The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คำอธิบาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ลักษณะหนี้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by auttapon_tepsong, 2022-04-17 14:02:03

คำอธิบาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะหนี้

คำอธิบาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ลักษณะหนี้

88

สําหรับผ๎ูเขียนเห็นด๎วยกับฝ่ายท่ีสอง โดยมีความเห็นวํา ประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 218 วรรคสอง ซึง่ กาํ หนดวําในกรณีท่ีการชําระหนี้กลายเป็นพ๎นวิสัยแตํ
เพียงบางสํวน ถ๎าหากวําสํวนที่ยังเป็นวิสัยจะทําได๎น้ันจะเป็นอันไร๎ประโยชน๑แกํเจ๎าหน้ีแล๎ว
เจา๎ หนจี้ ะไมํยอมรับชําระหนีส้ วํ นทีย่ งั เป็นวิสัยจะทําได๎นั้นก็ได๎ บัญญัติสอดคล๎องกับประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 320 ซ่ึงกําหนดวําอันจะบังคับให๎เจ๎าหนี้รับชําระหน้ีแตํ
เพียงบางสํวนนั้น หาอาจจะบังคับได๎ไมํ ดังน้ัน โดยทั่วไปในกรณีที่การชําระหน้ีกลายเป็น
พ๎นวิสยั แตํเพยี งบางสํวน ไมํวําสํวนทย่ี ังเป็นวิสัยจะทําได๎น้ันจะเป็นอันไร๎ประโยชน๑แกํเจ๎าหน้ี
หรือไมํ เจา๎ หนี้ยอํ มมีสิทธิไมํยอมรับชําระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
320 ได๎ และเรียกคําสนิ ไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215 ได๎
แตํเม่ือกรณีท่กี ารชาํ ระหนก้ี ลายเป็นพ๎นวิสัยแตํเพียงบางสํวน และสํวนท่ียังเป็นวิสัยจะทําได๎
นั้นจะเป็นอันไร๎ประโยชน๑แกํเจ๎าหนี้แล๎ว มีกฎหมายกําหนดไว๎โดยเฉพาะแล๎วตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 218 วรรคสอง จึงต๎องบงั คับตามกฎหมายเฉพาะน้นั

ขอ้ สังเกต ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 218 วรรคสอง เป็นสํวนที่
ขยายมาจากประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 218 วรรคหนึ่ง55 ดังน้ัน ประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 218 วรรคสอง จึงหมายความวํา การชําระหน้ีกลายเป็น
พ๎นวิสัยแตเํ พยี งบางสวํ น เพราะพฤตกิ ารณ๑อนั ใดอนั หน่งึ ซ่งึ ลูกหน้ีต๎องรับผิดชอบ แตํหากการ
ชําระหน้กี ลายเป็นพ๎นวิสัยแตํเพียงบางสํวน เพราะพฤติการณ๑อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหน้ีไมํต๎อง
รบั ผดิ ชอบ จะต๎องบังคับตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 219

ตัวอย่าง เจา๎ หนซี้ ้อื ชามโบราณแบบมีฝาปิดจากลูกหน้ี เพ่ือนําไปใสํตู๎โชว๑ที่บ๎าน
โดยกําหนดให๎ลูกหนี้นําชามดังกลําวมาสํงท่ีบ๎านของเจ๎าหนี้ แตํปรากฏวําระหวํางขนสํง ได๎
เกิดอุบัติเหตุเป็นเหตุให๎ฝาชามดังกลําวแตก ดังนี้ ในสํวนของฝาชามน้ัน ถือวําการชําระหนี้
กลายเปน็ พ๎นวิสัย เพราะพฤติการณ๑อันใดอันหน่ึงซึ่งเกิดข้ึนภายหลังท่ีได๎กํอหน้ี ซ่ึงลูกหน้ีไมํ
ตอ๎ งรบั ผดิ ชอบ ลูกหน้จี งึ เปน็ อันหลดุ พ๎นจากการชาํ ระหน้นี ้นั ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 219 แตใํ นสํวนของตัวชามนั้น ลกู หน้กี ็ยงั คงมีหน๎าทต่ี อ๎ งชําระหนอ้ี ยูํ เปน็ ต๎น

12.2 การชาระหนีก้ ลายเป็นพน้ วสิ ยั เพราะพฤติการณ์ท่ลี กู หนไ้ี ม่ต้องรบั ผดิ ชอบ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 บัญญัติวํา ถ๎าการชําระหนี้

กลายเป็นพน๎ วสิ ัยเพราะพฤติการณ๑อนั ใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังท่ีได๎กํอหน้ี และซึ่งลูกหน้ี
ไมํตอ๎ งรบั ผิดชอบนั้นไซร๎ ทํานวําลกู หนี้เป็นอันหลดุ พน๎ จากการชําระหนี้นน้ั

ถา๎ ภายหลังท่ีไดก๎ ํอหนี้ขึ้นแลว๎ นั้น ลูกหนกี้ ลายเป็นคนไมํสามารถจะชําระหน้ีได๎
ไซร๎ ทํานให๎ถอื เสมือนวาํ เป็นพฤติการณ๑ทท่ี าํ ให๎การชาํ ระหนต้ี กเป็นอนั พน๎ วสิ ยั ฉะน้นั ”

55สนุ ทร มณสี วัสดิ์, เรือ่ งเดิม, หนา๎ 135-136.

89

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 วรรคแรก หมายความวํา
ถา๎ การชําระหนี้กลายเปน็ พ๎นวิสยั เพราะพฤติการณ๑ซึ่งลูกหน้ีไมํต๎องรับผิดชอบ ลูกหนี้เป็นอัน
หลุดพ๎นจากการชําระหนน้ี ั้น คือ ลูกหนไี้ มํตอ๎ งชาํ ระหน้นี นั้ แล๎ว

สาํ หรับพฤติการณซ๑ ึง่ ลูกหนี้ไมํต๎องรับผิดชอบนั้น อาจมีได๎หลายกรณี เชํน
1. กรณีท่ีเกิดจากเจ๎าหนี้เอง ได๎แกํ ลูกหน้ียืมควายไปจากเจ๎าหนี้ แตํเจ๎าหนี้
กลับมาแอบฆําควายตัวนั้นตาย เป็นต๎น
2. กรณีท่ีเกิดจากบุคคลภายนอก เชํน บุคคลภายนอกขโมยทรัพย๑ซ่ึงเป็นวัตถุ
แหงํ หนีไ้ ป เปน็ ตน๎
3. เหตุสุดวิสัย เชํน น้ําทํวม ลมพายุ สึนามิ แผํนดินไหว ฟ้าผํา อุบัติเหตุ
โรคระบาด เปน็ ต๎น
ตัวอยา่ ง นาย ก. ทําสัญญาขายควายให๎นาย ข. มีกําหนดสํงมอบควายในวันท่ี
31 กรกฎาคม 2561 แตกํ อํ นจะถงึ กําหนดสงํ มอบ ควายไดถ๎ กู ฟ้าฝา่ ตายเสยี กํอน ถือเป็นกรณี
การชาํ ระหนีก้ ลายเป็น พ๎นวิสัยเพราะพฤติการณ๑ซึง่ นาย ก. ไมํต๎องรบั ผดิ ชอบ นาย ก. จึงเป็น
อันหลุดพ๎นจากการชําระหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 และ
นาย ก. ก็มีสิทธิได๎รับเงินคําซื้อขายควาย ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
370 วรรคแรก ประกอบมาตรา 372

ข้อสงั เกต
1. ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 ได๎บัญญัติไว๎สอดคล๎องกับ
กรณีที่ไมํถือวําลูกหนี้ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 205 กลําวคือ
ลูกหน้ไี มํต๎องรับผิดชอบ หากการไมํชําระหน้ีหรือการชําระหนี้กลายเป็นอันพ๎นวิสัย เกิดจาก
พฤติการณ๑ซ่ึงลูกหนี้ไมํต๎องรับผิดชอบ เชํน ลูกหนี้ยืมรถยนต๑ไปจากเจ๎าหน้ี มีกําหนดสํงคืน
วันที่ 31 กรกฎาคม 2561 แตํกํอนจะถึงกําหนดสํงคืน รถยนต๑ถูกฟ้าฝ่าเสียหายทั้งหมด ถือ
เป็นกรณีที่ลูกหน้ีไมํไดช๎ ําระหนี้ เพราะพฤตกิ ารณซ๑ ่งึ ลูกหนไี้ มํตอ๎ งรับผิดชอบ ดังนั้น ลูกหนี้จึง
ไมํตกเป็นผ๎ผู ิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 205 และเม่ือการชําระหนี้
กลายเปน็ พ๎นวสิ ยั เพราะพฤติการณ๑ซ่ึงลูกหนี้ไมํต๎องรับผิดชอบ ลูกหนี้จึงเป็นอันหลุดพ๎นจาก
การชําระหนน้ี ัน้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219
2. บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑มาตรา 219 นั้น เจ๎าหน้ี
และลูกหนสี้ ามารถตกลงใหแ๎ ตกตํางได๎ เพราะมิใชํกฎหมายท่ีเก่ยี วกับความสงบเรยี บร๎อย เชํน
ทาํ สญั ญาซอ้ื ขายม๎า โดยตกลงกันวําถา๎ มา๎ ตายกํอนสงํ มอบ แมก๎ ารทีม่ า๎ ตายนน้ั จะมิได๎เกิดจาก
พฤติการณ๑ซ่ึงลูกหนี้ต๎องรับผิดชอบ แตํลูกหน้ีก็จะชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํเจ๎าหนี้
ข๎อตกลงตามสัญญาน้มี ีผลบงั คบั ไดต๎ ามกฎหมาย เปน็ ตน๎

90

คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่เกยี่ วข้อง
คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 514/2507 จําเลยได๎เชําช๎างของโจทก๑ไปเพ่ือชักลาก
ไม๎ ตํอมา ช๎างตายเพราะตกจากเขา อันเป็นเหตุสุดวิสัย ดังนี้ เม่ือการชําระหน้ีกลายเป็น
พ๎นวสิ ัย เพราะพฤติการณอ๑ นั ใดอนั หนึง่ ซง่ึ ลูกหน้ีไมํต๎องรับผิดชอบ ลูกหนี้จึงหลุดพ๎นจากการ
ชําระหน้ีน้ัน ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 219
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 831/2512 การเชาํ กระบือไปทาํ นา ถ๎ามิได๎ตกลงกันไว๎
เป็นอยํางอ่ืน ผู๎เชําจะต๎องสํงกระบือคืนแกํผ๎ูให๎เชําก็ตํอเมื่อเสร็จฤดูทํานา แตํปรากฏวํากํอน
จะถึงกําหนดสงํ กระบอื คนื คนรา๎ ยไดป๎ ล๎นเอากระบือไป เป็นกรณีสุดวิสัยของผ๎ูเชําจะป๓ดป้อง
ขัดขวางได๎ ถือวําการชําระหน้ีกลายเป็นพ๎นวิสัยเพราะพฤติการณ๑ซึ่งผู๎เชําไมํต๎องรับผิดชอบ
ผู๎เชําจึงไมตํ อ๎ งรบั ผดิ ชดใช๎ราคากระบือที่เชํามา
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 118/2525 การที่นํ้าทํวมบริเวณโรงงาน แตํไมํได๎ทํวม
ตวั โรงงานจนถึงข้ันต๎องปิดโรงงานนั้น พฤติการณ๑ดังกลําวไมํถือวําเป็นเหตุขัดขวางในการท่ี
นายจ๎างจะจํายคําจ๎างให๎แกํลูกจ๎าง และไมํถือวําการชําระหน้ีกลายเป็นพ๎นวิสัยเพราะ
พฤติการณ๑อันใดอันหน่ึงซึ่งเกิดขึ้นภายหลังท่ีได๎กํอหนี้และซ่ึงลูกหน้ีไมํต๎องรับผิดชอบ ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 นายจ๎างจึงไมํหลุดพ๎นจากการชําระหน้ี
คาํ จา๎ งน้นั
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2525 โจทก๑ตกลงเชําซ้ือท่ีดินจากจําเลย เมื่อ
จาํ เลยไมสํ ามารถสํงมอบที่ดินให๎แกํโจทก๑ได๎ เพราะที่ดินถูกเวนคืน การชําระหน้ียํอมตกเป็น
พน๎ วสิ ยั เพราะเหตุอยํางใดอยาํ งหน่ึงอันจะโทษฝา่ ยหนง่ึ ฝ่ายใดมิได๎ จําเลยจึงหลุดพ๎นจากการ
ชาํ ระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 แตํจําเลยซ่ึงเป็นลูกหนี้ก็ยํอม
ไมํมีสิทธิได๎รับชําระหน้ีตอบแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑มาตรา 372
วรรคแรก โจทก๑จึงมีสิทธเิ รยี กคําเชาํ ซอื้ ทช่ี ําระไปแลว๎ คนื จากจาํ เลยได๎
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 7246/2538 การชําระหนีข้ องลกู หน้ีกลายเป็นพ๎นวิสัย
เพราะเหตุอยํางใดอยาํ งหนึง่ อนั จะโทษลกู หน้ีหรอื เจา๎ หน้ีไมไํ ด๎ ลูกหน้ีจงึ หลดุ พน๎ จากการชําระ
หน้ี ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 219 วรรคแรก แตํลูกหนี้ก็ไมํมีสิทธิท่ีจะ
ได๎รับชําระหน้ีตอบแทนจากเจ๎าหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 372
วรรคแรก
คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1718/2539 โจทกแ๑ ละจําเลยทําสัญญาจะซือ้ ขายที่ดิน
กัน โดยตกลงวําจําเลยจะจดทะเบียนโอนที่ดินให๎แกํโจทก๑ เม่ือได๎ออก น.ส.3 แล๎ว ตํอมามี
การออก น.ส.3 แตํมีข๎อกําหนดห๎ามโอนภายใน 10 ปี การจดทะเบียนโอนที่ดินแกํโจทก๑จึง
กลายเปน็ พ๎นวิสยั อนั ทาํ ให๎จาํ เลยหลุดพน๎ จากการชําระหน้ี ไมํต๎องจดทะเบียนโอนที่ดินให๎แกํ
โจทก๑ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 219 วรรคแรก

91

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1074/2546 การที่จําเลยไมํสามารถสํงมอบข๎าวสาร
ใหแ๎ กํโจทกไ๑ ด๎ เนื่องมาจากไฟไหม๎โรงสีของจําเลยนั้น เมื่อเหตุการณ๑ไฟไหม๎ไมํปรากฏวําเกิด
จากการกระทําของผใ๎ู ด จึงถือวําการชาํ ระหนี้กลายเป็นพ๎นวิสัยเพราะพฤติการณ๑ซึ่งจําเลยซ่ึง
เป็นลูกหน้ีไมํต๎องรับผิดชอบ จําเลยจึงหลุดพ๎นจากการชําระหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 219 วรรคแรก

สํวนบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 วรรคสอง
หมายความวํา “ถ๎าลูกหนี้กลายเป็นคนไมํสามารถจะชําระหนี้ได๎” กลําวคือ ลูกหนี้ต๎องใช๎
ความรค๎ู วามสามารถซึ่งเป็นคณุ สมบตั ิเฉพาะตัวของตนในการชําระหน้ี แตํลูกหน้ีได๎กลายเป็น
คนไมสํ ามารถจะชําระหนีไ้ ด๎ ใหถ๎ ือเสมือนวําเป็นพฤติการณ๑ที่ทําให๎ “การชําระหนี้ตกเป็นอัน
พน๎ วิสัย” ซึ่งประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 วรรคสอง นั้น เป็นบทบัญญัติท่ี
ขยายความประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 วรรคแรก ดังนั้น ประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 วรรคสอง จงึ หมายความวาํ ถา๎ ภายหลงั ที่ได๎กํอหน้ีขึ้น
แล๎วน้ัน ลูกหน้ีกลายเป็นคนไมํสามารถจะชําระหนี้ได๎ “เพราะพฤติการณ๑ซ่ึงลูกหน้ีไมํต๎อง
รับผิดชอบ” ให๎ถือเสมือนวําเป็นพฤติการณ๑ท่ีทําให๎การชําระหนี้ตกเป็นอันพ๎นวิสัย “เพราะ
พฤตกิ ารณซ๑ ึ่งลูกหนี้ไมตํ อ๎ งรับผดิ ชอบ” กลําวคือ มีผลให๎ลูกหน้ีเป็นอันหลุดพ๎นจากการชําระ
หนีห้ รือไมตํ อ๎ งชําระหนีน้ ้ันแลว๎

ตัวอยา่ ง นาย ก. จา๎ งนาย ข. ไปร๎องเพลงในงานแตํงงานของตน แตํกํอนจะถึง
วันแตํงงาน นาย ค. ขับรถชนนาย ข. ด๎วยความประมาท เป็นเหตุให๎นาย ข. ได๎รับบาดเจ็บ
สาหสั จนไมสํ ามารถไปร๎องเพลงได๎ตามสัญญา ดังน้ี เม่ือนาย ข. กลายเป็นคนไมํสามารถจะ
ชาํ ระหนี้ได๎ จึงให๎ถือเสมือนวําเป็นพฤติการณ๑ที่ทําให๎การชําระหนี้ตกเป็นอันพ๎นวิสัย เพราะ
พฤติการณ๑ซึ่งลูกหน้ีไมํต๎องรับผิดชอบ กลําวคือ นาย ข. เป็นอันหลุดพ๎นจากการชําระหนี้
หรอื ไมตํ อ๎ งรอ๎ งเพลงตามสัญญาแล๎ว แตํนาย ข. ก็จะไมํมีสิทธิได๎รับคําตอบแทนเชํนกัน ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 372 วรรคแรก (ทํานองเดียวกันกับการจ๎าง
อาจารย๑สอนพิเศษ แลว๎ อาจารย๑กลายเปน็ คนวกิ ลจรติ )

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 4968 - 5050/2543 การท่ีกระทรวงการคลังมีคําสั่ง
ให๎ระงบั การดาํ เนนิ กจิ การของจาํ เลย เป็นเหตุให๎จําเลยไมํสามารถจําหนํายหุ๎นให๎แกํโจทก๑ได๎
ตามปกติน้นั ถือไดว๎ ําภายหลังที่ได๎กอํ หนี้ข้ึนแลว๎ จาํ เลยซ่ึงเป็นลูกหนี้กลายเป็นคนไมํสามารถ
ชําระหนไ้ี ด๎ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 219 วรรคสอง

92

ข้อสังเกต การที่ลูกหนี้ไมํมีเงินชําระหน้ี เชํน ลูกหนี้กลายเป็นคนหนี้สิน
ล๎นพ๎นตัว หรือลูกหน้ีถูกปล๎นทรัพย๑สินจนหมดตัว หรือเกิดไฟไหม๎บ๎านทําให๎ทรัพย๑สินของ
ลูกหน้ีเสียหายท้ังหมด เป็นต๎น ไมํถือเป็นกรณีลูกหน้ีกลายเป็นคนไมํสามารถจะชําระหน้ีได๎
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 วรรคสอง กลําวคือ ลูกหนี้ไมํหลุดพ๎น
จากการชาํ ระหน้ีน้ัน

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1768/2549 แม๎กระทรวงการคลังจะส่ังระงับการ
ดําเนินกิจการของจําเลย และห๎ามจําเลยชําระหน้ีแกํโจทก๑เมื่อถึงกําหนดชําระหนี้
แตํจําเลยอาจจะฟ้ืนฟูกิจการและดําเนินกิจการตํอไปได๎ในอนาคต ดังน้ัน การที่จําเลยไมํ
สามารถชําระหนี้แกํโจทก๑ตามกําหนด จึงไมํใชํกรณีท่ีจําเลยซ่ึงเป็นลูกหน้ีกลายเป็นคนไมํ
สามารถชําระหนี้ได๎ อันถือเสมือนวําเป็นพฤติการณ๑ท่ีทําให๎การชําระหนี้ตกเป็นอันพ๎นวิสัย
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 219 วรรคสอง

13. ความผดิ ของลกู หนีก้ รณีทีใ่ ชใ้ หบ้ ุคคลอน่ื ชาระหน้ี
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 220 บัญญัตวิ ํา “ลูกหน้ีต๎องรับผิดชอบ

ในความผิดของตัวแทนแหํงตน กับทั้งของบุคคลท่ีตนใช๎ในการชําระหน้ีน้ัน โดยขนาดเสมอ
กบั วําเปน็ ความผดิ ของตนเองฉะนั้น แตํบทบัญญัตแิ หงํ มาตรา 373 หาใช๎บังคับแกํกรณีเชํนนี้
ดว๎ ยไมํ”

ในการชําระหนนี้ ้นั ลูกหน้ีอาจชําระหนีเ้ อง หรอื อาจจะตง้ั ตัวแทนหรือใช๎บุคคลอื่นไป
ชาํ ระหนี้แทนตนกไ็ ด๎ ซ่งึ ในกรณที ม่ี กี ารตั้งตวั แทนหรือใช๎บุคคลอ่ืนไปชําระหน้ีแทน ประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 220 กําหนดวําลูกหนี้ต๎องรับผิดชอบในความผิดของ
ตัวแทนแหํงตน กับท้ังของบุคคลท่ีตนใช๎ในการชําระหนี้นั้น เสมือนกับวําเป็นความผิดของ
ตนเอง เชํน นาย ก. ยมื รถยนต๑จากนาย ข. ไป เมื่อถึงกําหนดสํงคืน นาย ก. ได๎ใช๎ให๎นาย ค.
นํารถยนต๑น้ันไปสํงคืนให๎แกํนาย ข. แตํในระหวํางทางท่ีนํารถยนต๑นั้นไปคืน นาย ค. ขับ
รถยนต๑น้ันไปชนด๎วยความประมาท เป็นเหตุให๎รถยนต๑นั้นเสียหายหมดทั้งคัน ดังนี้ นาย ก.
ตอ๎ งรบั ผิดชอบในความผิดของนาย ค. ซ่ึงเป็นบุคคลท่ีตนใช๎ให๎ไปชําระหนี้ เสมือนกับวําเป็น
ความผิดของนาย ก. เอง ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 220 โดยเม่ือการ
ชาํ ระหน้ีกลายเปน็ พน๎ วสิ ยั เพราะพฤติการณ๑ซง่ึ นาย ก. ต๎องรับผิดชอบ นาย ก. จึงต๎องชดใช๎
คําสินไหมทดแทนให๎แกํนาย ข. ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 218
เปน็ ตน๎

สํวนบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 220 วรรคแรก
ตอนท๎าย ซึ่งบญั ญตั วิ าํ “แตบํ ทบัญญตั ิแหํงมาตรา 373 หาใช๎บังคบั แกํกรณเี ชํนนี้ด๎วยไมํ” นั้น
หมายความวํา บทบญั ญัตติ ามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 373 จะนํามาใช๎กับ
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 220 วรรคแรก ไมํได๎ ซึ่งประมวลกฎหมายแพํง

93

และพาณิชย๑ มาตรา 373 บัญญัติวํา “ความตกลงทําไว๎ลํวงหน๎าเป็นข๎อความยกเว๎นมิให๎
ลูกหนี้ต๎องรับผิดเพ่ือกลฉ๎อฉล หรือความประมาทเลินเลํออยํางร๎ายแรงของตนนั้น ทํานวํา
เปน็ โมฆะ” ดงั นน้ั ลกู หนแี้ ละเจ๎าหนี้จึงสามารถทําความตกลงไว๎ลํวงหน๎าวําลูกหนี้ไมํต๎องรับ
ผิด ในกลฉ๎อฉลหรือความประมาทเลินเลํออยํางร๎ายแรงของตัวแทนแหํงลูกหนี้หรือบุคคลท่ี
ลูกหนใ้ี ช๎ในการชําระหนี้ได๎

ตัวอย่าง นาย ก. ยืมรถยนต๑จากนาย ข. ไป โดยตกลงกันวํานาย ก. จะให๎นาย ค.
เป็นผน๎ู ํารถยนตน๑ น้ั ไปสํงคืน และยังตกลงกันอีกวํานาย ก. จะไมํต๎องรับผิด ในกลฉ๎อฉลหรือ
ความประมาทเลินเลํออยํางร๎ายแรงของนาย ค. ดังน้ี ถือวําข๎อตกลงซ่ึงได๎ทําไว๎ลํวงหน๎าเพ่ือ
ยกเว๎นความรับผิดของนาย ก. น้ัน มีผลใช๎บังคับได๎ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 220 โดยไมตํ กเปน็ โมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 373 แตํถ๎า
นาย ก. ตกลงกับนาย ข. ไว๎ลํวงหน๎า เพอ่ื ยกเว๎นมิใหน๎ าย ก. ต๎องรับผิดในกลฉ๎อฉลหรือความ
ประมาทเลินเลํออยํางร๎ายแรงของนาย ก. น้ัน ข๎อตกลงน้ันตกเป็นโมฆะ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 373

14. หลกั เกณฑ์การเรยี กค่าสนิ ไหมทดแทน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 บัญญัติวํา “การเรียกเอา

คาํ เสยี หายนน้ั ไดแ๎ กํเรียกคําสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเชํนท่ีตามปกติยํอมเกิดขึ้นแตํ
การไมชํ ําระหนี้น้ัน

เจ๎าหนี้จะเรียกคําสินไหมทดแทนได๎ แม๎กระทั่งเพ่ือความเสียหายอันเกิดแตํ
พฤติการณ๑พิเศษ หากวําคํูกรณีที่เกี่ยวข๎องได๎คาดเห็นหรือควรจะได๎คาดเห็นพฤติการณ๑
เชนํ น้นั ลวํ งหนา๎ กํอนแล๎ว”

กรณีที่กฎหมายกําหนดให๎เจ๎าหนี้เรียกเอาคําสินไหมทดแทนจากลูกหนี้ได๎ เชํน
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 213 วรรคท๎าย หรือมาตรา 215 เป็นต๎น จะต๎อง
เปน็ กรณีที่ลูกหนไี้ มํชําระหน้ีและกํอให๎เกิดความเสียหายแกํเจ๎าหนี้ ถ๎าลูกหน้ีไมํชําระหน้ี แตํ
ไมํกํอให๎เกิดความเสียหายแกํเจ๎าหน้ี เจ๎าหนี้จะเรียกร๎องเอาคําสินไหมทดแทนจากลูกหนี้
ไมํได๎56

ตัวอย่างท่ี 1 เจ๎าหนี้ตกลงซ้ือชุดเจ๎าสาวจากลูกหนี้ แตํเม่ือถึงกําหนดสํงมอบ
ชุดเจ๎าสาว ลูกหน้ีกลับละเลยเสียไมํยอมสํงมอบชุดเจ๎าสาวให๎ ดังน้ี เจ๎าหนี้มีสิทธิร๎องขอตํอ
ศาล เพื่อให๎ศาลส่ังบังคับให๎ลูกหนี้สํงมอบชุดเจ๎าสาวให๎แกํเจ๎าหน้ีได๎ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรก และหากข๎อเท็จจริงปรากฏวํา การที่ลูกหนี้ละเลย
เสียไมํยอมสํงมอบชุดเจ๎าสาวให๎แกํเจ๎าหนี้ ทําให๎เจ๎าหนี้ได๎รับความเสียหายต๎องไปเชําชุด

56ไพโรจน๑ วายุภาพ, เร่ืองเดิม, หน๎า 209,220., โสภณ รัตนากร, เร่ืองเดิม, หน๎า
163., ปราโมทย๑ จารุนลิ , เร่อื งเดิม, หนา๎ 90.

94

เจา๎ สาวมาจากรา๎ นอื่นเพ่ือใช๎ในงานแตํงงาน เจ๎าหน้ีก็มีสิทธิท่ีจะเรียกร๎องเอาคําเสียหายจาก
ลูกหนี้ได๎อกี ด๎วย ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 213 วรรคทา๎ ย

ตัวอย่างที่ 2 เจ๎าหนี้ตกลงซื้อชุดเจ๎าสาวจากลูกหน้ี แตํเม่ือถึงกําหนดสํงมอบ
ชุดเจ๎าสาว ลูกหน้ีกลับละเลยเสียไมํยอมสํงมอบชุดเจ๎าสาวให๎ ดังนี้ เจ๎าหนี้มีสิทธิร๎องขอตํอ
ศาล เพ่ือให๎ศาลส่ังบังคับให๎ลูกหน้ีสํงมอบชุดเจ๎าสาวให๎แกํเจ๎าหนี้ได๎ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรก แตํหากข๎อเท็จจรงิ ปรากฏวํา การท่ีลูกหนี้ละเลยเสีย
ไมํยอมสํงมอบชุดเจ๎าสาวให๎แกํเจ๎าหน้ี มิได๎ทําให๎เจ๎าหนี้ได๎รับความเสียหาย เพราะเจ๎าหนี้ได๎
ยกเลกิ การแตงํ งานไปกํอนกําหนดสํงมอบชุดเจ๎าสาวแล๎ว เจ๎าหน้ียํอมไมํมีสิทธิท่ีจะเรียกร๎อง
เอาคําเสียหายจากลกู หนี้ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคทา๎ ย ได๎

ตัวอย่างที่ 3 เจ๎าหน้ีตกลงซื้อชุดเจ๎าสาวจากลูกหนี้ โดยกําหนดสํงมอบชุดเจ๎าสาว
วนั ท่ี 15 พฤษภาคม 2564 และจะแตํงงานในวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 แตํเมื่อถึงวันท่ี 15
พฤษภาคม 2564 ลูกหนก้ี ลับละเลยเสยี ไมยํ อมสงํ มอบชดุ เจ๎าสาว ทําให๎เจ๎าหนี้ต๎องเสียเงินไป
เชาํ ชุดเจ๎าสาวมาจากรา๎ นอน่ื ตํอมาลูกหน้ีมาสํงมอบชุดเจ๎าสาวในวันท่ี 16 พฤษภาคม 2564
ดังนี้ เจ๎าหนี้รับชุดเจ๎าสาวไว๎และเรียกร๎องเอาคําสินไหมทดแทนจากลูกหน้ีได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215

ตัวอย่างที่ 4 เจ๎าหนี้ตกลงซื้อชุดเจ๎าสาวจากลูกหนี้ โดยกําหนดสํงมอบชุดเจ๎าสาว
วันท่ี 15 พฤษภาคม 2564 และจะแตํงงานในวันท่ี 20 พฤษภาคม 2564 แตํเม่ือถึงวันที่ 15
พฤษภาคม 2564 ลูกหน้ีกลับละเลยเสียไมํยอมสํงมอบชุดเจ๎าสาว แล๎วลูกหน้ีมาสํงมอบชุด
เจา๎ สาวในวนั ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ดงั น้ี แม๎ลูกหน้ีจะไมํชําระหน้ีให๎ต๎องตามความประสงค๑
อันแท๎จริงแหํงมูลหน้ี แตํเมื่อไมํกํอให๎เกิดความเสียหายแกํเจ๎าหน้ี เจ๎าหนี้เรียกร๎องเอา
คําสินไหมทดแทนจากลูกหน้ีไมไํ ด๎ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 215

ตัวอย่างคาพิพากษาศาลฎกี าท่ีวนิ จิ ฉยั ว่าเจ้าหนไี้ ม่ได้รับความเสยี หาย
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2523 การที่โจทก๑บอกเลิกสัญญาซ้ือขายกับจําเลย
แล๎วโจทก๑ได๎ไปซ้ือสินค๎าจากผู๎อ่ืนในราคาซึ่งถูกกวําน้ัน ถือวําโจทก๑ไมํได๎รับความเสียหาย
โจทกจ๑ ึงจะเรยี กร๎องเอาคาํ สินไหมทดแทนจากจาํ เลยไมไํ ด๎
คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 1581/2524 การที่ผ๎ูซ้ือผิดสัญญาไมํสํงเรือมารับสินค๎าจาก
ผข๎ู าย แตสํ ินคา๎ นนั้ ในขณะทผ่ี ดิ สัญญาสูงกวําราคาขณะตกลงซื้อขายกันนั้น เมื่อผ๎ูขายไมํขาด
กําไรผู๎ขายจึงไมไํ ดร๎ บั ความเสยี หาย ดงั น้ัน ผู๎ขายจงึ เรยี กคําเสยี หายจากผ๎ซู อ้ื ไมํได๎
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 691/2511 คําใช๎จํายในของเจ๎าหน้ีการติดตามทวงถาม
หนี้สิน มิใชํผลโดยตรงจากการผิดสัญญา มิใชํคําเสียหายพิเศษ และไมํมีกฎหมายบังคับให๎
ฝ่ายผิดสญั ญาต๎องรบั ผดิ ชอบ

95

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2526 จําเลยผิดสัญญา โจทก๑จึงจ๎างทนายความให๎
ฟ้องจําเลย ดังนี้ เมื่อคําจ๎างทนายความให๎ฟ้องจําเลย มิใชํคําเสียหายอันเกิดขึ้นจากการที่
จําเลยผิดสญั ญาระหวํางโจทก๑จาํ เลยโดยตรง โจทกจ๑ งึ เรียกรอ๎ งเอาจากจาํ เลยไมํได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 6511/2538 จําเลยทําสัญญาจะซ้ือจะขายท่ีดินกับโจทก๑
แตํจําเลยไมํยอมโอนที่ดินน้ันให๎แกํโจทก๑ และจําเลยได๎โอนท่ีดินน้ันให๎แกํบุคคลอ่ืน
โจทก๑จงึ ต๎องคนื เงินมัดจําให๎แกํ ว. ผู๎จะซ้ือที่ดินน้ันตํอจากโจทก๑ ดังนี้ โจทก๑ยังไมํได๎รับความ
เสยี หาย โจทกจ๑ ึงเรยี กรอ๎ งเอาคาํ สินไหมทดแทนจากจําเลยในสวํ นน้ีไมํได๎

ข้อสังเกต ป๓ญหาท่ีวําเจ๎าหน้ีได๎รับความเสียหายหรือไมํ เป็นป๓ญหาข๎อเท็จจริง
เจา๎ หน้ีจึงมหี น๎าทตี่ อ๎ งกลําวมาในคําฟ้องและพิสูจน๑ข๎อเท็จจริงน้ัน ถ๎าเจ๎าหนี้ไมํได๎กลําวมาใน
คาํ ฟอ้ งวาํ ตนได๎รบั ความเสยี หายอยํางไร ศาลต๎องพิพากษายกฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธี
พจิ ารณาความแพงํ มาตรา 142 แตํถ๎าเจ๎าหน้ีกลําวมาในคําฟ้องแล๎วและเรียกคําเสียหายมา
จํานวนหนง่ึ ศาลตอ๎ งวินิจฉยั ประเดน็ คาํ เสยี หายนั้นเสมอ แมจ๎ าํ เลยจะไมํได๎ยกขึ้นเป็นข๎อตํอสู๎
ในคําใหก๎ ารกต็ าม ศาลจะพพิ ากษาใหเ๎ ต็มจาํ นวนตามทีเ่ จ๎าหน้ีขอมาเลยไมํได๎ หรือหากเจ๎าหนี้
ไมํได๎นําสืบ ศาลก็พิพากษาให๎ลูกหนี้ชดใช๎คําเสียหายแกํเจ๎าหนี้ตามความเหมาะสม จาก
พฤติการณ๑ในสํานวนคดีนั้นได๎57

การเรยี กคําสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 222 แบํง
ออกเป็น 2 กรณี คอื

14.1 การเรียกค่าสินไหมทดแทนตามปกติ การเรียกคําสินไหมทดแทนความ
เสียหายท่ีเกิดขึ้นตามปกติเมื่อมีการไมํชําระหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 222 วรรคแรก นั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามปกติเมื่อมีการไมํชําระหนี้ หมายถึง
ความเสยี หายที่วญิ ๒ูชนอาจคาดเห็นไดล๎ วํ งหนา๎ เพราะเปน็ ความเสียหายทีใ่ กลช๎ ิดกับเหตุ

ตัวอย่างที่ 1 คําสินไหมทดแทนตามปกติในกรณีท่ีผ๎ูเชําออกจากสถานท่ีเชํา
ลําช๎านั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามปกติเมื่อมีการไมํชําระหนี้ คือ คําเชําเป็นรายวัน
(คําพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 1141/2502)

ตัวอยา่ งที่ 2 ผู๎ขายไมยํ อมสํงมอบสนิ คา๎ ท่ขี ายใหต๎ ามสัญญา ทําให๎ผู๎ซื้อต๎องเสีย
คําใช๎จํายไปซื้อสินค๎าชนิดน้ันจากผู๎อื่นในราคาท่ีสูงกวํา ดังนี้ ผู๎ซ้ือเรียกคําสินไหมทดแทน
ตามปกติ โดยคํานวณจากเงินที่ต๎องจํายเพ่ิมข้ึนจากราคาท่ีตกลงซ้ือขายกันนั้นได๎
(คาํ พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 47/2489)

57ไพโรจน๑ วายุภาพ, เรือ่ งเดิม, หนา๎ 230.

96

ตวั อย่างท่ี 3 เจา๎ หนีต้ กลงสงั่ ซอ้ื สินค๎าจากลูกหนี้มาขายตํอ แตํลูกหนี้ไมํสํงมอบ
สินค๎าให๎ตามกําหนดวันแหํงปฏิทิน ซ่ึงในการนําสินค๎าไปขายตํอนั้น เจ๎าหนี้จะได๎รับกําไร
ประมาณ 50,000 บาท ดังน้ี การท่ีเจ๎าหนี้ไมํได๎รับผลกําไรประมาณ 50,000 บาท จึงเป็น
ความเสียหายเชํนท่ีตามปกติยํอมเกิดขึ้นแตํการไมํชําระหนี้นั้น เจ๎าหน้ีจึงมีสิทธิเรียก
คําสนิ ไหมทดแทนจํานวน 50,000 บาท ได๎

ตัวอย่างที่ 4 ลูกหน้ีรับจ๎างกํอสร๎างอาคารและเป็นฝ่ายผิดสัญญา เป็นเหตุให๎
เจ๎าหนี้ต๎องจ๎างคนอื่นมาทํางานแทนในราคาแพงกวําราคาท่ีเจ๎าหน้ีตกลงกับลูกหนี้ไว๎ เงินท่ี
เจ๎าหนี้ต๎องจํายเพิ่มขึ้นจึงเป็นความเสียหายเชํนที่ตามปกติยํอมเกิดขึ้นแตํการไมํชําระหนี้
ดังนั้น ลูกหน้ีจึงต๎องรับผิดชดใช๎เงินจํานวนดังกลําวแกํเจ๎าหนี้ (คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี
4004/2534)

คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ีเกยี่ วขอ้ ง
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2513 โจทก๑ฟ้องขอให๎บังคับจําเลยโอนท่ีดิน
ให๎แกํโจทก๑โดยตีราคาทุนทรัพย๑ของที่ดินไว๎ท่ี 240,000 บาท จําเลยก็รับวําที่ดินน้ันมีราคา
ตามท่ีโจทก๑ตไี ว๎ ดังนี้ ต๎องถือวําโจทก๑ขอให๎บังคับจําเลยสํงทรัพย๑ราคา 240,000 บาท ให๎แกํ
โจทก๑ หากจําเลยไมํสามารถโอนท่ีดินให๎โจทก๑ได๎ ก็ต๎องใช๎ราคา 240,000 บาท จะถือเอา
ราคาซอ้ื ขายตามทโี่ จทก๑ตกลงซอ้ื จากจาํ เลย 20,000 บาท ไมํได๎
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 912/2514 การที่ผ๎ูจะขายที่ดินผิดนัดไมํโอนที่ดิน
ใหแ๎ กผํ ๎ูจะซ้ือ ทาํ ให๎ผ๎ูจะซอ้ื ต๎องเสยี คําเชาํ บา๎ นท่ีเชําคนอ่ืนอยํูน้ัน ไมํถือเป็นความเสียหายเชํน
ท่ีตามปกติยํอมเกิดข้ึนแตํการไมํชําระหนี้น้ัน และถ๎าจะถือวําเป็นคําเสียหายอันเกิดแตํ
พฤติการณ๑พิเศษ ผ๎ูจะขายก็จะต๎องได๎คาดเห็นหรือควรได๎คาดเห็นอยูํกํอนแล๎ว ผ๎ูจะขายจึง
จะต๎องชดใช๎ให๎ สํวนการท่ีผจ๎ู ะซือ้ ไปก๎ูเงินเขามาชาํ ระตอ๎ งเสียดอกเบยี้ นน้ั เรื่องดอกเบ้ียก็เป็น
ภาระสวํ นตวั ของผจู๎ ะซอ้ื การที่ผ๎ูจะขายผิดนัดไมํโอนที่ดนิ ทจ่ี ะขายให๎ ไมํเป็นเหตุโดยตรงที่ทํา
ให๎ผู๎จะซือ้ ตอ๎ งเสียดอกเบยี้ ผ๎ูจะซื้อจึงเรียกใหผ๎ จู๎ ะขายชดใชใ๎ ห๎เป็นคาํ เสียหายไมํได๎
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2101/2514 จําเลยทําสัญญาจะขายท่ีดินพร๎อมด๎วย
ตกึ แถวให๎แกโํ จทก๑ แลว๎ จาํ เลยกลบั โอนท่ีดินและตึกแถวน้ันให๎ผู๎อื่นไป ดังน้ี จําเลยจะต๎องคืน
เงินที่รบั ไว๎จากโจทก๑พร๎อมดอกเบย้ี สาํ หรับเงนิ ที่คนื นั้น และจําเลยยังต๎องชดใช๎คําเสียหายแกํ
โจทกอ๑ ีกดว๎ ย โดยราคาที่ดินและตกึ แถวทเี่ พ่ิมข้นึ นนั้ ถือเปน็ ความเสียหายเชนํ ท่ีตามปกติยํอม
เกิดข้ึนจากการไมชํ ําระหนี้ ซง่ึ ศาลมอี าํ นาจกาํ หนดคําเสียหายใหต๎ ามจาํ นวนทเี่ หน็ สมควรได๎
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2339/2517 จําเลยผิดสัญญาไมํขายท่ีดินให๎แกํโจทก๑
โจทก๑จงึ ฟ้องเรียกคาํ เสียหาย โดยคาํ นวณคาํ เสยี หายจากผลกาํ ไรท้ังหมดซึ่งโจทก๑คาดหมายวํา
โจทก๑จะขายทดี่ นิ น้ันไดใ๎ นราคาสูงกวําราคาทซ่ี อ้ื จากจาํ เลย แตํความเสียหายที่โจทก๑เรียกร๎อง
นนั้ เปน็ เพยี งความหวงั ของโจทก๑ ซึ่งโจทกจ๑ ะขายทด่ี นิ ได๎ในราคาน้นั หรือไมํ ก็ยงั ไมแํ นนํ อน จึง
ยังฟง๓ ไมํไดว๎ าํ โจทก๑ได๎รับความเสยี หายอันเกดิ แตพํ ฤติการณ๑พิเศษ แตํเมื่อที่ดินที่จะซื้อขายนั้น

97

มีทางหลวงตัดผํานไป จึงพอคาดหมายได๎วําท่ีดินนั้นต๎องมีราคาเพ่ิมข้ึน ราคาที่ดินท่ีเพ่ิมข้ึนน้ี
จึงถือเป็นความเสียหายเชํนที่ตามปกติยํอมเกิดข้ึนจากการไมํชําระหนี้ ซ่ึงศาลมีอํานาจ
กาํ หนดคาํ สนิ ไหมทดแทนให๎โจทก๑ตามทเ่ี ห็นสมควร

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1715/2523 โจทก๑ฟ้องขับไลํจําเลยออกจากตึกแถว
และเรียกคาํ เสียหาย โดยกลําวในคําฟ้องวํา หากจําเลยออกจากตึกแถวตามกําหนด โจทก๑ก็
จะสามารถโอนขายตึกแถวน้ันให๎กับ ส. ได๎ ซึ่งโจทก๑จะได๎รับเงินจาก ส. ซึ่งเงินจํานวนน้ี
โจทก๑ยํอมนาํ ไปทําธุรกิจหาผลประโยชนต๑ อํ ไปได๎ หรอื อยาํ งนอ๎ ยที่สุดนาํ ไปฝากธนาคารกจ็ ะได๎
ดอกเบ้ียร๎อยละ 8 ตํอปี ดังนี้ คําเสียหายดังกลําวท่ีโจทก๑เรียกเป็นคําเสียหายที่ไกลกวําเหตุ
ซึ่งการท่ีจําเลยไมํยอมออกจากตึกแถว คาํ เสยี หายควรเปน็ จํานวนเงินเทํากบั คําเชําเทํานัน้

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1629/2524 จําเลยผิดสัญญา โจทก๑จึงต๎องจ๎าง ท.
ทําการกํอสร๎างแทน โดยโจทก๑ต๎องชําระเงินเพ่ิมไปจากเดิมท่ีทําไว๎กับจําเลย จํานวนเงินท่ี
เพ่ิมขน้ึ นถี้ ือเป็นคาํ เสียหายท่ีโจทก๑ได๎รับโดยตรงจากการท่ีจําเลยผิดสัญญา จําเลยจึงต๎องรับ
ผดิ ชดใช๎คาํ สนิ ไหมทดแทนใหแ๎ กโํ จทก๑

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3697/2524 การท่ีผู๎เชําไมํออกจากท่ีดินท่ีเชําเม่ือ
สัญญาเชําส้ินสุดลงน้ัน การอยํูตํอไปเป็นการละเมิด ผู๎ให๎เชํามีสิทธิเรียกคําสินไหมทดแทน
ความเสียหายท่ีเกิดขึ้นตามปกติเม่ือมีการไมํชําระหนี้ อันได๎แกํคําเชําได๎ นอกจากน้ัน
คาํ เสียหายจากการท่ีผู๎ให๎เชําไมํสามารถสร๎างอาคารในท่ีดินที่เชํา เพราะวัสดุกํอสร๎างมีราคา
สูงข้ึน ก็เป็นความเสียหายเชํนที่ตามปกติยํอมเกิดขึ้นเมื่อมีการไมํชําระหน้ี จําเลยจึงต๎อง
รับผิดชอบด๎วย

คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 939/2538 โจทก๑ฟ้องขับไลํจําเลยออกจากท่ีดินของ
โจทก๑และเรียกคําเสยี หาย โดยกลําวในคําฟอ้ งวําโจทก๑ได๎ทําสัญญาจะขายท่ีดินนั้นให๎แกํผู๎ซื้อ
หากโจทก๑ผดิ นดั จดทะเบียนโอนใหแ๎ กผํ ๎ูซ้ือไมํได๎ โจทก๑จะต๎องถูกปรับ จําเลยไมํยอมออกจาก
ท่ีดินนั้น เป็นเหตุให๎โจทก๑จดทะเบียนโอนให๎ผ๎ูซ้ือไมํได๎ โจทก๑จึงได๎รับความเสียหายคือต๎อง
ชําระคําปรบั ใหแ๎ กํผซู๎ อ้ื ดังน้ี คําเสียหายดงั กลําวเปน็ คาํ เสยี หายท่ไี กลกวําเหตุ การท่ีจําเลยไมํ
ยอมออกจากท่ีดนิ นนั้ คําเสยี หายควรเปน็ จํานวนเงนิ เทาํ กับคาํ เชําเทาํ นน้ั

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 4129/2550 โจทก๑กับจําเลยทําสัญญาซื้อขายสินค๎า
กัน แตํจาํ เลยไมชํ าํ ระหนใ้ี ห๎แกโํ จทก๑ ทําให๎โจทก๑ต๎องขายสินค๎าพิพาทให๎แกํบุคคลอื่นในราคา
ต่าํ กวําราคาที่ตกลงไว๎กับจําเลย เป็นเหตุให๎โจทก๑ขาดเงินท่ีโจทก๑ควรจะได๎รับจากจําเลย ซ่ึง
ถือเปน็ ความเสยี หายเชํนที่ตามปกติยํอมเกิดขึ้นแตํการไมํชําระหนี้ จําเลยจึงต๎องรับผิดชดใช๎
เงนิ จาํ นวนดงั กลาํ วแกํโจทก๑

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2147/2551 คําเสียหายเพื่อความเสียหายเชํนท่ี
ตามปกตยิ ํอมเกิดขึ้นจากการไมํชําระหนี้ ซ่ึงลูกหนี้ต๎องรับผิดนั้น หมายถึงคําเสียหายซ่ึงเป็น
ผลธรรมดาหรือผลโดยตรงจากการไมํชําระหน้ี แตํคําใช๎จํายในการทวงถามหน้ี การฟ้องคดี

98

และการบังคับคดี มิใชํผลโดยตรงจากการไมํชําระหนี้ และไมํใชํความเสียหายอันเกิดแตํ
พฤตกิ ารณพ๑ ิเศษ ทง้ั ไมํมกี ฎหมายกาํ หนดใหฝ๎ า่ ยทผ่ี ดิ นัดหรอื ผิดสัญญาต๎องรับผิดในคําใช๎จําย
ดังกลําว ดงั นั้น โจทก๑จึงเรียกคําเสียหายดังกลําวไมํได๎ สํวนความรับผิดในคําฤชาธรรมเนียม
ของคํูความในคดีนั้น โดยทั่วไปศาลจะกําหนดให๎ตกแกํคูํความฝ่ายที่แพ๎คดี ตามประมวล
กฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพงํ มาตรา 161

14.2 การเรยี กค่าสินไหมทดแทนในพฤติการณ์พิเศษ การเรียกคําสินไหมทดแทน
ความเสียหายที่เกิดขึ้นในพฤติการณ๑พิเศษ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
222 วรรคสอง นั้น ความเสยี หายทเ่ี กิดขึ้นในพฤติการณพ๑ เิ ศษ หมายถึง ความเสียหายท่ีวิญ๒ู
ชนไมอํ าจคาดเห็นไดล๎ วํ งหนา๎ เพราะเปน็ ความเสยี หายทีไ่ กลตอํ เหตุ

อน่ึง การเรียกคําสินไหมทดแทนในพฤติการณ๑พิเศษนั้น หากวําลูกหนี้ได๎
คาดเห็นหรอื ควรจะได๎คาดเห็นพฤติการณเ๑ ชํนน้ันลํวงหน๎ากํอนแล๎ว เจ๎าหนี้ก็สามารถเรียกได๎
แตํหากลูกหน้ีมไิ ด๎คาดเห็นหรือควรจะได๎คาดเหน็ พฤติการณ๑เชํนน้ันลํวงหน๎ากํอนแล๎ว เจ๎าหนี้
ก็ไมํสามารถเรียกได๎ หรือกลําวเพ่ือให๎เข๎าใจโดยงํายได๎วํา เจ๎าหนี้ไมํสามารถเรียกคําสินไหม
ทดแทนในพฤติการณ๑ได๎ เว๎นแตํลูกหนี้ได๎คาดเห็นหรือควรจะได๎คาดเห็นพฤติการณ๑เชํนน้ัน
ลวํ งหนา๎ กอํ นแลว๎

ตวั อยา่ งท่ี 1 การที่ผู๎ให๎เชําไปทําสัญญาซื้อขายสถานที่น้ันกับบุคคลภายนอก
แตํสํงมอบสถานท่ีน้ันให๎แกํบุคคลภายนอกไมํได๎ จนเป็นเหตุให๎ต๎อง เสียคําปรับให๎แกํ
บุคคลภายนอกไปท้งั สนิ้ 100,000 บาท นัน้ เป็นความเสียหายที่เกิดข้ึนจากพฤติการณ๑พิเศษ
ดังนน้ั หากผเ๎ู ชาํ ได๎คาดเห็นหรอื ควรจะไดค๎ าดเห็นพฤติการณเ๑ ชนํ นั้นลํวงหน๎ากํอนแล๎ว ผู๎เชําก็
สามารถเรียกคําสินไหมทดแทนในพฤติการณ๑พิเศษจํานวน 100,000 บาท ได๎ แตํหากผ๎ูเชํา
มิได๎คาดเห็นหรือควรจะได๎คาดเห็นพฤติการณ๑เชํนนั้นลํวงหน๎ากํอนแล๎ว ผ๎ูเชําก็ไมํสามารถ
เรยี กคําสินไหมทดแทนในพฤติการณ๑พิเศษจาํ นวน 100,000 บาท ได๎ ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 222 วรรคสอง

ตัวอย่างที่ 2 การท่ีเจ๎าหนี้ให๎ลูกหนี้กู๎ยืมเงินไปจํานวน 2,000,000 บาท แตํ
ลูกหนี้ผิดนัดชําระหนี้ จนเป็นเหตุให๎เจ๎าหน้ีไมํสามารถนําเงินไปชําระหน้ีให๎แกํเจ๎าหนี้เงินก๎ู
ของตนเองได๎ และต๎องชาํ ระดอกเบยี้ ในระหวํางผิดนดั ไปทงั้ สน้ิ 100,000 บาท น้ัน เป็นความ
เสียหายที่เกิดข้ึนจากพฤติการณ๑พิเศษ ดังนั้น หากลูกหนี้ได๎คาดเห็นหรือควรจะได๎คาดเห็น
พฤติการณ๑เชํนน้ันลํวงหน๎ากํอนแล๎ว เจ๎าหน้ีก็สามารถเรียกคําสินไหมทดแทนในพฤติการณ๑
พิเศษจาํ นวน 100,000 บาท ได๎ แตํหากลกู หนี้มิไดค๎ าดเห็นหรอื ควรจะได๎คาดเห็นพฤติการณ๑
เชํนนั้นลํวงหน๎ากํอนแล๎ว เจ๎าหนี้ก็ไมํสามารถเรียกคําสินไหมทดแทนในพฤติการณ๑พิเศษ
จํานวน 100,000 บาท ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 222 วรรคสอง

99

ตัวอยา่ งที่ 3 เจา๎ หน้ีใหล๎ กู หนีก้ ูย๎ มื เงนิ ไปจํานวน 2,000,000 บาท แตํลูกหน้ีผิด
นัดชาํ ระหนี้ เป็นเหตุใหเ๎ จ๎าหนี้ไมํสามารถนําเงินไปชําระหนี้ให๎แกํผู๎ที่ตนไปทําสัญญาซื้อบ๎าน
และวางมัดจําไว๎ เจ๎าหนี้จึงถูกริบมัดจําไปเป็นเงินจํานวน 200,000 บาท ดังน้ี คําเสียหายนี้
เกิดจากพฤติการณ๑พิเศษ หากลูกหนี้ได๎คาดเห็นหรือควรจะได๎คาดเห็นพฤติการณ๑เชํนนั้น
ลํวงหน๎ากํอนแล๎ว เจ๎าหนี้ก็สามารถเรียกคําสินไหมทดแทนในพฤติการณ๑พิเศษจํานวน
200,000 บาท ได๎ แตํหากลูกหน้ีมิได๎คาดเห็นหรือควรจะได๎คาดเห็นพฤติการณ๑เชํนน้ัน
ลํวงหน๎ากํอนแล๎ว เจ๎าหน้ีก็ไมํสามารถเรียกคําสินไหมทดแทนในพฤติการณ๑พิเศษจํานวน
100,000 บาท ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 222 วรรคสอง

ข้อสังเกต การคาดเห็นหรือควรจะได๎คาดเห็นพฤติการณ๑เชํนนั้นลํวงหน๎า ตาม
ประมวลแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 222 วรรคสอง หมายถึง การคาดเห็นหรือควรจะได๎คาด
เหน็ พฤติการณเ๑ ชนํ นน้ั กอํ นการไมชํ าํ ระหน้ี

คาพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวขอ้ ง
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1310/2480 สัญญาซื้อขายตกลงราคากันเป็นเงิน
บาทไทย แตํผซ๎ู ้ือผดิ สญั ญาไมํชาํ ระราคาตามกําหนด จนอัตราแลกเปลี่ยนเงินเปลี่ยนแปลงไป
เงินบาทไทยแลกเงินเหรียญอเมริกันได๎น๎อยกวําอัตราเดิม ดังนี้ ความเสียหายของผู๎ขายอัน
เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินเปล่ียนแปลงนี้ ถือเป็นคําเสียหายพิเศษตามประมวลแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 222 วรรคสอง ซึ่งคําเสยี หายอันเกิดแตํพฤติการณ๑พิเศษน้ีจะเรียกร๎องกันได๎
กต็ ํอเมอ่ื ผ๎ูซอ้ื ไดค๎ าดเหน็ หรือควรจะคาดเห็นได๎
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 556/2511 การท่ีจําเลยทําสัญญาจะขายท่ีดินให๎แกํ
โจทก๑ และโจทก๑ได๎ทําสัญญาจะขายท่ีดินนั้นให๎บุคคลท่ีสาม โดยโจทก๑ได๎แจ๎งให๎จําเลยทราบ
แล๎ววํา โจทก๑จะโอนที่ดินนั้นให๎บุคคลที่สามในวันเดียวกันกับวันที่จําเลยจะต๎องโอนที่ดินให๎
โจทก๑ ถา๎ โจทกผ๑ ิดสัญญากบั บุคคลที่สาม โจทก๑ต๎องเสียเบ้ียปรับให๎บุคคลท่ีสาม 40,000 บาท
ตํอมา จาํ เลยไมํยอมโอนที่พิพาทให๎แกโํ จทก๑ตามสญั ญา โจทก๑จึงถูกบุคคลท่ีสามปรับ 40,000
บาท ดังนี้ จําเลยต๎องชําระคําเสียหาย 40,000 บาท นี้ ให๎โจทก๑ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 222 วรรคสอง
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2511/2516 จําเลยจะฟ้องเรียกคําเสียหายจากโจทก๑
เนอื่ งจากการทจี่ าํ เลยต๎องถูกริบเงินมัดจําตามสัญญาท่ีจําเลยทําไว๎กับบุคคลภายนอก ซ่ึงเป็น
คาํ เสียหายพิเศษที่โจทกไ๑ มํอาจจะคาดคิดไมํได๎
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2339/2517 จําเลยผิดสัญญาไมํขายท่ีดินให๎แกํโจทก๑
โจทก๑จงึ ฟอ้ งเรยี กคาํ เสียหายจากจาํ เลย โดยคาํ นวณจากผลกําไรซึ่งโจทก๑คาดหมายวําจะขาย
ทด่ี ินนนั้ ไดใ๎ นราคาสงู กวําราคาท่ีซื้อจากจําเลย แตํความเสียหายดังกลําวเป็นเพียงความหวัง
ของโจทก๑เทําน้ัน โจทกจ๑ ะขายทีด่ ินได๎ในราคานั้นหรอื ไมํ ยังไมํแนํนอน จึงยังฟ๓งไมํได๎วําโจทก๑
ได๎รับความเสียหายอันเกิดแตํพฤติการณ๑พิเศษ แตํเม่ือที่ดินน้ันมีทางหลวงตัดผํานไป พอ

100

คาดหมายได๎วําท่ีดินน้ันต๎องมีราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นความเสียหายเชํนที่ตามปกติยํอมเกิดขึ้น
จากการไมํชําระหนี้ ศาลจงึ มอี ํานาจกาํ หนดคาํ สินไหมทดแทนได๎ตามท่ีเห็นสมควร

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 270/2521 จําเลยสัญญาวําจะสํงสินค๎าให๎แกํโจทก๑
และโจทก๑ได๎แจ๎งให๎จําเลยทราบแล๎ววํา โจทก๑ได๎ตกลงขายสินค๎าดังกลําวตํอให๎กับลูกค๎าของ
โจทก๑แล๎ว หากจําเลยสํงสินค๎าดังกลําวลําช๎าไมํทันกําหนด โจทก๑จะต๎องถูกลูกค๎าของโจทก๑
ปรับ ตํอมา จําเลยผิดสัญญา โจทก๑จึงถูกลูกค๎าของโจทก๑ปรับ คําปรับดังกลําวจึงถือเป็น
คําเสียหายอันเกิดแตํพฤติการณ๑พิเศษ และเมื่อจําเลยได๎คาดเห็นหรือควรจะได๎คาดเห็น
พฤติการณ๑เชํนนั้นลํวงหน๎ากํอนแล๎ว จําเลยจึงต๎องรับผิดในคําปรับดังกลําว ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 222 วรรคสอง

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 499/2534 การท่ีจําเลยสั่งซ้ือกรอบรูปจากโจทก๑ แล๎ว
ตํอมาจําเลยเป็นไมํชําระหน้ี เงินกําไรท่ีโจทก๑พึงจะได๎รับจากจําเลยถือเป็นคําเสียหาย
ตามปกติอันเกิดจากการไมํชําระหน้ี จําเลยจึงต๎องชดใช๎สํวนน้ีให๎แกํโจทก๑ แตํสํวนคําจ๎างทํา
แมํพิมพ๑กรอบรูปน้ัน การที่โจทก๑มีข๎อตกลงกับ ท. ซึ่งโจทก๑วําจ๎างให๎ทํากรอบรูปเพ่ือขายให๎
จําเลยวํา หากจําเลยชําระหน้ีให๎โจทก๑เรียบร๎อย คําจ๎างแมํพิมพ๑ ท. จะเป็นผ๎ูออก
แตํหากจาํ เลยไมชํ าํ ระหนี้ โจทกต๑ ๎องรับผดิ ชอบเองน้ัน แมค๎ าํ จา๎ งทาํ แมํพมิ พ๑จะเป็นคําเสียหาย
ท่ีเกิดจากการที่จําเลยไมํชําระหน้ี แตํก็เป็นคําเสียหายอันเกิดแตํพฤติการณ๑พิเศษ ซึ่งจําเลย
ไมํได๎คาดเห็นหรือควรจะคาดเหน็ ได๎กํอนลํวงหน๎า จําเลยจึงไมํตอ๎ งชดใชส๎ วํ นนีใ้ ห๎แกํโจทก๑

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 6511/2538 จําเลยทําสัญญาจะซ้ือจะขายท่ีดินกับ
โจทก๑ แตํจําเลยไมํยอมโอนที่ดินน้ันให๎แกํโจทก๑ และจําเลยได๎โอนที่ดินนั้นให๎แกํบุคคลอื่น
โจทก๑จึงต๎องคนื เงินมัดจําให๎แกํ ว. ผู๎จะซื้อที่ดินน้ันตํอจากโจทก๑ ดังน้ี โจทก๑ยังไมํได๎รับความ
เสียหาย โจทก๑จงึ เรยี กรอ๎ งเอาคาํ สินไหมทดแทนจากจําเลยไมํได๎ สํวนเงินคําขาดกําไรท่ีโจทก๑
จะได๎รับจากการขายทดี่ ินนั้นให๎แกํ ว. เป็นคําเสียหายอันเกิดแตํพฤติการณ๑พิเศษ เมื่อจําเลย
ไมํรูห๎ รือควรจะรว๎ู ําโจทกซ๑ อ้ื ทด่ี ินพพิ าทแลว๎ ไปขายตํอให๎ ว. จําเลยจึงไมํต๎องชดใช๎คําเสียหาย
สวํ นนี้ให๎แกํโจทก๑ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 222 วรรคสอง

ข้อสังเกต
1. แมค๎ วามเสียหายทเี่ กิดข้ึนตามปกติกับความเสียหายที่เกิดขึ้นในพฤติการณ๑พิเศษ
จะแตกตํางกัน แตํไมํวําความเสียหายที่เกิดขึ้นตามปกติหรือความเสียหายที่เกิดข้ึนใน
พฤติการณ๑พิเศษ ก็จะต๎องเป็น “ผลโดยตรง” อันเกิดจากการไมํชําระหนี้58 ตามทฤษฎี
เงือ่ นไข

58เร่ืองเดียวกนั , หน๎า 231.

101

2. ความเสียหายตามปกติ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 222
วรรคแรก เป็นไปตามทฤษฎมี ูลเหตุทีเ่ หมาะสม กลําวคือ ลูกหนี้จะต๎องรับผิดชดใช๎คําสินไหม
ทดแทนให๎แกํเจ๎าหนี้ ก็ต๎องเม่ือความเสียหายท่ีเจ๎าหน้ีได๎รับจากการที่ลูกหน้ีไมํชําระหน้ี
เป็นความเสยี หายทว่ี ญิ ๒ชู นอาจคาดเหน็ ได๎ลวํ งหนา๎

15. ค่าสินไหมทดแทนกรณีทีผ่ ู้เสยี หายมสี ่วนผดิ ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 223 บัญญัติวํา ถ๎าฝ่ายผ๎ูเสียหายได๎มีสํวนทํา

ความผดิ อยํางใดอยํางหนง่ึ กํอให๎เกดิ ความเสียหายด๎วยไซร๎ ทํานวําหนี้อันจะต๎องใช๎คําสินไหม
ทดแทนแกํฝา่ ยผ๎ูเสียหายมากน๎อยเพียงใดนั้นต๎องอาศัยพฤติการณ๑เป็นประมาณ ข๎อสําคัญก็
คือวําความเสยี หายนนั้ ได๎เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเปน็ ผก๎ู อํ ยิง่ หยํอนกวํากนั เพียงไร

วิธีเดียวกันนี้ ทํานให๎ใช๎แม๎ท้ังที่ความผิดของฝ่ายผ๎ูท่ีเสียหายจะมีแตํเพียงละเลยไมํ
เตือนลูกหนี้ให๎ร๎ูสึกถึงอันตรายแหํงการเสียหายอันเป็นอยํางร๎ายแรงผิดปกติ ซ่ึงลูกหน้ีไมํรู๎
หรือไมํอาจจะร๎ูได๎ หรือเพียงแตํละเลยไมํบําบัดป๓ดป้อง หรือบรรเทาความเสียหายน้ันด๎วย
อน่งึ บทบัญญัติแหงํ มาตรา 220 นั้นทาํ นใหน๎ าํ มาใช๎บงั คบั ดว๎ ยโดยอนุโลม”

แม๎ลูกหน้ีจะต๎องรับผิดชดใช๎คําสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการ
กระทาํ ของลูกหนกี้ ต็ าม แตํในบางกรณีผู๎เสียหาย (เจ๎าหน้ี) ก็มีสํวนที่ทําให๎เกิดความเสียหาย
น้ันด๎วย ซึ่งการท่ีจะให๎ลูกหนี้ต๎องรับผิดทั้งหมดแตํเพียงผ๎ูเดียวยํอมไมํยุติธรรมกับลูกหนี้
ดงั นัน้ ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ยม๑ าตรา 223 จึงบัญญตั ทิ างแกไ๎ ว๎ดงั นี้

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 223 วรรคแรก หมายความวํา ถ๎า
ฝา่ ยผ๎เู สียหายได๎มีสวํ นกํอให๎เกดิ ความเสียหายด๎วย ผเ๎ู สียหายจะมีสิทธไิ ด๎รับคําสนิ ไหมทดแทน
มากน๎อยเพียงใด ก็ต๎องพิจารณาจากพฤติการณ๑เป็นกรณีไป โดยคํานึงถึงประการสําคัญคือ
ความเสียหายนั้นได๎เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู๎กํอมากน๎อยกวํากันเพียงไร กลําวคือ ถ๎า
ผ๎ูเสียหายมีสํวนผิดด๎วย คําเสียหายท่ีผ๎ูเสียหายจะได๎รับก็ต๎องลดลงตามสํวน หรือผ๎ูเสียหาย
อาจไมํได๎รบั คําเสียหายเลยก็ได๎

คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 463/2503 โจทก๑ได๎นํารถไปจอดหยุดอยํูทางขวาของถนน
ในทางโค๎ง โดยมิได๎จุดโคมไฟในเวลาค่ําคืน และจอดขวางถนนเข๎าไปเกือบกึ่งกลางถนน ซึ่ง
เป็นความประมาทอยาํ งมากของ โจทก๑ อันนบั เปน็ มลู เหตุกํอใหเ๎ กดิ ความเสียหาย สํวนจําเลย
ก็ไดข๎ ับรถแลํนมาดว๎ ยอตั ราความเร็วสูง จึงเข๎าชนรถของโจทก๑ ซ่ึงเป็นความประมาทของฝ่าย
จําเลยในความเสียหายทเ่ี กดิ ขึ้นดว๎ ย ความเสียหายท่ีเกิดข้ึนนี้ โจทก๑ได๎รับมากกวําฝ่ายจําเลย
เมื่อพจิ ารณาโดยอาศัยพฤติการณ๑เป็นประมาณ เห็นวําคําสินไหมทดแทนตามท่ีโจทก๑จําเลย
ตํางขอมานนั้ ควรใหเ๎ ป็นพับแกํตน

102

คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 765/2533 จําเลยขบั รถยนต๑โดยสารประจําทางชนผ๎ูตายซึ่ง
กาํ ลงั เดนิ ขา๎ มถนน จาํ เลยจึงตอ๎ งรับผดิ ชอบเพ่อื การเสยี หายอันเกิดแตยํ านพาหนะนั้น เว๎นแตํ
จะพิสูจน๑ได๎วําการเสียหายน้ันเกิดแตํเหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู๎ต๎องเสียหาย
น้ันเอง แม๎การที่ผ๎ูตายไมํข๎ามถนนในทางข๎ามซ่ึงอยูํไมํหํางจากที่เกิดเหตุ อันถือได๎วําผู๎ตายมี
สํวนประมาทด๎วยก็ตาม แตํจําเลย มีสํวนประมาทมากกวํา เพราะเหตุท่ีชนผู๎ตายเน่ืองจาก
จําเลยขับรถไมํชะลอความเร็วในขณะใกล๎ถึงทางแยกเป็นสําคัญ การที่ผ๎ูตายมีสํวนประมาท
กอํ ให๎เกดิ ความเสยี หาย ศาลจงึ ลดคาํ สินไหมทดแทนทจี่ าํ เลยตอ๎ งใชใ๎ ห๎แกโํ จทก๑ลง 1 ใน 4

คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 5970/2545 จําเลยนําสนิ คา๎ ถาํ นไมม๎ าสํงมอบใหแ๎ กํโจทก๑ท่ี
ทําเรือกรุงเทพ แตํสาเหตุที่ทําให๎ถํานไม๎เกิดลุกไหม๎จนเกิดความเสียหายข้ึนนั้น นอกจากจะ
เกิดจากความประมาทของจําเลยในการบรรจุสินค๎าดังกลําวแล๎ว ยังเกิดจากการจัดวาง
ตู๎สนิ ค๎าไมเํ หมาะสม โดยวางต๎ูบรรจุถํานไม๎ปะปนกับต๎ูสินค๎าอ่ืนและอากาศถํายเทไมํสะดวก
ถํานไม๎จึงลุกไหม๎ข้ึน อันเป็นความประมาทของโจทก๑ผ๎ูขนสํงด๎วย ดังน้ัน เมื่อโจทก๑มีสํวนทํา
ความผดิ กํอให๎เกดิ ความเสียหายด๎วย ในการท่ีจะให๎จําเลยต๎องรับผิดใช๎คําสินไหมทดแทนแกํ
โจทกม๑ ากน๎อยเพียงใดนน้ั ตอ๎ งอาศัยพฤติการณ๑เป็นประมาณ โดยคํานึงถึงประการสําคัญคือ
ความเสียหายนั้นได๎เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู๎กํอย่ิงหยํอนกวํากันเพียงไร ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 223

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2145/2523 โจทก๑จ๎างจําเลยกํอสร๎างอาคาร แตํในขณะท่ี
ยงั ไมํไดร๎ บั อนุญาตจากเทศบาล โจทก๑ก็อนุญาตให๎จําเลยกํอสร๎างไปกํอน ตํอมาแบบแปลนท่ี
เทศบาลอนุญาตนั้น มีรายการผิดไปจากท่ีจําเลยได๎กํอสร๎างไปแล๎ว ดังน้ี เม่ือโจทก๑มีสํวนผิด
ดว๎ ย โจทก๑และจาํ เลยจงึ ตอ๎ งรวํ มกนั เฉลีย่ ความเสียหายท่เี กิดข้นึ

สวํ นบทบัญญตั ิตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ 223 วรรคสอง หมายความ
วาํ ถ๎าฝา่ ยผเู๎ สียหายไดม๎ สี วํ นกอํ ใหเ๎ กดิ ความเสียหายด๎วย โดยผู๎เสียหายละเลยไมํเตือนลูกหนี้
ใหร๎ ู๎สกึ ถงึ อันตรายแหํงการเสียหายอนั เป็นอยาํ งร๎ายแรงผดิ ปกติ ซึ่งลูกหน้ีไมํรู๎หรือไมํอาจจะร๎ู
ได๎ หรือผู๎เสียหายละเลยไมํบําบัดป๓ดป้อง หรือบรรเทาความเสียหายน้ันด๎วย ผ๎ูเสียหายจะมี
สิทธไิ ด๎รบั คาํ สินไหมทดแทนมากนอ๎ ยเพยี งใด กต็ อ๎ งพจิ ารณาจากพฤติการณ๑เป็นกรณีไป โดย
คํานึงถึงประการสําคัญคือความเสียหายน้ันได๎เกิดข้ึน เพราะฝ่ายไหนเป็นผ๎ูกํอมากน๎อยกวํา
กันเพยี งไร

ตวั อย่างท่ี 1 นาย ก. จ๎างนาย ข. ให๎นํากลํองสินค๎าซ่ึงบรรจุเครื่องแก๎วไปสํงให๎แกํ
นาย ค. แตํนาย ข. โยนกลํองสินค๎านั้น ทําให๎เครื่องแก๎วแตกเสียหาย โดยข๎อเท็จจริงปรากฏ
วํา นาย ก. มไิ ดบ๎ อกใหน๎ าย ข. ร๎วู ํากลอํ งสินคา๎ นัน้ ได๎บรรจุเคร่ืองแกว๎ อยูํภายใน จงึ เป็นกรณีที่
ผ๎ูเสียหายละเลยไมํเตือนลูกหน้ีให๎รู๎สึกถึงอันตรายแหํงการเสียหายอันเป็นอยํางร๎ายแรง
ผดิ ปกติ ซงึ่ ลูกหนไ้ี มํรห๎ู รอื ไมอํ าจจะรไ๎ู ด๎ นอกจากนนั้ ในการบรรจเุ คร่ืองแกว๎ นั้น นาย ก. มิได๎

103

มีการป้องกันโดยใช๎วัสดุกันการกระแทกแตํอยํางใดเลย จึงเป็นกรณีท่ีผู๎เสียหายละเลยไมํ
บาํ บัดปด๓ ปอ้ งความเสยี หายน้นั ดังน้ัน ความเสียหายท่ีเกดิ ขนึ้ นน้ั จะใหน๎ าย ข. รับผิดชดใช๎คํา
สินไหมทดแทนเต็มจํานวนไมํได๎ เพราะความเสียหายน้ีนาย ก. ก็มีสํวนผิดด๎วย คําสินไหม
ทดแทนท่นี าย ก. จะได๎รบั จงึ ตอ๎ งลดลงตามสวํ น เปน็ ตน๎

ตัวอย่างท่ี 2 นาย ก. ขับรถจักรยานยนต๑ชนสุนัขของนาย ข. ได๎รับบาดเจ็บ แตํ
นาย ข. ไมํยอมพาสุนัขไปรักษาจนสุนัขตาย เป็นกรณีท่ีผ๎ูเสียหายละเลยไมํบรรเทาความ
เสยี หายน้ัน ดงั น้นั ความเสียหายทีเ่ กดิ ขึน้ นน้ั จะให๎นาย ก. รับผดิ ชดใช๎คาํ สนิ ไหมทดแทนเต็ม
จํานวนไมํได๎ เพราะความเสียหายน้ีนาย ข. ก็มีสํวนผิดด๎วย คําสินไหมทดแทนที่นาย ข. จะ
ได๎รับจงึ ตอ๎ งลดลงตามสวํ น เปน็ ต๎น

คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 1312/2501 ผซ๎ู ้ือผิดสัญญาไมมํ ารบั หนังสัตว๑ที่ซ้ือ แตํผู๎ขาย
ก็ปลํอยปละละเลยไมํบําบัดป๓ดป้องตามสมควรเพ่ือให๎เสียหายแตํน๎อย ผ๎ูขายจึงมีสํวนทําผิด
กอํ ให๎เกิดความเสยี หาย ผ๎ขู ายจึงควรไดค๎ ําเสยี หายเพยี งคร่งึ หนง่ึ

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1585/2529 บ. เป็นลูกหนี้ของโจทก๑ โดยมี ส.เป็น
ผู๎คํา้ ประกัน ตํอมา บ. ถงึ แกํความตาย โจทก๑ทราบเรอ่ื งแตํไมไํ ด๎ดําเนินการฟ้องร๎องกองมรดก
ของ บ. จนคดีขาดอายุความมรดก เมื่อ บ. มีทรัพย๑สินและโจทก๑มีโอกาสจะได๎รับชําระหน้ี
สิ้นเชิงหากมีการฟ้องร๎องหน้ีนั้น ดังน้ี การท่ีโจทก๑ไมํฟ้องร๎องยํอมเป็นการละเลยไมํบําบัด
ป๓ดป้องหรือบรรเทาความเสียหาย อันถือเป็นเหตุท่ีเจ๎าหน้ีมีสํวนทําความผิดให๎เกิดความ
เสียหาย ส. ในฐานะผูค๎ า้ํ ประกนั จงึ ไมํตอ๎ งรบั ผิด

สํวนที่ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ 223 วรรคสอง บัญญัติวํา “อนึ่ง
บทบัญญัติแหํงมาตรา 220 นั้น ทํานให๎นํามาใช๎บังคับด๎วยโดยอนุโลม” หมายความวํา ถ๎า
ตวั แทนแหงํ ผเ๎ู สียหายหรือบุคคลท่ีผ๎ูเสียหายใช๎ในการชําระหนี้มีสํวนกํอให๎เกิดความเสียหาย
ด๎วย ผู๎เสียหายจะมีสิทธิได๎รับคําสินไหมทดแทนมากน๎อยเพียงใด ก็ต๎องพิจารณาจาก
พฤตกิ ารณเ๑ ป็นกรณีไป โดยคํานึงถงึ ประการสําคัญคือความเสียหายนั้นได๎เกิดข้ึน เพราะฝ่าย
ไหนเปน็ ผ๎กู ํอมากน๎อยกวาํ กันเพียงไร

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2593/2536 การท่ีจําเลยสํงมอบสินค๎าตามสัญญาซื้อขาย
น้ัน เป็นเร่ืองปกติที่คณะกรรมการของโจทก๑ต๎องตรวจสอบสินค๎ากํอนรับมอบสินค๎า และ
หากมีการตรวจสอบก็จะต๎องตรวจพบ ความเสียหายท่ีเกิดขึ้นก็จะไมํมีมากถึงขนาดนี้
ดงั น้นั ความเสยี หายทง้ั หมดจงึ ถือวาํ คนของโจทก๑มีสํวนปลํอยปละละเลยให๎เกิดข้ึน การท่ีจะ
ให๎จาํ เลยตอ๎ งรบั ผิดชําระคําปรับรายวันตามสญั ญาทง้ั หมดจึงไมํถกู ตอ๎ ง

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1265/2551 จําเลยทําสัญญาขายสินค๎าย่ีห๎อ ท. ให๎แกํ
โจทก๑ จําเลยจะมอบสินค๎าย่ีห๎ออื่นให๎แกํโจทก๑มิได๎ แม๎สินค๎านั้นจะมีคุณสมบัติการใช๎งาน
เหมือนกันกต็ าม เม่อื จําเลยสงํ มอบสนิ ค๎าย่หี ๎ออนื่ ใหแ๎ กโํ จทก๑ จงึ เปน็ การชาํ ระหนี้ทีไ่ มํต๎องตาม

104

ความประสงค๑อันแท๎จริงแหํงมูลหน้ี โจทก๑จึงมีสิทธิเรียกเอาคําสินไหมทดแทนได๎ ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 215 แตํเมอื่ ว. พนักงานของโจทก๑มิได๎ตรวจสอบ
สินคา๎ ให๎รอบคอบวําเปน็ ยหี่ ๎อ ท. ตามสญั ญาหรอื ไมํ โจทกจ๑ งึ ต๎องรับผิดชอบในความประมาท
เลินเลํอของ ว. ตัวแทนของตนด๎วย ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 223
วรรคสอง ประกอบมาตรา 220

16. การเรยี กดอกเบ้ยี ในระหวา่ งเวลาผดิ นัด
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก บัญญัติวํา “หน้ีเงินน้ัน

ทํานให๎คดิ ดอกเบี้ยในระหวาํ งเวลาผดิ นัด ในอัตราที่กําหนดตามมาตรา 7 บวกด๎วยอัตราเพิ่ม
ร๎อยละ 2 ตํอปี ถ๎าเจ๎าหน้ีอาจจะเรียกดอกเบ้ียได๎สูงกวําน้ัน โดยอาศัยเหตุอยํางอื่นอันชอบ
ด๎วยกฎหมาย ก็ให๎คงสํงดอกเบยี้ ตํอไปตามนั้น”

ข้อสังเกต ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 224 วรรคแรก เพ่ิงมีการ
แก๎ไขใหมเํ มื่อปี พ.ศ. 2564 ซ่งึ เดมิ บัญญัติวาํ “หนเี้ งินนนั้ ทาํ นให๎คิดดอกเบ้ียในระหวํางเวลา
ผดิ นดั รอ๎ ยละเจด็ กึ่งตํอปี ถ๎าเจ๎าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได๎สูงกวําน้ัน โดยอาศัยเหตุอยํางอ่ืน
อันชอบดว๎ ยกฎหมาย กใ็ หค๎ งสงํ ดอกเบ้ยี ตํอไปตามนนั้ ”

คําวํา “หน้เี งนิ ” หมายถึง มลู หน้ที ี่ต๎องชําระหนี้ด๎วยเงนิ ตรา เชนํ สัญญาก๎ยู ืม สัญญา
ซ้ือขาย สัญญาจ๎างแรงงาน สัญญาแจ๎งทําของ สัญญาเชํา ต๋ัวเงิน ละเมิด คําภาษีอากร
เปน็ ต๎น

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 224 วรรคแรก มีหลักเกณฑ๑และ
ขอ๎ ยกเว๎น ดงั นี้

หลกั เกณฑ์ “หน้เี งนิ นั้น ทํานใหค๎ ดิ ดอกเบ้ียในระหวํางเวลาผิดนัด ในอัตราท่ีกําหนด
ตามมาตรา 7 บวกด๎วยอัตราเพิ่มร๎อยละ 2 ตํอปี” ซ่ึงประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 7 บัญญัติวํา “ถ๎าจะต๎องเสียดอกเบ้ียแกํกันและมิได๎กําหนดอัตราดอกเบี้ยไว๎โดย
นิตกิ รรมหรอื โดยบทกฎหมายอันชัดแจ๎ง ให๎ใช๎อัตราร๎อยละสามตํอปี” ดังน้ัน อัตราดอกเบ้ีย
ในระหวาํ งเวลาผิดนดั คือ รอ๎ ยละ 5 ตอํ ปี

เมือ่ ลูกหนี้ผิดนัดชาํ ระหน้ี ลกู หนจ้ี ะตอ๎ งชําระดอกเบี้ยให๎แกํเจ๎าหนี้ ซ่ึงดอกเบ้ียน้ีถือ
เป็นคําสินไหมทดแทนอยํางหนึ่ง แตํกฎหมายได๎กําหนดไว๎เป็นพิเศษตํางจากคําสินไหม
ทดแทนอยํางอื่นวําลูกหนี้ต๎องชําระดอกเบ้ียในระหวํางเวลาผิดนัดร๎อยละ 5 ตํอปี โดยไมํ
จําเป็นต๎องมีการกําหนดกันไว๎กํอนลํวงหน๎าในสัญญา และเจ๎าหน้ีไมํต๎องพิสูจน๑วําเกิดความ
เสียหายอยํางไร เพราะหากเจ๎าหนี้ได๎รับชําระหนี้เงินมา เจ๎าหนี้ยํอมมีสิทธินําเงินน้ันไปใช๎ทํา
ประโยชนต๑ ําง ๆ ได๎ รวมท้ังหากนําไปฝากธนาคารเจ๎าหน้ีก็ยํอมจะได๎รับดอกเบ้ียจากเงินนั้น
ดังนนั้ กฎหมายมีขอ๎ สันนิษฐานโดยเด็ดขาดวําเจ๎าหนย้ี อํ มเสียหาย

105

อน่งึ สาํ หรับหลกั เกณฑ๑การคิดดอกเบย้ี ในระหวํางเวลาผิดนัด ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 224 วรรคแรกตอนตน๎ มีรายละเอียดดงั นี้

1. หนี้เงินท่ีไมํได๎กําหนดอัตราดอกเบ้ียไว๎ เมื่อลูกหน้ีผิดนัด เจ๎าหน้ีมีสิทธิเรียก
ดอกเบ้ยี ในระหวาํ งเวลาผดิ นดั ไดร๎ ๎อยละ 5 ตํอปี

ตัวอยา่ ง นาย ก. กยู๎ มื เงนิ ไปจากนาย ข. จํานวน 100,000 บาท โดยไมํได๎กําหนด
อัตราดอกเบ้ียเงินก๎ูไว๎ ดังน้ี เม่ือนาย ก. ตกเป็นผู๎ผิดนัด นาย ข. มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยใน
ระหวํางเวลาผิดนัดจากนาย ก. ได๎ร๎อยละ 5 ตํอปี จากเงินต๎นจํานวน 100,000 บาท
นับตั้งแตวํ ันท่ีนาย ก. ผดิ นัดชําระหนเี้ ปน็ ต๎นไปจนกวาํ นาย ก. จะได๎ชาํ ระหน้นี น้ั

2. ถ๎ามกี ารกาํ หนดอัตราดอกเบี้ยไวใ๎ นสัญญาตา่ํ กวําร๎อยละ 5 ตอํ ปี เม่ือลูกหน้ีผิดนัด
เจา๎ หน้มี สี ทิ ธิเรยี กดอกเบ้ยี ในระหวํางเวลาผิดนัดได๎ร๎อยละ 5 ตอํ ป5ี 9

ตัวอย่าง นาย ก. กู๎ยืมเงินไปจากนาย ข. จํานวน 100,000 บาท กําหนด
ดอกเบ้ียเงินกู๎ไว๎รอ๎ ยละ 3 ตอํ ปี ดังนี้ เมอื่ นาย ก. ตกเปน็ ผูผ๎ ิดนดั นาย ข. มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย
ในระหวํางเวลาผิดนัดจากนาย ก. ได๎ร๎อยละ 5 ตํอปี จากเงินต๎นจํานวน 100,000 บาท
นบั ตงั้ แตํวันทนี่ าย ก. ผดิ นัดชาํ ระหนี้เปน็ ตน๎ ไปจนกวํานาย ก. จะได๎ชําระหนนี้ ัน้ เป็นตน๎

3. ถ๎ามีการกําหนดอัตราดอกเบ้ียไว๎ในสัญญาร๎อยละ 5 ตํอปี เมื่อลูกหนี้ผิดนัด
เจ๎าหนีม้ ีสิทธเิ รยี กดอกเบยี้ ในระหวาํ งเวลาผดิ นัดได๎ร๎อยละ 5 ตอํ ปี

ตวั อยา่ ง นาย ก. ก๎ยู ืมเงินไปจากนาย ข. จาํ นวน 100,000 บาท โดยกําหนดอัตรา
ดอกเบย้ี เงนิ ก๎ูไว๎ร๎อยละ 5 ตอํ ปี ดังน้ี เมอ่ื นาย ก. ตกเป็นผูผ๎ ดิ นดั นาย ข. มีสิทธิเรียกดอกเบ้ีย
ในระหวํางเวลาผิดนัดจากนาย ก. ได๎ร๎อยละ 5 ตํอปี จากเงินต๎นจํานวน 100,000 บาท
นบั ตง้ั แตํวนั ท่นี าย ก. ผิดนดั ชําระหนเ้ี ป็นต๎นไปจนกวํานาย ก. จะไดช๎ ําระหนน้ี ้นั

4. ถ๎ามีการตกลงยกเว๎นประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 224 วรรคแรก
ตอนต๎น กลาํ วคอื เจา๎ หน้ยี ินยอมสละประโยชนต๑ ามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
224 วรรคแรกตอนต๎น โดยการกําหนดไว๎ในสัญญาวํา ถ๎าลูกหน้ีผิดนัด ให๎ลูกหนี้ชําระ
ดอกเบีย้ ตํา่ กวาํ รอ๎ ยละ 5 ตอํ ปี หรือตกลงกันวําลูกหนี้ไมํต๎องชําระดอกเบี้ยในระหวํางผิดนัด
ดังนี้ ดอกเบยี้ ในระหวาํ งเวลาผิดนดั ก็ต๎องเป็นไปตามทตี่ กลงกันไว๎ในสญั ญาน้นั

ตัวอย่างท่ี 1 นาย ก. ก๎ูยืมเงินไปจากนาย ข. จํานวน 100,000 บาท กําหนด
ดอกเบ้ียเงินก๎ูไว๎ร๎อยละ 5 ตํอปี และมีการกําหนดไว๎ในสัญญาก๎ูวําถ๎าลูกหนี้ผิดนัด ให๎ลูกหน้ี
ชําระดอกเบี้ยร๎อยละ 3 ตํอปี ดังนี้ เม่ือนาย ก. ตกเป็นผู๎ผิดนัด นาย ข. จึงมีสิทธิเรียก
ดอกเบี้ยในระหวํางเวลาผิดนัดจากนาย ก. ได๎ร๎อยละ 3 ตํอปี จากเงินต๎นจํานวน 100,000
บาท นับตงั้ แตวํ ันทีน่ าย ก. ผดิ นดั ชําระหน้ีเป็นต๎นไปจนกวํานาย ก. จะได๎ชําระหนนี้ ัน้

59โสภณ รตั นากร, เรื่องเดิม, หน๎า 207.

106

ตัวอย่างที่ 2 นาย ก. กู๎ยืมเงินไปจากนาย ข. จํานวน 100,000 บาท กําหนด
ดอกเบีย้ เงนิ กู๎ไว๎ร๎อยละ 5 ตํอปี และมีการกําหนดไว๎ในสัญญาวําลูกหนี้ไมํต๎องชําระดอกเบี้ย
ในระหวํางผิดนัด ดังนี้ เม่ือนาย ก. ตกเป็น ผ๎ูผิดนัด นาย ข. จึงไมํมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยใน
ระหวาํ งเวลาผิดนดั จากนาย ก.

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 901/2505 หน้เี งินตามเช็คท่ีธนาคารปฏิเสธการจํายเงิน
นั้น ให๎คิดดอกเบ้ียได๎ต้ังแตํวันท่ีธนาคารปฏิเสธการจํายเงินเป็นต๎นไป จะคิดดอกเบ้ียต้ังแตํ
วนั ท่ลี งในเช็คไมไํ ด๎

ขอ้ ยกเว้น “ถ๎าเจา๎ หน้อี าจจะเรียกดอกเบ้ยี ได๎สงู กวาํ นัน้ โดยอาศัยเหตอุ ยาํ งอ่ืนอัน
ชอบด๎วยกฎหมาย ก็ให๎คงสํงดอกเบ้ียตํอไปตามน้ัน” หมายความวํา ถ๎าเจ๎าหนี้มีสิทธิเรียก
ดอกเบ้ียได๎สูงกวําร๎อยละ 5 ตํอปี โดยอาศัยเหตุอยํางอื่นอันชอบด๎วยกฎหมาย ลูกหน้ีก็ต๎อง
ชาํ ระดอกเบ้ียตามน้นั ไมตํ ๎องลดดอกเบย้ี ลงเป็นรอ๎ ยละ 5 ตอํ ปี ซ่งึ “เหตุอยํางอืน่ อนั ชอบด๎วย
กฎหมาย” เชํน ขอ๎ ตกลงตามสัญญา เปน็ ตน๎

ตัวอย่างท่ี 1 นาย ก. กู๎ยืมเงินไปจากนาย ข. จํานวน 100,000 บาท กําหนด
ดอกเบี้ยเงินก๎ูไว๎ร๎อยละ 15 ตํอปี ดังน้ี เม่ือนาย ก. ตกเป็นผู๎ผิดนัด นาย ข. จึงมีสิทธิเรียก
ดอกเบย้ี ในระหวํางเวลาผิดนัดจากนาย ก. ได๎ร๎อยละ 15 ตํอปี จากเงินต๎นจํานวน 100,000
บาท นบั ตั้งแตํวนั ทีน่ าย ก. ผดิ นดั ชาํ ระหนีเ้ ป็นต๎นไปจนกวํานาย ก. จะได๎ชาํ ระหนน้ี ั้น

ตัวอย่างท่ี 2 นาย ก. ก๎ูยืมเงินไปจากนาย ข. จํานวน 100,000 บาท กําหนด
ดอกเบี้ยเงินกู๎ไว๎ร๎อยละ 5 ตํอปี และมีการกําหนดไว๎ในสัญญาก๎ูวําถ๎าลูกหนี้ผิดนัด ให๎ลูกหน้ี
ชําระดอกเบี้ยร๎อยละ 15 ตํอปี ดังน้ี เม่ือนาย ก. ตกเป็นผู๎ผิดนัด นาย ข. จึงมีสิทธิเรียก
ดอกเบยี้ ในระหวํางเวลาผิดนัดจากนาย ก. ได๎ร๎อยละ 15 ตํอปี จากเงินต๎นจํานวน 100,000
บาท นับต้งั แตวํ ันที่นาย ก. ผิดนดั ชําระหนเี้ ปน็ ตน๎ ไปจนกวํานาย ก. จะได๎ชาํ ระหนีน้ นั้

คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 3196/2541 ตามสัญญาตกลงให๎คิดดอกเบ้ียร๎อยละ 15
ตํอปี เมื่อสัญญาเลิก เพราะครบกาํ หนดอายสุ ญั ญา จาํ เลยมไิ ด๎ชําระหน้ีแกโํ จทก๑จึงได๎ชื่อวําผิด
นดั จําเลยยังต๎องรับผิดในดอกเบ้ียในอัตราดังกลําวตํอไปจนกวําได๎ชําระเสร็จ ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 224 วรรคแรก

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1916/2544 ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 224 เจา๎ หนี้อาจเรยี กดอกเบ้ียในระหวํางผิดนัดได๎มากกวํานั้น โดยอาศัยเหตุอยํางอ่ืน
อันชอบด๎วยกฎหมาย ดังน้ัน การชําระหนี้ตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่กําหน ดให๎ผ๎ู
คัดค๎านใช๎ดอกเบ้ียอตั ราร๎อยละ 18 ตอํ ปี จึงไมเํ ปน็ การขัดตอํ ความสงบเรียบรอ๎ ยหรือศีลธรรม
อนั ดขี องประชาชน

107

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2064/2544 หนังสือสัญญากู๎เงินมีข๎อความวํา ให๎ผู๎ให๎ก๎ู
คดิ ดอกเบ้ยี ผิดนดั ในอตั ราท่กี าํ หนดไว๎ตามประกาศของธนาคารแหํงประเทศไทยทใ่ี ช๎บังคับอยํู
ในขณะนนั้ จนกวาํ ผกู๎ จู๎ ะชําระหนค้ี ืนจนครบถ๎วน ดังน้ี เม่ือจําเลยผิดนัดชําระหน้ี การท่ีโจทก๑
คิดดอกเบี้ยระหวํางผิดนัดในอัตราร๎อยละ 18 ตํอปี ตามประกาศธนาคารแหํงประเทศไทย
ดังกลาํ ว ข๎อตกลงในสัญญายอํ มชอบด๎วยกฎหมาย และไมํเป็นการขัดตํอความสงบเรียบร๎อย
ของประชาชน อันจะทําให๎ตกเป็นโมฆะ

ข้อสังเกต
1. การกู๎ยืมเงินนั้น ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 654 บัญญัติวํา
“ทํานหา๎ มมิให๎คิดดอกเบย้ี เกินร๎อยละสิบห๎าตํอปี ถ๎าในสัญญากําหนดดอกเบ้ียเกินกวํานั้น ก็
ให๎ลดลงมาเป็นร๎อยละสิบห๎าตํอปี” สํวนพระราชบัญญัติห๎ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.
2560 มาตรา 4 บัญญตั ิวํา “บคุ คลใดใหบ๎ ุคคลอืน่ กู๎ยืมเงินหรือกระทําการใด ๆ อันมีลักษณะ
เป็นการอําพรางการให๎ก๎ูยืมเงิน โดยมีลักษณะอยํางใดอยํางหนึ่งดังตํอไปนี้ต๎องระวางโทษ
จําคุกไมํเกินสองปี หรือปรับไมํเกินสองแสนบาท หรือท้ังจําทั้งปรับ (1) เรียกดอกเบี้ยเกิน
อัตราทกี่ ฎหมายกําหนดไว๎” ดังนนั้ ในกรณีทม่ี กี ารกําหนดอัตราดอกเบ้ียไว๎ในสัญญาก๎ูยืมเงิน
เกินกวําร๎อยละ 15 ตํอปี ในสํวนท่ีเป็นดอกเบ้ียน้ันตกเป็นโมฆะท้ังหมด เจ๎าหนี้จึงเรียกให๎
ลูกหน้ชี าํ ระหนไ้ี ดเ๎ ฉพาะเงนิ ต๎นเทาํ นั้น ไมสํ ามารถเรียกให๎ลูกหน้ีชําระในสํวนของดอกเบี้ยได๎
แตํอยํางไรก็ดี ลูกหน้ีก็ยังคงต๎องรับผิดชําระดอกเบี้ยร๎อยละ 5 ตํอปี ในระหวํางเวลาผิดนัด
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 224

คาพิพากษาศาลฎกี าท่ี 1178/2519 แม๎โจทก๑จะไมํมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตั้งแตํวัน
ทาํ สญั ญากู๎เพราะดอกเบีย้ ท่ีเรยี กเกินอัตราทก่ี ฎหมายกําหนด จึงตกเป็นโมฆะ แตํจําเลยต๎อง
รับผิดชําระดอกเบ้ยี ในระหวํางทีจ่ ําเลยผดิ นัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
224

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2522/2540 จําเลยกู๎เงินโจทก๑ 500,000 บาท ตกลง
ดอกเบ้ยี อตั ราร๎อยละ 30 ตอํ ปี ซงึ่ อตั ราดอกเบี้ยดงั กลําวนเ้ี ป็นการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติห๎าม
เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 จึงตกเป็นโมฆะ เทํากับการก๎ูเงินรายนี้มิได๎มีการตกลง
เรื่องดอกเบี้ยไว๎ แตํเม่ือจําเลยผิดนัด โจทก๑จึงเรียกดอกเบ้ียในระหวํางท่ีจําเลยผิดนัด ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 224 สํวนการที่จําเลยชําระเงิน 150,000 บาท
แกํโจทก๑น้ัน เป็นการชําระดอกเบ้ียอัตราร๎อยละ 30 ตํอปี ของต๎นเงิน 500,000 บาท ด๎วย
ความสมัครใจของจาํ เลยเอง อันเป็นการชําระหน้ีตามอําเภอใจ จําเลยจะเรียกคืนหรือนํามา
หักกบั ตน๎ เงิน 500,000 บาท มิได๎ จาํ เลยจึงยังคงเปน็ หนโ้ี จทก๑อยูํ 500,000 บาท

คาพิพากษาศาลฎกี าที่ 3375/2549 หนังสือสัญญาก๎ูยืมเงินคิดดอกเบี้ยถึงอัตรา
ร๎อยละ 1.5 ตํอเดือน หรือเทํากับอัตราร๎อยละ 18 ตํอปี เป็นการฝ่าฝืนตํอพระราชบัญญัติ
ห๎ามเรียกดอกเบ้ียเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 ประกอบด๎วยประมวลกฎหมายแพํงและ

108

พาณิชย๑ มาตรา 654 ข๎อตกลงเร่ืองดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ แตํสามารถเรียกดอกเบี้ยใน
ระหวาํ งเวลาผดิ นัดได๎ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 224

2. ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 7 บัญญัติวํา “ถ๎าจะต๎องเสียดอกเบี้ย
แกํกันและมิได๎กําหนดอัตราดอกเบ้ียไว๎โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ๎ง ให๎ใช๎
อัตราร๎อยละสามตํอปี” เชํน นาย ก. ก๎ูยืมเงินไปจากนาย ข. จํานวน 100,000 บาท โดย
กําหนดให๎มีการชําระดอกเบ้ียเงินกู๎ แตํไมํได๎กําหนดไว๎วําต๎องชําระดอกเบี้ยเงินก๎ูในอัตรา
เทําใด ดังน้ี เจ๎าหนี้มีสิทธิเรียกดอกเบ้ียเงินก๎ูได๎ร๎อยละ 3 ตํอปี ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณชิ ย๑ มาตรา 7 และหากลกู หนี้ผดิ นัด เจา๎ หน้ีก็มีสิทธิเรียกดอกเบ้ียในระหวํางเวลาผิด
นดั ไดร๎ ๎อยละ 5 ตอํ ปี ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 224 วรรคแรก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 224 วรรคสอง บญั ญัติวาํ “ทํานห๎ามมิ
ใหค๎ ิดดอกเบ้ียซอ๎ นดอกเบี้ยในระหวํางผิดนัด”

ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 224 วรรคสอง หมายความวาํ ห๎ามมิ
ให๎คิดดอกเบ้ยี จากดอกเบ้ียในระหวาํ งผดิ นดั หรือห๎ามคิดดอกเบี้ยทบต๎น กลําวคือ เจ๎าหนี้จะ
นําดอกเบ้ยี ในระหวํางผิดนัดไปรวมกับตน๎ เงนิ แลว๎ คดิ ดอกเบย้ี ซอ๎ นอกี ทีไมไํ ด๎

ตัวอย่าง นาย ก. ก๎ยู ืมเงนิ ไปจากนาย ข. จํานวน 100,000 บาท ไมํมีดอกเบ้ียเงินก๎ู
แตํปรากฏวาํ นาย ก. ผิดนดั นาย ข. จงึ มีสิทธเิ รยี กดอกเบยี้ ในระหวาํ งเวลาผดิ นัดจากนาย ก.
ได๎ร๎อยละ 5 ตํอปี จากเงินต๎นจํานวน 100,000 บาท นับตั้งแตํวันท่ีนาย ก. ผิดนัดชําระหนี้
เป็นตน๎ ไปจนกวาํ นาย ก. จะได๎ชําระหน้ีน้ัน โดยหากนาย ก. ผิดนัดครบ 1 ปี นาย ก. ก็ต๎อง
ชําระดอกเบี้ยเทํากับ 5,000 บาท ซ่ึงหากเริ่มต๎นปีท่ี 2 นาย ก. ยังคงผิดนัดอยํู นาย ข. ก็มี
สิทธิเรียกดอกเบ้ียในระหวํางเวลาผิดนัดจากนาย ก. ได๎ร๎อยละ 5 ตํอปี จากเงินต๎นจํานวน
100,000 บาท นาย ข. จะเรียกดอกเบ้ียในระหวํางเวลาผิดนัดจากนาย ก. ร๎อยละ 5 ตํอปี
จากเงินจาํ นวน 105,000 บาท ไมไํ ด๎

แตํถ๎าไมํใชํดอกเบี้ยในระหวํางผิดนัด เม่ือลูกหน้ีผิดนัด เจ๎าหน้ีสามารถคิดดอกเบี้ย
จากดอกเบีย้ น้ันได๎

ตัวอย่าง นาย ก. กู๎ยืมเงินไปจากนาย ข. จํานวน 100,000 บาท กําหนดดอกเบ้ีย
เงินกู๎ไว๎ร๎อยละ 5 ตํอปี โดยมีกําหนดชําระคืนเมื่อครบกําหนด 1 ปี แตํเมื่อถึงกําหนดชําระ
นาย ก. ไมยํ อมชําระหนี้ ดังน้ี นาย ก. จึงตกเป็นผู๎ผิดนัด และ นาย ข. มีสิทธิเรียกดอกเบ้ีย
ในระหวํางเวลาผิดนัดจากนาย ก. ได๎ร๎อยละ 5 ตํอปี จากเงินต๎นจํานวน 105,000 บาท
นบั ตงั้ แตวํ ันทน่ี าย ก. ผิดนัดชําระหนี้เปน็ ตน๎ ไปจนกวาํ นาย ก. จะไดช๎ าํ ระหน้นี ัน้

คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 608/2518 คูํกรณีตกลงเอาหนี้เงินกับดอกเบ้ียที่ค๎างชําระ
เป็นต๎นเงิน ดังน้ี แม๎จํานวนต๎นเงินนี้มีดอกเบ้ียรวมอยํูด๎วย เจ๎าหน้ีก็มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยใน

109

ระหวํางเวลาผิดนัดได๎ ไมํเป็นการคิดดอกเบ้ียซ๎อนดอกเบ้ีย ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 224 วรรคสอง

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 291/2544 จําเลยเป็นลูกหน้ีตามสัญญาก๎ูยืมเงิน ยังมิได๎
ชาํ ระหน้ี การท่คี ูสํ ัญญาท้ังสองฝ่ายตกลงกันให๎แปลงหน้ีกู๎ยืมเงินและดอกเบ้ียเป็นหนี้ตามตั๋ว
สญั ญาใช๎เงนิ น้ัน จํานวนหน้ีตามตั๋วสัญญาใช๎เงินจึงเป็นหน้ีใหมํ โจทก๑ยํอมมีสิทธิคิดดอกเบ้ีย
ในระหวํางเวลาผิดนัดได๎ ไมํเป็นการคิดดอกเบ้ียซ๎อนดอกเบ้ีย ซ่ึงต๎องห๎ามตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 224 วรรคสอง

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคท้าย บญั ญัติวาํ “การพิสูจน๑
คาํ เสยี หายอยํางอืน่ นอกกวํานนั้ ทํานอนญุ าตใหพ๎ สิ ูจน๑ได๎”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 224 วรรคท๎าย หมายความวํา ถ๎า
ลูกหนี้ผิดนัด นอกจากเจ๎าหน้ีจะมีสิทธิเรียกดอกเบ้ียในระหวํางเวลาผิดนัดแล๎ว หากเจ๎าหน้ี
ได๎รับความเสยี หาย เจ๎าหนก้ี ็ยงั มสี ทิ ธเิ รียกคําเสยี หายได๎อีกดว๎ ย

ตวั อย่าง นาย ก. ก๎ยู มื เงินไปจากนาย ข. จํานวน 100,000 บาท โดยไมํมีการกาํ หนด
ดอกเบี้ยเงินก๎ูไว๎ และตกลงกันวํานาย ก. ต๎องชําระคืนในวันที่ 31 สิงหาคม 2562 เพราะ
นาย ข. จะเอาเงินจํานวนนไ้ี ปให๎นาย ค. กู๎ยมื ตํอในดอกเบี้ยอัตราร๎อยละ 15 ตํอปี แตํเม่ือถึง
กําหนดชาํ ระ นาย ก. ไมํยอมชําระหนี้ ดังน้ี นาย ก. จึงตกเป็นผู๎ผิดนัด ซึ่งนอกจากนาย ข.
จะมีสิทธิเรียกดอกเบ้ียในระหวํางเวลาผิดนัดจากนาย ก. ได๎ร๎อยละ 5 ตํอปี ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 224 วรรคแรก แล๎ว เม่ือนาย ข. ได๎รับความเสียหาย คือ
ดอกเบ้ียที่ควรจะได๎รับหายไปร๎อยละ 10 ตํอปี ดังน้ี นาย ข. จึงมีสิทธิเรียกคําเสียหายเป็น
ดอกเบ้ียอัตราร๎อยละ 10 ตํอปี ได๎อีกด๎วย ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
224 วรรคทา๎ ย

ข้อสังเกต ดอกเบี้ยในระหวํางเวลาผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 224 วรรคแรก เจ๎าหนี้มีสิทธิเรียกได๎ทันที โดยไมํต๎องพิสูจน๑ความเสียหาย แตํ
คําเสียหายตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 224 วรรคท๎าย เจ๎าหน้ีจะมีสิทธิ
เรยี กได๎ กต็ อํ เม่อื เจ๎าหนพ้ี สิ ูจนไ๑ ด๎วําตนได๎รับความเสียหายอยาํ งใด

17. การเรยี กดอกเบยี้ จากค่าสนิ ไหมทดแทน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 225 บัญญัติ “ถ๎าลูกหน้ีจําต๎องใช๎คํา

สินไหมทดแทนเพื่อราคาวัตถุอันได๎เส่ือมเสียไประหวํางผิดนัดก็ดี หรือวัตถุอันไมํอาจสํงมอบ
ไดเ๎ พราะเหตุอยํางใดอยํางหนึง่ อันเกิดขนึ้ ระหวํางผิดนดั ก็ดี ทํานวําเจ๎าหนี้จะเรียกดอกเบ้ียใน
จาํ นวนที่จะต๎องใชเ๎ ปน็ คําสินไหมทดแทน คิดต้ังแตํเวลาอันเป็นฐานที่ต้ังแหํงการกะประมาณ
ราคานั้นกไ็ ด๎ วิธีเดยี วกนั น้ที าํ นใหใ๎ ชต๎ ลอดถงึ การทลี่ ูกหนี้จําต๎องใช๎คําสินไหมทดแทนเพ่ือการ
ท่รี าคาวตั ถตุ กตาํ่ เพราะวัตถนุ ้ันเสื่อมเสยี ลงในระหวํางเวลาท่ผี ดิ นัดนัน้ ดว๎ ย”

110

เจ๎าหนจ้ี ะมสี ทิ ธิเรยี กดอกเบ้ยี จากคําสนิ ไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 225 ไดใ๎ น 3 กรณี ดังน้ี

1. กรณีลูกหน้ีต๎องใช๎คําสินไหมทดแทนเพ่ือราคาวัตถุอันได๎เสื่อมเสียไประหวํางผิด
นัด เชํน เจ๎าหน้ีและลูกหนี้ทําสัญญาซื้อขายมะมํวง 10 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 50 บาท
แตลํ ูกหน้ผี ดิ นดั ไมํสํงมอบมะมํวงตามเวลาที่กําหนด อันทําให๎มะมํวงเนําเสียไปทั้งหมด ดังนี้
เจ๎าหนี้สามารถเรียกคําสินไหมทดแทนจํานวน 500 บาท ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 218 ได๎ และเรียกดอกเบ้ียจากคําสินไหมทดแทนนั้นได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 225 เป็นต๎น

2. กรณีลูกหนตี้ ๎องใชค๎ าํ สินไหมทดแทนเพ่ือราคาวัตถอุ นั ไมํอาจสํงมอบได๎ เพราะเหตุ
อยํางใดอยํางหน่ึงอันเกิดข้ึนระหวํางผิดนัด เชํน นาย ก. ยืมรถยนต๑ไปจากนาย ข. กําหนด
สํงคืน วันที่ 15 มกราคม 2563 แตํเม่ือถึงกําหนดชําระหน้ี นาย ก. ไมํนํารถยนต๑ไปสํงคืน
ให๎แกํนาย ข. อันทําให๎นาย ก. ตกเปน็ ผ๎ูผิดนัด แล๎วตํอมาได๎เกิดอุบัติเหตุรถยนต๑นั้นถูกไฟไหม๎
เสียหายทั้งคัน ดังนี้ เจ๎าหนี้สามารถเรียกคําสินไหมทดแทนตามราคาคํารถยนต๑นั้น ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 217 ได๎ และเรียกดอกเบี้ยจากคําสินไหมทดแทน
นั้นได๎ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 225 เปน็ ตน๎

3. กรณีลูกหน้ีจําต๎องใช๎คําสินไหมทดแทนเพ่ือการที่ราคาวัตถุตกตํ่าเพราะวัตถุนั้น
เส่ือมเสียลงในระหวํางเวลาที่ผิดนัด เชํน เจ๎าหนี้และลูกหน้ีทําสัญญาซ้ือขายมะมํวง 10
กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 50 บาท แตํลูกหนี้ผิดนัดไมํสํงมอบมะมํวงตามเวลาที่กําหนด อัน
ทําใหม๎ ะมวํ งไมํสดใหมํและราคาตกเหลือกิโลกรัมละ 30 บาท ดังนี้ แม๎เจ๎าหน้ีจะยอมรับการ
สงํ มอบมะมวํ งไว๎ เจา๎ หนก้ี ็ยังคงมสี ทิ ธิเรียกคาํ สินไหมทดแทนจํานวน 250 บาท ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215 ได๎ และเรียกดอกเบ้ียจากคําสินไหมทดแทนนั้นได๎
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 225 เป็นต๎น

สํวนบทบัญญัติท่ีวํา “เจ๎าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยในจํานวนท่ีจะต๎องใช๎เป็นคําสินไหม
ทดแทน คิดตั้งแตํเวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแหํงการกะประมาณราคาน้ันก็ได๎” หมายความวํา
เจ๎าหนมี้ ีสทิ ธเิ รยี กสินไหมทดแทนได๎เมื่อลูกหน้ีผิดนัด ดังนั้น เจ๎าหนี้จึงมีสิทธิคิดดอกเบ้ียจาก
คําสินไหมทดแทนนั้นได๎เมื่อลูกหนี้ผิดนัด และดอกเบ้ียของคําสินไหมทดแทนตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 225 ให๎คดิ ได๎ร๎อยละ 5 ตํอปี โดยนําประมวลกฎหมายแพํง
และพาณชิ ย๑ มาตรา 224 วรรคแรกมาใช๎โดยอนุโลม

111

18. บทสรปุ
18.1 กาหนดชาระหนี้ กาํ หนดเวลาชาํ ระหนี้แบํงเปน็ 4 กรณี ดังนี้
1. ถ๎าเวลาอันจะพงึ ชาํ ระหนไ้ี ด๎กําหนดลงไว๎ แบํงออกเปน็ 2 กรณี ดงั น้ี
1.1 ถ๎าเวลาอันจะพึงชําระหน้ีได๎กําหนดลงไว๎ตามวันแหํงปฏิทิน หนี้ยํอม

ถงึ กาํ หนดชาํ ระตามวันดงั กลําวท่ไี ด๎กําหนดไว๎นัน้
1.2 ถ๎าเวลาอันจะพึงชําระหน้ีนั้นได๎กําหนดลงไว๎ แตํไมํได๎กําหนดตามวัน

แหํงปฏิทนิ หน้ียํอมถงึ กาํ หนดชาํ ระตามวันดังกลําวทีไ่ ดก๎ ําหนดไว๎นนั้
ถ๎าเวลาอันจะพึงชําระหน้ีได๎กําหนดลงไว๎ แตํหากกรณีเป็นที่สงสัย ให๎

สนั นษิ ฐานไวก๎ อํ นวาํ เจา๎ หน้ีจะเรยี กให๎ชําระหนี้กํอนถึงเวลานน้ั ไมไํ ด๎ แตํฝ่ายลูกหนจี้ ะชําระหนี้
กํอนกําหนดนน้ั ก็ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 203 วรรคสอง

2. ถ๎าเวลาอนั จะพึงชาํ ระหน้ีมิได๎กาํ หนดลงไว๎ แตํพอจะอนุมานจากพฤติการณ๑
ทั้งปวงได๎วําหน้ีจะถึงกําหนดชําระเม่ือใด หนี้ยํอมถึงกําหนดชําระตามวันดังกลําวท่ีพอจะ
อนมุ านจากพฤติการณท๑ ้งั ปวงได๎นัน้

3. ถ๎าเวลาอันจะพึงชําระหนี้น้ันมิได๎กําหนดลงไว๎ และจะอนุมานจาก
พฤติการณ๑ทั้งปวงก็ไมไํ ด๎ เจ๎าหนี้ยํอมจะเรียกให๎ลูกหนี้ชําระหนี้ได๎โดยพลัน และฝ่ายลูกหน้ีก็
ยํอมจะชําระหน้ีของตนได๎โดยพลันดุจกัน ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
203 วรรคแรก

4. กรณีท่ีเวลาอันจะพึงชําระหน้ีนั้นมิได๎กําหนดลงไว๎ และจะอนุมานจาก
พฤติการณ๑ทั้งปวงก็ไมํได๎ แตํเจ๎าหน้ีต๎องบอกกลําวลํวงหน๎ากํอนการชําระหนี้ ซึ่งได๎
กําหนดเวลาลงไว๎อาจคํานวณนับได๎โดยปฏิทินนับแตํวันที่ได๎บอกกลําว หนี้ยํอมถึงกําหนด
ชาํ ระเมื่อถึงกาํ หนดเวลานัน้

18.2 การผิดนดั ของลกู หนี้
1. ถ๎าหนี้ถึงกําหนดชําระแล๎ว และภายหลังแตํนั้นเจ๎าหน้ีได๎ให๎คําเตือนลูกหนี้

แล๎ว ลูกหนี้ยังไมํชําระหนี้ไซร๎ ลูกหนี้ได๎ชื่อวํา ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล๎ว ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคแรก

2. ถ๎าได๎กําหนดเวลาชําระหนี้ไว๎ตามวันแหํงปฏิทิน และลูกหนี้มิได๎ชําระหนี้
ตามกําหนด ลูกหนี้ตกเป็นผู๎ผิดนัดโดยมิพักต๎องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ทํานให๎ใช๎บังคับแกํ
กรณีท่ีต๎องบอกกลาํ วลํวงหน๎ากอํ นการชําระหนี้ ซ่งึ ได๎กําหนดเวลาลงไว๎อาจคํานวณนับได๎โดย
ปฏิทินนับแตํวันที่ได๎บอกกลําว ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรค
สอง

18.3 กรณีทไ่ี มถ่ ือวา่ ลกู หนผี้ ิดนดั ตราบใดการชําระหน้ีนั้นยังมิได๎กระทําลง เพราะ
พฤติการณ๑อันใดอันหน่ึงซ่ึงลูกหน้ีไมํต๎องรับผิดชอบ ตราบน้ันลูกหน้ียังหาได๎ชื่อวําผิดนัดไมํ
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 205

112

18.4 การผิดนัดของลูกหน้ีในกรณีที่ลูกหน้ีได้ทาละเมิด ในกรณีหนี้อันเกิดแตํ
มูลละเมิด ลูกหน้ีได๎ช่ือวําผิดนัดมาแตํเวลาท่ีทําละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 206

18.5 การผดิ นดั ของเจ้าหนี้ แบงํ ออกเป็น 3 กรณี ดังน้ี
1. ถา๎ ลูกหน้ขี อปฏบิ ตั กิ ารชาํ ระหน้ี และเจา๎ หนไ้ี มรํ ับชําระหนี้นั้นโดยปราศจาก

มูลเหตุอันจะอ๎างกฎหมาย เจ๎าหนี้ตกเป็นผู๎ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 207

2. ถา๎ ได๎กําหนดเวลาไวเ๎ ป็นแนนํ อนเพื่อให๎เจ๎าหนี้กระทําการอันใด เมื่อเจ๎าหนี้
ทําการอันนน้ั ภายในเวลากําหนดแล๎ว ลกู หน้ีจึงจะขอปฏิบตั ิการชําระหนี้ได๎ แตํถ๎าเจ๎าหน้ีมิได๎
ทําการอันนั้นภายในเวลากําหนด เจ๎าหนี้ก็ตกเป็นผู๎ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 209

3. ถ๎าลูกหน้จี ําตอ๎ งชําระหน้ีสํวนของตนตํอเม่ือเจ๎าหนี้ชําระหนี้ตอบแทนด๎วย
แมถ๎ ึงวาํ เจา๎ หน้จี ะไดเ๎ ตรียมพร๎อมที่จะรับชําระหนี้ตามที่ลูกหน้ีขอปฏิบัตินั้นแล๎ว หากเจ๎าหนี้
ไมํเสนอท่จี ะทําการชําระหน้ตี อบแทนตามท่ีจะพึงตอ๎ งทาํ เจา๎ หน้กี ็เปน็ อนั ได๎ช่ือวําผิดนัด ตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 210

18.6 กรณที ่ีไม่ถอื ว่าเจ้าหนีผ้ ิดนัด แบํงออกเป็น 2 กรณี ดงั นี้
1. ในเวลาท่ลี กู หนข้ี อปฏบิ ตั ิการชาํ ระหน้นี นั้ หรือในเวลาที่กําหนดไว๎ให๎เจ๎าหน้ี

ทาํ การอยาํ งใดอยาํ งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 209 ถ๎าลูกหนี้มิได๎
อยูใํ นฐานะทจี่ ะสามารถชาํ ระหนไ้ี ด๎ เจา๎ หนี้ไมํตกเป็นผู๎ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 211

2. ถ๎ามิได๎กําหนดเวลาชําระหนี้ไว๎ หรือถ๎าลูกหนี้มีสิทธิที่จะชําระหนี้ได๎กํอน
เวลากําหนด การท่เี จ๎าหนีม้ ีเหตุขัดข๎องช่ัวคราวไมอํ าจรับชําระหนี้ท่ีเขาขอปฏิบัติแกํตนได๎นั้น
หาทําให๎เจ๎าหนี้ตกเป็นผ๎ูผิดนัดไมํ เว๎นแตํลูกหนี้จะได๎บอกกลําวการชําระหน้ีไว๎ลํวงหน๎าโดย
เวลาอันสมควร ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 212

18.7 ผลของการท่ีเจ้าหนี้ผิดนัด หลังจากที่เจ๎าหนี้ตกเป็นผู๎ผิดนัด เจ๎าหนี้จะคิด
ดอกเบี้ยในระหวํางท่ีเจ๎าหนี้ตกเป็นผ๎ูผิดนัดไมํได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 221

18.8 การบังคับชาระหนี้
1. การบังคับชาระหนี้โดยเฉพาะเจาะจงและข้อยกเว้น ประมวลกฎหมาย

แพ่งและพาณิชย์ กําหนดวํา ถา๎ ลกู หนลี้ ะเลยเสียไมชํ ําระหนข้ี องตน เจ๎าหนี้จะร๎องขอตํอศาล
ใหส๎ ่งั บงั คบั ชาํ ระหน้ีกไ็ ด๎ เว๎นแตํสภาพแหํงหนีจ้ ะไมํเปิดชํองใหท๎ าํ เชํนนั้นได๎

เมือ่ สภาพแหํงหน้ีไมํเปิดชํองให๎บังคับชําระหน้ีได๎ ถ๎าวัตถุแหํงหนี้เป็นอันให๎
กระทําการอันหน่ึงอนั ใด เจา๎ หน้จี ะร๎องขอตํอศาลใหส๎ ง่ั บงั คับให๎บคุ คลภายนอกกระทําการอัน

113

นั้น โดยให๎ลูกหน้ีเสียคําใช๎จํายให๎ก็ได๎ แตํถ๎าวัตถุแหํงหน้ีเป็นอันให๎กระทํานิติกรรมอยํางใด
อยาํ งหน่งึ ศาลจะสั่งให๎ถือเอาตามคําพพิ ากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนก้ี ไ็ ด๎

สวํ นหนี้ซง่ึ มวี ัตถเุ ปน็ อันจะให๎งดเวน๎ การอันใด เจ๎าหนี้จะเรียกร๎องให๎ร้ือถอน
การทีไ่ ด๎กระทําลงแลว๎ นัน้ โดยใหล๎ ูกหนีเ้ สยี คาํ ใชจ๎ ําย และให๎จัดการอันควรเพ่ือกาลภายหน๎า
ด๎วยกไ็ ด๎

อนึง่ การบงั คบั ชาํ ระหนโ้ี ดยเฉพาะเจาะจงและข๎อยกเว๎นดังกลําวข๎างต๎นน้ัน
ไมํกระทบถงึ สิทธทิ ่จี ะเรียกเอาคําเสียหาย

2. ทรัพย์ซ่ึงอยู่ในบังคับแห่งการชาระหน้ีโดยเฉพาะเจาะจง ภายใต๎บังคับ
บทบัญญัติแหํงมาตรา 733 เจ๎าหน้ีมีสิทธิที่จะให๎ชําระหน้ีของตนจากทรัพย๑สินของลูกหนี้จน
ส้ินเชิง รวมท้ังเงินและทรัพย๑สินอ่ืน ๆ ซ่ึงบุคคลภายนอกค๎างชําระแกํลูกหนี้ด๎วย ตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 214

18.9 การบังคบั เอาคา่ สินไหมทดแทน แบํงออกเป็น 2 กรณี คือ
1. เมื่อลูกหนี้ไมํชําระหน้ีให๎ต๎องตามความประสงค๑อันแท๎จริงแหํงมูลหน้ี

เจ๎าหนี้จะเรียกเอาคําสินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายอันเกิดแตํการนั้นก็ได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 215

2. ถ๎าโดยเหตุผดิ นัด การชําระหน้ีกลายเป็นอันไร๎ประโยชน๑แกํเจ๎าหนี้ เจ๎าหนี้
จะบอกป๓ดไมํรับชําระหนี้ และจะเรียกเอาคําสินไหมทดแทนเพื่อการไมํชําระหนี้ก็ได๎
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 216

18.10 ผลของการทล่ี กู หนี้ผิดนัด ลูกหนีจ้ ะตอ๎ งรับผิดชอบในความเสยี หายบรรดาที่
เกิดแตํความประมาทเลินเลํอในระหวํางเวลาที่ตนผิดนัด ท้ังจะต๎องรับผิดชอบในการที่การ
ชําระหน้กี ลายเป็นพน๎ วิสยั เพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหวํางเวลาท่ีผิดนัดน้ันด๎วย เว๎นแตํ
ความเสียหายนั้นถึงแม๎วําตนจะได๎ชําระหนี้ทันเวลากําหนดก็คงจะต๎องเกิดมีอยํูน่ันเอง ตาม
ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 217

18.11 การชาระหนี้กลายเปน็ พน้ วสิ ยั แบงํ ออกเป็น 2 กรณี ดังน้ี
1. การชาระหนีก้ ลายเปน็ พ้นวสิ ยั เพราะพฤตกิ ารณ์ทีล่ ูกหนี้ตอ้ งรบั ผิดชอบ

ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 218 กําหนดวํา ถ๎าการชําระหนี้กลายเป็นพ๎นวิสัย
จะทําได๎ เพราะพฤติการณอ๑ ันใดอันหนึ่งซ่ึงลูกหน้ีต๎องรับผิดชอบ ลูกหน้ีจะต๎องใช๎คําสินไหม
ทดแทนใหแ๎ กํเจา๎ หน้ีเพือ่ คาํ เสียหายอยาํ งใด ๆ อนั เกิดแตํการไมํชาํ ระหนีน้ ัน้

ในกรณที ี่การชาํ ระหน้กี ลายเปน็ พ๎นวสิ ยั แตเํ พียงบางสํวน ถ๎าหากวําสํวนที่
ยงั เปน็ วิสัยจะทาํ ไดน๎ ั้นจะเป็นอันไรป๎ ระโยชนแ๑ กํเจา๎ หนแ้ี ล๎ว เจา๎ หนีจ้ ะไมยํ อมรบั ชาํ ระหนี้สํวน
ที่ยังเป็นวิสัยจะทําได๎น้ันแล๎ว และเรียกคําสินไหมทดแทนเพื่อการไมํชําระหนี้เสียท้ังหมด
ทเี ดยี วก็ได๎

114

2. การชาระหน้ีกลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ที่ลูกหน้ีไม่ต้อง
รับผิดชอบ ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219 กําหนดวําถ๎าการชําระหนี้
กลายเปน็ พน๎ วสิ ัยเพราะพฤติการณอ๑ นั ใดอันหน่ึงซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได๎กํอหน้ี และซึ่งลูกหน้ี
ไมตํ ๎องรับผดิ ชอบ ลกู หนเี้ ป็นอันหลดุ พน๎ จากการชําระหนีน้ ้นั

ถ๎าภายหลังท่ีได๎กํอหน้ีข้ึนแล๎วน้ัน ลูกหน้ีกลายเป็นคนไมํสามารถจะชําระ
หนไ้ี ด๎ ก็ให๎ถอื เสมอื นวําเปน็ พฤตกิ ารณ๑ทที่ าํ ให๎การชําระหนีต้ กเป็นอนั พน๎ วสิ ยั ดว๎ ย

18.12 ความผดิ ของลกู หนี้กรณีทใ่ี ช้ใหบ้ ุคคลอ่นื ชาระหน้ี ลูกหนี้ต๎องรับผิดชอบใน
ความผิดของตัวแทนแหํงตน กับท้ังของบุคคลที่ตนใช๎ในการชําระหน้ีนั้น เสมือนกับวําเป็น
ความผิดของตนเอง ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 220

18.13 หลกั เกณฑ์การเรียกค่าสินไหมทดแทน แบํงออกเปน็ 2 กรณี ดงั นี้
1. การเรียกค่าสินไหมทดแทนตามปกติ การเรียกเอาคําเสียหายน้ัน ได๎แกํ

เรียกคําสินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายเชํนท่ีตามปกติยํอมเกิดข้ึนแตํการไมํชําระหน้ีนั้น
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 222 วรรคแรก

2. การเรยี กค่าสินไหมทดแทนในพฤติการณ์พเิ ศษ เจา๎ หนจี้ ะเรียกคําสินไหม
ทดแทนได๎ แม๎กระทัง่ เพอื่ ความเสยี หายอันเกิดแตํพฤติการณ๑พิเศษ หากวําคูํกรณีที่เกี่ยวข๎อง
ได๎คาดเหน็ หรอื ควรจะได๎คาดเหน็ พฤติการณ๑เชนํ นั้นลวํ งหน๎ากํอนแล๎ว ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 222 วรรคสอง

18.14 ค่าสินไหมทดแทนกรณที ่ผี ้เู สียหายมสี ่วนผดิ ดว้ ย อธบิ ายไดด๎ ังนี้
1. ถา๎ ฝ่ายผ๎ูเสียหายได๎มีสํวนกํอให๎เกิดความเสียหายด๎วย ผู๎เสียหายจะมีสิทธิ

ได๎รับคําสินไหมทดแทนมากน๎อยเพียงใด ก็ต๎องพิจารณาจากพฤติการณ๑เป็นกรณีไป โดย
คํานึงถึงประการสําคัญคือความเสียหายนั้นได๎เกิดข้ึน เพราะฝ่ายไหนเป็นผ๎ูกํอมากน๎อยกวํา
กันเพียงไร ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 223 วรรคแรก

2. ถ๎าฝ่ายผู๎เสียหายได๎มีสํวนกํอให๎เกิดความเสียหายด๎วย โดยผ๎ูเสียหาย
ละเลยไมํเตือนลูกหน้ีให๎ร๎ูสึกถึงอันตรายแหํงการเสียหายอันเป็นอยํางร๎ายแรงผิดปกติ ซ่ึง
ลูกหนีไ้ มํรู๎หรือไมอํ าจจะร๎ไู ด๎ หรือผ๎เู สียหายละเลยไมบํ ําบัดป๓ดปอ้ ง หรือบรรเทาความเสียหาย
น้ันด๎วย ผู๎เสียหายจะมีสิทธิได๎รับคําสินไหมทดแทนมากน๎อยเพียงใด ก็ต๎องพิจารณาจาก
พฤติการณเ๑ ป็นกรณไี ป โดยคํานึงถึงประการสําคัญคือความเสียหายนั้นได๎เกิดขึ้น เพราะฝ่าย
ไหนเป็นผู๎กํอมากน๎อยกวํากันเพียงไร ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 223
วรรคสอง ตอนตน๎

3. ถ๎าตัวแทนแหํงผู๎เสียหายหรือบุคคลที่ผู๎เสียหายใช๎ในการชําระหน้ีมีสํวน
กํอให๎เกิดความเสียหายด๎วย ผ๎ูเสียหายจะมีสิทธิได๎รับคําสินไหมทดแทนมากน๎อยเพียงใด ก็
ต๎องพิจารณาจากพฤติการณ๑เป็นกรณีไป โดยคํานึงถึงประการสําคัญคือความเสียหายนั้นได๎

115

เกิดขึ้น เพราะฝ่ายไหนเป็นผู๎กํอมากน๎อยกวํากันเพียงไร ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 223 วรรคสอง ตอนตน๎ ประกอบมาตรา 220

18.15 การเรียกดอกเบ้ียในระหว่างเวลาผิดนัด หน้ีเงินน้ัน ให๎คิดดอกเบี้ยใน
ระหวํางเวลาผดิ นัด ในอัตราร๎อยละ 5 ตํอปี ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
224 วรรคแรกตอนตน๎ ประกอบมาตรา 7 แตํถ๎าเจ๎าหน้ีมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได๎สูงกวําร๎อยละ
5 ตํอปี โดยอาศัยเหตุอยํางอ่ืนอันชอบด๎วยกฎหมาย ลูกหนี้ก็ต๎องชําระดอกเบี้ยตามน้ัน
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 224 วรรคแรกตอนท๎าย และนอกจากเจ๎าหน้ี
จะมีสิทธิเรียกดอกเบ้ียในระหวาํ งเวลาผดิ นัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
224 วรรคแรก แล๎ว หากเจ๎าหน้ีได๎รับความเสียหาย เจ๎าหน้ีก็ยังมีสิทธิเรียกคําเสียหายได๎อีก
ด๎วย ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 224 วรรคทา๎ ย

18.16 การเรียกดอกเบี้ยจากค่าสินไหมทดแทน ถ๎าลูกหนี้จําต๎องใช๎คําสินไหม
ทดแทน เพื่อราคาวัตถุอันได๎เส่ือมเสียไประหวํางผิดนัด หรือถ๎าลูกหน้ีจําต๎องใช๎คําสินไหม
ทดแทน เพื่อวัตถุอันไมํอาจสํงมอบได๎เพราะเหตุอยํางใดอยํางหนึ่งอันเกิดขึ้นระหวํางผิดนัด
หรอื ถ๎าลกู หน้ีจําต๎องใช๎คําสินไหมทดแทน เพื่อการทร่ี าคาวัตถุตกตํา่ เพราะวตั ถนุ ้นั เสื่อมเสียลง
ในระหวาํ งเวลาท่ีผดิ นัด เจ๎าหน้ีจะเรียกดอกเบ้ียในจํานวนท่ีจะต๎องใช๎เป็นคําสินไหมทดแทน
คิดตงั้ แตํเวลาที่ลูกหนีผ้ ดิ นดั กไ็ ด๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 225

116

19. คาถามท้ายบท
ข๎อ 1. เม่ือวันท่ี 10 มกราคม 2562 นายเกษมได๎ไปกู๎เงินจากนายเปรมจํานวน

100,000 บาท โดยตกลงกนั วาํ จะชาํ ระหนใ้ี หแ๎ กนํ ายเปรมเมื่อเสร็จงานแตงํ งานของนายเกษม
ตํอมา นายเกษมได๎แตํงงานในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 แตํนายเปรมก็ไมํได๎เตือนให๎
นายเกษมชําระหนี้ แล๎วหลังจากน้ัน นายเปรมได๎ทราบวํานายเกษมถูกสลากกินแบํงรัฐบาล
รางวัลท่ี 1 นายเปรมจึงได๎ไปพบนายเกษมท่ีบ๎านเม่ือวันท่ี 30 กันยายน 2562 และเตือนให๎
นายเกษมชําระหน้ีใหแ๎ กํตนภายในวนั ท่ี 15 ตลุ าคม 2562 แตนํ ายเกษมไมยํ อมชาํ ระหนี้

ดังนี้ ให๎วินิจฉัยวําหนี้รายน้ีถึงกําหนดชําระเมื่อใด และนายเกษมจะตกเป็นผู๎ผิดนัด
ตั้งแตเํ ม่อื ใด

หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 204 วรรคแรก
วินิจฉัย การท่ีนายเกษมได๎ไปก๎ูเงินจากนายเปรมจํานวน 100,000 บาท เมื่อวันที่
10 มกราคม 2562 โดยตกลงกันวําจะชําระหน้ีให๎แกํนายเปรมเม่ือเสร็จงานแตํงงานของ
นายเกษมนน้ั ถอื เป็นกรณีท่เี วลาอันจะพึงชาํ ระหน้นี น้ั ได๎กําหนดลงไว๎ แตไํ มไํ ด๎กําหนดตามวัน
แหํงปฏิทิน ซ่ึงหน้ียํอมถึงกําหนดชําระตามวันดังกลําวที่ได๎กําหนดไว๎นั้น กลําวคือ เม่ือวันที่
เสรจ็ งานแตํงงานของนายเกษม คือ วันท่ี 1 พฤษภาคม 2562 ดังนั้น หนี้รายนี้จึงถึงกําหนด
ชาํ ระในวันท่ี 2 พฤษภาคม 2562
เมอื่ ตํอมาในวนั ที่ 30 กันยายน 2562 นายเปรมได๎เตือนให๎นายเกษมชําระหนี้ให๎แกํ
ตนภายในวนั ท่ี 15 ตุลาคม 2562 แตํนายเกษมไมํยอมชําระหนี้ จึงเป็นกรณีท่ีหน้ีถึงกําหนด
ชําระแล๎ว และภายหลังแตนํ น้ั เจา๎ หนไ้ี ดใ๎ ห๎คําเตือนลูกหนี้แล๎ว ลูกหน้ียังไมํชําระหนี้ ลูกหน้ีจึง
ได๎ชือ่ วําผดิ นัดเพราะเขาเตือนแล๎ว ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรค
แรก ดงั นน้ั นายเกษมจงึ ตกเปน็ ผผู๎ ดิ นดั ตั้งแตวํ ันที่ วนั ท่ี 16 ตุลาคม 2562
สรุป หนี้รายนี้ถึงกําหนดชําระในวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 และนายเกษมตกเป็น
ผผ๎ู ดิ นดั ตัง้ แตวํ ันที่ 16 ตลุ าคม 2562

117

ขอ๎ 2. การชาํ ระหนก้ี ลายเป็นพน๎ วิสยั กบั เหตุสุดวสิ ยั แตกตํางกนั หรอื ไมํ อยํางไร
คาตอบ การชาํ ระหนกี้ ลายเป็นพน๎ วสิ ัย หมายถึง การชําระหน้ีน้ันไมํสามารถกระทํา
ไดอ๎ กี แล๎ว สวํ นเหตุสุดวสิ ัย หมายถงึ เหตใุ ด ๆ อนั จะเกดิ ข้นึ ก็ดี จะใหผ๎ ลพบิ ตั ิกด็ ี เป็นเหตุท่ีไมํ
อาจป้องกันได๎แม๎ทั้งบุคคลผ๎ูต๎องประสบหรือใกล๎จะต๎องประสบเหตุนั้นจะได๎จัดการ
ระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได๎จากบุคคลในฐานะและภาวะเชํนนั้น (ประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 8)
ดังน้นั การชําระหนกี้ ลายเป็นพ๎นวิสยั กับเหตุสดุ วสิ ัยจึงแตกตาํ งกัน เชํน ลูกหน้ียืมม๎า
ไปจากเจ๎าหนี้ ตํอมาม๎าถกู ฟา้ ผําตาย ดงั นี้ สาเหตคุ ือฟ้าผําซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย ทําให๎เกิดผลคือ
การชาํ ระหนก้ี ลายเปน็ พน๎ วิสัย เป็นตน๎
แตํอยํางไรกด็ ี การชําระหน้กี ลายเป็นพน๎ วสิ ยั อาจมไิ ดม๎ สี าเหตุมาจากเหตุสุดวิสัยก็ได๎
เชํน ลูกหนี้ยืมม๎าไปจากเจ๎าหนี้ ตํอมาม๎าน้ันถูกเจ๎าหน้ีฆําตาย (ประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 218) หรือ ลูกหน้ียืมม๎าไปจากเจ๎าหน้ี ตํอมาม๎านั้นถูกลูกหนี้ฆําตาย
(ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219) เป็นต๎น และเหตุสุดวิสัยอาจมิได๎ทําให๎การ
ชาํ ระหนี้กลายเป็นพน๎ วสิ ัย เชนํ ลกู หนยี้ มื มา๎ ไปจากเจ๎าหนี้ แตํเมื่อถึงกําหนดสํงม๎าคืน ได๎เกิด
นํา้ ทํวมหนกั ตอํ มาเมอ่ื นํ้าลดและม๎ายังไมํตาย ลูกหนี้ก็ต๎องสํงม๎าคืน เพราะการชําระหน้ีมิได๎
กลายเป็นพ๎นวิสยั เปน็ ตน๎

118

ข๎อ 3. นายรุงํ โรจน๑ยืมรถยนต๑จากนายรุํงเรืองไปเท่ียวตํางจังหวัด มีกําหนดสํงคืนใน
วนั ที่ 10 มกราคม 2563 แตํเม่ือถึงกําหนดสํงรถยนต๑คืน นายรํุงโรจน๑มิได๎สํงรถยนต๑คืนตาม
กําหนดเวลาดังกลําว หลงั จากน้ันในวันที่ 15 มกราคม 2563 ได๎เกิดอุบัติเหตุไฟไหม๎บ๎านของ
นายรงํุ โรจน๑ และทาํ ใหร๎ ถยนต๑ถูกไฟไหม๎เสียหายท้ังหมด นายรุํงเรืองจึงเรียกให๎นายรุํงโรจน๑
รับผิดชอบชดใช๎คาํ สนิ ไหมทดแทนให๎แกตํ น แตํนายรุงํ โรจน๑ไมยํ อมรับผิดชอบชดใช๎คําสินไหม
ทดแทนให๎แกํนายรํุงเรือง โดยอ๎างวําการที่รถยนต๑ถูกไฟไหม๎เสียหายทั้งหมดน้ัน เกิดจาก
อุบตั ิเหตุ มไิ ดเ๎ กดิ จากความผิดของตน ตนจึงไมตํ ๎องรบั ผิดชอบ

ดังนี้ ให๎วินิจฉัยวํานายรํุงโรจน๑ต๎องรับผิดชอบชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํ
นายรุํงเรอื งหรือไมํ

หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง มาตรา
217

วนิ ิจฉัย นายรงํุ โรจน๑ยมื รถยนตจ๑ ากนายรํงุ เรอื ง มีกาํ หนดสํงคืนในวันท่ี 10 มกราคม
2563 แตเํ มื่อถึงกําหนดสงํ รถยนตค๑ ืน นายรงํุ โรจนม๑ ิได๎สงํ รถยนตค๑ ืนตามกําหนดเวลาดังกลําว
ถอื เปน็ กรณีทีไ่ ดม๎ ีการกําหนด เวลาชําระหน้ีไว๎ตามวันแหํงปฏิทิน เมื่อรํุงโรจน๑หนึ่งมิได๎ชําระ
หนี้โดยการสํงรถยนต๑คืนตามกําหนดเวลานั้น นายรํุงโรจน๑จึงตกเป็นผู๎ผิดนัดโดยมิพักต๎อง
เตือนเลย ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง

หลังจากนน้ั ในวนั ท่ี 15 มกราคม 2563 ได๎เกิดอุบัติเหตุไฟไหม๎บ๎านของนายรํุงโรจน๑
และทําให๎รถยนต๑ถูกไฟไหม๎เสียหายท้ังหมด ถือเป็นกรณีท่ีการชําระหนี้กลายเป็นพ๎นวิสัย
เพราะอบุ ัติเหตุอนั เกดิ ข้ึนในระหวาํ งเวลาท่ผี ิดนัด ดังน้ี นายรุงํ โรจนจ๑ ึงต๎องรับผิดชอบชดใช๎คํา
สนิ ไหมทดแทนใหแ๎ กํนายรุงํ เรือง ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 217

สรปุ นายรํุงโรจน๑ต๎องรบั ผิดชอบชดใชค๎ าํ สินไหมทดแทนใหแ๎ กํนายรุงํ เรือง

119

ข๎อ 4. นายภูผาทําสัญญาก๎ูยืมเงินจากนายตะวันจํานวน 100,000 บาท มีกําหนด
ชําระหนใ้ี นวันท่ี 15 มกราคม 2562 ตอํ มาเม่อื หน้ีถึงกําหนดชําระ นายภูผาได๎นําเงินไปชําระ
หน้ีให๎แกํนายตะวนั แตํนายตะวันไมํยอมรบั ชาํ ระหนี้ โดยนายตะวันอ๎างวําหมอดูทักไว๎วําชํวง
น้ีห๎ามรับชําระหนี้โดยเด็ดขาด นายภูผาจึงไมํสามารถชําระหนี้ให๎แกํนายตะวันตาม
กําหนดเวลาดังกลําวได๎ หลังจากนั้นในวันท่ี 15 กุมภาพันธ๑ 2562 นายตะวันจึงได๎เรียกให๎
นายภูผาชาํ ระหนีใ้ หแ๎ กํตน แตํนายภูผาไมํยอมชาํ ระหน้ี โดยอ๎างวํานายภูผาได๎นําเงินไปชําระ
หนี้ให๎แกนํ ายตะวันแล๎ว แตนํ ายตะวนั ไมยํ อมรับชําระหนเ้ี อง หนี้จึงระงับไปแล๎ว

ดังนี้ ใหว๎ ินจิ ฉัยวํานายตะวันจะเรยี กใหน๎ ายภูผาชําระหนีไ้ ด๎หรือไมํ
หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง มาตรา
205 มาตรา 207
วินิจฉัย การที่นายภูผาทําสัญญาก๎ูยืมเงินจากนายตะวันจํานวน 100,000 บาท มี
กําหนดชําระหน้ีในวันที่ 15 มกราคม 2562 แตํนายภูผาไมํได๎ชําระหนี้ให๎แกํนายตะวันตาม
กาํ หนดเวลาดังกลําวนั้น เป็นกรณีที่ได๎มีการกําหนดเวลาชําระหนี้ไว๎ตามวันแหํงปฏิทิน เม่ือ
นายภผู ามิไดช๎ าํ ระหนีต้ ามกําหนดเวลานั้น นายภูผาจึงตกเป็นผู๎ผิดนัดโดยมิพักต๎องเตือนเลย
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง
แตํการท่ีนายภูผาไมํสามารถชําระหน้ีให๎แกํนายตะวันตามกําหนดเวลา เพราะ
นายตะวนั ไมยํ อมรบั ชําระหน้ี โดยอา๎ งวําหมอดูทักไวว๎ าํ ชํวงนีห้ ๎ามรบั ชําระหนีเ้ ดด็ ขาดนั้น เป็น
กรณีที่นายตะวันซึ่งเป็นเจ๎าหน้ีไมํรับชําระหน้ีโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ๎างกฎหมายได๎
นายตะวนั จึงตกเปน็ เจ๎าหนี้ผดิ นัด ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 207
ดงั น้ัน เม่ือนายภูผาไมํสามารถชําระหนี้ให๎แกํนายตะวันตามกําหนดเวลาได๎ เพราะ
นายตะวันตกเป็นเจ๎าหน้ีผิดนัด จึงเป็นกรณีท่ีการชําระหนี้นั้นยังมิได๎กระทําลงเพราะ
พฤติการณ๑อันใดอนั หน่ึงซ่ึงนายภูผาไมํต๎องรับผิดชอบ นายภูผาจึงหาตกเป็นผ๎ูผิดนัดไมํ ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 205
อยาํ งไรกด็ ี แมน๎ ายภูผาจะไมํตกเปน็ ผู๎ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 205 แตํหนน้ี ัน้ ก็ยงั ไมํได๎ระงับไป นายตะวันจึงเรียกให๎นายภูผาชําระหน้ไี ด๎
สรุป นายตะวนั เรียกใหน๎ ายภูผาชําระหน้ีได๎

120

ข๎อ 5. นายกรกนกทําสัญญาจะซ้ือจะขายท่ีดินจากนายเขมรัตน๑ และตกลงกันวํา
นายเขมรตั น๑จะตอ๎ งไปจดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธ์ิในทด่ี ินดังกลําวให๎แกํนายกรกนก ในวันที่ 5
ธันวาคม 2564 แตํตํอมาในวันท่ี 5 ตุลาคม 2564 นายเขมรัตน๑ได๎ไปจดทะเบียนโอน
กรรมสิทธ์ิในที่ดินดังกลาํ วให๎แกํนายคุณวิช ดังนี้ นายกรกนกจะใช๎สิทธิทางศาลในการบังคับ
ชําระหน้ีหรือเรยี กคาํ สินไหมทดแทนไดห๎ รอื ไมํ อยาํ งไร

หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรก,
วรรคสอง, มาตรา 218

วินิจฉัย การที่นายกรกนกทําสัญญาจะซ้ือจะขายท่ีดินจากนายเขมรัตน๑ และตกลง
กันวํานายเขมรัตน๑จะต๎องไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในท่ีดินดังกลําวให๎นายกรกนก แตํ
นายเขมรัตน๑ไดไ๎ ปจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธใิ์ นทีด่ ินดังกลาํ วให๎แกํนายคุณวิชน้ัน เม่ือท่ีดินนั้น
ไมอํ ยใูํ นอํานาจของนายเขมรัตน๑ทจี่ ะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ใิ ห๎นายกรกนกได๎แล๎ว จึงถือ
วําสภาพแหํงหน้ีไมํเปิดชํองให๎ศาลสั่งบังคับชําระหนี้โดยเฉพาะเจาะจงได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 213 วรรคแรก นายกรกนกจงึ ไมํมีสิทธริ ๎องขอตํอศาลให๎ส่ัง
ใหน๎ ายเขมรตั น๑จดทะเบยี นโอนกรรมสิทธ์ิในทด่ี ินดงั กลาํ วให๎แกํนายกรกนก

นอกจากนั้น เมื่อท่ีดินน้ันมิได๎เป็นของนายเขมรัตน๑แล๎ว นายกรกนกจึงไมํมีสิทธิ
ร๎องขอตํอศาลใหส๎ ่งั ให๎ถอื เอาคําพพิ ากษาแทนการแสดงเจตนาของนายเขมรัตน๑ ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคสอง

อยํางไรก็ดี การที่นายเขมรัตน๑ไมํสามารถไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิในที่ดิน
ดังกลําวให๎แกํนายกรกนกได๎ เพราะนายเขมรัตน๑ได๎ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิในที่ดิน
ดังกลําวให๎แกํนายคุณวิชไปเสียแล๎วน้ัน เป็นกรณีท่ีนายเขมรัตน๑ซ่ึงเป็นลูกหนี้ไมํชําระหน้ีให๎
ตอ๎ งตามความประสงค๑อนั แท๎จริงแหํงมลู หนี้ นายกรกนกซงึ่ เปน็ เจ๎าหน้ีจึงเรียกเอาคําสินไหม
ทดแทนเพ่ือความเสียหายอันเกิดแตํการนั้นก็ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 215 (คาํ พิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2507)

สรุป นายกรกนกไมํมีสิทธิร๎องขอตํอศาลให๎สั่งให๎นายเขมรัตน๑จดทะเบียนโอน
กรรมสิทธ์ิในที่ดินดังกลําวให๎แกํนายกรกนก และไมํมีสิทธิร๎องขอตํอศาลให๎สั่งให๎ถือเอา
คําพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของนายเขมรัตน๑ นายกรกนกมีสิทธิเพียงเรียกคําสินไหม
ทดแทนจากนายเขมรัตน๑เทําน้ัน

121

ขอ๎ 6. นายวรี ะมที ีด่ ิน 1 แปลง จํานวน 5 ไรํ นายวีระได๎ทําสัญญากับนายเกียรติวํา
นายวรี ะตกลงแบํงท่ีดินดังกลําวของตนขายให๎นายเกียรติจํานวน 5 ไรํ และตกลงกันวําห๎าม
นายเกยี รติสร๎างอาคารในที่ดนิ ดังกลาํ ว แตํตํอมานายเกียรติได๎ผิดสัญญาโดยการสร๎างอาคาร
ในท่ดี นิ ดังกลําว

ดงั น้ี ใหว๎ นิ ิจฉยั วํา
1. นายวีระจะร๎องขอตํอศาลให๎ส่ังบังคับให๎นายเกียรติรื้อถอนอาคารดังกลําวได๎
หรอื ไมํ
2. นายวีระจะร๎องขอตํอศาลให๎บุคคลอ่ืนร้ือถอนอาคารดังกลําว โดยให๎นายเกียรติ
เสียคาํ ใชจ๎ าํ ยได๎หรอื ไมํ
หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรก,
วรรคสาม
วนิ จิ ฉัย
1. การทีน่ ายวรี ะขายที่ดินให๎นายเกียรติ และตกลงกันวําห๎ามนายเกียรติสร๎างอาคาร
ในท่ีดินดังกลําว แตํตํอมานายเกียรติได๎ผิดสัญญาโดยการสร๎างอาคารในที่ดินดังกลําว
นายวีระจึงจะร๎องขอตํอศาลให๎สั่งบังคับให๎นายเกียรติร้ือถอนอาคารดังกลําวน้ัน เมื่อหน้ี
งดเว๎นกระทําการ ศาลจะส่ังบังคับชําระหนีเ้ อาจากเนื้อตวั ราํ งกายของลูกหนไี้ มไํ ด๎ ขัดกับหลัก
ศักดิศ์ รีความเป็นมนุษย๑ จึงเป็นกรณีท่ีสภาพแหํงหนี้ไมํเปิดชํองให๎ศาลส่ังบังคับชําระหนี้โดย
เฉพาะเจาะจงได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคแรก ดังนั้น
นายวีระจึงร๎องขอตํอศาลใหส๎ ง่ั บังคับใหน๎ ายเกยี รติรอื้ ถอนอาคารดงั กลําวไมไํ ด๎
2. การที่นายวีระขายที่ดนิ ใหน๎ ายเกียรติ และตกลงกนั วําห๎ามนายเกียรติสร๎างอาคาร
ในที่ดินดังกลําว แตํตํอมานายเกียรติได๎ผิดสัญญาโดยการสร๎างอาคารในท่ีดินดังกลําว
นายวรี ะจงึ จะร๎องขอตํอศาลให๎สั่งร้ือถอนอาคารดังกลําว โดยให๎นายเกียรติเสียคําใช๎จํายนั้น
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213 วรรคสาม กําหนดวําหน้ีซ่ึงมีวัตถุเป็นอันจะ
ให๎งดเว๎นการอันใด เจ๎าหนจี้ ะเรียกรอ๎ งให๎ร้ือถอนการท่ีได๎กระทําลงแล๎วนั้น โดยให๎ลูกหนี้เสีย
คําใช๎จํายก็ได๎ ดังนั้น นายวีระจึงร๎องขอตํอศาลให๎บุคคลอ่ืนร้ือถอนอาคารดังกลําว โดยให๎
นายเกียรตเิ สยี คําใชจ๎ ํายได๎
สรปุ
1. นายวีระจะรอ๎ งขอตอํ ศาลให๎สง่ั บงั คับให๎นายเกยี รตริ ือ้ ถอนอาคารดังกลําวไมํได๎
2. นายวีระจะร๎องขอตํอศาลให๎บุคคลอ่ืนรื้อถอนอาคารดังกลําว โดยให๎นายเกียรติ
เสียคาํ ใช๎จํายได๎

122

ข๎อ 7. นายวิรัตน๑ยืมรถยนต๑จากนายวิโรจน๑ไปเท่ียวตํางจังหวัด มีกําหนดสํงคืนใน
วันที่ 10 มกราคม 2562 แตํเม่ือถึงกําหนดสํงรถยนต๑คืน เกิดนํ้าทํวมใหญํเป็นเหตุให๎
นายวิรัตน๑ไมสํ ามารถนํารถยนต๑ไปสํงคืนตามกําหนดเวลาดังกลําวได๎ หลังจากนั้นในวันที่ 15
มกราคม 2562 นํ้าลดลง นายวิรัตน๑จึงนํารถยนต๑ไปสํงคืนนายวิโรจน๑ แตํในระหวํางทาง
นายวิศรตุ ได๎ขบั รถยนต๑ด๎วยความประมาทมาชนรถยนตท๑ นี่ ายวิรัตน๑ขับอยํู เป็นเหตุให๎รถยนต๑
ท่นี ายวิรัตน๑ยืมมาจากนายวิโรจน๑นั้นเสียหายหมดทง้ั คัน

ดงั น้ี ให๎วินิจฉัยวํานายวิโรจน๑จะเรียกให๎นายวิรัตน๑ชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํตน
ไดห๎ รอื ไมํ

หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง
มาตรา 205 มาตรา 219 วรรคแรก

วินิจฉัย นายวิรัตน๑ยืมรถยนต๑จากนายวิโรจน๑ มีกําหนดสํงคืนในวันที่ 10 มกราคม
2562 แตํเมื่อถึงกําหนดสํงรถยนต๑คืน นายวิรัตน๑มิได๎สํงรถยนต๑คืนตามกําหนดเวลาดังกลําว
ถือเปน็ กรณีท่ไี ดม๎ ีการกาํ หนดเวลาชําระหน้ีไว๎ตามวันแหํงปฏิทิน เม่ือนายวิรัตน๑มิได๎ชําระหนี้
โดยการสํงรถยนต๑คืนตามกาํ หนดเวลานั้น นายวิรัตน๑จึงตกเป็นผู๎ผิดนัดโดยมิพักต๎องเตือนเลย
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 204 วรรคสอง

แตํการท่ีนายวิรัตน๑มิได๎ชําระหนี้โดยการสํงรถยนต๑คืนตามกําหนดเวลาน้ัน เป็น
เพราะเกิดน้ําทวํ มใหญํ ซ่ึงถอื เป็นกรณที ่กี ารชําระหนีน้ นั้ ยงั มไิ ดก๎ ระทําลงเพราะพฤตกิ ารณ๑อัน
ใดอันหนึ่งซึ่งนายวิรัตน๑ไมํต๎องรับผิดชอบ นายวิรัตน๑จึงหาได๎ช่ือวําผิดนัดไมํ ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 205

หลังจากน้ันในวันท่ี 15 มกราคม 2562 น้ําลดลง นายวิรัตน๑จึงนํารถยนต๑ไปสํงคืน
นายวิโรจน๑ แตํในระหวํางทาง นายวิศรุตได๎ขับรถยนต๑ด๎วยความประมาทมาชนรถยนต๑ที่
นายวิรตั น๑ขับอยํู เป็นเหตุให๎รถยนต๑ท่ีนายวิรัตน๑ยืมมาจากนายวิโรจน๑น้ันเสียหายหมดทั้งคัน
ถอื เป็นกรณีท่ีการชําระหนก้ี ลายเปน็ พ๎นวสิ ัยเพราะพฤติการณอ๑ ันใดอันหน่ึงซ่งึ เกิดข้นึ ภายหลงั
ท่ีไดก๎ อํ หนี้ และนายวริ ัตน๑ไมํต๎องรบั ผดิ ชอบ นายวิรตั น๑จงึ เป็นอันหลุดพ๎นจากการชําระหนี้นั้น
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 219 วรรคแรก ดังน้ัน นายวิโรจน๑จึงเรียกให๎
นายวิรตั น๑ชดใชค๎ าํ สินไหมทดแทนใหแ๎ กตํ นไมไํ ด๎

สรปุ นายวิโรจน๑จะเรยี กให๎นายวริ ัตน๑ชดใช๎คาํ สนิ ไหมทดแทนใหแ๎ กํตนไมไํ ด๎

123

ขอ๎ 8. ในวนั ท่ี 1 มนี าคม 2562 นางสาวสวยไดเ๎ ชําชุดเจ๎าสาวจากร๎านต๎นรัก โดยตก
ลงกันไวว๎ ําจะนําไปใช๎ในงานแตํงงานของตน โดยมิได๎กําหนดเวลาในการสํงคืนชุดเจ๎าสาวไว๎
ตอํ มาในวนั ที่ 15 มีนาคม 2562 นางสาวสวยได๎แตํงงาน หลังจากน้ันนางสาวสวยมิได๎สํงคืน
ชุดเจา๎ สาวใหแ๎ กํรา๎ นต๎นรัก ท้ัง ๆ ท่ีตนได๎แตํงงานเสร็จแล๎ว จนในวันท่ี 30 มีนาคม 2562 ได๎
เกิดอบุ ตั เิ หตไุ ฟไหมบ๎ ๎านของนางสาวสวย เปน็ เหตใุ หช๎ ดุ เจ๎าสาวนน้ั เสยี หายทง้ั หมด

ดงั นี้ ใหว๎ นิ ิจฉยั วําเจ๎าของร๎านต๎นรักจะเรียกให๎นางสาวสวยชดใช๎คําสินไหมทดแทน
ได๎หรอื ไมํ

หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคแรก มาตรา
219 วรรคแรก

วนิ จิ ฉัย การท่ีนางสาวสวยได๎เชําชุดเจ๎าสาวจากร๎านต๎นรักไปใช๎ในงานแตํงงานของ
ตน โดยมไิ ดก๎ ําหนดเวลาในการสํงคืนชุดเจ๎าสาวไว๎ ถือเป็นกรณีท่ีเวลาอันจะพึงชําระหน้ีมิได๎
กําหนดลงไว๎ แตํสามารถอนุมานจากพฤติการณ๑ท้ังปวงได๎วํา หน้ีจะถึงกําหนดชําระเมื่อ
แตํงงานเสรจ็ ดังน้ัน เม่ือในวันท่ี 15 มีนาคม 2562 นางสาวสวยได๎แตํงงานเสร็จแล๎ว หน้ีจึง
ถึงกาํ หนดชาํ ระแล๎ว

แตํอยํางไรก็ดี เม่ือหน้ีดังกลําวนี้เป็นหน้ีท่ีไมํได๎กําหนดเวลาชําระหนี้ไว๎ตามวันแหํง
ปฏิทิน เม่อื เจา๎ ของร๎านต๎นรักยงั มิไดใ๎ หค๎ าํ เตอื นแกนํ างสาวสวย นางสาวสวยจึงไมํตกเป็นผู๎ผิด
นัดเพราะเขาเตือนแลว๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 204 วรรคแรก

ตํอมาในวันท่ี 30 มีนาคม 2562 ได๎เกิดอุบัติเหตุไฟไหม๎บ๎านของนางสาวสวย เป็น
เหตุให๎ชุดเจ๎าสาวนน้ั เสยี หายทงั้ หมด ถอื วาํ ถ๎าการชาํ ระหนี้กลายเปน็ พน๎ วิสยั เพราะพฤติการณ๑
อันใดอันหนง่ึ ซึ่งเกิดขนึ้ ภายหลังที่ได๎กอํ หน้ี ซ่ึงนางสาวสวยไมํต๎องรับผิดชอบ นางสาวสวยจึง
เป็นอันหลุดพ๎นจากการชําระหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 219
วรรคแรก เจ๎าของรา๎ นตน๎ รกั จึงเรยี กให๎นางสาวสวยชดใช๎คําสนิ ไหมทดแทนไมไํ ด๎

สรุป เจ๎าของรา๎ นตน๎ รกั จะเรยี กให๎นางสาวสวยชดใชค๎ าํ สินไหมทดแทนไมํได๎

124

ขอ๎ 9. ในทกุ ๆ ปี นายประยกุ ตจ๑ ะสั่งซื้อกระทงใบตองจากนายประวิทย๑มาจําหนําย
แกํลูกค๎า โดยในปีแรกท่ีตกลงซื้อขายกระทงกันนั้น นายประยุกต๑และนายประวิทย๑ได๎ตกลง
กันวํานายประวิทย๑จะต๎องนํากระทงมาสํงให๎แกํนายประยุกต๑ในวันข้ึน 14 ค่ําเดือน 12 เพ่ือ
ที่วาํ ประยุกต๑จะไดน๎ าํ กระทงไปขายในวันรุํงขึ้น คือ วันข้ึน 15 ค่ํา เดือน 12 (วันลอยกระทง)
และได๎ปฏิบัติติดตํอกันมาเป็นปกติทุกปี โดยไมํเคยมีการตกลงกันใหมํอีกเลยในเร่ืองวันสํง
มอบกระทง ตอํ มาในปี พ.ศ. 2562 นายประยกุ ตไ๑ ดส๎ ่งั ซอ้ื กระทงจากนายประวิทย๑เหมือนเชํน
ทุกปี แตํปรากฏวําในวันขึ้น 14 คํ่า เดือน 12 นายประวิทย๑ไมํได๎นํากระทงมาสํงให๎แกํ
ประยุกต๑ ในวนั ขึน้ 15 คํ่า เดอื น 12 นายประยุกตจ๑ ึงโทรศัพท๑ไปเตอื นให๎นายประวิทย๑สํงมอบ
กระทงให๎แกํตนในวันน้ัน แตํนายประวิทย๑ได๎นํากระทงมาสํงให๎นายประยุกต๑ในวันรํุงข้ึน ซึ่ง
เป็นวันที่พ๎นเทศกาลลอยกระทงไปแล๎ว นายประยุกต๑จึงไมํยอมรับกระทงไว๎ และนาย
ประยุกต๑ได๎ย่ืนฟ้องคดีตํอศาลให๎นายประวิทย๑ชดใช๎คําสินไหมทดแทนจํานวน 50,000 บาท
โดยอา๎ งวําในปีอืน่ ๆ ท่ีผํานมา การท่นี ายประยุกต๑สั่งซ้ือกระทงจากนายประวิทย๑มาจําหนําย
แกํลกู คา๎ นนั้ นายประยุกต๑จะได๎รับผลกําไรประมาณ 50,000 บาท ตํอปี แตํนายประวิทย๑ไมํ
ยินยอม โดยยนื ยันวําจะสงํ มอบกระทงและจะไมยํ อมชดใช๎คาํ สนิ ไหมทดแทนจํานวน 50,000
บาท โดยอ๎างวําความเสียหายจากการท่ีนายประยุกต๑จะไมํได๎รับผลกําไรประมาณ 50,000
บาท น้ัน มิใชํความเสียหายเชํนท่ีตามปกติยํอมเกิดข้ึนแตํการไมํชําระหนี้ แตํเป็นความ
เสียหายอันเกิดแตํพฤติการณ๑พิเศษ นายประวิทย๑จึงไมํต๎องรับผิดชดใช๎คําสินไหมทดแทน
ให๎แกํนายประยกุ ต๑

ดังนี้ ให๎วินิจฉัยวํานายประยุกต๑จะไมํยอมรับกระทงใบตองไว๎ และเรียกคําสินไหม
ทดแทนจํานวน 50,000 บาท จากนายประวิทยไ๑ ด๎หรอื ไมํ

หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคแรก มาตรา
216 มาตรา 222 วรรคแรก

วินิจฉัย การท่ีนายประยุกต๑ส่ังซ้ือกระทงจากนายประวิทย๑ โดยในปีแรกที่ตกลงซ้ือ
ขายกระทงกันนั้น นายประยุกต๑และนายประวิทย๑ได๎ตกลงกันวํา นายประวิทย๑จะต๎องนํา
กระทงมาสํงให๎แกํนายประยุกตใ๑ นวนั ขึน้ 14 คาํ่ เดือน 12 และได๎ปฏิบัติติดตํอกันมาเป็นปกติ
ทุกปี โดยไมเํ คยมีการตกลงกันใหมํอีกเลยในเรื่องวันสงํ มอบกระทงน้ัน เป็นกรณีที่เวลาอันจะ
พงึ ชําระหน้ีน้ันมิไดก๎ ําหนดลงไว๎ แตํสามารถจะอนุมานจากพฤติการณ๑ทั้งปวงได๎วํา หนี้จะถึง
กาํ หนดชําระในวันขึ้น 14 ค่ําเดอื น 12

การที่นายประวทิ ยไ๑ มํได๎นํากระทงมาสํงให๎แกํนายประยุกต๑ในวันขนึ้ 14 คํา่ เดอื น 12
ตํอมาในวันข้ึน 15 ค่ํา เดือน 12 นายประยุกต๑จึงโทรศัพท๑ไปเตือนให๎นายประวิทย๑สํงมอบ
กระทงใหแ๎ กตํ นในวันน้นั แตนํ ายประวิทย๑มิได๎นํากระทงมาสํงให๎นายประยุกต๑ในวันนั้น เป็น
กรณีที่หนี้ถึงกําหนดชําระแล๎ว และภายหลังแตํน้ันเจ๎าหน้ีได๎ให๎คําเตือนแกํลูกหน้ีแล๎ว เม่ือ

125

ลูกหน้ีไมํชําระหน้ี ลูกหนี้จึงได๎ช่ือวําผิดนัดเพราะเขาเตือนแล๎ว ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคแรก

เม่ือนายประวิทยต๑ กเปน็ ผผ๎ู ิดนัด และการสงํ มอบกระทงกลายเป็นอนั ไร๎ประโยชน๑แกํ
นายประยุกต๑ เพราะพน๎ เทศกาลลอยกระทงไปแลว๎ และกระทงใบตองยํอมจะเนําเสียและเก็บ
ไว๎ใช๎ในปีถัดไปไมํได๎ ดังนี้ นายประยุกต๑จึงมีสิทธิบอกป๓ดไมํรับชําระหนี้ และเรียกเอาคํา
สินไหมทดแทนเพ่ือการไมํชําระหน้ีนั้นได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
216

สํวนการที่นายประยุกต๑ได๎เรียกให๎นายประวิทย๑ชดใช๎คําสินไหมทดแทนจํานวน
50,000 บาท น้ัน เม่ือความเสียหายจากการที่นายประยุกต๑จะไมํได๎รับผลกําไรประมาณ
50,000 บาท เป็นความเสียหายท่เี ป็นผลโดยตรงจากการที่นายประวิทย๑ไมํสํงมอบกระทงให๎
นายประยุกต๑ จึงเป็นความเสียหายเชํนท่ีตามปกติยํอมเกิดข้ึนแตํการไมํชําระหน้ีนั้น นาย
ประยุกตจ๑ งึ มสี ทิ ธเิ รียกคําสินไหมทดแทนจํานวน 50,000 บาท ได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 222 วรรคแรก

สรุป นายประยุกต๑มีสิทธิไมํยอมรับกระทงใบตองไว๎ และเรียกคําสินไหมทดแทน
จํานวน 50,000 บาท จากนายประวทิ ย๑ได๎

126

ข๎อ 10. นายต๎อยกู๎เงินนายแต๎วไปจํานวน 50,000 บาท โดยมีการกําหนดไว๎ใน
สัญญาวําถ๎าลูกหนี้ผิดนัดชําระหนี้ ให๎ลูกหน้ีชําระดอกเบ้ียร๎อยละ 15 ตํอปี และมีกําหนด
ชําระหนใ้ี นวันท่ี 25 มกราคม 2562 ตํอมาในวันท่ี 1 มิถุนายน 2562 นายแต๎วจึงได๎ฟ้องคดี
ตํอศาลเพ่ือให๎นายต๎อยชําระหน้ีจํานวน 50,000 บาท พร๎อมดอกเบ้ียร๎อยละ 15 ตํอปี
นับต้ังแตํวันทผ่ี ิดนัดชาํ ระหนเี้ ปน็ ตน๎ ไปจนกวําจะได๎ชําระหนี้น้ัน และฟ้องคดีตํอศาลวําการท่ี
นายตอ๎ ยไมยํ อมชาํ ระหนนี้ น้ั เป็นเหตุให๎ตนไมํสามารถชําระหนี้ให๎แกํผู๎ที่ตนไปทําสัญญาและ
วางมัดจําไว๎ ตนจงึ ถกู ริบมัดจาํ ไปเปน็ เงินจํานวน 20,000 บาท ดังนั้น นายต๎อยจึงต๎องรับผิด
ชดใช๎เงนิ จํานวน 20,000 บาท นด้ี ๎วย

ดังน้ี ให๎วินิจฉยั วํา
1. นายต๎อยผิดนัดชําระหน้ีหรือไมํ ถ๎านายต๎อยผิดนัดชําระหน้ีจริง นายต๎อยผิดนัด
ชําระหนี้ตง้ั แตเํ ม่อื ไหรํ
2. นายแตว๎ จะรอ๎ งขอตอํ ศาลให๎ส่งั บังคับชําระหน้ีหนีจ้ าํ นวน 50,000 บาท ได๎หรอื ไมํ
3. นายตอ๎ ยต๎องชําระดอกเบี้ยในระหวาํ งเวลาผิดนดั อตั ราเทําใด
4. นายต๎อยตอ๎ งชําระคําสินไหมทดแทนเงนิ จาํ นวน 20,000 บาท หรือไมํ
หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง มาตรา
213 วรรคแรก, วรรคท๎าย, มาตรา 222 วรรคสอง, มาตรา 224 วรรคแรก, วรรคท๎าย,
มาตรา 7
วนิ จิ ฉยั
1. นายต๎อยก๎เู งนิ นายแต๎วไปจาํ นวน 50,000 บาท โดยมีกําหนดชําระหนี้ในวันที่ 25
มกราคม 2562 ถือเป็นกรณีท่ีได๎มีการกําหนดเวลาชําระหนี้ไว๎ตามวันแหํงปฏิทิน เมื่อ
นายต๎อยมไิ ดช๎ าํ ระหนต้ี ามกําหนดเวลาน้ัน นายต๎อยจึงตกเป็นผู๎ผิดนัดโดยมิพักต๎องเตือนเลย
ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 204 วรรคสอง โดยการผิดนัดน้ันให๎เร่ิมนับ
แตํวันถัดจากวันที่หนี้ถึงกําหนดชําระน้ัน ดังน้ัน นายต๎อยจึงตกเป็นผู๎ผิดนัดต้ังแตํวันที่ 26
มกราคม 2563
2. การท่ีนายต๎อยตกเป็นผู๎ผิดนัด ถือเป็นกรณีที่นายต๎อยละเลยเสียไมํชําระหน้ี
ของตน นายแตว๎ จงึ ร๎องขอตํอศาลใหส๎ ่ังบังคบั ชาํ ระหนี้จํานวน 50,000 บาท ได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 213 วรรคแรก
3. สําหรับดอกเบี้ยในระหวํางเวลาผิดนัดนั้น เมื่อได๎มีการกําหนดไว๎ในสัญญาวําถ๎า
ลูกหนี้ผิดนัด ให๎ลูกหน้ีชําระดอกเบ้ียร๎อยละ 15 ตํอปี จึงเป็นกรณีท่ีเจ๎าหน้ีอาจจะเรียก
ดอกเบี้ยได๎สูงกวําร๎อยละ 5 ตํอปี โดยอาศยั เหตอุ ยํางอืน่ อันชอบด๎วยกฎหมายได๎ นายต๎อยจึง
ตอ๎ งชําระดอกเบ้ียในระหวํางเวลาผิดนัดร๎อยละ 15 ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑
มาตรา 224 วรรคแรก ประกอบมาตรา 7

127

4. การทนี่ ายตอ๎ ยไมํยอมชําระหนี้ จนเปน็ เหตุให๎นายแต๎วไมํสามารถชําระหน้ีให๎แกํผู๎
ที่ตนไปทําสัญญาและวางมัดจําไว๎ นายแต๎วจึงถูกริบมัดจําไปเป็นเงินจํานวน 20,000 บาท
น้ัน นายแตว๎ เรยี กคาํ สินไหมทดแทนได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 213
วรรคทา๎ ย ประกอบมาตรา 224 วรรคท๎าย แตํเม่อื คําเสียหายนน้ั เกิดจากพฤติการณ๑พิเศษ ซึ่ง
นายต๎อยมไิ ด๎คาดเห็นหรอื ควรจะได๎คาดเหน็ พฤตกิ ารณ๑เชํนน้ันลํวงหน๎ากํอนแล๎ว นายต๎อยจึง
ไมํต๎องรับผิดชดใช๎เงินจํานวน 20,000 บาท ให๎แกํนายแต๎ว ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 222 วรรคสอง

สรุป
1. นายตอ๎ ยตกเปน็ ผ๎ูผดิ นัดต้ังแตํวันท่ี 26 มกราคม 2563
2. นายแตว๎ รอ๎ งขอตํอศาลให๎สัง่ บงั คับชาํ ระหน้ีจํานวน 50,000 บาท ได๎
3. นายตอ๎ ยจงึ ตอ๎ งชําระดอกเบี้ยในระหวํางเวลาผิดนัดร๎อยละ 15
4. นายตอ๎ ยไมํต๎องรบั ผดิ ชดใช๎เงินจาํ นวน 20,000 บาท ให๎แกํนายแตว๎

128

บทที่ 3
การรับชว่ งสิทธิและการรับช่วงทรัพย์
1. บทนา
การรับชวํ งสทิ ธิ หมายถงึ การที่เจ๎าหน้ีคนใหมํเข๎ามาแทนท่ีเจ๎าหนี้คนเดิมโดยผลของ
กฎหมาย สํวนการรับชํวงทรัพย๑ หมายถึง การที่ทรัพย๑สินอันใหมํเข๎ามาแทนท่ีทรัพย๑สินอัน
เดมิ โดยผลของกฎหมาย ดังนนั้ ลักษณะท่ีสําคัญของการรับชํวงสิทธแิ ละการรับชวํ งทรพั ย๑ คือ
การรับชํวงสิทธิและการรับชํวงทรัพย๑ต๎องเกิดขึ้นจากอํานาจของกฎหมาย มิใชํการตกลงกัน
ระหวํางผ๎ูท่เี กยี่ วขอ๎ ง

2. ความหมายของการรบั ชว่ งสิทธิ
การรบั ชํวงสทิ ธิ หมายถงึ การที่ผูม๎ ีสํวนได๎เสยี ในการชําระหนี้ตามท่ีกฎหมายกําหนด

เข๎าชําระหน้ีแกํเจา๎ หนีแ้ ทนลูกหน้ี อนั มีผลทาํ ใหผ๎ นู๎ ัน้ ได๎รบั ชํวงสทิ ธิตํอมาจากเจา๎ หน้ี
ตวั อยา่ งท่ี 1 นาย ก. ทาํ ประกนั ภัยรถยนต๑ไวก๎ ับบริษทั ประกันภัย ตํอมานาย ข. ขับ

รถยนต๑ของตนไปชนรถยนต๑ของนาย ก. เสียหาย แตํนาย ข. ไมํยอมชดใช๎คําสินไหมทดแทน
แกํนาย ก. นาย ก. จึงเรียกให๎บริษัทประกันภัยชดใช๎คําสินไหมทดแทนแกํตน เมื่อบริษัท
ประกนั ภัยไดช๎ ดใชค๎ าํ สินไหมทดแทนให๎แกํนาย ก. แล๎ว บริษัทประกันภัยยํอมได๎รับชํวงสิทธิ
ตํอมาจากนาย ก. ท่ีจะไปเรียกให๎นาย ข. ชําระคําสินไหมทดแทนแกํตนได๎ ทั้ง ๆ ท่ีนาย ข.
ไมไํ ด๎กระทาํ ละเมิดตอํ บริษัทประกนั ภัยเลย

ตวั อย่างที่ 2 นาย ก. ก๎ูยืมเงินมาจากนาย ข. โดยมีนาย ค. เป็นผ๎ูค้ําประกัน ตํอมา
นาย ก. ไมํชําระหนี้ นาย ข. จึงเรียกให๎นาย ค. ชําระหน้ีแทน เม่ือนาย ค. ชําระหนี้แล๎ว
นาย ค. ยอํ มไดร๎ บั ชํวงสิทธิตํอมาจากนาย ข. ท่ีจะไปเรียกให๎นาย ก. ชําระหน้ีเงินกู๎แกํตนได๎
นาย ก. จะอ๎างวาํ ตนไมํไดเ๎ ปน็ ก๎ยู ืมเงินจากนาย ค. ไมํได๎

จากความหมายของ “การรับชํวงสิทธิ” ดังกลําว ลักษณะที่สําคัญของการรับชํวง
สิทธิ คือ การรับชํวงสิทธิต๎องเกิดขึ้นจากอํานาจของกฎหมายเทํานั้น ไมํวําจะเป็นกฎหมาย
ทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 227 มาตรา 229 มาตรา 230 หรือ
กฎหมายเฉพาะตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 693 มาตรา 734 มาตรา
880 มาตรา 958 มาตรา 990 การรับชํวงสิทธิไมํได๎เกิดจากการตกลงกันระหวํางคํูกรณีท่ี
เกยี่ วขอ๎ ง แตํหากมีการตกลงกันระหวํางคูํกรณีที่เก่ยี วขอ๎ ง โดยการทาํ สญั ญาเปล่ียนสิ่งซึ่งเป็น
สาระสําคัญแหํงหน้ี คือ เปลี่ยนเจ๎าหนี้ จะเป็นการแปลงหนี้ใหมํ ตามประมวลกฎหมายแพํง
และพาณิชย๑ มาตรา 349 และหากมีการตกลงกนั ระหวาํ งผู๎โอนสิทธิเรียกร๎องกับผู๎รับโอนสิทธิ
จะเปน็ การโอนสทิ ธเิ รียกรอ๎ ง ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 303

129

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 51/2540 จําเลยยินยอมให๎ อ. โอนสิทธิการซ้ือที่ดินของ
จําเลยให๎แกํโจทก๑ จึงเป็นการแปลงหน้ีใหมํโดยการเปลี่ยนตัวเจ๎าหน้ี ตามประมวลกฎหมาย
แพํงและพาณิชย๑ มาตรา 349 วรรคสาม ซ่ึงจะต๎องบังคับตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณิชย๑ มาตรา 306 เร่ืองโอนสิทธิเรียกร๎อง แตํเม่ือโจทก๑กับ อ. มิได๎ทําเป็นหนังสือ
โอนสิทธิเรียกร๎อง การโอนสิทธเิ รียกร๎องดังกลําวจึงไมํสมบูรณ๑ไมํอาจใช๎ยันจําเลยได๎ และมิใชํ
การรบั ชวํ งสทิ ธิ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 226 โจทก๑จงึ ไมมํ ีอํานาจฟ้อง
บงั คบั ให๎จําเลยโอนที่ดินให๎แกํโจทก๑

3. ท่ีมาของการรบั ชว่ งสิทธิ
การรบั ชํวงสิทธิตอ๎ งเกดิ ขึน้ จากอํานาจของกฎหมายเทําน้ัน ซง่ึ ประมวลกฎหมายแพํง

และพาณิชย๑ บรรพ 2 ได๎กําหนดถึงที่มาของการรับชํวงสิทธิไว๎ในมาตรา 227 มาตรา 229
และมาตรา 230 ดังน้ี

3.1 การรับชว่ งสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 227
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 227 บัญญัติวํา “เม่ือเจ๎าหนี้ได๎รับ

คําสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรพั ยห๑ รือสทิ ธซิ ่ึงเปน็ วัตถุแหํงหนี้น้ันแล๎ว ทําน
วําลูกหน้ียํอมเข๎าสํูฐานะเป็นผู๎รับชํวงสิทธิของเจ๎าหน้ีอันเกี่ยวกับทรัพย๑หรือสิทธินั้น ๆ ด๎วย
อาํ นาจกฎหมาย”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 227 หมายความวํา เม่ือมีความ
เสียหายเกิดข้ึน ซึ่งลูกหนี้มีหน๎าที่ต๎องรับผิดชอบชดใช๎คําสินไหมทดแทน เมื่อลูกหนี้ได๎ชดใช๎
คําสินไหมทดแทนให๎แกํเจ๎าหน้ี เต็มตามราคาทรัพย๑หรือสิทธิซ่ึงเป็นวัตถุแหํงหน้ีนั้นแล๎ว
ลกู หนีย้ อํ มรบั ชวํ งสิทธขิ องเจ๎าหน้เี กีย่ วกับทรพั ยห๑ รือสทิ ธินน้ั ๆ

ตัวอย่างท่ี 1 โจทกร๑ ับจา๎ งขนสํงยางรถยนต๑ของบริษัท ย. โดยได๎ข๎อตกลงกันวํา
หากมีความเสียหายเกิดข้ึนกับยางรถยนต๑นั้น โจทก๑จะเป็นผ๎ูรับผิดชอบทั้งหมด ไมํวําความ
เสียหายนั้นจะเกิดจากความผิดของโจทก๑หรือไมํก็ตาม แล๎วปรากฏวําจําเลยได๎ขับรถโดย
ประมาท เป็นเหตุให๎ชนกับรถยนต๑ของโจทก๑ ทําให๎ยางรถยนต๑ท่ีบรรทุกมาตกลงไปจากรถ
แลว๎ ถูกคนรา๎ ยลักไป ดงั นี้ เห็นได๎วําการท่ียางรถยนต๑ถูกคนร๎ายลักไป เกิดข้ึนเพราะความผิด
ของจําเลยที่ขับรถโดยประมาท จําเลยจึงต๎องรับผิดชดใช๎คําเสียหายให๎บริษัท ย. ในผลแหํง
ละเมดิ เมือ่ โจทกไ๑ ดช๎ าํ ระราคายางรถยนต๑ท่ีสูญหายให๎แกํบริษัท ย. ไปแล๎ว โจทก๑ยํอมเข๎ารับ
ชํวงสิทธิของบริษัท ย. ในอันท่ีจะไปเรียกร๎องคําสินไหมทดแทนจากจําเลยได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 227 (เทยี บคําพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1898/2518)

ตัวอย่างที่ 2 นาย ก. (เจ๎าหน)ี้ ได๎เอาบา๎ นประกนั อัคคีภัยไว๎กับบริษัทประกันภัย
แหํงหน่ึง (ลูกหนี้) ตํอมาบ๎านหลังนั้นได๎เกิดเพลิงไหม๎เสียหายทั้งหมด โดยนาย ข. เป็น
ผ๎ูวางเพลิง บริษัทประกันภัยจึงได๎จํายคําสินไหมทดแทนให๎แกํนาย ก. ดังน้ี เมื่อบริษัท

130

ประกันภยั ไดจ๎ าํ ยคาํ สนิ ไหมทดแทนเตม็ ราคาทรัพย๑ให๎แกํนาย ก. แล๎ว บริษัทประกันภัยยํอม
เข๎ารับชํวงสิทธิของนาย ก. ในอันท่ีจะไปเรียกร๎องคําสินไหมทดแทนจากนาย ข. ได๎ ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 227 (คาํ พพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 3517/2525)

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1431/2498 การเขา๎ รับชํวงสิทธขิ องผ๎รู บั ประกันภัยจาก
ผ๎เู อาประกนั นั้น ผูร๎ บั ประกันภัยมสี ิทธิเรยี กรอ๎ งคาํ เสียหายจากผท๎ู าํ ละเมิด ไดเ๎ พียงเทําจํานวน
ที่ผเ๎ู อาประกันมีสทิ ธเิ รียกจากผ๎ูทําละเมดิ เทํานั้น ผูร๎ ับประกันภัยจะเรยี กรอ๎ งเต็มตามจํานวนท่ี
ผู๎รับประกันภัยตอ๎ งชาํ ระใหแ๎ กผํ ู๎เอาประกัน ซ่งึ เกินกวําคาํ เสียหายท่ีผทู๎ าํ ละเมิดตอ๎ งชดใช๎ไมํได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2949/2524 จําเลยขับรถชนรถของโจทก๑ได๎รับความ
เสยี หาย บริษัทประกนั ภัยซ่งึ รับประกันภัยรถของโจทก๑ไว๎ได๎ใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํโจทก๑
ไปแล๎ว บรษิ ัทประกันภยั ยอํ มเข๎ารับชํวงสทิ ธิของโจทก๑ แมบ๎ รษิ ทั ประกันภัยจะยังไมํได๎ใช๎สิทธิ
เรยี กรอ๎ งจากจําเลย โจทกก๑ ็ไมํมีสิทธิที่จะเรียกร๎องคําสินไหมทดแทนจากจําเลยได๎อีก เพราะ
สิทธิเรยี กรอ๎ งดังกลําวบริษัทประกนั ภยั ไดร๎ ับชํวงสทิ ธิไปแล๎ว

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1732/2529 ผ๎ูรับประกันภัยได๎ชําระคําซํอมรถยนต๑ท่ี
รับประกันภัยไว๎แกํผ๎ูรับซํอมไปตามสัญญาประกันภัย ดังนี้ ผ๎ูรับประกันภัยจึงได๎รับชํวงสิทธิ
มาจากเจา๎ ของรถยนตผ๑ เ๎ู อาประกันภัย มีสิทธิฟ้องเรียกคาํ ซํอมรถจากผูท๎ ําละเมดิ ได๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2535 รถยนต๑บรรทุกชนกับรถเก๐ง โดยคนขับ
รถยนต๑บรรทุกประมาทฝ่ายเดียว คนขับรถยนต๑เก๐งมิได๎ประมาทด๎วย โจทก๑เป็นผ๎ูรับ
ประกันภัยได๎ชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํคนขับรถยนต๑เก๐ง โจทก๑จึงเข๎ารับชํวงสิทธิตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 880 ซ่ึงสิทธิของโจทก๑ยํอมเกิดมีขึ้นนับแตํวันท่ี
โจทก๑ไดช๎ ําระคําสินไหมทดแทนเป็นต๎นไป โจทก๑จึงชอบที่จะคิดดอกเบ้ียนับต้ังแตํวันที่โจทก๑
ได๎ชําระคําสนิ ไหมทดแทน

คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 78/2539 โจทก๑ฟ้องจําเลยในฐานะท่ีโจทก๑เป็นผ๎ูได๎รับ
ชวํ งสทิ ธจิ ากผเู๎ อาประกันภยั ไมํได๎ฟอ้ งจําเลยในมูลละเมิด ดังนั้น จึงนําอายุความละเมิดตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 448 มาใช๎บังคับไมํได๎ และการท่ีโจทก๑ได๎รับชํวง
สิทธิจากผู๎เอาประกันภัยฟ้องจําเลยนั้น เมื่อผ๎ูเอาประกันภัยมีสิทธิฟ้องจําเลยและเรียก
ดอกเบ้ียได๎ โดยไมํต๎องเตือนให๎จําเลยชําระหน้ีกํอน เพราะในกรณีหน้ีอันเกิดแตํมูลละเมิด
ลูกหนี้ได๎ชื่อวําผิดนัดมาแตํเวลาที่ทําละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
206 โจทก๑ซง่ึ เปน็ ผ๎ูรบั ประกนั ภยั จงึ มีสทิ ธิฟ้องจาํ เลยและเรียกดอกเบ้ียได๎ โดยไมํต๎องเตือนให๎
จาํ เลยชําระหนีก้ อํ น

คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 5809/2539 จําเลยเป็นผ๎ูขนสํงสินค๎า เม่ือสินค๎าได๎รับ
ความเสียหายในระหวํางขนสํง และโจทก๑ซึ่งเป็นผ๎ูรับประกันภัยสินค๎าพิพาทได๎ชดใช๎
คําสนิ ไหมทดแทนใหแ๎ กผํ ๎ูเอาประกันภัยไปแลว๎ โจทก๑ยอํ มเข๎าเปน็ ผ๎เู ขา๎ รับชํวงสิทธิโดยผลของ
กฎหมาย มีสทิ ธิฟอ้ งเรียกเอาคําเสียหายจากจาํ เลยได๎

131

อนึ่ง ในกรณีดังตํอไปน้ี แม๎บุคคลใดจะชดใช๎คําสินไหมทดแทนไป บุคคลน้ันก็
ไมํได๎รบั ชวํ งสิทธิ

1. กรณีท่ีบุคคลใดไมํมีหน๎าท่ีต๎องรับผิดชอบชดใช๎คําสินไหมทดแทน (ไมํได๎เป็น
ลกู หน)้ี แลว๎ บุคคลนัน้ ไดช๎ ดใชค๎ ําสนิ ไหมทดแทนไป บุคคลนัน้ ยอํ มไมํได๎รบั ชํวงสิทธิของเจ๎าหนี้
เชํน จําเลยขับรถยนต๑โดยประมาทชนรถยนต๑ของโจทก๑ท่ีมีญาติของโจทก๑ขอนั่งรถมาด๎วย
เปน็ เหตุให๎ญาติของโจทก๑บาดเจบ็ โจทก๑จงึ ได๎จํายคาํ รักษาพยาบาลให๎แกํญาติของโจทก๑ ดังน้ี
โจทก๑ไมํไดร๎ ับชํวงสทิ ธิ เป็นต๎น

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1094/2519 จาํ เลยขับเรือโดยประมาทชนเรือโดยสาร
ของโจทก๑ เป็นเหตุให๎ผ๎ูโดยสารในเรือของโจทก๑บาดเจ็บ โจทก๑จึงได๎จํายคํารักษาพยาบาล
ให๎แกํผโ๎ู ดยสาร ดังนี้ โจทกไ๑ มํได๎รับชวํ งสทิ ธิ

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3451/2524 การรับชํวงสิทธิจะมีได๎ตํอเม่ือผ๎ูรับชํวง
สทิ ธิมีหน้ีอันจะตอ๎ งรบั ผิดตอํ เจ๎าหน้ี เมื่อโจทก๑ในฐานะผู๎ยืมไมํต๎องรับผิดตํอเจ๎าของรถ การที่
โจทก๑ได๎ซํอมรถคันดังกลําวไป โจทก๑จึงไมํอยูํในฐานะที่จะรับชํวงสิทธิของเจ๎าของรถท่ีจะ
เรียกรอ๎ งใหจ๎ าํ เลยรบั ผิดได๎ ดงั นนั้ โจทก๑จงึ ไมมํ อี าํ นาจฟอ้ ง

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2542/2526 โจทย๑ขับรถชนรถของจําเลย ผู๎โดยสารท่ี
ได๎รับบาดเจ็บในรถของจําเลยมีสิทธิฟ้องเรียกคําเสียหายจากโจทก๑ผู๎กระทําละเมิดโดยตรง
การท่จี าํ เลยจาํ ยคาํ เสียหายไป จําเลยจึงไมํมสี ทิ ธิเรียกรอ๎ งคาํ เสียหายทีจ่ ํายไปเองจากโจทก๑ได๎

คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 1245/2538 การท่ีรถยนตโ๑ ดยสารของโจทก๑ถูกรถยนต๑
ของจําเลยชน โจทก๑จึงจํายเงินคํารักษาพยาบาลให๎แกํผู๎โดยสารที่ได๎รับบาดเจ็บและจําย
คาํ จดั การศพผ๎โู ดยสารที่ตายน้นั โจทก๑จะรับชวํ งสทิ ธติ ามกฎหมายไมไํ ด๎ จําเลยจึงไมํต๎องชดใช๎
เงินดงั กลาํ วให๎แกโํ จทก๑

2. กรณที ีม่ ีกฎหมายพิเศษกาํ หนดให๎ตอ๎ งบุคคลใดต๎องจาํ ยคําสินไหมทดแทน แตํ
ไมํได๎กําหนดให๎บุคคลนั้นได๎รบั ชวํ งสิทธิ

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1295/2523 การที่กฎหมายแรงงานอันเป็น
กฎหมายพิเศษกําหนดให๎นายจา๎ งจาํ ยเงินทดแทนใหแ๎ กํลกู จ๎าง กรณีท่ีลูกจ๎างประสบอันตราย
ถงึ แกํความตาย เน่อื งจากการทํางานใหแ๎ กนํ ายจา๎ งนนั้ กฎหมายแรงงานดังกลําวไมํได๎บัญญัติ
ให๎สทิ ธิแกํนายจา๎ งในการไปเรยี กเอาเงินทดแทนน้ันคืนจากผ๎ูทําละเมิดตํอลูกจ๎าง นายจ๎างจึง
ไมํอาจรบั ชํวงสิทธิมาฟ้องผท๎ู ําละเมดิ ตํอลูกจา๎ งได๎

3. หากบริษัทประกันจํายคําสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันชีวิตไป บริษัท
ประกนั ยํอมไมํได๎รับชวํ งสทิ ธิ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 896 ซ่ึงบัญญัติ
วาํ “ถ๎ามรณภัยเกดิ ข้นึ เพราะความผดิ ของบุคคลภายนอก ผ๎ูรับประกันภัยหาอาจจะเรียกเอา
คําสนิ ไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกน้ันได๎ไมํ แตํสิทธิของฝ่ายทายาทแหํงผ๎ูมรณะในอันจะ

132

ไดค๎ ําสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นหาสูญส้ินไปด๎วยไมํ แม๎ทั้งจํานวนเงินอันจะพึงใช๎
ตามสัญญาประกันชีวิตนั้นจะหวนกลับมาไดแ๎ กํตนดว๎ ย”

ขอ้ สังเกต
1. ถ๎าลกู หนี้ยังมิได๎ชําระคําสนิ ไหมทดแทนให๎แกเํ จา๎ หน้ี กย็ งั ไมํมกี ารรบั ชวํ งสทิ ธิ

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 5419/2538 เมื่อโจทก๑ผู๎รับประกันยังไมํได๎ชําระคํา
ซํอมรถยนตแ๑ กผํ ๎ูเอาประกันภยั โจทก๑จึงยงั ไมไํ ด๎รบั ชํวงสิทธขิ องผเู๎ อาประกันภัย โจทก๑จึงฟ้อง
จาํ เลยผท๎ู ําละเมิดไมไํ ด๎

2. ถ๎าลูกหน้ีชําระคําสินไหมทดแทนให๎แกํเจ๎าหน้ีไมํเต็มราคาทรัพย๑หรือสิทธิ
เชํน เจ๎าหนี้ได๎ทําประกันภัยทรัพย๑ไว๎กับลูกหนี้ไมํเต็มราคาทรัพย๑ เมื่อทรัพย๑นั้นถูกทําลาย
เจ๎าหนีไ้ ดร๎ ับการชดใช๎คาํ สินไหมทดแทนเต็มตามสัญญาประกนั ภยั แลว๎ ดงั น้ี ลูกหนี้มีสิทธิฟ้อง
เรียกคาํ สินไหมทดแทนจากผ๎ทู าํ ใหท๎ รพั ยน๑ ้ันเสยี หายได๎ โดยลูกหนีจ้ ะไดร๎ บั ชวํ งสิทธิไปเพียงใด
ก็ขนึ้ อยํูกบั จํานวนคําสินไหมทดแทนที่ตนได๎ชาํ ระไปนัน่ เอง และลูกหนีจ้ ะใชส๎ ทิ ธิที่รับชํวงนี้ให๎
เป็นท่ีเส่ือมเสียแกํเจ๎าหนี้ไมํได๎ ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 230 วรรค
สอง60

3.2 การรับชว่ งสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229 บัญญัติวํา “การรับชํวงสิทธิ

ยํอมมีข้นึ ด๎วยอํานาจกฎหมาย และยอํ มสาํ เร็จเป็นประโยชน๑แกํบคุ คลดงั จะกลําวตํอไปนี้ คือ
(1) บุคคลซึ่งเป็นเจ๎าหนี้อยูํเอง และมาใช๎หน้ีให๎แกํเจ๎าหน้ีอีกคนหน่ึงผู๎มีสิทธิจะ

ไดร๎ ับใชห๎ น้ีกอํ นตน เพราะเขามีบุริมสทิ ธิหรอื มสี ิทธิจํานําจํานอง
(2) บุคคลผ๎ูได๎ไปซึ่งอสังหาริมทรัพย๑ใด และเอาเงินราคาคําซ้ือใช๎ให๎แกํ

ผ๎รู บั จํานองทรพั ยน๑ ้ันเสร็จไป
(3) บคุ คลผมู๎ คี วามผูกพนั รํวมกับผ๎ูอ่นื หรือเพื่อผอู๎ น่ื ในอันจะต๎องใช๎หนี้ มีสํวนได๎

เสียด๎วยในการใช๎หนีน้ ัน้ และเขา๎ ใช๎หนี้นน้ั
หลกั เกณฑ๑การรับชํวงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 229

แบงํ ออกเปน็ 3 ประการ ดงั นี้
1. บุคคลซึ่งเป็นเจ๎าหนี้อยูํเอง และมาใช๎หน้ีให๎แกํเจ๎าหน้ีอีกคนหนึ่งผ๎ูมีสิทธิจะ

ได๎รับใช๎หน้ีกํอนตน เพราะเขามีบุริมสิทธิหรือมีสิทธิจํานําจํานอง เชํน เจ๎าหน้ีสามัญใช๎หนี้
ใหแ๎ กเํ จา๎ หน้จี าํ นอง เจา๎ หน้ีสามัญกร็ บั ชวํ งสิทธจิ ากเจ๎าหน้จี ํานอง เปน็ ต๎น โดยเจ๎าหนี้ผ๎ูรับชํวง
สิทธินี้จะเป็นเจ๎าหนอ้ี ยูํกํอนหรอื หลังเจา๎ หนอี้ ีกคนก็ได๎

60สุนทร มณีสวัสดิ์, เร่อื งเดมิ , หน๎า 200, โสภณ รตั นากร, เรือ่ งเดมิ , หน๎า 266.

133

คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1083/2498 ก. ซงึ่ เป็นเจา๎ หนี้จาํ เลยยํอมมีสิทธิท่ีจะ
ไถกํ ารจาํ นองจากโจทกผ๑ ๎เู ปน็ เจ๎าหน้จี าํ นองจําเลย และเข๎ารับชํวงสิทธิจากโจทก๑ผู๎เป็นเจ๎าหนี้
จํานอง ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 229 (1) โดยไมํต๎องขอความยินยอม
จากจาํ เลย

2. บุคคลผู๎ได๎ไปซ่ึงอสังหาริมทรัพย๑ใด และเอาเงินราคาคําซื้อใช๎ให๎แกํ
ผู๎รับจาํ นองทรพั ย๑นนั้ เสร็จไป หมายความวาํ บคุ คลใดซื้ออสังหาริมทรัพย๑ที่ติดจํานอง และได๎
เอาเงินราคาคําซื้อใช๎ให๎แกํผ๎ูรับจํานองทรัพย๑นั้นเสร็จไป บุคคลน้ันได๎รับชํวงสิทธิของ
ผู๎รับจํานอง

ตัวอย่าง นาย ก. มีท่ีดินราคาประมาณ 500,000 บาท นาย ก. ได๎จํานอง
ที่ดนิ ของตนไวก๎ ับนาย ข. จํานวน 200,000 บาท ตอํ มานาย ก. ขายที่ดินแปลงดังกลําวให๎แกํ
นาย ค. ในราคาเต็ม 500,000 บาท เม่ือนาย ค. รับโอนกรรมสิทธ์ิในที่ดิน นาย ค. ก็เอาเงิน
ไปไถถํ อนจาํ นองจากนาย ข. จํานวน 200,000 บาท และได๎รับชํวงสิทธิของนาย ข. มาเรียก
ให๎นาย ก. ชําระหนีใ้ ห๎แกตํ นได๎ จํานวน 200,000 บาท

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2716/2525 จําเลยจํานองทรัพย๑พิพาทไว๎กับ
ธนาคาร ก. ผ๎ูร๎องได๎ไถํถอนจํานองทรัพย๑พิพาทน้ันจากธนาคาร ก. และธนาคาร ก. ได๎
จดทะเบียนไถํถอนจํานองให๎จําเลยแล๎ว ผ๎ูร๎องยํอมเข๎ารับชํวงสิทธิจากธนาคาร ก. ตาม
ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 226, 229 (2)

ข้อสังเกต จากตัวอยํางข๎างต๎น นาย ก. ขายที่ดินแปลงดังกลําวให๎แกํ
นาย ค. ในราคาเต็ม นาย ค. ผู๎ซ้ืออสงั หาริมทรัพย๑ทต่ี ิดจํานองจึง “มสี ทิ ธิ” เอาเงนิ ราคาคําซ้ือ
ใช๎ให๎แกํนาย ข. ผู๎รับจํานอง และเข๎ารับชํวงสิทธิของนาย ข. ผ๎ูรับจํานองได๎ ตามประมวล
กฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 229 (2) แตํในทางปฏิบัติ นาย ก. จะขายท่ีดินในลักษณะ
ติดจํานอง คือ ขายในราคาต่ํากวําราคาท่ีแท๎จริง เพื่อให๎ผ๎ูซ้ือกันราคาสํวนหนึ่งไว๎ชําระหนี้
จํานองก็ได๎ เชนํ นาย ก. และนาย ค. ตกลงกนั วาํ นาย ก. จะขายท่ีดินแปลงนั้นให๎แกํนาย ค.
จํานวน 300,000 บาท แตํเมื่อนาย ค. รับโอนกรรมสิทธิ์ในท่ีดินไปแล๎ว นาย ค. จะต๎องไป
ไถถํ อนจาํ นองจากนาย ข. จาํ นวน 200,000 บาท เปน็ ตน๎

3. บุคคลผูม๎ คี วามผกู พันรํวมกับผ๎ูอื่น หรือเพื่อผ๎ูอื่นในอันจะต๎องใช๎หน้ี มีสํวนได๎
เสยี ดว๎ ยในการใชห๎ นน้ี ัน้ และเขา๎ ใชห๎ นนี้ ้ัน

บุคคลทกี่ ฎหมายกําหนดใหร๎ บั ชวํ งสทิ ธติ ามมาตราน้ี คอื
1. บุคคลผมู๎ ีความผูกพันรํวมกับผ๎ูอ่ืน โดยมีสํวนได๎เสียด๎วยในการใช๎หน้ี เชํน
ลกู หน้ีรํวม เปน็ ตน๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2370/2526 ศาลมีคําพิพากษาให๎โจทก๑และ
จาํ เลยรวํ มกันใช๎คําสินไหมทดแทนแกํ ร. ในฐานะลูกหนี้รํวม โจทก๑จึงชําระหน้ีทั้งหมดให๎แกํ

134

ร. ไป ดงั น้ี โจทก๑ยํอมเข๎ารับชํวงสิทธิของ ร. ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา
229 (3) มีสทิ ธิฟ้องเรียกร๎องเงนิ ทีโ่ จทกไ๑ ดช๎ ําระให๎แกํ ร. ไปแลว๎ คนื จากจาํ เลยได๎

ข้อสังเกต ลูกหนีร้ วํ มทไี่ ด๎รบั ชํวงสิทธิมาจากเจ๎าหนี้จะไปเรียกจากลูกหนี้
รวํ มคนอืน่ ๆ เต็มจํานวนหนี้ท่ีตนชําระให๎แกํเจ๎าหน้ีไปไมํได๎ เพราะตนเองก็มีสํวนต๎องรับผิด
ดว๎ ย

2. บุคคลท่ีต๎องชําระหน้ีเพื่อผู๎อื่น เนื่องจากมีสํวนได๎เสียด๎วยในการใช๎หนี้
เชํน ผูค๎ ้ําประกนั หรือผทู๎ เ่ี อาทรพั ยส๑ ินของตนเองมาประกนั การชาํ ระหนข้ี องผ๎ูอื่น เปน็ ตน๎

ตัวอย่างที่ 1 นาย ก. และนาย ข. เป็นลูกหนี้รํวมของนาย ค. ในหนี้
จาํ นวน 500,000 บาท เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ นาย ก. ได๎ชําระหนี้ให๎แกํนาย ค. ไปจํานวน
500,000 บาท ดังน้ี นาย ก. ยํอมได๎รับชํวงสิทธิมาจากนาย ค. โดยมีสิทธิเรียกให๎นาย ข.
ชาํ ระหน้ใี ห๎แกํตนจาํ นวน 250,000 บาท ได๎

ตัวอย่างท่ี 2 นาย ก. เป็นลกู หนข้ี องนาย ข. ในหน้ีจาํ นวน 500,000 บาท
โดยมีนาย ค. เป็นผ๎ูค้ําประกัน เม่ือหน้ีถึงกําหนดชําระ นาย ก. ไมํชําระหนี้ นาย ค. จึงได๎
ชําระหนี้ให๎แกํนาย ข. ไปจํานวน 500,000 บาท ดังนี้ นาย ค. ยํอมได๎รับชํวงสิทธิมาจาก
นาย ข. โดยมีสทิ ธเิ รยี กใหน๎ าย ก. ชาํ ระหนใ้ี ห๎แกํตนจาํ นวน 500,000 บาท ได๎

3.3 การรับช่วงสทิ ธติ ามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 230
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 230 บัญญัติวํา “ถ๎าในการที่

เจ๎าหน้ีนําบังคับยึดทรัพย๑อันหน่ึงอันใดของลูกหนี้น้ัน บุคคลผู๎ใดจะต๎องเสี่ยงภัยเสียสิทธิใน
ทรัพย๑อนั น้ันเพราะการบังคับยึดทรัพย๑ไซร๎ ทํานวําบุคคลผู๎นั้นมีสิทธิจะเข๎าใช๎หนี้เสียแทนได๎
อนง่ึ ผคู๎ รองทรัพยอ๑ ันหนงึ่ อันใด ถ๎าจะต๎องเส่ียงภัยเสยี สทิ ธคิ รองทรัพย๑น้นั ไปเพราะการบังคับ
ยดึ ทรพั ย๑ ก็ยํอมมีสิทธิจะทําได๎เชนํ เดยี วกบั ทวี่ ํามานั้น

ถ๎าบุคคลภายนอกผู๎ใดมาใช๎หนี้แทนจนเป็นท่ีพอใจของเจ๎าหนี้แล๎ว บุคคลผ๎ูนั้น
ยอํ มเขา๎ รบั ชวํ งสิทธิเรยี กร๎องของเจ๎าหน้ี แตํสิทธิเรียกร๎องอันน้ีจะบังคับให๎เป็นที่เส่ือมเสียแกํ
เจา๎ หนีห้ าไดไ๎ มํ”

ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณชิ ย๑ มาตรา 230 อธิบายไดด๎ งั นี้
1. ถ๎าในการที่เจ๎าหน้ีนําบังคับยึดทรัพย๑อันหนึ่งอันใดของลูกหนี้น้ัน บุคคลผ๎ูใด
จะตอ๎ งเสีย่ งภัยเสยี สทิ ธใิ นทรัพย๑อันนั้นเพราะการบังคับยึดทรัพย๑ บุคคลผู๎น้ันมีสิทธิจะเข๎าใช๎
หน้ีเสียแทนได๎ และเม่ือบุคคลน้ันใช๎หน้ีแทนจนเป็นที่พอใจของเจ๎าหน้ีแล๎ว บุคคลผู๎น้ันยํอม
เข๎ารับชํวงสิทธิเรียกร๎องของเจ๎าหนี้ เชํน นาย ก. ให๎คําม่ันแกํนาย ข. วําจะยกรถยนต๑ให๎แกํ
นาย ข. แตํตํอมาปรากฏวํานาย ค. ได๎ฟ้องนาย ก. จนชนะคดี และได๎นําเจ๎าพนักงานบังคับ
คดีบงั คับยดึ รถยนต๑คนั น้นั เพอ่ื ชาํ ระหนี้ ดงั น้ี นาย ข. ซง่ึ ตอ๎ งเสยี่ งภัยเสยี สทิ ธิในรถยนต๑นนั้ จึง

135

มีสิทธิจะเข๎าใช๎หน้ีให๎นาย ค. แทนนาย ก. ได๎ และเม่ือนาย ข. ได๎ใช๎หน้ีแทนจนเป็นท่ีพอใจ
ของนาย ค. แล๎ว นาย ข. ยํอมได๎รบั ชํวงสทิ ธิจากนาย ค. เป็นตน๎

คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 4362/2540 ม. จํานองท่ีดินประกันหนี้ของจําเลย
โจทก๑ซึ่งเป็นทายาทของ ม. เจ๎ามรดก จะต๎องเส่ียงภัยเสียสิทธิในท่ีดิน เพราะอาจถูกผ๎ูรับ
จาํ นองบงั คบั ยดึ ท่ดี ินนนั้ ออกขายทอดตลาดชําระหน้ีได๎ โจทก๑ซ่ึงเป็นบุคคลภายนอกจึงใช๎หน้ี
ตามสัญญาจํานองแทนจําเลยได๎ โดยไมํต๎องขอความยินยอมจากจําเลย และเมื่อโจทก๑ได๎
ไถํถอนจํานองแล๎ว โจทก๑ยํอมเข๎ารับชํวงสิทธิจากเจ๎าหน้ี ตามประมวลกฎหมายแพํงและ
พาณชิ ย๑ มาตรา 230 มิใชเํ รือ่ งการจดั การงานนอกสง่ั หรอื ลาภมคิ วรได๎

2. ถ๎าในการท่ีเจ๎าหนี้นําบังคับยึดทรัพย๑อันหนึ่งอันใดของลูกหน้ีน้ัน บุคคล
ผ๎ูครองทรัพย๑อันหน่ึงอันใดจะต๎องเสี่ยงภัยเสียสิทธิครองทรัพย๑น้ันไปเพราะการบังคับ
ยึดทรัพย๑ บุคคลผู๎นั้นมีสิทธิจะเข๎าใช๎หนี้เสียแทนได๎ และเม่ือบุคคลนั้นใช๎หน้ีแทนจนเป็นท่ี
พอใจของเจา๎ หนแี้ ลว๎ บุคคลผ๎นู น้ั ยํอมเข๎ารบั ชํวงสทิ ธเิ รยี กร๎องของเจ๎าหนี้

ตัวอย่างที่ 1 นาย ก. ได๎ครอบครองท่ีดินของนาย ข. โดยปรป๓กษ๑ มาเป็น
เวลาได๎ 9 ปี ซ่ึงถ๎าครอบครองปรป๓กษ๑ครบ 10 ปี นาย ก. ก็จะได๎กรรมสิทธิ์ในท่ีดินน้ัน
(ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 1382) แตตํ ํอมาปรากฏวํานาย ค. ได๎ฟ้องนาย ข.
จนชนะคดี และได๎นําเจ๎าพนักงานบังคับคดีบังคับยึดที่ดินน้ันเพ่ือชําระหนี้ ดังน้ี นาย ก. ซ่ึง
เป็นผ๎ูครอบครองที่ดนิ นั้นอยูํ จะตอ๎ งเส่ยี งภัยเสียสิทธิครอบครองท่ีดินน้นั นาย ก. จึงมีสิทธิจะ
เขา๎ ใชห๎ น้ใี ห๎นาย ค. แทนนาย ข. ได๎ และเมือ่ นาย ก. ไดใ๎ ช๎หนี้แทนจนเป็นท่ีพอใจของนาย ค.
แลว๎ นาย ก. ยอํ มได๎รับชวํ งสทิ ธจิ ากนาย ค.

ตวั อย่างที่ 2 นาย ก. ไดเ๎ ชํารถยนต๑จากนาย ข. แตํตํอมาปรากฏวํานาย ค.
ได๎ฟ้องนาย ข. จนชนะคดี และได๎นําเจ๎าพนักงานบังคับคดีบังคับยึดรถยนต๑คันนั้นเพื่อชําระ
หน้ี ดังน้ี นาย ก. ซึ่งเป็นผ๎ูครอบครองรถยนต๑นั้นอยํู จะต๎องเส่ียงภัยเสียสิทธิครอบครอง
รถยนตน๑ ัน้ นาย ก. จึงมสี ทิ ธิจะเข๎าใชห๎ นีใ้ ห๎นาย ค. แทนนาย ข. ได๎ และเมื่อนาย ก. ได๎ใช๎หน้ี
แทนจนเปน็ ที่พอใจของนาย ค. แลว๎ นาย ก. ยอํ มไดร๎ ับชวํ งสทิ ธิจากนาย ค. เป็นต๎น

ขอ้ สงั เกต ถ๎าเป็นการเชําอสังหาริมทรัพย๑ ซ่ึงสัญญาเชําไมํระงับไปเพราะ
เหตุโอนกรรมสิทธท์ิ รพั ยส๑ ินซึง่ ให๎เชํา โดยผู๎รับโอนต๎องรับไปทั้งสิทธิและหน๎าท่ีของผ๎ูโอนซ่ึงมี
ตํอผ๎ูเชํา ตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 569 นั้น แม๎ผู๎เชําจะเป็น
ผู๎ครอบครองทรัพย๑ที่เชํา แตํเม่ือผู๎เชําไมํอยูํในฐานะที่จะต๎องเสี่ยงภัยเสียสิทธิครองครอบ
ทรพั ย๑น้ันไป ผเู๎ ชําจงึ ไมมํ ีสิทธิจะเขา๎ ใช๎หน้ีเสียแทนผใู๎ หเ๎ ชํา และรบั ชํวงสิทธิมาจากเจา๎ หน้ีได๎

สํวนข๎อความตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 230 วรรค
สอง ที่วาํ “แตํสทิ ธิเรียกรอ๎ งอันน้ีจะบังคับให๎เป็นท่ีเส่ือมเสียแกํเจ๎าหน้ีหาได๎ไมํ” หมายความ
วํา ถ๎าผู๎รบั ชํวงสิทธิได๎ชําระหน้ีให๎แกํเจ๎าหน้ีแทนลูกหนี้ไปเต็มจํานวนหน้ีแล๎ว ผู๎รับชํวงสิทธิก็

136

ชอบท่ีจะได๎รับชํวงสิทธิจากเจ๎าหน้ีไปเต็มจํานวนหน้ีน้ัน คือ มีสิทธิเรียกให๎ลูกหน้ีชําระหน้ี
ใหแ๎ กตํ นได๎เตม็ จาํ นวนหน้นี ั้น แตํถ๎าผ๎ูรับชํวงสิทธิได๎ชําระหนี้ให๎แกํเจ๎าหนี้แทนลูกหนี้ไปเพียง
บางสวํ น ผ๎ูรับชวํ งสิทธกิ ย็ อํ มจะได๎รับชํวงสิทธิไปเพยี งบางสํวนเทํานั้น ดังน้ัน ผู๎รับชํวงสิทธิจึง
สามารถเรียกให๎ลูกหนี้ชําระหนี้ให๎แกํตนได๎เพียงจํานวนที่ตนได๎ชําระให๎แกํเจ๎าหน้ีไปเทํานั้น
จะเรยี กเกนิ กวํานัน้ อนั ทําให๎เส่อื มเสียสิทธขิ องเจา๎ หน้ีไมํได๎

4. ผลของการรับช่วงสิทธิ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 วรรคแรก บัญญัติว่า “บุคคล

ผ๎ูรับชํวงสิทธิของเจ๎าหนี้ ชอบที่จะใช๎สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ๎าหน้ีมีอยูํโดยมูลหน้ี รวมทั้ง
ประกนั แหํงหน้ีนนั้ ได๎ในนามของตนเอง”

ประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 226 วรรคแรก เป็นเรื่องผลของการ
รบั ชํวงสิทธิ กลาํ วคือ เม่ือมีการรับชํวงสิทธิเกิดขึ้นด๎วยอํานาจแหํงกฎหมายแล๎ว เจ๎าหน้ียํอม
สิ้นสิทธิที่จะเรียกให๎ลูกหนี้ชําระหน้ี โดยบุคคลผู๎รับชํวงสิทธิยํอมได๎รับสิทธิตํอมาจากเจ๎าหน้ี
และสามารถใช๎สิทธินั้นได๎ในนามของตนเอง กลําวคือ บุคคลผู๎รับชํวงสิทธิไมํต๎องอ๎างวํา
ฟอ้ งคดีแทนเจา๎ หนี้และไมํตอ๎ งเรยี กเจ๎าหนเ้ี ขา๎ มาในคดีดว๎ ย

คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1118/2498 จําเลยขับรถชนรถยนต๑ของผ๎ูเอาประกันภัย
จากโจทก๑เสียหาย โจทก๑ได๎ชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎แกํผู๎เอาประกันภัยไปแล๎ว ดังน้ี โจทก๑
อยูํในฐานะผ๎ูรับชํวงสิทธิของผู๎เอาประกันภัย โจทก๑จึงชอบท่ีจะใช๎สิทธิได๎ในนามของตนเอง
ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา 880, 226

แตํอยํางไรก็ดี ผ๎ูรับชํวงสิทธิมีสิทธิเพียงเทําท่ีเจ๎าหน้ีมีอยํูเทําน้ัน เชํน อายุความมูล
หนเี้ ดิมมอี ยูเํ ทาํ ไร ผู๎รับชวํ งสทิ ธิกม็ ีสทิ ธิในอายุความเทาํ น้ัน เปน็ ตน๎

คาพิพากษาศาลฎกี าท่ี 2339/2533 โจทกเ๑ ขา๎ รับชํวงสทิ ธขิ องผู๎เอาประกันภัย สิทธิ
ของโจทก๑จงึ ตอ๎ งถกู จาํ กัดไมํเกนิ สิทธขิ องผู๎เอาประกันภยั ดังนั้น เม่ือผู๎เอาประกันภัยร๎ูตัวผ๎ูจะ
พงึ ต๎องใชค๎ าํ สินไหมทดแทนในการกระทําละเมดิ ตง้ั แตวํ ันที่ 14 สิงหาคม 2523 แล๎ว โจทก๑มา
ฟ้องให๎จาํ เลยรบั ผดิ ในมลู ละเมดิ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2524 เกินกําหนด 1 ปี คดีโจทก๑จึงขาด
อายุความ ตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ มาตรา 448

สําหรับสิทธิทร่ี ับชํวงตํอมานัน้ ได๎แกํ
1. สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ๎าหน้ีมีอยูํโดยมูลหน้ี หมายความวํา เจ๎าหนี้มีสิทธิใน
มลู หนี้เดมิ อยูํอยาํ งไร ผ๎ูรับชํวงสิทธิก็มีสิทธิอยํางน้ัน เชํน สิทธิในการบังคับชําระหน้ี (มาตรา
213) สิทธิในการเรียกคําสินไหมทดแทน (มาตรา 215) การใช๎สิทธิเรียกร๎องของลูกหน้ี
(มาตรา 233) การเพิกถอนการฉ๎อฉล (มาตรา 237) การโอนสิทธิเรียกร๎อง (มาตรา 303)
เป็นตน๎

137

2. สิทธิเก่ียวกับการประกันแหํงหนี้ หมายความวํา ถ๎ามูลหนี้เดิมน้ันเป็นหน้ีที่มี
การประกันอยํู ไมํวําจะเป็นการประกันด๎วยบุคคล คือ คํ้าประกัน หรือเป็นการประกันด๎วย
ทรัพย๑ คอื จํานํา จาํ นอง ผ๎ูรบั ชํวงสิทธิยํอมใช๎สิทธิเหนอื การประกนั นนั้ ได๎ดว๎ ย

คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 2446/2525 ลกู หนม้ี อบฟิลม๑ ภาพยนตร๑ให๎ไว๎แกํธนาคาร
ซ่ึงเป็นเจ๎าหนี้ เพ่ือยึดถือไว๎เป็นการประกันหน้ี เม่ือผ๎ูค้ําประกันชําระเงินให๎แกํธนาคารแทน
ลกู หนี้ ผค๎ู าํ้ ประกนั จึงเข๎าเปน็ ผู๎รับชํวงสิทธิในฟิล๑มภาพยนตร๑ดังกลําวในอันท่ีจะยึดถือไว๎เพ่ือ
เปน็ ประกันหนไ้ี ด๎เชนํ เดียวกนั

5. ความหมายของการรับช่วงทรพั ย์
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 226 วรรคสอง บัญญัติวํา “ชํวงทรัพย๑

ได๎แกํเอาทรัพย๑สินอันหนึ่งเข๎าแทนท่ีทรัพย๑สินอีกอันหนึ่ง ในฐานะนิตินัยอยํางเดียวกันกับ
ทรพั ย๑สนิ อันกํอน”

การรบั ชวํ งทรัพย๑ หมายถึง การเอาทรัพย๑สินอันหน่ึงเข๎าแทนที่ทรัพย๑สินอีกอันหน่ึง
โดยผลของกฎหมาย และทรัพย๑สินอันท่ีเข๎าแทนน้ันมีฐานะทางกฎหมายเสมือนกันกับ
ทรัพยส๑ ินอันกอํ น (มาตรา 226 วรรคสอง) เชํน นาย ก. ยืมรถยนต๑ของนาย ข. ไปใช๎ ตํอมา
นาย ค. ขับรถยนต๑ของตนไปชนรถยนต๑ของนาย ข. เสียหายท้ังหมด หากนาย ค. ได๎ซ้ือ
รถยนต๑คนั ใหมํให๎แทนก็ดี หรือนาย ค. ชดใช๎คําสินไหมทดแทนให๎ก็ดี ดังนี้ นาย ข. มีสิทธิใน
รถยนต๑คันใหมหํ รือคําสินไหมทดแทนนน้ั ในฐานะผร๎ู ับชํวงทรัพย๑ (มาตรา 228) เป็นตน๎

ทั้งนี้ ในการรับชํวงทรัพย๑นั้น ตัวเจ๎าหนี้และลูกหนี้มิได๎เปล่ียนแปลงไป เปล่ียนแตํ
ตัวทรัพย๑ซึ่งเป็นวัตถแุ หงํ หนีเ้ ทาํ น้นั และการรับชํวงสิทธิต๎องเกิดข้ึนจากอํานาจของกฎหมาย
เทํานั้น ไมํวําจะเป็นกฎหมายทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา 228
มาตรา 231 มาตรา 232 หรอื กฎหมายเฉพาะตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ มาตรา
1472 มาตรา 1681

ข้อสังเกต การรับชํวงทรัพย๑เกิดข้ึนโดยผลของกฎหมาย แตํหากมีการตกลงเอา
ทรัพย๑สินอันหนึ่งเข๎าแทนท่ีทรัพย๑สินอีกอันหนึ่งจะเป็นการแปลงหนี้ใหมํ ไมํใชํการรับ
ชํวงทรัพย๑61

61ไพโรจน๑ วายภุ าพ, เรอ่ื งเดมิ , หนา๎ 193.


Click to View FlipBook Version