก _20-0355(151-316)p3.indd 277 6/7/2563 BE 09:22


278 ๙. วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจ�ำเมืองพิชัย แก่พระศรีสงคราม (โพธิ์ เนติโพธิ์) ผู้รั้งราชการเมืองพิชัย (ต่อมาเป็นพระยา ศรีสุริยราชวรานุวัตร สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร) เมื่อยุบเมืองพิชัยเป็นอ�ำเภอ พิชัยขึ้นกับจังหวัดอุตรดิตถ์ต่อมาจึงอัญเชิญพระแสงประจ�ำเมืองพิชัยคืนส�ำนัก พระราชวังใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ๑๐. เมื่อวันที่๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวเสด็จฯถึงเมืองก�ำแพงเพชรในการเสด็จประพาสต้นครั้งที่๒หลวงพิพิธอภัย บุตรชายพระยาก�ำแพงเพชร (อ้น) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายดาบที่เจ้าเมืองได้รับ พระราชทานตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับแล้วพระราชทานให้เป็นพระแสงประจ�ำเมืองก�ำแพงเพชรความละเอียด ปรากฏในพระราชหัตถเลขา ดังนี้ วันที่ ๒๖ [สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙] หมายจะยังไม่ตื่นแต่หมาเข้าไป ปลุก ๒ โมงเศษ กินข้าวแล้วออกไปแจกของให้ผู้ที่มาเลี้ยงดูและรับทั้ง ผู้หญิงผู้ชาย หลวงพิพิธอภัย ผู้ช่วย ซึ่งเป็นบุตรพระยาก�ำแพง (อ้น) น�ำ ดาบฝักทอง ซึ่งพระพุทธยอดฟ้าพระราชทานพระยาก�ำแพง (นุช) เป็น บ�ำเหน็จมือ [รางวัล] เมื่อไปทัพแขก แล้วตกมาแก่พระยาก�ำแพง (นาค) ซึ่งเป็นสามีแพงบุตรีพระยาก�ำแพง (นุช)...ได้รับดาบเล่มนี้ต่อ ๆ กันมา... ดาบตกอยู่แก่นายอ้น บุตรพระยาก�ำแพง(เกิด)ซึ่งเป็นบิดาหลวงพิพิธอภัย ภายหลังนายอ้นได้เป็นพระยาก�ำแพงครั้นพระยาก�ำแพง(อ้น)ถึงแก่กรรม ดาบจึงตกอยู่กับหลวงพิพิธอภัย บุตรผู้น�ำมาให้นี้พิเคราะห์ดูก็เห็นจะเป็น ดาบพระราชทานจริง เห็นว่าเมืองก�ำแพงเพชรยังไม่มีพระแสงส�ำหรับ เมือง...ไม่ได้เตรียมมาจึงได้มอบดาบเล่มนี้ไว้เป็นพระแสงส�ำหรับเมือง ให้ผู้ว่าราชการรักษาไว้ส�ำหรับใช้ในการพระราชพิธี ขณะนั้นพระยารามรณรงค์สงคราม(อ้นรามสูต)เป็นผู้ว่าราชการเมืองก�ำแพงเพชร _20-0355(151-316)p3.indd 278 6/7/2563 BE 09:22


279 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินกลับ จากการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่๒ ใน พ.ศ. ๒๔๕๐ ขณะนั้นไทยเพิ่งจะได้เมือง ตราดและเมืองจันทบุรีคืนจากการยึดครองของฝรั่งเศสก่อนจะเสด็จถึงกรุงเทพฯ พระองค์จึงมีพระราชประสงค์เสด็จฯไปทรงเยี่ยมราษฎรในหัวเมืองชายทะเลฝั่ง ตะวันออก คือเมืองตราดและเมืองจันทบุรีและได้พระราชทานพระแสงประจ�ำ เมืองคือ ๑๑. วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๐ พระราชทานพระแสงประจ�ำ เมืองตราดแก่พระบริรักษ์ภูธร (ปิ๋ว บุนนาค) ผู้ว่าราชการเมืองตราด ๑๒. วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๐ พระราชทานพระแสงประจ�ำ มณฑลจันทบุรีแก่พระยาวิชยาธิบดี(แบน บุนนาค)ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑล จันทบุรี ๑๓. วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวพระราชทานพระแสงประจ�ำมณฑลปราจีน เมื่อครั้งเสด็จไปทรงเปิดรถไฟ สายตะวันออกและสายเหนือ และเสด็จประพาสเมืองฉะเชิงเทรา แก่พระเจ้า น้องยาเธอกรมหมื่นมรุพงษ์ศิริพัฒน์ขณะนั้นทรงเป็นข้าหลวงพิเศษจัดราชการ ต�ำแหน่งเทศาภิบาล นับเป็นพระแสงประจ�ำเมืององค์สุดท้ายที่พระราชทาน ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์เสด็จ พระราชด�ำเนินประพาสมณฑลปักษ์ใต้ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ เพื่อทรงตรวจราชการ และทรงเยี่ยมประชาชนในภูมิภาค ทรงด�ำเนินตามพระยุคลบาทในสมเด็จ พระบรมชนกนาถ คือการพระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำเมือง โดยมี พระราชด�ำริในการพระราชทาน ว่าให้เป็น “...ของต่างพระองค์เปนพยานแห่ง พระราชอ�ำนาจเพื่อใช้ป้องกันสรรพอันตรายอันจะมาย�่ำยีบีฑาแลส�ำหรับผู้ปกครอง ใช้เปนอ�ำนาจปราบปรามผู้ท�ำร้ายแก่อาณาประชาชน...”รวมทั้งให้“...ข้าราชการ ผู้อื่นควรรู้สึกว่าได้รับพระราชทานด้วยเปนเครื่องหมายอ�ำนาจในราชการ ไม่ใช่ ทรงมอบอ�ำนาจให้ไว้ใช้ส่วนตัว”และทรงสรุปรวมความว่า“...พระแสงนี้เราให้ _20-0355(151-316)p3.indd 279 6/7/2563 BE 09:22


280 ไว้แก่ท่านทั้งหลาย ทั้งที่เปนข้าราชการและเปนอาณาประชาชนให้เปนเจ้าของ รวมกัน รักษาด้วยกัน ด้วยความปรองดองเปนชาติไทยด้วยกันทั้งนั้น...” ในการเสด็จประพาสครั้งนั้น นอกจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวพระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำเมืองจ�ำนวน ๗ องค์แล้วยังมี การถือน�้ำเสือป่าของมณฑลต่าง ๆ อีกด้วย คือ ๑. วันที่๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำ เมืองนราธิวาส มณฑลปัตตานีแก่อ�ำมาตย์โท พระนราภิบาลบดีศรีสมุทเขตร์ (เปลี่ยน กาญจนารัณย์) ผู้ว่าราชการเมืองนราธิวาส ๒. วันที่๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำ เมืองสายบุรีแก่พระยาสายบุรีผู้ว่าราชการเมือง ต่อมาเมื่อยุบเมืองสายบุรีเป็น อ�ำเภอสายบุรีขึ้นจังหวัดปัตตานีแล้วใน พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงอัญเชิญพระแสงประจ�ำ เมืองสายบุรีคืนให้ส�ำนักพระราชวัง ๓. วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำมณฑลปัตตานีแก่มหาอ�ำมาตย์ตรีพระยาเดชานุชิต (หนา บุนนาค) สมุหเทศาภิบาลมณฑลปัตตานีแล้วมีพิธีถือน�้ำเสือป่ามณฑลปัตตานี ๔. วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำมณฑลนครศรีธรรมราช แก่มหาอ�ำมาตย์โท สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนลพบุรีราเมศวร์ (ต้นราชสกุล ยุคล) สมุหเทศาภิบาลมณฑล นครศรีธรรมราช แล้วมีพิธีถือน�้ำเสือป่ามณฑลนครศรีธรรมราช (ที่เมืองสงขลา) ๕. วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำเมืองตรัง แก่อ�ำมาตย์ตรีพระตรังคบุรีศรีสมุทเขตร (สินธุ์เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ผู้ว่าราชการเมืองตรัง แล้วมีพิธีถือน�้ำเสือป่ามณฑลภูเก็ต ๖. วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำเมืองนครศรีธรรมราช แก ่อ�ำมาตย์เอก พระยาประชากิจกรจักร (ทับ มหาเปารยะ) ผู้ว่าราชการเมืองนครศรีธรรมราช _20-0355(151-316)p3.indd 280 6/7/2563 BE 09:22


Click to View FlipBook Version