The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 18 แผน
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ปฏิกิริยาเคมีและวัสดุในชีวิตประจำวัน
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 ไฟฟ้า
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by lava67038, 2022-03-13 04:17:28

แผนการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้น ม.3

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 18 แผน
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ปฏิกิริยาเคมีและวัสดุในชีวิตประจำวัน
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 ไฟฟ้า
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

Keywords: แผนการจัดการเรียนรู้ ,วิทยาศาสตร์

๒๓๑

คำถามท้ายกจิ กรรม
๑. ในระบบนิเวศทนี่ ักเรยี นเลอื ก มีโซ่อาหารก่โี ซ่อาหาร อะไรบ้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๒. นักเรียนสามารถนำโซอ่ าหารท้งั หมดมาสรา้ งเป็นสายใยอาหารไดอ้ ย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๓. จากสายใยอาหาร สง่ิ มชี ีวิตชนิดใดบ้างท่ีเป็นอาหารของสิ่งมชี ีวติ อ่ืนหลายชนิด และส่งิ มีชีวิตใดบ้างท่กี นิ
สงิ่ มีชีวติ อน่ื หลายชนิดเปน็ อาหาร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๔. จากกิจกรรม สรุปไดว้ ่าอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

๒๓๒

แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลังเรยี น
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๗ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

เร่ืองท่ี ๒ ความสัมพันธ์ของส่งิ มีชีวติ ในระบบนิเวศ ๑

คำชี้แจง ใหน้ กั เรยี นเขยี นเคร่ืองหมาย  หน้าคำตอบทีถ่ กู ตอ้ งที่สุดเพียงขอ้ เดียว
๑. ปัจจัยที่สำคัญทีส่ ดุ ในระบบนเิ วศในน้ำ ประเภทบ่อน้ำ หรือสระน้ำ ไดแ้ กป่ จั จยั ใด

ก. อณุ หภมู ิ
ข. แสงสว่าง
ค. ออกซเิ จน
ง. กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์
๒. ปจั จยั ท่ีสำคัญทีส่ ดุ ท่สี ัตว์ทะเลต้องปรบั ตัวให้ได้ แต่ไมม่ ีปญั หาสำหรับสตั ว์น้ำจดื คอื ปัจจัยใด
ก. ความเค็ม
ข. คา่ pH
ค. อุณหภูมิ
ง. ที่ยึดเกาะ
๓. ทางผา่ นของสารอาหารจากสง่ิ มีชีวิตชนดิ หนง่ึ ไปส่สู ิ่งมชี ีวติ อน่ื เรื่อยๆ ไป ในกล่มุ สง่ิ มีชีวิตเรยี กวา่ อะไร
ก. food chain
ข. food web
ค. pyramid of energy
ง. nutrient cycle
๔. การถา่ ยทอดสารอาหารจากห่วงโซอ่ าหารหนึง่ ไปอีกห่วงโซอ่ าหารหนงึ่ เรียกว่าอะไร
ก. food cycle
ข. food web
ค. pyramid of energy
ง. complex food chain
๕. โดยปกตสิ ัดสว่ นของปรมิ าณสง่ิ มชี ีวติ ในธรรมชาติเปน็ อย่างไร
ก. ผ้ผู ลิตมปี รมิ าณมากกวา่ ผู้บริโภค
ข. ผผู้ ลติ มปี ริมาณนอ้ ยกว่าผูบ้ ริโภค
ค. ผู้ผลิตมีปริมาณเท่ากับผูบ้ รโิ ภค
ง. ไม่แน่นอน ขนึ้ อยกู่ บั ชนิดของส่งิ มีชวี ิตทีเ่ ป็นองคป์ ระกอบ

๒๓๓

๖. ในระบบนิเวศท่ัว ๆไป ประกอบด้วยสิง่ มีชีวติ ๓ กลุ่ม คือ ....๑.......... มีหน้าที่สังเคราะหอ์ าหารซึ่ง

เป็นอนินทรยี สาร โดยใชว้ ัตถดุ บิ ทีไ่ รช้ วี ิตกับพลงั งาน ......๒........... ต้องการพลังงานและสารอาหาร

ที่ได้จากการย่อยอินทรยี สารจากส่ิงมีชีวิต ........๓.......... เป็นกลมุ่ สิ่งมชี ีวติ ท่ีเปลี่ยนสารอินทรยี จ์ าก

สิ่งมชี ีวติ ที่ตายแล้วหรอื จากของเสยี ของสงิ่ มชี วี ติ ให้เปน็ สารอนินทรยี ์ ทั้งน้ี ๑,๒,๓ คือข้อใด

ก. ผู้ยอ่ ยสลาย, ผู้ผลิต, ผู้บริโภค

ข. ผยู้ อ่ ยสลาย, ผบู้ ริโภค, ผู้ผลิต

ค. ผู้ผลติ , ผ้ยู ่อยสลาย, ผู้บริโภค

ง. ผูผ้ ลติ , ผู้บรโิ ภค, ผยู้ อ่ ยสลาย

๗. ถา้ ปราศจากผู้ย่อยสลาย บนพ้นื โลกนา่ จะเกิดเหตุการณ์ใด

ก. เหตกุ ารณ์ปกติ เพราะธรรมชาติย่อมรักษาสมดุลของมนั ไดเ้ อง

ข. พชื เริ่มตายเนือ่ งจากขาดธาตุทจี่ ำเปน็ ตอ่ การดำรงชีวติ

ค. ซากพชื ซากสัตว์ รวมทง้ั อินทรยี สารเต็มไปหมด

ง. อาจเปน็ ไปได้ทั้ง ขอ้ ก และ ข

๘. ข้อใดทม่ี ีลำดับขั้นตอนการกินอาหารครบสมบูรณ์

ก. ต้นข้าว หนอน นก คน

ข. หนู งู เหยย่ี ว คน

ค. ขา้ วโพด ตั๊กแตน นก วัว คน

ง. หนอน ข้าวโพด หนู งู คน

๙. คำวา่ “ผู้ผลิต” หมายถึงส่ิงใดต่อไปนเ้ี พราะเหตใุ ด

ก. พชื สีเขยี วเทา่ น้ัน เพราะสงั เคราะห์แสงได้

ข. มนุษย์ผู้ซ่ึงสร้างและดดั แปลงสารอาหารได้

ค. สตั ว์ท่มี ชี วี ิตทกุ ชนดิ เพราะสามารถปรุงแตง่ สารอาหารได้

ง. พชื ทกุ ชนดิ เพราะสามารถสร้างอาหารขนึ้ ได้จากกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง

๑๐. “ต้นกุหลาบหนา้ บา้ นพอใจมหี นอนที่เกดิ จากไขผ่ เี สื้อมากนิ ใบอ่อนเสมอ และยังพบวา่ มนี กมาจิก

กนิ หนอน ซง่ึ นกนจี้ ะถกู แมวทีพ่ อใจเลย้ี งจบั กนิ เสมอ” จากข้อมูลดงั กล่าวเราสามารถเขยี นโซอ่ าหารได้

แบบใด

ก. กุหลาบ หนอน นก แมว

ข. แมว นก หนอน กุหลาบ

ค. ผีเสอื้ กหุ ลาบ หนอน นก แมว

ง. กหุ ลาบ ผีเส้อื หนอน นก แมว

๒๓๔

คำถาม เร่ือง ความสมั พันธ์ของสง่ิ มชี ีวิตในระบบนิเวศ ๑

โครงสร้างของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งออกเปน็ ๓ ก. ผูผ้ ลิต ผบู้ ริโภค ผูย้ อ่ ยสลาย

ระดบั ได้แกอ่ ะไรบ้าง ข. ผู้ผลติ ผลู้ ่า ผู้ย่อยสลาย

ส่งิ มชี ีวติ ทสี่ ามารถนำพลังงานจากแสงอาทิตยม์ า ก. ผผู้ ลติ

สงั เคราะห์อาหารข้นึ ได้เองด้วยแรธ่ าตุและสสารท่ีมี ข. ผู้บริโภค

อยู่ตามธรรมชาติ คอื สงิ่ มีชีวติ ประเภทใด

สัตวช์ นดิ ใดเปน็ ผบู้ ริโภคทั้งสัตว์ทงั้ พืช ก. กระบอื

ข. ลงิ

สตั วช์ นดิ ใดเป็นผ้บู ริโภคผู้บริโภคพืช ก. เหยย่ี ว

ข. ววั

ก. โซ่อาหาร

ข. สายใยอาหาร

จากภาพ เรยี ก ลักษณะการกินวา่ อะไร

ตัก๊ แตน นก วัว คน ก. นก

สิ่งมชี ีวิตใดเป็นผบู้ ริโภคลำดับที่ ๒ ข. ววั

การถ่ายทอดสารอาหารจากห่วงโซอ่ าหารหนึง่ ไปอกี ก. food web

ห่วงโซ่อาหารหนึ่ง เรียกว่าอะไร ข. food cycle

กฎ ๑๐ เปอรเ์ ซ็นต์ (Ten Percent Law) ก. มวลชีวภาพเพียงรอ้ ยละ ๑๐ ถกู สง่ ผ่านจาก

หมายความว่าอยา่ งไร ผูผ้ ลิตไปยังผูบ้ รโิ ภค

ข. มวลชวี ภาพเพียงรอ้ ยละ ๑๐ ถูกสง่ ผ่านจาก

ผบู้ ริโภคไปยังผู้ผลติ

พลงั งานสว่ นใหญ่ คอื ประมาณ ๙๐ เปอรเ์ ซ็นต์ ก. พลังงานความร้อน

สูญเสยี ไปในรูปของพลงั งานใด ข. พลังงานกล

ปลาตวั หนึ่งให้พลังงาน ๑,๐๐๐ กิโลแคลอรี ถ้า ก. ๑๐ กโิ ลแคลอรี

เหยีย่ ววกนิ ปลาตัวน้ี จะไดร้ บั พลงั งานก่ีกิโลแคลอรี ข. ๑๐๐ กิโลแคลอรี

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๑๕

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๓

รายวชิ า วิทยาศาสตรพ์ ้ืนฐาน ๖ รหสั วชิ า ว๒๓๑๐๒

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๗ เรือ่ ง ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ ๑๒ ชวั่ โมง

หน่วยการเรยี นรู้ย่อย ๗.๒ เร่ือง ความสมั พนั ธ์ของสง่ิ มีชวี ติ ในระบบนิเวศ ๒ ๒ ชว่ั โมง

ผ้สู อน นางสาวพลอยทิพย์ เวยี งสมุทร ตำแหน่ง นักศึกษาปฏิบตั ิการสอนในสถานศกึ ษา ภาคเรียนท่ี ๒/๒๕๖๔

สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ

มาตรฐาน ว ๑.๑ เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่งิ ไมม่ ชี วี ติ กบั ส่งิ มชี ีวิต และ
ความสมั พันธร์ ะหว่างสง่ิ มชี วี ติ กบั สงิ่ มีชีวติ ตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศ การถา่ ยทอดพลงั งาน การ
เปลยี่ นแปลงแทนทใี่ นระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีตอ่
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม แนวทางในการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการ
แกไ้ ขปัญหาสง่ิ แวดล้อม รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ระดบั ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง
 การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ อาจทำให้มี
ม.๓ ม.๓/๕ อธิบายการสะสมสารพษิ ในสงิ่ มีชีวิต สารพิษสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตได้ จนอาจก่อให้เกิด
อันตรายต่อสิ่งมีชีวิต และทำลายสมดุลในระบบ
ในโซอ่ าหาร นิเวศ ดังนั้นการดูแลรักษาระบบนิเวศให้เกดิ ความ
สมดลุ และคงอยูต่ ลอดไปจึงเปน็ สิ่งสำคญั

๑. กําหนดเป้าหมายการเรียนรู้
๑.๑ สาระการเรยี นรู้/เนือ้ หาการเรียนรู้
เรอ่ื งที่ ๒ ความสมั พันธข์ องส่ิงมชี ีวติ ในระบบนเิ วศ ๒
๑) การสะสมสารพษิ ในส่งิ มีชีวิต
๑.๒ สาระสําคัญ/ความคิดรวบยอดของเรอื่ งท่เี รียน
ผบู้ ริโภคลำดบั สูง ๆ จะได้รับสารพิษสะสมมากกว่าผูบ้ รโิ ภคลำดับล่าง ๆ เนื่องสารพิษที่ปนเป้ือน

อยู่ตามธรรมชาติ เช่น ดีดีที ปรอท แคดเมียม เหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึมที่สร้าง
พลังงานให้แก่เซลลข์ องส่ิงมชี ีวิต แต่จะถูกสะสมอยูใ่ นร่างกายของส่ิงมีชวี ิตนัน้ และเพ่มิ ความเข้มขน้ ขนึ้ เร่ือย ๆ
ตามการบรโิ ภค แลว้ ถา่ ยทอดไปให้ผู้บรโิ ภคตามลำดับการกนิ (Biomagnification) โดยผู้บริโภคลำดับสุดท้าย
จะได้รับปริมาณสารพิษมากที่สุด เช่น แพลงก์ตอนสัตว์สะสมสารพิษในร่างกายไว้ ๐.๐๕ ppm แล้วมีปลา

๒๓๖

ขนาดเลก็ มากนิ แพลงตอนสัตว์ไป ๑๐ ตวั ปลาขนาดเล็กจะมสี ารพิษสะสมในร่างกาย ๐.๕ ppm จากนนั้ มีปลา
ขนาดใหญม่ ากินปลาขนาดเล็กไป ๑๐ ตัว ปลาขนาดใหญจ่ ะมสี ารพิษสะสมในร่างกาย ๕ ppm และสุดท้ายมี
นกมากินปลาขนาดใหญ่ไป ๓ ตัว นกจึงมสี ารพิษสะสมในร่างกาย ๑๕ ppm จะเห็นได้ว่าหากเรารับประทาน
อาหารที่มีสารพษิ เจอื ปน ซึ่งส่วนใหญ่มนุษย์จะเป็นผู้บริโภคลำดับสุดท้าย ดังนั้น เราจึงไดร้ ับสารพษิ สะสมใน
ร่างกายมากที่สุดและบางครั้งอาการป่วยจากสารพิษเหล่านี้จะยังไม่แสดงในทันที เพราะฉะนั้นแล้วเราควร
เลือกรับประทานอาหารที่สะอาด แหล่งผลิตน่าเชื่อถือ และไม่ควรรับประทานอาหารแบบเดิม ๆ ซ้ำกันเป็น
เวลานาน

๑.๓ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้: เม่อื ผเู้ รยี นจบกิจกรรมการเรียนรู้ ผ้เู รยี นสามารถ

ดา้ นความรู้ (K: Knowledge)  อธิบายการสะสมสารพิษในสงิ่ มชี วี ิตในโซอ่ าหาร

ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P: Process)  สร้างแบบจำลองในการอธิบายการสะสมสารพิษ

ในส่ิงมชี วี ิต

ด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A: Attribute)  มีความกระตือรือร้นในการทำงาน แสดงความ

คิดเห็นอยา่ งสร้างสรรค์ และมสี ่วนรว่ มในการทำงาน

เป็นกลุม่

ดา้ นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Sc.P: Science Process Skills)

 การสังเกต  การลงความเห็นจากขอ้ มลู

 การวัด  การกำหนดและควบคมุ ตวั แปร

 การคำนวณ/การใชต้ ัวเลข  การกำหนดนยิ ามเชิงปฏบิ ัตกิ าร

 การจำแนกประเภท  การตั้งสมมตฐิ าน

 การจดั กระทำและสอื่ ความหมายข้อมลู  การทดลอง

 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ  การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงข้อสรปุ

และสเปซกับเวลา  การสรา้ งแบบจำลอง

 การพยากรณ์/การทำนาย

๒๓๗

๒. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนร้แู บบ ๕E
๒.๑ ขั้นการสรา้ งความสนใจ (Engagement)

๑. ครูให้นักเรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน เรอ่ื งท่ี ๓ การสะสมสารพิษในสง่ิ มีชีวติ เพ่อื วดั ความรู้
เดิมของนกั เรียนก่อนเขา้ ส่กู ิจกรรม

๒. ครถู ามคำถามเพอ่ื ทบทวนความร้เู ดมิ ของนักเรยี นว่า

“พลงั งานทม่ี นษุ ย์ใช้ทำกิจกรรมมาจากแหล่งใด และถา่ ยทอดมาสูม่ นษุ ยไ์ ดอ้ ยา่ งไร”

(แนวตอบ : พลงั งานที่มนุษย์ใช้ทำกิจกรรมมาจากการบริโภคอาหาร โดยเริ่มตน้ จากพชื เปล่ียน
พลงั งานแสงจากดวงอาทิตย์ให้เป็นพลงั งานเคมแี ล้วถา่ ยทอดมาสู่ผู้บริโภคพชื ไปสูม่ นษุ ย์ตามลำดบั โดยมนุษย์
สามารถได้รบั พลังงานจากพชื โดยการบรโิ ภคพืชหรอื บรโิ ภคสัตวท์ ีบ่ ริโภคพืชก็ได้)

“ถา้ สง่ิ มีชีวติ ไมม่ กี ารกินกันเปน็ ทอด ๆ จะส่งผลกระทบกับส่ิงมีชวี ติ ในระบบนิเวศอย่างไร”

(แนวตอบ : ส่ิงมีชีวติ ชีวติ นน้ั จะมีโอกาสสญู พนั ธุม์ ากกว่าสิ่งมีชีวิตทีก่ ินสงิ่ มชี ีวติ อนื่ ได้หลากหลายกว่า
นอกจากนีใ้ นระบบนเิ วศนนั้ จะไม่เกิดการถา่ ยทอดพลงั งาน)

“แลว้ ปรมิ าณสารพษิ ที่ปนเป้ือนในโซอ่ าหารจะเป็นอยา่ งไร เหมือนกับการถา่ ยทอดปริมาณพลังงาน
หรือไม่ อยา่ งไร”

(แนวตอบ : ไมเ่ หมอื นกัน ปริมาณสารพิษที่ปนเปื้นในโซ่อาหารจะเพ่มิ ข้ึน ตามลำดับ โดยเริม่ จาก
ผู้ผลิตไปยังผบู้ ริโภค ซ่งึ ผบู้ ริโภคลำดับสุดท้ายจะไดร้ บั ปรมิ าณสารพษิ มากที่สุด)

๒.๒ ขนั้ การสำรวจและคน้ หา (Exploration)

๑. นกั เรียนจบั กล่มุ กับเพื่อนในชนั้ เรียนตามความสมัครใจ กลุ่มละ ๖-๗ คน จากนน้ั รว่ มกนั ศึกษา
คน้ ควา้ ข้อมลู เกยี่ วกบั เร่ือง การสะสมสารพษิ ในส่ิงมีชีวติ จากหนังสอื เรยี นวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.๓
เลม่ ๒ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๗ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ หรอื แหลง่ การเรียนร้ตู า่ ง ๆ เชน่
อินเทอร์เนต็

๒. นกั เรยี นแต่ละกล่มุ ทำกจิ กรรมท่ี ๗.๓ การสะสมสารพิษในส่ิงมชี วี ติ เกิดขน้ึ อยา่ งไร จากหนงั สือ
เรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒

วัสด/ุ อุปกรณ์ กจิ กรรมท่ี ๗.๓ การสะสมสารพิษในสงิ่ มีชวี ติ เกิดขึ้นอย่างไร
๑. ถงั พลาสตกิ ขัน้ ตอน
๑. อ่านสถานการณ์และเขียนโซ่อาหารของสิ่งมีชวี ติ
แตล่ ะชนิดในแหลง่ นำ้ น้ี

๒๓๘

๒. แก้วพลาสติกขนาดเลก็ ขนาดกลาง และขนาด ๒. แสดงบทบาทสมมติ โดยให้นักเรียน ๔ คน เป็น

ใหญ่ ปลาซิว ๔ ตัว นกั เรยี น ๒ คน เป็นลกู ปลาช่อน ๒ ตวั

๓. ลกู ปดั สเี ขียวและลกู ปดั สีแดง และนักเรียนอีก ๑ คน เป็นนกยาง ๑ ตัว โดย

กำหนดให้

ลกู ปดั สเี ขียว แทน เซลลส์ าหรา่ ยที่ไม่มีสารดีดที ี

ลกู ปัดสีแดง แทน เซลลส์ าหร่ายทม่ี สี ารดีดีที

แกว้ พลาสตกิ ขนาดเล็ก แทน ปลาซวิ

แก้วพลาสติกขนาดกลาง แทน ลกู ปลาชอ่ น

แก้วพลาสติกขนาดใหญ่ แทน นกยาง

๓. ทำกิจกรรมตามขน้ั ตอน ดงั ตอ่ ไปนี้

(๑) นำลูกปัดสีเขียว ๔๐ เม็ด และลูกปัดสีแดง ๔๐

เมด็ เทรวมกันในถงั พลาสติก

(๒) นักเรียนที่ได้รับบทบาทเป็นปลาซิวไปกิน

สาหร่าย ๓ เซลล์ โดยสุ่มหยิบลูกปัดออกมาจากถัง

พลาสติก ๓ เม็ด ใส่ลงในแก้วพลาสติกขนาดเล็ก

บนั ทกึ จำนวนและสขี องลูกปดั ทไ่ี ด้

(๓) นักเรียนทไ่ี ด้รบั บทบาทเป็นลกู ปลาชอ่ น กนิ ปลา

ซิว ๒ ตวั โดยเทลกุ ปดั จากแก้วพลาสติกขนาดเลก็ ๒

ใบลงในแก้วพลาสติกขนาดกลาง บันทึกจำนวนและ

สีของลกู ปดั ทไี่ ด้

(๔) นักเรียนที่ได้รับบทบาทเป็นนกยาง กินลูกปลา

ช่อน ๒ ตัว โดยเทลูกปัดจากแก้วพลาสติกขนาด

กลาง ๒ ใบ ลงในแก้วพลาสติกขนาดใหญ่ บันทึก

จำนวนและสีของลูกปดั ทไ่ี ด้

(๕) ทำซำ้ ตามขอ้ (๑)-(๔) ใหค้ รบ ๓ รอบ

๔. รวบรวมขอ้ มูล หาคา่ เฉล่ยี ปริมาณสารพษิ ท่ีสะสม

ในสิ่งมีชีวิตต่อหนึ่งตัวในแต่ละลำดับขั้นของการ

บริโภค และร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการสะสม

สารพิษของสิ่งมีชีวิตในโซ่อาหารจากการแสดง

บทบาทสมมติ

๓. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั ทำกิจกรรมและบนั ทึกลงในใบกจิ กรรม พร้อมตอบคำถามท้ายกิจกรรม

๒.๓ ขนั้ การอธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation)

๒๓๙

๑. ใหต้ ัวแทนกลมุ่ ของแต่ละกล่มุ นำเสนอผลของตนเอง เมือ่ ตัวแทนกลุ่มนำเสนอจบแลว้ นกั เรียนคนใดมี
ข้อสงสยั หรอื ขอ้ เสนอแนะเพ่มิ เตมิ ใหย้ กมอื แล้วลุกขน้ึ ถามคำถามหรอื แสดงความคิดเหน็ ใหก้ บั ผลงานของ
เพอื่ นกลุ่มอ่นื ในระหวา่ งนี้ ครูจะประเมินความถูกต้องและอธบิ ายเพิม่ เติมใหน้ ักเรียนเกดิ ความเข้าใจที่ตรงกนั

๒. ครูอธิบายเพ่ิมเติมให้นักเรียนเข้าใจว่า “สารพิษที่ปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม จะปนเปื้อนไปตามโซ่
อาหารเชน่ กัน โดยเร่ิมจากผผู้ ลิตไปยงั ผู้บรโิ ภคลำดบั ท่ีสงู ข้ึน ปรมิ าณสารพษิ จะเพิ่มขนึ้ ตามลำดับของผู้บริโภค
ดังน้นั ผู้บริโภคลำดับสุดทา้ ยจะได้รับปริมาณสารพษิ มากท่สี ุด”

๓. ครูและนักเรียนร่วมกันอธิบายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับการสะสมสารพิษในสิ่งมีชีวิต โดยครูใช้
แผนภาพ วดิ ทิ ศั น์ หรอื Power Point ประกอบการอธบิ ายและลงข้อสรปุ

ตวั อยา่ งสรปุ การสะสมสารพิษในสงิ่ มชี ีวติ

การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศมีความสำคัญมากเพราะไม่เพียงแต่สารอาหารเหล่านั้นมีการ
ถ่ายทอด แต่สารทุกชนิดที่ปนเปื้อนอยู่ในระบบนิเวศทั้งที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษจะถูกถ่ายทอดไปในโซ่
อาหารด้วย ตัวอย่างเช่น การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชพวกแมลง สารเคมีกำจัดเชื้อรา ที่รู้จักกันดีคอื DDT ซึ่ง
สารเคมีชนดิ นีจ้ ะสลายตัวยาก มีความคงตวั สูง ทำลายระบบประสาทแมลงไดด้ ี เนอื่ งจากมโี ลหะหนักที่เป็นพิษ
เจือปนอยู่ เช่น ปรอท ตะกั่ว หรืออาร์เซนิก สารดังกล่าวจะตกค้างในผู้ผลิตและผู้บริโภคและถ่ายทอดไป
ตามลำดับในโซ่อาหารซึง่ ปรมิ าณ DDT จะเพิ่มความเข้มข้นข้นเรื่อยๆ ในแต่ละลำดับของชั้นอาหาร เช่น เนื้อ
ของนกกนิ ปลา ๑ กรมั จะมี DDT สะสมมากกว่าเน้ือปลาท่มี ีนำ้ หนกั เท่ากนั

๒๔๐

๒.๔ ขัน้ การขยายความรู้ (Elaboration)

๑. ครูอธิบายเพิม่ เติมว่า “แหล่งชุมชนทีอ่ ยู่อาศัยของแต่ละผู้คนในแต่ละแหล่งก็มีการถ่ายเทของเสีย
ออกสู่ธรรมชาติ และกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ เช่น ร้านอาหาร อู่ซ่อมรถ โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม และ
แหล่งเกษตรกรรม ทำให้มีของเสียปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมและสะสมอยู่ตามแหล่งน้ำ ดิน อากาศ ของเสีย
เหลา่ นี้จะถ่ายทอดไปสู่ผู้ผลิต และผูบ้ รโิ ภคลำดับต่างๆ รวมถึงกลับมาสตู่ ัวมนุษย์ ซงึ่ เป็นส่วนหน่ึงในโซ่อาหาร
ทำให้มีผลต่อสุขภาพ ของเสียบางอย่างยังเป็นที่มีพิษรนุ แรง เช่น พวกโลหะหนัก ถ้าร่างกายได้รับสารนั้นใน
ปริมาณมากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ในบางกรณีของเสียหรือสารพิษที่สะสมอยู่ในแหล่งต่างๆ อาจไม่
ถ่ายทอดถึงมนุษย์ เพราะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคในลำดับต้นๆเสียก่อนแล้ว ทำให้โซ่อาหารถูกทำลาย แต่
มนุษย์ก็ได้รีบผลกระทบเช่นกัน ทั้งในแง่ที่ขาดแคลนอาหารและส่งผลถึงเศรษฐกิจด้วย ดังนั้นจึงควรมีการ
ป้องกนั และการจัดการเก่ยี วกบั การกำจัดของเสียอย่างถกู ต้อง”

๒. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า “ยาฆ่าแมลงที่เกษตรกรใช้กันอย่างแพร่หลายสามารถถ่ายทอดสู่ห่วงโซ่
อาหาร ดังนั้น การถ่ายทอดสารพิษในระบบนิเวศไม่เป็นไปตามกฎสิบเปอร์เซ็นต์ แต่จะถ่ายทอดแบบทวีคูณ
นัน่ คือ สารพษิ จะเพมิ่ มากข้นึ ตามลำดับชนั้ ของการบริโภค (Trophic Level) ซ่งึ หากสารพิษดังกล่าวมีปริมาณ
มากเกนิ ขดี จำกัดหรือไมเ่ ปน็ ไปตามกฎ Limiting Factor ก็จะทำใหส้ งิ่ มีชีวิตที่ได้รบั สารพิษแสดงอาการของโรค
อันเน่ืองมาจากสารพษิ นน้ั ได้”

๓. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการสะสมสารพิษในสิ่งมีชีวิต ซึ่งควรได้ข้อสรุปร่วมกันว่า
“สิ่งที่ส่งต่อไปตามห่วงโซ่อาหารนั้น มิได้มีเพียงพลังงานและสารอาหารเท่านั้น แต่จะมีสารอื่นปะปนมาด้วย
เชน่ ดีดที ี ปรอท แคดเมยี ม ฯลฯ สารเหลา่ นี้เปน็ สารพษิ ทไ่ี ม่ได้ถูกนำไปใช้ในการสร้างพลังงานให้แก่เซลล์
จึงสะสมอยู่ภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตเพิ่มความเข้มข้นเรื่อยๆ แล้วถ่ายทอดต่อไปตามลำดับขั้นการกิน
(Biomagnification) โดยจะมีความเขม้ ขน้ ของสารพิษสูงที่สุดในรา่ งกายของผู้บรโิ ภคลำดับสุดท้าย”

๒.๕ ขนั้ การประเมิน (Evaluation)

๑. ครูประเมินโดยใช้กจิ กรรมการแขง่ ขันเปน็ กลุม่ ดังนี้

ข้นั ที่ ๑ ครูทบทวนบทเรยี นที่เรยี นมาแลว้ ครง้ั ก่อน ดว้ ยการซักถามและอธบิ าย ตอบขอ้ สงสยั ของนักเรียน
ขนั้ ที่ ๒ จัดกลุม่ แบบคละกัน (Home Group) กลุ่ม ๓-๔ คน
ข้นั ที่ ๓ แต่ละทีมศึกษาหัวขอ้ ทเี่ รยี นในวนั น้ีจากแบบฝกึ (Worksheet And Answer Sheet) ทีมจะ

เร่มิ ทำการแข่งขันตอบปัญหา
ขัน้ ที่ ๔ การแขง่ ขนั ตอบปัญหา (Academic Games Tournament)
๔.๑ ครูทำหนา้ ที่เป็นผจู้ ัดการหอ้ งเรียน โดยแบ่งตามความสามารถของนักเรียน เชน่
โต๊ะท่ี ๑ เปน็ โตะ๊ แข่งขันสำหรับนกั เรียนที่มีความสามารถเก่งมาก

๒๔๑

โตะ๊ ท่ี ๒ และ ๓ เปน็ โตะ๊ แขง่ ขันสำหรบั นกั เรยี นทีม่ คี วามสามารถปานกลาง
โต๊ะท่ี ๔ เปน็ โตะ๊ ทแ่ี ขง่ ขนั สำหรับนักเรียนทม่ี ีความสามารถอ่อน
๔.๒ ครแู จกซองคำถามจำนวน ๑๐ คำถามให้ทุกโตะ๊ (เปน็ คำถามเหมือนกัน)
๔.๓ นกั เรยี นเปลี่ยนกนั หยิบซองคำถามทีละ ๑ ซอง (๑ คำถาม) แลว้ วางลงกลางโต๊ะ
๔.๔ นักเรียน ๓ คนทีเ่ หลอื คำนวณหาคำตอบ จากคำถามที่อา่ น
๔.๕ เขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบทแี่ ต่ละคนมอี ยู่
๔.๖ นักเรยี นคนท่ที ำหนา้ ท่อี ่านคำถามจะเป็นคนใหค้ ะแนน โดยมีกติกาการใหค้ ะแนน ดังนี้

๔.๖.๑ ผู้ตอบถกู เปน็ คนแรก จะได้ ๒ คะแนน
๔.๖.๒ ผูต้ อบถูกคนต่อไป จะไดค้ นละ ๑ คะแนน
๔.๖.๓ ถ้าตอบผิด ให้ ๐ คะแนน
๔.๗ ทำขน้ั ตอนที่ ๔.๓ - ๔.๕ โดยผลัดกันอ่านคำถามจนกวา่ คำถามจะหมด
๔.๘ นักเรียนทุกคนรวมคะแนนของตวั เอง โดยที่ทุกคนควรไดต้ อบคำถามจำนวนเทา่ ๆ กัน
จดั ลำดบั ของคะแนนท่ีได้ ซ่งึ กำหนดโบนสั ของแต่ละโต๊ะดงั นี้โบนัส ผู้ท่ีได้คะแนนสงู สดุ ที่ ๑ ประจำโต๊ะแตล่ ะ
โต๊ะ จะได้โบนสั ๑๐ แต้ม ผู้ท่ีได้คะแนนรองท่ี ๒ ประจำโต๊ะแตล่ ะโตะ๊ จะไดโ้ บนสั ๘ แตม้ ผู้ทไี่ ดค้ ะแนนรองท่ี
๓ ประจำโต๊ะแตล่ ะโตะ๊ จะไดโ้ บนสั ๕ แต้ม ผู้ที่ได้คะแนนนอ้ ยที่สุด ประจำโต๊ะแตล่ ะโต๊ะ จะไดโ้ บนัส ๔ แต้ม

ขน้ั ที่ ๕ นกั เรียนกลับมากลมุ่ เดิม (Home Group) รวมแตม้ โบนสั ของทกุ คน ทมี ใดท่มี แี ต้มโบนสั สงู สุด จะให้
รางวัลหรือตดิ ประกาศไวใ้ นมมุ ข่าวของห้อง

๒. นกั เรยี นทำกจิ กรรมและตอบคำถามทา้ ยกจิ กรรมในใบกจิ กรรมท่ี ๗.๓ การสะสมสารพษิ ใน
สิง่ มชี วี ิตเกิดขน้ึ อยา่ งไร

๓. นกั เรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรยี น เรื่อง การสะสมสารพิษในสง่ิ มีชวี ิต

๓. ส่ือ/อุปกรณ/์ แหล่งเรยี นรู้

๓.๑ คมู่ ือครูรายวิชาพื้นฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)

๓.๒ หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพ้ืนฐาน วิชาวิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)

๓.๓ Power Point เรอื่ ง การสะสมสารพษิ ในสงิ่ มีชีวิต

๔. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ วิธีการวดั ผลการเรยี นรู้ ๒๔๒
- การตอบคำถาม
จุดประสงค์การเรยี นรู้ เกณฑก์ ารประเมนิ ผล
ดา้ นความรู้ (K: Knowledge) - การตอบคำถาม ผ่านเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกว่า
 อธิบายการสะสมสารพิษในสงิ่ มีชวี ติ ในโซ่อาหาร - การทำกิจกรรม ร้อยละ ๘๐
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P: Process) - สงั เกตพฤตกิ รรมในการ ผ่านเกณฑไ์ มน่ ้อยกวา่
 สร้างแบบจำลองในการอธิบายการสะสมสารพษิ ในส่ิงมีชวี ิต ทำงาน ร้อยละ ๘๐
ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A: Attribute) ผา่ นเกณฑ์ไมน่ อ้ ยกว่า
 มคี วามกระตือรอื รน้ ในการทำงาน แสดงความคิดเห็นอย่าง - การตอบคำถาม ร้อยละ ๘๐
สรา้ งสรรค์ และมสี ่วนรว่ มในการทำงานเปน็ กลมุ่
ด้านทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ผา่ นเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกวา่
(Sc.P: Science Process Skills) รอ้ ยละ ๘๐
 การสังเกต
 การจำแนกประเภท
 การจดั กระทำและสื่อความหมายข้อมูล
 การลงความเห็นจากข้อมลู
 การตคี วามหมายขอ้ มลู และลงข้อสรุป

๒๔๓

แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคลชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓
คำชแ้ี จง ให้ครปู ระเมนิ พฤติกรรมของนกั เรยี นรายบุคคลในชั้นเรยี นตามแบบประเมนิ รายการในตาราง แลว้ ขดี
 ลงในช่องทตี่ รงกับคะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ ๒ คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให้ ๑ คะแนน

ลำดับ ช่ือ-สกุล ความมวี นิ ยั ความมี การรับฟงั การแสดง การตรงตอ่ รวม
ท่ี นำ้ ใจ ความ ความ เวลา ๑๕
เอื้อเฟื้อ คิดเหน็ คดิ เห็น คะแนน
เสยี สละ

๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑










๑๐
๑๑
๑๒
๑๓

๑๔

๑๕

๑๖

๑๗

๑๘
๑๙

๒๐

๒๑

๒๒

๒๓

๒๔

๒๕ ๒๔๔
๒๖
๒๗ ลงช่อื …………………………………………………ผ้ปู ระเมิน
๒๘ ( นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมทุ ร )
๒๙
๓๐ วนั ท…ี่ ……เดอื น………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๓๖
๓๗
๓๘
๓๙
๔๐

เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ

ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ

๑๒ - ๑๕ ดี

๑๘ - ๑๑ พอใช้

ตำ่ กวา่ ๘ ปรับปรงุ

๒๔๕

แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่

ชอ่ื กลมุ่ …………………………………………………………………………………………………………………..ชน้ั …..……

คำชี้แจง : ให้ผ้สู อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี  ลงในชอ่ ง

ทตี่ รงกบั ระดับคะแนน

ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน
๓๒๑
๑ การแบง่ หน้าท่กี นั อย่างเหมาะสม
๒ ความร่วมมอื กันทำงาน รวม
๓ การแสดงความคิดเห็น
๔ การรับฟังความคดิ เห็น
๕ ความมนี ้ำใจช่วยเหลอื กนั

เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ

ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ

๑๒ - ๑๕ ดี ลงช่ือ…………………………………………………ผู้ประเมิน
( นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมุทร )
๑๘ - ๑๑ พอใช้
วนั ท…ี่ ……เดอื น………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
ตำ่ กวา่ ๘ ปรับปรุง

๒๔๖

บันทกึ ผลหลังการจัดการเรียนรู้

ผลการจัดกจิ กรรม
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

ปัญหา/อุปสรรค
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข

..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ………………………………………….นกั ศกึ ษาปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษา
(นางสาวพลอยทิพย์ เวยี งสมุทร)

วนั ที่............เดอื น...............................พ.ศ.๒๕๖๕

ความคดิ เหน็ ของครพู ่ีเลย้ี ง
เป็นแผนการจดั การเรียนรู้ที่

 นำไปใช้สอนได้
 ควรปรบั ปรงุ กอ่ นนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอื่นๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ลงช่อื ……………………………………..
(นางอรญั ญา บรจิ าค)

๒๔๗

ความคิดเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
เปน็ แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี

 นำไปใช้สอนได้
 ควรปรบั ปรุงก่อนนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอ่นื ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ลงช่ือ……………………………………..
(นายธนภณ อ่นุ วิเศษ)

ความคิดเหน็ ของหวั หน้ากลุ่มงานบริหารงานวชิ าการ
๑. เปน็ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี
 องค์ประกอบครบถว้ น  องค์ประกอบไมค่ รบ คือ.........................................................
๒. การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้/กระบวนการเรยี นรเู้ หมาะสม
 เนน้ ผ้เู รยี นเปน็ สำคญั กิจกรรมเหมาะสมกบั เนือ้ หา/ส่อื /เวลา
 ไม่เนน้ ผูเ้ รียนเป็นสำคญั ควรปรบั ปรุงพัฒนาตอ่ ไป
๓. การวัด/ประเมินผล
 หลากหลาย เหมาะสม ประเมนิ ตามสภาพจริง
 การประเมนิ ผลควรหลากหลาย และประเมนิ ตามสภาพจริง

ข้อเสนอแนะอ่นื ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ลงช่อื ……………………………………..
(นายวิทยา อินกง)

ความคดิ เหน็ ของผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นหรอื ผทู้ ่ีไดร้ บั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ลงชอ่ื ……………………………………..
(นางสาวสุภาวดี ผาตะเนตร)
ตำแหนง่ รองผู้อำนวยการโรงเรียนกลมุ่ งานบริหารงานวิชาการ

๒๔๘

กิจกรรมท่ี ๗.๓ การสะสมสารพษิ ในสง่ิ มชี วี ติ เกิดขนึ้ อย่างไร

สมาชิก

๑๓.ช่อื ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………….. เลขท่ี ……………
๑๔.ชอ่ื ……………………………………………………………………………….. ชน้ั ……………….. เลขท่ี ……………
๑๕.ชอ่ื ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………….. เลขท่ี ……………
๑๖.ชื่อ ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………….. เลขที่ ……………
๑๗.ชอ่ื ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………….. เลขท่ี ……………
๑๘.ชื่อ ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………….. เลขท่ี ……………
๑๙.ช่ือ ……………………………………………………………………………….. ชน้ั ……………….. เลขท่ี ……………
จดุ ประสงค์
๑. แสดงบทบาทสมมติและอธิบายการสะสมสารพิษในโซ่อาหาร
วสั ด/ุ อุปกรณ์
๑. ถังพลาสติก
๒. แก้วพลาสติกขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่
๓. ลกู ปดั สีเขียวและลูกปดั สีแดง
ข้นั ตอน
๑. อ่านสถานการณแ์ ละเขยี นโซอ่ าหารของสง่ิ มชี วี ติ แต่ละชนิดในแหล่งน้ำนี้
สถานการณ์

แม่น้ำสายหนึ่งมีการปนเปื้อนของสารดีดีที (Dichlorodiphenyltrichloroethane, DDT) ซึ่งเป็น
สารพิษท่ีเปน็ อันตรายตอ่ สงิ่ มีชีวิตและเข้าไปสะสมอยู่ในเซลล์ของสาหร่ายท่อี ยใู่ นแหลง่ นำ้ สาหร่ายเป็นแหล่ง
อาหารท่ีสำคญั ของปลาซิว และปลาซิวเปน็ อาหารของลกู ปลาช่อน นอกจากนย้ี งั มนี กยางทกี่ ินลูกปลาช่อนเป็น
อาหารอาศัยอยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ด้วย ให้นักเรียนแสดงบทบาทสมมติเพื่อจำลองการสะสมของสารดีดีทีใน
ส่ิงมชี ีวิตของโซอ่ าหารน้ี โดยใช้ขอ้ มูลการบริโภคด้านลา่ ง

๒๔๙

๒. แสดงบทบาทสมมติ โดยให้นักเรียน ๔ คน เป็นปลาซิว ๔ ตัว นักเรียน ๒ คน เป็นลูกปลาช่อน ๒ ตัว และ

นักเรยี นอกี ๑ คน เป็นนกยาง ๑ ตัว โดยกำหนดให้

ลูกปัดสเี ขยี ว แทน เซลล์สาหรา่ ยท่ีไมม่ สี ารดดี ที ี

ลูกปดั สีแดง แทน เซลลส์ าหรา่ ยทมี่ ีสารดดี ีที

แกว้ พลาสติกขนาดเลก็ แทน ปลาซิว

แก้วพลาสตกิ ขนาดกลาง แทน ลกู ปลาชอ่ น

แกว้ พลาสติกขนาดใหญ่ แทน นกยาง

๓. ทำกจิ กรรมตามขั้นตอน ดังตอ่ ไปนี้

(๑) นำลูกปัดสีเขยี ว ๔๐ เมด็ และลูกปดั สีแดง ๔๐ เมด็ เทรวมกันในถังพลาสติก

(๒) นักเรียนที่ได้รับบทบาทเป็นปลาซิวไปกินสาหร่าย ๓ เซลล์ โดยสุ่มหยิบลูกปัดออกมาจากถังพลาสติก ๓

เมด็ ใส่ลงในแก้วพลาสตกิ ขนาดเล็ก บันทกึ จำนวนและสขี องลูกปดั ทไี่ ด้

(๓) นกั เรียนท่ีไดร้ บั บทบาทเป็นลกู ปลาชอ่ น กนิ ปลาซวิ ๒ ตัว โดยเทลุกปัดจากแกว้ พลาสติกขนาดเลก็ ๒ ใบลง

ในแก้วพลาสติกขนาดกลาง บันทึกจำนวนและสขี องลกู ปัดที่ได้

(๔) นกั เรียนทไี่ ด้รับบทบาทเป็นนกยาง กนิ ลูกปลาช่อน ๒ ตัว โดยเทลกู ปดั จากแก้วพลาสตกิ ขนาดกลาง ๒ ใบ

ลงในแกว้ พลาสตกิ ขนาดใหญ่ บันทึกจำนวนและสีของลูกปัดท่ีได้

(๕) ทำซำ้ ตามข้อ (๑)-(๔) ใหค้ รบ ๓ รอบ

๔. รวบรวมขอ้ มลู หาค่าเฉลยี่ ปรมิ าณสารพษิ ท่ีสะสมในส่ิงมีชีวิตต่อหน่ึงตวั ในแตล่ ะลำดับข้ันของการบริโภค

และรว่ มกนั อภปิ รายเกี่ยวกับการสะสมสารพิษของสง่ิ มชี ีวติ ในโซ่อาหารจากการแสดงบทบาทสมมติ

ผลการทำกิจกรรม

คร้งั ท่ี จำนวนลกู ปดั สแี ดง จำนวนลกู ปดั สีเขียว ค่าเฉลีย่ ปรมิ าณสารพิษ
ทีส่ ะสม







แบบจำลองการสะสมสารพิษ

๒๕๐

อภิปรายผลการทำกจิ กรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
คำถามท้ายกจิ กรรม
๑. โซอ่ าหารจากสถานการณน์ ีเ้ ปน็ อย่างไร และส่ิงมีชวี ิตแต่ละชนดิ มีบทบาทอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๒. สารพิษในระบบนิเวศเรมิ่ ต้นและสะสมอยู่ในส่ิงมชี ีวิตชนิดใดเปน็ ลำดับแรก
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๓. ในลำดับของโซอ่ าหาร ส่ิงมชี วี ติ ชนดิ ใดสะสมสารพษิ มากที่สดุ เพราะเหตุใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๔. จากกจิ กรรม สรุปไดว้ ่าอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

๒๕๑

แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลงั เรียน
หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๗ ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ

เรอ่ื งท่ี ๒ ความสัมพนั ธข์ องสิง่ มชี ีวติ ในระบบนเิ วศ ๒

คำช้ีแจง ให้นักเรียนเขียนคำตอบลงในชอ่ งว่างใหถ้ ูกตอ้ ง

1. จากแผนภาพ ผผู้ ลติ คือ……………………………………………………………………………………………………………..
2. จากแผนภาพ ผ้บู ริโภคอันดับที่ ๑

คอื ………………………………………………………………………………………….
3. จากภาพ ถ้าตั๊กแตนตายหมดจะสง่ ผลต่อส่ิงมีชีวิตใดมากทส่ี ุด………………………………………………………..
4. จากภาพ ผู้บริโภคอันดับสุดทา้ ยคือ…………………………………………………………………………………………….
5. จากภาพ ถา้ เกษตรกรฉีดยาฆ่าแมลงใหแ้ กห่ ญ้า และมสี งิ่ มีชวี ติ ไปกนิ สิ่งมชี วี ติ ใดจะมสี ารพษิ สะสม

มากทีส่ ุด………………………………………………………………………………………………………………………………….

6. จากภาพ A ควรเปน็ อะไร………………………………………………………………………………………………………….
7. จากภาพ สงิ่ มชี วี ติ ใดท่ีเป็นทั้งผ้บู รโิ ภคอนั ดับท่ี ๑ และ ๒……………………………………………………………..

๒๕๒

คำถาม เรอื่ ง ความสมั พนั ธ์ของสิง่ มีชีวติ ในระบบนเิ วศ ๒

ข้อใดกล่าวถกู ตอ้ ง ก. ผูบ้ รโิ ภคลำดับท่ี๑ สะสมสารพษิ มากที่สดุ เนื่องจากบริโภค

ผู้ผลติ ท่สี ะสมสารพษิ กอ่ นผู้บริโภคลำดบั ทส่ี งู กว่า

ข. ผู้บริโภคลำดับสุดท้ายสะสมสารพษิ มากที่สดุ เน่ืองจากจะ

บรโิ ภคผู้บริโภคลำดับตำ่ กวา่ ในปรมิ าณมาก

การถา่ ยทอดพลงั งาน มีหลักการเดยี วกันกบั การสะสม ก. ใช่

สารพษิ ในสิง่ มชี วี ิตหรอื ไม่ ข. ไม่ใช่

สว่ นใหญ่ส่งิ มชี ีวติ ใดจะเปน็ ผบู้ รโิ ภคลำดับสดุ ท้าย ก. มนุษย์

ข. สงิ โต

ปลาขนาดเลก็ จะมีสารพษิ สะสมในรา่ งกาย ๐.๕ ppm ก. ๕ ppm

จากนนั้ มีปลาขนาดใหญม่ ากินปลาขนาดเล็กไป ๑๐ ตวั ข. ๕๐ ppm

ปลาขนาดใหญ่จะมสี ารพษิ สะสมในร่างกายเท่าใด

“ผู้ผลติ สะสมสารพษิ มากท่ีสดุ เนื่องจากไดร้ ับสารพษิ ก. ถูกตอ้ ง

โดยตรงจากแหล่งนำ้ ทีป่ นเปือนสารพิษ” คำกลา่ วน้ี ข. ไมถ่ กู ต้อง

ถูกต้องหรอื ไม่

ขอ้ ใดเรียงลำดับสิง่ มีชีวิตทม่ี ีการสะสมสารพิษจากมากไป ก. นกนางนวล - ปลา – กงุ้

น้อยไดถ้ ูกตอ้ ง ข. ปลา – กุ้ง – สาหร่าย

สาหร่าย → กงุ้ → ปลา → นกนางนวล

ปลาขนาดเล็กจะมีสารพิษสะสมในร่างกาย ๑๐ ppm ก. ๑๐๐๐ ppm

จากนน้ั มีปลาขนาดใหญ่มากินปลาขนาดเลก็ ไป ๑๐๐ ตวั ข. ๑๐๐๐๐ ppm

ปลาขนาดใหญ่จะมสี ารพษิ สะสมในรา่ งกายเท่าใด

ข้อใดกล่าวถกู ต้องเก่ียวกับการถ่ายทอดพลังงาน ก. พลงั งานจากผู้ผลิตที่ถ่ายทอดไปยงั ผ้บู รโิ ภคลำดับถัดไปจะ

เพ่มิ ขึ้นเรอ่ื ย ๆ

ข. พลงั งานจากผผู้ ลิตทีถ่ า่ ยทอดไปยังผู้บริโภคลำดบั ถัดไปจะ

ลดลงเรอื่ ย ๆ

ขอ้ ใดกล่าวถูกต้องเก่ียวกับการสะสมสารพิษ ก. สารพษิ จะสะสมเพม่ิ ข้ึนเปน็ ๒ เท่าทกุ ๆการกนิ

ข. สารพษิ จะเพ่มิ ขน้ึ ตามปริมาณการกนิ ของผบู้ รโิ ภค

สาหรา่ ย → กงุ้ → ปลา → นกนางนวล ก. น้อยกวา่

จากโซอ่ าหารน้ี ถ้านกนางนวลเลอื กกนิ กุ้งในมากกวา่ กนิ ข. มากกว่า

ปลา จะได้รับสารพษิ มากกวา่ หรอื น้อยกวา่ การกินปลา

อย่างเดียว

แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑๖

กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓

รายวชิ า วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน ๖ รหสั วชิ า ว๒๓๑๐๒

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๗ เร่ือง ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชวี ภาพ ๑๒ ชว่ั โมง

หน่วยการเรียนรู้ยอ่ ย ๗.๓ เรอ่ื ง ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ มีชีวติ กับสิง่ มชี วี ิต ๒ ช่ัวโมง

ผู้สอน นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมุทร ตำแหนง่ นักศกึ ษาปฏบิ ัติการสอนในสถานศกึ ษา ภาคเรยี นที่ ๒/๒๕๖๔

สาระที่ ๑ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ

มาตรฐาน ว ๑.๑ เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พันธ์ระหวา่ งสิ่งไมม่ ีชีวติ กบั ส่ิงมีชวี ติ และ
ความสมั พันธร์ ะหว่างสิ่งมชี ีวติ กับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ การถา่ ยทอดพลงั งาน การ
เปล่ยี นแปลงแทนท่ใี นระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีตอ่
ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม แนวทางในการอนรุ กั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการ
แกไ้ ขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ระดับชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ม.๓ ม.๓/๒ อธบิ ายรูปแบบความสมั พันธร์ ะหวา่ ง  สิง่ มีชีวิตกับสิง่ มชี วี ติ มีความสมั พนั ธก์ นั ในรปู แบบ

สิง่ มชี วี ติ กบั สิ่งมีชีวติ รูปแบบตา่ ง ๆ ในแหลง่ ตา่ ง ๆ เชน่ ภาวะพึ่งพากัน ภาวะอิงอาศัย ภาวะ

ทอ่ี ยู่เดียวกันทีไ่ ด้จากการสำรวจ เหยอื่ กบั ผูล้ ่า ภาวะปรสติ

ม.๓/๖ ตระหนักถงึ ความสมั พนั ธข์ อง  ส่ิงมชี ีวิตชนิดเดยี วกันทีอ่ าศยั อยู่รว่ มกนั ใน

ส่ิงมชี วี ิต และส่ิงแวดล้อมในระบบนเิ วศ โดย แหลง่ ทอี่ ยู่เดียวกัน ในชว่ งเวลาเดยี วกัน เรียกวา่

ไม่ทำลายสมดลุ ของระบบนเิ วศ ประชากร

 กลุ่มสง่ิ มชี วี ติ ประกอบดว้ ยประชากรของ

สงิ่ มีชวี ิตหลาย ๆ ชนิด อาศัยอยูร่ ว่ มกนั ในแหล่งที่

อยู่เดยี วกัน

 การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ อาจทำให้มี

สารพิษสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตได้ จนอาจก่อให้เกิด

อันตรายต่อสิ่งมีชีวิต และทำลายสมดุลในระบบ

นิเวศ ดังนั้นการดูแลรักษาระบบนเิ วศให้เกดิ ความ

สมดลุ และคงอย่ตู ลอดไปจึงเปน็ สิง่ สำคญั

๒๕๔

๑. กาํ หนดเปา้ หมายการเรียนรู้
๑.๑ สาระการเรยี นรู้/เนื้อหาการเรียนรู้
เรื่องที่ ๓ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสิ่งมีชวี ติ กับสิ่งมชี วี ิต
๑) รปู แบบความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสง่ิ มีชีวิตกบั สงิ่ มีชีวติ
๒) สมดุลในระบบนเิ วศ
๑.๒ สาระสําคญั /ความคิดรวบยอดของเรอื่ งท่ีเรียน
สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศมีอยู่หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดต่างกม็ ีรูปแบบความสัมพันธท์ ี่แตกต่างกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศอาจทำให้สิ่งมีชีวิตบางชนิดได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์
หรอื ไม่มผี ลต่อการดำรงชีวติ ของสงิ่ มีชวี ติ นั้นเลย

๑.๓ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้: เมื่อผเู้ รียนจบกจิ กรรมการเรียนรู้ ผ้เู รยี นสามารถ

ด้านความรู้ (K: Knowledge)  อธบิ ายรปู แบบความสมั พนั ธร์ ะหว่างสิ่งมีชวี ิตกบั
ส่งิ มชี ีวิตรปู แบบต่าง ๆ ในแหลง่ ท่ีอยู่
 ยกตัวอยา่ งคู่สงิ่ มีชวี ติ อ่ืน ๆ ท่มี ีความสัมพนั ธ์กนั ใน
รูปแบบต่าง ๆ

๒๕๕

ดา้ นทักษะกระบวนการ (P: Process)  เขยี นรปู แบบความสัมพนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มีชีวิตกบั

สิง่ มีชีวิตรูปแบบต่าง ๆ ในแหล่งทีอ่ ยู่ และใช้

สญั ลกั ษณไ์ ด้ถูกตอ้ ง

ด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (A: Attribute)  มีความกระตือรือร้นในการทำงาน แสดงความ

คดิ เหน็ อยา่ งสรา้ งสรรค์ และมสี ่วนร่วมในการทำงาน

เปน็ กลมุ่

ด้านทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Sc.P: Science Process Skills)

 การสังเกต  การลงความเห็นจากขอ้ มลู

 การวดั  การกำหนดและควบคมุ ตวั แปร

 การคำนวณ/การใชต้ วั เลข  การกำหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ

 การจำแนกประเภท  การตงั้ สมมติฐาน

 การจัดกระทำและสอ่ื ความหมายขอ้ มูล  การทดลอง

 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ  การตีความหมายข้อมูลและลงขอ้ สรุป

และสเปซกับเวลา  การสรา้ งแบบจำลอง

 การพยากรณ/์ การทำนาย

๒. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนร้แู บบ ๕E

๒.๑ ขั้นการสรา้ งความสนใจ (Engagement)

๑. ครใู ห้นกั เรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรอื่ งท่ี ๔ รปู แบบความสัมพนั ธร์ ะหว่างสิ่งมชี ีวิตกับ
สิง่ มีชวี ิต เพื่อวัดความรูเ้ ดิมของนกั เรยี นกอ่ นเข้าสู่กจิ กรรม

๒. ครูเปดิ ประเดน็ คำถามโดยให้นกั เรยี นพิจารณารูปภาพ ๒ รปู ภาพ ท่ีครจู ดั เตรยี มไว้ให้ คือ ภาพรัง
ต่อบนต้นไม้ และกาฝากบนต้นไม้ จากนัน้ ครตู ั้งประเดน็ คำถามกระตุ้นความคดิ นักเรยี นวา่ “เพราะเหตใุ ด
ตน้ ไมท้ ง้ั ๒ ตน้ จงึ มลี กั ษณะแตกต่างกัน”

(แนวตอบ : เพราะส่งิ ทีม่ าอาศัยอย่ใู นตน้ ไมภ้ าพท่ี ๑ และภาพที่ ๒ แตกตา่ งกนั คอื ภาพท่ี ๑ ตวั ต่อมา
อาศยั และทำรงั อยู่บนตน้ ไม้ โดยตวั ตอ่ ไม่ได้ทำลายหรือสรา้ งความเสียหายให้กบั ต้นไม้ ต้นไมใ้ นภาพท่ี ๑ จงึ มี

๒๕๖

ความอดุ มสมบรู ณ์ปกติ แตใ่ นภาพท่ี ๒ กาฝากซึ่งเปน็ ปรสติ ของพืชมาอาศัยอยกู่ ับต้นไมใ้ นภาพท่ี ๒ โดยกาฝาก
จะใช้รากแทงทะลเุ ข้าไปยงั ท่อลำเลยี งนำ้ และธาตุอาหาร คอยแย่งนำ้ และอาหาร ทำใหต้ น้ ไม้ในภาพท่ี ๒ ไม่
เจริญเติบโตและตายในทีส่ ุด)

๒.๒ ข้นั การสำรวจและคน้ หา (Exploration)

๑. นกั เรยี นจับกล่มุ กบั เพ่ือนในชนั้ เรียนตามความสมัครใจ กลุ่มละ ๕-๖ คน จากนัน้ รว่ มกันศกึ ษา
คน้ คว้าข้อมูลเก่ยี วกบั เร่ือง รปู แบบความสัมพันธร์ ะหว่างสง่ิ มีชีวิตกับส่งิ มีชวี ติ จากหนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ม.๓ เล่ม ๒ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๗ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ หรอื แหลง่ การ
เรียนรูต้ ่าง ๆ เช่น อินเทอร์เนต็

๒. นกั เรยี นแต่ละกล่มุ ทำกจิ กรรมท่ี ๗.๔ สิง่ มีชวี ิตอยรู่ ่วมกันอยา่ งไร จากหนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ม.๓ เล่ม ๒

วัสด/ุ อุปกรณ์ กิจกรรมท่ี ๗.๔ สง่ิ มชี วี ิตอยูร่ ว่ มกนั อย่างไร
- ขน้ั ตอน
๑. อภิปรายความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่อยู่
ร่วมกันแตล่ ะคู่ดังตอ่ ไปนี้
 ควายกบั นกเอีย้ ง
 หมัดกับสนุ ัข
 กาฝากกบั มะมว่ ง
 ปลาเหาฉลามกบั ปลาฉลาม
 เสอื โครง่ กับกวางดาว
 ปลาการต์ ูนกับดอกไมท้ ะเล
 กล้วยไมป้ า่ กับยางนา
 ตกั๊ แตนตำขา้ วกับแมลงปอ
๒. สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม วิเคราะห์ความสัมพันธ์
ระหว่างสิ่งมีชีวิตแต่ละคู่ และร่วมกันอภิปรายว่า
สิ่งมีชีวิตใดได้ประโยชน์ สิ่งมีชีวิตใดเสียประโยชน์
หรอื ส่ิงมีชวี ติ ใดไม่ไดแ้ ละไม่เสียประโยชน์ บันทึกผล
โดยทำเครือ่ งหมายดงั น้ี
+ แทน สงิ่ มีชวี ติ ทไี่ ดป้ ระโยชน์
- แทน สิง่ มชี ีวิตทเ่ี สียประโยชน์
๐ แทน ส่งิ มีชีวติ ทไี่ ม่ไดแ้ ละไมเ่ สยี ประโยชน์

๒๕๗

๓. จำแนกรูปแบบความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในข้อ
๒ ออกเปน็ กลุ่ม บันทกึ ผลและนำเสนอ
๔. ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ
สง่ิ มชี วี ิตแต่ละกลมุ่
๓. นกั เรียนแต่ละกลุม่ ร่วมกันทำกจิ กรรมและบนั ทึกลงในใบกจิ กรรม พรอ้ มตอบคำถามท้ายกจิ กรรม

๒.๓ ขนั้ การอธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation)

๑. ใหต้ วั แทนกล่มุ ของแตล่ ะกลมุ่ นำเสนอผลของตนเอง เม่อื ตวั แทนกลุ่มนำเสนอจบแลว้ นักเรียนคนใด
มีขอ้ สงสยั หรือขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เติม ใหย้ กมือแล้วลุกขนึ้ ถามคำถามหรอื แสดงความคดิ เหน็ ใหก้ บั ผลงานของ
เพ่ือนกลมุ่ อื่น ในระหวา่ งนี้ ครจู ะประเมินความถกู ตอ้ งและอธบิ ายเพมิ่ เติมใหน้ ักเรียนเกดิ ความเข้าใจที่ตรงกนั

๒. ครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจว่า “สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้จำเป็นต้องมี
ความสัมพนั ธ์กบั ส่งิ มชี วี ิตอนื่ เพ่อื ประโยชนใ์ นการดำรงชวี ติ ซ่งึ ความสมั พันธข์ องระหวา่ งส่งิ มีหลายรปู แบบ”

๓. ครูและนักเรียนร่วมกันอธิบายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ
สง่ิ มีชีวิต โดยครูใช้แผนภาพ วดิ ิทศั น์ หรือ Power Point ประกอบการอธิบายและลงขอ้ สรุป

ตัวอยา่ งสรุป รปู แบบความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสง่ิ มีชวี ติ กบั สงิ่ มชี วี ติ

ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสง่ิ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศ
ความสมั พันธ์ระหว่างสง่ิ มีชีวติ ต่างชนิดในระบบนเิ วศเดียวกนั (Interspecific interaction) แบง่ เป็น

๗ แบบ คอื
1. ความสมั พนั ธแ์ บบพง่ึ พา (Mutualism : +,+) หมายถงึ การอยรู่ ว่ มกนั ของสง่ิ มีชวี ิต ๒ ชนดิ โดยตา่ งก็
ได้รบั ประโยชน์ซึ่งกันและกนั หากแยกกันอยจู่ ะไมส่ ามารถดำรงชีวติ ตอ่ ไปได้ เชน่
- ไลเคนส์ (Lichens): สาหร่ายอยู่ร่วมกบั รา สาหรา่ ยได้รบั ความช้ืนและแรธ่ าตจุ ากรา ราได้รบั อาหาร

และออกซิเจนจากสาหร่าย
- โพรโทซวั ในลำไส้ปลวก
- แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ของมนุษย์
- แบคทเี รียในปมรากพืชตระกูลถวั่
- ราในรากพืชตระกลู สน

2. ความสมั พนั ธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกนั (Protocooperation : + ,+ ) หมายถงึ การอยรู่ ว่ มกนั ของ
สง่ิ มชี วี ิต ๒ ชนิด โดยก็ไดร้ ับประโยชนซ์ ึ่งกันและกนั แมแ้ ยกกันอย่กู ็สามารถดำรงชวี ิตไดต้ ามปกติ
เชน่
- แมลงกับดอกไม้

๒๕๘

- ปูเสฉวนกับดอกไมท้ ะเล (sea anemone)
- มดดำกับเพลี้ย
- นกเอี้ยงกับควาย
3. ความสัมพนั ธแ์ บบอิงอาศัยหรือความสมั พนั ธ์แบบเกื้อกลู (Commensalism : + , ๐) หมายถงึ การ
อยู่ร่วมกนั ของสิ่งมีชวี ติ ๒ ชนดิ โดยฝ่ายหนึง่ ไดป้ ระโยชน์ อกี ฝา่ ยหน่ึงไม่ได้และไมเ่ สยี ประโยชน์ เช่น
- ปลาฉลามกบั เหาฉลาม
- พืชอิงอาศัย (epiphyte) บนตน้ ไม้ใหญ่ เช่น กล้วยไม้ท่อี ยบู่ นต้นมะม่วง
- นก ตอ่ แตน ผงึ้ ทำรงั บนต้นไม้
4. ความสมั พนั ธ์แบบปรสิต (Parasitism : + , -) หมายถงึ การอยู่ร่วมกันของส่ิงมีชวี ิต ๒ ชนดิ โดยฝา่ ย
หนงึ่ ได้ประโยชน์ เรียกว่า ปรสิต (parasite) อกี ฝ่ายหนงึ่ เสียประโยชนเ์ รยี กว่าผ้ถู กู อาศัย (host) เช่น
- เห็บ เหา ไร หมัด บนรา่ งกายสตั ว์
- พยาธิ ในรา่ งกายสตั ว์
5. ความสัมพนั ธแ์ บบล่าเหยอ่ื (Predation : + , -) หมายถงึ การอยู่ร่วมกันของสง่ิ มีชวี ติ โดยฝ่ายหนึ่งจับ
อกี ฝ่ายหนงึ่ เป็นอาหาร เรียกวา่ ผู้ลา่ (predator) สว่ นฝ่ายทถ่ี ูกจับเปน็ อาหารหรือถูกลา่ เรียกวา่
เหย่อื (prey)
6. ความสมั พนั ธแ์ บบแขง่ ขนั (Competition : - ,-) หมายถงึ การอย่รู ว่ มกนั ของสิง่ มีชวี ิตทีม่ ีการแย่ง
ปจั จัยในการดำรงชพี เหมอื นกันจงึ ทำให้เสยี ประโยชนท์ ัง้ สองฝ่าย เช่น เสอื , สงิ โต , สนุ ัขป่าแย่งชงิ กัน
ครอบครองทีอ่ ย่อู าศยั หรืออาหารพืชหลายชนิดทเี่ จรญิ อยูใ่ นบริเวณเดียวกัน เป็นต้น
7. ความสมั พนั ธ์แบบเป็นกลางตอ่ กนั (Neutralism : ๐ , ๐) เปน็ การอย่รู ว่ มกันของส่ิงมชี วี ิตทเ่ี ปน็ อิสระ
ตอ่ กนั จึงไมม่ ีฝา่ ยหนึง่ ฝ่ายใดไดห้ รือเสียประโยชน์ เช่น นกกับกระตา่ ยในท่งุ หญ้า

๒.๔ ขัน้ การขยายความรู้ (Elaboration)

๑. ครูเตรียมสลากชื่อสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ได้แก่ รา นกเอี้ยง เหาฉลาม ฉลาม กาฝาก ควาย ต้นไม้
มนษุ ย์ สาหรา่ ย และนก จากน้ันให้นักเรยี นแต่ละคนจับสลากชื่อสงิ่ มีชีวิต ซ่งึ นักเรียนทจ่ี บั สลากได้ชื่อส่ิงมีชีวิต
เดียวกนั ใหม้ ารวมกลุม่ กัน

๒. ครอู ธิบายเพ่ิมเติมใหน้ ักเรียนเข้าใจเกยี่ วกับประชากร และกลุ่มสิ่งมีชีวติ ว่า “นกั เรยี นแต่ละคนท่ีถือ
สลากช่ือสิง่ มีชีวติ ลว้ นเป็นสิง่ มีชีวิต ในความเป็นจริงสงิ่ มีชีวติ ไมส่ ามารถดำรงชีวิตอย่ใู นระบบนเิ วศได้โดยลำพัง
เมื่อนักเรียนที่จับสลากได้ชื่อสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันมารวมกลุ่มกันในแหล่งที่อยู่ เดียวกันและเวลาเดียวกัน
เรียกว่า ประชากร (population) ดังนั้น ในห้องเรียนนีจ้ ึงประกอบด้วย ประชากรของสิ่งมีชีวิตหลายชนิดมา
อยูร่ วมกนั เรียกว่า กลุ่มส่งิ มีชวี ิต (community)”

๒๕๙

๓. ให้นักเรียนแต่ละคนที่ถือสลากชื่อสิ่งมีชีวิตเลือกจับคู่กับเพื่อนที่ถือสลากชื่อสิ่งมีชีวิตอีกคนหนึ่ง
แลว้ ระบุความสมั พนั ธ์ของสงิ่ มชี ีวิต

๔. ครูสมุ่ นกั เรยี น ๕-๑๐ คู่ ระบแุ ละอธบิ ายความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวติ

๕. ครอู ธิบายเพม่ิ เติมเกี่ยวกบั สมดลุ ของระบบนิเวศว่า “ความสมดุลของระบบนิเวศ หมายถงึ สภาวะ
ความคงที่ในการแลกเปลีย่ นความสัมพันธร์ ะหว่างสง่ิ มีชวี ติ กับสิง่ แวดล้อม ซึ่งในระบบนเิ วศนน้ั สิ่งมชี วี ิตและไม่
มีชีวติ จะมกี ารแลกเปล่ียนพลังงานและสสารซ่งึ กนั และกนั ขณะเดยี วกนั ความสมั พันธร์ ะหว่างส่ิงมีชีวิตด้วยกัน
คอื การถ่ายทอดพลังงานไปตามห่วงโซ่อาหาร มีองค์ประกอบภายในระบบท่ีทำหนา้ ทเี่ ปน็ ผู้ผลิต ผูบ้ ริโภค และ
ผยู้ ่อยสลาย ซ่ึงความสมดลุ ของระบบนเิ วศจะคงอย่ไู ด้ ตราบเทา่ ที่มีความหลากหลายของส่งิ มชี วี ิตภายในระบบ
ซึ่งความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่เป็นระเบียบและสลับซับซ้อน ซึ่งเม่ือใดกต็ ามที่
องค์ประกอบส่วนใดส่วนหนง่ึ ถกู ทำให้กระทบกระเทอื นแม้เพียงเลก็ น้อย ผลกระทบอนั น้ันจะถูกส่งทอดต่อไป
ถงึ องคป์ ระกอบอืน่ ๆ ท่วั ท้ังระบบ แต่ในความซบั ซ้อนของระบบนเิ วศ มนั ก็จะสามารถท่จี ะปรบั ตวั เข้าสู่สภาวะ
แห่งความสมดุลได้ใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ระบบคงอยู่ต่อไปได้ แต่หากผลกระทบนั้นรุนแรงเกินกว่าที่ระบบจะ
ปรบั ตวั ให้เข้าสู่สมดุลได้ ระบบนัน้ ทัง้ ระบบกจ็ ะแตกสลายลง”

๖. นกั เรยี นและครูรว่ มกันสรุปเกีย่ วกับรูปแบบความสัมพันธข์ องสง่ิ มชี ีวิต ซ่ึงควรได้ขอ้ สรุปร่วมกันว่า
“ความสัมพันธร์ ะหว่างส่งิ มีชวี ิตในระบบนเิ วศล้วนมีความสัมพันธร์ ะหวา่ งส่งิ มีชวี ิตทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ซึ่ง
สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศมอี ยูห่ ลายชนิดแตล่ ะชนิดต่างมีรูปแบบความสมั พันธ์ท่ีแตกต่างกัน เช่น ภาวะอิงอาศยั
ภาวะพึ่งพากัน ภาวะปรสติ ภาวะการลา่ เหยือ่ ภาวะการแกง่ แย่งแข่งขนั และภาวะการไดป้ ระโยชนร์ ่วมกนั ”

๒.๕ ขน้ั การประเมิน (Evaluation)

๑. ครปู ระเมินโดยใช้กจิ กรรมการแข่งขันเปน็ กลมุ่ ดงั นี้

ข้นั ที่ ๑ ครูทบทวนบทเรยี นท่เี รียนมาแลว้ ครง้ั ก่อน ด้วยการซกั ถามและอธิบาย ตอบข้อสงสัยของนกั เรียน
ขั้นท่ี ๒ จัดกลมุ่ แบบคละกัน (Home Group) กลุ่ม ๓-๔ คน
ขน้ั ท่ี ๓ แต่ละทีมศกึ ษาหัวข้อท่เี รยี นในวนั น้จี ากแบบฝกึ (Worksheet And Answer Sheet) ทีมจะ

เรมิ่ ทำการแขง่ ขนั ตอบปัญหา
ขั้นที่ ๔ การแข่งขันตอบปญั หา (Academic Games Tournament)
๔.๑ ครูทำหน้าที่เป็นผูจ้ ัดการหอ้ งเรียน โดยแบ่งตามความสามารถของนกั เรยี น เช่น
โต๊ะท่ี ๑ เป็นโตะ๊ แข่งขันสำหรบั นักเรียนทม่ี ีความสามารถเกง่ มาก
โต๊ะท่ี ๒ และ ๓ เปน็ โต๊ะแข่งขันสำหรบั นักเรียนท่มี ีความสามารถปานกลาง
โต๊ะท่ี ๔ เป็นโตะ๊ ทีแ่ ข่งขนั สำหรับนกั เรยี นทม่ี ีความสามารถอ่อน
๔.๒ ครแู จกซองคำถามจำนวน ๑๐ คำถามให้ทุกโต๊ะ (เป็นคำถามเหมือนกนั )

๒๖๐

๔.๓ นกั เรยี นเปล่ียนกันหยิบซองคำถามทลี ะ ๑ ซอง (๑ คำถาม) แล้ววางลงกลางโตะ๊
๔.๔ นักเรียน ๓ คนท่ีเหลอื คำนวณหาคำตอบ จากคำถามทอี่ ่าน
๔.๕ เขยี นคำตอบลงในกระดาษคำตอบทีแ่ ต่ละคนมีอยู่
๔.๖ นกั เรียนคนทท่ี ำหนา้ ท่อี ่านคำถามจะเป็นคนใหค้ ะแนน โดยมกี ติกาการให้คะแนน ดังน้ี

๔.๖.๑ ผู้ตอบถกู เป็นคนแรก จะได้ ๒ คะแนน
๔.๖.๒ ผู้ตอบถกู คนต่อไป จะไดค้ นละ ๑ คะแนน
๔.๖.๓ ถ้าตอบผิด ให้ ๐ คะแนน
๔.๗ ทำข้นั ตอนท่ี ๔.๓ - ๔.๕ โดยผลัดกนั อา่ นคำถามจนกว่าคำถามจะหมด
๔.๘ นักเรียนทุกคนรวมคะแนนของตัวเอง โดยท่ีทกุ คนควรได้ตอบคำถามจำนวนเท่าๆ กนั
จดั ลำดับของคะแนนที่ได้ ซ่ึงกำหนดโบนัสของแต่ละโต๊ะดงั นีโ้ บนัส ผ้ทู ี่ได้คะแนนสงู สดุ ที่ ๑ ประจำโต๊ะแตล่ ะ
โต๊ะ จะไดโ้ บนสั ๑๐ แต้ม ผทู้ ี่ได้คะแนนรองที่ ๒ ประจำโตะ๊ แต่ละโต๊ะ จะไดโ้ บนสั ๘ แต้ม ผู้ทไ่ี ดค้ ะแนนรองท่ี
๓ ประจำโตะ๊ แตล่ ะโตะ๊ จะไดโ้ บนสั ๕ แตม้ ผู้ทไี่ ด้คะแนนนอ้ ยที่สดุ ประจำโตะ๊ แตล่ ะโต๊ะ จะได้โบนัส ๔ แตม้

ข้ันที่ ๕ นักเรียนกลับมากลมุ่ เดิม (Home Group) รวมแต้มโบนัสของทกุ คน ทมี ใดทีม่ ีแต้มโบนสั สูงสดุ จะให้
รางวลั หรือติดประกาศไวใ้ นมมุ ข่าวของห้อง

๒. นกั เรียนทำกิจกรรมและตอบคำถามท้ายกจิ กรรมในใบกิจกรรมท่ี ๗.๔ สงิ่ มีชวี ิตอยรู่ ่วมกนั อย่างไร

๓. นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรยี น เรื่อง รปู แบบความสมั พันธร์ ะหวา่ งสิง่ มชี วี ติ กับสง่ิ มชี วี ติ

๓. สอื่ /อปุ กรณ์/แหล่งเรยี นรู้

๓.๑ ค่มู ือครูรายวิชาพืน้ ฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)

๓.๒ หนังสือเรียนรายวชิ าพื้นฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)

๓.๓ Power Point เรือ่ ง รปู แบบความสมั พันธร์ ะหว่างส่งิ มีชีวติ กบั ส่ิงมชี วี ติ

๔. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ๒๖๑

จุดประสงค์การเรยี นรู้ วิธกี ารวัดผลการเรยี นรู้ เกณฑก์ ารประเมนิ ผล
ผา่ นเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกว่า
ด้านความรู้ (K: Knowledge) - การตอบคำถาม รอ้ ยละ ๘๐

 อธิบายรูปแบบความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมชี ีวติ กบั สิ่งมชี ีวิต ผ่านเกณฑไ์ มน่ ้อยกวา่
ร้อยละ ๘๐
รปู แบบต่าง ๆ ในแหลง่ ท่อี ยู่
ผ่านเกณฑ์ไมน่ อ้ ยกว่า
 ยกตวั อย่างคู่สง่ิ มีชีวติ อนื่ ๆท่มี คี วามสัมพันธก์ ันในรูปแบบตา่ ง ๆ รอ้ ยละ ๘๐

ด้านทกั ษะกระบวนการ (P: Process) - การตอบคำถาม ผ่านเกณฑไ์ ม่นอ้ ยกวา่
รอ้ ยละ ๘๐
 เขียนรปู แบบความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมีชวี ติ กบั ส่ิงมชี ีวติ รูปแบบ - การทำกจิ กรรม

ต่าง ๆ ในแหล่งทีอ่ ยู่ และใชส้ ัญลักษณ์ไดถ้ กู ต้อง

ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A: Attribute) - สังเกตพฤตกิ รรมในการ

 มีความกระตือรือร้นในการทำงาน แสดงความคิดเห็นอย่าง ทำงาน

สร้างสรรค์ และมสี ่วนร่วมในการทำงานเป็นกล่มุ

ด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - การตอบคำถาม

(Sc.P: Science Process Skills)

 การสงั เกต

 การจำแนกประเภท

 การจดั กระทำและส่ือความหมายข้อมูล

 การลงความเหน็ จากขอ้ มูล

 การตีความหมายข้อมลู และลงขอ้ สรปุ

๒๖๒

แบบสังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คลชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๓
คำช้ีแจง ให้ครปู ระเมินพฤตกิ รรมของนกั เรียนรายบคุ คลในช้ันเรยี นตามแบบประเมินรายการในตาราง แล้วขดี
 ลงในชอ่ งท่ตี รงกับคะแนน
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมบ่อยครง้ั ให้ ๒ คะแนน
ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบางครง้ั ให้ ๑ คะแนน

ลำดับ ชอื่ -สกุล ความมวี ินยั ความมี การรับฟงั การแสดง การตรงต่อ รวม
ท่ี นำ้ ใจ ความ ความ เวลา ๑๕
เออ้ื เฟอ้ื คิดเห็น คิดเหน็ คะแนน
เสียสละ

๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑

๑ เด็กชายอสิ ระ สะโสม
๒ เดก็ ชายชวกร วฒุ ิสาร
๓ เดก็ ชายคณิศร พรหมพินิจ
๔ เด็กชายวรวชิ นัดทะยาย
๕ เด็กชายอภิญญา เประกนั ยา
๖ เด็กชายชายชาญ อาจอกั ษร
๗ เดก็ ชายอินทรชติ รวมธรรม
๘ เดก็ ชายนธิ กิ านต์ ทบั ทมิ
๙ เดก็ ชายอัครพล ปรุ ธิ รรมเม
๑๐ เด็กชายกันตพชิ ญ์ พรหมดวงดี
๑๑ เด็กชายธเนศพล อะทอยรมั ย์
๑๒ เดก็ ชายมากอส บญุ ทัน
๑๓ เด็กชายปองภพ วงศศ์ รชี า
๑๔ เด็กชายมรพุ งศ์ การินทร์
๑๕ เด็กชายชษิ ณพุ งศ์ วงั ครี ี
๑๖ เด็กหญิงจนั ทมิ า แสงฤทธิ์
๑๗ เด็กหญงิ สุมารินทร์ โตกูล
๑๘ เดก็ หญิงชาลิสา ภญิ ญโภชน์
๑๙ เด็กหญงิ นณศิ รา อุดคำดี
๒๐ เดก็ หญิงวรัญญา ภูบุญคง
๒๑ เด็กหญงิ อมลรุจี ทงุ่ สาร
๒๒ เด็กหญิงวชิ ญาดา สวุ รรณวงษ์
๒๓ เดก็ หญงิ ฐติ าภา มาราช
๒๔ เด็กหญิงศศวิ ิมล มาตผาง

๒๕ เด็กหญิงภทรพรรณ อนั ลกู ทา้ ว ๒๖๓
๒๖ เด็กหญิงชลดา บตุ รสาร
๒๗ เด็กหญิงสโรธชิ า รัตนภมู ี ลงช่อื …………………………………………………ผปู้ ระเมิน
๒๘ เด็กหญงิ พัชราภา ทาสดี ำ ( นางสาวพลอยทิพย์ เวียงสมุทร )
๒๙ นางสาวณฐั กฤตา นิลไชย
๓๐ เดก็ หญงิ ศศธิ ร แกน่ วงษา วันท…ี่ ……เดอื น………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๓๑ เดก็ หญงิ ปัญญดา บุญเกษม
๓๒ เดก็ หญิงกลอนกวี จดั โสภา
๓๓ เดก็ หญงิ ชนญั ชดิ า หารราชา
๓๔ เด็กหญิงณฐั ธยาน์ สวุ รรณรอด
๓๕ เด็กหญิงนภิ าพร แวดล้อม
๓๖ เด็กหญิงพชั ราภา ธรรมขันธ์
๓๗ เด็กหญงิ พัชริญา งามสงา่
๓๘ เดก็ หญิงพันธวดี ไตรยวงค์
๓๙ เดก็ หญิงสธุ ีธิดา กติ ิอาษา
๔๐ เดก็ หญิงกุลนันท์ จีนะพงษ์

เกณฑก์ ารตัดสินคุณภาพ

ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ

๑๒ - ๑๕ ดี

๑๘ - ๑๑ พอใช้

ต่ำกวา่ ๘ ปรับปรงุ

๒๖๔

แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุม่

ช่อื กล่มุ …………………………………………………………………………………………………………………..ชั้น…………

คำชแ้ี จง : ให้ผ้สู อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี  ลงในชอ่ ง

ที่ตรงกับระดบั คะแนน

ลำดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน
๓๒๑
๑ การแบง่ หน้าท่กี ันอยา่ งเหมาะสม
๒ ความร่วมมอื กันทำงาน รวม
๓ การแสดงความคิดเห็น
๔ การรบั ฟงั ความคิดเห็น
๕ ความมีน้ำใจช่วยเหลือกนั

เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ

ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ ลงชื่อ…………………………………………………ผปู้ ระเมิน
( นางสาวพลอยทพิ ย์ เวียงสมุทร )
๑๒ - ๑๕ ดี
วนั ท…ี่ ……เดือน………………..……….. พ.ศ.๒๕๖๕
๑๘ - ๑๑ พอใช้

ต่ำกวา่ ๘ ปรับปรุง

๒๖๕

บันทกึ ผลหลังการจัดการเรียนรู้

ผลการจัดกจิ กรรม
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

ปัญหา/อุปสรรค
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข

..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ………………………………………….นกั ศกึ ษาปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษา
(นางสาวพลอยทิพย์ เวยี งสมุทร)

วนั ที่............เดอื น...............................พ.ศ.๒๕๖๕

ความคดิ เหน็ ของครพู ่ีเลย้ี ง
เป็นแผนการจดั การเรียนรู้ที่

 นำไปใช้สอนได้
 ควรปรบั ปรงุ กอ่ นนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอื่นๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ลงช่อื ……………………………………..
(นางอรญั ญา บรจิ าค)

๒๖๖

ความคิดเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
เปน็ แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี

 นำไปใช้สอนได้
 ควรปรบั ปรุงก่อนนำไปใช้
ขอ้ เสนอแนะอ่นื ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ลงช่ือ……………………………………..
(นายธนภณ อ่นุ วิเศษ)

ความคิดเหน็ ของหวั หน้ากลุ่มงานบริหารงานวชิ าการ
๑. เปน็ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี
 องค์ประกอบครบถว้ น  องค์ประกอบไมค่ รบ คือ.........................................................
๒. การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้/กระบวนการเรยี นรเู้ หมาะสม
 เนน้ ผ้เู รยี นเปน็ สำคญั กิจกรรมเหมาะสมกบั เนือ้ หา/ส่อื /เวลา
 ไม่เนน้ ผูเ้ รียนเป็นสำคญั ควรปรบั ปรุงพัฒนาตอ่ ไป
๓. การวัด/ประเมินผล
 หลากหลาย เหมาะสม ประเมนิ ตามสภาพจริง
 การประเมนิ ผลควรหลากหลาย และประเมนิ ตามสภาพจริง

ข้อเสนอแนะอ่นื ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ลงช่อื ……………………………………..
(นายวิทยา อินกง)

ความคดิ เหน็ ของผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นหรอื ผทู้ ่ีไดร้ บั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ลงชอ่ื ……………………………………..
(นางสาวสุภาวดี ผาตะเนตร)
ตำแหนง่ รองผู้อำนวยการโรงเรียนกลมุ่ งานบริหารงานวิชาการ

๒๖๗

กจิ กรรมที่ ๗.๔ ส่ิงมีชวี ิตอย่รู ว่ มกันอย่างไร

สมาชกิ

๒๐.ช่ือ ……………………………………………………………………………….. ชน้ั ……………….. เลขท่ี ……………
๒๑.ชื่อ ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………….. เลขที่ ……………
๒๒.ช่อื ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………….. เลขท่ี ……………
๒๓.ชอ่ื ……………………………………………………………………………….. ชน้ั ……………….. เลขท่ี ……………
๒๔.ชื่อ ……………………………………………………………………………….. ชน้ั ……………….. เลขท่ี ……………
๒๕.ชอื่ ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………….. เลขที่ ……………
จดุ ประสงค์
๑. สืบคน้ ขอ้ มูลและอธิบายรูปแบบความสัมพนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มชี ีวิตกับสิง่ มชี วี ิตท่อี ยู่ร่วมกนั
วัสด/ุ อุปกรณ์
-
ข้ันตอน
๑. อภปิ รายความสมั พันธ์ระหว่างสิ่งมชี ีวติ ท่อี ยู่ร่วมกันแต่ละคู่ดงั ต่อไปน้ี

 ควายกับนกเอย้ี ง  หมดั กับสนุ ขั
 กาฝากกับมะม่วง  ปลาเหาฉลามกับปลาฉลาม
 เสอื โคร่งกบั กวางดาว  ปลาการ์ตูนกบั ดอกไม้ทะเล
 กลว้ ยไมป้ า่ กับยางนา  ต๊ักแตนตำข้าวกบั แมลงปอ
๒. สบื ค้นข้อมูลเพิ่มเติม วิเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งสงิ่ มีชีวิตแต่ละคู่ และร่วมกันอภิปรายว่า ส่ิงมีชีวิตใดได้
ประโยชน์ สิ่งมีชีวิตใดเสียประโยชน์ หรือสิ่งมีชีวิตใดไมไ่ ด้และไม่เสียประโยชน์ บันทึกผลโดยทำเครื่องหมาย
ดังนี้
+ แทน ส่ิงมีชีวติ ที่ได้ประโยชน์
- แทน สิ่งมีชีวิตที่เสยี ประโยชน์
๐ แทน สิง่ มชี วี ติ ท่ไี ม่ไดแ้ ละไม่เสยี ประโยชน์
๓. จำแนกรูปแบบความสมั พันธข์ องสิง่ มีชวี ติ ในขอ้ ๒ ออกเปน็ กลมุ่ บันทึกผลและนำเสนอ
๔. รว่ มกันอภิปรายเก่ียวกับความสัมพนั ธ์ของส่ิงมชี ีวิตแตล่ ะกลุ่ม

ผลการทำกจิ กรรม

๒๖๘

คสู่ ง่ิ มีชวี ติ ส่งิ มีชีวิตตัวที่ ๑ ส่งิ มีชวี ิตตัวท่ี ๒ ลักษณะความสมั พนั ธ์
ควายกบั นกเอย้ี ง
กาฝากกับมะมว่ ง
เสอื โครง่ กบั กวางดาว
กล้วยไมป้ า่ กบั ยางนา
หมดั กบั สุนัข
ปลาเหาฉลามกับปลาฉลาม
ปลาการ์ตนู กับดอกไมท้ ะเล
ตก๊ั แตนตำข้าวกบั แมลงปอ

อภิปรายผลการทำกจิ กรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
คำถามท้ายกิจกรรม
๑. ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างสงิ่ มชี ีวิตทก่ี ำหนดให้มกี ่ีกลุ่ม และสิง่ มชี วี ิตแต่ละกลุ่มมคี วามสัมพนั ธก์ ัน
อยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๒. จากกจิ กรรม สรุปได้ว่าอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

๒๖๙

แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๗ ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชวี ภาพ

เรอ่ื งท่ี ๓ รปู แบบความสัมพนั ธ์ระหว่างส่งิ มีชีวิตกับสิ่งมชี ีวิต

คำช้แี จง ให้นักเรยี นเขียนเครื่องหมาย  หนา้ คำตอบทีถ่ ูกตอ้ งที่สุดเพียงข้อเดียว
๑. ขอ้ ใดเปน็ การอยรู่ ่วมกันแบบภาวะพง่ึ พาอาศัย

ก. โปรโตซัวอาศัยอยใู่ นลำไส้ปลวก
ข. ซีแอนีโมนีอาศยั อยบู่ นเปลอื กปูเสฉวน
ค. ผีเสื้อดูดน้ำหวานจากเกสรดอกบานชน่ื
ง. พยาธิอาศยั ที่ตบั
๒. ส่ิงมีชีวิตใดอยู่มีความสัมพนั ธ์แบบเดยี วกับมดดำและเพลีย้
ก. ปลาฉลามและปลาเหาฉลาม
ข. นกเอย้ี งและควาย
ค. กบและแมลง
ง. แมงมมุ และกระต่าย
๓. ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชวี ิตแบบใดที่สิ่งมชี วี ิตทงั้ คเู่ สียประโยชน์
ก. ปรสติ
ข. ล่าเหยื่อ
ค. แข่งขนั กัน
ง. ถูกทุกขอ้
๔. ความสัมพันธ์ของสิ่งมชี ีวิตคู่ใดท่มี คี วามสัมพันธแ์ บบเปน็ กลาง
ก. เสอื -สิงโต
ข. กบ-แมลง
ค. ไลเคนส์
ง. แมงมุม-กระตา่ ย
๕. ความสมั พนั ธ์ของสงิ่ มีชีวิตคูใ่ ดทม่ี คี วามสัมพนั ธแ์ บบเดียวกับปลาฉลาม-ปลาเหาฉลาม
ก. ต้นไมใ้ หญ่-เฟนิ
ข. ผงึ้ -ดอกไม้
ค. ปลวก-โปรโตซัว
ง. กวาง-กระต่าย

๒๗๐

๖. ขอ้ ใดกล่าวถึงไลเคนสไ์ ดไ้ มถ่ ูกตอ้ ง
ก. เป็นการอยรู่ ว่ มกนั ของสาหรา่ ยและรา
ข. ราจะได้ประโยชนจ์ ากการรับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากการหายใจของสาหรา่ ย
ค. มคี วามสัมพนั ธ์แบบเดียวกับปลวกและแบคทีเรียในลำไส้ปลวก
ง. เป็นความสมั พันธ์แบบพงึ่ พาอาศยั หรือเกือ้ กลู กันคอื แยกกันอยไู่ มไ่ ด้

๗. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถกู ตอ้ งเกี่ยวกบั ภาวะแบบปรสติ
ก. เป็นภาวะทฝ่ี ่ายหน่ึงได้ประโยชน์และอกี ฝา่ ยเสียประโยขน์
ข. ส่ิงมีชีวติ ที่ปรสติ อาศยั เรียกว่า โฮสต์ (Host)
ค. สามารถเขยี นไดเ้ ป็น (+.-) หรือ (-,+)
ง. ตวั อย่าง เชน่ ไรแดง-ปลาหางนกยูง

๘. ข้อใดเปน็ ความสัมพันธ์แบบพง่ึ พาอาศยั
ก. ปลวกและโปรโตซัว
ข. แบคทีเรยี ไรโซเบยี มและถ่ัว
ค. ปเู สฉวนและดอกไม้ทะเล
ง. ก และ ข
จ. ข และ ค

๙. ขอ้ ใดเป็นความสัมพนั ธท์ ีต่ ่างฝ่ายได้ประโยชน์ การแยกกันอย่จู ะทำใหเ้ กิดผลเสยี
ก. ไดป้ ระโยชน์ร่วมกนั
ข. พ่ึงพาอาศยั
ค. องิ อาศัย
ง. กลาง

๑๐. ขอ้ ใดเปน็ ความสมั พันธข์ องสิ่งมชี ีวิตแบบฝ่ายหนง่ึ ไดป้ ระโยชน์และอกี ฝ่ายไมไ่ ดแ้ ละไม่เสียประโยชน์
ก. ปรสิต
ข. แขง่ ขันกัน
ค. พ่งึ พาอาศัย
ง. องิ อาศัย

๒๗๑

คำถาม เรอ่ื ง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่ิงมีชวี ิตกับสงิ่ มชี ีวิต

ข้อใดเป็นความสมั พันธท์ ่ีต่างฝ่ายได้ประโยชน์ การ ก. พ่ึงพากนั

แยกกันอยูจ่ ะทำให้เกดิ ผลเสีย ข. ไดป้ ระโยชนร์ ่วมกนั

การอยรู่ ่วมกนั ระหวา่ งนกเอยี้ งกบั ความ เป็นการอยู่ ก. พึ่งพากัน

ร่วมกนั แบบใด ข. ได้ประโยชน์ร่วมกนั

ขอ้ ใดเป็นการอยู่รว่ มกันแบบภาวะพึง่ พาอาศยั ก. โปรโตซวั อาศยั อยใู่ นลำไสป้ ลวก

ข. พยาธอิ าศยั ท่ีตับ

ความสัมพันธข์ องส่งิ มีชวี ติ แบบใดท่ีส่ิงมชี วี ติ ทง้ั คูเ่ สยี ก. ปรสติ

ประโยชน์ ข. แกง่ แยง่ กัน

เป็นภาวะที่ฝ่ายหน่งึ ได้ประโยชนแ์ ละอกี ฝ่ายเสยี ประ ก. ล่าเหยอ่ื

โยขน์ ข. อิงอาศัย

สิงโต-เสอื เปน็ การอยู่ร่วมกันแบบใด ก. แก่งแย่งกนั

ข. ไดป้ ระโยชน์ร่วมกัน

ความสมั พนั ธ์ของสงิ่ มชี ีวติ คใู่ ดที่มคี วามสัมพันธ์แบบ ก. กบ-แมลง

เปน็ กลาง ข. แมงมุม-กระตา่ ย

ปลาฉลาม-ปลาเหาฉลาม เปน็ การอยูร่ ว่ มกันแบบใด ก. พงึ่ พากนั

ข. อิงอาศัย

แบคทีเรียทีอ่ ยทู่ ป่ี มรากพืชตระกลู ถ่ัว เปน็ การอยู่ ก. พึ่งพากัน

รว่ มกันแบบใด ข. อิงอาศยั

นกกับกระต่ายในทุ่งหญา้ เป็นการอยรู่ ่วมกนั แบบใด ก. พึง่ พากนั

ข. เปน็ กลาง

แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ ๑๗

กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๓

รายวิชา วทิ ยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน ๗ รหสั วิชา ว๒๓๑๐๒

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ ๗ เรอื่ ง ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชวี ภาพ ๑๒ ชว่ั โมง

หนว่ ยการเรียนรูย้ อ่ ย ๗.๔ เร่อื ง ความหลากหลายทางชีวภาพ ๑ ๒ ช่ัวโมง

ผสู้ อน นางสาวพลอยทพิ ย์ เวยี งสมุทร ตำแหน่ง นักศึกษาปฏบิ ตั ิการสอนในสถานศึกษา ภาคเรียนท่ี ๒/๒๕๗๔

สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ

มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพันธร์ ะหว่างส่ิงไม่มชี วี ิต กบั ส่งิ มีชีวติ และ
ความสมั พันธ์ระหวา่ งส่ิงมีชวี ิตกับสิ่งมีชวี ติ ต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถา่ ยทอดพลงั งาน การ
เปล่ยี นแปลงแทนท่ีในระบบนเิ วศ ความหมาย ของประชากร ปญั หาและผลกระทบท่ีมีตอ่
ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม แนวทางในการอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละการ
แกไ้ ขปัญหาสิง่ แวดล้อม รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ระดบั ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
 ความหลากหลายทางชีวภาพ มี ๓ ระดับ ได้แก่
ม.๓ ม.๓/๙ เปรียบเทยี บความหลากหลายทาง ความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความหลากหลาย
ของชนิดสิ่งมีชีวิต และความหลากหลายทาง
ชีวภาพในระดบั ชนิดสิ่งมีชวี ติ ในระบบนเิ วศ พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพนี้มี
ความสำคัญต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ
ตา่ ง ๆ ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงจะ
รักษาสมดุลได้ดีกว่าระบบนิเวศที่มีความ
หลากหลายทางชีวภาพต่ำกว่า นอกจากน้ี ความ
หลากหลายทางชีวภาพยังมีความสำคัญต่อมนุษย์
ในด้านต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นอาหาร ยารักษาโรค
วัตถุดบิ ในอตุ สาหกรรมต่าง ๆ ดังนั้น จึงเป็นหน้าท่ี
ของทุกคนในการดูแลรักษาความหลากหลายทาง
ชวี ภาพใหค้ งอยู่

๒๗๓

๑. กําหนดเปา้ หมายการเรยี นรู้
๑.๑ สาระการเรยี นร้/ู เนอื้ หาการเรียนรู้
เรื่องท่ี ๔ ความหลากหลายทางชีวภาพ ๑
๑) ความหลากหลายทางชวี ภาพ
๒) ความสำคญั ของความหลากหลายทางชวี ภาพ
๑.๒ สาระสาํ คญั /ความคิดรวบยอดของเรื่องที่เรยี น
สิง่ มชี วี ติ ในปัจจบุ นั มีความหลากหลายทง้ั ทางลกั ษณะและโครงสร้าง ซึ่งเกิดจากววิ ัฒนาการของ

สิ่งมีชีวิตควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิตใดที่มีการปรับตัวให้มีลักษณะที่เหมาะสมกับ
สภาพแวดลอ้ มก็จะอยู่รอดได้ การทสี่ ิ่งมีชวี ติ มีความหลากหลายของชนิด เรยี กว่า ความหลากหลายทางสปีชีส์
(species diversity) แตถ่ ึงแม้จะเป็นสงิ่ มชี วี ติ ชนิดเดยี วกนั หรอื สปีชีสเ์ ดียวกัน กย็ ังมลี ักษณะที่แตกต่างกันตาม
สายพันธุ์ เรยี กวา่ ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม (genetic diversity) ซง่ึ เกิดจากการแปรผันทางพนั ธกุ รรมท่ี
มีความแตกต่างกัน ทำให้สิ่งมีชวี ิตมีการปรบั ตวั เข้ากับสิ่งแวดล้อมในถ่ินที่อยู่อาศัยทีต่ ่างกันตามบรเิ วณต่าง ๆ
ทั่วโลกได้ จัดเป็นความหลากหลายทางระบบนิเวศ (ecological diversity) ที่แตกต่างกันและซับซ้อน โดย
ความหลากหลายทั้ง ๓ ประเภทนี้ ถือเป็นองค์ประกอบของความหลากหลายทางชีวภาพ (biological
diversity)

๒๗๔

๑.๓ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้: เมอื่ ผู้เรียนจบกจิ กรรมการเรยี นรู้ ผเู้ รียนสามารถ

ดา้ นความรู้ (K: Knowledge)  เปรยี บเทียบความหลากหลายทางชีวภาพในระดบั

ชนดิ สิ่งมชี ีวติ ในระบบนิเวศตา่ ง ๆ

ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P: Process)  สามารถสรา้ งแบบจำลองหลากหลายทางชวี ภาพ

ในระดบั ชนิดสงิ่ มชี ีวติ ในระบบนิเวศ

ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (A: Attribute)  ให้ความสนใจในบทเรียน ตอบคำถาม และให้

ความรว่ มมอื ในการทำงานเป็นกลุม่

ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Sc.P: Science Process Skills)

 การสงั เกต  การลงความเหน็ จากข้อมลู

 การวัด  การกำหนดและควบคมุ ตวั แปร

 การคำนวณ/การใช้ตวั เลข  การกำหนดนยิ ามเชิงปฏิบัตกิ าร

 การจำแนกประเภท  การต้งั สมมตฐิ าน

 การจัดกระทำและส่ือความหมายข้อมลู  การทดลอง

 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ  การตีความหมายขอ้ มูลและลงข้อสรุป

และสเปซกบั เวลา  การสรา้ งแบบจำลอง

 การพยากรณ/์ การทำนาย

๒. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นร้แู บบ ๕E

๒.๑ ขัน้ การสร้างความสนใจ (Engagement)

๑. ครใู ห้นักเรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรอ่ื งที่ ๕ ความหลากหลายทางชีวภาพ เพือ่ วัดความรู้
เดมิ ของนักเรยี นกอ่ นเข้าสูก่ ิจกรรม

๒. ครเู ปดิ ประเด็นคำถามโดยใหน้ ักเรยี นพจิ ารณาเกีย่ วกบั เมลด็ พันธพ์ุ ชื และพืชทีเ่ กิดจากเมล็ดพันธุ์
นนั้ ๆจากนัน้ ครตู ้งั ประเด็นคำถามกระตนุ้ ความคิดนกั เรยี น

๓. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มช่วยกนั ระดมสมอง แสดงความคิดเหน็ แลว้ ชว่ ยกนั ตั้งคำถามที่นักเรียนสงสัย
และท่นี ักเรียนสนใจ เกีย่ วกับความหลากหลายทางชีวภาพทีน่ กั เรยี นไดศ้ ึกษาจากการดภู าพในเบอื้ งต้น เชน่

- การทสี่ ่งิ มชี ีวติ มีความหลากหลายส่งผลดแี ละผลเสียตอ่ มนุษย์อย่างไร

- อะไรทำให้เกิดความหลากหลายทางชวี ภาพ

- สงิ่ มีชีวติ แต่ละชนดิ สามารถผสมข้ามชนิดจนเกิดส่ิงมชี วี ิตชนดิ ใหม่ไดห้ รือไม่

- เมล็ดพืชชนิดเดียวกันแตเ่ หตใุ ดจงึ เกดิ พืชทม่ี ีลกั ษณะแตกต่างกันได้

๒๗๕

๒.๒ ข้ันการสำรวจและค้นหา (Exploration)

๑. นักเรียนจับกลุ่มกับเพ่อื นในชั้นเรียนตามความสมคั รใจ กล่มุ ละ ๔ คน จากนน้ั รว่ มกนั ศึกษาค้นควา้
ขอ้ มูลเกยี่ วกบั เร่อื ง ความหลากหลายทางชวี ภาพ จากหนงั สือเรยี นวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๗ ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชวี ภาพ หรอื แหลง่ การเรยี นรตู้ า่ ง ๆ เชน่
อินเทอร์เนต็

๒. สมาชกิ ในกลุ่มนับเลข ๑-๔ แต่ละคนจะได้รับมอบหมายให้ศกึ ษาเน้อื หาสาระคนละ ๑ สว่ น ดังน้ี
๑) นกั เรียนนับเลข ๑ ไดร้ ับเนอ้ื หาความหลากหลายทางสปีชีส์
๒) นักเรยี นนบั เลข ๒ ได้รับเนื้อหาความหลากหลายทางพันธุกรรม
๓) นกั เรยี นนบั เลข ๓ ไดร้ ับเนอ้ื หาความหลากหลายทางระบบนเิ วศ
๔) นักเรยี นนับเลข ๔ ไดร้ ับเนื้อหาความสำคัญของความหลากหลายทางชวี ภาพ

หมายเหต:ุ หากจาํ นวนสมาชกิ ในกลุ่มไมเ่ พียงพอ ครอู าจพจิ ารณาให้นกั เรยี นคนใดคนหน่ึงไดร้ ับ
เน้อื หา ๒ ส่วน

๓. สมาชกิ ในกล่มุ แยกยา้ ยไปรวมกับสมาชกิ กลมุ่ อื่นซึ่งได้รับเนื้อหาเดยี วกนั ร่วมกันทําความเข้าใจใน
เนื้อหาสาระน้ันอยา่ งละเอยี ด

๔. สมาชิกกลมุ่ ใหม่ กลบั ไปสกู่ ลุ่มเดิม แตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยสอนเพอื่ นในกลมุ่ ให้เข้าใจสาระทต่ี นไดศ้ ึกษา
รว่ มกับกลุ่มใหม่ ซ่งึ สมาชกิ ทุกคนก็จะไดเ้ รยี นรภู้ าพรวมของสาระทงั้ หมด

๕. ครูแจกกระดาษฟลปิ ชารท์ ใหน้ กั เรยี นกลุม่ ละ ๑ แผน่ พรอ้ มปากกาและดินสอสี ใหน้ ักเรยี นร่วมกนั
สรปุ เนือ้ หาทไ่ี ดร้ ับลงในกระดาษฟลปิ ชาร์ท เตรียมนำเสนอหน้าช้ันเรียน

๒.๓ ข้ันการอธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)

๑. ให้ตวั แทนกลุ่มของแต่ละกลุ่มนำเสนอผลของตนเอง เม่ือตัวแทนกลุ่มนำเสนอจบแลว้ นักเรียนคนใด
มีขอ้ สงสยั หรือขอ้ เสนอแนะเพ่มิ เติม ใหย้ กมอื แล้วลุกขึ้นถามคำถามหรอื แสดงความคิดเห็นให้กับผลงานของ
เพือ่ นกล่มุ อ่ืน ในระหวา่ งน้ี ครจู ะประเมินความถูกตอ้ งและอธิบายเพ่มิ เติมใหน้ กั เรียนเกิดความเขา้ ใจทีต่ รงกนั

๒. ครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจว่า “ไม่ว่าจะเป็นการดำรงอยู่ของพืช สัตว์ แบคทีเรีย เชื้อรา
หรือมนุษย์ ต่างล้วนอาศัยอยู่ในถิน่ ฐานเฉพาะของตนตามภมู ิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ดำเนินชีวิตอยู่ภายในระบบ
นิเวศทีม่ ีสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย จากการสะสม ปรับปรุง เปล่ียนแปลง
ตลอดจนถงึ การวิวฒั นาการ เพื่อความอยูร่ อดตลอดระยะเวลาหลายล้านปีที่ผ่านมา ทำใหก้ ารคงอยู่ของความ
แตกต่างในสิ่งมีชีวิตแต่ละสายพันธุ์และความหลากหลายภายในชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น กลายเป็น
องค์ประกอบและพ้นื ฐานสำคัญของธรรมชาติและระบบนิเวศของโลก”

๓. ครูและนักเรียนร่วมกันอธิบายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ โดยครูใช้
แผนภาพ วิดทิ ศั น์ หรอื Power Point ประกอบการอธบิ ายและลงขอ้ สรุป

๒๗๖

ตวั อย่างสรปุ ความหลากหลายทางชวี ภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพ คือ การทมี่ ีส่ิงมีชวี ติ มากมาย หลากหลายสายพันธแ์ุ ละชนดิ ในบรเิ วณใด

บรเิ วณหนงึ่ ความหลากหลายทางชีวภาพแบง่ เปน็ ๓ ระดับ ได้แก่ ความหลากหลายของสปีซีส์ ความ
หลากหลายทางพนั ธกุ รรม และความหลากหลายของระบบนเิ วศ

๑. ความหลากหลายทางพันธุกรรม (Genetic Diversity) หมายถึง ความแปรผันทางพันธุกรรมที่
เกดิ ขึ้นภายในประชากรของส่ิงมีชวี ิตชนิดเดยี วกนั เป็นความแตกตา่ งของสารพันธกุ รรมภายในส่ิงมีชีวิตแต่ละ
ชีวติ ที่ได้รบั การถา่ ยทอดจากบรรพบรุ ุษผา่ นทางหน่วยพนั ธุกรรมหรือ “ยีน” (Gene) ซึง่ สง่ ผลให้เกิดความเป็น
เอกลกั ษณ์ ลักษณะเดน่ หรือความแตกต่างข้นึ ภายในประชากรของสงิ่ มีชีวิตชนดิ นน้ั ๆ

๒. ความหลากหลายทางชนิดพันธุ์ (Species Diversity) หมายถึง ความแปรผันทางชนิดพันธ์ุ
(Species) ทเี่ กิดขึ้นในระดบั กล่มุ ของส่ิงมชี ีวิต ซ่ึงมีจดุ เริ่มตน้ มาจากความหลากหลายทางพนั ธุกรรมที่ผ่านการ
สะสมและการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน ซึ่งความหลากหลายทางชนิดพันธุ์ถือเป็นผลจากกระบวนการ
คัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection) ที่ทำให้เกิดทั้งการสูญพันธุ์และการก่อกำเนิดของสิ่งมีชีวิตสาย
พนั ธ์ใุ หม่ เปน็ การเปล่ยี นแปลงเพือ่ ความอยรู่ อดท่ามกลางสภาพแวดล้อมท่ีเปล่ียนไปของโลก

๓. ความหลากหลายทางระบบนิเวศ (Ecological Diversity) หมายถึง การดำรงอยู่ของระบบนเิ วศแต่
ละประเภทบนโลก ไม่วา่ จะเป็นระบบนเิ วศบนบก (Terrestrial Ecosystems) และระบบนิเวศในน้ำ (Aquatic
Ecosystems) เช่น ป่าดงดิบ ทุ่งหญ้า ป่าชายเลน ทะเลสาบ หรือ ชายหาดและแนวปะการัง ตลอดจนระบบ
นเิ วศเมือง (Urban Ecosystems) ท่มี นษุ ยส์ รา้ งข้ึน ซึ่งความหลากหลายทางระบบนิเวศน้ัน เป็นผลจากความ
แตกต่างทางสภาพภมู ิประเทศ ภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ของโลก อีกทั้ง ยังนับเป็นตวั แปร
สำคญั ที่ทำให้เกิดเอกลักษณ์และลักษณะเด่นของส่ิงมีชีวติ แต่ละชนิด ซ่งึ ภายในระบบนิเวศแต่ละประเภท ล้วน
มสี ิ่งมชี ีวิตทแี่ ตกต่างกันออกไป

๒๗๗

๒.๔ ข้ันการขยายความรู้ (Elaboration)

๑. ครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพว่า
“ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวติ สามารถดำรงอยู่ได้ภายใต้ความเปลี่ยนแปลง
ของสภาพแวดล้อมโลกในทกุ ยุคทุกสมยั ถงึ แม้โลกจะเผชญิ กบั ความแห้งแลง้ ความหนาวเย็น หรือโรคระบาด
ความหลากหลายทางชีวภาพถือเป็นเครื่องการันตีความอยู่รอดของทุกชีวิต อีกทั้งยังเป็นรากฐานสำคัญของ
ระบบนิเวศทีใ่ ห้กำเนดิ “นิเวศบริการ” (Ecological Services) ซึ่งสร้างทรัพยากรและคุณประโยชน์มากมาย
ต่อทุกชวี ติ ”

๒. นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ (กลมุ่ เดมิ ) ทำกิจกรรมที่ ๗.๕ ชนดิ ของสิ่งมชี วี ิตในแตล่ ะระบบนเิ วศแตกต่างกัน
อย่างไร จากหนังสอื เรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.๓ เลม่ ๒

กิจกรรมที่ ๗.๕ ชนดิ ของสง่ิ มีชีวติ ในแต่ละระบบนเิ วศแตกตา่ งกนั อย่างไร

วัสด/ุ อุปกรณ์ ขน้ั ตอน

- ๑. อ่านสถาการณ์ข้อมูลเกี่ยวกับระบบนิเวศป่า

เบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าดิบเขา และร่วมกัน

อภปิ รายชนิดของส่งิ มีชีวติ ที่พบในระบบนเิ วศทั้ง ๓

ระบบนเิ วศ บันทึกผล

๒. เปรียบเทียบความหลากหลายของชนิดของพืช

และสัตวใ์ นระบบนเิ วศทง้ั ๓ ระบบนิเวศ บนั ทึกผล

๓. ร่วมกันอภปิ รายความเหมาะสมของสภาพ

แวดล้อมตอ่ การดำรงชวี ิตในระบบนเิ วศน้ันๆ

บนั ทึกผล และนำเสนอ

๓. นักเรียนแต่ละกลุ่มรว่ มกนั ระดมความคดิ และช่วยกนั วาดภาพสรา้ งแบบจำลองชนิดของส่ิงมีชีวิตใน
แตล่ ะระบบนเิ วศลงในใบกจิ กรรม และนำเสนอหนา้ ชั้นเรียน

๔. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งควรได้ข้อสรุปร่วมกันว่า
“สิ่งมีชีวิตในปัจจุบันมีความหลากหลายทั้งทางลักษณะและโครงสร้าง ซึ่งเกิดจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ควบค่กู ับการเปลีย่ นแปลงของส่งิ แวดล้อม สิ่งมีชวี ติ ใดทมี่ กี ารปรับตัวให้มีลักษณะทเ่ี หมาะสมกับสภาพแวดล้อม
ก็จะอยู่รอดได้ การที่สิ่งมีชีวิตมีความหลากหลายของชนิด เรียกว่า ความหลากหลายทางสปีชีส์ (species
diversity) แตถ่ งึ แมจ้ ะเปน็ ส่งิ มีชวี ิตชนิดเดียวกนั หรอื สปีชีสเ์ ดยี วกัน กย็ งั มีลกั ษณะท่แี ตกต่างกันตามสายพันธ์ุ
เรียกว่า ความหลากหลายทางพันธุกรรม (genetic diversity) ซึ่งเกิดจากการแปรผันทางพันธุกรรมที่มีความ

๒๗๘

แตกต่างกนั ทำให้ส่ิงมีชีวิตมีการปรับตัวเข้ากับสิง่ แวดล้อมในถ่ินท่ีอยอู่ าศัยที่ต่างกันตามบริเวณต่าง ๆ ทั่วโลก
ได้ จัดเป็นความหลากหลายทางระบบนิเวศ (ecological diversity) ที่แตกต่างกันและซับซ้อน โดยความ
หลากหลายทั้ง ๓ ประเภทนี้ ถือเป็นองค์ประกอบของความหลากหลายทางชีวภาพ (biological diversity)”

๒.๕ ข้ันการประเมนิ (Evaluation)

๑. ครูประเมินโดยใช้กิจกรรมการแข่งขันเปน็ กลุ่ม ดงั น้ี

ขนั้ ที่ ๑ ครูทบทวนบทเรียนทเ่ี รียนมาแล้วครัง้ กอ่ น ด้วยการซกั ถามและอธบิ าย ตอบข้อสงสัยของนกั เรยี น
ขัน้ ที่ ๒ จัดกล่มุ แบบคละกัน (Home Group) กลุ่ม ๓-๔ คน
ข้ันที่ ๓ แต่ละทมี ศกึ ษาหวั ข้อที่เรยี นในวันนจี้ ากแบบฝึก (Worksheet And Answer Sheet) ทีมจะ

เร่ิมทำการแข่งขันตอบปัญหา
ข้ันที่ ๔ การแขง่ ขนั ตอบปญั หา (Academic Games Tournament)
๔.๑ ครูทำหนา้ ท่ีเป็นผจู้ ัดการห้องเรียน โดยแบง่ ตามความสามารถของนักเรยี น เช่น
โต๊ะที่ ๑ เปน็ โตะ๊ แขง่ ขันสำหรบั นักเรยี นท่ีมคี วามสามารถเก่งมาก
โตะ๊ ท่ี ๒ และ ๓ เป็นโตะ๊ แข่งขันสำหรับนกั เรยี นท่ีมคี วามสามารถปานกลาง
โตะ๊ ที่ ๔ เป็นโต๊ะที่แข่งขันสำหรับนกั เรียนท่ีมีความสามารถออ่ น
๔.๒ ครแู จกซองคำถามจำนวน ๑๐ คำถามใหท้ กุ โตะ๊ (เป็นคำถามเหมอื นกัน)
๔.๓ นกั เรยี นเปล่ียนกนั หยบิ ซองคำถามทีละ ๑ ซอง (๑ คำถาม) แล้ววางลงกลางโตะ๊
๔.๔ นกั เรยี น ๓ คนทเี่ หลือคำนวณหาคำตอบ จากคำถามที่อ่าน
๔.๕ เขยี นคำตอบลงในกระดาษคำตอบท่ีแต่ละคนมอี ยู่
๔.๗ นกั เรียนคนทีท่ ำหน้าทีอ่ ่านคำถามจะเปน็ คนให้คะแนน โดยมีกตกิ าการใหค้ ะแนน ดังนี้
๔.๗.๑ ผู้ตอบถูกเปน็ คนแรก จะได้ ๒ คะแนน
๔.๗.๒ ผตู้ อบถกู คนตอ่ ไป จะได้คนละ ๑ คะแนน
๔.๗.๓ ถา้ ตอบผิด ให้ ๐ คะแนน
๔.๗ ทำขั้นตอนที่ ๔.๓ - ๔.๕ โดยผลัดกนั อ่านคำถามจนกวา่ คำถามจะหมด
๔.๘ นักเรยี นทกุ คนรวมคะแนนของตวั เอง โดยที่ทุกคนควรได้ตอบคำถามจำนวนเทา่ ๆ กัน

จัดลำดับของคะแนนที่ได้ ซ่ึงกำหนดโบนสั ของแตล่ ะโตะ๊ ดังนโี้ บนัส ผทู้ ไี่ ด้คะแนนสงู สุดที่ ๑ ประจำโตะ๊ แตล่ ะ
โต๊ะ จะไดโ้ บนัส ๑๐ แตม้ ผ้ทู ่ีได้คะแนนรองท่ี ๒ ประจำโตะ๊ แต่ละโตะ๊ จะไดโ้ บนสั ๘ แต้ม ผู้ท่ไี ดค้ ะแนนรองที่
๓ ประจำโต๊ะแตล่ ะโตะ๊ จะไดโ้ บนสั ๕ แต้ม ผู้ทไี่ ด้คะแนนนอ้ ยท่ีสดุ ประจำโตะ๊ แตล่ ะโต๊ะ จะไดโ้ บนัส ๔ แตม้

ข้นั ที่ ๕ นกั เรียนกลับมากลุ่มเดมิ (Home Group) รวมแต้มโบนสั ของทกุ คน ทีมใดที่มีแต้มโบนสั สูงสุด จะให้
รางวัลหรอื ตดิ ประกาศไวใ้ นมมุ ขา่ วของหอ้ ง

๒๗๙

๒. นกั เรียนทำกิจกรรมและตอบคำถามท้ายกจิ กรรมในใบกจิ กรรมที่ ๗.๕ ชนดิ ของสิง่ มีชวี ิตในแตล่ ะ
ระบบนเิ วศแตกต่างกันอยา่ งไร

๓. นักเรียนทำแบบทดสอบหลงั เรยี น เรอ่ื ง ความหลากหลายทางชีวภาพ

๓. สื่อ/อปุ กรณ/์ แหล่งเรียนรู้

๓.๑ คูม่ ือครรู ายวิชาพื้นฐาน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓ เล่ม ๒ (สสวท.)

๓.๒ หนังสือเรยี นรายวิชาพื้นฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ เลม่ ๒ (สสวท.)

๓.๓ Power Point เรอ่ื ง ความหลากหลายทางชวี ภาพ

๔. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้

จุดประสงค์การเรยี นรู้ วธิ กี ารวดั ผลการเรียนรู้ เกณฑ์การประเมินผล
ผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกวา่
ด้านความรู้ (K: Knowledge) - การตอบคำถาม ร้อยละ ๘๐

 เปรยี บเทยี บความหลากหลายทางชวี ภาพในระดบั ชนดิ ผ่านเกณฑไ์ ม่น้อยกว่า
รอ้ ยละ ๘๐
ส่ิงมชี ีวิตในระบบนเิ วศต่าง ๆ
ผา่ นเกณฑ์ไมน่ อ้ ยกว่า
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P: Process) - การตอบคำถาม ร้อยละ ๘๐

 สามารถสร้างแบบจำลองหลากหลายทางชีวภาพในระดับชนดิ - การทำกิจกรรม ผ่านเกณฑไ์ มน่ ้อยกว่า
ร้อยละ ๘๐
สง่ิ มีชีวิตในระบบนเิ วศ

ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A: Attribute) - สงั เกตพฤตกิ รรมในการ

 ให้ความสนใจในบทเรียน ตอบคำถาม และให้ความรว่ มมอื ใน ทำงาน

การทำงานเป็นกลมุ่

ด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - การตอบคำถาม

(Sc.P: Science Process Skills)

 การสงั เกต

 การจัดกระทำและสื่อความหมายขอ้ มลู

 การลงความเห็นจากขอ้ มูล

 การกำหนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ัติการ

 การต้งั สมมตฐิ าน

 การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรปุ

๒๘๐

แบบสังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คลชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๓
คำช้ีแจง ให้ครปู ระเมินพฤตกิ รรมของนกั เรียนรายบคุ คลในช้ันเรยี นตามแบบประเมินรายการในตาราง แล้วขดี
 ลงในชอ่ งท่ตี รงกับคะแนน
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมบ่อยครง้ั ให้ ๒ คะแนน
ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบางครง้ั ให้ ๑ คะแนน

ลำดับ ชอื่ -สกุล ความมวี ินยั ความมี การรับฟงั การแสดง การตรงต่อ รวม
ท่ี นำ้ ใจ ความ ความ เวลา ๑๕
เออ้ื เฟอ้ื คิดเห็น คิดเหน็ คะแนน
เสียสละ

๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑๓๒๑

๑ เด็กชายอสิ ระ สะโสม
๒ เดก็ ชายชวกร วฒุ ิสาร
๓ เดก็ ชายคณิศร พรหมพินิจ
๔ เด็กชายวรวชิ นัดทะยาย
๕ เด็กชายอภิญญา เประกนั ยา
๗ เด็กชายชายชาญ อาจอกั ษร
๗ เดก็ ชายอินทรชติ รวมธรรม
๘ เดก็ ชายนธิ กิ านต์ ทบั ทมิ
๙ เดก็ ชายอัครพล ปรุ ธิ รรมเม
๑๐ เด็กชายกันตพชิ ญ์ พรหมดวงดี
๑๑ เด็กชายธเนศพล อะทอยรมั ย์
๑๒ เดก็ ชายมากอส บญุ ทัน
๑๓ เด็กชายปองภพ วงศศ์ รชี า
๑๔ เด็กชายมรพุ งศ์ การินทร์
๑๕ เด็กชายชษิ ณพุ งศ์ วงั ครี ี
๑๗ เด็กหญิงจนั ทมิ า แสงฤทธิ์
๑๗ เด็กหญงิ สุมารินทร์ โตกูล
๑๘ เดก็ หญิงชาลิสา ภญิ ญโภชน์
๑๙ เด็กหญงิ นณศิ รา อุดคำดี
๒๐ เดก็ หญิงวรัญญา ภูบุญคง
๒๑ เด็กหญงิ อมลรุจี ทงุ่ สาร
๒๒ เด็กหญิงวชิ ญาดา สวุ รรณวงษ์
๒๓ เดก็ หญงิ ฐติ าภา มาราช
๒๔ เด็กหญิงศศวิ ิมล มาตผาง


Click to View FlipBook Version