The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเผยแพร่หนังสือที่ระลึกเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ธีรวัฒน์ อินทรีย์, 2023-03-27 10:10:40

นานาสาระไทย

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเผยแพร่หนังสือที่ระลึกเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์

Keywords: นานาสาระไทย

131 วิมาย-พิมาย วิมาย หรือ พิมายเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันหลายอย่าง เมื่อแรกใช้เป็นชื่อเมือง ปรากฏหลักฐานในจารึกที่สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ใช้เป็นชื่อ เมืองว่าวิมายปุระ เป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีล�ำน�้ำหลาย สายล้อมอยู่โดยรอบ ได้แก่ล�ำน�้ำมูลไหลอ้อมไปด้านทิศตะวันออกผ่านทิศเหนือ เลยไปถึงทิศตะวันตก ด้านทิศเหนือมีล�ำน�้ำจักราชมาบรรจบกับล�ำน�้ำมูล ด้าน ทิศใต้มีล�ำน�้ำเค็ม เป็นสาขาแยกจากล�ำน�้ำจักราชที่วังหิน ไหลไปบรรจบกับ ล�ำน�้ำมูลที่อ�ำเภอชุมพวง และมีล�ำปลายมาศไหลมารวมกับล�ำน�้ำมูลที่อ�ำเภอ นี้ด้วย เมืองพิมายในสมัยโบราณเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นศูนย์กลางการคมนาคมระหว่างภูมิภาคทั้งทางน�้ำ และทางบก บริเวณกลางเมืองพิมายมีปราสาทหินขนาดใหญ ่ ปัจจุบันเรียกชื่อว ่า ปราสาทหินพิมาย สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ในสมัยวัฒนธรรม เขมรโบราณ เป็นศาสนสถานตามคติพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งได้มีการ สร้างเสริมเพิ่มแต่งเป็นระยะ ๆ สืบต่อมา ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ และ ๑๘ ค�ำว่า วิมาย นี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงกล่าวไว้ในสาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๖ พิมพ์พ.ศ. ๒๕๐๕ ว่า “เมื่อได้ปรารภกับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถึงชื่อปราสาทพิมายนั้น ท่านเห็นว่าไม่มีที่สงสัยเลย ค�ำพิมายนั้น เปนนามพระพุทธเจ้าตรงทีเดียว คือวิมายา ผู้ไม่มีมายา” ปราสาทหินพิมายจัดเป็นพุทธสถานที่ส�ำคัญแห่งหนึ่ง มีก�ำแพงสี่เหลี่ยม ล้อมรอบ มีประตูซุ้ม ๔ ทิศ ด้านหน้าปราสาทหันไปสู่ถนนที่ตัดผ่านซึ่งตรงกับ ทิศใต้ต่างกับปราสาทหินแห่งอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยเดียวกัน ซึ่งนิยมหันหน้า ไปทางทิศตะวันออกเสมอ เนื่องจากปราสาทหินพิมายมีระยะการสร้างและ ปรับปรุงเพิ่มเติมเสริมแต่งเป็นระยะเวลายาวนาน จึงมีหลักฐานร่องรอยงาน ศิลปกรรมหลายรูปแบบหลายสมัย นับว่าเป็นโบราณสถานที่มีความส�ำคัญและ น่าสนใจศึกษาอย่างยิ่ง _20-0355(001-150)p3.indd 131 6/7/2563 BE 09:22


132 เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่๒ กรมหมื่นเทพพิพิธพระราชโอรสของสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศครองกรุงศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. ๒๒๗๖-๒๓๐๑ ได้ตั้งตัว เป็นใหญ่ขึ้นที่เมืองพิมายเรียกกันทั่วไปว่าชุมนุมเจ้าพิมายและได้ขยายพื้นที่ออก ไปยังหัวเมืองใกล้เคียงกลายเป็นชุมชนใหญ่ มีเมืองพิมายเป็นศูนย์กลางจนเมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชประกาศอิสรภาพ ตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงแล้ว ยกทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพิมายเพื่อรวบรวมบ้านเมืองให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปัจจุบัน พิมายเป็นชื่ออ�ำเภอที่ส�ำคัญอ�ำเภอหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมา เป็นเมืองเก่าที่มีโบราณสถานหลายแห่ง เช่น ปราสาทหินพิมาย เมรุพระเจ้า พรหมทัต ท่านางสระผม ประตูเมืองเก่าอโรคยศาลา มีการจัดแสดงโบราณวัตถุ ไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย และเป็นชื่อเขื่อนกั้นแม่น�้ำมูลที่คุ้งไทรงาม เพื่อระบายน�้ำและทดน�้ำเข้าคลองซอยตามโครงการทุ่งสัมฤทธิ์ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ พุทธศักราช ๒๔๘๒ จนส�ำเร็จทั้งโครงการเมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๑ (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) หนังสืออ้างอิง ธิดา สารยา. เมืองประวัติศาสตร์ เมืองพิมาย เขาพระวิหาร เมืองอุบล เมืองศรีสัชชนาลัย. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์, ๒๕๓๘. นริศรานุวัตติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา และสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ.สาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๖. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๕. สุภัทรดิศ ดิศกุล, หม่อมเจ้า.“พิมาย”ในสารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๒๑. กรุงเทพฯ : ไทยมิตรการพิมพ์, ๒๕๓๐. _20-0355(001-150)p3.indd 132 6/7/2563 BE 09:22


133 ศรกามเทพ กามเทพเป็นเทพแห่งความรักและได้ชื่อว่ารูปงาม จึงมักถูกน�ำมาเปรียบกับ มนุษย์ผู้มีรูปร่างงดงามหล่อเหลา เช่น ในวรรณคดีไทยเรื่องพระนลค�ำฉันท์ ก็เปรียบพระนลว่างามราวกับกามเทพ คัมภีร์ศิวะปุราณะ พรรณนารูปร่างของกามเทพไว้ว่าพระองค์มีผิวสีทอง อกกว้างใหญ่แข็งแรงจมูกงาม ต้นขาสะโพกและน่องกลมอวบสมบูรณ์ผมหยิก เป็นคลื่นมีสีด�ำ คิ้วดกหนาไหวระริก ใบหน้าสดใสประดุจพระจันทร์วันเพ็ญ มีขนที่หน้าอกอันกว้างใหญ่ราวกับประตูร่างกายใหญ่โตเหมือนกับช้างเอราวัณ สวมพัสตราภรณ์สีน�้ำเงิน มือ นัยน์ตาขาและนิ้วมีสีแดง เอวบาง ฟันงาม มีกลิ่น เช่นเดียวกับช้างที่ตกมัน ดวงตางามดังกลีบบัวบาน พระองค์มีความหอมเหมือน เกสรดอกบัว คอประดุจหอยสังข์ มีเสียงไพเราะ กามเทพเป็นเทพที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้น�ำความรักมาสู่คู่รัก ศรซึ่งเป็นอาวุธ ของพระองค์มีอานุภาพสร้างความรักให้เกิดขึ้นได้ปรากฏบทสวดบทหนึ่งใน คัมภีร์อถรรพเวทที่ใช้สรรเสริญกามเทพในพิธีแต่งงานของชาวฮินดูว่า ขอพระกามเทพทรงเล็งศรของพระองค์ที่มีความเจ็บปวดติดไว้ที่ปีกของศร มีความต้องการเป็นลูกศร มีความปรารถนาเป็นคันศร จงทิ่มแทงหัวใจ ท่านด้วยศรที่เล็งอย่างดีแล้วของพระองค์ซึ่งกระท�ำให้ความโกรธเหือดหาย ข้าพเจ้าขอยิงตรงหัวใจของท่าน ที่มาของศรกามเทพปรากฏเรื่องในคัมภีร์ศิวะปุราณะคือ เมื่อกามเทพ ทูลถามพระพรหมถึงหน้าที่ของตน พระพรหมตอบว่าหน้าที่ของกามเทพคือ สร้างสรรค์ให้หญิงชายรักใคร่กัน โดยใช้อาวุธคือลูกศร ๕ ดอก และประทานพร ให้กามเทพเป็นผู้สร้างความรักให้เกิดขึ้นในโลกโดยไม่มีผู้ใดทานพลานุภาพของ ศรได้ลูกศรกามเทพจะมีดอกไม้ติดอยู่ที่ปลายศรทั้ง ๕ ได้แก่ ๑. ดอกบัวขาว หมายถึงความบริสุทธิ์สดชื่น คือความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ ของผู้มีความรัก _20-0355(001-150)p3.indd 133 6/7/2563 BE 09:22


134 ๒. ดอกอโศก มีสีแดงสดใสเป็นสารที่กระตุ้นจิตใจของผู้มีความรัก ๓. ดอกมะม่วง มีกลิ่นหอม ท�ำให้จิตใจสดชื่น ๔. ดอกมะลิมีกลิ่นหอม สีขาวบริสุทธิ์แต่ช�้ำง่าย เสมือนความรักที่ต้อง อาศัยการถนอมน�้ำใจกันและกัน ๕. ดอกบัวสีน�้ำเงิน แสดงถึงความอดทนในความรัก ผู้ใดที่ต้องศรกามเทพนี้ย่อมมีความยินดีความเบิกบาน ความลุ่มหลง กระวนกระวายใจเหมือนถูกไฟเผา ประหนึ่งตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ดังที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ มีพระบรมราชาธิบายเรื่อง ดอกไม้ของกามเทพไว้ว่า จินตกวีทุกชาติทุกภาษามักนิยมเปรียบเทียบดอกไม้ด้วยลูกศรของ กามเทพที่อังกฤษเรียกคิวปิด เพราะใคร ๆ ก็ย่อมจะสังเกตอยู่แล้วว่า ดอกไม้เป็นเครื่องช่วยบ�ำรุงรสรักได้อย่างหนึ่งเป็นแน่นอน ฉะนั้น เมื่อ สมมติตัวเจ้ารักขึ้นแล้ว กวีจึงคิดต่อว่าอาวุธของเจ้ารักต้องเป็นศรดอกไม้ เมื่อยิงไปยังผู้ใดแล้วท�ำให้เกิดความชื่นใจ (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) หนังสืออ้างอิง มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ปริยทรรศิกา.กรุงเทพฯ:องค์การค้า ของคุรุสภา, ๒๕๐๕. สุมาลีอุดมพงษ์. กามเทพในวรรณคดีสันสกฤต. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร มหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาตะวันออกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓. สลัดได-กระล�ำพัก สลัดได กับ กระล�ำพัก เกี่ยวข้องกัน พจนานุกรมทุกเล่มที่มีค�ำว่า สลัดได ให้ความหมายไว้ท�ำนองเดียวกันว่าสลัดไดเป็นชื่อต้นไม้เช่น พจนานุกรม ฉบับ _20-0355(001-150)p3.indd 134 6/7/2563 BE 09:22


135 ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายของค�ำ สลัดไดว่าเป็นชื่อไม้พุ่ม หลายชนิด ต้นเป็นเหลี่ยม มีหนาม ไม่มีใบ เช่น สลัดไดเขา สลัดไดป่า ส่วนที่ใช้ ท�ำยาได้เรียกว่า กระล�ำพัก ค�ำว่า สลัดได ที่ปรากฏในวรรณคดีก็เป็นชื่อต้นไม้เช่น ในลิลิตเตลงพ่าย พระมหาอุปราชาคร�่ำครวญถึงนางที่รักว่า สลัดไดไดสลัดน้อง แหนงนอน ไพรฤๅ เพราะเพื่อมาราญรอญ เศิกไส้ สละสละสมร เสมอชื่อ ไม้นา นึกระก�ำนามไม้ แม่นแม้นทรวงเรียม ส่วนค�ำว่ากระล�ำพัก พจนานุกรมทุกเล่มที่มีค�ำว่ากระล�ำพักให้ความหมาย ไว้ท�ำนองเดียวกันว่า กระล�ำพักเป็นชื่อแก่นไม้หอม เช่น อักขราภิธานศรับท์ ให้ความหมายว่า“กะล�ำภัก,แก่นไม้หอมอย่างหนึ่ง, เกิดในต้นไม้ที่ไม่เคยมีแก่น, ใช้ท�ำอยาบ้าง เผาไฟหอม.” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า กระล�ำพักเป็นส่วนของเนื้อไม้ซึ่งมีสีด�ำ ๆเกิดในต้นสลัดไดป่าและต้นตาตุ่มทะเล กลิ่นหอมอ่อน รสขม ใช้ท�ำยาได้ ตาม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน กระล�ำพักเป็นแก่นไม้หอม ที่ได้จากต้นสลัดไดป่า คนไทยรู้จักกระล�ำพักที่เป็นแก่นไม้หอมนี้มานานแล้ว ปทานุกรมพรรณไม้ในต�ำนานเมือง กล่าวว่า กระล�ำพักเป็นของบรรณาการ อย่างหนึ่งที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชส่งไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่ง กรุงฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘ ในบันทึกของทางราชการฝรั่งเศสกล่าวว่าแก่นไม้ ชนิดนี้หายากนัก มีแต่เฉพาะในป่าใกล้เมืองญวน เป็นแก่นไม้ที่มีราคาแพงที่สุด กลิ่นหอมกว่าไม้อย่างอื่น ถ้าไม้นี้เก่าจนกลิ่นหมดแล้ว เอาลงแช่ในน�้ำเดือด สักครู่หนึ่งแล้วเอาผ้าชุบน�้ำร้อนห่อไว้ในไม่ช้าไม้จะมีกลิ่นหอมดังเดิมและอ่อนนุ่ม ดั่งขี้ผึ้ง เหตุที่แก่นไม้นี้มีราคาแพงมากเพราะเกิดแต่กลางใจต้นไม้และเป็นท่อน _20-0355(001-150)p3.indd 135 6/7/2563 BE 09:22


136 เล็ก ๆ เมื่อจะหากระล�ำพักจึงต้องฟันต้นไม้อันเป็นที่เกิดของมันหลาย ๆ ต้น นาน ๆ จึงจะได้พบกระล�ำพักในต้นไม้สักต้นหนึ่ง หนังสือเมืองไทยในทัศนะของฝรั่งก็อ้างถึงบันทึกรายงานของยอร์ชไวท์ พ่อค้าชาวอังกฤษ เกี่ยวกับกิจการค้าขายในกรุงศรีอยุธยาสมัยแผ่นดินสมเด็จ พระนารายณ์มหาราชไว้มีความว่า “ในครั้งนั้น เมืองไทยกับเมืองญวนติดต่อ ค้าขายกันอย่างใกล้ชิด กษัตริย์เมืองญวนได้จัดส่งเรือค้าขายบรรทุกสินค้ามี ทองค�ำกับกล�ำพักเป็นต้น กล�ำพักเป็นไม้ที่นิยมใช้กันมากในเมืองญี่ปุ่น ถ้าได้ บรรทุกส่งต่อออกไปยังเมืองญี่ปุ่น จะจ�ำหน่ายได้ราคาสูงขึ้นเป็น ๒-๓ เท่า” แก่นไม้หอมที่เรียกว่ากระล�ำพักนี้คนไทยใช้เป็นส่วนผสมของยาหลาย ต�ำรับ เช่น ยาชื่อกัลยาทิคุณ แก้ตานโจร (ตานขโมย) อันกระท�ำให้เชื่อมมึน (มีอาการซึมนัยน์ตาปรือไม่กระปรี้กระเปร่า) และกินอาหารไม่ได้ยาชื่อทอง แนบเนื้อแก้เด็กดูดนมไม่ได้กินข้าวไม่ได้ยาชื่อมหาไชยวาตแก้ลมทั้งปวงยานัตถุ์ ชื่อสาวกัลยาณีแก้ลมจับ ปวดศีรษะ ตาแดง ตาฟาง ในพระคัมภีร์สรรพคุณ กล่าวว่า กระล�ำพักมีรสขมหวานเย็นมัน แก้ตรีสมุฏฐาน (สมุฏฐาน ๓ อย่าง คือ ดีเสมหะ ลม) แก้โลหิตโทษ (เลือดเป็นพิษ) และพระคัมภีร์มหาโชตรัต กล่าวถึงยาที่บ�ำรุงโลหิต มีกระล�ำภักเป็นส่วนผสมอย่างหนี่ง ส่วน สลัดได ซึ่งเป็นที่มาของกระล�ำพักก็ใช้เป็นส่วนผสมของยาได้เช่น ใช้ต้มรวมกับสมุนไพรอีก ๔๘ สิ่งแก้ตับพิการยาหลายต�ำรับ เช่น ยาพรหมภักตร์ ยาชื่อมหาพรหมภักตร์ยาชื่อมหิทธิพรหมภักตร์ต้องมียางสลัดไดประสะแล้ว เป็นส่วนผสม วิธีประสะยางสลัดได คือ ท�ำให้ยางสลัดไดสะอาดนั้น ท่านให้เอา ยางใส่ในถ้วยหรือชามแล้วต้มน�้ำให้เดือด รินใส่ลงในถ้วยหรือชามนั้น แล้วกวน ถ้าน�้ำนั้นเย็นก็ให้รินน�้ำออกเอาน�้ำร้อนเติมลงอีกกวนไปกว่ายางนั้นจะสุกทั่วกัน เมื่อยางนั้นสุกดีแล้ว ให้รินน�้ำออกเป็นใช้ได้ เห็นได้ว่า ทั้งกระล�ำพักและสลัดไดใช้ท�ำยาได้แต่ใช้เป็นส่วนผสมของยา ต่างชนิดกัน มีปัญหาเกี่ยวกับกระล�ำพักอย่างหนึ่ง คือ โดยทั่วไปกระล�ำพักเป็น _20-0355(001-150)p3.indd 136 6/7/2563 BE 09:22


137 แก่นไม้แต่ในวรรณคดีบางเรื่อง กระล�ำพักหรือบางทีเรียกสั้น ๆ ว่า ล�ำพัก เป็น ต้นไม้เช่น บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย ตอนท้าวกุเรปันยกทัพไปกรุงดาหา มีว่า กระลุมพูจู่จับกระล�ำพัก เขาไฟไข่ฟักฟุบอยู่ ยางย่องมองมาริมสินธู ปักหลีกปีกลู่ลงกินปลา และนิทานค�ำกลอนเรื่อง พระอภัยมณีของสุนทรภู่ตอนนางสุวรรณมาลี ข้ามไปเมืองลังกา มีว่า พฤกษาดอกออกช่อลอออ่อน แย้มเกสรภู่ผึ้งหึ่งหึ่งเสียง ที่จอมเขาสาวหยุดพุดพุมเรียง ล�ำพักเคียงขอนดอกออกระย้า นอกจากนั้น แบบเรียนพรรณนาพฤกษาและสัตวาภิธาน ของพระยา ศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ก็จัดให้กระล�ำพักอยู่ในหมู่ไม้ในแม่กก ดังกาพย์ต่อไปนี้ กระบากต้นกระบก กะทกรกเข้าระคน ไม้หมากบุนนาคปน กระล�ำภักต้นรักลา กระล�ำพักที่เป็นชื่อต้นไม้นี้น่าจะถือได้ว่าเป็นอีกชื่อหนึ่งของต้นสลัดไดป่า บทความเรื่องต้นไม้ในวรรณคดีจากวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณีกล่าวถึง กระล�ำพักว่า เป็นต้นไม้จ�ำพวกกระบองเพชร แตกหนามตามต้น ล�ำต้นสี่เหลี่ยม มีดอกสีแดง ๆ ตามครีบ ขึ้นตามป่า โขดเขา และตามชายทะเล เมื่อต้นแก่ราว ๑๐ ปีถ้าต้นตายผ่าดูจะพบแก่นสีด�ำที่เรียกว่า“กระล�ำพัก” มีรสขมและมีกลิ่น หอม ราคาแพง ลักษณะของต้นกระล�ำพักดังกล่าวนี้ก็คือลักษณะของต้นสลัดไดป่านั่นเอง (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) _20-0355(001-150)p3.indd 137 6/7/2563 BE 09:22


138 หนังสืออ้างอิง ธวัชรัตนาภิชาติ. เมืองไทยในทัศนะของฝรั่ง. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางเพิ่ม สุมาวงศ์ณ สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาส พระนคร วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๗. ปทานุกรมส�ำหรับนักเรียน. พระนคร : กรมต�ำรา กระทรวงธรรมการ, ๒๔๗๒. ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ. ลิลิตเตลงพ่าย. พิมพ์ ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : บรรณาคาร, ๒๕๑๕. พุทธเลิศหล้านภาลัย, พระบาทสมเด็จพระ. บทละครเรื่องอิเหนา. พระนคร : คลังวิทยา, ๒๕๐๖. ๒ เล่ม. แพทยศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรม ของชาติ.กรุงเทพฯ:สถาบันภาษาไทยกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๒. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์, ๒๕๕๖. ศรีสุนทรโวหาร,พระยา. ภาษาไทยของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร). พิมพ์ครั้งที่ ๓. พระนคร : แพร่พิทยา, ๒๕๑๔. สังข์ พัธโนทัย. ปทานุกรมพรรณไม้ในต�ำนานเมือง. ม.ป.ท., ม.ป.ป. สุนทรภู่ (นามแฝง). พระอภัยมณี. พระนคร : คลังวิทยา, ๒๕๐๖. อักขราภิธานศรับท์ ของหมอปรัดเล. พระนคร:องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๔. อุดม พินิจสารภิรมย์. “ต้นไม้ในวรรณคดีจากวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณี” ใน ต้นไม้ในวรรณคดีพระอภัยมณี. กรุงเทพฯ : กองสวนสาธารณะ ส�ำนักสวัสดิการสังคม, ๒๕๑๗. _20-0355(001-150)p3.indd 138 6/7/2563 BE 09:22


139 สะเทิน-สะเทิ้น ค�ำว่าสะเทินปรากฏในค�ำ พระมาลาเส้าสะเทิน หนังสือราชาศัพท์ ฉบับ ราชบัณฑิตยสถานบอกความหมายและการใช้พระมาลาเส้าสะเทินไว้ในหน้า ๒๐๙ ดังนี้ ๙. พระมาลาเส้าสะเทิน เครื่องราชศิราภรณ์ลักษณะเป็นอย่างหมวก ทรงกระบอก ปีกกว้างโดยรอบ เฉพาะปีกข้างซ้ายพับตลบขึ้น ท�ำด้วย สักหลาด พระมาลาเส้าสะเทินนี้มีหลายองค์แต่ละองค์สีต่างกันตามสี ประจ�ำวันทั้ง ๗ หลังพระมาลาประดับด้วยยอดทองค�ำรูปพระเกี้ยวยอด หรือจุลมงกุฎ รอบขอบพระมาลารัดด้วยมาลัยรักร้อยมีกระจังเชิงชายและ ประดับหลังมาลัยรักร้อยโดยรอบ ด้านซ้ายพระมาลาปักพระยี่ก่าทองค�ำ เสียบขนนกการเวกขอบปีกพระมาลาขลิบลวดทองค�ำ อนึ่งเครื่องประดับ พระมาลาเส้าสะเทินนี้ทุกองค์ท�ำด้วยทองค�ำจ�ำหลักลายลงยาราชาวดี ประดับอัญมณีสีตามสีพระมาลาแต่ละองค์ พระมาลาเส้าสะเทินนี้ยังเนื่องกับธรรมเนียมส�ำหรับอิสริยศักดิ์ของบุคคล ที่พึงใช้คือ พระมาลาสีแดง ส�ำหรับพระมหากษัตริย์ พระมาลาสีเหลือง ส�ำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า พระมาลาสีชมพูส�ำหรับเจ้านายทรงกรมชั้นกรมพระยา กรมพระ และ กรมหลวง พระมาลาสีด�ำ ส�ำหรับเจ้านายทรงกรมชั้นกรมขุน และกรมหมื่น อนึ่ง พระมาลาเส้าสะเทินนี้บางทีเรียกว่า “พระมาลาทรงประพาส” ชื่อพระมาลาเส้าสะเทิน น่าจะมาจากลักษณะของพระมาลาที่“ปีกข้างซ้าย พับตลบขึ้น” ทั้งนี้เพราะสะเทินแปลว่า ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ดังพจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายของ สะเทิน ไว้อย่างหนึ่งว่า _20-0355(001-150)p3.indd 139 6/7/2563 BE 09:22


140 สะเทิน ๑ ว. ครึ่ง ๆ กลาง ๆ, ก�้ำกึ่ง, เช่น สาวสะเทิน คือ เพิ่งจะขึ้นสาว หรืออยู่ในระหว่างสาวกับเด็กก�้ำกึ่งกัน. สะเทินน�้ำสะเทินบกว. ที่อยู่ได้หรือปฏิบัติการได้ทั้งในน�้ำและ บนบกเช่น การรบสะเทินน�้ำสะเทินบกเรือสะเทินน�้ำสะเทินบก เครื่องบินสะเทินน�้ำสะเทินบก, เรียกสัตว์จ�ำพวกที่อยู่ได้ทั้งในน�้ำ และบนบก เช่น กบ คางคก อึ่งอ่าง ว่า สัตว์สะเทินน�้ำสะเทิน บก. ค�ำว่า สะเทินน�้ำสะเทินบก บางทีก็มีผู้พูดว่า สะเทิ้นน�้ำสะเทิ้นบก เช่น พูดว่ากบเป็นสัตว์สะเทิ้นน�้ำสะเทิ้นบกแต่ค�ำว่าสะเทิ้นพจนานุกรมฯให้ความหมาย ต่างออกไปว่า “ก. แสดงกิริยาวาจาอย่างขัด ๆ เขิน ๆ เพราะรู้สึกขวยอาย (มักใช้แก่หญิงสาว)...” อันที่จริง ค�ำว่า สะเทิน กับ สะเทิ้น เดิมน่าจะเป็นค�ำเดียวกัน ในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัว ใช้ค�ำว ่าสะเทินและสะเทิ้น ใน ความหมายท�ำนองเดียวกัน เช่น ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒ มีค�ำว่า นาสเทินน�้ำ และที่สเทินน�้ำ ดังนี้ ๑ ...พระยาชลบูรานุรักษ์ได้ให้กรมการก�ำนันออกตรวจดูราษฎร แขวงเมืองชลบุรีย นาที่หลุ้มที่น�้ำขังฦกแปดนิ้วเก้านิ้ว นาสเทินน�้ำฦกห้านิ้ว หกนิ้ว นาที่ดอน สองนิ้ว สามนิ้ว... ๒ ...ที่ดอนที่เสทินน�้ำขังท้องนาประมาณศอกคืบ ต้นเข้า [ข้าว] ออกกองามดีเปนเข้าใหญ่น�้ำไม่ท่วมได้... แต่ในจดหมายเหตุเสด็จพระราชด�ำเนิรประพาศทวีปยุโรป ครั้งที่๒เล่ม๑ มีค�ำว่า เกวียนสเทิ้น ในข้อความว่า “ทางลุ่ม ๆดอน ๆ มีเนินลาดๆเปนไร่สวน แลป่าไม้สลับกันไป เกวียนขนฟืนที่นี่ท�ำคล้ายเกวียนสเทิ้นที่ใช้ในประเทศสยาม” นาสเทินน�้ำ และที่สเทินน�้ำ น่าจะหมายถึงนาและที่ดินที่ก�้ำกึ่งระหว่างที่ลุ่ม และที่ดอน ส่วนเกวียนสเทิ้นน่าจะหมายถึงเกวียนที่แล่นได้บนทางลุ่ม ๆดอน ๆ _20-0355(001-150)p3.indd 140 6/7/2563 BE 09:22


141 ความหมายของสเทินและสเทิ้นไม่ต่างกัน เมื่อดูพจนานุกรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ก็พบว่า อักขราภิธานศรับท์เก็บแต่ค�ำว่า สะเทิน ให้ความหมายไว้ว่า สะเทิน, คือคนสื่อฤๅรุ่นหนุ่มรุ่นสาว, ผู้ชายที่สื่อรุ่นหนุ่มผู้หญิงสื่อรุ่นสาว ขึ้นนั้น. สะเทินใจ, คือใจกะดาก, เช่น คนลอบลักพูจเกี้ยวเมียเขา, ผู้นั้นภบผัว เข้าก็มีใจกระดากนั้น. สะเทินหนุ่ม, คือสื่อหนุ่ม, คนฤๅสัตวที่มันสื่อถึกเถลิงหนุ่มสาวขึ้นนั้น. ส่วน สัพะ พะจะนะ พาสาไท และศริพจน์ภาษาไทย์มีทั้งค�ำว่า สะเทิน และ สะเทิ้น แต่ให้ความหมายกลับกับปัจจุบัน คือ ค�ำว่า สะเทิน หมายถึง อาย สาวสะเทิ้น หมายถึง คนรุ่นสาว เห็นได้ว่า เราใช้ค�ำว่า สะเทิน กับ สะเทิ้น สับสนกันมานานแล้ว (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) สันนิบาต ค�ำว่า สันนิบาต พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ถือว่า เป็นค�ำ ๒ ค�ำ ค�ำหนึ่งหมายความว่า การประชุม, ที่ประชุม เช่น สังฆสันนิบาต สันนิบาตชาติค�ำว่า สันนิบาต ค�ำนี้หมายถึง งานชุมนุม ก็ได้เช่น รัฐบาลจัด งานสโมสรสันนิบาตที่ท�ำเนียบรัฐบาล ค�ำว่า สันนิบาตอีกค�ำหนึ่ง ใช้เป็นค�ำเรียกไข้ชนิดหนึ่ง มีอาการสั่นเทิ้ม ชักกระตุกและเพ้อ พจนานุกรมฯให้ตัวอย่างไข้สันนิบาตไว้๒ ค�ำ คือไข้สันนิบาต ลูกนก และไข้สันนิบาตหน้าเพลิง ไข้สันนิบาตลูกนก หนังสือศัพท์แพทย์ไทย ของส�ำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอก ความหมายว่า “อาการสั่นหลังจากเป็นไข้โดยเริ่มที่แขนขา” ส่วน ไข้สันนิบาต หน้าเพลิงเกิดแก่หญิงบางคนที่คลอดลูกแล้วนอนบนกระดานไฟ เป็นไข้มีอาการ หลายอย่างเช่น ตาลายกระหายน�้ำ ขอบตาด�ำ ปากแข็งตัวร้อนจัด หัวใจเต้นแรง _20-0355(001-150)p3.indd 141 6/7/2563 BE 09:22


142 น�้ำคาวปลาตกเหม็นประดุจศพ ตามตัวปรากฏเม็ดแดงๆ พอเห็นรางๆใต้ผิวหนัง ถ้าไม่รีบรักษา อาจตายภายใน ๖ ถึง ๑๒ ชั่วโมง ค�ำว่า สันนิบาต ๒ ค�ำนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงค�ำพ้องเสียงไม่เกี่ยวข้อง กัน แต่อันที่จริงเป็นค�ำเดียวกัน มาจากค�ำบาลีสันสกฤตค�ำเดียวกันว่าสนฺนิปาต ซึ่งหมายถึงการประชุม ไทยก็ใช้ค�ำว ่าสันนิบาต ให้หมายถึงการประชุมมา ช้านาน เช่น ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยา ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดีมีข้อความว่า ครั้น ณ วันอาทิตย์เดือน ๘ ขึ้น ๑ ค�่ำ เวลาเช้า ๓ โมง สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชด�ำเนิน ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมด้วยพระสงฆ์ราชาคณะและพระราชวงศา- นุวงศ์ท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายสโมสรสันนิบาตโดยอันดับ หนังสือลัทธิของเพื่อน ภาค ๔ ตอน ๑ ก็มีข้อความที่มีค�ำว่าสันนิบาต ดังนี้ เมื่อพระอานนท์เถรเจ้าได้สดับพระพุทธพจน์ดั่งนั้นแล้ว พระผู้เป็น เจ้าจึ่งจัดหาเครื่องสักการบูชาและเครื่องอุปโภคบริโภคพร้อมแล้ว, พระผู้ เป็นเจ้าก็ตั้งพิธีสันนิบาตพุทธจักร ณ ที่ควร, จึ่งกระท�ำสักการบูชา พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประธานในการนี้ เห็นได้ชัดว่า ค�ำว่าสันนิบาตในตัวอย่างทั้งสองหมายถึงการประชุม ส่วน ค�ำว่า สันนิบาต ที่ใช้เรียกไข้ชนิดหนึ่งก็มีความหมายเกี่ยวเนื่องกับการประชุม ดังอักขราภิธานศรับท์ซึ่งเป็นพจนานุกรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์บอกความหมาย ของไข้สันนิบาตไว้ว่า“ไข้สันนิบาตเพราะอาการไข้นั้นพิศมันเข้าประชุมพร้อมกัน” ไข้ที่พิษเข้าประชุมพร้อมกันมีมากมายหลายประเภท นอกจากไข้สันนิบาต ลูกนก ไข้สันนิบาตหน้าเพลิง ยังมีไข้สันนิบาตเกิดแต่จักษุท�ำให้มีอาการทางตา เช่น ตาแดง ตามัว ตาเป็นต้อ หรือเจ็บตา ไข้สันนิบาตเพื่อก�ำเดา มีไข้สูงมาก _20-0355(001-150)p3.indd 142 6/7/2563 BE 09:22


143 บางกรณีก็เรียกชื่อโดยไม่มีค�ำว่าไข้ข้างหน้า เช่น สันนิบาตบังเกิดเพื่อโลหิต สันนิบาตบังเกิดเพื่อราคะ สันนิบาตอันเกิดเพื่อดีรั่ว สันนิบาตเกิดเพื่อดีซึม สันนิบาตเกิดเพื่อดีพลุ่ง สันนิบาตเกิดเพื่อดีล้น สันนิบาตบังเกิดเพื่อเสมหะ สรุปว่า ค�ำว่าสันนิบาต ๒ ค�ำ คือ ค�ำที่หมายถึงการประชุม งานชุมนุม และค�ำที่ใช้เรียกไข้ชนิดหนึ่ง น่าจะยืมมาจากค�ำบาลีสันสกฤตค�ำเดียวกันว่า สนฺนิปาต (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) สาลี ค�ำว่า สาลีมาจากค�ำภาษาบาลีว่า สาลิซึ่งหมายถึงข้าวอย่างดีชนิดหนึ่ง เรียกว่าข้าวสาลีไทยน�ำค�ำว่าสาลีมาประสมกับค�ำว่า ข้าว เป็น ข้าวสาลีใช้เรียก พรรณพืชชนิดหนึ่ง ซึ่งเมล็ดบดเป็นแป้ง เรียกว่า แป้งสาลีใช้ท�ำขนมปังเป็นต้น พรรณพืชชนิดนี้มีมาเก่าแก่ มีผู้อ้างหลักฐานว่าข้าวสาลีปลูกกันในยุโรปและ อียิปต์มาตั้งแต ่สมัยก ่อนประวัติศาสตร์ และในประเทศจีนก็มีการกล ่าวถึง ข้าวสาลี๕๐๐๐ ปีมาแล้ว ข้าวสาลีดังกล่าวนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า วีต ภาษาบาลีและสันสกฤต เรียกว่า โคธุม ไทยใช้ค�ำว่าสาลีมานานแล้ว ในไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นวรรณคดีสมัย สุโขทัยกล่าวถึงบุญญาธิการของพระเจ้าอโศกมหาราชว่า ...นกเปล้าแลนกแขกเต้า นกคล้า นกจริง คาบเอารวงข้าวอันชื่อสัญชาติ สาลีอันมีในที่ริมฉัททันตสระนั้นมาถวายทุกวันเสมอวันละ ๙,๐๐๐ เกวียน แลข้าวนั้นโสดบมิพักต�ำ มิพักฝัดบมิพักร่อนเลยแล(แล)ฝูงหมูป่าทั้งหลาย หากมาเกล็ดให้เป็นข้าวสาร... และกล่าวถึงสาลีที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์แรกมาอยู่ในโลกว่า _20-0355(001-150)p3.indd 143 6/7/2563 BE 09:22


144 ...จึงพูนเกิดเป็นข้าวอันชื่ออชาติสาลีอันหาแกลบแลร�ำบ่มิได้แลมิพักต�ำ หากขาวเอง แล้วกลายเป็นต้นเป็นหน่อเป็นตอ เกิดเป็นข้าวสารอยู่เอง... ในลิลิตโองการแช่งน�้ำ ซึ่งเป็นวรรณคดีสมัยอยุธยาก็กล่าวถึงสาลีเมื่อ มนุษย์แรกมาอยู่ในโลกเช่นกัน ดังมีข้อความว่า แลมีค�่ำมีวัน กินสาลีเปลือกปล้อน บมีผู้ต้อนแต่งบรรณา เลือกผู้ยิ่งยศเปนราชาอะคร้าว เรียกนามสมมติราชเจ้า จึ่งตั้งท้าว เจ้าแผ่นดินฯ ถึงสมัยรัตนโกสินทร์สุนทรภู่เขียนกาพย์เรื่องพระไชยสุริยาก็ใช้ค�ำว่าสาลี ในกาพย์ยานีบทหนึ่งว่า ไพร่ฟ้าประชาชี เชาบุรีก็ปรีดา ท�ำไร่เขาไถนา ได้เข้าปลาแลสาลี ค�ำว่า สาลีในข้อความทั้งหมดที่กล่าวมานี้ น่าจะมีความหมายท�ำนอง เดียวกับค�ำว่า สาลิในภาษาบาลีคือหมายถึงข้าวชนิดหนึ่ง มิได้หมายถึง พรรณไม้ล้มลุกที่เมล็ดน�ำมาบดเป็นแป้งที่เรียกว่า แป้งสาลี ยิ่งกว่านั้นผู้ท�ำอักขราภิธานศรับท์ระบุว่า สาลีหมายถึง ข้าวเจ้า ดังนี้ “สาลี, แปลว่าเข้าสาลี, คือเข้าเจ้า, บันดาเข้าเจ้าทุกอย่างนั้น, เขาเรียกเข้าสาลี” มีค�ำถามว่าไทยน�ำค�ำว่า สาลีมาเรียกพรรณไม้ที่เมล็ดน�ำมาบดเป็นแป้ง ตั้งแต่เมื่อไร นายสังข์ พัธโนทัยอ้างหนังสือประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมือง แห่งราชอาณาจักรสยาม ซึ่งนิโกลาส์แชร์แวส(Nicolas Gervaise)ชาวฝรั่งเศส แต่งสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า เมืองไทยเริ่มปลูกข้าวสาลีระหว่าง ค.ศ. ๑๖๗๒-๑๖๗๕ (พ.ศ. ๒๒๑๕-๒๒๑๘) แชร์แวสได้เห็นข้าวสาลีขึ้นงอกงาม ที่ภาคเหนือ ในเมื่อเมืองไทยเริ่มปลูกข้าวสาลีสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชคนไทย สมัยนั้นก็คงจะรู้จักข้าวสาลีกันแล้ว เมื่อออกพระวิสุทสุนทร (ปาน) เป็นราชทูต _20-0355(001-150)p3.indd 144 6/7/2563 BE 09:22


145 ไปประเทศฝรั่งเศส ได้เขียนบันทึกไว้เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๒๒๙ ว่าได้ ไปเยี่ยมชมสถานที่ท�ำขนมปัง มีข้อความตอนหนึ่งว่า ...แลตึกสุดนั้นชั้นล่างท�ำขนมปัง หัวตึกกลางตึกท้ายตึก กลางตึกนั้นนาย กองผู้รักษาอยู่แลชั้นกลางนั้นไว้ขนมปังอันปิ้งแล้วนั้น แลชั้นบนนั้นไว้แป้ง แลระแนงแป้งข้าวโพดสาลีแลจึงท�ำท่อลงมาเถิงชั้นล่างครั้นจะเอาแป้ง จึงกวาดลง ณ ท่อนั้น... แป้งข้าวโพดสาลีในบันทึกดังกล่าว น่าจะหมายถึง แป้งสาลีนั่นเอง อาจ กล่าวได้ว่าคนไทยใช้ค�ำว่าสาลีเรียกพรรณไม้ที่เมล็ดใช้ท�ำแป้งสาลีมาอย่างน้อย ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโดยใช้ค�ำว่าสาลีซ้อนกับค�ำว่าข้าวโพด เป็น ข้าวโพดสาลี ค�ำว่า ข้าวโพดสาลียังปรากฏอีกในนิทานอิหร่านราชธรรม ดังข้อความว่า ครั้นไปถึงมะดาวินแล้วชาวเมืองมะดาวินจึงเอาเข้าโภชนสาลีรวงนั้นยาว สองศอก ผลนั้นเท่าผลทับทิมมาถวาย ว่าชาวนาไถนาอยู่ได้ตุ่มใต้ดิน พระเจ้ามามูนจึงสืบถามผู้เถ้าผู้แก่ว่า เข้าโภชนสาลีเปนแต่เมื่อครั้ง พระมหากระษัตริย์องค์ใดจึงเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ ความหมายของข้าวโพดสาลีมีอีกอย่างหนึ่งคือ ข้าวโพด มีบทกล่อมเด็ก บทหนึ่งว่าดังนี้ วัดเอ๋ยวัดโตนด มีต้นข้าวโพดสาลี เจ้าลูกเขยตกยาก แม่ยายก็พรากลูกสาวหนี ต้นข้าวโพดสาลี ตั้งแต่นี้จะโรยรา เอย ต้นข้าวโพดสาลีในบทกล่อมเด็กบทนี้ไม่น่าจะหมายถึงต้นข้าวสาลีแต่น่าจะ หมายถึงต้นข้าวโพดใน ศริพจน์ภาษาไทย์ซึ่งเป็นพจนานุกรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ก็ให้ความหมายของค�ำว่า เข้าสาลีและเข้าโพดสาลีไว้๒ อย่างคือ wheatและ corn ค�ำว่า wheat แปลว่า ข้าวสาลีส่วน corn แปลว่า ธัญพืช หรือข้าวโพด _20-0355(001-150)p3.indd 145 6/7/2563 BE 09:22


146 สาเหตุที่ข้าวโพดสาลีมีความหมายได้๒ อย่าง อาจเป็นเพราะคนไทยถิ่น เหนือบางท้องที่เรียกข้าวโพดว่า เข้าสาลีเมื่อมีการปลูกข้าวสาลีทางภาคเหนือ ของไทยจึงมีผู้น�ำค�ำว่าข้าวโพดกับ สาลีมาซ้อนกันเป็น ข้าวโพดสาลีใช้หมายถึง ข้าวโพดหรือสาลีก็ได้ต่อมาภายหลังตัดค�ำว่าข้าวโพดออกเหลือเพียงค�ำว่าสาลี ดังในพระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล่าถึงพื้นที่ที่ต�ำบลสกาล์เคน ประเทศเดนมาร์ก ว่า “เข้าสาลีเข้าโอต ปลูกไม่ขึ้นเสียแล้ว ปลูกได้แต่บาเลแลผักอื่น ๆ” ค�ำว่าสาลีในข้อความที่ยกมา มีความหมายตรงกับค�ำว่า wheat และมีความหมายเช่นนี้ตราบจนปัจจุบัน (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ.ไกลบ้าน.กรุงเทพฯ:อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๔๕. ๓ เล่ม. ไตรภูมิพระร่วงของพญาลิไทย. พิมพ์ครั้งที่๒. พระนคร:องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๖. ประชุมนิราศสุนทรภู่ ฉบับนายฉันท์ ข�ำวิไล. พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพ คุณแม่ชุ้น โภคา ณ วัดแก้วพิจิตร จังหวัดปราจีนบุรีวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๐๐. ประชุมปกรณัมภาคที่ ๑-๕. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : แสงดาว, ๒๕๕๓. ปรีดีพิศภูมิวิถี.ประชุมจดหมายเหตุออกพระวิสุทสุนทร (โกษาปาน). กรุงเทพฯ: สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ, ๒๕๕๕. พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทย สมัยอยุธยา ลิลิตโองการแช่งน�้ำ. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๐. ศริพจน์ภาษาไทย พจนานุกรมไทย-ฝรั่งเศส-อังกฤษ ฉบับ Bishop J.L. Vey ค.ศ. ๑๘๙๖. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการช�ำระกฎหมายตราสามดวง ส�ำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ๒๕๔๕. _20-0355(001-150)p3.indd 146 6/7/2563 BE 09:22


147 สังข์ พัธโนทัย. ปทานุกรมพรรณไม้ในต�ำนานเมือง. ม.ป.ท., ม.ป.ป. อักขราภิธานศรับท์ ของหมอปรัดเล. พระนคร:องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๔. เสนา ค�ำว่าเสนา มาจากค�ำภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตเสนาแปลว่ากองทัพ ไทยใช้ค�ำว่าเสนา หมายถึง ทหารและใช้มานานแล้วดังจารึกวัดศรีชุม ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๘๖ มีข้อความว่า “ถัดฝูงอมาตยราชเสนาอุบาสกอุบาสิกาบ่มิอาจ คณนาเลย” ค�ำว่าเสนามีใช้เรื่อยมา ปรากฏในเอกสารต่าง ๆ และวรรณกรรม เช่น แล้วทรงพระราชศรัทธาจ้างให้หมู่เสนาทหารพลเรือนสร้างพระวิหาร เสนาสนะกุฏิ มากกว ่า ๒๐๐ กุฏิสิ้นพระราชทรัพย์เป็นอันมาก (จดหมายเหตุรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรีคราวปราบเมืองพุทไธมาศและ เขมร ในประชุมพงศาวดาร ภาค ๖๖) ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มีกิริยาอะฌาไศรย์ พ่ค้ามาแต่ไกล ได้อาไศรยในภารา (กาพย์เรื่องพระไชยสุริยา) มีค�ำว ่าเสนาอีกความหมายหนึ่งอาจใช้ล�ำพังหรือใช้ประกอบกับค�ำว่า ข้าหลวงเป็น ข้าหลวงเสนา หรือเสนาข้าหลวงและประกอบกับค�ำว่า ค่าเป็น ค่าเสนา เช่น ...จึ่งทรงพระราชด�ำริห์เหนว่าแต่เดิมมีข้าหลวงเสนาเจ้าพนักงานกรมนาตั้ง ก็เอาคนในพวกเดียวตั้งไป ไม่เปนที่ก�ำกับกันและกันได้ทรงเหนว่ามีสอง พวกเหมือนพวกเดียวครั้งนี้จึงโปรดเกล้าฯให้กรมนาแต่งแต่เสนาผู้เดียว ไปพร้อมด้วยกรมการก�ำนัน ออกไปเดินประเมินนาให้เหนพร้อมยอมกัน ทั้งสามคน จึงจะเปนอันใช้ได้อย่าให้กรมการก�ำนัน ถือใจเหมือนอย่าง _20-0355(001-150)p3.indd 147 6/7/2563 BE 09:22


148 แต่ก่อนว่าสุดแล้วแต่เสนาข้าหลวงจะประเมินนาเท่าใด จะประทับตรา ให้เท่านั้น อย่าให้ท�ำดังนี้เปนอันขาด... (พระราชบัญญัติส�ำรับผู้รักษาเมือง กรมการแลเสนาก�ำนันอ�ำเภอ ซึ่งจะออกเดินประเมินนา) ...ด้วยการประชุมเทศาภิบาลส�ำหรับราชการในหน้าที่กระทรวง เกษตราธิการศกนี้มีข้อที่ได้ปรึกษากัน ๖ ข้อ คือ ๑. วิธีจัดการที่จะบ�ำรุงการเพาะปลูก... ๒. การหอทะเบียน... ๓. การนาคือคิดจะบ�ำรุงการท�ำนาแลการเพาะปลูกแต่ข้อส�ำคัญที่จะ ต้องจัดคือ ๑.จัดเรื่องความสงบราบคาบให้ดียิ่งขึ้น ๒.ตั้งแบ็งก์รับฝากเงิน ของราษฎรตามมณฑล ๓. จัดเรื่องลูกจ้าง ๔. บ�ำรุงการเครื่องจักรท�ำนา ๕. งดเว้นแลลดหย่อนค่าเสนาในเวลาที่ควร ๖. ให้มีน�้ำบริโภค ตลอดปี ๗. จัดเรื่องสัตว์พาหนะโคกระบือ ฯ มณฑลมีความเห็นจะจัดได้อย่างใด (หนังสือพระยาวงษานุประพัทธ์ รองเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๘) ค�ำว่า เสนา ในข้อความข้างต้นมิได้หมายถึงทหาร เสนา ข้าหลวงเสนา และเสนาข้าหลวง ในข้อความที่ ๓ หมายถึงพนักงานผู้เก็บอากรค่านา ส่วนค่า เสนาในข้อความที่ ๔ หมายถึง อากรค่านา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวมีพระราชวิจารณ์เกี่ยวกับค�ำว่าเสนาที่ใช้กันสับสน ดังนี้ ...ค�ำว่า เสนา เอามาใช้ในพนักงานนานี้ผิดจริง ๆ มันไหลมาจากแสนา เสนาเป็น ทหาร เสนาบดีเป็นนายทหารตามแบบปกครองโบราณเขาตั้ง แม่ทัพ ๔ เป็นจตุสดมภ์จึงเรียกว่า เสนาบดีเจ้าแผ่นดินจึงเรียกว่าเสนิโย เป็นใหญ่กว่าเสนาบดีทั้งสี่ค�ำนั้นไม่ควรจะเอามาใช้ในเรื่องออกโฉนดรังวัด สืบไป... (พระราชหัตถเลขาถึงพระยาวงษานุประพัทธ์วันที่๑ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๘) _20-0355(001-150)p3.indd 148 6/7/2563 BE 09:22


149 ค�ำว่า แสนา ซึ่งเพี้ยนเสียงไปกลายเป็นเสนานั้น สันนิษฐานได้ว่า ทั้ง แส และ นา มีความหมายเหมือนกัน แต่ต่างภาษา นาเป็นค�ำไทยส่วน แสเป็นค�ำยืม จากแสฺร(อ่านว่าสะ-แร) ในภาษาเขมรซึ่งแปลว่า นาอย่างไรก็ตาม มีผู้สันนิษฐาน อีกทางหนึ่งว่า แสนากร่อนมาจากกระแสนา หมายถึง เส้น (เชือก มีความยาว ๑ เส้น) ใช้วัดที่นา (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง บัวหลวงวงศ์ภักดี.“การศึกษาเปรียบเทียบค�ำลักษณนามในสมัยสุโขทัย สมัย อยุธยากับสมัยปัจจุบัน.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต แผนกวิชา ภาษาไทย คณะบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๘. ประชุมจารึกภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๘. ประชุมนิราศสุนทรภู่ ฉบับนายฉันท์ ข�ำวิไล. พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพ คุณแม่ชุ้น โภคาณวัดแก้วพิจิตร ปราจีนบุรีวันที่๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๐. พระราชหัตถเลขาทรงสั่งราชการในรัชกาลที่ ๕ และ ๖ กับเรื่องประกอบ. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ณ วัดเทพ ศิรินทราวาส วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๗. ราชกิจจานุเบกษา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : ส�ำนักพิมพ์ต้นฉบับ, ๒๕๔๐. ๒ เล่ม. _20-0355(001-150)p3.indd 149 6/7/2563 BE 09:22


_20-0355(001-150)p3.indd 150 6/7/2563 BE 09:22


151 222201.pdf 1 7/10/2562 BE 12:47 PM สาระไทยศึกษา _20-0355(151-316)p3.indd 151 6/7/2563 BE 09:22


152 222201.pdf 1 7/10/2562 BE 12:47 PM _20-0355(151-316)p3.indd 152 6/7/2563 BE 09:22


153 การตั้งพระพุทธรูปบูชา การตั้งพระพุทธรูปบูชาของพุทธศาสนิกชนในสมัยโบราณส่วนใหญ่นิยมใช้ พระพุทธรูปประจ�ำวันเกิดของตนเป็นพระพุทธรูปบูชาประจ�ำตัวหรือประจ�ำบ้าน โดยจะตั้งพระพุทธรูปให้ผันพระพักตร์ไปทางทิศใด ๆ ก็ได้ยกเว้นทิศตะวันตก ซึ่งเป็นการปฏิบัติตาม ๆ กันมาจากค�ำบอกของผู้ใหญ่โดยไม่เข้าใจเหตุผล และ ไม่ทราบความหมายว่าเหตุใดจึงต้องท�ำเช่นนั้น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเรื่องดังกล่าว เป็นวิถีชีวิตที่คนในสมัยโบราณทุกครัวเรือนย่อมจะรู้กันเป็นอย่างดีจึงไม่มีการ บันทึกจดจารไว้เป็นหลักฐาน ถึงยุคปัจจุบันคนรุ่นเก่าค่อยๆ หมดไป ความรู้เรื่อง ที่อยู่ในวิถีชีวิตจึงสูญหายหมดไปด้วย สิ่งหนึ่งที่บันทึกไว้แพร่หลายและรู้กันทั่วไปคือพระพุทธรูปประจ�ำวัน ซึ่ง หมายถึงคนที่เกิดในวันต่าง ๆ ควรบูชาพระพุทธรูปประจ�ำวันดังต่อไปนี้ ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ให้บูชาพระพุทธรูปปางถวายเนตร ผู้ที่เกิดวันจันทร์ให้บูชาพระพุทธรูปปางห้ามญาติหรือปางห้ามสมุทร ผู้ที่เกิดวันอังคาร ให้บูชาพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ผู้ที่เกิดวันพุธ ให้บูชาพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีให้บูชาพระพุทธรูปปางสมาธิ ผู้ที่เกิดวันศุกร์ให้บูชาพระพุทธรูปปางร�ำพึง ผู้ที่เกิดวันเสาร์ให้บูชาพระพุทธรูปปางนาคปรก ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับการตั้งพระพุทธรูปผันพระพักตร์ไปทางทิศต่าง ๆ แต่ละทิศเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของคนโบราณที่คิดว่าอาจจะมีความหมายดีร้าย แตกต่างกัน หากผันพระพักตร์พระพุทธรูปไปตามทิศต่างๆ พบหลักฐานปรากฏ ใน หนังสือที่ระลึก งานฉลองกุฏิคณะกลาง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พุทธศักราช ๒๕๐๕ กล่าวถึงความหมายการตั้งพระพุทธรูปบูชาในแต่ละทิศ มีความดังนี้ 222201.pdf 1 7/10/2562 BE 12:47 PM _20-0355(151-316)p3.indd 153 6/7/2563 BE 09:22


154 ถ้าตั้งพระพุทธรูปบูชาผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ท่านว่าเป็นทิศ ราชา ท�ำกิจการใด ๆ จะประสบความส�ำเร็จได้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง ถ้าตั้งพระพุทธรูปบูชาผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ท่านว่า เป็นทิศปฐม ท�ำกิจการใดๆไม่รุ่งโรจน์ไม่ประสบความส�ำเร็จพอท�ำพอกินพอใช้ อย่างฝืดเคือง ลาภผลตกต�่ำ ถ้าตั้งพระพุทธรูปบูชาผันพระพักตร์ไปทางทิศใต้ท่านว่าเป็นทิศจัณฑาล ท�ำการงานหนักกว่าจะได้ก็แสนยากลาภสักการะจะได้ก็ต้องลงแรงเหนื่อยกาย อานิสงส์ที่ได้ไม่คุ้มค่าของความเหน็ดเหนื่อย ถ้าตั้งพระพุทธรูปบูชาผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ท่านว่าเป็น ทิศวิปฏิสารจะพบแต่ความเดือดร้อน มักมีแต่ความยุ่งยากเกิดขึ้น ขาดความสงบ ร่มเย็น มีแต่เรื่องทุกข์ร้อนร�ำคาญใจ ถ้าตั้งพระพุทธรูปบูชาผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก ท่านว่าเป็นทิศ กาลกิณีจะท�ำอะไรมักไขว้เขวไปทางอัปมงคล มีแต่ความเลวร้ายอันตรายมาสู่เสมอ ถ้าตั้งพระพุทธรูปบูชาผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ท่านว่า เป็นทิศอุทัจจะจะท�ำอะไรมักรวนเร หาความแน่นอนไม่ค่อยได้มักพบแต่ค�ำพูด คนนั้นพูดอย่างนั้น คนนี้พูดอย่างนี้ หรือคนนั้นพูดอย่างนี้คนนี้พูดอย่างนั้น มักพูดกันมากเป็นน�้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงลงเอยกันไม่ได้ ถ้าตั้งพระพุทธรูปบูชาผันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ท ่านว ่าเป็นทิศ มัชฌิมาปฏิปทา ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่ต�่ำไม่สูง ไม่เลวไม่ร้าย ถ้าตั้งพระพุทธรูปบูชาผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ท่านว่าจะได้เป็นเศรษฐีจะท�ำกิจการใดก็เจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม การตั้งพระพุทธรูปไปตามทิศต่าง ๆ นั้น เป็นความเชื่อที่ เกิดขึ้นในสมัยหลัง ในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธรูปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และ ยังให้เกิดสิริมงคลแก่ผู้เคารพบูชาไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดหรือทิศใด (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) _20-0355(151-316)p3.indd 154 6/7/2563 BE 09:22


155 การปฏิบัติตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา การปฏิบัติตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา เบื้องต้นต้องมีความเชื่อใน หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติเพื่อพระพุทธศาสนาเพียงประการ เดียว กับยังมีการตั้งความปรารถนาเพื่อให้บังเกิดผลจากการกระท�ำในกิจกรรม ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแล้วนั้นอีกส่วนหนึ่งด้วย ความจริงประการหนึ่ง โดยธรรมชาติมนุษย์ทุกคนในโลกย่อมไม่ชอบและ กลัวความทุกข์ยากเดือดร้อนล�ำเค็ญ ความโศกเศร้าเสียใจและสิ่งเลวร้ายต่างๆ อีกทั้งยังเชื่อกันว่า นรกคือสถานที่รวมหรือศูนย์รวมความเลวร้ายที่สุด ยิ่งกว่า สิ่งเลวร้ายที่มีอยู่ในโลกทั้งสิ้น ตรงกันข้ามกับสวรรค์ เป็นสถานที่หรือศูนย์รวม ความสุขสบายสวยสดงดงาม อุดมสมบูรณ์มีแต่สิ่งชวนให้หฤหรรษ์สมปรารถนา ทุกด้านทุกประการ แนวทางของพระพุทธศาสนา เน้นให้คนรู้จักเส้นทางเพื่อให้หลุดพ้นจาก ความทุกข์ให้บรรลุถึงความสุขมีสวรรค์ในเบื้องต้น และมีพระนิพพานเป็นที่สุด ข้อธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นความจริงที่คนไทยยึดถืออย่างเชื่อมั่น มาตลอดเวลาอันยาวนานยิ่ง ขณะเดียวกันก็ได้ถ่ายทอดแนวความคิดและวัตร ปฏิบัติสู่คนรุ่นหลังความเชื่อถือและศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาฝังลึกลงในจิตใจ ของคนไทยอย่างแนบแน่น กล่าวตามหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่ามีมาก่อนการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยของคนไทย หากนับเวลาก็ ยืนยาวมากกว่าพันปีตัวอย่างเช่นข้อความที่ปรากฏในจารึกวัดโพธิ์ร้าง สร้างเมื่อ พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ความในจารึกกล ่าวถึงการสร้างพระพุทธรูปและวิหาร การก�ำหนดเขตพระอาราม เป็นต้น ในสมัยสุโขทัยและสมัยหลังต่อ ๆ มา ปรากฏความในจารึกหลายหลัก กล่าวถึงการประพฤติปฏิบัติเพื่อพระพุทธศาสนา และการตั้งความปรารถนา ขอให้ได้อานิสงส์จากการที่ได้ประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ตัวอย่างเช่น _20-0355(151-316)p3.indd 155 6/7/2563 BE 09:22


156 ๑. การประพฤติปฏิบัติเพื่อพระพุทธศาสนา ปรากฏในจารึกพ ่อขุน รามค�ำแหง พุทธศักราช ๑๘๓๕ ความในจารึกกล่าวถึงหลายประการ เช่น ในด้านที่ ๒ บรรทัด ๒๘-๒๙ กล่าวว่า “...พ่อขุนรามค�ำแหงกระท�ำโอยทานแก่ มหาเถร สังฆราช ปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร...” ด้านที่ ๔ บรรทัด ๔-๗ กล่าวว่า “...๑๒๐๗ ศก ปีกุน ให้ขุดเอาพระธาตุออกทั้งหลายเห็น กระท�ำบูชาบ�ำเรอ แก่พระธาตุ ได้เดือนหกวันจึงเอาลงฝังในกลางเมืองศรีสัชชนาลัย ก่อพระเจดีย์ เหนือหกเข้า...” ๒. การตั้งความปรารถนา ขอให้ได้อานิสงส์ตัวอย่างเช่น -ขอให้เกิดทันยุคพระศรีอาริยไมตรีซึ่งจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาลปรากฏความในจารึกนครชุมพุทธศักราช๑๙๐๐ด้านที่๑บรรทัดที่ ๕๕-๖๓ กล่าวว่า “...แต่นี้เมื่อหน้าฝูงสาธุสัตตบุรุษทั้งหลายจุ่งเร่งกระท�ำ บุญธรรมในศาสนาพระพุทธ เมื่อยังมีเท่าวันชั่วเราบัดนี้มีบุญนักหนา จึงจะได้ มาเกิดทันศาสนาพระเปนเจ้าไซร้...ผิผู้ใดปรารถนาด้วยใจศรัทธา ดังอัน...รอด พระศรีอารยไมตรีลงมาเปนพระพุทธ เยียมาเกิดในเมืองดินนี้...” -ขอให้ตนเองได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ปรากฏความในจารึก นายศรีโยธาออกบวช พุทธศักราช ๒๐๗๑ ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๑๔-๒๑ กล่าวว่า “...จึงจะกาวประณิธานปรารถนาว่า ด้วยผลอานิสงส์อันกูโกนเกล้าเข้าบวช ในศาสนาพระเจ้าก็ดีอันหนึ่งกูได้สร้างอารามพระเจ้าก็ดีอันหนึ่งกูได้สร้างรูป พระพุทธเจ้าด้วยค�ำ ด้วยเงิน ด้วยทองสัมฤทธิ์ด้วยดีบุก ด้วยหินศิลาทั้งหลายนี้ ก็ดีขอกูจงได้เปนพระเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาล...” - ขอให้ตนเองได้ชมสมบัติในพระนิพพาน คือให้ได้บรรลุพระนิพพาน ปรากฏความในจารึกวัดก�ำแพงงาม พุทธศักราช ๑๘๙๓ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๒๗-๓๑ กล่าวว่า“...ปรารถนาเอาสมบัติเปนจักรวรรติราชสมมติเป็นอินทร์เป็น พรหม...แลจักชมสมบัติในเนียรพาน ก็จักได้ดูดังใจปรารถนาแลฯ...” (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) _20-0355(151-316)p3.indd 156 6/7/2563 BE 09:22


157 การปลูกต้นไม้ตามความเชื่อโบราณ คนไทยโบราณมีหลากหลายความเชื่อ นอกจากจะมีความเลื่อมใสศรัทธา นับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลักของชีวิตแล้วยังมีความเชื่อเกี่ยวกับโชคลางและ นิมิตต่าง ๆ อีกด้วย ทั้งนี้ก็เพียงหวังให้บังเกิดสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว รวมถึงให้เกิดความร่มเย็น เป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรืองและสมปรารถนาในชีวิต ความเชื่อดังกล่าวมีหลากหลายประการ แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะความเชื่อ เรื่องการปลูกต้นไม้ตามที่มีปรากฏอยู่ในต�ำรานิมิต ซึ่งมีทั้งต้นไม้ที่ควรปลูกและ ไม่ควรปลูกในบริเวณนั้น ต้นไม้ที่ปลูกแล้วให้โทษ เช่น มีหนามแหลม มียางที่เป็นพิษ หรือกิ่งเปราะ ไม่สมควรปลูกไว้ในขอบเขตบริเวณบ้าน คือต้นงิ้วละหุ่ง มะกอกสลัดไดส�ำโรง มะรุม กล้วยตานีน�้ำเต้า กระทุ่ม ลั่นทม ถั่วแปบ เพกา มะพูด แค มะละกอ โพ ตาล โศก และมะเฟือง ส่วนต้นไม้ที่ปลูกในบริเวณบ้านแล้วจะส่งเสริมให้บังเกิดคุณแก่บ้านและ คนในครอบครัว ซึ่งต้องปลูกไม้เหล่านั้นตามทิศต่าง ๆ ที่ก�ำหนดไว้คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ควรปลูกต้น สารภีกุ่ม ไผ่ ทิศใต้ควรปลูกต้น มะม่วง มะปราง ตะกู ทิศตะวันตกเฉียงใต้ควรปลูกต้น สะเดา พิกุล ราชพฤกษ์ขนุน ทิศตะวันตก ควรปลูกต้น มะขาม มะยม พุทรา ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ควรปลูกต้น มะกรูด มะนาว ส้มป่อย มะงั่ว ทิศเหนือ ควรปลูกต้นมะตูม นอกจากนั้นยังมีความเชื่อว่าหากปลูกต้นไม้ตามวันเวลาที่ก�ำหนดจะได้ ผลประโยชน์ตามความประสงค์ดังนี้คือ วันอาทิตย์ถ้าจะปลูกไม้กินหัว เช่น เผือก มัน ให้ปลูกเวลาเย็น วันจันทร์ถ้าจะปลูกไม้ใช้ล�ำและต้น เช่น อ้อย ให้ปลูกเวลาสาย วันอังคารถ้าจะปลูกไม้ใช้ประโยชน์จากใบ เช่น โหระพาให้ปลูกเวลาเช้า _20-0355(151-316)p3.indd 157 6/7/2563 BE 09:22


158 วันพุธ ถ้าจะปลูกไม้ที่ต้องการใช้ดอก ปลูกได้ทุกเวลา วันพฤหัสบดีถ้าจะปลูกไม้ที่ต้องการได้ฝักได้รวง ปลูกได้ทุกเวลา วันศุกร์ถ้าจะปลูกไม้ผล ให้ปลูกเวลาเช้า วันเสาร์ถ้าจะปลูกไม้ที่ให้ประโยชน์ให้คุณถ้าเป็นไม้ใช้ใบปลูกเวลาสาย ไม้ใช้ผลปลูกเวลาเช้า ไม้ใช้รากปลูกเวลาเย็น อย่างไรก็ดีหากจะปลูกไม้อื่น ๆ ก็สามารถปลูกได้ทุกวัน (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) การมอบกุญแจเมือง การเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างรัฐต่อรัฐ ทั้งโดยการส่งตัวแทนของประเทศ ในฐานะทูต หรือการที่ผู้น�ำประเทศ บุคคลส�ำคัญ และพระราชวงศ์เดินทางเยือน ประเทศนั้น ๆอย่างเป็นทางการ (StateVisit) ประเทศเจ้าบ้านจะจัดพิธีรับรอง ต้อนรับแขกเมืองหรืออาคันตุกะ หนึ่งในพิธีส�ำคัญคือ การมอบ “กุญแจเมือง” ซึ่งเป็นการแสดงความยอมรับและให้เกียรติอย่างสูง ประเพณีการมอบกุญแจเมือง เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ประมาณ คริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ลอร์ด เชมเบอร์เลน (The Lord Chamberlain/Lord Chamberlain of the Household) หรือ กรมวัง ผู้มีหน้าที่ส�ำคัญในการดูแล พระราชวังและต้อนรับแขกเมืองจะเป็นผู้น�ำอาคันตุกะหรือทูตานุทูตต่างประเทศ เข้าเฝ้ากษัตริย์กรมวังจะถือไม้เท้าสีขาวและกุญแจประดับเพชรเป็นเครื่องหมาย ประจ�ำต�ำแหน่ง ทูตานุทูตต่างประเทศที่ไปประจ�ำ ณ สหราชอาณาจักรจะต้อง ยื่นสาส์นตราตั้งต่อกรมวังซึ่งเป็นผู้พิจารณาในนามของกษัตริย์อังกฤษ เมื่อกรมวัง ยอมรับสาส์นตราตั้งแล้ว จะมอบกุญแจเมืองอันมีเกียรติให้แก่เอกอัครราชทูต เพื่อแสดงว่ายอมรับความเป็นทูตและต้อนรับให้พ�ำนักอยู่ในสหราชอาณาจักรได้ การมอบกุญแจเมืองให้แก่ผู้มาเยือน จึงมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ หมายถึง เจ้าบ้านยินดีต้อนรับและให้เกียรติอย่างยิ่ง _20-0355(151-316)p3.indd 158 6/7/2563 BE 09:22


159 ในประเทศไทยนั้น ปรากฏหลักฐานบุคคลส�ำคัญได้รับมอบกุญแจเมือง เมื่อเดินทางเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ กล่าวคือ เมื่อพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู ่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าร�ำไพพรรณีพระบรมราชินี เสด็จพระราชด�ำเนินเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพื่อทรงเจริญ สัมพันธไมตรีและทรงเข้ารับการรักษาพระเนตร ระหว่างวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๓-๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ (ขณะนั้นวันที่๑ เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่) เมื่อเสด็จพระราชด�ำเนินถึงเมืองไวต์เพลนส์รัฐนิวยอร์ก(WhitePlains,NewYork) ในวันที่๒พฤษภาคมพ.ศ.๒๔๗๔นายFrederickCMcLaughlinนายกเทศมนตรี เมืองไวต์เพลนส์ทูลเกล้าฯถวายกุญแจเมืองทองค�ำที่ระลึกและถวายการต้อนรับ อย่างสมพระเกียรติการเสด็จพระราชด�ำเนินครั้งนี้มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน (George Washington University) ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญากิตติมศักดิ์สาขา กฎหมาย (Honorary Doctorate of Law) แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู ่หัว นอกจากนี้ ทั้งสองพระองค์พระราชทานสัมภาษณ์แก ่สื่อมวลชน อเมริกันด้วย กุญแจเมืองที่นายกเทศมนตรีเมืองไวต์เพลนส์ ทูลเกล้าฯ ถวายนี้ เป็น ลูกกุญแจท�ำจากทองค�ำ ขนาด ๔.๕ x ๑๕.๑ เซนติเมตร ด้ามกุญแจด้านหนึ่ง เป็นรูปครุฑล้อมรอบด้วยช่อชัยพฤกษ์อีกด้านหนึ่งเป็นรูปธงและคติพจน์ประจ�ำ เมืองไวต์เพลนส์บอกศักราชส�ำคัญเกี่ยวกับความเป็นมาของเมืองได้แก่ค.ศ.๑๘๖๓ ก่อตั้งเมืองค.ศ. ๑๗๗๖ ท�ำสงครามกลางเมืองเพื่อประกาศอิสรภาพ และจัดตั้ง เมืองเป็นเทศบาลนคร เมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๕ รูปธงและคติพจน์ดังกล่าวนี้ล้อมรอบ ด้วยช ่อชัยพฤกษ์เช ่นกัน ก้านกุญแจสลักข้อความว ่า “ทูลเกล้าฯ ถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีแห่งสยาม เมืองไวต์เพลนส์, นิวยอร์ก ๒ พฤษภาคม ๒๔๗๔”(Presented toTheirMajestiesTheKingand Queenof Siam byThe Cityof WhitePlains, New York. May 2, 1931.) กุญแจเมืองทองค�ำที่ระลึกดอกนี้ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว _20-0355(151-316)p3.indd 159 6/7/2563 BE 09:22


160 ส ่วนการมอบกุญแจเมืองแก ่บุคคลส�ำคัญที่มาเยือนประเทศไทยอย ่าง เป็นทางการนั้น สันนิษฐานว่า น่าจะเกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหา ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนั้น ยังมีการปกครองแบบเทศบาลเป็นผู้ด�ำเนินการ เมื่อนายซูการ์โน (Sukarno) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่าง เป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔ พิธีมอบกุญแจเมือง จัดขึ้นที่สถานีรถไฟจิตรลดา ในวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔ ในเวลาต่อมาเมื่อมีบุคคลส�ำคัญหรือพระราชอาคันตุกะมาเยือน กรุงเทพมหานครจะจัดพิธีต้อนรับและมอบกุญแจเมือง ณ ปะร�ำพิธีที่จัดสร้าง ขึ้นบริเวณเชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศจนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๕๓๓ กรุงเทพมหานคร ได้จัดสร้างพลับพลาถาวรขึ้น (ในบริเวณที่เคยเป็นโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย) พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามพลับพลาว่า“พลับพลามหาเจษฎาบดินทร์”เมื่อ วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ และกรุงเทพมหานครได้ใช้พลับพลานี้เป็นสถานที่ จัดพิธีมอบกุญแจเมือง ใน พ.ศ. ๒๕๔๒ โอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จ พระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรครบ ๖ รอบ กรุงเทพมหานคร จัดท�ำกุญแจจ�ำลองสัญลักษณ์กรุงเทพมหานคร เป็นกุญแจทองค�ำยาว ๖ นิ้ว น�้ำหนักประมาณ ๙๐ กรัม ด้ามกุญแจเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ตรา สัญลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร ล้อมรอบด้วยลายไทย ส่วนล่างของกุญแจ แกะสลักแบบดุนนูน ก้านกุญแจด้านหนึ่งสลักค�ำว่า City of Bangkok และ อีกด้านหนึ่ง สลักค�ำว่า Bangkok Thailand บรรจุอยู่ในกล่องก�ำมะหยี่สีเขียว สีประจ�ำกรุงเทพมหานครเพื่อถวายแด่พระราชอาคันตุกะและมอบให้อาคันตุกะ ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็น ทางการนับแต่นั้นมา _20-0355(151-316)p3.indd 160 6/7/2563 BE 09:22


161 กรุงเทพมหานครจัดพิธีมอบกุญแจเมืองเมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ในโอกาสที่สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห ่งมาเลเซียเสด็จ พระราชด�ำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง พิธีถวายกุญแจเมืองครั้งนี้จัดขึ้น ณ ห้อง เจ้าพระยา โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตรผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกราบบังคมทูลถวายการต้อนรับ ในนาม ประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร พร้อมกับถวายกุญแจเมืองแด่สมเด็จพระราชาธิบดี แห่งมาเลเซีย เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการต้อนรับ แสดงความยกย่อง และเป็น สัญลักษณ์แห่งความเคารพสูงสุดของประชาชนชาวกรุงเทพมหานครแด่แขก คนส�ำคัญที่มาเยือน (นางสาววีรวัลย์ งามสันติกุล) หนังสืออ้างอิง นิรินธน์ ภู่ค�ำ. วัตถุชิ้นเอกพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า, ๒๕๕๖. หน้า ๓๒-๓๓. เครือข่ายสารสนเทศ “การมอบกุญแจเมือง” กองการต่างประเทศ ส�ำนักปลัดกรุงเทพมหานคร http://iad.bangkok.go.th/th/node/395เข้าถึงวันที่๑๓มีนาคม๒๕๕๘. “การเสด็จพระราชด�ำเนิรประเทศสหปาลีรัฐอเมริกา” ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๔๗ หน้า ๔๗๒๕-๔๗๓๐ วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๔๗๓ http://www. ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2473/D/4725.PDF เข้าถึง วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘. “แจ้งความเรื่องมีผู้เอื้อเฟื้อในคราวรับเสด็จพระราชด�ำเนิรกลับจากประเทศ สหปาลีรัฐอเมริกาสู ่พระมหานคร” ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๔๘ _20-0355(151-316)p3.indd 161 6/7/2563 BE 09:22


162 หน้า ๓๘๖๕-๓๘๙๑ วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๔๗๔ http://www. ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2474/D/3865.PDF เข้าถึง วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘. “ผู้ว่ากทม.”http://th.wikipedia.org/wiki/ เข้าถึงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘. “ผู้ว่าฯ กทม. ทูลเกล้าฯ ถวายกุญแจเมืองแด่สมเด็จพระราชาธิบดี-สมเด็จ พระราชินีมาเลเซีย” http://www.dailynews.co.th/Content/ bangkok/84063/ เข้าถึงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘. “หมายก�ำหนดการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีเสด็จพระราชด�ำเนิรกลับจากประเทศสหปาลีรัฐอเมริกา สู่พระมหานคร พุทธศักราช ๒๔๗๔” ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๔๘ หน้า ๔๔๖๒ วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๗๔ http://www.ratchakitcha. soc.go.th/DATA/PDF/2474/D/2462.PDF เข้าถึงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘. “Does the Key to the City Actually Open Anything?” http:// mentalfloss.com/article/30744/does-key-city-actually-open- anything เข้าถึงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘. “Lord Chamberlain”http://en.wikipedia.org/wiki/Lord_Chamberlain เข้าถึงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘. “Mayors of White Plains, New York” http://politicalgraveyard.com/ geo/NY/ofc/whiteplains.html เข้าถึงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘. “ReadingEagle-May3,1931.”http://news.google.com/newspapers? nid=1955&dat=19310503&id=Y8kxAAAAIBAJ&sjid=Y-IFAAAAIBAJ &pg=2498%2C496274 เข้าถึงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘. _20-0355(151-316)p3.indd 162 6/7/2563 BE 09:22


163 การรับช้างส�ำคัญ ในสมัยโบราณช้างเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ จึงมีความส�ำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นแต่ละปีทางราชการจ�ำเป็นต้องมีการแสวงหาเพื่อเพิ่มจ�ำนวนช้างให้พอกับ ความต้องการของราชการทัพ ผู้ท�ำหน้าที่จัดหาช้างก็คือควาญ ซึ่งต้องเดินทาง ไปตามป่าที่มีโขลงช้างอาศัยอยู่เพื่อคล้องหรือจับให้ได้ช้างตามจ�ำนวนที่ต้องการ ปรากฏหลักฐานในหนังสือจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๒ จ.ศ. ๑๑๗๓ (พ.ศ. ๒๓๕๔) เรื่องรายชื่อช้างที่จับได้จ.ศ. ๑๑๗๐ ดังความในตัวอย่างต่อไปนี้ วัน ๓ ฯ ๖ ค�่ำ ปีมะแมตรีศก จ�ำนวนวังหลวง ๑๓ พลายเถื่อนงาทอก [ช้างผู้มีงาตัวใหญ่เป็นจ่าฝูง] สูง ๕ ศอกคืบ ๓ นิ้ว หางซ้าย จับ ๑ พลายเถื่อนสูง ๕ ศอก ๐ คืบ ๐ นิ้ว หางสัพงางอนขึ้นซ้ายขวา จับ ๑ พลายเถื่อนสูง ๓ ศอก ๑ คืบ ๘ นิ้ว หางสัพงากางขวา จับ ๑ พลายเถื่อนสูง ๓ ศอก ๑ คืบนิ้ว หางด้วน งาซอม ๑ ขวา จับ ๑ พลายเถื่อนสูง ๔ ศอก ๑ คืบ ๖ นิ้ว หางสัพงากางซ้าย จับ ๑ รวมพลาย ๕ เมื่อควาญจับช้างได้แล้ว ก่อนจะน�ำออกจากป่า ตามธรรมเนียมโบราณ ต้องให้พราหมณ์พฤฒิบาศ (คือพราหมณ์ผู้รู้พิธีกรรมเกี่ยวกับช้าง) ประกอบ พิธีธนญชัยบาศเป็นพิธีกรรมให้ช้างลาไพรลืมป่า หมายถึงลืมสภาพความเป็นอยู่ ในป่า เพื่อน�ำช้างออกจากป่าเข้าสู่เมือง และเมื่อแรกถึงเขตเมืองต้องท�ำพิธี เสียไพร โดยมีพระสงฆ์สวดพระปริต แล้วประพรมน�้ำพระพุทธมนต์ให้แก่ช้าง ต่อจากนั้นพ่อหมอเฒ่า คือพราหมณ์ผู้รู้ท�ำพิธีฟาดเคราะห์หรือที่เรียกกันทั่วไป ว่าปัดรังควาญให้แก่ช้าง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ควาญผู้ดูแลช้างและตัวช้างด้วย ต่อจากนั้นควาญจะเริ่มจับเชิง คือฝึกหัดช้างให้ราบ หมายถึงให้รู้จักค�ำสั่งควาญ ๑ งาซอม = งาเรียงขนานกันไป _20-0355(151-316)p3.indd 163 6/7/2563 BE 09:22


164 และปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ของช้างขณะเดียวกัน ควาญต้องตรวจสอบพิจารณา ดูลักษณะของช้างทุกเชือกที่ฝึกอยู ่นั้นว ่าเป็นช้างมีลักษณะดีเป็นมงคลหรือ ลักษณะศุภลักษณ์ตามต�ำราคชลักษณ์หรือไม่ หากพบว่าช้างเชือกใดมีลักษณะ ศุภลักษณ์ตามที่ปรากฏในต�ำราคชลักษณ์ตระกูลใดตระกูลหนึ่งใน ๔ ตระกูล และยังมีบางส่วนของร่างกายมีที่พิเศษอีก ๗ ประการ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ใน ๗ ประการต่อไปนี้คือ นัยน์ตาขาว เพดานขาว เล็บขาว ขนขาว ผิวหนังขาว หรือสีคล้ายสีหม้อใหม่ หรือผิวผุดผ่องเหมือนกันตลอดตัวจะสีใดก็ได้ไม่จ�ำเป็น ต้องสีขาว ขนหางยาว และอัณฑโกศขาวหรือสีคล้ายสีหม้อใหม ่หรือสีชมพู ช้างที่มีลักษณะดังกล่าว ควาญจะเรียกว่า ช้างสีประหลาด เมื่อควาญรู้ว่ามีช้างสีประหลาดในครอบครอง ต้องแจ้งต่อกรมการเมือง เพื่อน�ำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ เมื่อทรง ทราบแล้วก็จะโปรดเกล้าฯ ให้กรมช้างจัดเจ้าหน้าที่ ประกอบด้วยช่างเขียน ช่างปั้น และควาญผู้เฒ่าผู้มีความรู้เรื่องช้างและลักษณะช้างเดินทางไปตรวจสอบ เบื้องต้น เพื่อให้ทราบความจริงอย่างชัดเจน พร้อมทั้งเขียนรูปและปั้นจ�ำลอง รูปช้าง ตามลักษณะรูปร่างที่เห็น เสร็จแล้วน�ำส่งรูปเขียนและรูปปั้นจ�ำลอง เข้ามายังกรุงเทพฯ เพื่อถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร หากทรงเห็นว่าช้างสีประหลาดนั้นเข้าเกณฑ์ศุภลักษณ์ เป็นช้างเผือกได้ควาญ ผู้ตรวจสอบต้องระบุได้ว่าช้างนั้นมีลักษณะเฉพาะเป็นช้างเผือกเอกช้างเผือกโท หรือช้างเผือกตรีซึ่งแต่ละระดับมีรายละเอียดลักษณะนอกเหนือจาก ๗ ประการ ดังกล่าวแล้ว คือ ช้างเผือกเอก มีขนโปร่งใสสีขาวเจือเหลือง สีกายหรือผิวหนังสีเดียวกับ สีขน และมีสีเสมอกัน เหมือนกันตลอดตัว นัยน์ตาขาว เล็บขาว เพดานขาว อัณฑโกศขาว ขนหางโปร ่งมีสีขาวเจือเหลืองเล็กน้อย จัดเป็นเผือกบริสุทธิ์ สมบูรณ์ด้วยลักษณะอย่างเอก ช้างเผือกโท สีกายออกเป็นสีบัวโรย นัยน์ตาขาวส่วนอื่น ๆลดลงตามสีกาย ช้างเผือกตรีสีกายออกเป็นสีอย่างยอดตองตากแห้ง นัยน์ตาขาวส่วนอื่น ๆ _20-0355(151-316)p3.indd 164 6/7/2563 BE 09:22


165 ลดลงตามสีกาย เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่าช้างสีประหลาดนั้นเป็นช้าง ต้องลักษณะมงคลจริงก็จะโปรดเกล้าฯให้รับช้างนั้นไว้เป็นช้างส�ำคัญ แล้วให้น�ำ มาส่งยังกรุงเทพฯ การน�ำช้างส�ำคัญเข้ากรุงเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจัดเป็น งานที่มีความส�ำคัญอย่างยิ่ง ตามหลักฐานที่ปรากฏในพงศาวดารทุกยุคทุกสมัย กล่าวตรงกันว่า เมืองใดที่ได้ช้างส�ำคัญก่อนพาช้างออกจากเมืองต้องประกอบ พิธีสมโภช พราหมณ์ตั้งบายศรีเวียนเทียน พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ ๓ วัน กลางคืนมีมหรสพสมโภช เสร็จแล้วจึงพาเดินทางมา ไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือ ทางน�้ำ ตลอดระยะทางเมื่อผ่านถึงเมืองใดเจ้าเมืองนั้นต้องต้อนรับโดยตั้งโรงพิธี สมโภชเช่นเดียวกันทุกเมือง ดังตัวอย่างการรับช้างส�ำคัญมีเรื่องปรากฏอยู่ใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๒ กล่าวว่าใน พ.ศ. ๒๓๕๙ พระยา เชียงใหม่(น้อยธรรม) ได้ช้างพลายช้างหนึ่งสูงสามศอกคืบหกนิ้วเป็นช้างเผือกเอก บอกกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยให้ทรงทราบแล้ว กับให้ฝึกหัดช้างจนเชื่องราบ จึงพาเดินทางมาลงแพที่เมืองก�ำแพงเพชร ล่องแพ แลสมโภชมาทุกหัวเมืองตลอดระยะทาง ลงมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๕ ค�่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ปลูกพลับพลาน้อยที่ท่าพระ ตั้งราชวัติฉัตรเบญจรงค์สองฟากถนน จัดกระบวนแห่แต่งช้างมีสกุลออกไปรับ ครั้นได้เวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินไปประทับ พลับพลาน้อยที่ท่าพระคอยรับ แล้วโปรดให้แห่ช้างส�ำคัญขึ้นจากแพไปเข้าโรง สมโภชที่สนามชัย มีการมหรสพสมโภช ๓ วัน ๓ คืน แล้วประกอบพระราชพิธี ขึ้นระวางเป็นช้างเผือกเอก พระราชทานนามว่า“พระยาเศวตไอยราบวรพาหนะ นารถอิศราราชบรมจักรศรีสังข์ศักดิอุโบสถคชคเชนทรชาติอากาศจารีเผือกผ่อง ศรีบริสุทธิ์เฉลิมอยุธยายิ่ง วิมลมิ่งมงคล จบสกลเลิศฟ้า” (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) _20-0355(151-316)p3.indd 165 6/7/2563 BE 09:22


166 การเรียกชื่อปราสาทหิน ในประเทศไทยมีโบราณสถานประเภทปราสาทหินอยู่เป็นจ�ำนวนมาก และชื่อของปราสาทหินที่ใช้เรียกกันอยู่ในทุกวันนี้มี๒ อย่างคือ ชื่อที่ตั้งขึ้นใหม่ ในยุคหลัง และชื่อที่มีมาแต่เดิมตั้งแต่แรกสร้างปราสาท บรรดาโบราณสถานประเภทปราสาทหินของไทย ที่มีอยู่ทั่วไปในภูมิภาค ต่าง ๆ ของประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่นิยมเรียกชื่อปราสาทตามที่คนในท้องถิ่น ซึ่งอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงเรียกขานกัน โดยอาจได้ชื่อมาจากต�ำนานหรือ นิทานที่คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังต่อๆกันมาตัวอย่างเช่น ชื่อปราสาทสด๊กก็อกธม เดิมชาวบ้านเรียกว่าปราสาทเมืองพร้าว ที่เรียกชื่อเช่นนั้นก็ด้วยมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า เคยมีคนเดินหลงทางเข้าไปในดง ได้แลเห็นมีต้นพร้าวขึ้นอยู่ เห็นเด่น เป็นสง่าในดงนั้น จึงก�ำหนดเรียกบริเวณนั้นว่า เมืองพร้าว โดยหมายเอาบริเวณ เมืองพร้าวเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ย�ำเยงเกรงกลัวของชาวบ้าน จึงไม่มีใคร กล้าเข้าไปในปราสาทนั้น ต่อมามีคนเขมรเดินหลงเข้าไปที่ปราสาทนั้น เห็นว่าพื้นที่รอบ ๆ ปราสาท มีต้นกกขนาดใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่น สภาพเหมือนเป็นป่าต้นกก จึงเรียกขานนาม ปราสาทแห่งนี้ว่า“ปราสาทสด๊กก๊อกธม”ตามศัพท์ภาษาเขมร หมายถึง ปราสาท สระต้นกกใหญ่ (สด๊ก แปลว่า สระ, ก๊อก แปลว่า ต้นกก, ธม แปลว่า ใหญ่) และยังคงเรียกสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนปราสาทที่มีชื่อเรียกมาแต่ดั้งเดิมเมื่อแรกสร้างในประเทศไทยปัจจุบัน พบว่ามีอยู่เพียง ๒ ปราสาทเท่านั้น คือ ปราสาทพนมรุ้ง และปราสาทพิมาย ที่กล่าวเช่นนี้เพราะได้พบหลักฐานออกนามชื่อปราสาทในศิลาจารึก จารึกที่ปรากฏนามปราสาทพนมรุ้งที่มีศักราชเก่าที่สุดคือ จารึกปราสาท หินพนมรุ้ง ๑๑ เป็นจารึกอักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤตและเขมร สร้างเมื่อ พุทธศักราช ๑๕๒๐ มีอักษรจารึก ๒ ด้าน ค�ำ “พนมรุ้ง” ปรากฏอยู่ในด้านที่ ๑ และ ๒ บรรทัดที่ ๘ เหมือนกันทั้ง ๒ ด้าน นอกจากนั้นยังได้พบค�ำว่า“พนมรุ้ง” _20-0355(151-316)p3.indd 166 6/7/2563 BE 09:22


167 ในจารึกปราสาทหินพนมรุ้งหลักอื่น ๆอีกหลายหลักค�ำว่า พนมรุ้ง มาจากภาษา เขมร ว่า วนํรุง แปลว่า ภูเขาใหญ่ ปราสาทพนมรุ้ง จึงแปลว่า ปราสาทแห่ง ภูเขาใหญ่ ส่วนจารึกที่ปรากฏนามปราสาทหินพิมาย ที่มีศักราชเก่าที่สุด คือจารึก วัดจงกอ อยู่ที่บ้านน้อย ต�ำบลบ้านเก่า อ�ำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เป็นจารึกอักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤตและเขมร สร้างเมื่อพุทธศักราช ๑๕๑๑ มีอักษรจารึก ๒ ด้าน ค�ำ “พิมาย” ปรากฏอยู่ในด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๑ และด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๑๐ นอกจากนั้นยังได้พบค�ำ พิมาย ในจารึก ปราสาทหินพิมายหลักอื่น ๆ อีกหลายหลัก ค�ำ พิมาย มาจากภาษาสันสกฤต วิมาย แปลว่า อ่อนน้อม, สุภาพ, จุติลงสู่โลก ดังนั้นปราสาทหินพิมายจึงแปลว่า ปราสาทพระผู้จุติลงสู่โลก หมายถึง ปราสาทพระพุทธเจ้า อนึ่งค�ำ พนมรุ้ง และ พิมาย ในจารึกใช้ว่า วฺนํรุง และ วิมาย ซึ่งใช้ตัว ว เหมือนกันทั้ง ๒ ชื่อ และในภาษาไทยเปลี่ยนมาใช้พ ตามหลักฐานที่พบใน จารึกเก่าที่สุดคือจารึกดงแม่นางเมือง พบที่ต�ำบลบางตาหงายอ�ำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เป็นจารึกอักษรขอม ภาษาบาลีเขมร และไทย สร้างเมื่อ พุทธศักราช ๑๗๑๐ ในจารึกนี้มีค�ำที่ใช้พ แทน วคือค�ำว่า“พระ” ปรากฏอยู่ใน ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๑, ๓, ๑๐, ๑๖ และ ๓๐ จากหลักฐานนี้อาจสรุปได้ว่ามีการ เปลี่ยนใช้พ แทน วแล้วในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และค�ำว่า พระก็น่าจะเป็นค�ำ ในภาษาไทยด้วย เพราะในกลุ่มจารึกภาษาเขมรที่สร้างขึ้นก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และร่วมสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ใช้ค�ำว่า วระ ทั้งนั้น (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) _20-0355(151-316)p3.indd 167 6/7/2563 BE 09:22


168 การสัก ค�ำว่าสัก มีความหมายอย่างหนึ่งว่าใช้เหล็กแหลมจุ่มหมึกหรือน�้ำมันแทง ที่ผิวหนังให้เป็นอักขระ เครื่องหมาย หรือลวดลาย แต่โบราณมาไทยใช้วิธีสัก ที่ผิวหนัง ท�ำให้ไม่ลบเลือนด้วยจุดประสงค์ต่าง ๆ กัน เช่น ๑. สักที่หน้าเพื่อประจานหรือลงโทษ เช่น พระไอยการลักษณผัวเมีย ในกฎหมายตราสามดวง กล ่าวถึงการลงโทษหญิงที่ท�ำชู้หลายครั้งแล้วว ่า “ถ้าหญิงนั้นยังท�ำชู้ด้วยชายผู้เดียวนั้น ถึงสองถ่าเล่าไซ้ให้ไหมทวีคูน ถ้าท�ำชู้ เปลี่ยนชายอื่นให้ไหมชายชู้นั้นโดยปรถมผิดเมีย ส่วนหญิงนั้นให้โกนศีศะเปน ตะแลงแกงเอาขึ้นขาหย่างประจาน แล้วให้ทเวนรอบตลาดแล้วให้ทวนด้วยลวด หนัง ๒๐ ทีถ้าผัวมันยังรักเมียมัน แลมีให้ลงโทษแก่เมียมันไซ้ให้เอาสินไหมเฃ้า พระคลังหลวง ถ้าหญิงนั้นมันท�ำชู้ด้วยชายอื่นเล่าไซ้ ท่านมิให้ไหมชายชู้นั้นเลย ส่วนหญิงนั้นลงโทษดุจเดียวแล้วให้สักรูปชายหญิงไว้ในแก้ม” ๒. สักที่ข้อมือหรือท้องแขนเพื่อแสดงว่าได้ขึ้นทะเบียนเป็นชายฉกรรจ์ หรือเป็นเลกมีสังกัดกรมกองแล้วดังพระราชก�ำหนดเก่าในกฎหมายตราสามดวง มีข้อความว่า “...พระบาทสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวทรงมะหากรรุณาด�ำรัสเหนือ เกล้าฯ สั่งว่าให้ศักนามเมืองแลชื่อมูนนายลงไว้ในข้อมือไพร่ฟ้าประชากอรข้า ทแกล้วทหารทั้งปวงดั่งนี้เพื่อจะให้ท�ำราชการทั่วหน้ากัน” ด้วยเหตุที่ชายที่ ขึ้นทะเบียนเป็นทหารต้องถูกสักอาจารย์คงจึงท้วงเณรแก้วในบทเสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผน เมื่อรู้ว่าเณรแก้วต้องการจะสึกว่า ฆราวาสนี้ชาติมันชั่วนัก จะสึกไปให้สักเอ็งหรือหวา ข้อมือด�ำแล้วระก�ำทุกเวลา โพล่กับบ่าแบกกันจนบรรลัย คนที่ไม่มีรอยสักที่ข้อมือเรียกกันว่า คนข้อมือขาว ๓. สักที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและลงคาถาอาคม เพื่อให้แคล้วคลาด จากภยันตราย เช ่น ในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน พรรณนารอยสักของ _20-0355(151-316)p3.indd 168 6/7/2563 BE 09:22


169 แสนตรีเพชรกล้า แม่ทัพของพระเจ้าเชียงใหม่ ไว้ดังนี้ แขนขวาสักรงเป็นองค์นารายณ์ แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์ ขาขวาหมึกสักพยัคฆี ขาซ้ายสักหมีมีก�ำลัง สักอุระรูปพระโมคคัลลาน์ ภควัมปิดตานั้นสักหลัง สีข้างสักอักขระนะจังงัง ศีรษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีความพยายามให้คนไทยเลิกเชื่อ เรื่องไสยศาสตร์ ห้ามข้าราชการไม่ให้สักตามร่างกาย ผู้เข้ารับราชการทหาร จะกวดขันเป็นพิเศษถ้ามีรอยสักต้องลบรอยสักให้หมด จนเกิดอาชีพลบรอยสัก ขึ้นในครั้งนั้น คนไทยถิ่นเหนือและอีสานแต่เดิมมาก็นิยมการสัก ภาษาไทยถิ่นเหนือ มีค�ำว่า สับ หมายถึง สัก เช่น สับน�้ำหมึก หรือสับหมึก หรือสับขาลาย หมายถึง สักผิวหนังแล้วลงหมึกสีด�ำหรือสีครามเป็นลวดลายสารานุกรมอีสาน-ไทย-อังกฤษ อธิบายไว้ว่าถ้า สักที่แขนเรียกสักแขนลายสักที่ขาเรียกสักขาลายคนโบราณชอบสักลาย เพราะถือว่าเป็นความสวยงาม เป็นความเก่งกล้าสามารถ และเป็นการ ป้องกันภูตผีปีศาจ ปืนผาหน้าไม้ยิงไม่ออกแทงไม่เข้า ผู้ชายชอบสัก แต่ ผู้หญิงไม่ปรากฏ... ผู้หญิงอีสานสมัยโบราณชอบชายที่สักลาย เมื่อลง อาบน�้ำในแม่น�้ำ ถ้าชายคนใดไม่สักขา ผู้หญิงจะให้อาบน�้ำทางใต้ในการ เลือกคู่ครองก็ชอบเลือกชายที่สักลายเพราะถือว่าเป็นคนเก่งกล้าพอที่จะ เป็นที่พึ่งในเวลาจ�ำเป็น... คนไทนอกประเทศหลายกลุ่มก็นิยมการสัก ภาษาตระกูลไทหลายภาษา เช่น ภาษาไทใหญ่ ภาษาไทพ่าเก่ ภาษาไทอ่ายตอน และภาษาไทใต้คง ล้วนมี ค�ำที่หมายถึงสัก คนไทใต้คงเรียกการสักว่าอ๊าง หรือซ�้ำอ๊างค�ำว่าอ๊าง นอกจากจะหมายถึง สักแล้ว ยังหมายถึงการใช้เวทมนตร์ได้ด้วย ส่วนค�ำว่า ซ�้ำ หมายถึง ต�ำ อย่าง _20-0355(151-316)p3.indd 169 6/7/2563 BE 09:22


170 เข็มต�ำมือ เป็นต้น คนไทใต้คงคนหนึ่งเล่าว่า หนุ่ม ๆ มักจะสักรูปมังกรหรือเสือ ที่หน้าอกเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ต่าง ๆ บางคนก็สักลายทั้งตัว ความนิยม การสักมีมานานแล้ว หลักฐานก็คือคนจีนสมัยราชวงศ์ถังประมาณ ๑๐๐๐ ปีก่อน เรียกคนไทใต้คงว่า เซ่ว แตฺส่ว แปลว่า หน้าลาย เหตุที่หน้าลายก็เพราะสักหน้า คนไทพ่าเก่เรียกการสักว่าซ�้ำ เช่น ซ�้ำหน้า หมายถึงสักหน้าซ�้ำอ๊าง หมายถึง สักยาลงคาถาอาคม แทนที่จะสักด้วยหมึกเฉพาะค�ำว่าอ๊าง หมายถึงคาถาอาคม คนไทใหญ่ก็เรียกการสักว่า ซ�้ำ ซ�้ำอ๊าง หมายถึงสักยันต์ศาสตราจารย์ ดร.คุณบรรจบ พันธุเมธาอธิบายไว้ว่าค�ำว่าอ๊าง มาจากภาษาพม่าลักษณะของ อ๊างเป็นตารางหรือช่องส�ำหรับเขียนเลขหรือตัวอักษร ชาวไทใหญ่ที่คุณบรรจบ เห็นเมื่อหลายสิบปีมาแล้วนิยมสักทุกส่วนของร่างกายเว้นแต่หน้า บางคนยังสัก ไปถึงหัวทั่วทั้งหัวอีก ผู้หญิงบางคนก็สัก ส่วนมากสักด้วยหมึกสีแดงบนหลังมือ นอกจากนั้น ตามรายงานการศึกษาวิจัยเรื่องลายสักไทใหญ่การสักที่ชาว ไทใหญ่นิยม ได้แก่ ๑. สักยาข่าม (ข่าม หมายถึง คงกระพัน) เป็นรูปต่างๆเช่น เสือ แมวด�ำ หมูเขี้ยวตัน วัวกระทิง เพื่อให้คงกระพัน ๒. สักยามหานิยมเป็นรูปยันต์หรือรูปสัตว์ เช่น นกยูง กระต่าย จิ้งจอก สองหาง เพื่อให้มีสิริมงคล เจริญก้าวหน้า และเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป ๓. สักขาลาย โดยมากสักตั้งแต่เอวลงไปถึงเข่า ส่วนขาทั้งสองข้างสัก เป็นรูปกรอบเหลี่ยม เส้นกรอบหนาทึบคล้ายล�ำตัวของนาคหรืองูมีรูปเสืออยู่ใน กรอบสี่เหลี่ยมนั้น และอาจเติมรูปใบไม้ดอกไม้ให้สวยงามยิ่งขึ้น ลวดลายที่สัก เป็นเส้นทึบหนาเพื่อแสดงความอดทนเข้มแข็งและสักเป็นรูปเสือเพราะมีต�ำนาน ว่าชาวไทใหญ่มีก�ำเนิดมาจากเสือ ๔. สักข่ามเขี้ยว มักสักที่น่องไปถึงข้อเท้าเป็นรูปแมว เสือ และอักขระ คาถา เพื่อป้องกันพิษจากสัตว์เช่น งูตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ฯลฯ _20-0355(151-316)p3.indd 170 6/7/2563 BE 09:22


171 ปัจจุบันความนิยมในการสักลดลงมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเพณีสักขา ลายนั้นอาจกล่าวได้ว่าสูญไปหมดแล้ว (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง บรรจบ พันธุเมธา.“อันเนื่องด้วยวัฒนธรรม”ในสตรีสารฉบับวันที่๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๘, หน้า ๓๑. ศิลปากร. เรื่องกฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ, ๒๕๒๑. เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน. พิมพ์ครั้งที่๑๘. พระนคร:ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๑๓. สายสม ธรรมธิ. “รายงานการศึกษาวิจัยเรื่องลายสักไทใหญ่”. เชียงใหม่ : สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๓๘. ส. พลายน้อย(นามแฝง).สารานุกรมวัฒนธรรมไทย.กรุงเทพฯ พิมพ์ค�ำ, ๒๕๕๓. ปรีชา พิณทอง. สารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ. อุบลราชธานี: โรงพิมพ์ ศิริธรรม, ๒๕๓๑. ก�ำเนิดคชพงศ์ ตอนที่ ๑ คชพงศ์เป็นเรื่องราวหรือความรู้เกี่ยวกับช้างตระกูลต่างๆในโลก มีความ ปรากฏอยู่ในคัมภีร์คชลักษณ์เริ่มตั้งแต่การก�ำเนิดช้างความว่าในกาลสมัยสร้าง โลกขณะที่พระวิษณุหรือพระนารายณ์บรรทมอยู่ ณ เกษียรสมุทร มีดอกบัวผุด จากพระนาภีดอกบัวนั้นมี๘ กลีบ ๑๗๓ เกสร พระวิษณุน�ำดอกบัวไปถวาย พระอิศวร ครั้งนั้น พระอิศวรแบ่งดอกบัวออกเป็น ๔ ส่วน เป็นของพระองค์เอง ๘ เกสร ส่วนที่เหลือแบ่งประทานพระพรหม ๒๔ เกสร พร้อมกับกลีบดอกบัว ทั้ง ๘ กลีบ พระวิษณุ๘ เกสร และพระอัคนีหรือพระเพลิง ๑๓๓ เกสร เทพเจ้าทั้ง ๔ เนรมิตดอกบัวในแต่ละส่วนที่พระองค์ได้ไว้ให้บังเกิดเป็นช้าง ขึ้นในโลก ปรากฏเป็นคชพงศ์หรือช้างตระกูลต่างๆ ๔ ตระกูล มีชื่อเรียกตามนาม เทพเจ้าผู้เนรมิตได้แก่ช้างตระกูลอิศวรพงศ์พรหมพงศ์วิษณุพงศ์และอัคนิพงศ์ _20-0355(151-316)p3.indd 171 6/7/2563 BE 09:22


172 และเมื่อให้ก�ำเนิดช้างแล้วก็โปรดให้มีเทวดา ๒๖ องค์สถิตรักษาส่วนต่าง ๆ อยู่ในร่างกายของช้าง ได้แก่ พระอาทิตย์อยู่ที่หัว พระจันทร์อยู่ที่คอ พระอังคาร อยู่ที่บ่าทั้ง ๒ ข้าง พระพุธอยู่ที่เท้าทั้งสี่ พระพฤหัสบดีอยู่ที่หัวใจ พระศุกร์อยู่ที่ ท้อง พระเสาร์อยู่ที่อวัยวะเพศ พระราหูอยู่ที่ลิ้น พระเกตุอยู่ที่อก พระจักรีอยู่ที่ ตาทั้งคู่ พระเทพทัณฑิอยู่ที่งาข้างขวา พระกาลอยู่ที่งาข้างซ้าย พระกลีอยู่ที่เล็บ พระนาคราชอยู่ที่งวง พระกัลเหียงคงคาอยู่ที่แก้ม พระพายอยู่ที่หูทั้งสองข้าง พระมงคลนาคราชอยู่ที่หาง พระฤๅษีกรรมอยู่ที่สีข้างด้านขวา พระเบญจเทพอยู่ ที่สีข้างด้านซ้าย กุมฤแดงวาสุเทพอยู่ที่ตะโพก พระฤๅษีธรณีอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ที่เหลือของสรรพางค์ได้แก่ หนัง ขนตา มูล มูตร และเนื้อ คชพงศ์ทั้ง ๔ ตระกูล มีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไปตามเทวฤทธิ์ของ เทพเจ้าทั้ง ๔ นั้น ในคัมภีร์คชลักษณ์แบ่งลักษณะส�ำคัญของช้างออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ ช้างศุภลักษณ์ หมายถึง ช้างลักษณะดีและช้างทุรลักษณ์ บางต�ำราเรียก บาปลักษณ์หรือ อัปลักษณ์หมายถึง ช้างลักษณะร้าย อนึ่ง ช้างแต่ละพงศ์ต่างมีรูปร่างลักษณะเฉพาะเป็นเอกลักษณ์แห่งพงศ์ นั้น ๆ มีดังนี้ ช้างตระกูลอิศวรพงศ์ เมื่อพระอิศวรโยนเกสรบัวส่วนที่พระองค์ได้ไว้ ทั้ง ๘ เกสรลงในโลกแล้ว บังเกิดเป็นคชชาติ๘ หมู่ รวมเรียกว่า อัฐคชาธาร ลักษณะเป็นช้างศุภลักษณ์วรรณะกษัตริย์มีผิวหนังละเอียดเกลี้ยง สดใส สีขน มีสีเดียวกับสีผิวด�ำสนิทเสมอกันตลอดตัว หน้าใหญ่ น�้ำเต้า (อวัยวะส่วนที่อยู่ ต้นงวง มีรูปโป่งคล้ายน�้ำเต้า) กลม โขมด (อวัยวะส่วนกลางกระหม่อมช้าง หรือ จอมปราสาทศีรษะช้าง) สูง ขมับเต็มไม่พร่องเสมอกันทั้ง ๒ ข้าง กระบอกตา ใหญ่และงาม ใบหูใหญ่ ระบายหูอ่อนนุ่ม ข้างขวามีขนมากกว่าข้างซ้าย คอกลม งวงเรียวเป็นต้นเป็นปลายใหญ่ไปหาเล็ก งาทั้งคู่ใหญ่เสมอกันและงอนขึ้นอยู่ใน ระดับเดียวกัน สนับงา (อวัยวะส่วนที่เป็นเนื้อหุ้มโคนงา) มี๒ ชั้น ปากรีมีรูป เหมือนพวย (ปาก) หอยสังข์อกใหญ่ เท้าทั้งสี่ใหญ่เรียวดูอ่อน มีรอยรัดข้อเท้า _20-0355(151-316)p3.indd 172 6/7/2563 BE 09:22


173 (อวัยวะส่วนข้อเท้าเหนือเล็บ มีรอยยุบเข้ารอบข้อเท้าเหมือนถูกเชือกผูกรัดไว้) ฝักบัวกลม (อวัยวะส่วนเท้าช้างมีเล็บรอบ กลม รูปลักษณะเหมือนฝักบัว) หาง เป็นข้อห่างๆ ช่อม่วง (อวัยวะเพศของช้างพลาย)ยาวเอียงไปข้างขวาผนดท้อง (อวัยวะส่วนท้องมีรอยย่นของผิวหนังวนตามขวางล�ำตัว) ตามวง หลัง ล�ำตัว ส่วนหน้าสูงกว่าท้าย (อวัยวะส่วนตะโพก) เมื่อเดินยกคอ หลังโค้งขึ้นเล็กน้อย เป็นคันธนูท้ายเหมือนสุกร ทุกส่วนของร่างกายงามพร้อม ช้างตระกูลพรหมพงศ์ เป็นช้างศุภลักษณ์วรรณะพราหมณ์ มีผิวหนัง ละเอียดอ่อน ขนเส้นเรียบยาวอ่อนละเอียดงอกขึ้นขุมละ ๒ เส้น สีขนมีสีเดียว กับสีตัวขนหูขนปากขนตาและขนหลังยาว มีกระขาวดุจดอกกรรณิการ์ทั่วตัว หน้าใหญ่ น�้ำเต้าแฝด โขมดสูง นัยน์ตางามใสดุจแก้ว คิ้วสูง งวงเรียวเป็นต้น เป็นปลายและสั้น แลดูงาม งายาวใหญ่สมส่วน สีเหลืองดุจสีดอกจ�ำปา อกใหญ่ สีขาว เท้าทั้ง ๔ ข้างใหญ่ เรียว มีรอยรัดข้อเท้า ฝักบัวกลม ขณะยืนส่วนหน้า สูงกว่าส่วนท้าย ทุกส่วนของร่างกายงามพร้อม ในต�ำราสร้างโลกกล่าวว่า พระพรหมได้แบ่งเกสรบัว ส่วนที่พระองค์ได้ไว้ มอบให้นางเทพอัปสรมหาอุปกาลี๑๐ เกสร นางกินเกสรบัวแล้วให้ก�ำเนิดช้าง ๑๐ หมู่ ตระกูลพรหมพงศ์ เป็นช้างศุภลักษณ์วรรณะพราหมณ์ส่วนกลีบบัว ๘ กลีบ พระพรหมได้เนรมิตให้บังเกิดเป็นคชชาติ๘ หมู่ ได้นามว่าอัฐทิศให้อยู่ ประจ�ำทิศทั้ง ๘ และเกสรบัวส่วนที่เหลืออีก ๑๔ เกสร ได้เนรมิตให้บังเกิดเป็น คชชาติโดยมีก�ำเนิดจากการประสมระหว่างช้างอัฐทิศทั้ง ๘ หมู่นั้น ให้เป็นช้างอีก ๑๔ หมู่ได้นามว่าอ�ำนวยพงศ์เป็นช้างศุภลักษณ์วรรณะพราหมณ์เช่นเดียวกัน ช้างตระกูลวิษณุพงศ์เมื่อพระวิษณุโยนเกสรบัวทั้ง ๘ ลงบนพื้นโลกแล้ว ก็เนรมิตให้บังเกิดเป็นช้าง ๘ หมู่ เรียกว่าอัฐคชเป็นช้างศุภลักษณ์วรรณะแพศย์ มีผิวหนังหนา สีขนสีเดียวกับสีตัว ขนเกรียน หน้าใหญ่ น�้ำเต้ากลม โขมดใหญ่ และงาม ลูกนัยน์ตาใหญ่สีขาวขุ่น คางใหญ่คอใหญ่และสั้น อกใหญ่งวงยาวเรียว เป็นต้นเป็นปลายตัวใหญ่สั้นและงาม หลังราบ (อวัยวะส่วนหลังโค้งเรียบไม่เป็น _20-0355(151-316)p3.indd 173 6/7/2563 BE 09:22


174 ปุ่มเป็นตอ) หางยาวบังคลอง(อวัยวะส่วนโคนหางกว้างปิดช่องทวารเหมือนเป็น เนื้อเดียวกับตะโพก)กระชั้นควาญ (อวัยะส่วนเหนือโคนหาง บางทีเรียกท้ายช้าง) งาม เท้าทั้งสี่ใหญ่ เรียว มีรอยรัดข้อเท้าฝักบัวกลม มีกระละเอียดสีแดงเสมอกัน บริเวณล�ำตัวและใบหูเมื่อร้องมีเสียงดังก้องกังวาน ช้างตระกูลอัคนิพงศ์เมื่อพระอัคนีโยนเกสรบัวลงบนพื้นโลกแล้วเนรมิต ให้บังเกิดเป็นช้างวรรณะศูทร โดยแบ่งเกสรจ�ำนวน ๔๗ เกสรให้บังเกิดเป็น คชชาติอัคนิพงศ์ศุภลักษณ์๔๗ หมู่และโยนเกสรบัวลงไปอีก ๘๑ เกสรให้บังเกิด เป็นคชชาติอัคนิพงศ์ทุรลักษณ์หรืออัปลักษณ์๘๑ หมู่ ส่วนเกสรที่เหลืออีก ๑๒ เกสรก็เนรมิตให้บังเกิดเป็นคชชาติอัคนิพงศ์ทุรโทษ ๕ หมู่และอัคนิพงศ์ลหุโทษ ๗ หมู่แต่ละหมู่มีลักษณะเฉพาะแห่งวรรณะดังนี้ - คชชาติอัคนิพงศ์ศุภลักษณ์มีผิวหนังกระด้างเส้นขนหยาบ ขนมีสีเดียว กับสีตัว หน้ามีกระเล็ก ๆ สีแดงเสมอกันเหมือนแววหางนกยูงดูงดงาม หน้างวง แดง ปากแดง นัยน์ตาสีน�้ำผึ้ง หูแดงตะเกียบหู(อวัยวะส่วนกระดูกใบหูตอนบน) ห่าง ขนหูหยาบ งาสีแดงเรื่อ ๆ สันหลังแดง หางสั้นเขิน เท้าทั้งสี่ใหญ่ เรียว มีรอยรัดข้อเท้า ฝักบัวกลม เส้นขนหางกลมละเอียดดูงาม สีกายหม่นไม่ด�ำสนิท - คชชาติอัคนิพงศ์ทุรลักษณ์หรืออัปลักษณ์ เป็นช้างที่มีรูปร่าง ขนาด สีกาย และบุคลิกผิดปรกติพิการ หรือแปลกประหลาดกว่าช้างทั่วไป ไม่งดงาม สมส่วน เป็นช้างที่ให้โทษแก่ผู้เลี้ยงดูและได้พบเห็น คชพงศ์ที่กล่าวมาข้างต้น ส่วนที่มีคุณสมบัติเป็นศุภลักษณ์เชื่อกันว่าเป็น ช้างที่ส่งให้เกิดสิริมงคลต่าง ๆ แก่ผู้เลี้ยงดูถ้าเป็นช้างตระกูลอิศวรพงศ์จะท�ำให้ บังเกิดความเจริญรุ่งเรือง มั่งมีด้วยทรัพย์สมบัติและอ�ำนาจวาสนา ช้างตระกูล พรหมพงศ์จะท�ำให้เจริญด้วยอายุมีความวัฒนาสถาพรและคุณวิเศษทางวิชาการ ด้านต่าง ๆ ช้างตระกูลวิษณุพงศ์จะท�ำให้ประสบชัยชนะแก่ศัตรูและหมู่มาร เจริญด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร น�้ำท่า น�้ำฝน อุดมสมบูรณ์เป็นที่ต้องใจแก่คนทั่วไป และช้างตระกูลอัคนิพงศ์ถ้ามีลักษณะเป็นศุภลักษณ์ก็จะเกิดมงคลแก่ผู้เลี้ยงดู _20-0355(151-316)p3.indd 174 6/7/2563 BE 09:22


175 แต่ถ้ามีลักษณะทุรลักษณ์จะมีสภาพเหมือนไฟสุมอยู่ในอกของผู้เลี้ยงดู มักเกิด เหตุร้ายวิปริตไปต่าง ๆ จึงไม่ควรเลี้ยงไว้ในบ้านในเมือง ควรน�ำไปปล่อยในป่า ให้อยู่ตามธรรมชาติของช้างต่อไป (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) ก�ำเนิดคชพงศ์ ตอนที่ ๒ : ช้างมงคลและช้างเผือก ช้างมงคล คือช้างที่มีลักษณะดีสมบูรณ์พร้อมด้วยมงคลตามคัมภีร์ คชลักษณ์ได้แก่ กลุ่มช้างศุภลักษณ์๔ ตระกูล และถ้าช้างศุภลักษณ์ตระกูลใด ตระกูลหนึ่งมีคุณลักษณะมงคลเป็นพิเศษอย่างยิ่งเฉพาะแห่งในร่างกายอีก ๗ ประการจึงเรียกว่าช้างเผือกได้แก่ นัยน์ตาสีขาว(เหมือนสีนมข้น)ขน เล็บและ ข้างในไรเล็บ เพดาน เป็นสีขาว ผิวหนังขาวหรือสีคล้ายสีหม้อใหม่ (สีทองแดง) ขนหางยาวเป็นเส้นเรียบมันเงา อัณฑโกศ (หนังหุ้มอวัยวะเพศช้างพลาย) สีขาว หรือสีชมพูหรือสีคล้ายสีหม้อใหม่ ตามคติโบราณเชื่อกันว่าลักษณะมงคลทั้ง ๗ ประการบังเกิดขึ้นภายใน กายของช้างเผือกเอง หากบ้านเมืองใดมีช้างเผือกเป็นช้างคู ่บ้านคู ่เมืองคู ่ พระบารมีของพระมหากษัตริย์ แสดงว ่าพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นทรงมี บุญญาธิการยิ่งด้วยพระบรมเดชานุภาพ เป็นสิริมงคลอันอุดมยิ่งแก่บ้านเมืองนั้น อาณาประชาราษฎร์ก็จะมีแต่ความสุขทั่วหน้าและยังมีความเชื่ออีกว่ามงคลที่อยู่ ในกายของช้างเผือกนั้น มีอิทธิส่งสิริมงคลออกไปถึงผู้เป็นเจ้าของผู้ได้ปรนนิบัติ เลี้ยงดูรวมถึงผู้อื่นแม้เพียงได้เห็นก็ได้รับสิริมงคลแห่งช้างเผือกนั้นด้วย ในคัมภีร์ไตรภูมิกล่าวว่า ช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของสิ่งมงคลคู ่ พระบารมีของพระมหาจักรพรรดิคือเป็นหนึ่งในสัปตรัตนะหรือแก้ว ๗ ประการ ได้แก่จักรแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ม้าแก้ว และช้างแก้ว เรื่องเกี่ยวกับช้างมีข้อก�ำหนดเป็นกฎหมายของไทยว่าผู้ใดมีช้างลักษณะดี เป็นมงคลจะด้วยการคล้องได้จับได้หรือช้างของตนตกลูกออกมาในบ้าน ต้องน�ำ _20-0355(151-316)p3.indd 175 6/7/2563 BE 09:22


176 ช้างนั้นขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ช้างลักษณะเป็น มงคลดังกล่าวในพระราชบัญญัติรักษาช้างป่า พ.ศ. ๒๔๖๕ ก�ำหนดไว้มี๓ ชนิด คือ ช้างส�ำคัญ ช้างสีประหลาด และช้างเนียม ช้างแต่ละชนิดมีรายละเอียดดังนี้ ช้างส�ำคัญ คือ ช้างศุภลักษณ์ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง กับมีลักษณะเฉพาะ แห่งมงคลช้างเผือกครบทั้ง ๗ ประการ ช้างสีประหลาด คือช้างศุภลักษณ์ตระกูลใดตระกูลหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะ แห่งมงคลช้างเผือก เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายแห่งแต่ไม่ครบ ๗ อย่าง ช้างเนียม คือ ช้างศุภลักษณ์ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง มีผิวหนังด�ำ งาดัง ปลีกล้วย เล็บด�ำ เป็นช้างหายาก น้อยนักจะพบช้างลักษณะเช่นนี้ การได้พบช้างดังกล่าวข้างต้น เมื่อผู้รู้ได้พิสูจน์แน่ชัดแล้วว่าเป็นช้างที่ มีลักษณะมงคลจริง ถึงแม้ว่าจะไม่ครบทุกส่วนตามที่ปรากฏในต�ำรา เบื้องต้น ก�ำหนดเรียกว่า ช้างส�ำคัญ ก่อน ต่อเมื่อได้น�ำขึ้นน้อมเกล้าฯถวายและประกอบ พระราชพิธีสมโภช ขึ้นระวาง (ขึ้นทะเบียนรับราชการ) กับพระราชทานนาม เครื่องคชาภรณ์และเครื่องยศ แล้ว จึงเรียกว่า ช้างเผือก และเมื่อถือว่าเป็น ช้างของพระเจ้าแผ่นดิน จะเรียกว่า พระยาช้างต้น หรือ ช้างต้น ส่วนช้างที่ทรง ใช้เป็นพระราชพาหนะ เรียกว่า ช้างพระที่นั่ง ตามประเพณีสืบมาแต่โบราณช้างเผือกที่ขึ้นระวางเป็นพระยาช้างต้นมีการ จัดล�ำดับแห่งมงคลลักษณะเป็นช้างเผือกเอก ช้างเผือกโท และช้างเผือกตรี โดยยกย่องให้มีศักดิ์สูงคล้ายกับพระราชวงศ์ชั้นเจ้าฟ้า สังเกตได้จากในการ พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างเผือก จะมีการอ่านฉันท์ดุษฎีสังเวยและขับไม้ ซึ่งถือกันว่าเป็นของสูง มีได้เฉพาะพระราชพิธีส�ำคัญ ๓ พิธีเท่านั้น คือ ๑. การพระราชพิธีสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ ในงานพระราชพิธีฉัตรมงคล ๒. การพระราชพิธีสมโภชเดือนขึ้นพระอู่ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่ด�ำรง พระยศชั้นเจ้าฟ้า _20-0355(151-316)p3.indd 176 6/7/2563 BE 09:22


177 ๓. การพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างเผือก นามช้างเผือกที่ได้รับพระราชทานในสมัยอยุธยา ถ้าเป็นช้างพลาย มัก ขึ้นต้นด้วย พระบรม เช่น พระบรมไกรสร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงได้เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๐ ถ้าเป็นช้างพังจะขึ้นต้นด้วย พระอินท เช่น พระอินทไอยราพต สมเด็จพระเพทราชาทรงได้เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๓ ในสมัยรัตนโกสินทร์ถ้าเป็น ช้างพลาย ขึ้นต้นด้วย พระเศวต เช่น พระเศวตสุวภาพรรณ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๕ ถ้าเป็นช้างพังจะขึ้นต้นด้วย พระเทพ เช่น พระเทพคชรัตนกิริณีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗ เครื่องคชาภรณ์ที่ได้รับพระราชทานในวันประกอบพระราชพิธีสมโภช ขึ้นระวางช้างเผือก ประกอบด้วย ผ้าปกกระพอง (ผ้าคลุมศีรษะ มีตาข่ายห้อย ลงมาอยู่ที่หน้าผาก) พู่หู(พู่สีขาว ส่วนใหญ่ท�ำจากขนหางจามรี) ห้อยจากผ้า ปกกระพองอยู่ด้านหน้าใบหูทั้ง ๒ ข้าง ทามคอ (เชือกถักเป็นแผ่นแบน ใช้วน รอบคอช้าง) พานหน้า (เชือกถักเป็นแผ ่นแบน ใช้วนรอบอก) พานหลัง (เชือกถักเป็นแผ่นแบน ๒ เส้นคู่ มีเส้นโยงเชื่อม ๑ เส้น ใช้วางทอดบนหลัง)ส่วน ปลายเส้นเชือกทามคอ พานหน้า พานหลัง จะมีห่วงติดไว้เป็นที่ยึดแต่ละเส้น กับยังมีส�ำอาง(ห่วงโลหะรูปโค้งครึ่งวงกลม ใช้คล้องใต้โคนหางยึดกับพานหลัง) พนาศ (ผ้าคลุมหลัง) และ เสมาคชาภรณ์ (สายสร้อยทองค�ำห้อยจี้รูปเสมา ทองค�ำลงยา) เครื่องยศที่ได้รับพระราชทาน ดังมีตัวอย่างปรากฏในพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๓ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดีกล่าวว่า ประกอบด้วย หม้อน�้ำ (ท�ำด้วยเงิน) ๒ หม้อ โต๊ะ (พานมีเชิงท�ำด้วยเงิน) ๔ โต๊ะ ใช้วางอาหารมีกล้วย อ้อย เป็นต้น เครื่องคชาภรณ์และเครื่องยศที่ได้รับพระราชทานดังกล่าวข้างต้นจะมี ความแตกต่างกันตามชั้นยศและหน้าที่ กล่าวคือ ช้างเผือก หรือ ช้างพระที่นั่ง _20-0355(151-316)p3.indd 177 6/7/2563 BE 09:22


178 เครื่องคชาภรณ์ที่ได้รับพระราชทานเป็นชุดเครื่องกุดั่น คือส่วนที่เป็นตาข่ายท�ำ ด้วยกุดั่น (แก้วแกมทอง) ประกอบด้วยลูกปัดท�ำด้วยแก้วเจียระไนประดับตุ้งติ้ง ท�ำด้วยทองค�ำ ช้างต้นได้รับพระราชทาน เครื่องถมปัด คือส่วนที่เป็นตาข่ายท�ำ ด้วยเครื่องถมปัด(ลูกปัดและตุ้งติ้งท�ำด้วยโลหะเขียนลวดลายด้วยน�้ำยาถมปัดซึ่ง ประกอบด้วยลูกปัดแก้วสีต่างๆ บดเป็นผงละเอียดผสมกับน�้ำเมือกเมล็ดแมงลัก เขียนเสร็จแล้วน�ำไปอบให้ร้อน น�้ำยาถมปัดจะจับติดโลหะคล้ายการเขียนสี เคลือบโลหะนั้น) ช้างดั้ง ได้รับพระราชทาน เครื่องลูกพลู(ส่วนที่เป็นตาข่ายท�ำ ด้วยผ้าปักดิ้นทองฉลุเป็นลวดลาย มีพู่ห้อยตามส่วนต่างๆของเครื่องคชาภรณ์) ช้างหลวงที่ขึ้นระวางใช้ในราชการแล้วจะได้รับการฝึกหัดให้ปฏิบัติหน้าที่ ตามต�ำแหน่งที่ได้รับ ดังนี้ ๑. ช้างเผือก จะได้รับการฝึกหัดให้สามารถยืนนิ่ง ๆ ได้เป็นเวลานาน ๆ ไม่ตื่นตกใจเมื่อได้ยินเสียงพระสงฆ์สวดมนต์และให้มีความเคยชินกับเสียงดนตรี เสียงขับกล่อม กับมีหน้าที่หลักคือแต่งเครื่องคชาภรณ์ออกยืนแท่น เพื่อแสดง พระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ในงานพระราชพิธีส�ำคัญ ๆได้แก่พระราชพิธี บรมราชาภิเษก พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระราชพิธีฉัตรมงคลรวมทั้ง ในการเสด็จออกรับราชทูตต่างประเทศ หรือในงานพระราชทานเลี้ยงเป็นเกียรติ แก่พระราชอาคันตุกะผู้เป็นประมุขของต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ในสมัยต้น รัตนโกสินทร์เมื่อประกอบพระราชพิธีดังกล่าวก็จะแต่งช้างเผือกออกยืนเครื่อง ที่เกยข้างพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ในพระบรมมหาราชวังทุกคราวดังปรากฏหลักฐาน ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๓ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงรับราชทูตอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๘ ความว่า ครั้งนั้นเป็นการใหญ่...ที่เกยข้างนอกก�ำแพง ยืนช้างพระที่นั่งแต่ง เครื่องกุดั่น ผูกพนาศระบาย ๓ ชั้น ผ้าปักหลังกันชีพ นายควาญนุ่งกางเกง สนับเพลาสมปักลาย คาดเกี้ยว คาดปะคด สวมเสื้อทรงประพาส หมวก ทรงประพาส ถือขอช้าง เชิญพระแสงของ้าว คนถือกันชิงเกลดหน้า _20-0355(151-316)p3.indd 178 6/7/2563 BE 09:22


179 ๒ หลัง ๒ คน ถือตะบองกลึงข้างละ ๒ ถือแส้ไม้หวายข้างละ ๒ ถือแส้ หางม้าข้างละ ๑ และมีคนถือเครื่องยศส�ำหรับพระยาช้าง หม้อน�้ำเงิน ๑ โต๊ะเงิน กล้วย ๒ หญ้า ๒... ส ่วนวันปรกติที่ไม ่มีพระราชพิธีตามหลักฐานที่ได้ทราบจากควาญผู้ ดูแลพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ช้างเผือกช้างแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อครั้งยังอยู่ที่โรงช้างต้นใน บริเวณพระต�ำหนักจิตรลดารโหฐาน สัมภาษณ์เมื่อวันที่๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เล่าว่า ทุกวัน เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. ควาญต้องแต่งกายให้พระเศวตฯ ด้วยเครื่องคชาภรณ์ล�ำลอง พาเดินออกจากโรงช้างต้น ไปตามถนนด้านหลัง พระต�ำหนักที่ประทับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อถึงตรงที่ประทับจะหยุด เดินแล้วถวายบังคม ๓ ครั้งจากนั้นจึงเดินกลับโรงช้างต้น พระเศวตฯจะปฏิบัติ เช่นนี้ทุกวันไม่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะประทับอยู่ในพระต�ำหนัก หรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้เป็นไปตามราชประเพณีที่ว่า หน้าที่ประจ�ำของช้างเผือกประจ�ำ รัชกาล ต้องถวายความจงรักภักดีเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หัวได้ ทอดพระเนตรช้างเผือกทุกวัน จะได้ยังให้บังเกิดสิริมงคลอย่างยิ่งแด่พระองค์ ๒. ช้างพระที่นั่ง จะได้รับการฝึกหัดให้สามารถเดินในกระบวนได้ เรียบร้อย ให้รู้จักการต่อสู้ได้คล่องแคล่ว เช่น การใช้งาชน แทง งัด หรือประงา กับคู่ต่อสู้ที่เรียกว่า ช้างบ�ำรูงา ทั้งนี้เพราะในสมัยโบราณพระเจ้าแผ่นดินจะ ทรงช้างเพื่อการศึกสงครามในการรักษาบ้านเมือง และการขยายขอบเขต พระราชอาณาจักร เป็นต้น ๓. ช้างต้น คือช้างที่บางครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอาจทรงเลือก ใช้เป็นพระราชพาหนะ จึงได้รับการฝึกหัดให้รู้งานและมีความสามารถเช่นเดียว กับช้างพระที่นั่ง ๔. ช้างดั้ง เป็นช้างที่จัดเข้าในกระบวนทัพหน้า ต้องฝึกหัดให้รู้จักการ เดินทัพ การต่อสู้โดยใช้งาปะทะวิ่งชนไปเบื้องหน้า บุกตะลุยท�ำลายสิ่งกีดขวาง _20-0355(151-316)p3.indd 179 6/7/2563 BE 09:22


180 เคยชินกับเสียงปืน และอาวุธชนิดต่าง ๆ ถ้าเป็นกระบวนแห่ช้างดั้งจะเดินอยู่ หน้ากระบวน ช้างมงคลและช้างเผือกมีเข้ามาสู่พระบารมีของพระเจ้าแผ่นดินไทยทุกยุค ทุกสมัย เช่น ในสมัยอยุธยา ช้างเผือกที่ขึ้นระวาง มีการกล่าวถึงมากที่สุดคือ รัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ(พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑) มีช้างเผือกในรัชกาล ๗ ช้างและได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า“พระเจ้าช้างเผือก”ส่วนในสมัย รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมี ช้างเผือกในรัชกาล ๖ ช้าง แต่ที่ส�ำคัญ เป็นช้างเผือกเอก จ�ำนวนมากถึง ๓ ช้าง ด้วยเหตุนี้จึงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ธงรูปช้างเผือกเป็นธงประจ�ำชาติแต่นั้นมาจนถึง รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยน ธงชาติเป็นธง ๓ สีเหมือนชาติตะวันตก และใช้สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงมีช้างเผือกและช้างสีประหลาดเข้ามาสู่พระบารมี๑๙ ช้าง ที่ได้มีการประกอบ พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางแล้วเป็นช้างเผือก ๑๐ ช้าง ช้างเผือกและช้างสี ประหลาดที่ทรงรับเป็นช้างต้น แต่ยังไม่ได้ประกอบพระราชพิธีสมโภช ๙ ช้าง ช้างทุกช้างโปรดเกล้าฯ ให้สถาบันคชบาลแห่งชาติดูแล และน�ำขึ้นไปยืนโรงที่ โรงช้างต้น ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อ�ำเภอห้างฉัตร จังหวัดล�ำปาง จ�ำนวน ๖ ช้าง และที่โรงช้างต้น ในบริเวณพระต�ำหนักภูพานราชนิเวศน์อ�ำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร จ�ำนวน ๔ ช้าง ช้างเผือกช้างแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร ทรงได้มาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๒ โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯยืนโรงณโรงช้างต้น ในบริเวณพระต�ำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ตลอดเวลาจนถึงต้น พ.ศ. ๒๕๔๗ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่วังไกลกังวลอ�ำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระเศวตฯ ไปยืนโรงอยู่ที่โรงช้างต้นซึ่งสร้างขึ้นใหม่ ในบริเวณวังไกลกังวล อ�ำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (และล้มเมื่อ ๓ _20-0355(151-316)p3.indd 180 6/7/2563 BE 09:22


Click to View FlipBook Version