The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 18 แผน
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ปฏิกิริยาเคมีและวัสดุในชีวิตประจำวัน
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 ไฟฟ้า
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by lava67038, 2022-03-13 04:17:28

แผนการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้น ม.3

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 18 แผน
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ปฏิกิริยาเคมีและวัสดุในชีวิตประจำวัน
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 ไฟฟ้า
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

Keywords: แผนการจัดการเรียนรู้ ,วิทยาศาสตร์

1

2

แผนการจัดการเรียนรู้
รายวชิ า วิทยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน ๖
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ระดบั ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย

นางสาวพลอยทพิ ย์ เวยี งสมทุ ร
รหัสประจำตัวนกั ศึกษา ๖๐๑๐๐๑๔๗๑๐๓

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (ชวี วิทยา)

การฝกึ ปฏบิ ตั กิ ารสอนในสถานศกึ ษา ๒
รหสั วิชา ED๑๘๕๐๒ (INTERNSHIP IN SCHOOL ๒)

คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี
ภาคเรียนท่ี ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๔



คำนำ

แผนการจัดการเรียนร้รู ายวิชาชีววิทยา รหสั วชิ า ว๒๓๑๐๒ เล่มนี้จดั ทำขน้ึ เพื่อเปน็ แนวทางในการ
จัดกระบวนการเรียนรู้ในระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๓ ประจำภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ในการจัดการศึกษาที่มุ่ง
พัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามจุดหมายของหลักสูตรโดยยึดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่ ๓ เป็น
แนวทางมุ่งพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ และจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้บรรลุเจตนารมณ์ของหลักสูตร
การศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์แลเทคโนโลยี ซ่ึงประกอบด้วย วิสัยทัศน์หลักสูตรกลุ่ม
สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ทำไมตอ้ งเรยี นวิทยาศาสตร์ เรียนรู้อะไรในวทิ ยาศาสตร์ สาระและมาตรฐานการ
เรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง คุณภาพผู้เรียน คำอธิบายรายวิชาวิทยาศาสตร์ โครงสร้าง
รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน กำหนดการสอนโครงการสอนภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ และแผนการ
จัดการเรียนรู้

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารเล่มนี้คงเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจตามสมควร และขอขอบคุณท่าน
ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย ครูพี่เลี้ยง และคณะครกู ลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ทใ่ี หค้ ำแนะนำในการจดั ทำเอกสารฉบับนใ้ี ห้สำเรจ็ ดว้ ยดี

นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมุทร

สารบญั ข

เรื่อง หน้า
คำนำ ก
สารบญั ข
วสิ ยั ทศั น์หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ๑
ทำไมตอ้ งเรียนวทิ ยาศาสตร์ ๑
เรียนรอู้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์ ๑
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ ๒
ตัวชีว้ ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง ๔
คณุ ภาพผู้เรียน ๑๖
คำอธบิ ายรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ๑๘
โครงสร้างรายวชิ า ๑๙
กำหนดการสอน ภาคเรยี นที่ ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๔ ๒๓
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๕ ปฏกิ ิริยาเคมแี ละวสั ดุในชีวติ ประจำวนั
๓๘
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๑ การเกดิ ปฏิกิริยาเคมี ๑ ๕๘
แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี ๒ การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี ๒ ๗๑
แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ ๓ ปฏิกิริยาเคมีรอบตัว ๘๕
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ ๔ ประโยชนแ์ ละโทษของปฏิกิริยาเคมี ๑๐๐
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๕ วัสดุรอบตัว
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๖ ไฟฟา้ ๑๑๓
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๖ ปรมิ าณทางไฟฟา้ ๑ ๑๒๔
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๗ ปรมิ าณทางไฟฟ้า ๒ ๑๓๕
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๘ วงจรไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน ๑ ๑๔๘
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๙ วงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบขนาน ๒ ๑๕๗
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ๑๐ พลังงานไฟฟา้ ๑๗๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑๑ อเิ ล็กทรอนิกส์ ๑ ๑๘๔
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑๒ อิเลก็ ทรอนิกส์ ๒

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ ค
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑๓ องค์ประกอบของระบบนเิ วศ
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๑๔ ความสมั พนั ธ์ของสิ่งมีชวี ติ ในระบบนิเวศ ๑ ๑๙๔
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ๑๕ ความสัมพันธ์ของสงิ่ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศ ๒ ๒๑๕
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑๖ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสิง่ มีชวี ิตกบั ส่ิงมชี วี ติ ๒๓๕
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๗ ความหลากหลายทางชีวภาพ ๑ ๒๕๓
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๑๘ ความหลากหลายทางชีวภาพ ๒ ๒๗๒
๒๙๐

วิสยั ทศั น์หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ สู่ไทยแลนด์ ๔.๐

กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ โรงเรยี นเรียนชุมพลโพนพิสัย

ทำไมต้องเรียนวทิ ยาศาสตร์
ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุดเพื่อให้ได้ทั้ง

กระบวนการและความรู้ จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ได้มาจัดระบบเป็น
หลักการแนวคิดและองค์ความรู้

การจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มเี ป้าหมายท่สี ำคญั ดังนี้
๑. เพื่อให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎี และกฎทเ่ี ปน็ พืน้ ฐานในวิชาวิทยาศาสตร์
๒. เพื่อให้เขา้ ใจขอบเขตของธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และขอ้ จำกัดในการศกึ ษาวิชาวทิ ยาศาสตร์
๓. เพือ่ ให้มีทักษะทส่ี ำคญั ในการศกึ ษาค้นควา้ และคดิ ค้นทางเทคโนโลยี
๔. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ
สภาพแวดลอ้ มในเชงิ ท่ีมอี ทิ ธพิ ลและผลกระทบซ่งึ กันและกัน
๕. เพื่อนำความรู้ ความเข้าใจ ในวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและ
การดำรงชีวิต
๖. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแกป้ ัญหา และการจัดการทักษะ
ในการสือ่ สารและความสามารถในการตัดสนิ ใจ
๗. เพื่อให้เป็นผู้มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยอี ยา่ งสร้างสรรค์

เรยี นรอู้ ะไรในวิทยาศาสตร์
กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรม์ ุง่ หวังให้ผู้เรียนได้เรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ทีเ่ น้นการเชื่อมโยงความรู้กับ

กระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้
และแกป้ ญั หาท่หี ลากหลายให้ผู้เรียนมสี ่วนร่วมในการเรยี นรู้ทุกขัน้ ตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ
จรงิ อยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกับระดบั ชนั้ โดยกำหนดสาระสำคัญดังน้ี

วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ เรียนรู้เก่ยี วกบั ชวี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม องค์ประกอบของส่ิงมชี วี ติ การดำรงชีวิตของ
มนุษย์และสัตว์ การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวติ

วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสารการเคลื่อนที่และ
พลงั งาน และคล่ืน

วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรเู้ ก่ยี วกบั องค์ประกอบของเอกภพ ปฏสิ มั พนั ธภ์ ายในระบบสุริยะ
เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ยี นแปลงทางธรณวี ทิ ยา กระบวนการเปลีย่ นแปลงลม ฟา้ อากาศ และผล
ตอ่ ส่ิงมีชีวติ และสิ่งแวดล้อม



เทคโนโลยี
การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการ

เปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ใชค้ วามรแู้ ละทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์อ่ืนๆเพ่ือ
แกป้ ัญหาหรอื พัฒนางานอย่างมีความคดิ สรา้ งสรรคด์ ้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลอื กใชเ้ ทคโนโลยี
อยา่ งเหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวติ สงั คม และส่งิ แวดลอ้ ม

วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็นขั้นตอน
และเป็นระบบ ประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการ
แกป้ ญั หาที่พบในชวี ิตจริงได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ ๑ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสง่ิ ไม่มีชวี ติ

กบั สิ่งมชี วี ติ และความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศการ
ถ่ายทอดพลังงานการเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร
ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมแนวทางในการ
อนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดลอ้ มรวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออก
จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์และ
มนษุ ยท์ ่ีทำงานสัมพันธก์ ัน ความสมั พันธข์ องโครงสร้าง และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ
ของพชื ทีท่ ำงานสมั พันธก์ นั รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร
พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตความหลากหลายทาง
ชวี ภาพและวิวัฒนาการของสง่ิ มีชวี ิต รวมทัง้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เขา้ ใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสมบัตขิ องสสาร

กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการ
เปล่ยี นแปลงสถานะของ สสารการเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุลักษณะการ
เคล่อื นท่ีแบบต่างๆ ของวัตถุรวมทัง้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปล่ยี นแปลงและการถา่ ยโอนพลังงานปฏิสมั พนั ธ์
ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวันธรรมชาติของคล่ืน



ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์

สาระที่ ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพกาแล็กซี

ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะ รวมทง้ั ปฏิสมั พนั ธ์ ภายในระบบสุรยิ ะทีส่ ง่ ผลต่อสิ่งมีชีวิต
และการประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองคป์ ระกอบและความสมั พนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง
ภายในโลก และบนผวิ โลก ธรณีพบิ ตั ภิ ัย กระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟา้ อากาศและ
ภมู อิ ากาศโลกรวมทั้งผลต่อสิง่ มชี วี ิตและส่ิงแวดล้อม
สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยีเพอ่ื การดำรงชีวิตในสังคมทม่ี ีการเปลี่ยนแปลงอย่าง
รวดเร็ว ใช้ความรู้ และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ
เพื่อแก้ปัญหาหรอื พัฒนางานอย่างมีความคิดสรา้ งสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบ
เชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต
สงั คมและสิง่ แวดลอ้ ม
มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน
และเป็นระบบใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงานและการแก้ปัญหาได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพรเู้ ทา่ ทนั และมจี ริยธรรม



ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง

สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ

มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธ์ระหว่างสิง่ ไม่มีชีวิต กบั สงิ่ มีชีวิต และ

ความสัมพันธร์ ะหว่างส่ิงมีชวี ิตกับส่งิ มีชวี ิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถา่ ยทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่

ในระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

แนวทางในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการแก้ไขปญั หาส่ิงแวดลอ้ ม รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ชนั้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ม.๑ - -

ม.๒ - -

๑. อธิบายปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของ ระบบนเิ วศประกอบด้วยองค์ประกอบที่มีชวี ิต เช่น

ระบบนเิ วศทไ่ี ดจ้ ากการสำรวจ พชื สตั ว์จุลินทรยี แ์ ละองคป์ ระกอบที่ ไมม่ ีชวี ิต เช่น

แสง นำ้ อุณหภูมิแรธ่ าตแุ กส๊ องคป์ ระกอบเหลา่ น้มี ี

ปฏิสัมพันธ์กัน เช่น พืชต้องการแสง น้ำ และแก๊ส

คาร์บอนไดออกไซด์ ในการสร้างอาหาร สัตว์

ต้องการอาหาร และ สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมใน

การดำรงชีวติ เช่น อณุ หภมู คิ วามชืน้ องคป์ ระกอบ

ทั้งสองส่วนน้ี จะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่าง

เหมาะสม ระบบนิเวศจงึ จะสามารถคงอยูต่ ่อไปได้

ม.๓ ๒. อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่าง • สิ่งมีชวี ติ กบั สง่ิ มชี วี ิตมีความสัมพนั ธก์ ันในรูปแบบ

ส่งิ มีชีวติ กบั สง่ิ มชี ีวติ รูปแบบตา่ งๆในแหล่งที่อยู่ ตา่ ง ๆ เชน่ ภาวะพง่ึ พากัน ภาวะอิงอาศัย ภาวะ

เดียวกนั ทีไ่ ดจ้ ากการสำรวจ เหยือ่ กับผ้ลู า่ ภาวะปรสติ

• สง่ิ มีชวี ิตชนิดเดยี วกันทอี่ าศัยอย่รู ่วมกันใน แหล่ง

ที่อยู่เดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน เรียกว่า

ประชากร

• กลุ่มสิง่ มีชวี ติ ประกอบด้วยประชากรของส่ิงมีชีวิต

หลาย ๆ ชนิด อาศัยอยู่ร่วมกันในแหล่งที่อยู่

เดียวกัน

๓. สร้างแบบจำลองในการอธบิ ายการถ่ายทอด กลมุ่ สิง่ มชี ีวิตในระบบนิเวศแบ่งตามหนา้ ทไ่ี ดเ้ ป็น ๓

พลังงานในสายใยอาหาร กลุ่ม ได้แก่ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย



๔. อธิบายความสัมพันธ์ของผู้ผลิต ผู้บริโภค สารอินทรีย์สิ่งมีชีวิตทั้ง ๓ กลุ่มนี้มีความ สัมพันธ์

และ ผยู้ ่อยสลายสารอนิ ทรีย์ในระบบนเิ วศ กัน ผู้ผลิตเป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหาร ได้เอง โดย

๕. อธิบายการสะสมสารพิษในสิ่งมีชีวิตในโซ่ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ผู้บริโภค เป็น

อาหาร สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหาร ได้เอง และต้อง

๖. ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต และ กินผู้ผลิตหรือสิ่งมีชีวิตอื่น เป็นอาหาร เมื่อผู้ผลิต

สิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศ โดยไม่ทำลายสมดุล และผู้บริโภคตายลง จะถูก ย่อยโดยผู้ย่อยสลาย

ของระบบนเิ วศ สารอินทรียซ์ ง่ึ จะเปล่ยี น สารอนิ ทรยี เ์ ป็นสารอนินท

รีย์กลับคืนสู่ สิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดการหมุนเวียน

สารเป็นวัฏจักร จำนวนผู้ผลิตผู้บริโภคและผู้ย่อย

สลายสารอินทรีย์ จะต้องมคี วามเหมาะสม จึงทำให้

กลุ่มส่งิ มีชีวติ อยู่ไดอ้ ยา่ งสมดลุ

• พลังงานถูกถ่ายทอดจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค

ลำดับต่าง ๆ รวมทั้งผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ ใน

รูปแบบสายใยอาหาร ที่ประกอบด้วยโซ่อาหาร

หลายโซ่ที่สัมพันธ์กัน ในการถ่ายทอดพลังงานใน

โซ่อาหาร พลังงานที่ถูกถ่ายทอดไปจะลดลง เรื่อย

ๆ ตามลำดับของการบริโภค

• การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศ อาจทำให้ มี

สารพิษสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตได้จนอาจก่อให้เกิด

อันตรายต่อสิ่งมีชีวิต และทำลายสมดุลใน ระบบ

นิเวศ ดังนน้ั การดูแลรักษาระบบนเิ วศ ให้เกดิ ความ

สมดลุ และคงอย่ตู ลอดไปจึงเปน็ ส่งิ สำคญั

สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ

มาตรฐาน ว ๑.๓ เขา้ ใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมสารพนั ธุกรรม

การเปล่ยี นแปลงทางพนั ธกุ รรมทมี่ ผี ลตอ่ สงิ่ มีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสงิ่ มชี ีวติ

รวมท้งั นําความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ม.๑ - -

ม.๒ - -



ชน้ั ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ม.๓ ๑. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง ยีน ดีเอ็นเอ • ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตสามารถ

และโครโมโซม โดยใชแ้ บบจาํ ลอง ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งได้โดยมียีน

เป็นหน่วยควบคุมลักษณะทางพนั ธกุ รรม

• โครโมโซมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ และโปรตีน

ขดอยู่ในนิวเคลียส ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซมมี

ความสมั พันธ์กัน โดยบางสว่ นของดีเอน็ เอทําหน้าที่

เป็นยนี ท่กี าํ หนดลกั ษณะของสิง่ มชี วี ิต

๒. อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม • สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซม ๒ ชุด โครโมโซมที่เป็นคู่

จากการผสมโดยพิจารณาลักษณะเดียวที่ กนั มกี ารเรียงลําดับของยีนบนโครโมโซมเหมือนกัน

แอลลีลเด่นข่มแอลลีลด้อยอย่างสมบูรณ์ เรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม ยีนหนึ่งที่อยู่บนคู่

๓. อธบิ ายการเกดิ จีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลูก ฮอมอโลกัสโครโมโซม อาจมีรูปแบบแตกต่างกัน รี

และคํานวณอัตราส่วนการเกิดจีโนไทป์และ ยกแต่ละรูปแบบของยีนที่ต่างกันนี้ว่าแอลลีล ซ่ึง

ฟโี นไทปข์ องรนุ่ ลูก การเข้าคู่กันของแอลลีลต่าง ๆ อาจส่งผลทําให้

ส่ิงมชี วี ิตมีลักษณะท่ีแตกตา่ งกันได้

• เมนเดลได้ศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทาง

พนั ธุกรรมของต้นถว่ั ชนิดหน่ึง และนาํ มาสู่หลักการ

พื้นฐานของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม

ของสง่ิ มชี วี ติ

๔. อธบิ ายความแตกต่างของการแบง่ เซลล์แบบ • สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซมเป็น ๒ ชุด ยีนแต่ละ

ไมโทซสิ และไมโอซสิ ตําแหน่งบนฮอมอโลกสั โครโมโซมมี ๒ แอลลีลโดย

แอลลลี หนงึ่ มาจากพอ่ และอีกแอลลีลมาจากแม่ซึ่ง

อาจมีรูปแบบเดียวกัน หรือแตกต่างกันแอลลีลท่ี

แตกต่างกันนี้แอลลีลหนึ่งอาจมีการแสดงออกข่ม

อีกแอลลีลหนึ่งได้เรียกแอลลีลนั้นว่าเป็นแอลลี

ลเด่น สว่ นแอลลลี ทถี่ ูกขม่ อยา่ งสมบรู ณเ์ รียกว่าเป็น

แอลลีลดอ้ ย

๕. บอกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือ • เม่อื มีการสรา้ งเซลล์สืบพนั ธ์ุแอลลีลท่ีเป็นคู่กันใน

โครโมโซมอาจทําให้เกิดโรคทางพันธุกรรม แต่ละฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกจากกันไปสู่

พร้อมทั้งยกตัวอย่างโรคทางพันธุกรรม เซลล์สืบพันธุแ์ ต่ละเซลล์โดยแต่ละเซลล์สืบพันธ์ุจะ

๖. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เรื่องโรค ได้รับเพียง ๑ แอลลีลและจะมาเข้าคู่กับแอลลีลที่

ทางพันธุกรรมโดยรูว้ า่ ก่อนแตง่ งานควรปรกึ ษา ตําแหน่งเดียวกันของอีกเซลล์สืบพันธุ์หน่ึงเมือ่ เกดิ



ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

แพทยเ์ พ่ือตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงของลูกที่ การปฏิสนธจิ นเกิดเป็นจีโนไทป์และแสดงฟีโนไทป์

อาจเกิดโรคทางพนั ธุกรรม ในรุน่ ลกู

๗. อธิบายการใชป้ ระโยชน์จากสิง่ มีชีวิตดัดแปร • กระบวนการแบง่ เซลลข์ องส่งิ มชี ีวิตมี ๒ แบบ คือ

พนั ธุกรรม และผลกระทบท่อี าจมีต่อมนุษย์และ ไมโทซิส และไมโอซิส

สิ่งแวดล้อม โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้ • ไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจํานวนเซลล์

๘. ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของ ร่างกาย ผลจากการแบง่ จะไดเ้ ซลล์ใหม่ ๒ เซลล์ที่มี

สง่ิ มชี วี ิตดัดแปรพนั ธกุ รรมที่อาจมีต่อมนษุ ย์และ ลักษณะและจํานวนโครโมโซมเหมือนเซลล์ตั้งต้น

สงิ่ แวดล้อมโดยการเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการ • ไมโอซสิ เป็นการแบง่ เซลลเ์ พ่ือสรา้ งเซลล์สืบพันธ์ุ

โตแ้ ยง้ ทางวทิ ยาศาสตร์ซงึ่ มีขอ้ มูลสนบั สนุน ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ ๔ เซลล์ที่มีจํานวน

โครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้นเมือ่ เกิดการ

ปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุ์ลูกจะได้รับการถ่ายทอด

โครโมโซมชุดหนึ่งจากพ่อและอีกชุดหนึ่งจากแมจ่ งึ

เปน็ ผลใหร้ นุ่ ลูกมจี าํ นวนโครโมโซมเท่ากบั รุ่นพ่อแม่

และจะคงท่ใี นทุกๆรนุ่

๙. เปรยี บเทียบความหลากหลายทางชวี ภาพใน • การเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม ส่งผลให้

ระดบั ชนิดส่ิงมชี ีวิตในระบบนิเวศต่าง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงลกั ษณะทางพันธุกรรมของส่ิง

๑๐. อธิบายความสําคัญของความหลากหลาย มีชวี ิต เชน่ โรคธาลสั ซีเมยี เกดิ จากการเปลีย่ นแปลง

ทางชีวภาพท่ีมตี ่อการรกั ษาสมดลุ ของระบบ ของยีน กลุ่มอาการดาวน์เกิดจากการเปลี่ยนแปลง

นเิ วศและต่อมนุษย์ จาํ นวนโครโมโซม

๑๑. แสดงความตระหนักในคุณค่าและ • โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่

ความสำคัญของความหลากหลายทางชวี ภาพ ไปสู่ลูกได้ดังนั้นก่อนแต่งงานและมีบุตรจึงควร

โดยมีสว่ นรว่ มในการดแู ลรกั ษาความ ป้องกันโดยการตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงจาก

หลากหลายทางชวี ภาพ การถา่ ยทอดโรคทางพนั ธกุ รรม

• มนุษย์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตตาม

ธรรมชาติเพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตาม

ต้องการเรียกสิ่งมีชีวิตนี้ว่าสิ่งมีชีวิตดัดแปร

พนั ธุกรรม

• ในปัจจุบันมนุษย์มีการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิต

ดัดแปรพันธุกรรมเป็นจํานวนมาก เช่น การผลิต

อาหารการผลิตยารักษาโรคการเกษตรอย่างไรก็ดี

สังคมยังมคี วามกังวลเกีย่ วกบั ผลกระทบของงมีชีวิต



ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

ดัดแปรพันธุกรรมที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

ซง่ึ ยังทาํ การติดตามศกึ ษาผลกระทบดังกลา่ ว

• ความหลากหลายทางชีวภาพ มี๓ ระดับ ได้แก่

ความหลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลาย

ของชนิดสิ่งมีชีวิต และความหลากหลายทาง

พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพนี้มี

ความสําคัญต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ

ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงจะ

รกั ษาสมดลุ ได้ดีกวา่ ระบบนเิ วศทมี่ ีความ

หลากหลายทางชีวภาพต่ำกว่า นอกจากนี้ความ

หลากหลายทางชีวภาพยังมีความสําคัญต่อมนุษย์

ในด้านต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นอาหารยารักษาโรค

วัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่

ของทุกคนในการดูแลรักษาความหลากหลายทาง

ชีวภาพให้คงอยู่

สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ
โครงสร้างและแรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งอนภุ าค หลกั และธรรมชาติของการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกิด
สารละลาย และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี

ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ม.๓ ๑. ระบุสมบตั ทิ างกายภาพและการใชป้ ระโยชน์ • พอลิเมอร์เซรามิกส์และวัสดุผสม เป็นวัสดุที่ใช้

วัสดุประเภทพอลิเมอร์เซรามิกส์และวัสดุผสม มากในชีวิตประจําวนั

โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษแ์ ละสารสนเทศ • พอลเิ มอรเ์ ปน็ สารประกอบโมเลกลุ ใหญท่ ่ีเกิดจาก

๒. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้วัสดุประเภท โมเลกุลจํานวนมากรวมตัวกันทางเคมี เช่น

พอลิเมอร์เซรามิกสแ์ ละวัสดุผสม โดยเสนอแนะ พลาสติกยาง เส้นใยซึ่งเป็นพอลิเมอร์ที่มีสมบัติ

แนวทางการใช้วัสดอุ ย่างประหยัดและคมุ้ คา่ แตกต่างกัน โดยพลาสติกเป็นพอลิเมอร์ที่ขึ้นรูป

เปน็ รปู ทรงต่าง ๆ ไดย้ างยดื หยุ่นได้ ส่วนเสน้ ใยเป็น

พอลิเมอร์ที่สามารถดึงเป็นเส้นยาวได้พอลิเมอร์จึง

ใช้ประโยชนไ์ ดแ้ ตกต่างกัน



ชั้น ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

• เซรามิกส์เป็นวสั ดุที่ผลิตจาก ดิน หิน ทราย และ

แร่ธาตุต่าง ๆ จากธรรมชาติและส่วนมากจะผ่าน

การเผาที่อุณหภูมิสูง เพื่อให้ได้เนื้อสารที่แข็งแรง

เซรามกิ ส์สามารถทําเปน็ รูปทรงตา่ ง ๆ ไดส้ มบตั ิ

ทั่วไปของเซรามิกสจ์ ะแข็ง ทนต่อการสกึ กร่อนและ

เปราะ สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้เช่นภาชนะท่ี

เป็นเคร่ืองปัน้ ดินเผาชนิ้ ส่วนอเิ ล็กทรอนิกส์

• วัสดุผสมเปน็ วสั ดทุ ่เี กิดจากวสั ดตุ ั้งแต่ ๒ ประเภท

ที่มีสมบัติแตกต่างกันมารวมตัวกัน เพื่อนําไปใช้

ประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น เสื้อกันฝนบางชนิดเป็น

วสั ดผุ สมระหว่างผ้ากบั ยางคอนกรีตเสรมิ เหล็กเป็น

วสั ดุผสมระหวา่ งคอนกรีตกบั เหลก็

• วัสดุบางชนิดสลายตัวยาก เช่น พลาสติก การใช้

๓. อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมีรวมถึงการ วัสดอุ ยา่ งฟ่มุ เฟือยและไมร่ ะมัดระวงั อาจก่อปัญหา

จดั เรยี งตวั ใหมข่ องอะตอมเมื่อเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี ตอ่ ส่งิ แวดลอ้ ม

โดยใช้แบบจาํ ลองและสมการขอ้ ความ • การเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือการเปลี่ยนแปลงทาง

เคมีของสาร เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทําให้เกิดสาร

ใหม่ โดยสารที่เข้าทําปฏิกิริยาเรียกว่าสารตั้งต้น

สารใหม่ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยา เรียกว่า ผลิตภัณฑ์

การเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถเขียนแทนได้ด้วย

สมการข้อความ

• การเกิดปฏิกิริยาเคมีอะตอมของสารตั้งต้นจะมี

๔. อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลักฐานเชิง การจัดเรียงตัวใหม่ ได้เป็นผลิตภัณฑ์ซึ่งมีสมบัติ

ประจักษ์ แตกต่างจากสารตั้งต้น โดยอะตอมแต่ละชนิดก่อน

และหลงั เกดิ ปฏิกิริยาเคมีมจี ํานวนเทา่ กัน

• เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีมวลรวมของสารตั้งต้น

เทา่ กบั มวลรวมของผลิตภัณฑซ์ ึ่งเปน็ ไปตามกฎทรง

มวล

• เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีมีการถ่ายโอนความร้อน

ควบคไู่ ปกบั การจดั เรยี งตวั ใหมข่ องอะตอมของสาร

ปฏิกิรยิ าที่มีการถ่ายโอนความรอ้ นจากส่ิงแวดล้อม

๑๐

ช้ัน ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

๕. วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความร้อน และ เขา้ ส่รู ะบบเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน ปฏิกิริยาท่ีมี

ปฏิกิริยาคายความร้อน จากการเปลี่ยนแปลง การถ่ายโอนความรอ้ นจากระบบออกสูส่ ิ่งแวดลอ้ ม

พลงั งานความรอ้ นของปฏิกิริยา เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน โดยใช้เครื่องมือที่

เหมาะสมในการวัดอุณหภูมิ เช่น เทอร์มอมิเตอร์

หัววัดที่สามารถตรวจสอบ การเปลี่ยนแปลงของ

อณุ หภูมไิ ดอ้ ยา่ งต่อเน่อื ง

• ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจําวันมีหลายชนิด

เช่น ปฏิกิริยาการเผาไหม้การเกิดสนิมของเหล็ก

ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับ

๖. อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก เบส ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ การเกิดฝนกรด

ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกบั โลหะ ปฏิกริ ยิ าของกรดกับ การสังเคราะห์ดว้ ยแสง ปฏิกิริยาเคมสี ามารถเขียน

เบส และปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ โดยใช้ แทนได้ดว้ ยสมการข้อความ ซ่งึ แสดงช่ือของ

หลักฐานเชิงประจักษ์และอธิบายปฏิกิริยาการ สารตง้ั ต้นและผลิตภณั ฑ์ เชน่

เผาไหม้การเกิดฝนกรด การสงั เคราะห์ด้วยแสง เชื้อเพลิง + ออกซิเจน → คาร์บอนไดออกไซด์+

โดยใช้สารสนเทศรวมทั้งเขียนสมการข้อความ นำ้

แสดงปฏกิ ริ ยิ าดังกลา่ ว ปฏิกิริยาการเผาไหม้เป็นปฏิกิริยาระหว่างสารกับ

ออกซิเจน สารท่ีเกดิ ปฏิกิริยาการเผาไหม้ ส่วนใหญ่

เป็นสารประกอบที่มีคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็น

องค์ประกอบ ซึ่งถ้าเกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์

จะไดผ้ ลิตภณั ฑ์เปน็ คารบ์ อนไดออกไซด์และน้ำ

• การเกิดสนิมของเหล็ก เกิดจากปฏิกิริยาเคมี

ระหว่างเหล็ก น้ำ และออกซิเจน ได้ผลิตภัณฑ์เป็น

สนมิ ของเหล็ก

• ปฏิกิริยาการเผาไหม้และการเกิดสนิมของเหล็ก

เปน็ ปฏิกริ ิยาระหว่างสารต่าง ๆ กบั ออกซิเจน

• ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะกรดทําปฏิกิริยากับ

โลหะไดห้ ลายชนดิ ได้ผลติ ภัณฑเ์ ป็นเกลือของโลหะ

และแก๊สไฮโดรเจน

• ปฏิกิริยาของกรดกับสารประกอบคาร์บอเนต

ได้ผลติ ภณั ฑเ์ ป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เกลือของ

โลหะ และนำ้

๑๑

ช้ัน ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

• ปฏิกิริยาของกรดกับเบส ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือ

ของโลหะและน้ำ หรืออาจไดเ้ พียงเกลอื ของโลหะ

• ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะบางชนดิ ได้ผลิตภณั ฑ์

เป็นเกลือของเบสและแกส๊ ไฮโดรเจน

• การเกิดฝนกรด เป็นผลจากปฏิกิริยาระหว่าง

น้ำฝนกับออกไซด์ของไนโตรเจน หรือออกไซด์ของ

ซัลเฟอร์ทาํ ให้น้ำฝนมีสมบตั เิ ปน็ กรด

• การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช เป็นปฏิกิริยา

ระหว่างแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ โดยมีแสง

ช่วยในการเกิดปฏิกิริยา ได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำตาล

กลูโคสและออกซิเจน

• ปฏิกิริยาเคมที ่ีพบในชวี ติ ประจําวันมที ัง้ ประโยชน์

และโทษต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม จึงต้อง

ระมัดระวังผลจากปฏิกิริยาเคมีตลอดจนรู้จักวิธี

๗. ระบุประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมที ี่มี ป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่พบ

ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม และยกตัวอย่าง ในชีวิตประจำวัน

วิธีการป้องกันและแก้ปญั หาที่เกิดจากปฏิกิริยา • ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีสามารถนําไปใช้

เคมีที่พบในชีวิตประจําวัน จากการสบื ค้นขอ้ มูล ประโยชน์ในชวี ิตปรำวนั และสามารถบูรณาการ

๘. ออกแบบวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน โดย กับคณิตศาสตร์เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์

ใช้ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีโดยบูรณาการ เพ่ือใชป้ รบั ปรงุ ผลติ ภณั ฑใ์ ห้มคี ุณภาพ ตามตอ้ งการ

วิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์เทคโนโลยีและ หรอื อาจสร้างนวัตกรรมเพอื่ ป้องกนั และแกป้ ญั หาที่

วศิ วกรรมศาสตร์ เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับ

ปฏิกิริยาเคมีเช่น การเปลี่ยนแปลงพลังงานความ

ร้อนอันเนื่องมาจากปฏิกิริยาเคมีการเพิ่มปริมาณ

ผลผลติ

๑๒

สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ

มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพกาแล็กซี ดาว

ฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะ รวมทั้งปฏิสัมพนั ธ์ภายในระบบสรุ ิยะที่สง่ ผลต่อส่งิ มีชีวติ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี

อวกาศ

ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ม.๑ - -

ม.๒ - -

ม.๓ ๑. อธิบายการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวง • ในระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางโดยมี

อาทติ ยด์ ว้ ยแรงโน้มถ่วงจากสมการ ดาวเคราะห์และบริวาร ดาวเคราะห์แคระดาว

F = (Gm๑m๒)/r๒ เคราะห์น้อยดาวหางและอื่น ๆเช่น วัตถุคอยเปอร์
โคจรอยู่โดยรอบ ซึ่งดาวเคราะห์และวัตถุเหล่าน้ี

โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้มถ่วงแรงโน้มถ่วง

เป็นแรงดึงดดู ระหว่างวตั ถุสองวตั ถุโดยเป็นสัดส่วน

กับผลคูณของมวลทั้งสองและเป็นสดั สว่ นผกผันกับ

กําลังสองของระยะทางระหว่างวัตถุทั้งสอง แสดง

ได้โดยสมการ F = (Gm๑m๒)/r๒ เมื่อ F แทนความ
๒. สร้างแบบจําลองที่อธิบายการเกิดฤดูและ โน้มถ่วงระหว่างมวลทั้งสองG แทนค่านิจโน้มถ่วง

การเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทิตย์ สากล m๑ แทนมวลของวัตถุแรก m๒แทนมวลของ
วัตถทุ ี่สอง และr แทนระยะห่างระหว่างวัตถุทง้ั สอง

๓. สร้างแบบจําลองที่อธิบายการเกิดข้างขึ้น • การที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะที่แกน

ข้างแรม การเปลี่ยนแปลงเวลาการขึ้นและตก โลกเอียงกับแนวตั้งฉากของระนาบทางโคจรทําให้

ของดวงจนั ทรแ์ ละการเกดิ นำ้ ขน้ึ น้ำลง ส่วนต่าง ๆ บนโลกได้รับปริมาณแสงจากดวง

อาทติ ยแ์ ตกตา่ งกนั ในรอบปเี กิดเปน็ ฤดกู ลางวันลาง

คืนยาวไม่เท่ากัน และตําแหน่งการขึ้นและตกของ

ดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าและเส้นทางการขึ้นและตก

ของดวงอาทิตย์เปลี่ยนไปในรอบปีซึ่งส่งผลต่อการ

ดาํ รงชีวิต

๔. อธิบายการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี • ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกและดวงจันทร์โคจร

อวกาศและยกตัวอย่างความก้าวหน้าของ รอบดวงอาทิตย์ดวงจันทร์รับแสงจากดวงอาทิตย์

โครงการสาํ รวจอวกาศ จากขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ ครึ่งดวงตลอดเวลา เมื่อดวงจันทร์โคจรรอบโลกได้

หันส่วนสว่างมายังโลกแตกต่างกัน จึงทําให้คนบน

๑๓

ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

โลกสงั เกตส่วนสวา่ งของดวงจันทร์แตกต่างไปในแต่

ละวนั เกดิ เปน็ ขา้ งขึ้นขา้ งแรม

• ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในทิศทางเดียวกันกับที่

โลกหมุนรอบตวั เอง จึงทําให้เหน็ ดวงจันทรข์ ้นึ ชา้ ไป

ประมาณวันละ ๕๐ นาที

• แรงโน้มถว่ งท่ดี วงจนั ทรด์ วงอาทิตย์กระทาํ ต่อโลก

ทําให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งส่งผลต่อ

สิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตบนโลก วันที่น้ำมีระดับ

การข้นึ สงู สุดและลงต่ำสุดเรยี ก วนั น้ำเกิดส่วนวันท่ี

ระดับน้ำมกี ารข้นึ และลงนอ้ ยเรยี กวนั น้ำตายโดยวัน

นำ้ เกิด น้ำตายมีความสัมพนั ธก์ ับข้างขึ้นขา้ งแรม

• เทคโนโลยีอวกาศได้มีบทบาทต่อการดํารงชีวิต

ของมนุษย์ในปัจจุบันมากมาย มนุษย์ได้ใช้

ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศเช่น ระบบนําทาง

ด้วยดาวเทยี ม (GNSS) การตดิ ตามพายสุ ถานการณ์

ไฟป่า ดาวเทียมช่วยภัยแล้งการตรวจคราบน้ำมัน

ในทะเล

• โครงการสํารวจอวกาศต่าง ๆ ได้พัฒนาเพิ่มพูน

ความรู้ความเข้าใจต่อโลก ระบบสุริยะและเอกภพ

มากขึ้นเป็นลําดับ ตัวอย่างโครงการสํารวจอวกาศ

เช่น การสํารวจสิ่งมีชีวิตนอกโลก การสํารวจดาว

เคราะห์นอกระบบสรุ ยิ ะ การสาํ รวจดาวองั คารและ

บริวารอื่นของดวงอาทติ ย์

สาระที่ ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยเี พ่ือการดำรงชีวติ ในสงั คมท่ีมกี ารเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ใชค้ วามรแู้ ละทักษะทางดา้ นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตรอ์ น่ื ๆ เพ่อื แกป้ ัญหาหรือพัฒนางานอย่างมี
ความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึง
ผลกระทบต่อชีวติ สังคม และสง่ิ แวดลอ้ ม

๑๔

ช้นั ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง

ม.๓ ๑. คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยีที่จะเกิดข้ึน • สาเหตุหรือปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความก้าวหน้าของ

โดยพิจารณาจากสาเหตุหรือปัจจัยที่ส่งผลต่อ ศาสตร์ต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ

การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและวิเคราะห์ สงั คม วัฒนธรรม ทําใหเ้ ทคโนโลยมี ีการเปลี่ยนแปลง

เปรียบเทียบ ตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยีโดย ตลอดเวลา

คํานึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชีวิต สังคมและ • เทคโนโลยีแต่ละประเภทมีผลกระทบต่อชีวิตสังคม

สง่ิ แวดลอ้ ม และสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน จึงต้องวิเคราะห์

๒. ระบุปัญหาหรือความต้องการในชุมชนหรือ เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย และตัดสินใจเลือกใช้ให้

ท้องถ่ิน สรุปกรอบของปัญหา รวบรวมเคราะห์ เหมาะสม

ขอ้ มูลและแนวคดิ ทีเ่ กีย่ วข้องกับปัญหา • ปัญหาหรือความต้องการในชุมชนหรือท้องถิ่นมี

หลายอย่าง ขึ้นกับบริบทหรือสถานการณ์ที่ประสบ

เชน่ ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อมการเกษตร การอาหาร

๓. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา โดยวิเคราะห์ • การระบุปญั หาจาํ เป็นต้องมีการวเิ คราะห์

เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกข้อมูลที่จําเปน็ สถานการณข์ องปัญหาเพือ่ สรุปกรอบของปัญหาแล้ว

ภายใต้เงื่อนไขและทรัพยากรที่มีอยู่ นําเสนอ ดําเนินการสืบค้น รวบรวมข้อมูล ความรู้จากศาสตร์

แนวทางการแก้ปัญหาให้ผู้อื่นเข้าใจ วางแผน ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปสู่การออกแบบแนว

ขั้นตอนการทํางานและดําเนินการแก้ปัญหา ทางการแกป้ ญั หา

อย่างเปน็ ขั้นตอน • การวิเคราะห์เปรียบเทยี บ และตัดสินใจเลอื กข้อมูล

ที่จําเป็น โดยคํานึงถึงเงื่อนไขและทรัพยากร เช่น

งบประมาณ เวลา ข้อมูลและสารสนเทศ วัสดุ

เครื่องมือและอุปกรณ์ช่วยให้ได้แนวทางการ

แกป้ ญั หาทีเ่ หมาะสม

๔. ทดสอบ ประเมินผล และอธิบายปญั หาหรอื • การออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหาทำได้

ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น ภายใต้กรอบเงื่อนไข หลากหลายวิธีเช่น การร่างภาพ การเขียนแผนภาพ

พร้อมทั้งหาแนวทางการปรับปรุงแก้ไข และ การเขยี นผงั งาน

นาํ เสนอผลการแกป้ ญั หา • การกําหนดขั้นตอนระยะเวลาในการทํางานก่อน

ดําเนินการแก้ปัญหาจะช่วยให้การทํางานสําเร็จได้

ตามเป้าหมาย และลดข้อผิดพลาดของการทํางานท่ี

อาจเกดิ ขึ้น

๕. ใช้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ • การทดสอบและประเมินผลเป็นการตรวจสอบ

เครื่องมือ กลไก ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์เพอื่ ชิ้นงาน หรือวิธีการว่าสามารถแก้ปัญหาได้ตาม

วัตถุประสงค์ภายใต้กรอบของปัญหา เพ่ือหา

๑๕

ช้ัน ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

แก้ปัญหาหรือพัฒนางานได้อย่างถูกต้อง ข้อบกพร่อง และดําเนินการปรับปรุงให้สามารถ

เหมาะสม และปลอดภัย แกไ้ ขปัญหาได้

• การนาํ เสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนวคิดเพื่อให้

ผู้อื่นเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทํางานและชิ้นงาน

หรือวิธีการที่ได้ซึ่งสามารถทําได้หลายวิธีเช่น การ

เขียนรายงานการทําแผ่นนําเสนอผลงาน การจัด

นิทรรศการ

๑๖

คุณภาพผ้เู รียน
จบระดับชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๓

๑. เขา้ ใจลักษณะและองค์ประกอบที่สำคญั ของเซลล์สิ่งมีชีวติ ความสมั พนั ธ์ของการทำงานของระบบ
ต่างๆ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและตัวอย่างโรคที่เกดิ ทางพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบของ
สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบนเิ วศและ
การถ่ายทอดพลังงานในส่งิ มชี วี ิต

๒. เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธิ์ สารผสม หลักการแยกสาร การ
เปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏกิ ิริยาเคมีและสมบัติ
ทางกายภาพการใชป้ ระโยชนข์ องวัสดพุ อลิเมอร์ เซรามิกสแ์ ละวัสดุผสม

๓. เข้าใจการเคลื่อนที่ แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง แรงที่ปรากฏใน
ชีวิตประจำวัน สนามของแรง ความสัมพันธ์ของงาน พลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วง กฎการอนุรักษ์
พลงั งาน การถา่ ยโอนพลังงาน สมดลุ ความรอ้ น ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้า การต่อวงจรไฟฟ้าในบ้าน
พลงั งานไฟฟ้าและหลกั การเบื้องตน้ ของวงจรอเิ ล็กทรอนิกส์

๔. เข้าใจสมบัติของคลื่นและลักษณะของคลื่นแบบต่างๆ แสง การสะท้อนการหักเหของแสงและ
ทศั นอู ปุ กรณ์

๕. เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทิตย์
การเกิดข้างขึ้นขา้ งแรม การขึน้ และตกของดวงจันทร์ การเกิดนำ้ ขน้ึ น้ำลง ประโยชนข์ องเทคโนโลยอี วกาศ และ
ความกา้ วหนา้ ของโครงการสำรวจอวกาศ

๖. เข้าใจลักษณะของชน้ั บรรยากาศ องค์ประกอบและปจั จยั ที่มีผลตอ่ ลม ฟ้า อากาศ การเกดิ และพายุ
ฝนฟ้าคะนอง พายหุ มนุ เขตรอ้ น การพยากรณ์อากาศ สถานการณก์ ารเปลีย่ นแปลงภูมิอากาศโลก กระบวนการ
เกิดเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และการใช้ประโยชน์ พลังงานทดแทนและการใช้ประโยชน์ ลักษณะโครงสร้าง
ภายในโลก กระบวนการเปล่ยี นแปลงทางธรณวี ิทยาบนโลก ลักษณะช้ันหน้าตัดดนิ กระบวนการเกดิ ดิน แหล่ง
นำ้ ผิวดิน แหล่งน้ำใต้ดิน กระบวนการเกดิ และผลกระทบจากภัยธรรมชาตแิ ละธรณีพบิ ัติ

๗. เขา้ ใจแนวคดิ เทคโนโลยี ไดแ้ ก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปลีย่ นแปลงของเทคโนโลยี ความสมั พนั ธ์
ของเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่นๆโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ เปรียบเทียบ ตัดสินใจเพื่อ
เลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และ
ทรัพยากรเพื่อออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมทั้งเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม
ปลอดภยั รวมท้งั คำนึงถงึ ทรพั ย์สินทางปัญญา

๘. นำข้อมลู ปฐมภูมเิ ข้าสรู่ ะบบคอมพวิ เตอร์ วเิ คราะห์ ประเมนิ นำเสนอขอ้ มลู และสารสนเทศได้ตาม
วัตถุประสงค์ ใช้ทกั ษะการคิดเชงิ คำนวณในการแกป้ ญั หาทพ่ี บในชีวิตจริงและเขียนโปรแกรมอย่างงา่ ยเพ่ือช่วย
ในการแก้ปัญหา ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารอย่างรเู้ ท่าทันและรับผดิ ชอบต่อสังคม

๙. ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิต การศึกษาหาความรู้
เพมิ่ เตมิ ทำโครงงานหรือสรา้ งชิ้นงานตามความสนใจ

๑๗

๑๐. ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาที่เชื่อโยงกบั พยานหลักฐาน หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีการ
กำหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สามารถนำไปสู่การสำรวจ
ตรวจสอบ เลือกใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณ
และคุณภาพที่ไดผ้ ลเทยี่ งตรงและปลอดภัย

๑๑. แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในสิ่งที่จะเรียนรู้มีความคิด
สร้างสรรคก์ บั เรื่องทีจ่ ะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวธิ ีการที่ใหผ้ ลถูกต้อง เชื่อถือได้
ยอมรับการเปลีย่ นแปลงความร้ทู คี่ น้ พบ เมื่อมีข้อมลู และประจกั ษ์พยานใหม่เพม่ิ ขน้ึ หรือโตแ้ ยง้ จากเดมิ

๑๒. ตระหนกั ในคณุ ค่าของความรทู้ างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทใี่ ชใ้ นชวี ติ ประจำวนั ใช้ความรู้และ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยใี นการดำรงชีวติ และการประกอบอาชพี แสดงความชื่นชม ยกย่อง
และเคารพสทิ ธใ์ิ น

๑๓. ผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบทั้งด้านบวกและดา้ นลบของการพัฒนาทางวิทยาศาสตรต์ อ่
สิง่ แวดล้อมและต่อบริบทอนื่ ๆ ศึกษาหาความรู้เพมิ่ เติม ทำโครงงานหรอื สร้างชน้ิ งานตามความสนใจ

๑๔. แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และ
ความหลากหลายทางชวี ภาพ

๑๘

รหสั วชิ า ว๒๓๑๐๒ คำอธบิ ายรายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓
เวลา ๒ ชว่ั โมง/สัปดาห์ กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรียนท่ี ๒
จำนวน ๑ หน่วยกติ
---------------------------------------------------- คะแนน ๑๐๐ คะแนน

ศึกษา ทดลองวเิ คราะห์ อธบิ าย เข้าใจเข้าใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสาร
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ขิ องสสารกับโครงสรา้ งและแรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ อง
การเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี อธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ ง
ความตา่ งศักย์ กระแสไฟฟา้ ความต้านทาน พลงั งานไฟฟ้า การต่อวงจรไฟฟ้า วงจรไฟฟ้าในบา้ น การคดิ ค่า
พลังงานไฟฟา้ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ชนิดต่างๆ การใช้เคร่อื งใช้ไฟฟ้าอย่างประหยดั และปลอดภยั สมบตั ิการนำ
ไฟฟา้ สัญญาณอิเลก็ ทรอนกิ ส์ อปุ กรณพ์ ้นื ในวงจรไฟฟ้า ชน้ิ ส่วนอเิ ล็กทรอนกิ ส์ อุปกรณอ์ เิ ล็กทรอนกิ ส์
เขา้ ใจความหมายของระบบนเิ วศ องคป์ ระกอบของระบบนเิ วศ แหล่งท่ีอยู่ ประชากร ความสมั พันธ์ระหวา่ ง
สิ่งมชี วี ติ ในระบบนเิ วศ การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ หว่ งโซ่อาหาร สายใยอาหาร พิระมิดพลังงาน
วฏั จกั รของสารในระบบนเิ วศ ความรู้ทั่วไปเก่ยี วกับสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ ปญั หาเก่ียวกับ
ส่งิ แวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ แนวคิดในการแก้ปัญหาส่งิ แวดลอ้ มการใช้ทรพั ยากรธรรมชาติ
การอนุรักษ์และพฒั นาทรัพยากรธรรมชาติ การพฒั นาสง่ิ แวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาติแบบยง่ั ยืน
โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสำรวจตรวจสอบ การสืบคน้ ขอ้ มูล บนั ทึก
จัดกลุ่มข้อมูล และการอภปิ รายเพ่อื ให้เกดิ ความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถนำเสนอสอ่ื สารสิง่ ที่เรยี นรู้ มี
ความสามารถในการตัดสนิ ใจ เหน็ คณุ ค่าของการนำไปใชป้ ระโยชน์ ในชีวติ ประจำวนั
มีจติ วิทยาศาสตร์ คุณธรรมจริยธรรมและคา่ นยิ มทเ่ี หมาะสม

รหัสตัวช้ีวดั
ว๑.๑ ม.๓/๑,ม.๓/๒,ม.๓/๓,ม.๓/๔, ๓/๕,๓/๖
ว๒.๑ ม.๓/๑,ม.๓/๒,ม.๓/๓,ม.๓/๔, ๓/๕,๓/๖, ๓/๗,๓/๘
ว๒.๓ ม.๓/๑,ม.๓/๒,ม.๓/๓,ม.๓/๔,๓/๕,๓/๖, ๓/๗,๓/๘, ๓/๙

รวม ๒๓ ตวั ชี้วัด

๑๙

โครงสร้างรายวิชา
โครงสรา้ งรายวชิ า วิทยาศาสตรพ์ ื้นฐาน รหสั วิชา ว ๒๓๑๐๒
โรงเรยี นชมุ พลโพนพิสยั กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ เวลา ๒ คาบ/ช่ัวโมง จำนวน ๑ หน่วยกิต

อตั ราสว่ นคะแนน ๗๐ : ๓๐
-----------------------------------------

เวลา นำ้ หนักคะแนน
/คะแนนตวั ช้วี ัด
หนว่ ย มาตรฐานการเรียนรู้และ
ท่ี ชื่อหนว่ ย ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง คะแนน ระหวา่ ง ปลาย
ตัวชี้วดั เรียน ภาค
ชว่ั โมง

๑ ปฏิกริ ยิ าเคมีและ ว ๒.๑ เข้าใจสมบตั ขิ องสสาร ๑๓
วสั ดใุ น
ชวี ิตประจำวนั องคป์ ระกอบของสสาร

ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมบตั ิ

ของสสารกบั โครงสรา้ งและ

แรงยึดเหนีย่ วระหว่างอนภุ าค

หลกั และธรรมชาตขิ องการ

เปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร

การเกดิ สารละลายและ

การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี

ม๓/๑ ระบสุ มบัติทางกายภาพและการใช้ ๓ ๒

ประโยชน์ วสั ดุประเภทพอลเิ มอร์

เซรามกิ และวัสดผุ สม โดยใช้ ๒๕
หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์และ

สารสนเทศ

ม๓/๒ ตระหนักถึงคุณคา่ ของการใช้วัสดุ ๒ ๒ ๒

ประเภท พอลิเมอรเ์ ซรามกิ และ

วสั ดผุ สม โดยเสนอแนะ แนว

ทางการใช้วัสดุอยา่ งประหยัด

และคุม้ คา่

ม๓/๓ อธิบายการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมรี วมถงึ ๒ ๒ ๑

การจัด เรียงตัวใหมข่ องอะตอม

เมอื่ เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี โดยใช้

แบบจำลองและสมการข้อความ

ม๓/๔ อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้ ๒๒ ๑

หลักฐานเชิงประจักษ์

๒๐

เวลา นำ้ หนกั คะแนน
/คะแนนตัวชวี้ ัด
หน่วย มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละ
ที่ ชอื่ หนว่ ย ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง คะแนน ระหวา่ ง ปลาย
ตวั ชี้วดั เรียน ภาค
ชว่ั โมง

ม๓/๕ วเิ คราะหป์ ฏิกิริยาดดู ความรอ้ น ๒ ๒ ๑

และปฏกิ ิริยา คายความรอ้ นจาก

การเปล่ยี นแปลงพลังงาน

ความรอ้ นของปฏกิ ริ ยิ า

ม๓/๖ อธบิ ายปฏิกริ ิยาการเกิดสนมิ ของ ๒ ๒ ๑

เหลก็ ปฏิกิริยาของกรดกบั โลหะ

ปฏิกริ ยิ าของกรดกบั เบส และ

ปฏกิ ิริยาของเบสกบั โลหะ โดยใช้

หลกั ฐานเชิง ประจักษ์และอธบิ าย

ปฏิกริ ิยาการเผาไหม้ การเกิดฝน

กรด การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงโดยใช้

สารสนเทศ รวมทัง้ เขียนสมการ

ข้อความแสดงปฏกิ ิริยาดงั กล่าว

๒ ไฟฟ้า ว๒.๓ เข้าใจความหมายของ ๑๓ ๒๕

พลังงาน การเปล่ยี นแปลง

และการถ่ายโอนพลงั งาน

ปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งสสารและ

พลงั งาน พลังงานใน

ชวี ิตประจำวนั ธรรมชาติ ของ

คล่ืน ปรากฏการณ์ท่ี

เกีย่ วข้องกบั เสียง แสง และ

คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมท้งั นำ

ความร้ไู ปใช้ประโยชน์

ม.๓/๑ วิเคราะห์ความสัมพันธร์ ะหวา่ ง ๒๑ ๑

ความตา่ งศกั ย์ กระแสไฟฟา้ และ

ความตา้ นทาน และคำนวณ

ปรมิ าณทีเ่ กี่ยวข้องโดยใชส้ มการ

V = IR จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์

ม.๓/๒ เขยี นกราฟความสมั พันธร์ ะหวา่ ง ๒ ๑ ๑

กระแสไฟฟ้า และความต่าง

ศักย์ไฟฟ้า

๒๑

เวลา นำ้ หนกั คะแนน
/คะแนนตัวช้ีวัด
หนว่ ย มาตรฐานการเรียนร้แู ละ
ท่ี ชื่อหน่วย ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง คะแนน ระหวา่ ง ปลาย
ตวั ชวี้ ัด เรยี น ภาค
ชั่วโมง

ม.๓/๓ ใชโ้ วลตม์ ิเตอรแ์ อมมิเตอร์ในการ ๒ ๑ ๑
วดั ปริมาณทางไฟฟ้า ๑ ๒ ๒

ม.๓/๔ วเิ คราะห์ความต่างศักย์ไฟฟา้ และ ๒ ๒ ๒
กระแสไฟฟ้า ในวงจรไฟฟ้าเมอ่ื ต่อ ๑ ๒ ๑
ตัวต้านทานหลายตวั แบบอนกุ รม ๑ ๒ ๑
และแบบขนานจากหลกั ฐาน ๑ ๒ ๒

ม.๓/๕ เขียนแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดง ๑ ๒ ๑
การต่อตัวต้านทาน แบบอนกุ รม
๓ ระบบนิเวศและ และขนาน ๒ ๒๐
ความหลากหลาย ๑๐ ๒๐
ทางชวี ภาพ ม.๓/๖ บรรยายการทำงานของชนิ้ ส่วน
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ อย่างง่ายในวงจร
จากข้อมูลท่รี วบรวมได้

ม.๓/๗ เขียนแผนภาพและต่อชิน้ ส่วน
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ อยา่ งง่ายใน
วงจรไฟฟ้า

ม.๓/๘ อธบิ ายและคำนวณพลังงานไฟฟ้า
โดยใช้สมการ W = Pt รวมทง้ั
คำนวณค่าไฟฟา้ ของเครอ่ื งใช้
ไฟฟา้ ในบา้ น

ม.๓/๙ ตระหนักในคุณคา่ ของการเลอื กใช้
เครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ โดยนำเสนอ
วธิ กี ารใช้เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ อย่าง
ประหยัดและปลอดภยั

สอบกลางภาคเรียน

ว๑.๑ เข้าใจความหลากหลาย
ของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์
ระหว่างส่ิงไม่มชี ีวิต กบั
สิ่งมชี ีวติ และความสัมพันธ์
ระหวา่ งส่งิ มชี ีวิตกับสงิ่ มชี วี ติ
ตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ การ
ถา่ ยทอดพลังงาน
การเปลย่ี นแปลงแทนทีใ่ น

๒๒

เวลา นำ้ หนักคะแนน
/คะแนนตัวชวี้ ัด
หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้และ
ที่ ช่อื หน่วย ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง คะแนน ระหว่าง ปลาย
ตัวช้ีวัด เรยี น ภาค
ช่ัวโมง

ระบบนเิ วศ ความหมายของ อธบิ ายปฏสิ มั พันธ์ของ ๒ ๓ ๑
ประชากร ปญั หาและ องค์ประกอบของ ระบบนเิ วศทีไ่ ด้
ผลกระทบที่มตี อ่ จากการสำรวจ
ทรพั ยากรธรรมชาติ
ม.๓/๑

ม.๓/๒ อธบิ ายรปู แบบความสมั พนั ธ์ ๑ ๕ ๒
ระหวา่ งสง่ิ มชี วี ติ กบั ส่งิ มชี วี ติ ๑
รปู แบบตา่ งๆในแหลง่ ทอ่ี ยู่เดียวกัน ๒ ๓ ๑
ทีไ่ ดจ้ ากการสำรวจ ๒ ๔
๒ ๒ ๓๐
ม.๓/๓ สรา้ งแบบจำลองในการอธิบาย ๑ ๑ ๗๐ ๓๐
การถ่ายทอด พลังงานในสายใย
อาหาร ๒ ๑๐๐
๔๐
ม.๓/๔ อธบิ ายความสมั พนั ธข์ องผู้ผลติ
ผู้บรโิ ภค และ ผูย้ ่อยสลาย
สารอนิ ทรีย์ในระบบนิเวศ

ม.๓/๕ อธบิ ายการสะสมสารพิษใน
สิ่งมชี วี ิตในโซอ่ าหาร

ม.๓.๖ ตระหนกั ถงึ ความสัมพันธ์ของ
ส่งิ มชี วี ิต และสงิ่ แวดล้อมในระบบ
นิเวศ โดยไม่ทำลายสมดุลของ
ระบบนเิ วศ

ปลายภาคเรยี น
รวม
รวมทั้งส้ิน

กำหนดการสอน ภาคเรียน

รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ๖ ระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๓

สปั ดาห์ หน่วยการเรยี นรู้/สาระการเรียนรู้ จำนวน ตัวชวี้ ัด
ท่ี (Contents) ช่ัวโมง

๑-๒ หน่วยท่ี ๕ ปฏิกริ ิยาเคมีและวสั ดใุ น ๔ มาตรฐาน ว ๒.๑
ชวี ิตประจำวัน
บทท่ี ๑ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ม.๓/๓ อธบิ ายการเกิดปฏิกริ ยิ า
- การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
รวมถงึ การจัดเรียงตวั ใหม่ของอะ

เม่ือเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมโี ดยใช้

แบบจำลองและสมการขอ้ ความ

ม.๓/๔ อธิบายกฎทรงมวล โดยใ

หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์

ม.๓/๕ วิเคราะหป์ ฏกิ ิรยิ าดดู คว

รอ้ น และปฏกิ ริ ิยาคายความร้อน

การเปลย่ี นแปลงพลังงานความร

ของปฏิกริ ยิ า

๒๓

นที่ ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๔ เวลา ๔๐ ชั่วโมง
จำนวน ๑ หน่วยกิต

สาระการเรยี นรู้แกนกลาง จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

 การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมหี รอื การ ๑. อธบิ ายการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีโดยใช้

าเคมี เปลี่ยนแปลงทางเคมีของสาร เป็นการ สมการข้อความ(K)

ะตอม เปลยี่ นแปลงที่ทำให้เกดิ สารใหม่ โดยสาร ๒. อธบิ ายการจัดเรียงตวั ใหม่ของอะตอม

ทเ่ี ขา้ ทำปฏกิ ริ ิยาเรียกวา่ สารตง้ั ต้น สาร เม่ือเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี(K)

ม ใหม่ท่ีเกิดขน้ึ จากปฏิกริ ยิ า เรียกว่า ๓. อธิบายกฎทรงมวล โดยใชห้ ลักฐานเชงิ

ใช้ ผลติ ภัณฑ์ การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีสามารถ ประจกั ษ์(K)

เขยี นแทนได้ด้วยสมการข้อความ ๔. อธบิ ายปฏกิ ริ ยิ าดูดความร้อน และ

วาม  การเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี อะตอมของสารตงั้ ปฏิกริ ิยาคายความรอ้ น(K)

น จาก ต้นจะมกี ารจัดเรียงตัวใหม่ ไดเ้ ป็น ๕. ทดลองการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคม(ี P)

ร้อน ผลติ ภัณฑ์ ซ่ึงมสี มบัติแตกต่างจากสารต้งั ๖. มีความกระตอื รอื รน้ ในการทำงาน

ตน้ โดยอะตอมแต่ละชนดิ ก่อนและหลัง แสดงความคิดเหน็ อย่างสร้างสรรค์ และมี

เกดิ ปฏิกิรยิ าเคมมี ีจำนวนเท่ากัน ส่วนรว่ มในการทำงานเป็นกลุ่ม(A)

 เมือ่ เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี มวลรวมของสาร ๗. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ตง้ั ต้นเทา่ กับมวลรวมของผลิตภณั ฑ์ ซ่งึ (Sc. Process Skills):

เปน็ ไปตามกฎทรงมวล - การสงั เกต

- การวัด

๓-๔ ปฏิกริ ยิ าเคมรี อบตวั ๔ มาตรฐาน ว ๒.๑
ม.๓/๖ อธบิ ายปฏกิ ิริยาการเกิด
ของเหล็ก ปฏิกริ ยิ าของกรดกับโ
ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกับเบส และ
ปฏกิ ริ ิยาของเบสกบั โลหะ โดยใ
หลักฐานเชิงประจักษ์ และอธบิ า
ปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ การเกดิ ฝน
การสงั เคราะหด์ ้วยแสง โดยใช้
สารสนเทศ รวมท้งั เขียนสมการ
ขอ้ ความแสดงปฏกิ ิรยิ าดังกล่าว

๒๔

 เมือ่ เกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี มีการถ่ายโอน - การจำแนกประเภท

ความร้อนควบคู่ไปกับการจัดเรยี งตัวใหม่ - การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซ

ของอะตอมของสารปฏิกริ ยิ าท่ีมีการถ่าย กับสเปซและสเปซกบั เวลา

โอนความร้อนจากส่ิงแวดล้อมเข้าสู่ระบบ - การใช้จำนวน

เป็นปฏิกริ ยิ าดูดความรอ้ น ปฏกิ ิริยาทมี่ ี - การจดั กระทำและส่อื ความหมายข้อมลู

การถ่ายโอนความรอ้ นจากระบบออกสู่ - การลงความเหน็ จากข้อมลู

สง่ิ แวดล้อมเป็นปฏิกริ ยิ าคายความรอ้ น - การพยากรณ์

โดยใชเ้ ครื่องมอื ทเี่ หมาะสมในการวัด - การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรปุ

อณุ หภูมิ เช่น เทอร์มอมิเตอร์ หัววดั ที่ - การสร้างแบบจำลอง

สามารถตรวจสอบการเปล่ยี นแปลงของ

อณุ หภมู ิไดอ้ ย่างตอ่ เนอื่ ง

 ปฏิกริ ยิ าเคมีทพี่ บในชวี ติ ประจำวนั มี ๑.อธบิ ายปฏกิ ิรยิ าของกรดกบั เบส

ดสนิม หลายชนิด เชน่ ปฏิกิรยิ าการเผาไหม้ การ ปฏิกิรยิ าของกรดกับโลหะ ปฏิกริ ยิ าของ

โลหะ เกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกริ ิยาของกรดกับ เบสกับโลหะ การเกดิ สนมิ เหลก็ การเผา

โลหะ ปฏิกริ ิยาของกรดกบั เบส ปฏกิ ิรยิ า ไหม้ การเกดิ ฝนกรด และการสงั เคราะห์

ใช้ ของเบสกับโลหะ การเกิดฝนกรด การ ดว้ ยแสงรวมท้งั เขยี นสมการขอ้ ความแสดง

าย สงั เคราะห์ดว้ ยแสง ปฏิกิรยิ าเคมีสามารถ ปฏกิ ริ ยิ า(K)

นกรด เขียนแทนไดด้ ้วยสมการข้อความ ซ่ึงแสดง ๒. ระบุประโยชน์และโทษของปฏกิ ริ ิยา

ชอื่ ของสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ เช่น เคมที ีม่ ีต่อสิ่งมชี วี ติ และสง่ิ ต่าง ๆ รอบตัว

ร เชอื้ เพลงิ + ออกซิเจน → และยกตวั อยา่ งวธิ ีการปอ้ งกันและ

ว คารบ์ อนไดออกไซด์ + น้ำ ปฏกิ ิริยาการ แก้ปัญหาที่เกดิ ขน้ึ (K)

ม.๓/๗ ระบุประโยชนแ์ ละโทษข
ปฏิกิริยาเคมที ่ีมีต่อสงิ่ มีชวี ิตและ
ส่ิงแวดลอ้ ม และยกตวั อยา่ ง
วิธกี ารปอ้ งกนั และแกป้ ญั หาท่เี ก
ปฏิกิรยิ าเคมที พี่ บในชวี ิตประจำ
จากการสืบค้นขอ้ มลู
ม.๓/๘ ออกแบบวิธแี ก้ปญั หาใน
ชวี ิตประจำวัน โดยใช้ความรูเ้ กี่ย
ปฏิกิริยาเคมโี ดยบูรณาการ
วทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโ
และวศิ วกรรมศาสตร์

๒๕

ของ เผาไหม้เป็นปฏิกิริยาระหว่างสารกบั ๓. ทดลองการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี(P)

ะ ออกซเิ จน สารที่เกดิ ปฏิกริ ิยาการเผาไหม้ ๔. มคี วามกระตือรอื รน้ ในการทำงาน

ส่วนใหญ่เป็นสารประกอบท่มี ีคารบ์ อน แสดงความคิดเห็นอยา่ งสรา้ งสรรค์ และมี

กิดจาก และไฮโดรเจนเปน็ องค์ประกอบ ซง่ึ ถา้ เกิด สว่ นรว่ มในการทำงานเป็นกลมุ่

ำวัน การเผาไหม้อยา่ งสมบูรณ์ จะไดผ้ ลิตภัณฑ์ ๕. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

เป็นคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละนำ้ (Sc. Process Skills):

น  การเกิดสนมิ ของเหลก็ เกิดจากปฏิกริ ยิ า - การสังเกต

ยวกบั เคมรี ะหว่างเหล็ก น้ำ และออกซิเจน ได้ - การวัด

ผลิตภัณฑเ์ ปน็ สนิมของเหล็ก - การจำแนกประเภท

โนโลยี  ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหมแ้ ละการเกิดสนมิ - การจดั กระทำและส่อื ความหมายขอ้ มลู

ของเหล็กเป็นปฏิกิริยาระหวา่ งสารตา่ ง ๆ - การลงความเหน็ จากขอ้ มูล

กับออกซิเจน - การกำหนดและควบคุมตวั แปร

 ปฏิกิรยิ าของกรดกับโลหะ กรดทำ - การทดลอง

ปฏกิ ริ ิยากบั โลหะได้หลายชนิด ได้ - การตคี วามหมายข้อมูลและลงขอ้ สรุป

ผลติ ภัณฑเ์ ปน็ เกลือของโลหะและแกส๊

ไฮโดรเจน

 ปฏิกริ ยิ าของกรดกับสารประกอบ

คาร์บอเนตได้ผลติ ภัณฑเ์ ปน็ แกส๊

คารบ์ อนไดออกไซด์ เกลอื ของโลหะ และ

นำ้



๒๖

 ปฏิกริ ิยาของกรดกบั เบส ได้ผลติ ภัณฑ์
เป็นเกลือของโลหะและน้ำ หรืออาจได้
เพยี งเกลือของโลหะ
 ปฏิกริ ยิ าของเบสกบั โลหะบางชนดิ ได้
ผลติ ภัณฑ์เปน็ เกลือของเบสและแกส๊
ไฮโดรเจน
 การเกดิ ฝนกรด เปน็ ผลจากปฏกิ ิรยิ า
ระหวา่ งน้ำฝนกบั ออกไซดข์ องไนโตรเจน
หรือออกไซด์ของซัลเฟอร์ ทำให้นำ้ ฝนมี
สมบตั เิ ป็นกรด
 การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช เปน็
ปฏกิ ริ ยิ าระหว่างแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์
กับน้ำ โดยมแี สงช่วยในการเกดิ ปฏกิ ิริยา
ได้ผลิตภัณฑ์เปน็ น้ำตาลกลโู คสและ
ออกซเิ จน
 ปฏิกิริยาเคมที ีพ่ บในชวี ิตประจำวนั มีทง้ั
ประโยชน์และโทษต่อส่งิ มชี วี ิตและ
สงิ่ แวดล้อม จึงต้องระมดั ระวังผลจาก
ปฏิกิริยาเคมี ตลอดจนร้จู ักวิธีป้องกนั และ
แกป้ ญั หาท่เี กดิ จากปฏกิ ิริยาเคมีท่ีพบใน
ชีวิตประจำวนั

๕ บทที่ ๒ วัสดุในชีวิตประจำวนั ๒ มาตรฐาน ว ๒.๑
- วัสดรุ อบตัว ม.๓/๑ ระบุสมบัตทิ างกายภาพแ
การใชป้ ระโยชน์วัสดปุ ระเภทพอ
เมอร์ เซรามิก และวัสดุผสมโดย
หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ และสารส
ม.๓/๒ ตระหนักถึงคณุ ค่าของก
วสั ดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ
วัสดผุ สม โดยเสนอแนะแนวทาง
ใช้วสั ดอุ ย่างประหยัดและคุ้มคา่

๒๗

และ  ความรู้เก่ยี วกับปฏกิ ริ ิยาเคมี สามารถ ๑.อธบิ ายสมบตั ิทางกายภาพของวสั ดุ
อลิ นำไปใช้ประโยชนใ์ นชีวติ ประจำวนั และ ประเภทพอลิเมอรเ์ ซรามิก โลหะ
ยใช้ สามารถบรู ณาการกับคณิตศาสตร์ และวสั ดผุ สม(K)
สนเทศ เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศาสตร์ เพื่อใช้ ๒. ยกตวั อย่างและนำเสนอแนวทางการ
การใช้ ปรับปรงุ ผลติ ภัณฑ์ใหม้ คี ุณภาพตาม ใชป้ ระโยชน์จากวสั ดุประเภทพอลิเมอร์
ก และ ตอ้ งการหรอื อาจสรา้ งนวัตกรรมเพื่อ เซรามกิ โลหะ และวสั ดุผสม(P)
งการ ป้องกนั และแก้ปัญหาทีเ่ กดิ ข้นึ จาก ๓. มคี วามกระตือรอื รน้ ในการทำงาน
า ปฏกิ ิริยาเคมี โดยใช้ความรู้เกย่ี วกบั แสดงความคิดเห็นอยา่ งสร้างสรรค์ และมี
ปฏกิ ิรยิ าเคมี เช่น การเปลีย่ นแปลง ส่วนร่วมในการทำงานเปน็ กล่มุ (A)
พลังงานความร้อนอนั เนอื่ งมาจาก
ปฏกิ ริ ยิ าเคมีการเพ่มิ ปริมาณผลผลิต
 พอลเิ มอร์ เซรามิก และวัสดผุ สม เปน็
วสั ดทุ ่ีใชม้ ากในชวี ติ ประจำวนั
 พอลเิ มอรเ์ ปน็ สารประกอบโมเลกุลใหญ่
ท่ีเกดิ จากโมเลกลุ จำนวนมากรวมตวั กนั
ทางเคมี เช่น พลาสตกิ ยาง เส้นใย ซึ่งเปน็
พอลิเมอรท์ ม่ี ีสมบัตแิ ตกตา่ งกนั โดย
พลาสติกเปน็ พอลิเมอรท์ ่ีขน้ึ รปู เป็นรูปทรง
ตา่ ง ๆ ได้ ยางยืดหย่นุ ได้ สว่ นเสน้ ใยเปน็
พอลิเมอร์ทสี่ ามารถดงึ เป็นเสน้ ยาวไดพ้ อลิ
เมอรจ์ ึงใชป้ ระโยชนไ์ ดแ้ ตกตา่ งกนั

๖-๗ หนว่ ยท่ี ๖ ไฟฟ้า ๔ มาตรฐาน ว ๒.๓
บทที่ ๑ วงจรไฟฟา้ อยา่ งง่าย ม.๓/๑ วิเคราะหค์ วามสัมพันธ์
- ปรมิ าณทางไฟฟ้า ระหวา่ งความตา่ งศักย์ กระแสไฟ

๒๘

 เซรามกิ เป็นวัสดทุ ่ีผลติ จาก ดนิ หิน ๔. ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ทราย และแร่ธาตุต่าง ๆ จากธรรมชาติ (Sc. Process Skills):
และสว่ นมากจะผา่ นการเผาท่อี ณุ หภูมิสงู - การสงั เกต
เพ่ือใหไ้ ด้เน้อื สารทแี่ ขง็ แรง เซรามิกสามา - การจำแนกประเภท
รถทำเป็นรปู ทรงตา่ ง ๆ ได้ สมบตั ทิ วั่ ไป - การจดั กระทำและสอ่ื ความหมายขอ้ มูล
ของเซรามกิ จะแขง็ ทนต่อการสึกกรอ่ น - การลงความเหน็ จากข้อมูล
และเปราะ สามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้ - การตคี วามหมายขอ้ มลู และลงข้อสรปุ
เช่น ภาชนะทเ่ี ป็นเคร่อื งปั้นดินเผา
ชนิ้ ส่วนอเิ ลก็ ทรอนิกส์
 วัสดุผสมเปน็ วัสดุท่เี กดิ จากวัสดุต้ังแต่ ๒
ประเภททม่ี ีสมบัตแิ ตกตา่ งกนั มารวมตวั
กนั เพื่อนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ดม้ ากข้นึ เชน่
เสื้อกันฝนบางชนิด เปน็ วสั ดุผสมระหวา่ ง
ผา้ กับยาง คอนกรตี เสริมเหล็ก เป็นวสั ดุ
ผสมระหวา่ งคอนกรตี กบั เหลก็
 วัสดุบางชนิดสลายตัวยาก เช่น
พลาสติก การใช้วสั ดอุ ยา่ งฟุ่มเฟอื ยและไม่
ระมดั ระวงั อาจก่อปญั หาตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม
 เมือ่ ตอ่ วงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมกี ระแส ๑. อธบิ ายความหมายของกระแสไฟฟา้

ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟ้าและความต้านทาน
ฟฟา้ ไฟฟา้ (K)

และความตา้ นทาน และคำนวณ
ปรมิ าณที่เกีย่ วข้องโดยใชส้ มการ
IR จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์
ม.๓/๒ เขียนกราฟความสมั พนั ธ
ระหวา่ งกระแสไฟฟ้าและความต
ศกั ยไ์ ฟฟา้
ม.๓/๓ ใช้โวลตม์ เิ ตอร์ แอมมิเตอ
การวดั ปรมิ าณทางไฟฟา้

๒๙

ณ ไฟฟ้าออกจากข้วั บวกผ่านวงจรไฟฟ้าไปยงั ๒. วดั ค่ากระแสไฟฟา้ โดยใชแ้ อมมิเตอร์

ร V = ข้ัวลบของแหลง่ กำเนดิ ไฟฟา้ ซงึ่ วดั คา่ ได้ และวดั ค่าความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟ้าโดยใชโ้ วลต์

จากแอมมเิ ตอร์ มเิ ตอรพ์ ร้อมระบหุ นว่ ย(P)

ธ์  ค่าท่ีบอกความแตกต่างของพลงั งาน ๓. วเิ คราะห์และอธบิ ายความสัมพันธ์

ตา่ ง ไฟฟา้ ตอ่ หนว่ ยประจรุ ะหวา่ งจุด ๒ จดุ ระหวา่ งความต่างศักย์ไฟฟา้ กระแสไฟฟ้า

เรยี กว่า ความตา่ งศักย์ ซ่ึงวดั ค่าได้จาก และความตา้ นทานไฟฟ้าโดยใช้กราฟ(K)

ตอร์ใน โวลต์มิเตอร์ ๔. คำนวณปรมิ าณทางไฟฟา้ โดยใช้สมการ

 ขนาดของกระแสไฟฟา้ มีคา่ แปรผันตรง V = IR (P)

กบั ความตา่ งศกั ยร์ ะหว่างปลายทงั้ สองของ ๕. ให้ความสนใจในบทเรียน ตอบคำถาม

ตัวนำโดยอัตราส่วนระหวา่ งความต่างศักย์ และให้ความรว่ มมือในการทำงานเป็นกลุ่ม

และกระแสไฟฟ้ามีคา่ คงที่ เรียกคา่ คงท่นี ้ี (A)

ว่า ความต้านทาน ๖. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

(Sc. Process Skills):

- การสงั เกต

- การวัด

- การจำแนกประเภท

- การใช้จำนวน

- การจัดกระทำและส่ือความหมายขอ้ มลู

- การลงความเห็นจากข้อมลู

- การกำหนดและควบคุมตวั แปร

- การทดลอง

๘-๙ วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน ๔ มาตรฐาน ว ๒.๓
ม.๓/๔ วิเคราะหค์ วามตา่ งศักย์ไ
และกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้าเ
ตัวตา้ นทานหลายตัวแบบอนกุ ร
แบบขนานจากหลักฐานเชงิ ประ
ม.๓/๕ เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟ
แสดงการตอ่ ตัวต้านทานแบบอน
และขนาน

๑๐ สอบกลางภาค ๒

๓๐

- การตีความหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ

 ในวงจรไฟฟ้าประกอบด้วยแหล่งกำเนดิ ๑. อธบิ ายความต่างศักยไ์ ฟฟา้ และ

ไฟฟา้ ไฟฟ้า สายไฟฟา้ และอุปกรณ์ไฟฟา้ โดย กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้ เมอ่ื ตอ่

เมอื่ ต่อ อุปกรณไ์ ฟฟ้าแตล่ ะชนิ้ มีความตา้ นทาน อปุ กรณ์ไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบขนาน

รมและ ในการต่อตัวต้านทานหลายตัว มที ั้งต่อ (K)

ะจักษ์ แบบอนุกรมและแบบขนาน ๒. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดง

ฟา้  การต่อตวั ตา้ นทานหลายตวั แบบอนุกรม การตอ่ อุปกรณ์ไฟฟา้ แบบอนุกรมและ

นกุ รม ในวงจรไฟฟา้ ความตา่ งศกั ยท์ ี่คร่อมตวั แบบขนาน(P)

ตา้ นทานแตล่ ะตัวมคี ่าเท่ากับผลรวมของ ๓. มีความกระตอื รือรน้ ในการทำงาน

ความตา่ งศักย์ที่ครอ่ มตวั ตา้ นทานแต่ละตัว แสดงความคิดเหน็ อย่างสร้างสรรค์ และมี

โดยกระแสไฟฟ้าทผี่ า่ นตวั ตา้ นทานแต่ละ ส่วนร่วมในการทำงานเปน็ กล่มุ (A)

ตวั มคี า่ เท่ากนั ๔. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

(Sc. Process Skills):

- การสงั เกต

- การวัด

- การจำแนกประเภท

- การใช้จำนวน

- การจดั กระทำและสอื่ ความหมายข้อมลู

- การลงความเห็นจากข้อมลู

- การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรุป

๑๑ บทที่ ๒ ไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน ๒ มาตรฐาน ว ๒.๓
- พลงั งานไฟฟ้า ม.๓/๘ อธิบายและคำนวณพลงั
ไฟฟา้ โดยใช้สมการ W = Pt รว
คำนวณคา่ ไฟฟ้าของเคร่อื งใช้ไฟ
บ้าน
ม.๓/๙ ตระหนกั ในคณุ ค่าของก
เลือกใช้เครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ โดยนำเสน
วิธกี ารใชเ้ คร่ืองใช้ไฟฟ้าอยา่ งปร
และปลอดภัย

๑๒-๑๓ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ๔ มาตรฐาน ว ๒.๓
ม.๓/๖ บรรยายการทำงานของ
ช้ินสว่ นอิเล็กทรอนกิ สอ์ ย่างงา่ ยใ
วงจรจากข้อมูลท่รี วบรวมได้

๓๑

 เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าจะมคี ่ากำลังไฟฟา้ และ ๑. อธิบายและคำนวณพลงั งานไฟฟา้ โดย

งงาน ความตา่ งศกั ย์กำกบั ไว้ กำลังไฟฟา้ มหี น่วย ใช้สมการ W = Pt (K)

วมทั้ง เป็นวตั ต์ ความต่างศกั ยม์ หี น่วยเปน็ โวลต์ ๒. คำนวณคา่ ไฟฟา้ ของเครื่องใชไ้ ฟฟา้ ใน

ฟฟา้ ใน ค่าไฟฟ้าส่วนใหญค่ ิดจากพลงั งานไฟฟา้ ท่ี บ้าน (P)

ใช้ท้ังหมด ซึ่งหาได้จากผลคูณของ ๓. นำเสนอวธิ กี ารใช้เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ อยา่ ง

การ กำลงั ไฟฟา้ ในหนว่ ยกิโลวตั ต์ กับเวลาใน ประหยัดและปลอดภัยใหม้ ีความนา่ สนใจ

นอ หน่วยช่ัวโมง พลังงานไฟฟา้ มหี น่วยเป็น (P)

ระหยดั กิโลวัตต์ ชว่ั โมง หรือหนว่ ย ๓. ให้ความสนใจในบทเรียน ตอบคำถาม

 วงจรไฟฟา้ ในบ้านมีการต่อเครื่องใช้ และให้ความร่วมมือในชน้ั เรยี น(A)

ไฟฟ้าแบบขนานเพอื่ ให้ความตา่ งศักย์ ๔. ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

เท่ากัน การใช้เครือ่ งใช้ไฟฟา้ ในชีวิต (Sc. Process Skills):

ประจำวันต้องเลือกใช้เคร่อื งใช้ไฟฟา้ ที่มี - การสงั เกต

ความตา่ งศกั ย์และกำลังไฟฟ้าใหเ้ หมาะกับ - การใช้จำนวน

การใช้งาน และการใชเ้ ครือ่ งใช้ไฟฟ้าและ - การจัดกระทำและสอ่ื ความหมายขอ้ มูล

อุปกรณไ์ ฟฟ้าตอ้ งใชอ้ ย่างถูกต้อง - การลงความเหน็ จากขอ้ มลู

ปลอดภยั และประหยดั - การตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรุป

 การตอ่ ตัวต้านทานหลายตัวแบบขนาน ๑. บรรยายการทำงานของช้ินสว่ น
ในวงจรไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ทีผ่ า่ นวงจรมี อเิ ลก็ ทรอนิกสใ์ นวงจรไฟฟา้ (K)
ใน ค่าเท่ากับผลรวมของกระแสไฟฟ้าท่ผี ่าน ๒. เขียนแผนภาพและต่อชนิ้ ส่วน

อเิ ล็กทรอนิกสใ์ นวงจรไฟฟา้ ใหท้ ำงาน

ม.๓/๗ เขียนแผนภาพและต่อช้นิ
อิเล็กทรอนกิ สอ์ ย่างง่ายในวงจร

๓๒

นสว่ น ตัวต้านทานแต่ละตวั โดยความต่างศกั ย์ท่ี ได้ตามตอ้ งการ(P)

รไฟฟ้า คร่อมตัวต้านทานแต่ละตัวมคี า่ เทา่ กัน ๓. มคี วามกระตอื รือรน้ ในการทำงาน

 ช้นิ ส่วนอเิ ลก็ ทรอนิกสม์ ีหลายชนดิ เชน่ แสดงความคิดเหน็ อย่างสร้างสรรค์ และมี

ตัวต้านทาน ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ตวั เก็บ ส่วนร่วมในการทำงานเปน็ กลุ่ม(A)

ประจุ โดยชิ้นส่วนแต่ละชนิดทำหน้าที่ ๔. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

แตกตา่ งกนั เพอ่ื ให้วงจรทำงานไดต้ าม (Sc. Process Skills):

ตอ้ งการ - การสงั เกต

 ตวั ต้านทานทำหน้าทค่ี วบคุมปรมิ าณ - การวดั

กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า ไดโอดทำ - การจัดกระทำและสือ่ ความหมายข้อมลู

หนา้ ท่ีใหก้ ระแสไฟฟา้ ผา่ นทางเดียว - การลงความเห็นจากข้อมูล

ทรานซสิ เตอร์ทำหน้าทเี่ ปน็ สวิตช์ปิดหรือ - การตีความหมายขอ้ มลู และลงข้อสรปุ

เปดิ วงจรไฟฟ้าและควบคมุ ปริมาณ - การสรา้ งแบบจำลอง

กระแสไฟฟ้า ตวั เกบ็ ประจทุ ำหนา้ ที่เก็บ

และคายประจไุ ฟฟ้า

 เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าอย่างงา่ ยประกอบดว้ ย

ชน้ิ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนิกสห์ ลายชนิดที่ทำงาน

รว่ มกัน การตอ่ วงจรอิเลก็ ทรอนกิ ส์โดย

เลือกใช้ช้ินส่วนอเิ ล็กทรอนกิ ส์ทเี่ หมาะสม

ตามหนา้ ท่ีของช้ินสว่ นน้นั ๆ จะสามารถ

ทำใหว้ งจรไฟฟ้าทำงานได้ตามตอ้ งการ

๑๔ หน่วยที่ ๗ ระบบนิเวศและความ ๒ มาตรฐาน ว ๑.๑
หลากหลายทางชีวภาพ ม.๓/๑ อธบิ ายปฏิสมั พนั ธข์ อง
บทท่ี ๑ ระบบนเิ วศ องค์ประกอบของระบบนิเวศท่ีไ
- องคป์ ระกอบของระบบนเิ วศ การสำรวจ

๓๓

 ระบบนเิ วศประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบที่ ๑. อธิบายปฏิสัมพนั ธข์ ององคป์ ระกอบ

มชี วี ิต เชน่ พืชสัตว์จุลินทรีย์ และ ของระบบนิเวศทไ่ี ด้จากการสำรวจ(K)

ได้จาก องค์ประกอบทไี่ ม่มชี ีวิต เชน่ แสง นำ้ ๒. สำรวจพนื้ ที่ตามเขตที่กำหนดเพ่ือ

อณุ หภูมิ แร่ธาตุ แกส๊ องค์ประกอบ บนั ทึกสภาพแวดล้อมทางกายภาพและ

เหลา่ น้มี ปี ฏิสัมพนั ธ์กนั เชน่ พืชตอ้ งการ ทางชวี ภาพ ชนดิ และปริมาณของสงิ่ มีชีวติ

แสง นำ้ และแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ใน และสง่ิ ไม่มชี ีวิต(P)

การสรา้ งอาหาร สตั ว์ต้องการอาหาร และ ๓. มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการทำงาน

สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมในการ แสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ และมี

ดำรงชวี ติ เช่น อุณหภูมิ ความชน้ื สว่ นรว่ มในการทำงานเปน็ กลมุ่ (A)

องค์ประกอบทั้งสองสว่ นนจี้ ะต้องมี ๔. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ความสมั พันธ์กันอยา่ งเหมาะสม ระบบ (Sc. Process Skills):

นิเวศจงึ จะสามารถคงอยู่ต่อไปได้ - การสงั เกต

- การวัด

- การจำแนกประเภท

- การหาความสมั พนั ธร์ ะหว่างสเปซ

กับสเปซ และสเปซกับเวลา

- การจดั กระทำและสือ่ ความหมายข้อมูล

- การลงความเห็นจากขอ้ มลู

- การตคี วามหมายข้อมูลและลงข้อสรุป

- การสรา้ งแบบจำลอง

๑๕-๑๖ ความสัมพนั ธ์ของสิ่งมชี ีวติ ในระบบนิเวศ ๔ มาตรฐาน ว ๑.๑
ม.๓/๓ สร้างแบบจำลองในการ
อธิบายการถา่ ยทอดพลังงานในส
อาหาร
ม.๓/๔ อธิบายความสัมพนั ธข์ อง
ผู้ผลิต ผู้บรโิ ภค และผูย้ อ่ ยสลาย
สารอินทรยี ใ์ นระบบนิเวศ
ม.๓/๕ อธิบายการสะสมสารพิษ
ส่ิงมชี ีวิตในโซอ่ าหาร


Click to View FlipBook Version