The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเผยแพร่หนังสือที่ระลึกเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ธีรวัฒน์ อินทรีย์, 2023-03-27 10:10:40

นานาสาระไทย

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเผยแพร่หนังสือที่ระลึกเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์

Keywords: นานาสาระไทย

281 ๗. วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำมณฑลชุมพร แก่มหาอ�ำมาตย์ตรีพระยาบริรักษ์ภูธร (พลอย ณ นคร) สมุหเทศาภิบาลมณฑลชุมพร แล้วมีพิธีถือน�้ำเสือป่ามณฑลชุมพร (ที่บ้านดอน เมืองกาญจนดิฐเก่า ปัจจุบัน คือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๙ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชด�ำเนินเลียบมณฑลราชบุรีได้พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำ เมืองอีก ๓ องค์คือ ๘. วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำมณฑลราชบุรีแก่จางวางตรีหม่อมเจ้าสฤษดิเดชชยางกูรสมุหเทศาภิบาล มณฑลราชบุรี ๙. วันที่๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำ เมืองเพชรบุรีแก่อ�ำมาตย์เอก พระยาเพชรพิไสยศรีสวัสดิ์ (แม้น วสันตสิงห์) ผู้ว่าราชการเมืองเพชรบุรี ๑๐. วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำเมืองประจวบคีรีขันธ์แก่อ�ำมาตย์เอก พระยาศิริธรรมบริรักษ์ (เย็น สุวรรณปัทม) ผู้ว่าราชการเมืองประจวบคีรีขันธ์ ในปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบมณฑล ปักษ์ใต้อีกครั้งหนึ่ง และได้พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำเมืองอีก ๒ องค์ได้แก่ ๑๑. วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำจังหวัดระนอง แก่อ�ำมาตย์ตรีพระระนองบุรีศรีสมุทเขตร์ผู้ว่าราชการ จังหวัดระนอง ๑๒. วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำมณฑลภูเก็ต แก่นายพลโท พระยาสุรินทราชา (ม.ร.ว.สิทธิสุทัศน์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต _20-0355(151-316)p3.indd 281 6/7/2563 BE 09:22


282 ๑๓. ยังมีพระแสงราชศัสตราประจ�ำมณฑลนครชัยศรีอีก ๑ องค์ ที่ไม่ ปรากฏประวัติความเป็นมาว่าพระราชทานในรัชกาลใด แต่จากลักษณะการ จารึกข้อความบนใบพระแสงที่จารึกข้อความเหมือนกันทั้ง ๒ ด้านว่า “มณฑล นครไชยศีร” ซึ่งเป็นลักษณะการจารึกบนใบพระแสงราชศัสตราที่พระราชทาน ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งมณฑลนครชัยศรี เป็นมณฑลที่พระองค์ทรงโปรดในการเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่จังหวัด นครปฐมอยู่เสมออีกด้วย การพระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำเมืองในรัชกาลต่อมา พระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู ่หัวยังทรงด�ำเนินตามพระยุคลบาทสมเด็จพระ บรมชนกนาถและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชที่ได้“ทรงพระกระท�ำเป็นเยี่ยงอย่าง อันดีมาแล้ว...สมควรอย่างยิ่งที่จะทรงอนุมัติตามพระราชจรรยา ดังเช่นสมเด็จ พระชนกาธิราชและสมเด็จพระเชษฐาธิราชได้ทรงประพฤติเป็นทิฏฐานุคติมา ก่อนแล้วนั้น ทั้งเป็นการทรงแสดงความเคารพต่อสมเด็จพระบรมชนกาธิราชและ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชด้วยอีกส่วนหนึ่ง...”เมื่อเสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ ใน พ.ศ. ๒๔๖๙ นับเป็น “...พระเจ้าแผ่นดินในพระบรมราชจักรีวงศ์พระองค์แรก ซึ่งได้เสด็จมายังมณฑลพายัพเมื่อราชาภิเษกแล้ว....” ได้พระราชทานพระแสง ราชศัสตราประจ�ำเมือง ๕ องค์ดังนี้ ๑. วันที่๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำ จังหวัดแพร่แก่พระยากรุงศรีสวัสดิการ(จ�ำรัส สวัสดิ-ชูโต)ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ๒. วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำจังหวัดล�ำปาง แก ่มหาอ�ำมาตย์ตรีพระยาสุเรนทรราชเสนา (เจิม จารุจินดา) ปลัดมณฑลประจ�ำจังหวัดล�ำปางและผู้ว่าราชการจังหวัดล�ำปาง ๓. วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำจังหวัดเชียงราย แก่อ�ำมาตย์เอก พระยาราชเดชด�ำรง (ผล ศรุตานนท์) ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย _20-0355(151-316)p3.indd 282 6/7/2563 BE 09:22


283 ๔. วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำจังหวัดเชียงใหม่แก่เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ๕. วันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ประจ�ำจังหวัดล�ำพูน แก่พลตรีเจ้าจักรค�ำขจรศักดิ์เจ้าผู้ครองนครล�ำพูน ๖. วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๑ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวพระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำจังหวัดพังงาเมื่อครั้งเสด็จเลียบ มณฑลภูเก็ตแก่พระอาคมคุติกร (สุดใจ ชลายนคุปต์)ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา นับเป็นพระแสงราชศัสตราประจ�ำเมืององค์สุดท้ายในรัชกาลและในระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (นางสาวศิรินันท์ บุญศิริ) หนังสืออ้างอิง ก�ำแพงเพชร,จังหวัด. ครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสต้นเมืองก�ำแพงเพชร วันที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏก�ำแพงเพชร, ๒๕๔๙. ธรรมคามน์ โภวาที. พระแสงราชศัสตรา. พระนคร:กระทรวงมหาดไทย, ๒๕๐๙. กระทรวงมหาดไทยพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอกมังกร พรหมโยธีม.ป.ช.,ม.ว.ม.,ท.จ.ว.ณเมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ๒๙ มิถุนายน ๒๕๐๙. ประชุมหมายรับสั่งภาค ๕ ตอนที่ ๑ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จ.ศ. ๑๒๑๓. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการ พิจารณาต้นฉบับจดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ฯ, ๒๕๔๘.คณะกรรมการ อ�ำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่วันพระบรมราชสมภพครบ ๒๐๐ ปี วันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗. _20-0355(151-316)p3.indd 283 6/7/2563 BE 09:22


284 พระราชก�ำหนดวิธีปกครองหัวเมืองครั้งแผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ. พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๐. แจกในการกฐินพระราชทาน มหาอ�ำมาตย์โท พระยาโบราณราชธานินทร์สมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา ณ วัดพนัญเชิงวัดน่าพระเมรุจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระพุทธศักราช ๒๔๗๐. เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ส�ำนัก. ประชุมหมายรับสั่งภาค ๔ ตอนที่ ๑ สมัย กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จ.ศ. ๑๑๘๖-๑๒๐๓. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการช�ำระประวัติศาสตร์ไทยและ จัดพิมพ์เอกสารประวัติศาสตร์โบราณคดี, ๒๕๓๖. อรวรรณ ทรัพย์พลอย และธีรดา ธีรเดช. พระแสงราชศัสตราประจ�ำเมือง. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร ส�ำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์, ๒๕๓๙. คณะกรรมการอ�ำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปีจัดพิมพ์ เป็นที่ระลึกเนื่องในมหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๓๙. พระเหรียญและพระหล่อ พระเหรียญและพระหล่อเป็นรูปเคารพที่ส�ำคัญประเภทหนึ่งของไทย ที่มี ประวัติความเป็นมาไม่นานนักเมื่อเปรียบเทียบกับพระพิมพ์ส่วนใหญ่สร้างขึ้น ในช่วงหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมาในปัจจุบันเป็นพระที่ได้รับความนิยมว่ามีอิทธิฤทธิ์ ขลัง ศักดิ์สิทธิ์และสามารถศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติที่เกี่ยวเนื่องกับการ สร้างได้เนื่องจากมักมีการระบุถึงวันเดือนปีเหตุการณ์ที่สร้าง รวมทั้งสถานที่ สร้างไว้อย่างชัดเจน พระเหรียญและพระหล่อ ในปัจจุบันมีทั้งที่เป็นรูปเหรียญและรูปหล่อ เหมือนพระพุทธรูปส�ำคัญและพระเกจิอาจารย์ที่ประชาชนส่วนใหญ่เคารพนับถือ เช่น พระพุทธชินราช พระพุทธโสธร หลวงปู่ทิม หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อทวด _20-0355(151-316)p3.indd 284 6/7/2563 BE 09:22


285 การสะสมพระเหรียญและพระหล่อเป็นวัตถุมงคลนั้น ยังรวมถึงเหรียญ กษาปณ์และเหรียญที่ระลึกต่าง ๆ เช่น เหรียญกษาปณ์ในรัชกาลที่ ๕ เหรียญ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสยุโรป เหรียญสมโภชพระพุทธนรสีห์ พระเหรียญและพระหล ่อเป็นวัตถุมงคลที่มีคุณค ่าในฐานะรูปเหมือน พระพุทธรูปส�ำคัญ พระเกจิอาจารย์ นอกจากนั้นยังมีคุณค่าในฐานะหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ของยุคสมัยอีกด้วย (รศ. ดร.ศานติ ภักดีค�ำ) พระอุปคุต พระอุปคุตเป็นพระสาวกรูปหนึ่งที่ยกย่องกันว่ามีฤทธิ์มากสมเด็จพระมหา สมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์ประวัติพระอุปคุตไว้ในงาน พระนิพนธ์เรื่องปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทที่๒๘ ตอนมารพันธปริวรรตว่าต้นก�ำเนิด เหตุการณ์มาจากพระราชประสงค์ของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช (พระเจ้าอโศก มหาราช) ที่จะทรงสมโภชพระบรมสารีริกธาตุที่ทรงค้นหาและรวบรวมมาบรรจุ ไว้ในวิหารและสถูปที่ทรงสร้างไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ แห่ง เนื่องจากการสมโภชครั้งนี้ เป็นงานใหญ่ ใช้เวลาถึง ๗ ปี๗ เดือน ๗ วัน ทรงเกรงว่าจะมีอันตรายและความ ขัดข้อง จึงทรงขอให้คณะสงฆ์หาวิธีป้องกัน สามเณรรูปหนึ่งได้แนะน�ำให้นิมนต์ พระอุปคุตซึ่งจ�ำพรรษาอยู ่กลางมหาสมุทรเข้าร ่วมประชุมด้วย และขอให้ พระอุปคุตช่วยปกป้องภัยอันตรายต่าง ๆ อันจะเกิดขึ้นระหว่างงานสมโภช พระอุปคุตเมื่อได้ฟังแล้วจึงตกลงยินดีช่วยเหลือ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเมื่อได้ทราบว่าพระอุปคุตจะมาช่วยก็ยินดีแต่ ด้วยความไม่มั่นพระทัยในบุญฤทธิ์ของพระอุปคุต จึงให้ทดลองบารมีโดยปล่อย ช้างตกมันขับเข้าใส่พระอุปคุตใช้ฤทธิ์อ�ำนาจสะกดช้างที่ก�ำลังตกมันให้นิ่งอยู่กับ ที่ประดุจช้างหิน เมื่อเห็นดังนั้น พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจึงได้กล่าวขอขมาต่อ พระอุปคุต และเริ่มงานฉลองพระบรมสารีริกธาตุตามที่ตั้งพระทัยไว้ _20-0355(151-316)p3.indd 285 6/7/2563 BE 09:22


286 ฝ่ายพญามาร เมื่อทราบเรื่องการสมโภชพระบรมสารีริกธาตุก็ไม่พอใจ จึงแสดงอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ นานาเพื่อท�ำลายพิธีแต่พระอุปคุตก็แก้ไขได้ทุกครั้ง จนที่สุดพระอุปคุตได้เนรมิตหมาเน่าแขวนไว้ที่คอของพญามารแล้วอธิษฐานไม่ให้ ผู้ใดแก้ได้ท�ำให้พญามารต้องทนอับอายแม้จะขึ้นไปขอร้องเหล่าเทวดาบนสวรรค์ ให้ช่วยแก้ไขก็ไม่มีผู้ใดกระท�ำได้จึงต้องกลับมาขอให้พระอุปคุตช่วย พระอุปคุต ซึ่งทราบด้วยญาณว่าพญามารยังคงมีทิฐิมานะ จึงไม่ยอมช่วย และปล่อยให้ หมาเน่าแขวนคอพญามารอยู่อย่างนั้นกระทั่งเสร็จพิธีรวมเวลา ๗ ปี๗ เดือน ๗ วัน เมื่อพญามารสิ้นโทษะและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้า พระอุปคุตเมื่อได้ทราบความ ปรารถนาของพญามารก็มีความยินดีและปลดปล่อยพญามารในที่สุด ด้วยประวัติอันทรงฤทธิ์ดังกล่าว พุทธศาสนิกชนจึงได้สร้างรูปพระอุปคุต ขึ้นบูชา มีลักษณะนั่งสมาธิมีใบบัวปิดที่เศียร มีปุ่มที่ไหล่ทั้ง ๒ ข้าง ท�ำให้บางครั้ง เรียกว่าพระบัวเข็ม หรือนั่งอยู่ในขนดนาคหรือในหอยสังข์และอาจมีการจ�ำลอง สัตว์น�้ำบางชนิดเข้ามาประกอบ ผู้ที่บูชานั้นมักจะอัญเชิญพระองค์นี้ประดิษฐาน ไว้บนพาน หล่อด้วยน�้ำ ตามความเชื่อที่ว่าพระอุปคุตนี้จ�ำพรรษาอยู่ในปราสาท แก้วกลางมหาสมุทร โดยมีความเชื่อว่าพระอุปคุตจะสามารถปกป้องคุ้มครอง ภยันตรายต่าง ๆ อันอาจจะเกิดขึ้น เมื่อจะจัดงานพิธีส�ำคัญต่าง ๆ ก็มักจะมีพิธี อธิษฐานบูชาพระอุปคุตเป็นเบื้องต้น เพื่อให้ช่วยคุ้มครองให้งานนั้น ๆ ส�ำเร็จ ลุล่วงไปด้วยดี (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) พิธีกรรมเกี่ยวกับช้างหลวงในสมัยรัตนโกสินทร์ พิธีกรรมเกี่ยวกับช้างหลวงในสมัยรัตนโกสินทร์ มีหลักฐานปรากฏอยู่ใน พระราชพงศาวดาร และหมายรับสั่งหลายตอน แต่ที่จะได้กล่าวถึงในที่นี้คัดมา เฉพาะบางพิธีที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาช้าง เริ่มต้นตั้งแต่การรับช้าง หาก เป็นช้างเผือกจะมีพิธีการหลายอย่าง เช่น ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ- _20-0355(151-316)p3.indd 286 6/7/2563 BE 09:22


287 เลิศหล้านภาลัย เมื่อคราวที่พระยาน่านได้ช้างพลายเผือกเอกมาถวายทรงรับไว้ เมื่อวัน ค�่ำ (วันพฤหัสบดีเดือน ๕ แรม ๙ ค�่ำ) ปีฉลูนพศก จุลศักราช ๑๑๗๙ (ตรงกับวันที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๖๐) ครั้งนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีรับช้าง โดยจัดเป็นพิธีสมโภชขึ้นระวางพระราชทานนาม ช้างเป็น “พระยาเศวตคชลักษณ์ประเสริฐศักดิสมบูรณ์เกิดตระกูลสารสิบหมู่ เผือกผู้พาหนะนารถ อิศราราชธ�ำรง บัณฑรพงษ์จตุรภักตร์สุรารักษ์รังสรรค์ ผ่องผิวพรรณผุดผาด ศรีไกรลาศเลิศลบ เฉลิมพิภพอยุทธยา ขัณฑเสมามณฑล มิ่งมงคลเลิศฟ้า” นับเป็นช้างเผือกเอกช้างที่ ๓ ในรัชกาลซึ่งยังไม่เคยปรากฏว่า เคยมีมาแต่ก่อนทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ถึงแม้ว่าในสมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิจะทรงมีช้างเผือกในรัชกาลถึง ๗ ช้าง แต่ไม่มี หลักฐานว่าเป็นช้างเผือกเอก ตามประเพณีที่ถือสืบทอดกันมาแต่โบราณว่าถ้าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ ใดได้ช้างเผือกมาสู่พระบารมีถือว่าเป็นมิ่งมงคลเพิ่มพูนพระเกียรติยศถึงถวาย พระนามพิเศษแก่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นว่า พระเจ้าช้างเผือก และด้วย ประเพณีที่มีมาแต่โบราณอย่างนี้เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ พระยาช้างเผือกเอกถึง ๓ ช้าง ประชาชนทั้งหลายบังเกิดความชื่นชมยินดีใน พระบารมีเป็นอันมาก ได้ถวายพระนามตามโบราณราชประเพณีว่า พระเจ้า ช้างเผือก ภายหลังพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางพระราชทานนามช้างเผือกแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงมีพระราชวินิจฉัยว่าโรงช้างเผือก เดิมมีไม่พอ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงช้างเผือกขึ้นใหม่ ภายใน บริเวณพระบรมมหาราชวัง ๔ โรง เป็นโรงหลังคาทรงจั่วมีช่อฟ้าตั้งอยู่ระหว่าง ประตูสนามราชกิจกับประตูพรหมโสภาเรียงแถวจากทิศตะวันออกไปตะวันตก โรงต้นอยู่ตะวันออกไว้พระเทพกุญชรช้างเผือกเอกได้มาแต่ครั้งรัชกาลที่๑ โรงที่๒ ไว้พระยาเศวตกุญชรช้างพลายเผือกเอกโรงที่ ๓ ไว้พระยาเศวตไอยรา โรงที่ ๔ ไว้พระยาเศวตคชลักษณ์ (โรงช้างทั้ง ๔ นี้รื้อในสมัยรัชกาลที่ ๕ ปัจจุบันคือ _20-0355(151-316)p3.indd 287 6/7/2563 BE 09:22


288 พื้นที่บริเวณพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท)ส่วนช้างหลวงช้างอื่น ๆ ที่ขึ้นระวางแล้ว ยังคงไว้ในโรงช้างเดิมนอกพระบรมมหาราชวังอีก ๑๙ โรง ช้างที่ขึ้นระวางเป็นช้างหลวงจะได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่เป็นอย่างดีโดย ตลอด แม้ในคราวที่มีอาการเจ็บป่วยเกิดความไข้ช้าง แต่ยังไม่ถึงกับล้ม (ตาย) ก็จะโปรดให้มีพิธีกรรมพร้อม ๆกับการรักษาด้วยยา เบื้องต้นจะนิมนต์พระสงฆ์ มาสวดพระพุทธมนต์ระงับความไข้โดยให้มีการวนสายสิญจน์รอบโรงช้างทุกโรง พระสงฆ์ถือสายสิญจน์สวดแล้วประพรมน�้ำพระพุทธมนต์กับให้พระสงฆ์ลงยันต์ บนกระดาษน�ำไปปิดโรงช้างทุกโรงต่อจากนั้นจึงประกอบพิธีพราหมณ์หมอเฒ่า ตั้งบายศรีที่หอเชือกประกอบพิธีบวงสรวง แล้วกลบบัตรสุมเพลิง กับท�ำบัตร เสียกบาล ตั้งบูชาแล้วน�ำบัตรไปลอยแพไล่ความไข้พิธีที่ต้องท�ำอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า พิธีตั้งกรรมระงับความไข้ช้าง พิธีนี้หมอเฒ่าเป็นผู้ประกอบพิธีเมื่อตั้ง เครื่องบวงสรวงและประกอบพิธีบูชาแล้ว เผาเครื่องยาสมุนไพรหลายชนิดตาม แต่หมอเฒ่าจะก�ำหนดว่าเป็นสมุนไพรชนิดใดบ้างที่จะใช้กับโรคช้างที่เป็นอยู่ ในขณะนั้น เพื่อให้ช้างสูดดมควันยาสมุนไพรให้หายจากอาการไข้ เมื่อช้างหายจากอาการป่วยไข้แล้วจะต้องประกอบพิธีแก้สินบนช้าง โดย จัดให้มีการตั้งบายศรีทอง บายศรีเงิน บายศรีตอง บูชาที่หน้าเทวสถาน และ ประกอบพิธีบวงสรวงที่หน้าหอเชือกด้วย ขณะประกอบพิธีทั้ง ๒ แห่ง ให้มี การประโคม การแสดงละคร และการแสดงอื่น ๆ ถวายเป็นส่วนประกอบการ แก้สินบน เสร็จแล้วต้องท�ำพิธีรับขวัญช้าง โดยต้องนิมนต์พระสงฆ์สวด พระพุทธมนต์แล้วให้พราหมณ์ประกอบพิธีท�ำขวัญ เวียนเทียนรอบพระยาช้าง ในพิธีนี้ให้มีการขับไม้กล่อมพระยาช้างด้วย ถ้าช้างป่วยไม่หายถึงล้ม (ตาย)ตามหลักฐานในพระราชพงศาวดารกล่าว ไว้ว่าเมื่อพระยาเศวตล้มใช้ผ้าขาวคลุมร่างพระยาช้างแล้วให้นิมนต์พระสงฆ์สวด พระอภิธรรม หมอเฒ่าตั้งบายศรีประกอบพิธีกลบบัตรสุมเพลิงแล้วน�ำร่างช้างนั้น ลงเรือ ใช้เรือดั้งท�ำเป็นเรือขนาน ๒ ล�ำ มีเพดานดาดด้วยผ้าขาว มีราชวัติ _20-0355(151-316)p3.indd 288 6/7/2563 BE 09:22


289 รั้วไก่วนโดยรอบ เมื่อชักลากศพช้างมาถึงท่าน�้ำ อัญเชิญลงเรือ มีเรือน�ำ เรือตาม กระบวน แล้วแห่ประโคมศพ มีจ่าปี่จ่ากลอง แตรงอน แตรฝรั่งสังข์กลองชนะ แห่ไปตลอดทางจนถึงสุสานที่ปากลัด (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ) ขุดหลุมฝังให้มิดชิด เป็นเสร็จพิธี (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) หนังสืออ้างอิง ด�ำรงราชานุภาพ,สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยา. พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒. พิมพ์ครั้งที่๙.กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด ไอเดียสแควร์, ๒๕๔๖. ประชุมหมายรับสั่งภาคที่ ๓ ฉบับกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการพิจารณาและ เอกสารทางประวัติศาสตร์ส�ำนักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๒๘. พิธีทอดเชือกดามเชือก พิธีทอดเชือก๑ ดามเชือก๒ เป็นพิธีส�ำคัญเกี่ยวกับการพระคชกรรมของ พราหมณ์ผู้เป็นหมอช้าง ซึ่งต้องท�ำอยู่เสมอทุกปีปีละ ๒ ครั้ง มิได้เว้น ถึงแม้ว่า จะไม่มีพระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน เพราะโดยปรกติพิธีทอดเชือกดามเชือก นี้ต้องท�ำต่อจากพระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน โดยท�ำปีละ ๒ ครั้ง ในเดือน ๕ ท�ำพิธีทอดเชือก แรม ๓ ค�่ำ เวลากลางคืน และท�ำพิธีดามเชือกแรม ๔ ค�่ำ เวลา เช้าและในเดือน ๑๐ จะท�ำพิธีทอดเชือกขึ้น ๔ ค�่ำ เวลากลางคืน และท�ำพิธีดาม เชือกขึ้น ๕ ค�่ำ เวลาเช้า ในสมัยรัตนโกสินทร์พราหมณ์ประกอบพิธีทอดเชือกดามเชือกที่หอเชือก เชือกที่กล ่าวถึงนี้ก็คือเชือกบาศ ซึ่งท�ำมาจากหนังควาย ใช้ส�ำหรับล ่ามช้าง ๑ ทอด ในค�ำว่า ทอดเชือก หมายถึง วาง, คลี่๒ ดาม ในค�ำว่า ดามเชือก หมายถึง ม้วนเก็บ _20-0355(151-316)p3.indd 289 6/7/2563 BE 09:22


290 คล้องช้าง ขดเป็นวงเก็บอยู่ที่หอเชือก ในปีหนึ่ง ๆ ต้องมีการตรวจสอบว่าเชือก บาศนั้นถูกแมลง หรือหนูกัดแทะให้เป็นอันตราย ช�ำรุด เสียหายอย่างไรหรือไม่ การน�ำเชือกบาศออกตรวจสอบนั้น ต้องประกอบพิธีถือกันว่าเป็นการบูชาครู หรือไหว้ครูในเวลาค�่ำมีการบวงสรวงตามแบบพิธีพราหมณ์แล้วจึงน�ำเชือกบาศ คลี่กางออกไว้พราหมณ์พฤฒิบาศกล่าวดุษฎีสังเวย ต่อจากนั้นมีการร�ำพัดชา โดยสมมุติว่าผู้ร�ำคือพระนารายณ์ครั้งแปลงเพศลงมาสอนวิชาคชกรรมให้แก่ ชาวนาพี่น้อง ๔ คน ให้เป็นครูปะก�ำ เมื่อพระองค์เสด็จไปปราบช้างเอกทันต์ เสร็จการร�ำพัดชาแล้วเป็นเสร็จการพิธีทอดเชือก ในวันรุ่งขึ้น เวลาเช้า เป็นพิธีดามเชือกกิจกรรมที่กระท�ำในพิธีเหมือนกับ พิธีทอดเชือก ต่างกันที่เป็นการพับเชือกบาศที่กางไว้นั้น เก็บเข้าขดไว้เป็นวง เช่นเดิม การพิธีทั้งหมดนี้ห้ามมิให้ผู้หญิงเข้าไปดูหรือเกี่ยวข้องด้วย เป็นพิธีที่มี ค�ำกล่าวมาแต่โบราณว่า พิธีนี้จัดให้มีขึ้นเพื่อความเจริญเป็นสิริสวัสดิมงคลแก่ช้าง ซึ่งเป็นราชพาหนะ เป็นก�ำลังแผ่นดิน และเพื่อบ�ำบัดเสนียดจัญไรให้ผู้ที่มีหน้าที่ เกี่ยวข้องกับช้างทั้งปวงด้วย (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) หนังสืออ้างอิง พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๙.กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๒. จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธีสิบสองเดือน. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, ๒๔๙๖. พุทธกับไสยอาศัยกัน พุทธกับไสยอาศัยกัน เป็นประโยคที่คนไทยแต่ก่อนมักพูดกันจนคุ้นหู เรื่องนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ใน เรื่องความทรงจ�ำ พิมพ์พ.ศ. ๒๔๙๗ ว่า ประเพณีในบ้านเมืองของไทยเราแต่เดิม _20-0355(151-316)p3.indd 290 6/7/2563 BE 09:22


291 ประกอบพิธีกรรมแต ่ละศาสนาก็ต ่างแยกปฏิบัติกันโดยเด็ดขาดไม ่ปะปนกัน กล่าวคือ ถ้าเป็นพิธีในทางธรรมปฏิบัติก็จะกระท�ำตามคติพระพุทธศาสนา เรียกว่า พิธีสงฆ์ เช่น พิธีบวชนาค ส่วนพิธีทางโลกก็ท�ำตามคติไสยศาสตร์ของ ศาสนาพราหมณ์เรียกว่า พิธีพราหมณ์เช่น พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ยุคหลังต่อมาผู้ท�ำพิธีปรารถนาสวัสดิมงคลตามคติทางพระพุทธศาสนาเพิ่ม มากขึ้น จึงนิยมให้มีพิธีสงฆ์ประกอบกันกับพิธีพราหมณ์แต่ที่แยกท�ำกันอย่างเดิม ก็ยังมีอยู่มาก ในส่วนที่เป็นพระราชพิธีนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชด�ำริว ่า สมัยนี้พราหมณ์ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในพระเวทหมดตัวลง ยังเหลือแต่เชื้อสายที่สืบสกุลมาโดยก�ำเนิด จะหาผู้เข้าใจความในคัมภีร์พระเวท ไม่ได้แล้ว แต่จะเลิกเสียก็ไม่สมควรเพราะเป็นพิธีส�ำหรับชาวบ้านชาวเมืองและ ราชประเพณีมาช้านาน จึงทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ แก้ไขระเบียบพิธี พราหมณ์ซึ่งเคยท�ำมาแต่โดยล�ำพังให้มีพิธีสงฆ์ด้วยทุกพิธีรวมทั้งระเบียบการ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกซึ่งเดิมเป็นแต่พิธีพราหมณ์ก็ทรงแก้ไขให้มีพิธีสงฆ์ เป็นพื้น คงท�ำตามพิธีพราหมณ์เฉพาะสรงมุรธาภิเษก ทรงรับพระราชอาณาจักร และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นส�ำคัญ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงแก้ระเบียบ พิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งเป็นพิธีสงฆ์กับพิธีพราหมณ์ท�ำด้วยกันมาแต่ครั้ง กรุงศรีอยุธยา ซึ่งเดิมเริ่มด้วยพิธีสงฆ์มีสวดมนต์เลี้ยงพระท�ำให้เป็นสวัสดิมงคล ก่อน แล้วท�ำพิธีพราหมณ์อ่านโองการแช่งน�้ำสาบานและชุบพระแสง ต่อไป ข้าราชการท�ำสัตย์ถือน�้ำต่อหน้าพระสงฆ์ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วเข้าไปเฝ้าถวายบังคมพระเจ้าแผ ่นดินในท้องพระโรง พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนประเพณีเดิม โดยพระองค์เสด็จออกไปประทับ เป็นประธานให้ข้าราชการถือน�้ำกระท�ำสัตย์และถวายบังคมที่พระอุโบสถวัด พระศรีรัตนศาสดาราม แล้วพระองค์เองก็เสวยน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ทรงปฏิญาณ ความซื่อตรงเช่นข้าราชการทั้งปวงด้วย (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) _20-0355(151-316)p3.indd 291 6/7/2563 BE 09:22


292 เมื่อเริ่มมีโรงเรียน ค�ำว่า โรงเรียน ไม่ปรากฏในพจนานุกรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์๒ เล่ม คือ อักขราภิธานศรับท์ และสัพะ พะจะนะ พาสาไท แต่ปรากฏในศริพจน์ภาษาไทย์ ซึ่งปรับปรุงมาจากสัพะ พะจะนะ พาสาไท และพิมพ์เผยแพร่เมื่อ ค.ศ. ๑๘๙๖ (พ.ศ. ๒๔๓๙) สาเหตุที่ค�ำว่า โรงเรียน ไม่ปรากฏในพจนานุกรม ๒ เล่มดังกล่าว น่าจะ เป็นเพราะเพิ่งมีโรงเรียนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากพระองค์ทรงครองราชย์ได้ไม่นานก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง โรงเรียนเพื่อฝึกอบรมกุลบุตรให้มีความรู้พอที่จะรับราชการได้ในระยะเริ่มแรก คนไทยยังไม่สนใจเรียนหนังสือกันนัก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรารภเรื่องที่เด็กมาเรียนบ้างไม่มาบ้าง มีข้อความอ้างไว้ในวิทยานิพนธ์เรื่อง “การเลิกทาสในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ว่า ...เหนว่าการโรงเรียนหนังสือที่ในเมืองเรานี้ควรจะให้มีขึ้นได้จริง ๆ สัก แห่งหนึ่งเหมือนหนึ่งโรงทานพระเจ้าแผ่นดินซึ่งได้โปรดให้สอนหนังสือมา แต่ก่อนนั้น เดก ๆ ก็ได้รู้หนังสือกันไปมาก คนที่เปนเสมียนเขียนหนังสือ ก็เปนคนออกจากโรงทานอยู่โดยมาก แต่ไม่ใคร่จะมากออกได้ไม่ใคร่ จะรู้จริง ๆ เพราะครูอาจารย์ไม่ใคร่จะเอาใจใส่ในการที่จะสอนเดก แล้ว เดกนั้นจะมาก็ได้ไม่มาก็ได้ตามใจชอบ การจึงไม่เรียบร้อยไม่เปนการจริง เข้าได้อนึ่งก็ได้ตั้งโรงเรียนวัดสอนหนังสือลูกขุนนางก็เรียนภอรู้บ้างดีกว่า ที่โรงทาน แต่ก็ยังมาบ้างไม่มาบ้าง ช้าปีช้าวันจึ่งได้รู้... พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียน ในพระบรมมหาราชวัง และทรงชักชวนให้พระราชวงศ์และข้าราชการส่งบุตร หลานเข้าเรียน ดังพระบรมราชโองการประกาศเรื่องโรงเรียน เมื่อจ.ศ. ๑๒๓๓ (พ.ศ. ๒๔๑๔) ต่อไปนี้ _20-0355(151-316)p3.indd 292 6/7/2563 BE 09:22


293 ประกาศเรื่องโรงเรียน มีพระบรมราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ให้ประกาศแก่ หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์แลข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งได้น�ำบุตรทูลเกล้าฯ ถวายให้ท�ำราชการฉลองพระเดชพระคุณในกรมมหาดเลกบ้างในกรม ทหารมหาดเลกรักษาพระองค์บ้างมีเปนอันมาก จึ่งทรงพระราชด�ำริห์ว่า บุตรหลานของท่านทั้งปวงบันดาที่เข้ามารับราชการฉลองพระเดชพระคุณ นั้น แต่ล้วนเปนผู้มีชาติมีตระกูล ควรจะรับราชการต่อไปในเบื้องหน้า แต่ที่ยังไม่รู้หนังสือไทย แลขนบธรรมเนียมราชการโดยมากที่รู้อยู่บ้าง แต่ยังใช้อักษรเอกโทแลตัวสกดผิด ๆ ไม่ถูกต้องตามแบบอย่างก็มีอยู่มาก แลการรู้หนังสือนี้ก็เปนคุณส�ำคัญข้อใหญ่ เปนเหตุจะให้ได้รู้วิชาแล ขนบธรรมเนียมต่างๆจึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดโรงสอนขึ้นไว้ที่ ในพระบรมมหาราชวัง แล้วจัดคนในกรมอาลักษณ์ตั้งให้เปนขุนนาง พนักงานส�ำหรับเปนครูสอนหนังสือไทย แลคิดเลข ขนบธรรมเนียม ราชการ พระราชทานเงินเดือนให้ครูสอนให้สมควรภอใช้สอยส่วนผู้เรียน หนังสือนั้น จะพระราชทานเสื้อผ้านุ่งห่มกับเบี้ยเลี้ยงกลางวันเวลาหนึ่ง ทุกวัน ครูสอนนั้นจะให้สอนโดยอาการเรียบร้อย ไม่ให้ด่าตีหยาบคาย... นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง โรงเรียนตามวัดต่าง ๆ เพื่อให้บุตรหลานของราษฎรได้เล่าเรียนโดยสะดวก แต่ ทรงประสบปัญหาเพราะราษฎรเกรงว่าบุตรหลานที่ส่งไปเรียนจะต้องเป็นทหาร พระองค์ต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศแก้ความเข้าใจผิดของ ราษฎร เมื่อ จ.ศ. ๑๒๔๗ (พ.ศ. ๒๔๒๘) ดังมีข้อความในประกาศตอนหนึ่งว่า บัดนี้ทรงทราบใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทว่าราษฎรตื่นเล่าฤๅกันว่าซึ่ง โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนนั้น พระราชประสงค์จะเก็บเด็กนักเรียนเปน ทหารผู้ที่จะส่งบุตร์หลานเข้ามาเล่าเรียนหนังสือก็มักจะพากันหวาดหวั่น ครั่นคร้าม ว่าบุตร์หลานจะต้องเปนทหารเปนอันมาก ที่พูดเล่าฤๅนี้เปน _20-0355(151-316)p3.indd 293 6/7/2563 BE 09:22


294 การไม่จริง ห้ามอย่าให้ผู้ใดพลอยตื่นเต้นเชื่อฟังค�ำเล่าฤๅนี้เปนอันขาด คนที่ควรจะชักเปนทหารก็มีอีกพวกหนึ่งต่างหาก ไม่ต้องตั้งโรงเรียน เกลี้ยกล่อมเด็กมาเปนทหารเลยอนึ่งเด็กทั้งปวงนี้ก็แต่ล้วนเปนบุตร์หลาน ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งสิ้นด้วยกัน ถ้าจะเก็บเอามาเปนทหารเสียตรงๆ นั้น ไม่ได้หรือจะต้องตั้งโรงเรียนเกลี้ยกล่อมให้ล�ำบากแลเปลืองพระราชทรัพย์ ด้วยเหตุใดผู้เล่าฤๅโจทย์กันอย่างนั้น เหมือนเปนคนไม่มีกตัญญูไม่รู้พระเดช พระคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันทรงพระมหากรุณาทรง พระราชด�ำริห์จัดการจะให้เปนคุณเปนประโยชน์แก่ประชาราษฎรทั่วไป ในพระราชอาณาจักร์ ถ้อยค�ำของคนเช่นนั้น ใคร ๆ ไม่ควรจะเชื่อเอาเปนประมาณถ้า ใครมีบุตร์หลานอยากจะให้เล่าเรียน ให้มีวิชาความรู้ส�ำหรับตัวก็ส่งเข้า เล่าเรียน ในโรงสอนที่ใกล้เคียงเขตร์บ้านที่อยู่นั้นเถิด อย่าคิดหวาดหวั่น ครั่นคร้ามด้วยข้อที่บุตร์หลานจะต้องติดเปนทหารนั้นเลย... ประกาศข้างต้น นอกจากจะแก้ความเข้าใจผิดของราษฎรแล้ว ยังมี ข้อความแสดงพระราชประสงค์ของพระองค์ในการตั้งโรงเรียน ดังนี้ ...พระราชด�ำริห์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ จัดการโรงเรียนทั้งปวงนี้ก็เพราะทรงพระมหากรุณาแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน แลมีพระราชประสงค์จะให้วิชาหนังสือไทยรุ่งเรือง แพร่หลายเปนคุณแก่ ราชการแลเปนความเจริญแก่การบ้านเมืองยิ่งขึ้นไป (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง ๑๐๐ ปี พระราชสมัญญานาม พระปิยมหาราชกับการศึกษาไทย.กรุงเทพฯ: สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์, ๒๕๕๑. แนวพระราชด�ำริเก้ารัชกาล.กรุงเทพฯ:กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ,๒๕๒๗. _20-0355(151-316)p3.indd 294 6/7/2563 BE 09:22


295 ปิยกษัตริย์รัตนราช. กรุงเทพฯ : สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, ๒๕๕๔. วิชัย เสวะมาตย์. การเลิกทาสในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๑๑. ศริพจน์ภาษาไทย์ พจนานุกรมไทย-ฝรั่งเศส-อังกฤษ ฉบับ Bishop J. L. Vey ค.ศ. ๑๘๙๖. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการช�ำระกฎหมายตราสามดวง ส�ำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ๒๕๔๕. สัพะ พะจะนะ พาสาไท.กรุงเทพฯ:สถาบันภาษาไทยกรมวิชาการกระทรวง ศึกษาธิการ, ๒๕๔๒. อักขราภิธานศรับท์ ของหมอปรัดเล. พระนคร:องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๔. แม่น�้ำเจ้าพระยา แม่น�้ำเจ้าพระยาเป็นแม่น�้ำสายหลักของประเทศไทย มีต้นก�ำเนิดมาจาก แม่น�้ำส�ำคัญ ๔ สายที่ไหลรวมกันที่จังหวัดนครสวรรค์ก่อนจะไหลลงใต้ผ่าน จังหวัดต่าง ๆ ไปออกปากแม่น�้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดสมุทรปราการ รวมความ ยาวทั้งสิ้น ๓๗๒ กิโลเมตร หลักฐานทางประวัติศาสตร์และเอกสารที่บันทึกไว้ในสมัยอยุธยาบันทึก ว่าพระมหากษัตริย์ได้เสด็จพระราชด�ำเนินทางชลมารคในโอกาสต่าง ๆ เช่น การประพาสทางทะเลหรือการรบ โดยอาศัยแม่น�้ำเจ้าพระยาทั้งสิ้น และด้วย เหตุที่เส้นทางบางช่วงคดโค้ง จึงโปรดให้ขุดคลองลัดขึ้นอย่างน้อย ๓ ครั้งคือ ในรัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราชโปรดให้ขุดคลองลัดบางกอกที่เป็นบริเวณ หน้าโรงพยาบาลศิริราช ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดให้ขุดคลอง ลัดบางกรวย และสมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดให้ขุดคลองลัดนนทบุรี _20-0355(151-316)p3.indd 295 6/7/2563 BE 09:22


296 จดหมายเหตุของวิละภาเคทะระเรื่องคณะทูตลังกาเข้ามาประเทศสยาม ระบุว่าเมื่อคณะทูตเดินทางกลับ “เรือก็ได้แล่นออกจากอ่าวชื่อปากน�้ำเขียว เมื่อเวลา ๑๑ นาฬิกา ในวันพุธ แรม ๖ ค�่ำ” ส่วนเอกสารสมัยอยุธยาตอนปลาย ฉบับหนึ่งคือจดหมายเหตุระยะทางพระอุบาลีไปลังกาทวีป บันทึกว่าคณะสงฆ์ อยุธยาออกเดินทางไปยังลังกาเพื่อการสืบพระพุทธศาสนาใน “วันพุธเดือนยี่ ขึ้น ๑๓ ค�่ำเพลาเช้า กรมการก็มานิมนต์พระสงฆ์ขึ้นไปฉัน ณ ศาลากลาง แล้ว เวียนเทียนสมโภชพระราชสาส์นแล้ว ออกไปถึงปากน�้ำเขียวบางเจ้าพระยา” อีกตอนหนึ่งว่า “แลเชิญพระราชสาส์นไปแต่หอพระราชสาส์นแต่ ณ วันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๑ ค�่ำ ถึงน�้ำเขียวปากน�้ำบางเจ้าพระยาจนได้ใช้ใบยาตราก�ำปั่น ทรงพระราชสาส์น”และ“ณ วันพุธเดือนยี่แรม ๖ ค�่ำ ปีวอกจัตรวาศก นายก�ำปั่น และต้นหนใหญ่น้อยจะยาตราก�ำปั่นทรงพระราชสาส์น ข้าหลวงมีชื่อจึงถามว่าทาง แต่น�้ำเขียวปากน�้ำบางเจ้าพระยาลงไปถึงเมืองไยกะตรา นั้นเท่าใด” บางน�้ำเขียว หรือบางน�้ำเขียวเจ้าพระยา จึงเป็นชื่อภูมิสถานที่ปรากฏในเอกสารร่วมสมัย อยุธยาและก�ำหนดพื้นที่บริเวณปากแม่น�้ำเจ้าพระยาในปัจจุบันด้วย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐาน เรื่องที่ตั้งของปากน�้ำเจ้าพระยาไว้ว่า“ที่เราเรียกกันว่าปากน�้ำเจ้าพระยาทุกวันนี้ แต่โบราณเรียกว่าปากน�้ำพระประแดง ภายหลังเมื่อแผ่นดินงอก ทะเลห่างออก ไปไกลเมืองพระประแดงจึงเรียกว่าปากน�้ำบางเจ้าพระยาได้เห็นในจดหมายเหตุ พระอุบาลีไปเมืองลังกาเมื่อแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศในหนังสือนั้น เรียกว่าปากน�้ำบางเจ้าพระยา ท�ำนองเรียกปากน�้ำบางประกง เข้าใจว่าที่ซึ่งตั้ง เมืองสมุทรปราการทุกวันนี้ในเวลานั้นจะเรียกบางเจ้าพระยา” บางเจ้าพระยาหรือปากน�้ำเขียวบางเจ้าพระยาจึงเป็นค�ำเก่าที่ใช้เรียกแม่น�้ำ เจ้าพระยามาก่อน มีความหมายตามชื่อภูมิศาสตร์บริเวณปากแม่น�้ำ ก่อนออก ทะเลที่อ่าวไทย ซึ่งคงเป็นบริเวณจังหวัดสมุทรปราการในปัจจุบัน ชื่อแม่น�้ำเจ้าพระยาปรากฏในแผนที่ของฟรา เมาโรชาวอิตาลีที่เขียนใน พ.ศ. ๒๐๐๒ รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เรียกแม ่น�้ำเจ้าพระยาว ่า _20-0355(151-316)p3.indd 296 6/7/2563 BE 09:22


297 แม่น�้ำ “ชิแอร์โน” หรือ “คงคา” ค�ำว่า “ชิแอร์โน” ตรงกับ “ชาหนวี” ซึ่งเป็น ชื่อหนึ่งของแม่น�้ำคงคาในประเทศอินเดีย (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) หนังสืออ้างอิง กรมศิลปากร. จดหมายเหตุของวิละภาเคทะระ เรื่องคณะฑูตลังกาเข้ามา ประเทศสยาม. กรุงเทพฯ : บุญเจริญอินเตอร์เทรด, ๒๕๕๖. สุจิตต์วงษ์เทศ.แม่น�้ำล�ำคลองสายประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: มมติชน, ๒๕๓๙. ฤกษ์และนิมิตแห่งฤกษ์ ฤกษ์ตามความหมายทางวิชาดาราศาสตร์คือ ดาวประเภทหนึ่งอยู่บน ท้องฟ้า เรียกว ่า ดาวฤกษ์เป็นดาวที่มีแสงสว ่างในตัวเอง ลักษณะเป็นกลุ ่ม ก้อนแก๊สร้อน รูปกลมขนาดใหญ่ ดังเช่นดวงอาทิตย์ก็เป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง อาณาเขตที่ล้อมรอบดวงอาทิตย์เป็นปริมณฑลกว้างออกไปไม่สิ้นสุดเรียกกันว่า สุริยจักรวาลในขอบเขตสุริยจักรวาลมีดาวพระเคราะห์จ�ำนวนมากเดินหรือโคจร ไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์เรียกว่า จักรราศี ในจักรราศีแบ่งเป็น ๑๒ ส่วนตามวิชาโหราศาสตร์เรียกว่า ๑๒ ราศีโดย ก�ำหนดให้แต่ละราศีคือ เดือนทั้ง ๑๒ เดือน เมื่อดวงอาทิตย์เดินรอบจักรราศี ๑ รอบ ใช้เวลา ๑ ปีเท่ากับ ๑๒ เดือนพอดีและในแต่ละราศียังมีกลุ่มดาวสถิต ประจ�ำอยู่ จึงก�ำหนดเรียกชื่อราศีและเดือนตามชื่อกลุ่มดาวทั้ง ๑๒ กลุ่ม โดย เริ่มต้นจากราศีเมษดังนี้ ๑. กลุ่มดาวรูปแกะ หรือ แพะ เรียกว่า ราศีเมษ คือ เดือนเมษายน ๒. กลุ่มดาวรูปวัว เรียกว่า ราศีพฤษภ คือ เดือนพฤษภาคม ๓. กลุ่มดาวรูปคนคู่ เรียกว่า ราศีมิถุน คือ เดือนมิถุนายน ๔. กลุ่มดาวรูปปูเรียกว่า ราศีกรกฏ คือ เดือนกรกฎาคม ๕. กลุ่มดาวรูปสิงห์เรียกว่า ราศีสิงห์คือ เดือนสิงหาคม ๖. กลุ่มดาวรูปคนผู้หญิง เรียกว่า ราศีกันย์คือ เดือนกันยายน _20-0355(151-316)p3.indd 297 6/7/2563 BE 09:22


298 ๗. กลุ่มดาวรูปคันชั่ง หรือคนถือคันชั่ง เรียกว่า ราศีตุลคือ เดือนตุลาคม ๘. กลุ่มดาวรูปแมงป่อง เรียกว่า ราศีพิจิก คือ เดือนพฤศจิกายน ๙. กลุ่มดาวรูปธนูหรือคนถือธนูเรียกว่า ราศีธนูคือ เดือนธันวาคม ๑๐. กลุ่มดาวรูปมังกร เรียกว่า ราศีมกร (มังกร) คือ เดือนมกราคม ๑๑. กลุ่มดาวรูปหม้อ หรือคนปั้นหม้อ เรียกว่า ราศีกุมภ์คือ เดือน กุมภาพันธ์ ๑๒. กลุ่มดาวรูปปลาตะเพียน เรียกว่า ราศีมีน คือ เดือนมีนาคม นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มดาวที่เรียกว่า ดาวนักษัตรฤกษ์อีก ๒๗ กลุ่ม อยู่ใน ระหว่างราศีประมาณราศีละ ๒ ฤกษ์ซึ่งจะเรียงล�ำดับคาบเกี่ยวกันกับราศีถัดไป ดาวนักษัตรฤกษ์ทั้ง ๒๗ ฤกษ์นี้ในต�ำราโหราศาสตร์ก�ำหนด เป็นฤกษ์บน มีชื่อ เรียกที่บางต�ำราก�ำหนดไว้ดังนี้ ฤกษ์ที่ ๑ ชื่อ อัศวินี(อัศยุชหรืออัศวยุช) กลุ่มดาวนี้มี๗ ดวง เรียกว่า ดาวม้าหรือดาวคอม้าในต�ำราพิชัยสงครามก�ำหนดให้เป็นดาวประจ�ำเมืองกัมพูชา ฤกษ์ที่ ๒ ชื่อ ภรณีกลุ่มดาวนี้มี๓ ดวง เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือน ก้อนเส้าจึงเรียกว่าดาวก้อนเส้าหรือดาวแม่ไก่ เป็นดาวประจ�ำเมืองพุกาม ฤกษ์ที่ ๓ ชื่อ กฤติกาหรือกัตติกา กลุ่มดาวนี้มี๘ ดวง เรียกว่าดาวลูกไก่ หรือดาวธง เป็นดาวประจ�ำเมืองหริภุญไชยหรือล�ำพูนไชย ฤกษ์ที่ ๔ ชื่อ โรหิณี(พราหมณีหรืออาครหายณี) กลุ่มดาวนี้มี๗ ดวง เรียกว่า ดาวจมูกม้าหรือดาวไม้ค�้ำเกวียน บางต�ำราเรียกดาวคางหมู หรือดาว ประกายพรึก เป็นดาวประจ�ำเมืองอโยธยาหรืออยุธยา ฤกษ์ที่ ๕ ชื่อ มฤคศิรหรือมิคสิระกลุ่มดาวนี้มี๓ ดวงเรียกว่าดาวหัวเนื้อ หรือดาวโค บางต�ำราเรียกดาวหัวเต่า เป็นดาวประจ�ำเมืองหงสาวดี ฤกษ์ที่ ๖ ชื่อ อารทรา (อัทธระ) ดาวนี้มีเพียงดวงเดียว เรียกว่า ดาวตา ส�ำเภา หรือดาวฉัตร บางต�ำราเรียกดาวส�ำเภา เป็นดาวประจ�ำเมืองทวาย ฤกษ์ที่ ๗ ชื่อ ปุนัพสู(ปุนัพสุหรือปุนวรสุ) กลุ่มดาวนี้มี๓ ดวง เรียกว่า ดาวส�ำเภาทอง บางต�ำราเรียกดาวเรือชัย เป็นดาวประจ�ำเมืองพะโค _20-0355(151-316)p3.indd 298 6/7/2563 BE 09:22


299 ฤกษ์ที่ ๘ ชื่อ ปุษย(บุศย บางต�ำราเรียกสิธย)กลุ่มดาวนี้มี๕ ดวงเรียกว่า ดาวสมอส�ำเภา หรือดาวปูดาวปุยฝ้ายดาวดอกบัวก็เรียกเป็นดาวประจ�ำเมือง อินทปัต (เขมร) ฤกษ์ที่ ๙ ชื่ออาศเลษา (อัศเลขหรืออสิเลส)กลุ่มดาวนี้มี๕ ดวง เรียกว่า ดาวพ้อม หรือดาวเรือน บางต�ำราเรียก ดาวนกในหม้อดิน หรือดาวแขนคู้ เป็นดาวประจ�ำเมืองราชคฤห์ ฤกษ์ที่ ๑๐ ชื่อ มฆา หรือมาฆะ กลุ่มดาวนี้มี๕ ดวง เรียกว่า ดาววานรผู้ หรือดาวแรดผู้(บางต�ำราเรียกดาวหงอนไก่งอนไถ หรืองูผู้) เป็นดาวประจ�ำเมือง พาราณสี ฤกษ์ที่ ๑๑ ชื่อ บุรพผลคุณี(บุพคุณหรือบุพพผัคคุณี)กลุ่มดาวนี้มี๒ ดวง เรียกว่า ดาวเพดานหน้าหรืองูเมีย (บางต�ำราเรียกดาวแรดผู้หรือวัวผู้) เป็นดาว ประจ�ำเมืองมิถิลา ฤกษ์ที่ ๑๒ ชื่อ อุตรผลคุณี(อุตรผคุณหรืออุตตรผัดคุณี) กลุ่มดาวนี้มี ๒ ดวง เรียกว่า ดาวเพดานหลังหรือวัวเมีย (บางต�ำราเรียกดาวงูเหลือม) เป็น ดาวประจ�ำเมืองทวาย ฤกษ์ที่ ๑๓ ชื่อ หัสต หรือหัตถ กลุ่มดาวนี้มี๕ ดวง เรียกว่า ดาวฝ่ามือ หรือดาวศอกคู้บางต�ำราเรียกดาวหัวช้าง เป็นดาวประจ�ำเมืองมัณฑะเลย์ ฤกษ์ที่ ๑๔ ชื่อ จิตรา เป็นดาวมีดวงเดียว เรียกว่า ดาวตาจระเข้หรือ ดาวเสือ(บางต�ำราเรียกดาวต่อมน�้ำ หรือดาวไต้ไฟ) เป็นดาวประจ�ำเมืองอรัญวดี ฤกษ์ที่ ๑๕ ชื่อสวาติหรือสาติกลุ่มดาวนี้มี๔ ดวง บางต�ำราว่ามี๕ ดวง เรียกว่าดาวกระออมน�้ำ หรือดาวช้างพัง[บางต�ำราเรียกดาวช้างหรือดาวงูเหลือม ผัดช้าง (ล่อช้าง)] เป็นดาวประจ�ำเมืองไพศาลี ฤกษ์ที่ ๑๖ ชื่อวิศาขา หรือวิศาขะกลุ่มดาวนี้มี๓ดวง บางต�ำราว่ามี๕ดวง เรียกว ่า ดาวคันฉัตร หรือดาวหนองลาด (บางต�ำราเรียกดาวแขนนางหรือ ดาวหัวควาย) เป็นดาวประจ�ำเมืองทวาย _20-0355(151-316)p3.indd 299 6/7/2563 BE 09:22


300 ฤกษ์ที่ ๑๗ ชื่อ อนุราชา หรืออนุราชะ กลุ่มดาวนี้มี๔ ดวง เรียกว่า ดาวประจ�ำฉัตร หรือดาวหงอนนาค(บางต�ำราเรียกดาวนกยูง) เป็นดาวประจ�ำเมือง กัมพูชา ฤกษ์ที่ ๑๘ ชื่อเชษฐาหรือเชษฐะกลุ่มดาวนี้มี๑๔ดวงเรียกว่าดาวช้างใหญ่ หรือดาวแพะ หรือดาวงาช้าง เป็นดาวประจ�ำเมืองกลิงคราช ฤกษ์ที่ ๑๙ ชื่อ มูลา หรือมูละ (หรือมูลสาร)กลุ่มดาวนี้มี๙ ดวง เรียกว่า ดาวช้างน้อย หรือดาวแมว หรือดาวสะดือนาค เป็นดาวประจ�ำเมืองจันทบุรี (เวียงจันทน์) ฤกษ์ที่ ๒๐ ชื่อ บูรพาษาฒ หรือ บุรพาอาษาฒ หรือ ปุพพอาษาฒ กลุ่ม ดาวนี้มี๓ ดวง เรียกว่าดาวสัปคับช้าง (ดาวปากนกหรือดาวราชสีห์ผู้) เป็น ดาวประจ�ำเมืองใต้ ฤกษ์ที่ ๒๑ ชื่อ อุตราษาฒ กลุ่มดาวนี้มี๕ ดวง เรียกว่า ดาวแตรงอน (ดาวครุฑหรือดาวราชสีห์เมีย) เป็นดาวประจ�ำเมืองรามัญ ฤกษ์ที่ ๒๒ ชื่อ ศรวณะ หรือศราวณะ หรือสาวันนะ กลุ่มดาวนี้มี๓ ดวง เรียกว ่า ดาวหลักชัย (ดาวโลง หรือดาวหามผีหรือดาวหลักชัยฤๅษี) เป็น ดาวประจ�ำเมืองไทใหญ่ ฤกษ์ที่ ๒๓ ชื่อธนิษฐา หรือศรวิษฐากลุ่มดาวนี้มี๔ ดวง เรียกว่าดาวไซ หรือดาวยักษ์หรือดาวกา เป็นดาวประจ�ำเมืองโกสัมพี ฤกษ์ที่ ๒๔ ชื่อ ศตภิษัช กลุ่มดาวนี้มี๔ ดวง เรียกว่า ดาวพิมพ์ทอง (ดาวมังกรหรือดาวเศรษฐี) เป็นดาวประจ�ำเมืองนครราชสีมา ฤกษ์ที่ ๒๕ ชื่อ บุรพภัทรบท หรือปุพภัทรบท หรือโปฐบท กลุ่มดาวนี้มี ๒ ดวง เรียกว่า ดาวหัวเนื้อทราย หรือดาวราชสีห์ผู้หรือดาวแรดผู้เป็นดาว ประจ�ำเมืองอินทปัต ฤกษ์ที่ ๒๖ ชื่ออุตรภัทรบท หรืออุตราภัทรกลุ่มดาวนี้มี๒ ดวง เรียกว่า ดาวไม้เท้า (ดาวราชสีห์เมียหรือดาวแรดเมีย) เป็นดาวประจ�ำเมืองกบิลพัสดุ์ _20-0355(151-316)p3.indd 300 6/7/2563 BE 09:22


301 ฤกษ์ที่ ๒๗ ชื่อ เรวดีหรือเรวติกลุ่มดาวนี้มี๑๖ ดวง เรียกว่า ดาวปลา ตะเพียน (ดาวหญิงท้องหรือดาวนาง) เป็นดาวประจ�ำเมืองอนุราช(อนุราธ)และ สังขทวีป นอกจากนั้นยังได้จัดแยกประเภทฤกษ์ออกจากกลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ กลุ่ม ก�ำหนดเป็นฤกษ์ล่าง มี๙ กลุ่ม คือ ๑. ทลิทโทฤกษ์แปลว่า ผู้ขอ มักใช้ในการสู่ขอ ๒. มหัทธโนฤกษ์แปลว่า เศรษฐีมักใช้ในการมงคลต่าง ๆ เช่น การขึ้น บ้านใหม่ ๓. โจโรฤกษ์แปลว่า โจร มักใช้ในการมงคลต่าง ๆ ๔. ภูมิปาโลฤกษ์แปลว่า ผู้รักษาแผ่นดิน มักใช้ในการมงคล ๕. เทศาตรีฤกษ์แปลว่า โสเภณีมักใช้ในการเปิดกิจการร้านค้าต่าง ๆ ๖. เทวีฤกษ์แปลว่า นางพญา มักใช้ในการมงคล ๗. เพชฌฆาตฤกษ์แปลว่า ผู้ฆ่า มักใช้ในการปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ๘. ราชาฤกษ์แปลว่า พระเจ้าแผ่นดิน มักใช้ในการมงคลต่าง ๆ ๙. สมโณฤกษ์แปลว่า พระ มักใช้ในการมงคลต่างๆเช่น การวางศิลาฤกษ์ อุปสมบท ฤกษ์ตามความหมายทางต�ำราท�ำนาย หรือวิชาโหราศาสตร์ หมายถึง เวลาซึ่งเหมาะสมเป็นชัยมงคลหรืออัปมงคลคนในสมัยโบราณ มีวิธีก�ำหนดเวลา ฤกษ์๒ อย่าง คือ ๑. ใช้วิธีสังเกตหรือพิจารณาจากสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือได้กลิ่น จากสิ่งรอบ ๆตัวอันมีอยู่ในธรรมชาติแล้ววิเคราะห์ก�ำหนดเป็นเกณฑ์ประกอบ ความหมายใช้ในเวลาที่เหมาะสมเป็นมงคล มีโชคชัย หรือเป็นอัปมงคลขัดโชคชัย เป็นต้น ๒. ใช้วิธีหาเวลาฤกษ์จากการค�ำนวณตามต�ำราโหราศาสตร์ หรือต�ำรา ท�ำนายต่างๆซึ่งผลที่ได้หาความแน่นอนได้ยาก บางครั้งอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ _20-0355(151-316)p3.indd 301 6/7/2563 BE 09:22


302 ทั้งนี้เพราะในการก�ำหนดเวลาฤกษ์อาจเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนผันแปร ท�ำให้ เกณฑ์ก�ำหนดผิดเพี้ยนไปได้เช่น ก�ำหนดว่าเวลาฤกษ์นั้นจะเกิดนิมิตให้ได้ยิน เสียงดนตรีเป็นมงคล แต่หากบังเอิญเสียงดนตรีที่ได้ยินเป็นเสียงดนตรีงานศพ เวลาฤกษ์นั้นก็จะผิดพลาดไปเป็นอัปมงคลท�ำให้ผู้ประกอบพิธีตามเวลาฤกษ์นั้น ประสบเรื่องเลวร้ายไม่เป็นนิมิตฤกษ์ที่ดี นิมิต คือ สิ่งบอกเหตุล่วงหน้า หรือสัญญาณบอกเหตุร้ายหรือดีเป็น เครื่องหมายที่ปรากฏให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น หรือสัมผัสรับรู้ได้ในลักษณะใด ลักษณะหนึ่ง ส ่วนนิมิตแห ่งฤกษ์ที่จะได้กล ่าวถึงนี้ก�ำหนดให้สังเกตดูดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวบนท้องฟ้าเมื่อกลุ ่มเมฆเคลื่อนที่ผ ่านเข้าไปบดบัง ดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์บังเกิดให้เห็นเป็นรูปต่าง ๆ ในขณะเวลานั้นเรียกว่า เวลาฤกษ์ซึ่งในต�ำราก�ำหนดให้มีความหมายทั้งในทางที่ดีเป็นมงคล และใน ทางร้าย เป็นอัปมงคล การดูนิมิตจากดวงอาทิตย์หากดูในเวลาเช้าตรู่ขณะแสงอาทิตย์ยังอ่อนมี หมอกบางๆ บังอยู่ก็อาจดูได้ด้วยตาเปล่าแต่เมื่อเวลาสายมากขึ้นหรือตลอดเวลา กลางวัน แสงอาทิตย์แรงกล้ามาก ดูด้วยตาเปล่าไม่ได้คนโบราณมีวิธีการดูโดย ผ่านน�้ำในขันสาครขนาดใหญ่หรือที่เรียกว่า “แม่ขัน” ใส่น�้ำให้เต็ม ประดิษฐาน ไว้บนเนินดินกลางแจ้ง ให้เป็นที่เฉพาะ และมักมีเสาสูงปักไว้ใกล้ๆ ขันนั้นด้วย เมื่อจะดูนิมิตจากดวงอาทิตย์ก็จะดูจากเงาน�้ำในขันนั้น ซึ่งน�้ำในขันต้องนิ่งมากๆ เพื่อความชัดเจนของนิมิต ส่วนเสาที่ปักไว้คู่กับขันสาครนั้น ใช้เป็นที่สังเกตเพื่อ การก�ำหนดเวลาแบบโบราณ เรียกว่า ชั้นฉาย ซึ่งต้องอาศัยแสงของดวงอาทิตย์ ส่องผ่านเสาให้เกิดเงาทอดยาวออกไป แล้วใช้ช่วงรอยเท้าวัดตามเส้นเงานั้น ๑ ช่วงรอยเท้าเท่ากับเวลา ๑ ชั้นฉาย (โดยประมาณเท่ากับ ๑๕ องคุลี) ฤกษ์ที่ ได้จากการดูนิมิตของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นี้เรียกว่า ฤกษ์บน เหมือนกับ ฤกษ์ที่ได้จากกลุ่มฤกษ์ทั้ง ๒๗ กลุ่ม ตัวอย่างเช่น ในจดหมายความทรงจ�ำของ _20-0355(151-316)p3.indd 302 6/7/2563 BE 09:22


303 กรมหลวงนรินทรเทวีกล่าวไว้ว่า “ดวงพระสุริยนต์เยี่ยมเพียงปลายไม้ฤกษ์ บนนั้นวิปริต รูปเมฆเป็นอาวุธผ่ากลางดวงอาทิตย์” หมายถึงเป็นนิมิตร้ายไม่ดี หรือเป็นอัปมงคล ส่วนการดูนิมิตจากดวงจันทร์นั้น ดูได้ด้วยตาเปล่าเพราะแสงจันทร์อ่อน ไม่แรงกล้าเช่นแสงอาทิตย์แต่ความหมายของนิมิตก็จะเหมือนกันกับนิมิตของ ดวงอาทิตย์ การดูนิมิตจากดวงดาวให้สังเกตแสงสว่างของดวงดาว พิจารณาไปพร้อม ๆ กับทิศทางของรัศมีส่วนหัว และหางของดวงดาวเหล่านั้น คือ สว่างจ้าสดใสเป็น นิมิตที่ดีถ้ามัวหมองริบหรี่เป็นนิมิตร้าย ดาวที่ใช้เป็นที่สังเกตก็คือดาวประจ�ำ เมืองของแต่ละเมืองตามที่ได้กล่าวไว้ในกลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ แล้ว วิธีดูนิมิตของ ดวงดาวนั้นให้พิจารณาว่าหางของดวงดาวหันไปสู่ทิศทางใด ความหมายของ นิมิตก็จะเป็นไปตามนั้น ซึ่งมีกล่าวไว้ในต�ำราท�ำนายต่าง ๆ แล้ว และมักใช้กับ การพิชัยสงครามเท่านั้น (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) ลักษณะแมวให้คุณให้โทษ แมวเป็นสัตว์ที่ผูกพันกับมนุษย์มาก เพราะมีนิสัยช่างประจบเอาใจและ มักคลอเคลียอยู่ไม่ห่างคนไทยนิยมเลี้ยงแมวไว้ในบ้าน บ้างให้เป็นเพื่อนเล่นหรือ ให้คอยจับหนูนอกจากนี้ยังมีต�ำราดูลักษณะแมวที่ให้คุณให้โทษสั่งสอนสืบทอด กันต่อมา ดังเช่น สมุดไทยโบราณเรื่องลักษณะแมว และต�ำราดูแมวของสมเด็จ พระพุฒาจารย์(พุทธสรมหาเถระ) วัดอนงคาราม สมุดไทยลักษณะแมวเป็นค�ำประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ ประกอบด้วย โคลงไหว้ครู ๒ บท ต่อด้วยโคลงท�ำนายลักษณะแมวที่ให้คุณ ๑๗ ชนิด และ ลักษณะแมวที่ให้โทษ ๖ ชนิด มีรายละเอียดดังนี้ ลักษณะแมวที่ให้คุณ คือ _20-0355(151-316)p3.indd 303 6/7/2563 BE 09:22


304 ๑. แมวนิลรัตน์ ขนสีด�ำ ฟัน ตา เล็บ ลิ้น ล้วนเป็นสีด�ำสนิท หางยาวโค้ง น้อมมาถึงหัวได้ ๒. แมววิลาศ มีเส้นสีขาวลอดใต้ท้องขึ้นมาจรดใบหูทั้งสองข้าง ที่สันหลัง มีสีขาวยาวจรดปลายหาง เท้าทั้ง ๔ สีขาวตาสีเขียว ส่วนบริเวณอื่นขนสีด�ำสนิท ๓. แมวศุภลักษณ์หรือทองแดง มีสีขนเหมือนสีทองแดง ตาสีแดงเช่นกัน ๔. แมวเก้าแต้ม ขนสีขาวมีจุดด�ำเก้าแห่งคือ ที่กลางหัว ๑ คอ ๑ ต้นคอ ๑ ต้นขาหลัง ๒ ข้างต้นขาหน้า ๒ ข้าง และเท้าหน้าด�ำทั้ง ๒ ข้าง รวมเป็น ๙ แห่ง ๕. แมวมาเลศหรือดอกเลา มีสีขนทั่วตัวดั่งสีดอกเลาหรือสีเทา แซมด้วย สีขาว สีตาดั่งสีน�้ำค้าง ๖. แมวแซมเศวตเป็นแมวที่มีขนด�ำทั่วตัวแต่มีขนสีขาวขึ้นแซมเป็นระยะ ดูงาม ตาสีดั่งหิ่งห้อยหรือสีน�้ำทอง ๗. แมวรัตนกัมพลแมวสีขาวเหมือนสีสังข์แต่มีขนสีด�ำเป็นสายรัดรอบตัว บริเวณอกและหลัง สีตาเหมือนสีทองเนื้อหก ๘. แมววิเชียรมาส แมวขนขาวแต่มีจุดด�ำแต้ม ๘ แห่งคือ ปากบน หาง เท้าทั้ง ๔ และหูทั้ง ๒ มีตาสีเหมือนสีนาคสวาสดิ ๙. แมวนิลจักร แมวสีด�ำนิล แต่มีขนสีขาวคล้ายจักรรัดที่รอบคอ ๑๐. แมวมุลิลาแมวด�ำเหมือนสีนิลแต่ที่ใบหูทั้ง ๒ สีขาวสีตาเป็นสีเหลือง ๑๑. แมวกรอบแว ่นหรืออานม้า แมวสีขาวแต ่มีขนสีด�ำรอบดวงตา ทั้งสองข้าง ที่หลังมีขนด�ำเหมือนอานม้า ๑๒. แมวชื่อปัดเศวตหรือปัดตลอด แมวสีด�ำแต่ที่ปลายจมูกมีสีขาวยาว ตลอดปลายหาง สีตาดั่งสีทองหรือสีตาเนื้อทราย หรือสีเหลืองบุษราคัม ๑๓. แมวชื่อกระจอก ลักษณะตัวกลม ขนสีด�ำมีขนสีขาวแซมที่รอบปาก ตาสีเหลืองเหมือนสีรง ๑๔. แมวสิงหเสพย์ขนสีด�ำทั่วตัว ริมฝีปากมีขนสีขาว ปลายจมูกสีขาว รอบคอสีขาว ตามีสีเหลืองเหมือนสีรง _20-0355(151-316)p3.indd 304 6/7/2563 BE 09:22


305 ๑๕. แมวการเวก ขนสีด�ำทั่วตัว ตามีสีดั่งทอง สันจมูกขาว ๑๖. แมวจตุบท ขนสีด�ำเหมือนสีหมึก แต่ที่ขาทั้งสี่สีขาว ตาสีเหลือง เหมือนสีดอกโสน ๑๗. แมวโกญจา ขนสีด�ำทั่วตัว ใต้ท้องสีขาว ตามีสีดอกบวบ แมวอันมีลักษณะดีให้คุณทั้ง ๑๗ ประเภทนี้โบราณถือว่าควรมีไว้ในบ้าน เพราะจะส่งผลดีต่อผู้ที่ได้ครอบครองแมว แม้แต่กระดูกแมวก็ควรเก็บไว้เพราะ อาจป้องกันภัยต่าง ๆ ได้ดังที่โคลง ๒ บทท้ายของลักษณะแมวให้คุณระบุว่า สิบเจ็ดลักษณเชื้อ วิลา นี้นา ควรจะเสาะแสวงหา สืบไว้ จะกอบเกียรติยศถา วรสวัสดิ์ยิ่งแฮ ทรัพย์จะพูนเพิ่มให้ เพราะเลี้ยงแมวศรี แม้วายชีพอย่าทิ้ง ซากผี ใส่ที่ฝังแรมปี ขวบขั้น อัฏฐิแมวนั้นมี คุณยิ่ง นักแฮ อาจประหารภัยกั้น กอบเกื้อพูลผล ส�ำหรับแมวที่ให้โทษนั้น โบราณระบุไว้๖ ประเภทคือ ๑. แมวทุพพลเพศ ตัวสีขาวแต่ตาสีแดงเหมือนสีน�้ำหมาก เหมือนหนึ่ง มีโลหิตออกที่ตา แมวประเภทนี้เป็นแมวขโมยชอบขโมยปลากิน ๒. แมวพรรณพยัคฆ์หรือลายเสือ มีลักษณะเหมือนลายเสือ แต่ขน มีลักษณะเหมือนเกล็ดเกลือ ตาแฉะ มักร้องเสียงดั่งผีโป่งร้อง ๓. แมวปิศาจแมวด�ำลักษณะน่าเกลียดขนสาก หนาผิวซูบเห็นเนื้อหนัง หางขดเหมือนงูดิน มักกินลูกตัวเอง ๔. แมวหินโทษ คือแมวที่ออกลูกแล้วลูกตายตั้งแต่อยู่ในท้อง ๕. แมวกอบเพลิงแมวที่มักนอนซุ่มอยู่ตามที่ต่างๆเช่นยุ้งข้าวตาสีแดงเพลิง _20-0355(151-316)p3.indd 305 6/7/2563 BE 09:22


306 ๖. แมวเหน็บเสนียด รูปทรงพิกลพิการ หางเป็นก้อนปม ต�ำราลักษณะแมวให้คุณให้โทษนี้เป็นต�ำราโบราณส�ำคัญอีกเล ่มหนึ่ง ของไทย ที่แสดงให้เห็นความช่างสังเกตของคนที่มีต่อสัตว์เลี้ยง และการน�ำ ความเชื่อมาท�ำนายลักษณะของสัตว์ต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) หนังสืออ้างอิง ต�ำราดูลักษณะแมว. ที่ระลึกในการพระราชทานเพลิงศพจ ่าเผ ่นผยองยิ่ง (ชุ่ม สุวรรณจินดา) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันพุธที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๑๘. วิวัฒนาการของ “มงคล ๑๐๘” ในพระพุทธบาทลักษณะ มงคล ๑๐๘ ประการในรอยพระพุทธบาทเป็นแนวคิดซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจาก มีการน�ำสัญลักษณ์มงคลของอินเดียที่มีมาตั้งแต ่โบราณ เช ่น เครื่องหมาย สวัสติกะ มาเป็นสัญลักษณ์ในรอยพระพุทธบาท ปรากฏหลักฐานทั้งในคัมภีร์ เถรวาทและมหายาน และหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับ “รอยพระพุทธบาท” และ “มงคล ๑๐๘ ในพระพุทธบาทลักษณะ” ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่าย มหายานดังนี้ ในคัมภีร์มหาวัสตุ อวทาน ฉบับภาษาสันสกฤตกล่าวว่าในพระพุทธบาท จะปรากฏ จักร (ธรรมจักร) สวัสดิกะ นอกจากนี้ยังมีภาพดอกบัวที่ฝ่าพระหัตถ์ และพระพุทธบาท คัมภีร์ลลิตวิสตระ ภาษาสันสกฤต กล่าวว่าในพระพุทธบาทจะประกอบ ไปด้วย สวัสดิกะ นันทยาวรรต และสหัสรารจักร คัมภีร์ภัทรกัลปิกะ ภาษาทิเบตกล่าวว่าในพระพุทธบาทจะมีภาพ หม้อน�้ำ สวัสติกะ และนันทยาวรรต _20-0355(151-316)p3.indd 306 6/7/2563 BE 09:22


307 คัมภีร์ราษฏรปาลปริปฤจฉา–นาม–มหายานสูตร ภาษาสันสกฤตและ ทิเบต กล่าวว่าที่ฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้าจะมีรูปสวัสติกะและจักร คัมภีร์ศรีศากยสิงหะ–โสตตระ ภาษาสันสกฤต กล่าวว่าในพระพุทธบาท จะมีภาพจักร ที่ฝ่าพระหัตถ์จะมีรูปจามรและจักร นอกจากคัมภีร์พุทธศาสนาที่เป็นภาษาสันสกฤตแล้ว ในคัมภีร์ฝ่ายบาลี ก็กล่าวถึงสัญลักษณ์มงคลในพระพุทธบาทด้วย คัมภีร์พุทธวงศ์ภาษาบาลีกล่าวว่าในพระพุทธบาทจะมีรูป จักรธช(ธง) วชิระ ปฏากา วัฑฒมาน และอังกุศ คัมภีร์อปทาน ภาษาบาลีกล่าวว่าในพระพุทธบาทมีรูปจักร อังกุศ ธช ในนรสีหคาถา ภาษาบาลีกล่าวว่าในพระพุทธบาทจะประกอบไปด้วย จักร จามร ฉัตร เป็นต้น ส�ำหรับในหลักฐานทางโบราณคดีนั้น พระพุทธบาทเป็นสัญลักษณ์แทน องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปรากฏในประเทศอินเดียตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๕–๖ เป็นต้นมา พระพุทธบาทที่สร้างขึ้นในสมัยแรกนี้ยังไม่ปรากฏภาพสัญลักษณ์ มงคลแต่ประการใด ต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๗–๘ จึงเริ่มมีรูปมงคลบนรอยพระพุทธบาท รูปมงคลที่พบในยุคนี้โดยมากเป็นเครื่องหมายมงคลตามที่นิยมในสมัยนั้น เช่น รูปสวัสติกะรูปตรีรัตนะรูปพระแท่นภัทรบิฐและรูปดอกบัว เป็นต้น ซึ่งถือเป็น จุดเริ่มการปรากฏรูปมงคลในรอยพระพุทธบาท ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๘–๙ พระพุทธบาทจ�ำลองในสมัยอมราวดีจึงเริ่ม มีลายมงคล ๘ ประการ คือ คันฉ่อง ขอช้าง ปลาคู่ ตรีรัตน หม้อน�้ำ ศรีวัตสะ สวัสติกะ และวัฑฒมาน ต่อมาความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธบาทนี้ได้มีการน�ำมาขยายความและ เกิดคติความเชื่อเรื่องมงคล ๑๐๘ ประการ โดยเฉพาะที่ลังกาทวีป ในคัมภีร์ “ชินาลังการ” ซึ่ง “พระพุทธรักขิตเถระ” ได้รจนาขึ้นในลังกาทวีป เมื่อราว _20-0355(151-316)p3.indd 307 6/7/2563 BE 09:22


308 พุทธศักราช ๑๗๐๐ ในเวลาต่อมาพระพุทธรักขิตเถระได้รจนาฎีกาขยายความ คัมภีร์ชินาลังการขึ้น เรียกว่า “ชินาลังการฎีกา” คัมภีร์นี้เองที่ได้กล่าวถึงมงคล ๑๐๘ ประการในรอยพระพุทธบาทซึ่งเรียกว่า “อัฏฐุตตรสตมหามงคล” ไว้ด้วย ในเวลาต่อมามีผู้รจนา “คัมภีร์พุทธปาทลักขณะ” ขยายความเพิ่มเติม เกี่ยวกับลักษณะมงคลในรอยพระพุทธบาท แต่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งและยุคสมัย ที่แต่ง คัมภีร์พุทธปาทลักขณะซึ่งพบในปัจจุบันเป็นฉบับใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลีจารขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๙๒ ตรงกับรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่ง กรุงศรีอยุธยาคัมภีร์พุทธปาทลักขณะกล่าวถึง มงคล ๑๐๘ ประการและอธิบาย ความหมายเปรียบเทียบเชิงธรรมาธิษฐานและบุคลาธิษฐานดังข้อความตอนต้น ของคัมภีร์พุทธปาทลักขณะว่า ผู้ใคร่รู้พึงระลึกถึงมงคล ๑๐๘ ประการไว้อย่างนี้ว่า ภายใต้ฝ่าพระบาท ทั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ปรากฏมีกงจักรทั้งสอง มีก�ำ ๑,๐๐๐ พร้อมทั้งกง พร้อมทั้งดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งหมดคือ ภาพพระแสงหอก ภาพแว่นส่องพระพักตร์ภาพดอกพุดซ้อน ภาพสายสร้อย ภาพต่างหูภาพ ถ้วยภาชนะภาพพระแท่นที่ประทับภาพปราสาทภาพขอช้างภาพซุ้มประตู ภาพเศวตฉัตร ภาพพระขรรค์แก้ว ภาพก�ำหางนกยูง ภาพพระมงกุฎ ภาพ เถาวัลย์แก้ว ภาพพัดแก้ววาลวิชชนี(ขนทราย) ภาพพวงดอกมะลิภาพ ดอกบัวแดงภาพดอกบัวขาวภาพดอกบัวหลวงสีชมพูภาพดอกบัวหลวงขาว ภาพกระออมมีน�้ำเต็ม ภาพถาดมีน�้ำเต็ม ภาพมหาสมุทรทั้งสี่ภาพจักรวาล ภาพป่าหิมพานต์ภาพภูเขาสิเนรุ ภาพดวงอาทิตย์ภาพดวงจันทร์ภาพ ดวงดาว ภาพทวีปใหญ่ทั้งสี่ ภาพทวีปน้อยสองพันซึ่งเป็นบริวาร ภาพ พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ภาพสังข์ขาวทักษิณาวัฏ ภาพ ปลาทองคู่ ภาพกงจักรคู่ ภาพแม่น�้ำใหญ่ ๗ สาย ภาพสระใหญ่ ๗ สระ ภาพภูเขาใหญ่ ๗ เทือก ภาพพระยาครุฑ ภาพพระยาจระเข้ภาพธงชัย ภาพธงแผ่นผ้า ภาพพระเก้าอี้แก้ว ภาพพัดโบก ภาพภูเขาไกรลาส ภาพ _20-0355(151-316)p3.indd 308 6/7/2563 BE 09:22


309 พระยาราชสีห์ภาพพระยาเสือโคร่ง ภาพพระยาเสือเหลือง ภาพพระยา ม้าพลาหก ภาพพระยาช้างอุโบสถ ภาพพระยาช้างฉัททันต์ภาพพระยา วาสุกรีนาคราช ภาพพระยาไก่เถื่อน ภาพพระยาโคอุสภราช ภาพพระยา ช้างเอราวัณ ภาพมังกรทอง ภาพแมลงภู่ทอง ภาพท้าวมหาพรหมพักตร์สี่ ภาพเรือทอง ภาพบัลลังก์แก้ว ภาพพัดใบตาล ภาพเต่าทอง ภาพแม่โค ลูกอ่อน ภาพกินนร ภาพนางกินนรีภาพนกการะเวก ภาพพระยานกยูง ภาพพระยานกกระเรียน ภาพพระยานกจากพราก ภาพพระยานกพริก ภาพเทวโลกชั้นกามาพจร ๖ ชั้น ภาพมหาพรหมโลก ๑๖ ชั้น มงคล ๑๐๘ ประการนี้ได้ปรากฏมีที่ฝ่าพระบาททั้งสองของ สมเด็จพระผู้มี พระภาคเจ้าพระองค์นั้น...” รอยมงคล ๑๐๘ ในพระพุทธบาทปรากฏสืบเนื่องมาทั้งในการสร้างรอย พระพุทธบาททั้งในลังกา พุกาม สุโขทัย อยุธยา กัมพูชา (รศ. ดร.ศานติ ภักดีค�ำ) หนังสืออ้างอิง มงคล ๑๐๘ ในรอยพระพุทธบาท (อรรถกถา พุทฺธปาทลกฺขณ). กรุงเทพฯ : ส�ำนักราชเลขาธิการ, ๒๕๔๐. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระราชทานเพลิง ศพพระเทพวัชรธรรมาภรณ์ (สุรพงส์ ฐานวโร) ป.ธ. ๕ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันพุธที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐. ศิลปากร,กรม.หนังสือที่ระลึก พระราชพิธียกจุลมงกุฎและสมโภชพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี พุทธศักราช ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๒. . รัตนมงคลค�ำฉันท์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๗. Peter Skilling, “SymbolsontheBody, Feet, and Handsof aBuddha Part II -ShortLists”Journal of The Siam Society Vol.84,Part1 (1996). _20-0355(151-316)p3.indd 309 6/7/2563 BE 09:22


310 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนสมัยอยุธยา เอกสารค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ได้อธิบายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ ผู้คนสมัยอยุธยากราบไว้บูชาเป็นนิจว่า ประกอบด้วยพระมหาธาตุ ๕ แห่ง พระมหาเจดีย์ส�ำคัญ ๕ องค์พระมหาพุทธปฏิมากรหลัก ๘ องค์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ตั้งอยู่รอบนอกพระนครอีก ๗ แห่ง ทั้งปวงนี้ล้วนเป็นศรีแก่พระนครศรีอยุธยา มาแต่ครั้งโบราณ พระมหาธาตุที่เป็นหลักของกรุงศรีอยุธยาทั้ง ๕ แห่ง คือ ๑.พระมหาธาตุวัดพระราม คือพระปรางค์วัดพระรามซึ่งตั้งอยู่ริมหนองโสน กลางเกาะเมืองอยุธยา ๒. พระมหาธาตุวัดมหาธาตุ คือพระปรางค์วัดมหาธาตุกลางเกาะเมือง อยุธยา ๓. พระมหาธาตุวัดราชบูรณะ คือพระปรางค์วัดราชบูรณะในเกาะเมือง อยุธยา ๔. พระมหาธาตุวัดสมรโกฎ คือพระปรางค์วัดสมณโกฏ อยู่นอกเกาะเมือง อยุธยาด้านตะวันออก ๕. พระมหาธาตุวัดพุทไธสวรรค์ คือพระปรางค์วัดพุทไธสวรรค์ริมแม่น�้ำ เจ้าพระยาด้านทิศใต้นอกเกาะเมืองอยุธยา ปัจจุบันนี้พระมหาธาตุทั้ง ๕ แห่งของกรุงศรีอยุธยา ทุกองค์ยังปรากฏ ร่องรอยอยู่แม้ว่าบางองค์จะพังทลายลงไปเหลือแต่ชั้นฐานแล้วก็ตาม เฉพาะที่วัด พระราม วัดราชบูรณะและวัดพุทไธสวรรค์ยังปรากฏองค์พระปรางค์ที่ค่อนข้าง สมบูรณ์ ส่วนที่วัดมหาธาตุนั้นพระปรางค์ล้มลงเหลือชั้นฐานเมื่อราวต้นแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนที่วัดสมรโกฏนั้น องค์พระปรางค์ ทลายลงเหลือชั้นฐานเท่านั้น พระมหาเจดีย์๕ องค์ที่เป็นที่เคารพสักการะของคนอยุธยาได้แก่ ๑. พระมหาเจดีย์วัดสวนหลวงสบสวรรค์ ตั้งอยู่ที่วัดสวนหลวงสบสวรรค์ บริเวณทิศตะวันตกภายในเกาะเมือง ริมแม่น�้ำเจ้าพระยา เป็นวัดที่ตั้งอยู่ภายใน _20-0355(151-316)p3.indd 310 6/7/2563 BE 09:22


311 เขตพระราชวังหลัง ปัจจุบันคือเจดีย์ศรีสุริโยทัย ๒. พระมหาเจดีย์วัดขุนเมืองใจ วัดนี้ตั้งอยู่กลางเกาะเมืองอยุธยา ๓. พระมหาเจดีย์วัดเจ้าพระยาไทย ๔. พระมหาเจดีย์วัดภูเขาทอง ตั้งอยู่บริเวณทุ่งภูเขาทอง นอกเกาะเมือง อยุธยาด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ๕. พระมหาเจดีย์วัดใหญ ่ไชยมงคล ตั้งอยู ่นอกเกาะเมืองอยุธยาด้าน ตะวันออกเฉียงใต้ จะเห็นได้ว่าในสมัยอยุธยาวัดเจ้าพระยาไทยและวัดใหญ่ชัยมงคลเป็น คนละแห ่งกัน ซึ่งแต ่ละแห ่งมีพระมหาเจดีย์เป็นประธานของวัด ปัจจุบันมี ความเชื่อว ่าวัดเจ้าพระยาไทยและวัดใหญ ่ชัยมงคลเป็นวัดเดียวกัน และมี ความเชื่อว่าพระเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลนี้สร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร มหาราช หลังจากที่ทรงกระท�ำยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชแล้ว พระมหาพุทธปฏิมากรส�ำคัญ ๘ องค์ที่มีพุทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์คือ ๑. พระพุทธศรีสรรเพชญดาญาณ เป็นพระพุทธรูปยืน สูง ๘ วา หุ้มทองค�ำ ทั้งพระองค์อยู่ในพระมหาวิหารวัดพระศรีสรรเพชญ พระพุทธรูปองค์นี้หล่อขึ้น ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พระพุทธศรี สรรเพชญดาญาณช�ำรุดเสียหายเหลือแต่แกนใน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญแกนใน พระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ในพระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ วัด พระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ ๒. พระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหน้าตัก ๔ ศอก หล่อด้วย นากชมพูนุทอยู่ในพระมหาวิหารยอดปรางค์ปราสาท ในวัดพระศรีสรรเพชญ ปัจจุบันประดิษฐานในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ ๓. พระพุทธบรมไตรภพนาถ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องปางสมาธิ หน้าตักศอกคืบ หล่อด้วยทองค�ำทั้งองค์อยู่ในพระวิหารวัดพระศรีสรรเพชญ _20-0355(151-316)p3.indd 311 6/7/2563 BE 09:22


312 ปัจจุบันสูญหายไปแล้ว ๔. พระพุทธสยมภูวญาณโมฬีเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหน้าตัก ๑๖ ศอก หล่อด้วยทองเหลืองอยู่ในพระมหาวิหารยอดมณฑปในวัดสุมงคลบพิตร ปัจจุบันนี้ คือพระมงคลบพิตรในวิหารพระมงคลบพิตร ๕. พระพุทธบรมไตรโลกนารถศาสดาญาณ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตัก ๖ ศอก หล่อด้วยทองเหลืองอยู่ในวัดโคก นอกเกาะเมืองอยุธยา ปัจจุบัน สูญหายไปแล้ว ๖. พระพุทธเจ้าทรงนางเชิง มาจากค�ำว่าแพนงเชิง หมายถึง นั่งขัดสมาธิ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหน้าตัก ๑๐ ศอก อยู่ในพระวิหารวัดพระนางเชิง ปัจจุบันเรียกว่าวัดพนัญเชิง ๗. พระพุทธคันธารราษฎร์เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหน้าตักศอกหนึ่ง หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีพระพุทธานุภาพมากขอฝนให้ตกก็ได้ลอยน�้ำมาแต่ ปักษ์ใต้(หมายถึงเมืองบริเวณปากอ่าวไทย ได้แก่ สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม) อัญเชิญไว้ในวิหารวัดธรรมิกราช ในเกาะเมืองอยุธยา ด้านตะวันออกของพระราชวังหลวง ปัจจุบันสูญหายไปแล้ว ๘. พระพุทธจันทน์แดง (พระพุทธรูปไม้จันทน์แดง) ประดิษฐานอยู่ใน พระวิหารวัดพระศรีสรรเพชญ ปัจจุบันสูญหายไปแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกพระนครที่ผู้คนสมัยอยุธยากราบไหว้บูชาหรือเดินทาง ออกไปสักการบูชาเสมอคือ พระพุทธไสยาสน์วัดพระนอนจักรศรีจังหวัดสิงห์บุรี พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก พระพุทธไสยาสน์วัดขุนอินทประมูล ทั้ง ๒ องค์นี้อยู่ ในเขตเมืองอ่างทอง พระพุทธไสยาสน์วัดโพธิ์อรัญญิก พระประทมพระประโทน ปัจจุบันคือพระปฐมเจดีย์และพระประโทณเจดีย์จังหวัดนครปฐม รอยฝ่าพระ บรมพุทธบาทเขาสุวรรณบรรพต ปัจจุบันคือรอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และพระปัถวีเป็นพระบรมพุทธฉายที่เขาน้อยยางกรงปัจจุบันอยู่ใน วัดพระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรี (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) _20-0355(151-316)p3.indd 312 6/7/2563 BE 09:22


313 หนังสืออ้างอิง วินัย พงศ์ศรีเพียร (บรรณาธิการ). พรรณาภูมิสถานพระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ : ส�ำนักพิมพ์อุษาคเนย์, ๒๕๕๑. หนังสือสมุดไทย หนังสือสมุดไทยเป็นหนังสือไทยโบราณท�ำจากกระดาษที่คนไทยในสมัย ก่อนท�ำขึ้นใช้รองรับการเขียน เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายมีอยู่ตามธรรมชาติ สร้างขึ้นด้วยมือใช้สะดวกเหมาะสมแก่สภาพชีวิตของคนไทยและภูมิอากาศใน บ้านเมืองไทยอีกทั้งยังมีความคงทนถาวรอายุการใช้งานยืนยาว และปลอดภัย อย่างมากจากหนอนแมลงกัดกินท�ำลาย กระดาษที่ใช้ท�ำหนังสือสมุดไทยได้มาจากเปลือกต้นข่อยหรือต้นสาโดยน�ำ เปลือกข่อยหรือสามาฉีกให้เป็นชิ้นเล็กๆแช่น�้ำทิ้งไว้ประมาณ ๒ วัน ให้เปลือกนิ่ม แล้วน�ำไปคลุกกับปูนขาว จากนั้นน�ำไปนึ่งให้สุก แล้วหมักด้วยด่างที่ได้จาก น�้ำปูนขาวให้เปื่อย ใช้เวลาหมัก ๒ วัน ต่อจากนั้นจึงน�ำไปล้างให้สะอาดจน หมดด่าง เลือกเปลือกที่ขาวไว้ท�ำสมุดขาว แยกเปลือกสีน�้ำตาลเข้มหรือด�ำไว้ท�ำ สมุดด�ำ น�ำข่อยที่ล้างสะอาดแล้วไปทุบให้ละเอียดจนเป็นเยื่อ ใช้พะแนงหรือ พิมพ์หล่อแผ่นกระดาษ ซึ่งท�ำด้วยลวดตะแกรงตาถี่ หรือผ้ามุ้งขึงตึงด้วยกรอบ ไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางพะแนงลงในน�้ำนิ่งส่วนที่เป็นตะแกรงจะจมอยู่ใต้ผิวน�้ำ น�ำเยื่อข่อยที่ทุบละเอียดแล้วนั้นละลายน�้ำในครุไม้ไผ่ แล้วเทลงในพะแนงเกลี่ย ให้ทั่ว ยกพะแนงขึ้นจากน�้ำ เยื่อข่อยจะติดอยู่บนพื้นตะแกรงที่เป็นพิมพ์นั้น รีดด้วยไม้ซางให้น�้ำตกจนแห้งและเรียบ น�ำไปตากแดดแห้งสนิทแล้วลอกออกจะ ได้กระดาษแผ่นบาง ๆ เรียกว่ากระดาษเพลา เมื่อจะท�ำเล่มสมุดต้องเริ่มด้วยการลบกระดาษ ลบคือการทากระดาษ ด้วยแป้งเปียกผสมน�้ำปูนขาว ถ้าจะท�ำสมุดด�ำต้องผสมเขม่าไฟลงในแป้งเปียก ด้วยกระดาษที่จะท�ำเป็นเล่มสมุดบางมากต้องใช้แป้งเปียกทากระดาษซ้อนทับกัน _20-0355(151-316)p3.indd 313 6/7/2563 BE 09:22


314 หลายๆชั้น ให้เนื้อกระดาษหนามากพอที่จะใช้ท�ำสมุดได้กระดาษที่ลบแล้วต้อง ตากแดดให้แห้งสนิท แล้วน�ำมาขัดด้วยหินให้เรียบและขึ้นมัน จากนั้นจึงพับกลับไป กลับมาให้เป็นเล่มสมุดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยทั่วไปมีขนาดไม่เท่ากัน ขนาดเฉลี่ย อยู่ในระหว่างกว้าง ๑๐-๒๐ เซนติเมตร ยาว ๓๐-๖๐ เซนติเมตร จ�ำนวนหน้า ตามรอยพับมีระหว ่าง ๖-๖๐ หน้า หนังสือสมุดไทยมี๒ สีคือหนังสือ สมุดไทยด�ำ และหนังสือสมุดไทยขาว ใช้เขียนหนังสือได้๒ ด้าน ด้านแรกเรียก หน้าต้น อีกด้านหนึ่งเรียกหน้าปลาย คนไทยโบราณรู้จักท�ำกระดาษใช้ประโยชน์เพื่อการเขียน หรือบันทึก เรื่องราวเมื่อใดยังไม่ปรากฏหลักฐาน ปัจจุบันพบหลักฐานหนังสือสมุดไทยเก่า ที่สุดอยู่ในช่วงสมัยอยุธยาตอนกลางคือ หนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๒๒๓ หนังสือสมุดไทย ใช้บันทึกได้ทั้งลายลักษณ์อักษรและภาพด้วยกรรมวิธี เขียนหรือชุบค�ำว่าชุบเป็นค�ำโบราณใช้เรียกอักษรที่เขียนด้วยหมึก หรือสีว่าเส้นชุบ ซึ่งหมายถึงการใช้ปากกาหรือพู่กันจุ่มสีหรือหมึกเขียน ภาพซึ่งเขียนประกอบ อยู ่ในหนังสือสมุดไทยมีทั้งภาพเล ่าเรื่องและภาพประกอบเรื่อง เกี่ยวกับ พระพุทธศาสนาเช่น หนังสือสมุดภาพเรื่องไตรภูมิและสมุดพระมาลัย ภาพเขียน ในสมุดไทยเหล่านี้เป็นงานจิตรกรรมไทยประเพณีภาพเขียนในสมุดพระมาลัย นิยมเขียนภาพขนาบอยู่สองข้างตัวหนังสือ งานจิตรกรรมในหนังสือสมุดไทย ล้วนเป็นมรดกศิลปวัฒนธรรมอันหาดูได้ยาก ทรงคุณค่าทั้งในด้านความงามของ เส้น สีและความหมายของภาพ (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) _20-0355(151-316)p3.indd 314 6/7/2563 BE 09:22


315 หมายรับสั่ง หมายรับสั่งคือเอกสารราชการประเภทหนึ่ง บันทึกกระแสพระราชด�ำรัส พระเจ้าแผ่นดิน ปัจจุบันพบเป็นเอกสารโบราณประเภทหนังสือสมุดไทย มี หลักฐานเก่าที่สุดอยู่ในสมัยธนบุรีและมีสืบมาอีกในสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑-๕ ปัจจุบันเอกสารดังกล่าวเก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติกรุงเทพฯ ค�ำว่า หมายรับสั่ง หมายถึง พระบรมราชโองการของพระเจ้าแผ่นดินที่ สั่งให้ข้าราชการปฏิบัติงานราชการอันเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ เพื่อการเสด็จประพาส หรือเสด็จพระราชด�ำเนินทรงเป็นประธานในพระราชพิธี ต่าง ๆ โดยมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่รับสนอง พระบรมราชโองการไปสั่งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องให้จัดท�ำหมายสั่งไปยังหน่วยงาน ต่างๆให้ทราบหน้าที่และปฏิบัติงานให้ส�ำเร็จลุล่วงไปโดยเรียบร้อย มีรายละเอียด ปรากฏในหนังสือสาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๒ พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกไว้ว่า การกะเกณฑ์กระบวนแห่เสด็จตามประเพณีแต่โบราณมา มีหลัก ดังนี้คือ พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จไปไหนด�ำรัสสั่งเจ้ากระทรวงวัง หรือถ้าเป็น การด่วน ก็ด�ำรัสสั่งมหาดเล็กหรือใครอื่นที่อยู่รับใช้ใกล้พระองค์ เป็น “ผู้รับรับสั่ง”ไปบอกกระทรวงวังเจ้าพนักงานกระทรวงวังเขียนบัตรหมาย เรียกว่า “หมายรับสั่ง” ส่งไปยังกระทรวงมหาดไทยหัวหน้าฝ่ายพลเรือน ฉบับ ๑ กระทรวงกลาโหมหัวหน้าฝ่ายทหารฉบับ ๑ กระทรวงทั้งสองนั้น แยกรายการตามหน้าที่กรมต่างๆเขียนบัตรหมายย่อยเรียกว่า“ตัดหมาย” สั่งกะเกณฑ์ไปยังกรมนั้น ๆ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหม เมื่อรับหมายรับสั่งแล้วจะมี เจ้าหน้าที่คือ หัวพัน กับ นายเวร เป็นพนักงานตัดหมาย และออกหมายย่อย กระทรวงละ ๔ เวร ก�ำหนดหน้าที่ต่างกันดังนี้ _20-0355(151-316)p3.indd 315 6/7/2563 BE 09:22


316 กระทรวงมหาดไทย มีพันพาณุราชเป็นหัวหน้า, นายแกว่นคชสารนายเวร เป็นพนักงานสั่งเกณฑ์ช้าง, พันเภาอัศวราชกับนายควรรู้อัศวเป็นพนักงานสั่ง เกณฑ์ม้า, พันจันทนุมาศกับนายช�ำนาญกระบวนเป็นพนักงานสั่งส�ำหรับท�ำทาง (ท�ำถนน), พันพุฒอนุราชกับนายรัดตรวจพลเป็นพนักงานสั่งเกณฑ์คน กระทรวงกลาโหม พันอินทราชกับนายฤทธิรงอาวุธเป็นพนักงานสั่งจ่าย เรื่องสรรพยุทธ(สรรพอาวุธ), พันพรหมราชกับนายบริบาลบรรยงเป็นพนักงาน สั่งจ่ายเรือ, พันทิพราชกับนายวิสุทธมณเฑียรเป็นพนักงานสั่งท�ำต�ำหนัก พลับพลา และฉนวนน�้ำ, พันเทพราชกับนายจ�ำเนียรสารพลเป็นพนักงานสั่งเกณฑ์คน (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) _20-0355(151-316)p3.indd 316 6/7/2563 BE 09:22


_20-0355 �����.indd 1 9/7/2563 BE 13:42


_20-0355 �����.indd 2


9/7/2563 BE 13:42


_20-0355 �����.indd 3


9/7/2563 BE 13:42


_20-0355 �����.indd 4


9/7/2563 BE 13:42


จัดพิมพ์เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๓นานาสาระไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา นานาสาระไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา จัดพิมพ์เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๓ _20-0355 cover2.3cm.indd 1 9/7/2563 BE 13:33


Click to View FlipBook Version