The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คำอธิบาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ลักษณะหนี้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by auttapon_tepsong, 2022-04-17 14:02:03

คำอธิบาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะหนี้

คำอธิบาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ลักษณะหนี้

138

6. ที่มาของการรับช่วงทรพั ย์
การรับชํวงทรัพย๑ต๎องเกิดข้ึนจากอํานาจของกฎหมายเทํานั้น ดังนั้น หากไมํมี

กฎหมายกาํ หนดไว๎ ยํอมรับชวํ งทรพั ย๑ไมํได๎
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ บรรพ 2 ไดก๎ าํ หนดถึงท่ีมาของการรับชํวงทรัพย๑

ไว๎ในมาตรา 228 มาตรา 231 และมาตรา 232 ดังน้ี
6.1 การรบั ช่วงทรัพยต์ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 228
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 228 วรรคแรก บัญญัติว่า “ถ๎า

พฤตกิ ารณซ๑ ง่ึ ทําใหก๎ ารชําระหน้ีเปน็ อันพน๎ วสิ ัยนน้ั เปน็ ผลให๎ลูกหนี้ไดม๎ าซึ่งของแทนก็ดี หรือ
ได๎สิทธิเรยี กร๎องคําสินไหมทดแทนเพ่ือทรัพย๑อันจะพึงได๎แกํตนนั้นก็ดี ทํานวําเจ๎าหนี้จะเรียก
ใหส๎ ํงมอบของแทนทไ่ี ด๎รบั ไว๎หรอื จะเข๎าเรียกเอาคําสินไหมทดแทนเสียเองก็ได๎”

เจ๎าหนี้จะมีสิทธิรับชํวงทรัพย๑ กลําวคือ เจ๎าหนี้จะเรียกให๎ลูกหน้ีสํงมอบของ
แทนที่ลูกหน้ีได๎รบั ไว๎ หรือเจ๎าหน้ีจะเข๎าเรียกเอาคําสินไหมทดแทนเสียเองก็ได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 228 วรรคแรก เม่อื ครบหลักเกณฑ๑ 2 ประการ ดังน้ี

1. การชําระหนี้เป็นอันพ๎นวิสัย ซึ่งอาจเป็นกรณีที่ลูกหนี้ต๎องรับผิดชอบตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 217 มาตรา 218 หรือเป็นกรณีที่ลูกหนี้ไมํต๎อง
รับผดิ ชอบตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 219 กไ็ ด๎

2. เป็นผลให๎ลูกหน้ไี ดม๎ าซึ่งของแทนหรือสทิ ธิเรียกคาํ สินไหมทดแทน
ตัวอย่างที่ 1 นาย ก. เชําโทรศัพท๑มาจากนาย ข. และนาย ก. ได๎ทําประกัน
โทรศัพท๑ไว๎กับบริษัทประกันภัยแหํงหน่ึง ตํอมานาย ก. ได๎ผิดนัดชําระหน้ี และในระหวําง
ผิดนัดชําระหน้ีน้ัน นาย ก. ได๎ประสบอุบัติเหตุและเป็นเหตุให๎โทรศัพท๑สูญหาย นาย ก. จึง
ต๎องรับผิดชอบในความเสียหายท่ีเกิดข้ึนจากความประมาทในระหวํางที่ตนผิดนัด ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 217 ตํอมาหากบริษัทประกันภัยได๎สํงมอบ
โทรศพั ท๑เครื่องใหมใํ ห๎นาย ก. นาย ข. ยํอมได๎รบั ชํวงทรพั ย๑ คือ มสี ทิ ธิเรียกให๎นาย ก. สํงมอบ
โทรศัพทเ๑ ครอ่ื งใหมใํ หแ๎ กํตนได๎ หรือหากนาย ก. มีสิทธิเรียกร๎องคําสินไหมทดแทนจากบริษัท
ประกันภัย นาย ข. ยํอมได๎รับชํวงทรัพย๑ คือ มีสิทธิเรียกเอาคําสินไหมทดแทนจากบริษัท
ประกนั ภัยได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 228
ตัวอย่างท่ี 2 นาย ก. เชําโทรศัพท๑มาจากนาย ข. และนาย ก. ได๎ทําประกัน
โทรศัพท๑ไว๎กับบริษัทประกันภัยแหํงหน่ึง ตํอมานาย ก. ได๎ประมาททําให๎โทรศัพท๑สูญหาย
การชําระหน้ีจึงเป็นอันพ๎นวิสัย ซ่ึงเม่ือการชําระหน้ีเป็นอันพ๎นวิสัยนั้นเกิดจากพฤติการณ๑ท่ี
นาย ก. ต๎องรับผิดชอบ นาย ก. จึงต๎องชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํนาย ข. ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 218 ตอํ มาหากบรษิ ทั ประกันภัยได๎สํงมอบโทรศัพท๑เคร่ือง
ใหมใํ หน๎ าย ก. นาย ข. ยอํ มไดร๎ บั ชวํ งทรัพย๑ คือ มีสทิ ธิเรยี กให๎นาย ก. สํงมอบโทรศัพท๑เคร่ือง
ใหมํให๎แกํตนได๎ หรือหากนาย ก. มีสิทธิเรียกร๎องคําสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย

139

นาย ข. ยํอมได๎รับชํวงทรัพย๑ คือ มีสิทธิเรียกเอาคําสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยได๎
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 228

ตัวอย่างที่ 3 นาย ก. เชําโทรศัพท๑มาจากนาย ข. และนาย ก. ได๎ทําประกัน
โทรศพั ท๑ไวก๎ บั บรษิ ัทประกันภัยแหํงหน่ึง ตํอมาโทรศัพท๑ได๎ถูกขโมยไป โดยนาย ก. ไมํมีสํวน
ผิดด๎วย การชําระหนี้จึงเป็นอันพ๎นวิสัย ซึ่งเม่ือการชําระหน้ีเป็นอันพ๎นวิสัยนั้นเกิดจาก
พฤติการณ๑ท่ีนาย ก. ไมํต๎องรับผิดชอบ นาย ก. จึงหลุดพ๎นการชําระหนี้น้ัน ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 219 ตํอมาหากบริษัทประกันภัยได๎สํงมอบโทรศัพท๑เครื่อง
ใหมใํ ห๎นาย ก. นาย ข. ยอํ มไดร๎ ับชํวงทรัพย๑ คือ มสี ิทธิเรียกใหน๎ าย ก. สํงมอบโทรศัพท๑เครื่อง
ใหมํให๎แกํตนได๎ หรือหากนาย ก. มีสิทธิเรียกร๎องคําสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย
นาย ข. ยํอมได๎รับชํวงทรัพย๑ คือ มีสิทธิเรียกเอาคําสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยได๎
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 228

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2094/2526 โจทก๑ต๎องโอนโรงภาพยนตร๑ให๎แกํจําเลย
แตํโรงภาพยนตร๑ได๎ถูกเพลิงไหม๎หมด การชําระหน้ีจึงกลายเป็นพ๎นวิสัย การท่ีโจทก๑ได๎เอา
ประกนั ภัยไวแ๎ กผํ รู๎ อ๎ งไว๎ อนั ทําให๎โจทก๑มีสิทธิเรยี กร๎องคําสนิ ไหมทดแทนจากผู๎ร๎องนั้น จําเลย
ยอํ มมสี ทิ ธทิ ่จี ะเรียกร๎องเอาคําสินไหมทดแทนนั้นเสียเองได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 228

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 228 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ๎า
เจา๎ หน้มี ีสิทธิเรียกร๎องคาํ สนิ ไหมทดแทนเพราะการไมชํ ําระหนี้ และถ๎าใช๎สิทธินั้นดังได๎ระบุไว๎
ในวรรคตน๎ ไซร๎ คาํ สินไหมทดแทนอันจะพึงใชแ๎ กํเจ๎าหน้ีน้ันยํอมลดจํานวนลงเพียงเสมอราคา
แหํงของแทนซึ่งลูกหน้ีได๎รับไว๎ หรือเสมอจํานวนคําสินไหมทดแทนท่ีลูกหน้ีจะเรียกร๎องได๎
น้นั ”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 228 วรรคสอง หมายความวํา
ถ๎าพฤติการณ๑ซึ่งทําให๎การชําระหน้ีเป็นอันพ๎นวิสัย เป็นเหตุให๎เจ๎าหนี้มีสิทธิเรียกร๎องคํา
สินไหมทดแทนเพราะการไมํชําระหนี้จากลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 217 หรอื มาตรา 218 และในขณะเดยี วกัน เจ๎าหน้ีก็มีสิทธิรับชํวงทรัพย๑ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 228 วรรคแรก ด๎วย คําสินไหมทดแทนท่ีเจ๎าหน้ีจะเรียก
จากลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 217 หรือมาตรา 218 น้ัน ยํอม
ลดจาํ นวนลงตามราคาแหํงของแทนซ่ึงลูกหนไี้ ดร๎ ับไว๎ หรอื ลดจํานวนลงตามจาํ นวนคําสินไหม
ทดแทนที่ลกู หน้จี ะเรียกรอ๎ งได๎น้นั

140

กลําวคือ เมื่อเจ๎าหน้ีได๎รับชํวงทรัพย๑ คือ ได๎รับของแทนหรือคําสินไหมทดแทน
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 228 วรรคแรก ไปเต็มราคาแหํงทรัพย๑แล๎ว
เจ๎าหน้ีจะมาเรียกให๎ลูกหน้ีชดใช๎คําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 217 หรือมาตรา 218 อีกไมํได๎ เพราะจะเป็นการซ้ําซอ๎ นกนั

แตํหากเจ๎าหนี้ได๎รับชํวงทรัพย๑ คือ ได๎รับของแทนหรือคําสินไหมทดแทนตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 228 วรรคแรก ไปไมํเต็มราคาแหงํ ทรัพย๑ เจ๎าหน้ีมี
สิทธิเรียกให๎ลูกหนี้ชดใช๎คําสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
217 หรอื ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 218 ได๎อีกในจาํ นวนทย่ี งั ขาดอยนํู นั้

ตัวอย่างท่ี 1 นาย ก. เชําโทรศัพท๑มาจากนาย ข. และนาย ก. ได๎ทําประกัน
โทรศัพท๑ไว๎กับบริษัทประกันภัยแหํงหน่ึง โดยมีข๎อตกลงวํา แม๎นาย ก. จะประมาททําให๎
โทรศัพท๑เสียหาย บริษัทประกันภัยก็จะรับผิดชอบชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎ ตํอมานาย ข.
ผดิ นดั ชําระหนี้ แล๎วหลงั จากน้ัน นาย ก. ได๎ประมาททําให๎โทรศัพท๑เสียหาย การชําระหน้ีจึง
เป็นอันพ๎นวิสัย ซึ่งนาย ก. ต๎องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความประมาทใน
ระหวํางท่ีตนผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 217 ตํอมาหากบริษัท
ประกันภัยได๎ชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎นาย ก. จํานวน 5,000 บาท นาย ข. ยํอมได๎รับ
ชวํ งทรัพย๑ คือ มสี ทิ ธเิ รียกใหน๎ าย ก. สํงมอบคาํ สินไหมทดแทนจาํ นวน 5,000 บาท ให๎แกํตน
ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 228 และหากโทรศัพท๑นั้นมีราคาเต็ม
จํานวน 10,000 บาท นาย ข. ก็มีสิทธิเรียกคําสินไหมทดแทนจากนาย ก. ได๎อีกจํานวน
5,000 บาท

ตัวอย่างที่ 2 นาย ก. เชําโทรศัพท๑มาจากนาย ข. และนาย ก. ได๎ทําประกัน
โทรศัพท๑ไว๎กับบริษัทประกันภัยแหํงหน่ึง ตํอมานาย ก. ได๎ประมาททําให๎โทรศัพท๑สูญหาย
การชําระหนี้จึงเป็นอันพ๎นวิสัย ซึ่งเมื่อการชําระหนี้เป็นอันพ๎นวิสัยนั้นเกิดจากพฤติการณ๑ท่ี
นาย ก. ต๎องรับผิดชอบ นาย ก. จึงต๎องชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํนาย ข. ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 218 ตํอมาหากบริษัทประกันภัยได๎ชดใช๎คําสินไหม
ทดแทนให๎นาย ก. จํานวน 5,000 บาท นาย ข. ยํอมได๎รับชํวงทรัพย๑ คือ มีสิทธิเรียกให๎
นาย ก. สํงมอบคําสินไหมทดแทนจํานวน 5,000 บาท ให๎แกํตนได๎ ตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 228 และหากโทรศัพทน๑ ้ันมีราคาเต็มจํานวน 10,000 บาท นาย ข.
ก็มสี ทิ ธิเรยี กคําสนิ ไหมทดแทนจากนาย ก. ไดอ๎ ีกจํานวน 5,000 บาท

141

6.2 การรับชว่ งสทิ ธติ ามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 231
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 231 บัญญัติวํา “ถ๎าทรัพย๑สินที่

จาํ นอง จาํ นํา หรอื อยูํในบงั คับบรุ มิ สทิ ธิประการอ่ืนน้ัน เป็นทรัพย๑อันได๎เอาประกันภัยไว๎ไซร๎
ทาํ นวําสิทธิจํานอง จํานาํ หรอื บุรมิ สทิ ธอิ ยาํ งอ่ืนนั้น ยอํ มครอบไปถึงสิทธิทีจ่ ะเรียกร๎องเอาแกํ
ผู๎รับประกนั ภัยด๎วย

ในกรณที เ่ี ป็นอสังหารมิ ทรัพย๑ ถา๎ ผู๎รบั ประกันภยั ไดร๎ ๎ู หรือควรจะได๎ร๎ูวาํ มจี ํานอง
หรือบุริมสทิ ธอิ ยํางอื่นไซร๎ ทํานยังมิใหผ๎ ูร๎ บั ประกันภัยใช๎เงินให๎แกํผ๎ูเอาประกันภัย จนกวําจะ
ได๎บอกกลําวเจตนาเชํนน้ันไปยังผู๎รับจํานอง หรือเจ๎าหน้ีมีบุริมสิทธิคนอื่นแล๎ว และมิได๎รับ
คําคดั ค๎านการทจี่ ะใช๎เงนิ นน้ั มาภายในเดือนหนึ่งนับแตํวันบอกกลําว แตํสิทธิอยํางใด ๆ ท่ีได๎
ไปจดทะเบยี น ณ หอทะเบียนทด่ี นิ นนั้ ทํานให๎ถือวําเป็นอันร๎ูถึงผู๎รับประกันภัย วิธีเดียวกันน้ี
ทํานให๎ใช๎ตลอดถึงการจาํ นองสังหาริมทรัพย๑ท่ีกฎหมายอนุญาตใหท๎ าํ ไดน๎ ้ันด๎วย

ในกรณีที่เป็นสังหาริมทรัพย๑ ผู๎รับประกันภัยจะใช๎เงินให๎แกํผ๎ูเอาประกันภัย
โดยตรงก็ได๎ เวน๎ แตตํ นจะไดร๎ ู๎หรอื ควรจะได๎รู๎วําทรัพย๑น้ันตกอยํูในบังคับจํานํา หรือบุริมสิทธิ
อยาํ งอน่ื

ผ๎ูรบั ประกันภัยไมตํ อ๎ งรบั ผิดตอํ เจ๎าหน้ี ถ๎าทรพั ยส๑ ินอันไดเ๎ อาประกันภัยไว๎นั้นได๎
คนื มา หรือได๎จดั ของแทนให๎

วิธีเดียวกันน้ีทํานให๎อนุโลมใช๎บังคับแกํกรณีบังคับซื้อกับ ท้ังกรณีที่ต๎องใช๎
คําเสียหายอันควรจะได๎แกํเจ๎าของทรัพย๑สิน เพราะเหตุทรัพย๑สินทําลายหรือบุบสลายนั้น
ดว๎ ย”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 231 วรรคแรก หมายความวํา
บญั ญัตวิ าํ ถ๎าทรพั ย๑สนิ ทจ่ี าํ นอง จํานาํ หรืออยใํู นบงั คับบรุ มิ สทิ ธิประการอน่ื น้ัน เป็นทรัพย๑อัน
ได๎เอาประกันภัยไว๎สิทธิจํานอง จํานํา หรือบุริมสิทธิอยํางอ่ืนน้ัน ยํอมครอบไปถึงสิทธิที่จะ
เรียกร๎องเอาแกผํ ูร๎ บั ประกนั ภัยดว๎ ย

ตัวอย่างที่ 1 นาย ก. จํานําโทรศัพท๑ไว๎กับนาย ข. และนาย ก. ได๎ทําประกัน
โทรศพั ทไ๑ ว๎กบั บริษัทประกันภัยแหํงหน่ึง ตํอมานาย ค. ได๎ขโมยโทรศัพท๑นั้นไป หลังจากนั้น
บรษิ ทั ประกันภยั ได๎ชดใช๎คาํ สินไหมทดแทนให๎นาย ก. ดังน้ี นาย ข. ยํอมได๎รับชํวงทรัพย๑ คือ
คําสนิ ไหมทดแทนนัน้ ยอํ มมฐี านะตามกฎหมายเชํนเดียวกับโทรศัพท๑ท่ีถูกขโมยไปน้ัน

ตัวอย่างที่ 2 นาย ก. จํานองบ๎านไว๎กับนาย ข. และบ๎านหลังน้ัน นาย ก. ได๎ทํา
ประกันอัคคีภัยไว๎กับบริษัทประกันภัยแหํงหนึ่ง ตํอมานาย ค. ได๎วางเพลิงเผาบ๎านหลังน้ัน
หลังจากน้ัน บริษัทประกันภัยได๎ชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎นาย ก. ดังนี้ นาย ข. ยํอมได๎รับ
ชวํ งทรัพย๑ คอื คําสนิ ไหมทดแทนน้ันยอํ มมีฐานะตามกฎหมายเชํนเดยี วกบั บ๎านที่ไฟไหม๎ไปน้นั

ข้อสังเกต ประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 231
วรรคแรก อาจเกดิ ขึ้นกอํ นหรอื หลงั การจาํ นองหรือจํานํากไ็ ด๎

142

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 231 วรรคสอง เป็นวิธีการท่ี
ผู๎รับประกันภัยจะต๎องปฏิบัติในการชดใช๎เงินประกันภัย ในกรณีทรัพย๑ที่จํานองเป็น
อสังหาริมทรัพย๑ เชํน ท่ีดิน เป็นต๎น หรือสังหาริมทรัพย๑ชนิดพิเศษที่สามารถนําไปจํานองได๎
เชํน เคร่ืองจักร เป็นต๎น กลําวคือ ถ๎าผู๎รับประกันภัยได๎ร๎ู หรือควรจะได๎รู๎วํามีจํานอง หรือ
บุริมสิทธิอยํางอ่ืน (สิทธิที่ได๎ไปจดทะเบียน ณ สํานักงานที่ดิน ให๎ถือวําผ๎ูรับประกันภัยได๎รู๎
แลว๎ ) ห๎ามผ๎ูรบั ประกนั ภยั ใช๎เงนิ ให๎แกผํ เู๎ อาประกนั ภยั จนกวาํ จะได๎บอกกลาํ วเจตนาเชํนนั้นไป
ยงั ผูร๎ ับจํานองหรือเจ๎าหนี้มีบุริมสิทธิแล๎ว และมิได๎รับคําคัดค๎านการท่ีจะใช๎เงินน้ันมาภายใน
เดือนหน่งึ นบั แตํวันบอกกลําว แตํถา๎ ผร๎ู บั จาํ นองหรือเจา๎ หนมี้ บี ุริมสิทธิคัดค๎าน ผร๎ู ับประกันภัย
ก็ต๎องชดใช๎เงินประกันภัยให๎แกํผร๎ู บั จํานองหรอื เจา๎ หนม้ี บี รุ มิ สิทธิ

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 231 วรรคสาม เป็นวิธีการที่
ผู๎รับประกันภัยจะต๎องปฏิบัติในการชดใช๎เงินประกันภัย ในกรณีทรัพย๑ท่ีจํานองเป็น
สังหาริมทรพั ย๑ เชํน รถยนต๑ เป็นตน๎ กลําวคือ ผ๎ูรับประกันภัยจะใช๎เงินให๎แกํผู๎เอาประกันภัย
โดยตรงก็ได๎ แตํถ๎าผ๎ูรับประกันภัยได๎ร๎ูหรือควรจะได๎รู๎วําทรัพย๑นั้นตกอยํูในบังคับจํานํา หรือ
บุริมสิทธิอยาํ งอื่น ผรู๎ ับประกันภัยจะใช๎เงินให๎แกํผูเ๎ อาประกนั ภยั โดยตรงไมไํ ด๎ ผู๎รับประกันภัย
จะตอ๎ งบอกกลาํ วเจตนาเชํนนัน้ ไปยังผู๎รับจาํ นอง หรอื เจ๎าหน้ีมบี รุ ิมสิทธิคนอื่นกํอน และถ๎าไมํ
มีการคัดค๎านการท่จี ะใชเ๎ งนิ นน้ั (กฎหมายไมไํ ดก๎ ําหนดเวลาในการคัดค๎านไว๎) ผู๎รับประกันภัย
จึงจะใช๎เงนิ ใหแ๎ กผํ เู๎ อาประกนั ภยั ได๎

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 231 วรรคสี่ หมายความวํา ถ๎า
ทรพั ยส๑ ินอันไดเ๎ อาประกันภัยไว๎นั้นไดค๎ นื มาหรือได๎จัดของแทนให๎แล๎ว ผู๎รับประกันภัยไมํต๎อง
รบั ผดิ ตํอเจ๎าหน้ี เพราะเม่ือเจ๎าหน้ีไมํได๎รับความเสียหายแล๎ว ผู๎รับประกันภัยจึงไมํต๎องรับผิด
ตํอเจ๎าหนีแ้ ล๎ว

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 231 วรรคท๎าย หมายความวํา
ถา๎ ทรัพยส๑ นิ ทจี่ ํานอง จาํ นํา หรืออยํใู นบงั คับบรุ ิมสทิ ธิประการอน่ื น้ัน ถกู บังคับซื้อ (ถูกเวนคืน
โดยรัฐ) และได๎รับคําสินไหมทดแทนจากรัฐ ผ๎ูรับจํานอง ผ๎ูรับจํานํา หรือเจ๎าหนี้บังคับ
บรุ ิมสิทธปิ ระการอน่ื ยอํ มได๎รับชํวงทรัพย๑ คือ คาํ สนิ ไหมทดแทนนั้นยอํ มมีฐานะตามกฎหมาย
เชํนเดียวกับทรัพย๑สินท่ีจํานอง จาํ นํา หรืออยใํู นบงั คบั บุริมสิทธปิ ระการอ่ืนนนั้ น้ัน

6.3 การรบั ชว่ งสิทธติ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 232
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 232 บัญญัติวํา “ถ๎าตามความใน

มาตรากอํ นนเ้ี ป็นอนั วาํ จะเอาเงินจาํ นวนหนง่ึ ใหแ๎ ทนทรัพย๑สนิ ท่ีทําลายหรือบุบสลายไซร๎ เงิน
จํานวนนท้ี ํานยังมใิ ห๎สํงมอบแกผํ ๎รู ับจํานอง ผ๎รู ับจํานํา หรือเจา๎ หนม้ี บี รุ ิมสิทธิคนอ่ืน กํอนที่หนี้
ซึง่ ได๎เอาทรพั ย๑น้เี ปน็ ประกนั ไว๎นั้นจะถึงกําหนด และถ๎าคํูกรณไี มสํ ามารถจะตกลงกับลูกหน้ีได๎

143

ไซร๎ ทํานวําตํางฝ่ายตํางมีสิทธิที่จะเรียกร๎องให๎นําเงินจํานวนน้ันไปวางไว๎ ณ สํานักงานวาง
ทรัพย๑เพอ่ื ประโยชนอ๑ ันรวํ มกนั เวน๎ แตลํ กู หน้จี ะหาประกนั ให๎ไว๎ตามสมควร”

ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 232 เป็นบทบัญญัติที่ตํอ
เนอ่ื งมาจากประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 231 กลําวคือ ถ๎าทรัพย๑สินที่จํานอง
จาํ นํา หรอื อยูํในบังคบั บรุ มิ สทิ ธิประการอ่ืนนน้ั เป็นทรัพย๑อันได๎เอาประกันภัยหรือถูกเวนคืน
โดยรัฐ อันทําให๎ลูกหน้ี คือ ผู๎เอาประกันภัยหรือผ๎ูที่ถูกเวนคืน ได๎มาซ่ึงสิทธิในการเรียกคํา
สนิ ไหมทดแทน กฎหมายกําหนดวําคาํ สนิ ไหมทดแทนนี้ หา๎ มผปู๎ ระกนั ภยั หรอื รัฐสํงมอบให๎แกํ
ผร๎ู ับจาํ นอง ผร๎ู บั จํานํา หรือเจ๎าหนมี้ ีบุรมิ สทิ ธคิ นอนื่ กํอนทีห่ น้ีซง่ึ ได๎เอาทรัพย๑น้ีเป็นประกันไว๎
นนั้ จะถึงกําหนด เพราะเม่ือหนยี้ ังไมํถึงกําหนดชาํ ระ เจา๎ หนกี้ ย็ อํ มจะไมํสิทธิไดร๎ ับชาํ ระหนี้

อยํางไรก็ดี ผู๎ประกันภัยหรือรัฐยํอมอยํูในฐานะลําบาก เน่ืองจากประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 232 ห๎ามสํงมอบคําสินไหมทดแทนน้ันให๎แกํผู๎รับจํานอง
ผู๎รับจํานํา หรือเจ๎าหน้ีมีบุริมสิทธิคนอื่น กํอนท่ีหน้ีซึ่งได๎เอาทรัพย๑นี้เป็นประกันไว๎น้ันจะถึง
กําหนด และในขณะเดียวกัน ผ๎ูประกันภัยหรือรัฐจะสํงมอบคําสินไหมทดแทนนั้นให๎แกํผู๎รับ
ประกันภัยหรือผู๎ที่ถูกเวนคืนก็ไมํได๎ เพราะประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 231
กําหนดวํา ผ๎รู บั จาํ นอง ผ๎ูรับจํานาํ หรอื เจ๎าหนมี้ ีบุริมสทิ ธิคนอน่ื มสี ิทธใิ นคําสินไหมทดแทนนั้น
หากผ๎ูประกันภัยหรือรัฐจะสํงมอบคําสินไหมทดแทนนั้นให๎แกํผู๎รับประกันภัยหรือผ๎ูที่ถูก
เวนคืนไป ผ๎ูประกันภัยหรือรัฐอาจต๎องรับผิดชอบตํอผ๎ูรับจํานอง ผ๎ูรับจํานํา หรือเจ๎าหน้ีมี
บุริมสิทธิคนอ่ืนอีกในภายหลัง ดังน้ัน กฎหมายจึงกําหนดวําถ๎าผู๎รับจํานอง ผู๎รับจํานํา หรือ
เจ๎าหนี้มีบุริมสิทธิคนอ่ืนไมํสามารถจะตกลงกับลูกหน้ีได๎ กฎหมายกําหนดวําตํางฝ่ายตํางมี
สิทธิที่จะเรียกร๎องให๎นําเงินจํานวนนั้นไปวางไว๎ ณ สํานักงานวางทรัพย๑ เพื่อประโยชน๑อัน
รํวมกันได๎ เว๎นแตํลูกหนี้จะหาประกันให๎ไว๎แกํผู๎รับจํานอง ผู๎รับจํานํา หรือเจ๎าหน้ีมีบุริมสิทธิ
คนอืน่ ตามสมควร

ข้อสงั เกต การรบั ชํวงทรพั ย๑ตอ๎ งเกดิ ขน้ึ จากอาํ นาจของกฎหมายเทํานั้น โดยอาจเกิด
จากกฎหมายทัว่ ไปตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ บรรพ 2 มาตรา 228 มาตรา 231
และมาตรา 232 หรือกฎหมายเฉพาะตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ เชํน มาตรา
1472 ซงึ่ บัญญตั วิ าํ “สินสวํ นตัวนน้ั ถา๎ ไดแ๎ ลกเปลี่ยนเป็นทรัพย๑สินอ่ืนก็ดี ซ้ือทรัพย๑สินอื่นมา
ก็ดี หรอื ขายไดเ๎ ปน็ เงินมาก็ดี ทรัพยส๑ นิ อน่ื หรอื เงินที่ไดม๎ านัน้ เปน็ สินสํวนตัว

สินสํวนตัวที่ถูกทําลายไปทั้งหมดหรือแตํบางสํวน แตํได๎ทรัพย๑สินอื่นหรือเงินมา
ทดแทน ทรพั ยส๑ นิ อ่ืนหรอื เงินทไ่ี ดม๎ านัน้ เป็นสินสํวนตัว”

144

7. บทสรุป
7.1 ความหมายของการรบั ช่วงสทิ ธิ การรบั ชํวงสทิ ธิ หมายถึง การที่ผ๎ูมีสํวนได๎เสีย

ในการชําระหน้ีตามท่ีกฎหมายกําหนดเข๎าชําระหนี้แกํเจ๎าหน้ีแทนลูกหนี้ อันมีผลทําให๎ผู๎นั้น
ได๎รับชวํ งสทิ ธิตอํ มาจากเจ๎าหนี้

7.2 ผลของการรับช่วงสิทธิ บุคคลผู๎รับชํวงสิทธิของเจ๎าหนี้ ชอบท่ีจะใช๎สิทธิ
ทง้ั หลายบรรดาทีเ่ จา๎ หน้ีมีอยูโํ ดยมูลหน้ี รวมทั้งประกันแหํงหนี้นั้นได๎ในนามของตนเอง ตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 226 วรรคแรก

7.3 ท่มี าของการรับช่วงสทิ ธิ มีดังน้ี
1. ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 227 กําหนดวํา เม่ือมีความ

เสียหายเกิดข้ึน ซ่ึงลูกหนี้มีหน๎าท่ีต๎องรับผิดชอบชดใช๎คําสินไหมทดแทน เม่ือลูกหน้ีได๎ชดใช๎
คําสินไหมทดแทนให๎แกํเจ๎าหนี้ เต็มตามราคาทรัพย๑หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแหํงหนี้น้ันแล๎ว
ลูกหน้ียํอมรับชํวงสทิ ธิของเจ๎าหนี้เก่ยี วกบั ทรพั ย๑หรือสทิ ธินนั้ ๆ ตาม

2. ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 229 กําหนดวํา การรับชํวงสิทธิ
ยอํ มมขี ้ึนดว๎ ยอํานาจกฎหมาย และยํอมสาํ เร็จเป็นประโยชนแ๑ กํบคุ คลดงั จะกลาํ วตํอไปน้ี คือ

2.1 บุคคลซ่ึงเป็นเจ๎าหน้ีอยูํเอง และมาใช๎หน้ีให๎แกํเจ๎าหนี้อีกคนหน่ึงผ๎ูมีสิทธิ
จะได๎รับใช๎หนี้กอํ นตน เพราะเขามบี รุ ิมสิทธิหรือมีสทิ ธิจํานําจํานอง

2.2 บุคคลผู๎ได๎ไปซึ่งอสังหาริมทรัพย๑ใด และเอาเงินราคาคําซื้อใช๎ให๎แกํ
ผู๎รบั จาํ นองทรพั ย๑นนั้ เสรจ็ ไป

2.3 บุคคลผู๎มีความผกู พันรํวมกบั ผ๎ูอ่นื หรือเพ่ือผอ๎ู ื่นในอนั จะต๎องใช๎หนี้ มีสํวน
ไดเ๎ สียดว๎ ยในการใชห๎ น้ีนน้ั และเขา๎ ใช๎หนนี้ น้ั

3. ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 230 กาํ หนดวํา
3.1 ถ๎าในการท่ีเจ๎าหนี้นําบังคับยึดทรัพย๑อันหนึ่งอันใดของลูกหน้ีน้ัน บุคคล

ผ๎ูใดจะต๎องเส่ยี งภัยเสียสทิ ธิในทรัพย๑อนั นนั้ เพราะการบังคับยดึ ทรพั ย๑ บคุ คลผ๎ูนั้นมีสิทธิจะเข๎า
ใช๎หนีเ้ สียแทนได๎ และเมื่อบคุ คลนน้ั ใช๎หนี้แทนจนเป็นทพ่ี อใจของเจ๎าหน้ีแล๎ว บุคคลผู๎น้ันยํอม
เข๎ารับชวํ งสิทธิเรียกรอ๎ งของเจ๎าหน้ี

3.2 ถ๎าในการที่เจ๎าหน้ีนําบังคับยึดทรัพย๑อันหน่ึงอันใดของลูกหน้ีนั้น บุคคล
ผู๎ครองทรัพย๑อันหนึ่งอันใดจะต๎องเสี่ยงภัยเสียสิทธิครองทรัพย๑น้ันไปเพราะการบังคับ
ยึดทรัพย๑ บุคคลผู๎น้ันมีสิทธิจะเข๎าใช๎หนี้เสียแทนได๎ และเมื่อบุคคลน้ันใช๎หนี้แทนจนเป็นที่
พอใจของเจา๎ หน้แี ลว๎ บคุ คลผ๎นู น้ั ยํอมเข๎ารับชํวงสทิ ธเิ รยี กรอ๎ งของเจ๎าหนี้

อนงึ่ ถา๎ ผู๎รบั ชวํ งสทิ ธิไดช๎ ําระหนใ้ี หแ๎ กํเจา๎ หนแี้ ทนลกู หนี้ไปเพียงบางสํวน ผู๎รับ
ชํวงสทิ ธิกจ็ ะมีสิทธิเรียกให๎ลูกหนี้ชําระหน้ีให๎แกํตนได๎เพียงจํานวนท่ีตนได๎ชําระให๎แกํเจ๎าหนี้
ไปเทําน้ัน จะเรียกเกนิ กวาํ นั้น อันทาํ ให๎เสอ่ื มเสียสทิ ธขิ องเจา๎ หนี้ไมไํ ด๎

145

7.4 ความหมายของการรับช่วงทรัพย์ การรับชํวงทรัพย๑ หมายถึง การเอา
ทรัพย๑สินอันหนึ่งเข๎าแทนท่ีทรัพย๑สินอีกอันหนึ่งโดยผลของกฎหมาย และทรัพย๑สินอันที่เข๎า
แทนน้นั มฐี านะทางกฎหมายเสมือนกันกับทรัพย๑สินอันกํอน ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 226 วรรคสอง

7.5 ท่มี าของการรบั ชว่ งทรัพย์ มีดังนี้
1. ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 228 วรรคแรก กําหนดวํา ถ๎า

พฤติการณซ๑ ่งึ ทาํ ใหก๎ ารชาํ ระหน้เี ป็นอนั พ๎นวสิ ยั น้ัน เปน็ ผลให๎ลูกหนี้ได๎มาซ่ึงของแทน หรือได๎
สิทธิเรียกร๎องคําสินไหมทดแทนเพ่ือทรัพย๑อันจะพึงได๎แกํตน เจ๎าหนี้จะเรียกให๎สํงมอบของ
แทนทไี่ ด๎รบั ไวห๎ รอื จะเขา๎ เรยี กเอาคําสินไหมทดแทนเสียเองก็ได๎

ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 228 วรรคสอง กําหนดวํา ถ๎า
เจา๎ หนมี้ ีสิทธิเรยี กรอ๎ งคาํ สินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 217
หรือมาตรา 218 และในขณะเดียวกัน เจ๎าหน้ีก็มีสิทธิรับชํวงทรัพย๑ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 228 วรรคแรก ด๎วย คําสินไหมทดแทนท่ีเจ๎าหนี้จะเรียกจากลูกหน้ี
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 217 หรือมาตรา 218 นั้น ยํอมลดจํานวนลง
ตามราคาแหํงของแทนซ่ึงลูกหนี้ได๎รับไว๎ หรือลดจํานวนลงตามจํานวนคําสินไหมทดแทนที่
ลูกหนี้จะเรียกร๎องได๎นั้น กลําวคือ เมื่อเจ๎าหนี้ได๎รับชํวงทรัพย๑ไปเต็มราคาแหํงทรัพย๑แล๎ว
เจา๎ หนจี้ ะมาเรียกให๎ลูกหนช้ี ดใช๎คําสนิ ไหมทดแทนอีกไมํได๎ แตํหากเจ๎าหนี้ได๎รับชํวงทรัพย๑ไป
ไมเํ ต็มราคาแหํงทรัพย๑ เจ๎าหน้ีมีสิทธิเรียกให๎ลูกหนี้ชดใช๎คําสินไหมทดแทนได๎อีกในจํานวนที่
ยังขาดอยูํนั้น

2. ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 231 กําหนดวํา ถ๎าทรัพย๑สินที่
จํานอง จํานํา หรืออยํูในบังคับบุริมสิทธิประการอ่ืนน้ัน เป็นทรัพย๑อันได๎เอาประกันภัยไว๎
สิทธิจํานอง จํานํา หรือบุริมสิทธิอยํางอื่นน้ัน ยํอมครอบไปถึงสิทธิที่จะเรียกร๎องเอาแกํผู๎รับ
ประกันภยั ด๎วย

146

8. คาถามท้ายบท
ข๎อ 1. นายกวนิ ไดเ๎ อาบ๎านประกันอคั คีภัยไว๎กับบริษัทเอบีซีซ่ึงเป็นบริษัทประกันภัย

ตํอมาบ๎านหลงั นั้นได๎เกดิ เพลิงไหม๎เสียหายท้งั หมด โดยนายวสนิ เปน็ ผวู๎ างเพลิง บริษทั เอบีซีจึง
ได๎ชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํนายกวินเต็มตามราคาทรัพย๑ คือ จํานวน 2,000,000 บาท
แลว๎ บรษิ ทั เอบีซีได๎ไปเรียกคาํ สนิ ไหมทดแทนจากนายวสิน แตนํ ายวสินไมยํ อมชดใช๎คําสินไหม
ทดแทนใหบ๎ ริษทั เอบซี ี โดยอ๎างวําบริษัทเอบีซีไมํใชํผ๎ูมีกรรมสิทธ์ิในบ๎านหลังน้ัน ดังนี้ บริษัท
เอบซี ีมสี ทิ ธิเรยี กคาํ สนิ ไหมทดแทนจากนายวสินจาํ นวน 2,000,000 บาท หรอื ไมํ

ธงคาตอบ
หลกั กฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 226, 227
วินิจฉัย การที่นายกวินได๎เอาบ๎านประกันอัคคีภัยไว๎กับบริษัทเอบีซีซึ่งเป็นบริษัท
ประกันภัย แล๎วตํอมาบ๎านหลังนั้นได๎เกิดเพลิงไหม๎เสียหายทั้งหมด โดยนาย วสินเป็น
ผ๎ูวางเพลิง บริษัทเอบีซีจึงได๎ชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํนายกวินเต็มตามราคาทรัพย๑ คือ
จาํ นวน 2,000,000 บาท นัน้ เป็นกรณีท่ีนายกวนิ ซึ่งเป็นเจา๎ หนไี้ ด๎รับคําสินไหมทดแทนความ
เสียหายเตม็ ตามราคาทรพั ยแ๑ ล๎ว บริษทั เอบีซีซงึ่ เปน็ ลูกหน้ีจึงเข๎าสํฐู านะเป็นผู๎รับชํวงสิทธิของ
นายกวนิ ซึ่งเป็นเจ๎าหนี้ อันเก่ียวกับบ๎านหลังนั้นด๎วยอํานาจกฎหมาย ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 227 และเมื่อบริษัทเอบีซีเข๎ารับชํวงสิทธิของนายกวิน บริษัทเอบีซี
จึงชอบท่ีจะใช๎สิทธิท้ังหลายบรรดาที่นายกวินซึ่งเป็นเจ๎าหนี้มีอยูํโดยมูลหนี้ได๎ในนามของ
ตนเอง ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 226 บริษัทเอบีซีจึงเรียกคําสินไหม
ทดแทนจากนายวสินจํานวน 2,000,000 บาท ได๎
สรุป บริษัทเอบีซีมีสิทธิเรียกคําสินไหมทดแทนจากนายวสินจํานวน 2,000,000
บาท ได๎

147

ขอ๎ 2. นายหนึ่งขบั เรอื โดยสาร ตอํ มานายสองขับเรือโดยประมาทชนเรือโดยสารของ
นายหนึ่งเป็นเหตุให๎นายสามผู๎โดยสารในเรือของนายหน่ึงได๎รับบาดเจ็บ นายหน่ึงจึงได๎จําย
คาํ สนิ ไหมแทนเปน็ คํารักษาพยาบาลใหแ๎ กนํ ายสามไปจํานวน 5,000 บาท

ดงั น้ี ให๎นิสิตวินิจฉยั วํา นายหนึ่งจะเรียกให๎นายสองผู๎ทําละเมิดชดใช๎คําสินไหมแทน
จาํ นวน 5,000 บาท ใหแ๎ กํตนไดห๎ รือไมํ

ธงคาตอบ
หลกั กฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 227
วินิจฉัย การรับชํวงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 227
หมายความวํา เมื่อมีความเสียหายเกิดข้ึน ซ่ึงลูกหน้ีมีหน๎าท่ีต๎องรับผิดชอบชดใช๎คําสินไหม
ทดแทน เม่ือลูกหน้ีได๎ชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํเจ๎าหนี้ เต็มตามราคาทรัพย๑หรือสิทธิซึ่ง
เปน็ วตั ถแุ หงํ หนีน้ ั้นแลว๎ ลูกหนีย้ ํอมรบั ชํวงสิทธิของเจ๎าหน้เี ก่ยี วกบั ทรัพย๑หรอื สิทธนิ นั้ ๆ

แตํกรณีตามอุทาหรณ๑ นายหนึ่งไมํมีหน๎าท่ีจะต๎องรับผิดชอบชดใช๎คําสินไหม
ทดแทนให๎แกํนายสาม ดังนั้น แม๎นายหน่ึงจะได๎จํายคําสินไหมแทนเป็นคํารักษาพยาบาล
ให๎แกํนายสามไป นายหนึง่ กไ็ มํไดร๎ ับชํวงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
227 ท่ีเรียกให๎นายสองผ๎ูทําละเมิดชดใช๎คําสินไหมแทนจํานวน 5,000 บาท ให๎แกํตนได๎
(คาํ พพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1094/2519)

สรุป นายหนึ่งจะเรียกให๎นายสองผ๎ูทําละเมิดชดใช๎คําสินไหมแทนจํานวน 5,000
บาท ใหแ๎ กตํ นไมํได๎

148

บทที่ 4
การใช้สิทธิเรยี กรอ้ งของลูกหนี้

1. บทนา
ตามกฎหมายลักษณะหนี้นน้ั เจ๎าหน้ีมีสทิ ธทิ จ่ี ะเรียกให๎ชําระหน้ีของตนจากทรัพย๑สิน

ของลูกหนีจ้ นสิน้ เชิง รวมทั้งเงนิ และทรัพย๑สินอ่ืน ๆ ซึง่ บคุ คลภายนอกคา๎ งชําระแกํลูกหน้ีด๎วย
(ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 214) แตํในกรณีที่เจ๎าหนี้จะเรียกจาก
บุคคลภายนอกซ่ึงค๎างชําระแกํลูกหนี้นั้น เจ๎าหน้ีจะเรียกได๎ก็ตํอเม่ือเป็นไปตามท่ีกฎหมาย
ลักษณะหน้ีได๎กาํ หนดไวใ๎ นเรอ่ื ง “การใช๎สิทธเิ รียกร๎องของลกู หน้ี” ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณชิ ย๑ มาตรา 233-236

2. หลักเกณฑ์การใช้สิทธเิ รยี กรอ้ งของลกู หน้ี
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 บัญญัติวํา “ถ๎าลูกหน้ีขัดขืน

ไมํยอมใช๎สิทธิเรียกร๎องหรือเพิกเฉยเสียไมํใช๎สิทธิเรียกร๎อง เป็นเหตุให๎เจ๎าหน้ีต๎องเสีย
ประโยชน๑ไซร๎ ทํานวําเจา๎ หน้จี ะใช๎สทิ ธิเรียกร๎องน้ันในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพ่ือป้องกัน
สิทธิของตนในมูลหนี้นน้ั กไ็ ด๎ เว๎นแตํในข๎อที่เป็นการของลูกหนสี้ ํวนตัวโดยแท๎”

หลกั เกณฑก์ ารใชส้ ทิ ธเิ รยี กร้องของลกู หน้ี มีดังน้ี
1. ลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง
หมายความวํา หากลูกหน้ีขัดขืนไมํยอมใช๎สิทธิเรียกร๎องหรือเพิกเฉยเสียไมํใช๎สิทธิเรียกร๎อง
ของตน ท่ีมีตํอบุคคลภายนอก (ลูกหน้ีของลูกหนี้) เจ๎าหน้ียํอมจะมีสิทธิใช๎สิทธิเรียกร๎องของ
ลูกหนไ้ี ด๎ แตสํ ทิ ธิเรยี กร๎องของลูกหนี้ดงั กลาํ วนีต้ ๎องไดถ๎ ึงกาํ หนดชําระแล๎ว โดยกฎหมายไมํได๎
กําหนดวําสิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้นั้นต๎องเกิดจากมูลหนี้อะไร จึงหมายความถึงมูลหน้ีทุก
ประเภท เชนํ สญั ญา ละเมิด ฯลฯ และวัตถุแหํงหน้ีของสิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ีน้ันอาจเป็น
การกระทําการ เชํน ลูกหน้ีจ๎างบุคคลภายนอกมากํอสร๎างบ๎าน โดยลูกหน้ีได๎ชําระคําจ๎างไป
หมด แตบํ คุ คลนน้ั ท้ิงงาน เปน็ ตน๎ หรือการงดเวน๎ กระทาํ การ เชํน ลูกหน้ีกับบุคลภายนอกทํา
สัญญากันวําบุคคลภายนอกจะไมํกํอสร๎างอาคารสูงปิดบังที่ดินของลูกหนี้ อันจะทําให๎ราคา
ท่ีดนิ ของลูกหน้ีลดต่ําลง แตํบุคคลภายนอกผิดสัญญาน้ัน เป็นต๎น หรือการสํงมอบทรัพย๑สิน
เชํน ลกู หน้ตี กลงซือ้ สินค๎าจากบคุ คลภายนอก โดยลกู หนี้ได๎ชาํ ระราคาไปหมด แตํบุคคลนั้นไมํ
สํงมอบสนิ คา๎ ให๎ลูกหนี้ เปน็ ตน๎

149

สําหรับบทบัญญัติท่ีวํา “ลูกหนี้ขัดขืนไมํยอมใช๎สิทธิเรียกร๎อง” และ “ลูกหนี้
เพกิ เฉยเสียไมใํ ช๎สิทธิเรยี กร๎อง” นักวิชาการตาํ ง ๆ ได๎แสดงความคดิ เหน็ ไว๎ดังนี้

ศาสตราจารย๑ไพโรจน๑ วายุภาพ มีความเห็นวํา การขัดขืนเป็นกรณีท่ีเจ๎าหน้ีได๎
ขอร๎องให๎ลูกหนี้ฟ้องแล๎ว แตํลูกหน้ีปฏิเสธ สํวนการเพิกเฉยคือมีเหตุฟ้องร๎องได๎แตํไมํ
ดาํ เนินการ62

ศาสตราจารย๑โสภณ รัตนากร มีความเห็นวํา การขัดขืนหมายถึงการปฏิเสธไมํ
ยอมใช๎สิทธิเมื่อเจ๎าหนี้ได๎ขอร๎อง หรือลูกหน้ีแสดงออกวําจะไมํยอมใช๎สิทธิ แม๎เจ๎าหนี้จะ
ขอร๎องกต็ าม ซง่ึ ถือเป็นการจงใจไมํใช๎สิทธิ สํวนการเพิกเฉยเป็นการละเลย ซ่ึงอาจเป็นเร่ือง
การไมํเอาใจใสํ ปลํอยให๎สิทธิเรียกร๎องขาดอายุความ และรวมไปถึงกรณีที่ลูกหน้ีใช๎สิทธิ
เรียกรอ๎ งโดยไมจํ ริงจงั หรอื ฟอ้ งคดแี ล๎วทง้ิ ฟ้องหรือไมํดําเนนิ คดีตามสมควร หรือเมอื่ แพ๎คดีใน
ศาลลํางแลว๎ ไมอํ ุทธรณ๑หรือฎกี าตํอไปท้ังท่ีมีเหตอุ นั สมควรชนะคดไี ด๎

สาํ หรบั ผู๎เขียนนัน้ ผู๎เขียนมคี วามคิดเหน็ วาํ บทบัญญัติที่วํา “ลูกหน้ีขัดขืนไมํยอม
ใชส๎ ิทธเิ รยี กร๎อง” หมายความวาํ เจา๎ หนีไ้ ดเ๎ ตอื นใหล๎ ูกหนี้ใช๎สทิ ธิเรยี กร๎องแล๎ว แตํลูกหนี้ไมํใช๎
สทิ ธิเรียกร๎องน้ัน โดยลกู หนี้อาจปฏิเสธโดยชดั แจง๎ ท่ีจะไมํใช๎สิทธิเรียกร๎อง หรือลูกหน้ีอาจจะ
น่ิงเฉยไมํใช๎สิทธิเรียกร๎องก็ได๎ สํวนบทบัญญัติที่วํา “ลูกหน้ีเพิกเฉยเสียไมํใช๎สิทธิเรียกร๎อง”
หมายความวํา เจ๎าหน้มี ิไดเ๎ ตือนให๎ลูกหนี้ใช๎สิทธิเรียกร๎อง แตํเป็นกรณีที่ลูกหน้ีละเลย น่ิงเฉย
ไมสํ นใจทจี่ ะใชส๎ ทิ ธิเรยี กร๎อง

2. เปน็ เหตุให้เจา้ หน้ีตอ้ งเสยี ประโยชน์ ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
233 เป็นมาตรการทางกฎหมายท่กี ําหนดขึ้นมา เพอื่ ค๎มุ ครองเจา๎ หนใ้ี หม๎ โี อกาสได๎รับชําระหนี้
ตามสิทธิของตน กลําวคอื ในกรณที ่ีลูกหนี้ขดั ขนื ไมํยอมใช๎สิทธเิ รียกร๎องหรือเพิกเฉยเสียไมํใช๎
สิทธิเรียกร๎อง แล๎วทําให๎เจ๎าหน้ีต๎องเสียประโยชน๑ คือ ทําให๎ทรัพย๑สินของลูกหนี้มีไมํเพียง
พอท่ีจะชําระหนี้ให๎แกํเจ๎าหน้ี เจ๎าหน้ีจึงจะมีสิทธิใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ี ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 233 ได๎ แตํหากการท่ีลูกหนี้ขัดขืนไมํยอมใช๎สิทธิเรียกร๎อง
หรอื เพิกเฉยเสียไมํใช๎สิทธเิ รยี กร๎องนน้ั ไมไํ ด๎ทําให๎เจา๎ หน้ีต๎องเสียประโยชน๑ คือ ลูกหน้ีก็ยังคง
มีทรัพย๑สินเพียงพอท่ีจะชําระหน้ีให๎แกํเจ๎าหน้ีได๎ ก็ยํอมจะเป็นสิทธิของลูกหนี้ที่ลูกหน้ีจะใช๎
สทิ ธเิ รียกรอ๎ งหรือไมํก็ได๎ และเจา๎ หน้ยี อํ มจะไมสํ ามารถใชส๎ ทิ ธเิ รยี กรอ๎ งตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 233 เนื่องจากหากเจ๎าหนี้ยังคงมีสิทธิได๎รับชําระหน้ีอยูํตามปกติ ก็
เป็นกรณีที่กฎหมายไมํจําต๎องค๎ุมครองเพ่ิมเติม คือ เจ๎าหน้ีก็ต๎องใช๎สิทธิเรียกร๎องของตนตํอ
ลูกหน้ตี ามปกติ จะใชส๎ ทิ ธเิ รียกร๎องตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 ไมไํ ด๎

62เรื่องเดยี วกัน, หนา๎ 295.

150

ตัวอย่าง นาย ก. เป็นเจ๎าหน้ีของนาย ข. จํานวน 500,000 บาท และนาย ข.
เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ค. จํานวน 250,000 บาท ถ๎าทรัพย๑สินของนาย ข. มีท้ังหมดประมาณ
250,000 บาท แล๎ว นาย ข. ขดั ขืนไมยํ อมใช๎สิทธเิ รียกรอ๎ งหรือเพิกเฉยเสียไมํใช๎สิทธิเรียกร๎อง
ตํอนาย ค. ดังน้ี นาย ก. ยํอมต๎องเสียประโยชน๑ เพราะนาย ข. มีทรัพย๑สินไมํเพียงพอที่จะ
ชําระหน้ีให๎แกํนาย ก. ได๎ นาย ก. จึงสามารถใช๎สิทธิเรียกร๎องของนาย ข. ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 ได๎ แตํถ๎าทรัพย๑สินของนาย ข. มีมากกวํา 500,000
บาท แล๎วนาย ข. ขดั ขืนไมยํ อมใช๎สทิ ธเิ รียกรอ๎ งหรอื เพกิ เฉยเสียไมํใช๎สิทธิเรียกร๎องตํอนาย ค.
ดังนี้ นาย ก. ยํอมไมํเสียประโยชน๑ เพราะนาย ข. มีทรัพย๑สินเพียงพอท่ีจะชําระหน้ีให๎แกํ
นาย ก. ได๎ นาย ก. จึงใช๎สิทธิเรียกร๎องของนาย ข. ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 233 ไมํได๎

3. สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้นั้นต้องไม่เป็นการของลูกหน้ีส่วนตัวโดยแท้
หมายความวาํ ถา๎ สิทธเิ รียกร๎องของลูกหนีน้ นั้ เป็นการของลกู หน้สี ํวนตวั โดยแท๎ กลําวคือ เป็น
สิทธิเฉพาะตัวของลูกหนี้ เจ๎าหนี้จะใช๎สิทธิเรียกร๎องแทนลูกหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 233 ไมไํ ด๎

กรณีท่ีไมํถือเป็นการของลูกหนี้สํวนตัวโดยแท๎ เชํน สิทธิในการรับมรดกของ
ลกู หน้ี เป็นตน๎

กรณถี อื เป็นการของลูกหน้สี วํ นตัวโดยแท๎ เชํน
1. สิทธใิ นการฟอ้ งหยาํ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 1516 ซึ่ง
บัญญัติวาํ “เหตุฟ้องหยาํ มีดงั ตํอไปนี้…(2) สามหี รือภรยิ าประพฤติชั่ว ไมํวําความประพฤติชั่ว
นั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไมํ ถ๎าเป็นเหตุให๎อีกฝ่ายหน่ึง (ก) ได๎รับความอับอายขายหน๎า
อยํางร๎ายแรง (ข) ได๎รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่
ประพฤติชั่วอยูํตํอไป หรือ (ค) ได๎รับความเสียหายหรือเดือดร๎อนเกินควร ในเม่ือเอาสภาพ
ฐานะและความเปน็ อยูรํ ํวมกันฉนั สามภี ริยามาคํานึงประกอบ อีกฝ่ายหน่ึงน้ันฟ้องหยําได๎...”
เชํน นายเอกทาํ การสมรสกบั นางตรี ตอํ มานางตรีได๎ประพฤตชิ ่วั กลาํ วคอื นางตรีเอาแตํเท่ียว
เตรํแหลํงโลกียผ๑ ลาญทรพั ยส๑ นิ เงนิ ทอง ซง่ึ นายเอกมสี ิทธทิ จี่ ะฟอ้ งหยํานางตรีได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 1516 (2) แตํนายเอกก็เพิกเฉยไมํยอมสิทธิดังกลําว ดังน้ี
เจ๎าหนี้ของนายเอกจะเข๎าใช๎สิทธิเรียกร๎องของนายเอก ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 233 ไมไํ ด๎ เพราะการฟ้องหยาํ เปน็ การของลูกหนีส้ ํวนตวั โดยแท๎63
2) สิทธิถอนคืนการให๎เพราะเหตุผู๎รับประพฤติเนรคุณ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 531 ซ่ึงบัญญัติวํา “อันผ๎ูให๎จะเรียกถอนคืนการให๎เพราะเหตุผู๎รับ
ประพฤตเิ นรคณุ นน้ั ทาํ นวําอาจจะเรียกได๎แตํเพียงในกรณีดังจะกลําวตํอไปนี้ (1) ถ๎าผ๎ูรับได๎

63ปราโมทย๑ จารุนลิ , เรือ่ งเดมิ , หนา๎ 127.

151

ประทษุ ร๎ายตอํ ผ๎ูใหเ๎ ป็นความผิดฐานอาญาอยาํ งร๎ายแรงตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา
หรือ (2) ถ๎าผู๎รับได๎ทําให๎ผ๎ูให๎เสียช่ือเสียง หรือหม่ินประมาทผู๎ให๎อยํางร๎ายแรง หรือ (3) ถ๎า
ผ๎ูรับได๎บอกป๓ดไมํยอมให๎ส่ิงของจําเป็นเลี้ยงชีวิตแกํผ๎ูให๎ ในเวลาท่ีผู๎ให๎ยากไร๎และผ๎ูรับยัง
สามารถจะใหไ๎ ด๎”

3) สิทธิในการเรียกคําสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอยํางอื่นอันมิใชํตัวเงิน
ซ่ึงหมายถึง คําเสียหายท่ีไมํอาจคํานวณเป็นเงินได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 446 วรรคแรก ซ่งึ บญั ญัติวํา “ในกรณีทําให๎เขาเสยี หายแกํรํางกายหรืออนามัยก็ดี ใน
กรณีทําให๎เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผ๎ูต๎องเสียหายจะเรียกร๎องเอาคําสินไหมทดแทนเพ่ือความที่
เสยี หายอยาํ งอน่ื อันมใิ ชํตวั เงินด๎วยอีกกไ็ ด๎ สทิ ธเิ รียกรอ๎ งอันนีไ้ มโํ อนกนั ได๎ และไมํตกสืบไปถึง
ทายาท เวน๎ แตสํ ทิ ธนิ นั้ จะได๎รบั สภาพกันไว๎โดยสัญญาหรอื ไดเ๎ รมิ่ ฟอ้ งคดีตามสทิ ธินนั้ แลว๎ ”
เชํน ผู๎เสียหายถูกทําละเมิดจนไมํสามารถเดินและขับถํายได๎ตามปกติ กลําวคือ กลายเป็น
ผู๎ทุพลพลภาพไปตลอดชีวิต ดังน้ี ผู๎เสียหายมีสิทธิเรียกคําสินไหมทดแทนเพ่ือการที่เสีย
ความสามารถประกอบการงาน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 444 วรรค
หนงึ่ และคําสนิ ไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายอยํางอื่นอันมิใชํตัวเงิน ตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 446 ได๎ (คาํ พิพากษาศาลฎีกาที่ 6303/2547)

4) สิทธิในการเรียกคําสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายของผู๎หญิงที่ถูกทําผิด
อาญาเป็นทุรศีลธรรม ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 446 วรรคสอง ซึ่ง
บัญญัติวํา “อน่ึง หญิงที่ต๎องเสียหายเพราะผ๎ูใดทําผิดอาญาเป็นทุรศีลธรรมแกํตน ก็ยํอมมี
สิทธิเรยี กรอ๎ งทํานองเดยี วกนั นี้”

5) สิทธิท่ีจะได๎รับคําอุปการะเล้ียงดู ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 1598/38 ซึ่งบัญญัติวํา “คําอุปการะเลี้ยงดูระหวํางสามีภริยา หรือระหวํางบิดา
มารดากับบุตรน้ัน ยํอมเรียกจากกันได๎เมื่อฝ่ายที่ควรได๎รับอุปการะ เลี้ยงดูไมํได๎รับการ
อุปการะเลี้ยงดู หรือได๎รับการอุปการะเลี้ยงดูไมํเพียงพอแกํอัตภาพ คําอุปการะเล้ียงดูนี้
ศาลอาจให๎เพียงใดหรือไมํให๎ก็ได๎ โดยคํานึงถึงความสามารถของผู๎มีหน๎าที่ต๎องให๎ฐานะของ
ผ๎ูรับและพฤติการณ๑แหํงกรณี และมาตรา 1598/41 ซึ่งบัญญัติวํา “สิทธิที่จะได๎คําอุปการะ
เลีย้ งดนู ั้น จะสละหรอื โอนมไิ ด๎ และไมอํ ยูใํ นขาํ ยแหํงการบงั คบั คดี”

6) สทิ ธเิ รียกรอ๎ งคาํ ทดแทนเกี่ยวกับสัญญาหม้ัน ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 1440 ซึง่ บญั ญัติวํา “คําทดแทนนน้ั อาจเรียกได๎ ดงั ตอํ ไปน้ี (1) ทดแทนความ
เสยี หายตํอกายหรือชื่อเสียงแหํงชายหรือหญิงน้ัน (2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการท่ี
คํหู ม้นั บดิ ามารดา หรือบุคคลผ๎ูกระทําการในฐานะเชํนบิดามารดาได๎ใช๎จํายหรือต๎องตกเป็น
ลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร (3) ทดแทนความเสียหาย
เน่อื งจากการทคี่ ํหู มั้นไดจ๎ ัดการทรัพยส๑ นิ หรือการอ่นื อนั เกยี่ วแกอํ าชพี หรอื ทางทํามาหาไดข๎ อง
ตนไปโดยสมควรด๎วยการคาดหมายวําจะได๎มีการสมรสซ่ึงบัญญัติวํา” และมาตรา 1447

152

วรรคสอง ซ่ึงบัญญัติวํา “สิทธิเรียกร๎องคําทดแทนตามหมวดน้ี นอกจากคําทดแทนตาม
มาตรา 1440 (2) ไมอํ าจโอนกันได๎และไมตํ กทอดไปถึงทายาท เว๎นแตํสิทธิน้ันจะได๎รับสภาพ
กันไวเ๎ ป็นหนงั สอื หรอื ผ๎เู สียหายได๎เร่มิ ฟอ้ งคดตี ามสทิ ธินัน้ แล๎ว”

ข้อสังเกต
1. การใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ีตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
233 เป็นกรณีท่ีเจ๎าหนี้ใช๎สิทธิในชั้นศาล แตํหากเป็นการใช๎สิทธิของเจ๎าหน้ีในช้ันบังคับคดี
ต๎องเป็นไปตามบทบัญญัติแหํงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพํง ภาคบังคับคดี ซ่ึง
กาํ หนดให๎เจา๎ หนี้ตามคาํ พิพากษามีสิทธิในการบังคับเอาเงินหรือทรัพย๑สินซ่ึงบุคคลภายนอก
ค๎างชาํ ระแกลํ ูกหนไ้ี ด๎

อยํางไรก็ดี เจ๎าหนม้ี กั เลือกที่จะใช๎สทิ ธิเรียกร๎องของลูกหน้ีตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 มากกวําการใช๎สิทธิในชั้นบังคับคดี ตามประมวลกฎหมาย
วธิ ีพจิ ารณาความแพํง ภาคบังคับคดี เพราะการรอไปใช๎สิทธิในชั้นบังคับคดีอาจไมํทันทํวงที
เชนํ หนี้ระหวาํ งลูกหนีแ้ ละบคุ คลภายนอกกําลงั จะขาดอายุความ เปน็ ต๎น

2. เจ๎าหน้ีสามารถใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 233 ได๎ โดยไมํจาํ เปน็ ต๎องไดร๎ ับความยินยอมจากลกู หนี้กอํ น

3. แม๎มูลหนขี้ องลูกหนี้กับบุคคลภายนอก (ลูกหนี้ของลูกหนี้) จะเกิดข้ึนกํอนมูลหนี้
ของเจ๎าหนีก้ บั ลูกหนี้ เจา๎ หน้ีก็สามารถใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณชิ ย๑ มาตรา 233 ได๎

4. ถ๎าลูกหนี้ได๎ย่ืนฟ้องลูกหน้ีของตนแล๎ว แตํตํอมาลูกหน้ีเพิกเฉยตํอกระบวน
พิจารณาในชั้นศาล เจ๎าหน้ีจะใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 233 โดยการขอเข๎าเป็นโจทก๑รํวมก็ได๎ หรือถ๎าลูกหนี้ไมํใช๎สิทธิอุทธรณ๑ฎีกา
เจ๎าหนี้จะใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233
โดยการใช๎สิทธอิ ทุ ธรณ๑ฎกี าเองก็ได๎

5. ผลของการใชส๎ ทิ ธเิ รียกร๎องของลูกหนี้ คือ เม่ือเจ๎าหน้ีใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้
ฟ้องคดีแล๎ว หากศาลได๎มีคําพิพากษาให๎เจ๎าหนี้ชนะคดี บุคคลภายนอกซ่ึงเป็นลูกหน้ีของ
ลูกหนี้ยํอมตกเป็นลูกหน้ีตามคําพิพากษาที่จะต๎องชําระหนี้ให๎แกํเจ๎าหน้ีผ๎ูเป็นโจทก๑ หาก
ลกู หนต้ี ามคาํ พพิ ากษาไมชํ ําระหนี้ เจ๎าหนกี้ ็สามารถยดึ ทรัพย๑ของลูกหน้ีตามคําพิพากษาออก
ขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนไ้ี ด๎โดยตรง64

64ไพโรจน๑ วายภุ าพ, เรอ่ื งเดิม, หน๎า 306 - 307.

153

6. ป๓ญหาวําหนี้ของเจ๎าหน้ีต๎องถึงกําหนดชําระกํอนหรือไมํ เจ๎าหน้ีจึงจะใช๎สิทธิ
เรยี กรอ๎ งของลกู หนต้ี ามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 ได๎ กรณีมีความเห็น
แตกตาํ งกนั ออกเป็น 2 ฝ่าย คือ

ฝ่ายแรก รองศาสตราจารย๑สุนทร มณีสวัสดิ์ และรองศาสตราจารย๑ปราโมทย๑
จารุนิล มีความเห็นวํา แม๎หนี้ของเจ๎าหน้ีกับลูกหน้ียังไมํถึงกําหนดชําระ เจ๎าหน้ีก็สามารถใช๎
สิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ีตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 ได๎ เพรา ะ
มาตรการของประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 น้ี เป็นเพียงการควบคุมกอง
ทรัพยส๑ นิ ของลูกหน้ีไว๎ไมํให๎สูญไป เพราะหากรอให๎หน้ีของเจ๎าหนี้ถึงกําหนดชําระก็อาจไมํมี
ทรพั ยส๑ นิ พอให๎บังคบั ชาํ ระหนไ้ี ด๎ และประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 ก็ไมํได๎
กําหนดไว๎วาํ หน้ีของเจ๎าหน้ีตอ๎ งถึงกาํ หนดชาํ ระแลว๎ 65

ฝา่ ยท่สี อง ศาสตราจารย๑พิเศษไพโรจน๑ วายุภาพ มีความเห็นวํา หนี้ของเจ๎าหน้ี
กบั ลูกหนตี้ อ๎ งถึงกาํ หนดชาํ ระแล๎ว เจา๎ หน้ีจงึ สามารถใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ีตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 ได๎ เพราะหากเจ๎าหนี้สามารถใช๎สิทธิเรียกร๎องของ
ลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 233 ได๎ จะทําให๎เจ๎าหน้ีได๎รับชําระหน้ี
กํอนท่ีมีสิทธิได๎รับ และเจ๎าหน้ีก็ยังไมํอยูํในฐานะเป็นผู๎ถูกโต๎แย๎งสิทธิที่จะยื่นฟ้องได๎ ตาม
ประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพํง มาตรา 5566

สําหรับผู๎เขียน ผเ๎ู ขียนมคี วามเห็นวาํ เมื่อเจา๎ หน้ีซึ่งเปน็ โจทก๑ใชส๎ ทิ ธิเรียกร๎องของ
ลูกหนี้ฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 แล๎ว หากศาลได๎มี
คําพิพากษาให๎โจทก๑ชนะคดี ลูกหนี้ของลูกหนี้ซึ่งเป็นจําเลยยํอมต๎องชําระหน้ีให๎แกํโจทก๑
หนข้ี องเจา๎ หน้กี ับลกู หนีต้ อ๎ งถึงกําหนดชาํ ระแล๎ว เจา๎ หน้ีจงึ สามารถใชส๎ ทิ ธิเรียกรอ๎ งของลูกหนี้
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 233 ได๎ เพราะถ๎าหนี้ของเจ๎าหน้ีกับลูกหน้ียัง
ไมํถึงกําหนดชําระ เจ๎าหน้ีก็ยํอมไมํมีสิทธิได๎รับชําระหน้ีจากลูกหนี้ เจ๎าหน้ีจึงไมํมีสิทธิได๎รับ
ชาํ ระหน้ีจากลกู หน้ีของลกู หนี้

คาพพิ ากษาศาลฎีกาทเ่ี ก่ียวข้อง
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 809/2518 ผู๎ถือห๎ุนค๎างชําระคําห๎ุนอยูํ เพราะกรรมการ
บริษัทไมเํ รยี กเก็บ โจทกซ๑ งึ่ เป็นเจา๎ หนี้ของบริษทั มสี ทิ ธิเรียกให๎ผถู๎ ือห๎ุนชาํ ระคาํ ห๎ุนได๎
คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 1559/2527 จําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 ทําสัญญากํอสร๎าง
ตึกแถวกนั ซึง่ จาํ เลยที่ 1 ได๎บอกเลิกสัญญากับจําเลยท่ี 2 เพราะจําเลยท่ี 2 ทิ้งงานไมํไปทํา
การกํอสร๎างให๎เสร็จ จําเลยที่ 2 จึงไมํมีสิทธิเรียกร๎องให๎จําเลยท่ี 1 ชําระหนี้แกํตน โจทก๑ใน

65สุนทร มณีสวัสดิ์, เรือ่ งเดมิ , หนา๎ 224., ปราโมทย๑ จารนุ ิล, เรอื่ งเดมิ , หนา๎ 128.
66ไพโรจน๑ วายุภาพ, เร่อื งเดิม, หน๎า 296.

154

ฐานะเจา๎ หนี้ของจําเลยที่ 2 จึงไมํอาจใช๎สิทธิเรียกร๎องแทนจําเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 233 ได๎

คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 269/2534 บริษัทเป็นลูกหนี้ของโจทก๑ และกรรมการของ
บริษัทไมเํ รยี กร๎องใหผ๎ ๎ูถอื หน๎ุ ของบรษิ ัทชาํ ระคาํ ห๎ุนทค่ี า๎ งชาํ ระ เพือ่ นําเงนิ มาชําระหน้ีให๎โจทก๑
โจทกต๑ ๎องเสยี ประโยชน๑ โจทกจ๑ งึ มีอํานาจใช๎สิทธิเรียกร๎องของบริษัทเรียกร๎องให๎ผ๎ูถือห๎ุนของ
บริษัทสํงชาํ ระคําหุ๎นท่คี า๎ งชาํ ระได๎

คาพิพากษาศาลฎกี าท่ี 5400/2536 การที่เจา๎ หนี้จะใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้นั้น
นอกจากลูกหนี้จะต๎องขัดขืนหรือเพิกเฉยไมํใช๎สิทธิเรียกร๎องแล๎ว จะต๎องเป็นกรณีที่ทําให๎
เจา๎ หนเ้ี สยี ประโยชนด๑ ว๎ ย กลาํ วคือ ทรพั ยส๑ นิ ของลูกหน้ีต๎องไมํพอจะชําระหน้ีแกํเจ๎าหน้ี หาก
ทรัพยส๑ ินของลกู หน้ีมีพอท่จี ะชาํ ระหน้ีแกํเจา๎ หนี้แล๎ว การที่ลูกหนี้ไมใํ ชส๎ ิทธเิ รียกร๎อง ก็ยํอมไมํ
ทาํ ใหเ๎ จา๎ หนีเ้ สียประโยชน๑ การทโี่ จทกเ๑ ปน็ เจา๎ หนี้ของจําเลยที่ 2 โดยทรัพย๑สินของจําเลยท่ี 2
สามารถชาํ ระหนแ้ี กโํ จทก๑ไดค๎ รบถ๎วนนนั้ แม๎จําเลยท่ี 1 เป็นลูกหน้ีของจําเลยท่ี 2 และจําเลย
ที่ 2 ขัดขืนหรือเพิกเฉยไมํใช๎สิทธิเรียกร๎อง ก็ไมํทําให๎โจทก๑ได๎รับความเสียหาย โจทก๑จึงไมํ
สามารถใชส๎ ิทธิเรียกรอ๎ ง ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 มาฟ้องจําเลย
ที่ 1 ได๎

3. การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ต้องเป็นการใช้สิทธิทางศาล และต้องขอหมายเรียก
ลกู หนม้ี าในคดนี นั้ ดว้ ย

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 234 บัญญัติวํา “เจ๎าหน้ีผู๎ใช๎สิทธิ
เรยี กรอ๎ งของลกู หน้ีนน้ั จะตอ๎ งขอหมายเรียกลกู หน้ีมาในคดีนน้ั ด๎วย”

ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 234 อธบิ ายได๎ดงั นี้
1. การใชส๎ ทิ ธิเรียกร๎องของลูกหน้ีต๎องเป็นการใช๎สิทธิทางศาล กลําวคือ การใช๎สิทธิ
เรียกรอ๎ งของลกู หนต้ี ามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 233 น้ัน เจ๎าหน้ีจะต๎องใช๎
สิทธิฟ้องคดีตํอศาลแทนลูกหนี้เทํานั้น เจ๎าหน้ีจะใช๎สิทธิแทนลูกหน้ีโดยการทวงถามให๎
บุคคลภายนอก (ลูกหน้ีของลูกหน้)ี ชาํ ระหนใ้ี ห๎แกตํ นไมํได๎
2. เจ๎าหนี้ผ๎ูใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้น้ันจะต๎องขอหมายเรียกลูกหนี้มาในคดีนั้น
ด๎วย เน่ืองจากการใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 233 นนั้ เจ๎าหน้ีได๎ใช๎สิทธิแทนลูกหนี้ โดยนิติสัมพันธ๑ที่แท๎จริงของสิทธิเรียกร๎องน้ัน
เปน็ เรอื่ งระหวํางลูกหน้ีกับบคุ คลภายนอก (ลูกหนี้ของลูกหน้ี) ดังน้ัน กฎหมายจึงกําหนดให๎
เจ๎าหน้ีผ๎ูใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้นั้น จะต๎องขอหมายเรียกลูกหน้ีมาในคดีน้ันด๎วย ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 234 เพ่ือให๎ลูกหน้ีได๎มีสิทธินําเสนอ
พยานหลกั ฐานตําง ๆ ตํอศาล และเพ่ือให๎ผลของคดีน้นั ผกู พันลกู หนี้

155

ท้ังน้ี หากเจ๎าหนี้มิได๎ขอหมายเรียกลูกหน้ีมาในคดี ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 234 ก็ถือวําเจ๎าหน้ีฟ้องเรียกให๎ลูกหน้ีของลูกหน้ีชําระหน้ีให๎แกํเจ๎าหน้ี
โดยตรง ซ่งึ เจา๎ หน้ีไมมํ อี ํานาจท่ีจะฟ้องลูกหน้ีของลูกหน้ีได๎ เพราะลูกหน้ีของลูกหน้ีมิได๎เป็น
ลูกหนขี้ องเจา๎ หน้ี ศาลจงึ ตอ๎ งพิพากษายกฟ้อง

ข้อสงั เกต ถ๎าประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 234 มิได๎กําหนดให๎เจ๎าหน้ี
ผใู๎ ช๎สิทธิเรยี กรอ๎ งของลูกหนีน้ นั้ จะต๎องขอหมายเรียกลูกหนมี้ าในคดนี ้ันด๎วย ผลของคดีนั้นก็
จะไมํผกู พันลกู หน้ี ซึง่ หากการใชส๎ ทิ ธิเรียกรอ๎ งของลูกหน้ีนั้น เจ๎าหนี้เป็นฝ่ายแพ๎คดี ลูกหนี้ก็
อาจไปฟอ้ งคดตี ํอบคุ คลภายนอกใหมํอกี ครง้ั ซึง่ ไมํยุติธรรมตํอลกู หนที้ ่ีจะตอ๎ งส๎คู ดถี งึ สองคร้ัง

คาพพิ ากษาศาลฎกี าทีเ่ ก่ียวข้อง
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 736/2518 ผ๎ูให๎เชําเป็นผู๎มีกรรมสิทธิ์ในอาคาร การที่
จําเลยได๎เข๎าอยํูในอาคารนั้นโดยไมํมีสิทธิที่ เป็นการละเมิดตํอผ๎ูให๎เชํา ผ๎ูให๎เชํามีสิทธิฟ้อง
ขับไลํจําเลยได๎ เม่ือผ๎ูให๎เชําไมํได๎ฟ้องขับไลํจําเลย ทําให๎โจทก๑ผ๎ูเชําอาคารน้ันได๎รับความ
เสยี หายเพราะเข๎าอยใํู นอาคารพิพาทไมํได๎ โจทก๑มีสิทธิท่ีจะฟ้องขับไลํจําเลยออกจากอาคาร
นั้น และขอให๎ศาลเรียกผู๎ให๎เชําเข๎ามาเป็นโจทก๑รํวมกับโจทก๑ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 477 ประกอบด๎วยมาตรา 549 (ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 233 ประกอบด๎วยมาตรา 234)
คาพิพากษาศาลฎกี าที่ 2564/2546 จําเลยเปน็ ลกู หนี้ของบริษัท ท. และบริษัท ท.
เป็นลกู หนี้ของโจทก๑ หากบริษัท ท. ขัดขืนไมํยอมใช๎สิทธิเรียกร๎องหรือเพิกเฉยเสียไมํใช๎สิทธิ
เรยี กรอ๎ งตอํ จาํ เลย เป็นเหตุให๎โจทก๑ต๎องเสียประโยชน๑ โจทก๑ยํอมมีสิทธิที่จะใช๎สิทธิเรียกร๎อง
น้ันในนามของตนแทนบริษัท ท. เพ่ือป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 233 แตํโจทก๑จะต๎องขอหมายเรียกบริษัท ท. เข๎ามาในคดี
ด๎วย ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 234 เม่ือโจทก๑มิได๎ขอหมายเรียก
บรษิ ทั ท. ซ่ึงเปน็ ลูกหนี้โดยตรงของโจทกเ๑ ขา๎ มาในคดี จึงตอ๎ งถอื วําเปน็ การฟอ้ งเรยี กใหจ๎ ําเลย
ชําระหน้ีให๎แกํโจทก๑เองโดยตรง ซึ่งโจทก๑ไมํมีอํานาจท่ีจะฟ้องจําเลยได๎ เน่ืองจากจําเลยไมํมี
หนา๎ ทท่ี างนติ ิกรรมหรอื ตามกฎหมายท่ีจะต๎องชําระหน้ีให๎แกโํ จทก๑

4. กรณีเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องต่อลูกหน้ีน้อยกว่าลูกหน้ีมีสิทธิเรียกร้องต่อจาเลย (ลูกหน้ี
ของลกู หน้ี)

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 235 บัญญัติวํา “เจ๎าหน้ีจะใช๎สิทธิ
เรยี กรอ๎ งของลกู หน้ี เรยี กเงินเต็มจํานวนท่ียงั ค๎างชําระแกํลกู หนี้ โดยไมํตอ๎ งคาํ นึงถงึ จํานวนที่
ค๎างชําระแกตํ นกไ็ ด๎ ถา๎ จาํ เลยยอมใชเ๎ งนิ เพียงเทําจํานวนที่ลูกหนี้เดิมค๎างชําระแกํเจ๎าหนี้นั้น
คดีก็เป็นเสร็จกันไป แตํถ๎าลูกหนี้เดิมได๎เข๎าชื่อ เป็นโจทก๑ด๎วย ลูกหนี้เดิมจะขอให๎
ศาลพิจารณาพิพากษาตอํ ไปในสํวนจํานวนเงินท่ยี งั เหลอื ตดิ คา๎ งอยกูํ ไ็ ด๎

156

แตํอยํางไรก็ดี ทํานมิให๎เจ๎าหนี้ได๎รับมากไปกวําจํานวนที่ค๎างชําระแกํตนน้ันเลย”
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 235 วรรคแรก อธิบายไดด๎ งั น้ี
1. กรณีเจ๎าหน้ีมีสิทธิเรียกร๎องตํอลูกหน้ีน๎อยกวําลูกหน้ีมีสิทธิเรียกร๎องตํอจําเลย
(ลกู หนี้ของลูกหน้ี) เจ๎าหนี้จะใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้ เรียกเงินเต็มจํานวนที่ยังค๎างชําระ
แกํลูกหน้ี โดยไมํต๎องคํานึงถึงจํานวนท่ีค๎างชําระแกํตนก็ได๎ เพราะการใช๎สิทธิเรียกร๎องของ
ลูกหน้ีตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 น้ัน เป็นกรณีที่เจ๎าหน้ีใช๎สิทธิ
แทนลกู หนี้

ตัวอย่าง นาย ก. เป็นเจ๎าหน้ีของนาย ข. จํานวน 250,000 บาท และนาย ข.
เปน็ เจ๎าหน้ขี องนาย ค. จาํ นวน 500,000 บาท นาย ก. จะใชส๎ ทิ ธเิ รียกร๎องของนาย ข. เรียก
ใหน๎ าย ค. ชําระหนีจ้ ํานวน 500,000 บาท ก็ได๎

2. กรณีเจ๎าหนี้มีสิทธิเรียกร๎องตํอลูกหน้ีน๎อยกวําลูกหน้ีมีสิทธิเรียกร๎องตํอจําเลย
(ลกู หน้ขี องลูกหน้ี) และเจา๎ หนใ้ี ช๎สทิ ธิเรยี กร๎องของลกู หน้ี เรียกเงินเต็มจํานวนที่ยังค๎างชําระ
แกลํ ูกหนี้ ถา๎ จาํ เลยยอมใช๎เงนิ เพียงเทาํ จํานวนทล่ี ูกหน้เี ดมิ ค๎างชาํ ระแกํเจา๎ หนี้น้นั แล๎วลูกหนี้
เดิมที่ได๎เข๎าชื่อเป็นโจทก๑ด๎วยมิได๎ขอให๎ศาลพิจารณาพิพากษาตํอไปในสํวนจํานวนเงินที่ยัง
เหลือติดค๎างอยํู คดีก็เป็นเสร็จกันไป เพราะการใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 นั้น เป็นกรณีท่ีเจ๎าหน้ีใช๎สิทธิแทนลูกหน้ีเพ่ือป้องกัน
สิทธิของเจ๎าหน้ีเอง เมื่อจําเลยยอมใช๎เงินเพียงเทําจํานวนที่ลูกหน้ีเดิมค๎างชําระแกํเจ๎าหนี้
แลว๎ เจ๎าหนี้ก็ยอํ มไมเํ สียประโยชนแ๑ ล๎ว ดังนนั้ คดกี เ็ ปน็ เสร็จกนั ไป

ตัวอย่าง นาย ก. เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ข. จํานวน 250,000 บาท และนาย ข.
เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ค. จํานวน 500,000 บาท และนาย ก. ใช๎สิทธิเรียกร๎องของนาย ข.
เรียกให๎นาย ค. ชําระหนี้จํานวน 500,000 บาท ถ๎านาย ค. ยอมใช๎เงินเพียงเทําจํานวนที่
นาย ข. ค๎างชําระแกํนาย ก. คือ จํานวน 250,000 บาท แล๎วนาย ข. ที่ได๎เข๎าช่ือเป็นโจทก๑
ดว๎ ยมไิ ด๎ขอให๎ศาลพิจารณาพิพากษาตํอไปในสํวนจํานวนเงินท่ียังเหลือติดค๎างอยูํ คดีก็เป็น
เสร็จกนั ไป

3. กรณีเจ๎าหนี้มีสิทธิเรียกร๎องตํอลูกหนี้น๎อยกวําลูกหน้ีมีสิทธิเรียกร๎องตํอจําเลย
(ลูกหน้ขี องลกู หน้ี) และเจ๎าหนใ้ี ช๎สทิ ธิเรยี กรอ๎ งของลูกหน้ี เรยี กเงินเต็มจํานวนท่ียังค๎างชําระ
แกํลูกหน้ี ถ๎าจําเลยยอมใช๎เงินเพียงเทําจํานวนท่ีลูกหนี้เดิมค๎างชําระแกํเจ๎าหน้ีนั้น แตํถ๎า
ลูกหนี้เดิมได๎เข๎าชื่อเป็นโจทก๑ด๎วย ลูกหนี้เดิมจะขอให๎ศาลพิจารณาพิพากษาตํอไปในสํวน
จํานวนเงินที่ยังเหลือติดค๎างอยํู เพื่อใช๎สิทธิเรียกร๎องให๎เสร็จไปในคราวเดียวเลย ศาลก็ต๎อง
พิจารณาพพิ ากษาตํอไปในสํวนจํานวนเงินที่ยังเหลือตดิ ค๎างอยํูนนั้ ดว๎ ย

ตัวอย่าง นาย ก. เป็นเจ๎าหน้ีของนาย ข. จํานวน 250,000 บาท และนาย ข.
เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ค. จํานวน 500,000 บาท และนาย ก. ใช๎สิทธิเรียกร๎องของนาย ข.
เรียกให๎นาย ค. ชําระหน้ีจํานวน 500,000 บาท ถ๎านาย ค. ยอมใช๎เงินเพียงเทําจํานวนท่ี

157

นาย ข. ค๎างชําระแกํนาย ก. คือ จํานวน 250,000 บาท แตํนาย ข. ท่ีได๎เข๎าช่ือเป็นโจทก๑
ดว๎ ยจะขอใหศ๎ าลพิจารณาพพิ ากษาตํอไปในสวํ นจํานวนเงนิ ท่ียงั เหลอื ติดคา๎ งอยํูอีก 250,000
บาท ศาลกต็ ๎องพิจารณาพพิ ากษาตอํ ไปในสํวนจํานวนเงิน 250,000 บาท นั้น

สํวนประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 235 วรรคสอง นั้น หมายความวํา
ในกรณีที่เจ๎าหนี้มีสิทธิเรียกร๎องตํอลูกหนี้น๎อยกวําลูกหนี้มีสิทธิเรียกร๎องตํอบุคคลภายนอก
แม๎เจา๎ หนีจ้ ะสามารถใชส๎ ิทธิเรยี กรอ๎ งของลกู หน้ี เรียกเงนิ เต็มจํานวนท่ียังค๎างชําระแกํลูกหน้ี
โดยไมํตอ๎ งคาํ นงึ ถึงจํานวนทีค่ า๎ งชําระแกตํ นกต็ าม แตํเจ๎าหนก้ี ็ไมํมีสิทธิได๎รับชําระหน้ีมากไป
กวาํ จาํ นวนทค่ี า๎ งชาํ ระแกตํ น

ตัวอย่าง นาย ก. เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ข. จํานวน 250,000 บาท และนาย ข. เป็น
เจ๎าหนขี้ องนาย ค. จาํ นวน 500,000 บาท นาย ก. จะใช๎สิทธิเรียกร๎องของนาย ข. เรียกให๎
นาย ค. ชาํ ระหนี้จาํ นวน 500,000 บาท ก็ได๎ แตนํ าย ก. ก็มีสิทธิได๎รับชําระหน้ีเพียงจํานวน
250,000 บาท เทาํ นนั้

ข้อสังเกต ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 235 มิได๎ห๎ามเจ๎าหนี้เรียก
ชําระหนี้จากจําเลย (ลกู หนขี้ องลกู หนี้) แตํบางสวํ นหรอื ไมเํ ตม็ จาํ นวน67 ดงั นัน้ กรณีเจ๎าหน้ีมี
สิทธิเรียกร๎องตํอลูกหน้ีน๎อยกวําลูกหน้ีมีสิทธิเรียกร๎องตํอจําเลย เจ๎าหนี้จะใช๎สิทธิเรียกร๎อง
ของลูกหนี้ เรียกชําระหนี้จากจําเลยเต็มจํานวนที่จําเลยค๎างชําระแกํลูกหน้ี โดยไมํต๎อง
คํานงึ ถึงจํานวนที่ลกู หน้ีคา๎ งชําระแกํตน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 235
ก็ได๎ หรือเจ๎าหน้ีจะใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้ เรียกชําระหน้ีจากจําเลยเพียงเทําจํานวนที่
ลูกหน้ีค๎างชําระแกํตนก็ได๎

5. การยกขอ้ ต่อสูข้ องจาเลย (ลกู หน้ขี องลกู หนี)้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 236 บัญญัติวํา “จําเลยมีข๎อตํอส๎ู

ลกู หนเ้ี ดมิ อยอํู ยํางใด ๆ ทาํ นวําจะยกขน้ึ ตํอส๎เู จ๎าหนี้ไดท๎ ั้งนนั้ เวน๎ แตํข๎อตํอส๎ูซึ่งเกิดข้ึนเม่ือยื่น
ฟ้องแล๎ว”

เน่ืองจากการใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 233 เป็นกรณีที่เจ๎าหนี้ใช๎สิทธิแทนลูกหนี้ ดังน้ัน ถ๎าจําเลย (ลูกหนี้ของลูกหนี้) มี
ขอ๎ ตอํ สตู๎ อํ ลูกหนอ้ี ยํางใด กช็ อบที่จะยกข้นึ เปน็ ขอ๎ ตอํ สเู๎ จา๎ หนี้ไดท๎ ้งั หมด เสมือนหน่ึงวําลูกหน้ี
เปน็ ผูฟ๎ ้องจําเลย (ลูกหนข้ี องลกู หน้ี) เอง

สําหรับข๎อตํอส๎ูที่จําเลย (ลูกหน้ีของลูกหน้ี) สามารถยกขึ้นตํอส๎ูลูกหน้ีได๎ เชํน
สญั ญาตกเป็นโมฆะ ได๎มีการชําระหน้ีไปแล๎วทั้งหมดหรือบางสํวน ได๎มีการปลดหน้ี ได๎มีการ
หกั กลบลบหนี้ เป็นต๎น

67เสนยี ๑ ปราโมช (ปรบั ปรงุ แก๎ไขโดยมุนนิ ทร๑ พงศาปาน), เร่อื งเดิม, หน๎า 686 -687.

158

ตัวอย่าง นาย ก. เปน็ เจา๎ หน้ขี องนาย ข. และนาย ข. เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ค. ตํอมา
นาย ค. ได๎มีการชําระหน้ีให๎นาย ข. ไปแล๎วท้ังหมด ถ๎านาย ก. ใช๎สิทธิเรียกร๎องของนาย ข.
เรียกใหน๎ าย ค. ชําระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 233 นาย ค. มีสิทธิ
ท่ีจะยกข๎อตํอสู๎วําตนได๎มีการชําระหนี้ให๎นาย ข. ไปแล๎วทั้งหมด ข้ึนตํอสู๎นาย ก. ได๎ ตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 236

ขอ้ สงั เกต
1. สาํ หรับการยกข๎อตํอส๎ูของจําเลย (ลูกหน้ีของลูกหน้ี) ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 236 น้นั อาจเปน็ ข๎อตอํ สู๎ทีว่ าํ หนรี้ ะงบั แล๎วทั้งหมดหรอื บางสวํ นก็ได๎
เชํน ได๎มีการชําระหน้ีไปแล๎วท้ังหมดหรือบางสํวน หรือได๎มีการปลดหน้ีให๎ทั้งหมดหรือ
บางสวํ น เปน็ ต๎น
2. ถ๎าจําเลย (ลูกหน้ีของลูกหนี้) มีข๎อตํอส๎ูตํอลูกหน้ี วําจําเลยไมํต๎องชําระหนี้ให๎
ลกู หนี้ จําเลยมสี ทิ ธิทจ่ี ะยกข๎อตอํ สู๎นั้นข้ึนตํอส๎ูโจทก๑ (เจ๎าหนี้) ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 236 และถ๎าลูกหนี้มีข๎อตํอสู๎ตํอโจทก๑ วําลูกหน้ีไมํต๎องชําระหน้ีให๎โจทก๑
เพราะโจทก๑มิใชํเจ๎าหน้ีของลูกหน้ี จําเลยก็มีสิทธิท่ีจะยกข๎อตํอส๎ูนั้นขึ้นตํอสู๎โจทก๑ได๎
เชํนเดียวกัน เพราะถ๎าโจทก๑มิใชํเจ๎าหน้ีของลูกหน้ีแล๎ว โจทก๑ก็ยํอมจะใช๎สิทธิเรียกร๎องของ
ลูกหนม้ี าเรียกให๎จําเลยชําระหนแี้ กํตนไมไํ ด๎
ตัวอย่างที่ 1 นาย ก. เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ข. และนาย ข. เป็นเจ๎าหน้ีของนาย ค.
ตํอมานาย ข. ปลดหนใ้ี ห๎นาย ค. แลว๎ ถ๎านาย ก. ใช๎สิทธิเรียกร๎องของนาย ข. เรียกให๎นาย ค.
ชาํ ระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 233 นาย ค. มีสิทธิท่ีจะยกข๎อตํอส๎ู
วาํ ตนไดร๎ บั การปลดหนจี้ ากนาย ข. แล๎ว ข้ึนตํอสู๎นาย ก. ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 236
ตัวอย่างที่ 2 นาย ก. เป็นเจ๎าหน้ีของนาย ข. และนาย ข. เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ค.
ตอํ มานาย ก. ปลดหน้ใี หน๎ าย ข. แล๎ว ถ๎านาย ก. ใช๎สทิ ธิเรียกรอ๎ งของนาย ข. เรียกให๎นาย ค.
ชาํ ระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 233 นาย ค. มีสิทธิท่ีจะยกข๎อตํอสู๎
วาํ นาย ข. ไดร๎ ับการปลดหนีจ้ ากนาย ก. แล๎ว ขนึ้ ตอํ สน๎ู าย ก. ได๎ และเม่ือนาย ก. มิใชํเจ๎าหน้ี
ของนาย ข. นาย ก. จึงจะใช๎สิทธิเรียกร๎องของนาย ข. ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 233 มาเรยี กใหน๎ าย ค. ชาํ ระหนี้แกํตนไมํได๎
ตัวอย่างท่ี 3 นาย ก. เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ข. และนาย ข. เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ค.
นอกจากนั้น นาย ก. ยังเป็นเจ๎าหนี้ของนาย ค. อีกด๎วย ตํอมา นาย ก. ปลดหน้ีให๎นาย ค.
ถา๎ นาย ก. ใช๎สทิ ธิเรยี กร๎องของนาย ข. เรียกให๎นาย ค. ชําระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณชิ ย๑ มาตรา 233 นาย ค. จะยกขอ๎ ตํอสู๎วําตนได๎รับการปลดหนี้จากนาย ก. แล๎ว ขึ้น
ตํอสู๎นาย ก. ไมํได๎ เพราะการท่ีนาย ก. ปลดหนี้ให๎นาย ค. นั้น ทําให๎หนี้ระหวํางนาย ก. กับ

159

นาย ค. เป็นอันระงับไป แตํหนี้ระหวํางนาย ข. กับนาย ค. มิได๎ระงับไปด๎วย นาย ค. ยังมี
หนา๎ ท่ตี ๎องชําระหนี้ให๎แกํนาย ข. อยูํ ดังนั้น นาย ก. จึงใช๎สิทธิเรียกร๎องของนาย ข. เรียกให๎
นาย ค. ชาํ ระหนไ้ี ด๎

แตํอยํางไรก็ดี ข๎อตํอส๎ูดังกลําวตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 235
ตอ๎ งเกิดขึ้นกํอนการย่ืนฟอ้ งคดกี ารใชส๎ ิทธเิ รยี กรอ๎ งของลกู หน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 233 จงึ จะยกเปน็ ข๎อตอํ ส๎ูเจา๎ หน้ีได๎ แตํถ๎าข๎อตํอสู๎ดังกลําวเกิดข้ึนเม่ือย่ืนฟ้อง
คดีการใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 ไป
แล๎ว จะยกเป็นข๎อตํอสู๎เจ๎าหนี้ไมํได๎ เชํน ลูกหน้ีได๎ปลดหนี้ให๎แกํจําเลย (ลูกหน้ีของลูกหนี้)
หลังจากยื่นฟ้องคดีการใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 233 ไปแล๎ว ดังน้ี จําเลย (ลูกหน้ีของลูกหนี้) จะยกข๎อตํอสู๎ดังกลําวข้ึนตํอส๎ูเจ๎าหนี้
ไมไํ ด๎

อน่งึ การที่กฎหมายไมํยอมให๎จําเลย (ลูกหน้ีของลูกหนี้) ยกข๎อตํอส๎ูท่ีมีตํอลูกหน้ี ท่ี
เกดิ ขึ้นเมือ่ ยื่นฟ้องคดีการใช๎สิทธิเรียกร๎องของลกู หน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 233 ไปแล๎ว ข้ึนเป็นข๎อตํอส๎ูเจ๎าหนี้ ก็เพ่ือป้องกันการสมยอมกันโดยมิชอบระหวําง
ลูกหน้แี ละจาํ เลย (ลกู หนี้ของลกู หน้ี)

ตัวอย่างท่ี 1 นาย ก. เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ข. และนาย ข. เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ค.
ตํอมานาย ข. ปลดหน้ีให๎นาย ค. หลังจากนั้น นาย ก. ใช๎สิทธิเรียกร๎องของนาย ข. เรียกให๎
นาย ค. ชาํ ระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 233 ดังน้ี นาย ค. มีสิทธิที่
จะยกข๎อตํอส๎ูวําตนได๎รับการปลดหน้ีจากนาย ข. แล๎ว ข้ึนตํอส๎ูนาย ก. ได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 236

ตวั อย่างที่ 2 นาย ก. เป็นเจ๎าหน้ขี องนาย ข. และนาย ข. เป็นเจา๎ หน้ขี องนาย ค.
ตํอมานาย ก. ใช๎สิทธิเรียกร๎องของนาย ข. เรียกให๎นาย ค. ชําระหนี้ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 หลังจากนน้ั นาย ข. ปลดหนใี้ หน๎ าย ค. ดังน้ี นาย ค. ไมํมีสิทธิ
ที่จะยกข๎อตํอสู๎วําตนได๎รับการปลดหนี้จากนาย ข. แล๎ว ข้ึนตํอส๎ูนาย ก. ได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 236

คาพพิ ากษาศาลฎกี าทเ่ี กีย่ วขอ้ ง
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1748/2540 จําเลยท่ี 1 เป็นลูกหนี้ของโจทก๑ และ
จําเลยที่ 1 เป็นเจ๎าหนี้ของจําเลยที่ 2 ซ่ึงจําเลยท่ี 1 ไมํยอมเรียกร๎องให๎จําเลยที่ 2 ชําระหนี้
แตํกอํ นโจทก๑ฟ้องคดนี ้ี จําเลยท่ี 1 ตกเป็นลูกหนี้ของจําเลยที่ 2 จําเลยท่ี 2 จึงขอหักกลบลบ
หนี้ การท่ีโจทก๑ใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
233 น้ัน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 236 กําหนดวําจําเลยมีข๎อตํอสู๎
ลกู หนีเ้ ดมิ อยูํอยาํ งใด ๆ จาํ เลยยํอมจะยกขนึ้ ตอํ สเ๎ู จา๎ หน้ไี ดท๎ ้ังนั้น เวน๎ แตขํ อ๎ ตํอสซ๎ู งึ่ เกิดขึ้นเมื่อ

160

ยนื่ ฟ้องคดีแล๎ว เมอ่ื ในคดนี ี้ปรากฏวําจําเลยท่ี 1 เป็นลูกหนี้ของจําเลยท่ี 2 กํอนโจทก๑ฟ้องคดี
น้ี จาํ เลยที่ 2 จงึ ยกข๎อตํอสทู๎ ี่ตนมีสทิ ธิขอหกั กลบลบหน้ีกบั จาํ เลยที่ 1 ขึ้นตอํ สโู๎ จทก๑ได๎

6. บทสรปุ
6.1 ถ๎าลกู หนีข้ ัดขืนไมํยอมใช๎สิทธิเรียกร๎องหรือเพิกเฉยเสียไมํใช๎สิทธิเรียกร๎อง เป็น

เหตุให๎เจ๎าหน้ีต๎องเสียประโยชน๑ เจ๎าหน้ีจะใช๎สิทธิเรียกร๎องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้
เพอื่ ปอ้ งกนั สิทธิของตนในมลู หนี้น้ันก็ได๎ เว๎นแตํในข๎อท่เี ปน็ การของลกู หน้ีสํวนตัวโดยแท๎ ตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 233

6.2 เจ๎าหนี้ผู๎ใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้น้ันจะต๎องขอหมายเรียกลูกหน้ีมาในคดีน้ัน
ด๎วย ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 234 ถ๎าเจ๎าหนี้มิได๎ขอหมายเรียกลูกหนี้
มาในคดีดว๎ ย เจา๎ หนีจ้ ะไมํมีอํานาจฟอ้ ง ศาลต๎องพิพากษายกฟอ้ ง

6.3 เจ๎าหน้ีจะใช๎สิทธิเรียกรอ๎ งของลูกหน้ี เรยี กเงินเตม็ จาํ นวนที่ยงั ค๎างชาํ ระแกลํ ูกหน้ี
โดยไมตํ อ๎ งคาํ นึงถึงจํานวนท่ีค๎างชาํ ระแกตํ นกไ็ ด๎ แตํห๎ามมิให๎เจ๎าหน้ีได๎รับมากไปกวําจํานวนท่ี
คา๎ งชาํ ระแกํตน และในกรณที ่ีเจา๎ หน้ใี ชส๎ ทิ ธิเรียกร๎องของลกู หน้ี เรียกเงินเต็มจํานวนที่ยังค๎าง
ชาํ ระแกํลกู หน้ี ถ๎าจาํ เลย (ลกู หน้ขี องลกู หน้ี) ยอมใชเ๎ งินเพียงเทําจํานวนทีล่ กู หนเี้ ดิมค๎างชําระ
แกเํ จา๎ หนนี้ น้ั คดีกเ็ ป็นเสรจ็ กันไป แตํถ๎าลกู หนเ้ี ดมิ ได๎เข๎าชื่อเป็นโจทก๑ด๎วย ลูกหน้ีเดิมจะขอให๎
ศาลพิจารณาพิพากษาตํอไปในสํวนจํานวนเงินที่ยังเหลือติดค๎างอยูํก็ได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 235

6.4 จําเลย (ลูกหนี้ของลูกหน้ี) มีข๎อตํอสู๎ลูกหน้ีเดิมอยํูอยํางใด ๆ จําเลยจะยกขึ้น
ตํอส๎ูเจา๎ หนี้ได๎ทง้ั น้นั เวน๎ แตขํ ๎อตํอส๎ซู ่ึงเกดิ ขน้ึ เมอ่ื ยน่ื ฟ้องแล๎ว ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 236

161

7. คาถามทา้ ยบท
1. นายสนุกก๎ูยืมเงินจากนายสนานไปจํานวน 500,000 บาท และหนี้ถึงกําหนด

ชาํ ระหน้แี ลว๎ ซง่ึ นายสนุกไมํมีทรัพย๑สินพอที่จะชําระหนี้ให๎แกํสนาน แตํนายสนุกเป็นเจ๎าหน้ี
เงินก๎ูนายแสวงอยํู 500,000 บาท ซ่ึงหนี้ถึงกําหนดชําระหน้ีแล๎วเชํนเดียวกัน นายสนานจึง
แจ๎งให๎นายสนุกไปจัดการใช๎สิทธิเรียกร๎องแกํนายแสวง แตํนายสนุกก็เพิกเฉยเสียไมํใช๎สิทธิ
เรียกร๎องนั้น นายสนานจึงเข๎าใช๎สิทธิเรียกร๎องของนายสนุกเรียกให๎นายแสวงชําระหนี้
แตนํ ายแสวงตอํ สู๎วํานายสนานไมํสามารถใช๎สิทธิเรียกร๎องของนายสนุกได๎ เพราะนายสนาน
มิได๎เป็นเจ๎าหนี้โดยตรงของนายแสวง และนายแสวงเป็นลูกหน้ีของนายสนุกอยูํกํอนท่ี
นายสนกุ จะเปน็ ลูกหน้ขี องนายสนาน

ดงั นี้ ใหว๎ นิ ิจฉยั วาํ ขอ๎ ตอํ สขู๎ องนายแสวงทง้ั สองขอ๎ ฟ๓งขึ้นหรอื ไมํ
หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 233
วนิ ิจฉัย นายสนานเปน็ เจา๎ หน้ีเงนิ ก๎ูของนายสนุก และนายสนุกเป็นเจ๎าหน้ีเงินกู๎ของ
นายแสวง โดยหน้รี ะหวาํ งนายสนานและนายสนุกไดถ๎ งึ กาํ หนดชําระหนี้แล๎ว ซ่ึงนายสนานได๎
แจง๎ ให๎นายสนุกไปจัดการใชส๎ ทิ ธเิ รยี กร๎องแกนํ ายแสวงแลว๎ แตนํ ายสนกุ ก็ขดั ขนื ไมยํ อมใช๎สิทธิ
เรยี กร๎องนนั้ โดยการท่ีนายสนุกขัดขืนไมํยอมใช๎สิทธิเรียกร๎องน้ัน เป็นเหตุให๎นายสนานต๎อง
เสียประโยชน๑ เพราะทําให๎นายสนุกไมํมีทรัพย๑สินพอท่ีจะชําระหนี้ให๎แกํนายสนาน และหน้ี
เงินก๎ูระหวํางนายสนุกและนายแสวงนั้นมิใชํเป็นการของลูกหนี้สํวนตัวโดยแท๎ ดังน้ัน แม๎
นายสนานจะมไิ ด๎เป็นเจ๎าหน้ีโดยตรงของนายแสวง นายสนานก็สามารถเข๎าใช๎สิทธิเรียกร๎อง
น้ันในนามของตนเองแทนนายสนุก เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 และแม๎มูลหนี้ของนายแสวงกับนายสนุกจะเกิดข้ึน
กํอนมูลหนี้ของนายสนานและนายสนุก นายสนานก็สามารถใช๎สิทธิเรียกร๎องของนายสนุก
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 233 ได๎
สรปุ ข๎อตํอสข๎ู องนายแสวงทั้งสองข๎อฟง๓ ไมํข้ึน

162

2. ในปี พ.ศ. 2562 นางฝนประกอบธุรกจิ ไดก๎ ําไรจาํ นวนมาก จึงยกเงินให๎แกํนางศรี
จํานวน 500,000 บาท และให๎นายกรก๎ูยืมเงินไป 500,000 บาท ตํอมาในปี พ.ศ. 2563
นางฝนประกอบธุรกิจขาดทุน นางฝนจึงไปก๎ูยืมเงินจากนายวินจํานวน 1,000,000 บาท
ตํอมา หนี้เงินก๎ูระหวาํ งนางฝนและนายวินถึงกําหนดชําระ แตํนางฝนไมํมีทรัพย๑สินเพียงพอ
จะชําระหนี้ให๎แกํนายวินได๎ หลังจากน้ัน นางศรีได๎ประทุษร๎ายตํอนางฝน เป็นความผิดฐาน
อาญาอยาํ งรา๎ ยแรงตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ซ่ึงเป็นเหตุให๎นางฝนมีสิทธิเรียกคืน
การให๎เพราะเหตุผู๎รับประพฤตเิ นรคณุ จากนางศรีได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 531 แตํนางฝนเพิกเฉยไมํเรียกคืนการให๎เพราะเหตุผ๎ูรับประพฤติเนรคุณจากนางศรี
และหนีเ้ งนิ กู๎ระหวํางนางฝนและนายกรก็ถงึ กําหนดชําระ แตํนางฝนเพิกเฉยไมเํ รียกให๎นายกร
ชาํ ระหน้ี ดงั น้ี นายวนิ จะใชส๎ ทิ ธิเรียกร๎องของนางฝนเรียกคืนการให๎เพราะเหตุผ๎ูรับประพฤติ
เนรคุณจากนางศรีได๎หรอื ไมํ และนายวินจะใช๎สิทธิเรียกร๎องของนางฝนเรียกให๎นายกรชําระ
หนเ้ี งินกไ๎ู ด๎หรือไมํ

หลกั กฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 233
วินิจฉัย การที่นางฝนเป็นลูกหนี้เงินกู๎ของนายวินจํานวน 500,000 บาท โดย
นางฝนไมมํ ที รัพย๑สินเพียงพอจะชําระหนี้ให๎แกํนายวินได๎ และนางฝนเป็นเจ๎าหนี้ของนางศรี
จํานวน 500,000 บาท ในมลู หน้ีเรียกคืนการให๎เพราะเหตุผู๎รับประพฤติเนรคุณ แล๎วนางฝน
เพิกเฉยไมํเรียกคืนการให๎เพราะเหตุผ๎ูรับประพฤติเนรคุณจากนางฟ้านั้น แม๎จะเป็นกรณีท่ี
นางฝนซึง่ เป็นลกู หน้เี พกิ เฉยเสียไมํใช๎สิทธิเรียกร๎อง เป็นเหตุให๎นายวินซึ่งเป็นเจ๎าหน้ีต๎องเสีย
ประโยชน๑กต็ าม แตํเม่อื มลู หนร้ี ะหวํางนางฝนกับนางศรีนั้น เปน็ การของนางฝนซึ่งเป็นลูกหน้ี
สํวนตัวโดยแท๎ นายวินซึ่งเปน็ เจ๎าหนี้จงึ ใช๎สิทธเิ รียกร๎องน้ัน ในนามของตนเองแทนนางฝนซ่ึง
เปน็ ลกู หน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233 ไมํได๎
การทนี่ างฝนเปน็ ลูกหนี้เงินกู๎ของนายวินจํานวน 500,000 บาท โดย นางฝนไมํมี
ทรัพยส๑ นิ เพยี งพอจะชําระหนี้ให๎แกํนายวนิ ได๎ และนางฝนเป็นเจ๎าหนี้เงินกู๎ของนางกรจํานวน
500,000 บาท แตํนางฝนเพิกเฉยไมํเรียกให๎นายกรชําระหน้ีน้ัน เป็นกรณีท่ีนางฝนซึ่งเป็น
ลกู หนเี้ พกิ เฉยเสียไมใํ ช๎สิทธิเรยี กร๎อง เปน็ เหตใุ ห๎นายวินซงึ่ เป็นเจ๎าหนี้ต๎องเสียประโยชน๑ และ
หน้ีเงินก๎ูระหวํางนางฝนและนายกรมิใชํเป็นการของนางฝนซึ่งเป็นลูกหน้ีสํวนตัวโดยแท๎
นายวนิ ซ่งึ เป็นเจา๎ หนจ้ี ึงใช๎สิทธิเรียกร๎องน้ันในนามของตนเองแทนนางฝนซึ่งเป็นลูกหนี้ เพื่อ
ป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้น้ันได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233
สรุป นายวินจะใชส๎ ทิ ธเิ รียกรอ๎ งของนางฝนเรียกคืนการให๎เพราะเหตุผ๎ูรับประพฤติ
เนรคุณจากนางศรีไมํได๎ แตํนายวินจะใช๎สิทธิเรียกร๎องของนางฝนเรียกให๎นายกรชําระหนี้
เงินกไู๎ ด๎

163

3. นายรัฐฐากรก๎ูยืมเงินจากนายสนันจํานวน 500,000 บาท ซ่ึงหน้ีถึงกําหนดชําระ
หนี้แล๎ว และนายรัฐฐากรเป็นเจ๎าหน้ีเงินกู๎นายปราโมทย๑จํานวน 500,000 บาท ซึ่งหน้ีถึง
กําหนดชําระหนี้แล๎วเชํนเดียวกัน แตํนายรัฐฐากรเพิกเฉยไมํใช๎สิทธิเรียกร๎อง ให๎
นายปราโมทย๑ชําระหน้ีแกํตน เป็นเหตุให๎นายรัฐฐากรไมํมีทรัพย๑สินพอที่จะชําระหน้ี
ใหแ๎ กสํ นัน นายสนันจงึ เข๎าใช๎สิทธเิ รียกรอ๎ งของนายรัฐฐากรเรียกให๎นายปราโมทย๑ชําระหนี้แกํ
ตน แตนํ ายสนันเปน็ โจทก๑ยน่ื ฟ้องนายปราโมทย๑เพยี งคนเดียว มิได๎ขอหมายเรียกนายรัฐฐากร
เขา๎ มาในคดีดว๎ ย

ดังน้ี ให๎วนิ จิ ฉยั วาํ ศาลจะพพิ ากษาใหน๎ ายปราโมทย๑ชาํ ระหน้ใี หแ๎ กนํ ายสนันไดห๎ รอื ไมํ
หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 233, 234
วนิ ิจฉัย การท่ีนายรัฐฐากรกูย๎ ืมเงนิ จากนายสนัน ซงึ่ หนีถ้ ึงกาํ หนดชําระหนี้แล๎ว และ
นายรัฐฐากรเป็นเจ๎าหนี้เงินก๎ูนายปราโมทย๑ ซึ่งหน้ีถึงกําหนดชําระหนี้แล๎วเชํนเดียวกัน
แตํนายรัฐฐากรเพิกเฉยไมํใช๎สิทธิเรียกร๎องให๎นายปราโมทย๑ชําระหน้ีแกํตน เป็นเหตุให๎
นายรฐั ฐากรไมํมีทรัพยส๑ ินพอทจ่ี ะชาํ ระหน้ใี ห๎แกสํ นันนน้ั เป็นกรณีที่นายรฐั ฐากรซึง่ เปน็ ลูกหนี้
เพิกเฉยเสยี ไมใํ ชส๎ ทิ ธิเรียกร๎อง เป็นเหตุให๎นายสนันซึ่งเป็นเจ๎าหนี้ต๎องเสียประโยชน๑ และหน้ี
เงินกู๎ระหวํางนายรัฐฐากรและนายปราโมทย๑นั้นมิใชํเป็นการสํวนตัวโดยแท๎ของนายรัฐฐากร
ซ่ึงเป็นลูกหน้ี นายสนันซึ่งเป็นเจ๎าหนี้จึงจะใช๎สิทธิเรียกร๎องน้ันในนามของตนเองแทน
นายรัฐฐากรซง่ึ เปน็ ลูกหนี้ เพ่ือปอ้ งกนั สิทธขิ องตนในมูลหนี้น้นั ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 233
แตํการท่ีนายสนันเข๎าใช๎สิทธิเรียกร๎องของนายรัฐฐากรเรียกให๎นายปราโมทย๑ชําระ
หน้ีแกํตน โดยนายสนันเป็นโจทก๑ยื่นฟ้องนายปราโมทย๑เพียงคนเดียว มิได๎ขอหมายเรียก
นายรัฐฐากรเข๎ามาในคดีด๎วยนั้น เนื่องจากการใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ีตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 233 เจ๎าหนี้ได๎ใช๎สิทธิแทนลูกหนี้ โดยนิติสัมพันธ๑ท่ีแท๎จริง
ของสิทธิเรียกรอ๎ งนน้ั เปน็ เร่ืองระหวํางลกู หนก้ี บั บคุ คลภายนอก (ลูกหนี้ของลูกหน้ี) กฎหมาย
จึงกําหนดให๎เจา๎ หนผี้ ใ๎ู ช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหนี้นั้น จะต๎องขอหมายเรียกลูกหนี้มาในคดีน้ัน
ด๎วย ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 234 ดังนั้น เม่ือนายสนันมิได๎ขอ
หมายเรียกนายรัฐฐากรเข๎ามาในคดี จึงถือวํานายสนันฟ้องเรียกให๎นายปราโมทย๑ชําระหน้ี
ใหแ๎ กตํ นโดยตรง ซ่งึ นายสนันไมํมอี ํานาจทจ่ี ะฟอ้ งนายปราโมทย๑ได๎ เพราะนายปราโมทย๑มิได๎
เป็นลูกหนี้ของนายสนัน ศาลจึงพิพากษาให๎นายปราโมทย๑ชําระหน้ีให๎แกํนายสนันไมํได๎
ศาลตอ๎ งพพิ ากษายกฟ้อง
สรุป ศาลจะพิพากษาใหน๎ ายปราโมทย๑ชําระหนีใ้ หแ๎ กํนายสนันไมไํ ด๎

164

4. นายคิมกู๎ยืมเงินจากนายจอนจํานวน 500,000 บาท ซึ่งหนี้ถึงกําหนดชําระหน้ี
แล๎ว และนายคิมเป็นเจ๎าหน้ีเงินกู๎นายมินจํานวน 800,000 บาท ซ่ึงหน้ีถึงกําหนดชําระหน้ี
แล๎วเชํนเดยี วกัน แตํนายคิมเพิกเฉยไมํใช๎สิทธิเรียกร๎องให๎นายมินชําระหนี้แกํตน เป็นเหตุให๎
นายคิมมีทรัพย๑สินไมเํ พียงพอทจี่ ะชาํ ระหนใี้ หแ๎ กํจอน

ดังนี้ ใหว๎ นิ จิ ฉยั วาํ
1. นายจอนจะใช๎สิทธิเรียกร๎องของนายคิมเรียกให๎นายมินชําระหนี้ได๎หรือไมํ และ
ถ๎าได๎ นายจอนจะใช๎สิทธิเรียกร๎องของนายคิมเรียกให๎นายมินชําระหน้ี 800,000 บาท ได๎
หรอื ไมํ
2. ถา๎ นายจอนใช๎สิทธิเรยี กร๎องของนายคิมเรียกให๎นายมินชําระหน้ีแกํตน 800,000
บาท แลว๎ นายมินยอมชําระหน้ีให๎แกํนายจอนจํานวน 500,000 บาท นายคิมที่ได๎เข๎าชื่อเป็น
โจทก๑ด๎วย จะขอให๎ศาลพิจารณาพิพากษาตํอไปในสํวนจํานวนเงินที่ยังเหลือติดค๎างอยูํอีก
300,000 บาท ได๎หรือไมํ
หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233, 235
วนิ จิ ฉัย
1. การท่ีนายคิมกู๎ยืมเงินจากนายจอน ซ่ึงหน้ีถึงกําหนดชําระหน้ีแล๎ว และ
นายคมิ เปน็ เจ๎าหน้ีเงินก๎ูนายมนิ ซ่ึงหนีถ้ งึ กาํ หนดชาํ ระหนีแ้ ลว๎ เชนํ เดยี วกัน แตํนายคิมเพิกเฉย
ไมํใช๎สิทธิเรียกร๎องให๎นายมินชําระหนี้แกํตน เป็นเหตุให๎นายคิมมีทรัพย๑สินไมํเพียงพอท่ีจะ
ชําระหนี้ให๎แกํจอนน้ัน เป็นกรณีที่นายคิมซ่ึงเป็นลูกหนี้เพิกเฉยเสียไมํใช๎สิทธิเรียกร๎อง เป็น
เหตใุ ห๎นายจอนซ่ึงเป็นเจ๎าหนี้ต๎องเสียประโยชน๑ และหน้ีเงินก๎ูระหวํางนายคิมกับนายมินน้ัน
มิใชํเป็นการสํวนตัวโดยแท๎ของนายคิมซ่ึงเป็นลูกหน้ี นายจอนซึ่งเป็นเจ๎าหน้ีจึงจะใช๎สิทธิ
เรยี กร๎องนน้ั ในนามของตนเองแทนนายคิมซึ่งเป็นลกู หนี้ เพ่ือปอ้ งกนั สิทธิของตนในมูลหน้ีนั้น
ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 233

การท่ีนายคิมเป็นลูกหนี้นายจอนจํานวน 500,000 บาท และนายคิมเป็นเจ๎าหน้ี
นายมินจาํ นวน 800,000 บาท น้ัน เมือ่ นายจอนซงึ่ เปน็ เจ๎าหนี้ใช๎สิทธิเรยี กรอ๎ งแทนนายคิมซ่ึง
เป็นลกู หนี้ นายจอนซงึ่ เปน็ เจ๎าหน้ีจะใช๎สิทธิเรียกร๎องของนายคิมซึ่งเป็นลูกหน้ี เรียกเงินเต็ม
จํานวนท่ียงั คา๎ งชาํ ระแกํนายคิมซ่ึงเปน็ ลูกหน้ี คือ จํานวน 800,000 บาท โดยไมํต๎องคํานึงถึง
จํานวนท่คี า๎ งชําระแกํตนก็ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 235

2. การที่นายคิมเป็นลูกหนี้นายจอนจํานวน 500,000 บาท และนายคิมเป็นเจ๎าหน้ี
นายมินจํานวน 800,000 บาท น้ัน ถ๎านายจอนใช๎สิทธิเรียกร๎องของนายคิมเรียกให๎นายมิน
ชําระหนี้แกํตน 800,000 บาท แล๎วนายมินยอมชําระหน้ีให๎แกํนายจอนจํานวน 500,000
บาท นายคิมที่ได๎เข๎าชื่อเป็นโจทก๑ด๎วย จะขอให๎ศาลพิจารณาพิพากษาตํอไปในสํวนจํานวน
เงินท่ียังเหลือติดค๎างอยูํอีก 300,000 บาท ก็ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 235

165

สรปุ
1. นายจอนจะใชส๎ ิทธิเรียกรอ๎ งของนายคิมเรยี กให๎นายมินชําระหนี้ได๎ และนายจอน
จะใชส๎ ทิ ธิเรียกรอ๎ งของนายคิมเรียกใหน๎ ายมินชาํ ระหนี้ 800,000 บาท ได๎
2. นายคิมจะขอให๎ศาลพิจารณาพิพากษาตํอไปในสํวนจํานวนเงินท่ียังเหลือติดค๎าง
อยํอู ีก 300,000 บาท ได๎

166

บทที่ 5
การเพกิ ถอนการฉ้อฉล

1. บทนา
เมื่อเกิดมูลหน้ีเจ๎าหน้ียํอมประสงค๑ที่จะได๎รับชําระหนี้จากทรัพย๑สินของลูกหน้ี

แตํเน่ืองจากทรัพย๑สินนั้นยังเป็นของลูกหนี้อยํู ลูกหน้ีจึงมีสิทธิในการจําหนํายจํายโอน
ทรพั ยส๑ นิ ของตนได๎ ซ่ึงหากการจาํ หนาํ ยจํายโอนน้ัน เป็นเหตุให๎ลูกหนี้มีทรัพย๑สินไมํเพียงพอ
ให๎เจ๎าหนี้บังคับชาํ ระหนี้ ยํอมไมํยุติธรรมตํอเจ๎าหนี้ กฎหมายจึงได๎กําหนดเรื่องการเพิกถอน
การฉ๎อฉลขึ้น เพื่อเป็นมาตรการทางกฎหมายในการคุ๎มครองสิทธิของเจ๎าหนี้ โดยเม่ือมีการ
เพิกถอนการฉอ๎ ฉลแลว๎ ทรัพยส๑ ินของลกู หน้นี น้ั ก็จะกลับมาเปน็ ของลูกหน้ี และทําให๎เจ๎าหนี้มี
โอกาสได๎รับชําระหนี้ตามสิทธิของตน โดยหลักเกณฑ๑เกี่ยวกับการเพิกถอนการฉ๎อฉลได๎
กําหนดไวใ๎ นประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 237-240

2. หลกั เกณฑ์การเพกิ ถอนการฉอ้ ฉล
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 บัญญัติวํา “เจ๎าหนี้ชอบที่จะร๎อง

ขอให๎ศาลเพิกถอนเสียได๎ซ่ึงนิติกรรมใด ๆ อันลูกหน้ีได๎กระทําลงท้ังร๎ูอยูํวําจะเป็นทางให๎
เจ๎าหน้ีเสียเปรียบ แตํความข๎อนี้ทํานมิให๎ใช๎บังคับ ถ๎าปรากฏวําในขณะท่ีทํานิติกรรมนั้น
บุคคลซึ่งเป็นผู๎ได๎ลาภงอกแตํการน้ันมิได๎รู๎เทําถึงข๎อความจริงอันเป็นทางให๎เจ๎าหนี้ ต๎อง
เสียเปรียบน้ันด๎วย แตํหากกรณีเป็นการทําให๎โดยเสนํหา ทํานวําเพียงแตํลูกหน้ีเป็นผ๎ูร๎ูฝ่าย
เดียวเทาํ น้ันกพ็ อแล๎วทีจ่ ะขอเพกิ ถอนได๎

บทบัญญัติดังกลําวมาในวรรคกํอนนี้ ทํานมิให๎ใช๎บังคับแกํนิติกรรมใดอันมิได๎มีวัตถุ
เป็นสิทธใิ นทรัพย๑สนิ ”

หลกั เกณฑใ์ นการทเี่ จ้าหน้ีจะรอ้ งขอให้ศาลเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237 มี
ดงั น้ี

1. ลูกหนีไ้ ดก๎ ระทาํ นิติกรรมใด ๆ ลงทงั้ ร๎อู ยํูวาํ จะเป็นทางใหเ๎ จ๎าหนีเ้ สียเปรียบ
2. กรณนี ิตกิ รรมนัน้ มคี าํ ตอบแทน บุคคลซ่ึงเป็นผู๎ได๎ลาภงอกแตํการนั้นต๎องร๎ูเทําถึง
ขอ๎ ความจริงอันเป็นทางใหเ๎ จา๎ หน้ีตอ๎ งเสียเปรียบนนั้ ดว๎ ย
3. กรณีนิติกรรมนั้นเป็นการทําให๎โดยเสนํหา บุคคลซึ่งเป็นผ๎ูได๎ลาภงอกแตํการนั้น
ไมํต๎องรเู๎ ทําถงึ ขอ๎ ความจรงิ อนั เปน็ ทางให๎เจา๎ หนี้ตอ๎ งเสยี เปรยี บนั้นด๎วย
4. นิตกิ รรมนนั้ ต๎องมวี ัตถุเป็นสทิ ธิในทรัพย๑สนิ

167

2.1 ลกู หนไี้ ดก้ ระทานิติกรรมใด ๆ ลงทง้ั ร้อู ยวู่ ่าจะเป็นทางใหเ้ จา้ หนเ้ี สียเปรยี บ
1) ลูกหน้ีต๎องได๎กระทํานิติกรรม เชํน ซ้ือขาย แลกเปลี่ยน ให๎ จํานํา จํานอง

เป็นตน๎ นอกจากนน้ั การสละมรดกหรือการปลดหน้ี ก็เป็นการกระทํานิติกรรมอยาํ งหนง่ึ
2) ถา๎ ลกู หนไี้ ด๎กระทาํ การใด ๆ อันไมถํ อื วาํ เปน็ การกระทํานติ ิกรรม เชํน ลูกหนี้

กระทําละเมิดและต๎องชดใช๎คําเสียหายแกํผู๎ถูกละเมิด ดังนี้ เจ๎าหน้ีจะใช๎สิทธิร๎องขอให๎ศาล
เพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 237 ไมํได๎68

3) บทบัญญัติท่ีวํา “เป็นทางให๎เจ๎าหน้ีเสียเปรียบ” หมายความวํา ทําให๎
ทรัพย๑สินของลูกหน้ีมีไมํเพียงพอท่ีจะชําระหน้ีให๎แกํเจ๎าหนี้ ดังนั้น หากลูกหน้ีได๎กระทํา
นิติกรรมใด ๆ ลง ทําให๎ทรัพย๑สินของลูกหน้ีมีไมํเพียงพอท่ีจะชําระหนี้ เจ๎าหน้ีสามารถร๎อง
ขอใหศ๎ าลเพกิ ถอนการฉอ๎ ฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 ได๎ แตํหาก
การทล่ี กู หนก้ี ระทาํ นิติกรรมใด ๆ นั้น มิได๎ทําให๎ทรัพย๑สินของลูกหนี้มีไมํ เพียงพอท่ีจะชําระ
หนใ้ี ห๎แกํเจา๎ หนี้ คอื ลกู หนก้ี ็ยงั คงมที รัพย๑สินเพยี งพอท่ีจะชําระหน้ีให๎แกํเจ๎าหน้ีได๎ เจ๎าหนี้จะ
ร๎องขอใหศ๎ าลเพิกถอนการฉอ๎ ฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 237 ไมไํ ด๎

ตัวอย่างที่ 1 นาย ก. เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ข. จํานวน 500,000 บาท โดย
นาย ข. มีทรพั ย๑สินเพียงอยํางเดียว คือ บ๎านพร๎อมที่ดิน ถ๎านาย ข. ได๎โอนกรรมสิทธิ์ในบ๎าน
พร๎อมที่ดินดังกลาํ วใหแ๎ กนํ าย ค. ยํอมเป็นทางให๎เจ๎าหน้ีเสียเปรียบ เพราะจะทําให๎ทรัพย๑สิน
ของลูกหนี้มีไมํเพียงพอท่ีจะชําระหน้ีให๎แกํเจ๎าหน้ี ดังนี้ นาย ก. สามารถร๎องขอให๎ศาล
เพิกถอนการฉอ๎ ฉล ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 237 ได๎

ตัวอยา่ งที่ 2 นาย ก. เป็นเจ๎าหนี้ของนาย ข. จํานวน 500,000 บาท โดย
นาย ข. มีทรัพย๑สินหลายอยําง ได๎แกํ บ๎านพร๎อมท่ีดิน ที่นา รถยนต๑ เงินฝากในธนาคาร
จํานวนหลายล๎านบาท ถ๎านาย ข. ได๎โอนกรรมสิทธิ์ในบ๎านพร๎อมท่ีดินดังกลําวให๎แกํนาย ค.
ยอํ มไมํเป็นทางให๎เจ๎าหนี้เสียเปรียบ เพราะไมํได๎ทําให๎ทรัพย๑สินของลูกหน้ีมีไมํเพียงพอท่ีจะ
ชําระหน้ีให๎แกํเจ๎าหน้ี ดังน้ี นาย ก. จะร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 237 ไมํได๎

68อโนชา ชีวิตโสภณ, “การเพิกถอนนิติกรรมซึ่งฉ๎อฉลเจ๎าหน้ี,” (วิทยานิพนธ๑
นิติศาสตรมหาบณั ฑิต, จฬุ าลงกรณม๑ หาวทิ ยาลยั , 2527), หนา๎ 42, 58.

168

4) เจ๎าหนี้จะใช๎สิทธิร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 237 ได๎ ก็ตอํ เมื่อลูกหนไ้ี ดก๎ ระทาํ นิตกิ รรมใด ๆ ลงท้ัง “ร๎ู” อยํูวําจะ
เป็นทางใหเ๎ จา๎ หนเี้ สียเปรียบ กลําวคือ ลูกหน้ีรู๎วําจะทําให๎ทรัพย๑สินของตนมีไมํเพียงพอท่ีจะ
ชําระหน้ีให๎แกํเจ๎าหน้ี แตํถ๎าลูกหนี้ได๎กระทํานิติกรรมใด ๆ ลงโดย “ไมํร๎ู” วําจะเป็นทางให๎
เจ๎าหนเ้ี สียเปรยี บ กลาํ วคอื ลูกหน้ีไมรํ ๎ูวําจะทําให๎ทรัพย๑สินของตนมีไมํเพียงพอที่จะชําระหน้ี
ให๎แกํเจ๎าหนี้ เจ๎าหน้ีจะใช๎สิทธิร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 237 ไมไํ ด๎

ตัวอย่าง นาย ก. เป็นเจ๎าหน้ีของนาย ข. จํานวน 500,000 บาท โดยนาย ข.
มีทรัพย๑สินสองอยําง คือ โรงงานราคา 10,000,000 บาท และบ๎านพร๎อมท่ีดินราคา
1,000,000 บาท ถา๎ นาย ข. ได๎โอนกรรมสิทธใิ์ นบ๎านพร๎อมท่ีดินดังกลําวให๎แกํนาย ค. โดยไมํ
รว๎ู าํ ในขณะนนั้ โรงงานของตนได๎ถูกไฟไหมเ๎ สียหายไปทั้งหมดแล๎ว ดังนี้ นาย ก. จะร๎องขอให๎
ศาลเพกิ ถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 ไมไํ ด๎

5) เจา๎ หน้จี ะใชส๎ ิทธิร๎องขอใหศ๎ าลเพิกถอนการฉอ๎ ฉล ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 237 ได๎ ก็ตํอเมื่อลูกหน้ีได๎กระทํานิติกรรมใด ๆ อันเป็นทางให๎เจ๎าหนี้
เสยี เปรยี บ ในขณะที่ตนเปน็ ลกู หนี้

ตัวอย่าง นาย ก. มีทรัพย๑สินเพียงอยํางเดียว คือ บ๎านพร๎อมท่ีดิน โดย
นาย ก. ได๎โอนกรรมสิทธ์ิในบ๎านพร๎อมที่ดินดังกลําวให๎แกํนาย ข. แล๎วตํอมานาย ก. ได๎ไป
ก๎ยู ืมเงินจากนาย ข. จํานวน 500,000 บาท ดังนี้ นาย ข. จะรอ๎ งขอใหศ๎ าลเพิกถอนการฉ๎อฉล
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 237 ไมํได๎

ข้อสังเกต คําวํา “การฉ๎อฉล” ตํางจากคําวํา “กลฉ๎อฉล” โดยคําวํา
“การฉอ๎ ฉล” ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 237 หมายความวาํ ถา๎ ลูกหน้ีได๎
กระทํานิติกรรมใด ๆ ลงทั้งร๎ูอยํูวําจะเป็นทางให๎เจ๎าหนี้เสียเปรียบ (โกงเจ๎าหน้ี) เจ๎าหนี้
สามารถร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉลได๎ สํวนคําวํา “กลฉ๎อฉล” หมายถึง บุคคลหนึ่ง
หลอกลวงบคุ คลอีกคนหนึ่งใหเ๎ ข๎าทาํ นิติกรรมโดยหลงเชอ่ื เชนํ นาย ก. ขายแหวนเพชรปลอม
ให๎นาย ข. โดยนาย ก. หลอกลวงนาย ข. วําเป็นแหวนเพชรของแท๎ นาย ข. หลงเชื่อวําเป็น
แหวนเพชรของแทจ๎ งึ ซื้อแหวนเพชรปลอมนน้ั เป็นตน๎ ซ่ึงนิติกรรมทเ่ี กดิ จากการถกู หลอกลวง
น้ันตกเป็นโมฆียะ โดยบุคคลที่ถูกหลอกลวงเทําน้ันมีสิทธิบอกล๎างโมฆียกรรมนั้นได๎ ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 159 และมาตรา 175 (3)

169

2.2 กรณีนิติกรรมนั้นมีค่าตอบแทน บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การน้ันต้อง
รู้เท่าถงึ ข้อความจรงิ อันเป็นทางใหเ้ จา้ หนต้ี ้องเสียเปรยี บน้นั ด้วย

ตวั อยา่ งท่ี 1 นาย ก. เป็นลกู หนีข้ องนาย ข. โดยนาย ก. มีทรัพย๑สินเพียงอยําง
เดยี วคือ รถยนต๑ ตํอมาเพ่ือเป็นการหลีกเล่ียงการบังคับชําระหน้ี นาย ก. จึงขายรถยนต๑คัน
ดังกลําวให๎แกํนาย ค. ในราคาถูก โดยนาย ค. ร๎ูอยูํวํานาย ก. เป็นลูกหน้ีของนาย ข. และ
นาย ก. ไมํมีทรัพย๑สินอื่นใดในการชําระหนี้อีกนอกจากรถยนต๑คันดังกลําว ดังน้ี นาย ข.
สามารถรอ๎ งขอให๎ศาลเพิกถอนนิติกรรมซอ้ื ขายรถยนต๑ดงั กลําวได๎

ตัวอย่างที่ 2 นาย ก. เป็นลูกหนี้ของนาย ข. โดยนาย ก. มีทรัพย๑สินเพียง
อยํางเดยี วคอื รถยนต๑ ตอํ มาเพื่อเป็นการหลีกเลีย่ งการบังคบั ชําระหนี้ นาย ก. จึงขายรถยนต๑
คันดังกลําวให๎แกํนาย ค. ในราคาถูก โดยนาย ค. ไมํได๎รู๎วํานาย ก. เป็นลูกหน้ีของนาย ข.
และนาย ก. ไมํมีทรัพย๑สินอ่ืนใดในการชําระหนี้อีกนอกจากรถยนต๑คันดังกลําวหา ดังนี้
นาย ข. ไมํสามารถร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนนติ ิกรรมซ้อื ขายรถยนตด๑ ังกลําวได๎

2.3 กรณนี ิตกิ รรมน้นั เป็นการทาให้โดยเสน่หา บุคคลซ่ึงเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การ
น้ันไม่ต้องรู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหน้ีต้องเสียเปรียบน้ันด้วย กลําวคือ
กรณีนิติกรรมน้ันเป็นการทําให๎โดยเสนํหา บุคคลซ่ึงเป็นผ๎ูได๎ลาภงอกแตํการน้ันจะรู๎หรือ
ไมํร๎ูเทําถึงข๎อความจริงอันเป็นทางให๎เจ๎าหน้ีต๎องเสียเปรียบนั้น เจ๎าหนี้ก็สามารถร๎องขอให๎
เพกิ ถอนการฉอ๎ ฉลได๎

ตัวอยา่ งที่ 1 นาย ก. เป็นลกู หนขี้ องนาย ข. โดยนาย ก. มีทรัพย๑สินเพียงอยําง
เดียวคือ รถยนต๑ ตํอมาเพื่อเป็นการหลีกเล่ียงการบังคับชําระหนี้ นาย ก. จึงยกรถยนต๑คัน
ดังกลําวให๎แกํนาย ค. โดยนาย ค. รู๎วํานาย ก. เป็นลูกหนี้ของนาย ข. และนาย ก. ไมํมี
ทรัพย๑สินอ่ืนใดในการชําระหนี้อีกนอกจากรถยนต๑คันดังกลําว ดังน้ี นาย ข. สามารถร๎อง
ขอใหศ๎ าลเพิกถอนนติ ิกรรมซอื้ ขายรถยนต๑ดงั กลําวได๎

ตวั อยา่ งท่ี 2 นาย ก. เปน็ ลกู หนขี้ องนาย ข. โดยนาย ก. มีทรัพย๑สินเพียงอยําง
เดียวคือ รถยนต๑ ตํอมาเพื่อเป็นการหลีกเล่ียงการบังคับชําระหน้ี นาย ก. จึงยกรถยนต๑คัน
ดังกลําวให๎แกํนาย ค. โดยนาย ค. ไมํรู๎วํานาย ก. เป็นลูกหนี้ของนาย ข. และนาย ก. ไมํมี
ทรพั ยส๑ นิ อนื่ ใดในการชําระหน้ีอีกนอกจากรถยนต๑คันดังกลําวหา ดังน้ี นาย ข. สามารถร๎อง
ขอใหศ๎ าลเพิกถอนนิตกิ รรมซ้ือขายรถยนต๑ดังกลาํ วได๎

2.4 นติ กิ รรมน้นั ตอ้ งมวี ัตถเุ ปน็ สิทธใิ นทรัพยส์ นิ
เจ๎าหนี้จะร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและ

พาณิชย๑ มาตรา 237 ได๎ ก็เฉพาะนิติกรรมท่ีลูกหน้ีกระทํานั้นมีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย๑สิน
โดยตรงเทําน้ัน เชํน การซื้อขายทรัพย๑สิน การให๎ทรัพย๑สินโดยเสนํหา เป็นต๎น แตํหาก
นิติกรรมท่ีลูกหนี้กระทําน้ันไมํมีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย๑สิน เชํน การหมั้น การสมรส

170

การจดทะเบยี นรับรองบุตร การรับบุตรบุญธรรม เป็นต๎น แม๎จะกํอให๎เกิดคําใช๎จํายหรือเกิด
ภาระในการอุปการะเลี้ยงดู เจ๎าหน้ีก็ร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉลไมํได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 237 วรรคสอง

ขอ้ สังเกต
1. การฟ้องขอให๎ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 237 เจ๎าหนี้จะต๎องฟ้องท้ังลูกหนี้และบุคคลซ่ึงเป็นผ๎ูได๎ลาภงอก เจ๎าหนี้จะฟ้อง
เพียงแตํลูกหนี้หรือจะฟ้องเพียงแตํบุคคลซึ่งเป็นผู๎ได๎ลาภงอกไมํได๎ เพราะคําพิพากษาจะไมํ
ผูกพนั บคุ คลภายนอก ตามประมวลวิธีพิจาณาความแพํง69 และถ๎าบุคคลซ่ึงเป็นผ๎ูได๎ลาภงอก
ทาํ นติ กิ รรมโอนกรรมสิทธิต์ ํอไปยังบคุ คลภายนอก เจ๎าหนี้กต็ อ๎ งฟอ้ งบุคคลภายนอกดว๎ ย70
2. นิติกรรมใดที่ลูกหน้ีทําขึ้น โดยมีวัตถุประสงค๑เป็นการขัดตํอความสงบเรียบร๎อย
และศีลธรรมอันดีของประชาชน ยํอมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 150 อยูํแล๎ว เจ๎าหน้ีไมํต๎องฟ้องขอให๎ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 อีก อยํางไรกด็ ี การพสิ ูจนถ๑ ึงวตั ถุประสงค๑ดังกลําวบางครั้งอาจ
ทําได๎ยาก เจ๎าหนี้จึงอาจฟ้องขอให๎ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 237 ซ่ึงอาจพิสจู นไ๑ ดโ๎ ดยไมยํ ากก็ได๎71

ตัวอย่างท่ี 1 โจทกฟ๑ ้องจําเลยท่ี 1 ใหโ๎ อนท่ีดินให๎แกโํ จทก๑ จําเลยที่ 2 ทราบเร่ือง
ดีแลว๎ แตํจาํ เลยท่ี 2 ยังรับโอนท่ีดินน้ันจากจําเลยท่ี 1 แสดงให๎เห็นวําจําเลยท้ังสองมีเจตนา
ไมํสุจริต กลําวคือ ได๎โอนและรับโอนที่ดินน้ันเพ่ือขัดขวางมิให๎โจทก๑ได๎รับโอนท่ีดินนั้น
นิติกรรมระหวํางจําเลยที่ 1 กับจําเลยท่ี 2 จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค๑เป็นการขัดตํอ
ความสงบเรยี บร๎อยและศลี ธรรมอันดีของประชาชน อันตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 150 โจทก๑จึงมีสิทธิร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได๎ โดยไมํ
จําต๎องฟ้องขอใหศ๎ าลเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 237
(คาํ พิพากษาศาลฎีกาที่ 5738/2545)

ตัวอย่างที่ 2 โจทก๑เป็นเจ๎าหนี้ของจําเลยที่ 1 ตํอมาจําเลยท่ี 1 ได๎โอนที่ดินซ่ึง
เปน็ ทรัพย๑สนิ ท่ีจาํ เลยที่ 1 มอี ยํเู พียงอยํางเดียวให๎แกํจําเลยท่ี 2 ซ่ึงเป็นบุตรโดยเสนํหา เพ่ือ
หลีกเล่ียงและใหพ๎ ๎นจากการถูกบังคับคดี จึงเป็นการกระทําโดยไมํสุจริตและเป็นการกระทํา
ลงทั้งร๎ูอยํูวําจะเป็นทางให๎โจทก๑ผ๎ูเป็นเจ๎าหนี้เสียเปรียบ โจทก๑จึงขอให๎เพิกถอนการโอน
ดงั กลําว ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 237 ได๎ ไมํวาํ จําเลยที่ 2 จะรู๎เทําถึง

69วิเชยี ร ดเิ รกอุดมศกั ด์ิ, ว.ิ แพ่งพสิ ดาร เล่ม 1 (ฉบับปรบั ปรุงใหม่ ปี 2564)
(กรงุ เทพมหานคร: หจก. แสงจนั ทร๑การพิมพ๑, 2563), หนา๎ 170.

70ไพโรจน๑ วายภุ าพ, เรื่องเดมิ , หนา๎ 345.
71เรอ่ื งเดียวกัน, หนา๎ 327.

171

ข๎อความจริงอันเปน็ ทางใหเ๎ จา๎ หนต้ี ๎องเสียเปรยี บน้นั ด๎วยหรอื ไมกํ ต็ าม (คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี
3034/2526)

คาพพิ ากษาของศาลฎกี าทเ่ี กย่ี วข้อง
คาพิพากษาของศาลฎีกา 175/2502 จําเลยท่ี 1 มีท่ีดิน แตํจําเลยที่ 1 ขายที่ดิน
นัน้ ใหแ๎ กจํ าํ เลยที่ 2 โดยร๎ูวําตนมีทรัพย๑สินไมํเพียงพอที่จะชําระหน้ีให๎แกํโจทก๑ซ่ึงเป็นเจ๎าหน้ี
ดงั นี้ ยอํ มเปน็ การทําให๎โจทก๑เสียเปรียบ เม่ือจําเลยท่ี 2 รู๎ถึงความข๎อน้ี โจทก๑จึงขอเพิกถอน
การฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 237ได๎
คาพิพากษาของศาลฎีกา 1130/2505 การท่ีจําเลยมีเจ๎าหน้ีตามคําพิพากษาสอง
ราย แตํทรพั ยข๑ องจําเลยมีเพียงอยาํ งเดียว และมรี าคาไมํเพียงพอตํอการชําระหนี้ทั้งสองราย
จําเลยจึงเลือกชําระหน้ีเพียงรายใดรายหนึ่ง อันเป็นผลทําให๎เจ๎าหนี้อีกคนหนึ่งเสียเปรียบ
และเจ๎าหนี้ผ๎ูรับชําระหน้ีก็ทราบดีอยูํแล๎วนั้น เจ๎าหน้ีผู๎เสียเปรียบยํอมร๎องขอตํอศาลให๎
เพกิ ถอนการฉอ๎ ฉล ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 237 ได๎
คาพิพากษาของศาลฎีกา 419/2506 สัญญาประนีประนอมยอมความในศาลที่
จําเลยที่ 1 และจําเลยท่ี 2 สมยอมกันทําข้ึนนั้น ถือเป็นกรณีจําเลยท่ี 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ได๎ทํา
นิติกรรมใด ๆ ลงทั้งร๎ูอยํูวําจะเป็นทางให๎เจ๎าหนี้เสียเปรียบ และจําเลยท่ี 2 ซ่ึงเป็นผ๎ูได๎
ลาภงอกก็รเ๎ู ทาํ ถึงข๎อความจริงอันเป็นทางให๎เจ๎าหนี้ต๎องเสียเปรียบน้ันด๎วย โจทก๑จึงมีอํานาจ
ฟ้องขอใหศ๎ าลเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 ได๎
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 291/2513 จําเลยโอนยกท่ีดินให๎ผู๎ร๎องโดยเสนํหา
การที่ผ๎ูร๎องอ๎างวําได๎ชําระหน้ีแทนจําเลยซึ่งเป็นบิดามารดาของผ๎ูร๎องน้ัน จะถือวําเป็น
คําตอบแทนโดยตรงหาได๎ไมํ เนื่องจากการที่บุตรชําระหนี้แทนบิดามารดาเป็นหน๎าที่ทาง
ศลี ธรรมประการหนึ่ง ไมํมผี ลไปเปลี่ยนแปลงประเภทนิติกรรม ดังน้ัน การท่ีจําเลยโอนที่ดิน
ใหผ๎ รู๎ อ๎ ง เจา๎ หน้ีจึงร๎องขอใหเ๎ พกิ ถอนการฉอ๎ ฉลได๎
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 886/2515 กํอนครบกําหนดไถํคืนการขายฝาก หากผ๎ูขาย
ขอไถทํ รพั ย๑ท่ีขายฝากคืนจากผ๎ูซ้ือ ผซู๎ ื้อมหี นา๎ ท่ตี อ๎ งรบั ไถํ ดงั น้นั การท่ีผู๎ซื้อนําทรัพย๑ท่ีรับขาย
ฝากไปโอนให๎แกํภริยาโดยเสนํหา โดยผ๎ูซ้ือร๎ูอยูํวําผู๎ขายยังมีสิทธิไถํคืน จึงเป็นการ
ทํานิติกรรมฉ๎อฉลอันทําให๎ผ๎ูขายเสียเปรียบ ผ๎ูขายชอบที่จะร๎องขอให๎ศาลเพิกถอน
นติ กิ รรมการโอนให๎น้นั เสียได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 237
คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1254/2521 โจทก๑กับจําเลยท่ี 1 จดทะเบียนหยํากัน และ
ไดท๎ ําสญั ญาประนีประนอมยอมความวํา โจทก๑ยกท่ดี นิ ของตนให๎แกํบุตรทั้ง 7 คน จําเลยท่ี 1
ยกท่ีดินของตนให๎แกํบุตรท้ัง 7 คน ทั้งสองฝ่ายจะไปโอนกรรมสิทธิ์ให๎บุตรในวันที่ 22
มกราคม 2517 ตอํ มา จําเลยท่ี 1 ไดโ๎ อนขายท่ีดินของตนให๎แกํจําเลยที่ 2 ไป โดยจําเลยท่ี 2
ทราบถึงสญั ญาระหวํางโจทก๑กับจําเลยท่ี 1 แล๎ว แตํยังรับซ้ือท่ีพิพาทจากจําเลยที่ 1 อันเป็น

172

การทําให๎โจทก๑เสียเปรียบ และเป็นการรับซ้ือไว๎โดยไมํสุจริต โจทก๑จึงมีสิทธิร๎องขอให๎ศาล
เพิกถอนนิติกรรมระหวํางจําเลยที่ 1 กับจําเลยที่ 2 เสียได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 237

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2526 การท่ีโจทก๑เชําที่ดินจากจําเลยท่ี 1 และจําเลย
ท่ี 1 ขายทด่ี นิ นัน้ ใหแ๎ กํจาํ เลยท่ี 2 หลังจากครบกําหนดเวลาเชําตามสัญญาแล๎วน้ัน โจทก๑ไมํมี
สิทธอิ ยาํ งใดทจ่ี ะเรียกรอ๎ งให๎จําเลยท่ี 1 ซึง่ เป็นผ๎ใู ห๎เชาํ ขายทด่ี ินน้ันให๎แกํโจทก๑ โจทก๑จึงไมํอยูํ
ในฐานะเจ๎าหน้ีทีจ่ ะมีอาํ นาจฟอ้ งขอใหเ๎ พิกถอนนิติกรรมการซ้ือขายทีด่ นิ นัน้ ระหวํางจําเลยทั้ง
สองได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3726/2530 จําเลยท่ี 1 ซึ่งเป็นลูกหน้ีตกลงจะไป
จดทะเบียนโอนบ๎านพิพาทแกํโจทก๑ซ่ึงเป็นเจ๎าหน้ี แตํจําเลยที่ 1 กลับทําสัญญาซ้ือขาย
จดทะเบียนโอนบ๎านพิพาทแกํจาํ เลยท่ี 2 เม่อื จาํ เลยท่ี 1 กระทํานิติกรรมดงั กลําวลงทั้งร๎ูอยูํวํา
เป็นทางให๎โจทก๑ซ่ึงเป็นเจ๎าหน้ีเสียเปรียบ และจําเลยท่ี 2 ซ้ือบ๎านพิพาทจากจําเลยท่ี 1 โดย
ไมํสุจริต ดังน้ี แม๎โจทก๑จะมิใชํเจ๎าหน้ีตามคําพิพากษา โจทก๑ก็มีสิทธิฟ้องขอให๎เพิกถอนการ
ฉอ๎ ฉลเสียได๎ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 237

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2256/2532 จําเลยที่ 1 ตกลงจดทะเบียนภารจํายอม
ทางเดนิ เขา๎ ออกให๎แกํโจทก๑ซึ่งเป็นผู๎มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินติดกัน ตํอมาจําเลยที่ 1 ยกที่ดินของ
ตนให๎แกํจําเลยที่ 2 ซ่งึ เป็นบุตรโดยเสนํหา เพื่อให๎โจทก๑เสียเปรียบ โจทก๑จึงมีสิทธิฟ้องขอให๎
เพิกถอนการยกให๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 237 ได๎ แตํเมื่อโจทก๑ฟ้อง
คดีเพ่ือให๎ได๎มาซึ่งทางภารจํายอมเทํานั้น มิใชํให๎โอนที่ดินน้ันมาเป็นกรรมสิทธ์ิของโจทก๑
ประกอบกับโจทกก๑ ม็ ีคาํ ขอใหจ๎ ําเลยที่ 2 ไปจดทะเบยี นภารจาํ ยอมมาดว๎ ย ศาลจงึ พิพากษาให๎
เฉพาะจาํ เลยที่ 2 จดทะเบยี นทางภารจาํ ยอมได๎ โดยไมํจําเปน็ ต๎องเพิกถอนการให๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 5265/2533 จําเลยท่ี 1 ทําสัญญาโอนสิทธิการเชําชํวง
อาคารให๎แกํโจทก๑ ตํอมา จําเลยท่ี 1 ได๎โอนสิทธิการเชําชํวงอาคารดังกลําวให๎แกํจําเลยท่ี 2
โดยจาํ เลยที่ 3 ซ่ึงเป็นผ๎ูทรงสิทธิการเชําได๎ให๎จําเลยท่ี 2 เชําชํวงอาคารไปแล๎ว โจทก๑จึงฟ้อง
ขอให๎เพิกถอนสัญญาเชําชํวงระหวํางจําเลยที่ 2 และจําเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 237 แตํตามบทบัญญัติกฎหมายดังกลําว ผ๎ูที่จะฟ้องขอเพิกถอนการ
ฉ๎อฉลได๎คือเจ๎าหน้ี เมื่อโจทก๑มิใชํเจ๎าหนี้ของจําเลยท่ี 2 และจําเลยที่ 3 โจทก๑จึงฟ้องขอให๎
เพิกถอนการฉ๎อฉล ตามมาตรา 237 ไมํได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 7247/2537 การฟ้องขอให๎เพิกถอนการฉ๎อฉล ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 เจ๎าหน้ีจะต๎องฟ้องลูกหนี้เข๎ามาในคดีด๎วย
เมอื่ โจทก๑มิได๎ฟอ้ งลูกหน้ีเข๎ามาในคดีด๎วย ศาลจงึ ไมอํ าจพิพากษาให๎เพกิ ถอนการฉ๎อฉลได๎

173

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 790/2538 พ. เป็นลูกหนี้ของโจทก๑ จําเลยที่ 1 เป็นภริยา
โดยไมํชอบด๎วยกฎหมายของ พ. จําเลยท่ี 1 จึงไมํต๎องรํวมรับผิดในหนี้สินของ พ. ดังนั้น
โจทก๑จึงไมํมีอํานาจฟ้องขอให๎เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหวํางจําเลยท่ี 1 และจําเลย
ที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 237

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2345/2540 โจทก๑มีคําขอให๎เพิกถอนการโอนหุ๎นระหวําง
จําเลยที่ 1 กับจําเลยท่ี 2 และให๎ดําเนินการโอนห๎ุนกลับให๎จําเลยที่ 1 แตํเม่ือการเพิกถอน
การโอนหุน๎ รายนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 จะกระทบกระเทือน
สิทธขิ องบุคคลภายนอกซึง่ ไดร๎ บั โอนหุน๎ ตํอไปเปน็ ทอด ๆ โดยบุคคลภายนอกเหลําน้ันมิได๎ถูก
ฟ้องเข๎ามาเป็นคูํความในคดีน้ีด๎วย จึงต๎องห๎ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพํง
มาตรา 145 ศาลจึงพพิ ากษาใหต๎ ามคําขอของโจทก๑ไมํได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3365/2540 จําเลยที่ 1 ทําละเมิดโจทก๑ หลังจากน้ัน
จําเลยที่ 1 ยกที่ดินให๎แกํจําเลยท่ี 2 โดยเสนํหา โดยจําเลยที่ 1 ไมํมีทรัพย๑สินอื่นใดนอกจาก
ท่ีดินน้ัน โจทก๑จึงชอบท่ีจะร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนนิติกรรมยกให๎ดังกลําว ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 ได๎ ซ่ึงการทําละเมิดตํอผ๎ูอื่นเป็นบํอเกิดแหํงหนี้
ประเภทหนง่ึ ทาํ ละเมดิ วนั ใดหน้ีก็เกิดในวันนั้น ผู๎ถูกทําละเมิดเป็นเจ๎าหน้ีแล๎ว โดยไมํจําต๎อง
ฟอ้ งตํอศาลกอํ น

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 4462/2540 โจทก๑โอนใสํชื่อ ว. ในท่ีดินพิพาทโดยไมํมี
เจตนาจะให๎ท่ีดินพิพาทตกเป็นของ ว. จริง ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของโจทก๑ การที่จําเลยท่ี 1
ไดใ๎ ห๎ ว. ลงลายมอื ช่ือในเอกสาร แล๎วจําเลยที่ 1 ได๎จัดการโอนที่ดินพิพาทให๎แกํตนเอง และ
จําเลยที่ 1 ได๎จํานองท่ีดินพิพาทกับจําเลยท่ี 2 โดยจําเลยทั้งสองทราบดีวําท่ีดินพิพาทเป็น
ของโจทก๑ เป็นการโตแ๎ ย๎งสทิ ธโิ จทก๑ โจทก๑จึงมสี ทิ ธิฟ้องขอให๎เพิกถอนการโอนระหวําง ว. กับ
จําเลยที่ 1 และการจํานองระหวํางจําเลยที่ 1 กับที่ 2 ได๎ โดยไมํจําต๎องฟ้องให๎เพิกถอนการ
โอนระหวํางโจทก๑กบั ว. กํอน เพราะ ว. ไมํได๎โต๎แย๎งสิทธิโจทก๑ด๎วย

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2269/2543 การฟ้องคดีขอให๎เพิกถอนการฉ๎อฉล ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 เป็นการใหส๎ ทิ ธิแกํเจ๎าหนที้ จี่ ะสงวนไว๎ซ่ึงกอง
ทรัพยส๑ ินของลกู หน้ี เพื่อเปน็ หลกั ประกนั การชาํ ระหนตี้ ามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑
มาตรา 214 ดงั น้นั เจา๎ หน้ีท่ีมสี ิทธฟิ ้องคดีขอให๎เพิกถอนการฉ๎อฉล จึงอาจเป็นเจ๎าหน้ีตามคํา
พพิ ากษาทีถ่ ึงที่สดุ แล๎วหรือไมํกไ็ ด๎ หรอื อาจเป็นเจ๎าหนท้ี ีย่ งั มิได๎ฟ้องคดีก็ได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1443/2544 จําเลยท่ี 1 ซึ่งเป็นผู๎จัดการมรดกของ ห. ทํา
สัญญาจะขายที่ดินพิพาทให๎แกํโจทก๑ แตํไมํได๎รับความยินยอมจาก ข. ผู๎จัดการมรดกอีกคน
หนงึ่ จึงไมผํ กู พันกองมรดกของ ห. การท่ี ข. ให๎ความยินยอมในภายหลัง ไมํทําให๎นิติกรรมที่
ไมชํ อบด๎วยกฎหมายกลบั เป็นนติ ิกรรมท่ีชอบดว๎ ยกฎหมาย โจทก๑จึงไมํมีสิทธิขอให๎จําเลยที่ 1

174

และ ข. ปฏิบัติตามสัญญาจะซ้ือขาย และไมํมีสิทธิฟ้องขอให๎เพิกถอนนิติกรรมซ้ือขายซึ่ง
จําเลยท่ี 1 และ ข. ทํากบั จาํ เลยท่ี 2 ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 237

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 5207/2545 การฟ้องเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 นั้น เป็นอํานาจของเจ๎าหนี้ ซึ่งหมายรวมถึงเจ๎าหน้ี
ตามคําพิพากษาด๎วย ไมํวําจะมีการบังคับคดีแล๎วหรือไมํก็ตาม เม่ือโจทก๑เป็นเจ๎าหนี้ตาม
คาํ พพิ ากษาของจําเลยท่ี 1 ในคดีกํอน การที่จําเลยท่ี 1 และจําเลยที่ 2 ซ่ึงเป็นสามีภริยากัน
รีบไปจดทะเบียนหยําและทาํ สัญญาแบงํ ทรัพย๑สนิ กนั เพอื่ หลีกเล่ียงมิให๎โจทก๑นําเจ๎าพนักงาน
บังคบั คดไี ปยึดทรพั ย๑พิพาททจี่ ําเลยท่ี 1 เป็นเจ๎าของรวมนั้น ถือเป็นทางที่ทําให๎โจทก๑ซ่ึงเป็น
เจา๎ หน้ีเสียเปรียบ โจทก๑จึงมีสิทธิฟ้องขอให๎เพิกถอนสัญญาแบํงทรัพย๑สินระหวํางจําเลยท่ี 1
และจําเลยที่ 2 ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑มาตรา 237

คาพิพากษาศาลฎกี าท่ี 8999/2550 จําเลยท่ี 1 โอนการครอบครองที่ดินพิพาทซ่ึง
เปน็ ทดี่ นิ มหี นังสือรับรองการทําประโยชนข๑ องตนให๎แกํจําเลยท่ี 2 ต้ังแตํปี 2523 จําเลยที่ 2
จึงได๎สิทธิครอบครองในท่ีดินน้ันกํอนท่ีจําเลยท่ี 1 จะได๎รับแจ๎งการประเมินภาษีเงินได๎จาก
กรมสรรพากรโจทก๑ เมื่อปี 2542 สํวนการท่ีจําเลยที่ 1 เพิ่งจดทะเบียนโอนที่ดินนั้นให๎แกํ
จําเลยที่ 2 ภายหลงั กเ็ พียงเพือ่ มชี ื่อผเ๎ู ป็นเจา๎ ของถูกต๎องตามทะเบียน โจทก๑จึงไมํมีสิทธิฟ้อง
ขอให๎เพิกถอนนิติกรรมการซ้ือขายท่ีดินพิพาทระหวํางจําเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 237

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1400/2551 อํานาจฟ้องขอให๎เพิกถอนการฉ๎อฉล ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 เป็นอํานาจของเจ๎าหนี้ เมื่อโจทก๑ที่ 1 ได๎
ภาระจํายอมโดยอายุความในทางเดินผํานที่ดินของจําเลยท่ี 1 จึงเป็นเรื่องของทรัพยสิทธิ
โจทก๑ท่ี 1 จึงไมํอาจฟ้องขอให๎เพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 237 ได๎ แตํโจทก๑ตอ๎ งไปวาํ กลําวเอาตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ บรรพ 4
ในสํวนท่ีวําด๎วยภาระจาํ ยอม สวํ นโจทกท๑ ่ี 2 ซง่ึ เปน็ ผู๎เชําที่ดินจากโจทก๑ที่ 1 ก็มิได๎เป็นเจ๎าหน้ี
ของจําเลยท่ี 1 ดังน้ัน โจทก๑ที่ 2 จึงไมํมีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมระหวํางจําเลยที่ 1 และ
จําเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 237 ไดเ๎ ชนํ กนั

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2552 โจทก๑เป็นเจ๎าหน้ีเงินกู๎ของจําเลยโดยมีจํานอง
เป็นประกนั โจทกจ๑ ึงเปน็ เจา๎ หน้ีที่มีสิทธิได๎รับชําระหนี้จากทรัพย๑สินท่ีจํานองกํอนเจ๎าหน้ีราย
อ่ืนอยูํแล๎ว การที่โจทก๑กับจําเลยทําสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยการคิดคํานวณ
ดอกเบ้ียท่ีค๎างชําระรวมเข๎ากับต๎นเงินนั้น การทําสัญญาประนีประนอมยอมความระหวําง
โจทก๑และจําเลย ไมํทําให๎เจ๎าหนี้อ่ืนเสียเปรียบ เจ๎าหนี้อื่นจึงไมํมีสิทธิฟ้องเพิกถอนสัญญา
ประนปี ระนอมยอมความดงั กลําว ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 237

175

3. ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉลท่ีมีตอ่ บุคคลภายนอก
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 238 บญั ญตั วิ ํา “การเพิกถอนดังกลําว

มาในบทมาตรากํอนน้ันไมํอาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอก อันได๎มาโดยสุจริต
กอํ นเร่มิ ฟ้องคดีขอเพกิ ถอน

อน่งึ ความท่กี ลําวมาในวรรคกํอนน้ี ทํานมใิ ห๎ใชบ๎ ังคบั ถา๎ สทิ ธินน้ั ได๎มาโดยเสนหํ า”
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 238 เป็นบทบัญญัติที่ตํอเนื่องจาก
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 กลําวคือ เมื่อเจ๎าหน้ีได๎ใช๎สิทธิเพิกถอนการ
ฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237แล๎ว ผลของการเพิกถอนการ
ฉ๎อฉลที่มีตํอบุคคลภายนอก จะเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 238
โดยประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 238 ไดก๎ ําหนดไวด๎ งั น้ี
คาํ วํา “บุคคลภายนอก” หมายถงึ ผ๎ทู ี่ไดร๎ ับการโอนกรรมสทิ ธ์ิตํอมาจากผ๎ูได๎ลาภงอก
ไมํวําจะมกี ารโอนตํอมาแลว๎ กที่ อกก็ตาม โดยหากการทบ่ี ุคคลภายนอกได๎ทรัพย๑สินของลูกหนี้
มาน้ันเป็นไปตามเง่ือนไข 3 ประการ คือ (1) โดยสุจริต (2) โดยเสียคําตอบแทน และ
(3) ได๎มากํอนเร่ิมฟ้องคดีขอเพิกถอนการฉ๎อฉล การเพิกถอนการฉ๎อฉลน้ัน ไมํอาจ
กระทบกระท่ังถึงสิทธขิ องบุคคลภายนอกนั้น กลําวคือ บุคคลภายนอกนั้นไมํตอ๎ งคืนทรัพย๑สิน
น้ันให๎แกํลูกหนี้ แตํหากการที่บุคคลภายนอกได๎ทรัพย๑สินของลูกหน้ีมานั้นไมํเป็นไปตาม
เงือ่ นไขดังกลาํ ว การเพิกถอนการฉอ๎ ฉลนัน้ ยอํ มกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอกนั้น
กลาํ วคือ บคุ คลภายนอกน้ันตอ๎ งคนื ทรพั ยส๑ ินนั้นให๎แกลํ กู หนี้
ตัวอย่าง 1 นาย ก. เป็นลูกหนี้ของนาย ข. โดยนาย ก. มีทรัพย๑สินเพียงอยํางเดียว
คือ รถยนต๑ ตํอมาเพื่อเป็นการหลกี เลีย่ งการบงั คับชาํ ระหน้ี นาย ก. จึงยกรถยนต๑คันดังกลําว
ใหแ๎ กนํ าย ค. โดยนาย ค. ไมรํ วู๎ าํ นาย ก. เปน็ ลูกหนี้ของนาย ข. และนาย ก. ไมํมีทรัพย๑สินอ่ืน
ใดในการชําระหนีอ้ กี นอกจากรถยนต๑คันดังกลําว แล๎วตํอมา นาย ง. ได๎ซื้อรถยนต๑น้ันมาจาก
นาย ค. โดยนาย ง. ไมรํ ู๎วาํ นาย ก. เปน็ ลกู หนีข้ องนาย ข. และนาย ก. ไมํมีทรัพย๑สินอื่นใดใน
การชําระหนี้อีกนอกจากรถยนต๑คันดังกลําว ดังนี้ นาย ข. สามารถร๎องขอให๎ศาล
เพกิ ถอนการฉ๎อฉลตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 ได๎ แตํการเพิกถอน
การฉอ๎ ฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 ไมํอาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิ
ของนาย ง. กลําวคอื นาย ง. ไมตํ ๎องคืนทรัพย๑สินน้ันให๎แกํลูกหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 238
ตวั อยา่ ง 2 นาย ก. เป็นลูกหน้ีของนาย ข. โดยนาย ก. มีทรัพย๑สินเพียงอยํางเดียว
คอื รถยนต๑ ตํอมาเพ่ือเป็นการหลีกเล่ียงการบังคบั ชําระหน้ี นาย ก. จึงยกรถยนต๑คันดังกลําว
ให๎แกนํ าย ค. โดยนาย ค. ไมํรูว๎ าํ นาย ก. เป็นลกู หนี้ของนาย ข. และนาย ก. ไมํมีทรัพย๑สินอื่น
ใดในการชําระหนี้อีกนอกจากรถยนต๑คันดังกลําวหา แล๎วตํอมา นาย ง. ได๎ซื้อรถยนต๑นั้นมา
จากนาย ค. โดยนาย ง. ร๎อู ยวํู ํานาย ก. เป็นลูกหนี้ของนาย ข. และนาย ก. ไมํมีทรัพย๑สินอื่น

176

ใดในการชาํ ระหนอี้ กี นอกจากรถยนตค๑ ันดังกลําว (ไมํสุจริต) ดังน้ี นาย ข. สามารถร๎องขอให๎
ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉลตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 ได๎ และการ
เพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 น้ัน ยํอม
กระทบกระท่ังถึงสิทธิของนาย ง. กลําวคือ นาย ง. ต๎องคืนทรัพย๑สินน้ันให๎แกํลูกหนี้ ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 238

ตัวอย่าง 3 นาย ก. เป็นลูกหน้ีของนาย ข. โดยนาย ก. มีทรัพย๑สินเพียงอยํางเดียว
คอื รถยนต๑ ตํอมาเพอื่ เป็นการหลกี เล่ียงการบังคบั ชําระหน้ี นาย ก. จึงยกรถยนต๑คันดังกลําว
ให๎แกนํ าย ค. โดยนาย ค. ไมรํ ๎ูวาํ นาย ก. เปน็ ลูกหน้ขี องนาย ข. และนาย ก. ไมํมีทรัพย๑สินอื่น
ใดในการชําระหน้ีอีกนอกจากรถยนต๑คันดังกลําวหา แล๎วตํอมา นาย ค. ได๎ยกรถยนต๑น้ัน
ให๎แกํนาย ง. (สิทธิน้ันได๎มาโดยเสนํหา) โดยนาย ง. ไมํร๎ูวํานาย ก. เป็นลูกหน้ีของนาย ข.
และนาย ก. ไมํมีทรัพย๑สนิ อื่นใดในการชําระหนี้อีกนอกจากรถยนต๑คันดังกลําว ดังนี้ นาย ข.
สามารถร๎องขอให๎ศาลเพกิ ถอนการฉอ๎ ฉลตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 237
ได๎ และการเพกิ ถอนการฉอ๎ ฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 237 นั้น ยํอม
กระทบกระท่ังถึงสิทธิของนาย ง. กลําวคือ นาย ง. ต๎องคืนทรัพย๑สินนั้นให๎แกํลูกหน้ี ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 238

ตัวอยา่ ง 4 นาย ก. เป็นลูกหน้ีของนาย ข. โดยนาย ก. มีทรัพย๑สินเพียงอยํางเดียว
คอื รถยนต๑ ตํอมาเพ่อื เปน็ การหลีกเลี่ยงการบงั คับชําระหน้ี นาย ก. จึงยกรถยนต๑คันดังกลําว
ใหแ๎ กํนาย ค. โดยนาย ค. ไมํรว๎ู าํ นาย ก. เป็นลกู หนีข้ องนาย ข. และนาย ก. ไมํมีทรัพย๑สินอื่น
ใดในการชําระหน้ีอีกนอกจากรถยนต๑คันดังกลําวหา นาย ข. จึงร๎องขอให๎ศาลเพิกถอน
การฉ๎อฉลตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 แล๎วตํอมา นาย ง. ได๎ซ้ือ
รถยนตน๑ น้ั มาจากนาย ค. (หลงั ฟอ้ งคดีขอเพกิ ถอนการฉอ๎ ฉล) โดยนาย ง. ไมํร๎ูวํานาย ก. เป็น
ลูกหนี้ของนาย ข. และนาย ก. ไมํมีทรัพย๑สินอ่ืนใดในการชําระหน้ีอีกนอกจากรถยนต๑คัน
ดังกลําว ดังนี้ การเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237
นั้น ยอํ มกระทบกระทง่ั ถึงสทิ ธขิ องนาย ง. กลําวคือ นาย ง. ต๎องคืนทรัพย๑สินน้ันให๎แกํลูกหน้ี
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 238

ข้อสังเกต ถ๎าการเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา
237 ไมํอาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอก อันทําให๎บุคคลภายนอกไมํต๎องคืน
ทรัพย๑สินนนั้ ให๎แกลํ กู หนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 238 เจ๎าหน้ีก็มีสิทธิ
เรียกคําสนิ ไหมทดแทนจากผู๎ไดล๎ าภงอก

177

คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ีเกี่ยวข้อง
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3180/2540 โจทก๑ทําสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับ
จําเลยท่ี 1 ตํอมาจําเลยท่ี 1 ขายท่ีดินพิพาทให๎แกํจําเลยที่ 2 โดยจําเลยท่ี 1 และจําเลยที่ 2
มีเจตนาฉ๎อฉลโจทก๑ ตํอมา จําเลยท่ี 2 ขายที่ดินพิพาทให๎จําเลยท่ี 3 โจทก๑จึงมีอํานาจฟ้อง
ขอให๎ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายท่ีดินพิพาทได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 237 ซึ่งผ๎ูได๎ลาภงอก ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 หมายถึง
ผ๎ูที่เป็นคํูกรณีทํานิติกรรมกับลูกหน้ีโดยตรง คือ จําเลยท่ี 2 สํวนบุคคลภายนอก ตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 238 หมายถงึ ผท๎ู ไ่ี ดร๎ ับโอนทรัพย๑สินของลูกหน้ีตํอ
จากผท๎ู ํานิตกิ รรมกบั ลกู หนี้ คอื จําเลยท่ี 3

4. ผลของการเพิกถอนการฉอ้ ฉลท่ีมีตอ่ เจ้าหนี้
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 239 บัญญตั ิวาํ “การเพิกถอนน้ัน ยํอม

ไดเ๎ ปน็ ประโยชน๑แกํเจ๎าหน้ีหมดทกุ คน”
ผลของการเพิกถอนการฉ๎อฉลตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237

คอื เมื่อเจา๎ หนไ้ี ดร๎ อ๎ งขอตอํ ศาลให๎เพิกถอนการฉ๎อฉล และศาลได๎มีคําส่ังให๎เพิกถอนการฉ๎อฉล
แล๎ว ทรพั ย๑สินทไี่ ด๎มาจากการเพกิ ถอนการฉอ๎ ฉลนนั้ ยอํ มตกเปน็ ของลูกหนี้ เจา๎ หน้ีที่ได๎ร๎องขอ
ตํอศาลใหเ๎ พกิ ถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 237 นั้น จะเอา
ทรัพย๑สินนั้นเป็นของตนเองทันทีมิได๎ เจ๎าหน้ีจะต๎องใช๎สิทธิฟ้องคดีเพ่ือบังคับชําระหน้ีจาก
ลกู หนีต้ ามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 213 ตํอไป และการเพิกถอนนั้น ยํอม
ได๎เป็นประโยชน๑แกํเจ๎าหนี้หมดทุกคน กลําวคือ เจ๎าหน้ีรายอื่น ๆ ยํอมมีสิทธิฟ้องคดีเพ่ือ
บงั คบั ชําระหนีจ้ ากทรัพย๑สินดงั กลาํ วนน้ั ได๎

ข้อสังเกต แม๎มูลหน้ีของเจ๎าหน้ีจะยังไมํถึงกําหนดชําระ เจ๎าหน้ีก็สามารถใช๎สิทธิ
เพิกถอนการฉ๎อฉลตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 ได๎ เพราะการ
เพิกถอนการฉ๎อฉลตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 เป็นมาตรการทาง
กฎหมายในการค๎มุ ครองสทิ ธิของเจ๎าหน้ี ไมํใชํการบังคับชําระหนี้ โดยเม่ือมีการเพิกถอนการ
ฉ๎อฉลแล๎ว ทรัพย๑สินของลูกหนี้นั้นก็จะกลับมาเป็นของลูกหน้ี และเป็นประโยชน๑แกํเจ๎าหนี้
หมดทุกคน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 239 ซึ่งเม่ือหนี้ของเจ๎าหนี้ถึง
กําหนดชําระ เจา๎ หนก้ี ็จะมีโอกาสได๎รบั ชาํ ระหนตี้ ามสทิ ธิของตนตํอไป

178

5. อายคุ วามของเจา้ หน้ใี นการรอ้ งขอใหศ้ าลเพกิ ถอนการฉอ้ ฉล
ประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 บัญญัติวํา “การเรียกร๎องขอเพิกถอนนั้น

ทํานห๎ามมิให๎ฟ้องร๎องเมื่อพ๎นปีหน่ึง นับแตํเวลาที่เจ๎าหนี้ได๎รู๎ต๎นเหตุอันเป็นมูลให๎เพิกถอน
หรอื พน๎ สบิ ปนี บั แตํได๎ทํานิติกรรมนน้ั ”

การร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉลนัน้ เจา๎ หนีต้ ๎องฟอ้ งรอ๎ งภายในเวลา 1 ปี นับแตํ
เวลาท่เี จ๎าหนีไ้ ด๎รู๎ตน๎ เหตุอนั เป็นมลู ให๎เพกิ ถอนการฉอ๎ ฉลนน้ั แตตํ อ๎ งไมํเกนิ 10 ปี นับแตํได๎ทํา
นิติกรรมอันเป็นการฉ๎อฉลนน้ั

คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ีเกี่ยวขอ้ ง
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 289/2537 เม่ือโจทก๑ได๎รู๎ต๎นเหตุอันเป็นมูลให๎
ฟอ้ งขอเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 ในวันท่ี 10
มิถุนายน 2530 และโจทก๑ฟ้องขอให๎เพิกถอนการฉ๎อฉลในวันที่ 8 มิถุนายน 2531 จึงยัง
ไมํพ๎น 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 240 คดีโจทก๑จึงยังไมํขาดอายุ
ความ
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 733/2538 การที่จําเลยมีช่ือถือกรรมสิทธ์ิในที่ดินพิพาท
แทนโจทก๑ โจทก๑จึงร๎องขอตํอศาลให๎เพิกถอนช่ือจําเลยออกจากโฉนดนั้น เป็นกรณีโจทก๑ใช๎
สิทธิติดตามเอาคืน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 1336 ซึ่งไมํมีกําหนด
อายุความ และไมํอยํูในบังคับของประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 193/30
นอกจากน้ัน ไมํต๎องนําอายุความฟ้องร๎อง ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
240 มาใช๎ เพราะมิใชํการฟ้องเพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 237
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3923/2539 เม่ือโจทก๑ฟ้องขอให๎เพิกถอนการฉ๎อฉล ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 ได๎ร๎ูหรือควรจะร๎ูเหตุแหํงการเพิกถอน
เมอื่ วนั ท่ี 15 พฤศจกิ ายน 2527 และโจทก๑ฟอ้ งขอให๎เพิกถอนการฉ๎อฉลเม่ือวันที่ 24 มีนาคม
2531 จึงเป็นเวลาเกินกวํา 1 ปี แล๎ว คดีจึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 240
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2269/2543 อายุความของเจ๎าหน้ีในการร๎องขอให๎ศาล
เพกิ ถอนการฉอ๎ ฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 240 น้นั นับแตํเมื่ออธิบดี
กรมปา่ ไมซ๎ ง่ึ เป็นผ๎ูแทนของกรมปา่ ไม๎ ได๎รู๎ตน๎ เหตุอันเป็นมูลให๎เพิกถอนการฉ๎อฉล มิใชํนับแตํ
เมื่อพนักงานอัยการที่ได๎รับแตํงตั้งให๎เป็นผู๎แทนในการดําเนินคดี ได๎ร๎ูต๎นเหตุอันเป็นมูลให๎
เพกิ ถอนการฉ๎อฉล

179

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2041/2547 จาํ เลยท่ี 1 ตกลงขายท่ีดินให๎แกโํ จทก๑ โดยได๎มี
การชาํ ระหนี้บางสํวน ข๎อตกลงจะซื้อจะขายท่ีดินจึงมีผลผูกพันบังคับตํอกันได๎ตามกฎหมาย
เมือ่ จาํ เลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 สมคบกนั จดทะเบียนโอนซอื้ ขายท่ดี ินน้ันโดยไมํสุจริต และไมํมี
การชาํ ระเงินกนั จริง อนั ถือเปน็ การแสดงเจตนาลวงโดยสมรก๎ู ัน จึงตกเปน็ โมฆะ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 155 วรรคแรก ซ่ึงผู๎มีสํวนได๎เสียมีสิทธิยกความเสียเปลํา
แหํงโมฆะกรรมนั้นข้ึนกลําวอ๎าง ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 172 ได๎
โจทก๑จงึ ฟอ้ งขอให๎เพิกถอนเม่ือใดก็ได๎ และเม่ือฟ้องโจทก๑มิใชํการฟ้องขอเพิกถอนการฉ๎อฉล
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 จึงไมํอยูํในบังคับท่ีจะต๎องฟ้องภายใน
กาํ หนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 240

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1821/2548 กรมสรรพากรเป็นโจทก๑ โดยผู๎มีอํานาจ
ฟอ้ งคดแี ทนโจทก๑คืออธบิ ดี เมื่อนติ กิ รของโจทก๑ได๎ทําบันทึกแจ๎งให๎อธิบดีทราบเรื่องเม่ือวันท่ี
17 มีนาคม 2540 จึงถือได๎วําโจทก๑ได๎รู๎ถึงการฉ๎อฉลระหวํางจําเลยท้ังสอง ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 237 ในวันท่ี 17 มีนาคม 2540 เมื่อโจทก๑ฟ้องคดีวันที่ 25
มิถุนายน 2540 จึงยังไมํพ๎น 1 ปี นับแตํเวลาท่ีโจทก๑ร๎ูมูลเหตุให๎เพิกถอน คดีจึงยังไมํขาด
อายคุ วาม ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 240

6. บทสรุป
6.1 หลกั เกณฑ์การเพิกถอนการฉอ้ ฉล มดี งั นี้
1. ลกู หนไี้ ดก๎ ระทํานติ ิกรรมใด ๆ ลงทงั้ รู๎อยวํู ําจะเปน็ ทางให๎เจ๎าหนีเ้ สยี เปรยี บ
2. กรณนี ิติกรรมนั้นมคี าํ ตอบแทน บคุ คลซ่งึ เปน็ ผ๎ูได๎ลาภงอกแตกํ ารนัน้ ต๎องรู๎เทํา

ถึงข๎อความจรงิ อันเป็นทางใหเ๎ จ๎าหน้ตี อ๎ งเสียเปรยี บนัน้ ด๎วย
3. กรณนี ิติกรรมน้ันเป็นการทําให๎โดยเสนํหา บุคคลซึ่งเป็นผ๎ูได๎ลาภงอกแตํการ

น้นั ไมตํ ๎องรเ๎ู ทาํ ถงึ ขอ๎ ความจรงิ อนั เป็นทางให๎เจา๎ หนตี้ อ๎ งเสียเปรียบนั้นด๎วย
4. นติ กิ รรมน้นั ต๎องมีวตั ถเุ ปน็ สทิ ธิในทรพั ยส๑ ิน

6.2 ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉลที่มีต่อบุคคลภายนอก เม่ือเจ๎าหนี้ได๎ใช๎สิทธิ
เพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237 แล๎ว ผลของการ
เพิกถอนการฉ๎อฉลที่มีตอํ บคุ คลภายนอก (ผู๎ทีไ่ ด๎รบั การโอนกรรมสิทธ์ิตํอมาจากผู๎ได๎ลาภงอก)
จะเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 238 กลําวคือ หากการที่
บุคคลภายนอกไดท๎ รัพยส๑ นิ ของลูกหน้มี านั้น เปน็ ไปตามเง่อื นไข 3 ประการ คือ (1) โดยสุจริต
(2) โดยเสียคําตอบแทน และ (3) ได๎มากํอนเร่ิมฟ้องคดีขอเพิกถอนการฉ๎อฉล การเพิกถอน
การฉ๎อฉลน้ัน บุคคลภายนอกนั้นไมํต๎องคืนทรัพย๑สินน้ันให๎แกํลูกหน้ี แตํหากการที่
บคุ คลภายนอกได๎ทรพั ยส๑ นิ ของลกู หนมี้ าน้ันไมํเป็นไปตามเงือ่ นไขดงั กลาํ ว บุคคลภายนอกน้ัน
ตอ๎ งคนื ทรัพยส๑ นิ นัน้ ใหแ๎ กํลกู หน้ี

180

6.3 ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉลที่มีต่อเจ้าหนี้ เม่ือเจ๎าหนี้ได๎ใช๎สิทธิ
เพิกถอนการฉ๎อฉล ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237แล๎ว ผลของการ
เพิกถอนการฉ๎อฉลท่ีมีตํอเจ๎าหนี้ จะเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
239 ซึ่งกําหนดวํา การเพิกถอนการฉ๎อฉลน้ัน ยํอมได๎เป็นประโยชน๑แกํเจ๎าหนี้หมดทุกคน
ดังน้ัน เมื่อเจ๎าหนี้ได๎ร๎องขอตํอศาลให๎เพิกถอนการฉ๎อฉล และศาลได๎มีคําส่ังให๎เพิกถอนการ
ฉอ๎ ฉลแลว๎ ทรพั ย๑สินที่ได๎มาจากการเพกิ ถอนการฉ๎อฉลน้ันยํอมตกเป็นของลูกหนี้ เจ๎าหน้ีท่ีได๎
ร๎องขอตอํ ศาลให๎เพิกถอนการฉ๎อฉลนั้น จะเอาทรัพย๑สินนั้นเป็นของตนเองทันทีมิได๎ เจ๎าหนี้
จะต๎องใช๎สิทธิฟ้องคดีเพ่ือบังคับชําระหนี้จากลูกหน้ีตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 213 ตํอไป และการเพิกถอนการฉอ๎ ฉลนน้ั ยอํ มไดเ๎ ปน็ ประโยชน๑แกํเจ๎าหน้ีหมดทุกคน
กลาํ วคอื เจ๎าหนี้รายอนื่ ๆ ยํอมมีสทิ ธฟิ อ้ งคดีเพื่อบังคบั ชาํ ระหน้จี ากทรัพย๑สินดังกลําวนน้ั ได๎

6.4 อายุความของเจา้ หนใ้ี นการรอ้ งขอใหศ้ าลเพิกถอนการฉอ้ ฉล การเรียกร๎องขอ
เพิกถอนการฉอ๎ ฉลน้ัน หา๎ มมิใหฟ๎ อ้ งรอ๎ งเม่อื พน๎ ปหี นงึ่ นบั แตเํ วลาที่เจ๎าหนี้ได๎รู๎ต๎นเหตุอันเป็น
มลู ให๎เพิกถอน หรือพ๎นสิบปีนับแตํได๎ทํานิติกรรมนั้น ตามประมวลแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
240

181

7. คาถามท้ายบท
ขอ๎ 1. นาย ก. ซงึ่ เปน็ ลูกหนีข้ องนาย ข. ทราบมาวํานาย ข. กําลังจะฟ้องร๎องให๎ตน

ชําระหนี้ นาย ก. จึงขายทรัพย๑สินเทําท่ีมีเหลืออยูํ คือ ท่ีดินจํานวน 1 แปลง ให๎แกํนายหนึ่ง
ในราคาถูกมาก โดยนายหน่ึงไมํร๎ูวํานาย ก. เป็นลูกหนี้ของนาย ข. และการท่ีนาย ก. ขาย
ที่ดนิ ดังกลาํ วให๎แกํนายหน่งึ น้นั จะทาํ ให๎ทรัพย๑สนิ ของนาย ก. เหลือไมํเพียงพอท่ีจะชําระหนี้
ใหแ๎ กํนาย ข.

ดังน้ีให๎วินจิ ฉยั วาํ นาย ข. จะรอ๎ งขอใหศ๎ าลเพกิ ถอนนติ กิ รรมการขายทด่ี ินดังกลําวได๎
หรอื ไมํ

ธงคาตอบ
หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237
วินิจฉัย การที่นาย ก. ซ่ึงเป็นลูกหน้ีของนาย ข. ทราบมาวํานาย ข. กําลังจะ
ฟ้องร๎องให๎ตนชําระหน้ี นาย ก. จึงขายทรัพย๑สินเทําท่ีมีเหลืออยํู คือ ท่ีดินจํานวน 1 แปลง
ใหแ๎ กํนายหนึ่งในราคาถกู มากน้นั เป็นกรณีท่ีนาย ก. ลูกหนไี้ ด๎กระทาํ นติ ิกรรมใด ๆ ลงทง้ั รู๎อยูํ
วําจะเป็นทางให๎เจ๎าหน้ีเสียเปรียบ ซึ่งการที่นาย ก. ขายให๎แกํนายหนึ่งนั้นเป็นการทํา
นติ กิ รรมท่ีมคี ําตอบแทน เมอ่ื นายหนึง่ ไมรํ ๎วู าํ นาย ก. เป็นลูกหนขี้ องนาย ข. และการที่นาย ก.
ขาย ที่ดินดังกลําวให๎แกํนายหน่ึงน้ัน จะทําให๎ทรัพย๑สินของนาย ก. เหลือไมํเพียงพอที่จะ
ชําระหนีใ้ ห๎แกํนาย ข. จึงเป็นกรณีท่ีบุคคลซ่ึงเป็นผ๎ูได๎ลาภงอกแตํการน้ันไมํรู๎เทําถึงข๎อความ
จริงอันเป็นทางให๎เจ๎าหนี้ต๎องเสียเปรียบ นาย ข. จึงร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนนิติกรรมการ
จดทะเบยี นโอนกรรมสิทธ์ทิ ด่ี ินดงั กลาํ ว ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 237
ไมํได๎
สรุป นาย ข. ร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ท่ีดิน
ดังกลาํ วไมํได๎

182

ข๎อ 2. นาย ก. ซงึ่ เป็นลูกหนีข้ องนาย ข. ทราบมาวํานาย ข. กําลังจะฟ้องร๎องให๎ตน
ชําระหนี้ นาย ก. จึงจดทะเบียนโอนทรัพย๑สินเทําท่ีมีเหลืออยํู คือ ท่ีดินจํานวน 1 แปลง
ให๎แกํนายเอบตุ รชายของตนโดยเสนหํ า โดยนายเอไมรํ ว๎ู ํานาย ก. เป็นลูกหนี้ของนาย ข. และ
การท่ีนาย ก. จดทะเบยี นโอนที่ดินดังกลําวใหแ๎ กนํ ายเอโดยเสนํหาน้ัน จะทําให๎ทรัพย๑สินของ
นาย ก. เหลอื ไมเํ พียงพอท่จี ะชาํ ระหน้ีให๎แกํนาย ข.

ดังน้ีให๎วินิจฉัยวํา นาย ข. จะร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอน
ทีด่ ินดงั กลําวได๎หรือไมํ

ธงคาตอบ
หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 237
วินิจฉัย การที่นาย ก. ซ่ึงเป็นลูกหน้ีของนาย ข. ทราบมาวํานาย ข. กําลังจะ
ฟ้องร๎องให๎ตนชาํ ระหน้ี นาย ก. จึงจดทะเบยี นโอนทรพั ยส๑ ินเทําท่ีมีเหลืออยูํ คือ ที่ดินจํานวน
1 แปลง ให๎แกํนายเอบุตรชายของตนโดยเสนํหานั้น เป็นกรณีท่ีนาย ก. ลูกหนี้ได๎กระทํา
นิติกรรมใด ๆ ลงท้ังรู๎อยูํวําจะเป็นทางให๎เจ๎าหน้ีเสียเปรียบ และเมื่อการจดทะเบียน
โอนทรพั ย๑สนิ นนั้ เป็นไปตามสัญญาให๎ซ่ึงเป็นนิติกรรมท่ีทําให๎โดยเสนํหา นาย ข. จึงสามารถ
รอ๎ งขอใหศ๎ าลเพิกถอนนิติกรรมได๎โดยไมํต๎องพิจารณาวํานายเอรู๎เทําถึงข๎อความจริงอันเป็น
ทางให๎เจ๎าหนี้ตอ๎ งเสยี เปรยี บหรือไมํ ดงั น้ัน แมน๎ ายเอจะไมํร๎วู ํานาย ก. เป็นลูกหนี้ของนาย ข.
และการท่ีนาย ก. จดทะเบยี นโอนทด่ี นิ ดังกลําวให๎แกนํ ายเอโดยเสนํหานั้น จะทําให๎ทรัพย๑สิน
ของนาย ก. เหลือไมํเพียงพอทีจ่ ะชําระหนี้ให๎แกํนาย ข. อันเป็นกรณีที่บุคคลซึ่งเป็นผ๎ูได๎ลาภ
งอกแตํการนนั้ ไมรํ ู๎เทําถงึ ขอ๎ ความจรงิ อันเปน็ ทางให๎เจา๎ หนต้ี ๎องเสียเปรียบ นาย ข. ก็รอ๎ งขอให๎
ศาลเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิท่ีดินดังกลําวได๎ ตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 237 วรรคหนึ่ง
สรุป นาย ข. ร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
ดงั กลาํ วได๎

183

3. นางนาํ้ ซึ่งมีฐานะยากจนได๎ไปก๎ูยมื เงินมาจากนางฟา้ จํานวน 100,000 บาท ตํอมา
นางน้ําได๎จดทะเบียนรับเด็กชายตะวันเป็นบุตรบุญธรรม ซ่ึงมีผลให๎นางนํ้าต๎องรับภาระ
คาํ ใชจ๎ ํายเพ่ิมขึ้น ไมวํ ําจะเปน็ คาํ ใชจ๎ ํายในการอุปการะเล้ียงดู หรือคําใช๎จํายในการศึกษาเลํา
เรยี น จนทาํ ใหท๎ รัพยส๑ ินของนางนา้ํ เหลอื ไมเํ พยี งพอที่จะชาํ ระหน้ีให๎แกํนางฟา้

ดังนี้ใหว๎ นิ จิ ฉัยวาํ นางฟ้าจะรอ๎ งขอให๎ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่นางนํ้าจดทะเบียน
รบั เดก็ ชายตะวันเปน็ บุตรบุญธรรมได๎หรอื ไมํ

หลกั กฎหมาย ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 237 วรรคสอง
วนิ จิ ฉัย การท่ีนางน้ําได๎จดทะเบียนรับเด็กชายตะวันเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งมีผล
ให๎นางน้ําต๎องรับภาระคําใช๎จํายเพิ่มข้ึน ไมํวําจะเป็นคําใช๎จํายในการอุปการะเลี้ยงดู หรือ
คําใชจ๎ าํ ยในการศึกษาเลําเรียน จนทําให๎ทรัพย๑สินของนางนํ้าเหลือไมํเพียงพอท่ีจะชําระหน้ี
ให๎แกํนางฟ้านั้น เม่ือการรับบุตรบุญธรรมเป็นนิติกรรมท่ีมิได๎มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย๑สิน
นางฟ้าจึงร๎องขอให๎ศาลเพิกถอนการฉ๎อฉลไมํได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 237 วรรคสอง
สรปุ นางฟา้ จะร๎องขอใหศ๎ าลเพิกถอนการฉ๎อฉลไมํได๎

184

บทท่ี 6
สิทธยิ ดึ หน่วง
1. บทนา
หากเจา๎ หนไี้ ด๎ครอบครองทรัพย๑สินของลูกหนี้อยูํ และมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน๑แกํ
ตนเก่ียวด๎วยทรพั ยส๑ นิ ซงึ่ ครอบครองน้ัน เจ๎าหน้ีก็มีสิทธิยึดหนํวงทรัพย๑สินนั้นไว๎จนกวําจะได๎
ชาํ ระหน้ีได๎ เชนํ นาย ก. นํารถยนตข๑ องตนไปจ๎างนาย ข. ให๎ซํอมให๎ แตเํ มอ่ื ซํอมเสร็จ นาย ก.
ไมํยอมชําระคําจ๎าง ดังนี้ เม่ือนาย ข. ครอบครองรถยนต๑อยํู และมีหนี้คําจ๎างซํอมรถอันเป็น
คณุ ประโยชน๑แกํตนซ่ึงเกี่ยวด๎วยรถยนต๑ซ่ึงครอบครองนั้น นาย ข. จึงมีสิทธิยึดหนํวงรถยนต๑
คนั ดงั กลําวไว๎จนกวาํ จะได๎ชําระหน้ไี ด๎ เปน็ ตน๎
สิทธิยึดหนํวงนี้ นอกจากจะถูกกําหนดไว๎ในกฎหมายลักษณะหน้ี อันเป็นกฎหมาย
ทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ สํวนท่ี 5 มาตรา 241 -250 รวม 10 มาตรา
แลว๎ ยงั ถูกกาํ หนดไวใ๎ นกฎหมายเฉพาะอีกหลายเรื่อง เชํน เจ๎าของอสังหาริมทรัพย๑มีสิทธิยึด
หนํวงสัตว๑ท่ีเข๎ามาทําความเสียหายได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 452
ผ๎ูขายมีสิทธิยึดหนํวงทรัพย๑สินท่ีขายไว๎ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
468 ผรู๎ บั ฝากทรพั ย๑มีสิทธิยึดหนํวงทรัพย๑สินท่ีฝาก ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 670 เจา๎ สํานักโรงแรมมสี ทิ ธยิ ดึ หนวํ งทรพั ย๑สินของผู๎พักอาศัย ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 679 เป็นตน๎
สิทธิยึดหนํวงเป็นหนี้อุปกรณ๑ ทํานองเดียวกันกับสิทธิจํานําและจํานอง แตํเจ๎าหน้ี
ผู๎ทรงสิทธิยึดหนํวงมีเพียงสิทธิที่จะยึดทรัพย๑สินไว๎จนกวําจะได๎รับการชําระหน้ีจากลูกหนี้
เทําน้ัน ไมมํ สี ทิ ธนิ าํ ทรัพย๑สินออกขาดทอดตลาดเพื่อชําระหนี้ สํวนเจ๎าหนผ้ี ู๎ทรงสิทธิจํานําและ
จํานองมีสิทธนิ าํ ทรัพย๑สินออกขาดทอดตลาดเพื่อชําระหนี้ได๎ และเจ๎าหนี้ผ๎ูทรงสิทธิยึดหนํวง
ไมํมสี ทิ ธไิ ด๎รบั การชําระหน้ีกํอนเจ๎าหนี้รายอื่น สํวนเจ๎าหนี้ผ๎ูทรงสิทธิจํานําและจํานองมีสิทธิ
ได๎รับการชําระหนีก้ ํอนเจา๎ หน้ีรายอ่นื

2. หลกั เกณฑ์ของสิทธิยึดหนว่ ง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 บัญญัติวํา “ผู๎ใดเป็นผู๎ครอง

ทรัพย๑สินของผู๎อื่น และมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน๑แกํตนเก่ียวด๎วยทรัพย๑สินซ่ึงครองนั้นไซร๎
ทาํ นวาํ ผ๎นู ั้นจะยดึ หนวํ งทรัพย๑สินนั้นไว๎จนกวําจะได๎ชําระหนี้ก็ได๎ แตํความท่ีกลําวนี้ทํานมิให๎
ใช๎บังคบั เมือ่ หนน้ี ัน้ ยงั ไมํถึงกาํ หนด

อน่ึง บทบัญญัติในวรรคกํอนนี้ ทํานมิให๎ใช๎บังคับถ๎าการที่เข๎าครอบครองน้ันเร่ิมมา
แตํทาํ การอนั ใดอันหน่งึ ซ่ึงไมชํ อบด๎วยกฎหมาย”

185

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 241 หมายความวํา เจ๎าหน้ีจะใช๎
สทิ ธยิ ึดหนํวงทรพั ย๑สนิ ไว๎จนกวําจะไดช๎ ําระหน้กี ไ็ ด๎ หากเป็นไปตามหลกั เกณฑด๑ ังตํอไปนี้

1. เจา๎ หนี้ได๎ครอบครองทรพั ยส๑ ินของลกู หน้โี ดยชอบดว๎ ยกฎหมายมาแตํเรมิ่ ต๎น
2. เจา๎ หนม้ี ีหน้ีอนั เปน็ คุณประโยชน๑แกตํ นเกี่ยวด๎วยทรพั ยส๑ นิ ซึ่งครอบครองน้ัน
3. หนีน้ ้ันไดถ๎ งึ กําหนดชาํ ระแล๎ว

1. เจ้าหน้ไี ดค้ รอบครองทรัพย์สินของลูกหนี้โดยชอบด้วยกฎหมายมาแต่เร่ิมต้น
หมายความวํา เจ๎าหนี้ต๎องได๎ครอบครองทรัพย๑สินของลูกหนี้โดยชอบด๎วยกฎหมายมาแตํ
เร่ิมต๎น จึงจะมีสิทธิยึดหนํวงได๎ เชํน นาย ก. จ๎างนาย ข. ซํอมรถยนต๑ ดังนี้ หากนาย ก. ไมํ
ชําระคําจ๎างซอํ มรถยนต๑ นาย ข. ผค๎ู รอบครองยํอมมสี ิทธจิ ะยึดหนํวงรถยนต๑น้ันไว๎ได๎ เป็นต๎น
แตหํ ากเจา๎ หนม้ี ิได๎ครอบครองทรพั ย๑สินของลกู หนโ้ี ดยชอบด๎วยกฎหมายมาแตํเร่ิมต๎น เจ๎าหน้ี
จะยึดหนวํ งไมํได๎ เชนํ นาย ก. จา๎ งนาย ข. ซํอมรถยนต๑ ซึง่ ตอํ มาเม่อื ซํอมรถยนต๑เสรจ็ นาย ข.
ก็มารับรถยนต๑ไป โดยมิได๎ชําระคําซํอมและนาย ข. ก็ยินยอม ดังน้ี หากตํอมานาย ข. ไป
ขโมยรถยนต๑นั้นมา นาย ข. จะใช๎สิทธิยึดหนํวงรถยนต๑น้ันไว๎ เพ่ือให๎นาย ก. ชําระคําซํอม
รถยนต๑นนั้ ไมไํ ด๎ เป็นตน๎

ข้อสังเกต
1. บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 241 ซ่ึงบัญญัติวํา
“ผู๎ใดเป็นผู๎ครองทรัพย๑สินของผ๎ูอ่ืน...” หมายความวํา เจ๎าหน้ีใดท่ีครอบครองทรัพย๑สินของ
ลูกหน้ี ซึ่ง “การครอบครอง” หมายถึงการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 1367 ซ่ึงบัญญัติวํา “บุคคลใดยึดถือทรัพย๑สินโดยเจตนาจะยึดถือ เพื่อตน
ทาํ นวาํ บุคคลน้ันไดซ๎ ึ่งสิทธคิ รอบครอง”
2. ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 241 บัญญัติวํา “ผ๎ูใดเป็นผ๎ูครอง
ทรัพย๑สนิ ของผ๎ูอ่นื ...” จึงเกิดป๓ญหาวําทรัพย๑สินดังกลําวต๎องเป็นทรัพย๑สินของลูกหน้ีหรือไมํ
ในประเด็นน้ี ศาสตราจารย๑พิเศษโสภณ รัตนากร มีความเห็นวําถ๎าลูกหนี้มิใชํเจ๎าของ
ทรพั ย๑สนิ และลกู หน้ีมิได๎กํอหนี้ขนึ้ โดยได๎รบั ความยนิ ยอมจากเจา๎ ของทรพั ย๑สิน เจ๎าหนย้ี อํ มไมํ
อาจอา๎ งสิทธิยึดหนํวงข้ึนยันเจ๎าของทรัพย๑สินได๎72 ดังนั้น เจ๎าหนี้จะมีสิทธิยึดหนํวงได๎เฉพาะ
ทรัพย๑สินของลูกหนี้เทําน้ัน เจ๎าหน้ีไมํมีสิทธิยึดหนํวงทรัพย๑สินของบุคคลภายนอก เพราะ
เจา๎ หน้ไี มมํ ีสิทธิเรยี กให๎บุคคลภายนอกชาํ ระหนใ้ี หแ๎ กํตน

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1767/2527 จําเลยเชําซ้ือรถยนต๑จากโจทก๑ตํอมา
จําเลยนํารถยนต๑นั้นไปให๎ผู๎ร๎องซํอม หลังจากนั้น โจทก๑นําเจ๎าพนักงานบังคับคดีไป
ยึดเอารถยนต๑นั้นคืนมาจากผู๎ร๎อง เป็นกรณีโจทก๑ใช๎สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย๑สินของตน
ผรู๎ อ๎ งจะขอรับชําระหนีค้ าํ ซํอมในคดนี ้ี โดยอ๎างวําผ๎ูรอ๎ งมสี ิทธิยึดหนํวงหาได๎ไมํ

72โสภณ รัตนากร, เรอ่ื งเดมิ , หน๎า 339.

186

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2529 บริษัท อ. เชําซ้ือรถยนต๑ไปจากโจทก๑
ตอํ มาบริษทั อ. นาํ รถนั้นไปจ๎างให๎จาํ เลยซํอม จาํ เลยซอํ มเสร็จแล๎ว บรษิ ัท อ. ไมํชําระคําซํอม
จําเลยจึงยึดหนํวงรถยนต๑นั้นไว๎ ตํอมา โจทก๑ฟ้องขอให๎บังคับบริษัท อ. คืนรถยนต๑ดังกลําว
ซึง่ ศาลพิพากษาใหบ๎ ริษัท อ. สํงมอบรถยนต๑คันดังกลําวให๎แกํโจทก๑ โจทก๑จึงนําเจ๎าพนักงาน
บงั คับคดไี ปขอรับรถยนตจ๑ ากจาํ เลย แตจํ ําเลยไมคํ ืนให๎อ๎างวําตนมีสทิ ธิยึดหนํวงรถยนต๑คันน้ัน
โจทก๑จึงย่ืนคําร๎องตํอศาลขอให๎ส่ังจําเลยคืนรถยนต๑ให๎โจทก๑ ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดให๎
จําเลยสํงมอบรถยนต๑พิพาทให๎โจทก๑ จําเลยจึงต๎องปฏิบัติตามคําพิพากษานั้น โดยต๎องคืน
รถยนต๑พิพาทให๎โจทก๑ผู๎เปน็ เจ๎าของ จําเลยไมํมสี ทิ ธยิ ึดหนํวงรถยนตค๑ ันพิพาทไว๎อีกตอํ ไป

2. เจ้าหน้ีมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเก่ียวด้วยทรัพย์สินซึ่งครอบครองน้ัน
อธบิ ายไดด๎ งั น้ี

2.1 ตอ้ งเปน็ เจา้ หน้ี จึงจะใชส้ ิทธิยึดหนว่ งได้
ตัวอยา่ งท่ี 1 จาํ เลยซึ่งเปน็ ผูเ๎ ชําซื้อได๎ครอบครองรถยนต๑ ตํอมา โจทก๑ซ่ึงเป็น

ผ๎ูให๎เชําซื้อยื่นคําร๎องขอให๎ศาลคุ๎มครองช่ัวคราวกํอนพิพากษา และได๎นําเจ๎าพนักงานบังคับ
คดียึดรถยนต๑นนั้ จากจาํ เลย แลว๎ เจ๎าพนกั งานบงั คบั คดมี อบรถยนต๑นัน้ ให๎โจทก๑รักษาไว๎ ตํอมา
ศาลฎีกาพิพากษาให๎จําเลยชนะคดี ดังน้ี คําสั่งของศาลท่ีให๎ยึดรถยนต๑น้ันไว๎ช่ัวคราวเป็นอัน
ยกเลิกไป จาํ เลยจึงมีสิทธิได๎รับรถยนต๑น้ันกลับคืน และโจทก๑ไมํมีสิทธิยึดหนํวงรถยนต๑นั้นไว๎
ได๎ เพราะโจทก๑มิใชํผ๎ูครองรถยนต๑น้ัน โดยมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน๑แกํโจทก๑ ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 241 (คําพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1221/2509)

ตัวอย่างท่ี 2 นาย ก. ซ้ือท่ีดินจากนาย ข. โดยมิได๎ทําเป็นหนังสือและ
จดทะเบียน สัญญาซือ้ ขายจึงตกเปน็ โมฆะ ดังนี้ นาย ก. จะใชส๎ ิทธิยึดหนํวงไมํได๎

ตัวอย่างท่ี 3 นาย ก. และนาย ข. ทําสัญญาขายฝากท่ีดินกันเอง โดยมิได๎
จดทะเบยี น สญั ญาขายฝากยํอมตกเป็นโมฆะ ดงั นี้ แมน๎ าย ก. ผู๎ซื้อจะครอบครองท่ีดินท่ีขาย
ฝากอยํู ก็ไมํมสี ิทธยิ ึดหนวํ ง (คาํ พิพากษาศาลฎกี าที่ 1649/2511)

ตัวอย่างที่ 4 นาย ก. และนาย ข. ตกลงกันจะให๎มีการจํานองที่ดินของ
นาย ก. แตํเม่ือยังไมมํ กี ารจาํ นอง นาย ข. จึงยังไมํมีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินของนาย ก. รวมถึง
ไมมํ ีสิทธยิ ึดหนํวงที่ดนิ ของนาย ก. ดว๎ ย (คําพิพากษาศาลฎกี าท่ี 1194/2523)

2.2 ต้องเป็นเจ้าหนี้ท่ีเกี่ยวกับทรัพย์สินซ่ึงครอบครองน้ัน จึงจะใช้สิทธิ
ยดึ หนว่ งได้

ตวั อยา่ งท่ี 1 นาย ก. จ๎างนาย ข. ซํอมรถยนต๑ ตํอมานาย ก. ไมํชําระคําจ๎าง
ซํอมรถยนต๑ ดงั นี้ นาย ข. เป็นเจ๎าหน้ีที่เกี่ยวกับรถยนต๑ซ่ึงครอบครอง จึงมีสิทธิจะยึดหนํวง
รถยนต๑น้นั ไว๎ได๎

187

ตัวอย่างที่ 2 นาย ข. เป็นเจ๎าหนี้เงินก๎ูของนาย ก. แล๎วตํอมา นาย ก. จ๎าง
นาย ข. ซํอมรถยนต๑ และนาย ก. ชําระคําจ๎างซํอมรถยนต๑แลว๎ ดังน้ี นาย ข. ไมํไดเ๎ ป็นเจ๎าหนี้
ท่ีเกยี่ วกับรถยนตซ๑ ่ึงครอบครอง จงึ ไมํมสี ิทธจิ ะยึดหนํวงรถยนตน๑ ัน้ ไว๎ได๎ เปน็ ต๎น

2.3 เจ้าหนี้จะใช้สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินตามมูลหนี้ใด เจ้าหน้ีจะต้อง
ครอบครองทรพั ยส์ นิ ตามมลู หน้ีน้ัน

ตัวอย่างท่ี 1 นาย ก. จ๎างนาย ข. ซํอมรถยนต๑ ดังนี้ หากนาย ก. ไมํชําระ
คาํ จ๎างซอํ มรถยนต๑ นาย ข. ผค๎ู รอบครองยอํ มมีสิทธจิ ะยดึ หนํวงรถยนต๑นั้นไว๎ได๎ เพราะมูลหน้ี
ที่จะใช๎สิทธิยึดหนํวงคือสัญญาซํอมรถยนต๑ และเจ๎าหนี้ครอบครองตามมูลหนี้สัญญาซํอม
รถยนต๑

ตวั อยา่ งที่ 2 นาย ข. เป็นเจ๎าหนี้ในสัญญาซื้อขายรถยนต๑ แล๎วตํอมานาย ก.
จ๎างนาย ข. ซํอมรถยนต๑ ดังนี้ หากนาย ก. ชาํ ระคําซอํ มรถยนต๑ไปแล๎ว นาย ข. ผู๎ครอบครอง
จะใช๎สทิ ธยิ ดึ หนวํ งรถยนตน๑ ้นั ไว๎ โดยอา๎ งหน้ีตามสญั ญาซ้อื ขายรถยนตไ๑ มไํ ด๎ เพราะมูลหน้ีท่ีจะ
ใชส๎ ทิ ธิยึดหนํวงคือสญั ญาซ้ือขายรถยนต๑ แตํเจ๎าหน้ีครอบครองตามมูลหน้สี ัญญาซํอมรถยนต๑

ตัวอยา่ งที่ 3 นาย ก. ขายรถยนต๑ให๎นาย ข. แตํนาย ข. ผิดนัดชําระราคาคํา
รถยนต๑ แล๎วตํอมานาย ก. ได๎นํารถยนต๑นั้นไปฝากไว๎กับนาย ข. ดังน้ี หากนาย ก. ชําระคํา
ฝากรถยนต๑ไปแล๎ว นาย ข. ผู๎ครอบครองจะใช๎สิทธิยึดหนํวงรถยนต๑น้ันไว๎ โดยอ๎างหนี้ตาม
สัญญาซื้อขายรถยนต๑ไมํได๎ เพราะมูลหนี้ที่จะใช๎สิทธิยึดหนํวงคือสัญญาซ้ือขายรถยนต๑ แตํ
เจ๎าหน้ีครอบครองตามมลู หนสี้ ัญญาฝากรถยนต๑

ตัวอย่างที่ 4 เมื่อผู๎จํานองชําระหนี้ครบถ๎วนตามสัญญาจํานองแล๎ว ผู๎รับ
จํานองจะยดึ หนํวงโฉนดไว๎ไมํได๎ แมผ๎ ร๎ู บั จํานองจะเปน็ เจ๎าหน้ีของเจ๎าของรํวมคนอนื่ ในหนรี้ าย
อนื่ กไ็ มมํ ีสทิ ธิยึดหนวํ งโฉนดไว๎ได๎ (คาํ พพิ ากษาศาลฎีกาที่ 177/2521)

3. หนี้นั้นได้ถึงกาหนดชาระแล้ว หมายความวํา เจ๎าหน้ีจะใช๎สิทธิยึดหนํวงได๎ เมื่อ
หนีน้ ั้นได๎ถึงกําหนดชําระแล๎วเทําน้ัน กลําวคือ เน่ืองจากลูกหนี้ไมํชําระหน้ี เจ๎าหน้ีจึงใช๎สิทธิ
ยึดหนํวงทรพั ย๑สนิ ไว๎ เพ่อื ให๎ลกู หนี้ชาํ ระหนี้ ดังนั้น หากหน้ียังไมํถึงกําหนดชําระ เจ๎าหนี้ยํอม
ไมํมีสิทธิเรียกให๎ลูกหนี้ชําระหนี้ เจ๎าหนี้จึงไมํมีสิทธิยึดหนํวงทรัพย๑สินไว๎ เพ่ือให๎ลูกหน้ีชําระ
หนี้ เชํน นาย ก. จ๎างนาย ข. ซํอมรถยนต๑ โดยตกลงกันวําเมื่อนาย ข. ซํอมรถยนต๑เสร็จ ให๎
นาย ก. รับรถยนต๑ไปใช๎งานได๎เลย และให๎มาชําระคําซํอมในเดือนถัดไป ดังน้ี เมื่อนาย ข.
ซอํ มรถยนตเ๑ สร็จ นาย ก. ยํอมมสี ทิ ธริ ับรถยนตไ๑ ปใชง๎ านได๎เลย นาย ข. จะใชส๎ ทิ ธจิ ะยึดหนํวง
รถยนต๑น้นั ไว๎ได๎ เพราะหน้ียังไมํถึงกําหนดชําระ เปน็ ตน๎

แตํอยาํ งไรก็ดี แม๎หนนี้ นั้ จะยงั ไมํถงึ กาํ หนดชาํ ระ เจ๎าหนี้ก็ใช๎สิทธิยึดหนํวงได๎ หาก
ลูกหนี้มีหนี้สนิ ล๎นพน๎ ตวั เนือ่ งจากประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 243 บัญญัติวํา
“ในกรณที ี่ลูกหนี้เป็นคนสนิ ลน๎ พ๎นตัวไมํสามารถใชห๎ นี้ เจา๎ หน้มี ีสิทธิจะยึดหนํวงทรัพย๑สนิ ไว๎ได๎


Click to View FlipBook Version