The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chaguvara2002, 2022-02-06 21:50:41

เตรียมความพร้อมก่อนสอบV-NET

E-book

เอกสารประกอบการติวสอบ V-NETปี การศึกษา 2564

จดั ทำและรวบรวม
โดย

คณะกรรมกำรเตรียมควำมพร้อมก่อนสอบ V-NET ปี กำรศกึ ษำ2564
วทิ ยำลยั เทคนิคชลบุรี

คานา

เอกสำรฉบบั น้ีเป็นส่ือและฐำนขอ้ มลู เพือ่ ทำกำรเตรียมควำมพร้อมกอ่ นกำรสอบ V-NET
ในปี กำรศึกษำ 2564 และเป็นกำรแนะนำแนวทำงในกำรทำขอ้ สอบของผเู้ ขำ้ สอบ ท้งั น้ีเอกสำร
ฉบบั บน้ีเป็นกำรรวบรวม เอกสำร ขอ้ มูล บทควำม เพ่อื นำมำยกตวั อยำ่ งใหผ้ เู้ ขำ้ สอบไดเ้ ขำ้ ใจถึง
ลกั ษณะของขอ้ สอบในแต่ะองคป์ ระกอบและสมรรถนะยอ่ ย ทำงคณะผจู้ ดั ทำหวงั เป็นอยำ่ งยงิ่ ถึง
เอกสำรฉบบั น้ี จะเป็นประโยชนแ์ ก่ผูเ้ ขำ้ สอบในกำรนำไปเป็นแนวทำงในกำรทำขอ้ สอบ V-NET

คณะกรรมกำรเตรียมควำมพร้อมก่อนสอบ V-NET
วทิ ยำลยั เทคนิคชลบุรี
ผรู้ วบรวมและจดั ทำ

สารบญั ลาดบั
องค์ประกอบ
องคป์ ระกอบที่1 ควำมรูพ้ืนฐำนดำ้ นอำชีพ 1
องคป์ ระกอบท่ี2 กำรทำงำนเป็นทีม 2
องคป์ ระกอบที่3 กำรปฏิบตั ิตำมคำสั่ง 3
องคป์ ระกอบที่4 กำรวำงแผนและกำรจดั ตำรำงเวลำกำรทำงำน 4
องคป์ ระกอบท่ี5 กำรแกไ้ ขปัญหำและกำรตดั สินใจ 5
องคป์ ระกอบท6 กำรคิดเป็นระบบ 6
องคป์ ระกอบท7 สมรรถนะภำษำองั กฤษ 7
องคป์ ระกอบท่ี8สมรรถนะเทคโนโลยีดิจิทลั 8

เอกสารประกอบการตวิ สอบ V-NETปี การศึกษา 2564
องค์ประกอบท่ี1

เรื่อง ความรู้พืน้ ฐานด้านอาชีพ

องค์ประกอบท่ี1

ความรู้พื้นฐานด้านอาชีพ

1.งานอาชีพในอาเซียน

งานอาชีพที่มีประสิทธิภาพ จะต้องสะท้อนความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานอาชีพ องค์กรและการ
บริหารงานในองค์กร หลกั การปฏิบตั ิตนในงานอาชีพ หลกั การบริหารงานคุณภาพ ส่ิงแวดลอ้ มและความ
ปลอดภยั ในการทางาน ซ่ึงในปัจจุบนั ไม่เพียงแต่จะประกอบอาชีพภายในประเทศเท่าน้ัน ยงั มีการเปิ ดเสรี
ดา้ นอาชีพออกสู่อาเซียน เพ่ือเปิ ดโอกาสให้ทุกคนไดแ้ สดงศกั ยภาพของตนเองในการประกอบอาชีพอยา่ ง
เต็มที่ ทาให้รู้จักการเป็ นพลเมืองอาเซียน อาชีพท่ีจะเปิ ดเสรีให้ทางานไดท้ ุกประเทศในอาเซียน การใช้
ภาษาองั กฤษ กับ อนาคตของไทยในอาเซียน วิชาชีพการท่องเท่ียวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และ
การศกึ ษาไทยกบั การเขา้ สู่ประชาคมอาเซียน

การเป็นพลเมืองอาเซียน โดยพลเมืองอาเซียนกาลงั สนใจจะฝึกฝนทกั ษะความรู้ ความสามารถเพื่อ
พฒั นาไปสู่การทามาหาเล้ียงชีพเร่ืองใด จึงเป็ นเร่ืองท่ีควรสนใจ เมื่ออาเซียนคือตลาดและฐานผลติ เดียวกนั
การเคลอ่ื นยา้ ยทนุ สินคา้ แรงงานมีฝีมืออยา่ งเสรีไปมาระหว่างกนั โอกาสของพลเมอื งไทยในการไปทางาน
ในประเทศเพอ่ื นบา้ น ยอ่ มมีเหมอื นกบั พลเมืองในประเทศเพือ่ นบา้ นท่ีจะเขา้ มาทางานในประเทศไทย แต่มี
ความแตกตา่ งคอื ทกั ษะทางอาชีพและความคลอ่ งตวั ยืดหยนุ่ ทแ่ี ต่ละคนจะเปิ ดรบั และฝึกฝนไดม้ ากเพียงใด
ซ่ึงแนวโนม้ ในอนาคตอาเซียน อาจจะตอ้ งพจิ ารณาที่ทศั นคตขิ องเยาวชนอาเซียนกอ่ นวา่ จะมีเป้าหมายใดใน
ชีวติ ของพลเมอื งเหลา่ น้ีบา้ ง

อาชีพในฝันของเด็กในกลุ่มประชาคมอาเซียน โดยนาข่าวสารเก่ียวกับอาเซียนมาเป็ นสื่อ
ประกอบการเรียนการสอน โดยจากผลสารวจ “อาชีพในฝัน” ของเด็กในวยั 7-14 ปี ในประเทศไทยพบว่า
อาชีพในฝันของเด็กไทย คือ แพทย์ ครู ทนายความ พ่อครัว นกั ธุรกิจและสัตวแพทย์ อาชีพในฝันของเด็ก
สิงคโปร์ คือ ครู แพทย์ นกั บิน พนักงานตอ้ นรับบนเครื่องบินและศิลปิ น ส่วนมาเลเซียระบุว่าอาชีพในฝัน
ของเด็กชาวมาเลเซีย คือ แพทย์ นกั บิน ตารวจ ทนายความและครู จะเห็นว่าเด็กท้งั 3 ชาติให้ความสนใจกบั
อาชีพแพทยม์ ากที่สุด และอาชีพแพทยค์ ือ 1 ใน 8 สาขาอาชีพนาร่องท่ีจะเปิ ดให้เคล่ือนยา้ ยแรงงานเสรีเมือ่
เกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซ่ึงสมาชิกร่วมกนั กาหนดมาตรฐานของผปู้ ระกอบอาชีพแลว้

อาชีพทจ่ี ะเปิ ดเสรีใหท้ างานไดท้ ุกประเทศในอาเซียน โดยในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ.2558) ท่คี าดไวว้ า่ จะ
มีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเกิดข้ึน ซ่ึงอาเซียน หรื อสมาคมประชาชาติเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

ประกอบดว้ ยสมาชิก 10 ประเทศ ไดแ้ ก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลปิ ปิ นส์ สิงคโปร์ บรูไน เวยี ดนาม ลาว
พม่า และกัมพูชา ไดร้ วมกลุ่มกันเพื่อร่วมมือเสริมสร้างให้ภูมิภาคมีสันติภาพนามาซ่ึง เสถียรภาพทาง
การเมือง และความเจริญกา้ วหนา้ ทางเศรษฐกิจ สังคมและวฒั นธรรม ไดร้ ่วมกันจดั ต้งั ประชาคมเศรษฐกิจ
แต่ไดเ้ ล่ือนกาหนดการเปิ ดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นเวลา 12 เดือน จากเดิมวนั ท่ี 1 มกราคม 2015 ไป
เป็นวนั ที่ 31 ธันวาคม 2015 ในการประชุมสุดยอดผูน้ าอาเซียน ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกมั พูชา และยงั มี
เรื่องตา่ ง ๆ ทต่ี อ้ งไดร้ ับการจดั การ รวมถึงขอ้ ตกลงและข้นั ตอนต่างๆ ท่ีแตล่ ะประเทศยงั ตกลงกนั ไมไ่ ด้ เช่น
การตรวจลงตราภาษีอากรสินคา้ กฎระเบียบว่าดว้ ยการลงทุนระหว่างกนั เป็ นต้น แมก้ ารดาเนินการของ
ประเทศต่างๆ เพ่ือจดั ต้ังประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะคืบหน้าไปมาก แต่ผูน้ าบางประเทศก็แสดงความ
กงั วลถึงผลกระทบที่จะเกิดข้ึน หลงั การเปิ ดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยเฉพาะปัญหาท่ีมีลกั ษณะขา้ ม
ชาตติ ่างๆ

เพอ่ื ส่งเสริมให้เป็นตลาดและฐานผลิตเดียวทม่ี ีการเคล่อื นยา้ ยสินคา้ บริการ และการลงทุน แรงงาน
ฝีมือ และเงินทุนอย่างเสรี จึงไดก้ าหนดเป้าหมายให้เป็นปี ที่มลี กั ษณะของการรวมกลุ่มประเทศเปลี่ยนเป็น
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทาให้เกิดผลกระทบดา้ นต่างๆ โดยเฉพาะดา้ นแรงงานจะมีการถ่ายเทแรงงาน
ดา้ นฝีมอื เพอ่ื ให้สามารถทางานในประเทศสมาชิกไดง้ า่ ยข้ึนใน 8 สาขาอาชีพ คือ

▪ วศิ วกรรม (Engineering Services)

▪ การสารวจ (Surveying Qualifications)

▪ สถาปนิก (Architectural Services)

▪ อาชีพแพทย์ (Medical Practitioners)

▪ ทนั ตแพทย์ (Dental Practitioners)

▪ พยาบาล (Nursing Services)

▪ บญั ชี (Accountancy Services)

▪ การบริการ/การทอ่ งเท่ียว (Service/Tourism)

อาชีพท่ีทางานในอาเซียนได้อย่างเสรีใน 10 ประเทศ ดงั น้ี

1. บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) 6. พม่า (Myanmar)
2. กมั พชู า (Cambodia) 7. ฟิลปิ ปิ นส์ (Philippines)
3. อนิ โดนีเซีย (Indonesia) 8. สิงคโปร์ (Singapore)
4. ลาว (Laos) 9. เวยี ดนาม (Vietnam)
5. มาเลเซีย (Malaysia) 10.ไทย (Thailand)

กฎบตั รอาเซียนขอ้ 34 บญั ญตั ิว่า “The working language of ASEAN shall be English” เป็น “ภาษา
ท่ีใชใ้ นการทางานของอาเซียน คือ ภาษาองั กฤษ” นอกจากจะเป็นภาษาที่ใช้ในทางราชการและภาคธุรกิจ
เอกชนแลว้ ภาษาองั กฤษยงั เป็นภาษาของอาเซียนในการทางานร่วมกนั โดยมีความหมายรวมถึงทกุ ส่วนของ
ประชาคมอาเซียนดว้ ย ซ่ึงประชาชนพลเมืองใน 10 ประเทศอาเซียนจะตอ้ งใช้ภาษาองั กฤษให้มากข้ึน
นอกเหนือจากภาษาประจาชาติ

การใช้ภาษาองั กฤษ กบั อนาคตของไทยในอาเซียน โดยเน้นการใช้ภาษาองั กฤษปัจจุบนั คือภาษา
นานาชาติเป็นภาษากลางของโลก และเป็นภาษาที่มนุษยใ์ ช้ติดต่อระหว่างกนั เป็นหลกั ไม่ว่าแต่ละบุคคลจะ
ใช้ภาษาอะไรเป็ นภาษาประจาชาติ เมื่อจะตอ้ งติดต่อกบั บุคคลอ่ืนที่ต่างภาษาต่างวฒั นธรรมกนั ทุกคนก็
จาเป็นตอ้ งใช้ภาษาองั กฤษเป็นหลกั ดงั น้นั ทุกประเทศจึงบรรจุวิชาภาษาองั กฤษเป็ นภาษาที่สองรองลงมา
จากภาษาประจาชาติ เป็นแกนหลกั ของหลกั สูตรการศึกษาทุกระดบั ต้งั แต่ปฐมวยั ไปจนถงึ การศึกษาตลอด
ชีวิต เม่ืออาเซียนกาหนดให้ภาษาองั กฤษเป็น “ภาษาทางาน (Working language)” จึงตอ้ งทาความเขา้ ใจให้
ละเอียดดงั น้ี

 บุคคลทท่ี างานเก่ียวกบั อาเซียน

 บุคคลทีท่ างานในอาเซียน

 บคุ คลทีท่ างานร่วมกบั เพือ่ นอาเซียน

 บคุ คลทม่ี ีเครือข่ายประชาสังคมอาเซียน: ภาคประชาสังคม (Civil Society)

 บุคคลทแ่ี สวงหาโอกาสทางการศึกษาในอาเซียน

 บคุ คลที่มเี พอ่ื นในอาเซียน

 บุคคลที่เดินทางท่องเที่ยวในอาเซียน

วิชาชีพการท่องเท่ียวกบั ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการ
พฒั นาบุคลากรวิชาชีพท่องเท่ียว เพ่ือรองรับการเปิ ดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economics
Community: AEC) ประเทศไทยในฐานะผปู้ ระสานงาน สาขาการท่องเทย่ี ว โดยกระทรวงการทอ่ งเทยี่ วและ
กีฬาเป็นหน่วยงานท่ีมหี นา้ ท่ีดาเนินการตามพนั ธะขอ้ ตกลงระหว่างประเทศและแผนการรวมกลมุ่ เศรษฐกิจ
สาขาการท่องเท่ียวในกล่มุ ประเทศอาเซียนใหเ้ ป็นมาตรฐานเดียวกนั ไดจ้ ดั ทาขอ้ ตกลงร่วมว่าดว้ ยการยอมรบั
คุณสมบัติบุคลากรวิชาชีพท่องเท่ียวอาเซียน (ASEAN Mutual Recognition arrangement on Tourism
Professionals: ASEAN MRA-TP) เพอ่ื อานวยความสะดวกในการเคลอ่ื นยา้ ยผปู้ ระกอบวชิ าชีพการทอ่ งเที่ยว
ในอาเซียนและแลกเปลยี่ นขอ้ มลู และแนวทางปฏบิ ตั ิที่ดีที่สุด

ขอ้ ตกลงดงั กล่าวจะเป็นการเตรียมความพร้อมใหก้ บั บคุ ลากรวิชาชีพของไทยในการเขา้ สู่ประชาคม
เศรษฐกิจอาเซียน โดยมีคณะกรรมการวิชาชีพท่องเที่ยวแห่งชาติและคณะกรรมการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ
ท่องเที่ยวทาหน้าที่กากบั ว่าผูน้ ้นั ไดป้ ฏิบตั ิตามขอ้ กาหนดที่ระบุไวใ้ นมาตรฐานสมรรถนะร่วมสาหรับนัก
วิชาชีพการท่องเท่ียวอาเซียน ท้งั น้ี สิทธิในการประกอบวิชาชีพในประเทศผูร้ ับจะอยู่ภายใตเ้ ง่ือนไขของ
กฎหมายและขอ้ บงั คบั ของประเทศผูร้ ับ โดยกาหนดหลกั สูตรการท่องเที่ยวแห่งอาเซียนสาหรับ 2 สาขา 6
แผนก 32 ตาแหน่งงาน

การศึกษาไทยกบั การเขา้ สู่ประชาคมอาเซียน เพ่ือให้ผูเ้ รียนไดเ้ ขา้ ใจ และมีความรู้มากข้นึ โดยการ
กา้ วเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) มีสมาชิกท้งั สิ้น 10 ประเทศจะกลายเป็ นตลาดการคา้
ขนาดใหญ่ที่มีประชากรรวมกันจานวนมาก ซ่ึงจะช่วยเก้ือหนุนให้ภาคการค้า การลงทุน รวมถึงการ
เคลื่อนยา้ ยประชากรท้งั ในภาคแรงงาน รวมท้ังภาคการท่องเที่ยวของประเทศสมาชิกขยายตัวเพ่ิมข้ึน
เนื่องจากประเทศสมาชิกต่างก็มีเช้ือชาติ ภาษา วฒั นธรรม พฤตกิ รรมและรสนิยมของผบู้ ริโภค รวมถึงปัจจยั
สภาพแวดลอ้ มและการพฒั นาทางเศรษฐกิจและการตลาดที่แตกต่างกนั ดงั น้นั การจะใช้ประโยชน์จากการ
รวมกลุ่มการคา้ ไดอ้ ยา่ งเต็มท่ี จึงมีความจาเป็นท่ีจะตอ้ งทาให้ประชากรของแต่ละประเทศ มีการเพิ่มทกั ษะ
ความรู้ดา้ นเศรษฐกิจ การตลาด ภาษา วฒั นธรรม การแลกเปล่ียนและเรียนรู้พฤติกรรมซ่ึงกนั และกนั และ
ภาคการศึกษาของไทยเอง จึงเป็ นส่วนสาคัญต่อการพฒั นาและเตรียมความพร้อมของประชากร ท้ังการ
พฒั นาปรับปรุงหลักสูตร เพ่ือผลิต บุคลากรของไทยท่ีมีคุณภาพ รวมท้ังการมีทกั ษะความรู้ท่ีตรงความ
ตอ้ งการของตลาดแรงงานท้งั ในไทย และการออกไปสู่ตลาดแรงงานในประเทศสมาชิก ที่สาคญั ก็คือ การ
พฒั นาทกั ษะทาง ดา้ นภาษาตา่ งประเทศ โดยเฉพาะภาษาองั กฤษ ทเี่ ป็นภาษาสากลทใี่ ชต้ ิดตอ่ สื่อสารระหว่าง
ประเทศสมาชิก รวมภาษาอ่ืนๆ ของประเทศในอาเซียน ในขณะเดียวกนั ภาคการศึกษาของไทยกต็ อ้ งเตรียม
ความพร้อมเพอ่ื รองรับบคุ ลากร และแรงงานจากประเทศเพือ่ นบา้ น ทส่ี นใจและเขา้ มาในไทยเพื่อศึกษาดา้ น
ภาษา วฒั นธรรม รวมท้งั การศกึ ษาหลกั สูตรต่างๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะในระดบั มหาวิทยาลยั เพ่อื ทีจ่ ะ

เพิม่ เตมิ ความรู้ความเชี่ยวชาญในการติดต่อคา้ ขายหรือทางานกบั คนไทย หรือกลบั ไปทางานในประเทศของ
ตนเอง

สาขาการศกึ ษาไทยภายใตป้ ระชาคมอาเซียน

3 เสาหลกั ความร่วมมือของประชาคมอาเซียน ว่ามีความสาคญั อยา่ งไรบา้ ง และเสาหลกั ใดทม่ี ีความ
เก่ียวขอ้ งกบั การศกึ ษาไทยในการที่จะกา้ วไปสู่ประชาคมอาเซียน

2.มาตรฐานอาชีพ

มาตรฐานอาชีพเป็นขอ้ กาหนดเก่ียวกบั การปฏิบตั ิงานในวิชาชีพให้เกิดผลเป็นไปตามเป้าหมายที่
กาหนด พร้อมมีการพฒั นาตนเองอยา่ งต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความชานาญในการประกอบอาชีพ ดงั น้นั จึง
จาเป็นที่ผูเ้ รียนตอ้ งศึกษาความหมายของมาตรฐานอาชีพ การสร้างมาตรฐานวิชาชีพ มาตรฐานอาชีพ และ
มาตรฐานอตุ สาหกรรม เพอื่ ให้มีความรู้ ความเขา้ ใจเพ่ือนาไปปฏบิ ตั ิไดถ้ กู ตอ้ ง

รูปแบบการจดั ต้งั คณุ วุฒวิ ชิ าชีพ

“วิชาชีพ” หมายความวา่ ความรู้
ความสามารถ และทกั ษะในการทางานของ
บคุ คลซง่ึ ตอ้ งอาศยั ความเชย่ี วชาญและความ

ชานาญเฉพาะดา้ น ทงั้ น้ี ไม่หมายความ
รวมถงึ วชิ าชพี ขององคก์ รวชิ าชพี ทมี่ ี
กฎหมายจดั ตงั้ ขน้ึ เป็นการเฉพาะ

“คณุ วฒุ ิวิชาชีพ” หมายความว่า การ
รบั รองความรู้ ความสามารถ และทกั ษะของ
บุคคลในการทางานตามมาตรฐานอาชพี ตาม

พระราชกฤษฎกี าน้ี

“มาตรฐานอาชีพ” หมายความวา่
การกาหนดระดบั สมรรถนะของบคุ คลในการ
ประกอบอาชพี ตามพระราชกฤษฎกี าจดั ตงั้

สถาบนั คุณวุฒวิ ชิ าชพี

“สมรรถนะ” หมายความวา่ การใช้
ความรู้ ทกั ษะ และความสามารถมา

ประยุกตใ์ ชเ้ พอ่ื การ

การสร้างมาตรฐานวิชาชีพ โดยเนน้ การเป็นมืออาชีพ ซ่ึงหมายถงึ บคุ คลทีป่ ฏบิ ตั ิงานทตี่ อ้ ปงรใะชกค้อบวาอมาชรพูี้
มีประสบการณ์สูง และปฏิบตั ิงานในสาขาวิชาหรืองานใดงานหน่ึงไดอ้ ยา่ งดี อาจกล่าวไดว้ ่า มืออาชีพดา้ น
การบริหารทรัพยากรบุคคล คือ บุคคลที่ปฏิบตั ิงานโดยใช้องคค์ วามรู้ดา้ นการบริหารทรัพยากรบุคคล ซ่ึงมี
การพฒั นาและเสริมสร้างองคค์ วามรู้อยา่ งตอ่ เน่ืองและเป็นระบบจนเป็นที่ ยอมรบั ร่วมกนั โดยมจี รรยาบรรณ
วิชาชีพเป็ นกรอบแนวทางความประพฤติ และสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุ
ประสิทธิผล

ในประเทศไทยไดม้ คี วามพยายามจากภาคเอกชนท่ีรวมตวั กนั เป็นสมาคม ไดแ้ ก่ สมาคมจดั การงาน
บุคคลแห่งประเทศไทย (Personnel Management Association of Thailand-PMAT) ที่จะผลักดนั การสร้าง
มาตรฐานวชิ าชีพดา้ นการบริหารทรัพยากรบคุ คล โดยให้มีการประเมินหรือทดสอบเพ่อื รบั รองความเป็นมือ
อาชีพ และการควบคุมการปฏบิ ตั งิ านโดยจรรยาบรรณวชิ าชีพเช่นเดียวกบั การรับรองและควบคุมผปู้ ระกอบ
วิชาชีพแพทย์ วิศวกร หรือสถาปนิก โดยความเป็ นมืออาชีพจะต้องมีองค์ประกอบ 10 ประการ ซ่ึงมีการ
กาหนดสมรรถนะและแนวทางการขอรบั รองมาตรฐานวิชาชีพในเบ้ืองตน้ แลว้

ในต่างประเทศ มีองคก์ รภาคเอกชน และองคก์ รทไี่ ม่แสวงผลกาไรไดจ้ ดั ทาหลกั สูตรการฝึกอบรม
และทดสอบเพ่ือรับรอง ความเป็นมืออาชีพดา้ นบริหารทรัพยากรบุคคล เช่น International Public
Management Association (IPMA) Chartered Institute of Personnel and Development (CIPD) Canadian
Council of Human Resources Association (CCHRA) เป็นตน้

มาตรฐานอาชีพ โดยกรมการจดั หางาน ไดจ้ ดั ประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย) ฉบบั ปี 2544
โดยสารวจและเก็บรวบรวม ขอ้ มูลลกั ษณะงานอาชีพจากสถานประกอบการต่างๆ เพ่ือนาไปวิเคราะห์
กาหนดนิยามอาชีพ และกาหนดรหัสอาชีพ โดยใช้หลกั เกณฑ์และโครงสร้างตาม อย่างการจดั ประเภท
มาตรฐานอาชีพสากลขององคก์ ารแรงงานระหวา่ งประเทศ เพอ่ื ความเป็นสากลและสามารถเปรียบเทียบหรือ
แลกเปลี่ยนขอ้ มูลดา้ นอาชีพกบั นานาประเทศได้ และเพ่ือประโยชนโ์ ดยตรงของเจา้ หนา้ ท่ีผูป้ ฏิบตั ิงานด้าน
การบริหารแรงงาน รวมถึงงานจดั หางาน งานแนะแนวอาชีพและงานคมุ้ ครองแรงงานแลว้ หน่วยงานภาครัฐ
และเอกชนที่เก่ียวขอ้ งอ่ืนๆ สามารถนาขอ้ มูลเหล่าน้ีไปใชเ้ ป็นฐานขอ้ มูลในการจดั เก็บสถิติเกี่ยวกบั แรงงาน
ดา้ นตา่ งๆ เพอ่ื นาผลไปใช้ในการวางแผนดา้ นตา่ งๆ เช่น การวางแผนกาลงั คน การศกึ ษา การฝึกอบรม และ
การกาหนดคา่ จา้ ง เป็นตน้

การจดั ประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย) เดิมเป็นหนา้ ท่ีของกรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย
ไดเ้ ผยแพร่คร้ังแรกเม่ือ พ.ศ. 2512 โดยใช้หลกั เกณฑ์การจดั แบ่งหมวดหมู่ และกาหนดรหัสตามการจัด
ประเภทมาตรฐานอาชีพสากล (International Standard Classification of Occupations: ISCO) ขององค์การ
แรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) เพ่ือประโยชน์ในการจัดเก็บสถิติดา้ น
แรงงานและเปรียบเทยี บขอ้ มูลกบั นานาประเทศไดอ้ ยา่ งเป็นสากล

ปัจจุบนั การจดั ประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย) เป็นหน้าท่ีของกระทรวงแรงงาน
โดยกรมการจดั หางานเป็นหน่วยงานหลกั ในการดาเนินการจดั ทาขอ้ มูลและกาหนดรหัสหมวดหม่อู าชีพตาม
หลกั เกณฑเ์ ดียวกบั การจดั ประเภทมาตรฐานอาชีพสากล

การจัดประเภทอาชีพเพื่อให้หน่วยงานท้ังภาครัฐและเอกชนไดม้ ีความเข้าใจที่ถูกต้อง
ตรงกนั ในเรื่องอาชีพ และเพื่อการนาขอ้ มูลไปใชป้ ระโยชน์ดา้ นต่างๆ เกี่ยวกบั การบริหารงานดา้ นแรงงาน
เช่น การกาหนดค่าจา้ ง การแนะแนวอาชีพ การฝึกอบรม การจา้ งงานรวมถงึ การวิเคราะห์ การเจ็บป่ วยหรือ
เสียชีวิตที่เกิดข้ึนจากอาชีพ การท่ีมี่ระบบฐานข้อมูลเดียวกันสามารถจะนาข้อมูลสถิติไปอ้างอิงและ
เปรียบเทยี บไดท้ ้งั ในระดบั หน่วยงานและกบั ระดบั ประเทศ

3.มาตรฐานอุตสาหกรรม

การจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรม (ประเทศไทย) เป็ นหน้าที่ของกระทรวงแรงงาน โดย
กรมการจดั หางานเป็ นหน่วยงานท่ีจัดทาข้อมูลและกาหนดรหัสหมวดหมู่อุตสาหกรรมตามหลักเกณฑ์
เดียวกบั การจดั ประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรม

การจดั ประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรม (ประเทศไทย) ปี 2544 โดยกรมการจดั หางานไดป้ รับปรุง
โครงสร้างใหม่ให้สอดคลอ้ งกบั หลกั เกณฑก์ ารจดั ประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมสากล (The International
Standard Industrial Classification of All Economic Activities: ISIC) ซ่ึงเป็นการแกไ้ ขปรับปรุงขององคก์ าร
สหประชาชาติ มีวตั ถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานนาไปใช้เป็ นเอกสารอ้างอิงในการจัดแบ่ง
หมวดหมู่และกาหนดรหัสอุตสาหกรรมให้เป็ นระบบและมรี ูปแบบอย่างเดียวกนั รวมท้งั ใชเ้ ป็ นฐานขอ้ มลู
ในการจดั เกบ็ ขอ้ มูลสถิตดิ า้ นเศรษฐกิจ ประชากร การผลิต การจา้ งงาน รายได้ ประชาชาตแิ ละสถติ อิ ่นื ๆ เพอ่ื
ประโยชน์ในการวางแผนกาลังคน การศึกษาและการฝึ กอบรม ตลอดจนการวางแผนเพื่อการพฒั นา
อตุ สาหกรรมใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพเศรษฐกิจของประเทศ

วา่ ต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2536 เป็นตน้ มา การจดั ประเภทมาตรฐานอตุ สาหกรรมประเทศไทย เป็นหนา้ ทีข่ อง
กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจดั หางานเป็นหน่วยงานที่ดาเนินการจดั ทาขอ้ มูลและกาหนดรหัสหมวดหมู่
อุตสาหกรรมตามหลกั เกณฑ์เดียวกนั กบั การจดั ประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมสากล และได้ดาเนินการ
ปรบั ปรุงมาตรฐานอุตสาหกรรมคร้งั ท่ี 2 ในปี พ.ศ.2544 ในปี พ.ศ.2549 องคก์ ารสหประชาชาติไดด้ าเนินการ
ปรับปรุงมาตรฐานอุตสาหกรรมสากลข้ึนใหม่เน่ืองจากสภาพเศรษฐกิจไดเ้ ปลี่ยนแปลงไป และจากการ
ประชุมสมาชิกอาเซียน ไดร้ ่วมกนั ผลกั ดนั ให้มีการปรับปรุงการจดั ประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อให้
เป็ นแนวทางเดียวกันภายในประเทศกลุ่มสมาชิก โดยนาโครงสร้างของการจัดประเภทมาตรฐาน
อุตสาหกรรมสากล ปี พ.ศ.2549 (International Standard Industrial Classification) ISIC Rev.4 มาเป็ น
แนวทางในการจดั ทา ASEAN Common Industrial Classification; ACIC และให้แต่ละประเทศนาไปปรับ
ขอ้ มลู อตุ สาหกรรมใหส้ อดคลอ้ งกบั ACIC และ ISIC Rev.4

การใชม้ าตรฐานอุตสาหกรรม ซ่ึงจากการใชม้ าตรฐานอุตสาหกรรมขององคก์ ารสหประชาชาติ ทา
ให้องค์การสหประชาชาติเห็นความจาเป็ นในการจัดทาโครงสร้างและคาจากดั ความในการจดั ประเภท
มาตรฐานอุตสาหกรรมตามระยะเวลาและภายใตห้ ลกั การทีก่ าหนดนอกจากน้ีการเปล่ียนแปลงกิจกรรมทาง
เศรษฐกิจของโลก และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดข้นึ ใหม่ถือเป็นเรื่องสาคญั ขณะเดียวกนั กม็ คี วามตอ้ งการ
ด้านการพฒั นาวิธีการวิเคราะห์ใหม่ ๆ จากระยะเวลาท่ีผ่านมามีการใช้ขอ้ มูลมาตรฐานอุตสาหกรรมของ
องค์การสหประชาชาติอย่างต่อเน่ือง และมีการจดั ประเภทกิจกรรมของแต่ละประเทศในทิศทางเดียวกนั
แสดงให้เห็นว่า ควรมีการเพ่ิมรายละเอียด ขยายความหรือพฒั นาในทางอ่นื ๆ ดว้ ยเหตุน้ีคณะกรรมการดา้ น
สถิติจึงไดเ้ ริ่มพิจารณา ทบทวนและปรับปรุงแกไ้ ขมาตรฐานอตุ สาหกรรมขององคก์ ารสหประชาชาติ ในปี
ค.ศ. 1956, 1965, 1979 และในปี ค.ศ. 2000 ในระหว่างดาเนินการปรับปรุง ไดม้ ีการเปรียบเทียบขอ้ มูลกบั
ฉบบั เดิม ซ่ึงถือเป็นเรื่องสาคญั ของการเปลยี่ นแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและรูปแบบการผลติ ทวั่ โลกที่
ตอ้ งจดั สมดุลและความตอ่ เน่ืองของขอ้ มูลมาตรฐานอตุ สาหกรรมขององคก์ ารสหประชาชาติ ให้สมั พนั ธ์กนั
ดว้ ยความละเอยี ดรอบคอบ และใชเ้ ปรียบเทยี บกบั ขอ้ มูลการจดั ประเภทอตุ สาหกรรมอ่นื ๆ ได้

4.ข้อมลู อาชีพ

สิ่งสาคญั ของการประกอบอาชีพ จะตอ้ งพิจารณาวา่ จะประกอบอาชีพอะไร โอกาสและความสาเร็จ
มีมากนอ้ ยเพียงไร และจะตอ้ งเตรียมตวั อยา่ งไรจึงจะทาให้ประสบผลสาเร็จ ดงั น้นั จึงตอ้ งคานึงถึงความรู้
ความสามารถ ทุนและการจดั การของอาชีพตา่ งๆ เขา้ มาเกี่ยวขอ้ ง ซ่ึงไดแ้ ก่ ขอ้ มลู อาชีพในระบบ และขอ้ มลู
อาชีพอสิ ระ รวมท้งั กล่มุ อาชีพใหมต่ ามนโยบายของกระทรวงศกึ ษาธิการ

อาชีพในระบบของประเทศไทย แบง่ ออก 4 ประเภท คือ

1) ขอ้ มูลอาชีพในระบบตามความสนใจ

2) ขอ้ มูลอาชีพในระบบตามมาตรฐานฝีมอื แรงงานแห่งชาติ

3) ขอ้ มูลอาชีพตามบุคลกิ ภาพ

4) ขอ้ มลู อาชีพในระบบตามประเภทอุตสาหกรรม

ในการประกอบอาชีพอสิ ระ คือเป็นการประกอบกิจการส่วนตวั ต่างๆ ในการผลติ สินคา้ หรือบริการ
ที่ถูกตอ้ งตามกฎหมายเป็นธุรกิจของตนเอง ซ่ึงสามารถจะกาหนดรูปแบบและวิธีดาเนินงานไดต้ ามตอ้ งการ
ไมม่ ีรายไดท้ ี่แน่นอนตายตวั ผลตอบแทนคอื เงินกาไรจากการลงทุน

อาชีพอิสระ ซ่ึงแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ไดแ้ ก่

1) การเกษตรกรรม ไดแ้ ก่ การเพาะปลกู และการเล้ยี งสตั ว์

2) การประมง ไดแ้ ก่ การเพาะเล้ียงและการจาหน่าย

3) การผลติ และจาหน่าย แบ่งออกเป็น

3.1 การผลติ และจาหน่ายสินคา้ บริโภค ไดแ้ ก่ อาหารคาวหวาน เครื่องด่ืมและอื่น ๆ

3.2 การผลิตและจาหน่ายสินคา้ อปุ โภค ไดแ้ ก่ การผลิตและจาหน่าย

3.3 การผลติ และจาหน่ายสินคา้ งานฝีมอื และสิ่งประดิษฐ์ ไดแ้ ก่ การผลิตและจาหน่าย

4) การให้บริการ ได้แก่ การให้บริการลกั ษณะต่าง ๆ เช่น บริการนวด บริการซ่อมรถยนต์
บริการถ่ายเอกสาร บริการซกั รีด บริการเสริมสวย เป็นตน้

5) กิจการซ้ือมาขายไป หมายถงึ กิจการทซี่ ้ือขายสินคา้ ท้งั ขายส่งและขายปลกี โดยไมใ่ ช่ผูผ้ ลิต
รายไดข้ องกิจการ คือ เงินที่ขายสินคา้ ค่าใชจ้ ่ายมี 2 ส่วน คือ ตน้ ทุนสินคา้ ขายและค่าใชจ้ ่ายในการขายและ
บริหาร เช่น ห้างสรรพสินคา้ ร้านขายยา ร้านขายของชา ไดแ้ ก่ เส้ือผา้ อาหารสัตว์ อาหารสาเร็จรูป เป็นตน้

รัฐบาลมีความต้องการที่จะพฒั นาศักยภาพคน โดยสถาบันการศึกษาจะต้องพิจารณาถึงความ
ต้องการของตลาดในแต่ละสาขา แล้วผลิตคนท่ีมีคุณภาพเพ่ือป้อนเข้าสู่สาขาน้ันๆ รัฐบาลมีนโยบาย
สนับสนุนการตีพิมพผ์ ลงานวิชาการเพ่ือให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ กระตุน้ ให้เกิดการต่อยอด การเพิ่ม
ผลงานทางวิชาการสาขาการบริการสังคม การพฒั นาทรัพยากร ตลอดจนการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการ เพื่อให้เกิด
การถ่ายทอดความรู้จากงานวิจยั สู่ทอ้ งถิ่นและส่งเสริมให้มงี านวจิ ยั ที่กอ่ ให้เกิดประโยชน์แกท่ อ้ งถิน่ มากข้ึน

ตามยทุ ธศาสตร์การศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ กาหนดว่าภายใตก้ รอบเวลา 2 ปี จะสามารถ
พฒั นา 5 ศกั ยภาพของพ้ืนท่ีใน 5 กลุ่มอาชีพใหม่ ให้สามารถแข่งขนั ใน 5 ภูมิภาคหลกั ของโลก (5 ภูมิภาค
หลกั ของโลก หมายถึง ทวีปเอเชีย ทวีปยโุ รป ทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย และทวีปแอฟริกา) โดยขอให้
สถาบนั การศึกษาไปจดั ทาหลกั สูตรความรู้เพอื่ พฒั นาใน 5 ศกั ยภาพของพ้ืนที่คือ

1) ศกั ยภาพของทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพ้นื ที่

2) ศกั ยภาพของพ้ืนท่ีตามลกั ษณะภูมิอากาศ

3) ศกั ยภาพของภมู ิประเทศและทาเลท่ตี ้งั ของแต่ละพ้นื ที่

4) ศกั ยภาพของศิลปวฒั นธรรม ประเพณี องคค์ วามรู้ ภูมปิ ัญญา และวถิ ีชีวิตของแต่ละพ้ืนท่ี

5) ศกั ยภาพของทรัพยากรมนุษยใ์ นแต่ละพ้ืนท่ี

ท้งั น้ี ให้คานึงถงึ การพฒั นาหลกั สูตรตาม 5 กลมุ่ อาชีพใหม่ โดยการจดั การศึกษาอาชีพใน
ปัจจบุ นั มคี วามสาคญั มาก เพราะจะเป็นการพฒั นาประชากรของประเทศให้ มคี วามรู้ ความสามารถและ
ทกั ษะในการประกอบอาชีพ เป็นการแกป้ ัญหาการวา่ งงานและส่งเสริมความเขม้ แข็งให้แก่เศรษฐกิจชุมชน
ตามยทุ ธศาสตร์ของกระทรวงศกึ ษาธิการ การจดั กระบวนการเรียนรู้ การวดั และประเมนิ ผล ใน 5 กลุม่ อาชีพ
ใหม่ โดยเนน้ การบูรณาการให้สอดคลอ้ งกบั ศกั ยภาพดา้ นต่างๆ โดยมุง่ พฒั นาคนไทยใหไ้ ดร้ ับการศึกษาเพื่อ
พฒั นาอาชีพและการมีงานทาอยา่ งมี คณุ ภาพ ทวั่ ถึงและเท่าเทยี มกนั สามารถสร้างรายไดท้ ่มี นั่ คง ซ่ึงได้
มงุ่ เนน้ การนานโยบายและยทุ ธศาสตร์ขา้ งตน้ ไปสู่การปฏบิ ตั ิเพือ่ จดั การศึกษาพฒั นาอาชีพใหแ้ ก่
กลมุ่ เป้าหมายและประชาชนมีรายไดแ้ ละมีงานทาอยา่ งยง่ั ยนื มคี วามสามารถเชิงการแข่งขนั ท้งั ในระดบั
ภมู ภิ าคอาเซียนและระดบั สากล โดยจดั ศูนยฝ์ ึกอาชีพชุมชนทว่ั ประเทศ ซ่ึงจะเป็นการจดั การศึกษาตลอดชีวิต
ในรูปแบบใหมท่ ีส่ ร้างความมน่ั คงให้แก่ประชาชนและประเทศชาติ

5.องค์กร การบริหารงานในองค์กร และการพฒั นางานอาชีพในองค์กร

องค์กรเกิดจากการที่มนุษยร์ วมกลมุ่ กนั เพ่ือทากิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึง เพ่ือตอบความสนองความ
ตอ้ งการแบบใดแบบหน่ึง การรวมตวั กนั จะช่วยสร้างความสัมพนั ธ์ของคนในกลุ่ม โดยนาเอาการรวมกลุม่
เป็นเครื่องมือในการกาหนดความสัมพนั ธ์ จนกลายมาเป็นรูปแบบขององคก์ รในปัจจุบนั ที่เป็นการร่วมตวั
กนั เพ่ือให้เกิดผลประโยชน์ มากกว่าการที่รวมตวั กนั โดยสัญชาตญาณของมนุษย์เอง ดงั น้ันจึงจาเป็ นต้อง
ศึกษาความหมายขององค์กร องค์ประกอบขององค์กร หลักในการบริหารงาน ปัจจยั ในการบริหาร การ
บริหารงานบุคคล และการจดั องคก์ ร รวมท้งั ผบู้ ริหารกบั เทคโนโลยีสมยั ใหม่

องค์กร (Organ) ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คานิยามไว้ว่าคือ
ส่วนประกอบย่อยของหน่วยใหญ่ ทาหน้าที่สัมพันธ์กันหรื อข้ึนต่อกันและกัน ส่วนคาว่า องค์การ
(Organization) คือศูนย์กลางของกิจการที่รวมประกอบกนั ข้ึนเป็ นหน่วย หรือหลายๆ องค์กรรวมกันเขา้
กลายเป็นองคก์ าร

1) ความหมายขององค์กร องค์การ หรือ องค์กร (organization) หมายถึง บุคคลกลุ่มหน่ึงที่มา
รวมตวั กัน มีวตั ถุประสงค์หรือเป้าหมายอย่างหน่ึงหรือหลายอย่างร่วมกัน และดาเนินกิจกรรมบางอยา่ ง
ร่วมกนั อยา่ งมีข้นั ตอนเพ่ือใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงคน์ ้นั โดยมีท้งั องคก์ ารทแี่ สวงหาผลกาไรคือองคก์ ารทีด่ าเนิน
กิจกรรมเพอ่ื การแข่งขนั ทางเศรษฐกิจ เช่น บริษทั ห้างหุ้นส่วน หา้ งสรรพสินคา้ ร้านคา้ ต่างๆ และองคก์ ารที่
ไม่แสวงหาผลกาไร คือองค์การท่ีดาเนินกิจกรรมเพ่ือสาธารณประโยชน์เป็ นหลกั เช่น สมาคม สถาบนั
มลู นิธิ เป็นตน้ โดยเริ่มแรกคาว่า "องคก์ าร" เดิมเป็นศพั ทบ์ ญั ญตั มิ าจากคาภาษาองั กฤษ organization ส่วนคา
ว่า "องคก์ ร" เป็นศพั ทบ์ ญั ญตั มิ าจากคาว่า organ โดยท่อี งคก์ รหมายถึงหน่วยยอ่ ยขององคก์ าร แต่ในปัจจุบนั
ใชใ้ นความหมายเดียวกนั

2) องค์ประกอบขององค์กร แต่ละองค์กรจะมีส่วนประกอบที่สัมพนั ธ์เชื่อมโยงกันเพ่ือ
ขบั เคลื่อนองคก์ รให้ดาเนินงานไปในทิศทางเดียวกนั ให้บรรลุเป้าหมาย ไดแ้ ก่ คน (Man) เป้าหมาย (Goals)
โครงสร้าง (Structure) ขอ้ มลู ขา่ วสาร ความรู้ (Data Message and Knowledge) และเทคโนโลยี (Technology)

 คน คือองค์ประกอบท่ีสาคญั ท่ีสุดขององค์กร เน่ืองจากเป็นผูร้ ิเร่ิมก่อต้ัง
องคก์ ร ถา้ ไมม่ ีคนกไ็ ม่มีองคก์ ร และเป็นผทู้ ี่กาหนดแผนการทางาน การปฏบิ ตั งิ านและตดั สินใจ ตลอดจนถึง
การแกไ้ ขปัญหาให้กบั องคก์ ร ดงั น้ัน องคก์ รจะบรรลุเป้าหมายหรือวตั ถุประสงคท์ ี่กาหนดไวห้ รือไมน่ ้นั จึง
ข้นึ อยกู่ บั ประสิทธิภาพและคณุ ภาพของคนท่อี ยใู่ นองคก์ รว่ามปี ระสิทธิภาพและคณุ ภาพมากนอ้ ยเพียงใด

 เป้าหมายหรือวตั ถุประสงค์ คือ ส่ิงทีส่ มาชิกขององคก์ รร่วมกนั กาหนดข้ึน
ซ่ึงจะเป็นกรอบในการกาหนดแผนการทางานต่างๆ ขององคก์ ร เช่น แผนกลยุทธ์ แผนการดาเนินงาน แผน
แม่บท แผนหนา้ ท่ี เพ่ือให้การทางานของสมาชิกในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและในการกาหนด
เป้าหมายหรือวตั ถุประสงคน์ ้นั โดยจะแตกต่างกนั ไปตามลกั ษณะของภารกิจองคก์ รต่างๆ

 โครงสร้าง องค์กรตอ้ งมีโครงสร้างเพื่อเชื่อมโยงให้องคก์ รสามารถดารง
อยู่ได้ จะประกอบหน้าที่ การแบ่งงานกันทา สายการบังคับบัญชา ขนาดของการควบคุม หลักการมี
ผบู้ งั คบั บญั ชาเพยี งคนเดียว ขอ้ มลู ข่าวสาร และความรู้ เทคโนโลยี

 คณุ สมบตั ขิ ององคก์ รท่ดี ี
 การจดั องคก์ ร

โดยทวั่ ไปปัจจยั พ้นื ฐานในการบริหารมี 4 ประเภท เรียกวา่ 4 M ไดแ้ ก่

1) บุคลากร (Man) เป็นปัจจยั ที่สาคญั ท่ีสุด เพราะองค์กรต่างๆ เกิดข้ึนไดต้ อ้ งอาศยั ความคิด
ของคน มีคนเป็นผูด้ าเนินการ จึงจะทาให้เกิดกิจกรรมหลายรูปแบบ ซ่ึงในองคก์ รมีบุคคลอยู่หลายระดับ
หลายรูปแบบ ร่วมกนั ดาเนินการ จะใชค้ นอยา่ งไรใหเ้ กิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลกบั งานใหม้ ากทีส่ ุด

2) เงินงบประมาณ (Money) เป็ นปัจจัยท่ีต้องนามาใช้เพื่อให้เกิดการดาเนินงานต่างๆ โดย
องคก์ รแตล่ ะประเภทใชง้ บประมาณทแี่ ตกต่างกนั ดงั น้นั ผูบ้ ริหารจึงตอ้ งวางแผนการใชเ้ งนิ งบประมาณ และ
การจดั หางบประมาณอยา่ งมีประสิทธิภาพ เพ่ือกอ่ ให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด

3) ทรัพยากร (Materials) หรือวตั ถุดิบในการดาเนินงาน ว่าจะเกิดประโยชนส์ ูงสุด จึงตอ้ งรู้จกั
บริหารวตั ถุดิบให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดต้นทุนดา้ นวตั ถุดิบต่าสุด จะส่งผลให้ธุรกิจมีผลกาไรสูงสุด
ตามมา

4) การจดั การ (Management) คือกระบวนการจดั การบริหารควบคมุ เพ่ือใหง้ านท้งั หมดเป็นไป
อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลอย่างเต็มท่ี หรือเรียกว่าวิธีปฏิบัติงาน (Method) ซ่ึงเป็ นวิธี
ปฏิบัติงานแต่ละข้ันตอนของการบริหารงาน ซ่ึงต้องวางแผนและควบคุม เพ่ือให้การปฏิบัติงานมี
ประสิทธิภาพ เกิดความคลอ่ งตวั สอดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ ม และบางองคก์ รอาจจะแยกออกจากกนั กไ็ ด้

6.หลกั การปฏบิ ัติตนในงานอาชีพ

การปฏบิ ตั ิตนในงานอาชีพเพือ่ ใหไ้ ดม้ าตรฐานอาชีพ ผปู้ ระกอบอาชีพควรศึกษาแนวคิดเกี่ยวกบั การ
ทางาน เพือ่ จะไดเ้ ขา้ ใจถงึ ปัจจยั ท่มี ีผลต่อการทางาน การสร้างทศั นคติที่ดีตอ่ การทางาน องคป์ ระกอบในการ
ทางาน ทกั ษะการทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืน การสร้างความสัมพนั ธ์ที่ดีในการทางาน การทางานเป็นทีม แรงจูงใจ
ในการทางาน แนวทางการพฒั นาตนเองในการทางาน ความขดั แยง้ และความข้องใจในการทางาน และ
แนวทางการปรบั ตวั ในการทางาน เพื่อให้งานท่ีปฏบิ ตั อิ ยนู่ ้นั ถูกตอ้ งสมบูรณย์ ิง่ ข้ึน

อาชีพเป็นทกั ษะที่เกิดจากการเรียนรู้และสภาพการบงั คบั ของสังคม ทาให้บุคคลเลือกอาชีพและมี
การประกอบอาชีพเมื่อถึงวยั ทางาน ซ่ึงเป็นงานท่ีมนุษย์ตอ้ งทาประจาด้วยความถนัด ความสนใจ ความรู้
ความสามารถ ประสบการณ์ หรือการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ โดยมีผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ไดแ้ ก่ ความพงึ
พอใจของบุคคลทีไ่ ดท้ า ความสาเร็จของตนเองและองคก์ ร/กลุ่ม หรือคา่ ตอบแทนท่ีเป็นเงินทอง หรือสิ่งของ
ต่างตอบแทนหรือแลกเปลี่ยนซ่ึงกนั และกัน หรือการไดร้ ับการยกยอ่ งมีช่ือเสียงและเครือข่ายเพ่ือนฝูงใน
สังคม เช่น อาชีพแพทย์ พยาบาล นกั วทิ ยาศาสตร์ ช่างไฟฟ้า ช่างไม้ เป็นตน้

งานอาชีพ หมายถึง กิจกรรมท่ีเก่ียวกับการประกอบอาชีพทุกประเภทของมนุษย์ เพ่ือหวงั ให้เกิด
รายไดจ้ ากการทางานเป็นหลกั ซ่ึงมีองค์ประกอบดา้ นเทคนิค เศรษฐกิจและสังคม รวมท้งั แรงงานที่ไมต่ อ้ ง
อาศยั การฝึกหัดมาก่อน เช่น งานที่ใชแ้ รงงาน กรรมกร นักการภารโรง ส่วนงานท่ีตอ้ งไดร้ บั การฝึกฝนหรือ
ใชท้ กั ษะการฝึกหัดข้นั สูง เช่น แพทย์ วิศวกร ครูอาจารย์ เป็นตน้

1) เป็ นสื่อนาเอาเทคโนโลยีมาใช้มากข้ึน เพื่อพฒั นางานอาชีพของประชาชนด้านข้อมูล
ข่าวสาร หรือการนามาใช้กบั อาชีพบางประเภท เพื่อให้ทนั ต่อความกา้ วหนา้ ของวิทยาการและเทคโนโลยี
ใหม่ๆ ตลอดจนนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นงานอาชีพไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

2) เป็นสิ่งจาเป็นที่จะสร้างความกา้ วหนา้ ให้แกป่ ระชาชนให้มีคณุ ภาพชีวิตท่ดี ีข้นึ

3) เป็นจุดเร่ิมตน้ ท่จี ะนาตนเองไปสู่การพฒั นาที่เจริญเติบโตตอ่ ไปในอนาคต

4) การประกอบอาชีพของบุคคลใดบุคคลหน่ึง จะส่งผลทาให้สังคมพฒั นาดีข้ึน เน่ืองจากจะ
ช่วยขจดั ปัญหาทางสงั คมแลว้ ยงั ทาใหเ้ กิดความเจริญกา้ วหนา้ ท้งั ต่อตนเองและสงั คมส่วนรวม

5) ทาใหบ้ ุคคลมภี าวะความเป็นผนู้ าได้ ตอ้ งฝึกหดั ใหต้ นเองมกี ารพฒั นาทุกดา้ น

6) สร้างความเจริญกา้ วหนา้ ให้แก่ประเทศได้ เมื่อประชาชนทุกคนมีอาชีพ จึงทาให้มีรายได้
หมนุ เวยี นเกิดข้ึนในสงั คม ส่งผลให้มีบทบาทสาคญั ตอ่ ความเจริญกา้ วหนา้ ของประเทศชาติ

7) เป็นการสร้างภาพลกั ษณ์ทีด่ ีให้แก่ตนเอง เช่น ทาให้ตนเองมีอาชีพเป็ นหลกั แหล่งสามารถ
พ่งึ ตนเองได้ หรือทาใหค้ นอ่ืนๆ เช่ือมนั่ และเชื่อถอื ได้

การพฒั นาตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียง คือ การพฒั นาทต่ี ้งั อยบู่ นพ้นื ฐานของทางสายกลางและความ
ไม่ประมาทโดยคานึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุม้ กนั ท่ีดีในตวั ตลอดจนใช้ความรู้
ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผนการตดั สินใจและการกระทา

การประยุกตใ์ ชป้ รัชญาของเศรษฐกิจ โดยในการดาเนินชีวิตในลกั ษณะเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการ
ประกอบอาชีพตามทรัพยากรท่ีมอี ยโู่ ดยอาศยั ความรู้ ความสามารถ เพ่ือให้เกิดความพอเพียง ในลกั ษณะพอ
อย่พู อกิน ก่อให้เกิดความสุขสบายภายในครอบครัว หากเหลือจากการดารงชีพสามารถนาไปขาย เพื่อเป็น
รายไดแ้ ละเกบ็ ออมเป็นเงนิ ทนุ ต่อไป การประกอบอาชีพแบบเศรษฐกิจพอเพยี งสามารถทาได้ ดงั น้ี

1) ทาไรทานาสวนผสมผสาน เพอ่ื เป็นจดุ เริ่มตน้ เศรษฐกิจพอเพยี ง

2) ปลกู ผกั สวนครวั เพือ่ ลดรายจ่ายดา้ นอาหารในครอบครัว

3) ใชป้ ๋ ุยคอก และทาป๋ ุยหมกั ใชร้ ่วมกบั ป๋ ยุ เคมี เพือ่ ลดรายจ่ายและช่วยปรับปรุงบารุงดิน

4) เพาะปลกู เห็ดฟางจากฟางขา้ วและเศษวสั ดุเหลอื ใชใ้ นไร่นา

5) ปลกู ผลไมส้ วนหลงั บา้ นและปลูกตน้ ไมใ้ ชส้ อย

6) ปลกู พชื สมุนไพรช่วยส่งเสริมสุขภาพอนามยั

7) เล้ยี งปลาในร่องสวน ในนาขา้ วและสระน้า เพื่อเป็นอาหารและรายไดเ้ สริม

8) เล้ียงไก่พ้ืนเมืองและไก่ไข่ เพื่อเป็ นอาหารโปรตีนและรายไดเ้ สริมโดยใช้ขา้ วเปลือกรา
ปลายขา้ วจากการทานา ขา้ วโพดเล้ียงสตั วจ์ ากการปลกู พชื ไร่ พืชผกั จากการปลูกในสวน

9) ทากา๊ ซชีวภาพจากมลู สุกร หรือววั เพื่อใชเ้ ป็นพลงั งานในครวั เรือน

10) ทาสารสกดั ชีวภาพจากเศษพชื ผกั ผลไม้ และพชื สมนุ ไพรที่ใชใ้ นไร่นา

การทางานแบบมอื อาชีพ โดยบุคคลที่มอี าชีพนอกจากจะตอ้ งยอมรับในอาชีพของตนเองแลว้ จะตอ้ ง
พฒั นา และสร้างโอกาสให้ตนเองประสบความสาเร็จในอาชีพอีกดว้ ยตามเส้นทางอาชีพท่ีมีอยู่ เช่น เม่ือเขา้
ทางานก็ย่อมตอ้ งมคี วามหวงั ท่ีจะไปถึงตาแหน่งท่สี ูงข้นึ เช่น หัวหนา้ ผูจ้ ดั การ ฯลฯ เพื่อการยอมรบั มากข้ึน
การไดร้ ับค่าจา้ งเพ่ิม หรือการเพ่ิมบทบาทและอานาจหนา้ ท่ีซ่ึงการประสบความสาเร็จตามเส้นทางอาชีพ
หรือความกา้ วหน้าในอาชีพน้ีไม่ใช่เพราะการทางานมานานแลว้ ได้รับการเลื่อนตาแหน่งตามระยะเวลาท่ี

ทางานมาอยา่ งเดียว หรือการไดใ้ ชร้ ะบบความสัมพนั ธ์ในการทางานไม่ว่าจะเป็นระบบอุปถมั ภ์ หรือระบบ
ความสมั พนั ธ์ส่วนบุคคล ในปัจจบุ นั ท่เี ป็นยคุ ของการเปลี่ยนแปลงทีร่ ุนแรงตลอดเวลา

7.หลกั การบริหารงานคุณภาพ

หลกั บริหารงานคุณภาพ เป็นการจดั การบริหารองคก์ ร อย่างถูกตอ้ งและมีคุณภาพ เพื่อความสาเร็จ
ในการจดั ระบบบริหารงานคุณภาพจึงจาเป็ นต้องศึกษาถึงความหมายของการบริหารงานคุณภาพ การ
บริหารงานอยา่ งประสิทธิภาพ มาตรฐานระบบบริหารคณุ ภาพ หลกั การพ้ืนฐานของการบริหารงานคุณภาพ
ระบบการบริหารงานคุณภาพ ระบบการบริหารคุณภาพตามขอ้ กาหนดของ ISO 9000 การบริหารงานโดย
วตั ถุประสงคแ์ ละระบบการควบคุมคณุ ภาพหรือกล่มุ คุณภาพ

คาว่า “คุณภาพ” ซ่ึงเป็นการตอบสนองติความตอ้ งการ (Needs) และความคาดหวงั (Expectation)
ของลูกคา้ ท้ังน้ีลูกคา้ มีท้งั ลูกคา้ ภายในและลูกคา้ ภายนอก แต่ท่ีสาคัญมากท่ีสุดคือลูกคา้ ภายนอก ซ่ึงเป็ น
ลูกค้าที่มีผลต่อความอยู่รอดขององค์กร คุณภาพจึงไม่ใช่แค่ทางานให้ไม่บกพร่อง ไม่มีปัญหาหรือไม่
ผิดพลาดเท่าน้นั แตต่ อ้ งทาให้ลกู คา้ เกิด ความรู้สึกยอมรับ อยากไดแ้ ละช่ืนชมดว้ ย

การบริหารงานคณุ ภาพ คือ เป็นการจดั การเพ่อื ใหไ้ ดต้ ามนโยบายคณุ ภาพ การที่จะไดม้ าซ่ึงคุณภาพ
ที่พึงประสงค์ ตอ้ งกาหนดวตั ถุประสงค์ เป้าหมาย นโยบายอยา่ งชดั เจน มีการจดั ต้งั องค์กร รวมถึงการวาง
แผนการจดั เตรียมทรัพยากรโดยเฉพาะการพฒั นาทรัพยากร บุคคลในองค์กรให้มีความรู้เรื่องของคุณภาพ
และกิจกรรมอื่นๆ ท่ีเกี่ยวกบั การพฒั นาคุณภาพ ส่วนการบริหารงานคุณภาพในองค์กร คือ กระบวนการ
บริหารงานทปี่ ระกอบดว้ ย นโยบายคุณภาพ วตั ถปุ ระสงคค์ ณุ ภาพ การวาแผนงานคณุ ภาพ ระบบการบริหาร
จดั การเชิงคุณภาพ ระบบการตรวจสอบหรือการประเมนิ ผล และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพ่ือตอบสนอง
ความตอ้ งการของลกู คา้ พนกั งานและสงั คม

การบริหารงานอยา่ งประสิทธิภาพพร้อมยกตวั อย่างประกอบ โดยการทางานอย่างมีประสิทธิภาพ
จะตอ้ งมกี ารวางแผนให้เป็นระบบ และทางานอยา่ งชาญฉลาด (work smart) ทเี่ ป็นการทางานโดยวางแผนไว้
ล่วงหนา้ เพ่ือทางานใหม้ คี ณุ ค่ามากท่สี ุด โดยมีหลกั การบริหารดงั น้ี

1) การบริหารเวลา

2) การบริหารงานซ่ึงมี 4 ประเภท

 งานสาคญั และเร่งด่วน เป็นงานท่ีควรทาดว้ ยตวั เอง และตอ้ งทาทนั ที เพราะหากให้คนอ่ืน
ไปทา อาจจะไมด่ ีเทา่ ตนเองทา เช่น ประชุมสัมมนา การเจรจาต่อรอง เป็นตน้

 งานสาคัญ แต่ไม่ด่วน ควรทางานน้ีดว้ ยตัวเอง ซ่ึงอาจจะเป็ นงานที่เก่ียวกบั การวางแผน
เป้าหมาย ช่วยทีมงานวางแผนการทางาน

 งานด่วน แต่ไม่สาคญั ควรมอบหมายให้คนอืน่ ทา เพราะตนเองมีงานอกี มากท่ตี อ้ งกระทา
เช่น การนดั หมาย งานพิมพ์ งานจดั เอกสาร การจดั เตรียมขอ้ มูลเป็นตน้

 งานทวั่ ไป เป็นงานไม่สาคญั และไม่เร่งด่วน ควรมอบหมายให้คนอน่ื ทา เช่น การทาความ
สะอาด เชด็ โตะ๊ ถโู ตะ๊ เป็นตน้

3) การบริหารคน คือการสร้างสื่อสายสัมพนั ธ์ การพฒั นาทรัพยากรบุคคล โดยมีหลกั การ
บริหารคนทีจ่ ะทาใหป้ ระสบความสาเร็จดงั น้ี

 การแนะนาหรือชกั ชวน (recruit) แนะนาหรือชกั ชวนคนมาร่วมงานตลอดเวลาเมอ่ื มโี อกาส
โดยทาอยา่ งมรี ะบบ และมีการเตรียมมาอยา่ งดี

 การฝึกอบรม (training) การฝึ กอบรมหลกั สูตรต่าง ๆ ต้งั แต่ข้นั พ้ืนฐานจนถึงข้นั สูง ถือว่า
เป็ นเรื่องที่สาคัญ เป็ นหลกั ในการบริหารคน ทาให้การทางานของแต่ละคนมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้
ทมี งานเข็มแขง็ ข้นึ

 การจูงใจ (motivate) การกระตุน้ ให้กาลงั ใจ สร้างพลังในการทางาน เช่น การแข่งขนั ชิง
รางวลั อนั ทรงเกียรติ การส่งเสริมการตลาด การแข่งขนั ไปท่องเทีย่ วตา่ งประเทศ เป็นตน้

 การควบคุดแู ล (supervise) เป็นการเอาใจใส่ทมี งานอยา่ งใกลช้ ิด ดว้ ยจิตไมตรีและจริงใจต่อ
กนั

พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ได้กาหนดคาว่า มาตรฐาน คือ
ขอ้ กาหนดรายการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง หรือหลายอยา่ งเก่ียวกบั จาพวก แบบ รูปร่าง มติ ิ การทา เครื่องประกอบ
คณุ ภาพ ช้นั ส่วนประกอบ ความสามารถ ความทนทานและความปลอดภยั ของผลิตภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม

1) วิธีทา วิธีออกแบบ วิธีเขียนรูป วิธีใช้ วตั ถุท่ีจะนามาทาผลิตภณั ฑ์อตุ สาหกรรม และความ
ปลอดภยั อนั เก่ียวกบั การทาผลิตภณั ฑอ์ ุตสาหกรรม

2) จาพวก แบบ รูปร่าง มติ ขิ องหีบห่อ หรือสิ่งบรรจชุ นิดอื่นรวมตลอดถงึ การทาหีบห่อหรือสิ่ง
บรรจชุ นิดอืน่ วิธีการบรรจุ หุม้ ห่อหรือผกู มดั และวตั ถุที่ใชใ้ นการน้นั ดว้ ย

3) วธิ ีทดลอง วธิ ีวิเคราะห์ วิธีเปรียบเทียบ วิธีตรวจ วิธีทดสอบและวธิ ีชง่ั ตวง วดั อนั เกี่ยวกบั
ผลิตภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม

4) วิธีทดลอง วิธีวิเคราะห์ วิธีเปรียบเทียบ วิธีตรวจ วิธีทดสอบและวิธีช่งั ตวง วดั อนั เก่ียวกบั
ผลติ ภณั ฑอ์ ุตสาหกรรม

5) คาเฉพาะ คาย่อ สัญลกั ษณ์ เครื่องหมาย สี เลขหมาย และหน่วยท่ีใช้ในทางวิชาการอัน
เกี่ยวกบั ผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม

6) ขอ้ กาหนดรายการอยา่ งอนื่ อนั เก่ียวกบั ผลติ ภณั ฑอ์ ุตสาหกรรม ตามท่รี ัฐมนตรีประกาศหรือ
ตามพระราชกฤษฎีกา

มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หมายถึง ส่ิงหรือเกณฑ์ทางเทคนิคที่กาหนดข้ึน สาหรับ
ผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม เกณฑท์ างเทคนิคน้ีจะระบุคุณลกั ษณะท่ีสาคญั ของผลิตภณั ฑ์ ประสิทธิภาพของการ
นาไปใชง้ าน คณุ ภาพของวตั ถุดิบที่นามาผลิต รวมถึงวธิ ีการทดสอบดว้ ย เพ่อื ใชเ้ ป็นเครื่องตดั สินวา่ คุณภาพ
ผลิตภณั ฑน์ ้นั ๆ เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่

หลักการพ้ืนฐานของการบริ หารงานคุณภาพ (Quality Management Principles-QMP) พร้อม
ยกตวั อยา่ งประกอบ มีดงั น้ี

 การใหค้ วามสาคญั กบั ลกู คา้ (Customer-Focused Organization)

 ความเป็นผนู้ า (Leadership)

 การมีส่วนร่วมของบุคลากร (Involvement of People)

 การบริหารเชิงกระบวนการ (Process Approach) หรือกระบวนการดาเนินงาน

 การบริหารที่เป็นระบบ (System Approach to Management)

 การปรับปรุงอยา่ งตอ่ เนื่อง

 การตดั สินใจบนพ้ืนฐานของความเป็นจริง (Factual Approach to Decision Making)

 ความสัมพนั ธ์กบั ผขู้ ายเพ่อื ประโยชนร์ ่วมกนั (Mutually Beneficial Supplier Relationships)

ระบบบริหารงานคุณภาพ (Quality Management System: QMS) คือการจดั การบริหารองค์กรอยา่ ง
ถูกตอ้ งและมีคุณภาพเพื่อตอบสนองความตอ้ งการของลูกคา้ เป็นขอ้ กาหนดของระบบบริหารคุณภาพตาม
มาตรฐาน ISO 9000 ซ่ึงไดจ้ ากการปรับปรุงแกไ้ ขมาตรฐาน ISO เพื่อให้มีความสอดคลอ้ งกบั ระบบบริหาร

องค์กรที่มีเป้าหมายสร้างความพึงพอใจให้กับลูกคา้ และต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กรอย่าง
ต่อเน่ือง หลกั การบริหารคณุ ภาพ 8 ประการ มีความสาคญั ตอ่ ความสาเร็จในการจดั ระบบบริหารงานคุณภาพ
จะทาให้องคก์ รบรรลุเป้าหมายคณุ ภาพมาตรฐาน ISO

ระบบการควบคุมคุณภาพหรือกล่มุ คุณภาพ คือ กิจกรรมท่กี ลุ่มพนกั งานภายในองคก์ ารมารวม กล่มุ
กนั ด้วยความสมัครใจ โดยมีวตั ถุประสงค์ในการแกป้ ัญหา ปรับปรุง พฒั นางานในหน้าที่ของตน หรือ
Quality Control Circle: Q.C.C. หมายถงึ กิจกรรมทีด่ าเนินการโดยคนกล่มุ นอ้ ย ณ สถานปฏบิ ตั ิงานเดียวกนั
รวมตวั กนั โดยความสมคั รใจ โดยมีผูบ้ งั คับบญั ชาระดบั ตน้ (First Line Supervisor) เป็ นแกนกลางเพ่ือทา
กิจกรรมเกี่ยวกบั การปรบั ปรุงโดยตนเองอยา่ งเป็นอสิ ระ แตต่ อ้ งไม่ขดั ต่อนโยบายหลกั

ไดม้ ีการขยายความหมายของ Q.C.C. ในลกั ษณะสากลว่าจะตอ้ งประกอบดว้ ยคุณลกั ษณะ 10 ประการคือ

1) คนกลุ่มนอ้ ย

2) ดาเนินกิจกรรมเพมิ่ พนู คณุ ภาพ

3) โดยตนเองอยา่ งอสิ ระ

4) ณ สถานท่ีทางานเดียวกนั

5) ร่วมกนั ทกุ คน

6) อยา่ งต่อเน่ือง

7) ปรับปรุงและควบคมุ ดูแลสถานที่ทางานให้สะอาดแจ่มใสน่าอยู่

8) โดยใชเ้ ทคนิควิธีการ Q.C

9) พฒั นาตนเอง และพฒั นาร่วมกนั

10) โดยถือวา่ กิจกรรมควบคมุ คุณภาพทวั่ ท้งั บริษทั เป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั

8.ส่ิงแวดล้อมและความปลอดภยั ในการทางาน

ความปลอดภัยและการรักษาสภาพแวดลอ้ มในการทางานเป็ นหน้าที่ของทุกคนทุกระดับท่ีจะ
ร่วมมือกนั ปฏิบตั ิ เพ่ือให้เกิดความปลอดภยั ตอ่ ชีวิตและทรัพยส์ ินท้งั ของตนเอง และของส่วนรวม ท้งั น้ีควร
ส่งเสริมให้ทุกคนมีความรู้ และมีจิตสานึกในการปฏิบตั ิงานดว้ ยความปลอดภยั และมีอาชีวอนามยั ท่ีดีใน
เรื่องสภาพแวดลอ้ มในการทางาน การบริหารความปลอดภยั ในการทางาน กิจกรรม 5 ส หลกั การของระบบ
การจดั การสิ่งแวดลอ้ ม รวมท้งั มาตรฐานระบบการจดั การอาชีวอนามยั และความปลอดภยั

“ความปลอดภยั อาชีวอนามยั และสภาพแวดลอ้ มในการทางาน” หมายความว่า การกระทา หรือ
สภาพการทางานซ่ึงปลอดจากเหตุอนั จะทาให้เกิดการประสบอนั ตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจหรือสุขภาพ
อนามยั อนั เน่ืองจากการทางานหรือเกี่ยวกบั การทางาน

มาตรฐาน ISO 14000 ปัจจุบนั ส่ิงแวดลอ้ มมไิ ดถ้ กู จากดั เฉพาะประเทศใดประเทศหน่ึง และส่วนใด
ส่วนหน่ึงของโลก ผลกระทบจากส่ิงแวดลอ้ มไดข้ ยายไปทว่ั โลก จนกลายเป็นปัญหาระดบั โลกทีต่ อ้ งจดั ทา
มาตรฐาน ISO 14000 คือทุกองคก์ ร ไม่ว่าจะเป็นผูผ้ ลติ หรือผูใ้ ห้บริการเพราะในแต่ละองคก์ รมกี ิจกรรมทีม่ ี
ผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ มท้งั สิ้น สาหรับองค์กรท่ีเป็ นผูผ้ ลิต นอกจากจะไดส้ ินค้าหรือผลิตภณั ฑ์แลว้ ใน
ระหว่างกระบวนการผลติ อาจจะมผี ลที่ไม่พึงประสงค์อ่ืนๆ ตามมา เช่น เสียง ฝ่ ุน ของเสีย สารปนเป้ื อน ถา้
เป็นองคก์ รท่ีเป็นผูใ้ ห้บริการ ก็จะอย่ใู นรูปของการใช้ทรัพยากรต่างๆ อยา่ งไม่คุม้ คา่ และไม่มีประสิทธิภาพ
ซ่ึงเป็นผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ ม ถา้ มกี ารจดั การที่เหมาะสมก็จะควบคุม และลดผลกระทบไดด้ ี แมว้ า่ แตล่ ะ
ประเทศทวั่ โลก จะมีขอ้ บงั คบั และกฎระเบียบเก่ียวกบั ส่ิงแวดลอ้ มแล้วก็ตาม องค์กรต่าง ๆ สามารถนา
อนุกรมมาตรฐาน ISO 14000 ไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั ระบบของตนเองไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ดว้ ยความสมคั รใจ

หลักการของระบบการจัดการสิ่งแวดลอ้ ม โดยใช้สื่อวีดีทัศน์ประกอบเพื่อให้ผูเ้ รียนได้เกิดการ
เรียนรู้เหมือนสภาพจริงท่มี ีประสบการณม์ า

ข้นั ตอนการจดั ทามาตรฐาน ISO 14000

1) กาหนดนโยบายสิ่งแวดลอ้ ม เร่ิมแรกผูบ้ ริหารระดับสูงขององค์กรตอ้ งกาหนด
นโยบายส่ิงแวดลอ้ มใหเ้ หมาะสมกบั สภาพ ขนาด และผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม ทเ่ี กิดจากกิจกรรมต่างๆ

2) วางแผน

2.1 ระบลุ กั ษณะปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม

2.2 พิจารณาขอ้ กาหนดในกฎหมายและระเบียบอน่ื ๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง

2.3 กาหนดวตั ถุประสงคแ์ ละเป้าหมายดา้ นส่ิงแวดลอ้ มใหส้ อดคลอ้ งกบั นโยบาย

2.4 จดั ทาโครงการจดั การสิ่งแวดลอ้ ม เพือ่ ให้บรรลุวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมาย

3) นานโยบายไปปฏบิ ตั ิและดาเนินการ

3.1 จัดโครงสร้างองค์กรและกาหนดหน้าท่ีความรับผิดชอบ เพื่อให้ดาเนินการได้อย่างมี
ประสิทธิผล

3.2 จดั ฝึ กอบรม สร้างจิตสานึก และให้ความรู้ดา้ นส่ิงแวดลอ้ มแก่บุคลากรที่ปฏิบัติงาน ใน
ลกั ษณะท่ีอาจก่อให้เกิดผลกระทบสาคญั ต่อส่ิงแวดลอ้ ม

3.3 กาหนดลกั ษณะและข้นั ตอนการติดตอ่ สื่อสารท้งั ภายในและภายนอกองคก์ ร

3.4 จดั ทาและควบคมุ ระบบเอกสารดา้ นการจดั การส่ิงแวดลอ้ ม

3.5 ควบคุมการดาเนินงานในกิจกรรม ซ่ึงเก่ียวขอ้ งกบั ลกั ษณะปัญหาสิ่งแวดลอ้ ม เพ่อื ให้บรรลุ
นโยบาย วตั ถปุ ระสงค์ และเป้าหมายทีก่ าหนด

3.6 เตรียมพร้อมเพ่ือรับสถานการณ์ หากเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมถึงการป้องกันและบรรเทา
ผลกระทบดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม ท่เี ก่ียวเนื่องกบั สถานการณ์ดงั กลา่ ว

4) ตรวจสอบและแกไ้ ข

4.1 เฝ้าติดตามและวดั ผลในกิจกรรมซ่ึงกอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบต่อส่ิงแวดลอ้ ม

4.2 ดาเนินการแกไ้ ขและป้องกนั ในสิ่งท่ไี มเ่ ป็นไปตามขอ้ กาหนด

4.3 ตรวจตดิ ตามประสิทธิผลของการแกไ้ ขและการป้องกนั

5) ทบทวนระบบการจดั การส่ิงแวดลอ้ ม โดยผูบ้ ริหารระดบั สูงขององคก์ รเป็ นระยะๆ เพ่ือให้
แน่ใจว่าระบบท่ีจดั ทาข้ึน มีความเหมาะสมเพยี งพอ และนาไปใชอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ

มาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามยั และความปลอดภัย โดยใช้สื่อวีดีทศั น์ประกอบเพ่ือให้
ผูเ้ รียนได้เกิดการเรียนรู้เหมือนสภาพจริงท่ีมีประสบการณ์มา โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวง
แรงงานและสวสั ดิการสังคมไดต้ ระหนกั ถึงปัญหาเหล่าน้ี จึงไดส้ านกั งานมาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ุตสาหกรรม
กาหนดอนุกรมมาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (มอก.18000) ข้ึนเพ่ือเป็ น
แนวทางใหห้ น่วยงานต่างๆ นาไปปฏิบตั ิ ท้งั น้ีมไิ ดม้ ีจดุ มุ่งหมายเพียงการแกไ้ ขปัญหาอาชีวอนามยั และความ

ปลอดภยั ในการทางาน แต่ครอบคลุมถึงแนวทางในการป้องกนั มิให้เกิดปัญหาดา้ นสุขภาพและอุบัติเหตุ
ตา่ งๆ ต่อผูป้ ฏิบตั งิ านและสังคม ท้งั ในองคก์ รและภายนอกองคก์ รหรือชุมชน

มาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ุตสาหกรรมระบบการจดั การอาชีวอนามยั และความปลอดภัย ตามอนุกรม
มาตรฐาน มอก.18000 จะกาหนดข้ึนเพอื่ เป็นแนวทางในการปรับปรุงการดาเนินงานอาชีวอนามยั และความ
ปลอดภยั ในองคก์ รแลว้ ยงั ใชเ้ ป็นขอ้ กาหนดในการตรวจประเมนิ เพ่อื ใหก้ ารรบั รองระบบการจดั การอาชีวอ
นามยั และความปลอดภยั ขององคก์ รอกี ดว้ ย

เอกสารประกอบการติวสอบ V-NET ปี การศึกษา 2564
องค์ประกอบท่ี2

เร่ือง การทางานเป็ นทมี

1.1 การทางานเป็ นทีม ( Teamwork )

( แหลง่ ทม่ี า https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/190509-team-work )
การทางานเป็นทมี หมายถงึ การทางานร่วมกนั กบั เพอื่ นร่วมงาน หรือการทางานของบคุ คลมากกว่า

1 คนข้ึนไปนนั่ เอง โดยจะมเี ป้าหมายในการทางานอยา่ งเดียวกนั มีการประสานงาน วางแผนการดาเนินงาน
ร่วมกนั เมื่อมีการตดั สินใจอะไรสาคญั ๆ ที่มีผลกระทบต่อเป้าหมายโดยร่วม ก็ตอ้ งมีการลงมติ ตดั สินใจ
ร่วมกนั

ซ่ึงก็มีหลาย ๆ โอกาสท่ีเราจะตอ้ งทางานเป็นทีมหรือเป็ นกลมุ่ ยิ่งการทางานในองคก์ ร หรือบริษทั
การทางานส่วนใหญ่ก็มกั เป็นการทางานกนั เป็ นทีม เพ่ือท่ีจะไดร้ ่วมแรงร่วมใจกนั ก่อให้เกิดพลงั ท่ีจะก้าว
ไปสู่ความสาเร็จไดด้ ีกวา่ การแบง่ แยกกนั ทางาน
( แหล่งท่มี า https://www.moneywecan.com/team-work )

ทีมกบั กลมุ่ (Team VS Group)
คาสองคาน้ีดูผิวเผนิ แลว้ มลี กั ษณะคลา้ ยกนั แตห่ ากลงรายละเอียดแลว้ สองคาน้ีมลี กั ษณะตา่ งกนั
โดยเฉพาะการนิยามความหมายกบั การทางานในระบบองคก์ รท่หี ลายคนอาจไมเ่ ขา้ ใจอยา่ งลึกซ้ึงและเกิด
การตคี วามไปสู่การปฏบิ ตั ิท่ไี ม่ถกู ตอ้ งนกั นนั่ อาจทาให้ไมเ่ กิดประสิทธิภาพในการทางานก็เป็นได้
การทางานระบบทีม (Team) : กค็ อื การทางานทมี่ สี มาชิกมากกว่า 1 คน มารวมตวั ทางานร่วมกนั แต่
หัวใจสาคญั ก็คอื จะตอ้ งมกี ารกาหนดเป้าหมายร่วมกนั อยา่ งชดั เจน มีการวางแผนงาน ตลอดจนวางระบบการ

ทางานท่ดี ี ทกุ คนรู้ภาระหนา้ ที่ของตนเอง มีแรงผลกั ดนั ร่วมกนั มงุ่ มน่ั ทีจ่ ะทาภาระกิจให้สาเร็จเพื่อบรรลุ
เป้าหมาย มกี ารร่วมมอื กนั ช่วยเหลือกนั ส่งเสริมกนั ตลอดจนมกี ารประเมนิ ผล แกไ้ ขปัญหา อดุ รอยร่วั เพือ่
ทาให้การทางานผิดพลาดนอ้ ยท่ีสุด ทา้ ยทส่ี ุดแลว้ ทุกคนทาเพ่ือผลสาเร็จเดียวกนั ท่เี ป็นภาพรวมของทมี

การทางานแบบกลมุ่ (Group) : ก็คือการทางานทมี่ สี มาชิกมากกว่า 1 คน มารวมตวั ทางานร่วมกนั
อาจมีการวางระบบการทางานหรือไมม่ กี ไ็ ด้ แต่มกั มีวตั ถปุ ระสงคเ์ ดียวกนั และมกั ไมม่ ที ศิ ทางชดั เจน โดยทกุ
คนสามารถขบั เคลอ่ื นงานของตนไดอ้ ยา่ งอิสระ

อยา่ งไรกด็ ีการทางานของสองระบบน้ีกเ็ ป็นส่ิงดที ้งั คู่ เพียงแตว่ า่ มีประสิทธิภาพตา่ งกนั ทสี่ าคญั การ
ทางานแบบกลุม่ น้นั เป็นพ้ืนฐานเริ่มตน้ ที่ดีของการทางานระบบทีมดว้ ย หากองคก์ รเขา้ ใจการทางานใน
ระบบทมี ไดด้ ีย่ิงข้นึ ก็อาจพฒั นาศกั ยภาพของพนกั งานให้ทางานไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพมากข้ึนไดเ้ ช่นกนั

นอกจากคาว่า Team กบั Group แลว้ ยงั มภี าษาองั กฤษอีก 2 คาทีม่ ลี กั ษณะคลา้ ยกนั แตก่ ็แตกต่างกนั
ในรายละเอียดเล็กนอ้ ย อนั ทจี่ ริงแลว้ ทุกคาน้นั เก่ียวโยงกนั และมีความสัมพนั ธร์ ่วมกนั ทเี่ ป็นประโยชน์ตอ่
การทางานระบบทมี คาน้นั กค็ อื Team Work กบั Teamwork นนั่ เอง

ทมี งาน (Team Work) : หมายถงึ กลุม่ บุคคลทม่ี คี วามมุง่ มนั่ ในการทางานเป็นระบบทีม คาน้ีจะ
มุ่งเนน้ ไปยงั ทรัพยากรบคุ คลมากกว่า ซ่ึงนี่คอื ฟันเฟืองสาคญั ของการทางานระบบทมี เลยทเี ดียว หากทมี งาน
ประกอบไปดว้ ยบุคลากรทไ่ี มด่ ี ระบบทีมก็อาจพงั ไดเ้ ช่นกนั ในทางตรงกนั ขา้ มหากบุคลากรเกิดการรวมตวั
เป็นทีมงานทที่ างานอยา่ งมีประสิทธิภาพ นน่ั ยอ่ มทาให้องคก์ รประสบความสาเร็จอยา่ งยง่ิ องคก์ รในยคุ น้ีจึง
ใหค้ วามสาคญั กบั การทางานแบบทีมเป็นอยากมาก และการทีจ่ ะพฒั นาทมี งานทีด่ ไี ดน้ ้นั จะตอ้ งมกี ารวาง
แผนการสร้างทีม (Team Building) ให้ดีและมีประสิทธิภาพดว้ ย เพอ่ื ให้การทางานระบบทมี ยอดเย่ียมท่ีสุด

การทางานระบบทมี (Teamwork) : หมายถึงการทางานแบบร่วมแรงร่วมใจกนั ในระบบทมี คาน้ีจะ
มุ่งเนน้ ไปยงั ระบบตลอดจนกระบวนการทางานมากกวา่ ทีจ่ ะพูดถึงในส่วนของบคุ คล ซ่ึงการทางานระบบ
ทมี น้ีนอกจากการร่วมมอื กนั แลว้ สิ่งสาคญั ของการทางานระบบทมี ก็คอื การวางเป้าหมายร่วมกนั และร่วม
แรงเพอื่ ใหบ้ รรลุเป้าหมาย อยา่ งไรการทางานระบบทีมท่ดี ีน้นั ก็ตอ้ งอาศยั ทีมงานทดี่ ีดว้ ย ท้งั สองส่ิงน้ี
เกี่ยวเน่ืองกนั และก่อใหเ้ กิดความสาเร็จไดใ้ นที่สุด
( แหลง่ ท่ีมา https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/190509-team-work )

ข้อดขี องการทางานเป็ นทีม
1.การแจกแจงงานออกเป็นส่วนยอ่ ย ๆ ให้สมาชิกในทีมตามหนา้ ที่และความรับผิดชอบ ทาให้งาน
บรรลุเป้าหมายตามท่กี ลมุ่ และทีมงานตอ้ งการ
2.สร้างการมปี ฏสิ ัมพนั ธท์ างสังคม ช่วยใหเ้ กิดรู้รักสามคั คี ระหว่างสมาชิกในทมี งาน ในการทางาน
ใหป้ ระสานสัมพนั ธท์ ่ีดีตอ่ กนั

3.การทางานเป็นทมี สามารถดาเนินงานไดร้ วดเร็ว ถูกตอ้ ง แม่นยา มีคุณภาพไดม้ ากกว่าการทางาน
คนเดียว เพราะมหี ลายคนช่วยกนั ทาในส่ิงทตี่ นเองถนดั

4.การทางานเป็นทีมทาให้สามารถทางานไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ช่วยเพม่ิ ผลผลติ จากการทางานได้
มากมาย สร้างรายไดเ้ พมิ่ มีกาไรเพ่มิ ฐานะของกิจการในหน่วยงานมีความกา้ วหนา้

5.สมาชิกในทมี ไดเ้ รียนรู้และพฒั นาตวั เองจากการแลกเปลย่ี นและช่วยเหลอื กนั ภายในทีม
6.การทางานเป็ นทีมทาให้มีความคิดเห็นและไอเดียที่หลากหลาย ช่วยให้งานที่ทาเป็ นไปอย่าง
สร้างสรรคแ์ ละมปี ระสิทธิภาพมากกว่า
( แหล่งทม่ี า https://www.moneywecan.com/team-work )

2.1 เป็ นสมาชิกท่ีดขี องทมี

( แหล่งท่ีมา https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/190509-team-work )
เมอ่ื มีผนู้ าท่ีดีแลว้ หากขาดผูต้ ามทีด่ ีการทางานในระบบทมี น้นั กไ็ ร้ค่า การทีผ่ นู้ าไดผ้ ตู้ ามท่ีร่วมแรง

ร่วมใจทางานอย่างดีน้ันก็ทาให้การทางานมีประสิทธิภาพ และทาให้องคก์ รประสบความสาเร็จในท่ีสุด
สมาชิกในทมี ทกุ คนจึงมีส่วนสาคญั อยา่ งยิ่งในระบบการทางานเป็นทมี ซ่ึงคุณลกั ษณะสาคญั มดี งั น้ี

เป็ นคนทรี่ ับผิดชอบในการทางาน : สมาชิกทเ่ี ป็นผตู้ ามท่ีดีหากมีความรบั ผิดชอบในการทางานตาม
หน้าที่และภาระกิจที่ได้รับมอบหมายได้เป็ นอย่างดีแล้ว น่ันย่อมทาให้แผนที่วางไวม้ ีโอกาสประสบ
ความสาเร็จสูงตามไปดว้ ย และเม่ือสมาชิกไม่มคี วามรับผิดชอบ งานก็จะเสีย ระบบงานก็จะลม่ องคก์ รกจ็ ะ
พงั ทลายได้

เคารพกฎและกตกิ าร่วมกนั : กฎและกติกาตา่ งๆ จาเป็นตอ่ การทางานในระบบทีมมาก เพราะทุกคน
ไม่ไดท้ างานคนเดียว และทุกคนมลี กั ษณะนิสยั ท่ีแตกตา่ งกนั แตส่ ่ิงท่ีจะทาให้ทกุ คนอยรู่ ่วมกนั ไดก้ ค็ ือการ
เคารพและยอมรับปฏบิ ตั ติ ามในกฎระเบยี บเดียวกนั เพือ่ ใหเ้ กิดปัญหาในการทางานนอ้ ยทสี่ ุด และทกุ คนอยู่
ภายใตก้ รอบทีย่ ตุ ธิ รรมกบั ทุกฝ่าย

ให้ความร่วมมอื กนั อย่างเตม็ ที่ : อยา่ งที่กลา่ วไปว่าระบบการเป็นทีมน้นั กค็ อื การทางานร่วมกนั หาก
ไมเ่ กิดความร่วมมอื กนั กย็ อ่ มทาใหก้ ารทางานเกดิ ปัญหาได้ เมอื่ ไมม่ คี วามร่วมมือกนั ระบบการทางานเป็น
ทีมก็จะพงั ทกุ อยา่ งก็เกิดผลเสียตามมา

ยอมรับความแตกต่าง เปิ ดใจรับความคิดเหน็ ใหม่ๆ : บนโลกน้ีไม่มใี ครทเ่ี หมอื นกนั และมคี วาม
คิดเห็นตรงกนั ไปเสียทกุ เร่ือง การเห็นต่างกนั น้นั ไมใ่ ช่สิ่งทีผ่ ดิ แต่ส่ิงที่ควรทากค็ อื การยอมรับความคิดเห็นที่
แตกต่างกนั ไมใ่ ช่ความคดิ เห็นฝ่ายหน่ึงตอ้ งถูกเสมอ และอีกฝ่ายตอ้ งผิดเสมอ ตรงกนั ขา้ มความคดิ เห็นแตล่ ะ
ความคิดเห็นน้นั ตา่ งก็ดีทุกอยา่ ง เพยี งแตเ่ หมาะกนั คนละสถานการณ์เท่าน้นั การไม่ยอมรับความคดิ เห็นของ
คนอ่ืนน้นั กส็ ร้างปัญหาในการทางานระบบทมี ไดเ้ ช่นกนั

คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน : การทางานระบบทีมคือการยดึ ถอื เอา
ประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลกั องคก์ รควรมาก่อนส่วนตน และยินดีกบั ความสาเร็จร่วมกนั เพราะความสาเร็จ
ไม่ไดเ้ ป็นของใครคนใดคนหน่ึง หรือเกิดจากคนใดคนหน่ึง แตเ่ ป็นความสาเร็จที่เกิดจากการร่วมมือร่วมแรง
กนั
( แหลง่ ท่มี า https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/190509-team-work )

เป็ นสมาชิกมีบทบาทและมีความรู้สึกร่วมกนั การรักษาบทบาทที่มน่ั คงในแต่ละทีม / กลุ่ม จะมี
ความแตกต่างกนั ตามลกั ษณะของกลุ่ม รวมท้งั ความรู้ความสามารถของสมาชิก โดยจีการจดั แบ่งบทบาท
และหนา้ ท่ี ความรับผดิ ชอบ กระจายงานกนั ตามความรู้ ความสามารถ และความถนดั ของสมาชิก
( แหล่งทมี่ า http://www.local.moi.go.th/team.html )

2.2 รู้และเข้าใจความต้องการของผู้รับบริการ

( แหลง่ ทม่ี า https://www.stou.ac.th/study/sumrit/8-60/page5-8-60.html)

( แหลง่ ท่มี า https://www.posttoday.com/economy/news/598113 )
ความสาคญั ต่อผูร้ ับบริการถึงแมธ้ ุรกิจบริการจะให้ความสาคญั อย่างมากกบั ลกู คา้ หรือผูท้ ีม่ ีอานาจ
ในการตดั สินใจเลือกซ้ือหรือใชบ้ ริการตา่ ง ๆ และพยายามทุกวถิ ที างที่จะสร้างความพงึ พอใจสูงสุดแก่ลูกคา้
ดงั น้ัน จาเป็นท่ีจะตอ้ งเรียนรู้บทบาทและขอบเขตความเป็นไปไดข้ องการใช้บริการที่เหมาะสมดว้ ยความรู้
ความเขา้ ใจเก่ียวกบั การบริการจะช่วยให้ผู้รับบริการเขา้ ใจ กระบวนการบริการและสามารถคาดหวงั การ
บริการทจ่ี ะไดร้ ับอยา่ งมเี หตุผลตามขอ้ จากดั ของ สถานการณ์ทีเ่ กิดข้นึ
1) รับรู้และเข้าใจลักษณะของงานบริการว่าเป็ นงานหนักท่ีจะต้องพบกับคนจานวนมากและ
ตอบสนองความตอ้ งการท่ีหลากหลายของผูร้ ับบริการอยู่ตลอดเวลา อนั ส่งผลให้การบริการบางคร้ังอาจไม่
รวดเร็วทนั กบั ความตอ้ งการของผูร้ บั บริการทกุ คนในเวลาเดียวกนั ได้ ซ่ึงผรู้ ับบริการจาเป็นตอ้ งคาดหวงั การ
บริการในระดบั ที่มีความเป็นไปไดต้ ามลกั ษณะของงานบริการตา่ ง ๆ

2) ตระหนักถึงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของผูร้ ับบริการผูท้ ่ีแสดงเจตนาในการรับบริการ ควรมี
มารยาทท่ีดีและใชค้ าพูดที่ชัดเจนเขา้ ใจง่ายในการระบุความตอ้ งการการบริการเม่ือผูใ้ ห้บริการ เขา้ ใจและ
เสนอการบริการทีถ่ ูกใจผรู้ ับบริการกจ็ ะทาให้เกิดความรู้สึกและทศั นคตทิ มี่ ตี ่อการบริการ
( แหลง่ ทมี่ า https://www.spvc.ac.th/news/Chapter1-Service.pdf )

2.3 สื่อสารและประสาน ประโยชน์กับสมาชิกในทมี อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

( แหล่งทีม่ า https://th.jobsdb.com/th-th/articles )
ระบบการทางานตอ้ งแบ่งหนา้ ที่ชดั เจนไม่ทบั ซ้อน : การทางานที่มีประสิทธิภาพน้นั ไม่ควรจะทา
หน้าที่ทบั ซ้อนกนั แต่ละคนควรมีหนา้ ทีช่ ดั เจนของตวั เอง มีภาระกิจของตวั เอง เพ่ือให้ทุกคนทาหน้าที่ให้ดี
ทีส่ ุดในการบรรลเุ ป้าหมาย
กตกิ าตอ้ งยตุ ิธรรมกบั ทุกฝ่าย และเห็นพอ้ งตอ้ งกนั : กติกาในการทางานทุกฝ่ายควรเห็นพอ้ งตอ้ งกนั
เพ่ือยึดถือและปฏิบัติในกรอบเดียวกนั ท่ีสาคญั กติกาน้ีต้องยุติธรรมสาหรับทุกฝ่ าย ไม่เอาเปรียบฝ่ ายใด

จนเกินไป ไมเ่ อ้ือประโยชนต์ ่อฝ่ายไดจ้ นเกินพอดี หรือไมเ่ อนเอียงเขา้ ขา้ งผทู้ ่ีมอี านาจอย่เู หนือกว่า ถา้ ทุกคน
ไมเ่ คารพกตกิ า หรือกตกิ าไม่เป็นธรรม การทางานก็จะเริ่มแยต่ ้งั แตเ่ ริ่มตน้
( แหล่งท่มี า https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/190509-team-work )

2.4 มีทกั ษะในการสร้างความสัมพนั ธ์กบั สมาชิกในทมี

( แหลง่ ทีม่ า http://oknation.nationtv.tv/blog/uptraining/2013/05/02/entry-1 )

หลกั หน่ึงในการทางานระบบทีมท่ีทุกคนจะตอ้ งยึดถอื ร่วมกนั ให้ดีก็คือการสร้างความสัมพนั ธ์ท่ดี ี
ระหว่างกนั ท้งั ในระดบั บุคคลไปจนถึงระดบั แผนกและองค์กร เพราะหากความสัมพนั ธ์แย่น้นั ย่อมส่งผล
กระทบโดยตรงต่อการทางานระบบทีมแน่นอน การเชื่อมสัมพนั ธ์ท่ีดีจึงเป็ นส่ิงจาเป็น และเม่ือทุกคนเช่ือม
สัมพนั ธก์ นั อยา่ งสม่าเสมอแลว้ ก็ยอ่ มสร้างความสมั พนั ธท์ ดี่ ี ทาให้องคก์ รมีสภาพแวดลอ้ มในการทางานและ
บรรยากาศในการปฏิบตั ิงานท่ีดี องคก์ รที่มีความสัมพนั ธ์ท่ีดีย่อมมีพลงั ในการทางานที่ดี นัน่ ทาให้องค์กร
บรรลเุ ป้าหมายไดง้ ่ายข้นึ ดว้ ย
( แหลง่ ที่มา https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/190509-team-work )

2.5 สามารถแลกเปล่ียนเรียนรู้จากสมาชิกในทีม

( แหลง่ ท่มี า https://www.gotoknow.org/posts/587697 )
การทางานระบบทีมที่ดีตอ้ งมีการปฏิสัมพนั ธ์เกี่ยวเนื่องกนั พูดคุย ปรึกษา ช่วยเหลือ สื่อสารการ
ทางานระหว่างกนั หากการทางานระบบทีมเป็นแบบทาใครทามนั ไม่มีการปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างกนั นัน่ ไม่
เรียกว่าการทางานเป็นทมี และกอ่ ให้เกิดผลเสียหายไดง้ ่าย
( แหลง่ ท่มี า https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/190509-team-work )

สร้างทมี งาน (Team Work) ให้มศี ักยภาพ

เพ่ือการทางานระบบทมี (Teamwork) ทมี่ ปี ระสิทธิภาพ

ประเดน็ น่าสนใจ
หวั ใจสาคญั ของการทางานระบบทีม

•มีเปา้ หมายเดยี วกนั มงุ่ มนั่ ร่วมแรงร่วมใจบรรลเุ ปา้ หมายใหไ้ ด้
•มรี ะบบการทางานที่ชดั เจน ทกุ คนรู้หนา้ ทป่ี ฎิบัติภาระกจิ ให้ดีท่ีสดุ
•สามคั คี ใหค้ วามรว่ มมอื ชว่ ยเหลือเกอื้ กลู ผลกั ดนั กนั และกัน
•ช่ืนชมความสาเรจ็ รว่ มกนั ร่วมภาคภูมิใจดว้ ยกัน

หวั ขอ้

1.การทางานทีเ่ ปน็ ระบบทมี คืออะไร
2.องคป์ ระกอบของทมี งาน (Team Work Structure)
3.คุณลกั ษณะสาคญั ของทีมงานและการทางานระบบทมี
4.ประโยชน์ของการพฒั นาทีมงานให้มีประสิทธภิ าพ
5.บทสรปุ

โดย สำนกั งำนสรรพสำมิตพ้ืนทีส่ ระแกว้
วันที่ 5 กุมภำพันธ์ 2564 ณ ห้องประชุมสำนกั งำนสรรพสำมติ พืน้ ท่ีสระแก้ว

-2-

การรว่ มแรงรว่ มใจกนั กอ่ ใหเ้ กิดพลังทจ่ี ะก้าวไปสคู่ วามสาเรจ็ ไดด้ กี วา่ การแยกกันทาแบบสะเปะสะปะไรท้ ิศทาง
นัน่ เลยทาให้หลายองคก์ รหนั มาใหค้ วามสาคญั กบั การทางานระบบทีมเพ่มิ มากขน้ึ เรอื่ ย ๆ รวมถึงมุ่งมนั่ ฝกึ ฝน
และพฒั นาทักษะการทางานเปน็ ทมี อย่างเปน็ จริงเปน็ จงั เพอื่ ให้กอ่ ประโยชนส์ งู สดุ แก่องค์กรในทีส่ ดุ

-3-

1.การทางานท่ีเป็ นระบบทีมคืออะไร

การทางานเปน็ ทมี นนั้ หมายถึงการทางานรว่ มกันของสมาชกิ หรือพนักงานในองคก์ รมากกวา่ 1 คนขน้ึ ไป โดย
หัวใจสาคญั กค็ อื ทุกคนนน้ั จะต้องมเี ปา้ หมายเดียวกนั และเตม็ ใจร่วมกันปฎบิ ตั ิภาระกิจตา่ งๆ เพื่อให้บรรลุ
เป้าหมายจนไปสู่ความสาเรจ็ แต่การที่ทุกคนจะรวมตวั กันเพอ่ื ทางานเปน็ ระบบทมี ทม่ี ีประสิทธภิ าพนนั้ กไ็ มใ่ ช่
เร่ืองงา่ ยเสียทีเดียว เพราะการทางานระบบน้ีมปี ัจจัยสาคัญมากมายทต่ี อ้ งใส่ใจและจริงจัง แต่ก็ไม่ใช่เรือ่ งยาก
จนเกนิ ไปหากทกุ คนมีใจท่ีจะทาความสาเร็จร่วมกัน

Team VS Group

คาสองคานด้ี ูผิวเผินแล้วมีลกั ษณะคลา้ ยกัน แต่หากลงรายละเอียดแลว้ สองคานม้ี ลี กั ษณะตา่ งกนั โดยเฉพาะการ
นิยามความหมายกบั การทางานในระบบองคก์ รทหี่ ลายคนอาจไมเ่ ข้าใจอย่างลกึ ซงึ้ และเกดิ การตคี วามไปส่กู าร
ปฎบิ ัติทไี่ ม่ถกู ตอ้ งนกั น่นั อาจทาให้ไมเ่ กิดประสิทธิภาพในการทางานก็เปน็ ได้

-4-

•การทางานแบบกลมุ่ (Group) : ก็คอื การทางานทม่ี ีสมาชกิ มากกวา่ 1 คน มารวมตัวทางานร่วมกนั อาจมกี าร
วางระบบการทางานหรือไมม่ กี ไ็ ด้ แตม่ ักมวี ัตถปุ ระสงคเ์ ดยี วกนั และมักไมม่ ที ิศทางชัดเจน โดยทกุ คนสามารถ
ขับเคลอื่ นงานของตนได้อยา่ งอสิ ระ

•การทางานระบบทมี (Team) : กค็ อื การทางานท่ีมีสมาชกิ มากกวา่ 1 คน มารวมตวั ทางานรว่ มกนั แตห่ ัวใจ
สาคัญกค็ ือจะตอ้ งมกี ารกาหนดเปา้ หมายรว่ มกนั อย่างชดั เจน มกี ารวางแผนงานตลอดจนวางระบบการทางานทด่ี ี
ทกุ คนร้ภู าระหนา้ ทข่ี องตนเอง มแี รงผลักดันรว่ มกนั ม่งุ ม่ันท่ีจะทาภาระกิจใหส้ าเรจ็ เพอื่ บรรลุเปา้ หมาย มีการ
ร่วมมือกนั ชว่ ยเหลือกนั สง่ เสริมกนั ตลอดจนมกี ารประเมนิ ผล แกไ้ ขปญั หา อดุ รอยรว่ั เพอื่ ทาให้การทางาน
ผดิ พลาดน้อยทสี่ ดุ ทา้ ยทสี่ ดุ แลว้ ทกุ คนทาเพ่อื ผลสาเรจ็ เดยี วกันทเ่ี ปน็ ภาพรวมของทีม

อยา่ งไรกด็ กี ารทางานของสองระบบนีก้ ็เปน็ สิง่ ดีท้งั คู่ เพยี งแตว่ ่ามีประสทิ ธภิ าพต่างกัน ทส่ี าคัญการทางานแบบ
กลมุ่ นน้ั เปน็ พืน้ ฐานเริ่มตน้ ทด่ี ีของการทางานระบบทมี ดว้ ย หากองคก์ รเข้าใจการทางานในระบบทมี ไดด้ ียิ่งขึน้
ก็อาจพฒั นาศกั ยภาพของพนักงานให้ทางานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพมากขนึ้ ได้เชน่ กนั

นอกจากคาวา่ Team กบั Group แลว้ ยงั มีภาษาอังกฤษอกี 2 คาทม่ี ลี ักษณะคลา้ ยกัน แตก่ ็แตกต่างกนั ใน
รายละเอียดเล็กน้อย อนั ท่จี ริงแลว้ ทุกคานนั้ เกยี่ วโยงกนั และมคี วามสมั พันธร์ ว่ มกันทีเ่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การ
ทางานระบบทมี คาน้นั ก็คอื Team Work กบั Teamwork นั่นเอง

ทมี งาน (Team Work) : หมายถงึ กลุ่มบคุ คลท่ีมคี วามมงุ่ มั่นในการทางานเปน็ ระบบทมี คาน้จี ะมุง่ เน้นไปยงั
ทรัพยากรบคุ คลมากกว่า ซงึ่ นีค่ ือฟนั เฟืองสาคญั ของการทางานระบบทมี เลยทเี ดียว หากทีมงานประกอบไปดว้ ย
บคุ ลากรท่ีไมด่ ี ระบบทมี ก็อาจพังไดเ้ ชน่ กัน ในทางตรงกนั ขา้ มหากบุคลากรเกิดการรวมตวั เปน็ ทมี งานทท่ี างาน
อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ นน่ั ยอ่ มทาใหอ้ งค์กรประสบความสาเรจ็ อยา่ งยิ่ง องคก์ รในยุคนจ้ี ึงให้ความสาคญั กับการ
ทางานแบบทีมเป็นอย่างมาก และการท่จี ะพัฒนาทมี งานทดี่ ไี ดน้ ั้นจะตอ้ งมกี ารวางแผนการสรา้ งทีม (Team
Building) ให้ดีและมีประสทิ ธิภาพดว้ ย เพื่อให้การทางานระบบทมี ยอดเยี่ยมที่สดุ

การทางานระบบทีม (Teamwork) : หมายถงึ การทางานแบบรว่ มแรงรว่ มใจกนั ในระบบทมี คานีจ้ ะมุ่งเนน้ ไปยัง
ระบบตลอดจนกระบวนการทางานมากกว่าทจี่ ะพูดถึงในส่วนของบคุ คล ซ่ึงการทางานระบบทมี นน้ี อกจากการ
รว่ มมอื กนั แลว้ ส่งิ สาคญั ของการทางานระบบทมี กค็ ือการวางเปา้ หมายร่วมกนั และรว่ มแรงเพือ่ ใหบ้ รรลุ
เปา้ หมาย อย่างไรการทางานระบบทีมทด่ี นี ั้นกต็ อ้ งอาศยั ทีมงานทดี่ ดี ้วย ทงั้ สองสงิ่ น้เี ก่ยี วเน่ืองกนั และก่อใหเ้ กดิ
ความสาเร็จไดใ้ นท่ีสดุ

-5-

2) องคป์ ระกอบของทีมงาน (Team Work Structure)

ทีมงานจะเป็นรปู เปน็ รา่ งขนึ้ มาได้ควรจะประกอบไปดว้ ยองค์ประกอบตา่ งๆ เหล่าน้ี
1.ผู้นาทมี
2.สมาชกิ ทมี
3.ระบบการทางานและกตกิ า
1.ผนู้ าทมี
ผู้นาทีมเปรยี บเสมือนกัปตนั เรอื ที่จะคอยควบคมุ ดแู ลใหเ้ รือขบั เคล่อื นอยา่ งถูกทศิ ทางและพ่งุ ตรงไปสู่เป้าหมาย
ให้ได้ ผู้นาทมี ทดี่ ีนั้นต้องไม่ใช่เพียงผู้สั่งการเพยี งอยา่ งเดยี ว แตต่ อ้ งรจู้ ักการบรหิ ารงานและบริหารบคุ คลซง่ึ เปน็
สมาชกิ ในทมี ใหด้ ดี ว้ ย โดยผนู้ าทีด่ มี คี ณุ สมบัติสาคญั มากมายดงั นี้
•เปน็ คนมวี สิ ยั ทศั น์ : ผนู้ าทด่ี ีควรมองกาลไกล มวี สิ ยั ทศั น์ สามารถมองไปข้างหน้า เข้าใจทศิ ทาง และรู้จกั วธิ ี
ขบั เคลอ่ื นไปสูเ่ ปา้ หมายได้เป็นอยา่ งดีที่สดุ ผนู้ าที่ไม่มวี สิ ัยทัศน์กเ็ หมือนกบั กปั ตันเรอื ที่ไมร่ วู้ า่ จะเดนิ หนา้ ไปทาง
ไหนเพอ่ื อะไร บางทอี าจทาให้การขับเคล่อื นองคก์ รเสมอื นพายเรือวนอยใู่ นอ่างได้

-6-

•เปน็ คนทมี่ คี วามคดิ รเิ ริม่ ทดี่ ี : ผู้นาทดี่ คี วรเปน็ คนท่ีหมน่ั คิดรเิ ร่ิมอะไรใหมๆ่ อยเู่ สมอ หาวิธกี ารตลอดจน
กระบวนการใหมๆ่ พฒั นาตวั เองอยเู่ สมอ และต้องร้จู กั จดุ ประกายอะไรใหมๆ่ ใหก้ ับทมี ดว้ ย

•เปน็ ผู้ท่วี างแผนไดด้ ี อดุ รูรวั่ ไดเ้ ก่ง : เมอื่ ผนู้ ามีทศิ ทางการทางานที่ชดั เจนแลว้ ยอ่ มตอ้ งวางแผนการทางานไดด้ ี
รวมถึงแบง่ งาน จดั การหนา้ ที่ บรหิ ารการทางานสมาชกิ ในทมี ให้ดไี ดด้ ว้ ย เพือ่ การทางานทมี่ ีประสิทธภิ าพมาก
ท่ีสดุ และยามทเ่ี กดิ รรู ่ัว ผู้นาตอ้ งเหน็ กอ่ น และสามารถหาวธิ ีตลอดจนแนะนาการแก้ไขไดร้ วดเรว็ และทนั ทว่ งที
ไดด้ ว้ ย

•เป็นคนทมี่ วี นิ ยั และความรบั ผดิ ชอบ : ผู้นาท่ีดตี อ้ งทางานอยา่ งมีความรบั ผิดชอบ มวี นิ ยั และควบคมุ การ
ปฎิบัติงานใหเ้ ปน็ ไปตามที่ได้วางแผนไว้ใหด้ ีทีส่ ดุ หากผนู้ าขาดความรบั ผดิ ชอบแลว้ ไมท่ างานตามแผน
การทางานระบบทมี กก็ ่อใหเ้ กิดผลเสียหายได้

•มีทกั ษะในการสร้างแรงจงู ใจและสรา้ งความเช่อื มน่ั ทดี่ ี : ยามเกดิ ปัญหา หรอื องคก์ รเคลือ่ นทีช่ ้าจากอุปสรรค์
ใดๆ กต็ าม ผนู้ าทด่ี คี วรควบคุมสถานการณ์ได้ ขณะเดยี วกนั กค็ วรสรา้ งแรงจงู ใจส่งเสริมการทางานระบบทีมใหม้ ี
พลงั ในการกา้ วตอ่ ไปได้ รวมถึงสรา้ งความเชื่อมน่ั ให้กบั ทกุ คนในทมี ได้ เปน็ จดุ ศนู ย์รวมของทมี ท่ที กุ คนไวใ้ ช้
และพรอ้ มจะกา้ วไปดว้ ยกนั

•เปน็ นกั สอ่ื สารที่ยอดเยย่ี ม และเป็นผ้ฟู งั ทดี่ ี : การสอื่ สารท่ีดีจะทาใหก้ ารทางานระบบทีมราบรนื่ และทาให้
องค์กรก้าวหนา้ ได้ไว การส่อื สารกับคนในทมี ที่ดนี ้ันยอ่ มสรา้ งความไวเ้ นอ้ื เชอื่ ใจไดด้ ดี ้วย ขณะเดียวกันผนู้ า้ กต็ ้อง
รู้จกั การเปน็ ผู้ฟังทดี่ ี รบั ฟงั ความคดิ เห็นของสมาชกิ ในทมี ทกุ คนอยา่ งเทา่ เทยี ม และแก้ไขปญั หาไดอ้ ย่างถกู จุด

•เปน็ นกั คิดวเิ คราะหท์ ด่ี ี และมีทักษะในการตดั สินใจทเ่ี ฉียบแหลม : คณุ ลกั ษณะสาคญั อีกอยา่ งของผนู้ าทีด่ คี ือ
การต้องเป็นคนทต่ี ดั สนิ ใจไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและเหมาะสม กลา้ ตดั สินใจ ตดั สนิ ใจได้อยา่ งรวดเร็ว และรอบคอบ
ซง่ึ การท่จี ะทาอย่างน้นั ไดน้ นั้ ก็ย่อมตอ้ งเป็นผทู้ ่วี ิเคราะหเ์ ร่ืองราวตา่ งๆ ได้ดดี ว้ ย มที กั ษะในการเสพขอ้ มูล
และประมวลผลอยา่ งละเอียดรอบคอบ แตก่ ไ็ มเ่ ชอื่ งช้าจนเกนิ ไป

2.สมาชกิ ทีม

เม่ือมีผนู้ าทดี่ ีแลว้ หากขาดผตู้ ามทด่ี ีการทางานในระบบทีมนนั้ กไ็ ร้ค่า การทผ่ี นู้ าไดผ้ ู้ตามทรี่ ่วมแรงรว่ มใจทางาน
อย่างดนี นั้ ก็ทาให้การทางานมปี ระสทิ ธภิ าพ และทาให้องค์กรประสบความสาเร็จในทส่ี ุด สมาชกิ ในทมี ทุกคนจึงมี
สว่ นสาคัญอย่างยิง่ ในระบบการทางานเป็นทมี ซง่ึ คณุ ลกั ษณะสาคญั มดี งั นี้

•เป็นคนทร่ี ับผดิ ชอบในการทางาน : สมาชกิ ทเ่ี ป็นผตู้ ามท่ดี หี ากมคี วามรบั ผดิ ชอบในการทางานตามหนา้ ทีแ่ ละ
ภาระกจิ ทไี่ ดร้ บั มอบหมายได้เปน็ อย่างดแี ลว้ น่ันยอ่ มทาให้แผนที่วางไว้มโี อกาสประสบความสาเร็จสงู ตามไปดว้ ย
และเมือ่ สมาชิกไมม่ คี วามรบั ผิดชอบ งานกจ็ ะเสีย ระบบงานกจ็ ะล่ม องคก์ รกจ็ ะพงั ทลายได้

-7-

•เคารพกฎและกตกิ ารว่ มกนั : กฎและกติกาตา่ งๆ จาเปน็ ตอ่ การทางานในระบบทมี มาก เพราะทกุ คนไมไ่ ด้
ทางานคนเดยี ว และทกุ คนมลี ักษณะนสิ ัยทีแ่ ตกต่างกัน แต่สงิ่ ที่จะทาให้ทกุ คนอยรู่ ว่ มกนั ไดก้ ค็ อื การเคารพและ
ยอมรับปฎบิ ัตติ ามในกฎระเบียบเดียวกนั เพ่อื ใหเ้ กดิ ปญั หาในการทางานนอ้ ยทสี่ ดุ และทุกคนอยู่ภายใต้กรอบท่ี
ยตุ ธิ รรมกบั ทกุ ฝ่าย

•ให้ความรว่ มมือกนั อยา่ งเตม็ ที่ : อยา่ งท่ีกลา่ วไปวา่ ระบบการเปน็ ทมี นนั้ ก็คอื การทางานรว่ มกนั หากไมเ่ กดิ ความ
ร่วมมอื กนั กย็ ่อมทาให้การทางานเกดิ ปัญหาได้ เม่อื ไม่มคี วามร่วมมอื กนั ระบบการทางานเปน็ ทมี ก็จะพงั ทุกอย่าง
กเ็ กดิ ผลเสียตามมา

•ยอมรบั ความแตกต่าง เปดิ ใจรบั ความคดิ เหน็ ใหมๆ่ : บนโลกนไ้ี ม่มีใครทเี่ หมอื นกนั และมคี วามคดิ เหน็ ตรงกนั ไป
เสียทุกเร่ือง การเหน็ ต่างกันนัน้ ไมใ่ ชส่ ิ่งท่ีผดิ แตส่ ง่ิ ทคี่ วรทากค็ อื การยอมรบั ความคดิ เห็นทแ่ี ตกตา่ งกนั ไมใ่ ช่ความ
คิดเหน็ ฝา่ ยหนง่ึ ตอ้ งถกู เสมอ และอกี ฝา่ ยตอ้ งผดิ เสมอ ตรงกันข้ามความคดิ เหน็ แตล่ ะความคดิ เหน็ นน้ั ตา่ งกด็ ี
ทกุ อย่าง เพียงแต่เหมาะกันคนละสถานการณเ์ ท่าน้นั การไม่ยอมรบั ความคดิ เหน็ ของคนอน่ื น้นั กส็ ร้างปัญหาใน
การทางานระบบทีมไดเ้ ชน่ กนั

•คดิ ถึงประโยชน์สว่ นรวมมากกว่าประโยชนส์ ่วนตน : การทางานระบบทมี คอื การยดึ ถอื เอาประโยชนส์ ว่ นรวม
เป็นหลกั องค์กรควรมากอ่ นสว่ นตน และยนิ ดีกับความสาเร็จรว่ มกนั เพราะความสาเร็จไมไ่ ดเ้ ปน็ ของใครคนใด
คนหน่ึง หรอื เกดิ จากคนใดคนหนง่ึ แตเ่ ปน็ ความสาเรจ็ ทเ่ี กิดจากการรว่ มมอื ร่วมแรงกัน

3.ระบบการทางานและกตกิ า

ส่งิ ทีจ่ ะยดึ โยงใหส้ มาชิกแตล่ ะคนในแตล่ ะบทบาททางานรว่ มกันในระบบทมี ไดก้ ค็ อื เรอ่ื งของระบบการทางาน
แบบทมี และกตกิ าท่ที กุ คนตอ้ งเคารพรว่ มกันนน่ั เอง เพราะนี่คอื กรอบสาคญั ท่จี ะทาให้ทกุ คนทางานได้อยา่ งมี
ประสิทธิภาพเชน่ กนั

•ระบบการทางานตอ้ งแบง่ หน้าท่ชี ดั เจนไม่ทบั ซ้อน:การทางานทมี่ ีประสิทธภิ าพนน้ั ไม่ควรจะทาหนา้ ที่ทบั ซ้อนกนั
แตล่ ะคนควรมหี น้าทช่ี ดั เจนของตวั เอง มภี าระกจิ ของตวั เอง เพ่อื ใหท้ ุกคนทาหนา้ ทใ่ี หด้ ที ีส่ ดุ ในการบรรลุ
เปา้ หมาย

•กตกิ าตอ้ งยตุ ธิ รรมกบั ทุกฝา่ ย และเหน็ พ้องต้องกนั : กตกิ าในการทางานทุกฝา่ ยควรเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั เพ่อื ยดึ ถอื
และปฎบิ ัติในกรอบเดยี วกนั ทีส่ าคญั กติกานต้ี อ้ งยุตธิ รรมสาหรบั ทุกฝ่าย ไม่เอาเปรยี บฝา่ ยใดจนเกนิ ไป ไมเ่ อื้อ
ประโยชนต์ ่อฝา่ ยได้จนเกนิ พอดี หรือไม่เอนเอียงเขา้ ขา้ งผทู้ ม่ี อี านาจอย่เู หนอื กว่า ถา้ ทุกคนไม่เคารพกติกา
หรือกตกิ าไมเ่ ป็นธรรม การทางานก็จะเรม่ิ แย่ตั้งแต่เรม่ิ ตน้

-8-
•ระบบการทางานต้องปฎบิ ตั ิไดง้ า่ ย ไม่เป็นอุปสรรคต์ อ่ การทางาน : หลายองค์กรสร้างระบบการทางานท่ดี แี ละ
ยอดเย่ยี ม แตก่ ลับยากต่อการทางานของคนในองคก์ ร หรอื คดั คนมคี วามสามารถไมพ่ อมาทางาน ต่อให้ระบบดี
เพียงไรก็สง่ ผลใหง้ านไมม่ ปี ระสิทธภิ าพได้ ฉะนั้นระบบการทางานทดี่ คี วรปฎิบตั ติ ามได้งา่ ย ไม่ก่อใหเ้ กดิ ปัญหา
ไม่ทาใหร้ ะบบการทางานสะดดุ หากทางานไดร้ าบรนื่ กย็ ่อมทาใหเ้ กดิ ความสาเรจ็ ไดง้ า่ ยขน้ึ
•สามารถปรับเปลี่ยนไดต้ ามสถานการณ์ทเ่ี หมาะสม : องคก์ รทดี่ ีควรรู้จักทจี่ ะยดื หยนุ่ และปรบั ตวั เองให้ไวตาม
สถานการณ์ ซงึ่ ระบบและกติกาตา่ งๆ กค็ วรจะปรับเปลย่ี นให้เหมาะสมกับสถานการณต์ า่ งๆ ดว้ ย เพือ่ ท่ีจะทาให้
เกิดการทางานท่มี ีประสิทธภิ าพมากท่สี ุด

3) คุณลกั ษณะสาคญั ของทีมงานและการทางานระบบทีม

1.การปฎิสัมพนั ธก์ นั ของคนในทมี
การทางานระบบทมี ทดี่ ตี ้องมีการปฎิสมั พันธเ์ กี่ยวเนอ่ื งกนั พดู คุย ปรึกษาชว่ ยเหลือสอื่ สารการทางานระหวา่ งกนั
หากการทางานระบบทีมเปน็ แบบทาใครทามนั ไม่มีการปฎสิ ัมพนั ธร์ ะหวา่ งกนั นน่ั ไม่เรยี กวา่ การทางานเปน็ ทมี
และกอ่ ให้เกดิ ผลเสยี หายไดง้ า่ ย

-9-

2.มีเปา้ หมายท่ีจะบรรลรุ ่วมกัน

น่ันถอื เปน็ หวั ใจสาคญั ของระบบการทางานเปน็ ทมี เลยกว็ ่าได้ หากการทางานในระบบทมี ถึงแมจ้ ะดเี พียงไรกต็ าม
หากไม่มีเป้าหมายชดั เจน กจ็ ะไมม่ ที ิศทางของการทางานท่ีแนช่ ดั และจะไมม่ กี ารร่วมแรงรว่ มใจกนั ท่ีมพี ลงั
ไม่มแี รงผลกั ดนั ให้ปฎบิ ตั ิภาระกิจหนา้ ทก่ี ารงานให้สาเรจ็ ซงึ่ สง่ิ น้ีที่ทาใหก้ ารทางานแบบทมี ตา่ งจากการทางาน
แบบกลมุ่

3.มโี ครงสร้างและระบบการทางานทชี่ ดั เจน

เมื่อเกดิ การทางานแบบทีมแล้วส่ิงท่ีจะช่วยทาให้การทางานระบบนมี้ ีประสทิ ธภิ าพยง่ิ ขน้ึ กค็ อื การวางโครงสร้าง
ของการทางานตลอดจนหนา้ ทก่ี ารทางานของแต่ละคนใหช้ ัดเจน มภี าระกจิ ทเี่ ขา้ ใจได้ง่าย และปฎิบตั ไิ ดต้ าม
ความสามารถ การวางโครงสร้างน้ันอาจหมายถึงการวางตาแหนง่ การทางานดว้ ย นนั่ รวมถงึ การวางโครงสรา้ ง
อานาจ มีระบบหวั หนา้ ทีมและลูกน้อง เพ่ือการบรหิ ารงานท่ีมปี ระสิทธภิ าพดว้ ย รวมถงึ การเขา้ ใจบทบาทหน้าที่
ของตนเองอย่างดี และเข้าใจบทบาทหนา้ ทข่ี องคนอน่ื ใหท้ มี ใหถ้ ีถ่ ว้ น

เป็นผนู้ าทีน่ า่ เช่ือถือ เป็นผตู้ ามทม่ี วี ินยั

การทางานในระบบทีมทด่ี นี น้ั ควรมผี นู้ าทด่ี ีและผตู้ ามทย่ี อดเยยี่ มไปพร้อมๆ กัน ผู้นาที่ดนี น้ั นอกจากจะมี
ความสามารถในการทางานแลว้ ยังตอ้ งเปน็ ผู้ทีบ่ รหิ ารคนและงานไดเ้ ปน็ อยา่ งดอี กี ดว้ ย คณุ ลกั ษณะสาคญั ทดี่ ีอกี
อยา่ งของการเปน็ ผู้นาก็คือการเปน็ คนทีก่ ล้าตัดสินใจ กลา้ แสดงความคดิ เห็น และตอ้ งมีความเป็นธรรม ซงึ่ หาก
ผู้นาสร้างความน่าเชอ่ื ถือใหผ้ ตู้ ามได้ ผตู้ ามก็จะเกดิ การไวใ้ จและใหค้ วามรว่ มมือทีด่ ี ในขณะเดียวกันผตู้ ามทดี่ นี ัน้
ไมใ่ ชท่ างานดีเพียงอย่างเดียว แต่ผตู้ ามควรมวี นิ ัยท่ีดี ทางานตามทไี่ ดร้ ับมอบหมายใหเ้ สรจ็ ทนั ตามกาหนดเวลา
รับผิดชอบงานในหนา้ ทีข่ องตัวเองใหด้ ที สี่ ดุ และใหค้ วามชว่ ยเหลอื คนอื่นไดด้ ว้ ย การมวี นิ ยั ท่ีดี ปฎบิ ตั ติ ามแผนท่ี
วางไว้อย่างเคร่งครัด เมือ่ ทกุ คนทาไดม้ ปี ระสิทธภิ าพกย็ ่อมทาให้ทีมมีประสิทธภิ าพในที่สุด

4.มีความร้สู ึกรว่ มกนั และมที ศั นคติในทิศทางเดยี วกัน

สง่ิ สาคญั อย่างยงิ่ อกี อยา่ งของการทางานเปน็ ทีมกค็ อื ทกุ คนในทมี ตอ้ งมคี วามร้สู กึ รว่ ม ม่งุ มน่ั ทจี่ ะทางานรว่ มกนั
ตลอดจนมีทศั นคตใิ นการทางานไปในทางเดียวกนั หากทีมทีม่ ีทัศนคตสิ วนทางกัน หรอื ไม่มคี วามรสู้ ึกรว่ มกนั
ก็ยอ่ มเหมอื นเรอื ที่ฝีพายพายอยา่ งสะเปะสะปะ ไม่พรอ้ มเพรยี ง พายแบบตวั ใครตวั มนั หรอื คนนึงพายไป
ข้างหนา้ อกี คนพายถอยหลงั อีกคนขเ้ี กยี จและไมพ่ ายเลย เรอื กย็ อ่ มไม่พ่งุ ไปขา้ งหน้าแนน่ อน ท่สี าคญั ความรสู้ กึ
รว่ มและทศั นติในทศิ ทางเดยี วกนั นนั้ กอ่ ให้เกดิ ความสามัคคีได้งา่ ยอีกด้วย

-10-
5.เปดิ เผย ตรงไปตรงมา จรงิ ใจต่อกนั และไว้เนือ้ เชอ่ื ใจ
การเปิดใจกนั เปน็ สว่ นสาคญั ของการทางานระบบทมี เชน่ กัน เพราะการทางานระบบทมี น้นั วดั ความสาเรจ็ ทอ่ี งค์
รวม ฉะนนั้ ทกุ คนจึงควรเปดิ ใจกนั ยอมรบั กนั พดู กันอย่างตรงไปตรงมาไมอ่ อ้ มคอ้ ม ทางานแบบชว่ ยเหลอื กัน
แทนท่จี ะแข่งขนั กนั ไวเ้ นื้อเชอ่ื ใจกัน ไม่ปิดบงั ข้อมูลกนั หากแตล่ ะคนเหน็ แกต่ วั เอาแตป่ ระโยชน์สว่ นตน
ไมร่ ว่ มมอื รว่ มแรง ไมเ่ ปดิ เผยขอ้ มลู ตอ่ กัน กนั ใหอ้ ีกฝา่ ยไมไ่ ด้ประโยชนท์ ี่เหนือกวา่ ตน ความไม่จรงิ ใจต่อกันนี้ยอ่ ม
ทาให้ระบบทมี ลม่ สลายได้เชน่ กัน

4)ประโยชน์ของการพฒั นาทีมงานใหม้ ีประสิทธิภาพ

1.สร้างกาลังใจในการทางานใหก้ บั สมาชกิ ตลอดจนองคก์ ร
เม่อื การทางานระบบทมี สามารถบรรลุความสาเร็จได้ ยอ่ มเกดิ ความภาคภมู ใิ จกลบั มาต่อองคก์ รและสมาชกิ ทกุ
คน สง่ิ น้จี ะชว่ ยสรา้ งกาลงั ใจในการทางานใหท้ างานไดด้ ีเพ่มิ ขน้ึ เรอื่ ย ๆ ก่อใหเ้ กดิ ขวัญและกาลงั ใจในการทางาน
ทาใหก้ ารทางานมปี ระสิทธภิ าพอย่างต่อเนอ่ื ง และกอ่ ให้เกดิ ผลสาเร็จอยู่เร่ือย ๆ
2.สรา้ งความมน่ั คงในอาชพี
เมอ่ื การทางานระบบทีมทาใหอ้ งคก์ รมปี ระสิทธิภาพเพ่มิ มากขนึ้ แนน่ อนวา่ ย่อมก่อให้เกดิ ผลสาเร็จกบั องคก์ รได้
อยา่ งงดงาม ผลประกอบการดี องคก์ รมกี าไร และผลประโยชนจ์ ะตอบกลบั มาท่พี นกั งานด้วย และเมอื่ พนกั งาน
ทางานระบบทมี ไดด้ ี องคก์ รก็ต้องยอ่ มอยากรกั ษาทมี งานไว้ นนั่ ส่งผลใหเ้ กดิ ความมน่ั คงในการทางานในระยะ
ยาวไดใ้ นทส่ี ดุ เชน่ กัน

-11-

3.สร้างระบบการทางานทด่ี ี

การทางานระบบทมี ทมี่ ปี ระสิทธภิ าพนัน้ เกดิ จากการวางแผนและระบบงานทดี่ ี ซงึ่ ทาใหก้ ารทางานราบรนื่
กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาน้อยทส่ี ดุ หากการทางานระบบทมี แข็งแกรง่ การทางานขององคก์ รในภาพรวมก็จะยิง่ สะดวก
ไม่ตดิ ขดั ไมก่ อ่ ให้เกดิ ขอ้ ผิดพลาด หรอื หากเกิดข้อผดิ พลาดกจ็ ะแกไ้ ขไดเ้ ร็ว ทาใหร้ ะบบการทางานในองค์รวม
เป็นไปดว้ ยดแี ละมปี ระสทิ ธภิ าพเพม่ิ มากขน้ึ เรอื่ ยๆ

4.สรา้ งความสมั พนั ธ์ทดี่ ีของการทางานและสมาชกิ ในทมี

หลกั หนึ่งในการทางานระบบทีมท่ีทกุ คนจะตอ้ งยึดถอื รว่ มกนั ใหด้ กี ค็ อื การสรา้ งความสัมพนั ธ์ทด่ี รี ะหวา่ งกนั ทัง้ ใน
ระดบั บุคคลไปจนถึงระดบั แผนกและองคก์ ร เพราะหากความสมั พันธแ์ ยน่ นั้ ย่อมสง่ ผลกระทบโดยตรงตอ่ การ
ทางานระบบทีมแนน่ อน การเช่ือมสมั พนั ธ์ทด่ี ีจงึ เป็นสิ่งจาเปน็ และเมอื่ ทกุ คนเชื่อมสัมพนั ธ์กนั อย่างสม่าเสมอ
แลว้ กย็ อ่ มสร้างความสมั พันธท์ ่ดี ี ทาให้องค์กรมีสภาพแวดลอ้ มในการทางานและบรรยากาศในการปฎบิ ตั ิงานทดี่ ี
องคก์ รทีม่ คี วามสมั พนั ธท์ ีด่ ยี ่อมมีพลังในการทางานทด่ี ี นน่ั ทาให้องคก์ รบรรลเุ ปา้ หมายไดง้ า่ ยขน้ึ ดว้ ย

5.ทาใหอ้ งคก์ รและบคุ ลากรเกิดการพฒั นาตลอดเวลา

องค์กรท่ดี นี ัน้ ยอ่ มไมห่ ยดุ พฒั นา และหากระบบการทางานทด่ี ีทาใหอ้ งค์กรสาเรจ็ แล้ว พนักงานในองคก์ รทกุ คน
ย่อมอยากทีจ่ ะพฒั นาตวั เองมากขนึ้ เรอื่ ยๆ เพ่อื ทจี่ ะใหบ้ รรลุผลสาเรจ็ ตอ่ ไป นนั่ ทาให้องคก์ รจะพฒั นาตวั เองอยู่
เสมอ พนกั งานทุกคนมงุ่ ม่ันทจี่ ะพัฒนาตวั เองให้ดขี นึ้ เรอื่ ยๆ องค์กรกจ็ ะเตบิ โตไปเรอ่ื ยๆ อย่างยอดเย่ยี ม

-12-

5)บทสรุป

การทางานแบบระบบทมี (Teamwork) ทด่ี ีได้นน้ั ยอ่ มเกดิ จากทมี งาน (Team Work) ทดี่ ี ซง่ึ ทมี งานทท่ี างาน
ระบบทมี ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพยอ่ มทาใหอ้ งคก์ รมปี ระสิทธิผลและเกดิ ความสาเร็จ บรรลเุ ป้าหมายทวี่ างไวไ้ ด้
องค์กรทีท่ างานไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพกย็ อ่ มสร้างผลสาเรจ็ ไดอ้ ย่างยอดเย่ยี มเชน่ กนั และนั่นก่อใหเ้ กดิ การพฒั นา
องค์กรตลอดจนบุคลากรท่ีจะก้าวหนา้ ตอ่ ไปเรือ่ ยๆ อยา่ งไมม่ ที ่ีสิน้ สดุ
ท่ีมา https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/190509-team-work/
Writer Tada Ratchagit (folk)

-ขอบคณุ คะ-

แบบทดสอบ
กำรจัดกำรองคค์ วำมรขู้ องหน่วยงำน

เร่อื ง สร้ำงทีมงำน ให้มศี ักยภำพเพอื่ กำรทำงำนระบบทีม (Teamwork) ท่มี ปี ระสิทธิภำพ
สำนักงำนสรรพสำมติ พื้นทส่ี ระแก้ว

คำสัง่ -จงทำเครือ่ งหมำย / หนำ้ ขอ้ ท่ีถูกตอ้ ง และทำเคร่ืองหมำน X หนำ้ ข้อท่ไี มถ่ กู ตอ้ ง
-แบบทดสอบมีจำนวน 10 ขอ้

................ 1. การทางานเปน็ ทมี นนั้ หมายถงึ การทางานร่วมกันของสมาชิกหรือพนกั งานในองค์กรมากกวา่ 1 คน
ข้นึ ไป

................ 2. ผนู้ าทีมเปรยี บเสมือนกัปตันเรอื ทจี่ ะคอยควบคุมดแู ลใหเ้ รอื ขบั เคลอ่ื นอยา่ งถูกทศิ ทางและพุ่งตรง
ไปสเู่ ปา้ หมายให้ได้

................ 3. ผนู้ าท่ดี ตี อ้ งทางานอยา่ งมคี วามรับผดิ ชอบ มวี ินัย และควบคมุ การปฎบิ ัตงิ านให้เป็นไปตามทไ่ี ด้
วางแผนไวใ้ หด้ ที ีส่ ดุ

................ 4. ผนู้ าทดี่ ตี อ้ งขาดความรับผดิ ชอบ ไมท่ างานตามแผน การทางานระบบทีมก็จะทาใหเ้ กิดผลดี
................ 5. กฎและกติกาตา่ ง ๆ จาเปน็ ตอ่ การทางานในระบบทมี มาก
................ 6. ระบบการเปน็ ทีมนน้ั กค็ ือการทางานคนเดียว เพราะทาใหก้ ารทางานไม่เกดิ ปญั หา
................ 7. การทางานทม่ี ีประสทิ ธภิ าพนนั้ ไมค่ วรจะทาหนา้ ทท่ี บั ซ้อนกัน แตล่ ะคนควรมหี นา้ ที่ชดั เจนของ

ตวั เอง มภี าระกิจของตวั เอง เพื่อใหท้ กุ คนทาหนา้ ที่ให้ดที ี่สุดในการบรรลุเปา้ หมาย
................8. องคก์ รทดี่ คี วรรจู้ ักทจี่ ะยดื หยนุ่ และปรบั ตวั เองให้ไวตามสถานการณ์ ซง่ึ ระบบและกตกิ าตา่ งๆ กค็ วร

จะปรบั เปลยี่ นให้เหมาะสมกบั สถานการณ์ตา่ งๆ ด้วย เพอ่ื ท่ีจะทาใหเ้ กดิ การทางานท่ีมปี ระสิทธภิ าพ
มากทีส่ ดุ
................9. ผ้นู าทน่ี า่ เชอ่ื ถอื ตอ้ งเปน็ ผู้ทีไ่ ม่มวี ินัย
................10.การสร้างขวัญและกาลังใจในการทางาน เปน็ สง่ิ จงู ใจทด่ี ใี หแ้ กเ่ จา้ หนา้ ที่ทาใหก้ ารทางานมี
ประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

ชื่อ-นำมสกลุ ............................................................ตำแหนง่ ..................................................................


Click to View FlipBook Version