The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คำอธิบาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ลักษณะหนี้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by auttapon_tepsong, 2022-04-17 14:02:03

คำอธิบาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะหนี้

คำอธิบาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ลักษณะหนี้

38

แตํฝา่ ยลกู หนจ้ี ะชําระหนก้ี ํอนเสร็จงานแตงํ งานคร้งั ที่ 2 ก็ได๎ ดังนี้ วันท่ีเสร็จงานแตํงงานครั้ง
ที่ 2 จึงถือเป็นวนั ถงึ กาํ หนดชําระหนี้

ขอ้ สงั เกต
1. คําวํา “กรณีเป็นท่ีสงสัย” ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
203 วรรคสอง หมายถึง การสงสัยในกําหนดเวลาชําระหน้ี23 กลําวคือ มีการกําหนดเวลา
ชําระหน้ีไว๎ แตํกําหนดเวลาชําระหนี้ดังกลําวมีหลายกําหนดเวลา ไมํชัดเจน ดังน้ัน ประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 203 วรรคสอง จะนํามาใช๎บังคับในกรณีที่เวลาอันจะพึง
ชําระหน้ีนั้นไดก๎ ําหนดลงไว๎ แตํกรณีเป็นท่ีสงสัยเทํานั้น สํวนกรณีเวลาอันจะพึงชําระหนี้นั้น
ไดก๎ าํ หนดลงไว๎ แตํกรณีไมเ่ ปน็ ทส่ี งสยั ยอํ มจะนาํ ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
203 วรรคสอง มาบังคบั ใช๎ไมํได๎ เชํน หนี้มีกําหนดชําระในวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 กรณีนี้
ยอํ มไมเํ ป็นที่สงสยั ดงั นนั้ เจ๎าหนี้จะเรยี กให๎ลกู หนี้ชําระหนี้กํอนถึงวันท่ี 31 กรกฎาคม 2562
หรอื ลกู หนจ้ี ะชาํ ระหนี้กํอนถึงวันท่ี 31 กรกฎาคม 2562 ไมํได๎ เปน็ ตน๎

ตัวอย่าง นาย ก. ทําสัญญากู๎ยืมเงินจากนาย ข. ไป จํานวน 100,000 บาท
กําหนดอัตราดอกเบีย้ ไวร๎ ๎อยละ 12 ตอํ ปี มกี ําหนดชําระหนี้ 1 ปี ตํอมาเมื่อผํานไปได๎เพียง 6
เดือน นาย ก. มาขอชําระหนี้ ดังนี้ นาย ข. จะปฏิเสธไมํรับชําระหน้ีก็ได๎ เพราะตามสัญญา
หนี้ยงั ไมํถึงกาํ หนดเวลาชาํ ระ แตํหากนาย ข. ยินยอมรับชําระหนี้ หน้ีก็ระงับไป โดยนาย ข.
มสี ิทธคิ ิดดอกเบี้ยเงินก๎ูไดเ๎ พียง 6 เดือน เทําน้นั

2. มีนักกฎหมายหลายทํานมีความเห็นวํา คําวํา “กรณีเป็นที่สงสัย” ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 203 วรรคสอง หมายความวํา มีการกําหนดเวลาชําระหนี้
ไว๎อยาํ งชัดเจนแลว๎ แตํสงสยั วํากาํ หนดเวลานัน้ กําหนดข้ึนเพ่ือประโยชน๑แกํเจ๎าหนี้หรือลูกหน้ี
ซ่ึงกฎหมายให๎สันนิษฐานวําเพื่อประโยชน๑แกํลูกหนี้ เจ๎าหน้ีจึงเรียกให๎ชําระหนี้กํอน
กําหนดเวลานั้นไมํได๎ แตํลูกหนี้จะชําระหนี้กํอนกําหนดเวลาน้ันก็ได๎ เชํน นาย ก. ก๎ูยืมเงิน
จากนาย ข. ไป จํานวน 100,000 บาท มีกําหนดชําระหนี้ในวันท่ี 1 มกราคม 2564 ดังนี้
นาย ข. จะเรียกให๎ชําระหนี้กํอนวันท่ี 1 มกราคม 2564 ไมํได๎ แตํนาย ก. จะชําระหน้ีกํอน
วันท่ี 1 มกราคม 2564 กไ็ ด๎ เป็นตน๎ 24

23เร่ืองเดยี วกนั , หน๎า 57.
24โสภณ รัตนากร, เรื่องเดิม, หน๎า 130,. ปราโมทย๑ จารุนิล, กฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ว่าด้วยหน้ี, พิมพ๑ครั้งที่ 9 (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ๑มหาวิทยาลัยรามคําแหง,
2556), หนา๎ 35-36. วรวฒุ ิ เทพทอง, “หนถี้ ึงกําหนดชําระกบั ลกู หนี้ผิดนัดชําระหนี้,” จุลนิติ
14, 1 (มกราคม –กมุ ภาพนั ธ๑ 2560): หน๎า 53.

39

3. การผดิ นัดของลกู หน้ี
เรอ่ื งการผดิ นดั ของลูกหน้ีตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 เป็น

บทบัญญัติของกฎหมายที่ตํอเนื่องมาจากประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 203
โดยการผิดนัดของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 แบํงออกเป็น
2 กรณี คือ 1. ลกู หน้ีผิดนดั เพราะเจ๎าหนี้เตือนแลว๎ 2. ลูกหน้ีผิดนัดโดยเจ๎าหน้ีมิพักต๎องเตือน
เลย

3.1 ลูกหนผี้ ดิ นัดเพราะเจ้าหน้ีเตือนแล้ว
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 204 วรรคแรก บญั ญัติวํา “ถ๎าหนี้

ถงึ กาํ หนดชาํ ระแลว๎ และภายหลงั แตํน้นั เจ๎าหน้ไี ด๎ใหค๎ าํ เตือนลูกหนี้แล๎ว ลูกหน้ียังไมํชําระหนี้
ไซร๎ ลูกหน้ีได๎ชอื่ วาํ ผดิ นดั เพราะเขาเตอื นแลว๎

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคแรก ลูกหนี้ได๎ชื่อวํา
ผิดนดั เพราะเจา๎ หนเ้ี ตือนแล๎ว หากครบหลักเกณฑ๑ 3 ประการ คอื

(1) ถ๎าหนี้ถึงกําหนดชําระแล๎ว แตํต๎องไมํใชํหน้ีตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 204 วรรคสอง คอื หนที้ ม่ี กี ําหนดเวลาชาํ ระหน้ตี ามวันแหํงปฏิทิน และหน้ีที่
ตอ๎ งบอกกลําวลํวงหน๎ากํอนการชาํ ระหน้ี ซึง่ ได๎กําหนดเวลาลงไว๎อาจคาํ นวณนับได๎โดยปฏิทิน
นับแตํวันท่ีได๎บอกกลําว

(2) ภายหลงั จากที่หนีถ้ งึ กําหนดชาํ ระแลว๎ เจ๎าหน้ไี ด๎ให๎คาํ เตือนลกู หนี้แลว๎
(3) ลกู หนยี้ งั ไมชํ ําระหนี้
ตวั อย่าง
1. ถา้ เวลาอันจะพึงชาระหนี้น้ันได้กาหนดลงไว้ แต่ไม่ได้กาหนดตามวันแห่ง
ปฏิทนิ เชํน ลูกหนี้กูเ๎ งินไปจากเจ๎าหนี้ โดยตกลงกันวําจะชําระหน้ีให๎แกํเจ๎าหน้ีเม่ือเสร็จงาน
แตํงงาน ดังน้ี หน้ีรายนี้ยํอมถึงกําหนดชําระในวันท่ีเสร็จงานแตํงงานน้ัน ถ๎าตํอมาเม่ือเสร็จ
งานแตํงงานแลว๎ เจา๎ หนีไ้ ดเ๎ ตอื นให๎ลกู หนีช้ ําระหนี้ แล๎วลกู หนี้ไมชํ ําระหน้ี ดงั นี้ ลกู หน้ไี ด๎ช่อื วํา
ผิดนัดเพราะเจา๎ หนเ้ี ตือนแลว๎ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคแรก
เป็นต๎น
2. ถา้ เวลาอันจะพึงชาระหน้ีนั้นได้กาหนดลงไว้ แต่ไม่ได้กาหนดตามวันแห่ง
ปฏิทนิ และหากกรณเี ปน็ ทีส่ งสยั เชํน ลูกหน้กี ๎ูเงนิ ไปจากเจ๎าหน้ี โดยตกลงกันวําจะชําระหน้ี
ใหแ๎ กเํ จา๎ หน้เี มื่อเสร็จงานแตงํ งาน แตบํ งั เอิญได๎มีการกําหนดจัดงานแตงํ งาน 2 ครง้ั คอื ครั้งที่
1 จัดงานแตํงงานท่ีบ๎านเจ๎าสาว และครั้งที่ 2 จัดงานแตํงงานที่บ๎านเจ๎าบําวนั้น เป็นกรณีที่
เวลาอันจะพึงชําระหน้ีน้ันได๎กําหนดลงไว๎ แตํกรณีเป็นท่ีสงสัย คือ สงสัยวําจะต๎องชําระหน้ี
ให๎แกํเจ๎าหน้ีเมื่อเสร็จงานแตํงงานคร้ังที่ 1 หรือคร้ังที่ 2 ซึ่งกรณีน้ีกฎหมายให๎สันนิษฐานไว๎
กํอนวาํ เจา๎ หน้จี ะเรียกให๎ชาํ ระหนกี้ ํอนเสรจ็ งานแตงํ งานคร้ังท่ี 2 ไมํได๎ แตํฝ่ายลูกหนี้จะชําระ
หน้ีกอํ นเสร็จงานแตํงงานครั้งท่ี 2 ก็ได๎ ดังน้ี วันท่ีเสร็จงานแตํงงานคร้ังท่ี 2 จึงถือเป็นวันถึง

40

กําหนดชําระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 203 วรรคสอง ถ๎าตํอมา
เม่อื เสรจ็ งานแตํงงานครั้งท่ี 2 แล๎ว เจ๎าหน้ีได๎เตือนให๎ลูกหน้ีชําระหน้ี แล๎วลูกหน้ีไมํชําระหนี้
ดังนี้ ลูกหนี้ได๎ช่ือวําผิดนัดเพราะเจ๎าหน้ีเตือนแล๎ว ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 204 วรรคแรก เป็นตน๎

3. ถ้าเวลาอันจะพึงชาระหนี้มิได้กาหนดลงไว้ แต่พอจะอนุมานจาก
พฤตกิ ารณ์ท้งั ปวงได้ว่าหนี้จะถึงกาหนดชาระเมื่อใด เชํน ลูกหน้ียืมเงินไปลงทุนทํากระทง
ขายในงานวันลอยกระทง โดยมิได๎กําหนดเวลาในการชําระหนี้ไว๎ แตํพออนุมานจาก
พฤติการณไ๑ ดว๎ ําหนถ้ี ึงกําหนดชาํ ระเมอ่ื เสร็จงานวันลอยกระทง ถ๎าตํอมา เมื่อเสร็จงานวันลอย
กระทงแล๎ว เจ๎าหนี้ไดเ๎ ตือนให๎ลูกหน้ีชําระหน้ี แล๎วลูกหนี้ไมํชําระหนี้ ดังน้ี ลูกหนี้ได๎ชื่อวําผิด
นัดเพราะเจ๎าหนเ้ี ตอื นแล๎ว ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคแรก

4. ถ้าเวลาอันจะพึงชาระหนี้น้ันมิได้กาหนดลงไว้ และจะอนุมานจาก
พฤติการณ์ท้ังปวงก็ไม่ได้ เชํน ลูกหนี้กู๎เงินไปจากเจ๎าหน้ี โดยมิได๎กําหนดระยะเวลาในการ
ชาํ ระหน้ไี ว๎ และจะอนุมานจากพฤติการณ๑ทั้งปวงก็ไมํได๎ ดังน้ี เจ๎าหนี้จะเรียกให๎ลูกหนี้ชําระ
หน้ีเมือ่ ใดก็ได๎ เพราะหนีร้ ายนถี้ ึงกําหนดชําระแล๎วตั้งแตํวันที่ก๎ูเงินไป ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 203 วรรคแรก ถ๎าตํอมาเจ๎าหน้ีได๎เตือนให๎ลูกหนี้ชําระหน้ี แล๎ว
ลกู หนไี้ มํชาํ ระหน้ี ลูกหน้จี ะไดช๎ ่อื วําผิดนดั เพราะเจ๎าหนี้เตอื นแลว๎ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคแรก

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1096/2509 ตามหนังสือที่จําเลยทําให๎โจทก๑ไว๎ไมํมี
การกาํ หนดเวลาชําระหน้ี ดังนี้ หนย้ี อํ มถึงกําหนดชําระโดยพลัน คือ หน้ียํอมถึงกําหนดชําระ
หน้ีแล๎ว เมื่อโจทก๑บอกกลําวทวงถามแล๎ว จําเลยก็มีหน๎าท่ีต๎องชําระหนี้ จําเลยจะขอผํอน
ชาํ ระหนีโ้ ดยโจทกไ๑ มไํ ดต๎ กลงตามข๎อเสนอนน้ั ไมํได๎

ข้อสังเกต
(1) การให๎ “คําเตือน” ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204
วรรคแรกน้ี อาจทาํ เปน็ ลายลักษณอ๑ ักษรหรือวาจากไ็ ด๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2527 การเตือนให๎ชําระหนี้ กฎหมายมิได๎
บังคับวําจะต๎องทําเป็นหนังสือ ดังนั้น การที่โจทก๑ได๎เตือนด๎วยวาจาให๎จําเลยชําระหนี้แล๎ว
แตํจาํ เลยไมชํ าํ ระหน้ี จาํ เลยจึงตกเป็นผผู๎ ิดนดั โดยโจทกไ๑ มจํ ําต๎องมหี นงั สือเตือนซํา้ อกี

(2) ถ๎าหนี้ยังไมํถึงกําหนดชําระ แม๎เจ๎าหนี้จะเตือนให๎ลูกหนี้ชําระหนี้ และ
ลูกหนไี้ มชํ ําระหนี้ ลูกหน้ีก็ไมํได๎ช่ือวําผิดนัดเพราะเขาเตือนแล๎ว ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณชิ ย๑ มาตรา 204 วรรคแรก เพราะหน้ียังไมํถึงกําหนดชําระ เชํน ลูกหนี้กู๎เงินไปจาก
เจ๎าหนี้ โดยตกลงกนั วําจะชําระหนี้ใหแ๎ กเํ จา๎ หน้ีเมอ่ื เสร็จงานแตํงงาน เป็นกรณีเวลาอันจะพึง
ชาํ ระหนี้นน้ั ไดก๎ ําหนดลงไว๎ แตํไมไํ ด๎กําหนดตามวันแหํงปฏิทิน ซึ่งหนี้จะถึงกําหนดชําระเมื่อ

41

เสร็จงานแตํงงาน ดังน้ัน เม่ือยังไมํเสร็จงานแตํงงาน แม๎เจ๎าหนี้จะเตือนให๎ลูกหน้ีชําระหน้ี
และลูกหน้ีไมํชําระหน้ี ลูกหนี้ก็ไมํได๎ช่ือวําผิดนัดเพราะเจ๎าหนี้เตือนแล๎ว ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคแรก เพราะหนี้ยงั ไมํถึงกําหนดชําระ

(3) การเตอื นของเจ๎าหน้ีตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204
วรรคแรกน้นั เจา๎ หน้จี ะตอ๎ งใหเ๎ วลาอนั สมควรท่ีจะใหล๎ ูกหนี้ชําระหน้ีด๎วย จึงจะเป็นการเตือน
โดยชอบ โดยเวลาอันสมควรนี้อาจจะระบุเป็นจํานวนวัน (คําพิพากษาฎีกาที่ 1336/2544)
หรือกาํ หนดวนั ทีแ่ นํนอนกไ็ ด๎ และหากลกู หนี้ไมชํ ําระหนภ้ี ายในกําหนดเวลาทเี่ ตือนนนั้ ลกู หนี้
ก็จะตกเป็นผูผ๎ ิดนัดนบั ตงั้ แตํวันทีพ่ น๎ กาํ หนดเวลาในการเตือนเปน็ ต๎นไป25

คาพิพากษาฎีกาท่ี 599/2535 จําเลยยืมสิ่งของจากโจทก๑เพ่ือใช๎ในการ
ทาํ การเกษตร โดยสัญญายืมดงั กลาํ วไมํได๎กําหนดเวลาคืนไว๎ แตํอนุมานได๎วําตามพฤติการณ๑
การให๎ยืมส่ิงของดังกลําวเพ่ือใช๎ในฤดูกาลทําการเกษตร ก็ต๎องสํงคืนเมื่อสิ้นฤดูกาลทํา
การเกษตรคอื ในสนิ้ เดือนเมษายน 2526 ดงั น้ี เปน็ กรณีท่ไี มไํ ดก๎ ําหนดเวลาชําระหนี้ไว๎ตามวัน
แหํงปฏิทิน เป็นเพียงอนุมานจากพฤติการณ๑ การท่ีจําเลยไมํสํงคืนสิ่งของท่ียืมเมื่อสิ้น
ระยะเวลาทอี่ นุมานจากพฤติการณ๑ได๎นัน้ ก็ยงั ไมํตกเป็นผูผ๎ ิดนัด แตตํ ํอมาเมื่อวนั ท่ี 2 เมษายน
2529 โจทก๑มีหนังสือบอกกลําวให๎จําเลยคืนส่ิงของท่ียืมภายในวันท่ี 11 เมษายน 2529
จําเลยไมํคืน จําเลยจึงตกเป็นผ๎ูผิดนัดนับแตํวันถัดจากวันท่ีกําหนดนั้น คือ จําเลยตกเป็น
ผู๎ผดิ นัดนบั แตํวนั ท่ี 12 เมษายน 2529

คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 974/2546 จําเลยทําสัญญาประกันตัวผ๎ูต๎องหา
กับโจทกซ๑ ่งึ เปน็ พนกั งานสอบสวน วาํ จะสํงตวั ผตู๎ ๎องหาให๎แกํโจทก๑ในวันที่ 17 เมษายน 2542
ถ๎าผิดสัญญาจะชดใช๎เงิน 120,000 บาท ตํอมาเมื่อถึงกําหนดดังกลําว จําเลยไมํได๎สํงตัว
ผู๎ต๎องหาให๎โจทก๑ โจทก๑จึงมีหนังสือทวงถามให๎จําเลยชําระหน้ีในวันท่ี 25 มิถุนายน 2542
แตจํ าํ เลยไมชํ ําระ ดงั นี้ จําเลยจึงตกเป็นผู๎ผิดนัดนับแตํวันที่วันท่ี 26 มิถุนายน 2542 เป็นต๎น
ไป

คาพิพากษาฎีกาที่ 4799/2549 หน้ีของจําเลยเป็นหน้ีที่ไมํมีกําหนด
เวลาชําระตามวันแหํงปฏิทิน เม่ือโจทก๑มีหนังสือทวงถามให๎จําเลยชําระหนี้แกํโจทก๑ภายใน
15 วนั นับแตํวันที่ได๎รบั หนงั สือทวงถาม จาํ เลยได๎รบั หนังสอื ทวงถามวันที่ 23 มกราคม 2547
ครบกําหนดจําเลยชําระหนี้วันท่ี 7 กุมภาพันธ๑ 2547 จําเลยจึงตกเป็นผ๎ูผิดนัดนับแตํวันท่ี 8
กุมภาพนั ธ๑ 2547 เป็นตน๎ ไป

25ไพโรจน๑ วายภุ าพ, เรื่องเดมิ , หนา๎ 115, 117.

42

อย่างไรกด็ ีมีคาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ีวินิจฉัยไม่ตรงกับกับอธิบายข้างต้น
ดงั นี้

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3304/2547 หน้ีที่มิได๎มีกําหนดเวลาอันพึงจะ
ชาํ ระหนี้แกกํ นั ไว๎นัน้ โจทกช๑ อบทจี่ ะบอกกลําวกําหนดเวลาใหจ๎ าํ เลยชาํ ระหนี้กํอน เม่ือจําเลย
ไมํชําระหนี้ยํอมได๎ชื่อวําผิดนัดนับแตํเม่ือนั้น เม่ือปรากฏวําโจทก๑มีหนังสือบอกกลําว
กาํ หนดเวลาใหจ๎ ําเลยชาํ ระหนภี้ ายในวันที่ 15 กุมภาพันธ๑ 2544 แตํจาํ เลยไมํชําระหนี้ จําเลย
จึงตกเปน็ ผ๎ผู ิดนัดนับแตํวนั ที่ 15 กุมภาพนั ธ๑ 2544 เปน็ ตน๎ ไป

(4) ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคแรกน้ัน
เจ๎าหน้ีจะต๎องเตือนให๎ลูกหน้ีชําระหนี้โดยให๎เวลาพอสมควร โดยหากเจ๎าหน้ีไมํให๎เวลาแกํ
ลูกหน้ีพอสมควร อาจถือวําเป็นกรณีท่ีการชําระหนี้ยังไมํได๎กระทําลงเพราะพฤติการณ๑ซ่ึง
ลูกหน้ีไมํต๎องรับผิด ลูกหน้ีจึงไมํตกเป็นผู๎ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 20526

(5) ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 652 บัญญัติวํา “ถ๎าในสัญญา
ไมมํ กี ําหนดเวลาใหค๎ ืนทรัพย๑สินซึ่งยืมไป ผู๎ให๎ยืมจะบอกกลําวแกํผู๎ยืมให๎คืนทรัพย๑สินภายใน
เวลาอนั ควร ซง่ึ กําหนดให๎ในคําบอกกลําวน้ันก็ได๎” ซ่ึงศาสตราจารย๑พิเศษไพโรจน๑ วายุภาพ
รองศาสตราจารย๑ ดร.สุนทร มณีสวัสด์ิ และผู๎เขียนมีความคิดเห็นวํา เม่ือประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 652 ได๎บัญญัติไว๎โดยเฉพาะแล๎ว จึงควรจะบังคับตามบทบัญญัติ
เฉพาะนั้น ไมํนําจะนําประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 203 วรรคแรก ซึ่งเป็น
บทท่วั ไปมาใชบ๎ งั คับได๎27 แตํมีคําพิพากษาของศาลฎีกาหลายคดีท่ีไมํได๎วินิจฉัยตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 652 เชํน

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2103/2535 สัญญาก๎ูยืมเงินไมํได๎กําหนดเวลา
ชําระหน้ีไว๎ โจทกผ๑ ู๎ให๎กู๎ยํอมจะเรียกให๎จําเลยผู๎ก๎ูชําระหนี้ได๎โดยพลัน ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 203 วรรคแรก และมีอํานาจฟ้องให๎จําเลยชําระหนี้โดยไมํจําต๎อง
บอกกลาํ วตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 652 กํอนกไ็ ด๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2539 การเรียกให๎ชําระหน้ีเงินยืมซึ่งมิได๎
กําหนดเวลาชําระหนี้ไว๎ ต๎องปรับด๎วยประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 203 วรรค
แรก มิใชํเป็นการเรยี กใหค๎ นื ทรัพยส๑ ินซึง่ ยืมไปตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา
652 เม่อื สัญญากย๎ู ืมมิไดก๎ ําหนดวันชาํ ระคืน โจทก๑ผูใ๎ ห๎ก๎ยู ํอมจะเรยี กใหจ๎ าํ เลยผู๎ก๎ูชาํ ระหนี้โดย
พลนั ได๎

26โสภณ รัตนากร, เรอ่ื งเดมิ , หนา๎ 220,
27ไพโรจน๑ วายุภาพ, เรอ่ื งเดิม, หนา๎ 109., สุนทร มณีสวัสด์ิ, เร่ืองเดิม, หน๎า 55.

43

3.2 ลกู หนผ้ี ิดนดั โดยเจ้าหนี้มิพักตอ้ งเตอื นเลย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง “ถ๎าได๎

กําหนดเวลาชําระหน้ีไว๎ตามวันแหํงปฏิทิน และลูกหนี้มิได๎ชําระหน้ีตามกําหนดไซร๎ ทํานวํา
ลกู หนี้ตกเป็นผูผ๎ ดิ นัดโดยมพิ กั ต๎องเตือนเลย วิธีเดียวกันน้ีทํานให๎ใช๎บังคับแกํกรณีท่ีต๎องบอก
กลําวลํวงหน๎ากํอนการชําระหน้ี ซ่ึงได๎กําหนดเวลาลงไว๎อาจคํานวณนับได๎โดยปฏิทินนับแตํ
วนั ท่ีได๎บอกกลําว”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง กรณีท่ีทําให๎
ลกู หนี้ผิดนัดโดยเจา๎ หนมี้ พิ ักตอ๎ งเตอื นเลย หรือทาํ ใหล๎ กู หนผี้ ดิ นดั โดยอัตโนมัติ มดี ังน้ี

1. กรณีที่ได๎กําหนดเวลาชําระหน้ีไว๎ตามวันแหํงปฏิทิน และลูกหนี้มิได๎ชําระ
หนีต้ ามกําหนดนน้ั ลูกหนต้ี กเป็นผูผ๎ ดิ นดั โดยเจา๎ หนีม้ พิ กั ต๎องเตอื นเลย ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง

ตัวอย่าง นาย ก. ก๎ูเงินนาย ข. ไป 1,000,000 บาท กําหนดชําระคืนใน
วันท่ี 15 สิงหาคม 2562 ดังน้ี ถ๎านาย ก. ไมํชําระหน้ีตามกําหนดเวลาดังกลําว นาย ก. ก็
ตกเปน็ ผผ๎ู ดิ นัดโดยเจา๎ หน้มี ิพกั ตอ๎ งเตือนเลย ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
204 วรรคสอง

อน่ึง กรณีท่ีได๎กําหนดเวลาชําระหนี้ไว๎ตามวันแหํงปฏิทิน ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง หมายความรวมถึงกรณีท่ีได๎กําหนดเวลา
ชําระหน้ีคํานวณได๎ตามวันแหํงปฏิทินด๎วย เชํน กําหนดให๎ใช๎เงินคืนในเวลาอีก 10 วัน
นับตั้งแตํวันที่ทําสัญญาก๎ู เป็นต๎น ซึ่งหากลูกหนี้มิได๎ชําระหนี้ตามกําหนดน้ัน ลูกหน้ีตกเป็น
ผู๎ผิดนัดโดยเจ๎าหน้ีมิพักต๎องเตือนเลย ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
204 วรรคสอง

ตัวอย่าง นาย ก. กู๎เงินนาย ข. ไป 1,000,000 บาท เม่ือวันที่ 10 สิงหาคม
2562 กําหนดชําระคนื ในเวลาอกี 10 วัน นับตั้งแตํวันท่ีทําสัญญาก๎ู ดังน้ี ถ๎านาย ก. ไมํชําระ
หน้ีวันท่ี 20 สิงหาคม 2562 นาย ก. ก็ตกเป็นผู๎ผิดนัดโดยเจ๎าหนี้มิพักต๎องเตือนเลย ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2533 การซ้ือขายสินค๎าได๎กําหนดเวลาชําระ
หนไี้ ว๎ 60 วนั นบั แตํวันท่สี ํงมอบสินค๎า ดังนี้ เมื่อลูกหนี้ไมํชําระหนี้ตามกําหนดเวลาดังกลําว
ลูกหนี้ยอํ มได๎ช่อื วําผดิ นดั แล๎ว โดยเจา๎ หน้ีไมจํ าํ ต๎องทวงถามกอํ น

คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 5414/2549 สัญญาทําเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2542
และกําหนดชําระหน้ีภายใน 1 ปี เป็นกรณีมีกําหนดเวลาชําระหนี้ตามวันแหํงปฏิทิน เมื่อ
ลูกหนี้มิได๎ชําระหนี้ตามกําหนดเวลาดังกลําว ลูกหนี้จึงตกเป็นผ๎ูผิดนัดทันที ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 204 วรรคสอง

44

2. กรณีท่ีได๎กําหนดเวลาชาํ ระหน้ีไวต๎ ามวันแหํงปฏทิ ิน แตํหากกรณีเป็นท่ีสงสัย
ให๎สันนิษฐานไว๎กํอนวําเจ๎าหน้ีจะเรียกให๎ชําระหนี้กํอนถึงเวลาน้ันหาได๎ไมํ แตํฝ่ายลูกหนี้จะ
ชาํ ระหนีก้ อํ นกําหนดนั้นก็ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 203 วรรคสอง
และลูกหนี้มิได๎ชําระหนี้ตามกําหนดน้ัน ลูกหน้ีตกเป็นผู๎ผิดนัดโดยเจ๎าหนี้มิพักต๎องเตือนเลย
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง เชํน การที่เจ๎าหน้ีและลูกหนี้
ตกลงกนั วาํ จะชาํ ระหน้ีในวันสบิ หา๎ คํ่าเดือนสามน้ัน เป็นกรณีท่ีมีการกําหนดเวลาชําระหนี้ไว๎
แตํกรณเี ป็นท่สี งสัย คือ สงสยั วําเปน็ วนั ขน้ึ สบิ หา๎ ค่ําเดอื นสาม หรือวันแรมสิบห๎าคํ่าเดือนสาม
กนั แนํ ซง่ึ กรณนี ก้ี ฎหมายใหส๎ นั นษิ ฐานไว๎กอํ นวําเจา๎ หนจ้ี ะเรียกให๎ชาํ ระหน้ีกํอนถึงวันแรมสิบ
ห๎าคํ่าเดือนสามไมํได๎ แตํฝ่ายลูกหน้ีจะชําระหน้ีกํอนวันแรมสิบห๎าค่ําเดือนสามก็ได๎ ดังน้ี
วันแรมสิบห๎าค่ําเดือนสามจึงถือเป็นวันถึงกําหนดชําระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 203 วรรคสอง ซงึ่ หากในวนั แรมสบิ ห๎าคํ่าเดือนสาม ลูกหนี้มิได๎ชําระหน้ีตาม
กําหนด ลูกหน้ีจะตกเป็นผู๎ผิดนัดโดยเจ๎าหน้ีมิพักต๎องเตือนเลย ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณชิ ย๑ มาตรา 204 วรรคสอง

3. กรณีที่เวลาอันจะพึงชําระหน้ีน้ันมิได๎กําหนดลงไว๎ และจะอนุมานจาก
พฤติการณ๑ท้ังปวงก็ไมํได๎ แตํเจ๎าหน้ีต๎องบอกกลําวลํวงหน๎ากํอนการชําระหนี้ ซึ่งได๎
กาํ หนดเวลาลงไว๎อาจคํานวณนับได๎โดยปฏิทินนับแตํวันที่ได๎บอกกลําว และลูกหนี้มิได๎ชําระ
หน้ีตามกําหนดนั้น ลูกหน้ีตกเป็นผู๎ผิดนัดโดยมิพักต๎องเตือนเลย ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง

สําหรับกรณีที่เจ๎าหนี้ต๎องบอกกลําวลํวงหน๎ากํอนการชําระหนี้ ซ่ึงได๎
กาํ หนดเวลาลงไว๎อาจคาํ นวณนับได๎โดยปฏิทินนับแตํวันที่ได๎บอกกลําวน้ี เจ๎าหน้ีจะใช๎วิธีการ
บอกกลําวเป็นลายลกั ษณ๑อักษรหรอื จะบอกกลําวด๎วยวาจาก็ได๎

ตัวอย่าง นาย ก. ก๎ูเงินนาย ข. ไป 1,000,000 บาท โดยไมํมีกําหนดเวลา
ชําระหนี้ไว๎ แตํนาย ก. กับนาย ข. ตกลงกันวํา ถ๎านาย ข. ต๎องการให๎นาย ก. ชําระหน้ีคืน
เม่อื ใด ก็ให๎นาย ข. บอกกลําวแกํนาย ก. ลํวงหน๎ากํอน 10 วัน นับแตํวันท่ีได๎ บอกกลําว ถ๎า
ตํอมาในวันท่ี 10 สิงหาคม 2562 นาย ข. บอกกลําวให๎นาย ก. ชําระหน้ี ดังน้ี วันท่ี 20
สิงหาคม 2562 ก็ถือเป็นวันถึงกําหนดชําระหนี้ ซ่ึงหากนาย ก. มิได๎ชําระหนี้ตาม
กําหนดเวลานั้น นาย ก. จะตกเป็นผ๎ูผิดนัดโดยเจ๎าหนี้มิพักต๎องเตือนเลย ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 204 วรรคสอง

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 664/2530 โจทก๑ได๎มหี นงั สือแจ๎งให๎จําเลยชําระหน้ี
แกํโจทก๑ภายใน 30 วัน นับแตํวันที่จําเลยได๎รับหนังสือบอกกลําว และจําเลยได๎รับหนังสือ
บอกกลําวในวันท่ี 25 มกราคม 2523 หน้ีจึงถึงกําหนดชําระในวันท่ี 24 กุมภาพันธ๑ 2523
แตํจาํ เลยกไ็ มํชาํ ระหน้ีภายในกําหนดเวลาดังกลาํ ว จําเลยจึงตกเป็นผ๎ผู ิดนดั ชําระหนี้

45

คาพิพากษาศาลฎกี าที่ 1336/2545 จําเลยมหี นังสือทวงถามให๎โจทก๑ชําระ
หน้ีภายใน 15 วัน นับแตํวันที่โจทก๑ได๎รับหนังสือ แตํเม่ือครบกําหนดดังกลําว โจทก๑ไมํชําระ
หนี้ โจทก๑จึงตกเป็นผู๎ผิดนัดชําระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204
วรรคสอง

ขอ้ สงั เกต
1. ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง แม๎ในกรณีที่
กําหนดเวลาชาํ ระหนี้ได๎กาํ หนดไว๎ตามวนั แหํงปฏิทิน และกรณีที่ต๎องบอกกลําวลํวงหน๎ากํอน
การชําระหนี้ ซึ่งได๎กําหนดเวลาลงไว๎อาจคํานวณนับได๎โดยปฏิทินนับแตํวันท่ีได๎บอกกลําว
หากลูกหนีม้ ไิ ด๎ชําระหนี้ตามกาํ หนดนัน้ ลกู หนีจ้ ะตกเปน็ ผ๎ผู ิดนดั โดยเจ๎าหน้ีมิพักต๎องเตือนเลย
แตกํ ระนน้ั การผิดนดั กเ็ รม่ิ นับแตวํ นั ถัดจากวันท่หี น้ีถงึ กําหนดชําระนน้ั

ตัวอย่าง ตามสัญญาก๎ูได๎ระบุกําหนดวันชําระหนี้เงินกู๎คืนภายในวันท่ี 5
ตุลาคม 2515 เม่ือลูกหน้ีไมํชําระหนี้ภายในกําหนดตามข๎อตกลงท่ีระบุไว๎ ลูกหนี้จึงตกเป็น
ผ๎ผู ิดนดั โดยเจา๎ หนีม้ พิ ักตอ๎ งเตือนเลย ซ่งึ การตกเป็นผ๎ูผิดนัดให๎นับตั้งแตํวันถัดจากวันที่หนี้ถึง
กําหนดชาํ ระ ดงั น้นั ลกู หน้ีจึงตกเป็นผู๎ผดิ นดั ในวนั ที่ 6 ตุลาคม 2515 (คาํ พิพากษาศาลฎีกาท่ี
2034/2522)

2. แม๎หน้ีนั้นจะมีกําหนดเวลาชําระหน้ีตามวันแหํงปฏิทิน แตํเมื่อเจ๎าหน้ีไมํได๎
ถือเอากาํ หนดเวลาชาํ ระหนน้ี ้นั เปน็ สาระสําคญั หน้ีนั้นจึงกลายเป็นหนี้ที่ไมํมีกําหนดเวลา ซ่ึง
ลูกหน้จี ะตกเป็นผ๎ผู ดิ นดั ก็ตํอเม่ือเจา๎ หนีไ้ ด๎ให๎คําเตือนลูกหน้ีแล๎ว ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคแรก

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2677/2547 การท่ีโจทก๑ชําระหน้ีคําเชําซ้ืองวด
กํอน ๆ ลาํ ช๎าไมตํ รงตามกําหนดเวลาชาํ ระหนี้ท่กี ําหนด แตํจําเลยก็ยินยอมรับชําระหน้ีตลอด
มานนั้ ถือได๎วําคํสู ัญญามิได๎ถอื เอากาํ หนดเวลาชําระหนี้ท่ีกําหนดไว๎นนั้ เป็นสาระสาํ คัญ ดังน้ัน
การท่ีโจทก๑ชําระหนี้งวดนี้ลําช๎าไมํตรงตามกําหนดเวลาชําระหนี้ดังกลําว โจทก๑จึงไมํตกเป็น
ผผ๎ู ดิ นดั

คาพิพากษาศาลฎกี าที่ 997/2551 สัญญามีกําหนดเวลาชําระหน้ีคือวันท่ี 8
มกราคม 2541 แตํจําเลยแจ๎งวาํ ให๎โจทก๑มารบั เงินวนั ที่ 13 มีนาคม 2541 โจทก๑ก็มิได๎ทักท๎วง
แสดงวาํ โจทก๑และจาํ เลยมิได๎ถือเอากําหนดเวลาชําระหนี้ตามสัญญาเป็นสาระสําคัญ หนี้น้ัน
จงึ กลายเป็นหนี้ท่ีไมมํ กี าํ หนดเวลา และจําเลยจะตกเป็นผ๎ูผิดนัดก็ตํอเม่ือโจทก๑เตือนให๎จําเลย
ชําระหน้ี แล๎วจําเลยไมํชําระหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204
วรรคแรก

46

3. สําหรับหนี้ที่มีการตกลงกันให๎ผํอนชําระหน้ีเป็นงวด ๆ ตามวันแหํงปฏิทิน
แม๎จะไมํมขี อ๎ ตกลงกนั วําถา๎ ลกู หนผ้ี ิดนัดชาํ ระหนงี้ วดใดงวดหน่งึ ใหถ๎ ือวาํ ลกู หนผ้ี ิดนัดชําระหนี้
ทกุ งวดกต็ าม แตํถา๎ ลูกหน้ีผิดนดั ชําระหน้ีงวดใดงวดหน่งึ ก็ถือวาํ ลกู หนผี้ ิดนัดชําระหน้ีทง้ั หมด

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 521/2510 จําเลยทําสัญญาวําจะชําระหนี้ภายใน
วันที่ 1 ของทกุ เดือน โดยไมํได๎มีข๎อตกลงวําถ๎าจําเลยผิดนัดชําระหน้ีงวดใดงวดหน่ึงให๎ถือวํา
จําเลยผดิ นัดชําระหนี้ท้งั หมด เมอื่ จําเลยไมชํ าํ ระหนตี้ ามกาํ หนดเวลาท่ีได๎ตกลงกันไว๎ แม๎เพียง
งวดหน่งึ งวดใด ก็ถือวําจําเลยตกเป็นผ๎ูผิดนัดชําระหนี้นั้นทั้งหมด หาใชํจําเลยผิดนัดชําระหนี้
แตํเฉพาะงวดไมํ

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3027/2528 จําเลยทําสัญญาวําจะชําระหนี้ให๎แกํ
โจทก๑เป็นงวด ๆ โดยไมไํ ดร๎ ะบวุ ําถ๎าจําเลยผดิ นดั ชาํ ระหนี้งวดใดงวดหนง่ึ ใหถ๎ ือวําจําเลยผิดนัด
ชําระหน้ีทงั้ หมด เมอ่ื จาํ เลยไมชํ าํ ระหน้ีให๎แกํโจทก๑ตามกําหนดเวลาที่ได๎ตกลงกันไว๎ แม๎เพียง
งวดหนง่ึ งวดใด ก็ถือวําจําเลยตกเป็นผ๎ูผิดนัดชําระหน้ีตามสัญญาท้ังหมด หาใชํจําเลยผิดนัด
ชาํ ระหนี้แตํเฉพาะงวดไมํ โจทก๑ยอํ มมสี ทิ ธฟิ อ้ งบังคับใหจ๎ าํ เลยชาํ ระหนที้ งั้ หมดได๎

4. กรณีที่ไมถ่ ือว่าลกู หน้ผี ิดนดั
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 205 บัญญัติวํา “ตราบใดการชําระหนี้

น้นั ยังมไิ ดก๎ ระทําลงเพราะพฤตกิ ารณ๑อันใดอนั หน่ึงซึ่งลูกหน้ีไมํตอ๎ งรบั ผิดชอบ ตราบนนั้ ลูกหนี้
ยังหาได๎ชอื่ วําผิดนดั ไมํ”

ในกรณีทลี่ ูกหน้ีไมชํ ําระหน้ี หากการไมชํ าํ ระหน้ีน้ันเกิดจากพฤติการณ๑อันใดซึ่งไมํใชํ
ความผดิ ของลกู หน้ี การจะใหล๎ ูกหน้ีตอ๎ งรบั ผิดชอบก็ดูจะไมํยุติธรรมแกํลูกหน้ี กฎหมายจึงได๎
บัญญตั ขิ ๎อยกเว๎นไวต๎ ามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 205 วําหากการชําระหน้ี
มิได๎กระทําลงเพราะพฤตกิ ารณซ๑ ึ่งลกู หนไ้ี มตํ อ๎ งรับผิดชอบ ลูกหนี้หาได๎ชือ่ วําผดิ นดั ไมํ

ท้ังน้ี จะเหน็ ได๎วําประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 205 เปน็ ข๎อยกเว๎นของ
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 กลําวคือ หากการไมํชําระหนี้ของลูกหน้ี
เป็นไปตามหลักเกณฑ๑ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ 204 อันมีผลทําให๎ลูกหน้ี
ตกเป็นผู๎ผิดนัดแล๎ว แตํหากการไมํชําระหนี้นั้น เกิดจากพฤติการณ๑อันใดซ่ึงลูกหน้ีไมํต๎อง
รับผิดชอบ ลูกหนี้จะได๎รับการยกเว๎น ไมํตกเป็นผู๎ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 205

47

สําหรับพฤติการณซ๑ ึง่ ลูกหนไี้ มํตอ๎ งรับผิดชอบนนั้ อาจมไี ดห๎ ลายกรณี เชนํ
1. กรณที ีเ่ กิดจากเจ้าหนเ้ี อง ไดแ๎ กํ กรณีทีเ่ จ๎าหนี้ผดิ นดั และกรณีอ่ืน ๆ

1.1 กรณีทเี่ จ้าหนี้ผดิ นัด ไดแ๎ กํ กรณีท่ีเจ๎าหน้ีไมํรับชําระหน้ีโดยปราศจากมูลเหตุ
อันจะอ๎างกฎหมายได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 207 กรณีเจ๎าหน้ีไมํ
กระทําการเพ่ือรับชําระหน้ีภายในเวลากําหนด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 209 และกรณีเจ๎าหน้ีไมํเสนอท่ีจะทําการชําระหนี้ตอบแทนตามที่จะพึงต๎องทํา ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 210

1.2 กรณอี ่ืน ๆ เชนํ การที่ผ๎ใู ห๎เชําไปเก็บคําเชําจากผเู๎ ชําตลอดมา 10 ปี ต้ังแตํเชํา
กันมาเป็นการแสดงเจตนาไวว๎ าํ ผู๎ให๎เชําจะเปน็ ผ๎ไู ปเกบ็ คําเชาํ เอาจากผู๎เชําเอง เม่ือผ๎ูให๎เชําไมํ
ไปเก็บ จะหาวําผ๎ูเชําผิดนัดหาได๎ไมํ (คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2503) ผู๎ขายได๎ไปเก็บเงิน
จากผซู๎ ้ือ ณ ที่ทํางานของผู๎ซื้อมา 7 งวดแล๎ว แตํมาผู๎ขายมิได๎ไปเก็บเงินดังเชํนเคยปฏิบัติมา
ดังน้ี ผู๎ขายจะถือวําผ๎ูซ้ือผิดนัดไมํชําระหนี้หาได๎ไมํ (คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี 470/2507) ทํา
สัญญาซื้อขายสินค๎าท่ีต๎องสั่งมาจากตํางประเทศ โดยมีข๎อกําหนดในสัญญาวํา ถ๎ามีการ
เปลย่ี นแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงนิ ตราตาํ งประเทศ ผู๎ขายมีสิทธิปรับราคาสินค๎าใหมํได๎ ดังนั้น
เม่อื ตอํ มาอตั ราแลกเปลี่ยนเงนิ ตราตํางประเทศสูงข้ึน ผ๎ูขายจึงมีสิทธิปรับราคาสินค๎าที่ขายให๎
สูงข้ึนได๎ตามขอ๎ กาํ หนดในสัญญาดงั กลําว แตํเมอื่ ผซ๎ู ื้อไมํยินยอม ผู๎ขายก็ยํอมมีสิทธิท่ีจะไมํสํง
สินค๎าใหผ๎ ๎ซู ื้อ จะวําผ๎ขู ายผิดนัดหาได๎ไมํ (คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1393/2520)

2. กรณที ีเ่ กิดจากบุคคลภายนอก เชํน บุคคลภายนอกขโมยทรัพย๑ซึ่งเป็นวัตถุแหํง
หน้ีไป เป็นต๎น แตํอยํางไรก็ดี พฤติการณ๑ซึ่งลูกหน้ีไมํต๎องรับผิดชอบ ซ่ึงเกิดจาก
บุคคลภายนอกนัน้ ตอ๎ งเป็นกรณีทีล่ ูกหน้ไี มํมีสวํ นผิดด๎วยเทาํ น้ัน

ตัวอย่างที่ 1 ผู๎ขายตกลงจะแบํงแยกและไปโอนกรรมสิทธ์ิในท่ีดินให๎แกํผ๎ูซื้อ
ภายในเวลาที่กําหนด แตํทําไมํได๎ เพราะเจ๎าพนักงานท่ีดินดําเนินการแบํงแยกที่ดินไมํเสร็จ
ดังน้ี เมอื่ การชําระหนี้มิได๎กระทําลงเพราะพฤติการณ๑ซึ่งผู๎ขายไมํต๎องรับผิดชอบ ผู๎ขายจึงหา
ได๎ชอื่ วาํ ผดิ นดั ไมํ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 205

ตัวอย่างที่ 2 ผ๎ูขายตกลงจะแบํงแยกและไปโอนกรรมสิทธ์ิในท่ีดินให๎แกํผู๎ซื้อ
ภายในเวลาที่กําหนด แตํทําไมํได๎ เพราะเจ๎าพนักงานที่ดินดําเนินการแบํงแยกท่ีดินไมํเสร็จ
แตํอยํางไรก็ดี สาเหตุที่เจ๎าพนักงานท่ีดินดําเนินการแบํงแยกที่ดินไมํเสร็จนั้น เกิดจากผู๎ขาย
ดําเนินการติดตํอเจ๎าพนักงานที่ดินลําช๎า ดังนี้ จะถือวําการชําระหน้ีมิได๎กระทําลงเพราะ
พฤตกิ ารณซ๑ ึ่งผ๎ขู ายไมํตอ๎ งรับผดิ ชอบ อนั ทําใหผ๎ ๎ูขายไมํตกเป็นผูผ๎ ิดนัด ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 205 ไมไํ ด๎

48

3. เหตสุ ดุ วสิ ยั
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 8 บัญญัติวํา “คําวํา “เหตุสุดวิสัย”

หมายความวํา เหตุใด ๆ อนั จะเกดิ ขน้ึ ก็ดี จะให๎ผลพิบัติก็ดี เป็นเหตุที่ไมํอาจป้องกันได๎แม๎ท้ัง
บุคคลผต๎ู อ๎ งประสบหรือใกล๎จะต๎องประสบเหตุน้ันจะได๎จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึง
คาดหมายไดจ๎ ากบุคคลในฐานะและภาวะเชํนน้นั ”

เหตุสุดวิสัย เชํน นํ้าทํวม, ลมพายุ, สึนามิ, แผํนดินไหว, ฟ้าผํา, อุบัติเหตุ
โรคระบาด เป็นต๎น

ตัวอย่าง ลกู หนยี้ ืมม๎าไปจากเจ๎าหนี้ แตํเมื่อถึงกําหนดสํงม๎าคืน ได๎เกิดนํ้าทํวมหนัก
จนเปน็ เหตใุ ห๎ลูกหนี้ไมํสามารถนําม๎าไปสํงคืนได๎ ดังน้ี เม่ือการชําระหน้ีมิได๎กระทําลงเพราะ
พฤติการณ๑ซ่ึงลูกหน้ีไมํต๎องรับผิดชอบ ลูกหน้ีจึงหาได๎ชื่อวําผิดนัดไมํ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 205

อนึ่ง การอ๎างพฤติการณ๑ซึ่งลูกหน้ีไมํต๎องรับผิดชอบ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 205 น้ี ก็เพียงเพื่อลูกหนี้จะได๎ไมํตกเป็นผู๎ผิดนัดเทําน้ัน แตํหน้ีไมํได๎
ระงับไป หน้ียังคงมีอยํู ดังนั้น เม่ือพฤติการณ๑ซ่ึงลูกหน้ีไมํต๎องรับผิดชอบนั้นได๎ส้ินสุดลงหรือ
ผํานพ๎นไปแล๎ว ลูกหน้ีจึงยังคงมีหน๎าที่ต๎องชําระหน้ีน้ันอยูํ เชํน ลูกหน้ียืมม๎าไปจากเจ๎าหน้ี
แตํเมื่อถึงกําหนดสํงม๎าคืน ได๎เกิดน้ําทํวมหนัก ดังน้ี เมื่อการชําระหน้ีมิได๎กระทําลงเพราะ
พฤติการณ๑ซ่ึงลูกหนี้ไมํต๎องรับผิดชอบ ลูกหน้ีจึงหาได๎ชื่อวําผิดนัดไมํ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 205 แตํตํอมาเมื่อน้ําลดและม๎ายังไมํตาย ลูกหน้ีก็ต๎องสํงม๎าคืน
เพราะหน้ีไมไํ ดร๎ ะงับไป หน้ียังคงมีอยูํ เป็นต๎น และกรณีน้ีหน้ีดังกลําวได๎ยํอมกลายเป็นหนี้ที่
ไมมํ ีกําหนดเวลา ซงึ่ ลกู หนี้จะตกเป็นผ๎ูผดิ นัดก็ตอํ เมอื่ เจา๎ หนี้ไดเ๎ ตือนแลว๎

คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ีเกย่ี วขอ้ ง
คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 389/2499 ในสัญญากําหนดวํากํอนท่ีจําเลยจะสํงไม๎ลง
เรอื โจทก๑มหี นา๎ ทจ่ี ะตอ๎ งไปทาํ การวดั ตรวจไม๎กาํ หนดเคร่ืองหมายกํอน เม่ือโจทก๑ไมํได๎ปฏิบัติ
หน๎าท่ีดังกลําว การท่ีจําเลยไมํได๎สํงไม๎ลงเรือ จึงเป็นพฤติการณ๑ที่จําเลยไมํต๎องรับผิดชอบ
จาํ เลยจงึ หาตกเป็นผ๎ผู ดิ นดั ไมํ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 205
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 244/2516 จําเลยตกลงชําระหน้ีให๎แกํโจทก๑เป็นราย
เดอื น ดังน้ี แมค๎ วายของจาํ เลยจะหายและตอ๎ งออกติดตาม จาํ เลยก็ยงั คงมหี น๎าที่จะต๎องชําระ
หน้ีใหแ๎ กํโจทก๑ การไปตามควายแล๎วกลับไมํทัน มิใชํเหตุสุดวิสัย และที่จําเลยอ๎างวําขายข๎าว
ไมํได๎เพราะข๎าวไมํมีราคานั้น หากจําเลยขวนขวายขายข๎าวในราคาตํ่า ด๎วยความจําเป็นท่ี
จะต๎องหาเงินมาชําระหน้ี ก็ยํอมทําได๎ ดังน้ัน เมื่อจําเลยไมํชําระหน้ีให๎แกํโจทก๑ตามกําหนด
โดยจะอ๎างพฤตกิ ารณท๑ ัง้ สองดงั กลําว มาเป็นขอ๎ แกต๎ ัวตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 205 ไมํได๎ จําเลยจงึ ตกเป็นผ๎ูผดิ นัด

49

คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 750/2518 สัญญาจะซื้อขายท่ีดินมีข๎อตกลงวํา ผ๎ูขายมี
หนา๎ ที่ไปดําเนนิ การออกโฉนดใหเ๎ สร็จภายใน 15 เดอื น ดงั นี้ เม่อื เจ๎าพนกั งานท่ีดินไมํสามารถ
ทําการรังวัดออกโฉนดให๎เสร็จภายในกําหนด เหตุแหํงการออกโฉนดลําช๎าน้ีจึงไมํใชํความผิด
ของผขู๎ าย ผ๎ูขายจงึ ไมํตกเป็นผ๎ูผิดนดั ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 205

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2523 ลูกหน้ีไมํสํงมอบนํ้าตาลให๎แกํผู๎ซ้ือตาม
กําหนดเวลา เพราะลูกหนี้ไมํสามารถตกลงราคากับผู๎ผลิตน้ําตาลได๎ ตํอมารัฐบาลจึงห๎ามสํง
น้ําตาลออกไปตาํ งประเทศ ดังน้ี ไมํเป็นเหตุสุดวิสัยที่จะอ๎างขึ้นป๓ดความรับผิด ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 205 ได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2189/2523 โจทก๑ตกลงขายสินค๎าให๎จําเลยโดยจะต๎อง
ส่ังซ้ือจากตํางประเทศ การที่โจทก๑ไมํสามารถสํงมอบสินค๎าให๎จําเลยได๎ตามกําหนดเพราะ
สินค๎าเกิดสูญหายในระหวํางการขนสํงมายังประเทศไทย ซ่ึงถือเป็นเร่ืองพ๎นวิสัยที่โจทก๑จะ
ป้องกันได๎ จึงถือเป็นพฤติการณ๑ซ่ึงโจทก๑ไมํต๎องรับผิดชอบ โจทก๑จึงไมํตกเป็นผู๎ผิดนัด และ
จาํ เลยจะต๎องใหเ๎ วลาโจทก๑เป็นเวลาพอสมควรในการปฏบิ ัติการชําระหน้ี

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 5908/2540 โจทก๑ทําสัญญาซ้ือสินค๎าของบริษัท ย.
ประเทศองั กฤษจากจําเลย กาํ หนดสํงมอบสนิ คา๎ วันที่ 17 มิถุนายน 2535 หลังจากทําสัญญา
จําเลยได๎ส่ังซ้ือสินค๎าดังกลําวจากบริษัท ย. แล๎ว แตํเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 ได๎เกิด
เหตุการณ๑ไมํสงบขึ้นในประเทศไทย รัฐบาลอังกฤษจึงไมํอนุญาตให๎สํงสินค๎าดังกลําวมายัง
ประเทศไทย ทําให๎จําเลยไมํสามารถสํงมอบสินค๎าดังกลําวให๎โจทก๑ได๎ตามกําหนด ดังนี้ เม่ือ
การชําระหนี้น้ันยังมิได๎กระทําลง เพราะพฤติการณ๑ซ่ึงจําเลยไมํต๎องรับผิดชอบ จําเลยจึงไมํ
ตกเปน็ ผผู๎ ิดนดั ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 205

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2669/2532 การท่ีจําเลยไมํนําเงินมาชําระหน้ีตาม
กําหนด โดยอ๎างวํามารดาของจําเลยป่วยกะทันหัน จําเลยจึงต๎องเดินทางไปเยี่ยมท่ี
ตาํ งจงั หวดั นน้ั มิใชคํ วามจาํ เปน็ ถงึ ขนาดจะนําเงนิ ชําระหนี้ไมํได๎ เพราะการนําเงนิ มาชําระหนี้
มิใชํเร่ืองที่จําเลยจะต๎องดําเนินการเองโดยเฉพาะตัว ดังน้ัน จึงถือไมํได๎วําเป็นพฤติการณ๑ท่ี
จําเลยไมํต๎องรับผิดชอบ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 205 จําเลยจึงตก
เปน็ ผผ๎ู ิดนัด

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1768/2549 การทีจ่ าํ เลยไมชํ าํ ระหนี้ให๎แกํโจทก๑ ทั้งท่ีหนี้
ได๎ถึงกําหนดชําระแล๎ว เพราะจําเลยถูกกระทรวงการคลังส่ังระงับการดําเนินกิจการนั้น
ถอื เป็นพฤตกิ ารณท๑ ีจ่ าํ เลยซ่ึงเป็นลูกหนี้ไมํต๎องรับผิดชอบ ดังนั้น จําเลยจึงไมํตกเป็นผ๎ูผิดนัด
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 205

50

5. การผดิ นัดของลกู หนใ้ี นกรณที ่ีลูกหนี้ไดท้ าละเมิด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 206 บญั ญัตวิ ํา “ในกรณีหนี้อันเกิดแตํ

มลู ละเมดิ ลกู หน้ไี ดช๎ ่อื วําผดิ นัดมาแตํเวลาทท่ี าํ ละเมดิ ”
ความหมายของคําวํา “ละเมิด” เป็นไปตามที่กําหนดไว๎ในประมวลกฎหมายแพํง

และพาณชิ ย๑ มาตรา 420 ซ่ึงบัญญัติวํา “ผู๎ใดจงใจหรือประมาทเลินเลํอ ทําตํอบุคคลอื่นโดย
ผิดกฎหมายใหเ๎ ขาเสยี หายถึงแกชํ วี ติ ก็ดี แกํรํางกายก็ดี อนามัยกด็ ี เสรีภาพก็ดี ทรัพย๑สินหรือ
สิทธิอยํางหน่ึงอยาํ งใดก็ดี ทาํ นวําผ๎ูนนั้ ทําละเมดิ จาํ ต๎องใชค๎ าํ สินไหมทดแทนเพือ่ การนั้น”

ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 206 หมายความวํา หนี้อันเกิดแตํมูล
ละเมิด กฎหมายถือวําหนี้ถึงกําหนดชําระและลูกหนี้ได๎ตกเป็นผ๎ูผิดนัดแล๎วตั้งแตํเวลาท่ีทํา
ละเมดิ เพราะกฎหมายเห็นวําการกระทําละเมิดเป็นการกระทําท่ีไมํชอบด๎วยกฎหมาย เมื่อ
ผู๎กระทําละเมิดได๎กระทําให๎ผ๎ูอ่ืนได๎รับความเสียหาย โดยปกติผ๎ูถูกกระทําละเมิดยํอมได๎รับ
ความเสยี หายตง้ั แตํถูกกระทําละเมิด ผู๎กระทําละเมิดจึงมีหน๎าท่ีต๎องชําระคําสินไหมทดแทน
ทันทีที่กระทําละเมิด ดังน้ัน จึงถือวําผิดนัดชําระหน้ีทันทีต้ังแตํเวลาท่ีกระทําละเมิด โดยไมํ
ต๎องเตือนกํอน28

ตัวอย่าง เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2562 นาย ก. ได๎ขับรถยนต๑ชนนาย ข. ด๎วยความ
ประมาท เป็นเหตุให๎นาย ข. ได๎รับบาดเจ็บ ตํอมาเมื่อวันท่ี 1 กุมภาพันธ๑ 2562 นาย ข. ได๎
ฟอ้ งคดีตํอศาลเพ่ือเรียกคําสินไหมทดแทนจากนาย ก. แล๎วหลังจากน้ัน ในวันที่ 1 เมษายน
2563 ศาลได๎มคี าํ พพิ ากษาใหน๎ าย ก. ชดใช๎คําสนิ ไหมทดแทนให๎แกํนาย ข. จํานวน 200,000
บาท ดงั น้ี เมอื่ หนีเ้ กิดจากมลู ละเมิด นาย ก. จงึ ตกเป็นผผู๎ ดิ นัดแล๎วตั้งแตํเวลาที่ทําละเมิด คือ
วนั ที่ 1 มกราคม 2562 นาย ก. จึงต๎องชําระดอกเบ้ียในระหวํางเวลาผิดนัดนับต้ังแตํวันท่ี 1
มกราคม 2562

ข้อสังเกต คําสินไหมทดแทนที่ผ๎ูกระทําละเมิดจะต๎องชดใช๎เป็นหน้ีเงิน ดังน้ัน
ผู๎กระทาํ ละเมดิ จงึ ตอ๎ งชาํ ระดอกเบ้ียในระหวํางผดิ นดั ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 224 ตง้ั แตํวนั ที่กระทาํ ละเมิด

คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่เกย่ี วข้อง
คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 1576/2506 จาํ เลยทําละเมดิ จาํ เลยจงึ ต๎องชดใช๎คําสินไหม
ทดแทน การทศี่ าลกําหนดจํานวนให๎จําเลยชดใช๎ มิใชํวําโจทก๑ได๎รับความเสียหายตั้งแตํวันที่
ศาลพิพากษา แตํเป็นการกําหนดคําเสียหายท่ีโจทก๑ได๎รับความเสียหายมาแล๎วตั้งแตํวันที่
จําเลยทําละเมิด จําเลยจึงต๎องเสียดอกเบ้ียในจํานวนเงินท่ีจะต๎องชดใช๎ตั้งแตํวันทําละเมิด
เพราะถือวําจาํ เลยผดิ นัดต้ังแตวํ นั ทาํ ละเมดิ นนั้ แล๎ว

28โสภณ รัตนากร, เร่ืองเดิม, หนา๎ 224., สุนทร มณีสวสั ดิ์, เรอื่ งเดิม, หนา๎ 63.

51

คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 1169 - 1170/2509 แม๎หน้ีอันเกิดแตํมูลละเมิด กฎหมาย
จะกําหนดวําลูกหน้ีได๎ช่ือวําผิดนัดมาแตํเวลาท่ีทําละเมิด แตํคําสินไหมทดแทนที่เกิดข้ึน
ในภายหลัง เชํน คาํ ปลงศพ คาํ รักษาพยาบาล ฯลฯ ลกู หนจี้ ะตอ๎ งเสียดอกเบี้ยนับแตํวันท่ีต๎อง
รบั ผิดชดใช๎เปน็ ตน๎ ไป นอกจากนน้ั คาํ ขาดไรอ๎ ปุ การะนน้ั เมอื่ ศาลกําหนดให๎จําเลยใช๎เป็นเงิน
จํานวนหนึ่ง จึงเป็นหน้ีเงินที่จําเลยต๎องชําระตามคําพิพากษา จําเลยจึงต๎องเสียดอกเบี้ย
นับต้งั แตํวนั ท่ีศาลมคี ําพพิ ากษาเป็นต๎นไป

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2361/2515 จําเลยทําละเมิดเป็นเหตุให๎ภริยาโจทก๑ถึงแกํ
ความตาย ดังนี้ โจทก๑ยํอมมีสิทธิเรียกคําสินไหมทดแทนได๎ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 443 วรรค 3 ประกอบด๎วย มาตรา 1453 การที่ศาลกําหนดจํานวนเงินคํา
สินไหมทดแทนใหจ๎ ําเลยชดใช๎นนั้ มใิ ชํวําโจทก๑ได๎รบั ความเสียหายตง้ั แตํวันพิพากษา ศาลเป็น
แตํกําหนดคําเสียหายที่โจทก๑ได๎รับความเสียหายมาแล๎วต้ังแตํวันทําละเมิด และกฎหมายก็
บัญญัติให๎ถือวําจําเลยผิดนัดต้ังแตํวันทําละเมิด จําเลยจึงต๎องเสียดอกเบ้ียในจํานวนเงินท่ี
จะตอ๎ งชดใชต๎ ั้งแตวํ ันทําละเมิด

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 379/2518 คําท่ีไมํสามารถประกอบการงาน ซึ่งเป็น
คาํ เสียหายในอนาคต กค็ ดิ ดอกเบย้ี ต้งั แตํวนั ผดิ นัดคือวันทําละเมดิ

คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 174/2528 ผู๎เสยี หายสามารถฟ้องนายจ๎างของผู๎ทําละเมิด
ใหร๎ วํ มรับผดิ ในผลแหํงละเมิดท่ีลูกจ๎างได๎กระทาํ ไปในทางการทจี่ า๎ งได๎ โดยผู๎เสยี หายไมํจําต๎อง
บอกกลําวไปยังนายจ๎างกํอน เพราะถือวํานายจ๎างซึ่งเป็นลูกหนี้ได๎ผิดนัดมาต้ังแตํเวลาท่ีทํา
ละเมดิ แล๎ว

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2529 สทิ ธิของโจทก๑ในฐานะผู๎รับประกันยํอมเกิดขึ้น
นบั ต้ังแตํวนั ท่ีโจทก๑ได๎ชําระคําสินไหมทดแทนเปน็ ตน๎ ไป ฉะน้ัน โจทก๑จะคิดดอกเบ้ียนับต้ังแตํ
วนั ทาํ ละเมดิ เสมอื นเป็นผู๎เสียหายท่ีถูกละเมิดโดยตรงมิได๎ เม่ือโจทก๑ชําระคําสินไหมทดแทน
ไปในวนั ใด โจทกก๑ ็ชอบท่จี ะคดิ ดอกเบ้ียนับแตํวนั นน้ั เป็นตน๎ ไป

คาพิพากษาศาลฎกี าที่ 3666/2529 โจทก๑ฟ้องขอให๎จําเลยรับผิดชดใช๎คําเสียหาย
ตามกรมธรรม๑ประกันภัย แตํเมื่อจําเลยไมํใชํผ๎ูกระทําละเมิด โจทก๑จึงขอให๎จําเลยชําระ
ดอกเบ้ียนบั แตํวันละเมิดไมไํ ด๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2535 จําเลยต๎องชําระดอกเบ้ียในระหวํางผิดนัด
นับแตํวนั กระทําละเมดิ ซึ่งเป็นวนั ผดิ นัด

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 5156/2542 ในกรณีหนี้อันเกิดแตํมูลละเมิด ลูกหนี้ได๎ชื่อ
วําผิดนัดมาต้ังแตํเวลาท่ีทําละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 206
ดังนัน้ ผถ๎ู กู กระทาํ ละเมิดซ่ึงเปน็ เจ๎าหน้ีหาจําต๎องเตือนกํอนไมํ ชอบท่ีจะฟ้องผ๎ูกระทําละเมิด
ซง่ึ เปน็ ลกู หน้ีน้ันได๎เลย

52

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 5558/2555 ความรับผิดของจําเลยเป็นไปตามสัญญา
ประกันภัย จําเลยมิใชํผ๎ูกระทําละเมิด เม่ือหน้ีของจําเลยเป็นหนี้ที่ไมํมีกําหนดเวลาตามวัน
แหํงปฏิทิน โจทก๑จึงต๎องเตือนให๎จําเลยชําระหน้ีกํอน เมื่อจําเลยไมํชําระหน้ี จําเลยจึงจะตก
เปน็ ผ๎ผู ิดนัดและตอ๎ งรับผดิ ในดอกเบย้ี ระหวาํ งผดิ นัด

6. การผิดนดั ของเจ้าหนี้
การผิดนัดของเจ๎าหนี้ แบํงออกเป็น 3 กรณี คือ 1. เจ๎าหน้ีไมํรับชําระหน้ีน้ันโดย

ปราศจากมูลเหตุอันจะอ๎างกฎหมายได๎ 2 เจ๎าหนี้ไมํกระทําการเพ่ือรับชําระหนี้ภายในเวลา
กําหนด 3. เจ๎าหนีไ้ มเํ สนอทจ่ี ะชาํ ระหน้ตี อบแทน ดังนี้

6.1 เจ้าหน้ีไมร่ บั ชาระหนี้นนั้ โดยปราศจากมลู เหตอุ นั จะอา้ งกฎหมายได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 207 บัญญัติวํา “ถ๎าลูกหน้ี

ขอปฏิบตั ิการชําระหน้ี และเจ๎าหนไ้ี มรํ ับชาํ ระหนี้น้นั โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ๎างกฎหมาย
ได๎ไซร๎ ทาํ นวาํ เจ๎าหนี้ตกเปน็ ผผู๎ ิดนดั ”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 207 เจ๎าหนี้จะตกเป็นผ๎ูผิดนัด
เมื่อครบหลกั เกณฑ๑ คือ (1) ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชําระหนี้ และ (2) เจ๎าหน้ีไมํรับชําระหน้ีนั้น
โดยปราศจากมลู เหตุอันจะอ๎างกฎหมายได๎ ดังนี้

(1) ลกู หน้ีขอปฏิบัติการชาระหน้ี โดยกฎหมายได๎กําหนดหลักเกณฑ๑เก่ียวกับ
การขอปฏบิ ตั กิ ารชาํ ระหนี้ ไว๎ในประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 208 ดังน้ี

(ก) การขอปฏิบัตกิ ารชาระหน้ี
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 208 วรรคแรก บัญญัติ

วํา “การชาํ ระหน้ีจะให๎สําเร็จผลเป็นอยํางใด ลูกหน้ีจะต๎องขอปฏิบัติการชําระหนี้ตํอเจ๎าหนี้
เป็นอยาํ งนั้นโดยตรง”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 208 วรรคแรก เป็น
บทบัญญัติทีข่ ยายความบทบัญญัติแหํงประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 207 โดย
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 208 วรรคแรก อธบิ ายได๎ดงั นี้

1. ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 208 วรรคแรก ซึ่ง
กําหนดวํา การชําระหน้ีจะให๎สําเร็จผลเป็นอยํางใด ลูกหนี้จะต๎องขอปฏิบัติการชําระหน้ีตํอ
“เจ้าหน้ี” เปน็ อยํางนนั้ โดยตรง หมายความวาํ เพอื่ ใหก๎ ารชําระหน้บี รรลุผล ลูกหนจี้ ะต๎องขอ
ปฏิบัติการชําระหนี้ตํอ “เจ๎าหน้ี” หรือ “บุคคลผู๎มีอํานาจรับชําระหนี้แทนเจ๎าหน้ี” เทําน้ัน
ลูกหน้ีจะไปขอปฏิบัติการชําระหนี้ตํอผ๎ูอื่นไมํได๎29 ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 315 ซึ่งบัญญัติวํา “อันการชําระหน้ีน้ัน ต๎องทําให๎แกํตัวเจ๎าหน้ี หรือแกํบุคคล
ผม๎ู อี ํานาจรบั ชาํ ระหน้แี ทนเจ๎าหน้ี…”

29โสภณ รัตนากร, เร่ืองเดิม, หนา๎ 240.

53

2. ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 208 วรรคแรก ซึ่ง
กําหนดวาํ การชําระหน้จี ะให๎สาํ เร็จผลเปน็ อยํางใด ลูกหนี้จะต๎องขอปฏบิ ตั กิ ารชาํ ระหน้ี...เป็น
อยํางน้ันโดยตรง หมายความวํา เพ่ือให๎การชําระหน้ีบรรลุผลเป็นอยํางใด ลูกหนี้จะต๎องขอ
ปฏิบัตกิ ารชาํ ระหนี้ “ตามสัญญาหรือข๎อตกลงระหวํางเจ๎าหน้ีและลูกหน้ี” ซ่ึงประเด็นนี้อาจ
ต๎องพิจารณาจากมูลเหตุแหํงหน้ีเป็นสําคัญ เชํน ถ๎ามูลเหตุแหํงหน้ีเป็นสัญญาซื้อขาย
ดอกกหุ ลาบสีขาวกัน ลกู หน้กี ต็ ๎องขอปฏบิ ัตกิ ารชาํ ระหนดี้ ว๎ ยการสํงมอบดอกกุหลาบสีขาวให๎
เจ๎าหน้ี จะขอปฏบิ ัติการชําระหนีด้ ๎วยการสํงมอบดอกกหุ ลาบสแี ดงใหเ๎ จา๎ หนไ้ี มํได๎ เปน็ ตน๎

ข้อสงั เกต การที่ลูกหน้ีขอปฏิบัติการชําระหนี้โดยมิชอบ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 208 วรรคแรก ถือเป็นมูลเหตุที่เจ๎าหน้ีสามารถอ๎างได๎ตาม
กฎหมาย ดงั นน้ั หากเจา๎ หนไี้ มํรบั ชาํ ระหน้ี เจา๎ หน้กี ็ไมํตกเป็นผู๎ผิดนัด ตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 207

(ข) ขอ้ ยกเวน้ การขอปฏบิ ตั กิ ารชาระหนี้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 208 วรรคสอง บัญญัติ

วํา “แตํถ๎าเจ๎าหนี้ได๎แสดงแกํลูกหน้ีวําจะไมํรับชําระหน้ีก็ดี หรือเพ่ือที่จะชําระหนี้จําเป็นท่ี
เจ๎าหนี้จะต๎องกระทําการอยํางใดอยํางหนึ่งกํอนก็ดี ลูกหน้ีจะบอกกลําวแกํเจ๎าหนี้วําได๎
เตรียมการท่ีจะชําระหน้ีไว๎พร๎อมเสร็จแล๎ว ให๎เจ๎าหน้ีรับชําระหน้ีน้ัน เทํานี้ก็นับวําเป็นการ
เพยี งพอแลว๎ ในกรณเี ชนํ นี้ทํานวาํ คําบอกกลาํ วของลูกหนนี้ ้ันก็เสมอกับคําขอปฏิบัติการชําระ
หน้ี”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 208 วรรคสอง น้ัน
หมายความวาํ ถา๎ ลูกหน้ีไมสํ ามารถขอปฏิบัตกิ ารชาํ ระหนไี้ ด๎ เนื่องจาก (1) เจ๎าหน้ีได๎แสดงแกํ
ลกู หนว้ี าํ จะไมํรับชําระหนี้ หรอื (2) เพ่อื ที่จะชําระหนจ้ี ําเป็นท่ีเจ๎าหน้ีจะต๎องกระทําการอยําง
ใดอยํางหน่ึงกํอน แตํเจ๎าหน้ีมิได๎กระทําการอยํางใดอยํางหน่ึงนั้น ดังนี้ ลูกหนี้เพียงแคํ
บอกกลําวแกํเจ๎าหนี้วํา “ตนได๎เตรียมการที่จะชําระหน้ีไว๎พร๎อมเสร็จแล๎ว ให๎เจ๎าหน้ีรับ
ชําระหนี้” คาํ บอกกลําวของลูกหนน้ี ีก้ ็จะมผี ลเทาํ กับคาํ ขอปฏิบตั กิ ารชําระหนี้แลว๎

ตัวอย่างที่ 1 นาย ก. กู๎ยืมเงินไปจากนาย ข. 50,000 บาท มี
กําหนดชําระคืนในวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 แตํพอใกล๎จะถึงกําหนด นาย ข. ได๎แจ๎งไปยัง
นาย ก. วํา วันที่ 31 กรกฎาคม 2562 จะไมํรับชําระหน้ี เพราะหมอดูบอกวําฤกษ๑ไมํดี ดังนี้
นาย ก. เพยี งแคบํ อกกลาํ วแกํนาย ข. วําตนได๎เตรียมเงินท่ีจะชําระหน้ีไว๎พร๎อมเสร็จแล๎ว ให๎
นาย ข. รับชําระหนี้ คําบอกกลําวของ นาย ก. น้ีก็จะมีผลเทํากับคําขอปฏิบัติการชําระหนี้
แล๎ว

54

ตัวอย่างที่ 2 นาย ก. จ๎างนาย ข. ตัดเย็บเส้ือผ๎า โดยตกลงกันวํา
นาย ก. จะเป็นผู๎นําผ๎ามาให๎นาย ข. แตํปรากฏวํานาย ก. ไมํได๎นําผ๎ามาให๎นาย ข. ดังน้ี
นาย ข. เพียงแคํบอกกลําวแกํ นาย ก. วําตนได๎เตรียมการที่จะตัดเย็บเสื้อผ๎าไว๎พร๎อมเสร็จ
แล๎ว คาํ บอกกลําวของ นาย ข. น้ีก็จะมีผลเทาํ กบั คาํ ขอปฏิบตั กิ ารชําระหนแี้ ลว๎

(2) เจ้าหน้ีไม่รับชาระหน้ีน้ันโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้
เชํน เจา๎ หน้อี า๎ งวําฤกษไ๑ มํดี หรอื อา๎ งวาํ กําลังจัดงานเล้ียงวนั เกิดอยูํ หรอื จะไปเทย่ี วตํางจังหวัด
เป็นตน๎

อนึ่ง เม่ือลูกหนี้ขอปฏิบัติการชําระหน้ี และเจ๎าหนี้ไมํรับชําระหนี้นั้นโดย
ปราศจากมูลเหตุอันจะอ๎างกฎหมายได๎ เจ๎าหน้ีก็ตกเป็นผ๎ูผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 207 และเมื่อการชําระหนี้นั้นยังมิได๎กระทําลง เพราะเจ๎าหนี้ตกเป็น
ผู๎ผิดนัด อันถือเป็นพฤติการณ๑อันใดอันหน่ึงซึ่งลูกหนี้ไมํต๎องรับผิดชอบ ลูกหน้ีจึงไมํตกเป็น
ผผ๎ู ิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 205

แตํอยาํ งไรกด็ ี หน้ีกย็ ังคงไมํระงับไป ลูกหน้ียังคงมีหนา๎ ท่ตี ๎องชําระหน้นี ั้น ซ่ึงหาก
ลูกหน้ีต๎องการหลุดพ๎นจากการเป็นหนี้น้ัน ลูกหนี้ก็มีสิทธิที่จะนําเงินไปวางทรัพย๑ได๎ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 331 ซ่ึงบัญญัติวํา “ถ๎าเจ๎าหนี้บอกป๓ดไมํยอมรับ
ชําระหน้ี... หากบคุ คลผู๎ชําระหนวี้ างทรพั ยอ๑ นั เปน็ วัตถุแหํงหนี้ไว๎เพื่อประโยชน๑แกํเจ๎าหน้ีแล๎ว
ก็ยํอมจะเป็นอันหลุดพน๎ จากหน้ีได๎...”

คาพิพากษาศาลฎีกาที่เกีย่ วข้อง
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1253/2530 การที่จําเลยมีหนังสือนัดหมายขอ
ปฏิบัติการชําระหน้ีให๎แกํโจทก๑ แตํหนี้ท่ีระบุในหนังสือดังกลําวไมํครบถ๎วนตามจํานวนหนี้ที่
จาํ เลยจะต๎องชาํ ระให๎แกํโจทก๑ โจทก๑จงึ ปฏิเสธไมํรับชาํ ระหน้ไี ดแ๎ ละไมตํ กเป็นผ๎ผู ดิ นัด
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3308/2532 เจ๎าของท่ีดินที่ถูกเวนคืนไมํยอมรับราคา
ท่ีเสนอ เพราะเห็นวําเป็นราคาที่ไมํเป็นธรรม ถือเป็นกรณีเจ๎าของที่ดินซ่ึงเป็นเจ๎าหน้ีไมํรับ
ชําระหน้ี โดยมีมูลเหตุอนั จะอ๎างกฎหมายได๎ เจ๎าของท่ีดินจึงไมํตกเป็นผ๎ูผิดนัด ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 207
คาพิพากษาศาลฎกี าที่ 5952/2533 จาํ เลยคา๎ งชําระหนี้โจทก๑ ซึ่งครบกําหนด
ชาํ ระหนีแ้ ลว๎ จาํ เลยจะบงั คับใหโ๎ จทก๑รับชําระหนี้แตํเพียงบางสํวนไมํได๎ เมื่อโจทก๑ไมํยอมรับ
ชําระหน้ี โจทก๑จึงไมํตกเป็นผผ๎ู ดิ นัด
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2538 โจทก๑และจําเลยตกลงกันให๎จําเลยชําระ
หนี้โดยนําเงินเข๎าบัญชีเงินฝากของโจทก๑ ซึ่งเป็นวิธีการชําระหน้ีเพ่ือความสะดวกของโจทก๑
และจําเลย แตํการที่จําเลยนําเงินไปขอชําระหน้ีให๎แกํโจทก๑ท่ีบ๎านของโจทก๑โดยตรงภายใน
เวลาท่ีกําหนดไว๎น้ัน ก็ถือวําจําเลยได๎ขอปฏิบัติการชําระหนี้โดยชอบแล๎ว โจทก๑จึงปฏิเสธไมํ
ยอมรบั ชําระหนี้หาได๎ไมํ ดงั น้ี จําเลยไมํตกเปน็ ผผู๎ ดิ นัดชาํ ระหนี้

55

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 389/2548 จําเลยซึ่งเป็นนายจ๎างค๎างชําระคําจ๎างแกํ
โจทก๑ จาํ เลยต๎องขอปฏบิ ัตกิ ารชาํ ระหนี้ดังกลาํ วใหแ๎ กโํ จทกโ๑ ดยปราศจากเงื่อนไข ใด ๆ จึงจะ
เปน็ การขอปฏบิ ัตกิ ารชําระหน้ีโดยชอบตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 208
วรรคแรก เม่ือจําเลยขอปฏิบัติการชําระหนี้โดยไมํชอบ โจทก๑จึงปฏิเสธการรับชําระหนี้ได๎
โดยโจทก๑ไมตํ กเป็นผ๎ูผิดนดั ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 207 เมื่อจําเลยไมํ
ชําระหนี้ให๎แกํโจทก๑ตามกําหนด จําเลยจึงตกเป็นผ๎ูผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 204 วรรคสอง

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 8260/2550 จําเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ต๎องชําระหน้ีให๎แกํ
โจทก๑ซ่ึงเป็นเจ๎าหน้ีโดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ เพราะประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 208 วรรคแรก กาํ หนดวํา การชําระหนี้จะให๎สําเร็จผลเป็นอยํางใด ลูกหน้ีจะต๎องขอ
ปฏิบตั ิการชําระหนี้ตํอเจ๎าหน้เี ปน็ อยาํ งน้ันโดยตรง เม่ือจําเลยขอชําระหนี้ให๎แกํโจทก๑ โดยให๎
โจทกร๑ ับโอนทรพั ยจ๑ ํานองแทนการชําระหน้ีด๎วยเงิน จึงเป็นการขอปฏิบัติการชําระหนี้โดยไมํ
ชอบ โจทก๑จงึ ไมยํ อมรบั การรบั ชําระหนี้ได๎ โดยโจทกไ๑ มํตกเป็นผู๎ผิดนัดตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 207

ขอ้ สงั เกต กรณีผ๎คู ้ําประกันขอชําระหนี้ แตเํ จ๎าหนไี้ มํยอมรับชําระหน้ี ศาลฎีกา
มคี าํ วินจิ ฉยั แตกตาํ งกนั แบงํ ออกเปน็ 2 แนว ดังนี้

1. ผค๎ู า้ํ ประกนั ขอชาํ ระหน้ี แตเํ จ๎าหนี้ไมํยอมรับชําระหนี้ เจ๎าหนี้ตกเป็นผู๎ผิดนัด
และผ๎ูคํ้าประกันไมํต๎องรับผิดในดอกเบี้ยหลังจากที่เจ๎าหนี้ตกเป็นผู๎ผิดนัด (คําพิพากษาศาล
ฎีกาที่ 2491/2522)

2. ผ๎ูค้ําประกันขอชําระหน้ีแกํเจ๎าหน้ีเมื่อหน้ีถึงกําหนดชําระ แตํเจ๎าหน้ีไมํ
ยอมรับชําระหนี้ดังกลาํ ว ดงั น้ี ผคู๎ ้ําประกันเป็นอันหลุดพ๎นจากความรับผิดชอบตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 701 วรรคสอง (คําพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 4479/2550)

6.2 เจา้ หน้ไี มก่ ระทาการเพอ่ื รบั ชาระหนภี้ ายในเวลากาหนด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 209 บัญญัติวํา “ถ๎าได๎

กาํ หนดเวลาไว๎เปน็ แนนํ อนเพื่อใหเ๎ จ๎าหน้กี ระทําการอันใด ทํานวําที่จะขอปฏิบัติการชําระหน้ี
น้นั จะต๎องทาํ ก็แตเํ มอื่ เจ๎าหน้ีทาํ การอนั น้ันภายในเวลากาํ หนด”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 209 หมายความวํา ถ๎าได๎
กําหนดเวลาไว๎เป็นแนํนอนเพื่อให๎เจ๎าหนี้กระทําการอันใด เม่ือเจ๎าหนี้ทําการอันน้ันภายใน
เวลากําหนดแล๎ว ลูกหน้ีจงึ จะขอปฏิบัติการชําระหน้ีได๎ เชํน นาย ก. ตกลงขายข๎าวสาร 100
กระสอบให๎แกํนาย ข. โดยมีขอ๎ ตกลงกนั วาํ นาย ก. จะสํงมอบข๎าวสารให๎แกํนาย ข. ก็ตํอเมื่อ
นาย ข. ไดส๎ ร๎างโรงเรือนสําหรบั เก็บขา๎ วสารเสรจ็ ภายในวันท่ี 31 กรกฎาคม 2562 เม่ือตํอมา
นาย ข. ได๎สร๎างโรงเรือนสําหรับเก็บข๎าวสารเสร็จในวันท่ี 31 กรกฎาคม 2562 นาย ก. จึง

56

สามารถขอปฏิบัติการชําระหนี้ได๎ แตํนาย ก. จะขอปฏิบัติการชําระหน้ีกํอนท่ีนาย ข. สร๎าง
โรงเรือนสําหรบั เก็บข๎าวสารเสร็จไมไํ ด๎ เปน็ ต๎น

แตํถ๎าเจ๎าหนี้มิได๎ทําการอันน้ันภายในเวลากําหนด ลูกหน้ีก็ไมํจําเป็นต๎องขอ
ปฏิบตั กิ ารชาํ ระหน้ี30 และถอื วาํ เจา๎ หนี้ตกเป็นผ๎ูผิดนัด เชํน นาย ก. ตกลงขายข๎าวสาร 100
กระสอบให๎แกํนาย ข. โดยมีข๎อตกลงกันวํา นาย ก. จะสํงมอบข๎าวสารให๎แกํ นาย ข. ก็
ตํอเม่ือนาย ข. ได๎สร๎างโรงเรือนสําหรับเก็บข๎าวสารเสร็จภายในวันท่ี 31 กรกฎาคม 2562
ดังนี้ หากนาย ข. มิได๎สร๎างโรงเรือนสําหรับเก็บข๎าวสารให๎เสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม
2562 นาย ก. ไมํจําเป็นต๎องขอปฏิบัติการชําระหนี้ และถือวํานาย ข. ตกเป็นผ๎ูผิดนัด
เป็นต๎น31

ขอ้ สงั เกต ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 208 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติ
วํา “เพ่ือท่ีจะชําระหน้ีจําเป็นท่ีเจ๎าหนี้จะต๎องกระทําการอยํางใดอยํางหน่ึงกํอนก็ดี” และ
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 209 ซ่ึงบัญญัติวํา “ถ๎าได๎กําหนดเวลาไว๎เป็น
แนํนอนเพื่อให๎เจ๎าหนี้กระทําการอันใด” เป็นกรณีที่เจ๎าหน้ีจะต๎องกระทําการอยํางใดอยําง
หน่ึงกํอน เพียงแตํประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 208 วรรคสอง ไมํได๎กําหนด
ระยะเวลาไว๎ สวํ นประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 209 ได๎กาํ หนดระยะเวลาไว๎

6.3 เจา้ หน้ไี ม่เสนอทจ่ี ะชาระหน้ีตอบแทน
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 210 บัญญัติวํา “ถ๎าลูกหน้ีจําต๎อง

ชําระหนี้สํวนของตนตํอเม่ือเจ๎าหนี้ชําระหน้ีตอบแทนด๎วยไซร๎ แม๎ถึงวําเจ๎าหนี้จะได๎
เตรียมพร๎อมทจ่ี ะรับชาํ ระหนตี้ ามที่ลูกหนี้ขอปฏิบัตินั้นแล๎วก็ดี หากไมํเสนอท่ีจะทําการชําระ
หน้ตี อบแทนตามทจี่ ะพงึ ตอ๎ งทาํ เจ๎าหน้ีกเ็ ปน็ อนั ได๎ชอ่ื วาํ ผดิ นัด”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 210 หมายความวํา ถ๎าลูกหน้ี
จําต๎องชําระหน้ีสํวนของตนตํอเม่ือเจ๎าหน้ีชําระหน้ีตอบแทนด๎วย แม๎ถึงวําเจ๎าหนี้จะได๎
เตรียมพร๎อมที่จะรับชําระหนี้ตามท่ีลูกหนี้ขอปฏิบัติน้ันแล๎ว หากเจ๎าหน้ีไมํเสนอที่จะทําการ
ชาํ ระหน้ีตอบแทนตามที่จะพึงต๎องทํา เจ๎าหน้ีก็เป็นอันได๎ชื่อวําผิดนัด เชํน นาย ก. และนาย
ข. ตกลงแลกเปลีย่ นรถกัน เมื่อนาย ข. ขอปฏิบัติการชําระหนี้โดยเสนอท่ีจะนํารถยนต๑ไปสํง
มอบให๎แกนํ าย ก. นาย ก. ก็บอกวาํ พร๎อมที่จะรับการสํงมอบรถยนต๑จากนาย ข. แตํนาย ก.

30ปราโมทย๑ จารุนิล, เรื่องเดิม, หน๎า 50., โสภณ รัตนากร, เรื่องเดิม, หน๎า 242.,
จรัญ ภักดีธนากุล, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วย ผลและความระงับแห่งหน้ี, พิมพ๑
ครงั้ ท่ี 3 (กรงุ เทพมหานคร: บริษทั พี. เพรส จํากดั , 2561), หน๎า 71.

31ไพโรจน๑ วายุภาพ, เรอื่ งเดมิ , หน๎า 159.

57

ไมํเสนอท่ีจะนํารถยนต๑ไปสํงมอบให๎แกํนาย ข. ดังน้ี นาย ก. ก็ยํอมจะตกเป็นผ๎ูผิดนัด ตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 210

ข้อสังเกต ในสัญญาตํางตอบแทนนั้น คสํู ญั ญาตํางมีหนา๎ ท่ตี ๎องชําระหนี้ให๎แกํกัน
และกัน ดังน้ัน ถ๎าลูกหน้ีได๎ขอปฏบิ ตั ิการชาํ ระหน้ีแลว๎ แตํเจา๎ หน้ีไมํเสนอท่ีจะทําการชําระหนี้
ตอบแทนตามที่จะพงึ ตอ๎ งทาํ เจ๎าหนีก้ ็ตกเป็นผู๎ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 210 และลูกหนี้ (คํูสัญญาฝ่ายหน่ึง) จะไมํยอมชําระหน้ี จนกวําเจ๎าหนี้ (คํูสัญญาอีก
ฝ่ายหนง่ึ ) จะชาํ ระหนีห้ รอื ขอปฏบิ ัตกิ ารชําระหนีก้ ไ็ ด๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 369

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2409/2526 สัญญาซ้ือขายเป็นสัญญาตํางตอบแทน
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 369 เมื่อโจทก๑ไมํได๎เสนอท่จี ะทําการชําระหน้ี
ตอบแทนตามท่ีจะพึงต๎องทํา ในเรื่องการโอนที่ดินตามสัญญาซ้ือขายให๎แกํจําเลย ดังนั้น
โจทก๑เป็นอนั ไดช๎ อื่ วําผดิ นัด ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 210

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 8086/2538 เม่ือโจทก๑ไมํเสนอที่จะทําการชําระหนี้
ตอบแทนตามที่จะพึงตอ๎ งทํา คือ ชําระหนี้คาํ ที่ดิน โจทก๑ซึ่งเป็นเจ๎าหนี้จึงได๎ช่ือวําผิดนัด ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 210 จําเลยมีสิทธิที่จะไมํชําระหน้ี คือ โอนท่ีดิน
พิพาทให๎แกโํ จทก๑ จนกวาํ โจทก๑จะชาํ ระหน้หี รือขอปฏิบัติการชําระหนีต้ อบแทน ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 369

7. กรณีท่ีไมถ่ อื ว่าเจ้าหน้ผี ิดนดั
7.1 ในเวลาท่ลี ูกหนี้ขอปฏิบัติการชาระหนี้ หรือในเวลาท่ีกาหนดไว้ให้เจ้าหน้ีทา

การอย่างใดอย่างหนึ่งตามาตรา 209 ลูกหน้ีมิได้อยู่ในฐานะที่จะสามารถชาระหน้ีได้
เจา้ หน้ีไม่ตกเป็นผู้ผดิ นดั

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 211 บัญญัติว่า “ในเวลาท่ีลูกหน้ี
ขอปฏบิ ัตกิ ารชาํ ระหนี้นน้ั กด็ ี หรอื ในเวลาทกี่ าํ หนดไว๎ให๎เจ๎าหน้ีทําการอยํางใดอยํางหนึ่ง โดย
กรณีทบ่ี ัญญัติไว๎ในประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 209 นั้นก็ดี ถ๎าลูกหน้ีมิได๎อยูํ
ในฐานะทีจ่ ะสามารถชาํ ระหนี้ได๎ไซร๎ทํานวําเจา๎ หนยี้ งั หาผดิ นัดไมํ”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 211 หมายความวาํ เจา๎ หนี้จะไมํ
ตกเปน็ ผูผ๎ ดิ นัด ถา๎

1. ในเวลาทลี่ กู หน้ีขอปฏบิ ตั ิการชําระหนี้นนั้ ลกู หนี้มิได๎อยํูในฐานะท่ีจะสามารถ
ชําระหน้ีได๎ เจ๎าหน้ีไมํตกเป็นผู๎ผิดนัด เชํน นาย ก. กู๎เงินไปจากนาย ข. 10,000 บาท ตํอมา
นาย ก. ไดข๎ อปฏิบัตกิ ารชําระหน้ี โดยท่ีนาย ก. ไมํมีเงินเลย ดังน้ี นาย ข. ไมํตกเป็นผู๎ผิดนัด
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 211 เปน็ ตน๎

58

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 591/2496 โจทก๑จําเลยทําสัญญาตกลงกันวําจําเลย
จะจัดการซํอมแซมเครื่องจักรให๎เสร็จ และสํงมอบให๎แกํโจทก๑วันที่ 25 กันยายน แตํโจทก๑
จะต๎องมีกรรมการผ๎ูเป็นกลางไปตรวจรับมอบด๎วย 3 คน ตํอมาเม่ือถึงวันท่ี 25 กันยายน
แม๎โจทก๑จะมีกรรมการไปตรวจรับมอบเพียงคนเดียว แตํเม่ือจําเลยก็ยังจัดการซํอมแซม
เครอื่ งจกั รไมเํ สรจ็ ดงั น้ี จะถือวาํ โจทกผ๑ ิดนดั ไมํได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2527 โจทก๑และจําเลยทําสัญญาจะซ้ือ
จะขายบ๎านและที่ดินกันและชําระเงินดาวน๑กันแล๎ว ตํอมาโจทก๑ซึ่งเป็นผู๎ขายได๎โอนบ๎านและ
ที่ดนิ ดงั กลําวใหแ๎ กนํ าย ก. เสยี กอํ นที่จะโอนให๎แกจํ าํ เลย ดังนี้ โจทก๑จึงเปน็ ฝา่ ยผิดสัญญาและ
มิอยใูํ นฐานะท่ีจะสามารถชาํ ระหน้ีได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 211
การที่จําเลยทราบเรือ่ งดังกลําวจงึ ไมํชําระคําผํอนซ้ือ จําเลยจึงไมํตกเป็นผผ๎ู ิด

ขอ้ สงั เกต ถ๎าลูกหน้ีขอปฏิบัติการชําระหนี้ แตํเจ๎าหน้ีไมํรับชําระหน้ีนั้นโดย
ปราศจากมูลเหตอุ ันจะอา๎ งกฎหมายได๎ เจ๎าหนต้ี กเปน็ ผ๎ผู ดิ นัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 207 ซง่ึ “ในเวลาทีล่ กู หน้ขี อปฏบิ ัติการชําระหน้ีนั้น” ลูกหน้ีต๎องอยํูในฐานะ
ทจ่ี ะสามารถชําระหนี้ได๎ ถ๎าลูกหนมี้ ิไดอ๎ ยใูํ นฐานะทจี่ ะสามารถชาํ ระหน้ีได๎ เจ๎าหนี้ยังหาผิดนัด
ไมํ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 211

2. ในเวลาที่กาํ หนดไวใ๎ ห๎เจ๎าหน้ีทําการอยํางใดอยํางหนึ่งตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 209 น้ัน ลูกหน้ีมิได๎อยูํในฐานะท่ีจะสามารถชําระหน้ี เจ๎าหนี้ไมํตก
เปน็ ผู๎ผิดนัด เชนํ นาย ก. ตกลงขายข๎าวสาร 100 กระสอบ ใหแ๎ กนํ าย ข. โดยมีข๎อตกลงกันวํา
นาย ก.จะสํงมอบข๎าวสารให๎แกนํ าย ข. กต็ ํอเม่ือนาย ข. ได๎สร๎างโรงเรือนสําหรับเก็บข๎าวสาร
เสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ตํอมาแม๎ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 นาย ข. จะ
สร๎างโรงเรือนสําหรับเก็บข๎าวสารไมํเสร็จก็ตาม แตํหากความจริง นาย ก. ก็ไมํมีข๎าวสารอยูํ
เลย ดังนี้ นาย ข. ไมํตกเป็นผ๎ูผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 211
เปน็ ตน๎

7.2 ถ้ามิไดก้ าหนดเวลาชาระหน้ไี ว้ หรือถ้าลกู หนี้มีสทิ ธิที่จะชาระหนี้ได้ก่อนเวลา
กาหนด แล้วเจ้าหน้ีมีเหตุขัดข้องชั่วคราวไม่อาจรับชาระหนี้ท่ีเขาขอปฏิบัติแก่ตนได้
เจ้าหน้ีไม่ตกเป็นผู้ผิดนดั

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 212 บัญญัติว่า “ถ๎ามิได๎
กําหนดเวลาชําระหน้ีไว๎ก็ดี หรือถ๎าลูกหนี้มีสิทธิท่ีจะชําระหน้ีได๎กํอนเวลากําหนดก็ดี การที่
เจ๎าหนี้มเี หตุขัดขอ๎ งช่วั คราวไมํอาจรบั ชําระหนีท้ เ่ี ขาขอปฏิบัติแกํตนได๎นั้น หาทําให๎เจ๎าหนี้ตก
เป็นผู๎ผิดนัดไมํ เว๎นแตํลกู หน้จี ะได๎บอกกลาํ วการชาํ ระหนไ้ี วล๎ วํ งหน๎าโดยเวลาอันสมควร”

หน้ีที่ไมํมีกําหนดเวลาชําระหน้ีหรือหน้ีที่มีกําหนดเวลา แตํลูกหนี้มีสิทธิที่จะ
ชําระหน้ีได๎กํอนกําหนดเวลานั้น เจ๎าหน้ีไมํสามารถรู๎ตัวลํวงหน๎าได๎วําลูกหนี้จะมาขอ
ปฏิบัติการชําระหนี้เมื่อใด ดังนั้น หากลูกหนี้มาขอปฏิบัติการชําระหนี้ในเวลาท่ีเจ๎าหน้ีมี

59

เหตุขัดข๎องช่วั คราวไมํสามารถรบั ชําระหน้ีได๎ แล๎วกฎหมายกาํ หนดใหเ๎ จ๎าหนี้ตกเป็นผู๎ผิดนัด ก็
จะไมํเป็นการไมํยุติธรรมตํอเจ๎าหนี้ และลูกหนี้อาจใช๎สิทธิโดยไมํสุจริต เชํน หาโอกาสมาขอ
ปฏิบตั ิการชําระหน้ีในเวลาที่เจ๎าหน้ีไมํสะดวกจะรับชําระหน้ีก็ได๎ เป็นต๎น ประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 212 จึงกําหนดหลักเกณฑไ๑ ว๎ดงั น้ี

1. ถา้ มิได้กาหนดเวลาชาระหนี้ไว้ หรือถ้าลูกหนี้มีสิทธิท่ีจะชาระหน้ีได้ก่อน
เวลากาหนด การที่เจา้ หน้ีมเี หตขุ ดั ข้องช่วั คราวไมอ่ าจรับชาระหนีท้ ีเ่ ขาขอปฏิบัติแก่ตนได้
นนั้ หาทาใหเ้ จา้ หน้ีตกเป็นผูผ้ ิดนดั ไม่

ตวั อยา่ งที่ 1 เม่อื วันท่ี 1 กรกฎาคม 2562 นาย ก. ก๎ูเงินไปจากนาย ข. โดย
มิไดก๎ าํ หนดเวลาชําระหน้ีไว๎ ตํอมาในวันท่ี 31 กรกฎาคม 2562 นาย ก. ได๎ไปขอปฏิบัติการ
ชําระหนีต้ อํ นาย ข. แตํปรากฏวํานาย ข. ไมํอยูํบ๎านเพราะเดินทางไปตํางจังหวัด ดังนี้ ถือวํา
นาย ข. มีเหตุขัดข๎องช่ัวคราวไมํอาจรับชําระหน้ีได๎ นาย ข. จึงหาตกเป็นผ๎ูผิดนัดไมํ ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 212

ตัวอย่างที่ 2 เมื่อวันท่ี 1 กรกฎาคม 2562 นาย ก. ก๎ูเงินไปจากนาย ข.
โดยมีกําหนดเวลาชําระหน้ี คือ วันท่ี 31 กรกฎาคม 2562 แตํได๎มีการตกลงไว๎วํานาย ก. มี
สิทธทิ ี่จะชาํ ระหนกี้ อํ นเวลาทีก่ าํ หนดไว๎ได๎ ตํอมา ในวันท่ี 10 กรกฎาคม 2562 นาย ก. ได๎ไป
ขอปฏบิ ัติการชาํ ระหน้ตี ํอนาย ข. แตํปรากฏวํานาย ข. ไมํอยูบํ ๎านเพราะเดินทางไปตํางจังหวัด
ดังน้ี ถือวาํ นาย ข. มเี หตขุ ัดขอ๎ งช่ัวคราวไมอํ าจรบั ชาํ ระหนไ้ี ด๎ นาย ข. จึงหาตกเป็นผู๎ผิดนัดไมํ
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 212

ตัวอยา่ งที่ 3 นาย ก. กูเ๎ งินไปจากนาย ข. เมอื่ วันท่ี 1 กรกฎาคม 2562 โดย
มีกําหนดเวลาชําระหน้ี คือ วันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ตํอมาในวันที่ 31 กรกฎาคม 2562
นาย ก. ได๎ไปขอปฏิบตั ิการชําระหนตี้ ํอนาย ข. แตปํ รากฏวาํ นาย ข. ไมอํ ยํูบ๎านเพราะเดินทาง
ไปตาํ งจังหวดั ดงั น้ี เมอ่ื นาย ก. ไดข๎ อปฏิบัติการชําระหนี้ แล๎ว แตํนาย ข. ไมํรับชําระหนี้น้ัน
โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ๎างกฎหมาย นาย ข. จึงตกเป็นผู๎ผิดนัด ตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 207 โดยนาย ข. จะอ๎างวํามีเหตุขัดข๎องชั่วคราวไมํอาจรับชําระหนี้
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 212 ไมํได๎ เพราะประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 212 ต๎องเป็นกรณีหนี้ไมํมีกําหนดเวลา หรือหนี้มีกําหนดเวลาแตํลูกหนี้มา
ชําระหน้ีกํอนเวลากําหนด แตํกรณีนี้เป็นหนี้มีกําหนดเวลาและลูกหน้ีมาชําระหนี้เมื่อถึง
กาํ หนดเวลานัน้

ขอ้ สังเกต ในกรณที ่ีหนีม้ กี าํ หนดเวลาชําระหน้ีทแ่ี นนํ อน เม่ือถึงกําหนดเวลา
ชําระหน้ีน้นั แลว๎ ลกู หน้ีขอปฏบิ ัตกิ ารชาํ ระหน้ี แม๎จะมีเหตุขัดข๎องชั่วคราวท่ีเจ๎าหนี้ไมํอาจรับ
ชาํ ระหนี้ได๎ ถ๎าเจ๎าหน้ีไมรํ ับชาํ ระหนนี้ ัน้ เจ๎าหนยี้ ํอมตกเป็นผู๎ผิดนดั ชาํ ระหน้ี32

32เรื่องเดียวกัน, หนา๎ 162.

60

2. เว้นแตล่ กู หนจ้ี ะไดบ้ อกกลา่ วการชาระหนี้ไว้ล่วงหน้าโดยเวลาอันสมควร
เชนํ นาย ก. กู๎เงินไปจากนาย ข. เม่อื วนั ที่ 1 กรกฎาคม 2562 โดยมิได๎กําหนดเวลาชําระหนี้
ไว๎ ตํอมาเมื่อวันท่ี 10 กรกฎาคม 2562 นาย ก. ได๎บอกกลําวแกํนาย ข. วําจะชําระหน้ีใน
วันที่ 31 กรกฎาคม 2562 หลังจากนั้น ในวันท่ี 31 กรกฎาคม 2562 นาย ก. ก็ได๎ไปขอ
ปฏิบัติการชําระหนี้ตํอนาย ข. แตํปรากฏวํานาย ข. ไมํอยูํบ๎านเพราะเดินทางไปตํางจังหวัด
ดงั น้ี นาย ข. จะอ๎างวํามีเหตุขัดข๎องช่ัวคราวไมํอาจรับชําระหนี้ไมํได๎ เพราะนาย ก. ได๎บอก
กลําวการชําระหนีไ้ ว๎ลํวงหนา๎ โดยเวลาอนั สมควรแลว๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 212 นาย ข. จึงตกเป็นผู๎ผิดนัดแล๎ว ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
207

ข้อสังเกต คําวํา “เวลาอันสมควร” ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 212 เปน็ กรณีทตี่ อ๎ งพจิ ารณาเป็นเรอ่ื ง ๆ ไป ไมํอาจกําหนดแนํนอนตายตวั ได๎

8. ผลของการทีเ่ จ้าหน้ผี ิดนัด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 221 บัญญัติวํา “หนี้เงินอันต๎องเสีย

ดอกเบยี้ นนั้ ทํานวาํ จะคดิ ดอกเบยี้ ในระหวํางที่เจา๎ หนผ้ี ดิ นัดหาได๎ไมํ”
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 221 หมายความวํา หลังจากท่ี

เจา๎ หน้ตี กเปน็ ผผ๎ู ิดนดั เจ๎าหน้จี ะคดิ ดอกเบย้ี ในระหวํางท่เี จา๎ หนี้ตกเปน็ ผ๎ูผดิ นัดไมไํ ด๎
ทัง้ นี้ ดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 221 นี้ ไมํได๎หมายถึง

ดอกเบี้ยในระหวํางเวลาผิดนัดของลูกหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
224 เพราะกรณนี ล้ี กู หนไี้ มํได๎ตกเป็นผู๎ผิดนัด ลูกหน้ีจึงไมํต๎องรับผิดดอกเบี้ยในระหวํางเวลา
ผิดนัดอยํูแล๎ว แตํดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 221 น้ี หมายถึง
ดอกเบี้ยที่ตกลงกันไว๎ในสัญญาหรือในกฎหมาย ซ่ึงเจ๎าหน้ีมีสิทธิที่จะเรียกจากลูกหน้ีอยํูแตํ
เดิม33

ตัวอย่าง นาย ก. ก๎ูยืมเงินไปจากนาย ข. จํานวน 100,000 บาท กําหนดดอกเบี้ย
เงินกู๎ไว๎ร๎อยละ 7 ตอํ ปี และกาํ หนดเวลาชําระหนไ้ี วค๎ ือ วนั ท่ี 1 มกราคม 2564 ตอํ มา ในวันท่ี
1 มกราคม 2564 นาย ก. ได๎นําเงินไปชําระหน้ีให๎แกํนาย ข. แตํนาย ข. ไมํรับชําระหนี้โดย
ปราศจากมูลเหตุอนั จะอา๎ งกฎหมายได๎ นาย ข. จงึ ตกเปน็ ผผ๎ู ดิ นดั ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 207 ดังน้ี นาย ข. จะคิดดอกเบ้ียเงินกู๎ร๎อยละ 7 ตํอปี ในระหวํางที่ตน
ตกเป็นผ๎ูผดิ นดั คอื ตงั้ แตวํ นั ที่ 1 มกราคม 2564 เปน็ ต๎นไป ไมํได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 221 และนาย ข. จะคิดดอกเบี้ยในระหวํางเวลาผิดนัดร๎อยละ 5 ตํอปี
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 224 วรรคแรก ก็ไมํได๎ ตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 330

33สุนทร มณสี วัสดิ์, เรื่องเดิม, หนา๎ 82.

61

คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่เกย่ี วข้อง
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1115/2524 การที่จําเลยขอชําระหนี้แกํโจทก๑แล๎ว แตํ
โจทกไ๑ มยํ อมรบั ชาํ ระหน้ีโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ๎างกฎหมายได๎ โจทก๑จึงตกเป็นผ๎ูผิดนัด
และไมมํ สี ิทธิทจ่ี ะเรยี กดอกเบ้ยี จากจาํ เลยตงั้ แตํวันที่จาํ เลยขอชาํ ระหน้ี
คาพิพากษาศาลฎกี าท่ี 178/2524 เมื่อโจทก๑ซึง่ เป็นเจา๎ หนี้ตกเป็นผ๎ูผิดนัด โจทก๑จึง
คิดดอกเบ้ียในระหวํางที่ตนผิดนัดหาได๎ไมํ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
221

9. การบังคบั ชาระหน้ี
ขอ้ สังเกต
เม่ือลกู หนี้ไมํชําระหนี้ เจ๎าหน้ีมีสทิ ธิเลือก 3 ประการ ดงั น้ี
1. เจ๎าหนี้รอ๎ งขอตํอศาลใหส๎ งั่ บังคับชําระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑

มาตรา 213 วรรคแรก หรือมาตรา 213 วรรคสอง หรอื มาตรา 213 วรรคสาม
2. เจา๎ หนี้รอ๎ งขอตํอศาลให๎สัง่ บังคบั ชาํ ระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑

มาตรา 213 วรรคแรก หรอื มาตรา 213 วรรคสอง หรือมาตรา 213 วรรคสาม และเรียกเอา
คาํ เสยี หาย ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคทา๎ ย

3. เจ๎าหนไ้ี มํร๎องขอตํอศาลให๎สั่งบงั คับชาํ ระหน้ี แตรํ ๎องขอตํอศาลเรียกเอาคําสินไหม
ทดแทนเพยี งอยาํ งเดียว ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 215, 216, 218

สําหรับกรณีเจ๎าหน้ีร๎องขอตํอศาลให๎สั่งบังคับชําระหนี้ มีหลักเกณฑ๑ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 213 - 214 ดังน้ี

9.1 การบังคบั ชาระหนี้โดยเฉพาะเจาะจงและข้อยกเวน้
9.1.1 การบงั คบั ชาระหน้ีโดยเฉพาะเจาะจง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคแรก บัญญัติวํา

“ถ๎าลูกหน้ีละเลยเสียไมํชําระหน้ีของตน เจ๎าหนี้จะร๎องขอตํอศาลให๎สั่งบังคับชําระหนี้ก็ได๎
เวน๎ แตสํ ภาพแหํงหนีจ้ ะไมเํ ปิดชํองใหท๎ าํ เชนํ นน้ั ได๎”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรก
หมายความวํา ถ๎าลกู หนไ้ี มชํ าํ ระหน้ี เจา๎ หนี้มสี ิทธริ อ๎ งขอตํอศาล เพ่ือให๎ศาลส่ังบังคับชําระหน้ี
ได๎ หรือกลําวอีกนัยยะหนึ่งคือ เจ๎าหน้ีต๎องใช๎สิทธิทางศาล เพื่อให๎ศาลสั่งบังคับชําระหน้ีให๎
เทํานัน้ เจ๎าหนีจ้ ะบงั คบั ชําระหน้ีเองไมํได๎

ท้ังน้ี ในการสั่งบังคับชําระหน้ีนั้น วัตถุแหํงหน้ีเป็นอยํางไร ศาลก็ต๎องส่ัง
บังคับให๎ลูกหน้ีชําระหนี้ด๎วยวัตถุแหํงหน้ีอยํางน้ัน ซ่ึงเรียกวํา “การบังคับชําระหนี้โดย
เฉพาะเจาะจง” เชนํ นาย ก. ทาํ สญั ญาซอ้ื รถยนต๑จากนาย ข. เมือ่ วัตถุแหํงหน้ีคือการสํงมอบ

62

ทรัพย๑สิน โดยทรัพย๑ซ่ึงเป็นวัตถุแหํงหน้ี คือ รถยนต๑ ดังนี้ ศาลก็ต๎องส่ังบังคับให๎นาย ข.
สงํ มอบรถยนตใ๑ หแ๎ กนํ าย ก. เป็นตน๎

สํวนบทบัญญัติท่ีวํา “เว๎นแตํสภาพแหํงหน้ีจะไมํเปิดชํองให๎ทําเชํนน้ันได๎”
เปน็ บทบัญญตั ิยกเว๎นเรื่อง “การบังคับชําระหน้ีโดยเฉพาะเจาะจง” กลําวคือ ถ๎าสภาพแหํง
หนจ้ี ะไมํเปดิ ชํองให๎บังคับชําระหน้ี ศาลจะสั่งบังคับชําระหน้ีโดยเฉพาะเจาะจงไมํได๎ เจ๎าหนี้
ทําได๎แตํเพียงเรียกคําเสียหายอันเกิดจากการไมํชําระหนี้เทํานั้น เว๎นแตํข๎อยกเว๎นตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคสอง และวรรคสาม ซ่ึงเจ๎าหน้ีสามารถ
รอ๎ งขอตอํ ศาลให๎สงั่ บังคับเป็นอยํางอ่ืนได๎

สาํ หรบั กรณสี ภาพแหํงหน้จี ะไมเํ ปดิ ชํองให๎บังคับชําระหนี้ แบํงออกเป็น 3
กรณี คอื

1. หนี้เป็นการส่งมอบทรัพย์สิน ในกรณีที่วัตถุแหํงหน้ีเป็นการสํงมอบ
ทรัพย๑สิน เจ๎าหนี้สามารถร๎องขอตํอศาลให๎สั่งบังคับชําระหน้ีโดยเฉพาะเจาะจงได๎ เพราะ
สภาพแหํงหนี้เปิดชํองให๎ทําเชํนนั้นได๎ เชํน เมื่อศาลมีคําพิพากษาให๎ลูกหน้ีชําระเงิน แล๎ว
ลูกหนีไ้ มยํ อมชําระเงิน ศาลกม็ อี าํ นาจส่ังให๎เจ๎าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย๑ของลูกหนี้ออก
ขายทอดตลาดเพ่ือชําระหนี้ตามคําพิพากษาได๎ หรือกรณีศาลมีคําพิพากษาให๎สํงมอบ
ทรัพย๑สนิ แล๎วลกู หน้ไี มํยอมสํงมอบทรัพยส๑ นิ นัน้ ศาลก็มีอํานาจส่งั ให๎เจา๎ พนกั งานบังคับคดีไป
ทาํ การยึดทรพั ยส๑ ินนนั้ มาใหเ๎ จ๎าหน้ไี ด๎ เป็นต๎น

แตํในบางกรณี แม๎วัตถุแหํงหนี้จะเป็นการสํงมอบทรัพย๑สิน แตํถ๎า
ทรพั ย๑สินนนั้ ไมํอยูํในอํานาจของลูกหนี้แล๎ว ก็ถือวําสภาพแหํงหน้ีไมํเปิดชํองให๎ศาลสั่งบังคับ
ชําระหนี้โดยเฉพาะเจาะจงได๎ เชํน ทําสัญญาจะซ้ือจะขายท่ีดิน แตํผ๎ูขายได๎โอนที่ดินไปให๎
บคุ คลอ่นื โดยชอบด๎วยกฎหมาย ดงั น้ี ผ๎ูซ้ือยํอมไมํอาจร๎องขอตํอศาลให๎ส่ังบังคับให๎ผ๎ูขายโอน
ที่ดินให๎แกํตนตามสัญญาได๎อีก เป็นต๎น34 เจ๎าหนี้ทําได๎แตํเพียงเรียกคําสินไหมทดแทนตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215 เทาํ น้นั

2. หน้กี ระทาการ ถา๎ วัตถุแหงํ หนเี้ ปน็ การกระทําการ หากลูกหนี้ไมํยินยอม
กระทาํ การน้ัน ยํอมถอื วําสภาพแหํงหนไ้ี มเํ ปิดชํองให๎ศาลสง่ั บังคับชําระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง
ได๎ เนื่องจากศาลจะส่ังบังคับชําระหนี้เอาจากเน้ือตัวรํางกายของลูกหนี้ไมํได๎ ขัดกับหลัก
ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย๑ เชํน นาย ก. ทําสัญญาจ๎างนาย ข. สร๎างโรงจอดรถ แตํนาย ข.
ละเลยเสียไมํยอมสรา๎ งโรงจอดรถ ให๎แกนํ าย ก. ดังนี้ นาย ก. จะร๎องขอตํอศาลให๎สั่งบังคับให๎
นาย ข. สรา๎ งโรงจอดรถให๎ตนไมไํ ด๎ เป็นตน๎

34เร่ืองเดียวกนั , หน๎า 88.

63

3. หนี้งดเว้นกระทาการ ถ๎าวัตถุแหํงหนี้เป็นการงดเว๎นกระทําการ หาก
ลูกหน้ีไมํยินยอมงดเว๎นกระทําการนั้น ยํอมถือวําสภาพแหํงหนี้ไมํเปิดชํองให๎ศาลสั่งบังคับ
ชําระหนโี้ ดยเฉพาะเจาะจงได๎ เน่ืองจากศาลจะส่ังบังคับชําระหนี้เอาจากเน้ือตัวรํางกายของ
ลูกหนี้ไมํได๎ ขัดกับหลักศักด์ิศรีความเป็นมนุษย๑ เชํน นาย ก. ทําสัญญาซื้อท่ีดินจากนาย ข.
โดยมขี อ๎ ตกลงกันในสญั ญาวํานาย ก. จะต๎องไมํสร๎างอาคารสูงเกิน 2 ช้ันในที่ดินดังกลําวน้ัน
แตตํ อํ มา นาย ก. ได๎ผิดสญั ญาโดยการสร๎างอาคารสงู เกนิ 2 ชัน้ ในท่ีดินดังกลําว ดังน้ี นาย ข.
จะร๎องขอตอํ ศาลให๎สง่ั บงั คับให๎นาย ก. ร้ือถอนอาคารดังกลาํ วไมํได๎

9.1.2 ขอ้ ยกเวน้ ของการบังคบั ชาระหน้ีโดยเฉพาะเจาะจง ประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 213 วรรคสอง และวรรคสาม เปน็ บทบญั ญัติทกี่ ําหนดขึ้นเพื่อแก๎ไข
ปญ๓ หา “สภาพแหํงหน้ีจะไมํเปิดชํองให๎ทําเชํนน้ัน” ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 213 วรรคแรก

9.1.2.1 กรณวี ตั ถแุ ห่งหน้คี อื การกระทาการ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคสอง

บัญญตั วิ าํ “เมอ่ื สภาพแหํงหนี้ไมํเปิดชอํ งใหบ๎ ังคับชําระหน้ไี ด๎ ถ๎าวตั ถุแหํงหนี้เปน็ อันใหก๎ ระทํา
การอันหน่ึงอันใด เจ๎าหน้ีจะร๎องขอตํอศาลให๎ส่ังบังคับให๎บุคคลภายนอกกระทําการอันนั้น
โดยให๎ลูกหนี้เสียคําใช๎จํายให๎ก็ได๎ แตํถ๎าวัตถุแหํงหนี้เป็นอันให๎กระทํานิติกรรมอยํางใดอยําง
หนง่ึ ไซร๎ ศาลจะสงั่ ใหถ๎ ือเอาตามคาํ พิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลกู หนี้ก็ได๎”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคสอง
สามารถแยกอธิบายได๎เปน็ 2 กรณี คอื

1. เมื่อสภาพแหํงหน้ีไมํเปิดชํองให๎บังคับชําระหน้ีได๎ ถ๎าวัตถุ
แหํงหนี้เป็นอันให๎กระทําการอันหน่ึงอันใด เจ๎าหน้ีจะร๎องขอตํอศาลให๎สั่งบังคับให๎
บุคคลภายนอกกระทําการอันน้ัน โดยให๎ลูกหน้ีเสียคําใช๎จํายให๎ก็ได๎ เชํน นาย ก. ทําสัญญา
วําจ๎างนาย ข. ให๎สร๎างโรงจอดรถให๎แกํตน แตํนาย ข. ละเลยไมํยอมสร๎างโรงจอดรถให๎แกํ
นาย ก. แตํเมื่อวัตถุแหํงหน้ีในมูลหน้ีนี้คือ การกระทําการ จึงเป็นกรณีท่ีนาย ก. ไมํสามารถ
รอ๎ งขอตํอศาลให๎ส่งั บงั คบั ชาํ ระหนไี้ ด๎โดยเฉพาะเจาะจง เพราะสภาพแหํงหน้ีไมํเปิดชํองให๎ทํา
เชนํ นั้นได๎ ดังนน้ั นาย ก. ตอ๎ งรอ๎ งขอตอํ ศาลให๎บุคคลภายนอกกระทําการอันน้ันแทน โดยให๎
ศาลสงั่ บงั คบั ใหล๎ กู หนี้เสยี คาํ ใช๎จาํ ยให๎ เปน็ ต๎น

64

ข้อสงั เกต
(1) ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
213 วรรคสอง ตอนตน๎ ซงึ่ บัญญตั วิ ํา “เจา๎ หนี้จะร๎องขอตอํ ศาลให๎สั่งบังคับให๎บุคคลภายนอก
กระทําการอนั นั้น โดยให๎ลูกหน้ีเสียคําใช๎จํายให๎ก็ได๎” มิได๎หมายวํา ให๎เจ๎าหน้ีร๎องขอตํอศาล
เพ่ือให๎ศาลสั่งบังคับให๎บุคคลภายนอกกระทําการอันนั้นแทน เพราะเมื่อศาลไมํมีอํานาจส่ัง
บังคบั ใหล๎ ูกหน้ีกระทําการอันนั้น แล๎วศาลจะมีอํานาจส่ังบังคับให๎บุคคลภายนอกกระทําการ
อันนั้นแทนได๎อยํางไร แตํบทบัญญัตินี้หมายความวํา ให๎เจ๎าหนี้ร๎องขอตํอศาลเพ่ือให๎
บคุ คลภายนอกกระทําการอันนั้นแทน โดยให๎ศาลสั่งบังคบั ใหล๎ ูกหนี้เสียคําใชจ๎ าํ ยให๎
(2) ถ๎าวัตถุแหํงหน้ีเป็นการกระทําการ หากลูกหน้ีไมํยินยอม
กระทําการนน้ั โดยสภาพแหํงหนี้เจ๎าหนี้จะรอ๎ งขอตํอศาลให๎สั่งบังคับให๎ลูกหนี้กระทําการนั้น
ไมํได๎ ซึ่งประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคสอง กําหนดทางแก๎ไว๎โดย
กาํ หนดให๎เจา๎ หน้รี ๎องขอตอํ ศาลให๎สัง่ บงั คับให๎บคุ คลภายนอกกระทําการอันน้ัน โดยให๎ลูกหนี้
เสยี คาํ ใช๎จํายให๎ได๎ แตํบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรค
สอง ใชบ๎ ังคบั ไดก๎ ับหนก้ี ระทาํ การท่ไี มตํ ๎องอาศยั ความสามารถพเิ ศษของลูกหน้ีหรือคุณสมบัติ
เฉพาะตัวของลูกหนี้ เชํน การกํอสร๎างบ๎านตามแบบแปลนท่ีกําหนด การจ๎างนักร๎องโดยไมํ
เจาะจงชื่อ การจ๎างคนมาถางหญ๎าหรือขุดลอกคูคลอง เป็นต๎น เทํานั้น ในกรณีที่เป็นหนี้
กระทําการท่ีต๎องอาศัยความร๎ูความสามารถพิเศษของลูกหน้ีหรือคุณสมบัติเฉพาะตัวของ
ลูกหนี้ เชํน การจ๎างนักร๎องหรือจิตรกรโดยเจาะจงช่ือ ฯลฯ ถ๎าลูกหนี้ไมํปฏิบัติชําระหน้ี
เจ๎าหนี้กไ็ มํสามารถร๎องขอตอํ ศาลใหส๎ ั่งบงั คบั ใหบ๎ คุ คลภายนอกกระทาํ การอันน้ันแทน โดยให๎
ลูกหน้ีเสียคําใช๎จํายได๎ เจ๎าหน้ีทําได๎แตํเพียงเรียกคําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 215 เทาํ น้ัน35
(3) ในกรณีที่สภาพแหํงหนี้ไมํเปิดชํองให๎บังคับชําระหนี้ได๎
เจ๎าหนีจ้ ะบังคับชําระหนเ้ี ป็นอยาํ งอนื่ ไมํได๎ เชํน จ๎างตัดหญ๎า แล๎วลูกหน้ีไมํกระทํา เจ๎าหน้ีจะ
บังคับให๎ลูกหน้ีทําความสะอาดบ๎านแทนไมํได๎ เป็นต๎น แตํเจ๎าหน้ีและลูกหน้ีสามารถ
ตกลงแปลงหนีใ้ หมกํ ันตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 349 ได๎ หรือเจ๎าหน้ีจะ
ยอมรับการชําระหนี้อยํางอื่นแทนการชําระหนี้ที่ได๎ตกลงกันไว๎ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 321 กไ็ ด๎36

35ไพโรจน๑ วายุภาพ, เร่อื งเดิม, หน๎า 173-174., โสภณ รตั นากร, เร่อื งเดมิ , หน๎า
139-142., สนุ ทร มณีสวัสดิ์, เรอื่ งเดิม, หนา๎ 88.

36ไพโรจน๑ วายุภาพ, เรื่องเดิม, หน๎า 180.

65

2. ถ๎าวัตถุแหํงหนี้เป็นอันให๎กระทํานิติกรรมอยํางใดอยํางหน่ึง
ศาลจะสั่งให๎ถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหน้ีก็ได๎ เชํน นาย ก. ทําสัญญา
ซอื้ ท่ดี นิ จากนาย ข. โดยนาย ก. ได๎ชาํ ระราคาเรียบร๎อยแล๎ว แตํนาย ข. ละเลยเสียไมํยอมไป
จดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธิใ์ ห๎นาย ก. ตามสญั ญา ดงั น้ี นาย ก. จะร๎องขอตํอศาลเพ่ือให๎ศาลสั่ง
ใหถ๎ อื เอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนีก้ ็ได๎ และเม่ือศาลได๎มีคําส่ังดังกลําวแล๎ว
นาย ก. กส็ ามารถนาํ คําสงั่ ดังกลําวไปแสดงตํอเจ๎าพนกั งานท่ีดนิ เพื่อจดั การโอนกรรมสิทธิ์เป็น
ของตนได๎ เปน็ ตน๎

อยํางไรก็ดี ในเรื่องการจดทะเบียนการหยําน้ัน ในอดีต
ศาลฎีกาได๎เคยมีคําพิพากษาวํา สามีภริยาท่ีจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายแล๎ว ได๎ทํา
หนังสือหยํากันเองด๎วยความสมัครใจ มีพยาน 2 คนลงชื่อในหนังสือหยํา ตํอมาอีกฝ่ายหนึ่ง
ไมยํ อมไปจดทะเบยี นหยํา ดังน้ี ศาลยํอมมีคําสั่งให๎ถือเอา คําพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
ได๎ (คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2508) แตํตํอมา ศาลฎีกาได๎มีคําพิพากษาวํา ประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 1531 วรรคสอง กําหนดวําการจดทะเบียนหยําโดย
คําพิพากษา คูํสมรสไมํต๎องไปแสดงเจตนาขอจดทะเบียนหยําตํอนายทะเบียนอีก และ
พระราชบญั ญตั จิ ดทะเบยี นครอบครัว พ.ศ. 2478 มาตรา 16 ก็กําหนดแตํเพียงวําให๎ผู๎มีสํวน
ได๎เสียย่ืนสําเนาคําพิพากษาตํอนายทะเบียน และขอให๎นายทะเบียนบันทึกการหยําไว๎ใน
ทะเบียนเทาํ นน้ั ดงั นัน้ โจทก๑จงึ ไมํตอ๎ งขอใหศ๎ าลส่ังให๎จําเลยไปจดทะเบียนหยํา หากไมํไปให๎
ถือเอาคําพพิ ากษาแทนการแสดงเจตนาของจําเลยอีก (คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2141/2531,
3608/2531, 3232/2533)

คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ีเก่ยี วข้อง
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2480 จําเลยทําสัญญาจะ

ขายท่ีดินให๎แกํโจทก๑ และจําเลยรับเงินมัดจําไปแล๎ว ตํอมาที่ดินมีราคาเพ่ิมข้ึน จําเลยจึงไมํ
ยอมขายให๎แกํโจทก๑ ดังนี้ เม่ือท่ีดินยังอยํูในอํานาจของจําเลยท่ีจะทําการโอนให๎แกํโจทก๑ได๎
ศาลจึงให๎ถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจําเลย ตามประมวลแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 213 วรรคสอง

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1456/2539 ประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑มาตรา 1364 กําหนดวํา การแบํงทรัพย๑สินพึงกระทําโดยแบํงทรัพย๑สิน
น้ันเองระหวาํ งเจา๎ ของรวม แตหํ ากเจา๎ ของรวมตกลงแบํงกันไมํได๎ ก็ให๎ขายทรัพย๑สินแล๎วเอา
เงินท่ีขายได๎แบํงกัน ดังน้ัน เม่ือตกลงแบํงกันไมํได๎และโจทก๑ฟ้องขอแบํงแยกที่ดินซึ่งเป็น
กรรมสิทธิ์รวม ศาลจะพิพากษาวําให๎ถือเอาคําพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของ
จาํ เลย เพ่ือทาํ การรังวัดแบงํ แยกทดี่ ินนน้ั ไมไํ ด๎

66

9.1.2.2 กรณวี ัตถุแห่งหนี้คอื การงดเวน้ กระทาการ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคสาม

บัญญตั วิ าํ “สํวนหนีซ้ ึง่ มีวัตถุเป็นอนั จะใหง๎ ดเวน๎ การอันใด เจา๎ หนี้จะเรยี กร๎องให๎รื้อถอนการที่
ได๎กระทาํ ลงแล๎วนั้น โดยใหล๎ กู หน้ีเสียคําใชจ๎ าํ ย และให๎จัดการอันควรเพ่ือกาลภายหน๎าด๎วยก็
ได๎”

ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพ่ง มาตรา 359 กําหนด
วาํ ในการบงั คบั คดี ในกรณที ่คี าํ พิพากษาหรือคาํ ส่งั ของศาลกาํ หนดให๎ลูกหน้ีตามคําพิพากษา
งดเว๎นกระทําการ เจ๎าหนี้ตามคําพิพากษาอาจขอให๎ศาลมีคําส่ังให๎รื้อถอนหรือทําลาย
ทรัพยส๑ ินอันเกิดจากการไมํงดเวน๎ กระทําการน้ันได๎ โดยเมื่อศาลมีคําส่ังดังกลําวแล๎ว ให๎ศาล
แจ๎งคําสง่ั นั้นให๎เจา๎ พนักงานบังคับคดที ราบ แลว๎ ให๎เจ๎าพนักงานบังคบั คดีดําเนินการให๎เป็นไป
ตามคาํ สง่ั ศาล โดยลูกหนีต้ ามคําพพิ ากษาเป็นผ๎ูรับผิดในคําใช๎จาํ ย

ดังนั้น ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213
วรรคสามและประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความแพงํ มาตรา 359 จึงสรุปได๎วํา หนี้ซ่ึงมีวัตถุ
แหํงหนี้คือการงดเว๎นกระทําการ เจ๎าหน้ีมีสิทธิร๎องขอตํอศาล เพื่อให๎ศาลส่ังให๎รื้อถอน
ทรัพยส๑ ินอนั เกดิ จากการไมํงดเว๎นกระทําการน้ันได๎ โดยใหล๎ ูกหนีเ้ ป็นผู๎เสยี คาํ ใช๎จําย และผู๎ท่ีมี
หนา๎ ท่ดี าํ เนินการร้อื ถอน คือ เจา๎ พนักงานบงั คับคดี

ตัวอย่าง นาย ก. ทําสัญญาซ้ือท่ีดินจากนาย ข. โดยมีข๎อตกลงกัน
ในสัญญาวํานาย ก. จะต๎องไมํสร๎างอาคารสูงเกิน 2 ช้ันในท่ีดินดังกลําวน้ัน แตํตํอมา
นาย ก. ได๎ผิดสัญญาโดยการสร๎างอาคารสูงเกิน 2 ช้ันในท่ีดินดังกลําว ดังนี้ นาย ข. มีสิทธิ
ร๎องขอตํอศาล เพ่ือให๎ศาลสั่งให๎ร้ือถอนอาคารดังกลําว โดยให๎นาย ก. เป็นผ๎ูเสียคําใช๎จํายได๎
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคสาม และผ๎ูที่มีหน๎าที่ดําเนินการ
รื้อถอน คือ เจา๎ พนกั งานบงั คับคดี ตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพํง มาตรา 359

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 94/2531 การที่โจทก๑มีคําขอวํา หาก
จําเลยไมํยอมรื้อถอนส่ิงปลูกสร๎าง ก็ขอให๎บุคคลภายนอกเป็นผู๎รื้อถอนส่ิงปลูกสร๎างน้ันแทน
โดยให๎จําเลยเป็นผ๎ูออกคําใช๎จํายน้ัน เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพํง มาตรา
296 ทวิ (กฎหมายเกํา) กําหนดวํา หากลูกหนี้ตามคําพิพากษาไมํปฏิบัติตามคําบังคับ
ใหเ๎ จ๎าหนี้ตามคําพิพากษาร๎องขอตํอศาลให๎มีคําสั่งต้ังเจ๎าพนักงานบังคับคดีให๎จัดการ ดังนั้น
โจทก๑จึงต๎องดาํ เนนิ การตามวธิ ีการทก่ี ฎหมายกาํ หนดไว๎น้ัน

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3486/2542 โจทก๑จะร๎องขอให๎ศาล
พิพากษาให๎โจทก๑หรือบุคคลภายนอกเป็นผู๎ร้ือถอนอาคารพิพาท โดยให๎จําเลยเป็นผ๎ูออก
คําใช๎จํายไมํได๎ เพราะการรื้อถอนเป็นอํานาจของเจ๎าพนักงานบังคับคดี ตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพํง มาตรา 296 ทวิ (กฎหมายเกํา) ซ่ึงเป็นกฎหมายเฉพาะใน
เร่อื งการบงั คับคดีตามคําพพิ ากษา

67

อยํางไรก็ดี ในกรณีที่วัตถุแหํงหน้ีซ่ึงเป็นการงดเว๎นกระทําการน้ัน
เป็นเร่ืองอืน่ ทไ่ี มํเกยี่ วขอ๎ งกับการกอํ สร๎างหรอื ส่งิ กํอสรา๎ งนนั้ มไิ ดเ๎ ปน็ ของลกู หน้ี เจา๎ หนยี้ อํ มไมํ
อาจร๎องขอตํอศาลเพื่อให๎ศาลสั่งให๎ร้ือถอน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
213 วรรคสาม ได๎ เจ๎าหนี้ทําได๎แตํเพียงเรียกคําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณชิ ย๑ มาตรา 215 เทําน้นั

ตัวอย่างท่ี 1 ลกู หนี้ทําสัญญาเชําอาคารของเจ๎าหนี้ และตกลงกัน
ไว๎วาํ ลูกหนี้จะไมเํ ปิดรา๎ นขายอาหารบนอาคารนี้ แตํตอํ มาลกู หน้ีได๎ฝ่าฝืนเปิดร๎านขายอาหาร
บนอาคารนี้ ดงั นี้ เม่ืออาคารนเ้ี ปน็ ของเจา๎ หน้เี อง เจา๎ หน้ียํอมไมํอาจร๎องขอตํอศาลเพื่อให๎ศาล
สัง่ ใหร๎ ้ือถอนอาคารดังกลาํ ว ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคสาม
เจ๎าหนี้จึงทําได๎เพียงเรียกคําเสียหาย ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215
เทาํ น้นั

ตัวอย่างที่ 2 นาย ก. ทําสัญญาซ้ือท่ีดินจากนาย ข. โดยมี
ข๎อตกลงกันในสัญญาวําตลอดเวลาที่นาย ก. มีกรรมสิทธิ์ในท่ีดินแปลงน้ี นาย ก. จะต๎องไมํ
สรา๎ งอาคารสงู เกนิ 2 ชัน้ ในทีด่ นิ ดงั กลาํ วนัน้ แตํตอํ มา นาย ก. ได๎ให๎นาย ค. เชําที่ดินแปลงน้ี
และนาย ค. ได๎รับอนุญาตจากนาย ก. ให๎สร๎างอาคารสูงเกิน 2 ช้ันในท่ีดินดังกลําว ดังน้ี
นาย ข. ไมํมีสิทธิร๎องขอตํอศาล เพื่อให๎ศาลส่ังให๎รื้อถอนอาคารดังกลําว ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคสาม เพราะอาคารน้ันมิได๎เป็นของนาย ก.
แตํนาย ข. มสี ิทธิเรยี กคําสินไหมทดแทนจากนาย ก. ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 215 ได๎

ตวั อยา่ งที่ 3 ลูกหนีซ้ ึง่ เป็นนักร๎องได๎ทําสัญญาบันทึกเทปเพลงกับ
เจา๎ หน้ีซึง่ เปน็ เจา๎ ของคํายเพลงแหํงหนึ่ง โดยตกลงกันวําลูกหนี้จะไมํไปบันทึกเทปเพลงให๎กับ
คํายเพลงอ่ืน แตํตํอมาลูกหน้ีได๎ผิดสัญญาไปบันทึกเทปเพลงให๎กับคํายเพลงอื่น ดังน้ี เจ๎าหน้ี
จะรอ๎ งขอตอํ ศาลเพ่ือใหศ๎ าลสั่งให๎รอื้ ถอนโดยการยดึ เพลงท่ีบันทึกนั้นมาทําลายหรือลบข๎อมูล
เสียมิได๎ เพราะเทปเพลงนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของคํายเพลงอื่น ซึ่งคํายเพลงนั้นมิได๎เป็นลูกหน้ี
ตามสัญญาของเจ๎าหนี้ เจ๎าหน้ีจึงทําได๎แคํเพียงเรียกร๎องคําสินไหมทดแทนจากลูกหน้ี ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 215 เทาํ นัน้

สํวนบทบัญญัติตอนท๎ายของประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 213 วรรคสาม ซ่ึงบัญญัติวํา “ให๎จัดการอันควรเพ่ือกาลภายหน๎าด๎วยก็ได๎”
หมายความวํา กรณีที่เจ๎าหนี้เห็นวําลูกหนี้อาจจะกระทําการท่ีตนต๎องงดเว๎นกระทําการอีก
เจา๎ หน้มี ีสทิ ธิร๎องขอตํอศาลเพื่อให๎ศาลส่ังห๎ามลูกหนี้ไว๎กํอนเป็นการลํวงหน๎ามิให๎กระทําการ
นั้นได๎ เชํน ลูกหน้ีทําสัญญาเชําของเจ๎าหนี้และตกลงกันไว๎วําลูกหนี้จะไมํทําธุรกิจค๎าขาย
อาหารแขํงกันกับเจ๎าหนี้ แตํตํอมาลูกหน้ีได๎ ฝ่าฝืนเปิดร๎านขายอาหาร ดังน้ี เจ๎าหนี้สามารถ

68

รอ๎ งขอตํอศาล เพ่ือให๎ศาลสั่งห๎ามมิให๎ลูกหน้ีทําธุรกิจค๎าขายอาหารแขํงกันกับเจ๎าหนี้อีก อัน
เปน็ การหา๎ มไวก๎ ํอนเป็นการลวํ งหน๎าก็ได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1039/2477 ผ๎ูเป็นห๎ุนสํวนคนหนึ่งสามารถ
รอ๎ งขอตอํ ศาล เพือ่ ให๎ศาลสั่งห๎ามผ๎ูเป็นห๎ุนสํวนอีกคนหน่ึงขายทรัพย๑ของห๎ุนสํวนอันเป็นการ
ผิดสญั ญาได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 365 - 367/2518 โจทก๑และจําเลยตกลงกัน
วํา เมื่อจําเลยทําถนนผํานที่ดินโจทก๑แล๎ว จะให๎ถนนดังกลําวเป็นทางสาธารณะ เพื่อให๎
ประชาชนได๎ใช๎ ดังน้ี ศาลจะพิพากษาห๎ามจําเลยปิดกั้น ขุด หรือขัดขวางในการที่โจทก๑และ
ประชาชนจะใช๎ถนนนนั้ ได๎

9.1.3 การบงั คบั ชาระหนี้ไมต่ ัดสทิ ธิการเรียกค่าเสียหาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคท้าย บัญญัติวํา

“อน่ึงบทบัญญัติในวรรคท้ังหลายที่กลําวมากํอนนี้ หากระทบกระท่ังถึงสิทธิท่ีจะเรียกเอา
คาํ เสียหายไมํ”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคท๎าย
หมายความวาํ ถ๎าลูกหนีล้ ะเลยเสียไมํชําระหนี้ของตน เม่ือเจ๎าหนี้ใช๎สิทธิร๎องขอตํอศาลให๎ส่ัง
บังคับชําระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรก หรือมาตรา
213 วรรคสอง หรือมาตรา 213 วรรคสาม แล๎ว หากการที่ลูกหนี้ละเลยเสียไมํชําระหน้ีนั้น
กอํ ใหเ๎ กิดความเสียหายแกเํ จ๎าหน้ี เจ๎าหนก้ี ย็ ังคงมสี ทิ ธทิ จ่ี ะเรียกร๎องเอาคําเสียหายจากลูกหน้ี
ไดอ๎ ีกดว๎ ย

ตวั อยา่ งที่ 1 เจ๎าหนี้ตกลงซ้ือชุดเจ๎าสาวจากลูกหนี้ แตํเม่ือถึงกําหนดสํง
มอบชดุ เจา๎ สาว ลกู หนกี้ ลับละเลยเสียไมํยอมสํงมอบชุดเจ๎าสาวให๎ ดังน้ี เจ๎าหน้ีมีสิทธิร๎องขอ
ตอํ ศาล เพื่อให๎ศาลสั่งบังคบั ให๎ลกู หน้ีสํงมอบชดุ เจา๎ สาวให๎แกเํ จ๎าหนไ้ี ด๎ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรก และหากข๎อเท็จจริงปรากฏวํา การท่ีลูกหน้ีละเลย
เสียไมํยอมสํงมอบชุดเจ๎าสาวให๎แกํเจ๎าหน้ี ทําให๎เจ๎าหนี้ได๎รับความเสียหายต๎องไปเชําชุด
เจา๎ สาวมาจากรา๎ นอื่นเพ่ือใช๎ในงานแตํงงาน เจ๎าหนี้ก็มีสิทธิที่จะเรียกร๎องเอาคําเสียหายจาก
ลกู หนไ้ี ดอ๎ ีกดว๎ ย ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 213 วรรคท๎าย

ตัวอย่างที่ 2 เจ๎าหนี้ตกลงวําจ๎างลูกหน้ีให๎ซ๎อมแซมบ๎าน แตํลูกหนี้
ละเลยเสียไมํยอมซ๎อมแซมบ๎านให๎ตามท่ีตกลงกัน ดังนี้ เจ๎าหน้ีมีสิทธิร๎องขอตํอศาล เพื่อให๎
บุคคลภายนอกซ๎อมแซมบ๎านแทน โดยให๎ศาลสั่งบังคับให๎ลูกหน้ีเสียคําใช๎จํายให๎ได๎ ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคสอง และหากข๎อเท็จจริงปรากฏวํา
การที่ลกู หนีล้ ะเลยไมํยอมซ๎อมแซมบา๎ นตามท่ตี กลงกนั ไวน๎ ัน้ ทาํ ใหเ๎ จา๎ หน้ีได๎รับความเสียหาย
กลําวคือ แม๎จะมีบุคคลภายนอกมาซ๎อมแซมบ๎านแทนแล๎ว แตํกําหนดเวลาในการซ๎อมแซม

69

บา๎ นเสร็จ กจ็ ะตอ๎ งขยายออกไป ซงึ่ ทําให๎เจา๎ หน้ตี อ๎ งรับภาระไปเชาํ บา๎ นอื่นอยํใู นระหวํางซ๎อม
แซมบา๎ นของตน ดังนี้ เจ๎าหน้ีก็มีสิทธิที่จะเรียกร๎องเอาคําเสียหายจากลูกหนี้ได๎อีกด๎วย ตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคท๎าย

ตัวอย่างที่ 3 นาย ก. มีท่ีดิน 2 แปลงติดกัน แปลงหนึ่งได๎เปิดเป็นร๎าน
ขายอาหาร สํวนอีกแปลงเป็นที่ดินเปลํา ตํอมานาย ก. ได๎ขายที่ดินแปลงหน่ึงให๎แกํนาย ข.
โดยมีข๎อตกลงกันในสัญญาวาํ นาย ข. จะตอ๎ งไมํสรา๎ งร๎านอาหารในทด่ี นิ ดงั กลําว เพราะจะทํา
ให๎เกิดการค๎าขายแขํงกัน แตํตํอมา นาย ข. ได๎ผิดสัญญาโดยการสร๎างร๎านอาหารในท่ีดิน
ดังกลําว ดังนี้ นาย ก. มีสิทธิร๎องขอตํอศาล เพื่อให๎ศาลสั่งให๎ร้ือถอนร๎านอาหารของนาย ข.
โดยให๎นาย ก. เป็นผู๎เสียคําใช๎จํายได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
213 วรรคสาม และหากขอ๎ เท็จจรงิ ปรากฏวาํ การท่ีนาย ข. สรา๎ งร๎านอาหารในที่ดินดังกลาํ ว
ทําให๎นาย ก. ได๎รับความเสียหาย เพราะทําให๎เกิดการค๎าขายแขํงกัน อันทําให๎รายได๎ของ
นาย ก. ลดลง นาย ก. ก็มีสิทธิท่ีจะเรียกร๎องเอาคําเสียหายจากนาย ข. ได๎อีกด๎วย ตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 213 วรรคท๎าย

ข้อสงั เกต
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 438 วรรคสอง บัญญัติวํา
“คําสินไหมทดแทนน้ัน ได๎แกํ การคืนทรัพย๑สินอันผ๎ูเสียหายต๎องเสียไปเพราะละเมิด
หรอื ใชร๎ าคาทรพั ย๑สินน้ัน รวมทัง้ คาํ เสียหายอันจะพึงบังคับให๎ใช๎เพื่อความเสียหายอยํางใด ๆ
อันได๎กํอขึ้นน้ันด๎วย” ดังน้ัน คําวํา “คําสินไหมทดแทน” จึงมีความหมายกว๎างกวําคําวํา
“คําเสียหาย” โดยคําวํา “คําเสียหาย” หมายถึงการชดใช๎เป็นเงินคําเสียหาย แตํคําวํา
“คําสินไหมทดแทน” หมายถึง การคืนทรัพย๑สิน ใช๎ราคาทรัพย๑สิน การชดใช๎เป็นเงิน
คําเสียหาย

9.2 ทรพั ย์ซง่ึ อยู่ในบังคับแหง่ การชาระหนโี้ ดยเฉพาะเจาะจง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 บัญญัติวํา “ภายใต๎บังคับ

บทบญั ญตั ิแหํงมาตรา 733 เจ๎าหน้ีมีสิทธิท่ีจะให๎ชําระหนี้ของตนจากทรัพย๑สินของลูกหน้ีจน
สิ้นเชิง รวมทัง้ เงินและทรัพยส๑ ินอน่ื ๆ ซง่ึ บคุ คลภายนอกค๎างชําระแกํลูกหนดี้ ว๎ ย”

บทบัญญัติท่ีวํา “เจ๎าหนี้มีสิทธิท่ีจะให๎ชําระหนี้ของตนจากทรัพย๑สินของลูกหน้ี
จนส้ินเชิง” หมายความวํา ลกู หนเ้ี ปน็ หน้ีอยูจํ ํานวนเทําใด เจ๎าหนี้ก็มีสิทธิร๎องขอตํอศาลให๎ส่ัง
บังคับชําระหนจ้ี ากทรัพยส๑ ินตาํ ง ๆ ของลกู หน้ี จนครบตามจํานวนหนี้นั้น

ตัวอย่าง นาย ก. กู๎เงินจากนาย ข. จํานวน 1,000,000 บาท แตํเมื่อหน้ีถึง
กาํ หนดชําระ นาย ก. ไมํชําระหน้ี นาย ข.ยํอมมีสิทธิร๎องขอตํอศาลให๎สั่งบังคับชําระหน้ีจาก
ทรัพย๑สินตําง ๆ ของลูกหน้ี จนครบ 1,000,000 บาท ได๎ เปน็ ตน๎

70

อน่ึง ในการบังคบั ชําระหน้ีนนั้ ศาลมีอํานาจสั่งบังคับชําระหน้ีเอาจากทรัพย๑สิน
ของลูกหนี้ได๎ท้ังหมด ไมํวําจะเป็นทรัพย๑สินที่มีอยูํกํอนการกํอหน้ี หรือทรัพย๑สินท่ีมีข้ึนใหมํ
หลังการกํอหน้ี นอกจากน้ัน หากลูกหน้ีได๎ถึงแกํความตาย หนี้ก็ไมํระงับ โดยเจ๎าหน้ีมีสิทธิ
เรียกใหท๎ ายาทของลูกหนี้นําทรัพย๑สนิ ในกองมรดกมาชาํ ระหน้ีได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 1599, 1600, 1601

ข้อสังเกต แม๎ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 214 จะกําหนดให๎
เจ๎าหน้ีมีสิทธิท่ีจะให๎ชําระหน้ีของตนจากทรัพย๑สินของลูกหน้ีจนสิ้นเชิง แตํทรัพย๑สินของ
ลกู หนบี้ างอยํางก็ได๎รบั การยกเว๎นคือ เจ๎าหนไ้ี มอํ าจยึดมาเพอื่ ชาํ ระหนี้ได๎ เชํน ทรพั ย๑สินตามท่ี
กําหนดไว๎ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพํง มาตรา 301 และมาตรา 302 หรือ
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 1307 เป็นตน๎

1. ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพํง มาตรา 301 บัญญัติวํา “ทรัพย๑สิน
ของลกู หน้ตี ามคําพิพากษาตํอไปนี้ ยํอมไมอํ ยํูในความรบั ผิดแหํงการบงั คบั คดี

(1) เคร่ืองนํุงหํมหลับนอน เครื่องใช๎ในครัวเรือน หรือเครื่องใช๎สอยสํวนตัว
โดยประมาณรวมกนั ราคาไมเํ กินประเภทละสองหมื่นบาท แตํในกรณีที่เจ๎าพนักงานบังคับคดี
เห็นสมควร เจ๎าพนักงานบังคับคดีจะกําหนดให๎ทรัพย๑สินแตํละประเภทดังกลําวท่ีมีราคา
รวมกันเกนิ สองหมื่นบาทเปน็ ทรัพย๑สนิ ท่ีไมตํ ๎องอยใํู นความรับผิดแหํงการบังคับคดีก็ได๎ ทั้งน้ี
โดยคํานึงถงึ ความจาํ เป็นตามฐานะของลูกหนี้ตามคําพิพากษา

(2) สัตว๑ ส่ิงของ เครื่องมือ เคร่ืองใช๎ ในการประกอบอาชีพหรือประกอบ
วิชาชีพเทําที่จําเป็นในการเลี้ยงชีพของลูกหนี้ตามคําพิพากษา ราคารวมกันโดยประมาณไมํ
เกนิ หนึ่งแสนบาท แตถํ า๎ ลกู หนี้ตามคาํ พิพากษามีความจําเป็นในการเลี้ยงชีพก็อาจร๎องขอตํอ
เจ๎าพนักงานบังคับคดีขออนุญาตใช๎สัตว๑ สิ่งของ เครื่องมือ เครื่องใช๎เทําท่ีจําเป็นในการ
ประกอบอาชีพหรือประกอบวิชาชีพในกิจการดังกลําวของลูกหน้ีตามคําพิพากษาอันมีราคา
รวมกนั เกินกวําจํานวนราคาท่ีกําหนดนั้น ในกรณีเชํนนี้ ให๎เจ๎าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจใช๎
ดุลพินิจไมํอนุญาตหรืออนุญาตได๎เทําท่ีจําเป็นภายในบังคับแหํงเง่ือนไขตามท่ีเจ๎าพนักงาน
บงั คับคดีเหน็ สมควร

(3) สัตว๑ ส่ิงของ เคร่ืองใช๎ และอุปกรณ๑ท่ีจําเป็นต๎องใช๎ทําหน๎าท่ีชํวยหรือ
แทนอวัยวะของลกู หน้ีตามคําพพิ ากษา

(4) ทรัพย๑สินของลูกหน้ีตามคําพิพากษาอันมีลักษณะเป็นของสํวนตัวโดย
แท๎ เชํน หนงั สือสาํ หรับวงศต๑ ระกูลโดยเฉพาะ จดหมาย หรือสมดุ บัญชีตาํ ง ๆ

(5) ทรัพย๑สินอยํางใดทีโ่ อนกนั ไมํไดต๎ ามกฎหมาย หรือตามกฎหมายยํอมไมํ
อยํูในความรับผดิ แหํงการบังคับคดี”

71

2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพํง มาตรา 302 บัญญัติวํา “ภายใต๎
บังคับบทบัญญัติแหํงกฎหมายอ่ืน เงินหรือสิทธิเรียกร๎องเป็นเงินของลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ตํอไปนี้ ไมํอยใํู นความรบั ผิดแหํงการบงั คับคดี

(1) เบ้ียเลี้ยงชีพซ่ึงกฎหมายกําหนดไว๎ สํวนเงินรายได๎เป็นคราว ๆ ซ่ึง
บุคคลภายนอกได๎ยกให๎เพื่อเล้ียงชีพน้ัน ให๎มีจํานวนไมํเกินเดือนละสองหมื่นบาทหรือตาม
จาํ นวนท่ีเจ๎าพนักงานบงั คับคดีเห็นสมควร

(2) เงินเดือน คําจ๎าง บํานาญ บําเหน็จ เบี้ยหวัด หรือรายได๎อื่นในลักษณะ
เดยี วกนั ของข๎าราชการ เจ๎าหน๎าท่ี หรือลูกจ๎างในหนํวยราชการ และเงินสงเคราะห๑ บํานาญ
หรอื บาํ เหน็จทหี่ นํวยราชการไดจ๎ ํายให๎แกํคํูสมรสหรอื ญาตทิ ยี่ งั มชี ีวติ ของบคุ คลเหลาํ นนั้

(3) เงินเดือน คําจ๎าง บํานาญ คําชดใช๎ เงินสงเคราะห๑ หรือรายได๎อื่นใน
ลักษณะเดยี วกนั ของพนักงาน ลูกจ๎าง หรือคนงาน นอกจากท่ีกลําวไว๎ใน (2) ท่ีนายจ๎างหรือ
บุคคลอื่นใดได๎จํายให๎แกํบุคคลเหลํานั้น หรือคูํสมรส หรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหลําน้ัน
เป็นจํานวนรวมกันไมํเกินเดือนละสองหมื่นบาทหรือตามจํานวนที่เจ๎าพนักงานบังคับคดี
เหน็ สมควร

(4) บําเหน็จหรือคําชดเชยหรือรายได๎อื่นในลักษณะเดียวกันของบุคคลตาม
(3) เปน็ จํานวนไมเํ กนิ สามแสนบาทหรอื ตามจํานวนทเ่ี จ๎าพนักงานบงั คับคดเี ห็นสมควร

(5) เงินฌาปนกิจสงเคราะห๑ที่ลูกหน้ีตามคําพิพากษาได๎รับอันเน่ืองมาแตํ
ความตายของบุคคลอื่นเปน็ จาํ นวนตามท่ีจําเปน็ ในการดาํ เนนิ การฌาปนกิจศพตามฐานะของ
ผู๎ตายทเ่ี จ๎าพนักงานบงั คับคดีเหน็ สมควร”

3. ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 1307 บญั ญัติวํา “ทํานห๎ามมิให๎ยึด
ทรัพย๑สินของแผํนดินไมํวําทรัพย๑สินนั้นจะเป็นสาธารณสมบัติของแผํนดินหรือไมํ” เชํน
หนํวยงานของรัฐเป็นลูกหน้ี แล๎วไมํยอมชําระหนี้ เจ๎าหน้ีจะไปยึดอาคาร ท่ีดิน วัสดุอุปกรณ๑
หรอื เคร่ืองใช๎ตาํ ง ๆ ของหนวํ ยงานของรฐั นั้นไมํได๎ เพราะเปน็ ทรัพย๑สนิ ของแผํนดิน เปน็ ตน๎

สําหรับบทบัญญัติที่วํา “รวมท้ังเงินและทรัพย๑สินอื่น ๆ ซ่ึงบุคคลภายนอกค๎าง
ชําระแกํลกู หนี้ดว๎ ย” หมายความวํา เจา๎ หนมี้ สี ทิ ธริ ๎องขอตอํ ศาล ใหศ๎ าลสง่ั บังคบั ชําระหนี้จาก
เงินและทรัพยส๑ นิ อื่น ๆ ซ่ึงบุคคลภายนอกค๎างชําระแกํลูกหน้ีด๎วย ซ่ึงการใช๎สิทธิดังกลําวนี้ ก็
คอื การใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233-236
น่นั เอง

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2506 หนที้ มี่ จี าํ นองเป็นประกัน เจ๎าหนี้จะใช๎สิทธิ
เรียกร๎องอยํางหนี้สามัญ คือ บังคับชําระหนี้จากทรัพย๑สินท่ัวไปของลูกหนี้ หรือจะบังคับ
จาํ นองจากทรัพย๑ทจ่ี ํานองอยาํ งใดอยํางหนึ่งกไ็ ด๎

72

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 40/2513 ในกรณีท่ีมีการบังคับจํานองโดยเอา
ทรัพย๑สินของจําเลยซ่ึงจํานองไว๎ออกขายทอดตลาดเพ่ือใช๎เงินท่ีจําเลยกู๎โจทก๑ไป แตํขายได๎
เงนิ สทุ ธินอ๎ ยกวาํ เงินทจี่ าํ เลยคา๎ งชําระอยูํ หากในสญั ญาจํานองไมํปรากฏวําจําเลยยอมให๎เอา
ทรัพยส๑ ินอ่ืนนอกจากทรพั ย๑สนิ ทีจ่ ํานองชาํ ระหน้ีได๎อกี แลว๎ จาํ เลยก็ไมํตอ๎ งรับผิดในจํานวนเงิน
ท่ีขาด โจทก๑จะขอให๎ยึดทรัพยส๑ ินอื่นของจําเลยมาชาํ ระหน้อี ีกไมํได๎

คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 1090/2515 โจทกซ๑ ึ่งเป็นเจ๎าหน้ีมีสิทธิจะยึดท่ีดินแปลง
ใดของลกู หนซ้ี งึ่ เปน็ จําเลยตามคําพพิ ากษามาบังคับชําระหนี้ก็ได๎ เพราะเจ๎าหน้ีมีสิทธิท่ีจะให๎
ชาํ ระหนข้ี องตนจากทรพั ยส๑ นิ ของลูกหนีโ้ ดยสิน้ เชิง

ขอ้ สงั เกต ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 214 เป็นบทบัญญัติที่ตํอ
เนื่องมาจากประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรกตอนต๎น กลําวคือ
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 213 วรรคแรกตอนต๎น เป็นเรื่องการบังคับชําระ
หนโ้ี ดยเฉพาะเจาะจง (วัตถแุ หํงหน้ีคือการสํงมอบทรัพย๑สิน) โดยกําหนดวํา ถ๎าลูกหนี้ละเลย
เสียไมํชําระหน้ีของตน เจ๎าหนี้จะร๎องขอตํอศาลให๎สั่งบังคับชําระหนี้ก็ได๎ สํวนประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 214 เป็นเร่ืองทรัพย๑ซ่ึงอยํูในบังคับแหํงการชําระหนี้โดย
เฉพาะเจาะจง โดยกําหนดวํา เจ๎าหน้ีมีสิทธิที่จะให๎ชําระหนี้ของตนจากทรัพย๑สินของลูกหนี้
จนส้ินเชงิ รวมทั้งเงินและทรัพยส๑ ินอ่ืน ๆ ซงึ่ บคุ คลภายนอกค๎างชําระแกํลกู หนี้ด๎วย

สาํ หรบั บทบัญญัติท่วี าํ “ภายใตบ๎ ังคบั บทบัญญัติแหํงมาตรา 733 เจ๎าหนี้มีสิทธิ
ทจ่ี ะให๎ชําระหน้ีของตนจากทรัพย๑สินของลูกหนี้จนส้ินเชิง” หมายความวํา กรณีตามมาตรา
733 เจ๎าหน้ีไมํมีสิทธิที่จะให๎ชําระหนี้ของตนจากทรัพย๑สินของลูกหนี้จนส้ินเชิง เน่ืองจาก
มาตรา 733 กําหนดวํา ถ๎าเอาทรัพย๑จํานองหลุดและราคาทรัพย๑สินนั้นมีประมาณตํ่ากวํา
จาํ นวนเงนิ ทีค่ า๎ งชาํ ระกันอยํู หรือถ๎าเอาทรัพย๑สินซ่ึงจํานองออกขายทอดตลาดใช๎หนี้ ได๎เงิน
จาํ นวนสทุ ธินอ๎ ยกวาํ จาํ นวนเงนิ ท่ีค๎างชาํ ระกันอยนูํ นั้ เงนิ ยังขาดจาํ นวนอยเํู ทาํ ใดลกู หนไี้ มํต๎อง
รับผดิ ในเงนิ นน้ั

ตวั อยา่ ง นาย ก. กูเ๎ งนิ จากนาย ข. จํานวน 1,000,000 บาท โดยจํานองท่ีดิน
ไว๎เป็นประกัน แตํเม่ือหน้ีถึงกําหนดชําระ นาย ก. ไมํชําระหน้ี นาย ข. จึงฟ้องคดี บังคับ
จํานองทดี่ นิ ขายทอดตลาด ปรากฏวําได๎เงินสุทธิมาชําระหนี้เพียง 700,000 บาท ยังขาดอยูํ
อีกจํานวน 300,000 บาท ดังน้ี นาย ข. ไมํมีสิทธิที่จะบังคับเอาจํานวนเงินท่ียังขาดอยํูกับ
ทรัพยส๑ นิ อ่ืน ๆ ของนาย ก. ไดอ๎ ีก เป็นตน๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 40/2513 ในกรณีที่มีการบังคับจํานองโดยการเอา
ทรพั ย๑ซ่งึ จํานองไว๎ออกขายทอดตลาดเพื่อใช๎หนี้เงนิ ก๎ู แตขํ ายไดเ๎ งนิ สทุ ธนิ ๎อยกวาํ เงินทจี่ าํ เลยกู๎
ไป เม่อื ในสัญญาจํานองไมํปรากฏวาํ จําเลยยอมใหเ๎ อาทรัพย๑อื่นนอกจากทรัพย๑ท่ีจํานองชําระ

73

หน้ีไดอ๎ กี แล๎ว จาํ เลยจงึ ไมํตอ๎ งรับผิดในจํานวนเงนิ ท่ีขาด โจทก๑จะขอใหย๎ ดึ ทรพั ย๑อืน่ ของจําเลย
มาชําระหนอ้ี ีกไมไํ ด๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 7007/2541 เม่ือสัญญาไมํมีข๎อความระบุวํา หากมี
การบังคับจํานองโดยการเอาทรัพย๑ซึ่งจํานองไว๎ออกขายทอดตลาด แล๎วได๎เงินไมํเพียงพอ
ชําระหน้ี ก็ใหบ๎ งั คบั เอาจากทรัพย๑อ่ืนซ่ึงมิใชํทรัพย๑ที่จํานองไว๎ได๎ด๎วย ดังน้ัน เม่ือโจทก๑บังคับ
ชําระหนี้จากทรัพยจ๑ ํานองไดเ๎ งินไมเํ พียงพอชาํ ระหนี้ โจทกจ๑ งึ จะบังคับชําระหนี้จากทรัพย๑สิน
อ่ืนของจําเลยอีกไมํได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3535/2550 เมื่อสัญญาจํานองระหวํางโจทก๑กับ
จําเลยที่ 2 ซึ่งประกันการชําระหน้ีของจําเลยท่ี 1 ไมํมีข๎อตกลงระบุวํา ในกรณีที่มีการบังคับ
จํานองโดยการเอาทรัพย๑สินซึ่งจํานองออกขายทอดตลาด แล๎วได๎เงินจํานวนสุทธิน๎อยกวํา
จาํ นวนเงินท่คี ๎างชําระกนั เงนิ ยังขาดอยูํจาํ นวนเทําใด จําเลยที่ 1 ต๎องรับผิดในเงินนั้น ดังนั้น
เมื่อโจทก๑บังคับจํานองได๎เงินไมํพอชําระหน้ี จําเลยท่ี 1 จึงไมํต๎องรับผิดในสํวนที่ขาด และ
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 733 มิได๎ใช๎บังคับเฉพาะกรณีท่ีลูกหน้ีจํานอง
ทรพั ยส๑ ินของตนเองเทําน้ัน

ข้อสงั เกต
1. เจ๎าหนี้มีสิทธเิ ลือกทีจ่ ะใช๎สิทธิเรียกร๎องตามสัญญาก๎ูซึ่งเป็นหน้ีประธานหรือ
จะใชส๎ ทิ ธิเรยี กรอ๎ งตามสญั ญาจาํ นองซง่ึ เปน็ หนี้อุปกรณ๑กไ็ ด๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2506 หน้ีที่มีการจํานองเป็นประกัน เจ๎าหนี้
จะใช๎สทิ ธิเรยี กร๎องอยํางเจ๎าหนส้ี ามญั คือ บงั คับชําระหนี้จากทรัพย๑สินทั่วไปของลูกหน้ี หรือ
เจา๎ หนจ้ี ะใช๎สทิ ธิเรียกรอ๎ งอยาํ งเจ๎าหนี้ผ๎ูมีบุริมสิทธิ คือ บังคับชําระหนี้จากทรัพย๑สินท่ีจํานอง
กไ็ ด๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003/2519 การจํานองเป็นการนําทรัพย๑สินมา
ประกันหน้ี โดยหนี้ที่จะพึงต๎องชําระแกํกันอันเป็นหนี้ประธาน และหนี้จํานองอันเป็นหนี้
อปุ กรณ๑นัน้ สามารถแยกออกเปน็ คนละสํวนตํางหากจากกันได๎ เจ๎าหนี้จึงจะใช๎สิทธิเรียกร๎อง
อยาํ งหนสี้ ามญั หรอื จะบังคับจํานองอยาํ งใดอยํางหน่งึ กํอนก็ได๎ ไมํเปน็ การหลีกเลยี่ งกฎหมาย
เร่ืองจาํ นองและไมํเป็นการใชส๎ ทิ ธโิ ดยไมสํ ุจริต

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2044/2526 เม่ือหนี้ตามสัญญาก๎ู และหนี้ตาม
สัญญาจํานอง สามารถแยกเป็นสวํ นออกตํางหากจากกนั ได๎ โดยอํานาจแหํงมูลหนี้ โจทก๑จึงมี
สิทธิท่ีจะเลือกฟ้องบังคับชําระหนี้ตามสัญญาก๎ูหรือตามสัญญาจํานองก็ได๎ และประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 733 ก็มิได๎บังคับให๎โจทก๑ต๎องฟ้องบังคับชําระหนี้ตาม
จํานองเทาํ นั้น

74

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 932/2550 หนี้ท่ีมีจํานองเป็นประกัน เจ๎าหน้ีจะ
บงั คับชาํ ระหน้ีจากทรัพย๑สินทั่วไปของลูกหน้ีอยํางเจ๎าหนี้สามัญ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 213 หรือเจ๎าหนี้จะบังคับชําระหน้ีจากทรัพย๑สินที่จํานองอยํางเจ๎าหนี้
ผูม๎ ีบุริมสทิ ธิ์ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 728 ก็ได๎ ท้ังประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 214 ไมํได๎บังคับวําหน้ีที่มีจํานองเป็นประกัน ผ๎ูเป็นเจ๎าหนี้จะ
ฟอ้ งร๎องบงั คับชาํ ระหน้ีอยํางเจ๎าหนี้สามัญไมํได๎ เพียงแตํกฎหมายบังคับวํา หากโจทก๑ใช๎สิทธิ
บงั คับจํานอง สิทธขิ องโจทก๑จะตกอยูํภายใตบ๎ งั คับประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
733 เทาํ นั้น และประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 733 ก็มิได๎บังคับวําโจทก๑มีสิทธิ
ฟ้องบงั คบั จํานองได๎แตํเพียงทางเดยี ว โจทกจ๑ ึงมีอาํ นาจฟอ้ งให๎จาํ เลยชําระหน้ตี ามสัญญากู๎ยืม
เงินได๎ ดังนี้ เมื่อโจทก๑ฟ้องให๎จําเลยชําระหน้ีตามสัญญากู๎ยืมเงิน แล๎วจําเลยไมํชําระหนี้แกํ
โจทก๑ตามคําพิพากษา โจทกย๑ อํ มมสี ิทธทิ ีจ่ ะบงั คบั ชําระหนี้จากทรัพย๑สินของจําเลยจนส้ินเชิง
อันรวมท้งั ทรัพย๑สินท่ีจํานองด๎วย

2. เนอ่ื งจากประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 733 มิใชํกฎหมายอัน
เกี่ยวกบั ความสงบเรียบรอ๎ ยหรอื ศลี ธรรมอันดีของประชาชน คูํสัญญาจึงสามารถตกลงกันให๎
แตกตํางจากบทบัญญตั ิของกฎหมายดังกลาํ วได๎ ดังน้ัน ในทางปฏิบัติ คํูสัญญาจึงมักจะตกลง
กนั ยกเวน๎ การบังคบั ใชบ๎ ทบญั ญตั ิตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 733 ซ่ึงการ
ตกลงกันดังกลําวสํงผลให๎หากเจ๎าหน้ีบังคับจํานองจากทรัพย๑จํานอง แล๎วทรัพย๑ดังกลําวไมํ
เพยี งพอตํอการชําระหน้ี หน้ียังขาดอยูํอกี จาํ นวนเทําใด เจ๎าหนกี้ ็มีสิทธิเรียกใหล๎ กู หน้ีชําระหนี้
ในจาํ นวนทีย่ ังขาดอยูํไดอ๎ กี

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2518, 1507/2538, 8260/2550 ประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑มาตรา 733 มิใชํกฎหมายอันเกี่ยวด๎วยความสงบเรียบร๎อยหรือ
ศีลธรรมอนั ดขี องประชาชน คสํู ญั ญาจึงตกลงกันเปน็ ประการอนื่ ได๎ ไมํตกเปน็ โมฆะ

3. ข๎อตกลงยกเว๎นการบังคับใช๎บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 733 ไมํถือวําเป็นข๎อสัญญาท่ีไมํเป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติวําด๎วย
ข๎อสญั ญาที่ไมํเปน็ ธรรม พ.ศ. 2540 ขอ๎ ตกลงดังกลาํ วจึงมีผลบังคับได๎37

37สุธรรม อยํูในธรรมและคณะ, รายงานการวิจัย เรื่อง ปัญหาในกระบวนการ
บังคับคดีอันเกิดมาจากข้อตกลงยกเว้น มาตรา 733 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณชิ ย์ (กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลัยหอการคา๎ ไทย, 2558), หนา๎ 59.

75

10. การบงั คบั เอาคา่ สนิ ไหมทดแทน
การบังคับเอาคาํ สนิ ไหมทดแทนเพียง แบงํ ออกเปน็ 2 กรณี คือ
10.1 การบังคับเอาค่าสินไหมทดแทน กรณีลูกหนี้ไม่ชาระหน้ีให้ต้องตามความ

ประสงคอ์ นั แท้จรงิ แหง่ มูลหนี้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 บัญญัติวํา “เม่ือลูกหน้ี

ไมํชําระหนใี้ ห๎ต๎องตามความประสงค๑อันแท๎จริงแหํงมูลหนี้ไซร๎ เจ๎าหนี้จะเรียกเอาคําสินไหม
ทดแทนเพอื่ ความเสียหายอนั เกดิ แตกํ ารนน้ั ก็ได๎”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215 บทบัญญัติที่วํา “ลูกหน้ี
ไมํชําระหนใี้ หต๎ อ๎ งตามความประสงค๑อนั แท๎จริงแหํงมูลหนี้” แบงํ ออกเปน็ 2 กรณี คือ

1. ลกู หน้ีชาระหนี้ไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
208 วรรคแรก ซ่ึงบัญญัติวํา “การชําระหนี้จะให๎สําเร็จผลเป็นอยํางใด ลูกหนี้จะต๎อง
ขอปฏิบัติการชําระหนี้ตํอเจ๎าหน้ีเป็นอยํางนั้นโดยตรง” และประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 320 ซึ่งบัญญัติวํา “อันจะบังคับให๎เจ๎าหนี้รับชําระหน้ีแตํเพียงบางสํวน
หรอื ใหร๎ บั ชาํ ระหน้ีเปน็ อยํางอื่นผดิ ไปจากที่จะตอ๎ งชําระแกเํ จ๎าหนี้น้นั ทาํ นวําหาอาจจะบังคับ
ได๎ไมํ” เชํน ทรัพย๑ซึ่งเป็นวัตถุแหํงหนี้ไมํเป็นไปตามข๎อตกลง (ประเภท ชนิด จํานวน) หรือ
ชาํ รดุ บกพรํอง สถานทีไ่ มํถกู ต๎อง เวลาไมถํ ูกตอ๎ ง เป็นต๎น

ตัวอย่าง เจ๎าหน้ีตกลงซ้ือชุดเจ๎าสาวสีขาวจากลูกหน้ี แตํลูกหน้ีขอสํงมอบ
ชุดเจ๎าสาวสีแดงให๎เจ๎าหนี้ เจ๎าหนี้จึงต๎องไปเสียเงินเชําชุดเจ๎าสาวสีขาวมาจากร๎านอื่น ดังน้ี
เจ๎าหน้ีมีสิทธิร๎องขอตํอศาลเรียกเอาคําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 215 ได๎

ขอ้ สงั เกต
1. ถ๎าลูกหน้ีไมํชําระหนี้ให๎ต๎องตามความประสงค๑อันแท๎จริงแหํงมูลหนี้
เจา๎ หนจ้ี ะรับชําระหนี้และรอ๎ งขอตอํ ศาลเรยี กเอาคําสนิ ไหมทดแทนก็ได๎ เชํน เจ๎าหน้ีตกลงซื้อ
ชุดเจ๎าสาวสีขาวจากลูกหนี้ แตํลูกหนี้ขอสํงมอบชุดเจ๎าสาวสีแดงให๎เจ๎าหน้ี เจ๎าหน้ีจึงต๎องไป
เสียเงินเชําชุดเจ๎าสาวสีขาวมาจากร๎านอื่น ดังนี้ เจ๎าหนี้จะรับชําระหน้ีไว๎และร๎องขอตํอศาล
เรียกเอาคําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 215 ก็ได๎
2. ถ๎าลูกหน้ีไมํชําระหน้ีให๎ต๎องตามความประสงค๑อันแท๎จริงแหํงมูลหน้ี
เจ๎าหนี้จะไมํรับชําระหน้ี แตํจะร๎องขอตํอศาลเรียกเอาคําสินไหมทดแทนก็ได๎ เชํน เจ๎าหน้ี
ตกลงซอ้ื ชุดเจ๎าสาวสีขาวจากลูกหนี้ แตํลกู หน้ีขอสํงมอบชุดเจ๎าสาวสีแดงให๎เจ๎าหนี้ เจ๎าหนี้จึง
ต๎องไปเสียเงินเชําชุดเจ๎าสาวสีขาวมาจากร๎านอื่น ดังน้ี เจ๎าหนี้จะไมํรับชําระหนี้ก็ได๎ ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 320 และร๎องขอตํอศาลเรียกเอาคําสินไหม
ทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215 กไ็ ด๎

76

คาพิพากษาศาลฎกี าท่ีเก่ยี วข้อง
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1223/2473 โจทก๑จําเลยตกลงซ้ือขายข๎าวเจ๎ากัน
แตํจาํ เลยสงํ ข๎าวให๎โจทก๑มีข๎าวเหนียวปนอยํู 20 เปอร๑เซ็นต๑ ทําให๎โจทก๑ถูกผ๎ูท่ีซ้ือข๎าวตํอจาก
โจทก๑ปรับเงิน ดงั นี้ โจทก๑ฟอ้ งเรียกคําเสยี หายจากจาํ เลยฐานผิดสัญญาได๎
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1105/2495 โจทก๑จ๎างจําเลยทําเคียวสําหรับเกี่ยว
ข๎าว จําเลยทําแล๎วมาสํงมอบแตํไมํถูกต๎องตามท่ีตกลงสัญญากัน ดังน้ี ถือเป็นกรณีลูกหนี้ไมํ
ชาํ ระหนี้ใหต๎ อ๎ งตามความประสงค๑อันแท๎จริงแหงํ มูลหนี้ เจ๎าหนี้จึงเรียกเอาคําสินไหมทดแทน
ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215 และโจทก๑ยํอมมีสิทธิที่จะฟ้องเรียก
จากจาํ เลยได๎เลย ไมํจาํ ต๎องนําเคียวไปจ๎างผูอ๎ ่นื ใหแ๎ ก๎ไขและจํายคําจ๎างไปกํอน แล๎วจึงมาฟ้อง
เรียกจากจําเลยไมํ
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2498 สัญญากันวําผ๎ูขายต๎องนําไม๎มาวางไว๎
ริมน้ํา 1,000 ทํอน ให๎ผู๎ซื้อตรวจรับ แตํผู๎ขายนําไม๎มาวางได๎เพียง 600 ทํอน ดังนี้ ผ๎ูขาย
ผดิ สัญญา ผขู๎ ายจึงตอ๎ งใชค๎ ําเสียหายให๎แกํผซู๎ ้อื
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2499 ผ๎ูขายสํงสินค๎าให๎ผู๎ซ้ือไมํตรงตาม
คาํ พรรณนา ดงั น้ี เมอื่ ผ๎ูซอ้ื ไดร๎ ับความเสยี หาย ผขู๎ ายต๎องรบั ผดิ ใช๎คําเสยี หายแกํผู๎ซ้อื
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 701/2500 จําเลยทําการกํอสร๎างผิดจากสัญญา
แตํโจทก๑ก็รับเอาผลงานนั้นและจํายคําจ๎างไปโดยไมํได๎ทักท๎วง ดังนี้ ตํอมาโจทก๑จะกลับ
กลําวหาวําจาํ เลยทาํ ผิดสญั ญาและเรยี กคาํ เสยี หายไมํได๎
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1265/2551 จําเลยทําสัญญาขายสินค๎าย่ีห๎อ ท.
ให๎แกํโจทก๑ จําเลยจะมอบสินค๎าย่ีห๎ออ่ืนให๎แกํโจทก๑มิได๎ แม๎สินค๎าน้ันจะมีคุณสมบัติการใช๎
งานเหมอื นกนั ก็ตาม เมือ่ จําเลยสงํ มอบสนิ ค๎ายหี่ อ๎ อ่ืนใหแ๎ กโํ จทก๑ จงึ เป็นการชําระหนี้ที่ไมํต๎อง
ตามความประสงค๑อันแท๎จริงแหํงมูลหน้ี โจทก๑จึงมีสิทธิเรียกเอาคําสินไหมทดแทนได๎ ตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 215
2. ลกู หนผี้ ดิ นดั ชาระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 204
เชํน เจ๎าหน้ีตกลงซ้ือชุดเจ๎าสาวจากลูกหนี้ โดยกําหนดสํงมอบชุดเจ๎าสาว วันท่ี 5 มกราคม
2563 และจะแตํงงานในวันท่ี 15 มกราคม 2563 แตํเม่ือถึงวันที่ 5 มกราคม 2563
ลกู หน้ีกลบั ละเลยเสียไมํยอมสํงมอบชุดเจ๎าสาว ทําให๎เจ๎าหนี้ต๎องไปเสียเงินเชําชุดเจ๎าสาวมา
จากร๎านอน่ื แล๎วตํอมาในวนั ที่ 10 มกราคม 2563 ลกู หนี้ขอสงํ มอบชุดเจ๎าสาวให๎เจ๎าหนี้ ดังนี้
เจ๎าหนจ้ี ะรับชาํ ระหนี้ไว๎และรอ๎ งขอตอํ ศาลเรียกเอาคําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215 กไ็ ด๎

คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 804/2497 จําเลยเชําเรือนของโจทก๑ เมื่อสัญญา
เชําระงับลง ผ๎ูเชําไมํสํงมอบเรือนคืน ผ๎ูให๎เชําจึงมีสิทธิเรียกคําสินไหมทดแทนในการน้ีตาม
จาํ นวนคาํ เชาํ

77

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1336/2545 เมื่อโจทก๑ตกเป็นผู๎ผิดนัดตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 จําเลยจึงมีสิทธิเรียกเอาคําสินไหมทดแทน
จากโจทก๑ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 215

ข้อสงั เกต
1. ถา๎ ลกู หนไี้ มํชําระหนี้ให๎ตอ๎ งตามความประสงคอ๑ ันแท๎จรงิ แหงํ มูลหนี้ เจ๎าหนี้
จะไมํร๎องขอตํอศาลให๎ส่ังบังคับชําระหน้ี แตํจะร๎องขอตํอศาลเรียกเอาคําสินไหมทดแทนก็
ได๎38 เชํน เจ๎าหน้ตี กลงซ้อื ชดุ เจา๎ สาวสีขาวจากลูกหน้ี แตํลูกหนี้ขอสํงมอบชุดเจ๎าสาวสีแดงให๎
เจ๎าหนี้ เจา๎ หน้ีจึงต๎องไปเสียเงินเชําชุดเจ๎าสาวสีขาวมาจากร๎านอื่น ดังนี้ เจ๎าหน้ีจะไมํร๎องขอ
ตอํ ศาลให๎สัง่ บังคับชําระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรก
แตํจะร๎องขอตํอศาลเรียกเอาคําสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 215 กไ็ ด๎
2. ความเสยี หายท่ีเจ๎าหนี้จะเรียกคําสินไหมทดแทนจากลูกหน้ี ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215 เชํน คําใช๎จํายท่ีเจ๎าหนี้ต๎องเสียเพ่ิมข้ึนเพราะการ
ชําระหนี้ลาํ ชา๎ หรอื กรณีลูกหนี้สํงมอบทรัพย๑ลําช๎า แล๎วทําให๎ราคาทรัพย๑นั้นลดลงหรือทําให๎
เจา๎ หนี้ขาดกําไรที่จะไดจ๎ ากการขายทรพั ยน๑ น้ั ตอํ ไปใหค๎ นอื่น เป็นต๎น39
3. การเรียกคําสินไหมทดแทนจากลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 215 น้ี ไมํจํากัดเฉพาะกรณีที่วัตถุแหํงหนี้เป็นการสํงมอบทรัพย๑สินเทําน้ัน
กรณวี ัตถุแหงํ หนีเ้ ป็นการกระทําการหรืองดเว๎นกระทําการ เจ๎าหน้ีก็เรียกคําสินไหมทดแทน
จากลกู หน้ี ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 215 ได๎ เชํน จ๎างลูกหน้ีร๎องเพลง
1 เพลง แตํลูกหนี้ร๎องได๎เพียงคร่ึงเพลง หรือทําสัญญากันวําลูกหนี้จะไมํขายเส้ือผ๎าแขํง
แตลํ ูกหน้ีกลบั นําเส้อื ผา๎ มาขายแขงํ เปน็ ตน๎ 40
4. ในกรณีที่ลูกหนี้ไมํชําระหนี้ให๎ต๎องตามความประสงค๑อันแท๎จริงแหํงมูลหนี้
น้ัน ต๎องเป็นเพราะความผิดของลูกหนี้ เจ๎าหนี้จึงจะมีสิทธิเรียกเอาคําสินไหมทดแทน ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215 ได๎ แตํหากไมํได๎เป็นเพราะความผิดของ
ลูกหน้ี แตํเป็นเพราะเหตุภัยพิบัติตามธรรมชาติ หรือเป็นเพราะความผิดของเจ๎าหนี้ เจ๎าหน้ี
ยอํ มไมมํ ีสิทธิเรียกเอาคําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 215

38เสนยี ๑ ปราโมช (ปรับปรงุ แกไ๎ ขโดยมุนินทร๑ พงศาปาน), ประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ วา่ ด้วยนิติกรรมและหนี้ เลม่ 2 (ภาคจบบรบิ รู ณ์), พิมพ๑คร้ังท่ี 4
(กรุงเทพมหานคร: วญิ ๒ูชน, 2562), หน๎า 594.

39โสภณ รตั นากร, เร่อื งเดิม, หน๎า 228.
40เสนีย๑ ปราโมช (ปรบั ปรงุ แก๎ไขโดยมนุ นิ ทร๑ พงศาปาน), เรื่องเดิม, หน๎า 592.

78

5. ถ๎าลูกหนไ้ี มชํ าํ ระหนีใ้ ห๎ต๎องตามความประสงค๑อันแท๎จริงแหํงมูลหน้ี เจ๎าหนี้
จะไมํรับชําระหน้ีก็ได๎ และการท่ีเจ๎าหน้ีไมํรับชําระหนี้ นั้นก็ไมํทําให๎เจ๎าหนี้ตกเป็น
ผ๎ูผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 207 เพราะเจ๎าหน้ีมีมูลเหตุอันจะ
อ๎างกฎหมายได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2827/2524 สัญญาจะซื้อขายระบุวําผู๎ซ้ือจะ
ชาํ ระหน้ีด๎วยเงินสดในวันนัดโอนกรรมสิทธ์ิที่ดิน แตํผ๎ูซ้ือกลับจะชําระหน้ีด๎วยเช็คแทน ดังน้ี
ผ๎ูขายจะไมํยอมรับชําระหน้ีด๎วยเช็คและไมํยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให๎ก็ได๎ เพราะผู๎ซื้อเป็น
ฝา่ ยผดิ สญั ญา

6. ในกรณีทกี่ ารบังคับชําระหนี้โดยเฉพาะเจาะจงตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรก ไมํอาจกระทําได๎ เนื่องจากสภาพแหํงหนี้ ไมํเปิดชํองให๎
ทาํ เชนํ น้ันได๎ และไมมํ ีทางแกต๎ ามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคสอง
และวรรคสามนั้น เจ๎าหนี้คงมีทางแก๎คือการเรียกคําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 21541

ตัวอย่าง นาย ก. ทําสัญญาซื้อที่ดินจากนาย ข. และตกลงกันวํานาย ก.
จะต๎องไมํสร๎างอาคารในท่ีดินดังกลําว ตํอมา นาย ก. ได๎ให๎นาย ค. เชําที่ดินแปลงนี้ และ
นาย ค. ไดร๎ ับอนุญาตจากนาย ก. ให๎สร๎างอาคารในที่ดินดังกลําว ดังน้ี นาย ข. ไมํมีสิทธิร๎อง
ขอตํอศาลใหส๎ ง่ั ใหน๎ าย ก. รอ้ื ถอนอาคารดังกลําว เพราะในกรณีที่วัตถุแหํงหน้ีเป็นการงดเว๎น
กระทําการ แล๎วลูกหนี้ไมํยินยอมงดเว๎นกระทําการนั้น ศาลจะสั่งบังคับชําระหนี้โดย
เฉพาะเจาะจงไมไํ ด๎ เนื่องจากสภาพแหํงหนไี้ มํเปดิ ชอํ งให๎ทําเชํนนั้นได๎ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 213 วรรคแรก และเม่ืออาคารน้ันมิได๎เป็นของนาย ก. นาย ข. จึง
ไมํมีสิทธิร๎องขอตํอศาลให๎สั่งให๎ร้ือถอนอาคารดังกลําว โดยให๎นาย ก. เสียคําใช๎จําย ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคสาม ดังนั้น นาย ข. จึงมสี ิทธิเพียงเรียก
คาํ สินไหมทดแทนจากนาย ก. ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 215 เทาํ น้ัน

คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 437/2507 การที่ศาลได๎มคี ําพพิ ากษาให๎จําเลยไป
จดทะเบียนการโอนกรรมสิทธ์ิที่ดนิ พิพาทใหเ๎ ป็นทางสาธารณะ แตํจําเลยได๎นําท่ีพิพาทนั้นไป
จํานองไว๎กับบุคคลที่สามไว๎กํอนศาลมีคําพิพากษานั้น เมื่อบุคคลที่สามซ่ึงเป็นผ๎ูรับจํานอง
จะต๎องเสียหายโดยไมํได๎เข๎ามาเป็นคํูความด๎วย ศาลจึงไมํมีอํานาจที่จะบังคับชําระหน้ีโดย
เฉพาะเจาะจงได๎ เพราะสภาพแหงํ หน้ีไมํเปิดชํองให๎บังคับชําระหน้ีได๎ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 213 แตเํ มื่อโจทก๑ไดร๎ บั ความเสียหาย คือ ต๎องไปซ้ือท่ีดินของบุคคล
อื่นเพอ่ื ทําเป็นทางเดินออกถงึ ทางสาธารณะ ศาลจึงส่งั บังคบั ให๎จาํ เลยชดใช๎คําสินไหมทดแทน
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 215 ได๎

41ไพโรจน๑ วายภุ าพ, เร่ืองเดมิ , หน๎า 190.

79

10.2 การบังคบั เอาคา่ สินไหมทดแทนกรณลี ูกหนีผ้ ดิ นัด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 216 บัญญัติวํา “ถ๎าโดยเหตุ

ผดิ นัด การชําระหนก้ี ลายเปน็ อันไรป๎ ระโยชน๑แกเํ จา๎ หน้ี เจา๎ หนจ้ี ะบอกป๓ดไมรํ ับชําระหน้ี และ
จะเรียกเอาคําสินไหมทดแทนเพ่ือการไมํชาํ ระหนี้ก็ได๎”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 216 หมายความวํา ลูกหนี้
ตกเป็นผ๎ูผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 แล๎ว และการผิดนัดนั้น
เป็นเหตุใหก๎ ารชําระหน้กี ลายเป็นอันไร๎ประโยชน๑แกํเจ๎าหนี้ เจ๎าหน้ีจึงบอกป๓ดไมํรับชําระหนี้
และเรยี กเอาคาํ สินไหมทดแทนเพอ่ื การไมํชําระหนีไ้ ด๎

ตัวอย่าง เจ๎าหนี้ตกลงซื้อชุดเจ๎าสาวจากลูกหนี้ แตํลูกหน้ีไมํมาสํงมอบชุด
เจา๎ สาวให๎แกํเจ๎าหน้ีตามเวลาท่ีได๎ตกลงกันไว๎ ลูกหน้ีจึงตกเป็นผ๎ูผิดนัด และเมื่อการที่ลูกหนี้
ผิดนัดนน้ั เปน็ เหตใุ หก๎ ารชาํ ระหนก้ี ลายเป็นอันไร๎ประโยชน๑แกํเจา๎ หนี้ เจ๎าหนีจ้ ะบอกป๓ดไมํรับ
ชําระหน้ี และจะเรยี กเอาคําสินไหมทดแทนเพอ่ื การไมํชําระหน้กี ็ได๎

ข้อสงั เกต
กรณีลูกหน้ีไมํชําระหน้ีให๎ต๎องตามความประสงค๑อันแท๎จริงแหํงมูลหนี้ ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215 แบงํ ออกเปน็ 2 กรณี คอื
1. ลกู หนีช้ าํ ระหนไี้ มํถูกตอ๎ ง
2. ลูกหนี้ผิดนดั ชําระหนี้

2.1 เจา๎ หน้ีรับชําระหนี้
2.2 เจ๎าหนี้บอกป๓ดไมํรบั ชําระหน้ี
แตํประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 216 ได๎กําหนดเร่ืองลูกหนี้
ผดิ นัดชาํ ระหนี้และเจ๎าหน้ีบอกป๓ดไมํรับชําระหน้ีไว๎โดยเฉพาะแล๎ว ดังน้ัน กรณีลูกหนี้ผิดนัด
และเจ๎าหนี้บอกป๓ดไมํรับชําระหนี้ จึงต๎องบังคับตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 216 สํวนกรณีลูกหนี้ผิดนัดและเจ๎าหน้ีรับชําระหน้ีไว๎ ต๎องบังคับตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 215

กรณีลูกหนี้ผิดนัดชําระหนี้ ซ่ึงเจ๎าหน้ีมีสิทธิเรียกเอาคําสินไหมทดแทนแบํง
ออกเปน็ 2 กรณี ดงั นี้

1. เจ๎าหน้ีบอกป๓ดไมํรับชาํ ระหนี้และเรียกเอาคาํ สนิ ไหมทดแทน ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 216 กลําวคือ เจ๎าหน้ีจะบอกป๓ดไมํรับชําระหนี้และเรียก
เอาคําสินไหมทดแทนได๎ เฉพาะในกรณีท่ีลูกหน้ีผิดนัดชําระหน้ีและการชําระหน้ีกลายเป็น
อันไรป๎ ระโยชน๑แกเํ จา๎ หน้ีเทาํ นั้น

80

ตัวอย่างท่ี 1 เจ๎าหน้ีตกลงซ้ือชุดเจ๎าสาวจากลูกหน้ี กําหนดสํงมอบวันท่ี
5 มกราคม 2563 และมีกําหนดแตงํ งานวันที่ 15 มกราคม 2563 ตํอมา ในวันท่ี 5 มกราคม
2563 ลูกหนี้ไมํมาสํงมอบชุดเจ๎าสาวให๎แกํเจ๎าหนี้ ลูกหนี้จึงตกเป็นผ๎ูผิดนัด ตํอมาในวันท่ี
8 มกราคม 2563 เจ๎าหน้ีไปซื้อชุดเจ๎าสาวมาจากร๎านอื่น แล๎วหลังจากนั้น ในวันท่ี
16 มกราคม 2563 ลูกหนี้มาสํงมอบชุดเจ๎าสาวให๎แกํเจ๎าหนี้ ดังน้ี เป็นกรณีท่ีลูกหน้ีผิดนัด
ชาํ ระหน้ี แลว๎ ทาํ ใหก๎ ารชําระหนี้กลายเป็นอันไร๎ประโยชน๑แกํเจ๎าหนี้ เจ๎าหนี้จึงบอกป๓ดไมํรับ
ชาํ ระหนี้ และเรียกเอาคาํ สินไหมทดแทนเพอ่ื การไมชํ าํ ระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 216 ได๎

ตัวอย่างที่ 2 เจ๎าหน้ีตกลงซื้อชุดเจ๎าสาวจากลูกหน้ี กําหนดสํงมอบวันที่ 5
มกราคม 2563 และมีกําหนดแตํงงานวันที่ 15 มกราคม 2563 ตํอมาในวันท่ี 5 มกราคม
2563 ลูกหนี้ไมมํ าสํงมอบชดุ เจ๎าสาวใหแ๎ กํเจา๎ หน้ี ลกู หน้ีจึงตกเป็นผ๎ูผิดนัด เจ๎าหนี้จึงขับรถไป
หาซื้อชุดเจ๎าสาวชุดใหมํ แตํก็ไมํเจอชุดที่ถูกใจ หลังจากน้ัน ในวันที่ 10 มกราคม 2563
ลูกหนีม้ าสงํ มอบชุดเจา๎ สาวให๎แกเํ จา๎ หนี้ เม่อื การชําระหนี้ยังมิได๎กลายเป็นอันไร๎ประโยชน๑แกํ
เจ๎าหน้ี เจ๎าหนี้จึงบอกป๓ดไมํรับชําระหนี้ และจะเรียกเอาคําสินไหมทดแทนเพื่อการไมํชําระ
หน้นี ัน้ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 216 ไมํได๎

2. เจ๎าหน้รี บั ชําระหนี้และเรียกเอาคําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215

2.1 หากลูก หนี้ผิดนัดชําร ะหนี้ และ การ ชําร ะหนี้ไมํก ลายเป็น
อนั ไรป๎ ระโยชนแ๑ กเํ จ๎าหนี้ เจา๎ หน้ีจะบอกป๓ดไมรํ บั ชาํ ระหน้ี และจะเรียกเอาคําสินไหมทดแทน
เพ่ือการไมํชาํ ระหน้นี ้ัน ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 216 ไมํได๎ แตํเจ๎าหน้ี
จะรับชําระหนี้ไว๎และเรียกเอาคําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 215 ได๎

ตวั อย่าง เจา๎ หน้ีตกลงซื้อชดุ เจ๎าสาวจากลูกหนี้ กําหนดสํงมอบวันที่ 5
มกราคม 2563 และมีกําหนดแตํงงานวันที่ 15 มกราคม 2563 ตํอมาในวันที่ 5 มกราคม
2563 ลกู หนี้ไมมํ าสํงมอบชดุ เจ๎าสาวให๎แกํเจา๎ หน้ี ลูกหน้ีจึงตกเป็นผู๎ผิดนัด เจ๎าหนี้จึงขับรถไป
หาซ้ือชุดเจ๎าสาวชุดใหมํ แตํก็ไมํเจอชุดที่ถูกใจ หลังจากน้ัน ในวันที่ 10 มกราคม 2563
ลูกหนม้ี าสงํ มอบชดุ เจา๎ สาวให๎แกเํ จา๎ หน้ี เมอื่ การชําระหน้ียังมิได๎กลายเป็นอันไร๎ประโยชน๑แกํ
เจ๎าหนี้ เจ๎าหนี้จึงรับชําระหนี้และเรียกเอาคําสินไหมทดแทนเพ่ือการไมํชําระหนี้นั้น ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215 ได๎ (คําสินไหมทดแทนจากการท่ีเจ๎าหน้ีต๎อง
ขบั รถไปหาซ้ือชดุ เจา๎ สาวชุดใหม)ํ

81

2 . 2 แม๎ ลูก หนี้ จะ ผิด นัดชําร ะ หน้ี และ ก า ร ชําร ะ หนี้ก ลายเป็ น
อันไร๎ประโยชน๑แกํเจ๎าหน้ี อันทําให๎เจ๎าหนี้มีสิทธิบอกป๓ดไมํรับชําระหน้ี และเรียกเอา
คําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 216 ได๎ แตํเจ๎าหนี้จะ
เลือกรับชําระหนี้และเรียกเอาคําสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 215 ก็ได๎

ตัวอย่าง เจ๎าหน้ีตกลงซื้อชุดเจ๎าสาวจากลูกหน้ี กําหนดสํงมอบวันที่
5 มกราคม 2563 และมีกาํ หนดแตํงงานวันท่ี 15 มกราคม 2563 ตํอมา ในวันที่ 5 มกราคม
2563 ลูกหนี้ไมํมาสํงมอบชุดเจ๎าสาวให๎แกํเจ๎าหน้ี ลูกหน้ีจึงตกเป็นผู๎ผิดนัด ตํอมาในวันท่ี
8 มกราคม 2563 เจ๎าหนี้ไปซ้ือชุดเจ๎าสาวมาจากร๎านอื่น แล๎วหลังจา กนั้น ในวันท่ี
16 มกราคม 2563 ลกู หนีม้ าสํงมอบชุดเจา๎ สาวใหแ๎ กํเจ๎าหนี้ ดังน้ี เจ๎าหน้ีจะเลือกรับชําระหนี้
และเรียกเอาคาํ สนิ ไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 215 กไ็ ด๎

11. ผลของการท่ีลกู หนผ้ี ดิ นัด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 217 บัญญัติวํา “ลูกหน้ีจะต๎อง

รับผดิ ชอบในความเสยี หายบรรดาทเี่ กิดแตํความประมาทเลินเลํอในระหวํางเวลาท่ีตนผิดนัด
ทั้งจะต๎องรับผิดชอบในการที่การชําระหน้ีกลายเป็นพ๎นวิสัย เพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นใน
ระหวํางเวลาที่ผิดนัดนั้นด๎วย เว๎นแตํความเสียหายน้ันถึงแม๎วําตนจะได๎ชําระหนี้ทันเวลา
กาํ หนดก็คงจะต๎องเกิดมอี ยูนํ ่ันเอง”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 217 หมายความวํา ในระหวํางเวลา
ทีล่ กู หน้ีผิดนัด ลูกหนตี้ อ๎ งรบั ผดิ ชอบเพมิ่ ขน้ึ ดงั น้ี

1. ลูกหน้จี ะต๎องรับผิดชอบในความเสยี หายบรรดาทเ่ี กิดแตคํ วามประมาทเลินเลํอใน
ระหวํางเวลาทีต่ นผดิ นดั เชนํ ลูกหนี้ยืมรถยนต๑จากเจ๎าหนี้ไป แตํเม่ือถึงกําหนดสํงคืน ลูกหนี้
มิได๎สํงรถยนต๑คืนตามกําหนดเวลานั้น อันทําให๎ลูกหนี้ตกเป็นผ๎ูผิดนัด แล๎วตํอมา ลูกหน้ีขับ
รถยนตค๑ ันน้ีไปชนด๎วยความประมาท ลูกหนี้จะต๎องรับผิดชอบชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํ
เจ๎าหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 217 เปน็ ตน๎

ขอ้ สงั เกต ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 217 นั้น อาจมีความ
เข๎าใจผดิ โดยคิดไปวาํ ในระหวํางผิดนดั น้นั กฎหมายบญั ญตั ิใหล๎ กู หนี้ตอ๎ งรบั ผิดชอบในบรรดา
ความเสียหายท่ีเกิดจากความประมาทเลินเลํอเทําน้ัน สํวนถ๎าลูกหน้ีจงใจทําให๎เกิดความ
เสียหายแล๎ว ลูกหน้ีไมํต๎องรับผิด ซึ่งในความจริงแล๎วในระหวํางที่ลูกหน้ีผิดนัด หากลูกหน้ี
จงใจทําให๎เกิดความเสียหาย ลูกหนี้ก็ต๎องรับผิดอยํูแล๎ว ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 21542 หรือมาตรา 216 เชํน ลูกหนี้ยืมรถยนต๑จากเจ๎าหนี้ไป แตํเม่ือถึง
กําหนดสํงคืน ลูกหน้ีมิได๎สํงรถยนต๑คืนตามกําหนดเวลาน้ัน อันทําให๎ลูกหน้ีตกเป็นผ๎ูผิดนัด

42สนุ ทร มณสี วัสดิ์, เรือ่ งเดมิ , หน๎า 71.

82

แล๎วตํอมา ลูกหน้ีจงใจทําให๎รถยนต๑คันน้ีได๎รับความเสียหาย เจ๎าหนี้มีสิทธิเรียกคําสินไหม
ทดแทนได๎ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 215 เปน็ ตน๎

2. ลูกหนี้จะต๎องรับผิดชอบในการท่ีการชําระหน้ีกลายเป็นพ๎นวิสัย เพราะอุบัติเหตุ
อนั เกดิ ข้นึ ในระหวาํ งเวลาที่ผดิ นดั นั้นด๎วย เว๎นแตํความเสียหายนั้นถึงแม๎วําตนจะได๎ชําระหนี้
ทนั เวลากําหนดก็คงจะต๎องเกิดมอี ยูํน่ันเอง

หลัก ลูกหน้ีจะต๎องรับผิดชอบในการที่การชําระหนี้กลายเป็นพ๎นวิสัย เพราะ
อุบัติเหตุอันเกิดข้ึนในระหวํางเวลาท่ีผิดนัดนั้นด๎วย เชํน นาย ก. ยืมรถยนต๑สีดําจากเจ๎าหน้ี
มีกําหนดสํงคืนในวันที่ 10 มกราคม 2563 แตํเม่ือถึงกําหนดสํงรถยนต๑คืน นาย ก. มิได๎สํง
รถยนตส๑ ีดาํ คนื ตามกําหนดเวลา นาย ก. จึงตกเป็นผู๎ผิดนัด แล๎วตํอมาได๎เกิดอุบัติเหตุไฟไหม๎
บ๎านของนาย ก. และทําให๎รถยนต๑สีดําถูกไฟไหม๎เสียหายท้ังหมด ดังน้ี นาย ก. จะต๎อง
รับผิดชอบชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํเจ๎าหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 217 เป็นตน๎

คาพิพากษาฎีกาที่ 1036/2491 จําเลยรับจ๎างขนสินค๎า เม่ือจําเลยละเลย
ไมํจัดการขนสํงสินค๎าให๎ทันกําหนดเวลา แล๎วตํอมาจึงมาถูกปล๎นกลางทาง ดังนี้ จําเลยจะ
ยกเอาการถูกปลน๎ เปน็ เหตุแกต๎ วั ไมไํ ด๎

ข้อยกเว้น เวน๎ แตคํ วามเสียหายนั้นถงึ แมว๎ าํ ตนจะได๎ชําระหนี้ทันเวลากําหนดก็คง
จะต๎องเกิดมีอยูํนั่นเอง จากตัวอยํางข๎างต๎น แม๎วํานาย ก. จะได๎คืนรถยนต๑สีดําให๎เจ๎าหนี้
ทันเวลากาํ หนดความเสยี หายนน้ั ก็คงจะต๎องเกิดมีอยูํนั่นเอง ดังนี้ นาย ก. ไมํต๎องรับผิดชอบ
ชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํเจ๎าหน้ี เชํน บ๎านของนาย ก. และเจ๎าหนี้อยูํติดกัน และไฟก็ได๎
ลุกลามไปไหม๎บ๎านของเจ๎าหน้ีหมดด๎วย ซึ่งถ๎านาย ก. ได๎คืนรถยนต๑สีดําให๎เจ๎าหนี้ทันเวลา
กาํ หนด รถยนต๑นน้ั ก็จะต๎องถกู ไฟไหม๎อยูํดี เปน็ ต๎น

ข้อสงั เกต
1. คําวํา “อุบัติเหตุ” ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 217 น้ัน
หมายความกรณีท่ีเกิดขึ้นจากการกระทําของคนและกรณีท่ีเกิดจากธรรมชาติใชํหรือไมํ
ในเรอ่ื งน้ีมีความเห็นแตกตาํ งกนั โดยแบงํ ออกเป็น 2 ฝ่าย ดังนี้

ฝ่ายแรก คําวํา “อุบัติเหตุ” หมายถึง กรณีท่ีเกิดข้ึนจากการกระทําของคน
เทํานั้น ไมรํ วมถงึ กรณีที่เกิดจากธรรมชาติ

รองศาสตราจารย์ ดร. สุนทร มณีสวัสดิ์ มีความเห็นวํา คําวํา “เหตุสุดวิสัย”
หมายความรวมถึงเหตุท่ีเกิดข้ึนจากการกระทําของคนและเหตุท่ีเกิดข้ึนโดยธรรมชาติ เชํน
ฟ้าผํา นํ้าทํวม แผํนดินไหว เป็นต๎น แตํคําวํา “อุบัติเหตุ” หมายถึง เหตุสุดวิสัยเฉพาะท่ี
เกิดข้ึนจากการกระทําของคนเทําน้ัน ดังนั้น ความรับผิดของลูกหนี้ในกรณีที่การชําระหนี้
กลายเป็นพ๎นวิสัยเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหวํางผิดนัดน้ัน จึงหมายถึงเฉพาะกรณีที่การ

83

ชําระหน้ีกลายเป็นพ๎นวิสัยที่เกิดข้ึนจากเหตุสุดวิสัยที่เป็นการกระทําของคนเทํานั้น เชํน
ลูกหน้ยี มื รถยนตม๑ าใช๎ แลว๎ ลกู หนผ้ี ดิ นดั แลว๎ ตอํ มาเกดิ อบุ ัติเหตุรถยนต๑น้ันถูกชน อันเป็นเหตุ
ให๎รถยนต๑น้ันเสียหายท้ังคัน เป็นต๎น แตํถ๎าเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เชํน ฟ้าผํา น้ําทํวม
แผํนดินไหว เม่ือไมํใชํอุบัติเหตุแล๎ว แม๎จะเกิดข้ึนระหวํางผิดนัด ลูกหน้ีก็ไมํต๎องรับผิดตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 21743

ฝ่ายท่สี อง คําวาํ “อุบัติเหตุ” หมายถงึ กรณีที่เกดิ ขึ้นจากการกระทําของคนและ
กรณีท่เี กิดจากธรรมชาติดว๎ ย

ศาสตราจารย์พิเศษโสภณ รัตนากร มีความเห็นวํา ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 217 การผดิ นัดทาํ ใหค๎ วามรับผิดของลูกหนี้เพ่ิมข้ึน คือ ต๎องรับผิดแม๎แตํ
กรณอี บุ ัติเหตุ เชํน โรคระบาดตาย ถกู โจรปลน๎ เป็นต๎น44

ศาสตราจารย์พิเศษไพโรจน์ วายุภาพ มีความเห็นวํา กรณีท่ีการชําระหน้ี
กลายเป็นพ๎นวิสัยเพราะพฤติการณ๑อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไมํต๎องรับผิดชอบ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 นั้น ถ๎าเกิดขึ้นภายหลังจากลูกหน้ีผิดนัด ลูกหน้ีต๎อง
รบั ผิดชอบตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 21745

ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ธนากร โกมลวานิช มีความเห็นวํา คําวํา “อุบัติเหตุ” ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ไมํได๎กําหนดคํานิยามไว๎โดยเฉพาะ จึงต๎องถือตาม
ความหมายโดยท่ัวไป ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน คําวํา “อุบัติเหตุ”
หมายความวํา เหตกุ ารณ๑ที่เกิดขึ้นโดยไมํคาดคดิ ความบังเอญิ เปน็ ดังนั้น อุบัติเหตุจึงอาจเกิด
จากการกระทําของบุคคล หรืออาจเกดิ จากธรรมชาตกิ ไ็ ด๎ 46

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ศุภวีร์ เกล้ียงจันทร์ มีความเห็นวํา กฎหมายไมํได๎ให๎
คํานิยามความหมายของคําวํา “อุบัติเหตุ” เอาไว๎ ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. 2554 ให๎ความหมายคําวํา “อุบัติเหตุ” หมายถึงเหตุท่ีเกิดข้ึนโดยไมํคาดคิด ความ
บังเอิญ ไมํได๎เจาะจงวําเหตุที่เกิดขึ้นโดยไมํคาดคิดหรือความบังเอิญจะต๎องเกิดจากการ
กระทําของคนเทําน้ัน ดังน้ัน คําวํา “อุบัติเหตุ” อาจเป็นเหตุสุดวิสัยท่ีเกิดข้ึนโดยธรรมชาติ
เชนํ โรคระบาด เป็นต๎น ทัง้ นี้เพื่อความเป็นธรรมแกํเจ๎าหน้ี เพราะการที่ลูกหน้ีผิดนัดนั้นเป็น
ความผิดอยูํในตัวอยํูแล๎ว ดังน้ัน เมื่อการชําระหนี้กลายเป็นพ๎นวิสัยเกิดข้ึนระหวํางผิดนัด
ลูกหน้จี ึงสมควรรบั ผิดเพมิ่ ขึน้ อยาํ งไรก็ตาม แม๎ลกู หนจี้ ะตอ๎ งรับผิดชอบในการท่ีการชําระหน้ี

43เร่อื งเดียวกนั , หน๎า 73-74.
44โสภณ รัตนากร, เรอ่ื งเดมิ , หน๎า 230.
45ไพโรจน๑ วายภุ าพ, เรอ่ื งเดิม, หนา๎ 216.
46ธนากร โกมลวานิช, อาจารย๑ประจําคณะนิติศาสตร๑ มหาวิทยาลัยทักษิณ,
สัมภาษณ,๑ 1 มกราคม 2565.

84

กลายเป็นพ๎นวสิ ัยเพราะอบุ ตั เิ หตุที่เกดิ ขน้ึ โดยธรรมชาติระหวาํ งผดิ นดั แตหํ ากลูกหน้ีพิสูจน๑ได๎
วาํ แมว๎ ําตนจะได๎ชําระหนี้ทันเวลากําหนด ความเสียหายน้ันก็คงจะต๎องเกิดมีอยูํนั่นเอง ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 217 ตอนท๎าย เชนํ นีล้ กู หน้กี ็ไมตํ อ๎ งรบั ผิด47

สําหรับผ๎ูเขียน ผู๎เขียนเห็นด๎วยกับความเห็นของฝ่ายที่สอง เน่ืองจากตาม
เจตนารมณ๑ของประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 217 น้ัน นําจะต๎องการจะให๎
ลูกหนตี้ อ๎ งรบั ผิดชอบในความเสยี หายท่เี กดิ ข้นึ ในระหวํางที่ตนผิดนัด แม๎ความเสียหายน้ันจะ
เกิดจากพฤติการณ๑ท่ีลูกหนี้ไมํต๎องรับผิดชอบก็ตาม ดังนั้น คําวํา “อุบัติเหตุ” ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 217 จงึ นาํ จะหมายถงึ ทัง้ กรณีทีเ่ กิดขึน้ จากการกระทําของ
คนและกรณที เ่ี กดิ จากธรรมชาติ

2. ขอ๎ ยกเว๎นอันจะทําใหล๎ ูกหนี้ไมตํ อ๎ งรบั ผดิ ชอบชดใชค๎ าํ สนิ ไหมทดแทนให๎แกํเจ๎าหน้ี
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 217 วรรคแรกตอนท๎าย ซ่ึงบัญญัติวํา
“เว๎นแตํความเสียหายนั้นถึงแม๎วําตนจะได๎ชําระหนี้ทันเวลากําหนดก็คงจะต๎องเกิดมีอยูํ
นัน่ เอง” ใชบ๎ งั คบั กับกรณีอบุ ัตเิ หตอุ นั เกดิ ขน้ึ ในระหวํางเวลาที่ลูกหนี้ผิดนัดตามข๎อ 2 เทําน้ัน
ถ๎าเป็นกรณีความประมาทเลินเลํอในระหวํางเวลาท่ีลูกหน้ีผิดนัดตามข๎อ 1 แล๎ว จะนํา
ข๎อยกเว๎นดังกลําวมาใช๎บังคับไมํได๎ เพราะความประมาทเลินเลํอเป็นความผิดของลูกหนี้
ลกู หน้ีจงึ ตอ๎ งรบั ผิดชอบ โดยไมมํ ขี ๎อยกเวน๎

3. ถ๎าในระหวํางผิดนัด การชําระหนี้กลายเป็นพ๎นวิสัย เพราะพฤติการณ๑อันใด
อนั หน่งึ ซ่ึงลูกหนตี้ ๎องรบั ผดิ ชอบ ลกู หน้จี ะตอ๎ งใชค๎ าํ สินไหมทดแทนให๎แกํเจา๎ หนี้ ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 21848

12. การชาระหน้กี ลายเปน็ พ้นวสิ ัย
การชําระหนี้กลายเป็นพน๎ วสิ ยั หมายถึง การชําระหนี้ท่ีไมํสามารถกระทําได๎อีกแล๎ว

โดยแนํนอน ซึ่งบทบัญญัติเกี่ยวกับการชําระหนี้กลายเป็นพ๎นวิสัยถูกกําหนดไว๎ในประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 218 - มาตรา 219

ข้อสงั เกต
1. การชําระหน้ีกลายเป็นพ๎นวิสัย ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
218 - มาตรา 219 หมายถึง การชําระหนี้กลายเป็นอันพ๎นวิสัยภายหลังที่เกิดหนี้แล๎ว แตํถ๎า
การชําระหน้ีเป็นการพ๎นวิสัยกํอนท่ีจะเกิดหน้ี จะต๎องบังคับตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 150 ซ่ึงกําหนดวําการใดมีวัตถุประสงค๑เป็นการพ๎นวิสัย การนั้นยํอมเป็น
โมฆะ

47ศุภวีร๑ เกลย้ี งจนั ทร๑, รองคณบดี คณะนติ ิศาสตร๑ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ , สมั ภาษณ,๑
24 มกราคม 2565.

48สุนทร มณีสวัสด์ิ, เร่ืองเดิม, หนา๎ 71.

85

2. ตามธรรมดาเจ๎าหนี้ชอบที่จะเรียกให๎บังคับชําระหน้ีโดยเฉพาะเจาะจงตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรก แตํในกรณีท่ีการชําระหนี้
กลายเป็นพ๎นวิสัย เจ๎าหน้ียํอมจะเรียกให๎บังคับชําระหนี้โดยเฉพาะเจาะจงไมํได๎ จึงได๎แตํจะ
บังคับชําระหนี้โดยการเรียกคําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 21849

3. การทําสญั ญาจะซอ้ื จะขายท่ีดิน แลว๎ ตอํ มาผจู๎ ะขายไดโ๎ อนที่ดินแกผํ ู๎อืน่ ไปนนั้
เม่ือสภาพแหํงหน้ีไมํอาจบังคับให๎ลูกหนี้โอนที่ดินตามสัญญาได๎ จึงถือวําสภาพแหํงหนี้
ไมํเปดิ ชอํ งให๎บงั คบั โดยเฉพาะเจาะจง ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 213
ซ่ึงแม๎การชําระหน้ียังไมํกลายเป็นพ๎นวิสัย เพราะลูกหน้ีอาจจะไปซื้อท่ีดินน้ันกลับมาเพื่อสํง
มอบก็ได๎50 เจ๎าหน้ีก็มีสิทธิเรียกคําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 215 ได๎

4. ถ๎าทรัพย๑ซึ่งเป็นวัตถุแหํงหน้ีถูกทําลาย หรือสูญหาย หรือมีกฎหมายห๎ามโอน
ทรัพย๑สนิ น้นั ยอํ มถือวาํ การชําระหน้ีกลายเป็นการพน๎ วิสัย51 เชนํ ทาํ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน
ตํอมาท่ีดินนั้นพังทลายลงเป็นทางสาธารณะ หรือท่ีดินนั้นถูกเวนคืนเป็นของรัฐ กลายเป็น
ทรพั ย๑นอกพาณชิ ย๑ไปแล๎ว เชํนน้เี ปน็ กรณีการชาํ ระหนี้กลายเปน็ พน๎ วสิ ยั เป็นตน๎ 52

5. กรณีที่ศาลฎกี ามคี าํ พิพากษาวํามิใชํกรณีการชาํ ระหนี้กลายเป็นพ๎นวสิ ยั เชนํ
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2761 - 2764/2517 เมื่อการชําระหนี้ตามสัญญา

สามารถทําได๎ แตํต๎องขออนุญาตจากรัฐมนตรีกํอน การชําระหนี้ตามสัญญาจึงไมํกลายเป็น
การพ๎นวิสัย

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1479/2526 การท่ีจําเลยซึ่งเป็นนายจ๎างของโจทก๑หยุด
กิจการเพ่ือซํอมแซมโรงงานท่ีถูกเพลิงไหม๎น้ัน มิได๎เป็นเหตุขัดขวางอยํางใดท่ีจําเลยจะจําย
คาํ จ๎างให๎โจทก๑ เพราะยงั ไมพํ ๎นวสิ ัยที่จําเลยจะชาํ ระหนี้คําจา๎ งให๎โจทก๑

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2046/2531 การท่ีจําเลยอ๎างวําไมํสามารถสํงมอบดิน
ขาวใหโ๎ จทกต๑ ามสญั ญาได๎ เพราะมีป๓ญหาโจรแบงํ แยกดินแดน จนคนงานไมํกลา๎ เข๎าไปทํางาน
ท่ีโรงงานผลิตดินขาวของจําเลยน้ัน เมื่อตามสัญญามิได๎ระบุเจาะจงให๎สํงมอบดินขาวจาก
โรงงานจําเลย จําเลยจงึ ยํอมจัดหาดนิ ขาวจากท่ีอื่นได๎ ดินขาวมิใชํเป็นทรัพย๑เฉพาะส่ิง จําเลย
จะอา๎ งวําการชําระหนี้กลายเปน็ พ๎นวิสยั เพื่อปฏเิ สธความรับผดิ ไมํได๎

49เสนยี ๑ ปราโมช (ปรับปรุงแก๎ไขโดยมนุ นิ ทร๑ พงศาปาน), เรอื่ งเดมิ , หน๎า 601.
50สนุ ทร มณสี วัสดิ์, เรอ่ื งเดิม, หนา๎ 89., ไพโรจน๑ วายุภาพ, เร่อื งเดมิ , หนา๎ 204.
51ไพโรจน๑ วายุภาพ, เร่ืองเดมิ , หนา๎ 204.
52สุนทร มณสี วัสดิ์, เรอ่ื งเดมิ , หน๎า 89.

86

การชาํ ระหนีก้ ลายเป็นพ๎นวิสยั ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 218
- มาตรา 219 แบํงออกเปน็ 2 กรณี ดังน้ี

12.1 การชาระหนกี้ ลายเป็นพน้ วิสยั เพราะพฤตกิ ารณ์ทลี่ กู หนตี้ อ้ งรับผดิ ชอบ
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 218 บัญญัติวํา “ถ๎าการชําระหนี้

กลายเป็นพ๎นวิสัยจะทําได๎ เพราะพฤติการณ๑อันใดอันหน่ึงซึ่งลูกหนี้ต๎องรับผิดชอบไซร๎
ทํานวําลูกหน้ีจะต๎องใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํเจ๎าหนี้เพ่ือคําเสียหายอยํางใด ๆ อัน
เกิดแตํการไมชํ าํ ระหน้ีนน้ั

ในกรณีท่ีการชําระหน้ีกลายเป็นพ๎นวิสัยแตํเพียงบางสํวน ถ๎าหากวําสํวนท่ียัง
เป็นวิสยั จะทําไดน๎ นั้ จะเป็นอนั ไร๎ประโยชน๑แกเํ จ๎าหนี้แล๎ว เจ๎าหนี้จะไมํยอมรับชําระหน้ีสํวนที่
ยังเปน็ วสิ ยั จะทําได๎น้ันแล๎ว และเรยี กคําสนิ ไหมทดแทนเพ่ือการไมชํ าํ ระหนี้เสียท้งั หมดทีเดียว
กไ็ ด๎”

ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 218 วรรคแรก หมายความวํา
ถ๎าการชําระหนี้กลายเป็นพ๎นวิสัยจะทําได๎ เพราะพฤติการณ๑อันใดอันหน่ึงซึ่งลูกหนี้ต๎อง
รับผิดชอบ เชํน ลูกหนี้ยืมควายไปจากเจ๎าหน้ี แตํลูกหนี้กลับฆําควายตัวนั้นตาย, ลูกหนี้ยืม
ควายไปจากเจา๎ หน้ี แตํลูกหนี้กลับปลํอยให๎ควายนั้นอดตาย, ลูกหนี้ยืมรถยนต๑ไปจากเจ๎าหน้ี
แล๎วลูกหนข้ี บั รถยนตช๑ นดว๎ ยความประมาท เปน็ เหตใุ ห๎รถยนตน๑ ้ันเสียหายหมดท้ังคัน เป็นต๎น
ลูกหน้ีจะต๎องใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํเจ๎าหนี้เพ่ือคําเสียหายอยํางใด ๆ อันเกิดแตํการไมํ
ชาํ ระหน้ีนั้น

อนึ่ง พฤติการณ๑ซ่ึงลูกหน้ีต๎องรับผิดชอบ อาจเป็นกรณีท่ีเกิดจากลูกหนี้เป็น
ผ๎ูกํอหรือมีสํวนเก่ียวข๎อง ทั้งกรณีที่จงใจและประมาทเลินเลํอ หรืออาจเป็นกรณีท่ีเกิดจาก
การกระทาํ ของตวั แทนของลูกหนี้หรือบุคคลท่ีลกู หน้ีใช๎ในการชําระหน้ี ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 220 ก็ได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 603/2490 ในกรณีท่ีทรัพย๑ที่เชําสูญหายไปเพราะ
ถูกขโมย หากผ๎ูเชํามิได๎ใช๎ความระมัดระวังอยํางเชํนวิญ๒ูชนจะพึงสงวนรักษาทรัพย๑สินของ
ตนเอง ผู๎เชาํ ตอ๎ งรบั ผดิ เม่อื ขอ๎ เท็จจริงปรากฏวําเรือถูกขโมยไป เน่ืองจากผ๎ูเชําไมํได๎ใช๎ความ
ระมดั ระวังพอสมควร ผู๎เชาํ จึงต๎องรบั ผิด

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 783/2516 ศาลฎีกาพิพากษาวําสัญญาเชําสมบูรณ๑
แตผํ ูเ๎ ชาํ เขา๎ ครอบครองตกึ ท่ีเชาํ ไมไํ ด๎ เพราะผใ๎ู ห๎เชาํ ได๎รอ้ื ตกึ ไปเสียแล๎ว เชํนน้ี ผู๎ให๎เชําต๎องรับ
ผิดชดใชค๎ าํ สินไหมทดแทนให๎ผูเ๎ ชํา เพราะการชําระหน้ตี ามสญั ญาเชาํ กลายเป็นพน๎ วสิ ัย

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 218 วรรคสอง หมายความวํา
ในกรณที ก่ี ารชาํ ระหน้กี ลายเปน็ พ๎นวสิ ยั แตํเพยี งบางสํวน ถา๎ หากวําสํวนท่ียังเป็นวิสัยจะทําได๎
นั้นจะเป็นอันไร๎ประโยชน๑แกเํ จา๎ หนแ้ี ลว๎ เจา๎ หนจี้ ะไมํยอมรับชําระหน้ีสํวนท่ียังเป็นวิสัยจะทํา

87

ไดน๎ ัน้ แล๎ว และเรยี กคําสนิ ไหมทดแทนเพอ่ื การไมํชําระหนีเ้ สียทั้งหมดทเี ดียวก็ได๎ เชํน เจ๎าหนี้
ซ้ือชามโบราณแบบมีฝาปิดจากลูกหน้ี เพ่ือนําไปใสํตู๎โชว๑ที่บ๎าน โดยกําหนดให๎ลูกหนี้นําชาม
ดังกลําวมาสํงท่ีบ๎านของเจ๎าหน้ี แตํปรากฏวําลูกหนี้ทําฝาชามดังกลําวแตก ดังน้ี ถือวําการ
ชําระหน้ีกลายเป็นพ๎นวิสัยแตํเพียงบางสํวน และสํวนท่ียังเป็นวิสัยจะทําได๎น้ันเป็นอัน
ไร๎ประโยชน๑แกํเจ๎าหน้แี ล๎ว เจา๎ หน้จี ึงสามารถไมรํ ับชําระหนส้ี วํ นท่ียงั เป็นวสิ ยั จะทําไดน๎ นั้ และ
เรียกคําสินไหมทดแทนเพื่อการไมชํ ําระหนเ้ี สียทัง้ หมดทีเดียวได๎ เป็นตน๎

สําหรับกรณีที่การชําระหน้ีกลายเป็นพ๎นวิสัยแตํเพียงบางสํวน แตํสํวนที่ยังเป็น
วสิ ยั จะทาํ ได๎นั้นมิไดถ๎ ึงกบั เปน็ อนั ไรป๎ ระโยชน๑แกํเจ๎าหน้ี เจ๎าหนี้จะใช๎สิทธิไมํยอมรับชําระหนี้
สํวนท่ียังเป็นวิสัยจะทําได๎นั้น และเรียกคําสินไหมทดแทนเพื่อการไมํชําระหน้ีเสียทั้งหมด
ทีเดียว ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 218 วรรคสอง ไมํได๎ เชํน เจ๎าหนี้ซ้ือ
ชามแบบมีฝาปิดจากลูกหน้ี เพ่ือนําไปใช๎ใสํอาหารรับประทาน โดยกําหนดให๎ลูกหน้ีนําชาม
ดังกลําวมาสํงที่บ๎านของเจ๎าหน้ี แตํปรากฏวําลูกหน้ีทําฝาชามดังกลําวแตก ดังน้ี ถือวําการ
ชําระหน้กี ลายเปน็ พ๎นวสิ ยั แตเํ พียงบางสํวน แตสํ วํ นท่ียงั เป็นวิสัยจะทาํ ได๎นั้นมไิ ด๎ถึงกับเป็นอัน
ไร๎ประโยชนแ๑ กํเจ๎าหนี้ เจา๎ หน้จี ึงใช๎สิทธิไมยํ อมรบั ชาํ ระหนี้สํวนท่ียังเป็นวิสัยจะทําได๎น้ัน และ
เรียกคาํ สนิ ไหมทดแทนเพอ่ื การไมํชาํ ระหน้เี สียทัง้ หมดทีเดียว ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 218 วรรคสอง ไมํได๎ เป็นต๎น

ในกรณีนี้ จงึ เกิดป๓ญหาวําเจ๎าหนี้ต๎องรับชําระหน้ีในสํวนที่ยังเป็นวิสัยจะทําได๎ไว๎
หรือไมํ ซ่ึงนกั วิชาการมคี วามเห็นแตกตาํ งกนั แบํงออกเป็น 2 ฝ่าย ดงั น้ี

ฝ่ายแรก ศาสตราจารย๑พิเศษไพโรจน๑ วายุภาพ รองศาสตราจารย๑ ดร.สุนทร
มณีสวัสด์ิ และศาสตราจารย๑พิเศษโสภณ รัตนากร มีความเห็นวําเจ๎าหน้ีต๎องรับชําระหน้ีใน
สํวนที่ยังเป็นวิสัยจะทําได๎ไว๎ เจ๎าหนี้จะใช๎สิทธิไมํยอมรับชําระหนี้บางสํวน ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 320 ไมํได๎ เพราะประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 218 วรรคสอง บัญญัติไว๎โดยเฉพาะแล๎ว แตํเจ๎าหน้ีมีสิทธิเรียกคําสินไหมทดแทนใน
สวํ นท่ีพ๎นวสิ ยั ไปแลว๎ ได๎53

ฝ่ายท่ีสอง รองศาสตราจารย๑ปราโมทย๑ จารุนิล และ ดร.มุนินทร๑ พงศาปาน มี
ความเห็นวาํ เม่ือการชําระหนี้กลายเป็นพ๎นวิสัยเกิดจากความผิดของลูกหนี้ เจ๎าหน้ีจึงมีสิทธิ
ไมยํ อมรับชําระหน้ีตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 320 ได๎ และมีสิทธิเรียก
คําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 215 ไดด๎ ๎วย54

53ไพโรจน๑ วายุภาพ, เรื่องเดิม, หน๎า 210., สุนทร มณีสวัสด์ิ, เร่ืองเดิม, หน๎า 135.
โสภณ รตั นากร, เร่ืองเดมิ , หน๎า 160.

54ปราโมทย๑ จารุนิล, เรื่องเดิม, หน๎า 75-76., เสนีย๑ ปราโมช (ปรับปรุงแก๎ไขโดย
มนุ นิ ทร๑ พงศาปาน), เร่อื งเดิม, หนา๎ 604.


Click to View FlipBook Version