๑๘๑
ความคิดเห็นของหัวหนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้
เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรุงกอ่ นนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอ่ืนๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่ือ……………………………………..
(นายธนภณ อ่นุ วิเศษ)
ความคดิ เห็นของหวั หนา้ กลุม่ งานบรหิ ารงานวิชาการ
๑. เป็นแผนการจัดการเรยี นรู้ที่
องคป์ ระกอบครบถ้วน องคป์ ระกอบไมค่ รบ คือ.........................................................
๒. การจัดกจิ กรรมการเรียนร/ู้ กระบวนการเรียนรเู้ หมาะสม
เน้นผเู้ รียนเปน็ สำคัญ กิจกรรมเหมาะสมกบั เน้อื หา/ส่อื /เวลา
ไม่เนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั ควรปรับปรุงพฒั นาต่อไป
๓. การวดั /ประเมินผล
หลากหลาย เหมาะสม ประเมนิ ตามสภาพจริง
การประเมินผลควรหลากหลาย และประเมนิ ตามสภาพจริง
ขอ้ เสนอแนะอ่ืนๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่ือ……………………………………..
(นายวิทยา อนิ กง)
ความคดิ เหน็ ของผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นหรือผู้ทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่อื ……………………………………..
(นางสาวสภุ าวดี ผาตะเนตร)
ตำแหน่ง รองผอู้ ำนวยการโรงเรียนกลมุ่ งานบรหิ ารงานวิชาการ
๑๘๒
ใบงาน สญั ลกั ษณ์
เร่อื ง ชิ้นสว่ นอิเล็กทรอนิกส์
คำช้ีแจง : ให้นักเรียนตอบคำถามตอ่ ไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง
๑. เขียนช่ือของอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกสแ์ ต่ละชนดิ
อุปกรณ์อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
..............................................................................
..............................................................................
..............................................................................
..............................................................................
..............................................................................
๒. บอกหนา้ ที่การทำงานของชิน้ ส่วนอิเล็กทรอนกิ สต์ ่อไปน้พี อสงั เขป
๒.๑ ตัวต้านทาน
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
๒.๒ ไดโอด
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
๑๘๓
๒.๓ ทรานซิสเตอร์
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
๒.๔ ตวั เกบ็ ประจุ
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑๒
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓
รายวิชา วทิ ยาศาสตร์พืน้ ฐาน ๖ รหสั วชิ า ว๒๓๑๐๒
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๖ เรอื่ ง ไฟฟา้ ๑๔ ช่วั โมง
หนว่ ยการเรยี นร้ยู ่อย ๖.๔ เรื่อง อเิ ล็กทรอนิกส์ ๒ ๒ ชวั่ โมง
ผ้สู อน นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมุทร ตำแหนง่ นักศกึ ษาปฏบิ ัติการสอนในสถานศกึ ษา ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๖๔
สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปลี่ยนแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งาน ปฏสิ ัมพันธ์
ระหวา่ งสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ติ ประจำวัน ธรรมชาตขิ องคลนื่ ปรากฏการณ์
ทเ่ี ก่ียวข้องกบั เสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ระดบั ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ม.๓ ม.๓/๖ บรรยายการทำงานของชิน้ ส่วน การตอ่ ตัวตา้ นทานหลายตัวแบบขนานใน
อิเลก็ ทรอนกิ ส์อย่างง่ายในวงจรจากขอ้ มลู ท่ี วงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่ผ่านวงจรมคี า่ เท่ากับ
รวบรวมได้ ผลรวมของกระแสไฟฟ้าท่ีผา่ นตวั ตา้ นทานแต่ละตวั
ม.๓/๗ เขยี นแผนภาพและตอ่ ชิ้นส่วน โดยความต่างศักย์ทีค่ รอ่ มตวั ต้านทานแต่ละตวั มีค่า
อิเลก็ ทรอนกิ ส์อย่างง่ายในวงจรไฟฟ้า เทา่ กนั
ชิน้ ส่วนอิเลก็ ทรอนกิ ส์มหี ลายชนิด เชน่ ตัว
ตา้ นทาน ไดโอด ทรานซสิ เตอร์ ตัวเก็บประจุ โดย
ชน้ิ ส่วนแตล่ ะชนิดทำหนา้ ทีแ่ ตกต่างกนั เพ่ือให้วงจร
ทำงานได้ตามตอ้ งการ
ตัวตา้ นทานทำหน้าทคี่ วบคุมปริมาณ
กระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้า ไดโอดทำหนา้ ทใี่ ห้
กระแสไฟฟา้ ผ่านทางเดยี ว ทรานซิสเตอรท์ ำหนา้ ที่
เป็นสวติ ช์ปิดหรอื เปิดวงจรไฟฟ้าและควบคุม
ปริมาณกระแสไฟฟา้ ตัวเกบ็ ประจุทำหน้าที่เกบ็
และคายประจไุ ฟฟา้
เครือ่ งใชไ้ ฟฟ้าอยา่ งงา่ ยประกอบดว้ ยช้ินสว่ น
อเิ ล็กทรอนกิ ส์หลายชนิดที่ทำงานรว่ มกนั การต่อ
วงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์โดยเลอื กใชช้ ้ินสว่ น
๑๘๕
อเิ ล็กทรอนิกส์ทีเ่ หมาะสมตามหนา้ ท่ขี องช้นิ ส่วน
นั้น ๆ จะสามารถทำให้วงจรไฟฟา้ ทำงานได้ตาม
ต้องการ
๑. กาํ หนดเปา้ หมายการเรยี นรู้
๑.๑ สาระการเรยี นร้/ู เนอื้ หาการเรยี นรู้
เร่อื งท่ี ๔ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ๒
๑) วงจรอเิ ล็กทรอนกิ ส์
๑.๒ สาระสาํ คญั /ความคิดรวบยอดของเรอ่ื งทเ่ี รียน
ช้ินส่วนอิเล็กทรอนกิ ส์เปน็ อุปกรณ์ท่ีสำคัญอย่างหนึง่ ในวงจรไฟฟ้า โดยชนิ้ ส่วนอิเล็กทรอนิกส์แต่
ละอยา่ งจะมีหน้าท่แี ตกตา่ งกนั ไป เชน่ ตัวตา้ นทาน ทำหนา้ ที่ควบคุมปริมาณกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้ ไดโอด
ทำหน้าที่ให้กระแสไฟฟ้าผา่ นทางเดียว ทรานซิสเตอร์ ทำหน้าที่เป็นสวิตช์ปิดหรือเปิดวงจรไฟฟ้าและควบคมุ
ปริมาณกระแสไฟฟ้า ตัวเก็บประจุ ทำหน้าที่เก็บและคายประจุไฟฟ้า การต่อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เข้าใน
วงจรไฟฟ้าจะต้องทำการต่อให้ถูกต้องและถูกหลักการทางไฟฟ้า จึงจะทำให้วงจรไฟฟ้านั้นทำงานได้ตามที่
ต้องการและมีประสิทธภิ าพ
๑.๓ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้: เมื่อผเู้ รยี นจบกจิ กรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถ
ดา้ นความรู้ (K: Knowledge) บรรยายการทำงานของชนิ้ ส่วนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ใน
วงจรไฟฟ้า
ด้านทกั ษะกระบวนการ (P: Process) เขียนแผนภาพและตอ่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนกิ ส์ใน
วงจรไฟฟา้ ใหท้ ำงานไดต้ ามต้องการ
ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A: Attribute) มีความกระตือรือร้นในการทำงาน แสดงความ
คิดเห็นอย่างสรา้ งสรรค์ และมีส่วนรว่ มในการทำงาน
เปน็ กลุม่
ด้านทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Sc.P: Science Process Skills)
การสังเกต การลงความเหน็ จากขอ้ มูล
การวดั การกำหนดและควบคุมตวั แปร
การคำนวณ/การใช้ตวั เลข การกำหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบตั กิ าร
การจำแนกประเภท การตงั้ สมมติฐาน
การจดั กระทำและสื่อความหมายข้อมลู การทดลอง
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป
และสเปซกับเวลา การสรา้ งแบบจำลอง
การพยากรณ/์ การทำนาย
๑๘๖
๒. กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบ ๕E
๒.๑ ขัน้ การสร้างความสนใจ (Engagement)
๑. นกั เรยี นทำกจิ กรรมจากหนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.๓ เล่ม ๒ หน่วยการเรียนร้ทู ่ี ๖
ไฟฟ้า พจิ ารณาภาพตวั อย่างแผงวงจรอิเล็กทรอนกิ ส์ แล้วบอกช่อื ช้ินส่วนอิเลก็ ทรอนิกสท์ นี่ กั เรยี นรูจ้ ักให้
ได้มากที่สุด โดยบนั ทกึ ลงในสมดุ ประจำตวั นกั เรียน
๒. ครูสนทนากับนักเรียนเก่ียวกบั ชิน้ ส่วนอิเล็กทรอนิกส์ว่า “ช้ินสว่ นอิเล็กทรอนิกส์จะทำงานไดก้ ็
ตอ่ เมื่อถูกต่ออยู่ในวงจรไฟฟา้ อยา่ งถูกต้อง”
๒.๒ ข้ันการสำรวจและค้นหา (Exploration)
๑. นกั เรียนจบั กลุม่ กบั เพอื่ นในช้ันเรยี นตามความสมัครใจ กลุ่มละ ๕-๖ คน คละความสามารถ เกง่
กลาง อ่อน
๒. ครเู ตรียมสลากหมายเลข ๑-๓ แต่ละกล่มุ จะไดร้ บั มอบหมายให้ศึกษาเน้ือหาทไ่ี ดร้ บั ตามหมายเลข
ดงั น้ี
๑. หมายเลข ๑ ได้รบั เนอ้ื หาศกึ ษาการต่อวงจรตวั ต้านทาน
๒. หมายเลข ๒ ไดร้ ับเนื้อหาศึกษาการตอ่ วงจรไดโอด
๓. หมายเลข ๓ ไดร้ ับเนอ้ื หาศึกษาการตอ่ วงจรทรานซสิ เตอร์
๓. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มสง่ ตัวแทนจับสลาก และรบั ทราบหวั ข้อท่ีไดศ้ ึกษาเน้อื หา
๔. นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ รว่ มกันศกึ ษาคน้ ควา้ ข้อมูลในเนอ้ื หาท่ีกล่มุ ของตนไดร้ ับ จากหนังสอื เรียน
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.๓ เล่ม ๒ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๖ ไฟฟา้ หรอื แหลง่ การเรียนรู้ต่าง ๆ เชน่
อนิ เทอรเ์ น็ต
๕. ครูแจกกระดาษฟลิปชารต์ ใหน้ กั เรยี นกลุ่มละ ๑ แผน่ พรอ้ มปากกาและดนิ สอสี ให้นักเรียนแต่ละ
กล่มุ สรปุ เน้อื หาทไี่ ด้ศึกษาข้อมูลมาและเขียนลงในกระดาษฟลิปชารต์ เตรียมนำเสนอหน้าชน้ั เรยี น
๒.๓ ขน้ั การอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
๑. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกจิ กรรมหน้าชั้นเรยี น ในระหวา่ งท่นี กั เรยี น
นำเสนอครูคอยให้ข้อเสนอแนะเพ่มิ เติม เพ่ือใหน้ กั เรยี นมีความเขา้ ใจที่ถกู ต้อง
๒. นกั เรียนและครูร่วมกนั อภิปรายผลการปฏิบตั ิกจิ กรรม เพ่ือให้ไดข้ ้อสรุปรว่ มกนั
๓. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั อธิบายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดยครใู ช้แผนภาพ วดิ ิ
ทัศน์ หรือ Power Point ประกอบการอธิบายและลงขอ้ สรุป
๑๘๗
ตวั อย่างสรปุ วงจรอิเล็กทรอนิกส์
๒.๔ ขั้นการขยายความรู้ (Elaboration)
๑. นกั เรียนแต่ละกลุม่ (กลุ่มเดิม) ร่วมกันศึกษาและทำกจิ กรรมทา้ ยบท Smart Farming ทำได้
อยา่ งไร จากหนังสอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๖ ไฟฟา้ หรือแหล่งการ
เรียนรู้ต่าง ๆ เชน่ อินเทอรเ์ นต็ เพื่อสรา้ งชิน้ งานโดยประยุกตใ์ ชค้ วามรู้เรอื่ งการต่อวงจรไฟฟา้ และหน้าทีข่ อง
ช้ินสว่ นอิเล็กทรอนิกสเ์ พ่ือแก้ปัญหาในสถานการณ์ทกี่ ำหนด
๑๘๘
๒.๕ ขนั้ การประเมนิ (Evaluation)
๑. นักเรียนทำกิจกรรมและตอบคำถามในชน้ั เรยี น
๒. นักเรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรียน เรื่อง วงจรอเิ ลก็ ทรอนิกส์
๓. ส่อื /อุปกรณ/์ แหล่งเรยี นรู้
๓.๑ คู่มอื ครรู ายวิชาพื้นฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)
๓.๒ หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพน้ื ฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)
๓.๓ Power Point เร่ือง วงจรอิเล็กทรอนกิ ส์
๔. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วธิ กี ารวดั ผลการเรียนรู้ เกณฑก์ ารประเมนิ ผล
ผา่ นเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกว่า
ดา้ นความรู้ (K: Knowledge) - การตอบคำถาม รอ้ ยละ ๘๐
ผ่านเกณฑไ์ มน่ ้อยกวา่
บรรยายการทำงานของช้นิ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนกิ สใ์ นวงจรไฟฟา้ ร้อยละ ๘๐
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P: Process) - การตอบคำถาม ผ่านเกณฑ์ไมน่ อ้ ยกว่า
ร้อยละ ๘๐
เขียนแผนภาพและต่อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในวงจรไฟฟ้าให้ - การทำกจิ กรรม
ผา่ นเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกวา่
ทำงานได้ตามตอ้ งการ ร้อยละ ๘๐
ด้านคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A: Attribute) - สังเกตพฤติกรรมในการ
มีความกระตือรือรน้ ในการทำงาน แสดงความคิดเหน็ อย่าง ทำงาน
สรา้ งสรรค์ และมีสว่ นรว่ มในการทำงานเปน็ กลมุ่
ดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ - การตอบคำถาม
(Sc.P: Science Process Skills)
การสังเกต
การวัด
การจัดกระทำและส่ือความหมายข้อมลู
การลงความเห็นจากข้อมูล
การตคี วามหมายข้อมูลและลงข้อสรปุ
การสรา้ งแบบจำลอง
๑๘๙
แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคลชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓
คำชแ้ี จง ให้ครปู ระเมนิ พฤติกรรมของนกั เรยี นรายบุคคลในชั้นเรยี นตามแบบประเมนิ รายการในตาราง แลว้ ขดี
ลงในช่องทตี่ รงกับคะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ ๒ คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให้ ๑ คะแนน
ลำดับ ช่ือ-สกุล ความมวี นิ ยั ความมี การรับฟงั การแสดง การตรงตอ่ รวม
ท่ี นำ้ ใจ ความ ความ เวลา ๑๕
เอื้อเฟื้อ คิดเหน็ คดิ เห็น คะแนน
เสยี สละ
๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕ ๑๙๐
๒๖
๒๗ ลงช่อื …………………………………………………ผ้ปู ระเมิน
๒๘ ( นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมทุ ร )
๒๙
๓๐ วนั ท…ี่ ……เดอื น………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๓๖
๓๗
๓๘
๓๙
๔๐
เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
๑๒ - ๑๕ ดี
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ตำ่ กวา่ ๘ ปรบั ปรงุ
๑๙๑
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุม่
ช่อื กล่มุ …………………………………………………………………………………………………………………..ชั้น…………
คำชแ้ี จง : ให้ผ้สู อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในชอ่ ง
ที่ตรงกับระดบั คะแนน
ลำดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน
๓๒๑
๑ การแบง่ หน้าท่กี ันอยา่ งเหมาะสม
๒ ความร่วมมอื กันทำงาน รวม
๓ การแสดงความคิดเห็น
๔ การรบั ฟงั ความคิดเห็น
๕ ความมีน้ำใจช่วยเหลือกนั
เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ ลงชื่อ…………………………………………………ผปู้ ระเมิน
( นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมุทร )
๑๒ - ๑๕ ดี
วนั ท…ี่ ……เดือน………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ต่ำกวา่ ๘ ปรับปรุง
๑๙๒
บันทกึ ผลหลังการจัดการเรียนรู้
ผลการจัดกจิ กรรม
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ปัญหา/อุปสรรค
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ………………………………………….นกั ศกึ ษาปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษา
(นางสาวพลอยทิพย์ เวยี งสมุทร)
วนั ที่............เดอื น...............................พ.ศ.๒๕๖๕
ความคดิ เหน็ ของครพู ่ีเลย้ี ง
เป็นแผนการจดั การเรียนรู้ที่
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรงุ กอ่ นนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอื่นๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่อื ……………………………………..
(นางอรญั ญา บรจิ าค)
๑๙๓
ความคิดเห็นของหัวหนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้
เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรุงกอ่ นนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอ่ืนๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่ือ……………………………………..
(นายธนภณ อ่นุ วิเศษ)
ความคดิ เห็นของหวั หนา้ กลุม่ งานบรหิ ารงานวิชาการ
๑. เป็นแผนการจัดการเรยี นรู้ที่
องคป์ ระกอบครบถ้วน องคป์ ระกอบไมค่ รบ คือ.........................................................
๒. การจัดกจิ กรรมการเรียนร/ู้ กระบวนการเรียนรเู้ หมาะสม
เน้นผเู้ รียนเปน็ สำคัญ กิจกรรมเหมาะสมกบั เน้อื หา/ส่อื /เวลา
ไม่เนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั ควรปรับปรุงพฒั นาต่อไป
๓. การวดั /ประเมินผล
หลากหลาย เหมาะสม ประเมนิ ตามสภาพจริง
การประเมินผลควรหลากหลาย และประเมนิ ตามสภาพจริง
ขอ้ เสนอแนะอ่ืนๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่ือ……………………………………..
(นายวิทยา อนิ กง)
ความคดิ เหน็ ของผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นหรือผู้ทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่อื ……………………………………..
(นางสาวสภุ าวดี ผาตะเนตร)
ตำแหน่ง รองผอู้ ำนวยการโรงเรียนกลมุ่ งานบรหิ ารงานวิชาการ
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๓
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ ๓
รายวิชา วทิ ยาศาสตร์พื้นฐาน ๖ รหสั วิชา ว๒๓๑๐๒
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๗ เรอ่ื ง ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ๑๒ ช่ัวโมง
หน่วยการเรยี นร้ยู ่อย ๗.๑ เร่อื ง องค์ประกอบของระบบนเิ วศ ๒ ช่ัวโมง
ผ้สู อน นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมทุ ร ตำแหนง่ นักศกึ ษาปฏบิ ตั ิการสอนในสถานศึกษา ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๖๔
สาระที่ ๑ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งไมม่ ชี ีวิต กบั สิ่งมชี ีวติ และ
ความสมั พันธร์ ะหว่างส่งิ มชี ีวติ กบั สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลงั งาน การ
เปลย่ี นแปลงแทนท่ใี นระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปญั หาและผลกระทบที่มีตอ่
ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม แนวทางในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละการ
แกไ้ ขปัญหาสิ่งแวดลอ้ ม รวมท้งั นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
ระดบั ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง
ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบที่มีชีวิต
ม.๓ ม.๓/๑ อธิบายปฏสิ ัมพนั ธข์ ององค์ประกอบ เช่น พืชสัตว์จุลินทรีย์ และองค์ประกอบที่ไมม่ ชี ีวิต
เช่น แสง น้ำ อุณหภูมิ แร่ธาตุ แก๊ส องค์ประกอบ
ของระบบนเิ วศท่ไี ดจ้ ากการสำรวจ เหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กัน เช่น พืชต้องการแสง น้ำ
และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในการสร้างอาหาร
สัตว์ต้องการอาหาร และสภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสม
ในการดำรงชีวิต เช่น อุณหภูมิ ความชื้น
องค์ประกอบทั้งสองส่วนนี้จะต้องมีความสัมพันธ์
กันอย่างเหมาะสม ระบบนิเวศจึงจะสามารถคงอยู่
ตอ่ ไปได้
๑. กาํ หนดเปา้ หมายการเรียนรู้
๑.๑ สาระการเรยี นรู้/เนอื้ หาการเรียนรู้
เรอื่ งท่ี ๑ องค์ประกอบของระบบนเิ วศ
๑) องคป์ ระกอบของระบบนิเวศ
๒) ชนดิ ของระบบนเิ วศ
๑๙๕
๑.๒ สาระสาํ คญั /ความคิดรวบยอดของเรือ่ งท่ีเรียน
ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบทีไ่ มม่ ีชีวิต (abiotic component) และองค์ประกอบที่มี
ชีวิต (biotic component) ซึ่งมีปฏิสัมพันธก์ ันอย่างเป็นระบบ ตัวอย่างปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่มี
ชีวิตกับองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต เช่น ต้นไม้ต้องการน้ำ แสง แร่ธาตุ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวอย่าง
ปฏิสมั พันธร์ ะหว่างองค์ประกอบที่มีชวี ิตกับองค์ประกอบท่มี ีชีวิต เช่น กวางกนิ หญ้า เสือกินกวาง แร้งกินซาก
เสือท่ตี ายแลว้ และจุลนิ ทรยี จ์ ะยอ่ ยสลายซากเสือใหก้ ลายเป็นสารอินทรยี ์กลบั คนื ส่ธู รรมชาติ
๑.๓ จุดประสงค์การเรียนรู้: เมอื่ ผู้เรยี นจบกจิ กรรมการเรยี นรู้ ผเู้ รียนสามารถ
ด้านความรู้ (K: Knowledge) อธิบายปฏิสัมพนั ธข์ ององค์ประกอบของระบบ
นเิ วศทีไ่ ดจ้ ากการสำรวจ
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P: Process) สำรวจพื้นที่ตามเขตท่ีกำหนดเพอื่ บนั ทกึ
สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพและทางชีวภาพ ชนดิ
และปรมิ าณของสิ่งมีชวี ติ และสิง่ ไม่มชี ีวติ
ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A: Attribute) มีความกระตือรือร้นในการทำงาน แสดงความ
คดิ เห็นอย่างสร้างสรรค์ และมสี ว่ นร่วมในการทำงาน
เปน็ กลมุ่
ด้านทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Sc.P: Science Process Skills)
การสงั เกต การลงความเหน็ จากข้อมูล
การวดั การกำหนดและควบคมุ ตวั แปร
การคำนวณ/การใช้ตวั เลข การกำหนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร
การจำแนกประเภท การต้งั สมมตฐิ าน
การจดั กระทำและสื่อความหมายข้อมูล การทดลอง
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ การตคี วามหมายข้อมูลและลงขอ้ สรุป
และสเปซกับเวลา การสรา้ งแบบจำลอง
การพยากรณ/์ การทำนาย
๑๙๖
๒. กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบ ๕E
๒.๑ ขั้นการสรา้ งความสนใจ (Engagement)
๑. ครูใหน้ กั เรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียน เร่อื งที่ ๑ ระบบนเิ วศ เพ่ือวดั ความรู้เดิมของนักเรยี นกอ่ น
เขา้ ส่กู จิ กรรม
๒. ครูเปิดประเดน็ คำถามโดยใชร้ ปู ภาพระบบนเิ วศแบบต่างๆ โดยให้นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายแสดง
ความคดิ เห็นอย่างอิสระ นกั เรยี นสำรวจองคป์ ระกอบทอี่ ยู่ในภาพ แล้วลองวเิ คราะห์วา่ องค์ประกอบทอี่ ยใู่ น
ภาพมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
(แนวคำตอบ : ภาพที่ ๑ ประกอบด้วย ฉลาม ปลาทะเล นำ้ ทะเล ปะการงั แสง แพลงกต์ อน ค ว า ม ดั น
อณุ หภูมิ
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ ทะเลเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและใช้ในการดำรงชีวิตของปลาทะเล ปลาทะเลอาศัย
ปะการังและหินเป็นทห่ี ลบภัย ฉลามกินปลาทะเลเปน็ อาหาร)
(แนวคำตอบ : ภาพที่ ๒ ประกอบด้วย ต้นไม้ อากาศ แสง อุณหภูมิ ยีราฟ ช้าง กระทิง แรด ม้า
ลายสิงโต แร้ง
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ สงิ่ มชี วี ิตตอ้ งการแรธ่ าตุ ดนิ อากาศ แสง อุณหภูมใิ นการดำรงชวี ิต ต้นไม้เป็นผู้ผลิตท่ี
อาศัยแสงและแรธ่ าตใุ นดนิ รวมทัง้ สภาพอากาศในการเจรญิ เตบิ โตเพอ่ื ผลิตพลังงานเคมีสะสมอยใู่ นสว่ นต่าง ๆ
๑๙๗
ของพืช และยีราฟ ช้าง ม้าลายต่างกินพืชเป็นอาหาร สิงโตกินยรี าฟ ช้าง ม้าลาย เมื่อสิงโตตาย แร้งจะมากิน
ซากสิงโต)
๒.๒ ข้นั การสำรวจและค้นหา (Exploration)
๑. นักเรยี นจับกลมุ่ กับเพอื่ นในช้ันเรียนตามความสมคั รใจ กลุ่มละ ๕-๖ คน จากน้นั รว่ มกันศกึ ษา
คน้ ควา้ ข้อมูลเกีย่ วกับเรอื่ ง ระบบนเิ วศ จากหนงั สอื เรียนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒ หน่วยการ
เรียนร้ทู ี่ ๗ ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ หรือแหลง่ การเรยี นรตู้ า่ ง ๆ เชน่ อินเทอร์เน็ต
๒. นกั เรียนแต่ละกล่มุ ทำกิจกรรมท่ี ๗.๑ องคป์ ระกอบของสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นมปี ฏิสมั พนั ธก์ นั
อย่างไร จากหนังสอื เรียนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒
กจิ กรรมที่ ๗.๑ องคป์ ระกอบของสภาพแวดล้อมในท้องถิน่ มีปฏิสัมพนั ธ์กนั อย่างไร
วสั ด/ุ อุปกรณ์ ขั้นตอน
๑. เทอร์มอมิเตอร์ ๑. เลือกบริเวณที่จะสำรวจในท้องถิ่นหรือบริเวณ
๒. แทง่ แกว้ คน โรงเรียน เช่น บริเวณสระน้ำ สวนธรรมชาติ
๓. กระดาษยูนิเวอร์ซลั อนิ ดิเคเตอร์ สวนหย่อม หลังอาคารเรียน โดยไม่ซ้ำกันในแต่ละ
๔. กระจกนาฬิกา กลุ่ม
๕. ปากคบี ๒. กำหนดขอบเขตของบริเวณที่สำรวจ
๖. พ่กู นั ๓. สังเกตและบันทึกสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
๗. ถุงพลาสตกิ ของบริเวณที่สำรวจ เช่น ลักษณะภูมิศาสตร์
๘. บกี เกอร์หรอื แกว้ พลาสติกใส ลักษณะดิน แหล่งน้ำ สภาพอากาศ สิ่งปนเปื้อนใน
๙. เข็มทิศ สภาพแวดล้อม จากนั้นวาดแผนผังของบริเวณที่จะ
๑๐. อปุ กรณบ์ นั ทึกภาพ ศึกษา โดยระบุมาตราส่วนรายละเอียดของบริเวณ
๑๑. แวน่ ขยายหรือกล้องจุลทรรศน์ใช้แสง โดยรอบ และระบุทศิ ใหถ้ ูกต้อง
๑๒. เซคคิดิสก์ (Secchi disc) ๔. เก็บและรวบรวมข้อมูลของสภาพแวดล้อมใน
๑๓. ลักซม์ เิ ตอร์ (Lux meter) บริเวณที่สำรวจ เช่น อุณหภูมิ ความเป็นกรด-เบส
๑๔. นำ้ กลัน่ (pH) ความโปร่งใสของน้ำ ความสวา่ ง
๑๕. ชอ้ นปลูก ๕. เก็บและรวบรวมข้อมูลของสิ่งมีชีวิตในบริเวณท่ี
สำรวจ เชน่ ขอ้ มูลท่ัวไปของสิ่งมชี ีวิต การตอบสนอง
ตอ่ ส่ิงเรา้ ของส่งิ มีชวี ติ
๖. วิเคราะห์ข้อมูลจากการสำรวจและอธิบาย
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และ
ส่ิงมีชีวติ กบั สิ่งไม่มชี วี ติ ในบริเวณทสี่ ำรวจ
๗. สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของสิ่ง
ตา่ งๆทส่ี ำรวจพบและนำเสนอผลการทำกิจกรรม
๑๙๘
๓. นักเรยี นแต่ละกลุม่ ร่วมกันทำกจิ กรรมและบันทกึ ลงในใบกจิ กรรม พรอ้ มตอบคำถามท้ายกิจกรรม
๒.๓ ข้นั การอธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
๑. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มออกมานำเสนอผลการปฏบิ ัติกจิ กรรมหน้าช้นั เรยี น ในระหวา่ งทีน่ ักเรียนนำเสนอ
ครูคอยใหข้ ้อเสนอแนะเพม่ิ เติม เพ่อื ให้นักเรียนมีความเข้าใจท่ถี ูกต้อง
๒. ครถู ามคำถามทา้ ยกจิ กรรม โดยให้นักเรียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั อภิปรายแสดงความคดิ เห็นเพ่ือหา
คำตอบ ดงั นี้
- ยกตัวอยา่ งองคป์ ระกอบทพ่ี บในบรเิ วณที่สำรวจ
(แนวตอบ : ขึ้นอยู่กับผลกิจกรรม โดยมีแนวคำตอบ คือ องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต เช่น แสง น้ำแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สออกซิเจน อุณหภูมิ หิน ดิน และองค์ประกอบที่มีชีวิต เช่น ปลา นก มนุษย์ แมลง
จุลนิ ทรียท์ อี่ ยูใ่ นดินหรอื น้ำ)
- ส่งิ มชี ีวิตที่พบมีความสมั พันธ์กับส่ิงมชี ีวิตในบริเวณที่สำรวจอยา่ งไร
(แนวตอบ : ขึ้นอยกู่ ับผลกจิ กรรม โดยมแี นวคำตอบ คอื ส่ิงมีชีวติ มคี วามสัมพนั ธก์ ันอย่างเป็นระบบ
เชน่ สัตว์กนิ พืชเปน็ อาหาร)
- สง่ิ มีชวี ิตท่พี บมีความสมั พนั ธ์กบั ส่งิ ไมม่ ีชวี ติ ในบริเวณท่ีสำรวจอย่างไร
(แนวตอบ : ขึน้ อยู่กบั ผลกจิ กรรม โดยมีแนวคำตอบ คือ สิง่ มีชวี ิตตอ้ งการนำ้ แก๊ส อุณหภมู ทิ ี่
เหมาะสมตอ่ การดำรงชวี ิต)
๓. นักเรียนและครูร่วมกนั อภิปรายผลการปฏิบตั ิกจิ กรรม สำรวจระบบนิเวศในท้องถ่ิน เพือ่ ให้ไดข้ อ้ สรุป
ร่วมกนั วา่ “ระบบนิเวศประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบที่ไมม่ ีชีวิตและองคป์ ระกอบที่มชี วี ติ ซึ่งมคี วามสมั พันธ์กนั ”
๔. ครูและนักเรียนร่วมกันอธบิ ายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับระบบนิเวศ โดยครูใช้แผนภาพ วิดิทัศน์ หรือ
Power Point ประกอบการอธบิ ายและลงข้อสรุป
ตัวอย่างสรปุ ระบบนเิ วศ
ระบบนิเวศ หมายถึง ระบบความสัมพันธ์ของสิ่งที่มีชีวิตกับแหล่งที่อยู่แหล่งใดแหล่งหนึ่ง ในระบบ
นิเวศหน่ึงๆ จึงประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๒ ส่วนไดแ้ ก่ สง่ิ ทม่ี ีชีวิต เช่น ผผู้ ลิต ผู้บรโิ ภค ผู้ยอ่ ยสลาย และ
สง่ิ ที่ไมม่ ีชีวิต ไดแ้ ก่ ภูมอิ ากาศ อนินทรยี สาร และอนิ ทรียสาร
สิง่ ทีม่ ชี ีวิต แบง่ แยกตามหนา้ ที่ได้แก่
- ผู้ผลติ หมายถึง สง่ิ มีชวี ติ ทีส่ ามารถสรา้ งอาหารได้ด้วยตนเอง โดยกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง
- ผูบ้ ริโภค หมายถงึ ส่งิ มีชีวติ ท่ีไมส่ ามารถสรา้ งอาหารไดด้ ้วยตนเอง ต้องบรโิ ภคพชื หรือสตั วเ์ ป็น
อาหาร
๑๙๙
- ผ้ยู อ่ ยสลาย หมายถึง สิง่ มีชีวิตทีไ่ ม่สามารถสร้างอาหารได้ ตอ้ งอาศัยซากสิ่งมชี ีวิตอ่นื เปน็ อาหาร
เช่น จุลินทรยี ์ต่างๆ เปน็ ตน้
สง่ิ ทไี่ มม่ ชี ีวิต ประกอบดว้ ย
- ภูมอิ ากาศ เช่น แสง อณุ หภมู ิ ความช้นื
- อนนิ ทรียสาร เช่น คารบ์ อนไดออกไซด์ ออกซิเจน และนำ้
- อินทรยี สาร เชน่ โปรตนี และไขมนั ซึ่งสงิ่ มีชีวติ ทงั้ หลายสงั เคราะหม์ าจากอนินทรียสาร
ในระบบนิเวศนั้น พลังงานแสงจากดวงอาทิตย์จะถูกถ่ายทอด หรือเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในรูปของ
พลังงานเคมีในพืชคือ น้ำตาล โดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ต่อจากนั้นเมื่อสัตว์กินพชื พลังงานเคมีใน
พืชจะถูกถ่ายทอดเข้าไปอยู่ในสัตว์ กลายเป็นส่วนประกอบต่างๆ ของสัตว์ และเมื่อสัตว์ตาย จุลินทรีย์จะทำ
หน้าที่ย่อยสลายซากสัตว์ พลังงานจึงเปลี่ยนรูปเป็นแร่ธาตุถ่ายทอดลงไปอยู่ในดิน แล้วพืชจะดูดเอาแร่ธาตุ
กลบั ไปใช้ กลายเป็นพลงั งานเคมใี นอวยั วะตา่ งๆ ของพืช วนเวยี นอยู่เช่นนี้
๒.๔ ขัน้ การขยายความรู้ (Elaboration)
๑. ครอู ธบิ ายเพ่มิ เติมให้นกั เรียนเข้าใจเกี่ยวกับระบบนิเวศว่า “โลกของเรา คือ ระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
หรือท่เี รยี กกนั ว่า “ชีวมณฑล” (Biosphere) ซง่ึ ประกอบขน้ึ จากระบบนิเวศขนาดเลก็ จำนวนมากที่ถูกเชอ่ื มโยง
เข้าไว้ด้วยกัน ผ่านความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อน ดังนั้น ในแต่ละพื้นที่ของโลก ด้วยสภาพภูมิอากาศและภูมิ
ประเทศท่ีแตกตา่ ง จงึ ก่อกำเนิดระบบนิเวศอนั หลากหลาย ทั้งปา่ ไม้ แม่น้ำ ทะเลทราย รวมถึงมหาสมุทร ระบบ
นิเวศสามารถจำแนกออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ ระบบนิเวศบนบก (Terrestrial Ecosystem) ระบบนิเวศใน
นำ้ (Aquatic Ecosystem) และ ระบบนเิ วศเมอื ง (Urban Ecosystem)”
๒๐๐
๒. ครูอธบิ ายเพิ่มเติมให้นกั เรยี นเขา้ ใจว่า
“ระบบนิเวศ (Ecosystem) = กลุ่มส่งิ มชี ีวติ (Community) + แหล่งท่อี ยู่ (Habitat)
กลุ่มสิ่งมีชีวิต (Community) หมายถึง สิ่งมีชีวิตตั้งแต่สองชนิดมาอยูในแหลงที่อยูเดียวกันใน
เวลาเดยี วกัน สมาชิกแตละหนวยมีความสัมพันธ์กันโดยตรงหรอื โดยทางออม และตางมคี วามสาํ คัญตอกลุมส่ิง
มชี วี ิต ตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง
ประชากร (Population) หมายถึง สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวอาศัยอยู่ร่วมกันอาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่
เดียวกนั ณ ช่วงเวลาเดยี วกัน
ส่งิ มีชีวิต (Organism) หมายถึง สิง่ ท่ตี อ้ งใชพ้ ลังงานในการดำรงชวี ิต”
แหล่งที่อยู่ (Habitat) หมายถึง สถานที่ที่สิง่ มีชีวิตอาศัยอยู่กระจัดกระจายอยู่ตามทีต่ ่างๆ ทั่วไป
เพ่อื ใช้เปน็ แหล่งทอี่ ยู่อาศยั หาอาหาร หลบภัยจากศตั รู ผสมพนั ธุ์ วางไข่ เป็นต้น แหล่งท่ีอย่อู าศัยนี้มีขอบเขตที่
แนน่ อน แต่อาจมขี นาดแตกตา่ งกนั
สิ่งแวดล้อม (Environment) หมายถงึ
๑. สิ่งทีม่ ีผลตอ่ การดำรงชวี ิตของสิ่งมชี ีวิต ทำให้สิ่งมีชีวิตเจรญิ เตบิ โตหรือ ดำรงชวี ติ ได้ดหี รือไม่
๒. สิ่งท่ีอยู่รอบๆ ตวั เรา ท้ังทีม่ ชี วี ติ และไม่มชี วี ิต
๒๐๑
๒.๕ ขน้ั การประเมนิ (Evaluation)
๑. ครูประเมินโดยใช้กจิ กรรมการแข่งขนั เป็นกลุ่ม ดังน้ี
ขั้นท่ี ๑ ครูทบทวนบทเรยี นทเี่ รยี นมาแลว้ ครั้งกอ่ น ดว้ ยการซกั ถามและอธิบาย ตอบข้อสงสยั ของนกั เรยี น
ข้นั ที่ ๒ จัดกลมุ่ แบบคละกนั (Home Group) กลมุ่ ๓-๔ คน
ข้นั ท่ี ๓ แต่ละทมี ศกึ ษาหวั ขอ้ ที่เรยี นในวนั นี้จากแบบฝกึ (Worksheet And Answer Sheet) ทมี จะ
เร่มิ ทำการแข่งขนั ตอบปัญหา
ขั้นท่ี ๔ การแข่งขนั ตอบปญั หา (Academic Games Tournament)
๔.๑ ครูทำหนา้ ที่เปน็ ผู้จัดการห้องเรยี น โดยแบ่งตามความสามารถของนกั เรียน เช่น
โต๊ะที่ ๑ เป็นโต๊ะแข่งขันสำหรบั นกั เรยี นทีม่ ีความสามารถเกง่ มาก
โต๊ะท่ี ๒ และ ๓ เปน็ โต๊ะแข่งขันสำหรับนกั เรียนท่มี คี วามสามารถปานกลาง
โตะ๊ ที่ ๔ เปน็ โตะ๊ ท่ีแข่งขนั สำหรับนักเรียนท่มี คี วามสามารถอ่อน
๔.๒ ครูแจกซองคำถามจำนวน ๑๐ คำถามใหท้ ุกโต๊ะ (เป็นคำถามเหมอื นกนั )
๔.๓ นักเรยี นเปลยี่ นกนั หยิบซองคำถามทลี ะ ๑ ซอง (๑ คำถาม) แล้ววางลงกลางโต๊ะ
๔.๔ นักเรียน ๓ คนท่เี หลอื คำนวณหาคำตอบ จากคำถามท่อี ่าน
๔.๕ เขยี นคำตอบลงในกระดาษคำตอบทีแ่ ต่ละคนมอี ยู่
๔.๖ นกั เรียนคนทที่ ำหนา้ ทอ่ี า่ นคำถามจะเปน็ คนใหค้ ะแนน โดยมกี ติกาการใหค้ ะแนน ดังน้ี
๔.๖.๑ ผู้ตอบถกู เป็นคนแรก จะได้ ๒ คะแนน
๔.๖.๒ ผู้ตอบถกู คนต่อไป จะได้คนละ ๑ คะแนน
๔.๖.๓ ถ้าตอบผิด ให้ ๐ คะแนน
๔.๗ ทำขน้ั ตอนท่ี ๔.๓ - ๔.๕ โดยผลดั กันอ่านคำถามจนกว่าคำถามจะหมด
๔.๘ นักเรยี นทุกคนรวมคะแนนของตัวเอง โดยท่ที ุกคนควรไดต้ อบคำถามจำนวนเท่าๆ กัน
จดั ลำดับของคะแนนทีไ่ ด้ ซง่ึ กำหนดโบนัสของแต่ละโต๊ะดังนีโ้ บนสั ผทู้ ี่ไดค้ ะแนนสูงสดุ ที่ ๑ ประจำโตะ๊ แตล่ ะ
โตะ๊ จะไดโ้ บนสั ๑๐ แต้ม ผูท้ ีไ่ ด้คะแนนรองท่ี ๒ ประจำโต๊ะแตล่ ะโตะ๊ จะไดโ้ บนสั ๘ แต้ม ผู้ที่ไดค้ ะแนนรองท่ี
๓ ประจำโต๊ะแตล่ ะโตะ๊ จะได้โบนสั ๕ แต้ม ผู้ทีไ่ ด้คะแนนน้อยทสี่ ุด ประจำโตะ๊ แตล่ ะโตะ๊ จะได้โบนสั ๔ แตม้
ขน้ั ท่ี ๕ นักเรยี นกลับมากลุม่ เดิม (Home Group) รวมแต้มโบนสั ของทกุ คน ทีมใดทม่ี แี ตม้ โบนัสสงู สุด จะให้
รางวัลหรอื ตดิ ประกาศไวใ้ นมุมขา่ วของห้อง
๒. นักเรยี นทำกจิ กรรมและตอบคำถามท้ายกิจกรรมในใบกจิ กรรมที่ ๗.๑ องคป์ ระกอบของ
สภาพแวดล้อมในท้องถน่ิ มีปฏิสมั พันธ์กนั อยา่ งไร
๓. นักเรียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน เร่ือง ระบบนิเวศ
๒๐๒
๓. ส่ือ/อปุ กรณ/์ แหลง่ เรียนรู้
๓.๑ คมู่ ือครูรายวิชาพืน้ ฐาน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)
๓.๒ หนังสือเรียนรายวชิ าพนื้ ฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)
๓.๓ Power Point เรอื่ ง ระบบนิเวศ
๔. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ ีการวัดผลการเรียนรู้ เกณฑก์ ารประเมนิ ผล
ผ่านเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกว่า
ด้านความรู้ (K: Knowledge) - การตอบคำถาม ร้อยละ ๘๐
อธบิ ายปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบนเิ วศท่ไี ดจ้ าก ผา่ นเกณฑไ์ มน่ ้อยกวา่
รอ้ ยละ ๘๐
การสำรวจ
ผา่ นเกณฑ์ไมน่ อ้ ยกว่า
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P: Process) - การตอบคำถาม รอ้ ยละ ๘๐
สำรวจพื้นที่ตามเขตที่กำหนดเพื่อบันทึกสภาพแวดล้อมทาง - การทำกจิ กรรม ผา่ นเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกวา่
ร้อยละ ๘๐
กายภาพและทางชีวภาพ ชนิดและปริมาณของสิ่งมีชีวิตและ
สง่ิ ไม่มีชวี ติ
ด้านคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A: Attribute) - สงั เกตพฤตกิ รรมในการ
มคี วามกระตอื รือรน้ ในการทำงาน แสดงความคิดเหน็ อย่าง ทำงาน
สร้างสรรค์ และมีสว่ นร่วมในการทำงานเปน็ กลุม่
ด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - การตอบคำถาม
(Sc.P: Science Process Skills)
การสงั เกต
การวัด
การจำแนกประเภท
การจดั กระทำและสื่อความหมายขอ้ มลู
การหาความสมั พันธ์ระหว่างสเปซกบั สเปซและสเปซกบั เวลา
การลงความเห็นจากข้อมลู
การตีความหมายขอ้ มูลและลงข้อสรปุ
การสร้างแบบจำลอง
๒๐๓
แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคลชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓
คำชแ้ี จง ให้ครปู ระเมนิ พฤติกรรมของนกั เรยี นรายบุคคลในชั้นเรยี นตามแบบประเมนิ รายการในตาราง แลว้ ขดี
ลงในช่องทตี่ รงกับคะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ ๒ คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให้ ๑ คะแนน
ลำดับ ช่ือ-สกุล ความมวี นิ ยั ความมี การรับฟงั การแสดง การตรงตอ่ รวม
ท่ี นำ้ ใจ ความ ความ เวลา ๑๕
เอื้อเฟื้อ คิดเหน็ คดิ เห็น คะแนน
เสยี สละ
๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕ ๒๐๔
๒๖
๒๗ ลงช่อื …………………………………………………ผ้ปู ระเมิน
๒๘ ( นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมทุ ร )
๒๙
๓๐ วนั ท…ี่ ……เดอื น………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๓๖
๓๗
๓๘
๓๙
๔๐
เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
๑๒ - ๑๕ ดี
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ตำ่ กวา่ ๘ ปรบั ปรงุ
๒๐๕
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุม่
ช่อื กล่มุ …………………………………………………………………………………………………………………..ชั้น…………
คำชแ้ี จง : ให้ผ้สู อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในชอ่ ง
ที่ตรงกับระดบั คะแนน
ลำดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน
๓๒๑
๑ การแบง่ หน้าท่กี ันอยา่ งเหมาะสม
๒ ความร่วมมอื กันทำงาน รวม
๓ การแสดงความคิดเห็น
๔ การรบั ฟงั ความคิดเห็น
๕ ความมีน้ำใจช่วยเหลือกนั
เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ ลงชื่อ…………………………………………………ผปู้ ระเมิน
( นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมุทร )
๑๒ - ๑๕ ดี
วนั ท…ี่ ……เดือน………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ต่ำกวา่ ๘ ปรับปรุง
๒๐๖
บันทกึ ผลหลังการจัดการเรียนรู้
ผลการจัดกจิ กรรม
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ปัญหา/อุปสรรค
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ………………………………………….นกั ศกึ ษาปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษา
(นางสาวพลอยทิพย์ เวยี งสมุทร)
วนั ที่............เดอื น...............................พ.ศ.๒๕๖๕
ความคดิ เหน็ ของครพู ่ีเลย้ี ง
เป็นแผนการจดั การเรียนรู้ที่
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรงุ กอ่ นนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอื่นๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่อื ……………………………………..
(นางอรญั ญา บรจิ าค)
๒๐๗
ความคิดเห็นของหัวหนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้
เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรุงกอ่ นนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอ่ืนๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่ือ……………………………………..
(นายธนภณ อ่นุ วิเศษ)
ความคดิ เห็นของหวั หนา้ กลุม่ งานบรหิ ารงานวิชาการ
๑. เป็นแผนการจัดการเรยี นรู้ที่
องคป์ ระกอบครบถ้วน องคป์ ระกอบไมค่ รบ คือ.........................................................
๒. การจัดกจิ กรรมการเรียนร/ู้ กระบวนการเรียนรเู้ หมาะสม
เน้นผเู้ รียนเปน็ สำคัญ กิจกรรมเหมาะสมกบั เน้อื หา/ส่อื /เวลา
ไม่เนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั ควรปรับปรุงพฒั นาต่อไป
๓. การวดั /ประเมินผล
หลากหลาย เหมาะสม ประเมนิ ตามสภาพจริง
การประเมินผลควรหลากหลาย และประเมนิ ตามสภาพจริง
ขอ้ เสนอแนะอ่ืนๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่ือ……………………………………..
(นายวิทยา อนิ กง)
ความคดิ เหน็ ของผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นหรือผู้ทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่อื ……………………………………..
(นางสาวสภุ าวดี ผาตะเนตร)
ตำแหน่ง รองผอู้ ำนวยการโรงเรียนกลมุ่ งานบรหิ ารงานวิชาการ
๒๐๘
กจิ กรรมท่ี ๗.๑ องคป์ ระกอบของสภาพแวดล้อมในท้องถ่ินมีปฏิสมั พันธก์ ันอยา่ งไร
สมาชกิ
๑. ช่อื ……………………………………………………………………………….. ชัน้ ……………….. เลขที่ ……………
๒. ชอ่ื ……………………………………………………………………………….. ช้ัน ……………….. เลขที่ ……………
๓. ชื่อ ……………………………………………………………………………….. ช้ัน ……………….. เลขที่ ……………
๔. ชื่อ ……………………………………………………………………………….. ชน้ั ……………….. เลขที่ ……………
๕. ชอื่ ……………………………………………………………………………….. ช้นั ……………….. เลขที่ ……………
๖. ชอ่ื ……………………………………………………………………………….. ชน้ั ……………….. เลขที่ ……………
จดุ ประสงค์
๑. สำรวจและอธิบายปฏสิ ัมพนั ธ์ขององค์ประกอบของสภาพแวดลอ้ มในท้องถิน่
วัสด/ุ อุปกรณ์
๑. เทอร์มอมเิ ตอร์ ๒. แทง่ แก้วคน ๓. กระดาษยูนเิ วอรซ์ ลั อนิ ดเิ คเตอร์
๔. กระจกนาฬิกา ๕. ปากคบี ๖. พู่กนั
๗. ถุงพลาสติก ๘. บีกเกอรห์ รือแก้วพลาสตกิ ใส ๙. เข็มทศิ
๑๐. อุปกรณ์บนั ทกึ ภาพ ๑๑. แว่นขยายหรอื กล้องจลุ ทรรศน์ใช้แสง ๑๒. เซคคดิ ิสก์ (Secchi disc)
๑๓. ลกั ซ์มิเตอร์ (Lux meter) ๑๔. น้ำกล่ัน ๑๕. ช้อนปลูก
ขน้ั ตอน
๑. เลอื กบรเิ วณที่จะสำรวจในทอ้ งถิน่ หรอื บริเวณโรงเรยี น เชน่ บริเวณสระน้ำ สวนธรรมชาติ สวนหย่อม หลัง
อาคารเรียน โดยไมซ่ ำ้ กันในแตล่ ะกลุม่
๒. กำหนดขอบเขตของบรเิ วณที่สำรวจ
๓. สังเกตและบันทึกสภาพแวดล้อมทางกายภาพของบริเวณที่สำรวจ เช่น ลักษณะภูมิศาสตร์ ลักษณะดิน
แหลง่ น้ำ สภาพอากาศ สิ่งปนเป้อื นในสภาพแวดล้อม จากน้ันวาดแผนผงั ของบริเวณที่จะศกึ ษา โดยระบมุ าตรา
ส่วนรายละเอยี ดของบริเวณโดยรอบ และระบทุ ิศใหถ้ กู ต้อง
๔. เก็บและรวบรวมข้อมลู ของสภาพแวดล้อมในบรเิ วณที่สำรวจ เช่น อุณหภมู ิ ความเปน็ กรด-เบส (pH) ความ
โปรง่ ใสของน้ำ ความสว่าง โดยมวี ิธีการดงั นี้
การวัดอุณหภูมิ
• บริเวณแหลง่ น้ำ วัดอุณหภูมิท่ีผิวนำ้ โดยจมุ่ เทอรม์ อมเิ ตอรล์ งในนำ้ ลึกประมาณ ๕ เซนติเมตร บนั ทึก
ผล
• บรเิ วณพ้ืนดิน วัดอุณหภมู ิทผ่ี วิ ดินโดยเสยี บเทอรม์ อมิเตอร์ลงไปในดินลึกประมาณ ๕ เซนติเมตร
บันทกึ ผล
๒๐๙
การวัดความเป็นกรด-เบส (pH)
• บรเิ วณแหลง่ น้ำวัด pH ของน้ำโดยเกบ็ ตัวอย่างนำ้ ทผี่ ิวนำ้ แลว้ ใช้แทง่ แก้วจมุ่ ลงในตวั อยา่ งน้ำมาแตะ
ลงบนกระดาษยนู เิ วอร์ซลั อินดิเคเตอรท์ ี่วางอยบู่ นกระจกนาฬิกา เทียบสกี ับสีมาตรฐานทต่ี ิดอย่บู น
กลอ่ ง บนั ทกึ คา่ pH ที่อ่านได้
• บรเิ วณพน้ื ดินวัด pH ของดนิ โดยนำดนิ จากระดับผวิ ดินปรมิ าณ ๑๐ กรัมใส่ลงในแก้วพลาสตกิ ใสแล้ว
เตมิ น้ำกลน่ั ๑๐ ลกู บาศก์เซนติเมตร ใชแ้ ท่งแก้วคนให้เขา้ กนั ตั้งทงิ้ ไว้ ๑๐ นาทีหรอื จนกว่าจะ
ตกตะกอน แล้วใชแ้ ทง่ แก้วจมุ่ ส่วนท่เี ปน็ ของเหลวมาแตะลงบนกระดาษยูนเิ วอรซ์ ลั อนิ ดิเคเตอรท์ ว่ี าง
อยู่บนกระจกนาฬิกา เทียบสกี ับสมี าตรฐานบันทึกคา่ pH ทอี่ ่านได้
การวัดความโปร่งใสของนำ้
• บริเวณแหลง่ นำ้ สามารถวดั ความลึกท่ีแสงส่องผ่านลงไปในน้ำโดยใชเ้ ซคคดิ ิสกซ์ ึง่ มวี ธิ ีใชด้ งั น้ี
(๑) ทำเครือ่ งหมายบนเส้นเชือกที่ผูกติดกบั เซคคิดิสก์เพ่ือบอกระดับความลึกของนำ้ หย่อนเซคคิดิสก์
ลงในแหลง่ น้ำจนถึงระยะท่ีเรม่ิ มองไม่เหน็ เซคคดิ ิสก์ แล้วบันทกึ คา่ ความลึกของระดับน้ำจากเครอ่ื งหมายที่ทำ
ไวบ้ นเชอื ก
(๒) หยอ่ นเซคคิดิสกล์ งไปในน้ำอีกเล็กน้อยแล้วดงึ เซคคิดิสก์ขึน้ ชา้ ๆ จนเร่ิมมองเหน็ เซคคดิ ิสกอ์ ีกคร้ัง
แลว้ บันทกึ คา่ ความลึกของระดับนำ้ จากเคร่ืองหมายที่ทำไว้บนเชอื ก
(๓) หาค่าความลึกท่แี สงสอ่ งผ่านลงนำ้ ไดโ้ ดยหาค่าเฉล่ยี ความลกึ ของระดับนำ้ จากข้อ (๑) และ (๒)
บันทึกผล
การวัดความสว่าง
• บริเวณพื้นท่บี นบก วัดความสวา่ งโดยใช้ลักซ์มเิ ตอร์ซ่ึงมหี นว่ ยเป็นลักซ์ (Lux)
๕. เก็บและรวบรวมข้อมูลของส่ิงมีชีวิตในบริเวณทีส่ ำรวจ เช่น ข้อมูลทัว่ ไปของสิ่งมชี วี ติ การตอบสนองตอ่ ส่งิ
เร้าของส่ิงมีชีวิต
ขอ้ มลู ทว่ั ไปของสิ่งมีชีวติ
• ระบชุ ่ือของสง่ิ มชี วี ติ รูปร่าง ลักษณะ จำนวนแหล่งท่ีพบ เวลาท่ีพบ ในกรณที ี่ต้องการศกึ ษาสง่ิ มชี วี ิต
บางชนดิ เพิม่ เติม ถ้าบริเวณท่ีสำรวจเปน็ พ้ืนทบ่ี นบก ใหเ้ ก็บตัวอย่างสิ่งมีชีวติ นน้ั ใส่ถงุ พลาสตกิ แต่ถ้า
บริเวณที่สำรวจเป็นแหลง่ นำ้ ให้เกบ็ ตัวอยา่ งน้ำใส่แกว้ พลาสตกิ จากนนั้ นำตัวอย่างมาศึกษาโดยใช้แวน่
ขยายหรือกลอ้ งจุลทรรศนใ์ ช้แสง
๒๑๐
• บนั ทึกภาพนิง่ หรือภาพเคลื่อนไหวของสง่ิ มีชีวติ ทีพ่ บโดยใชอ้ ปุ กรณ์บนั ทกึ ภาพและอาจนำวตั ถอุ ้างอิงที่
รขู้ นาดเช่น เหรยี ญหรอื ไม้บรรทดั วางไวข้ ้างสง่ิ มีชีวติ เพอ่ื ใช้เปรียบเทียบขนาดของสง่ิ มีชีวติ กับวตั ถุ
อ้างองิ
การตอบสนองตอ่ ส่งิ เรา้ ของสิ่งมีชีวติ
• สังเกตการตอบสนองตอ่ ส่ิงเร้าของพืชและสัตว์ เช่น การหุบของใบไมยราบเมอื่ ถกู สัมผสั การหุบและ
บานของดอกไม้ การบินตอมดอกไม้ของแมลง การหาอาหารของสัตว์
๖. วิเคราะห์ข้อมูลจากการสำรวจและอธิบายปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตกับ
สิง่ ไม่มีชีวิตในบรเิ วณท่ีสำรวจ
๗. สืบคน้ ขอ้ มูลเพิม่ เตมิ เก่ยี วกบั ปฏิสมั พนั ธข์ องสิ่งตา่ งๆท่ีสำรวจพบและนำเสนอผลการทำกจิ กรรม
ผลการทำกจิ กรรม
บริเวณท่สี ำรวจ คอื ………………………………………………………………………………………………………………………………
สภาพทวั่ ไปมีลักษณะดังน้ี……………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
องค์ประกอบท่ีไม่มีชีวติ ได้แก่ แสงสว่าง ประมาณ……………………………………………………………………………………
อณุ หภมู ทิ ี่วัดได้……………………………………………………………………………………………………………………………………
ความเป็นกรด-เบส (pH)………………………………………………………………………………………………………………………
ตารางบันทกึ ผล
พฤติกรรมที่
สิง่ มชี วี ติ ทพ่ี บ ลกั ษณะสำคญั จำนวน แหลง่ ทีพ่ บ สังเกต/การกนิ
อาหาร
๒๑๑
คำถามทา้ ยกิจกรรม
๑. ในบรเิ วณที่สำรวจ พบสิ่งมชี ีวติ ชนดิ ใดมากที่สุดและส่ิงมชี ีวติ ชนดิ ใดน้อยท่สี ุด เพราะเหตุใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๒. สง่ิ มีชวี ติ ท่พี บในบริเวณที่สำรวจมคี วามสัมพนั ธ์กันหรอื ไม่ อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๓. ชนิดและปริมาณของส่งิ มชี วี ติ และสง่ิ ไม่มีชวี ติ ในแต่ละบรเิ วณ เหมือนหรอื แตกต่างกันอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๔. สงิ่ ไมม่ ีชีวิตท่ีพบในแตล่ ะบริเวณมีผลทำให้ชนิดของสิ่งมชี วี ติ มคี วามแตกต่างกนั หรอื ไม่ อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๕. จากกิจกรรม สรปุ ไดว้ ่าอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๒๑๒
แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชวี ภาพ
เร่อื งท่ี ๑ ระบบนิเวศ
คำชแ้ี จง ให้นักเรียนเขยี นเครอ่ื งหมาย หน้าคำตอบที่ถูกตอ้ งท่ีสุดเพียงขอ้ เดยี ว
๑. ระบบนิเวศ หมายถงึ อะไร
ก. สถานท่ีทีม่ สี ่งิ มีชีวิตอาศัยอยู่
ข. สิ่งตา่ งๆ ทีอ่ ยูร่ วมกนั กับสงิ่ มีชวี ติ
ค. กลุ่มของสงิ่ มชี ีวติ ที่อย่รู วมกนั ในแต่ละแหล่ง
ง. ความสัมพนั ธ์ของกลมุ่ ส่งิ มชี วี ิตในแหล่งทีอ่ ยู่เดียวกัน
๒. ขอ้ ใดไมจ่ ดั เปน็ ระบบนิเวศ
ก. บอ่ น้ำทม่ี ีสิง่ มีชวี ติ อยู่เต็ม
ข. สนามกฬี าในโรงพลศึกษา
ค. สนามหญ้าด้านหนา้ โรงเรียน
ง. อทุ ยานแหง่ ชาติและป่าสงวน
๓. โครงสร้างของระบบนเิ วศประกอบด้วยปัจจยั ใหญๆ่ ๒ ประการคอื ขอ้ ใด
ก. ปัจจยั ทางบกและปจั จยั ทางน้ำ
ข. ปัจจัยทางกายภาพและชวี ภาพ
ค. ปัจจัยทางน้ำและปัจจัยทางอากาศ
ง. ปจั จัยทางกายภาพและเสถยี รภาพ
๔. ข้อใดไมใ่ ชว้ ธิ กี ารปรบั ตัวของสิ่งมีชีวติ ทอี่ าศยั อย่ใู นระบบนเิ วศป่าชายเลน
ก. พืชมรี ากค้ำจนุ และรากอากาศ
ข. เมล็ดพชื งอกตงั้ แตอ่ ยูบ่ นต้นแม่ เม่ือหล่นสูพ่ ืน้ ก็เจริญไดท้ ันที
ค. ปลาตนี พฒั นาครบี ให้มคี วามแข็งแรงสามารถใช้เดินแทนการวา่ ยน้ำ
ง. พืชซง่ึ พฒั นาเมลด็ ให้มนี ้ำหนกั เบาและมีขนชว่ ยให้ลมสามารถพดั ไปไดไ้ กล
๕. ข้อใดจัดเป็นระบบนิเวศทีม่ ีขนาดใหญท่ ส่ี ุด
ก. ระบบนเิ วศโลก
ข. ระบบนเิ วศบนบก
ค. ระบบนิเวศป่าชายเลน
ง. ระบบนิเวศในแหลง่ น้ำ
๒๑๓
๖. ข้อใดเป็นองคป์ ระกอบทางชวี ภาพ
ก. ดนิ
ข. แร่ธาตุ
ค. สิ่งมชี ีวิต
ง. อณุ หภมู ิ
๗. สงิ่ มีชวี ติ ในขอ้ ใดมีบทบาทในระบบนเิ วศต่างจากข้ออ่ืนๆ
ก. มด
ข. ลงิ
ค. แมว
ง. กระต่าย
๘. ปลวกมคี วามสำคัญตอ่ ระบบนิเวศคอื มีหน้าทเี่ ปน็ อะไร
ก. ผผู้ ลิต
ข. ผู้บรโิ ภค
ค. ผู้ย่อยสลาย
ง. เปน็ ท้ังผผู้ ลติ และผู้บรโิ ภค
๙. สิ่งมชี ีวติ ชนดิ ใดท่ีมคี วามสำคญั ตอ่ ระบบนเิ วศมากท่ีสดุ
ก. หนู
ข. หญ้า
ค. กิ้งกอื
ง. กระตา่ ย
๑๐. สง่ิ มชี วี ิตกลุ่มใดทีย่ อ่ ยสลายซากส่งิ มชี ีวิตให้กลายเป็นสารอนิ ทรยี ์ได้
ก. พืชสเี ขียว
ข. สัตวก์ จิ พืช
ค. สตั ว์กินเน้ือ
ง. ผู้ย่อยสลาย
๒๑๔
คำถาม เร่อื ง องค์ประกอบของระบบนเิ วศ
ระบบนิเวศมอี งค์ประกอบทสี่ ำคญั ก่สี ่วน ก. ๒ สว่ น ข. ๓ สว่ น
ข้อใดคอื องค์ประกอบทางชวี ภาพ ก. อุณหภูมิ ข. เห็ด
คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซเิ จน และน้ำ เป็น ก. อนินทรยี สาร ข. อนิ ทรยี สาร
องค์ประกอบทางกายภาพประเภทใด
ระบบนเิ วศท่มี ีขนาดใหญท่ ่ีสุดหรือท่เี รยี กว่าอะไร ก. ชีวมณฑล ข. ชีวภาพ
ระบบนิเวศสามารถจำแนกออกไดเ้ ป็น ๓ ประเภท ก. บนบก ในน้ำ เมอื ง ข. บนบก ในนำ้ อากาศ
อะไรบ้าง
“สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวอาศัยอยู่ร่วมกันอาศัยอยู่ใน ก. กลมุ่ สง่ิ มีชีวติ ข. ประชากร
แหล่งที่อยู่เดียวกัน ณ ช่วงเวลาเดียวกัน” คือ
ความหมายของคำใด
โครงสรา้ งของสงิ่ มชี ีวิตในระบบนเิ วศแบ่งออกเปน็ ๓ ก. ผผู้ ลติ ผบู้ ริโภค ผ้ยู อ่ ยสลาย
ระดบั ไดแ้ ก่อะไรบ้าง ข. ผู้ผลติ ผลู้ ่า ผยู้ ่อยสลาย
สัตวต์ า่ งๆไดร้ ับธาตอุ าหารโดยการกนิ สารอนิ ทรีย์ ก. แอนาบอลิซมึ ข. เมแทบบอลซิ มึ
และเปล่ยี นเป็นพลังงานภายในเซลล์ เรียกวา่
กระบวนการใด
ระบบนิเวศบนบกแบบใดทพ่ี บไดใ้ นประเทศแอฟริกา ก. ทะเลทราย ข. ป่าสน
บริเวณทางตอนเหนอื ของประเทศแคนาดา จะพบ ก. ปา่ ดบิ ช้นื ข. ทุนดรา
ระบบนิเวศบนบกแบบใด
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๑๔
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๓
รายวิชา วิทยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน ๖ รหัสวิชา ว๒๓๑๐๒
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๗ เรื่อง ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ ๑๒ ชวั่ โมง
หน่วยการเรียนรู้ย่อย ๗.๒ เรือ่ ง ความสมั พนั ธ์ของสิ่งมชี วี ติ ในระบบนิเวศ ๑ ๒ ชัว่ โมง
ผูส้ อน นางสาวพลอยทิพย์ เวยี งสมทุ ร ตำแหนง่ นักศึกษาปฏบิ ัตกิ ารสอนในสถานศึกษา ภาคเรียนท่ี ๒/๒๕๖๔
สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพันธร์ ะหว่างสงิ่ ไมม่ ชี วี ติ กบั สงิ่ มีชวี ติ และ
ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งมชี วี ิตกับสิง่ มีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ การถา่ ยทอดพลงั งาน การ
เปล่ียนแปลงแทนทีใ่ นระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อ
ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม แนวทางในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและการ
แก้ไขปัญหาสงิ่ แวดลอ้ ม รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ระดบั ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง
กลุ่มส่งิ มีชวี ติ ในระบบนิเวศแบ่งตามหน้าทีไ่ ดเ้ ป็น
ม.๓ ม.๓/๓ สร้างแบบจำลองในการอธิบายการ ๓ กลุ่ม ได้แก่ ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย
สารอนิ ทรยี ์ สิ่งมีชวี ิตท้งั ๓ กลมุ่ นี้ มีความสมั พันธ์
ถา่ ยทอดพลงั งานในสายใยอาหาร กัน ผู้ผลติ เปน็ สง่ิ มีชวี ิตท่ีสรา้ งอาหารไดเ้ อง โดย
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ผบู้ รโิ ภค เปน็
ม.๓/๔ อธิบายความสัมพันธข์ องผผู้ ลิต ส่งิ มีชวี ติ ท่ไี ม่สามารถสรา้ งอาหารได้เอง และต้อง
กนิ ผ้ผู ลติ หรือส่ิงมชี ีวติ อน่ื เป็นอาหาร เมอ่ื ผ้ผู ลติ
ผูบ้ รโิ ภค และผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ใน และผบู้ รโิ ภคตายลงจะถูกย่อยโดยผู้ยอ่ ยสลาย
สารอนิ ทรยี ซ์ ง่ึ จะเปล่ยี นสารอนิ ทรียเ์ ป็นสารอนนิ ท
ระบบนิเวศ รียก์ ลับคนื สูส่ งิ่ แวดล้อม ทำให้เกิดการหมุนเวยี น
สารเปน็ วฏั จักร จำนวนผูผ้ ลิต ผู้บรโิ ภค และผู้ยอ่ ย
สลายสารอนิ ทรยี ์จะต้องมคี วามเหมาะสม จงึ ทำให้
กล่มุ ส่งิ มีชวี ิตอยูไ่ ด้อยา่ งสมดุล
พลังงานถูกถ่ายทอดจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค
ลำดับต่าง ๆ รวมทั้งผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ใน
รูปแบบสายใยอาหาร ที่ประกอบด้วย โซ่อาหาร
๒๑๖
หลายโซ่ทส่ี ัมพนั ธ์กัน ในการถ่ายทอดพลังงานในโซ่
อาหาร พลังงานที่ถูกถ่ายทอดไปจะลดลงเรื่อย ๆ
ตามลำดับของการบรโิ ภค
๑. กําหนดเป้าหมายการเรยี นรู้
๑.๑ สาระการเรียนรู้/เน้อื หาการเรียนรู้
เรอื่ งที่ ๒ ความสมั พนั ธ์ของสง่ิ มชี ีวิตในระบบนเิ วศ ๑
๑) โซอ่ าหารและสายใยอาหาร
๒) การถ่ายทอดพลังงาน
๑.๒ สาระสาํ คญั /ความคิดรวบยอดของเร่อื งที่เรยี น
สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน โดยสิ่งมีชีวิตในบริเวณเดียวกันจะมีการ
ถ่ายทอดพลังงานผ่านการกินต่อกันเป็นทอด ๆ โดยเริ่มจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ผลิตถ่ายพลังงานไปยังผู้บริโภค
ลำดับต่อไปเรื่อย ๆ เรียกว่า โซ่อาหาร ในธรรมชาติสิ่งมีชีวิตไม่ได้กินสิ่งมชี ีวิตอื่นเพียงชนิดเดียว แต่มีการกิน
มากกวา่ ๑ ชนิด จงึ ทำใหม้ กี ารถ่ายทอดพลงั งานทซ่ี ับซ้อนมากกวา่ เรยี กว่า สายใยอาหาร
๑.๓ จุดประสงค์การเรยี นรู้: เม่ือผู้เรยี นจบกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถ
ดา้ นความรู้ (K: Knowledge) อธบิ ายความสัมพนั ธข์ องผผู้ ลิต ผ้บู ริโภค และผู้
ด้านทักษะกระบวนการ (P: Process) ย่อยสลาย
ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A: Attribute) สร้างแบบจำลองในการอธิบายการถ่ายทอด
พลงั งานในสายใยอาหาร
มีความกระตือรือร้นในการทำงาน แสดงความ
คิดเหน็ อย่างสรา้ งสรรค์ และมสี ่วนรว่ มในการทำงาน
เปน็ กลุ่ม
๒๑๗
ด้านทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Sc.P: Science Process Skills)
การสงั เกต การลงความเห็นจากข้อมูล
การวดั การกำหนดและควบคมุ ตัวแปร
การคำนวณ/การใชต้ ัวเลข การกำหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบตั ิการ
การจำแนกประเภท การตง้ั สมมติฐาน
การจดั กระทำและสื่อความหมายขอ้ มูล การทดลอง
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ การตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรุป
และสเปซกับเวลา การสรา้ งแบบจำลอง
การพยากรณ์/การทำนาย
๒. กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบ ๕E
๒.๑ ข้นั การสร้างความสนใจ (Engagement)
๑. ครูใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรอื่ งที่ ๒ โซอ่ าหารและสายใยอาหาร เพ่อื วัดความรู้
เดิมของนกั เรยี นก่อนเข้าสู่กจิ กรรม
๒. ครูเปิดประเดน็ คำถามโดยโดยให้นกั เรยี นพจิ ารณาภาพท้งั หมด ๙ ภาพ ที่ครจู ัดเตรยี มไว้ จากน้นั
นำหมายเลขทอี่ ยใู่ ต้ภาพมาเรยี งลำดับการกินตามความคดิ ของนักเรียน แล้วให้นักเรียนเขยี นสัญลักษณล์ กู ศร
แทนการกิน โดยใหห้ วั ลูกศรชี้ไปทางหมายเลขของผบู้ รโิ ภค
๑๒ ๓
๔๕ ๖
๗๘ ๙
๒๑๘
๒.๒ ขัน้ การสำรวจและคน้ หา (Exploration)
๑. นกั เรียนจบั กลมุ่ กบั เพ่อื นในช้นั เรยี นตามความสมคั รใจ กลุม่ ละ ๕-๖ คน จากน้ันรว่ มกนั ศกึ ษา
คน้ คว้าขอ้ มลู เก่ียวกับเรอ่ื ง โซอ่ าหารและสายใยอาหาร จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.๓ เลม่
๒ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ ๗ ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชวี ภาพ หรือแหลง่ การเรยี นรูต้ า่ ง ๆ เช่น
อนิ เทอรเ์ นต็
๒. นักเรยี นแต่ละกลุ่มทำกจิ กรรมท่ี ๗.๒ สรา้ งแบบจำลองสายใยอาหารไดอ้ ย่างไร จากหนังสอื เรยี น
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.๓ เล่ม ๒
กิจกรรมที่ ๗.๒ สรา้ งแบบจำลองสายใยอาหารได้อย่างไร
วสั ด/ุ อปุ กรณ์ ขั้นตอน
- ๑. เลือกระบบนิเวศ ๑ ระบบนิเวศ จากที่กำหนดใน
ตาราง
๒. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับอาหารของสิ่งมีชีวิตแต่ละ
ชนิดในระบบนเิ วศ บนั ทึกผล
๓. เขยี นโซ่อาหารในระบบนเิ วศใหไ้ ด้มากที่สดุ
๔. นำโซอ่ าหารจากข้อ ๓ มาเขยี นเป็นสายใยอาหาร
และนำเสนอความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในสายใย
อาหาร
๓. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มรว่ มกนั ทำกิจกรรมและบันทึกลงในใบกิจกรรม พรอ้ มตอบคำถามท้ายกจิ กรรม
๒.๓ ขัน้ การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
๑. ใหต้ วั แทนกลมุ่ ของแตล่ ะกลุม่ นำเสนอโซอ่ าหารของตนเอง เมื่อตวั แทนกลุ่มนำเสนอจบแลว้
นักเรียนคนใดมีข้อสงสยั หรอื ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเตมิ ให้ยกมือแลว้ ลกุ ข้นึ ถามคำถามหรอื แสดงความคดิ เห็นใหก้ ับ
ผลงานของเพือ่ นกลมุ่ อืน่ ในระหวา่ งนี้ ครูจะประเมินความถูกต้องของโซอ่ าหารและอธบิ ายเพ่ิมเตมิ ให้นกั เรียน
เกิดความเข้าใจท่ตี รงกัน
๒. ครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจว่า “ในธรรมชาติสิ่งมีชีวิตไม่ได้กินสิ่งมีชีวิตเพียงชนดิ เดียว แต่
สามารถกนิ สง่ิ มีชวี ติ อนื่ ได้มากกว่า ๑ ชนิด ทำใหเ้ กิดการกินท่ีซับซอ้ น หรือมีโซอ่ าหารมากกว่าหลายโซ่ เรียกว่า
สายใยอาหาร”
๓. ครตู ง้ั ประเด็นกระต้นุ ความคิดของนักเรียนวา่ หากสิ่งมีชีวิตท่ีครกู ำหนดให้กับแต่ละกลุ่มข้างตน้ อยู่
ในระบบนเิ วศเดียวกันจะเกิดการกินท่ซี ับซ้อน ให้นักเรียนเขยี นแผนภาพสายใยอาหารของระบบนเิ วศนี้ร่วมกนั
หน้าชน้ั เรียน
๒๑๙
๔. ครูและนักเรียนร่วมกันอธิบายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับโซ่อาหารและสายใยอาหาร โดยครูใช้
แผนภาพ วดิ ิทัศน์ หรือ Power Point ประกอบการอธบิ ายและลงข้อสรปุ
ตวั อยา่ งสรุป โซ่อาหารและสายใยอาหาร
ในแต่ละระบบนิเวศมีหลายโซ่อาหารอยู่รวมกัน โดยสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งอาจเป็นส่วนประกอบของโซ่
อาหารได้หลายโซอ่ าหาร ความสมั พนั ธ์ของโซ่อาหารหลายๆ โซ่ รวมเรยี กวา่ สายใยอาหาร
ผู้ผลิต สิ่งมีชีวิตกินพืช สิ่งมีชีวิตกินสัตว์ ในระบบนิเวศ มีความสัมพันธ์ในลักษณะการกินต่อกันเปน็
ทอดๆ คล้ายกับแตล่ ะหว่ งในสายโซ่ ความสมั พันธน์ เ้ี รียกว่า โซ่อาหาร (food chain)
ในการเขียนโซ่อาหาร ให้เขียนโดยเริ่มจากผู้ผลิต อยู่ทางด้านซ้าย และตามด้วยผู้บริโภคลำดับที่ ๑
ตามด้วยผู้บริโภคลำดบั ที่ ๒ ตามด้วยผู้บรโิ ภคลำดับที่ ๓ ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงผูบ้ ริโภคลำดับสดุ ท้าย และเขียน
ลูกศรแทนการถ่ายทอดพลังงาน จากส่ิงมชี ีวิตหนง่ึ ไปยงั อีกส่งิ มชี ีวิตหนึง่ โดยเขยี นใหห้ วั ลูกศรชไ้ี ปทางผู้ล่า ดังนี้
หนู เป็นผ้บู ริโภคลำดับที่ ๑
งู เป็นผบู้ รโิ ภคลำดับท่ี ๒
นกเคา้ แมว เป็นผู้บริโภคลำดบั ท่ี ๓
ในแตล่ ะโซอ่ าหาร สัตว์บางชนิดเปน็ ทัง้ ผู้ลา่ และเหย่ือ จากตัวอยา่ งโซ่อาหารขา้ งต้น สัตวท์ ่ีเปน็ ทง้ั ผู้ล่า
และเหย่ือคอื “งู”
การกนิ กนั เป็นทอดๆ ทำใหเ้ กิดการถ่ายทอดพลงั งาน ส่งผา่ นสารอาหารจากชวี ิตหน่งึ ไปส่อู ีกชวี ติ หนงึ่
การถ่ายทอดน้กี ็คือหว่ งโซ่อาหารท่เี กดิ ข้ึนในระบบนเิ วศ
๒๒๐
ในโซ่อาหาร การถ่ายทอดพลงั งานจะถ่ายทอดจากชวี ิตหนึ่ง ไปสอู่ กี ชวี ติ หน่งึ เรียงเป็นเส้นตรง แต่เนื่องจากใน
ระบบนิเวศหนึ่งๆ ที่มีสิ่งมีชีวิตหลากหลาย สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งอาจกินสิ่งมีชีวิตเป็นอาหารได้หลายชนิด และ
สงิ่ มีชีวิตทเ่ี ปน็ เหยือ่ ชนดิ หน่งึ ก็อาจถูกสง่ิ มชี ีวติ หลายชนดิ จับกินได้
เมื่อเขียนผังการถ่ายทอดพลังงานจึงไม่ได้เรียงเป็นเส้นตรง แต่เกิดการโยงใยเป็นร่างแห ลักษณะ
ดังกล่าวเรียกว่า สายใยอาหาร (food web) ซึ่งสายใยอาหารจะประกอบด้วย ห่วงโซ่อาหารหลายสายที่
เชอื่ มโยงกนั อนั แสดงถึงความสัมพนั ธอ์ นั สลับซับซอ้ นของสิ่งมีชวี ิตในชุมชนของระบบนเิ วศ ซง่ึ ยิ่งสายใยอาหาร
มคี วามสลบั ซ้บซ้อนมากเพียงใด ก็ย่งิ แสดงให้เห็นถึงความสมดลุ และความสมบูรณ์ของระบบนเิ วศนัน้ เพยี งนั้น
๒.๔ ข้นั การขยายความรู้ (Elaboration)
๑. ครูตั้งประเด็นถามคำถามให้นักเรียนคิดต่อไปว่า “ปริมาณพลังงานที่ถ่ายทอดจากผู้ผลิตไปยัง
ผู้บริโภคจะมากขึ้นหรือนอ้ ยลง”
๒. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๖ คน ตามความสมัครใจ แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษา
กิจกรรม จำลองการถ่ายทอดพลังงานในสายใยอาหารจากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.๓ เล่ม ๒ หน่วยการเรียนรูท้ ี่ ๗ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ จากนั้นให้สมาชกิ
ภายในกลมุ่ ผลัดกนั อธบิ ายแลกเปลยี่ นความรเู้ พอื่ ให้เกดิ ความเข้าใจที่ตรงกนั
๓. ครถู ามคำถามทา้ ยกิจกรรม โดยใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นเพื่อหา
คำตอบ ดงั นี้
- ส่งิ มีชีวิตเร่มิ ตน้ ของสายใยอาหารเป็นส่งิ มชี วี ติ ชนดิ ใด
(แนวตอบ : พืช)
๒๒๑
- ผบู้ ริโภคลำดับท่ี ๑ มกั เป็นส่ิงมชี ีวิตประเภทใด
(แนวตอบ : ผู้บริโภคพชื )
- ระดบั พลังงานในสายใยอาหารท่ถี กู ถา่ ยทอดไปตามลำดับขัน้ เป็นอย่างไร
(แนวตอบ : ลดลงตามลำดบั ของผ้บู รโิ ภคทสี่ งู ข้ึน)
๔. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลการปฏิบัติกิจกรรม จำลองการถ่ายทอดพลังงานในสายใย
อาหาร เพ่ือให้ได้ข้อสรปุ รว่ มกนั ว่า “ปรมิ าณพลังงานจากผู้ผลิตไปยงั ผู้บริโภคลำดบั ต่าง ๆ จะลดลงไปทีละขั้น
ตามลำดับของผบู้ ริโภคท่ีสูงขึน้ เนื่องจากส่งิ มชี ีวติ ไม่ได้กินสิง่ มชี วี ติ อน่ื ทง้ั หมด มีบางส่วนท่ีไม่สามารถย่อยสลาย
หรือดูดซึมไปใช้ได้ รวมทั้งในการดำรงชีวิตประจำวัน พลังงานความร้อนบางส่วนจะถูกถ่ายโอนสู่ส่ิงแวดล้อม
ดงั นั้น แบบจำลองท่สี รา้ งควรมลี ักษณะคลา้ ยกบั พีระมดิ ฐานสามเหล่ยี ม”
๕. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับโซ่อาหารและสายใยอาหาร ซึ่งควรได้ข้อสรุปร่วมกันว่า
“การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนเิ วศเป็นรูปแบบความสัมพันธร์ ะหว่างสงิ่ มชี วี ิตท่สี ำคัญอย่างหน่ึงในระบบนิเวศ
ซ่งึ โซอ่ าหารมีความสมั พันธก์ บั สิ่งมชี ีวิตในบริเวณเดยี วกนั ทีม่ กี ารถ่ายทอดพลังงานผ่านการกินต่อกันเปน็ ทอด ๆ
เริ่มจากสงิ่ มีชีวิตที่เปน็ ผผู้ ลิต และสายใยอาหารเป็นการถา่ ยทอดพลังงานผา่ นการกนิ ทซี่ ับซ้อนมากข้ึน”
๒.๕ ขั้นการประเมนิ (Evaluation)
๑. ครูประเมนิ โดยใช้กจิ กรรมการแขง่ ขนั เปน็ กลมุ่ ดงั น้ี
ขน้ั ท่ี ๑ ครูทบทวนบทเรียนทเี่ รียนมาแลว้ ครั้งกอ่ น ดว้ ยการซกั ถามและอธบิ าย ตอบขอ้ สงสยั ของนักเรียน
ขนั้ ท่ี ๒ จัดกลมุ่ แบบคละกนั (Home Group) กลุม่ ๓-๔ คน
ขั้นท่ี ๓ แต่ละทมี ศึกษาหัวขอ้ ท่ีเรียนในวันน้ีจากแบบฝึก (Worksheet And Answer Sheet) ทีมจะ
เริม่ ทำการแขง่ ขันตอบปญั หา
ขัน้ ที่ ๔ การแขง่ ขันตอบปญั หา (Academic Games Tournament)
๔.๑ ครูทำหน้าท่ีเปน็ ผ้จู ัดการหอ้ งเรยี น โดยแบง่ ตามความสามารถของนักเรยี น เช่น
โต๊ะที่ ๑ เปน็ โตะ๊ แข่งขนั สำหรบั นกั เรยี นทีม่ คี วามสามารถเกง่ มาก
โตะ๊ ท่ี ๒ และ ๓ เป็นโตะ๊ แขง่ ขันสำหรับนกั เรยี นทม่ี ีความสามารถปานกลาง
โต๊ะที่ ๔ เปน็ โตะ๊ ท่ีแข่งขันสำหรบั นกั เรยี นทม่ี ีความสามารถอ่อน
๔.๒ ครูแจกซองคำถามจำนวน ๑๐ คำถามใหท้ ุกโต๊ะ (เป็นคำถามเหมือนกัน)
๔.๓ นักเรยี นเปลี่ยนกนั หยบิ ซองคำถามทีละ ๑ ซอง (๑ คำถาม) แล้ววางลงกลางโตะ๊
๔.๔ นักเรยี น ๓ คนทีเ่ หลอื คำนวณหาคำตอบ จากคำถามทีอ่ า่ น
๔.๕ เขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบท่แี ต่ละคนมีอยู่
๔.๖ นกั เรียนคนทท่ี ำหน้าทีอ่ า่ นคำถามจะเป็นคนใหค้ ะแนน โดยมกี ตกิ าการให้คะแนน ดังน้ี
๔.๖.๑ ผู้ตอบถูกเป็นคนแรก จะได้ ๒ คะแนน
๒๒๒
๔.๖.๒ ผู้ตอบถูกคนตอ่ ไป จะไดค้ นละ ๑ คะแนน
๔.๖.๓ ถ้าตอบผิด ให้ ๐ คะแนน
๔.๗ ทำขัน้ ตอนที่ ๔.๓ - ๔.๕ โดยผลดั กันอ่านคำถามจนกวา่ คำถามจะหมด
๔.๘ นักเรยี นทุกคนรวมคะแนนของตวั เอง โดยท่ีทกุ คนควรได้ตอบคำถามจำนวนเทา่ ๆ กนั
จัดลำดบั ของคะแนนที่ได้ ซงึ่ กำหนดโบนัสของแต่ละโต๊ะดังนีโ้ บนัส ผู้ทีไ่ ดค้ ะแนนสงู สดุ ท่ี ๑ ประจำโต๊ะแตล่ ะ
โตะ๊ จะได้โบนัส ๑๐ แต้ม ผูท้ ไี่ ด้คะแนนรองที่ ๒ ประจำโตะ๊ แต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส ๘ แต้ม ผู้ทไ่ี ด้คะแนนรองที่
๓ ประจำโตะ๊ แตล่ ะโตะ๊ จะไดโ้ บนัส ๕ แต้ม ผู้ที่ได้คะแนนน้อยที่สุด ประจำโตะ๊ แต่ละโต๊ะ จะได้โบนสั ๔ แตม้
ขัน้ ที่ ๕ นกั เรียนกลับมากลุม่ เดิม (Home Group) รวมแต้มโบนัสของทุกคน ทีมใดทม่ี ีแตม้ โบนสั สงู สดุ จะให้
รางวัลหรือติดประกาศไวใ้ นมุมข่าวของหอ้ ง
๒. นักเรยี นทำกิจกรรมและตอบคำถามท้ายกิจกรรมในใบกิจกรรมที่ ๗.๒ สร้างแบบจำลองสายใย
อาหารไดอ้ ย่างไร
๓. นกั เรยี นทำแบบทดสอบหลังเรยี น เรอ่ื ง โซ่อาหารและสายใยอาหาร
๓. สอื่ /อปุ กรณ์/แหล่งเรียนรู้
๓.๑ คู่มอื ครูรายวิชาพน้ื ฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๓ เล่ม ๒ (สสวท.)
๓.๒ หนังสอื เรียนรายวชิ าพน้ื ฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)
๓.๓ Power Point เรื่อง โซ่อาหารและสายใยอาหาร
๔. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ๒๒๓
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วิธกี ารวัดผลการเรียนรู้ เกณฑ์การประเมนิ ผล
ผา่ นเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกว่า
ดา้ นความรู้ (K: Knowledge) - การตอบคำถาม ร้อยละ ๘๐
ผ่านเกณฑไ์ มน่ ้อยกวา่
อธิบายความสมั พนั ธข์ องผู้ผลติ ผบู้ ริโภค และผู้ยอ่ ยสลาย รอ้ ยละ ๘๐
ด้านทกั ษะกระบวนการ (P: Process) - การตอบคำถาม ผา่ นเกณฑ์ไมน่ อ้ ยกว่า
รอ้ ยละ ๘๐
สร้างแบบจำลองในการอธิบายการถ่ายทอดพลังงานในสายใย - การทำกิจกรรม
ผ่านเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกวา่
อาหาร รอ้ ยละ ๘๐
ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A: Attribute) - สังเกตพฤติกรรมในการ
มีความกระตอื รือร้นในการทำงาน แสดงความคิดเห็นอย่าง ทำงาน
สรา้ งสรรค์ และมีส่วนรว่ มในการทำงานเปน็ กลมุ่
ด้านทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ - การตอบคำถาม
(Sc.P: Science Process Skills)
การสงั เกต
การจำแนกประเภท
การจดั กระทำและสื่อความหมายขอ้ มลู
การลงความเห็นจากข้อมลู
การตคี วามหมายขอ้ มลู และลงข้อสรุป
๒๒๔
แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคลชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓
คำชแ้ี จง ให้ครปู ระเมนิ พฤติกรรมของนกั เรยี นรายบุคคลในชั้นเรยี นตามแบบประเมนิ รายการในตาราง แลว้ ขดี
ลงในช่องทตี่ รงกับคะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ ๒ คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให้ ๑ คะแนน
ลำดับ ช่ือ-สกุล ความมวี นิ ยั ความมี การรับฟงั การแสดง การตรงตอ่ รวม
ท่ี นำ้ ใจ ความ ความ เวลา ๑๕
เอื้อเฟื้อ คิดเหน็ คดิ เห็น คะแนน
เสยี สละ
๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕ ๒๒๕
๒๖
๒๗ ลงช่อื …………………………………………………ผ้ปู ระเมิน
๒๘ ( นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมทุ ร )
๒๙
๓๐ วนั ท…ี่ ……เดอื น………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๓๖
๓๗
๓๘
๓๙
๔๐
เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
๑๒ - ๑๕ ดี
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ตำ่ กวา่ ๘ ปรบั ปรงุ
๒๒๖
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุม่
ช่อื กล่มุ …………………………………………………………………………………………………………………..ชั้น…………
คำชแ้ี จง : ให้ผ้สู อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในชอ่ ง
ที่ตรงกับระดบั คะแนน
ลำดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน
๓๒๑
๑ การแบง่ หน้าท่กี ันอยา่ งเหมาะสม
๒ ความร่วมมอื กันทำงาน รวม
๓ การแสดงความคิดเห็น
๔ การรบั ฟงั ความคิดเห็น
๕ ความมีน้ำใจช่วยเหลือกนั
เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ ลงชื่อ…………………………………………………ผปู้ ระเมิน
( นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมุทร )
๑๒ - ๑๕ ดี
วนั ท…ี่ ……เดือน………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๑๘ - ๑๑ พอใช้
ต่ำกวา่ ๘ ปรับปรุง
๒๒๗
บันทกึ ผลหลังการจัดการเรียนรู้
ผลการจัดกจิ กรรม
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ปัญหา/อุปสรรค
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ………………………………………….นกั ศกึ ษาปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษา
(นางสาวพลอยทิพย์ เวยี งสมุทร)
วนั ที่............เดอื น...............................พ.ศ.๒๕๖๕
ความคดิ เหน็ ของครพู ่ีเลย้ี ง
เป็นแผนการจดั การเรียนรู้ที่
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรงุ กอ่ นนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอื่นๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่อื ……………………………………..
(นางอรญั ญา บรจิ าค)
๒๒๘
ความคิดเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
เปน็ แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี
นำไปใช้สอนได้
ควรปรบั ปรุงก่อนนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอ่นื ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่ือ……………………………………..
(นายธนภณ อ่นุ วิเศษ)
ความคิดเหน็ ของหวั หน้ากลุ่มงานบริหารงานวชิ าการ
๑. เปน็ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี
องค์ประกอบครบถว้ น องค์ประกอบไมค่ รบ คือ.........................................................
๒. การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้/กระบวนการเรยี นรเู้ หมาะสม
เนน้ ผ้เู รยี นเปน็ สำคญั กิจกรรมเหมาะสมกบั เนือ้ หา/ส่อื /เวลา
ไม่เนน้ ผูเ้ รียนเป็นสำคญั ควรปรบั ปรุงพัฒนาตอ่ ไป
๓. การวัด/ประเมินผล
หลากหลาย เหมาะสม ประเมนิ ตามสภาพจริง
การประเมนิ ผลควรหลากหลาย และประเมนิ ตามสภาพจริง
ข้อเสนอแนะอ่นื ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงช่อื ……………………………………..
(นายวิทยา อินกง)
ความคดิ เหน็ ของผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นหรอื ผทู้ ่ีไดร้ บั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชอ่ื ……………………………………..
(นางสาวสุภาวดี ผาตะเนตร)
ตำแหนง่ รองผู้อำนวยการโรงเรียนกลมุ่ งานบริหารงานวิชาการ
๒๒๙
กจิ กรรมท่ี ๗.๒ สร้างแบบจำลองสายใยอาหารได้อยา่ งไร
สมาชกิ
๗. ช่อื ……………………………………………………………………………….. ชน้ั ……………….. เลขที่ ……………
๘. ชอ่ื ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………….. เลขที่ ……………
๙. ชือ่ ……………………………………………………………………………….. ชน้ั ……………….. เลขที่ ……………
๑๐.ช่ือ ……………………………………………………………………………….. ชัน้ ……………….. เลขท่ี ……………
๑๑.ช่ือ ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………….. เลขที่ ……………
๑๒.ชื่อ ……………………………………………………………………………….. ช้ัน ……………….. เลขที่ ……………
จุดประสงค์
๑. สร้างแบบจำลองสายใยอาหาร และอธิบายความสัมพนั ธ์ของผผู้ ลิตและผู้บริโภค
วสั ด/ุ อุปกรณ์
-
ขนั้ ตอน
๑. เลอื กระบบนเิ วศ ๑ ระบบนิเวศ จากทก่ี ำหนดในตาราง
ระบบนิเวศ
นาขา้ ว ป่าชายเลน แหล่งน้ำจดื
ข้าว หง่ิ ห้อย ปลาดกุ
หอยเชอรี ปแู สม ปลานิล
ตั๊กแตน ตน้ แสม หอยขม
นกกระจอก ลงิ แสม สาหรา่ ย
งเู หลอื ม นกปากห่าง นกกระสา
หญ้า หอย ปลาชอ่ น
เปด็ ปลาตนี ตะไคร่นำ้
๒. สบื คน้ ข้อมูลเกีย่ วกบั อาหารของสิง่ มีชวี ติ แต่ละชนิดในระบบนิเวศ บันทกึ ผล
๓. เขยี นโซอ่ าหารในระบบนิเวศให้ได้มากท่สี ุด
๔. นำโซอ่ าหารจากขอ้ ๓ มาเขียนเป็นสายใยอาหาร และนำเสนอความสมั พนั ธ์ของส่ิงมีชวี ิตในสายใยอาหาร
๒๓๐
ผลการทำกจิ กรรม
จงเขียนโซ่อาหารแสดงการถ่ายทอดพลงั งานใหไ้ ด้มากทสี่ ุด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
นำโซอ่ าหารมาเขียนเป็นสายใยอาหาร