๘๑
ความคิดเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้
เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรงุ กอ่ นนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอ่ืนๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชอ่ื ……………………………………..
(นายธนภณ อ่นุ วเิ ศษ)
ความคิดเหน็ ของหวั หน้ากลุ่มงานบริหารงานวชิ าการ
๑. เป็นแผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี
องค์ประกอบครบถ้วน องคป์ ระกอบไม่ครบ คือ.........................................................
๒. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้/กระบวนการเรียนรเู้ หมาะสม
เน้นผูเ้ รียนเป็นสำคญั กิจกรรมเหมาะสมกบั เนือ้ หา/สอ่ื /เวลา
ไมเ่ นน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคัญ ควรปรบั ปรงุ พัฒนาตอ่ ไป
๓. การวดั /ประเมินผล
หลากหลาย เหมาะสม ประเมนิ ตามสภาพจริง
การประเมินผลควรหลากหลาย และประเมนิ ตามสภาพจรงิ
ขอ้ เสนอแนะอน่ื ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่ือ……………………………………..
(นายวิทยา อินกง)
ความคดิ เหน็ ของผอู้ ำนวยการโรงเรยี นหรือผู้ท่ีได้รับมอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่อื ……………………………………..
(นางสาวสุภาวดี ผาตะเนตร)
ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการโรงเรยี นกลุ่มงานบรหิ ารงานวิชาการ
๘๒
Flowchart หรือ ขน้ั ตอนการทดลอง ใหก้ ับนกั เรียนทุกกลุ่ม
• ปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ สนิมของตะปูเหลก็
- บกี เกอรข์ นาด ๒๕๐ mL ๓ ใบ
- น้ำกลัน่
- ตะปเู หลก็ ๓ ตวั
- ตวั อยา่ งผลของตะปเู หล็ก ๓ ตวั
- ถุงซปิ ล็อก
• ปฏิกิรยิ าของกรดกับโลหะ ใช้อุปกรณ์ ดังนี้
- บีกเกอร์ขนาด ๑๐๐ mL ๑ ใบ
- สารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น ๐.๒ mol/dm๓
- แผน่ โลหะแมกนีเซียม
- แผน่ โลหะสังกะสี
- กระบอกตวง
- ถุงมือยาง
• ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกบั เบส ใชอ้ ปุ กรณ์ ดังนี้
- บกี เกอรข์ นาด ๑๐๐ mL ๑ ใบ
- สารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น ๐.๒ mol/dm๓
- สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์เข้มขน้ ๐.๒ mol/dm๓
- กระบอกตวง
- ถุงมอื ยาง
• ปฏกิ ริ ิยาของเบสกบั โลหะ ใช้อปุ กรณ์ ดังนี้
- บีกเกอร์ขนาด ๑๐๐ mL ๑ ใบ
- สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์เข้มขน้ ๐.๒ mol/dm๓
- แผ่นโลหะสงั กะสี
- กระบอกตวง
- ถงุ มือยาง
๘๓
Flowchart
• ขนั้ ตอนการทดลองการเกิดปฏิกิรยิ าการเกิดสนมิ ของตะปเู หลก็
(ครูเปน็ ผ้ทู ำการทดลองลว่ งหนา้ เปน็ เวลา ๑ อาทิตย์)
นำตะปูเหลก็ ทั้ง ๓ ตัว มาขัดผิวให้สะอาดด้วยกระดาษทราย แล้วนำตะปูเหล็กทัง้ ๓ ตัว มาวางในบีกเกอร์ ๓
ใบ
ตะปเู หล็กตวั ท่ี ๑ เคลือบผวิ ตะปเู หลก็ ตัวท่ี ๓
ดว้ ยวาสลนี
ตะปเู หลก็ ตัวท่ี ๒
เตมิ น้ำกลน่ั ลง
ไปใหท้ ว่ มตะปู
ต้งั ทิ้งไว้ประมาณ ๗ วนั แลว้ ให้นกั เรียนสังเกตลักษณะผิวของตะปทู ี่เปลี่ยนแปลงไป
• ขั้นตอนการทดลองการเกดิ ปฏิกิริยาของกรดกบั โลหะ แผ่นโลหะ
สงั กะสี
แผน่ โลหะ
แมกนีเซยี ม
สารละลายกรด สารละลายกรด
ไฮโดรคลอรกิ เข้มข้น ไฮโดรคลอริกเข้มข้น
๐.๒ mol/dm๓ ๐.๒ mol/dm๓
๘๔
• ขั้นตอนการทดลองการเกดิ ปฏกิ ิริยาของกรดกับเบส
ตวงสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์
เขม้ ขน้ ๐.๒ mol/dm๓ มา ๒๕ mL
ตวงสารละลายไฮโดรคลอรกิ เขม้ ข้น
๐.๒ mol/dm๓ มา ๒๕ mL เทผสมลง
ไป
• ข้ันตอนการทดลองการเกดิ ปฏิกริ ยิ าของเบสกับโลหะ แผ่นโลหะ
สงั กะสี
แผน่ โลหะ
แมกนเี ซียม สารละลาย
โซเดยี มไฮดรอกไซด์
สารละลาย เขม้ ขน้ ๐.๒
โซเดียมไฮดรอกไซด์ mol/dm๓
เข้มข้น ๐.๒
mol/dm๓
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๔
กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๓
รายวิชา วิทยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน ๖ รหัสวชิ า ว๒๓๑๐๒
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี ๕ เร่อื ง ปฏิกริ ิยาเคมแี ละวสั ดุในชวี ิตประจำวนั ๑๐ ชั่วโมง
หน่วยการเรยี นร้ยู ่อย ๕.๓ เร่อื ง ประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมี ๒ ช่วั โมง
ผู้สอน นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมุทร ตำแหน่ง นักศึกษาปฏิบัตกิ ารสอนในสถานศึกษา ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๖๔
สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ ของสสารกับ
โครงสรา้ ง และแรงยดึ เหนีย่ วระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
ระดบั ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง
ปฏิกิรยิ าเคมที ี่พบในชวี ิตประจำวันมีทงั้
ม.๓ ม.๓/๗ ระบปุ ระโยชน์และโทษของปฏิกริ ิยา ประโยชน์และโทษตอ่ ส่งิ มีชีวติ และส่งิ แวดล้อม จึง
ต้องระมัดระวงั ผลจากปฏกิ ิริยาเคมี ตลอดจนรจู้ ัก
เคมีที่มตี อ่ สิ่งมชี ีวติ และสิง่ แวดล้อม และ วธิ ปี ้องกนั และแก้ปัญหาที่เกิดจากปฏกิ ริ ยิ าเคมีที่
พบในชีวิตประจำวัน
ยกตัวอยา่ ง วิธกี ารปอ้ งกันและแก้ปัญหาท่ี ความรูเ้ กย่ี วกบั ปฏกิ ริ ยิ าเคมี สามารถนำไปใช้
ประโยชน์ในชีวิตประจำวนั และสามารถบูรณาการ
เกิดจากปฏกิ ริ ิยาเคมที พ่ี บในชีวติ ประจำวัน กับคณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์
เพ่อื ใชป้ รบั ปรงุ ผลิตภณั ฑใ์ ห้มคี ณุ ภาพตามต้องการ
จากการสืบค้นข้อมูล หรอื อาจสร้างนวัตกรรมเพอื่ ป้องกันและแกป้ ัญหาที่
เกดิ ขน้ึ จากปฏิกิรยิ าเคมี โดยใช้ความรู้เกีย่ วกบั
ม.๓/๘ ออกแบบวิธแี ก้ปัญหาใน ปฏกิ ิรยิ าเคมี เช่น การเปล่ยี นแปลงพลังงานความ
ร้อนอันเนอ่ื งมาจากปฏกิ ิริยาเคมกี ารเพ่ิมปรมิ าณ
ชีวติ ประจำวนั โดยใช้ความรเู้ กี่ยวกับ ผลผลติ
ปฏิกริ ิยาเคมีโดยบูรณาการวทิ ยาศาสตร์
คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และ
วิศวกรรมศาสตร์
๑. กาํ หนดเป้าหมายการเรยี นรู้
๑.๑ สาระการเรียนร/ู้ เน้ือหาการเรียนรู้
เรือ่ งท่ี ๓ เรื่อง ประโยชน์และโทษของปฏิกิรยิ าเคมี
๘๖
๑) ประโยชนแ์ ละโทษของปฏกิ ริ ยิ าเคมที ม่ี ตี ่อส่งิ มีชวี ิตและส่งิ แวดลอ้ ม
๑.๒ สาระสาํ คญั /ความคิดรวบยอดของเร่ืองทเ่ี รียน
ความรเู้ กยี่ วกบั ปฏิกริ ยิ าเคมีสามารถนำไปประยุกต์ใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตประจำวนั และสามารถบ
รูณาการกับคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศาสตร์ เพือ่ ใช้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพตามต้องการ
หรืออาจสร้างนวัตกรรมเพื่อป้องกนั และแก้ปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับปฏกิ ิริยาเคมี
เชน่ การเปลี่ยนแปลงพลังงานความรอ้ นอันเนอ่ื งมาจากปฏกิ ริ ยิ าเคมี การเพ่มิ ปริมาณผลผลิต
๑.๓ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้: เมอื่ ผูเ้ รียนจบกจิ กรรมการเรยี นรู้ ผเู้ รียนสามารถ
ดา้ นความรู้ (K: Knowledge) ระบุประโยชน์และโทษของปฏกิ ิรยิ าเคมที ี่มตี อ่
สงิ่ มีชวี ติ และส่งิ ต่าง ๆ รอบตัว และยกตัวอย่าง
วธิ ีการปอ้ งกันและแก้ปัญหาทีเ่ กดิ ขน้ึ
ด้านทักษะกระบวนการ (P: Process) ออกแบบวธิ ีแก้ปัญหาปฏิกริ ิยาเคมีใน
ชีวติ ประจำวนั
ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (A: Attribute) มีความกระตือรือร้นในการทำงาน แสดงความ
คดิ เหน็ อย่างสรา้ งสรรค์ และมสี ว่ นรว่ มในการทำงาน
เปน็ กลุ่ม
ดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Sc.P: Science Process Skills)
การสงั เกต การลงความเหน็ จากข้อมลู
การวัด การกำหนดและควบคุมตวั แปร
การคำนวณ/การใชต้ วั เลข การกำหนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั ิการ
การจำแนกประเภท การตงั้ สมมติฐาน
การจดั กระทำและส่ือความหมายขอ้ มูล การทดลอง
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ การตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรุป
และสเปซกบั เวลา การสรา้ งแบบจำลอง
การพยากรณ์/การทำนาย
๒. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบ ๕E
๒.๑ ข้นั การสรา้ งความสนใจ (Engagement)
๑. ครูสนทนากับนกั เรยี นเก่ียวกับปฏกิ ริ ิยาเคมีในชีวิตประจำวนั เช่น ปฏกิ ิรยิ าการเกดิ สนิมของเหล็ก
ปฏิกิรยิ าของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาระหวา่ งกรดกบั เบส ปฏกิ ริ ยิ าของเบสกับโลหะ ปฏิกิริยาการเผาไหม้
ปฏิกิรยิ าการเกิดฝนกรด และการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื
๒. ครถู ามคำถามกระตนุ้ ความคดิ ของนกั เรยี นวา่ ปฏกิ ิรยิ าเคมที ่ีเกิดข้นึ ในชวี ติ ประจำวันมปี ระโยชน์
และโทษตอ่ สิ่งมีชวี ิตและสงิ่ แวดล้อมอยา่ งไร
๘๗
(แนวตอบ: ข้ึนอยูก่ ับคำตอบของนกั เรยี นและดุลยพินิจของคร)ู
๓. ก่อนเขา้ สบู่ ทเรียนครูนำภาพประกอบการสอนเก่ยี วกบั ผ้ไู ดร้ ับความเสยี หายจากสารเคมี เชน่ ภาพ
แผลพพุ องเมอ่ื ผิวหนงั โดนกรด ภาพสิง่ กอ่ สรา้ งทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบจากฝนกรดมาใหน้ กั เรียนศึกษา รวมท้งั ภาพ
ผลติ ภัณฑ์ เชน่ สบซู่ ึ่งเป็นผลิตภณั ฑท์ ่ีผลิตมาจากปฏกิ ิรยิ าเคมี
๔. ครูนำฉลากของผลติ ภัณฑ์สารเคมี เช่น น้ำยาล้างหอ้ งน้ำ มาใหน้ กั เรียนศกึ ษาเก่ียวกับคำเตือน
วธิ แี ก้ไขเบอื้ งต้นเมอ่ื ได้รับอนั ตรายทเี่ ปน็ ผลมาจากปฏกิ ริ ิยาเคมี แล้วอภปิ รายรว่ มกันเพ่อื ใหไ้ ด้ขอ้ สรุปวา่
“เคมภี ณั ฑ์มีทัง้ ประโยชนแ์ ละโทษ ดังน้นั นกั เรยี นจึงจำเป็นตอ้ งมีความรู้พน้ื ฐานเกย่ี วกับปฏิกริ ยิ าเคมที ่เี กิดขึน้
เพ่อื นำไปประยุกตใ์ ช้ให้เกิดประโยชน์และหลกี เลีย่ งอันตรายจากปฏิกิริยาเคมี รวมท้ังสามารถวางแนวทางการ
ป้องกนั ไดจ้ ากอนั ตรายทเี่ กดิ ข้นึ ”
๒.๒ ขนั้ การสำรวจและคน้ หา (Exploration)
๑. นกั เรียนจับกลุม่ กบั เพ่อื นในช้นั เรียนตามความสมัครใจ กลุม่ ละ ๕-๖ คน คละความสามารถ เกง่
กลางออ่ น
๒. ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลมุ่ ศกึ ษาประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมใี นหนงั สือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.๓ เล่ม ๒ และใบความรู้
๓. นกั เรยี นแตก่ ลมุ่ ทำกิจกรรมท่ี ๕.๗ ปฏิกิริยาเคมมี ผี ลตอ่ สิ่งมีชีวติ และสิ่งตา่ งๆรอบตวั อยา่ งไร
จากหนังสอื เรยี นรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒
๔. ครแู จกกระดาษฟลปิ ชารต์ ให้นักเรียนกลมุ่ ละ ๑ แผ่น พรอ้ มปากกาและดนิ สอสี ใหน้ กั เรียนแต่ละ
กลมุ่ สรุปเนือ้ หาทไ่ี ด้ศกึ ษาข้อมูลมาและผลการทำกจิ กรรม เขยี นลงในกระดาษฟลิปชาร์ต เตรยี มนำเสนอหนา้
ช้นั เรยี น
๒.๓ ขั้นการอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
๑. นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ ออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน ในระหวา่ งทีน่ กั เรียน
นำเสนอครคู อยให้ข้อเสนอแนะเพม่ิ เติม เพอ่ื ให้นักเรียนมีความเขา้ ใจทีถ่ ูกตอ้ ง
๒. นกั เรียนและครูรว่ มกนั อภปิ รายผลการปฏิบัตกิ ิจกรรม เพอ่ื ใหไ้ ด้ขอ้ สรุปรว่ มกนั
๓. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อธบิ ายและลงข้อสรุปเก่ียวกับประโยชน์และโทษของปฏกิ ิรยิ าเคมี โดยครูใช้
แผนภาพ วิดิทศั น์ หรือ Power Point ประกอบการอธิบายและลงขอ้ สรุป
๔. นักเรียนและครรู ่วมกันอภปิ รายผลกิจกรรม เพ่อื ใหไ้ ดข้ ้อสรุปวา่ “ปฏกิ ริ ยิ าเคมีที่พบใน
ชวี ิตประจำวนั มที ้ังประโยชนแ์ ละโทษต่อสิ่งมีชีวิตและสิง่ แวดลอ้ ม เชน่ การเผาไหมเ้ ชื้อเพลงิ ตา่ ง ๆ ก่อใหเ้ กิด
มลพิษ หากเผาไหม้แบบสมบรู ณจ์ ะกอ่ ให้เกิดแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดซ์ ่งึ มีสมบัตเิ ป็นแก๊สเรือนกระจก
๘๘
ก่อใหเ้ กดิ ภาวะโลกร้อน และการเผาไหมแ้ บบไมส่ มบูรณซ์ ง่ึ เกดิ ข้นึ จากการเผาไหม้ในสภาวะทม่ี แี ก๊สออกซเิ จน
ไม่เพียงพอ จึงได้ผลติ ภณั ฑ์เปน็ แก๊สคาร์บอนมอนอกไซดแ์ ละเขม่าควัน ส่งผลใหเ้ กิดมลพิษทางอากาศ เป็น
อันตรายตอ่ สขุ ภาพ ดังนั้น เราจงึ ตอ้ งระมดั ระวังผลจากปฏกิ ิรยิ าเคมี ตลอดจนรูจ้ ักวิธีป้องกนั และแก้ปญั หาท่ี
เกิดจากปฏกิ ิรยิ าเคมที ีพ่ บในชีวิตประจำวัน รวมท้งั รว่ มกนั รณรงคแ์ ละปลูกจติ สำนกึ ใหค้ ำนงึ ผลกระทบทีม่ ีตอ่
สิ่งมชี ีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม”
๕. ครูถามคำถามทา้ ยกิจกรรมว่า นกั เรียนมแี นวทางป้องกนั และแก้ไขปัญหาท่เี กิดจากปฏกิ ริ ยิ าเคมีใน
ชีวิตประจำวันได้อยา่ งไร
(แนวตอบ: ข้นึ อย่กู ับคำตอบของนกั เรียน ตัวอยา่ งเช่น ใชพ้ ลงั งานหมนุ เวียนแทนการใชพ้ ลังงานจาก
การเผาไหมเ้ ช้ือเพลงิ ใช้วัสดุโลหะอะลูมเิ นียมแทนโลหะเหลก็ เพือ่ ปอ้ งกันการเกดิ สนิมเหล็ก)
๒.๔ ขัน้ การขยายความรู้ (Elaboration)
๑. ใหน้ ักเรยี นแบ่งกลุ่ม กลมุ่ ละ ๕-๗ คน แลว้ ครกู ำหนดสถานการณ์เกี่ยวกบั ปฏิกิรยิ าเคมีทีอ่ าจเปน็
ปญั หาในชีวิตประจำวนั เช่น ราวตากผ้าเกดิ สนิม พนื้ หอ้ งนำ้ สึกกรอ่ น หรอื ให้นักเรียนเลือกกำหนดปญั หาเอง
แล้วใหน้ กั เรียนวิเคราะห์สถานการณแ์ ล้วนำความรู้เรอ่ื ง ประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมี มาบรู ณาการกับ
วิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ เพือ่ วางแผน ออกแบบวิธกี ารแก้ปญั หา ปรับปรงุ
ผลติ ภัณฑ์ หรือสรา้ งนวัตกรรมทีใ่ ช้แกป้ ัญหาที่เกิดขึ้นจากปฏิกิรยิ า
๒.๕ ข้นั การประเมนิ (Evaluation)
๑. นกั เรียนและครรู ว่ มกันสรปุ ความรเู้ ก่ียวกบั ปฏกิ ิริยาเคมี แลว้ ให้นกั เรียนสรุปเป็นรูปแบบผงั มโน
ทศั นล์ งในกระดาษ A๔ แลว้ นำมาเสนอหน้าชนั้ เรียน
๒. นักเรยี นทำกิจกรรมและตอบคำถามในช้นั เรยี น
๓. นกั เรยี นทำแบบทดสอบหลังเรียน เรอ่ื ง ประโยชน์และโทษของปฏิกริ ยิ าเคมี
๓. สือ่ /อุปกรณ์/แหล่งเรียนรู้
๓.๑ คู่มือครูรายวิชาพืน้ ฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ เล่ม ๒ (สสวท.)
๓.๒ หนงั สอื เรียนรายวิชาพ้นื ฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ เล่ม ๒ (สสวท.)
๓.๓ Power Point เรือ่ ง ประโยชนแ์ ละโทษของปฏกิ ริ ยิ าเคมี
๔. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ๘๙
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธกี ารวัดผลการเรยี นรู้ เกณฑก์ ารประเมินผล
ดา้ นความรู้ (K: Knowledge) - การตอบคำถาม ผา่ นเกณฑ์ไมน่ อ้ ยกวา่
ระบุประโยชน์และโทษของปฏกิ ิรยิ าเคมีทม่ี ตี อ่ ส่ิงมีชวี ิตและสิ่ง รอ้ ยละ ๘๐
ต่าง ๆ รอบตวั และยกตวั อยา่ งวธิ กี ารป้องกนั และแก้ปัญหาท่ี - การตอบคำถาม
เกิดข้นึ - การทำกจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์ไมน่ อ้ ยกวา่
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P: Process) - สงั เกตพฤติกรรมในการ ร้อยละ ๘๐
ออกแบบวธิ แี กป้ ัญหาปฏิกิริยาเคมีในชีวติ ประจำวัน ทำงาน ผา่ นเกณฑ์ไมน่ อ้ ยกว่า
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A: Attribute) ร้อยละ ๘๐
มคี วามกระตือรือรน้ ในการทำงาน แสดงความคิดเหน็ อยา่ ง - การตอบคำถาม
สรา้ งสรรค์ และมีสว่ นร่วมในการทำงานเป็นกลุ่ม ผา่ นเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกวา่
ดา้ นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รอ้ ยละ ๘๐
(Sc.P: Science Process Skills)
การสังเกต
การวัด
การจำแนกประเภท
การจัดกระทำและส่อื ความหมายข้อมูล
การลงความเหน็ จากขอ้ มูล
การกำหนดและควบคมุ ตัวแปร
การทดลอง
การตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรุป
๙๐
แบบสังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคลชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๓
คำชี้แจง ให้ครปู ระเมนิ พฤติกรรมของนกั เรียนรายบุคคลในชนั้ เรยี นตามแบบประเมนิ รายการในตาราง แล้วขดี
ลงในช่องที่ตรงกับคะแนน
เกณฑ์การใหค้ ะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ ๒ คะแนน
ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ ๑ คะแนน
ลำดับ ชอ่ื -สกุล ความมวี ินัย ความมี การรับฟัง การแสดง การตรงตอ่ รวม
ที่ น้ำใจ ความ ความ เวลา ๑๕
เออ้ื เฟือ้ คิดเหน็ คิดเหน็ คะแนน
เสียสละ
๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕ ๙๑
๒๖
๒๗ ลงชอ่ื …………………………………………………ผปู้ ระเมิน
๒๘ ( นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมทุ ร )
๒๙
๓๐ วันท…่ี ……เดือน………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๓๖
๓๗
๓๘
๓๙
๔๐
เกณฑก์ ารตัดสินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
๑๒ - ๑๕ ดี
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ต่ำกว่า ๘ ปรบั ปรุง
๙๒
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกล่มุ
ช่อื กลมุ่ …………………………………………………………………………………………………………………..ชนั้ …………
คำชี้แจง : ให้ผสู้ อนสงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ ง
ท่ีตรงกับระดับคะแนน
ลำดบั ที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
๓๒๑
๑ การแบง่ หน้าที่กนั อยา่ งเหมาะสม
๒ ความรว่ มมอื กนั ทำงาน รวม
๓ การแสดงความคิดเหน็
๔ การรับฟงั ความคดิ เหน็
๕ ความมีน้ำใจชว่ ยเหลอื กนั
เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ ลงชอื่ …………………………………………………ผปู้ ระเมิน
( นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมทุ ร )
๑๒ - ๑๕ ดี
วนั ท…ี่ ……เดอื น………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ต่ำกว่า ๘ ปรับปรุง
๙๓
บนั ทกึ ผลหลงั การจัดการเรียนรู้
ผลการจัดกจิ กรรม
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ปัญหา/อุปสรรค
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงชื่อ………………………………………….นักศกึ ษาปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษา
(นางสาวพลอยทิพย์ เวยี งสมุทร)
วันที.่ ...........เดอื น...............................พ.ศ.๒๕๖๕
ความคิดเหน็ ของครูพ่เี ลี้ยง
เปน็ แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรงุ กอ่ นนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอื่นๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชอ่ื ……………………………………..
(นางอรญั ญา บรจิ าค)
๙๔
ความคิดเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้
เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรงุ กอ่ นนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอ่ืนๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชอ่ื ……………………………………..
(นายธนภณ อ่นุ วเิ ศษ)
ความคิดเหน็ ของหวั หน้ากลุ่มงานบริหารงานวชิ าการ
๑. เป็นแผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี
องค์ประกอบครบถ้วน องคป์ ระกอบไม่ครบ คือ.........................................................
๒. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้/กระบวนการเรียนรเู้ หมาะสม
เน้นผูเ้ รียนเป็นสำคญั กิจกรรมเหมาะสมกบั เนือ้ หา/สอ่ื /เวลา
ไมเ่ นน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคัญ ควรปรบั ปรงุ พัฒนาตอ่ ไป
๓. การวดั /ประเมินผล
หลากหลาย เหมาะสม ประเมนิ ตามสภาพจริง
การประเมินผลควรหลากหลาย และประเมนิ ตามสภาพจรงิ
ขอ้ เสนอแนะอน่ื ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่ือ……………………………………..
(นายวิทยา อินกง)
ความคดิ เหน็ ของผอู้ ำนวยการโรงเรยี นหรือผู้ท่ีได้รับมอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่อื ……………………………………..
(นางสาวสุภาวดี ผาตะเนตร)
ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการโรงเรยี นกลุ่มงานบรหิ ารงานวิชาการ
๙๕
ปฏิกิรยิ าเคมใี นชวี ติ ประจำวัน
๑. ปฏกิ ิริยาการเผาไหม้
การเผาไหมเ้ ป็นปฏิกริ ยิ าการรวมตัวกันของเชื้อเพลิงกับออกซเิ จนอย่างรวดเรว็ พรอ้ มกบั เกิดการลกุ
ไหม้และการคาย ความร้อน ในการเผาไหม้ส่วนใหญจ่ ะไม่ใช้ออกซิเจนล้วน ๆ เพราะสนิ้ เปลอื งค่าใช้จา่ ยมากแต่
จะใช้อากาศแทน โดยอากาศจะมี แก๊สออกซเิ จนและแก๊สไนโตรเจนเปน็ องค์ประกอบหลัก สว่ นแกส๊ อื่นมี
ปะปนอยนู่ อ้ ยมา (ในอากาศมีแก๊สออกซิเจนประมาณรอ้ ย ละ ๒๑ และแกส๊ ไนโตเจนรอ้ ยละ ๗๙ โดยปรมิ าตร
หรอื แก๊สออกซิเจนประมาณรอ้ ยละ ๒๓ และแก๊สไนโตเจนรอ้ ยละ ๗๗ โดย น้ำหนกั )
เชื้อเพลิงชวี มวลสว่ นใหญป่ ระกอบดว้ ยคารบ์ อน (C), ไฮโดรเจน (H), ออกซเิ จน (O), และธาตอุ ื่น ๆ
ปะปนอยบู่ า้ งเช่น ไนโตรเจน (N) และกำมะถนั (S) ดังน้นั เม่ือนำเช้ือเพลงิ ชีวมวลไปเผาไหม้จะเกิดปฏิกิรยิ า
เคมีดังแสดงด้วยสมการต่อไป
๒C(s) + O๒(g) ๒CO(g) + ๑๑๐๓๘๐ kJ/kg-mol
๒CO(g) + O๒(g) ๒CO๒(g) + ๒๘๓๑๘๐ kJ/kg-mol
๒H๒(g) + O๒(g) ๒H๒O + ๒๘๖๔๗๐ kJ/kg-mol
S (s) + O๒(g) ๒SO๒(g) + ความรอ้ น
N (g) + O๒(g) ๒NO๒(g) + ความรอ้ น
๒. ปฏกิ ิรยิ าการเกดิ สนิมเหล็ก
เป็นปฏิกิรยิ าที่พบเหน็ ไดง้ า่ ยๆ กบั สงิ่ ก่อสร้างต่าง ๆ ท่มี เี หล็กเปน็ องคป์ ระกอบ แตเ่ ป็นปฏกิ ิริยาท่ี
เกิดขน้ึ อย่างชา้ ๆ อาจจะกินเวลายาวนาน เกิดข้ึนเมอื่ มีเหล็กสัมผสั กับน้ำและความชืน้ โดยจะคอ่ ย ๆ สึกกร่อน
กลายเปน็ เหลก็ ออกไซด์ หรือท่เี รา รูจ้ ักกนั ว่า สนิมเหล็ก (Fe๒O๓.H๒O ) สังเกตไดจ้ ากสแี ละลกั ษณะอ่ืนๆ ที่
แตกต่างจากเหล็ก (Fe) ดงั ปฏิกิรยิ าท่ีเกดิ ขน้ึ
๔Fe(s) + ๓O๒(g) + ๓H๒O (l) ๒Fe๒O๓.๓H๒O(s)
๓. ปฏิกริ ยิ าระหว่างกรดกับโลหะ
โลหะ + กรด เกลือ + แกส๊
โลหะ + กรด เกลอื + นำ้ + แก๊ส
Mg(s) + ๒HCl(aq) MgCl๒(aq) + H๒(g)
Zn(s) + H๒SO๓(aq) ZnSO๔(aq) + H๒(g)
๓Cu(s) + ๘HNO๓(aq) ๓Cu(NO๓)๒(aq) + H๒O(l) + ๒NO(g)
๔ ปฏิกริ ยิ าระหวา่ งกรดกับสารประกอบคาร์บอเนต
สารประกอบคาร์บอเนตเม่ือใสล่ งในกรดซลั ฟิวริกจะไดแ้ คลเซียมซัลเฟต น้ำและแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์
CaCO๓(s) + H๒SO๔(aq) CaSO๔(aq) + H๒O(l) + CO๒(g)
๙๖
๕. ปฏกิ ิรยิ าระหว่างกรดกับเบส แบง่ ออกไดต้ ามชนดิ ของปฏิกริ ิยาดังน้ี
๑. ปฏิกริ ยิ าระหว่างกรดแกก่ บั เบสแก่ เชน่ ปฏกิ ิริยาระหว่างกรดแก่ HCl กับเบสแก่ KOH ได้เกลือ
KCl
HCl(aq) + KOH(aq) KCl (aq) + H๒O(l)
๒. ปฏกิ ริ ิยาระหว่างกรดแก่กับเบสออ่ น เช่น ปฏิกิรยิ าระหวา่ งกรดแก่ HCl กบั เบสออ่ น NH๔Cl และ
น้ำ HCl
HCl (aq) + NH๔Cl(aq) NH๔Cl(aq) + H๒O(l)
๓. ปฏกิ ริ ยิ าระหวา่ งกรดอ่อนกับเบสอ่อน เช่น ปฏิกริ ิยาระหว่างกรด HCN กับเบส NH๔OH ไดเ้ กลอื
NH๔CN และน้ำ
HCN(aq) + NH๔OH (aq) NH๔CN(aq) ) + H๒O(l)
๖. ปฏิกิริยาระหว่างเบสกบั โลหะ สารละลายเบสสามารถทำปฏกิ ิริยากบั โลหะบางชนิดไดด้ งั น้ี
ทำปฏิกิรยิ ากับสงั กะสี
๒NaOH(aq) + Zn (s) Na๒ZnO๒(aq) + H๒(g)
ทำปฏิกิรยิ ากบั อลมู ิเนียม
๖KOH(aq) + ๒Al (s) ๒K๓AlO๓(aq) + ๓H๒(g)
๗. การเกิดฝนกรด
โดยทั่วไป กรดมีคุณสมบัติในการกัดกร่อนโลหะ รวมถึงเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตด้วย ดังนั้น มันจึงเป็น
อันตรายตอ่ มนษุ ย์ และสตั ว์ และถ้าฝนตกลงมาเป็นกรด หรือทเี่ รียกวา่ ฝนกรด ก็จะทำให้เกิดผลกระทบในวง
กว้างได้ ไม่ว่าจะเปน็ สิง่ มีชีวิตในนำ้ ที่ อาจมีจำนวนลดลง สภาพดินที่มีความเปน็ กรดมากข้ึนทำให้มีผลต่อการ
เจรญิ เตบิ โตของพืช หรอื สงิ่ ปลกู สรา้ งต่าง ๆ ผุกร่อนเร็ว ข้ึน
ฝนกรดเกิดจากการละลายของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์หรือไนตริกออกไซด์ในน้ำฝนที่ตกลงมา โดย
ก๊าซซัลเฟอร์ได ออกไซด์จะมาจากการเผาไหม้ถ่านหิน ส่วนไนตริกออกไซด์มาจากการเผาไหม้ในเครื่องยนต์
ของยานพาหนะต่าง ๆ
สมการเคมีการเกดิ ฝนกรดจากกา๊ ซซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์
๒SO๒(g) + O๒(g) ๒SO๓(g)
ก๊าซซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ + ออกซิเจน กา๊ ซซลั เฟอรไ์ ตรออกไซด์
SO๓(g) + H๒O(g) H๒SO๔(aq)
ก๊าซซลั เฟอร์ไตรออกไซด์ + นำ้ กรดซัลฟิวริก
สมการเคมกี ารเกิดฝนกรดจากออกไซดข์ องไนโตรเจน
๒NO(g) + O๒(g) ๒NO๒(g)
ไนตรกิ ออกไซด์ + ออกซิเจน ไนโตรเจนไดออกไซด์
๓NO๒(g) + H๒O (g) ๒HNO๓(aq) + NO(g)
ไนโตรเจนไดออกไซด์ + นำ้ กรดไนตรกิ + ไนตรกิ ออกไซด์
๙๗
๘. กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) เปน็ กระบวนการสร้างอาหารของพืชสเี ขียว โดยมี
คลอโรฟลิ ล์ ทำหน้าที่ดดู พลังงานแสงจากดวงอาทิตยแ์ ล้วเปลีย่ นสารวัตถดุ ิบคอื น้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ใหเ้ ปน็ นำ้ ตาลกลโู คส น้ำ และ แกส๊ ออกซเิ จน
ประโยชนข์ องปฏิกิรยิ าเคมี
๑. ปฏกิ ิรยิ าการเผาไหม้ของเชื้อเพลงิ ใหพ้ ลังงานความรอ้ นเพือ่ ใชใ้ นการหงุ ต้มอาหาร หรือการทำงาน
ของ เคร่อื งยนต์ตา่ งๆ
๒. การสันดาปอาหารในร่างกายจากกระบวนการหายใจ ทำใหเ้ กิดปฏกิ ริ ิยาเคมี และใหพ้ ลงั งานจาก
กจิ กรรม ต่างๆ
๓. ปฏิกริ ยิ าเคมีทำให้เกิดหินงอกหนิ ยอ้ ยในถำ้ เกิดความงดงามในธรรมชาติ
๔. ใช้ปฏิกิริยาเคมีในการผลติ สารทต่ี อ้ งการนำมาใช้ประโยชน์
๕. การปรับปรุงสภาพความเป็นกรดของดิน
๖. ลดความเปน็ กรดในกระเพาะอาหาร
ผลของปฏกิ ริ ิยาเคมีตอ่ ส่ิงมีชีวิตและส่งิ แวดล้อม
การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมบี างปฏิกริ ิยาทำใหเ้ กดิ ผลิตภัณฑ์ทกี่ ่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดลอ้ ม ซ่งึ มี
ผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดล้อมดงั นี้
๑. เกดิ ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก เกดิ จากกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ คลอโรฟลูออโรคารบ์ อน และ
มเี ทนที่เกดิ ขน้ึ ในปริมาณมาก เนอ่ื งจากการกจิ กรรมอนั หลากหลายของมนษุ ย์ เม่อื ไดร้ บั พลังงานจากดวง
อาทติ ย์ รงั สอี ลั ตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทติ ย์ มีพลงั งานสูงทะลผุ ่านชัน้ ก๊าซเรือนกระจก เมื่อผิวโลกร้อน
ข้นึ จะคายพลงั งานความร้อนในรูปของรงั สอี ินฟาเรด ซ่งึ มพี ลงั งานต่ำ ไม่สามารถทะลผุ า่ นช้ันก๊าซเรือนกระจก
ออกไปได้ ทำให้อุณหภมู ิของโลกสงู ขน้ึ คาดวา่ อีกประมาณ ๑๐๐ ปีข้างหนา้ อณุ หภูมิของโลก จะสูงข้ึน ๑- ๕
องศาเซลเซียส สว่ นใหญ่กา๊ ซทท่ี ำใหเ้ กดิ ชน้ั เรือนกระจก ไดแ้ ก่ ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด(์ CO๒)
เกิดปรากฎการณ์ เรือนกระจกไดถ้ ึง ๕๗ เปอร์เซน็ ต์ ซงึ่ เกดิ จากการเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลิงเปน็ สว่ นใหญ่ ดังสมการ
สารเช้อื เพลิง + กา๊ ซออกซเิ จน + กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ + ไอน้ำ
ปริมาณก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ทีเ่ พ่มิ ข้นึ เกดิ จากกจิ กรรมตา่ ง ๆ ดังนี้
๑. โรงงานอุตสาหกรรม
๙๘
๒. การเผาไหม้เชอื้ เพลิงจากยานพาหนะ
๓. การตัดไมท้ ำลายป่า การเผาปา่
แนวทางในการปอ้ งกนั
๑. ควบคุมเครอ่ื งยนต์ในยาพาหนะให้มสี ภาพดี และเลือกใช้น้ำมันเชอ้ื เพลิงคุณภาพดี ลดปรมิ าณการ
ใช้เชือ้ เพลงิ ฟอสซลิ
๒. แก้ไขปญั หาจราจรหนาแน่น
๓. ปฏิบตั ิตามกฎหมายเกี่ยวกบั เร่ืองควบคมุ ปริมาณควันไอเสยี ของโรงงาน และยานพาหนะสู่
บรรยากาศ
๔. ไม่ตดั ไมท้ ำลายป่า เผาป่า และเผาฟางข้าวในนา
๕. กำจัดขยะให้ถกู วธิ ี หลีกเลีย่ งการเผาขยะ
๒. กา๊ ซโอโซนถกู ทำลาย การทกี่ ๊าซโอโซนถูกทำลายทำให้บรรยากาศของโลกมีอุณหภมู ิสงู ขึ้น
สาเหตุ เกิดจากกา๊ ซคลอโรฟลูออโรคารบ์ อน (CFC) ที่มนุษย์สังเคราะหข์ ึ้นใชใ้ นการผลิตทาง
อุตสาหกรรม เช่น เครอ่ื งทำ ความเยน็ ทั้งหลาย ใช้ในการผลิตโฟม สารขับดนั ในกระป๋องสเปรย์ เป็นต้น โดยไป
ทำลายโอโซน (O๓) ท่ีช่วยดูดกลืนรังสอี ัลตราไวโอเลต ซึง่ เปน็ รังสีที่มองไมเ่ ห็น
ผลกระทบ เกิดรูโหว่ของบรรยากาศชัน้ โอโซน ทำให้รงั สอี ัลตราไวโอเลตผ่านบรรยากาศของโลก
ไดม้ ากขึน้ ซง่ึ เปน็ อนั ตรายตอ่ มนุษย์ ถา้ มนษุ ยไ์ ดร้ บั รังสีอลั ตราไวโอเลตมากเกินไปจะทำใหเ้ กดิ โรคมะเรง็
ผวิ หนัง ตอ้ กระจก ทำลายสง่ิ มีชวี ิตขนาดเล็ก ผลผลติ ลดลง สารพนั ธกุ รรมและเนื้อเยอื่ ถูกทำลาย เปน็ ต้น
แนวทางในการป้องกนั
๑. ใช้ก๊าซมีเทนและกา๊ ซเพนเทนในการผลิตโฟมแทนกา๊ ซคลอโรฟลูออโรคารบ์ อน
๒. เปลยี่ นสารขับดันในกระปอ๋ งสเปรย์จากกา๊ ซคลอฟลูออโรคารบ์ อนเป็นนำ้ หรือสารอน่ื แทน
๓. กา๊ ซคารบ์ อนมอนนอกไซด์ (CO) เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณข์ องเช้ือเพลิง เชน่ การเผาไหม้ในที่
อับอากาศ เป็นต้น สว่ นใหญม่ าจากท่อไอเสยี รถยนต์
ผลกระทบ กา๊ ซคารบ์ อนมอนอกไซดเ์ ข้าไปขดั ขวางการทำงานของเมด็ เลือดแดง ซง่ึ ทำหนา้ ที่ลำเลียง
กา๊ ซออกซเิ จน (O๒) การรวมตัวของเม็ดเลือดแดง (Hb) กบั กา๊ ซคาร์บอนมอนอกไซดท์ ำให้ปริมาณก๊าซ
ออกซิเจนที่ถูกนำไปใชล้ ดลง ถ้ารา่ งกายได้รับ กา๊ ซคารบ์ อนมอนอกไซด์มากอาจเป็นอันตรายถงึ ชวี ติ
แนวทางในการป้องกนั
๑. ปรบั ปรงุ คุณภาพและประสิทธภิ าพของเครอ่ื งยนตใ์ นยานพาหนะใหเ้ กิดการเผาไหม้ทสี่ มบรู ณ์
๒. ปอ้ งกนั ปัญหาการเกิดจราจรหนาแนน่ และรถตดิ
๓. ปรับปรงุ ระบบขนสง่ มวลชนและรถไฟ ใหเ้ พียงพอในการใหบ้ รกิ ารประชาชน เพือ่ ลดการใช้รถยนต์
ส่วนบคุ คล
๔. ฝนกรด เกดิ จากนำ้ ฝนในธรรมชาตเิ ปน็ ตวั ทำละลายกา๊ ซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO๒) และกา๊ ซ
ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO๒) เกดิ เป็นสารละลายที่มีสมบตั ิเปน็ กรดสงิ่ ท่ีทำให้เกิดปฏกิ ิริยาระหว่างซลั เฟอรไ์ ด
๙๙
ออกไซด์และไนโตรเจนไดออกไซด์ เช่น เกิดจาก การระเบิดภเู ขา การเผาไหม้ท่ีไม่สมบรู ณ์ การเผาไหม้ถา่ นหนิ
เชือ้ เพลิงทีม่ กี ำมะถนั ฟ้าแลบฟ้าผ่า เปน็ ตน้
ผลกระทบ
๑. ฝนกรดจะเกดิ อันตรายต่อระบบทางเดินหายใจและเนื้อเย่อื ต่าง ๆ ของร่างกาย
๒. ทำให้ดนิ เปน็ กรดเพมิ่ ขึ้น มีผลต่อการเพาะปลูก เชน่ ผลผลิตของพืชน้อยกว่าปกติ ทำให้พชื
เจรญิ เตบิ โตช้า ถ้าเกดิ เปน็ ปรมิ าณมากหรือได้รับเป็นเวลานาน พืชอาจตายได้
๓. ฝนกรดทำให้ดินเปรีย้ วจุลินทรีย์หลายชนิดในดินที่มปี ระโยชน์ต่อการเจรญิ เติบโตของพืชถกู ทำลาย
ซง่ึ จะมี ผลกระทบในแงก่ ารยอ่ ยสลาย
๔. ฝนกรดสามารถทำปฏกิ ิริยากบั ธาตอุ าหารท่ีสำคัญของพืช เชน่ แคลเซียม,ไนเตรต และ
โพแทสเซยี มทำใหพ้ ชื ไมส่ ามารถนำธาตอุ าหารเหลา่ นไ้ี ปใช้ได้
๕. แกส๊ ซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ในบรรยากาศทำให้ปากใบปิดซึ่งจะมผี ลกระทบตอ่ การหายใจของพืช
๖. ความเป็นกรดท่เี พิม่ ขน้ึ ของน้ำยังมีผลกระทบด้านระบบนิเวศ ท่อี ย่อู าศัยรวมถงึ การดำรงชวี ิตอีก
ด้วย
๗. ฝนกรดสามารถละลาย calcium carbonate ในหินทำให้เกดิ การสกึ กรอ่ นเชน่ พิรามิดในประเทศ
อยี ปิ ต์และ ทัชมาฮาลในประเทศอินเดีย เป็นต้นนอกจากนี้ยงั มฤี ทธก์ิ ัดกรอ่ นทำลายพวกโลหะทำให้เกดิ สนิมเรว็
ขนึ้ อีกดว้ ย
๘. ฝนกรดทำลายวัสดุสิง่ กอ่ สร้างและอุปกรณ์บางชนดิ คือ จะกัดกร่อนทำลายพวกโลหะเช่น เหลก็
เปน็ สนิม เรว็ ข้นึ สังกะสีมุงหลังคา ท่ีใกลๆ้ โรงงานจะผุ กรอ่ นเรว็ สงั เกตไดง้ า่ ย นอกจากนี้ยังทำให้วสั ดุอื่นๆ ผุ
กร่อนเร็วข้นึ ดว้ ย
๙. ฝนกรดจะทำลายทรพั ยากรธรรมชาติ เช่น ปู หอย กงุ้ มีจำนวนลดลงหรือสญู พนั ธ์ไุ ปได้เพราะฝน
กรดทเี่ กดิ จาก แก๊สซัลเฟอรไ์ ดออกไซดแ์ ละเกิดจากแกส๊ ไนโตรเจนออกไซด์ จะทำใหน้ ้ำในแมน่ ำ้ ทะเลสาบ มี
ความเปน็ กรดเพมิ่ ข้ึน ถ้าเกิดอย่าง รุนแรงจะทำให้สตั ว์นำ้ ดังกล่าวตาย
๑๐. เกดิ รอ่ งหนิ ปนู และสนมิ โลหะ
แนวทางในการป้องกัน
๑. ควบคุมการปลอ่ ยควันจากโรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าให้มีการจำกดั กา๊ ซซัลเฟอรไ์ ดออไซด์
และกา๊ ซไนโตรเจน ไดออกไซด์ก่อนกำจดั ออกสบู่ รรยากาศ
๒. ควบคมุ เคร่อื งจกั รกลของโรงงานอตุ สาหกรรมใหม้ ีการเผาไหมท้ ่ีสมบรู ณ์ และเลอื กใชเ้ ช้ือเพลงิ ที่มี
คุณภาพ
๓. ใชพ้ ลังงานทดแทนจากธรรมชาติ เช่น พลังงานแสงอาทติ ย์ พลงั งานนำ้ ไหลแทนการเผาไหม้
เช้ือเพลงิ ประเภทฟอสซลิ เป็นตน้
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๕
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๓
รายวิชา วิทยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน ๖ รหสั วิชา ว๒๓๑๐๒
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ ๕ เร่อื ง ปฏกิ ิริยาเคมีและวสั ดุในชวี ิตประจำวัน ๑๐ ชั่วโมง
หน่วยการเรยี นรยู้ ่อย ๕.๔ เร่ือง วัสดุรอบตัว ๒ ช่วั โมง
ผูส้ อน นางสาวพลอยทพิ ย์ เวยี งสมุทร ตำแหน่ง นักศกึ ษาปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษา ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๖๔
สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ ของสสารกับ
โครงสรา้ ง และแรงยึดเหนยี่ วระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปล่ียนแปลง
สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
ระดับช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
พอลิเมอร์ เซรามกิ และวสั ดุผสม เปน็ วัสดุที่ใช้
ม.๓ ม.๓/๑ ระบสุ มบัติทางกายภาพและการใช้ มากในชวี ติ ประจำวัน
พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่
ประโยชนว์ ัสดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก ท่เี กดิ จากโมเลกลุ จำนวนมากรวมตวั กนั ทางเคมี
เช่น พลาสตกิ ยาง เสน้ ใย ซ่งึ เป็นพอลเิ มอรท์ ีม่ ี
และวสั ดผุ สมโดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ สมบตั แิ ตกต่างกนั โดยพลาสตกิ เปน็ พอลิเมอร์ท่ีข้ึน
รปู เปน็ รูปทรงตา่ ง ๆ ได้ ยางยืดหย่นุ ได้ ส่วนเส้นใย
และสารสนเทศ เปน็ พอลเิ มอร์ทส่ี ามารถดึงเปน็ เส้นยาวได้พอลเิ มอร์
จึงใชป้ ระโยชนไ์ ดแ้ ตกตา่ งกัน
ม.๓/๒ ตระหนักถึงคุณค่าของการใชว้ ัสดุ เซรามกิ เปน็ วสั ดทุ ่ีผลิตจาก ดิน หิน ทราย และ
แร่ธาตตุ า่ ง ๆ จากธรรมชาติ และสว่ นมากจะผา่ น
ประเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ และวสั ดผุ สม การเผาทีอ่ ุณหภมู สิ ูง เพอ่ื ให้ได้เน้ือสารทีแ่ ขง็ แรง
เซรามกิ สามารถทำเป็นรปู ทรงตา่ ง ๆ ได้ สมบตั ิ
โดยเสนอแนะแนวทางการใชว้ ัสดุอย่าง ทวั่ ไปของเซรามกิ จะแข็ง ทนต่อการสกึ กร่อนและ
เปราะ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ภาชนะที่
ประหยัดและคมุ้ คา่ เปน็ เครือ่ งปน้ั ดินเผา ชน้ิ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
วัสดุผสมเปน็ วัสดุทีเ่ กิดจากวัสดุตั้งแต่ ๒
ประเภททีม่ สี มบัติแตกตา่ งกันมารวมตวั กนั เพ่ือ
๑๐๑
นำไปใช้ประโยชน์ไดม้ ากข้นึ เชน่ เสือ้ กันฝนบาง
ชนิด เป็นวัสดุผสมระหวา่ งผา้ กับยาง คอนกรีต
เสริมเหล็ก เปน็ วัสดุผสมระหวา่ งคอนกรีตกับเหล็ก
วัสดุบางชนิดสลายตัวยาก เช่น พลาสติก การใช้
วัสดุอยา่ งฟุ่มเฟอื ยและไมร่ ะมัดระวงั อาจก่อปัญหา
ตอ่ สงิ่ แวดล้อม
๑. กําหนดเป้าหมายการเรยี นรู้
๑.๑ สาระการเรียนรู้/เนอ้ื หาการเรียนรู้
เร่ืองท่ี ๑ วัสดุรอบตวั
๑) พอลเิ มอร์
๒) วัสดุผสม
๑.๒ สาระสําคญั /ความคิดรวบยอดของเรอ่ื งทเี่ รียน
พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่ที่เกิดจากโมเลกุลจำนวนมากรวมตัวกันทางเคมี เช่น
พลาสติกเป็นพอลิเมอรท์ ส่ี ามารถขน้ึ รูปเปน็ รูปทรงต่าง ๆ ได้ ยางเป็นพอลิเมอร์ท่ีสามารถยดื หยนุ่ ได้ และเส้นใย
เปน็ พอลิเมอรท์ ี่สามารถดงึ เปน็ เส้นยาวได้ จงึ ถูกนำมาใชป้ ระโยชนไ์ ด้แตกต่างกนั
เซรามกิ เปน็ เปน็ วัสดทุ ่ผี ลิตจากดิน หนิ ทราย และแรธ่ าตุตา่ ง ๆ จากธรรมชาติ และสว่ นมากจะ
ผ่านการเผาที่อุณหภูมิสูงเพื่อให้ได้เนื้อสารทีแ่ ข็งแรง เซรามิกสามารถทำเป็นรูปทรงตา่ ง ๆ ได้ มีลักษณะแข็ง
ทนต่อการสึกกร่อน และเปราะ จึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ภาชนะที่เป็นเครื่องปั้นดินเผา ชิ้นส่วน
อิเลก็ ทรอนิกส์
วัสดุผสมเป็นวัสดุท่ีเกิดจากวัสดตุ ้งั แต่ ๒ ประเภท ท่มี ีสมบตั ิแตกต่างกัน เพอ่ื นำไปใช้ประโยชน์
ได้มากขึ้น เช่น เสื้อกันฝนบางชนิด เป็นวัสดุผสมระหว่างผ้ากับยาง คอนกรีตเสรมิ เหล็กเป็นวสั ดุผสมระหว่าง
คอนกรีตกับเหลก็
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก วัสดุผสม
ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่าน้ีย่อยสลายยาก จึงเกิดการสะสมและตกค้าง
อยู่ในสิ่งแวดล้อม ยากต่อการกำจัด หากนำไปเผาจะก่อให้เกิดควนั พิษ เมื่อสูดดมจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย
หากนำไปฝังดนิ กจ็ ะทำใหด้ ินเส่ือมสภาพ ส่งผลใหส้ ภาพแวดล้อมปนเปื้อนสารเคมี เพือ่ ลดปัญหาจึงควรเลอื กใช้
วัสดุให้เหมาะสมต่อการใช้งานและง่ายต่อการกำจัด หรือนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดปริมาณขยะซึ่งเป็นปัญหา
สิ่งแวดลอ้ ม
๑๐๒
๑.๓ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้: เมื่อผู้เรียนจบกิจกรรมการเรียนรู้ ผูเ้ รียนสามารถ
ด้านความรู้ (K: Knowledge) อธิบายสมบตั ิทางกายภาพของวัสดปุ ระเภทพอลิ
เมอรเ์ ซรามิก โลหะและวสั ดุผสม
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P: Process) ยกตวั อย่างและนำเสนอแนวทางการใชป้ ระโยชน์
จากวสั ดปุ ระเภทพอลิเมอร์เซรามิก โลหะ และวสั ดุ
ผสม
ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A: Attribute) มีความกระตือรือร้นในการทำงาน แสดงความ
คิดเห็นอยา่ งสรา้ งสรรค์ และมีสว่ นรว่ มในการทำงาน
เป็นกลุ่ม
ด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Sc.P: Science Process Skills)
การสังเกต การลงความเห็นจากขอ้ มูล
การวดั การกำหนดและควบคมุ ตัวแปร
การคำนวณ/การใช้ตัวเลข การกำหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ
การจำแนกประเภท การต้งั สมมตฐิ าน
การจดั กระทำและสอ่ื ความหมายข้อมลู การทดลอง
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงข้อสรุป
และสเปซกบั เวลา การสร้างแบบจำลอง
การพยากรณ์/การทำนาย
๒. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบ ๕E
๒.๑ ขัน้ การสรา้ งความสนใจ (Engagement)
๑. ครูสนทนาเก่ียวกบั วัสดุประเภทพอลเิ มอร์ในชีวิตประจำวนั โดยครอู าจถามนกั เรียนวา่ นกั เรยี น
รู้จกั วัสดุพอลิเมอร์หรือไม่ อยา่ งไร
(แนวตอบ : ขน้ึ อยกู่ ับดุลยพนิ จิ ของครู)
๒. ครูแจกอุปกรณ์ทำกจิ กรรม ไดแ้ ก่ คลิปหนีบกระดาษสขี าว ฟา้ ชมพู แดง แลว้ ให้นักเรียนลงมอื
ปฏิบัติกจิ กรรม โดยใหน้ กั เรยี นออกแบบนำคลิปหนบี กระดาษมาตอ่ กนั เปน็ สายยาวตามลวดลายและสที ่ีตนช่ืน
ชอบ
๓. หลงั จากนกั เรยี นทำกิจกรรม ครูและนักเรียนร่วมกนั อภิปรายผลงานที่ได้จากการทำกจิ กรรมวา่
“คลิปหนบี กระดาษทน่ี ำมาต่อกันเปน็ สายยาวนนั้ เป็นแบบจำลองของพอลเิ มอร์ โดยพอลเิ มอร์ท่ีประกอบไป
ด้วยคลิปหนีบสเี ดยี วกันจะเรียกว่า ฮอมอพอลิเมอร์ ซึ่งเกิดจากมอนอเมอร์ประเภทเดียวกันมาเรียงต่อกันเปน็
สายยาว ขณะทค่ี ลปิ สายยาวบางเสน้ ประกอบด้วยคลปิ หนบี กระดาษ
๑๐๓
๒ -๓ สีมาเรยี งต่อกัน จะเรยี กวา่ เฮเทอโรพอลเิ มอร์ ซ่งึ เกิดจากมอนอเมอรม์ ากกว่า ๑ ชนิดตอ่ กันซำ้ ๆ เปน็
สายยาวนน่ั เอง”
๔. ใหน้ กั เรียนสบื คน้ ขอ้ มลู เก่ยี วกบั ความหมาย ประเภทของพอลเิ มอร์ จากในหนงั สอื เรียนรายวชิ า
พืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.๓ เล่ม ๒ หรือแหลง่ การเรียนรู้อนื่ เช่น อินเทอรเ์ นต็ รวบรวมข้อมลู
และตอบคำถาม
๒.๒ ข้ันการสำรวจและคน้ หา (Exploration)
๑. นกั เรยี นจับกลุ่มกบั เพอื่ นในชน้ั เรยี นตามความสมคั รใจ กลุ่มละ ๕-๖ คน คละความสามารถ เกง่
กลางออ่ น
๒. ครเู ตรียมสลากหมายเลข ๑-๔ แต่ละกลุม่ จะไดร้ ับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาท่ีได้รับตามหมายเลข
ดังนี้
๑. หมายเลข ๑ ได้รับเน้ือหา พอลิเมอร์
๒. หมายเลข ๒ ได้รบั เนอ้ื หา เซรามิก
๓. หมายเลข ๓ ไดร้ ับเนอื้ หา วัสดุผสม
๔. หมายเลข ๔ ไดร้ บั เนื้อหา ผลกระทบจากการใชว้ ัสดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก วสั ดุผสม
๓. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มส่งตัวแทนจับสลาก และรับทราบหวั ขอ้ ทไ่ี ดศ้ กึ ษาเน้อื หา
๔. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกันศึกษาคน้ คว้าข้อมูลในเนอื้ หาท่ีกล่มุ ของตนได้รับ จากหนังสอื เรยี น
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒ หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ ๕ ปฏกิ ริ ยิ าเคมแี ละวัสดใุ นชีวิตประจำวัน หรอื
แหล่งการเรยี นรู้ต่าง ๆ เชน่ อนิ เทอร์เนต็
๕. ครูแจกกระดาษฟลปิ ชาร์ตใหน้ กั เรยี นกลุม่ ละ ๑ แผ่น พร้อมปากกาและดินสอสี ใหน้ ักเรยี นแต่ละ
กลมุ่ สรปุ เนอื้ หาท่ีได้ศกึ ษาข้อมูลมาและเขียนลงในกระดาษฟลิปชารต์ เตรียมนำเสนอหนา้ ช้ันเรยี น
๒.๓ ขั้นการอธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation)
๑. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน ในระหว่างที่นักเรียน
นำเสนอครคู อยให้ข้อเสนอแนะเพมิ่ เตมิ เพอื่ ให้นักเรียนมีความเขา้ ใจทถี่ ูกต้อง
๒. ครูถามคำถามทา้ ยกิจกรรม โดยใหน้ ักเรียนแต่ละกลมุ่ รว่ มกนั อภปิ รายแสดงความคิดเห็นเพอื่ หา
คำตอบ ดงั น้ี
- พอลิเมอร์คอื อะไร
(แนวตอบ : สารประกอบท่มี โี มเลกลุ ขนาดใหญ่ และมีมวลโมเลกุลมากประกอบดว้ ยหนว่ ยเลก็ ๆ ของ
สารท่ีอาจจะเหมือนกนั หรือต่างกนั มาเช่ือมต่อกันด้วยพันธะโควาเลนต์)
- หากพจิ ารณาการเกดิ ของพอลิเมอร์ สามารถแบ่งพอลิเมอร์ออกได้เปน็ กีช่ นดิ อะไรบ้าง
(แนวตอบ : ๒ ชนิด ไดแ้ ก่ พอลเิ มอร์ธรรมชาติและพอลเิ มอร์สงั เคราะห์)
- หากพิจารณามอนอเมอร์ภายในโครงสร้างพอลิเมอร์ สามารถแบ่งพอลิเมอร์ออกได้เป็นกี่ชนิด
อะไรบ้าง
๑๐๔
(แนวตอบ : ๒ ชนิด ได้แก่ ฮอมอพอลเิ มอร์และพอลเิ มอรร์ ว่ ม)
- หากพิจารณาโครงสร้างของพอลิเมอร์ สามารถแบง่ พอลิเมอร์ออกไดเ้ ปน็ กี่ประเภท อะไรบา้ ง
(แนวตอบ : ๓ ชนิด ได้แก่ พอลเิ มอร์แบบเสน้ พอลเิ มอรแ์ บบกง่ิ และพอลิเมอรแ์ บบร่างแห
- ผลิตภัณฑ์รอบตวั ใดบา้ งทเ่ี ปน็ เซรามกิ และวตั ถดุ บิ ทใ่ี ช้ผลิตคอื อะไร
(แนวตอบ : จานกระเบอื้ ง แกว้ แจกัน หม้อดนิ เผา โดยวัสดเุ หล่านี้ใช้วัตถุดบิ จากธรรมชาติ เช่น ดิน
หิน ทราย และแรธ่ าตุ ๆ)
- เซรามกิ คอื อะไร
(แนวตอบ : ผลิตภัณฑท์ ที่ ำจากวตั ถดุ บิ ในธรรมชาติ เชน่ ดนิ หิน ทราย และแร่ธาตุตา่ ง ๆ นำมาผสม
กนั แล้วข้ึนเป็นรปู ทรงต่าง ๆ แล้วนำไปเผาเพือ่ ใหค้ งรปู )
- วัสดุผสมเกดิ จากการผสมของวัสดชุ นิดใดบา้ ง
(แนวตอบ : เกิดจากวัสดุพอลิเมอร์ผสมกับเซรามิก วัสดุพอลิเมอร์กับวัสดุชนิดอื่น วัสดุเซรามิกกับ
วัสดชุ นิดอ่ืน)
- จงยกตัวอย่างผลกระทบจากการใชว้ สั ดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก วสั ดุผสม
(แนวตอบ : ๑. เกิดแก๊สที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ๒. ฝุ่นควันทำให้อากาศเป็นพิษ ๓. สารเคมี
ปนเป้ือนเมื่อเกดิ การย่อยสลายในน้ำ)
๓. นกั เรียนและครูรว่ มกันอภปิ รายผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม เพ่ือใหไ้ ดข้ ้อสรปุ ร่วมกัน
๔. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั อธิบายและลงข้อสรปุ เกีย่ วกบั ระบบนิเวศ โดยครูใชแ้ ผนภาพ วดิ ิทศั น์ หรือ
Power Point ประกอบการอธิบายและลงขอ้ สรุป
ตัวอย่างสรุป พอลเิ มอร์ เซรามิก วัสดุผสม ผลกระทบจากการใชว้ สั ดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก วสั ดผุ สม
พอลิเมอร์เปน็ สารประกอบโมเลกุลใหญ่ทเี่ กิดจากโมเลกุลจำนวนมากรวมตวั กนั ทางเคมี เชน่ พลาสติก
เปน็ พอลิเมอรท์ ีส่ ามารถขึ้นรปู เป็นรปู ทรงต่าง ๆ ได้ ยางเป็นพอลิเมอร์ทส่ี ามารถยดื หยุ่นได้ และเส้นใยเปน็ พอลิ
เมอร์ที่สามารถดงึ เป็นเสน้ ยาวได้ จงึ ถกู นำมาใช้ประโยชนไ์ ด้แตกต่างกนั
เซรามิกเปน็ เปน็ วสั ดุที่ผลิตจากดนิ หิน ทราย และแร่ธาตุตา่ ง ๆ จากธรรมชาติ และส่วนมากจะผ่านการเผาที่
อณุ หภูมิสงู เพ่อื ใหไ้ ด้เนื้อสารท่ีแขง็ แรง เซรามิกสามารถทำเปน็ รูปทรงต่าง ๆ ได้ มีลักษณะแขง็ ทนต่อการสึก
กรอ่ น และเปราะ จึงสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้ เช่น ภาชนะทเี่ ปน็ เครอ่ื งปนั้ ดินเผา ช้ินสว่ นอิเล็กทรอนิกส์
วสั ดผุ สมเป็นวัสดุที่เกดิ จากวัสดุตงั้ แต่ ๒ ประเภท ท่มี ีสมบัตแิ ตกต่างกัน เพอื่ นำไปใช้ประโยชน์ได้มากข้ึน เช่น
เส้ือกันฝนบางชนดิ เป็นวัสดุผสมระหว่างผ้ากบั ยาง คอนกรีตเสริมเหลก็ เปน็ วัสดุผสมระหว่างคอนกรีตกับเหล็ก
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก วัสดุผสม
ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่าน้ีย่อยสลายยาก จึงเกิดการสะสมและตกค้าง
อยู่ในสิ่งแวดล้อม ยากต่อการกำจัด หากนำไปเผาจะก่อให้เกิดควันพิษ เมื่อสูดดมจะเป็นอันตรายต่อรา่ งกาย
หากนำไปฝงั ดนิ ก็จะทำใหด้ นิ เสอื่ มสภาพ สง่ ผลให้สภาพแวดล้อมปนเปื้อนสารเคมี เพือ่ ลดปัญหาจึงควรเลอื กใช้
๑๐๕
วัสดุให้เหมาะสมต่อการใช้งานและง่ายต่อการกำจัด หรือนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดปริมาณขยะซึ่งเป็นปัญหา
ส่งิ แวดลอ้ ม
๒.๔ ขนั้ การขยายความรู้ (Elaboration)
๑. ครูอธบิ ายเพ่มิ เติมใหน้ ักเรยี นเข้าใจเกีย่ วกบั พอลเิ มอร์ เซรามิก วสั ดุผสม ผลกระทบจากการใช้วสั ดุ
ประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก วัสดุผสม วา่ “ปัจจบุ ันผลติ ภัณฑ์บางผลติ ภัณฑ์ทไ่ี ด้จากพอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุ
ผสมก่อให้เกดิ มลพษิ ตอ่ สิ่งแวดล้อมเน่อื งจากย่อยสลายค่อนขา้ งยากและยากตอ่ การกำจัด หากนำไปฝังกลบดิน
สารเคมีในวัสดอุ าจทำใหด้ นิ เส่ือมสภาพ แตพ่ ลาสตกิ บางประเภทสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ดงั นัน้ หากเรา
รว่ มมอื กันคัดแยกขยะกอ็ าจเป็นแนวทางหน่ึงท่ชี ว่ ยลดผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ของวัสดุประเภทพอลิ
เมอร์ เซรามกิ และวัสดุผสม โดยถังขยะแบ่งออกไดเ้ ป็นประเภทตา่ ง ๆ ดงั น้ี
- ถงั ขยะสเี ขียว : สำหรับขยะทีย่ ่อยสลายไดก้ ลายเป็นปุ๋ย เชน่ เปลอื กผลไม้ ใบไม้
- ถงั ขยะสีเหลอื ง : สำหรับขยะทรี่ ีไซเคิล หรอื ขยะทีน่ ำไปแปรรูปได้
- ถังขยะสีฟ้า : สำหรบั ขยะทีย่ ่อยสลายยาก เชน่ โฟมเปื้อนอาหาร ซองบะหมีกง่ึ สำเร็จรปู
ถังขยะสีแดง : สำหรบั ขยะอนั ตราย หรือขยะมีพษิ เชน่ ถา่ นไฟฉาย หลอดไฟ”
๑๐๖
๒. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า “นอกเหนือจากนี้อาจรว่ มกันลดการใช้ผลติ ภณั ฑ์พอลิเมอรส์ งั เคราะห์แล้วหัน
ไปใชผ้ ลติ ภณั ฑ์พอลเิ มอรจ์ ากธรรมชาติแทน หรือใช้ผลติ ภณั ฑพ์ อลิเมอรอ์ ย่างประหยัด หากสามารถนำกลับมา
ใช้ได้ และยังคงคุณภาพดอี ยู่ก็ควรใช้ผลติ ภัณฑซ์ ้ำ และถ้าผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์สังเคราะห์ท่ีเคยผ่านการใชง้ าน
แล้ว สามารถแปรรูปเป็นผลติ ภณั ฑใ์ หม่ได้ กค็ วรนำกลบั มาใช้งานอกี ครั้งหนงึ่ ”
๒.๕ ขั้นการประเมนิ (Evaluation)
๑. ครปู ระเมนิ โดยใช้คำถาม ดงั น้ี
- ในชวี ติ ประจำวนั สามารถพบพอลิเมอรไ์ ด้ในผลิตภณั ฑ์อะไรบ้าง
(แนวตอบ : ขวดพลาสตกิ กล่องโฟม กระทะ ยางรถยนต์ ผา้ ไนลอน)
- พอลเิ มอรแ์ ตล่ ะชนิดมีสมบัตแิ ตกตา่ งกนั หรือไม่ อย่างไร
(แนวตอบ : แตกต่างกัน เช่น พอลิเมอร์ที่มีเนื้ออ่อนจะถูกขีดข่วนได้ง่าย พอลิเมอร์บางชนิดมีความ
หนาแน่นมากจะมคี วามแข็งแรงและทนทานตอ่ การขีดขว่ นมากกว่าพอลเิ มอรท์ มี่ คี วามหนาแนน่ นอ้ ย)
- พอลิเมอร์ใดมีความหนาแน่นมากท่ีสดุ เพราะเหตใุ ด
(แนวตอบ : พอลิเมอร์ที่จมน้ำ เพราะถ้าพอลิเมอร์ที่ความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำจะลอยน้ำ ส่วน
พอลเิ มอรท์ ีม่ คี วามหนาแนน่ มากกวา่ นำ้ จะจมนำ้ )
- ผลติ ภัณฑ์รอบตัวใดบ้างท่ีเป็นเซรามกิ และวัตถุดิบทีใ่ ชผ้ ลติ คอื อะไร
(แนวตอบ : จานกระเบือ้ ง แกว้ แจกัน หม้อดินเผา โดยวสั ดุเหล่านใ้ี ชว้ ตั ถุดิบจากธรรมชาติ เชน่
ดิน หนิ ทราย และแร่ธาตุ ๆ)
- วสั ดุผสมเกิดจากการผสมของวัสดชุ นิดใดบา้ ง
(แนวตอบ : เกิดจากวัสดุพอลิเมอร์ผสมกับเซรามกิ วัสดุพอลิเมอร์กับวสั ดุชนิดอื่น วัสดุเซรามิกกบั
วสั ดชุ นิดอื่น)
- ครูนำภาพไมแ้ ละภาพเสน้ ใยแก้วหรือไฟเบอร์กลาส มาใหน้ กั เรยี นรว่ มกันตอบคำถามวา่ เป็นวัสดุ
ผสมประเภทเดียวกันหรือไม่ อยา่ งไร
(แนวตอบ : ไม้เป็นวัสดุผสมจากธรรมชาติ และไฟเบอร์กลาสหรือเส้นใยแก้วเป็นวัสดุผสมจาก
การสงั เคราะห์)
๒. นกั เรยี นทำกจิ กรรมและตอบคำถามในช้ันเรียน
๓. นกั เรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรยี น เร่อื ง พอลเิ มอร์ เซรามิก วสั ดผุ สม ผลกระทบจากการใช้วสั ดุ
ประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก วัสดุผสสม
๓. สอื่ /อปุ กรณ/์ แหลง่ เรียนรู้
๓.๑ คู่มือครรู ายวิชาพนื้ ฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)
๑๐๗
๓.๒ หนังสอื เรยี นรายวชิ าพ้ืนฐาน วิชาวิทยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓ เล่ม ๒ (สสวท.)
๓.๓ Power Point เร่ือง พอลเิ มอร์ เซรามกิ วัสดุผสม ผลกระทบจากการใชว้ ัสดุประเภทพอลิเมอร์
เซรามกิ วัสดผุ สสม
๔. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วธิ ีการวัดผลการเรยี นรู้ เกณฑ์การประเมินผล
ผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกวา่
ดา้ นความรู้ (K: Knowledge) - การตอบคำถาม ร้อยละ ๘๐
อธบิ ายสมบัติทางกายภาพของวัสดปุ ระเภทพอลเิ มอร์เซรามกิ ผา่ นเกณฑ์ไมน่ ้อยกว่า
รอ้ ยละ ๘๐
โลหะและวัสดุผสม
ผ่านเกณฑ์ไม่นอ้ ยกว่า
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P: Process) - การตอบคำถาม รอ้ ยละ ๘๐
ยกตัวอย่างและนำเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์จากวัสดุ - การทำกิจกรรม ผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกว่า
ร้อยละ ๘๐
ประเภทพอลเิ มอรเ์ ซรามิก โลหะ และวสั ดผุ สม
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A: Attribute) - สังเกตพฤตกิ รรมในการ
มคี วามกระตือรอื ร้นในการทำงาน แสดงความคิดเหน็ อย่าง ทำงาน
สรา้ งสรรค์ และมีสว่ นรว่ มในการทำงานเปน็ กลุ่ม
ดา้ นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - การตอบคำถาม
(Sc.P: Science Process Skills)
การสงั เกต
การจำแนกประเภท
การจดั กระทำและส่อื ความหมายขอ้ มูล
การลงความเห็นจากขอ้ มลู
การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรปุ
๑๐๘
แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคลชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓
คำชีแ้ จง ให้ครูประเมนิ พฤติกรรมของนกั เรยี นรายบุคคลในชั้นเรยี นตามแบบประเมนิ รายการในตาราง แลว้ ขดี
ลงในชอ่ งท่ตี รงกับคะแนน
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ ๒ คะแนน
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให้ ๑ คะแนน
ลำดับ ช่ือ-สกุล ความมวี นิ ยั ความมี การรับฟงั การแสดง การตรงตอ่ รวม
ท่ี นำ้ ใจ ความ ความ เวลา ๑๕
เอื้อเฟื้อ คิดเหน็ คดิ เห็น คะแนน
เสยี สละ
๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕ ๑๐๙
๒๖
๒๗ ลงช่อื …………………………………………………ผ้ปู ระเมิน
๒๘ ( นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมทุ ร )
๒๙
๓๐ วนั ท…ี่ ……เดอื น………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๓๖
๓๗
๓๘
๓๙
๔๐
เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
๑๒ - ๑๕ ดี
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ตำ่ กวา่ ๘ ปรบั ปรงุ
๑๑๐
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุม่
ช่อื กล่มุ …………………………………………………………………………………………………………………..ชั้น…………
คำชแ้ี จง : ให้ผ้สู อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในชอ่ ง
ที่ตรงกับระดบั คะแนน
ลำดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน
๓๒๑
๑ การแบง่ หน้าท่กี ันอยา่ งเหมาะสม
๒ ความร่วมมอื กันทำงาน รวม
๓ การแสดงความคิดเห็น
๔ การรบั ฟงั ความคิดเห็น
๕ ความมีน้ำใจช่วยเหลือกนั
เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ ลงชื่อ…………………………………………………ผปู้ ระเมิน
( นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมุทร )
๑๒ - ๑๕ ดี
วนั ท…ี่ ……เดือน………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ต่ำกวา่ ๘ ปรับปรุง
๑๑๑
บนั ทึกผลหลังการจดั การเรียนรู้
ผลการจัดกจิ กรรม
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ปัญหา/อุปสรรค
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ………………………………………….นกั ศึกษาปฏิบัตกิ ารสอนในสถานศึกษา
(นางสาวพลอยทพิ ย์ เวยี งสมุทร)
วนั ท่.ี ...........เดือน...............................พ.ศ.๒๕๖๕
ความคิดเหน็ ของครูพเี่ ลีย้ ง
เปน็ แผนการจัดการเรียนรู้ที่
นำไปใช้สอนได้
ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอนื่ ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชอื่ ……………………………………..
(นางอรญั ญา บริจาค)
๑๑๒
ความคิดเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
เปน็ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรุงก่อนนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอนื่ ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชือ่ ……………………………………..
(นายธนภณ อุ่นวิเศษ)
ความคิดเหน็ ของหวั หนา้ กลุ่มงานบรหิ ารงานวชิ าการ
๑. เปน็ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี
องคป์ ระกอบครบถว้ น องคป์ ระกอบไม่ครบ คือ.........................................................
๒. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้/กระบวนการเรยี นรเู้ หมาะสม
เน้นผ้เู รยี นเปน็ สำคญั กิจกรรมเหมาะสมกบั เนือ้ หา/สื่อ/เวลา
ไม่เนน้ ผูเ้ รียนเป็นสำคญั ควรปรบั ปรุงพัฒนาตอ่ ไป
๓. การวัด/ประเมนิ ผล
หลากหลาย เหมาะสม ประเมนิ ตามสภาพจริง
การประเมินผลควรหลากหลาย และประเมินตามสภาพจริง
ข้อเสนอแนะอื่นๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่ือ……………………………………..
(นายวทิ ยา อินกง)
ความคดิ เหน็ ของผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นหรอื ผทู้ ่ีไดร้ บั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชื่อ……………………………………..
(นางสาวสุภาวดี ผาตะเนตร)
ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการโรงเรยี นกลมุ่ งานบริหารงานวิชาการ
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๖
กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๓
รายวชิ า วิทยาศาสตรพ์ น้ื ฐาน ๖ รหัสวชิ า ว๒๓๑๐๒
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ๖ เรือ่ ง ไฟฟา้ ๑๔ ชว่ั โมง
หน่วยการเรยี นรยู้ ่อย ๖.๑ เรอื่ ง ปริมาณทางไฟฟ้า ๑ ๒ ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวพลอยทพิ ย์ เวยี งสมุทร ตำแหนง่ นกั ศกึ ษาปฏบิ ัตกิ ารสอนในสถานศึกษา ภาคเรยี นท่ี ๒/๒๕๖๔
สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งาน ปฏิสัมพนั ธ์
ระหว่างสสารและพลงั งาน พลังงานในชีวิตประจำวนั ธรรมชาติของคลืน่ ปรากฏการณ์
ทเ่ี กย่ี วข้องกบั เสียง แสง และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้ารวมท้งั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
ระดบั ชั้น ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ม.๓ ม.๓/๑ วเิ คราะห์ความสัมพันธร์ ะหวา่ งความ เม่ือตอ่ วงจรไฟฟา้ ครบวงจรจะมีกระแส
ต่างศักย์ กระแสไฟฟา้ และความตา้ นทาน ไฟฟ้าออกจากขัว้ บวกผ่านวงจรไฟฟา้ ไปยังขว้ั ลบ
และคำนวณปริมาณที่เกย่ี วขอ้ งโดยใช้ ของแหลง่ กำเนิดไฟฟ้า ซง่ึ วัดคา่ ไดจ้ ากแอมมเิ ตอร์
สมการ V = IR จากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ คา่ ที่บอกความแตกต่างของพลังงานไฟฟ้าตอ่
ม.๓/๓ ใช้โวลต์มเิ ตอร์ แอมมเิ ตอรใ์ นการวัด หน่วยประจุระหวา่ งจุด ๒ จุด เรยี กวา่ ความตา่ ง
ปรมิ าณทางไฟฟา้ ศักย์ ซ่งึ วดั ค่าไดจ้ ากโวลตม์ ิเตอร์
ขนาดของกระแสไฟฟา้ มีค่าแปรผันตรงกับความ
ตา่ งศกั ยร์ ะหวา่ งปลายท้ังสองของตวั นำโดย
อตั ราสว่ นระหวา่ งความตา่ งศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟ้ามี
ค่าคงที่ เรยี กคา่ คงทนี่ ี้วา่ ความต้านทาน
๑. กําหนดเปา้ หมายการเรยี นรู้
๑.๑ สาระการเรยี นร้/ู เนอื้ หาการเรยี นรู้
เรื่องท่ี ๑ ปริมาณทางไฟฟา้ ๑
๑) ปริมาณทางไฟฟา้
๒) การใช้เครื่องมอื วดั ปริมาณทางไฟฟา้
๑.๒ สาระสําคัญ/ความคิดรวบยอดของเรื่องที่เรยี น
๑๑๔
กระแสไฟฟา้ เปน็ ปริมาณประจุไฟฟ้าท่ีเคลื่อนที่หรือถา่ ยเทจากจุดหนึง่ ไปยงั อีกจุดหน่ึง เป็น
ความแตกต่างของพลังงานไฟฟา้ ต่อหน่วยประจรุ ะหวา่ งจุด ๒ จุด ซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า โดยกระแสไฟฟ้า
จะไหลจากจุดที่มีระดับพลังงานไฟฟ้าสูงกว่าไปยังจุดที่มีระดับพลังงานไฟฟ้าต่ำกว่า และจะหยุดไหลเม่ือ
ศักย์ไฟฟ้าของทั้งสองจุดเท่ากัน สามารถวัดค่ากระแสไฟฟ้าได้โดยใช้แอมมิเตอร์ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่าง
กระแสไฟฟา้ และความต่างศักย์ เป็นไปตามกฎของโอหม์ มีใจความสำคัญวา่ เมอื่ อณุ หภูมคิ งที่ กระแสไฟฟ้าใน
ตัวนำโลหะจะแปรผันตรงกบั ความตา่ งศกั ย์ระหวา่ งปลายท้งั ๒ ข้าง ของตัวนำนน้ั
๑.๓ จุดประสงค์การเรยี นรู้: เมอ่ื ผู้เรยี นจบกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถ
ด้านความรู้ (K: Knowledge) อธิบายความหมายของกระแสไฟฟ้า
ความต่างศกั ยไ์ ฟฟา้ และความต้านทานไฟฟา้
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P: Process) วัดคา่ กระแสไฟฟา้ โดยใช้แอมมิเตอร์ และวดั ค่า
ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ โดยใชโ้ วลตม์ ิเตอรพ์ รอ้ มระบุ
หนว่ ย
คำนวณปรมิ าณทางไฟฟา้ โดยใชส้ มการ V = IR
ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A: Attribute) ให้ความสนใจในบทเรียน ตอบคำถาม และให้
ความร่วมมอื ในการทำงานเปน็ กลุม่
ดา้ นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Sc.P: Science Process Skills)
การสังเกต การลงความเหน็ จากขอ้ มูล
การวดั การกำหนดและควบคุมตวั แปร
การคำนวณ/การใชต้ วั เลข การกำหนดนิยามเชิงปฏบิ ัตกิ าร
การจำแนกประเภท การตั้งสมมติฐาน
การจัดกระทำและสือ่ ความหมายขอ้ มลู การทดลอง
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ การตีความหมายขอ้ มลู และลงข้อสรปุ
และสเปซกบั เวลา การสรา้ งแบบจำลอง
การพยากรณ/์ การทำนาย
๒. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบ ๕E
๒.๑ ข้นั การสร้างความสนใจ (Engagement)
๑. ครแู จ้งจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ให้นักเรยี นทราบ จากน้ันครใู หน้ ักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี น
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี ๖ ไฟฟา้ เพื่อวดั ความรเู้ ดมิ ของนกั เรียนเป็นรายบุคคลกอ่ นเข้าสู่กิจกรรม
๒.๒ ขน้ั การสำรวจและคน้ หา (Exploration)
๑. นกั เรยี นจับกลุม่ กับเพื่อนในชั้นเรียนตามความสมัครใจ กลุม่ ละ ๕-๖ คน คละความสามารถ เกง่
กลางอ่อน
๑๑๕
๒. นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมที่ ๖.๑ ใช้แอมมิเตอรว์ ัดแรกะแสไฟฟา้ อย่างไร และกจิ กรรมท่ี
๖.๒ ใชโ้ วลต์มิเตอรว์ ัดความต่างศักย์ไฟฟา้ ไดอ้ ย่างไร โดยใชอ้ ุปกรณ์และวิธกี ารดำเนินการตามจากหนงั สือ
เรียนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒ หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๖ ไฟฟ้า
๓. นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ รว่ มกนั ศกึ ษาคน้ คว้าข้อมูลในเนื้อหาท่ีกลมุ่ ของตนได้รบั จากหนงั สือเรียน
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.๓ เล่ม ๒ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๖ ไฟฟา้ หรอื แหลง่ การเรียนรู้ต่าง ๆ เชน่
อินเทอร์เนต็
๔. ครูแจกกระดาษฟลปิ ชารต์ ใหน้ กั เรยี นกลุ่มละ ๑ แผ่น พรอ้ มปากกาและดินสอสี ให้นักเรยี นแตล่ ะ
กลุม่ สรปุ เน้ือหาท่ีได้ศึกษาขอ้ มูลมาและเขยี นผลการทำกจิ กรรมลงในกระดาษฟลิปชาร์ต เตรยี มนำเสนอหนา้
ชั้นเรยี น
๒.๓ ข้ันการอธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation)
๑. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนา้ ชน้ั เรียน ในระหว่างที่นกั เรียนนำเสนอครู
คอยให้ข้อเสนอแนะเพม่ิ เตมิ เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจทถี่ กู ต้อง
๒. นกั เรียนและครรู ว่ มกนั อภิปรายผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรม เพือ่ ให้ไดข้ ้อสรุปร่วมกัน
๓. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอธิบายและลงข้อสรปุ เก่ียวกบั ปรมิ าณทางไฟฟ้า โดยครใู ช้แผนภาพ วิดทิ ัศน์
หรอื Power Point ประกอบการอธิบายและลงข้อสรุป
ตวั อย่างสรุป ปริมาณทางไฟฟา้
ความต่างศักย์ไฟฟ้า คือ ค่าความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด ๒ จุดในสนามไฟฟ้า หรือในวงจรไฟฟ้า
เชน่ เดียวกบั ความแตกต่างของระดบั นำ้ ระหวา่ งจุด ๒ จดุ
การทวี่ งจรไฟฟา้ มีกระแสไฟฟ้าไหลในวงจรไดน้ น้ั จะต้องมีความต่างศักย์ไฟฟา้ ระหว่างจุด ๒ จุดในวงจรไฟฟ้า
ความต่างศักย์ไฟฟ้าจึงมีความสัมพันธ์กับแรงดันไฟฟ้า โดยความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างขั้วเซลล์เป็น
แรงดันไฟฟ้าที่สามารถดันให้กระแส ไฟฟ้าไหลจากข้ัวบวกผา่ นความต้านทานภายนอกไปสู่ขั้วลบของเซลล์ใน
วงจรไฟฟ้าได้ หน่วยที่ใช้วัดปริมาณความต่างศักย์ไฟฟ้า คือ โวลต์ เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ V (ภาพโวลต์
มเิ ตอร)์ กระแสไฟฟ้า
กระแสไฟฟ้า เกิดจากการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า อาจเป็นประจุลบหรือประจุบวกเป็นกระแส
ต่อเนื่องกันไป เมื่อต่อวงจรไฟฟ้าระหว่างขั้วไฟฟ้ากับแหล่งกำเนิดไฟฟ้าจะมีกระแสไฟฟ้าไหลใน วงจรไฟฟา้
จากขว้ั ไฟฟ้าบวกไปยังข้ัวไฟฟา้ ลบ การเพม่ิ ความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า ทำให้กระแสไฟฟา้ ไหลในวงจรไดม้ ากขน้ึ
ความต้านทานไฟฟ้า เป็นสมบัติของตัวนำไฟฟ้าที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านไปได้มากหรือน้อยต่างกัน ถ้า
กระแสไฟฟ้าผา่ นไปได้มากแสดงว่าตวั นำไฟฟ้ามีความต้านทานไฟฟา้ น้อย ถ้ากระแสไฟฟ้าผา่ นได้น้อยแสดงว่า
ตวั นำไฟฟ้ามคี วามต้านทานไฟฟ้ามาก เปรยี บเทียบไดก้ บั ทอ่ น้ำขนาดเล็กกับขนาดใหญ่ ท่อขนาดใหญ่จะให้น้ำ
ไหลผ่านได้มากกวา่ ท่อขนาดเล็ก น่นั คือทอ่ ขนาดใหญ่มคี วามต้านทานน้อยกวา่ ทอ่ ขนาดเลก็
๑๑๖
๒.๔ ขั้นการขยายความรู้ (Elaboration)
๑. นักเรียนแต่ละคนศกึ ษาคน้ คว้าขอ้ มูลเกีย่ วกับเรอื่ ง กฎของโอหม์ ความต้านทาน และตัวอย่างการ
คำนวณหาความสัมพันธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟา้ ความตา่ งศักย์ และความต้านทาน จากตัวอยา่ งในหนงั สือเรียน
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ๖ ไฟฟา้ ครอู าจแนะนำให้นกั เรียนทำตาม
ขัน้ ตอนการแกโ้ จทยป์ ัญหา ดังนี้
• ขั้นที่ ๑ ทำความเขา้ ใจโจทยป์ ัญหา
• ข้ันที่ ๒ วางแผนการแกโ้ จทย์ปัญหา เช่น สิ่งทโี่ จทย์ต้องการถามหา และจะหาสงิ่ ทโ่ี จทย์
ต้องการ ตอ้ งทำอยา่ งไร
• ข้ันท่ี ๓ ดำเนินการแก้โจทย์ปญั หา
• ขน้ั ที่ ๔ ตรวจสอบคำตอบ
๒. ครสู ุ่มนกั เรยี น ๔ คน ออกมาหน้าช้นั เรยี น จากน้ันครูใหน้ ักเรียนออกมาจับสลาก โดยครูเตรยี ม
สลากหมายเลข แลว้ ให้นกั เรียนแสดงวิธกี ารคำนวณหาผลลัพธ์จากตัวอยา่ งทศ่ี ึกษาบนกระดาน
หนา้ ช้ันเรยี น ครอู าจเสนอแนะ หรอื อธิบายเพมิ่ เติมในตวั อย่างนั้น ๆ เพ่อื ใหน้ ักเรยี นมีความเขา้ ใจ
ที่ถูกตอ้ ง
๒.๕ ขนั้ การประเมนิ (Evaluation)
๑. ครตู งั้ ประเดน็ คำถามกระตนุ้ ความคดิ นกั เรียน โดยให้นักเรียนรว่ มกันอภปิ รายแสดงความคิดเห็น
เพ่อื หาคำตอบ ดังนี้
• ปจั จัยใดบ้างที่มผี ลตอ่ ความต้านทานของตัวนำ
(แนวตอบ: ชนิด ความยาว พนื้ ทห่ี น้าตัด และอณุ หภมู ขิ องตัวนำ)
• กฎของโอห์มมีใจความสำคัญอย่างไร
(แนวตอบ: เมือ่ อณุ หภูมิคงที่ กระแสไฟฟ้าในตัวนำโลหะจะแปรผนั ตรงกับความตา่ งศักยร์ ะหว่างปลาย
ทัง้ ๒ ข้าง ของตวั นำนั้น)
๒. นักเรยี นทำกิจกรรมและตอบคำถามในช้นั เรียน
๓. นักเรียนทำใบงาน เรอ่ื ง กฎของโอหม์
๓. สอ่ื /อปุ กรณ์/แหล่งเรยี นรู้
๓.๑ คู่มอื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)
๓.๒ หนังสอื เรียนรายวิชาพน้ื ฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓ เล่ม ๒ (สสวท.)
๓.๓ Power Point เรอื่ ง ปรมิ าณทางไฟฟา้
๔. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ๑๑๗
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วธิ กี ารวดั ผลการเรียนรู้ เกณฑก์ ารประเมนิ ผล
ด้านความรู้ (K: Knowledge) - การตอบคำถาม ผ่านเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกว่า
อธบิ ายความหมายของกระแสไฟฟา้ ความตา่ งศักย์ไฟฟ้าและ ร้อยละ ๘๐
ความต้านทานไฟฟ้า - การตอบคำถาม
- การทำกิจกรรม ผ่านเกณฑไ์ มน่ ้อยกวา่
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P: Process) รอ้ ยละ ๘๐
วัดคา่ กระแสไฟฟ้าโดยใช้แอมมิเตอร์ และวัดค่าความต่าง - สงั เกตพฤติกรรมในการ
ทำงาน ผ่านเกณฑ์ไมน่ อ้ ยกว่า
ศักยไ์ ฟฟา้ โดยใช้โวลตม์ ิเตอรพ์ รอ้ มระบุหน่วย - การตอบคำถาม ร้อยละ ๘๐
คำนวณปรมิ าณทางไฟฟ้าโดยใช้สมการ V = IR
ดา้ นคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A: Attribute) ผ่านเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกวา่
ให้ความสนใจในบทเรียน ตอบคำถาม และให้ความร่วมมือใน รอ้ ยละ ๘๐
การทำงานเป็นกลมุ่
ด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
(Sc.P: Science Process Skills)
การสังเกต
การวดั
การคำนวณ/การใช้ตัวเลข
การจำแนกประเภท
การจดั กระทำและส่อื ความหมายขอ้ มลู
การลงความเห็นจากขอ้ มลู
การกำหนดและควบคุมตวั แปร
การทดลอง
การตคี วามหมายข้อมูลและลงขอ้ สรุป
๑๑๘
แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคลชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓
คำชีแ้ จง ให้ครูประเมนิ พฤติกรรมของนกั เรยี นรายบุคคลในชั้นเรยี นตามแบบประเมนิ รายการในตาราง แลว้ ขดี
ลงในชอ่ งท่ตี รงกับคะแนน
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ ๒ คะแนน
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให้ ๑ คะแนน
ลำดับ ช่ือ-สกุล ความมวี นิ ยั ความมี การรับฟงั การแสดง การตรงตอ่ รวม
ท่ี นำ้ ใจ ความ ความ เวลา ๑๕
เอื้อเฟื้อ คิดเหน็ คดิ เห็น คะแนน
เสยี สละ
๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕ ๑๑๙
๒๖
๒๗ ลงช่อื …………………………………………………ผ้ปู ระเมิน
๒๘ ( นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมทุ ร )
๒๙
๓๐ วนั ท…ี่ ……เดอื น………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๓๖
๓๗
๓๘
๓๙
๔๐
เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
๑๒ - ๑๕ ดี
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ตำ่ กวา่ ๘ ปรบั ปรงุ
๑๒๐
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุม่
ช่อื กล่มุ …………………………………………………………………………………………………………………..ชั้น…………
คำชแ้ี จง : ให้ผ้สู อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในชอ่ ง
ที่ตรงกับระดบั คะแนน
ลำดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน
๓๒๑
๑ การแบง่ หน้าท่กี ันอยา่ งเหมาะสม
๒ ความร่วมมอื กันทำงาน รวม
๓ การแสดงความคิดเห็น
๔ การรบั ฟงั ความคิดเห็น
๕ ความมีน้ำใจช่วยเหลือกนั
เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ ลงชื่อ…………………………………………………ผปู้ ระเมิน
( นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมุทร )
๑๒ - ๑๕ ดี
วนั ท…ี่ ……เดือน………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ต่ำกวา่ ๘ ปรับปรุง
๑๒๑
บนั ทึกผลหลังการจดั การเรียนรู้
ผลการจัดกจิ กรรม
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ปัญหา/อุปสรรค
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ………………………………………….นกั ศึกษาปฏิบัตกิ ารสอนในสถานศึกษา
(นางสาวพลอยทพิ ย์ เวยี งสมุทร)
วนั ท่.ี ...........เดือน...............................พ.ศ.๒๕๖๕
ความคิดเหน็ ของครูพเี่ ลีย้ ง
เปน็ แผนการจัดการเรียนรู้ที่
นำไปใช้สอนได้
ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอนื่ ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชอื่ ……………………………………..
(นางอรญั ญา บริจาค)
๑๒๒
ความคิดเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
เปน็ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรุงก่อนนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอนื่ ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชือ่ ……………………………………..
(นายธนภณ อุ่นวิเศษ)
ความคิดเหน็ ของหวั หนา้ กลุ่มงานบรหิ ารงานวชิ าการ
๑. เปน็ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี
องคป์ ระกอบครบถว้ น องคป์ ระกอบไม่ครบ คือ.........................................................
๒. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้/กระบวนการเรยี นรเู้ หมาะสม
เน้นผ้เู รยี นเปน็ สำคญั กิจกรรมเหมาะสมกบั เนือ้ หา/สื่อ/เวลา
ไม่เนน้ ผูเ้ รียนเป็นสำคญั ควรปรบั ปรุงพัฒนาตอ่ ไป
๓. การวัด/ประเมนิ ผล
หลากหลาย เหมาะสม ประเมนิ ตามสภาพจริง
การประเมินผลควรหลากหลาย และประเมินตามสภาพจริง
ข้อเสนอแนะอื่นๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่ือ……………………………………..
(นายวทิ ยา อินกง)
ความคดิ เหน็ ของผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นหรอื ผทู้ ่ีไดร้ บั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชื่อ……………………………………..
(นางสาวสุภาวดี ผาตะเนตร)
ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการโรงเรยี นกลมุ่ งานบริหารงานวิชาการ
๑๒๓
ใบงาน
เรอ่ื ง กฎของโอหม์
คำชแี้ จง : แสดงวธิ ีคำนวณเกี่ยวกับกฎของโอหม์ ใหถ้ กู ต้อง
๑. วงจรไฟฟ้าหนึ่งมีแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่ให้ความต่างศักย์ ๖ โวลต์ ต่อแบบอนุกรมกับตัวต้านทาน
ขนาด ๓ โวลต์ต่อแอมแปร์ จะมีกระแสไฟฟ้าไหลในวงจรเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………
๒. วงจรไฟฟ้าหนึ่งมกี ระแสไฟฟ้า ๒ แอมแปร์ ไหลผ่านตัวต้านทานขนาด ๒๐ โอห์ม จงหาความต่างศักย์ของ
แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้า
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ในวงจรไฟฟ้ามีแบตเตอรี่ขนาด ๒๐ โวลต์ ทำให้มีกระแสไฟฟา้ ๕ แอมแปร์ ไหลผ่านตัวต้านทาน จงหาว่า
ความต้านทานนีม้ ีค่าเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ ๗
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓
รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์พ้ืนฐาน ๖ รหัสวชิ า ว๒๓๑๐๒
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี ๖ เร่ืองไฟฟา้ ๑๔ ช่ัวโมง
หน่วยการเรยี นรู้ย่อย ๖.๑ เร่อื ง ปริมาณทางไฟฟา้ ๒ ๒ ชว่ั โมง
ผู้สอน นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมทุ ร ตำแหนง่ นักศึกษาปฏบิ ัติการสอนในสถานศึกษา ภาคเรยี นท่ี ๒/๒๕๖๔
สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปล่ยี นแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏิสมั พันธ์
ระหวา่ งสสารและพลงั งาน พลงั งานในชีวติ ประจำวัน ธรรมชาตขิ องคล่ืน ปรากฏการณ์
ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั เสียง แสง และคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้ารวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ระดบั ชัน้ ตัวช้วี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง
ม.๓ ม.๓/๒ เขียนกราฟความสัมพันธร์ ะหวา่ ง เมื่อต่อวงจรไฟฟา้ ครบวงจรจะมีกระแส
กระแสไฟฟา้ และความต่างศักย์ไฟฟา้ ไฟฟ้าออกจากขวั้ บวกผ่านวงจรไฟฟ้าไปยงั ข้วั ลบ
ของแหล่งกำเนดิ ไฟฟา้ ซงึ่ วดั คา่ ได้จากแอมมิเตอร์
ค่าที่บอกความแตกต่างของพลงั งานไฟฟ้าตอ่
หน่วยประจุระหวา่ งจุด ๒ จดุ เรยี กว่า ความต่าง
ศักย์ ซึง่ วดั ค่าไดจ้ ากโวลตม์ ิเตอร์
ขนาดของกระแสไฟฟา้ มคี ่าแปรผันตรงกับความ
ตา่ งศกั ย์ระหว่างปลายทัง้ สองของตัวนำโดย
อัตราส่วนระหวา่ งความตา่ งศักย์และกระแสไฟฟา้ มี
ค่าคงที่ เรยี กค่าคงที่นี้วา่ ความต้านทาน
๑. กําหนดเป้าหมายการเรยี นรู้
๑.๑ สาระการเรียนร/ู้ เนอื้ หาการเรยี นรู้
เร่อื งท่ี ๑ ปรมิ าณทางไฟฟ้า ๒
๑) ความสมั พนั ธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้า
๑.๒ สาระสาํ คญั /ความคิดรวบยอดของเรอ่ื งท่ีเรียน
กระแสไฟฟ้า เป็นปรมิ าณประจุไฟฟ้าทเี่ คลอื่ นที่หรือถา่ ยเทจากจดุ หน่ึงไปยังอีกจุดหนึง่ เป็นความ
แตกต่างของพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยประจรุ ะหว่างจุด ๒ จดุ ซง่ึ ทำให้เกดิ กระแสไฟฟ้า โดยกระแสไฟฟ้าจะไหล
๑๒๕
จากจุดทม่ี ีระดบั พลงั งานไฟฟ้าสูงกวา่ ไปยังจุดทม่ี ีระดับพลังงานไฟฟ้าต่ำกวา่ และจะหยุดไหลเมอื่ ศักยไ์ ฟฟ้าของ
ทั้งสองจุดเท่ากัน สามารถวัดค่ากระแสไฟฟ้าได้โดยใช้แอมมิเตอร์ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและ
ความต่างศักย์ เป็นไปตามกฎของโอห์ม มีใจความสำคัญว่า เมื่ออุณหภูมิคงท่ี กระแสไฟฟ้าในตัวนำโลหะจะ
แปรผันตรงกบั ความต่างศักยร์ ะหว่างปลายทงั้ ๒ ขา้ ง ของตวั นำนน้ั
๑.๓ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้: เมอ่ื ผเู้ รยี นจบกิจกรรมการเรยี นรู้ ผเู้ รยี นสามารถ
ด้านความรู้ (K: Knowledge) วเิ คราะหแ์ ละอธิบายความสมั พันธ์ระหว่างความ
ต่างศกั ยไ์ ฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทาน
ไฟฟ้าโดยใชก้ ราฟ
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P: Process) คำนวณปริมาณทางไฟฟ้าโดยใชส้ มการ V = IR
ด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A: Attribute) ให้ความสนใจในบทเรียน ตอบคำถาม และให้
ความรว่ มมอื ในการทำงานเป็นกลุ่ม
ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Sc.P: Science Process Skills)
การสังเกต การลงความเห็นจากขอ้ มูล
การวัด การกำหนดและควบคุมตัวแปร
การคำนวณ/การใช้ตวั เลข การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัตกิ าร
การจำแนกประเภท การต้ังสมมติฐาน
การจัดกระทำและส่อื ความหมายข้อมูล การทดลอง
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ การตีความหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรุป
และสเปซกบั เวลา การสรา้ งแบบจำลอง
การพยากรณ์/การทำนาย
๒. กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรียนรูแ้ บบ ๕E
๒.๑ ขั้นการสรา้ งความสนใจ (Engagement)
๑. ครถู ามคำถามจากหนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๖
ไฟฟ้า เพ่อื เปน็ การนำเขา้ สู่เน้อื หาท่ีเรยี นว่า “ปริมาณทางไฟฟา้ มีอะไรบ้าง และมคี วามสัมพนั ธก์ ันอยา่ งไร”
โดยใหน้ กั เรียนร่วมกนั อภิปรายแสดงความคิดเหน็ อยา่ งอิสระโดยครูเขียนคำตอบของนักเรยี นไว้ แลว้ ครจู ะมา
ตรวจสอบคำตอบหลงั เรียนเสรจ็
(แนวตอบ: ปรมิ าณทางไฟฟา้ ประกอบดว้ ย กระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ และความต้านทาน
โดยอัตราส่วนระหวา่ งกระแสไฟฟา้ กับความต่างศักยจ์ ะมคี า่ เทา่ กับความต้านทาน)
๒. ครตู ้งั ประเด็นคำถามกระตุน้ ความคดิ นักเรยี น โดยให้นักเรยี นร่วมกนั อภิปรายแสดงความคดิ เหน็
เพ่อื หาคำตอบ ดังน้ี
• ถา้ นักเรียนต้องการจะวดั กระแสไฟฟา้ กบั ความตา่ งศักย์ นักเรยี นจะเลอื กใช้อุปกรณใ์ ด
๑๒๖
และจะตอ่ อปุ กรณอ์ ยา่ งไร”
(แนวตอบ : สามารถวัดกระแสไฟฟ้าในวงจรโดยการต่อแอมมิเตอร์เขา้ ไปในวงจร แบบอนุกรม
และความตา่ งศกั ย์โดยการต่อโวลต์มเิ ตอร์ แบบขนาน)
• กระแสไฟฟ้าเกดิ ขน้ึ ไดอ้ ย่างไร
(แนวตอบ : เกดิ จากการเคล่ือนที่ของประจุไฟฟ้า เมื่อประจไุ ฟฟา้ เกดิ การเคลื่อนทีจ่ ะกอ่ ใหเ้ กิด
กระแสไฟฟ้า)
๒.๒ ข้นั การสำรวจและค้นหา (Exploration)
๑. นักเรยี นจบั กลุม่ กับเพอื่ นในชน้ั เรยี นตามความสมัครใจ กลุ่มละ ๕-๖ คน คละความสามารถ เกง่
กลางออ่ น
๒. นักเรยี นแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมท่ี ๖.๓ กระแสไฟฟ้าและความตา่ งศักย์ไฟฟ้าของตัวนำไฟฟ้ามี
ความสัมพันธ์กันอยา่ งไร เพ่ือศกึ ษากจิ กรรมความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟา้ กบั ความต่างศกั ย์ จากนน้ั ให้
นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมารบั วสั ดุอุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการปฏิบัตกิ ิจกรรมความสัมพันธร์ ะหว่าง
กระแสไฟฟา้ กับความต่างศักย์
๓. นักเรียนแตล่ ะกล่มุ ร่วมกันศกึ ษาค้นควา้ ข้อมูลในเนือ้ หาท่ีกลุ่มของตนไดร้ ับ จากหนังสอื เรียน
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒ หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี ๖ ไฟฟ้า หรือแหล่งการเรียนรตู้ า่ ง ๆ เชน่
อนิ เทอร์เน็ต จากน้ันสมาชิกแตล่ ะกลุ่มนำผลการทดลองที่ได้มาอภปิ รายร่วมกนั ภายในกลุม่ เพอื่ หาข้อสรปุ ของ
ผลการทดลอง และเขยี นกราฟแสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟา้ กับความต่างศกั ย์
๔. ครูแจกกระดาษฟลิปชาร์ตใหน้ ักเรียนกลุม่ ละ ๑ แผน่ พรอ้ มปากกาและดนิ สอสี ให้นักเรยี นแต่ละ
กล่มุ สรปุ เน้อื หาท่ีได้ศกึ ษาข้อมูลมาและเขียนลงในกระดาษฟลปิ ชาร์ต เตรียมนำเสนอหนา้ ชนั้ เรียน
๒.๓ ขั้นการอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
๑. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชน้ั เรยี น ในระหว่างที่นักเรียนนำเสนอครู
คอยใหข้ ้อเสนอแนะเพมิ่ เตมิ เพื่อให้นกั เรยี นมคี วามเขา้ ใจท่ถี กู ต้อง
๒. นักเรยี นและครรู ว่ มกันอภิปรายผลการปฏบิ ัติกจิ กรรม เพ่ือให้ไดข้ อ้ สรปุ ร่วมกนั
๓. ครูและนกั เรียนร่วมกนั อธิบายและลงข้อสรปุ เกย่ี วกบั ปรมิ าณทางไฟฟ้า โดยครใู ช้แผนภาพ วิดิทศั น์
หรือ Power Point ประกอบการอธิบายและลงข้อสรุป
ตัวอย่างสรุป ปรมิ าณทางไฟฟ้า
เม่ือเพิ่มจำนวนถา่ นไฟฉาย ค่าของกระแสไฟฟ้าและความตา่ งศกั ย์ท่ีอ่านไดจ้ ะเพิ่มข้ึน เขียนกราฟ
ระหว่างความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ และคา่ ของกระแสไฟฟ้าได้กราฟเสน้ ตรงผ่านจุดกำเนดิ สามารถสรปุ ได้วา่ ค่าของ
กระแสไฟฟ้าทเี่ พม่ิ ขนึ้ และความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้าทเ่ี พม่ิ ขน้ึ เปน็ สดั ส่วนกัน และอตั ราสว่ นระหว่างกระแสไฟฟา้ และ
ความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ มคี า่ คงตวั เมื่ออณุ หภูมิคงตัว
๑๒๗
๒.๔ ขน้ั การขยายความรู้ (Elaboration)
๑. ครเู ปดิ โอกาสให้นักเรยี นซักถามเนื้อหาเกยี่ วกับเร่ือง กระแสไฟฟา้ ความตา่ งศกั ย์ และความ
ต้านทาน และให้ความรู้เพ่ิมเติมจากคำถามของนักเรยี น โดยครูใช้ PowerPoint เรอ่ื ง ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
กระแสไฟฟา้ กบั ความตา่ งศักย์ ในการอธบิ ายเพ่มิ เติม
๒.๕ ขนั้ การประเมนิ (Evaluation)
๑. นกั เรียนตอบคำถามในใบงาน เรอื่ ง ความสมั พันธร์ ะหว่างกระแสไฟฟา้ กับความตา่ งศักย์
๒. นักเรียนทำกจิ กรรมและตอบคำถามในชั้นเรียน
๓. สื่อ/อุปกรณ์/แหล่งเรยี นรู้
๓.๑ ค่มู อื ครูรายวิชาพ้ืนฐาน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ เล่ม ๒ (สสวท.)
๓.๒ หนังสอื เรียนรายวิชาพน้ื ฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓ เล่ม ๒ (สสวท.)
๓.๓ Power Point เร่อื ง ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟา้ กบั ความต่างศกั ย์
๔. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
จุดประสงค์การเรยี นรู้ วิธกี ารวัดผลการเรียนรู้ เกณฑ์การประเมินผล
ด้านความรู้ (K: Knowledge) - การตอบคำถาม ผา่ นเกณฑ์ไม่น้อยกวา่
วิเคราะหแ์ ละอธบิ ายความสัมพันธร์ ะหวา่ งความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้า ร้อยละ ๘๐
กระแสไฟฟา้ และความตา้ นทานไฟฟ้าโดยใช้กราฟ - การตอบคำถาม
ด้านทกั ษะกระบวนการ (P: Process) - การทำกจิ กรรม ผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกว่า
คำนวณปริมาณทางไฟฟ้าโดยใชส้ มการ V = IR - สงั เกตพฤติกรรมในการ รอ้ ยละ ๘๐
ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A: Attribute) ทำงาน ผ่านเกณฑ์ไมน่ อ้ ยกว่า
ให้ความสนใจในบทเรียน ตอบคำถาม และให้ความร่วมมอื ใน ร้อยละ ๘๐
การทำงานเปน็ กลมุ่ - การตอบคำถาม
ด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผ่านเกณฑไ์ มน่ ้อยกว่า
(Sc.P: Science Process Skills) ร้อยละ ๘๐
การสังเกต
การวดั
การคำนวณ/การใช้ตัวเลข
การจำแนกประเภท
การจัดกระทำและสอ่ื ความหมายขอ้ มูล
การลงความเห็นจากข้อมูล
การกำหนดและควบคมุ ตวั แปร
การทดลอง
การตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
๑๒๘
แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคลชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓
คำชีแ้ จง ให้ครูประเมนิ พฤติกรรมของนกั เรยี นรายบุคคลในชั้นเรยี นตามแบบประเมนิ รายการในตาราง แลว้ ขดี
ลงในชอ่ งท่ตี รงกับคะแนน
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ ๒ คะแนน
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให้ ๑ คะแนน
ลำดับ ช่ือ-สกุล ความมวี นิ ยั ความมี การรับฟงั การแสดง การตรงตอ่ รวม
ท่ี นำ้ ใจ ความ ความ เวลา ๑๕
เอื้อเฟื้อ คิดเหน็ คดิ เห็น คะแนน
เสยี สละ
๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕ ๑๒๙
๒๖
๒๗ ลงช่อื …………………………………………………ผ้ปู ระเมิน
๒๘ ( นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมทุ ร )
๒๙
๓๐ วนั ท…ี่ ……เดอื น………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๓๖
๓๗
๓๘
๓๙
๔๐
เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
๑๒ - ๑๕ ดี
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ตำ่ กวา่ ๘ ปรบั ปรงุ
๑๓๐
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุม่
ช่อื กล่มุ …………………………………………………………………………………………………………………..ชั้น…………
คำชแ้ี จง : ให้ผ้สู อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในชอ่ ง
ที่ตรงกับระดบั คะแนน
ลำดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน
๓๒๑
๑ การแบง่ หน้าท่กี ันอยา่ งเหมาะสม
๒ ความร่วมมอื กันทำงาน รวม
๓ การแสดงความคิดเห็น
๔ การรบั ฟงั ความคิดเห็น
๕ ความมีน้ำใจช่วยเหลือกนั
เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ ลงชื่อ…………………………………………………ผปู้ ระเมิน
( นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมุทร )
๑๒ - ๑๕ ดี
วนั ท…ี่ ……เดือน………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ต่ำกวา่ ๘ ปรับปรุง