เอกสารประกอบการตวิ สอบ V-NETปี การศึกษา 2564
องค์ประกอบท่ี3
เรื่อง การปฏบิ ัตติ ามคาสั่ง
การปฏบิ ตั ิตามคาส่ัง ( Following Directions )
- ปฏบิ ตั ติ ามคาสัง่ ของผบู้ งั คบั บญั ชาทีช่ อบดว้ ย กฎหมาย ระเบยี บแบบแผน และขอ้ ปฏบิ ตั ิของผูน้ า
- เคารพในวิจารณญาณของผู้บังคับบัญชา ไม่แสดงอาการก้าวร้าว หากมีปัญหาในเร่ืองใด อาจขอ
ปรึกษาหารือไดด้ ว้ ยการใชก้ ิริยาวาจาอนั สุภาพ
( แหล่งท่ีมา http://www.nsc.go.th/?page_id=40 )
1. รู้ เข้าใจ และสามารถตอบสนองต่อภารกิจหรืองานที่ได้รับมอบหมาย
เขา้ ใจนโยบาย ภารกิจ รวมท้งั กลยุทธ์ขององคก์ รที่รับผิดฃอบ ว่าสัมพนั ธ์เชื่อมโยงกบั ภารกิจของ
หน่วยงานทตี่ นดูแลรับผดิ ชอบอยา่ งไร สามารถวเิ คราะหป์ ัญหา อุปสรรคหรือโอกาสของหน่วยงานได้
( แหลง่ ท่มี า https://www.ubu.ac.th/web/files_up/82f2018101714522714.pdf )
2. สามารถเลอื กวิธีการส่ือสารทเี่ หมาะสมกับภารกิจหรืองานที่ได้รับมอบหมาย
การสื่อสารภายในองค์กรท่ีดี ที่จะช่วยสร้างความเขา้ ใจในนโยบายของผูบ้ ริหาร และเป็ นส่ิงเช่ือม
ความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคลากรในองค์กร และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อองค์กรใน
ทางบวก เพราะนโยบายการบริหารงานการจัดการขององค์กรเป็นส่วนสาคญั และเพื่อให้การดาเนินงาน
บรรลุเป้าหมาย ท่ีวางไว้ การส่ือสารภายในองค์กร จึงเป็นส่ิงจาเป็ นยิ่งสาหรับกิจกรรมและการดาเนินงาน
ต่างๆ ท่ีจะเกิดข้ึนในองคก์ ร ท้งั น้ีหากการส่ือสารภายในองคก์ รดีชัดเจน ก็จะส่งผลให้การปฏิบตั ิงานตาม
นโยบายเป็ นไปในทิศทางเดียวกัน บุคลากรในองค์กรเกิดความพึงพอใจ และเข้าใจนโยบายได้อย่าง
ชัดเจน และส่งผลต่อประสิทธิภาพ ในการทางาน ดังน้ัน กระบวนการทางานขององค์กรเพื่อให้บรรลุ
เป้าหมายจะตอ้ งทาให้การติดตอ่ ส่ือสารระหว่างบุคลากรในฝ่ายต่างๆ ท้งั ภายใน และภายนอกองคก์ รเป็นไป
อย่างคลองตัว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันเกิดความร่ วมมือ และการประสานงานอย่างมี
ประสิทธิภาพ เพ่อื ใหก้ ารทางานขององคก์ รสามารถบรรลุเป้าหมาย และประสบผลสาเร็จดว้ ยดี
ประเภทของการตดิ ตอ่ ส่ือสารท่ใี ชใ้ นองคก์ าร
สื่อหรือช่องทางใช้เพื่อให้ข่าวสารน้นั ไหล หรือผูกหาไปยงั ผูร้ ับน้ัน พอแบ่งออกไดก้ วา้ ง ๆ 3
ประเภทดงั น้ี
1. ประเภทการใชภ้ าษา ไดแ้ ก่ การพูด คาพดู
2. ประเภทไม่ใชภ้ าษา ไดแ้ ก่ สญั ลกั ษณ์ เขียนขอ้ ความ ภาพ และ เครื่องหมายต่าง ๆ
3. ประเภทส่ิงที่อาศยั การแสดง / พฤติกรรม และบรรยากาศ ไดแ้ ก่ บบี มือ ทาสีทาสีหนา้ แดง ท่า
โกรธ ทา่ หัวเราะ เป็นตน้
( แหลง่ ทม่ี า https://sites.google.com/site/darunsitpattanarangsan/sara-na-ru/585 )
3. สามารถต้งั คาถามเมื่อสงสัยในความไม่ชัดเจนของคาส่ังหรืองานที่ได้รับมอบหมาย
ใช้วิธีเผชิญหน้าอย่างเปิ ดเผยตรงไปตรงมาในกรณีที่มีปัญหา หรือมีการปฏิบตั ิท่ีไม่เป็ นไปตาม
มาตรฐาน หรือขดั ต่อกฎหมาย กฎ ระเบียบ ขอ้ บงั คบั ดาเนินการใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายอยา่ งเคร่งครัด
( แหลง่ ที่มา https://www.ubu.ac.th/web/files_up/82f2018101714522714.pdf )
4. สามารถปฏิบัติงานตามคาส่ังหรืองานท่ไี ด้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้นตามกาหนดเวลา
เตม็ ใจปฏิบตั งิ านตามทผี่ ูบ้ งั คบั บญั ชามอบหมายดว้ ยความรวดเร็วและเต็มความสามารถ เพอ่ื ให้งาน
ทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเป็นผลสาเร็จทนั เวลา
( แหลง่ ทีม่ า http://www.nsc.go.th/?page_id=40 )
เอกสารประกอบการตวิ สอบ V-NETปี การศึกษา 2564
องค์ประกอบที่4
เรื่อง การวางแผนและการจดั ตารางเวลาการทางาน
การวางแผนและการจดั ตารางเวลาการทางาน ( Planning, Organization and Scheduling )
เช่ือม้ยั วา่ “เราทกุ คนมี 24 ชว่ั โมงเท่ากนั แตส่ ร้างให้เกิดประสิทธิผลไดต้ ่างกนั ” ทกั ษะในการบริหาร
จดั การเวลาจึงเป็ นสิ่งท่ีสาคัญอนั ดบั ตน้ ๆ ที่เราทุกคนสามารถฝึ กฝนกนั ได้ ซ่ึงจะทาให้เรามีความเป็ นมือ
อาชีพในการเรียน การทางาน แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบในหน้าที่ ช่วยให้มีชีวิตที่ “Work-Life
Balance” มีเวลาพกั ผ่อนมากข้ึนในขณะท่ียงั ดาเนินทุกๆ กิจกรรมไดอ้ ย่างลงตวั รู้ถึงความสาคัญของการ
บริหารเวลากนั แลว้ ไปเร่ิมตน้ ฝึกทกั ษะกนั เลย
( แหล่งทม่ี า https://www.utcc.ac.th )
1. จดั ลาดับความสาคัญของงาน เพอ่ื ดาเนนิ การอย่างมีประสิทธภิ าพตามสภาพความเร่งด่วนของงานทไ่ี ด้รับ
มอบหมาย
( แหลง่ ทม่ี า https://www.entraining.net/article )
1. จดั ลาดบั ความสาคญั เริ่มตน้ จากการ List รายการงานท่ีตอ้ งทา โดยแบ่งงานออกเป็น 4 กลุ่มตาม
หลกั ของ Eisenhower Matrix จากแนวคิดของประธานาธิบดีสหรฐั ฯ ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ที่ไดร้ บั ความนิยม
กนั อยา่ งแพร่หลาย ไดแ้ ก่
1) Urgent and important งานทสี่ าคญั และเร่งดว่ น
2) Urgent but not important เป็นงานทเ่ี ร่งดว่ น แตไ่ ม่สาคญั
3) Important but not urgent เป็นงานทส่ี าคญั แต่ไมเ่ ร่งดว่ น
4) Not important and not urgent เป็นงานที่ไมส่ าคญั และไม่เร่งด่วน
2. จดั Time Boxing การจดั Time Boxing เป็นตวั ช่วยในการตดั สินใจตอ้ งทาอะไรต่อไป เป็นการ
วางแผนการบริหารจดั การเวลาล่วงหนา้ งานแต่ละชิ้นจะอยใู่ นตารางเวลาของวนั เป็นรายสปั ดาห์และตอ้ ง
เผื่อเวลาของแต่ละวนั ไวร้ บั มอื งานด่วนทแี่ ทรกเขา้ ดว้ ย โดยกาหนดเวลาทแ่ี น่นอนในการทางานจะช่วยให้
เกิดสมาธิ ช่วยเพม่ิ โฟกสั ให้กบั ส่ิงท่ีทา อกี ท้งั ยงั ช่วยเร่งให้งานน้นั ๆ เสร็จเร็วย่งิ ข้นึ ดว้ ย
3. แบง่ เวลาเรียน เวลางานและเวลาส่วนตวั การแบง่ เวลาในส่วนน้ีคอื การกาหนด Routine เวลา
ส่วนตวั ใหช้ ดั เจน แมว้ ่าจะเป็นช่วงที่งานรุมเร้ามากแค่ไหน กต็ อ้ งทากิจกรรมส่วนตวั เช่นเดิมใหค้ รบตาม
ความสาคญั มเี ส้นแบ่งระหวา่ งเวลางานกบั เวลาส่วนตวั อยา่ งมกี ระบวนการ รู้ว่าเวลาใดตอ้ งเขา้ สู่การทางาน
ที่ชดั เจน จะช่วยให้ชีวติ เราดีอยา่ งมปี ระสิทธิภาพท้งั งานและเรื่องส่วนตวั
4. ต้งั เป้าหมายให้ชดั เจน การใชช้ ีวิตในแต่ละดา้ น ไมว่ ่าจะเป็น การเรียน การทางาน การทาธุรกิจ
ตอ้ งมกี ารวางแผน หมนั่ ถามตวั เองตลอดวา่ “เราตอ้ งการอะไรในชีวติ ” แลว้ ลองวางแผนท้งั ในระยะส้นั และ
ระยะยาว ประเมินความเป็นไปไดแ้ ละทศิ ทางในการดาเนินชีวิตให้บรรลุวตั ถุประสงค์ ไดแ้ ก่
1) ระบุเป้าหมายอยา่ งชดั เจน (Specific) 2) กาหนดระยะเวลา (Time)
3) ประเมนิ โอกาสทจ่ี ะสาเร็จไดจ้ ริง (Attainable)
4) ความสาคญั และคณุ คา่ ของความสาเร็จน้นั เพอื่ เป็นแรงผลกั ดนั (Value)
5) เกิดประสบการณ์ใดท่ีเป็นประโยชน์กบั ตนเอง (Experience)
5. จดั เวลาพกั เพื่อผอ่ นคลาย การพกั เป็นหน่ึงในเคลด็ ลบั บริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ เพราะการ
ทางานเป็นเวลาตดิ ต่อกนั นานๆ จะทาใหส้ มองและสายตาเกิดอาการเม่อื ยลา้ การพกั ผอ่ นจะทาใหเ้ ราพร้อม
รบั มือกบั โปรเจคใหมๆ่ อยเู่ สมอ แต่การพกั กไ็ มค่ วรจะทาบอ่ ยเกินไปหรือพกั นานเกินไป เพราะจะทาให้
ร่างกายไมก่ ระฉบั กระเฉง
( แหลง่ ที่มา https://www.utcc.ac.th )
2. วางแผนจดั สรรเวลาการทางานที่ได้รับมอบหมายได้สาเร็จตรงตามเวลากาหนด
( แหลง่ ทีม่ า https://www.sanook.com/women/75557/ )
การทางานในแต่ละวนั ในรูปแบบเดิม ๆ ยอ่ มไม่ทาให้คุณเป็นท่ีสนใจของคนทว่ั ไปท่ีกาลงั มองหา
พนกั งานท่ีมีศกั ยภาพในการทางานค่อนขา้ งสูงเพื่อจะใชเ้ ป็นผคู้ วบคุมดแู ลพนกั งานในตาแหน่งปลีกยอ่ ย ใน
ดา้ นของการทางานนอกจากผลงานท่ีมีคุณภาพก็ตอ้ งพิจารณาในเร่ืองของความสามารถในการปฏิบตั ิและ
การจดั การ ซ่ึงจะแสดงให้เห็นในรูปของระยะเวลาในการทางานให้แล้วเสร็จอย่างมีคุณภาพและตรงตาม
กาหนดเวลาหรือไม่ บุคคลในวยั ทางานเลยตอ้ งใช้ความพยายามในการทางานใหม้ ากข้นึ เพ่ือให้เป็นหน่ึงใน
บคุ ลากรทีม่ คี ณุ ภาพเช่นน้นั โดย
2.1 ศึกษารายละเอยี ดงาน เพื่อให้ทราบถงึ ขอบเขตงาน ความละเอยี ดและรายละเอียดท่ีเก่ียวขอ้ ง
ท้งั หมดจึงตอ้ งศึกษารายละเอียดงานกอ่ นสรุปและกาหนดระยะเวลาในการทางาน เพราะรายละเอยี ดของ
งานทาให้ทราบว่างานทาอะไรบา้ ง แตล่ ะอยา่ งตอ้ งทาอยา่ งไร ควรจะใชเ้ วลานานแคไ่ หนจึงจะเสร็จ ดงั น้นั
หากเราทาความเขา้ ใจศึกษารายละเอียดของการทางานอยา่ งถ่ีถว้ นลึกซ้ึงแลว้ เราจะทราบว่าเราจะวางแผนใน
การลงมอื ทาในข้นั ตอนตอ่ ไปไดอ้ ยา่ งไรเพื่อให้งานสาเร็จงา่ ยดายยง่ิ ข้นึ
2.2 กาหนดระยะเวลาในการทางานแต่ละส่วน งานทมี่ ปี ระสิทธิผลตอ้ งแลว้ เสร็จภายในระยะเวลาท่ี
กาหนดหรือกอ่ นกาหนดซกั เลก็ นอ้ ยสาหรับเผือ่ เวลาไวส้ าหรบั การตรวจเชค็ ความเรียบร้อยและแกไ้ ขงาน
คร้งั สุดทา้ ยก่อนส่งงานท้งั หมด การกาหนดระยะเวลาจึงตอ้ งพจิ ารณาจากความยากงา่ ยของงานและ
ประสิทธิภาพการทางานของคนในทีมทีเ่ ก่ียวขอ้ ง
2.3 แบ่งหน้าท่ีคนในทมี อย่างชัดเจน ทมี งานทุกคนจะตอ้ งทางานร่วมกนั วธิ ีแบ่งหนา้ ท่ขี องทีมงาน
ทกุ คนอยา่ งชดั เจนจะทาให้ทราบข้นั ตอนและกระบวนการทางานเพอื่ ให้การทางานแต่ละอยา่ งเสร็จลุล่วงไป
ไดด้ ว้ ยดี ดงั น้นั หลงั จากทค่ี ุณไดเ้ รียนรู้ศึกษารายละเอยี ดของเน้ืองานอยา่ งเขา้ ใจแลว้ จงแบง่ หนา้ ทีห่ รือ
มอบหมายงานแต่ละงานให้ทมี งานแต่ละคนไดร้ ับงานท่เี หมาะสมกบั ตาแหน่งและความสามารถของตนเอง
ไปพร้อมกนั ดว้ ย
2.4 ลงมือปฏิบัตงิ าน รู้หนา้ ทแ่ี ลว้ ก็ตอ้ งนาไปใส่ไวใ้ นตารางงานทีไ่ ดร้ ับมอบหมายและเริ่มลงมือ
ปฏิบตั ิงาน โดยเริ่มจากตารางงานทก่ี าหนดไวห้ ากทางานในส่วนใดเสร็จก่อนเวลาที่คดิ ไวก้ ใ็ ห้ขา้ มไปทางาน
ส่วนตอ่ ไปไดเ้ ลย
2.5 ตรวจเช็คความเรียบร้อย งานจากทีมงานทกุ คนเมือ่ เสร็จท้งั หมดแลว้ ก็ตอ้ งนามารวบรวม
ตรวจเชค็ คุณภาพและความถกู ตอ้ งเสมอ หากพบขอ้ บกพร่องใหร้ ีบแกไ้ ขโดยด่วนและตอ้ งเสร็จก่อนกาหนด
ส่งงาน แต่ถา้ หากตรวจเช็คงานเรียบร้อยก็สามารถส่งงานไปไดเ้ ลย
แน่นอนวา่ ผลงานทไ่ี ดย้ อ่ มตอ้ งมคี ุณภาพสูงหากองคป์ ระกอบของการทางานสามารถทางานได้
อยา่ งเต็มที่ ส่วนจะเตม็ ทีท่ ุกคนหรือไมน่ ้นั คุณกต็ อ้ งประสานกบั ทีมงานคนอื่นดว้ ย เพ่อื กระตุน้ อตั ราการแลว้
เสร็จของงานใหเ้ ป็นไปตามตารางเวลาทีก่ าหนดไวล้ ว่ งหนา้
( แหลง่ ท่ีมา https://www.sanook.com/women/75557/ )
3. มีแผนการใช้ทรัพยากรได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
การนาทรัพยากรมาใช้ในการปฏิบตั ิงาน ควรใชอ้ ยา่ งเหมาะสม ประหยดั และใชอ้ ยา่ งคุม้ ค่า เพ่อื ให้
เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงคานึงถงึ ส่ิงแวดลอ้ มเป็นสาคญั ซ่ึงจะตอ้ งไมท่ าลายธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ ม
3.1 ทรัพยากรที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ทรัพยากรท่ีใช้ในการปฏิบตั ิงาน จะต้องเป็ นทรัพยากรที่
เหมาะสม สามารถใช้ประโยชน์ ได้อย่างคุม้ ค่า เพ่ือนนามาผลิตเป็ นสินค้าและบริการ หรือเพื่อให้การ
ปฏบิ ตั ิงานประสบผลสาเร็จ โดยทรพั ยากรที่สาคญั ในการปฏิบตั งิ านแบ่งเป็น ๒ ประเภท ดงั น้ี
- ทรัพยากรบคุ คล บคุ คลที่มสี ่วนร่วมในการปฏิบตั ิงาน มีความรู้ ความสามารถ มที กั ษะการทางาน
มคี วามคิด สร้างสรรค์ มวี ิธีจดั การกบั ปัญหา มที ศั นคติทดี่ ี เพ่ือช่วยใหง้ านบรรลุเป้าหมายทกี่ าหนดไว้
- ทรัพยากรการผลิต ส่ิงท่ีนามาใชใ้ นการผลิต หรือประกอบการผลิต เป็นสินคา้ และบริการ เช่น
วตั ถุดิบ วสั ดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ เทคโนโลยี ส่ิงอานวยความสะดวก ต่าง ๆ เพ่ือส่งผลให้การปฏิบตั ิงานมี
ประสิทธิภาพ
3.2 หลักการใช้ทรัพยากรในการปฏิบัติงานตามหลัก 7R ทรัพยากรมีความสาคญั ต่อการดารงชีวิต
ของมนุษย์ แต่การเพ่ิมข้ึนของประชากรอยา่ งรวดเร็ว ส่งผลให้ความตอ้ งการในการใชท้ รัพยากรมีเพ่ิมมาก
ข้ึน ซ่ึงอาจทาให้ทรัพยากรหมดลงและส่งกระทบ ต่อสิ่งแวดลอ้ ม จึงควรมีหลกั ในการใชท้ รัพยากรให้เกิด
ประโยชน์สูงสุด โดยใชห้ ลกั 7R ดงั น้ี
R1 ปฏเิ สธการใช้ งดใชส้ ิ่งของทที่ าให้ สิ้นเปลืองทรพั ยากร
R2 นากลบั มาใช้ใหม่ ดดั แปลงของท่ใี ชแ้ ลว้ เพ่อื นากลบั มาใชใ้ หม่
R3 ใช้ให้เกดิ ประโยชน์ ใชใ้ หค้ ุม้ คา่ ท่สี ุด จะได้ ไม่ตอ้ งหาส่ิงใหมม่ าใช้
R4 ซ่อมแซมและฟื้ นฟู ซ่อมแซมส่ิงที่ชารุด ให้นากลบั มาใชง้ าน ไดใ้ หม่
R5 ผลติ ขนึ้ ใหม่ นาของใชแ้ ลว้ มาผ่าน กระบวนการผลติ ให้ เป็นสิ่งใหม่
R6 ถนอมรักษา รกั ษาสิ่งของให้อยใู่ น สภาพดี เพื่อใหใ้ ชง้ าน ไดน้ านข้นึ
R7 เสริมแต่งของเก่า เสริมแตง่ ของทีม่ ีอยู่ หรือของท่ีใชแ้ ลว้ ให้ สมบูรณ์
3.3 การวางแผนการใช้ทรัพยากร ปัจจบุ นั มีการใชท้ รพั ยากรต่างๆ ในการปฏิบตั งิ านและผลติ ช้ินงาน
เพิ่มมากข้ึน ซ่ึงอาจเป็นการใช้ทรัพยากรแบบฟ่ ุมเฟื อย ไม่คุม้ ค่า หรือเกิดประโยชน์ในการใช้งานน้อยท่ีสุด
ดงั น้นั จึงควรมีการวางแผนการใชท้ รัพยากรให้เกิดความคมุ้ คา่ มากที่สุด ดงั น้ี
1) ใชท้ รัพยากรให้ตรงวตั ถุประสงค์ โดยคานึงถึงวตั ถุประสงคแ์ ละประโยชน์ในการ ใชส้ อยให้
ตรงกบั ความตอ้ งการมากท่ีสุด ตวั อย่าง นาน้าที่ใช้จากการลา้ งผกั และผลไมม้ ารดน้าตน้ ไม้ ที่ปลูกไวใ้ น
บริเวณบา้ น
2) เลือกใชท้ รพั ยากรให้มีสัดส่วนท่ีเหมาะสม ควรเลือกใชท้ รัพยากรประเภทต่าง ๆ ให้ เหมาะสม
กบั ความตอ้ งการและใช้อย่างประหยดั ตวั อยา่ ง เลือกใชว้ สั ดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือในการสร้างชิ้นงานอยา่ ง
เหมาะสม ใชท้ รัพยากรอยา่ งคุม้ คา่ และเกิดประโยชนส์ ูงสุด
3) วางแผนก่อนการปฏบิ ตั ิงาน ศึกษาขอ้ มูลเก่ียวกบั งานทจ่ี ะทาว่ามีวิธีการ ปฏิบตั ิอย่างไร ใช้วสั ดุ
อุปกรณ์ใด ใชเ้ งินทุนเท่าใด ตวั อยา่ ง ศึกษาวิธีการเพาะปลกู พืชผกั สวนครัวให้เขา้ ใจว่า มีวิธีการอยา่ งไร ใช้
วสั ดุ อปุ กรณ์ชนิดใด
4) นาเทคโนโลยีสมยั ใหม่มาใช้ในการปฏิบตั ิงาน นาเทคนิค เคร่ืองจกั รมาช่วยในการปฏิบตั งิ าน
หรือผลิตชิ้นงาน ทาให้ไดผ้ ลงานทม่ี ปี ระสิทธิภาพ ตวั อยา่ ง ใชโ้ ปรแกรมการออกแบบ หรือแอปพลิเคชนั มา
ช่วย ในการออกแบบเส้ือผา้ นาจกั รเยบ็ ผา้ ท่เี ยบ็ เป็น ลวดลายต่าง ๆ มาช่วย เพือ่ เพิม่ ความสวยงาม
นาทรพั ยากรกลบั มาใชใ้ หม่ นาทรัพยากรท่ใี ชแ้ ลว้ มาใช้ใหม่ หรือใชซ้ ้า จะช่วยประหยดั และลดการ
ใชท้ รัพยากรไดม้ ากข้นึ ตวั อยา่ ง นากระดาษทใ่ี ชเ้ พียงหนา้ เดียวมาพิมพ์ หรือเขียน ใหม่ในดา้ นทย่ี งั ไมไ่ ดใ้ ช้
( แหล่งทมี่ า http://academic.obec.go.th/textbook/web/images/book/1579784939_example.pdf )
4. ตรวจสอบแผนการดาเนนิ งานท่ีได้รับมอบหมายว่ามขี ้นั ตอนถูกต้องและครบถ้วน
4.2. การตรวจสอบการดาเนินงาน (Performance Auditing) เป็นการตรวจสอบผลการ
ดาเนินงานตาม แผนงาน งานและโครงการขององคก์ ร ใหเ้ ป็นไปตามวตั ถุประสงคแ์ ละเป้าหมาย
หรือหลกั การทีก่ าหนดการตรวจสอบ เนน้ ถึงประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและความคมุ้ ค่า โดยตอ้ ง
มีผลผลิตและผลลพั ธ์เป็นไปตามวตั ถปุ ระสงคห์ รือเป้าหมาย ซ่ึงวดั จากตวั ช้ีวดั ท่ีเหมาะสม ท้งั น้ี
ต้องคานึงถึงความเพียงพอ ความมีประสิทธิภาพของกิจกรรมการบริหารความเส่ียง และการ
ควบคุมภายในขององคก์ รประกอบดว้ ย
- ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ มีการจัดระบบงานให้ม่ันใจได้ว่าการใช้
ทรัพยากรสาหรับแต่ละ กิจกรรมสามารถเพิ่มผลผลิตและลดตน้ ทุน อนั มีผลทาให้องค์กรไดร้ ับ
ผลประโยชน์อยา่ งคุม้ คา่
- ความมีประสิทธิผล (Effectiveness) คือ มีการจดั ระบบงาน และวิธีปฏิบตั ิงานซ่ึงทา
ให้ผลทเี่ กิดจาก การด าเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายขององคก์ ร
- ความคุม้ ค่า (Economy) คือ มีการใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบ ระมดั ระวงั ไม่สุรุ่ยสุร่าย
ฟ่ ุมเฟือย ซ่ึงส่งผลให้องคก์ รสามารถประหยดั ตน้ ทุนหรือลดการใชท้ รัพยากรต่ากวา่ ที่กาหนดไว้
โดยยงั ไดร้ ับผลผลิตตามเป้าหมาย
ส่งเสริมใหเ้ กิดกระบวนการกากบั ดแู ลทีด่ ี (Good Governance) และความโปร่งใส ในการปฏบิ ตั งิ าน
(Transparency) ป้องกนั การประพฤติมชิ อบหรือการทุจริต และเป็นการลดความเสี่ยงท่ีอาจเกิดข้นึ จนทาให้
การดาเนินงานไม่บรรลุวตั ถปุ ระสงค์
( แหล่งทีม่ า http://audit.pcru.ac.th/minimenu.php?wi_id=93 )
เอกสารประกอบการตวิ สอบ V-NETปี การศึกษา 2564
องค์ประกอบที่5
เร่ือง การแก้ไขปัญหาและการตดั สินใจ
1
เอกสารประกอบการเรียน
เรือ่ ง แนวคดิ เกี่ยวกบั เทคนิคการตดั สินใจแกป้ ญั หา
7.1 แนวคิด เกย่ี วกับเทคนิคการตดั สนิ ใจแกป้ ญั หา
แนวคดิ เกีย่ วกบั การตดั สินใจ
ความหมายของการตัดสนิ ใจ (Decision making)
มีผเู้ ช่ยี วชาญหลายทา่ นได้ให้ความหมายของการตดั สินใจไว้ดงั น้ี (จินตนา บรรลอื ศกั ด์ิ, 2558)
Hicks (1991) ได้ให้ความหมายของการตัดสินใจไว้ว่า เป็นการใช้ความคิดเพื่อทำการคัดเลือกระหว่าง
แนวทางในการปฏบิ ัติท่ีมีอย่หู ลายทาง
Yates (2003) ได้ให้ความหมายของการตัดสินใจไว้ว่า เป็นการเลือกแนวทางปฏิบตั ิเพื่อมุ่งแก้ไขปัญหา ตาม
สถานการณต์ า่ ง ๆ
องค์การอนามัยโลก (1994) กล่าวว่า การตัดสินใจเป็นสิ่งที่นำไปสู่การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ใน
ชีวิต ซึ่งถ้าบุคคลมีการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพในการกระทำต่าง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกับสุขภาพ โดยมีการ ประเมนิ
ทางเลือกและผลจากการตดั สินใจ จะก่อให้เกดิ ผลดีตอ่ สขุ ภาพอนามยั ของบุคคลน้นั ๆ
ดวงกมล มงคลศิลป์ (2550) ได้ให้ความหมายของทักษะการตัดสินใจว่าเป็นความสามารถของบุคคลท่ี
เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ในการคิดตัดสินใจอย่างมีเหตุผลตามขั้นตอน เพื่อเลือกแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสม
และบรรลุตามเปา้ หมาย
วโรชา คล้ายแจ้ง (2552) ได้ให้ความหมายว่า การตัดสินใจ หมายถึง การพิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุด ในการ
แกป้ ัญหา โดยพจิ ารณาข้อดีและข้อเสียกอ่ นตัดสินใจเลือกแนวทางท่เี หมาะสม
กันทิมา กัลยาวุฒิพงศ์ (2555) ได้ให้ความหมายว่า การตัดสินใจ หมายถึง การพิจารณาอย่างเป็น ระบบ
เพ่ือหาทางเลือกทด่ี ที ี่สดุ ในการแกป้ ัญหา โดยพิจารณาถงึ ขอ้ ดี ข้อเสีย และผลกระทบกอ่ นตดั สนิ ใจเลือก แนวทางท่ี
เหมาะสมตามความตอ้ งการและเป้าหมายที่กำหนดไว้
กล่าวโดยสรุป ทักษะการตัดสินใจ คือ ความสามารถของบุคคลในการคิดพิจารณาอย่างมีเหตุผล เพื่อเลือก
ทางเลือกทเี่ หมาะสม บรรลตุ ามเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ ทกี่ ่อใหเ้ กดิ ผลดหี รือเปน็ ประโยชนก์ ับตวั เอง
แนวคิดและทฤษฎีเก่ียวกบั การตัดสนิ ใจ
ได้มีผู้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจไว้มากมาย แต่ที่น่าสนใจพอสรุปได้ ดังนี้ (ดวงกมล โนนจุ้ย,
2556)
สุมน อมรวิวัฒน์ (2531) กล่าวถึง การตัดสินใจว่า เป็นกระบวนการคิด แบบหนึ่ง ซึ่งกระบวนการคิดเหล่าน้ี
ตอ้ งได้รบั การฝึกฝนเป็นขน้ั ตอนและใช้วิธีฝึกอยา่ งตอ่ เนอื่ ง จึงทำใหบ้ ุคคลสามารถคิดได้
เอกสารประกอบการฝึกอบรม สานกั พฒั นาสมรรถนะครแู ละบุคลากรอาชวี ศกึ ษา
2
ทิศนา แขมมณี (2534) กล่าวถึง การตัดสินใจว่า การตัดสินใจเป็น กระบวนการคิดอย่างหนึ่ง ซึ่ง
กระบวนการคดิ เกดิ ข้ึนไมไ่ ดห้ ากผ้เู รียนไมไ่ ด้รับการฝกึ ฝนเพยี งพอ
หากนกั เรยี นไดร้ ับประสบการณ์และไดร้ ับการฝึกกระบวนการดงั กล่าวบ่อย ๆ ความชำนาญหรอื ความคลอ่ ง
ในการคิดก็จะเกิดขน้ึ รวมทัง้ คุณภาพในการคิดกจ็ ะมมี ากขนึ้
Litchfield (1956) กล่าวว่า การตัดสินใจเป็นวัฏจักรของเหตุการณ์ (Cycles of Events) นับตั้งแต่การ
กำหนดปัญหา การวิเคราะห์ปัญหา จนถึงการวางแผนในการแก้ไขปัญหา และการประเมินผล ที่ว่าการตัดสินใจ
เปน็ วัฏจักรของเหตกุ ารณ์ นน่ั คอื เม่อื นำกระบวนการตัดสินใจ ไปแก้ปญั หาหนง่ึ แล้ว มักจะมีปัญหาอย่างอื่นตดิ ตาม
มา ปัญหาที่ติดตามมานี้อาจเกิดขึ้นในช่วงใด ช่วงหนึ่งของกระบวนการแก้ปัญหา และปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ก็ต้อง
อาศัยการแก้ปญั หาที่เปน็ กระบวนการ เช่นกนั
จากแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกบั การตัดสินใจท่ีกลา่ วมาข้างต้นสรุปไดว้ า่ การตดั สินใจ เป็นความคดิ สง่ิ ทแี่ ทรก
อยู่ในการปฏิบัติกิจกรรมของมนุษย์ตลอดเวลา และการตัดสินใจที่มี ประสิทธิภาพควรมีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
และเป็นการตัดสนิ ใจตามกระบวนการ โดยขนั้ ตอน ท่ีสำคัญในการตัดสนิ ใจ คอื กำหนดปญั หา การระบปุ ัญหา การ
สร้างทางเลือกในการแก้ปัญหา การเลือกทางเลือกในการแก้ปัญหา การดำเนินการประเมินผล ในการตัดสินใจได้
อยา่ งถูกต้อง ขนึ้ อยกู่ ับหลายปัจจยั อันไดแ้ ก่ การประสบความสำเรจ็ ของประสบการณ์ในอดีตคา่ นิยม ความมี อคติ
ในการรับข้อมูล การจินตนาการของผู้ตัดสินใจ นอกจากนี้ผู้ตัดสินใจควรมีเวลาในการไตร่ตรอง ข้อมูลอย่างรอบ
ดา้ น
ทั้งด้านดี และไม่ดี มีการเรียนรู้จากข้อมูลย้อนกลับและเตรียมแผนการรับรองสิ่งที่ อาจจะเกิดขึ้นจากการ
ตดั สินใจ
แนวคิดเก่ียวกบั การแก้ปญั หา (Problem Solving)
ความหมายของการแก้ปญั หา
ไดม้ ีผู้ให้ความหมายเกีย่ วกบั ทักษะการแก้ปญั หาไวด้ ังนี้ (จินตนา บรรลอื ศักด์ิ, 2558)
Eysenck & Arnold (1972) ได้ให้ความหมายของการแก้ปัญหาที่เป็นกระบวนการที่จำเป็นต้องอาศัย
ความรู้ในการพิจารณาสังเกตปรากฏการณ์และโครงสร้างของปัญหารวมทั้งต้องใช้กระบวนการคิดเพื่อให้บรรลุ ถึง
จุดหมายที่ต้องการ
สุมน อมรวิวัฒน์ (2547) ได้ให้ความหมายของการแก้ไขปัญหา ไว้ว่า เป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เม่ือ
เผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง หรือสภาวการณ์ที่ทำให้เกิดภาวะที่ต้องเลือกทางใดทาง หน่ึง
การแกไ้ ขปัญหาเป็นกระบวนการทีส่ ลับซับซ้อน
กันทิมา กัลยาวุฒิพงศ์ (2555) ให้ความหมายการแก้ปัญหาว่าการแก้ปัญหาเป็นกระบวนการในการ
แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยใช้ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และประสบการณ์มาเป็นตัวช่วยในการวางแผนการ
เอกสารประกอบการฝึกอบรม สานกั พฒั นาสมรรถนะครแู ละบคุ ลากรอาชวี ศกึ ษา
3
แก้ปัญหา เพื่อให้การแก้ปัญหานั้นประสบผลสำเร็จตรงตามเป้าหมายมากที่สุด และสามารถนำไปใช้ในการ
แกป้ ัญหา สถานการณ์ต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขึน้ ในชีวติ ประจำวนั ได้
กล่าวโดยสรุป ทักษะการแก้ปัญหา คือ ความสามารถของบุคคลในการรับรู้ปัญหา วิเคราะห์สาเหตุ ของ
ปญั หา ระบุแนวทางในการแก้ปญั หา และเลอื กแนวทางที่เหมาะสมเพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวติ ประจำวัน ได้
แนวคดิ และทฤษฎีเกี่ยวกบั การแกป้ ัญหา
นกั จิตวทิ ยาและนกั การศึกษาหลายทา่ นไดม้ คี วามสนใจเกย่ี วกบั การแก้ปัญหา จงึ ได้ เสนอแนวคดิ และทฤษฎี
ในการแก้ปญั หาไวห้ ลายแนวคดิ ดงั น้ี (ดวงกมล โนนจยุ้ , 2556)
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2543) ระบวุ ่าแนวคิด การจดั การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์มี
จุดมุ่งหมายประการหนึ่ง คีย์ เน้นให้นักเรียนได้ฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติอย่างเป็น
ระบบซึ่งผลที่ได้จากการฝึกจะช่วยให้นักเรียนสามารถ ตัดสินใจแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ด้วยวิธีคิดอย่างสมเหตุสมผล
โดยใชก้ ระบวนการหรอื วิธีการ ความรู้ และทกั ษะตา่ ง ๆ และความเข้าใจในปัญหาน้ันมาประกอบกนั เพอ่ื เป็นข้อมูล
ในการแกป้ ัญหา
Dewey (1976) กล่าวว่า ชีวิตคนเราเผชิญอยู่กับสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ตลอดเวลา ทั้งปัญหาที่เกิดจากการ
เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายและจิตใจ ดังนั้นวิธีสอนที่ดีจะต้องรู้จักฝึกคนให้
รจู้ กั แกป้ ัญหาได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพดว้ ยตวั ของเขาเอง
กลุ่มนักจิตวิทยา Gestalt (อ้างถึงใน พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา, 2543) ถือว่า การเรียนรู้มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองโดย
บงั เอญิ แต่ตอ้ งประกอบด้วยความรคู้ วามเข้าใจในอนิ ทรยี ์และ พยายามรวบรวมความรู้ (Perception) เข้าเปน็ แบบ
แผนที่มีความหมายก่อนเพื่อจะให้เป็นการ หยั่งเห็น (Insight) ในสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อจะนำไปใช้ในการแก้ปัญหา
(Problem Solving)
จากแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการแก้ปัญหาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่าการแก้ปัญหา เป็นกระบวนการที่ต้อง
อาศัยกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ หรือการคิดอย่างเป็นกระบวนการ ตามแบบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่ง
ความสามารถในการแก้ปญั หาของมนษุ ยส์ ามารถพฒั นา ไดต้ ามวัยและการฝึกฝนอยา่ งเปน็ ระบบ
เอกสารประกอบการฝึกอบรม สานกั พฒั นาสมรรถนะครแู ละบคุ ลากรอาชวี ศกึ ษา
4
เอกสารประกอบการเรยี น
เรือ่ ง ข้ันตอนและเทคนิคการตดั สนิ ใจแกป้ ญั หา
7.2 ขนั้ ตอนและเทคนิคการตดั สนิ ใจแก้ปญั หา
แนวคิดในการตดั สนิ ใจและแกป้ ญั หาโดยใช้เทคนคิ 3Cs
การตัดสินใจและการแก้ปัญหา สามารถใช้เทคนิค 3Cs จะมีการกำหนดสถานการณ์แล้วให้ผู้เรียนคิด
ตัดสินใจตามขนั้ ตอน (เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์, 2548 อ้างถงึ ใน จนิ ตนา บรรลอื ศักด,์ิ 2558) ซึง่ มี ขน้ั ตอนดงั น้ี
1. Clarify คือ กำหนดปญั หาหรอื สงิ่ ท่ีจะต้องตดั สินใจใหช้ ดั เจน
2. Consider คอื พจิ ารณาทางเลอื กหลาย ๆ ทางทเี่ ปน็ ไปไดแ้ ละคาดเดาผลทเี่ กดิ ขน้ึ
3. Choose คอื เลือกทางเลือกทีด่ ที ส่ี ดุ
นอกจากนี้ขั้นตอนการตัดสินใจและขั้นตอนการแก้ปัญหา มีรายละเอียดขั้นตอนที่แตกต่างกันมีรายละเอียด
ดงั ต่อไปนี้
กระบวนการและขนั้ ตอนการตดั สินใจ
นกั การศึกษาหลายท่านได้เสนอขั้นตอนในกระบวนการตัดสินใจไวด้ ังน้ี (ดวงกมล โนนจุย้ , 2556)
ประมวล ศิริผันแก้ว (2540) กล่าวว่าขั้นตอนการตัดสินใจต้องประกอบด้วย ขั้นตอนอย่างน้อย 4 ขั้นตอน
ดงั นี้
ขน้ั ท่ี 1 การกำหนดเป้าหมายหรอื ระบเุ ปา้ หมาย
ข้นั ที่ 2 กำหนดวธิ กี ารหรอื ทางเลือก
ขน้ั ที่ 3 วเิ คราะห์ทางเลือกทเ่ี ปน็ ไปได้
ขน้ั ท่ี 4 เลือกทางเลือกที่ดที สี่ ุด
Dinklage (1977 อ้างถึงใน นวลศิริ เปาโรหิตย์, 2528) ได้กล่าวว่า "กลยุทธการวางแผนอย่างรอบคอบ เป็น
วิธีการของการตดั สนิ ใจทด่ี ี ซึ่งมีข้นั ตอน 7 ขั้นตอน ดงั น้ี
1. ระบุปญั หาวา่ คอื อะไร
2. การรวบรวมข้อมลู ที่เป็นประโยชน์
3. รู้จักทางเลือกที่มีอยู่
4. การชง่ั นำ้ หนักตวั เลือกแต่ละตัว
5. การตดั สินใจเลือก
6. ดำเนนิ การ
7. ทบทวนการตัดสินใจและผลท่ีได้รับ
เอกสารประกอบการฝึกอบรม สานกั พฒั นาสมรรถนะครแู ละบุคลากรอาชวี ศกึ ษา
5
Beyer (1987) กล่าวถึง การสอนให้นักเรียนตดั สนิ ใจไดอ้ ย่างถกู ต้องโดยตรงดว้ ยการ ฝึกใหน้ ักเรยี นตัดสินใจ
ตามขน้ั ตอนหรอื ตามกระบวนการของการตัดสนิ ใจมี 6 ขั้นตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี
ขั้นที่ 1 กำหนดเป้าหมาย (Define the Goal) เป็นการบอกถึงเป้าหมายหรือ วัตถุประสงค์ในการตัดสินใจ
แก้ปญั หา
ขั้นที่ 2 ระบุทางเลือก (Identify Alternatives) เป็นการระดมทางเลอื กหรือระดมวิธี ที่ใช้แก้ปัญหาโดยการ
ระลึกกรณีและทางเลอื กทเ่ี หมือนกัน
ขั้นที่ 3 วิเคราะห์ทางเลือก (Analyze Alternatives) เป็นการสำรวจจุดมุ่งหมาย วิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อย
ของทางเลือกแต่ละทางที่ได้ระบุไว้โดยคำนึงถึงผลที่ตามมาทั้งในระยะยาว และระยะสั้น ค่าใช้จ่ายประกอบด้วย
คา่ ใชจ้ ่ายทีต่ อ้ งจ่ายจรงิ ทรัพยากรทีใ่ ช้
ขน้ั ที่ 4 ลำดับความสำคัญของทางเลือก (Rank Alternatives) เป็นการเรียงลำดับ ความสำคัญของทางเลอื ก
จากการวเิ คราะหข์ ้อดี ขอ้ เสยี ของทางเลือกแตล่ ะทาง
ขัน้ ที่ 5 ตดั สนิ ทางเลือกทสี่ ำคัญทส่ี ดุ (Judge Highest Rarked Alternatives)
ขั้นที่ 6 เลือกทางเลอื กที่ดีที่สุด (Choose the best Alternatives) เป็นการตัดสินใจ เลือกวิธีการทีจ่ ะใชใ้ น
การแก้ปัญหา
จากขั้นตอนของกระบวนการตัดสินใจท่ีนักการศึกษาหลายท่านได้เสนอไว้ จะเห็นว่ามี ขั้นตอนการตัดสินใจ
เป็นไปในแนวทางเดียวกนั ทั้งสิ้น และจากการพจิ ารณาจะเหน็ ว่าขั้นตอน การตดั สินใจของหลายท่านได้ระบขุ ั้นตอน
การตดั สินใจครอบคลุมไปถงึ ระดับการปฏบิ ตั ิ และเพือ่ ประเมินผล
นอกจากนม้ี ีผ้กู ำหนดข้ันตอนการตัดสนิ ใจไว้หลายวธิ ี (จนิ ตนา บรรลอื ศกั ด,ิ์ 2558) ดังตอ่ ไปน้ี
กรมสุขภาพจิต (2541) ก็ได้กำหนดขั้นตอนของทักษะการตัดสินใจ เพื่อใช้ในการเผชิญกับสถานการณ์ ท่ี
ตอ้ งตัดสินใจเลือกทางหนึ่งทางใดไว้ 4 ขน้ั ตอน คือ
1. กำหนดทางเลือกเพอ่ื ตัดสนิ ใจ 2 ทาง เชน่ ไป/ไม่ไป เอา/ไม่เอา เปน็ ตน้
2. วเิ คราะห์ผลดี - ผลเสยี ของทางเลอื กทัง้ สองทาง
3. ตดั สนิ ใจเลอื กทางเลือกหน่ึง
4. หาทางแกไ้ ขข้อเสียของทางเลือกท่ีเกดิ จากการตัดสนิ ใจนั้น ๆ
สมุ น อมรวิวัฒน์ (2547) ไดก้ ำหนดข้ันตอนการตัดสนิ ใจ ไว้ดงั นี้
1. การรวบรวมขอ้ มูลทีด่ ีทำให้สามารถกำหนด และอธิบายประเด็นสำคัญของปญั หาได้
2. การประเมินค่าตามเกณฑ์ที่ถูกต้อง ดีงาม เหมาะสม ทำให้สามารถคิดถึงผลดี ผลเสียในการ เลือก และ
ตดั สินใจ
3. การวิเคราะห์ และเปรียบเทียบประเด็นที่ประเมินค่าแล้วทำให้สามารถกำหนดทางเลือก (alternative)
และทางออก (assumption) ของสถานการณ์ และปัญหาได้
เอกสารประกอบการฝึกอบรม สานกั พฒั นาสมรรถนะครแู ละบุคลากรอาชวี ศกึ ษา
6
4. เม่ือมที างเลอื กหลายทาง บคุ คลต้องอาศยั หลักการ ประสบการณ์ และการทำนายผลมาสรา้ ง เกณฑ์ เพ่ือ
เลือกทางเลือกทีด่ ีที่สดุ
5. ถ้าไมม่ ที างเลอื ก หรอื มที างเลือกทางเดยี วที่ไมส่ ามารถปฏบิ ตั ิไดต้ ้องหาทางออกใหม่ (new assumption)
ทีน่ า่ จะเปน็ ไปได้
6. ตัดสนิ ใจเลือกทางเลอื กทไ่ี ด้ผล
7. วางแผนปฏบิ ัตทิ ่ไี ด้ผล
กระบวนการและขั้นตอนการแก้ปญั หา
นกั การศึกษากลา่ วถงึ กระบวนการแก้ปญั หาไดอ้ ยา่ งสอดคลอ้ งกันหลายทา่ นดงั นี้ (ดวงกมล โนนจุ้ย, 2556)
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2543) ได้เสนอ กระบวนการแก้ปัญหาไว้ 3 ขั้นตอน
คือ
ขนั้ ท่ี 1 ทำความเขา้ ใจปญั หา ผแู้ ก้ปัญหาตอ้ งทำความเข้าใจปัญหาที่พบได้ถ่องแท้ ในประเด็นต่าง ๆ คอื
1) ปัญหาถามว่าอะไร 2) มีขอ้ มูลใดแลว้ บ้าง 3) มีเง่อื นไขหรอื ต้องการ ขอ้ มลู ใดเพม่ิ เติมอกี หรอื ไม่
ขั้นที่ 2 วางแผนแก้ปัญหาขั้นตอนนี้จะเป็นการคิดหาวิธีวางแผน เพื่อแก้ปัญหาโดยใช้ ข้อมูลจากปัญหาที่ได้
วิเคราะห์แล้วในขั้นที่ 1 ประกอบกับข้อมูลและความรู้เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น แล้วนำมาใช้ประกอบการวางแผน
แกป้ ญั หา ในกรณีท่ปี ญั หาตอ้ งตรวจสอบโดยการทดลองขั้นตอน นจ้ี ะเป็นการวางแผนการทดลอง
ขั้นที่ 3 ดำเนินการแก้ปัญหาและประเมินผล ขั้นตอนนี้เป็นการลงมือแก้ปัญหาและประเมินว่าวิธีการ
แกป้ ญั หาและผลท่ีไดถ้ ูกตอ้ งหรือไดผ้ ลเปน็ อยา่ งไร
ทิศนา แขมมณี (2544) ได้เสนอขั้นตอนการแกป้ ญั หาไว้ ดังนี้
1. ระบุปญั หา
2. วิเคราะห์สาเหตขุ องปญั หา
3. แสวงหาทางแกป้ ญั หาหลาย ๆ ทาง
4. เลือกทางแก้ปัญหาทีด่ ีที่สดุ
5. ลงมอื ดำเนินการแก้ปญั หาตามวิธีการท่ีเลือกไว้
6. รวบรวมขอ้ มลู
7. ประเมินผล
เอกสารประกอบการฝึกอบรม สานกั พฒั นาสมรรถนะครแู ละบุคลากรอาชวี ศกึ ษา
7
ภานุเดช หงษาวงศ์ (2548) ไดส้ รปุ ขั้นตอนในกระบวนการแกป้ ัญหาได้ ดังนี้ คือ
ขั้นที่ 1 การทำความเข้าใจปัญหา เป็นขั้นที่ต้องมีการทำความเข้าใจปัญหาที่แท้จริง คืออะไร ข้อมูลที่
เกยี่ วข้องมีอะไรบ้าง
ขั้นที่ 2 การสร้างทางเลือกในการแก้ปัญหา เป็นการตั้งสมมติฐานของปัญหาที่ได้มาจากการวิเคราะห์
ทางเลือก
ข้ันที่ 3 วางแผนในการแกป้ ญั หา เปน็ การวางแผนในการแกป้ ัญหาโดยการกำหนด ข้ันตอนในการปฏิบัติงาน
การเตรียมวัสดอุ ปุ กรณต์ ่าง ๆ
ข้ันท่ี 4 ขั้นลงมือปฏิบตั ิ หรอื แก้ปญั หา เป็นการดำเนินการตามแผนอย่างรัดกมุ
ข้นั ท่ี 5 ขั้นวิเคราะหแ์ ละประเมนิ ผล เปน็ ช้นั ทนี่ ้าผลการแกป้ ญั หามาประเมินดูว่า ได้ผลมากนอ้ ยเพียงใด
จากกระบวนการแก้ปัญหาข้างต้น สรุปได้ว่า ในการแก้ปัญหาให้เป็นผลสำเร็จจะต้องใช้กระบวนการคิดและ
ปฏิบัติอย่างมีระบบ โดยขั้นตอนที่มีความสำคัญในการแก้ปัญหาให้ประสบผลสำเร็จประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ
คอื การทำความเขา้ ใจปญั หาว่าปญั หาท่เี กดิ ขนึ้ คอื อะไร มีสาเหตมุ าจากอะไร การวางแผนการแกป้ ัญหา ปฏบิ ัตกิ าร
แก้ปญั หา การสรปุ คำตอบ และ ประเมินผลการแกป้ ญั หา
Dewey (1976 อา้ งถึงใน จินตนา บรรลอื ศักด,์ิ 2558) ได้เสนอวิธีการแกป้ ัญหาว่าประกอบด้วยกระบวนการ
ต่าง 5 ขนั้ ตอนดงั นี้
1. ขั้นเตรียมการ (Preparation) หมายถึงขั้นในการตั้งปัญหาหรือค้นหาว่าปัญหาที่แท้จริงของ เหตุการณ์
นน้ั ๆ คืออะไรหรอื ค้นหาข้อมลู ทแ่ี ทจ้ ริงของปัญหานน้ั ๆ
2. ขั้นวิเคราะห์ปัญหา (Analysis) หมายถึงขั้นในการพิจารณาดูว่าสิ่งใดบ้างที่เป็นสาเหตุสำคัญ ของปัญหา
หรือมีสิ่งใดบ้างท่ไี ม่ไดเ้ ปน็ สาเหตทุ ส่ี ำคญั ของปญั หา
3. ขั้นตอนในการเสนอแนวทางในการคิดแก้ปัญหา (Production) หมายถึงวิธีแก้ปัญหาให้ตรง กับสาเหตุ
ของปัญหา
4. ขั้นตรวจสอบผลลัพธ์ (Verification) เพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการเสนอวิธีการคิด แก้ปัญหา ถ้า
พบว่าผลลัพธ์ได้มานั้นยังไม่ใช่ผลที่ถูกต้องก็ต้องมีการเสนอวิธีการแก้ปัญหานี้ใหม่จนกว่าจะได้ วิธีการที่ดีที่สุดหรือ
วธิ ีทีถ่ กู ตอ้ งท่ีสดุ
5. ขั้นการนำไปประยุกต์ใช้ใหม่ (Reapplication) หมายถึง การนำเอาวิธีการแก้ปัญหาที่ ถูกต้องไปใช้ใน
โอกาสข้างหนา้ ในปญั หาท่คี ล้ายคลงึ กนั
ประภาเพญ็ สุวรรณ (2541 อา้ งถงึ ใน จินตนา บรรลอื ศกั ด์ิ, 2558) ไดก้ ล่าวถึงข้นั ตอนการแกป้ ญั หาไวด้ งั นี้
1. พิจารณาขอบเขตและสาเหตุของปญั หา
2. พจิ ารณาวธิ ีการแก้ปัญหาทจ่ี ะเป็นไปได้
เอกสารประกอบการฝึกอบรม สานกั พฒั นาสมรรถนะครแู ละบุคลากรอาชวี ศกึ ษา
8
3. เลือกทางเลือกท่ดี ีที่สดุ
4. สร้างแผนการดำเนนิ งาน เพื่อแกไ้ ขปญั หาและตดิ ตามผล
5. ประเมนิ สิทธผิ ลของการแกไ้ ขปัญหา
ดังแผนภูมขิ ้นั ตอนการแกป้ ญั หาของ ประภาเพ็ญ สุวรรณ (2541)
1. พิจารณาขอบเขตและ
สาเหตุของปญั หา
5. ประเมนิ สทิ ธิผลของ 2. พิจารณาวิธีการ
การแก้ไขปญั หา แกป้ ัญหาที่จะเปน็ ไปได้
รูปแบบการแก้ปญั หา
4. สรา้ งแผนการ 3. เลือกทางเลือกท่ีดีทส่ี ดุ
ดาํ เนินงาน เพ่อื แก้ไข
ปัญหาและติดตามผล
ภาพที่ 2 ภาพแผนภูมิขั้นตอนการแกป้ ญั หา
กระทรวงศกึ ษาของนวิ ซแี ลนด์ (อ้างใน ประภาเพญ็ สุวรรณ, 2541) ได้กลา่ วถึงข้ันตอนการ แก้ปญั หาไว้
ดังน้ี
1. คิดวเิ คราะห์ คิดสร้างสรรค์ คดิ ดว้ ยเหตุและผล ยืดหยุน่
2. ระบปุ ัญหาและหาสาเหตุ
3. สรา้ งทางเลือกทจ่ี ะแก้ปญั หาดว้ ยแนวคิดใหม่ ๆ
4. ทดสอบทางเลือก ข้อดี ข้อเสยี
5. เลอื กทางเลือกที่ปฏิบตั ิ
6. ลงมือปฏิบตั ิ
7. ประเมินกระบวนการปฏิบัติและหาข้อสรปุ เพื่อยดึ เปน็ แนวทางปฏบิ ตั ติ ่อไป
เอกสารประกอบการฝึกอบรม สานกั พฒั นาสมรรถนะครแู ละบคุ ลากรอาชวี ศกึ ษา
9
นอกจากนีส้ ามารถนำ “กระบวนการแก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค”์ มาใชใ้ นการตดั สินใจและการแก้ปัญหา มี
ดงั ตอ่ ไปนี้
ทอร์แรนซ์ (Torrance, 1965 อ้างถึงใน อารี พันธ์มณี, 2557) ได้ให้อธิบายกระบวนการคิดสร้างสรรค์ว่า
เป็นกระบวนการของความร้สู กึ ไวตอ่ ปัญหาหรือส่ิงทีบ่ กพร่องขาดหายไป แล้วจึงรวบรวมความคิดต้ังเป็นสมมติฐาน
ขึ้น ต่อจากนั้นกท็ ำการรวบรวมข้อมูลตา่ ง ๆ เพื่อทดสอบสมมตฐิ านที่ตัง้ ขึ้น ขั้นต่อไปจึงเปน็ การรายงานผลทีไ่ ดร้ ับ
จากการทดสอบสมมติฐานเพื่อเป็นแนวคิดและแนวทางใหม่ต่อไป เรียกกระบวนการลักษณะนี้ว่า กระบวนการ
แก้ปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ หรือ “The Creative Problem Solving Process” ดงั ภาพประกอบดังนี้
ภาพที่ 3 แสดงกระบวนการแก้ปญั หาอยา่ งสร้างสรรคข์ องทอรแ์ รนซ์
(พิมพป์ ระภา พาลพ่าย และคณะ, 2561)
จากแผนภมู ิ กระบวนการแก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ บง่ ออกไดเ้ ป็น 5 ขน้ั ดงั น้ี
ขั้นที่ 1 การพบความจริง (Fact – Finding) ในขั้นนี้เริ่มตั้งแต่เกิดความรู้สึกกังวลใจ มีความสับสน วุ่นวาย
(Mess) เกิดขึ้นในจิดใจแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอะไร จากจุดนี้ก็พยายามตั้งสติและพิจารณาดูว่าความยุ่งยาก
ว่นุ วาย สับสน หรอื สง่ิ ทีท่ ำให้กงั วลใจนั้นคืออะไร
ขั้นที่ 2 การค้นพบปัญหา (Problem – Finding) ขั้นนี้เกิดต่อจากขั้นที่ 1 เมื่อได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้ว
จงึ สรปุ ว่า ความกังวลใจ ความสบั สนว่นุ วายในใจน้นั กค็ ือการมีปญั หาเกิดขึน้ น่นั เอง
ขั้นที่ 3 การตั้งสมมุติฐาน (Idea – Finding) ขั้นนี้ก็ต่อจากขั้นที่ 2 เมื่อรู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นก็จะพยายามคิด
และตั้งสมมุติฐานข้นึ และรวบรวมขอ้ มลู ต่าง ๆ เพอ่ื นำไปใชใ้ นการทดสอบสมมตฐิ านในขนั้ ต่อไป
ขั้นที่ 4 การค้นพบคำตอบ (Solution – Finding) ในขั้นนี้ก็จะพบคำตอบจากการทดสอบสมมตฐิ านในข้นั ท่ี
3
เอกสารประกอบการฝึกอบรม สานกั พฒั นาสมรรถนะครแู ละบคุ ลากรอาชวี ศกึ ษา