81 เทวโลกแลก�ำหนดปลงพระชนมายุสังขาร จึงบันดาลตกลงมาแต่สุราลัย เทวโลก แลกาลบัดนี้ไฉนจึงมีดอกมณฑาร์ปรากฏ ดังอาตมปริวิตกด้วย องค์พระสุคตก็ทรงพระชรา หรือว่าพระศาสดาเข้าสู่พระปรินิพพาน ประการใด ควรอาตมาจะได้ไต่ถามอาชีวก... พระมหากัสสปถามอาชีวกแล้วจึงได้ทราบว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จ ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ๗ วัน ในวรรณกรรมไทยก็มีการน�ำดอกมณฑามาใช้เปรียบเทียบ ในบทดอกสร้อย สวรรค์ครั้งกรุงเก่า ซึ่งอ้างไว้ใน ปทานุกรมพรรณไม้ในต�ำนานเมือง มีว่า มาเอยมาพบ ดอกสร้อยสวรรค์มาไลย เรียมรักจ�ำนงจงใจ จะใคร่ได้ดอกสุมณฑาฯ อีกบทหนึ่งกล่าวว่า ขาวศรีสมบูรณ์บงกชมาศ เพียงจะบาดตาพี่ไม่มีสอง ภักตราดังมณฑาทอง ท�ำนองดังหงษ์ทองบินฯ บทดอกสร้อยข้างต้นเปรียบสตรีสูงศักดิ์กับดอกมณฑาซึ่งเป็นดอกไม้ สวรรค์การเปรียบเช่นนี้นับว่าเป็นที่นิยม ในเพลงลาวค�ำหอมก็กล่าวถึงมณฑา ว่าเป็นไม้สุดสูง ดังนี้ ยามเมื่อลมพัดหวน ลมก็อวลแต่กลิ่นมณฑาทอง ไม้เอยไม้สุดสูง อย่าสู้ปอง ไผเอยบ่ได้ต้อง แต่ยินเอย นามดวงเอย อาจกล่าวได้ว่าแต่เดิมมา ค�ำว่ามณฑาหมายถึงไม้สวรรค์เท่านั้น ค�ำว่า มณฑาเพิ่มความหมายอีกอย่างหนึ่งต่อเมื่อมีการน�ำพรรณไม้ที่ภายหลังเรียกว่า มณฑาเข้ามาจากต่างประเทศแล้ว ส.พลายน้อยเขียนไว้ในหนังสือพฤกษนิยาย ว่าในบทสักรวาเรื่องอิเหนา มีกล่าวถึงมณฑา ดังนี้ สักรวาองค์ระเด่นจินตะหรา เที่ยวชมพรรณพฤกษาในสวนศรี สอยสายหยุดพุดจีบปีบจ�ำปี สารภีกาหลงชงโค _20-0355(001-150)p3.indd 81 6/7/2563 BE 09:21
82 ต้นมณฑามาแต่แขกแรกมี พึ่งออกดอกปีนี้มีอักโข สาวสวรรค์ชี้บอกว่าดอกโต เก็บใส่โถจะเอาไปให้น้องเอย บทสักรวาเรื่องอิเหนานี้เป็นบทที่ใช้เล่นถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวซึ่งส. พลายน้อยเข้าใจว่าเล่นในงานฉลองวัดราชโอรสเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๔ ส. พลายน้อยจึงสันนิษฐานว่ามณฑาที่คล้ายยี่หุบนั้นอาจเข้ามาเมืองไทยประมาณ ก่อนหน้านั้น และมาจากเมืองแขก ซึ่งก็คงต้องค้นคว้ากันต่อไปว่าแขกอะไร (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ. ปฐมสมโพธิกถา (ฉบับ กรมการศาสนา). กรุงเทพฯ : สหธรรมิก, ๒๕๓๗. ส. พลายน้อย (นามแฝง). พฤกษนิยาย. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น, ๒๕๔๓. สังข์พัธโนทัย. ปทานุกรมพรรณไม้ในต�ำนานเมือง. ม.ป.ท., ม.ป.ป. มะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไม้พูดได้ในวรรณคดีไทย มะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นพันธุ์ไม้พุ่มยืนต้น สามารถปลูกได้ทั่วไปใน ประเทศไทย สูงราว ๒–๕ เมตร มีหนามแหลมยาว ใบเดี่ยวรูปไข่ ขอบใบเรียบ ผิวใบมัน เนื้อใบเรียบ ดอกเล็กสีขาวออกเป็นช ่อตามซอกใบและปลายกิ่ง โคนดอกมีสีชมพูหรือแดงอ่อน และมีกลิ่นหอมอ่อน ๆออกดอกตลอดปีส่วนผล เป็นผลเดี่ยวออกรวมกันเป็นช่อผลอ่อนมีสีชมพูอ่อนและค่อยๆเข้มขึ้นเป็นสีแดง ซึ่งจะมีรสเปรี้ยวแหลม เมื่อผลสุกจะเป็นสีด�ำและมีรสกลมกล่อมขึ้น มะม่วงหาว มะนาวโห่มีชื่อเรียกต่างๆกันตามท้องถิ่นเช่น ภาคกลางเรียกมะม่วงหาวมะนาวโห่ ภาคใต้เรียกมะนาวโห่ เชียงใหม่เรียกหนามขี้แฮด เป็นต้น ผลมะม่วงหาวมะนาวโห่มีสรรพคุณทางยามากมายเช่น รสเปรี้ยวจากผล สามารถยับยั้งเชื้อโรค ช่วยขับปัสสาวะ น�ำมาต�ำพอกดับพิษ และผลสดแก้โรค ลักปิดลักเปิดได้ส่วนเมล็ดแก้กลากเกลื้อน แก้โรคผิวหนัง ตาปลา บ�ำรุงไขข้อ _20-0355(001-150)p3.indd 82 6/7/2563 BE 09:21
83 บ�ำรุงกระดูก บ�ำรุงเส้นเอ็น บ�ำรุงก�ำลัง บ�ำรุงผิวหนัง เปลือกแก้บิดขับน�้ำเหลือง เสีย แก้ท้องเสียยอดอ่อนสามารถรักษาโรคริดสีดวงทวารได้ในปัจจุบันนิยมน�ำ ผลมะม่วงหาวมะนาวโห่มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆเช่น แยม เยลลี่ น�้ำเชื่อม หรือชาใบมะม่วงหาวมะนาวโห่ วรรณคดีไทยกล่าวถึงมะม่วงหาวมะนาวโห่ไว้ด้วย แต่เป็นผลไม้๒ ชนิด คือ มะงั่ว หรือ มะม่วง กับ มะนาว ในเรื่องพระรถเมรีซึ่งเป็นวรรณคดีพื้นบ้าน ที่รู้จักกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีหลายส�ำนวน เนื้อเรื่องกล่าวถึงหญิงสาว ๑๒ คนที่ถูกพ่อน�ำไปปล่อยในป่าเพราะคิดว่าเป็นกาลกิณีที่ท�ำให้ครอบครัว ที่เคยเป็นเศรษฐีกลับยากจนลง นางทั้งสิบสองต้องเร่ร่อนจนไปถึงเมืองยักษ์ นางยักษ์เกิดเอ็นดูจึงรับเลี้ยงดู ภายหลังนางสิบสองรู้ว่าพวกตนอยู่กับยักษ์จึง หลบหนีไปเมืองกุตารนครและได้เป็นมเหสีของพระเจ้ารถสิทธิ์ เมื่อนางยักษ์ รู้ข่าวก็โกรธแค้นมากจึงท�ำอุบายจนได้เป็นมเหสีเอกของพระเจ้ารถสิทธิ์จากนั้น จึงควักลูกตานางสิบสองแล้วส่งไปขังไว้ในถ�้ำ จนกระทั่งน้องสุดท้องในบรรดา สิบสองนางคลอดลูกออกมาชื่อว่า“รถเสน” หรือ“พระรถ”ต่อมาพระเจ้ารถสิทธิ์ รู้ว่าพระรถเป็นลูก นางยักษ์จึงคิดก�ำจัดด้วยการแสร้งท�ำเป็นป่วยต้องกินผลไม้ที่ ชื่อว่า“มะม่วงหาว มะนาวโห่” ในเมืองที่นางเมรีลูกสาวของตัวเองอยู่จึงจะหาย และขอให้พระรถไปน�ำมาให้โดยแอบฝากสารสั่งไปถึงนางเมรีว่าเมื่อพระรถไปถึง เมืองเมื่อไรให้ฆ่าเมื่อนั้น แต่ระหว่างทางพระรถบังเอิญพบฤๅษีท่านฤๅษีจึงแปลง สารกลายเป็นว่าเมื่อพระรถไปถึงเมื่อไรให้แต่งงานเมื่อนั้น พระรถและนางเมรีจึง ได้แต่งงานกันที่เมืองนั้น ในบทละครเรื่องพระรถเมรีส�ำนวนที่ ๑ พรรณนาเมืองทานตะวันซึ่งเป็น ชื่อเมืองที่นางยักษ์สารตราครอบครองหลังจากที่สามีนางตายไปแล้วหลายปีว่า ปลูกต้น “งั่วหาวนาวโห่” ไว้ในสวน ดังความว่า มีต้นงั่วหาวนาวโห่ ใหญ่โตกิ่งก้านแข็งขัน เกิดส�ำหรับบุรีทานตะวัน แลมีของวิเศษนั้นหลายประการ _20-0355(001-150)p3.indd 83 6/7/2563 BE 09:21
84 ส ่วนในบทละครเรื่องพระรถเมรีส�ำนวนที่ ๒ ก็พรรณนาความตอนที่ พระรถต้องแอบนางเมรีเก็บผลมะม่วงหาวมะนาวโห่ว่า ได้เอยได้ยิน พระคิดถวิลจินดา ท�ำไฉนจะได้เก็บยา หมากงั่วนาวมาบัดนี้ พระชักม้าเหียนเวียนไป โน้นต้นอะไรเจ้าเมรี ปลูกเอาไว้ใยในสวนศรี ไม้นี้เรียกพันธุ์ว่าไรนา ฯ ๔ ค�ำ ฯ ฟังเอยฟังพลัน เมรีสาวสวรรค์เจ้าทูลมา ต้นโน้นโพ้นเล่าหมากงั่วน้าว หัวระรี่หมี่ฉาวรู้เจรจา รู้โห่รู้ร้องทุกเวลา เจรจาภาษาทุกสิ่งพรรณ เห็นท้าวกับข้าเข้ามาสม หัวระรื่นชื่นชมบังคมคัล ฝูงมารมันเฝ้าอยู่นับพัน หลักเมืองไอตะวันแต่ก่อนมา ฯ ๕ ค�ำ ฯ ฟังเอยฟังแล้ว พระแก้วคิดถึงค�ำนึงหา ท�ำไฉนจะได้มาเก็บยา หมากงั่วนาวมาบัดเดี๋ยวนี้ พระแกล้งท�ำกลไส่ไคล้ ชักม้าเวียนไปรอบสวนศรี คล้อยคลับลับเนตรเจ้าเมรี ลับตาสาวศรีติดตามมา ฉวยชักพระหักลูกมะงั่ว ดกยิ่งกิ่งพัวอยู่สาขา ฉวยชักหักลูกมะนาวมา หัวระรี่ระร่าตลาเป็น ฯ ๖ ค�ำ ฯ เชิด ในพระรถค�ำกลอน ไม่เรียกว่า หมากงั่วแต่เรียกว่า มะม่วงและได้พรรณนา ว่าเมื่อผลมะม่วงหาวมะนาวโห่จะถูกเด็ดครั้งใดก็จะร้องขึ้นให้เป็นที่ตกใจทั่วกัน เช่นว่า แล้วขึ้นจากสระศรีมิทันช้า เที่ยวชมพรรณพฤกษางามไสว เห็นมะม่วงพวงงามอร่ามไป มะนาวใหญ่เคียงอยู่เป็นคู่กัน สิบสองนางต่างคนเข้าน้าวกิ่ง แย่งชิงกันเก็บแล้วสรวลสันต์ _20-0355(001-150)p3.indd 84 6/7/2563 BE 09:21
85 พักมะม่วงพวงงามอร่ามครัน ลางคนนั้นหักมะนาวลงก่ายกอง ต้นมะม่วงร่วงแล้วก็ร้องหาว ผลมะนาวลูกโตก็โห่ก้อง เสียงสนั่นลั่นป่าดังฟ้าคะนอง โห่ร้องสนั่นดังทั้งกรุงไกร ฝ่ายพวกพลมารที่อยู่เฝ้า ก็บอกกล่าวต่อกันอยู่หวั่นไหว พลเมืองเล่าลือกันอื้อไป ตกใจตื่นวิ่งเป็นสิงคลี บ้างก็เข้าไปแจ้งซึ่งยุบล แก่สุนนทามารยักษี ว่าต้นไม้เสี่ยงทายพระบูรี เผอิญมีเสียงโห่เป็นโกลา ในวรรณคดีเรื่องพระรถเมรีต้นมะม่วงหาวมะนาวโห่จึงเป็นต้นไม้ที่บอก เหตุดีร้าย และจะเกิดเสียงโห่ร้องก้องขึ้นเมื่อมีภัยมาหรือมีผู้มาเด็ดลูกไป วรรณคดีพระรถเมรีเรียกมะม่วงหาวมะนาวโห่ในหลายชื่อต่างกันเช่น งั่วหาวนาวโห่ และม่วงหาวนาวโห่ นาวนั้นมีความหมายว่ามะนาว ส่วนงั่วนั้น อักขราภิธานศรับท์ หมอบรัดเลย์อธิบายว่า “มะงั่ว เป็นชื่อต้นส้มอย่างหนึ่ง เปรี้ยวนัก เขาปลูกไว้ท�ำยา ผลโตเท่าลูกส้มโอย่อม ๆ” พจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อธิบายลักษณะของมะงั่วไว้ว่า“ชื่อไม้ต้นขนาด เล็กผลคล้ายส้มโอรสเปรี้ยวจัดใช้ประสมกับขมิ้นเพื่อย้อมผ้า, มะส้าน ก็เรียก” (รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี) หนังสืออ้างอิง ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์, ๒๕๕๖. แดนบีชบรัดเลย์.อักขราภิธานศรับท์Dictionary of the Siamese Language. กรุงเทพฯ, ๒๔๑๖. ศิลปากร, กรม. ประชุมเรื่องพระรถ. กรุงเทพฯ : ส�ำนักพิมพ์เจี้ยฮั้ว, ๒๕๔๖. ส�ำนักวิจัยการอนุรักษ์พันธ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช. พืชสมุนไพรในสวนพฤกษศาสตร์และสวนรุกขชาติใน ประเทศไทย. กรุงเทพฯ : เอสพีเพลท, ๒๕๕๖. _20-0355(001-150)p3.indd 85 6/7/2563 BE 09:21
86 ไม้จันทน์ จันทน์เป็นชื่อพรรณไม้ที่มีเนื้อไม้ดอก หรือผลหอม มีหลายชนิดชนิดที่มี ราคาแพงคือจันทน์อินเดีย เป็นไม้ยืนต้น สูงระหว่าง ๓๐-๔๐ ฟุต ใบเล็ก มีกลิ่น หอมที่เนื้อไม้ ไม้จันทน์แม้จะแห้งก็ยังหอม ดังโคลงโลกนิติมีว่า จันทน์แห้งกลิ่นห่อนได้ ดรธาน อ้อยหีบชานยังหวาน โอชอ้อย ช้างเข้าศึกเสี่ยมสาร ยกย่าง งามนา บัณฑิตแม้นทุกข์ร้อย เท่ารื้อลืมธรรม คนไทยจึงนิยมน�ำไม้จันทน์มาท�ำเครื่องหอม ใช้อบเสื้อผ้าและทาร่างกาย ดังโคลงก�ำสรวลศรีปราชญ์มีว่า รอยมือแม่ธารทา หอมหื่น ยงงเลอย จนนทนกระแจะรศเร้า รวจขจรฯ ไม้จันทน์ใช้ท�ำยาก็ได้ในปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์สมเด็จพระมหา สมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส มีข้อความกล่าวถึงเศรษฐีเมืองราชคฤห์ ผู้หนึ่งให้กลึงไม้จันทน์แดงเป็นบาตร แล้วต่อปลายไม้ขึ้นไปแขวนไว้บนอากาศ สูง ๖๐ ศอก ให้ป่าวประกาศว่าถ้าผู้ใดเหาะมาเอาบาตรไปได้จะเชื่อถือว่าเป็น พระอรหันต์และจะยอมนับถือจนตลอดชีวิต พระภารทวาชเถรเหาะมาลอยอยู่ ตรงเบื้องหลังคาเรือนของเศรษฐีเศรษฐีอาราธนาพระเถระให้ลงจากอากาศและ น�ำบาตรไปถวาย พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องก็ตรัสติเตียน “แล้วให้ท�ำลายบาตร จันทน์นั้นเป็นจุณวิจุณ แจกให้พระสงฆ์ทั้งหลายบดให้เป็นโอสถใส่จักษุแล้วก็ทรง พระบัญญัติสิกขาบท ห้ามมิให้สาวกกระท�ำปาฏิหาริย์สืบไป” อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ไม้จันทน์มีค่าราคาแพง ผู้ที่สามารถน�ำไม้จันทน์ ทั้งท่อนมาใช้จึงมักเป็นกษัตริย์หรือเศรษฐีและใช้ในเรื่องส�ำคัญ ๆ เช่น การสร้าง _20-0355(001-150)p3.indd 86 6/7/2563 BE 09:21
87 ปราสาท หรือการเผาศพ มีเรื่องการสร้างปราสาทในปฐมสมโพธิกถาว่าสมเด็จ พระเจ้าสีหนุราช“ตรัสสั่งกษัตริย์ศักยราช ๓๐๐,๐๐๐ กับสุทธิยอมาตย์ให้ไปสร้าง ปราสาทองค์หนึ่ง ณ กรุงกบิลพัสดุ์มีพื้นได้๗ ชั้น มีเสา ๕๐๐ ต้น แล้วไปด้วย ไม้จันทน์ถวายนามจันทนปราสาท...” เพื่อให้เป็นที่ประทับของพระราชโอรส คือพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายา และมีเรื่องการท�ำจิตกาธาน เพื่อถวายพระบรมศพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน ปฐมสมโพธิกถาเช่นกัน ว่า กษัตริย์มัลลราช“ให้กระท�ำซึ่งจิตกาธารคือพระเชิงตะกอนแล้วไปด้วยแก่นจันทน์ สูงถึง ๑๒๐ ศอก แล้วเชิญพระหีบทองซึ่งใส่พระบรมศพขึ้นประดิษฐาน ณ เบื้องบนพระเชิงตะกอนนั้น” การใช้ไม้จันทน์ในการเผาศพคงจะเป็นวัฒนธรรมของอินเดียมาแต่โบราณ ในไตรภูมิพระร่วงก็กล่าวถึงการใช้ไม้จันทน์ในพิธีปลงพระศพพญาจักรพรรดิราช ดังนี้ เมื่อนั้นจึงพระญาจักรพรรดิราชนั้น ธ ก็ทิพพชงคคตพิธร ชโลมด้วย กระแจะจวงจันทน์แล้วจึงยกศพไปสงสักการด้วยแก่นจันทน์กฤษณาฯ ส่วนคนอินเดียทั่วไปใช้ไม้จันทน์ปนกับฟืนไม้สามัญในการเผาศพ พระยา อนุมานราชธนกล่าวถึงเรื่องนี้ในเรื่องประเพณีเนื่องในการตายว่า …ได้พบในหนังสือ Alburni’s India ว่าการเผาศพของอินเดียใช้ท่อนไม้ จันทน์ปนกับฟืนไม้ชนิดอื่น ได้ความจากชาวอินเดียผู้หนึ่งอธิบายว่าไม้ จันทน์เป็นของแพง ใครจะใช้ไม้จันทน์ล้วนเผาศพ ก็คงมีแต่คนมั่งมี ธรรมเนียมชาวบ้าน ใช้ฟืนไม้สามัญเผา เป็นแต่เพิ่มไม้จันทน์๒-๓ ท่อน บ้างเท่านั้น คนไทยคงใช้ไม้จันทน์ในการเผาศพเจ้านายตามแบบอินเดียมาตั้งแต ่ สมัยอยุธยา ดังต�ำราหน้าที่มหาดเล็กกล่าวถึงการถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตอนหนึ่งว่า _20-0355(001-150)p3.indd 87 6/7/2563 BE 09:21
88 ...ครั้นถวายเหล็กเพลิงแล้วสนมได้ถวายไม้เชื้อเพลิงชุบน�้ำพิมเสนให้ทรง จุดเพลิงท่อนจันทน์และธูปด้วยเทียนเพลิงนั้น... พระยาอนุมานราชธนให้ความเห็นเรื่องการใช้ไม้จันทน์ในการเผาศพว่า “เข้าใจว่าภายหลังคิดประดิษฐ์เอาไม้จันทน์ท�ำเป็นดอกไม้เพื่อกระเบียดกระเสียร ให้เปลืองเนื้อไม้จันทน์น้อย”ดอกไม้จันทน์จึงใช้ในการเผาศพเรื่อยมา ปัจจุบันใช้ ไม้ชนิดอื่นท�ำแทน ก็ยังคงเรียกกันว่าดอกไม้จันทน์อยู่ นอกจากจะใช้ไม้จันทน์ในการเผาศพแล้ว ไม้จันทน์ยังใช้ในการประหาร ชีวิตเจ้านายด้วย ดังกฎมณเฑียรบาลมีว่า ถ้าแลโทษหนักถึงสิ้นชีวิตไซ้ให้ส่งแก่ทลวงฟันหลังแลนายแวงหลังเอาไป มล้างในโคกพญา นายแวงนั่งทับตักขุนดาบ ขุนใหญ่ไปนั่งดูหมื่นทลวงฟัน กราบ ๓ คาบตีด้วยท่อนจันทน์แล้วเอาลงขุม นายแวงทลวงฟันผู้ใดเอาผ้า ทรงแลแหวนทองโทษถึงตาย เมื่อตีนั้น เสื่อขลิบเบาะรอง เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๑ มีการส�ำเร็จโทษเจ้านายด้วยท่อน จันทน์เป็นครั้งสุดท้าย (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง โคลงโลกนิติพระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร. กรุงเทพฯ:สถาบันภาษาไทยกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๓๓. ต�ำราแบบธรรมเนียมในราชส�ำนักครั้งกรุงศรีอยุธยา กับพระวิจารณ์ของ สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ.กรุงเทพฯ:กองวรรณกรรมและ ประวัติศาสตร์กรมศิลปากร, ๒๕๓๙. ไตรภูมิพระร่วงของพระญาลิไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. พระนคร : องค์การค้าของ คุรุสภา, ๒๕๐๖. ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ. ปฐมสมโพธิกถา (ฉบับ กรมการศาสนา). กรุงเทพฯ : สหธรรมิก, ๒๕๓๗. _20-0355(001-150)p3.indd 88 6/7/2563 BE 09:21
89 ราชบัณฑิตยสถาน. กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. อมรินทร พริ้นติ้ง แอนด์พับบลิชชิ่ง จ�ำกัด มหาชน, ๒๕๕๐. ๒ เล่ม. วรเวทย์พิสิฐ, พระ. คู่มือก�ำสรวลศรีปราชญ์. พระนคร:จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, ๒๕๐๓. ส. พลายน้อย (นามแฝง). พฤกษนิยาย. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น, ๒๕๔๓. สังข์ พัธโนทัย. ปทานุกรมพรรณไม้ในต�ำนานเมือง. ม.ป.ท., ม.ป.ป. เสฐียรโกเศศ (นามแฝง). ประเพณีเนื่องในการตาย. พิมพ์ในงานพระราชทาน เพลิงศพพระยาอนุมานราชธน ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๒. ย�่ำรุ่ง-ย�่ำค�่ำ-เย็นย�่ำ-ไกลปืนเที่ยง ย�่ำรุ่งย�่ำค�่ำ เย็นย�่ำ และไกลปืนเที่ยงเป็นค�ำและส�ำนวนที่เกิดขึ้นเนื่องจาก การบอกเวลาในสมัยก่อน ก่อนที่จะใช้นาฬิกากันแพร่หลายในประเทศไทย มีการตีกลองหรือฆ้อง เพื่อบอกเวลาและตีย�่ำคือตีถี่ๆ บางเวลาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยา ด�ำรงราชานุภาพ ทรงเล่าประทาน ม.ร.ว.สุมนชาติสวัสดิกุล ปรากฏในหนังสือ บันทึกรับสั่ง หน้า ๕๓-๕๔ ว่า ...ถ้าตีเวลา ๖ นาฬิกา ๑๒ นาฬิกาต้องตีย�่ำฆ้องเสียก่อนลาหนึ่งแล้วจึงตี บอกอัตรานาฬิกากลางคืนตั้งแต่เวลา ๑๘ นาฬิกาต้องตีย�่ำกลองเสียก่อน ลาหนึ่ง เรียกว่าย�่ำค�่ำ ๒๑ นาฬิกา ย�่ำลาหนึ่งเรียกว่ายามหนึ่ง เที่ยงคืน ย�่ำสองลาเรียกว่าสองยาม ๓ นาฬิกาย�่ำสามลาเรียกสามยาม แล้วตีอัตรา ต่อตอนรุ่งก็ย�่ำรุ่งตอนเที่ยงก็ย�่ำเที่ยงกลางวันก็ย�่ำฆ้องกลางคืนย�่ำกลอง การย�่ำยามเวลารุ่ง เวลาเที่ยงและเวลาค�่ำ ท�ำให้เกิดค�ำว่าย�่ำรุ่ง หมายถึง เวลารุ่งเช้าประมาณ๖ นาฬิกาย�่ำเที่ยง หมายถึงเวลาเที่ยงวัน และย�่ำค�่ำ หมายถึง เวลาค�่ำประมาณ ๑๘ นาฬิกาและยังมีค�ำว่า เย็นย�่ำ ซึ่งหมายถึงเวลาเย็นใกล้ค�่ำ _20-0355(001-150)p3.indd 89 6/7/2563 BE 09:21
90 ดังที่อักขราภิธานศรับท์บอกความหมายของค�ำ เย็นย�่ำไว้ว่า“เอย็นย�่ำ คือเวลา บ่ายหกโมงค�่ำย�่ำฆ้องสิ้นแสงอาทิตย์ไม่มีร้อน, เอย็นเป็นปรกตินั้น, ว่าเอย็นย�่ำ” สาเหตุที่ตีย�่ำ สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่าเป็น สัญญาณบอกให้เปลี่ยนคนรักษายาม เวลากลางวัน ๖ ชั่วโมงเปลี่ยนยามครั้งหนึ่ง ส่วนเวลากลางคืน ๓ ชั่วโมง เปลี่ยนครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวก็ทรงสันนิษฐานไว้ในประกาศนับเวลาในราชการ ท�ำนองเดียวกันนี้แต่มี รายละเอียดเพิ่มขึ้นว่าการตีฆ้องหรือกลองในค่ายของทหารเป็นแต่เพียงสัญญาณ ให้เปลี่ยนเวรยาม ถ้าตีย�่ำเป็นสัญญาณให้เปลี่ยนหมู่ หรือหมวดรักษาการทั้ง ๆ หมู่ ไม่ใช่เพียงแต่ผลัดคนยืนยาม นอกจากการย�่ำยามบอกเวลา ยังมีการยิงปืนบอกเวลาอีกด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงเล่าว่า ...ที่ป้อมมุมพระบรมมหาราชวัง มีปืนใหญ่บรรจุกระสุนอยู่ ๔ ป้อมเสมอ ป้อมละ ๑ กระบอก ปืนกระบอกหนึ่งที่ป้อมด้านวัดพระเชตุพน ยิงตอน เช้าตรู่เวลาพระอาทิตย์ขึ้นทุกวัน กล่าวกันว่าอาจเป็นการเปลี่ยนดินปืน หรือเป็นสัญญาณเปิดประตูวัง การยิงปืนเวลาเที่ยงได้แบบอย่างมาจากการยิงปืนที่สิงคโปร์ส�ำหรับให้คน ตั้งนาฬิกา สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงเล่าว่า มูลเหตุของการยิงปืนเที่ยงนั้นจ�ำได้อยู่ว่า แรกเราไปได้ยินอังกฤษ เขายิงสัญญาณที่เมืองสิงคโปร์ส�ำหรับให้คนตั้งนาฬิกา ไทยเราไปเห็นเข้า อยากจะให้มีปืนเที่ยงที่กรุงเทพฯ บ้างดูเหมือนจะโปรดให้ทหารเรือยิงขึ้น ที่ต�ำหนักแพก่อน ครั้นกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมจัดทหารปืนใหญ่มีขึ้น ในทหารล้อมวังแล้วจึงขอหน้าที่ยิงปืนเที่ยงมาให้ทหารปืนใหญ่ล้อมวังยิง ที่ป้อมทัศนากรอยู่ระยะหนึ่งแล้วจึงกลับไปเป็นหน้าที่ของทหารเรืออีก ปืนเที่ยงยิงมาจนมีไฟฟ้าโรงไฟฟ้ารับขยิบตาเวลาสองทุ่มเป็นสัญญาณตั้ง นาฬิกาแทน _20-0355(001-150)p3.indd 90 6/7/2563 BE 09:21
91 ปืนเที่ยงเป็นสัญญาณให้คนรู้เวลาตรงกัน เสียงปืนดังได้ยินไปไกล ถ้าอยู่ ไกลมากจนไม่ได้ยินเสียงปืนเที่ยง ก็ต้องถือว่าอยู่ไกลความเจริญ ไม่รู้เวลาตรง ตามที่ผู้อื่นรู้ไกลปืนเที่ยงจึงกลายเป็นส�ำนวน หมายถึงไกลความเจริญ จนไม่รู้ เรื่องราวอะไร ปัจจุบัน ค�ำว่า ย�่ำรุ่ง ย�่ำค�่ำ เย็นย�่ำ และส�ำนวนไกลปืนเที่ยง ยังมีใช้กันอยู่ แต่ค�ำว่า ย�่ำเที่ยง ไม่มีผู้ใดใช้ใช้แต่เพียงเวลาเที่ยง หรือเที่ยงวัน (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง บันทึกรับสั่ง สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ประทาน ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล. กรุงเทพฯ : บ�ำรุงบัณฑิต, ๒๕๓๐. ลักษณะจดหมายราชการ. คณะข้าราชการจังหวัดปราจีนบุรีพิมพ์แจกในงาน พระราชทานเพลิงศพ พระยาอินทราธิบดีฯ(ทองย้อย เศวตศิลา) ที่สุสาน วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖. อักขราภิธานศรับท์ ของหมอปรัดเล. พระนคร:องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๔. รดน�้ำ-ด�ำหัว ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เรามักจะได้ยินค�ำว่า“ด�ำหัว”หรือ“รดน�้ำด�ำหัว” จากสื่อต่าง ๆ กันบ่อยโดยเฉพาะทางโทรทัศน์ซึ่งคนส่วนใหญ่คงจะเข้าใจว่า หมายถึงการรดน�้ำขอพรผู้ใหญ่หรือการรดน�้ำเล่นกันในวันสงกรานต์โดยตีความ จากค�ำว่า “รดน�้ำ” เป็นหลัก โดยไม่ทราบความหมายของค�ำว่า “ด�ำหัว” หรือ ไม่ก็คิดว่า “รดน�้ำด�ำหัว”เป็นค�ำเดียวกัน ที่จริงแล้วค�ำว่า ด�ำหัวเป็นค�ำภาษาไทยถิ่นเหนือ พจนานุกรมล้านนา-ไทย ฉบับแม่ฟ้าหลวง ได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง“สระผม” หรือพิธีแสดงความ เคารพผู้มีอาวุโสหรือผู้มีบุญคุณในเทศกาลสงกรานต์ แต่ว่าด�ำหัวในความหมาย แรกนั้น ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ทางภาคเหนือไม่นิยมใช้ค�ำ “ด�ำหัว”แล้วแต่ใช้ค�ำว่า _20-0355(001-150)p3.indd 91 6/7/2563 BE 09:21
92 “สระผม” เหมือนภาษาไทยกลางแทน ดังนั้นการใช้ค�ำว่า “ด�ำหัว” จึงเหลือแต่ ในความหมายที่ ๒ เท่านั้น ส่วนค�ำว่า“รดน�้ำ”(ฮดน�้ำ) ในวันสงกรานต์ส�ำหรับคนในภาคเหนือแต่เดิม ก็เป็นการน�ำน�้ำที่สะอาดมารดกันอย่างสุภาพ เช่น ชายหนุ่มจะรดน�้ำหญิงสาว ก็จะขออนุญาตก ่อนแล้วจึงจะรดน�้ำอย ่างสุภาพโดยจะรดตั้งแต ่ไหล ่ลงมา พร้อมกับกล่าวค�ำอวยชัยให้พรไปด้วย การด�ำหัวของคนในล้านนานั้น แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือการด�ำหัว ตนเอง และ การด�ำหัวผู้อื่น ศาสตราจารย์มณีพยอมยงค์เขียนเล่าไว้ในหนังสือ “ประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทย”ว่าการด�ำหัวตนเองในวันแรกของประเพณี สงกรานต์ของภาคเหนือที่เรียกว่า“วันสังขานต์ล่อง”(คนล้านนาออกเสียงค�ำว่า “สงกรานต์”เป็น “สังขานต์”) ภาคกลางเรียกว่า“วันมหาสงกรานต์” นั้นเป็นพิธี ด�ำหัวด้วยการประพรมน�้ำขมิ้นส้มป่อยเพื่อไล่สิ่งที่ไม่ดีหรือกาลกิณีเสนียดจัญไร ให้ออกไปพร้อมกับปีเก่าที่ผ่านไป ซึ่งพิธีนี้จะท�ำหลังจากที่สระผมตามปรกติเสร็จ เรียบร้อยแล้ว และจะท�ำคนเดียวหรือท�ำเป็นกลุ่มครอบครัวก็ได้โดยให้หันหน้า ไปทางทิศที่เป็นมงคลตามที่โหรก�ำหนดไว้ในแต่ละปี(เช่นใน พ.ศ. ๒๕๕๖ ก�ำหนด ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้) แล้วกล่าวค�ำว่า“สรรพะเคราะห์สรรพะภัย สรรพะอุบาทว์สรรพะพยาธิและกังวลทั้งหลายขอตกลงไปกับสังขานต์ เคราะห์ อยู่ข้างหลังอย่ามาอยู่ถ้า เคราะห์ทางหน้าอย่ามาหา พุทธังถอด ธัมมังถอด หูรู หูรูสวาหาย”จากนั้นก็สลัดหรือพรมน�้ำขมิ้นส้มป่อยใส่ศีรษะ ๓ ครั้งเป็นเสร็จพิธี การที่ต้องใช้น�้ำขมิ้นส้มป่อยท�ำพิธีนี้เป็นเพราะคนทางภาคเหนือเชื่อว่าส้มป่อย เป็นของขลังแก้เสนียดจัญไร และท�ำให้คาถาอาคมหรือของขลังที่เสื่อมไปกลับ มีความศักดิสิทธิ์เหมือนเดิมได้ นอกจากท�ำพิธีด�ำหัวแล้ว ในปฏิทินล้านนายังก�ำหนดให้เช็ด หรือหยิบ กาลกิณีหรือจัญไรที่อยู่กับตัวทิ้งไป ซึ่งต�ำแหน่งที่อยู่ของกาลกิณีและจัญไรของ แต่ละปีจะเปลี่ยนไปตามวันที่สังขานต์ล่องดังนี้ _20-0355(001-150)p3.indd 92 6/7/2563 BE 09:21
93 วันที่สังขานต์ล่อง ศรีอยู่ที่ กาลกิณีอยู่ที่ จัญไรอยู่ที่ วันอาทิตย์ ลิ้น อก สะดือ วันจันทร์ หน้าผาก นม ปลายนิ้ว วันอังคาร ปลายจมูก ไหล่ซ้าย ไหล่ขวา วันพุธ ริมฝีปาก จมูก กลางหลัง วันพฤหัสบดี ใต้คาง หว่างคิ้ว ท้ายทอย วันศุกร์ ท้อง หน้าผาก ริมฝีปาก วันเสาร์ หน้าแข้ง กระหม่อม กระหม่อม ตามปฏิทินปีใหม่ของภาคเหนือปี๒๕๕๖ ก�ำหนดให้วันเสาร์ที่๑๓ เมษายน เป็น “วันสังขานต์ล่อง”ศรีอยู่ที่หน้าแข้งกาลกิณีและจัญไรอยู่ที่กระหม่อม และ มีค�ำอธิบายการท�ำพิธีไว้ว่าให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย ขุนนาง ครูบาอาจารย์ และประชาชนทั่วไป พากันไปยังสระน�้ำ แม่น�้ำ ต้นไม้จอมปลวกใหญ่ทางสี่แพร่ง ที่ใดที่หนึ่ง แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้แล้วอาบน�้ำ สระผม ให้เอา น�้ำอบน�้ำหอมเช็ดที่หน้าแข้ง ให้เอาน�้ำขมิ้นส้มป่อยเช็ดกาลกิณีและจัญไรอยู่ที่ กระหม่อมทิ้งไปพร้อมกับกล่าวคาถาไปด้วย ดังข้อความต่อไปนี้ ...ในวันสังกรานต์ไปนั้น จุ่งหื้อครูบาอาจารย์เจ้านาย ท้าวพระญา เสนา อามาตย์ข้าราชการไพร่ราษฎรทังมวลเอากันไปสู่โปกขรณี แม่น�้ำ เค้าไม้ จอมปลวกใหญ่ หนทางไคว่สี่เส้นสุมกัน อว่ายหน้าไปสู่ทิศะหนวันตกแจ่งใต้ อาบองค์สรงเกศเกล้าเกศีปีนี้สรีอยู่ที่หน้าแข้ง หื้อเอาน�้ำอบน�้ำหอมเช็ด ท้องเสียกาลกิณีอยู่ที่กระหม่อม จังไรก็อยู่ที่กระหม่อมหื้อเอาน�้ำเข้าหมิ้น ส้มป่อยเช็ดคว่างเสีย กล่าวคาถาว่า “โอมสิริมา มหาสิริมา เตชะ ยสฺส ลาภาอายุวณฺณา ภวนฺตุเม”ลอยจังไรเสียในที่ทังหลายฝูงนั้น แล้วมานุ่ง ทรงเสื้อผ้าผืนใหม่ ทัดดอกลิลาอันเป็นพระญาดอก หากจักมีอายุยืนยาว ไปชะแล _20-0355(001-150)p3.indd 93 6/7/2563 BE 09:21
94 อนึ่งการด�ำหัวโดยการสลัดน�้ำขมิ้นส้มป่อยใส่ศีรษะนี้ นอกจากจะท�ำใน วันสังขานต์ล่องแล้วยังท�ำในวันท�ำพิธีสะเดาะเคราะห์เวลาเจ็บป่วยก็ได้ ส่วนการด�ำหัวบุคคลอื่นจะเริ่มท�ำกันใน “วันพระญาวัน”ซึ่งเป็นวันล�ำดับที่ ๓ ในเทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันเถลิงศกของภาคกลาง ในวันนี้หลังจากท�ำบุญ ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ที่ทางภาคเหนือเรียกว่า“ตานขันเข้า”(ทานขันข้าว) ถวายทานตุง(ธง)และเจดีย์ทราย ฟังเทศน์กันเสร็จแล้วกิจกรรมในช่วงบ่ายถึงค�่ำ ก็จะเป็นการด�ำหัวบุคคลที่เคารพนับถือการด�ำหัวในลักษณะนี้เป็นการไปกราบ ขอขมาลาโทษจากการที่ใช้วาจาหรือประพฤติตัวไม ่ดีกับผู้ใหญ ่หรือเป็นการ แสดงความเคารพหรือขอบคุณก็ได้ซึ่งทางภาคเหนือใช้ค�ำว่า“ไปขอสูมาคารวะ” (สูมา แปลว่า ขมา ขอโทษ) กับบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่การด�ำหัวนี้หากท�ำไม่เสร็จ ในวันพระญาวันก็ท�ำต่อไปในวันล�ำดับที่ ๔ และ ๕ ของเทศกาลสงกรานต์ ที่เรียกว่า “วันปากปี” และ “วันปากเดือน” ก็ได้ บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ที่จะไปด�ำหัวนั้น โดยมากจะเป็นผู้มีพระคุณ ผู้ที่ควร แก่การเคารพนับถือ ได้แก่ พระสงฆ์ ญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว ครูบาอาจารย์ ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน เช่น ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนผู้บังคับบัญชาในหน่วยงาน การไปด�ำหัวบุคคลเหล่านี้จะต้องตระเตรียมเครื่องประกอบพิธีกรรมอันได้แก่ เครื่องสักการะและของด�ำหัว ตามก�ำลังของตน หรือตามสถานะของผู้ที่จะรับ การด�ำหัว ดังมีรายละเอียดดังนี้ ๑. เครื่องสักการะ ประกอบด้วยของดังนี้ พานดอกไม้(ทางภาคเหนือเรียกว่า ขันดอก) ในพานดอกไม้จะใส่ ดอกไม้ธูป เทียน ซึ่งจะต้องใช้สักการะทุก ๆ คน สวยดอกสวยพลู(สวยคือกรวย)คือการน�ำเอาหมากพลูยาสูบ เปลือก ก่อ ห่อด้วยใบตอง หรือใบพลวง เป็นรูปกรวยแหลมส�ำหรับตั้งไว้ในขันหรือถาด แต่ถ้าเป็นการด�ำหัวเจ้านาย หรือผู้บังคับบัญชาชั้นผู้ใหญ่ ก็จะมีเครื่อง สักการะเพิ่มขึ้นได้แก่ _20-0355(001-150)p3.indd 94 6/7/2563 BE 09:21
95 [หมากสุ่ม] [หมากเบ็ง] ต้นดอกคือพุ่มดอกไม้ที่ใช้ไม้หรือทองเหลืองท�ำเป็นต้นพุ่มสูงประมาณ ๑ ศอก มีโพรงอยู่ข้างในส�ำหรับเอาดอกไม้หรือใบไม้โดยมากเป็นใบเล็บครุฑ ใบชบา สอดเข้าไปจนเต็มแล้วตัดให้เรียบ และอาจตกแต่งด้วยดอกไม้ให้ สวยงามก็ได้ หมากสุ่ม คือพุ ่มหมากแห้ง ที่ใช้ไม้หรือทองเหลืองท�ำเป็นต้นพุ ่มสูง ประมาณ ๑ ศอก พุ่มนี้ติดด้วยหมากแห้งที่ทางเหนือเรียกว่าหมากไหม ที่ท�ำจาก หมากดิบที่ผ่าเป็นซีกแล้วร้อยต่อกันด้วยปอหรือเชือกเป็นเส้นยาวประมาณ๒ คืบ _20-0355(001-150)p3.indd 95 6/7/2563 BE 09:21
96 หมากเบ็ง คือพุ ่มหมากสด ที่ใช้ไม้หรือทองเหลืองท�ำเป็นต้นพุ ่มสูง ประมาณ ๑ ศอกแล้วน�ำหมากดิบหรือหมากสุกจ�ำนวน ๒๔ ลูกมาผูกติดไว้ กับโครงโดยผูกตรึงโยงกันลูกหมากไว้กับโครงซึ่งทางล้านนาเรียกว ่า “เบ็ง” (เบ็ง แปลว่า ค�้ำ ยัน ดันจากข้างในมิให้ล้มหรือยุบ) น�้ำขมิ้นส้มป่อย การท�ำน�้ำขมิ้นส้มป่อยนั้นจะน�ำน�้ำสะอาดมาใส่ขันเงิน น�ำฝักส้มป่อยที่แห้งแล้วมาลนไฟแล้วหักใส่ลงไปในน�้ำที่เตรียมไว้พร้อมทั้งใส่ดอก ค�ำฝอยแห้งและดอกสารภีแห้ง จะท�ำให้น�้ำเป็นสีเหลือง นอกจากนี้ยังมีการใส่ น�้ำอบไทยและลอยดอกมะลิสดด้วยท�ำให้น�้ำมีกลิ่นหอมยิ่งขึ้น ซึ่งเครื่องส�ำหรับ ท�ำน�้ำขมิ้นส้มป่อยนี้จะมีผู้ท�ำขายเป็นชุดหาซื้อได้อย่างสะดวกในปัจจุบัน ๒. ของด�ำหัวหรือเครื่องอุปโภคบริโภค ของด�ำหัวหรือข้าวของเครื่องใช้ทั้งอุปโภคบริโภคที่จะไปมอบให้ผู้ที่จะ ด�ำหัวนั้น หากเป็นญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวหรือผู้ที่เคารพนับถือมักจะน�ำเสื้อ กางเกงผ้าถุงผ้าขนหนูผ้าเช็ดหน้าผ้าขาวม้าอย่างใดอย่างหนึ่ง พืชผักสวนครัว ที่ปลูกไว้ส�ำหรับปรุงอาหารเช่น มะเขือ หอมกระเทียม พริกและผลไม้ต่างๆเช่น มะปรางสุก ซึ่งจะมีมากในช่วงสงกรานต์ นอกจากนี้ยังมีมะม่วง มะพร้าวอ่อน กล้วยหรือผลไม้ชนิดอื่นที่ทราบว่าผู้ที่จะไปด�ำหัวชอบรับประทาน และของที่ ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือขนมชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวแต๋น (นางเล็ด) _20-0355(001-150)p3.indd 96 6/7/2563 BE 09:21
97 ขนมเทียน และซองเงิน นอกจากนี้ในสมัยก่อนจะน�ำหมากพลูบุหรี่ และเมี่ยง ไปด�ำหัวด้วย เมื่อถึงวันด�ำหัวก็จะพากันไปยังบ้านหรือสถานที่ที่จะด�ำหัว หากเป็นการ ด�ำหัวพระสงฆ์ที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่เรียกว่า “ด�ำหัววัด” หรือด�ำหัวเจ้านาย ผู้ว ่าราชการจังหวัด ก็มักจะมีผู้ร ่วมด�ำหัวเป็นจ�ำนวนมากก็จะจัดเป็นขบวน ประกอบด้วย ขบวนช่างฟ้อน เครื่องสักการะ เครื่องอุปโภคบริโภค การละเล่น วงดนตรีและผู้ร่วมขบวน เมื่อถึงแล้วผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็จะน�ำเครื่องสักการะ เครื่องอุปโภคบริโภคไปประเคน หรือมอบให้ผู้ที่จะด�ำหัว แล้วกล่าวค�ำคารวะ และขอขมาลาโทษ ผู้ที่รับการด�ำหัวจะให้พร(ทางภาคเหนือเรียกว่า“ปั๋นปอน”) ซึ่งมักจะกล่าวในท�ำนองเดียวกันว่าวันนี้เป็นวันดีเป็นวันปีใหม่รู้สึกดีใจที่ลูกหลาน ยังไม่ละทิ้งประเพณีมาด�ำหัวขอขมา หากมีสิ่งใดที่ได้ล่วงล�้ำก�้ำเกินก็ขอยกโทษให้ และขอให้อยู่เย็นเป็นสุข อายุมั่นขวัญยืนปราศจากอันตรายและเคราะห์ร้าย ต่าง ๆ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ดังตัวอย่างบางตอนจากค�ำให้พรต่อไปนี้ ตัวอย่างที่ ๑ “...ตั้งแต่กาละวันนี้ยามนี้ไปเมื่อหน้า ขอหื้อสูท่าน ทังหลาย หื้อได้อยู่เย็นเป็นสุข อายุหมั้นขวัญยืนพ้นเสียจากยังสัพปะกังวล อนตรายทังหลายเคราะห์ปีเคราะห์เดือน เคราะห์วัน เคราะห์ยาม ๓๒ เคราะห์ พายหลังจักมาอยู่ถ้า มีต้นว่าเคราะห์พายหน้าจักบังเกิดมา ดั่งอั้นก็ดีก็ขอหื้อจุ่ง ร�่ำงับกลับหายไปเสี้ยงใน กาละวันนี้ยามนี้จุ่งจักมีเที่ยงแท้ดีหลี” ตัวอย่างที่ ๒ “...ขอหื้อมีความสุขส�ำราญเที่ยงเท้า หื้อเป็นปัจจัยแก่เจ้า จุคน ๆ สมดังความผาถะนาต๋นอย่าคลาด หื้อผาสะจากโรคภัยตังหลาย อย่ามา กล๋ายมาใกล้แม้นจะไปวันตก วันออก เหนือใต้ก็มีมิตรแก้วสหายค�ำ จะไปเมื่อ คืนเมื่อวัน ก็อย่าได้มีเคราะห์มาปานถูกต้อง แม้นมีปี้น้อง ก็หื้อถูกโล่งกัน ขอหื้อ มีความสุขความงามอยู่บ่ขาด หื้อสมดั่งค�ำปากผู้ข้าปั๋นปอนจุผะก๋ารนั้นจุ่งจักมี” เมื่อให้พรเสร็จแล้วท่านก็จะวักน�้ำขมิ้นส้มป่อยเล็กน้อยมาลูบที่ศีรษะของ ตัวท่านเองหรืออาจจะลูบศีรษะของลูกหลานด้วยก็ได้ถือเป็นเสร็จพิธีด�ำหัว _20-0355(001-150)p3.indd 97 6/7/2563 BE 09:21
98 แต่ในบางแห่งจะมีผูกข้อมือให้ลูกหลานถือเป็นการสะเดาะเคราะห์ในวันปีใหม่ ให้อีกด้วย แต่ปัจจุบันจะรดน�้ำขมิ้นส้มป่อยที่มือของผู้ที่รับการด�ำหัวเหมือนทาง ภาคกลางไปกันหมดแล้ว นอกจากนี้ในวันล�ำดับที่๔และ๕ที่เรียกว่า“วันปากปี”และ“วันปากเดือน” จะเป็นวันที่ท�ำพิธี“ด�ำหัวผีปู่ย่า” “ด�ำหัวกู่”ตลอดจน “ด�ำหัวผีเสื้อบ้าน” ที่ท�ำกัน ในบางหมู่บ้าน การด�ำหัวผีปู่ย่ามักจะท�ำในบ้าน การด�ำหัวกู่หรือเจดีย์บรรจุกระดูก จะต้องไปท�ำพิธีที่กู่ตามวัดต่าง ๆ เช่น ทางจังหวัดเชียงใหม่ได้จัดพิธีสักการะ และด�ำหัวกู่เจ้าหลวงเชียงใหม่และกู่เจ้านายฝ่ายเหนือ ณ บริเวณกู่เจ้าหลวง เชียงใหม่ วัดสวนดอก ส่วนการด�ำหัวเสื้อบ้านนั้นจะท�ำที่บริเวณหอเสื้อบ้าน ที่มักจะอยู ่กลางหมู ่บ้านซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพของคนใน หมู่บ้าน แม้ว ่าประเพณีการด�ำหัวของภาคเหนือนี้จะเกิดขึ้นจากอิทธิพลของ ความเชื่อทางโหราศาสตร์และความเชื่อในเรื่องผีก็ตาม แต ่ก็เป็นพิธีกรรมที่ แสดงออกซึ่งความเคารพนับถือ ความกตัญญูต่อผู้ใหญ่และบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ไปแล้ว และยังเป็นพิธีกรรมที่หลอมรวมคนในครอบครัว ในวงศ์ตระกูล และ ในหมู่บ้าน ให้มีความสามัคคีรักใคร่ เป็นน�้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกด้วย (รศ.กรรณิการ์ วิมลเกษม) หนังสืออ้างอิง ชมรมปักขทืนล้านนาเชียงใหม่. ปักขทืนล้านนา จุลลสกราชได้ ๑๓๗๕–๑๓๗๖. เชียงใหม่ : ส. ทรัพย์การพิมพ์เชียงใหม่., ม.ป.พ. ทรงศักดิ์ ปรางค์วัฒนากุล(บรรณาธิการ).สงกรานต์ใน ๕ ประเทศ : การเปรียบเทียบ ทางวัฒนธรรม. เชียงใหม่ : ส�ำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัย เชียงใหม่, ๒๕๓๙. มณีพยอมยงค์. ประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทย. เชียงใหม่ : โครงการศูนย์ ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๘. _20-0355(001-150)p3.indd 98 6/7/2563 BE 09:21
99 สงวน โชติสุขรัตน์. ประเพณีล้านนาไทยและพิธีกรรมต่าง ๆ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงธน, ๒๕๑๗. . ประเพณีไทยภาคเหนือ. พิมพ์ครั้งที่๒. พระนคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๑๒. เสฐียรโกเศศ. เรื่องเกี่ยวกับประเพณีต่าง ๆ. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงาน พระราชทานเพลิงศพหลวงกิติประกาศ (หม่อมหลวงผ่อน พนมวัน) ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕. อุดม รุ่งเรืองศรี. พจนานุกรมล้านนา-ไทย ฉบับแม่ฟ้าหลวง. เชียงใหม่ : ภาค วิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๗. ระเบง-ระเบ็งเซ็งแซ่-ละเมงละคร-โอละพ่อ ระเบง เป็นการละเล่นของหลวงสมัยก่อน พระยาอนุมานราชธนเขียนถึง ระเบง ในจดหมายกราบทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานทราบเกล้าฯ เรื่องระเบง ซึ่งคู่กับกุลาตีไม้ ข้าพระพุทธเจ้าได้เคยเห็นก็แต่ครั้งเดียว เมื่อในงานแห่สลากภัตเนื่องใน การช้างเผือก พระเศวตคชเดชน์ดิลก ข้าพระพุทธเจ้าจ�ำไปเป็นเงา ๆ ว่า พวกระเบงแต่งตัวคล้ายเทวดาเสื้อลายสีมัว ๆ อย่างสีน�้ำหมากถือคันธนู และลูก จะเป็นธนูชนิดใด ข้าพระพุทธเจ้าจ�ำไม่ได้เมื่อเดินกันไป ปากก็ ร้องว่าโอละพ่อจะไปไกรลาสแล้วก็ยกคันธนูและใช้ลูกตีที่คันเป็นจังหวะ กับมีฆ้องราวตีไปด้วย ถึงตอนหนึ่งว่า โอละพ่อสลบทั้งปวง พวกเหล่านั้น ก็ลงนอนบนถนนด้วยกันหมดแล้วก็ลุกขึ้น สังเกตดูในค�ำที่ร้องเป็นท�ำนอง เทวดาพากันไปไกรลาส แล้วก็ไปสลบเพราะอะไรสักอย่างหนึ่ง... สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ประทานค�ำอธิบายใน ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ว่า _20-0355(001-150)p3.indd 99 6/7/2563 BE 09:22
100 การเล่นทั้งนั้นมี๕ อย่าง คือ ๑ ระเบง ๒ โมงครุ่ม ๓ กุลาตีไม้ ๔ แทงวิสัย และ ๕ กระตั้วแทงควาย ท่านเข้าใจว่าระเบงนั้นเป็นเทวดา แต่หาใช่ไม่ เป็นกษัตริย์ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนคร จะไปช่วยโสกันต์ใครก็ ไม่ทราบที่เขาไกรลาส บทมีว่า โอละพ่อ เทวามาบอก โอละพ่อ ยกออกจากเมือง โอละพ่อ พร้อมกันทั้งปวง โอละพ่อ จะไปไกรลาส แล้วก็มีเพลงเดินขึ้นต้นว่า รักแก้วข้านี่เอย จะไปไกรลาส แล้วไปถูกพระกาฬห้ามไม่ให้ไป แต่ฉันเข้าใจว่าเป็นพระขันทกุมาร เพราะมีรูปนกยูงซึ่งเป็นพาหนะอยู่ ทั้งพระขันทกุมารก็เกี่ยวข้องกับ พระอิศวรซึ่งอยู่ ณ เขาไกรลาส ถ้าเป็นพระกาฬรูปพาหนะจะต้องเป็น นกแสก เมื่อกษัตริย์ทั้งนั้นไม่ฟังห้ามจะยิงเอาพระกาฬ พระกาฬก็สาป ให้สลบ เมื่อพอใจแล้วก็ถอนสาปให้ฟื้น พวกกษัตริย์ก็กลับบ้านเมืองเท่านั้น ไปไม่ถึงเขาไกรลาสเรื่องมีเท่านี้ฉันอาจให้บทร้องได้แต่ต้นจนจบ แต่เชื่อว่า คงเป็นเรื่องส�ำหรับเล่นงานโสกันต์เท่านั้น ถ้าเป็นงานอื่นน่าจะมีเรื่องเล่น เป็นอย่างอื่น บทร้องในการเล่นระเบงตั้งแต่ต้นจนจบมีดังนี้ โอละพ่อถวายบังคม โอละพ่อเทวันมาบอก โอละพ่อพร้อมกันทั้งปวง โอละพ่อยกออกจากเมือง โอละพ่อผลัดซ้ายเปลี่ยนขวา โอละพ่อผลัดขวามาซ้าย โอละพ่อกลับหน้าเป็นหลัง โอละพ่อกลับหลังเป็นหน้า โอล่ะพ่อบัวตูมทั้งปวง โอละพ่อบัวบานทั้งปวง โอละพ่อธนูชูชัน โอละพ่อจะไปไกรลาส รักแก้วคะนิเอยจะไปไกรลาส รักพี่คะนิเอยจะไปไกรลาส รักน้องคะนิเอยจะไปชมนก รักหน้าคะนิเอยจะไปชมไม้ _20-0355(001-150)p3.indd 100 6/7/2563 BE 09:22
101 โอละพ่อขวางหน้าอยู่ไย โอละพ่อหลีกไปให้พ้น โอละพ่อตั้งกระบะทั้งปวง โอละพ่อโก่งศรทั้งปวง โอละพ่อสลบทั้งปวง โอละพ่อฟื้นขึ้นบัดใจ โอละพ่อยกกลับเข้าเมือง โอละพ่อเราก็มาถึงเมือง มีค�ำไทยหลายค�ำที่เกี่ยวข้องกับค�ำว่าระเบง ดังนี้ ๑. ระเบ็งเซ็งแซ่ หมายความว่า มีเสียงดังมาก เช่น เขาได้ยินเสียงนกร้อง ระเบ็งเซ็งแซ่ และมีความหมายโดยปริยายว่า มีผู้กล่าวถึงมาก รู้กันทั่วไป เช่น เขาพูดกันระเบ็งเซ็งแซ่ว่า ปลัดกระทรวงมีปัญหากับรัฐมนตรีท�ำไมคุณไม่ทราบ ๒. ละเมงละคร หมายถึง ละครรวมถึงมหรสพที่คล้ายกัน ใช้ในภาษาไม่ เป็นทางการ เช่น ลูกเขามีเลือดศิลปิน ร้องเพลงเพราะมากเล่นละเมงละครก็ได้ ๓. โอละพ่อ หมายความว่า กลับเป็นตรงกันข้าม มักใช้กับเรื่องที่มีการ เข้าใจผิดเช่น ฉันเคยรู้มาว่าเขาถูกเจ้านายคนใหม่กลั่นแกล้งแต่ข้อเท็จจริงกลับ เป็นเรื่องโอละพ่อ เขาแข็งข้อกับเจ้านาย และยังชักชวนคนอื่นให้ร่วมต่อต้าน อีกด้วย (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) รัก ค�ำว่ารัก มี๓ ความหมายความหมายหนึ่งคือมีใจผูกพันด้วยความเสน่หา หรือด้วยความห่วงใย หรือมีความรู้สึกชอบ พอใจอีกความหมายหนึ่งคือชื่อไม้ต้น ยางเป็นพิษ ใช้ลงพื้นหรือทาสิ่งของต่าง ๆ เรียกว่า น�้ำรัก และอีกความหมาย หนึ่งคือชื่อไม้พุ่ม ดอกใช้ร้อยกรอง มี๒ พันธุ์คือ พันธุ์ดอกลาและพันธุ์ดอกซ้อน ยางเป็นพิษ ค�ำว่า รัก ความหมายต่าง ๆ เหล่านี้บางค�ำเป็นค�ำไทย บางค�ำเป็นค�ำยืม ค�ำว่ารัก ที่หมายถึงมีใจผูกพันเป็นค�ำไทย ภาษาในตระกูลไทหลายภาษาก็มี ค�ำนี้เช่น ภาษาไทอาหม ซึ่งพูดอยู่ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดียว่ารัก ภาษาไทเหนือ _20-0355(001-150)p3.indd 101 6/7/2563 BE 09:22
102 ภาษาไทพ่าเก่ และภาษาไทอ่ายตอน ซึ่งพูดอยู่ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย เช่นกัน ออกเสียงเพี้ยนไปเล็กน้อย คือ ออกเสียงว่า ฮั่ก ส่วนภาษาไทขาวซึ่งพูด อยู่ในประเทศเวียดนามว่า หัก ค�ำว่ารัก ที่หมายถึงไม้พุ่ม ดอกใช้ร้อยกรองเป็นค�ำยืม พระยาอนุมานราชธน เขียนเล ่าไว้ในหนังสือฟื้นความหลัง เล่ม ๒ ว่าพราหมณ์ ป.ส. ศาสตรี บอกท่านว่าคนอินเดียเรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่า อรัก มาจากภาษาสันสกฤตว่า อรฺก ภาษาบาลีว่า อกฺก ทางใต้ของประเทศอินเดียใช้ดอกอรักร้อยเป็นพวงมาลัย คล้องคอนักโทษที่จะเอาไปประหารและหญิงที่มีโทษนอกใจสามีขณะเมื่อพาตัว ตระเวนประจานไปตามละแวกบ้าน ดอกอรัก มิได้ใช้เฉพาะในการประจานเท่านั้น ศาสตราจารย์ดร.คุณบรรจบ พันธุเมธา ซึ่งเคยไปศึกษาที่ประเทศอินเดียก็เล่าไว้ว่าดอกอรักเป็นดอกไม้โปรด ของหนุมาน วันเสาร์และวันอังคาร นักศึกษาจะเอาดอกอรักไปถวายหนุมาน เพื่อให้ส�ำเร็จสมปรารถนาเพราะหนุมานเป็นผู้ขจัดความขัดข้อง นอกจากนี้ ส. พลายน้อย ก็เขียนไว้ในพฤกษนิยายว่าท่านอ่านพบในหนังสือเล่มหนึ่งว่า หนุมานคล้องมาลัยดอกรัก เมื่อมีการแต่งงาน เจ้าสาวก็เอาพวงมาลัยดอกรัก คล้องคอเจ้าบ่าว และคัมภีร์จตุรมาสมหาตฺมยกล่าวว่าต้นรักเป็นภาคหนึ่งของ พระสุริยเทพ ดอกอรัก นี้คนไทยเรียก ดอกรัก เสียงพ้องกับค�ำว่า รัก ซึ่งหมายถึง มีใจ ผูกพัน ดอกไม้ชนิดนี้จึงกลายเป็นดอกไม้มงคลในงานแต่งงานของไทย ค�ำว่ารักอีกความหมายหนึ่งคือค�ำว่ารักที่หมายถึงไม้ต้น ยางใช้ทาเนื้อไม้ ยังไม่ทราบแน่ว่าเป็นค�ำไทยหรือค�ำยืม ภาษาไทเหนือ ภาษาไทพ่าเก่และภาษาไท อ่ายตอนซึ่งเป็นภาษาในตระกูลไทเช่นเดียวกับภาษาไทยเราก็มีค�ำนี้ออกเสียงว่า ฮั่ก มีความหมายได้๒ อย่าง คือ หมายถึงความรู้สึกรักชอบ และหมายถึง ไม้ต้นยางใช้ทาเนื้อไม้ นอกจากนั้น ภาษาไทยถิ่นเหนือหรือภาษาล้านนา ออกเสียงว่า ฮัก มีความหมายได้๒ อย่างเช่นกัน _20-0355(001-150)p3.indd 102 6/7/2563 BE 09:22
103 ในเมื่อภาษาในตระกูลไทถึง ๓ ภาษา มีค�ำว่ารัก ที่เป็นชื่อไม้ต้น ยางใช้ทา เนื้อไม้ก็ชวนให้เชื่อว่าค�ำนี้ไม่ใช่ค�ำยืม อย่างไรก็ตาม พระยาอนุมานราชธนเขียน ไว้ในหนังสือฟื้นความหลังเกี่ยวกับต้นรักว่า “ในอินเดียเรียกชื่อต้นไม้ชนิดนี้ว่า ‘ลากฺษ’ หรือ ‘ลากฺข’ ในภาษาฮินดีเทียบได้กับค�ำ lacguer ในภาษาอังกฤษ” เมื่อดูพจนานุกรมสันสกฤต-อังกฤษ มีค�ำว่า ลากฺษา หมายถึงสีแดงที่ผู้หญิง อินเดียสมัยก่อนใช้เสริมความงาม โดยทาฝ่าเท้าและปากเป็นต้น กล่าวกันว่า สีชนิดนี้ได้จากแมลงหรือยางต้นไม้ชนิดหนึ่ง ค�ำว่า รัก ของไทยอาจยืมมาจาก ค�ำว่า ลากฺษ หรือ ลากฺษา ก็ได้ สรุปว่า ค�ำว่า รัก ที่หมายถึงมีใจผูกพันเป็นค�ำไทย ค�ำว่า รัก ที่หมายถึง ไม้พุ่ม ดอกใช้ร้อยกรองเป็นค�ำยืม ส่วนค�ำว่า รัก ที่หมายถึงไม้ต้น ยางใช้ทา เนื้อไม้ยังไม่ทราบแน่ว่าเป็นค�ำไทยหรือค�ำยืม (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) รัก-ยางรัก รัก หรือยางรักเป็นน�้ำยางที่ได้จากยางของต้นรักใช้ส�ำหรับลงพื้นหรือทา งานจิตรกรรมไทยประเภทลายรดน�้ำ ประดับมุก ประดับกระจก เป็นต้น ยางรักท�ำได้๒ สีคือสีด�ำ และสีแดงถ้าต้องการรักด�ำต้องผสมด้วยเขม่า หรือ ฝุ่นด�ำ หากต้องการรักแดงต้องผสมด้วยชาด และต้องผสมขณะเก็บยางมา ใหม่ๆ จึงจะได้รักแดงที่มีคุณภาพดี ต้นรักเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ถึงใหญ่มากขึ้นอยู่ตามป่าเขาในประเทศไทย พบทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้[เป็นไม้อยู่ในวงศ์Anacardiaceae] วิธีท�ำยางรักปรากฏหลักฐานอยู่ในพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงบันทึกไว้ใน “จดหมายระยะทาง ไปตรวจราชการแหลมมลายู ร.ศ. ๑๒๑” ทรงกล่าวถึงการท�ำรักที่อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีสรุปได้ว่าต้นรักที่ท�ำยางได้นั้นต้องเลือกต้นที่มีขนาดใหญ่ _20-0355(001-150)p3.indd 103 6/7/2563 BE 09:22
104 ประมาณ ๓ ก�ำขึ้นไป หรือขนาดวัดรอบล�ำต้นยาว ๖๐ ซ.ม. ขึ้นไป ถ้าเล็กกว่า นั้นท�ำไม่ได้ต้นรักจะตาย การท�ำยางรักนั้นเบื้องต้นใช้สิ่วขูดผิวเปลือกล�ำต้น ออกแล้วเซาะร่องเฉียงลงเล็กน้อยคล้ายการกรีดยางแล้วใช้กระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ปาดปากกระบอกให้แหลมข้างหนึ่งตอกเข้าไปที่ใต้ร่องนั้น ยางรักจะไหลซึมออก ตามร่องแล้วหยดลงกระบอก การเซาะร่องนี้ท�ำได้รอบต้น ถ้าเซาะร่องตอนบน ของล�ำต้นต้องเว้นระยะให้ห่างกันประมาณ ๑ วาถ้าใกล้กันกระบอกล่างจะไม่ได้ ยาง และท�ำได้ทั้งล�ำต้นตลอดจนถึงกิ่งสาขาใหญ่ ๆ ถ้าแผลที่ท�ำแล้วยังให้ยาง เป็นปรกติก็ท�ำซ�้ำที่นั้นได้อีก ถ้าร่องเก่าแห้งก็เลื่อนที่ขึ้นไป เมื่อเสียบกระบอก แล้วทิ้งไว้๑๕ วันจึงจะถอดกระบอกที่เสียบไว้ออก เทยางลงกระบอกใหญ่ที่ ตะพายไปเก็บยางรัก ที่ปากกระบอกใหญ่นั้นเอาไม้ขัดเป็นกากบาทขวางไว้เพื่อ จะได้เอาปากกระบอกเล็กสอดลงไปคาไว้ให้ยางค่อยๆไหลลง เพราะยางรักข้น เทให้หมดทันทีไม่ได้ครั้นจะถือไว้ก็เสียเวลา ระหว่างที่รอนั้นจะได้เซาะร่องตอก กระบอกอื่นต่อไป ยางรักที่ออกใน ๑๕ วัน กระบอกหนึ่งได้ยางไม่เกินกว่าถ้วยตะไลหนึ่ง เมื่อแรกยางจะมีสีขาว ทิ้งไว้จะกลายเป็นสีหม่น ๆ หรือขาวขุ่นจนถึงออกน�้ำตาล ยางรักที่เก็บได้นิยมใส่รวมไว้ในถังไม้ขนาดใหญ่ หล่อน�้ำไว้ข้างบนเพื่อไม่ให้แห้ง มีท่อส�ำหรับเทยางรักเพื่อเก็บลงถังรวม ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ยางรักผสมกับน�้ำ และเมื่อ ต้องการเอารักออกจะเปิดท่อตรงส่วนล่างของถังให้ยางรักไหลออกมาในการท�ำ เพื่อจ�ำหน่ายจะถ่ายรักใส่ปี๊บ มีน�้ำหล่อไว้ข้างบนเช่นเดียวกัน ในสมัยโบราณมีความต้องการใช้รักจ�ำนวนมากในราชการของหลวง จึงมีการเก็บส่วยรักหรือส่วยน�้ำรัก โดยเฉพาะรักที่ได้จากอ�ำเภอไชยา จังหวัด สุราษฎร์ธานีเป็นรักที่มีคุณภาพดี (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) _20-0355(001-150)p3.indd 104 6/7/2563 BE 09:22
105 รังวัด ค�ำว่า รังวัด ปัจจุบันใช้เป็นค�ำกริยา หมายความว่า วัดปักเขตและท�ำเขต จดหรือค�ำนวณเนื้อที่เพื่อให้ทราบที่ตั้งแนวเขตที่ดิน หรือทราบที่ตั้งและเนื้อที่ของ ที่ดิน แต่สมัยก่อน ค�ำว่า รังวัด หรือในบางกรณีใช้ว่า รางวัด เป็นได้ทั้งค�ำนาม และค�ำกริยา ค�ำว่า รังวัด ที่เป็นค�ำนาม หมายถึง เขตหรือเขตที่วัดไว้ตัวอย่างพบใน มหาชาติค�ำหลวง กัณฑ์ทานกัณฑ์กวีพรรณนาว่าเสียงมหาชนที่ร�่ำไห้อาลัยรัก พระเวสสันดร ซึ่งจะต้องถูกเนรเทศ ดัง “ไปในรงงวัดวยงราช” (อ่านว่า ไปใน รังวัดเวียงราช) ค�ำว่า รงงวัด ในที่นี้หมายความว่า เขต นอกจากนั้น กฎหมายลักษณะโจรซึ่งออกในสมัยพระเจ้าอู ่ทองก็มี ข้อความว่า อนึ่งโจรปล้นอยู่ในสามเส้นสิบห้าวา มิได้ช่วยตามโจรให้ได้ท่านว่า ให้ ลงโทษด้วยลวดหนังโดยใกล้แลไกล อนึ่ง ผู้ตามโจรได้รบพุ่งฟันแทง มีบาดเจ็บ ท่านว่าคุ้มโทษ ถ้ามีห้วยบ้างน�้ำลึกก็พ้นรางวัด ค�ำว่า รางวัด ในที่นี้หมายถึง เขตที่วัดไว้ ส่วนค�ำว่า รังวัด ที่เป็นค�ำกริยา หมายถึง วัดก�ำหนดเขต ตัวอย่างพบใน หนังสือดรุโณวาท ซึ่งพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗ ดังมีข้อความว่า ...ข้าพเจ้าได้ทราบอยู่ว่าธรรมเนียมแต่ก่อนนั้นมีท้องตราบังคับว่า, ให้แต่ง ข้าหลวงไปรังวัดแล้ว, ราษฎรบังอาจตัดต้นผลไม้, มีค่าอากรซึ่งนายรวาง ประกาษเป่าร้องห้ามแล้วให้ขาดเงินอากรของหลวงไป, ให้ปรับไหมอากร ต้นหนึ่งเป็นสามต้น,สลักหลังไว้ในโฉนดเป็นไม้โทษ แล้วอย่าให้หักสิบลด ให้แก่ราษฎรผู้กระท�ำผิดนั้น, บัดนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราษฎร ตัดต้นผลไม้ซึ่งไม่มีประโยชน์, ไม่ภอที่ราษฎรจะเสียอากรนั้น,... _20-0355(001-150)p3.indd 105 6/7/2563 BE 09:22
106 อาจเป็นได้ว่า ค�ำว่า รังวัด หรือ รางวัด เคยใช้เป็นค�ำนาม หมายถึง เขตหรือเขตที่วัดไว้ต่อมาใช้เป็นค�ำกริยาก็ได้หมายถึง วัดและจ�ำกัดเฉพาะ การวัดที่ดิน (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) รับพระราชทาน-รับประทาน-รับ-ทาน ค�ำว่า รับพระราชทาน และรับประทาน มีความหมายเหมือนกัน คือรับที่ ให้มา ต่างกันแต่ว่าผู้ให้เป็นพระมหากษัตริย์หรือเป็นพระราชวงศ์ ค�ำทั้งสองขยายความหมาย น�ำมาใช้หมายถึงกิน ก็ได้เช่น ค�ำให้การอ้าย บาตุนจีนถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยา มีข้อความตอนหนึ่งว่า ...ข้าพเจ้าไปอยู่เมืองอั้นเปนเมืองญวนแกว เจ้าเมืองชื่ออย่างไร ข้าพเจ้า หาทราบไม่ บ้านเมืองใหญ่โต มีผู้คนตั้งอยู่ในเมืองประมาณ ๓๐๐๐ เสศ ราษฎรท�ำมาหากินค้าขายสิ่งของเปนสินค้าต่าง ๆ ท�ำไร่ปลูกเข้าภอได้ รับพระราชทาน ค�ำให้การอ้ายอะซามจีนถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยาก็มีข้อความ ตอนหนึ่งว่า ...ถึงเทศการท�ำนาข้าพเจ้ากับพี่ชายข้าพเจ้าภากันท�ำนาได้เข้าปีละ๓๐๐ถัง ๔๐๐ถังข้าพเจ้ากับพี่ข้าพเจ้าขายให้แก่จีนลูกค้าเปนเข้าสานหนัก๔๐ชั่งจีน เปนเงินเหรียนหนึ่ง หนักหกสลึงเฟื้อง ที่เหลืออยู่เอาไว้ภอรับประทาน จดหมายเหตุเรื่องทัพเชียงตุงก็มีทั้งค�ำว่ารับพระราชทาน และรับประทาน ที่หมายถึง กิน ดังนี้ ๑ แต่กองทัพมาพักอยู่เมืองใด พวกลาวเมืองนั้นก็ไม่อยากจะให้อยู่ช้า ด้วยปลาในล�ำน�้ำและหนองที่เมืองลาวนั้น พวกลาวหา รับพระราชทาน วันยังค�่ำ คนใดได้ปลา๙ปลา๑๐ปลาก็ชื่นชมยินดีกันว่าวันนี้หาปลาได้มาก... _20-0355(001-150)p3.indd 106 6/7/2563 BE 09:22
107 ๒ จมื่นสมุหพิมานป่วยเป็นไข้จับให้เชื่อมให้มัวเพลากลางคืนนอนไม่หลับ รับประทาน ได้น้อย ขอลงมารักษาตัว ณ กรุงฯ สาเหตุที่รับพระราชทาน หมายถึง กิน อาจเป็นเพราะว่าแต่โบราณมา คนไทยถือว ่าแผ ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ จึงเรียกพระมหากษัตริย์ว ่า พระเจ้าแผ่นดิน ทุกสิ่งทุกอย่างบนผืนแผ่นดิน มีข้าวปลาอาหารเป็นต้น เป็นสิ่งที่ พระราชทานมา ราษฎรทั้งหลายก็รับพระราชทานคือกิน ค�ำว่ารับพระราชทาน ในความหมายว่า กิน ปัจจุบันเลิกใช้ไป ใช้กันแต่ว่ารับประทาน ซึ่งอาจเป็นค�ำ ที่เกิดจากความคิดเดียวกัน คือถือว่าของกินเป็นสิ่งที่ประทานมา เดิมอาจใช้ พูดกับเจ้านายเท่านั้น ต่อมาใช้ได้ทั่วไป หมายถึง กิน เช่น ในหนังสือมิวเซียม เล่ม ๑-๒ พ.ศ. ๒๔๒๐ หน้า ๒๕๐ มีข้อความว่า “แขกอาหรับเจ้าของงานไม่ นั่งโต๊ะรับประทานร่วมกับแขก” นอกจากรับประทานจะหมายความว่ากิน ยังหมายความว่าเอา ได้ด้วย แต่เดิมอาจจะเป็นค�ำที่ใช้ได้ทั่วไป เช่น ในเรื่อง เคราะห์ร้าย ซึ่งผู้ใช้นามปากกา ว่า “นายกระจก” เขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๗ มีข้อความกล่าวถึงพระเอกของ เรื่องให้หญิงผู้หนึ่งยืมค่ารถรางไป ๒ อัฐ เมื่อหญิงผู้นั้นแสดงความกังวลเกรงว่า จะไม่มีโอกาสได้คืนเงิน พระเอกก็พูดว่า “ไม่เป็นไรมิได้ถ้าคุณบอกไว้ว่าบ้านอยู่ ตรงไหน ผมจะไปรับประทาน” ค�ำว่ารับประทาน ในความหมายนี้ปัจจุบันมัก ใช้ในท�ำนองปฏิเสธเป็นภาษาปาก เช่น “เจ้านายจู้จี้อย่างนี้ต่อให้เพิ่มเงินเดือน ขึ้นอีก ๓ เท่า ฉันก็ไม่รับประทาน” คนใช้ในสมัยก่อน อาจใช้ค�ำว่า รับประทานกันจนติดปาก มีตัวอย่างเช่น เจ้าแห้ว ซึ่งเป็นคนใช้ในเรื่อง พล นิกร กิมหงวน ของ ป. อินทรปาลิต และ คนใช้ในเรื่อง“ท�ำโทษบูชาคุณ”ดังตัวอย่างบทสนทนาระหว่างเจ้านายกับคนใช้ ในเรื่อง “ท�ำโทษบูชาคุณ” ต่อไปนี้ “รับประทาน มีแขกคนหนึ่งมาหาใต้เท้า” เพื่อนข้าพเจ้าจึงถามว่า “อยู่ไหนล่ะ” คนใช้ตอบว่า “รับประทาน อยู่ข้างนอกประตูขอรับ” _20-0355(001-150)p3.indd 107 6/7/2563 BE 09:22
108 ในเมื่อรับประทาน หมายถึงกิน ก็ได้นักเขียนที่มีอารมณ์ขันบางคนจึงน�ำ ค�ำว่ารับประทานมาใช้คู่กับค�ำว่ากิน ดังตัวอย่างข้อความในหนังสือนิทานเวตาล ของ น.ม.ส. หรือ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ต่อไปนี้ ครั้นพระภรรตฤราชา เสด็จถึงจึงตรัสถามว่า ผลอ�ำมฤตที่ประทานนั้น นางเสวยแล้วหรือ นางทูลตอบว่า“ไฉนพระองค์จึงตรัสถามเช่นนี้ข้าพเจ้า ได้รับประทานก็กินแล้วเป็นแน่ ข้อความข้างต้นอาจตีความได้ว่า ข้าพเจ้าได้กินก็กินแล้วเป็นแน่ ค�ำว่ารับประทาน เป็นค�ำที่มีถึง ๓ พยางค์คนไทยซึ่งชอบพูดลัดตัดสั้นจึง มักตัดเป็น รับ หรือ ทาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรารภ เรื่องค�ำว่ารับในพระราชหัตถเลขาลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๔๕๐) ถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎ ราชกุมาร ซึ่งต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า ถึงมกุฎราชกุมาร ด้วยฉันมีความหวาดหวั่นเกิดขึ้นด้วยเหตุฟัง ภาษาใหม่ กล่าวคือกินเข้าว่ารับ นี้แพร่หลายรวดเรวนัก ถ้าทิ้งไว้ช้าอีก น่าจะแก้ไม่ไหวค�ำใหม่ๆก็จะเกิดขึ้นร�่ำไป ภาษาไทยจะกลายเป็นภาษา บัดซบเหลือสติก�ำลัง... น.ม.ส.ก็ทรงนิพนธ์เรื่องค�ำว่า ทาน ไว้ในหนังสือพิมพ์ประมวญวัน ซึ่งต่อมา รวมพิมพ์อยู่ในหนังสือผสมผสานว่า ...ในสมัยนี้ได้ยินค�ำว่าทาน แปลว่า กิน กันชุกชุม... แต่ถ้าทานแปลว่ากินได้ไซร์และถ้าเราให้สตางค์แก่คนขอทานไปซื้อ ข้าวกิน จะว่าผู้นั้นขอทานไปทาน ก็ดูเป็นการใช้ศัพท์ล�ำบากกรากกร�ำมาก อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้คัดค้านการใช้ค�ำว่า รับ และ ทาน ค�ำทั้งสองก็ยัง มีผู้ใช้ในความหมายว่า กิน (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) _20-0355(001-150)p3.indd 108 6/7/2563 BE 09:22
109 รี-ขวาง การบอกด้านกว้างกับยาวของที่ดินหรือพื้นที่ของคนไทยในสมัยก ่อน นอกจากจะใช้ค�ำว่า กว้าง กับ ยาว แล้ว ยังใช้ค�ำว่า ขื่อ กับ แป และ ขวาง กับ รีอีกด้วย การใช้ค�ำว่า กว้าง กับ ยาว ค�ำว่ากว้างกับยาวพบใช้ทุกภาค เช่น สมัย สุโขทัยพบใช้ในจารึกนายศรีโยธาออกบวช พ.ศ. ๑๙๘๔ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๒๗-๒๘ ในความว่า “พระ(ยา)ศรีไสยมีใจศรัทธา ใช้หมื่นต่างใจเหยียบที่ให้ แก่มหาสัทธา โดยยาว ๔๐ เส้น โดยกว้าง ๕ เส้น”เพื่อเป็นที่สร้างวัดและใช้ใน จารึกล้านนา เช่น จารึก ลพ. ๑๘ จารึกวัดสันมาค่า จังหวัดล�ำพูน พ.ศ. ๒๐๓๑ ด้าน ๑ บรรทัดที่๑๒-๑๓ ว่า“...แล้วหื้อมีจาริดกับอารามอันนี้ลวงกว้าง ๒๗ วา ลวงยาว ๖๐ วา ไว้คนกับอารามอันนี้…” (ลวง แปลว่า ด้าน) การใช้ค�ำว่า ขื่อ กับ แป ค�ำว่าขื่อกับ แป พบ ๑ แห่งคือในจารึกวัดสรศักดิ์ พ.ศ. ๑๙๖๐ บรรทัดที่ ๓-๕ ว่า “นายอินทสรศักดิ์ มีศรัทธาในพุทธศาสนา จึงขอที่อันอยู่นั้น หนขื่อได้สี่สิบห้าวา หนแปได้สามสิบเก้าวานี้แก่พ่ออยู่หัว เจ้า ธ ออกญาธรรมราชาองค์ทรงไตรปิฎกนั้น” หนขื่อ ก็คือทางกว้าง หนแปคือ ทางยาว ปัจจุบัน ค�ำว่า ขื่อ กับ แป ยังใช้อยู่ในหมู่ช่าง การใช้ค�ำว่า ขวาง กับ รี ค�ำว่า ขวาง กับ รีโดยมากพบใช้ในจารึกภาค อีสาน เช่น จารึก ๓ หลักต่อไปนี้ จารึกวัดผดุงสุข ๒ พ.ศ. ๒๑๑๓ บรรทัดที่๓-๕ กล่าวว่า พญาปากมีศรัทธา ในพุทธศาสนาได้ถวายที่ดินด้านยาวของแม่น�้ำโขง ๒๐ วา ๒ ศอก ดังความว่า “พญาปากเจ้ามีศรัทธาในพุทธศาสนาให้คามเขตลวงรีน�้ำของได้ซาววาปลาย ร่องอก” (ค�ำว่าร่องอกศาสตราจารย์ธวัช ปุณโณทกให้ค�ำอธิบายว่าเป็นมาตราวัด โบราณของอีสานมีค่าเท่ากับ ๒ ศอกคือนับจากปลายแขนมาถึงระหว่างกลางอก) จารึกวัดมุจลินทอาราม๒พ.ศ.๒๑๓๙ บรรทัดที่๙-๑๐ว่า“...ทางรีก�้ำนอก สี่ร้อย ๑๐ วา ทางขวางก�้ำเหนือ ๗๘ วา...” ซึ่งหมายถึง ทางยาวด้านนอก _20-0355(001-150)p3.indd 109 6/7/2563 BE 09:22
110 ๔๑๐ วา ทางกว้าง ด้านเหนือ ๗๘ วา จารึกวัดวิชัยอาราม พ.ศ. ๒๑๗๑ บรรทัดที่ ๖-๘ ว่า“...แทกทางรีน�้ำของ แต่หลักเหนือเน่งไปจุหลักใต้ห้าร้อย___ปลาย ๒ ศอกคืบ ทางรีก�้ำหน้าแต่หลัก เหนือเน่งไปจุหลักใต้ห้าร้อยวา(ป)ลาย ๒ ศอกคืบ ทางขวางก�้ำเหนือแทกแต่...” หมายความว่า วัดตามทางยาวตามแม่น�้ำโขงตั้งแต่หลักด้านเหนือตรงไปถึงหลัก ด้านใต้๕๐๐วา___เศษ ๒ ศอกคืบ ทางยาวด้านหน้าแต่หลักเหนือไปถึงหลักใต้ ๕๐๐ วาเศษ ๒ ศอกคืบ ทางกว้างด้านเหนือวัดตั้งแต่... ส่วนในสมัยอยุธยามีการใช้ค�ำว่า รีและค�ำว่า ยาว ทั้ง ๒ ค�ำ ดังที่พบใน บันทึกรายวันของออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) ราชทูตไทยสมัยสมเด็จ พระนารายณ์ฉบับที่๑ พ.ศ. ๒๒๒๘ ขณะที่คณะราชทูตไทยพ�ำนักอยู่ที่เมืองแบรศ ประเทศฝรั่งเศสตอนที่ไปดูตึกคลังในหน้าที่ ๕๗ ว่า“...ชวนข้าพเจ้าไปดูตึกคลัง ณ ปากน�้ำฟากตะวันออกแลไปดูสวน ณ วัดบาตรีส�ำเปาโลแลมูสูล�ำมอกไปด้วย ข้าพเจ้า แลตึกคลังนั้นรีตามริมน�้ำ ยาวประมาณ ๖ เส้น ขื่อกว้างประมาณ ๕ วา....”และในหน้าที่ ๕๘ ว่า“แลหน้าตึกต่อริมน�้ำนั้นก่อเป็นก�ำแพงยาว ๕ วา กว้างสี่วาเป็นห้องส�ำหรับไว้ลูกปืนใหญ่แลมีตึกรีขึ้นไปตามทิศตะวันออกตึกหนึ่ง ยาวประมาณ ๑๐ เส้น ขื่อกว้างประมาณ ๕ วาเป็นสองชั้น แลสุดตึกข้างหนึ่งต่อ ริมน�้ำยาวประมาณ ๑๐ วา...” ในภาคเหนือพบใช้ค�ำว่า รีในความหมายว่ายาว ในสุภาษิตสอนผู้ชายใน โคลงพระลอสอนโลก ดังนี้ ช้างน้อยอย่าอวดอ้าง งาดี เต็มว่างายาวรี อ่อนอ้วน บ่รู้เชิงชนมี เรียนช่าง ชนคชสารงาสั้น ห่อนสู้คชสาร หมายความว่า เป็นช้างน้อยอย่าอวดว่าตนมีงาดีถึงหากจะมีงายาว หากว่าไม่ เรียนรู้ชั้นเชิงการชนหรือการต่อสู้แล้ว เมื่อไปชนกับช้างที่ฝึกการต่อสู้มาแล้ว _20-0355(001-150)p3.indd 110 6/7/2563 BE 09:22
111 แม้จะมีงาสั้นกว่า ก็ไม่สามารถจะสู้ได้(เต็มว่า แปลว่า หากว่า, แม้ว่า) บางพ่องตัวนับเฒ่า หลายปี ก็บ่มีงารี เล่านั้น สงครามหลอนเกิดมี ยืนยาก นักแล บ่อาจจักตั้งมั่น ร่นค้านงารี หมายความว่าช้างบางตัวที่เฒ่าแก่หลายปีแล้วแต่ยังไม่มีงายาว หากเกิดสงคราม ก็ไม่อาจจะยืนหยัดต่อสู้ได้ต้องถอยร่นแพ้ช้างที่มีงายาว(พ่องแปลว่า บ้าง, หลอน แปลว่า หาก, ค้าน แปลว่า แพ้) ในปัจจุบันแม้จะไม่ใช้ค�ำว่า ขวาง กับ รีบอกด้านของพื้นที่หรือที่ดินแล้ว แต่ยังคงพบใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในตอนที่กล่าวถึงการ ไถนาของพระยาแรกนาว่า พระยาแรกนาเจิมพระโคและไถแล้วไถดะไปโดยรี๓ รอบ เพื่อพลิกดินให้เป็นก้อน ไถโดยขวาง ๓ รอบ เพื่อย่อยดินให้ละเอียดพร้อม หว่านเมล็ดธัญพืชจะเห็นได้ว่าการใช้ค�ำว่าโดยรีโดยขวาง ที่แปลว่าทางยาวและ ทางขวางในพระราชพิธีนี้เป็นค�ำที่ใช้ตามแบบโบราณราชประเพณีมากกว่า อย่างไรก็ตามยังพบใช้ค�ำว่า รีกับ ขวาง ในค�ำว่า หอรีหอขวาง พาลรี พาลขวาง หันรีหันขวาง และ ขวาง ๆ รี ๆ หรือ รี ๆ ขวาง ๆ ซึ่งยังมีเค้าของ ความหมายว่ายาวและกว้างอยู่ ค�ำว่า หอรีหอขวาง ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์ มีศัพท์ว่า หอรีและให้ค�ำแปลว่า“คือหอยาวไปนั้น”ค�ำว่า หอรีหอขวางในทาง สถาปัตยกรรมไทย หอรีหมายถึง เรือนที่ปลูกขนานกับเรือนใหญ่ หอขวาง หมายถึง เรือนที่ปลูกขวางจั่ว ส่วนค�ำว่า พาลรีพาลขวาง พจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่า ชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาท ค�ำว่า หันรีหัน ขวาง หมายถึง อาการที่หันเหไปมา เก้ๆ กัง ๆ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทําอย่างใด และ ค�ำว่า ขวาง ๆ รี ๆ หรือ รี ๆ ขวาง ๆ นอกจากจะหมายถึง มีลักษณะ หรือกิริยาท่าทางที่เกะกะเก้งก้างแล้วยังหมายถึงการขัดขวางอีกด้วยดังตัวอย่าง _20-0355(001-150)p3.indd 111 6/7/2563 BE 09:22
112 การใช้ค�ำว่าขวางๆรีๆในบทดอกสร้อยชื่อเรือเล่นสามเส้นสิบห้าวา ที่แต่งโดย นายทัด เปรียญ ดังนี้ เรือเอ๋ยเรือเล่น สามเส้นเศษวาไม่น่าล่ม ฝีพายลงเต็มล�ำจ�้ำตะบม ไปขวางนํ้าคว�่ำจมลงกลางวน ท�ำขวางขวางรีรีไม่ดีหนอ เที่ยวขัดคอขัดใจไม่เป็นผล จะก่อเรื่องเคืองข้องหมองกมล เกิดร้อนรนร้าวฉานร�ำคาญเอย ดอกสร้อยบทนี้สอนโดยใช้ความเปรียบว่าถึงจะเป็นเรือล�ำใหญ่ยาวกว่า ๖๐ วาที่ดูมั่นคงไม่น่าจะล่มนั้น หากฝีพายต่างเอาแต่จ�้ำพายโดยไม่ระวังท�ำให้ เรือไปขวางล�ำน�้ำก็จะท�ำให้เรือจมลงได้ดังนั้นจึงไม่ควรจะไปเกะกะหรือขัดขวาง ขัดใจผู้อื่นจะท�ำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนร�ำคาญใจได้ นอกจากนี้ค�ำว่ารียังมีความหมายว่าเรียวอีกด้วยเช่น เรียกลักษณะกลม เรียวอย่างรูปไข่ว่ากลมรีเรียกลักษณะยาวเรียวมีหัวท้ายอย่างเมล็ดข้าวสารว่า ยาวรีและเรียกรูปวงที่กลมเรียวอย่างลูกสมอหรือเมล็ดข้าวสารว่าวงรีอย่างเช่น เพลงเด็กที่ร้องประกอบการละเล่นว่า “รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก” ส่วนค�ำว่า ขวาง จะใช้เดี่ยว ๆ เช่น คนอ้วนไม่ควรสวมเสื้อลายขวาง หรือน�ำไปซ้อนกับค�ำว่ากว้าง เป็น กว้างขวางซึ่งนอกจากจะหมายถึงกว้างใหญ่ แล้วยังหมายถึง เผื่อแผ่อีกด้วยเช่น เขาเป็นคนมีน�้ำใจกว้างขวางชอบช่วยเหลือ ผู้อื่น และหมายถึงรู้จักคนมากหรือมีคนรู้จักมากเช่น คนที่เป็นนักการเมืองต้อง เป็นคนที่กว้างขวางในสังคม นอกจากนี้ค�ำว่า ขวาง ยังมีอีกสองความหมาย คือ กีดกั้น, สกัด เช่น อย่าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และร�ำคาญ หรือไม่ถูกใจ เช่น จะไปไหนก็ไป มานั่งขวางหูขวางตาอยู่ได้ถ้าใครถูกไล่อย่างนี้ คงจะรีบวิ่งออกไปโดยไม่รีรอแน่ๆ (รศ.กรรณิการ์ วิมลเกษม) หนังสืออ้างอิง ธวัชปุณโณทก.ศิลาจารึกอีสานสมัยไทยลาว.กรุงเทพฯ:คุณพินอักษรกิจ,ม.ป.พ. _20-0355(001-150)p3.indd 112 6/7/2563 BE 09:22
113 ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๘. ประเสริฐ ณ นครและคณะ.จารึกล้านนาภาค ๑ จารึกจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา แพร่. กรุงเทพฯ : มูลนิธิเจมส์เอช ดับเบิ้ลยูทอมป์สัน, ๒๕๓๕. .จารึกล้านนาภาค ๒ จารึกจังหวัดเชียงใหม่ ล�ำพูน ล�ำปาง แม่ฮ่องสอน. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการช�ำระประวัติศาสตร์ไทย, ๒๕๕๓. ปรีดีพิศภูมิวิถี.ประชุมกฎหมายเหตุออกพระวิสุทสุนทร (โกษาปาน).กรุงเทพฯ: สถาบันพิพิธพัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ, ๒๕๕๕. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ครั้งที่ ๑.กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์, ๒๕๕๖. มณี พยอมยงค์. คติสอนใจชาวล้านาไทย.กรุงเทพฯ:ส�ำนักงานคณะกรรมการ วัฒนธรรมแห่งชาติ, ม.ป.พ. ศิลปากร, กรม. บทดอกสร้อยสุภาษิตประกอบภาพ. พิมพ์ครั้งที่ ๑. พระนคร : โรงพิมพ์วิจิตรศิลปะ, ๒๕๐๖. . จารึกในประเทศไทย. เล่ม ๕ กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์, ๒๕๒๙. อุดมรุ่งเรืองศรี.พจนานุกรมล้านนา-ไทย ฉบับแม่ฟ้าหลวง.ฉบับปรับปรุงครั้งที่๑. เชียงใหม่ : ภาควิชาภาษาไทยคณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๗. Bradley Dr.B. อักขราภิธานศรับท์ Dictionary of the Siamese Language. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๑๔. รูปอักษรที่ใช้ในอาณาจักรสุโขทัย ในสมัยโบราณก่อนพุทธศตวรรษที่๑๙ พื้นที่ประเทศไทยแถบลุ่มแม่น�้ำปิง แม่น�้ำยม และแม่น�้ำเจ้าพระยาเคยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรใหญ่๒ อาณาจักรคือลุ่มแม่น�้ำปิงเป็นที่ตั้งอาณาจักรหริภุญชัย ปัจจุบันคือจังหวัดล�ำพูน พบหลักฐานจารึกใช้รูปอักษรมอญโบราณ ภาษามอญโบราณ และภาษาบาลี _20-0355(001-150)p3.indd 113 6/7/2563 BE 09:22
114 มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ส่วนบริเวณลุ่มแม่น�้ำยมลงมาถึงลุ่มแม่น�้ำ เจ้าพระยา อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรเขมรโบราณอย่างยาวนาน จารึกที่พบมีหลายยุคหลายสมัย หากจะกล่าวเฉพาะที่มีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษ ที่ ๑๔ เป็นต้นมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นจารึกที่ใช้อักษรขอมโบราณ ภาษาเขมรโบราณ และภาษาสันสกฤต ระหว ่างพุทธศตวรรษที่ ๑๙ บริเวณลุ ่มแม ่น�้ำทั้ง ๓ สาย ได้ปรากฏ อาณาจักรของคนไทยตั้งเป็นอิสระขึ้น ๓ อาณาจักร ได้แก่อาณาจักรล้านนาตั้ง ขึ้นบริเวณลุ่มแม่น�้ำปิง อาณาจักรสุโขทัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น�้ำยม และอาณาจักร อยุธยาตั้งขึ้นที่ลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยา ดังนั้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ จึงควรนับเป็น ศตวรรษประวัติศาสตร์ที่ส�ำคัญที่สุดของชาติไทยและของคนไทยทุกคน เป็น ศตวรรษแรกที่อาณาจักรไทยของคนไทยได้ปรากฏขึ้นในโลกและได้เจริญรุ่งเรือง สืบทอดอารยธรรมโดยล�ำดับจนถึงปัจจุบัน เมื่ออาณาจักรไทยก่อตั้งขึ้นเป็นรัฐอิสระแล้ว เบื้องแรกยังไม่มีรูปอักษร ใช้เป็นของตนเอง จนถึง พ.ศ. ๑๘๒๖ พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช กษัตริย์แห่ง อาณาจักรสุโขทัยจึงคิดประดิษฐ์ลายสือไทยขึ้น นับแต่นั้นเป็นต้นมารูปอักษรไทย ที่เรียกกันในยุคสมัยนั้นว่าลายสือไทยจึงได้มีขึ้นในโลกเป็นรูปอักษรไทยแบบแรก ที่ปรากฏใช้ในประเทศไทย การที่พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงคิดประดิษฐ์ลายสือไทยขึ้นก็น่าจะมี พระราชประสงค์ที่จะสร้างสิ่งอันเป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นเอกราชของชาติ ไทยให้เห็นประจักษ์ชัด มีลักษณะเฉพาะบ่งบอกความเป็นไทยอย่างแท้จริง โดย ประดิษฐ์ให้รูปอักษรมีลักษณะแตกต่างไปจากอักษรขอมโบราณและอักษรมอญ โบราณซึ่งมีใช้อยู่เดิมในภูมิภาคนั้น อีกทั้งยังต้องสามารถใช้ประโยชน์ในการเขียน ได้ครบถ้วนตามเสียงและค�ำศัพท์เพื่อให้อ่านได้ถูกต้อง สื่อความหมายถ้อยค�ำ ภาษาไทยได้ชัดเจน และให้มีลักษณะที่เป็นแบบฉบับในการอบรมสั่งสอนอนุชน ให้รู้จักใช้บันทึกเรื่องราวได้สืบไป _20-0355(001-150)p3.indd 114 6/7/2563 BE 09:22
115 ด้วยเหตุดังกล่าว พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชจึงได้ทรงก�ำหนดให้ลายสือ ไทยที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นมีวิธีการเขียนดังนี้ ๑. ก�ำหนดให้อักษรแต่ละตัวมีลักษณะเป็นอักษรตัวตรง คือเป็นอักษร ที่ลากขึ้นลงเป็นเส้นตรง เส้นที่ลากขวางโค้งมนเล็กน้อย รูปอักษรจึงอยู่ในทรง เหลี่ยม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อักษรตัวเหลี่ยม” ๒. ก�ำหนดให้การเขียนอักษรแต่ละตัวเริ่มต้นลากเส้นจากหัวอักษรเป็นต้น ไปจนจบเส้นตัวอักษรโดยไม่ต้องยกเครื่องมือเขียนขึ้น ซึ่งแตกต่างกับการเขียน อักษรขอมโบราณและอักษรมอญโบราณที่มีใช้อยู ่เดิมในภูมิภาค ซึ่งต้องยก เครื่องมือเขียนขึ้นหนึ่งถึงสองหรือสามครั้ง จึงจะเขียนอักษรได้จบตัว ๓. ก�ำหนดให้วางรูปสระอยู ่บนบรรทัดเดียวกับรูปพยัญชนะ โดยวาง สระ –ะ และ –า ไว้ข้างหลัง สระ -ิ -ี -ึ -ื -ุ -ู เ- แ- ใ- ไ- โ- ไว้ข้างหน้า พยัญชนะโดยให้ส่วนของเส้นสระกับพยัญชนะต้นเขียนติดกัน และแยกตัวสะกด ออกมาเพื่อเป็นที่สังเกตด้วย ๔. ก�ำหนดให้มีวรรณยุกต์เอกและโท ใช้ประกอบการเขียนเพื่อให้อ่านได้ ครบตามเสียงในภาษาไทย ลายสือไทยที่พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ขึ้นนั้นเป็นระบบ การเขียนที่ก�ำหนดรูปแบบอักขรวิธีอย่างใหม่ แตกต่างไปจากอักษรขอมโบราณ และอักษรมอญโบราณที่เคยรู้จักมาแต่เดิม จึงท�ำให้ไม่เป็นที่นิยม เพราะขัด กับการเขียนอย่างที่ถนัดและเคยชินมาก่อน ท�ำนองเดียวกับที่พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคิดประดิษฐ์รูปแบบสระใหม่ใช้กับการเขียนอักษร ไทย พิมพ์เผยแพร่ในหนังสือเรื่อง “วิธีใหม่ส�ำหรับใช้สระและเขียนหนังสือไทย” ซึ่งเป็นแบบที่ไม่เคยชิน ท�ำให้การเขียนไม่คล่องตัวจึงไม่ได้รับความนิยม รูปแบบ สระใหม่ที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นก็ต้องเลิกไปในที่สุด ท�ำนองเดียวกับลายสือไทยซึ่งไม่ได้ รับความนิยม และปัจจุบันก็ได้พบหลักฐานการวางรูปสระอยู่บรรทัดเดียวกับรูป พยัญชนะในจารึกพ่อขุนรามค�ำแหง ที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๕ เพียงหลักเดียว _20-0355(001-150)p3.indd 115 6/7/2563 BE 09:22
116 ส่วนจารึกหลักอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่ระยะเวลา ห่างจากปีที่สร้างจารึกพ่อขุนรามค�ำแหงประมาณ ๕๐-๗๐ ปีซึ่งตามหลักวิชา อักขรวิทยา ลักษณะรูปลายเส้นอักษรย่อมต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตามระบบวิวัฒนาการด้วยเหตุนี้รูปอักษรที่ปรากฏในอาณาจักรสุโขทัยช่วงปลาย พุทธศตวรรษที่๑๙ ถึงพุทธศตวรรษที่๒๐ จึงมีลักษณะที่แตกต่างไปจากรูปอักษร ที่ใช้ในจารึกพ่อขุนรามค�ำแหง และยังกลับไปใช้วิธีการวางรูปสระไว้ทั้งบนและ ล่าง รูปพยัญชนะตามอย่างอักขรวิธีที่เคยรู้จักและใช้มาแต่เดิมด้วย รูปอักษร ในสมัยดังกล่าว ปัจจุบันก�ำหนดเรียกว่า รูปอักษรไทยสุโขทัย ในอาณาจักรสุโขทัยนอกจากจะใช้รูปอักษรไทยสุโขทัยแล้วยังพบหลักฐาน การใช้รูปอักษรขอม ซึ่งปัจจุบันก�ำหนดเรียกว ่า รูปอักษรขอมสุโขทัย รูป อักษรแบบนี้พัฒนามาจากรูปอักษรขอมโบราณที่เคยใช้อยู่ในพื้นถิ่นระหว่าง พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ การที่ยังมีความนิยมใช้รูปอักษรขอมอยู่สืบมาน่าจะเกิด จากในขณะนั้นรูปอักษรไทยสุโขทัยไม่สามารถใช้เขียนภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษา ที่จดจารเรื่องในทางพระพุทธศาสนาเช่นพระไตรปิฎกเป็นต้น ถึงแม้ว่าจะได้ มีความพยายามใช้รูปอักษรไทยเขียนภาษาบาลีแล้วก็ตาม ดังเช่นในจารึกวัด พระยืน พ.ศ. ๑๙๑๓ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ ความว่า“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต” จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย ซึ่งยังไม่สามารถใช้รูปอักษรให้ครบถ้วนตามศัพท์ ภาษาบาลีได้ถูกต้อง แต่ได้พบจารึกวัดป่ามะม่วง พ.ศ. ๑๙๐๔ จารึกด้วยอักษร ขอมสุโขทัยเป็นภาษาบาลีและภาษาไทย และในจารึกวัดป่าแดง พ.ศ. ๑๙๔๙ จารึกด้วยอักษรขอมสุโขทัยภาษาไทยเป็นต้น ตามหลักฐานนี้ท�ำให้ได้ข้อยุติว่า คนไทยในอาณาจักรสุโขทัยใช้อักษรขอมสุโขทัยเป็นรูปอักษรของไทย เขียนได้ ทั้งภาษาไทยและภาษาบาลี ตามที่ได้กล่าวมาในเบื้องต้นแล้วว่า บริเวณลุ่มแม่น�้ำปิงมีอาณาจักรล้านนา เป็นอาณาจักรของคนไทยอาณาจักรหนึ่ง ได้พบหลักฐานว่ามีรูปอักษรธรรม ล้านนาปรากฏขึ้นแล้วในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ อักขรวิธีของอักษรธรรมล้านนา _20-0355(001-150)p3.indd 116 6/7/2563 BE 09:22
117 มีรูปแบบที่เหมาะสมส�ำหรับใช้ได้ทั้งภาษาบาลีและภาษาไทย และอาจเป็นด้วย เหตุนี้เองที่คนในอาณาจักรสุโขทัยส่วนหนึ่งน�ำอักษรธรรมล้านนามาใช้เขียนภาษา บาลีเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้อักษรขอม ดังปรากฏในจารึกลานทองสมเด็จพระ มหาเถรจุฑามุณิสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๙ ความจารึกตั้งแต่บรรทัดที่๑-๓ จารึก ด้วยอักษรไทยสุโขทัยภาษาไทย และบรรทัดที่ ๔ เป็นบรรทัดสุดท้ายจารึกด้วย อักษรธรรมล้านนาภาษาบาลี จากหลักฐานดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในอาณาจักรสุโขทัยมีรูปอักษรใช้๔ แบบ คือ ลายสือไทย อักษรไทยสุโขทัย อักษรขอมสุโขทัย และอักษรธรรมล้านนา ความหลากหลายในการใช้รูปอักษรและภาษาสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญ รุ่งเรืองของบ้านเมือง รวมถึงความรู้ความสามารถของผู้คน ซึ่งเป็นบรรพชน คนไทยที่ได้สร้างสรรค์มรดกภูมิปัญญาไว้เป็นจ�ำนวนมากมายมหาศาลให้คนไทย ในยุคปัจจุบันได้ใช้ประโยชน์จากมรดกเหล่านั้น และพวกเราที่เป็นส่วนหนึ่งของ คนในยุคปัจจุบันก็ควรที่จะได้ใช้มรดกภูมิปัญญาเหล่านั้นด้วยจิตส�ำนึกที่รู้จัก ในคุณค่า พร้อมกับสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เป็นมรดกแก่อนุชนในอนาคตสืบไป (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) เรือน ๓ น�้ำ ๔ หญิงไทยในสมัยโบราณได้รับการสั่งสอนปลูกฝังให้เป็นคนดีมีความขยัน หมั่นเพียรรู้จักวางตน มีความสุภาพเรียบร้อยสงบเสงี่ยมเจียมตัวรู้ขนบธรรมเนียม ประเพณีเรียนรู้เรื่องต่างๆในครัวเรือนและการด�ำเนินไปของสังคม รู้ปรนนิบัติ ดูแลผู้อื่นและผู้ที่อยู่ในเรือนเดียวกัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นหญิงที่ดีงามพร้อมจะ ออกจากเรือนของพ่อแม่ไปสร้างครอบครัวใหม่เป็นแม่เรือนของตนเอง หญิงที่มี คุณสมบัติดังกล่าว โบราณท่านก�ำหนดว่า ต้องรู้หลัก เรือน ๓ น�้ำ ๔ เรือน ๓ หมายถึง ต้องรู้และปฏิบัติเรื่องที่เกี่ยวกับองค์ประกอบของการ อยู่ในเรือนเป็นอย่างดีและถูกต้องสมบูรณ์๓ ประการคือ _20-0355(001-150)p3.indd 117 6/7/2563 BE 09:22
118 ๑. เรือนกายคือต้องรู้จักรักษาร่างกายให้สะอาดหมดจดแต่งกาย ด้วยเสื้อผ้าสะอาด สุภาพ เหมาะสม สระผมหวีผมให้เรียบร้อย ปราศจากกลิ่น เหม็น เส้นผมเป็นระเบียบไม่ยุ่งเหยิง ๒. เรือนไฟ คือ เรือนครัว หรือห้องครัว ต้องเก็บกวาดท�ำความ สะอาดไม่สกปรกรกรุงรังของใช้ในครัววางเป็นระเบียบ สะอาดช�ำระล้างอย่างดี ปราศจากความสกปรก จัดเตรียมเครื่องใช้ของใช้ไว้ครบถ้วน ๓. เรือนนอน คือ ห้องนอน รวมถึงทุกส่วนของเรือนต้องกวาดถูให้ สะอาดปราศจากฝุ่น ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน หมอนมุ้งต้องซักท�ำความสะอาดไม่ให้มี กลิ่นเหม็นสาบ เหม็นอับ น�้ำ ๔ หมายถึง ต้องรู้ปฏิบัติเรื่องของน�้ำ ๔ อย่างคือ ๑. น�้ำกิน ในสมัยโบราณบ้านเมืองยังไม่เจริญเหมือนในทุกวันนี้ ตามบ้านเรือนยังไม่มีน�้ำประปาใช้ทุกบ้านต้องจัดเตรียมน�้ำไว้เพื่อการชะล้าง สิ่งต ่าง ๆ และเพื่อการดื่มกิน ไม่ให้ขาด โดยเฉพาะน�้ำกินจะได้จากน�้ำฝน ซึ่งทุกบ้านจะมีตุ่มไว้รองน�้ำฝนให้พอส�ำหรับการดื่มกิน ทุกครั้งเมื่อฝนตกต้อง รองน�้ำฝนไว้ให้เต็มตุ่ม ๒. น�้ำใช้ต้องจัดเตรียมน�้ำไว้ใช้อย่าให้ขาดบ้าน โดยตักมาจากบ่อ สระ หรือแม่น�้ำ ให้พร้อมอยู่เสมอ หากน�้ำที่ตักมาขุ่นต้องกวนด้วยสารส้มทิ้งไว้ ให้น�้ำนั้นใส ๓. น�้ำเต้าปูน เนื่องจากคนในสมัยโบราณนิยมกินหมาก ปูนที่ใช้ บ้ายพลูส�ำหรับกินกับหมากนั้น มีที่ใส่เป็นภาชนะคล้ายขวด ปากกว้าง ทรงเตี้ย อาจท�ำด้วยดินเผาหรือแก้วเรียกว่าเต้าปูน ในเต้าปูนนี้ต้องมีน�้ำไว้หล่อไม่ให้ปูน แห้ง ซึ่งต้องหมั่นตรวจดูและคอยเติมน�้ำในเต้าปูนไว้เสมอ ๔. น�้ำใจ หมายถึงให้เป็นคนมีจิตใจงดงาม รู้กาลควรไม่ควร มีจิตใจ โอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ญาติพี่น้อง และตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี (นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์) _20-0355(001-150)p3.indd 118 6/7/2563 BE 09:22
119 ฤๅษีแปลงสาร ฤๅษีแปลงสารเป็นส�ำนวน หมายความว่าแก้เหตุร้ายให้กลายเป็นดีส�ำนวน นี้มีที่มาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องนางสิบสอง ซึ่งเล่าว่านางยักษ์สันธมาร ชายา ท้าวรถสิทธิ์ต้องการก�ำจัดพระรถซึ่งเป็นบุตรเลี้ยง จึงออกอุบายท�ำเป็นป่วย ขอให้ท้าวรถสิทธิ์สั่งพระรถให้ไปหายามารักษา ยานี้คือมะม่วงไม่รู้หาว มะนาว ไม่รู้โห่ ซึ่งมีอยู่ที่เมืองเดิมของนาง นางยักษ์เขียนสารให้พระรถถือไปให้นางเมรี ซึ่งครองเมืองอยู ่ในขณะนั้น แต ่ระหว ่างทางพระรถแวะนมัสการพระฤๅษี พระฤๅษีอ่านสารแล้วรู้สึกสงสารพระรถ จึงเปลี่ยนข้อความเสียใหม่ ข้อความ ในสาร และข้อความที่ฤๅษีเปลี่ยนให้แตกต่างกันไปบ้างตามผู้เล่าเรื่อง เช่น ผู้เล ่าชาวจังหวัดฉะเชิงเทราคนหนึ่งกล ่าวว ่านางยักษ์เขียนว ่า “ถึงกลางวัน ให้ฆ่ากลางวัน ถึงกลางคืนให้ฆ่ากลางคืน” และพระฤๅษีเปลี่ยนข้อความเป็น “ถึงกลางวันให้แต่งกลางวัน ถึงกลางคืนให้แต่งกลางคืน” แต่ชาวไทใหญ่ที่เมือง นายกล่าวว่านางยักษ์เขียนว่า “ถึงตอนบ่ายให้กินตอนเช้า หากถึงตอนเช้าให้กิน ตอนบ่าย” และพระฤๅษีเปลี่ยนข้อความเป็น “ถึงตอนบ่ายให้แต่งงานตอนเช้า หากถึงตอนเช้าให้แต่งงานตอนบ่าย” อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าข้อความในสารและ ข้อความที่เปลี่ยนใหม่จะเป็นอย่างไร นางเมรีก็แต่งงานกับพระรถตามข้อความ ในสารและพระรถรอดพ้นจากอันตราย นอกจากฤๅษีแปลงสารจะเป็นส�ำนวนแล้ว ยังเป็นชื่อของกลโคลงอีกด้วย ในหนังสือจินดามณีซึ่งเป็นแบบเรียนฉบับแรกของไทยมีกลโคลงชื่อฤๅษีแปลงสาร ค�ำแต่ละค�ำในโคลงเรียงอักษรสับต�ำแหน่งกัน คืออักษรที่ควรจะอยู่ข้างหน้า กลับไปอยู่ข้างหลัง ดังนี้ ลิตขิศอิศรเท้ไ ฤนลบา งงฟถิ่นววท่วข่ารสา มนุ่หน้าหเ รรมคาทุศรเสนถา งงยะลุถึงยลเ มอ�ำตยฤศรนจพจ้าเ นนี่เช้าอพื่เดใ _20-0355(001-150)p3.indd 119 6/7/2563 BE 09:22
120 กอัรษรวณษกลันวล้ งลพเลพา อชื่ษีฤๅงลปแรสา บสืบว้ไ ดลัผนยลี่ปเนยพี้เนอลกรกา ยลากบลัก นสหท่เหล่เบลัห้ใ นอ่านล้หเนปเมษกเ ผู้อ่านกลโคลงข้างต้นจะต้องแปลงสารย้ายต�ำแหน่งตัวอักษรในค�ำแต่ละค�ำ ให้อยู่ถูกที่จึงจะอ่านสารได้เข้าใจ ดังนี้ ลิขิตอิศเรศไท้ นฤบาล ฟงงถิ่นท่ววข่าวสาร หนุ่มเหน้า มรรคาทุเรศสถาน ยงงลุะ ถึงเลย อ�ำมฤตยรศพจนเจ้า เนิ่นช้าเพื่อใด อักษรวรลักษณล้วน เพลงพาล ชื่อฤๅษีแปลงสาร สืบบไว้ ผลัดเปลี่ยนเพี้ยนกุลธนการ กลายกลับ สนเท่หเล่หลับให้ อ่านเหล้นเปนเกษม (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) ลิลิตโองการแช่งน�้ำ ลิลิตโองการแช่งน�้ำมีชื่อเรียกหลายชื่อด้วยกัน เช่น ลิลิตโองการแช่งน�้ำ โองการแช่งน�้ำโคลงห้าโองการแช่งน�้ำพิพัฒน์สัตยาวรรณคดีเรื่องนี้มีความส�ำคัญ อย ่างมากในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีในราชส�ำนักเพราะเป็นโองการที่ พราหมณ์ต้องน�ำมาอ่านในเวลาที่มีการพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา สันนิษฐานว่าเรื่องนี้แต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้า อู่ทอง) เพื่อใช้ในพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่ส�ำคัญ ในราชส�ำนักอยุธยาสืบต่อมาจนถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เนื่องจากเป็นการ กล่าวสาบานของเหล่าขุนนางว่าจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าแผ่นดิน หากใครคิดกบฏ _20-0355(001-150)p3.indd 120 6/7/2563 BE 09:22
121 ต้องมีอันเป็นไปต่าง ๆ พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้เข้าใจว่า คงจะรับเข้ามาเป็นเวลา นานแล้วก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาหรืออย่างน้อยก็ต้องในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ ๑ ด้วยปรากฏส�ำนวนภาษาที่เก่าเทียบได้กับภาษาสมัยสุโขทัย ฉันทลักษณ์ที่น�ำมาใช้ในการแต่งวรรณคดีเรื่องนี้คือโคลงห้ากับร่ายโบราณ ซึ่งเป็นลักษณะค�ำประพันธ์ของกลุ่มชนชาติไทมาแต่เดิมเนื่องจากพบการแต่ง ค�ำประพันธ์ด้วยโคลงทั้งในล้านนา ล้านช้างและไทยภาคกลางอีกทั้งร่ายโบราณ ที่ปรากฏก็มีลักษณะคล้ายกับร่ายโบราณที่ปรากฏในจารึกสมัยสุโขทัย เช่น จารึก หลักที่ ๔๕ (จารึกปู่ขุนจิดขุนจอด) จารึกหลักที่ ๑๕ (จารึกวัดพระเสด็จ) ลิลิตโองการแช่งน�้ำแต่งขึ้นเพื่อใช้ในพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือพระราชพิธีแช่งน�้ำพระพัทธซึ่งตามปรกติจะจัดขึ้นปีละสองครั้งคือในเดือน เมษายน(เดือน๕)ครั้งหนึ่งและในเดือนกันยายน(เดือน๑๐)อีกครั้งหนึ่งพราหมณ์ จะอ่านโองการแล้วแทงพระแสงศัตราวุธต่าง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้สร้าง พระแสงศรสามเล่ม ได้แก่ พระแสงศรปลัยวาต, พระแสงศรอัคนิวาต พระแสง ศรพรหมาศเพื่อใช้แทงน�้ำก่อนพระแสงองค์อื่น ๆ เมื่อพราหมณ์อ่านโองการจบ แล้วจึงน�ำน�้ำมาให้ขุนนางดื่ม ทั้งนี้ห้ามขุนนางเททิ้งหรือกินอาหารมาก่อนเพราะ จะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ลิลิตโองการแช่งน�้ำ สามารถจัดแบ่งเนื้อหาออกได้เป็น ๔ ตอน คือ ตอนที่ ๑ กล่าวอัญเชิญเทพเจ้าตรีมูรติคือ พระวิษณุ พระศิวะ และ พระพรหม แต่งด้วยร่ายโบราณ ตอนที่ ๒ กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการท�ำลายโลก การเกิดขึ้น ใหม่ของโลก การก�ำเนิดของมนุษย์และพระมหาสมมติเทพ แต่งด้วยโคลงห้า ดังตัวอย่าง นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์ จักร�่ำจักรพาฬเมื่อไหม้ กล่าวถึงตระวันเจ็ดอันพลุ่ง น�้ำแล้งไข้ขอดหาย ฯ _20-0355(001-150)p3.indd 121 6/7/2563 BE 09:22
122 เจ็ดปลามันพุ่งหล้าเป็นไฟ วาบจตุราบายแผ่นขว�้ำ ชักไตรตรึงษ์เป็นเผ้า แลบล�้ำสีลอง ฯ สามรรถญาณครเพราะเกล้าครองพรหม ฝูงเทพนองบนปานเบียดแป้ง สรลมเต็มพระสุธาวาสแห่งหั้น ฟ้าแจ้งจอดนิโรโธ ฯ กล่าวถึงน�้ำฟ้าฟาดฟองหาว ดับเดโชฉ�่ำหล้า ปลาดินดาวเดือนแอ่น ลมกล้าป่วนไปมา ฯ แลเป็นแผ่นเมืองอินทร์ เมืองธาดาแรกตั้ง ขุนแผนแรกเอาดินดูที่ ทุกยั้งฟ้าก่อคืน ฯ แลเป็นสี่ปวงดิน เป็นเขายืนทรง�้ำหล้า เป็นเรือนอินทร์ถาเถือก เป็นสร้อยฟ้าจึ่งบาน ฯ แลมีค�่ำมีวัน กินสาลีเปลือกปล้อน บมีผู้ต้อนแต่งบรรณา เลือกผู้ยิ่งยศเปนราชาอะคร้าว เรียกนามสมมติราชเจ้า จึ่งตั้งท้าวเจ้าแผ่นดินฯ ตอนที่ ๓ กล่าวอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่น พระรัตนตรัยเทพเจ้าในศาสนา พราหมณ์เทวดาอารักษ์ฯลฯ มาเป็นพยานในการแช่งน�้ำ แต่งด้วยโคลงห้า ตอนที่ ๔ เป็นการแช่งน�้ำ และสาปแช่งผู้คิดคดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน และให้พรผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน แต่งด้วยร่ายสุภาพ ลิลิตโองการแช่งน�้ำเป็นวรรณคดีพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นสภาพความเชื่อ ของคนไทยที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์และความเชื่อ เรื่องผีสางเทวดาในสังคมไทย เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดของสังคมไทยตั้งแต่สมัยโบราณ ในทางด้านศาสนานั้น ลิลิตโองการแช่งน�้ำแสดงให้เห็นถึงความสับสน ระหว่างพระอินทร์กับพระอิศวรอย่างเห็นได้ชัด เช่น กล่าวว่าพระอิศวรอยู่ที่ ผาหลวง (ซึ่งที่จริงผาหลวงนั้นคือเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นที่อยู่ของพระอินทร์) หรือ กล่าวว่าอาวุธของพระอิศวรคือสายฟ้า (ความจริงสายฟ้าหรือวชิราวุธเป็นอาวุธ _20-0355(001-150)p3.indd 122 6/7/2563 BE 09:22
123 ของพระอินทร์) นอกจากนี้ยังกล่าวถึงชื่อต่างๆ ที่มีที่มาในศาสนาพราหมณ์เป็นภาษาไทย อีกด้วยเช่น เขาพระสุเมรุเรียกว่า“ผาหลวง”เขาคันธมาทน์เรียกว่า“ผาหอมหวาน” เขาไกรลาสเรียกว่า“ผาเผือก”เขาจิตรกูฏเรียกว่า“เขาลาย”เรียกหงส์ว่า“ห่าน” เรียกพระพรหมทรงหงส์ว่า “ขุนห่าน” เรียกเทวดาว่า “แมน” วรรณกรรมเรื่องลิลิตโองการแช่งน�้ำเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าในสมัย อยุธยาตอนต้นสังคมไทยมีความเชื่อในศาสนาพราหมณ์มีความรู้เรื่องคติไตรภูมิ หรือเรื่องโลกศาสตร์ของพระพุทธศาสนาเถรวาท และความเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง ผีสางเทวดา ซึ่งมีการน�ำมาผสมผสานกันได้เป็นอย่างดี (รศ. ดร.ศานติ ภักดีค�ำ) ลูกขุนพลอยพยัก-บอกศาลา ลูกขุนพลอยพยัก และ บอกศาลา ต่างเป็นส�ำนวน ลูกขุนพลอยพยัก หมายถึง ผู้ที่คอยว่าตามหรือเห็นด้วยกันกับผู้ใหญ่เป็นเชิงประจบสอพลอ เช่น ไม่ว่าผู้อ�ำนวยการจะพูดว่าอย่างไร พวกลูกขุนพลอยพยักก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย ส่วน บอกศาลา หมายถึง ประกาศไม่รับผิดชอบหรือตัดขาดไม่ให้ความอุปการะ เลี้ยงดูอีกต่อไป เช่น เด็กคนนี้เกเรมากจนพ่อแม่ต้องบอกศาลา ส�ำนวน ลูกขุนพลอยพยักและ บอกศาลา มีที่มาเกี่ยวกับลูกขุนและศาลา ลูกขุน ค�ำว่าลูกขุนพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.๒๕๕๔ให้ความหมาย ไว้ในหน้า ๑๐๖๘ ว่า ลูกขุน (โบ) น. อ�ำมาตย์, มนตรี, ขุนนาง, ข้าราชการ. และให้ความหมายของ ลูกขุน ณ ศาลหลวง และ ลูกขุน ณ ศาลา ไว้ในหน้า ๑๐๖๘ เช่นกันว่า ลูกขุน ณ ศาลหลวง, ลูกขุนศาลหลวง (โบ) น. คณะผู้พิพากษามีหน้าที่ ตัดสินคดีโดยชี้ขาดข้อกฎหมายหลังจากที่ตระลาการพิจารณาคดีขี้ขาดข้อเท็จจริง แล้ว, บางทีเขียนเป็น ลูกขุน ณ สานหลวง หรือ ลูกขุน ณ สารหลวง ก็มี. _20-0355(001-150)p3.indd 123 6/7/2563 BE 09:22
124 ลูกขุน ณ ศาลา, ลูกขุนศาลา (โบ) น.คณะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท�ำหน้าที่ บังคับบัญชาราชการแผ่นดิน มีต�ำแหน่งต่างๆเช่น เสนาบดีมาประชุมร่วมกันที่ ศาลาลูกขุน. ด้วยเหตุที่ลูกขุน ณ ศาลาเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จึงมีค�ำน�ำหน้าแสดง ความยกย่องว่า พณหัวเจ้าท่าน หรือ ฯพณฯ เช่น “บอกน�้ำฝนต้นเข้ากรุงเก่า” เมื่อเดือน ๙ จุลศักราช ๑๒๓๗ (พ.ศ. ๒๔๑๘) มีข้อความตอนต้นว่า ข้าพเจ้า พระพิทักษเทพธานีปลัด หลวงกรุงศรีบริรักษยกระบัด กรมการกรุงเก่า บอกปรนิบัติมายังท่านออกพันธนายเวน ขอได้กราบเรียน พณหัวเจ้าท่านลูกขุน ณ ศาลาได้ทราบ... และ “บอกน�้ำฝนต้นเข้าเมืองนครสวรรค์” เมื่อเดือน ๑๐ จุลศักราช ๑๒๓๗ มีข้อความตอนต้นว่า ข้าพเจ้า พระยาไตรเพชรัตนราชสงครามรามภักดีพิริยภาห พระยา นครสวรรค์พระยอดเมืองขวางปลัด หลวงเทียนฆ์ราชยกระบัดกรมการ บอกมายังท่านออกพันนายเวนได้น�ำขึ้นกราบเรียน ฯพณฯลูกขุน ณ ศาลา ให้ทราบ... ค�ำว่า นายเวน ซึ่งปรากฏในข้อความที่คัดมานี้หมายถึงหัวหน้าเสมียน พนักงานที่อยู่เวรที่ศาลาลูกขุน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรง ราชานุภาพทรงเล่าถึงศาลาลูกขุนและนายเวรไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง “สภาพเมื่อ แรกสถาปนากระทรวงมหาดไทย” ดังนี้ สถานที่เรียกว่า“ศาลาลูกขุน” นั้น แต่เดิมมี๓ หลังตามแบบอย่าง ครั้งกรุงศรีอยุธยา หลังหนึ่งอยู่นอกพระราชวัง(ว่าอยู่ใกล้ๆกับหลักเมือง) เป็นสถานที่ส�ำหรับประชุมข้าราชการฝ่ายตุลาการชั้นสูงซึ่งเรียกรวมกันว่า “ลูกขุนณศาลหลวง” นั่งพิพากษาคดีเป็นท�ำนองอย่างศาลสถิตย์ยุติธรรม ศาลาลูกขุนอีก ๒ หลังอยู่ในพระราชวัง จึงเป็นเหตุให้เรียกต่างกันว่า _20-0355(001-150)p3.indd 124 6/7/2563 BE 09:22
125 “ศาลาลูกขุนนอก” และ “ศาลาลูกขุนใน” ศาลาลูกขุนในเป็นสถานที่ ส�ำหรับประชุมข้าราชการชั้นสูงฝ่ายธุระการ[ปัจจุบันหมายถึงฝ่ายบริหาร] ซึ่งเรียกรวมกันว่า“ลูกขุนณศาลา” หลังหนึ่งซึ่งอยู่ข้างซ้ายส�ำหรับประชุม ข้าราชการพลเรือนซึ่งอยู่ในปกครองของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ด้วยเป็นสมุหนายกหัวหน้าข้าราชการพลเรือน อีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ข้างขวา ส�ำหรับประชุมข้าราชการทหารก็อยู่ในปกครองของเสนาบดีกระทรวง กลาโหม ด้วยเป็นหัวหน้าข้าราชการทหารเช่นเดียวกัน ตัวศาลาลูกขุนเป็นศาลาใหญ่ชั้นเดียว ได้ยินว่าเมื่อแรกสร้างใน รัชกาลที่ ๑ เป็นเครื่องไม้มาเปลี่ยนเป็นก่ออิฐถือปูนในรัชกาลที่ ๓ ทั้ง ๒ หลัง ในศาลาลูกขุนตอนข้างหน้าทางฝ่ายเหนือเปิดโถง เป็นที่ประชุม ข้าราชการและใช้เป็นที่แขกเมืองประเทศราชหรือแขกเมืองต่างประเทศ พักเมื่อก่อนเข้าเฝ้า และเลี้ยงแขกเมืองที่นั้นด้วย แต่มีฝาไม้ประจันห้อง กั้นสกัดกลาง เอาตอนข้างหลังศาลาทางฝ่ายใต้เป็นห้องส�ำนักงาน กระทรวงมหาดไทยหลัง ๑ กระทรวงกลาโหมหลัง ๑ อย่างเดียวกัน แต่ ไม่ได้เป็นส�ำนักงานทุกอย่างของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหม เพราะหน้าที่สองกระทรวงนั้นมีเป็น ๓ แผนก แผนกที่ ๑ คือหน้าที่ อัครมหาเสนาบดีที่ต้องสั่งการงานต่างๆแก่กรมอื่นให้ทันราชการอันนี้เป็น มูลที่ต้องมีส�ำนักงานและมีพนักงานประจ�ำอยู่ในพระราชวังเสมอทั้ง กลางวันกลางคืน แผนกที่๒ การบังคับบัญชาหัวเมือง ที่จริงโดยล�ำพังงาน ไม่จ�ำเป็นต้องท�ำที่ศาลาลูกขุน แต่หากการบังคับบัญชาหัวเมืองต้องใช้ ผู้ช�ำนาญหนังสือส�ำหรับพิจารณาใบบอกและเขียนท้องตราสั่งราชการ หัวเมือง กระทรวงมหาดไทยและกลาโหมมีหัวพันนายเวรและเสมียน ซึ่งช�ำนาญหนังสือส�ำหรับเขียนบัตรหมายประจ�ำอยู่ที่ศาลาลูกขุน จึงให้ พวกที่ช�ำนาญหนังสือนั้นท�ำการงานในแผนกบังคับบัญชาหัวเมืองด้วย แผนกที่ ๓ เป็นฝ่ายตุลาการ ด้วยกระทรวงมหาดไทยและกลาโหมเป็น _20-0355(001-150)p3.indd 125 6/7/2563 BE 09:22
126 ศาลอุทธรณ์ความหัวเมืองซึ่งอยู่ในบังคับบัญชา มีขุนศาลตุลาการตลอด จนเรือนจ�ำส�ำหรับการแผนกนั้นต่างหาก จึงต้องตั้งศาลที่บ้านเสนาบดี และหาที่ตั้งเรือนจ�ำแห่งใดแห่งหนึ่ง... ข้าราชการที่เป็นพนักงานประจ�ำท�ำการในศาลาลูกขุนนั้น ปลัดทูล ฉลองหรือข้าราชการผู้ใหญ่ที่ได้ท�ำการในหน้าที่ปลัดทูลฉลอง เป็นตัว หัวหน้ารองลงมามีข้าราชการชั้นสัญญาบัตรเป็นพระเป็นหลวงเป็นผู้ช่วย สักสามสี่คน ต่อนั้นลงมาถึงชั้นเสมียนพนักงาน ในชั้นเสมียนพนักงาน มีนายเวร ๔ คน รับประทวนเสนาบดีตั้งเป็นที่“นายแกว่นคชสาร”คนหนึ่ง “นายช�ำนาญกระบวน”คนหนึ่ง“นายควรรู้อัศว”คนหนึ่ง “นายรัดตรวจพล” คนหนึ่ง ได้ว่ากล่าวเสมียนทั้งปวง นายเวร ๔ คนนั้น กลางวันมาท�ำงาน ในศาลาลูกขุนด้วยกันทั้งหมด เวลากลางคืนต้องผลัดเปลี่ยนกันนอนค้าง อยู่ที่ศาลาลูกขุน ส�ำหรับท�ำราชการที่จะมีมาในเวลาค�่ำคราวละ ๑๕ วัน เวียนกันไป เรียกว่า “อยู่เวร” ต�ำแหน่งหัวหน้าจึงได้ชื่อว่า “นายเวร” แต่หน้าที่นายเวรไม่แต่ส�ำหรับท�ำราชการที่มีมาในเวลาค�่ำเท่านั้น บรรดา ราชการที่มีมาถึงกระทรวงมหาดไทยจะมีมาในเวลากลางวันหรือกลางคืน ก็ตาม ถ้ามาถึงกระทรวงในเวร ๑๕ วันของใคร นายเวรนั้นก็ต้องเป็น เจ้าหน้าที่ท�ำการเรื่องนั้นตั้งแต่ต้นไปจนส�ำเร็จ นอกจากศาลาลูกขุนจะเป็นที่ประชุมข้าราชการชั้นสูงและเป็นสถานที่ ส�ำหรับรับเรื่องราชการต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นสถานที่ที่ประชาชนไปแจ้งเรื่องให้ เจ้าพนักงานรับทราบอีกด้วยเช่นกฎหมายลักษณะโจรห้าเส้นออกเมื่อพ.ศ.๒๓๘๐ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความตอนหนึ่งว่า ...ถ้าอ้ายผู้ร้ายปล้นได้ทรัพย์ไปมากน้อยเท่าใด ให้เอาทรัพย์ที่ผู้ร้ายปล้น ไปนั้น ตั้งปรับไหมบิดามารดาญาติพี่น้องป้าน้าอาบุตรหลานและเหลนลื่อ ซึ่งได้รับราชการแลมิได้รับราชการ เรียงตัวไปตามกฎหมายที่ได้ส่วน แบ่งปันทรัพย์มรดกตามสนิทแลห่างเป็นพิไนยหลวง เหตุว่าบิดามารดา _20-0355(001-150)p3.indd 126 6/7/2563 BE 09:22
127 ญาติพี่น้องมิได้สั่งสอนห้ามปรามละเลยให้บุตรหลานกระท�ำความชั่ว มิได้ เอาความมาบอกศาลาเป็นค�ำนับ... ประกาศรัชกาลที่ ๔ เรื่องเล่นเบี้ย มีความตอนหนึ่งว่า ...ถ้าเจ้านายจะเอาข้าคนซึ่งอยู่นอกพระราชวังแลช่วยทาษขึ้นใหม่ จะเอามาไว้ใช้สอยในพระบวรราชวังให้มากขึ้นไปกว่าแต่ก่อน ก็ให้ไปบอก ศาลาบอกบาญชีเดิมนั้นยื่นขึ้นตามจ�ำนวนคน ซึ่งได้ใช้สอยประจ�ำอยู่ใน พระบวรราชวัง... และประกาศรัชกาลที่ ๔ เรื่องยิงปืน มีความตอนหนึ่งว่า ...ให้นายอ�ำเภอประกาศห้ามอย่าให้ผู้ใดยิงปืนใหญ่น้อยโดยล�ำพังไม่ได้ บอกสาลาก่อนเลยเปนอันขาดจงทุกอ�ำเภอ... เห็นได้ว่า แต่เดิมเรื่องที่ประชาชนบอกที่ศาลามีต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องการ ตัดขาดไม่เกี่ยวข้องกับญาติที่เป็นโจรผู้ร้ายด้วย ต่อมากลายความหมายเป็นการ ตัดขาดไม่เกี่ยวข้องกับลูกหลานญาติมิตรส่วนลูกขุนพลอยพยักซึ่งเดิมหมายความ ว่าลูกขุนพยักเพยิดคล้อยตามผู้ใหญ่มีเสนาบดีเป็นต้น ก็กลายความหมายเป็น ผู้น้อยคล้อยตามผู้ใหญ่เป็นเชิงประจบสอพลอ (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) หนังสืออ้างอิง กาญจนาคพันธุ์(นามแฝง).ส�ำนวนไทย. ๒ เล่ม. พระนคร : รวมสาส์น, ๒๕๑๓. ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔. ๒ เล่ม.กรุงเทพฯ:องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๒๘. มหาดไทย,กระทรวง.อนุสรณ์เนื่องในงานฉลองวันที่ระลึกสถาปนากระทรวง มหาดไทยครบรอบ ๖๐ ปีบริบูรณ์.พระนคร:กระทรวงมหาดไทย,๒๔๙๕. ราชกิจจานุเบกษา รัชกาลที่ ๔. กรุงเทพฯ : ต้นฉบับ, ๒๕๔๐. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์, ๒๕๕๖. _20-0355(001-150)p3.indd 127 6/7/2563 BE 09:22
128 ลูกค้า-พ่อค้า ค�ำว ่าลูกค้าและพ ่อค้าปัจจุบันมีความหมายต ่างกันมาก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายของค�ำ ลูกค้า ไว้ว่า ลูกค้า น. ผู้ซื้อ เช่น ผู้ขายปลีกเป็นลูกค้าของผู้ขายส่ง, ผู้อุดหนุนในเชิง ธุรกิจ เช่น ลูกค้าของธนาคาร. ส่วนค�ำว่า พ่อค้า พจนานุกรมฉบับดังกล่าวไม่ได้บอกความหมายโดยตรง แต่ใช้เป็นตัวอย่างของความหมายค�ำว่า พ่อ ซึ่งให้ความหมายไว้อย่างหนึ่งว่า “ผู้ชายที่กระท�ำกิจการหรืองานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ค้าขาย เรียกว่า พ่อค้า ท�ำครัว เรียกว่า พ่อครัว” เห็นได้ว่า ในปัจจุบัน ลูกค้าหมายถึงผู้ซื้อ ส่วนพ่อค้า หมายถึง ผู้ขาย ในสมัยอยุธยาลูกค้ามิได้หมายถึงผู้ซื้อแต่หมายถึงผู้ค้าขาย มีตัวอย่างเช่น หนังสือออกญาไชยาเมืองตะนาวศรีอนุญาตให้พ่อค้าเดนมาร์กเข้ามาค้าขาย ยังประเทศไทย เมื่อ จ.ศ. ๙๘๓ (พ.ศ. ๒๑๖๔) มีข้อความตอนหนึ่งว่า ...ถ้าลูกค้าต่างประเทศเข้ามาซื้อขายยงัท่าเมืองตรเนาวศรีม่หาณคอร ซื้อขายแล้ว แลจ่คืนออกไปเล่า กตาม ถ้าแลจะเข้าไปซือขายเถืงกรุง พระม่หาณคอรทวาราวดีศรีอ่ยุทยากตามเวลาแลให้ซือขายจงส่ดวกญ่า ให้แค้นเคืองได้ และสัญญาไทย ฝรั่งเศส ครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และหนังสือ ออกพระวิสุทธสุนทร ซึ่งท�ำเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๑ ก็มีข้อความหลายตอนที่มีค�ำว่า ลูกค้า ข้อความตอนหนึ่งว่าดังนี้ ประการหนึ่งถ้าแลกุมบันหญีฝรั่งเษดมิได้เอาสินค้าไปซื้อขายตามสัญญา แลราษฎรขาดสินค้าแลเอาดีบุกซื้อขายแก่ลูกค้าอื่น ก็อย่าให้เจ้าพนักงาน ริบเอาแก่ลูกค้าซึ่งขายดีบุกแก่กันนั้นเลย _20-0355(001-150)p3.indd 128 6/7/2563 BE 09:22
129 ในสมัยรัตนโกสินทร์ค�ำว่า ลูกค้า ก็ยังหมายถึงผู้ค้าขาย เช่น ในเรื่อง ราชาธิราชซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้แปลจากพงศาวดารมอญ เริ่มแปลและเรียบเรียงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ และตีพิมพ์ จ�ำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ มีข้อความตอนหนึ่งว่า ...มะกะโทมีอายุสิบสี่สิบห้าปีบิดานั้นก็ถึงแก่ความตาย มะกะโทได้เป็น นายพ่อค้าคุมลูกค้าสามสิบคน หาบขึ้นไปค้าเมืองสุโขทัยครั้นมาจะใกล้ถึง ต�ำบลภูเขาปะเดวะลูกค้าคนหนึ่งป่วย มะกะโทจึงเข้ารับเอาหาบลูกค้าซึ่ง ป่วยนั้นแทน เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขานั้นมิใช่ฤดูฝนก็บังเกิดเป็นพายุใหญ่แล้ว ฝนตกฟ้าร้องอสนีผ่าลงมาถูกคานซึ่งมะกะโทหาบหักลงจากบ่ามะกะโท ๆ ท�ำคานพลัดถึงสามครั้งอสนีก็บันดาลผ่าลงถูกคานถึงสามหน จนหาบนั้น ตกลงไปในเหว มะกะโทตกใจยืนตะลึงอยู่ในที่นั้น แลไปในบุรพทิศเห็น แสงอรุณสว่างขึ้น ครั้นแลมาฝ่ายประจิมทิศ ฟ้าแลบขึ้น เห็นเป็นวิมาน และปราสาทราชมณเฑียรปรากฏแก่ตามะกะโท มะกะโทจึงคิดแต่ในใจว่า เหตุใหญ่เป็นมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ฝ่ายลูกค้าทั้งปวงก็มิเป็นอันตรายจึงคิดว่า ตัวกูนี้เห็นจะมีวาสนาไปภายหน้าแล้วมะกะโทก็พาลูกหาบพ่อค้าทั้งปวง ไปถึงต�ำบลบ้านมะเดวะ พอเวลาเย็นก็เข้าอาศัยอยู่ ข้อความข้างต้นมีทั้งค�ำว่าลูกค้าและพ่อค้า ค�ำว่าลูกค้าน่าจะหมายถึงผู้ ค้าขายทั่วไป ส่วนค�ำว่าพ่อค้าหมายถึงผู้เป็นหัวหน้าหรือเป็นนายใหญ่ของลูกค้า ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือน ๗ จ.ศ. ๑๒๓๖ (พ.ศ. ๒๔๑๗) เรื่องการขุดแร่ท�ำทองเมืองปราจีณบุรีก็ยังมีค�ำว่าลูกค้าซึ่งหมายถึงผู้ค้าขาย ดังข้อความตอนหนึ่งว่า ...อนึ่งคลองบางกนากซึ่งเจ้าพระยาบดินทร์เดชาเกณฑ์ขุดไว้แต่ครั้ง แผ่นดินพระบาทสมเดจพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นตื้น เรือลูกค้าจะไปมา ล�ำบาก... _20-0355(001-150)p3.indd 129 6/7/2563 BE 09:22
130 และในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือน ๘ ปีเดียวกัน มีเรื่องบอก เมืองนครเชียงใหม่ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า ...อนึ่งธรรมเนียมณะเมืองนครเชียงใหม่เคยเรียกภาษีอากรแต่ลูกค้าเมือง อื่น ๆอย่างไรจะขอรับพระราชทานเรียกแต่คนซึ่งอยู่ในบังคับอังกฤษนั้น เหมือนกับลูกค้าเมืองอื่น ๆ พอเปนก�ำลังราชการบ้านเมืองต่อไป... อาจกล่าวได้ว่า ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ค�ำว่าพ่อค้ามีที่ใช้น้อยกว่าลูกค้า อย่างไรก็ตาม พจนานุกรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์เก็บทั้งค�ำว่าพ่อค้าและลูกค้า อักขราภิธานศรับท์ให้ความหมายของค�ำ พ่อค้า และลูกค้า ไว้ว่า พ่อค้า, นายห้าง, คือชายที่เปนคนค้าขายของมากเหมือนนายก�ำปั่น แลนายส�ำเภานั้น. ลูกค้า, วานิช, คือคนชายหญิงที่ซื้อขายนั้น, คนขวนขวายหาทรัพย์ด้วย ซื้อขายนั้น. และศริพจน์ภาษาไทย์ให้ความหมายของค�ำพ่อค้าและลูกค้าว่า พ่อค้า Merchant. ลูกค้า Merchants in general. ล่วงมาอีกสี่ห้าทศวรรษ ความหมายของค�ำว่าลูกค้าเปลี่ยนไปบ้างแต่ก็ยัง มีเค้าความหมายเดิม ปทานุกรม พ.ศ. ๒๔๗๐ ให้ความหมายของค�ำลูกค้าว่า “ลูกค้า น. ผู้รับช่วงขายของย่อย” ส ่วนค�ำว ่าพ ่อค้าเป็นตัวอย ่างในนิยาม ความหมายของค�ำว่า พ่อดังนี้“พ่อ น. ชายผู้ยังบุตรให้เกิด...และแปลว่าผู้ชาย เช่น พ่อครัว=ชายผู้ท�ำครัว, พ่อค้า=ชายผู้ค้าขาย”ต่อมาอีกไม่นานพจนานุกรม ไทย-อังกฤษของหมอแม็คฟาร์แลนด์(อ�ำมาตย์เอกพระอาจวิทยาคม)ซึ่งพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ ให้ความหมายของค�ำลูกค้าว่า“patrons,customersofastore” ซึ่งใกล้เคียงกับความหมายของค�ำว่าลูกค้าในปัจจุบัน (รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา) _20-0355(001-150)p3.indd 130 6/7/2563 BE 09:22