The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารการสอนวิชาการเพาะเลี้ยงปลา (ส่งทำเล่ม)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Boonyanuch Kaewmanee, 2023-03-13 23:01:06

เอกสารประการเรียน วิชาการเพาะเลี้ยงปลา (Fish Breeding and Culture)

เอกสารการสอนวิชาการเพาะเลี้ยงปลา (ส่งทำเล่ม)

Keywords: Fish Breeding and Culture

เอกสารประกอบการสอน การเพาะเลี้ยงปลา (Fish Breeding and Culture) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 ประเภทวิชาเกษตรกรรม สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ โดย ครูบุญยนุช แก้วมณี แผนกวิชาประมง วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ


ข ค าน า เอกสารประกอบการสอน วิชา การเพาะเลี้ยงปลา รหัสวิชา 20501 - 2802 เล่มนี้จัดท าขึ้น โดยยึดตามกรอบวัตถุประสงค์ของหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 ประเภทวิชาเกษตรกรรม สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ซึ่งจุดประสงค์ส าคัญยิ่งของเอกสารเล่มนี้คือ เพื่อให้ นักเรียนได้ใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนในรายวิชาทักษะเพาะเลี้ยงปลา อันมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับ ความส าคัญและความเป็นมาของการเพาะพันธุ์ปลา พันธุ์ปลาที่นิยมเพาะเลี้ยง เครื่องมืออุปกรณ์ใน การเพาะเลี้ยง การเตรียมคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ การดูแลพ่อแม่พันธุ์ การผสมพันธุ์ปลา การอนุบาล อาหารและการให้อาหาร การจัดการคุณภาพน้ า การเลี้ยงปลา การป้องกัน รักษาโรคและปรสิตการ ล าเลียงและการวางแผนเพาะเลี้ยงในระดับอุตสาหกรรม ทั้งนี้คาดหวังว่า ข้อมูลเรื่องราวต่าง ๆที่ น าเสนอในเอกสารเล่มนี้จะเป็นผลช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ ในเนื้อหาส่วนต่าง ๆ น าสู่ การพัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้ทั้งจากการศึกษาด้วยตนเองและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มเพื่อน โดยผ่านกระบวนการทางการเรียนการสอนในชั้นเรียน นอกจากนี้คุณค่าทางวิชาการของเอกสารคงมิ จ ากัดเพียงกลุ่มผู้เรียนในชั้นเรียนเท่านั้น คงเอื้อให้เกิดความรู้แก่บุคคลทั่วไปที่สนใจศึกษา ด้วยการประมวลแนวคิด และข้อมูลจากนักคิด นักวิชาการทางการประมงหลายท่าน ได้น าสู่ การรวบรวมเรื่องราวปรากฏเป็นรูปเล่ม จึงขอขอบพระคุณทุกท่านที่ปรากฏนามในเอกสารเล่มนี้ ด้วยการกล่อมเกลานับแต่วัยเยาว์ของชีวิตจากบุพการี ประกอบกับการชี้แนะอบรมทางการ ศึกษาจากคณาจารย์มากมาย สร้างสมให้เกิดอุดมการณ์ทางความคิด มวลความรู้ที่สั่งสม และพร้อม ที่จะพัฒนาให้แตกกิ่งก้านสาขาเพื่อร่วมสร้างสรรค์สังคมต่อไป อีกทั้งแรงสนับสนุนจากบุคคลอันเป็นที่ รักในครอบครัวก่อเกิดเป็นพลังกายพลังใจเพื่อการพัฒนาทักษะทางวิชาการต่อไป บุญยนุช แก้วมณี พฤษภาคม 2563


ค สารบัญ หน้า บทที่ 1 ประวัติและความส าคัญของการเพาะพันธุ์ปลา 1 บทที่ 2 ประเภทของสัตว์น้ าที่เพาะเลี้ยง 10 บทที่ 3 เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะพันธุ์ 25 บทที่ 4 การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์และการดูลักษณะเพศ 32 บทที่ 5 การเพาะพันธุ์ปลาแบบเลียนแบบธรรมชาติ 39 บทที่ 6 การเพาะพันธุ์ปลาโดยวิธีผสมเทียม 46 บทที่ 7 การอนุบาลลูกปลา 67 บทที่ 8 การจับและการล าเลียงลูกปลา 79 บทที่ 9 การจัดท าบัญชีรายรับ-รายจ่าย 86 บทที่ 10 การจัดการฟาร์ม 93 ภาคผนวก 100 - การเพาะพันธุ์ปลาดุกลูกผสม 101 - การเพาะเลี้ยงไรแดง 105 บรรณานุกรม 132


หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาน้ าจืด 1. สาระส าคัญ : ปลาน้ าจืดเป็นปลาที่มีความส าคัญในด้านของการเป็นอาหารประเภทโปรตีนแก่ประชาชน มี ความส าคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เป็นการช่วยสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ผู้เลี้ยง การ เรียนรู้ถึงความเป็นมาและความส าคัญของการเลี้ยงปลาน้ าจืด จะท าให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการที่ จะพัฒนาการเลี้ยงปลาน้ าจืดมากยิ่งขึ้นต่อไป 2. สมรรถนะประจ าหน่วยการเรียนรู้: 1. มีความรู้เบื้องต้นในด้านการเลี้ยงปลาน้ าจืด 2. มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพการเลี้ยงปลาน้ าจืด 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง : 1. สามารถบอกถึงความส าคัญของการเลี้ยงปลาน้ าจืดได้ถูกต้อง 2. สามารถอธิบายถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการเลี้ยงปลาได้ถูกต้อง 3. สามารถอธิบายถึงประวัติการเลี้ยงปลาได้ถูกต้อง 4. สามารถบอกข้อมูลพื้นฐานที่ส าคัญในการเลี้ยงปลาได้ถูกต้อง 5. สามารถบอกถึงชนิดของปลาน้ าจืดที่เลี้ยงหรือผลิตได้ถูกต้อง 4. ความรู้ที่ต้องได้รับ : 1. ความส าคัญของการเลี้ยงปลาน้ าจืด 2. ประโยชน์ที่ได้รับจากการเลี้ยงปลา 3. ประวัติการเลี้ยงปลา 4. ข้อมูลพื้นฐานที่ส าคัญในการเลี้ยงปลา 5. ชนิดของปลาน้ าจืดที่เลี้ยงหรือผลิตได้ 5. ทักษะทางปัญญาที่ต้องการพัฒนา : ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีทักษะทางการวิเคราะห์ 6. คุณธรรมจริยธรรมที่ต้องการ : 1. มีใจรักและศรัทธาในวิชาชีพ 2. มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร 3. มีความซื่อสัตย์ 4. มีความสนใจใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์


2 7. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องการ : 1. มีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา 2. มีมนุษย์สัมพันธ์ 3. การรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถท างานร่วมกับผู้อื่น 5. การบริการสังคมและชุมชน 6. ความปลอดภัย 8. กิจกรรมการเรียนการสอน : 1. การศึกษาเนื้อหาในหัวเรื่องที่ 1-5 2. การท าแบบทดสอบก่อนการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 3. การแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่มเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การเลี้ยงปลาน้ าจืด 4. การท างานกลุ่มและน าเสนอรายงานจากการฝึกปฏิบัติส ารวจการเลี้ยงปลาชุมชน 5. การฝึกปฏิบัติส ารวจการเลี้ยงปลาน้ าจืดของชุมชน 6. การท าแบบทดสอบหลังการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 7. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 8. การจัดท าบันทึกการเรียนรู้ 9. การเก็บรวบรวมผลงานการเรียนรู้เพื่อจัดท าแฟ้มสะสมผลงาน 9. จ านวนชั่วโมงที่สอน : จ านวน 6 ชั่วโมง 10. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ : 1. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 3. แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 4. แหล่งวิทยาการในชุมชนด้านการเลี้ยงปลา 5. เอกสารใบงานเรื่องการส ารวจข้อมูลการเลี้ยงปลาน้ าจืดของชุมชน 6. กรณีศึกษาส าหรับการวิเคราะห์สถานการณ์การเลี้ยงปลาน้ าจืด 7. แบบบันทึกการเรียนรู้ 11. วิธีการประเมินผล : 1. การวัดความสามารถด้านพุทธิพิสัย : โดยการท าแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน แบบทดสอบ ก่อน-หลังเรียน การร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น และการน าเสนองาน


3 2. การวัดความสามารถด้านทักษะพิสัย : โดยการสังเกตพฤติกรรมในการท างานร่วมกัน การ วางแผนในการท างานร่วมกัน และความสามารถในการท างานส าเร็จอย่างมีคุณภาพตามเวลาที่ มอบหมาย 3. การวัดความสามารถด้านจิตพิสัย : โดยการสังเกตจากพฤติกรรมในขณะด าเนินกิจกรรม การเรียนการสอนว่า ให้ความสนใจในการเรียนรู้ การมีวินัย การตรงต่อเวลา การมีส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน


หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาน้ าจืด ความส าคัญของการเลี้ยงปลาน้ าจืด ลักษณะทางกายภาพของประเทศไทยมีสภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสมแก่การปลูกพืชและ เลี้ยงสัตว์ ดังนั้นจึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร ดังจากการบันทึกในศิลาจารึกไว้ตั้งแต่ สมัยพ่อขุนรามค าแหงมหาราชที่ว่า “ ในน้ ามีปลา ในนามีข้าว ” แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปความอุดม สมบูรณ์ดังกล่าวได้เปลี่ยนสภาพไปเป็นทางลบ และมีปริมาณลดน้อยลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาน้ าจืด ซึ่งเคยมีอยู่มากมายตามแม่น้ า ล าคลอง หนอง บึง แต่ปัจจุบันได้ลดปริมาณลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากแหล่งน้ าได้เปลี่ยนสภาพไปกลายเป็นที่รองรับสิ่งเน่าเสีย ประกอบกับการตื้นเขินของแหล่ง น้ า จึงท าให้ที่อยู่อาศัยและแหล่งแพร่พันธุ์ของสัตว์น้ าเสื่อมสภาพลง ซึ่งมีสาเหตุดังนี้(ศูนย์วิจัยและ พัฒนาอาชีวศึกษา 5 , 2542) 1. ปัญหาส าคัญเกี่ยวกับสัตว์น้ าจืด คือ แหล่งที่อยู่อาศัยและแพร่พันธุ์เสื่อมสภาพลง อีก ประการหนึ่งก็คือทรัพยากรสัตว์น้ าถูกเก็บเกี่ยวมาใช้ประโยชน์มากเกินควร จนไม่สามารถคงปริมาณ และเกิดทดแทนได้เท่าที่ควร แหล่งที่อยู่อาศัยเสื่อมโทรมก็เกิดจากฝีมือการกระท าของคนที่ท าให้ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งประชากรของประเทศเพิ่มมากขึ้น ปัญหาดังกล่าวก็ยิ่งทวีความ รุนแรงมากขึ้น 2. การเกิดสภาวะแวดล้อมเป็นพิษ มีสาเหตุมาจากการทิ้งขยะปฏิกูลต่างๆ ลงสู่แม่น้ า ล า คลอง เศษของเหลือใช้ น้ าทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม การใช้ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืชที่ไม่มี การควบคุมที่ดี เมื่อฝนตกก็จะชะล้างเอาสารพิษเหล่านี้ลงไปสู่แม่น้ า ล าคลอง ซึ่งเป็นอันตรายโดยตรง ต่อสัตว์น้ า และเมื่อคนจับสัตว์น้ าขึ้นมารับประทานก็จะได้รับสารพิษเข้าไปในร่างกายด้วย 3. การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ า การสร้างถนนหนทาง ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อม ให้ผิดปกติไปจากธรรมชาติ ท าให้แหล่งแพร่พันธุ์วางไข่และเลี้ยงตัวอ่อนของสัตว์น้ าถูกท าลายลง 4. การตัดไม้ท าลายป่า ท าให้เกิดการพังทลายของดิน แหล่งน้ าตื้นเขินและท าให้เกิดความ แห้งแล้ง แหล่งน้ าลดน้อยลงท าให้ที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ าลดน้อยลงไปด้วย 5. การจับสัตว์น้ าจืดขึ้นมาใช้บริโภคมากเกินไป ซึ่งมีสาเหตุมาจากประชากรเพิ่มมากขึ้น ท า ให้ความต้องการปัจจัยด้านอาหารมีมากขึ้น ประกอบกับการเก็บเกี่ยวผลผลิตสัตว์น้ าจืดกระท าได้ง่าย ไม่ต้องลงทุนมาก จะจับสัตว์น้ าบริเวณใดก็ได้ที่เป็นแหล่งธรรมชาติ การใช้เครื่องมืออุปกรณ์ในการ จับก็มีข้อจ ากัดน้อย ท าให้การจับท าลายสัตว์น้ าเป็นไปอย่างรวดเร็วจนหมดสิ้นได้ 6. การใช้ยาเบื่อเมา ใช้กระแสไฟฟ้าและวัตถุระเบิดจับสัตว์น้ า นอกจากจะเป็นการละเมิด กฎหมายบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นการท าลายพันธุ์สัตว์น้ าอย่างร้ายแรงอีกด้วย


5 การเลี้ยงปลาเป็นการใช้ที่ดินให้เกิดผลผลิตอาหารโปรตีน ในสภาพพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมแก่การ เพาะปลูก เช่น พื้นที่ลุ่มน้ าขัง ที่ดินที่ปลูกพืชแล้วให้ผลผลิตต่ าก็สามารถปรับปรุงขุดเป็นบ่อใช้ในการ เลี้ยงปลาได้ นอกจากนี้แหล่งน้ าต่างๆ เช่น แม่น้ า ล าคลอง อ่างเก็บน้ า ก็ยังใช้ประโยชน์ในการ เลี้ยงปลาได้ดี โดยการสร้างที่กักขัง เช่น ท าเป็นกระชัง คอก แม้แต่ในนาข้าวที่มีน้ าขังเป็นเวลานาน พอควรก็อาจปรับปรุงแปลงนาแล้วเลี้ยงปลาร่วมด้วย ท าให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งข้าวและปลา ประโยชน์ที่ได้รับจากการเลี้ยงปลา 1. ท าให้คนมีงานท า แก้ปัญหาการว่างงาน 2. ก่อให้เกิดรายได้แก่ตนเองและครอบครัว 3. มีอาหารโปรตีนบริโภค ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ไม่มีคลอเรสเตอรอล (Cholestrol) 4. ช่วยให้ผู้ประกอบอาชีพนี้มีความเป็นอยู่ที่ดี ท าให้ปัญหาทางสังคมลดน้อยลง 5. ช่วยท าให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ในการส่งผลผลิตไปจ าหน่ายต่างประเทศ 6. การเก็บเกี่ยวผลผลิตสัตว์น้ าท าได้ง่าย ปลอดภัย 7. สภาพโดยทั่วๆ ไปสามารถควบคุมได้ เช่น โรค และสิ่งแวดล้อม 8. สามารถคาดคะเนผลผลิต ควบคุมอัตราการปล่อยได้ 9. สามารถปรับปรุงผลผลิตให้สูงขึ้น เช่น การคัดพันธุ์ 10. สามารถทราบความเป็นอยู่และนิสัยของสัตว์น้ าที่เลี้ยงได้ 11. สามารถควบคุมการให้อาหาร จัดหาอาหารตามที่สัตว์น้ าต้องการได้ 12. ช่วยลดการจับปลาจากแหล่งน้ าตามธรรมชาติ เป็นการช่วยอนุรักษ์สัตว์น้ าได้อีกทางหนึ่ง 13. การด าเนินการกระท าอยู่กับที่ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง 14. ลงทุนต่ ากว่าการออกไปจับสัตว์น้ า เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น เรือ แรงงาน ประกันภัย 15. ไม่ต้องเสี่ยงกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศที่ต้องออกไปจับสัตว์น้ าในแหล่ง ธรรมชาติ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น ประวัติการเลี้ยงปลา การเลี้ยงปลาได้กระท ากันมาแต่โบราณกาลทั้งในทวีปยุโรป ทวีปเอเชียและอียิปต์โบราณ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าชาวจีนได้มีการเลี้ยงปลาเมื่อประมาณ 2,698 ปีก่อนคริสตกาล มาแล้ว โดยปลาชนิดแรกที่เลี้ยงคือ ปลาไน วิธีการเลี้ยงปลาของชาวจีนได้ถูกถ่ายทอดไปยังประเทศ ต่าง ๆ หลายประเทศในเอเชียและตะวันออกไกล และการเพาะเลี้ยงก็ได้มีการพัฒนาจากแบบดั้งเดิม มาสู่แบบสมัยใหม่ ชนิดของปลาที่น ามาเลี้ยงก็มีมากชนิดขึ้นตามล าดับ ประเทศต่าง ๆ ในย่านเอเชีย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และไทย ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการ เลี้ยงปลาแบบดั้งเดิมมาสู่แบบสมัยใหม่ และการเลี้ยงปลาเป็นธุรกิจการค้าในย่านเอเชียตะวันออก


6 เฉียงใต้นี้ได้เริ่มมาจากประเทศจีน แม้แต่ในปัจจุบันการเลี้ยงปลาในหลายประเทศยังคงปฏิบัติตาม แบบหรือลอกแบบมาจากความคิดของชาวจีน การเลี้ยงปลาในประเทศไทยสันนิฐานว่ามีมานานแล้ว โดยชาวจีนที่อพยพเข้ามาท ามาหากินใน สมัยรัชการที่ 5 โดยได้น าพันธุ์ปลาจีน ได้แก่ ปลาเฉา ปลาลิ่น ปลาซ่ง และปลาไนเข้ามาเลี้ยง และ นิยมกันอย่างแพร่หลาย ต่อมาในปี พ.ศ.2490 ชาวจีนรุ่นหลานที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยได้น า พันธุ์ปลาจีนเหล่านี้มาเลี้ยงในบ่อบริเวณสวนลุมพินีบริเวณสถานีรถไฟมักกะสัน บ่อรอบวังสระประ ทุม บ่อดินและร่องสวนผักชาวจีนแถบทุ่งรังสิต พันธุ์ปลาจีนดังกล่าวได้ถูกล าเลียงจากเมืองซัวเถา บรรจุในลังไม้ขนาดใหญ่ ในระยะแรกพันธุ์ปลาชนิดนี้จะเลี้ยงเฉพาะชาวจีนเท่านั้น ส่วนประชาชนคน ไทยได้เลี้ยงปลาจีนอย่างแพร่หลายในระยะหลัง อย่างไรก็ตามการเลี้ยงปลาในบ่อเพื่อบริโภคของคน ไทยเป็นครั้งแรกนั้นเป็นการเลี้ยงปลาสวาย และปลาเทโพบริเวณล าคลองมหานาค บางล าพู และ เทเวศร์ โดยประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนบริเวณริมคลองดังกล่าวใช้สวิงช้อนลูกปลาสวายและลูกปลา เทโพในฤดูฝนช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม น าไปเลี้ยงในบ่อดินและให้อาหารโดยการตั้งส้วม บนบ่อปลา นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงปลาสวายและปลาเทโพในกระชังที่ล าคลองเกรียงไกร จังหวัด นครสวรรค์ และแม่น้ าสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี โดยชาวญวณอพยพที่สร้างบ้านเป็นเรือนแพ และมีกระชังเลี้ยงปลาสวายและปลาเทโพโดยการรวบรวมลูกปลาจากแหล่งน้ าธรรมชาติ การพัฒนาการทางด้านประมงได้เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2464 โดยความรับผิดชอบของกระทรวง เกษตราธิการ แต่เนื่องจากขณะนั้นยังขาดผู้มีความรู้ในด้านนี้ ทางรัฐบาลสยามสมัยนั้นจึงได้ติดต่อ สถานทูตประจ ากรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ให้ช่วยหาผู้ช านาญการในเรื่องปลามาเป็นที่ปรึกษา ซึ่ง ก็ได้ ดร.ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ (Dr.Hugh Mc Cormick Smith) มารับราชการในฐานะที่ปรึกษาแผนก สัตว์น้ า ระหว่าง พ.ศ.2466 - 2478 รวมเวลา 13 ปี ดร.สมิธนี้เองเป็นบุคคลแรกที่ได้ท าการส ารวจ ทรัพยากรสัตว์น้ าและการประมงของประเทศสยาม (ประเทศไทยปัจจุบัน) เกือบทั่วพระ ราชอาณาจักร หลังจากนั้นการพัฒนาการด้านการเลี้ยงสัตว์น้ าได้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย (ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา 5 , 2542) ภาพที่ 1 แสดงภาพ ดร.ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ ที่มา : https://www.wikiwand.com


7 ข้อมูลพื้นฐานที่ส าคัญในการเลี้ยงปลา การเลี้ยงปลาก็มีลักษณะคล้ายกับการเลี้ยงสัตว์น้ าชนิดอื่น ซึ่งผู้เลี้ยงจ าเป็นต้องศึกษาหา ความรู้ในการเลี้ยงปลาแต่ละชนิดให้ดีเสียก่อน จึงจะท าให้การเลี้ยงปลาประสบผลส าเร็จ ดังนั้นผู้ เลี้ยงปลาจึงควรรู้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาที่ส าคัญ 3 อย่างคือ ชนิดของปลา น้ าที่เลี้ยง ปลา และวิธีการเลี้ยงปลา ดังนี้(กรมประมง , 2551) 1. ชนิดของปลา ผู้เลี้ยงต้องรู้ข้อมูลของปลาที่จะเลี้ยง ซึ่งจะช่วยให้เลือกพันธุ์ปลามาเลี้ยงได้เหมาะสมและ สามารถวางแผนการเลี้ยงให้สอดคล้องกับวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่น โดยพิจารณาจากชนิดของปลา นิสัยของปลา ตลอดจนการเพาะขยายพันธุ์ปลา 2. น้ าที่เลี้ยงปลา น้ าเป็นปัจจัยที่มีความส าคัญต่อการเลี้ยงปลา ปลาแต่ละชนิดเจริญเติบโตได้ดีในสภาพของ น้ าแตกต่างกัน ปลาบางชนิดอาศัยอยู่ในน้ าจืด บางชนิดอาศัยในน้ ากร่อย และบางชนิดอาศัยใน น้ าเค็ม นอกจากนี้ต้องศึกษาคุณภาพน้ าทั้งทางด้านกายภาพ ด้านเคมี และด้านชีวภาพ เพราะ คุณภาพน้ ามีผลต่อการเจริญเติบโตของปลามาก 3. วิธีการเลี้ยง ผู้เลี้ยงปลาจ าเป็นต้องรู้จักวิธีการเลี้ยงปลาแต่ละชนิดให้ถูกต้อง เพราะปลาแต่ละชนิดมีวิธีการ เลี้ยง อุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงและการให้อาหารในแต่ละระยะแตกต่างกัน ชนิดของปลาน้ าจืดที่เลี้ยงได้ ปลาน้ าจืดที่เลี้ยงหรือผลิตได้ในปี 2550 ปริมาณ 525,095 ตัน มูลค่ารวม 21,122.0 ล้าน บาท เมื่อจ าแนกเป็นชนิดของปลาที่เลี้ยง พบว่าปลานิลเป็นสัตว์น้ าจืดที่ผลิตได้มากที่สุดมีจ านวนรวม ทั้งสิ้นถึง 213,812 ตัน หรือร้อยละ 40.72 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 6,903.9 ล้านบาท รองลงมา คือ ปลาดุก 136,575 ตัน หรือร้อยละ 26.01 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด มูลค่า 4,710.3 ล้านบาท อันดับสาม คือปลาตะเพียนผลิตได้ 56,288 ตัน หรือร้อยละ 10.72 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด มีมูลค่าประมาณ 1,655.4 ล้านบาท ส่วนสัตว์น้ าอื่นๆ ที่มีความส าคัญ รองตามล าดับไปนั้นได้แสดงไว้ในตารางที่ 1 ดังนี้ ชนิดสัตว์น้ า Type of species ปริมาณ Quantity มูลค่า Value ปลานิล ปลาดุก ปลาตะเพียน 213,812 136,575 56,288 6,903,872 4,710,270 1,655,398


8 ปลาสลิด กุ้งก้ามกราม ปลาสวาย ปลาช่อน ปลาอื่นๆ ปลาแรด ปลาไน 33,978 32,148 21,009 8,102 5,708 4,851 4,136 1,518,872 3,988,856 444,763 560,200 252,642 257,020 136,470 หมายเหตุ ปริมาณ : ตัน , มูลค่า : 1,000 บาท ตารางที่ 1 แสดงปริมาณและมูลค่าสัตว์น้ าจืดที่ส าคัญทางเศรษฐกิจ ปี 2550 ที่มา : กลุ่มวิจัยและวิเคราะห์สถิติการประมง , 2552 จังหวัดที่มีผลผลิตจากการเลี้ยงสัตว์น้ าจืดมากที่สุดในปี พ.ศ.2550 คือ จังหวัดนครปฐม ผลิต ได้40,872 ตัน คิดเป็นร้อยละ 7.78 ของปริมาณการผลิตทั้งประเทศ รองลงมา คือจังหวัด สมุทรปราการ ผลิตได้ 38,505 ตัน หรือร้อยละ 7.33 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด อันดับสาม คือจังหวัดนครสวรรค์ผลิตได้ 26,122 ตัน หรือร้อยละ 4.97 ของปริมาณการผลิตทั้งประเทศ (กลุ่ม วิจัยและวิเคราะห์สถิติการประมง , 2552) จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ มีพื้นที่กว้างขวาง พื้นที่บางแห่งเป็นที่สูง บางแห่งเป็นพื้นที่ราบซึ่งเหมาะสมในการท าการประมงประเภทต่างๆ มูลค่า และผลผลิตทางการประมงส่วนใหญ่จะได้มาจากการเลี้ยงสัตว์น้ าในบ่อ ทั้งในด้านพื้นที่ จ านวนราย ของเกษตรกรและปริมาณผลผลิตที่ได้ เนื่องจากการเลี้ยงปลาประเภทนี้สามารถขยายพื้นที่การผลิต ได้มาก ดังจะน าเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้ในตารางที่ 2 และ ตารางที่ 3 ดังนี้ เนื้อที่ (area) : ไร่ (rai) ในบ่อ (Pond culture) ในนา (Paddy-fieldculture) ในร่องสวน (Ditch culture) ในกระชัง (Cage culture) ฟาร์ม (Farms) หน่วย (Units) เนื้อที่ (Area) ฟาร์ม (Farms) หน่วย (Units) เนื้อที่ (Area) ฟาร์ม (Farms) หน่วย (Units) เนื้อที่ (Area) ฟาร์ม (Farms) หน่วย (Units) เนื้อที่ (Area) 9,496 15,289 6,672.51 3 5 4.10 54 119 26.92 270 2,219 16.97 ตารางที่ 2 แสดงจ านวนราย จ านวนหน่วยการเรียนรู้ที่เลี้ยงและเนื้อที่ของฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ าจืดของ จังหวัดร้อยเอ็ด จ าแนกตามประเภทการเลี้ยง ปี 2550 ที่มา : กลุ่มวิจัยและวิเคราะห์สถิติการประมง , 2552


9 ปริมาณ (Quantity) : ตัน (Ton) , มูลค่า (Value) : 1,000 บาท (Baht) ในบ่อ (Pond culture) ในนา (Paddy-field culture) ในร่องสวน (Ditch culture) ในกระชัง (Cage culture) ปริมาณ มูลค่า ปริมาณ มูลค่า ปริมาณ มูลค่า ปริมาณ มูลค่า 8,219.30 302,903.53 2.00 79.66 31.59 1,279.09 1,239.65 61,088.33 ตารางที่ 3 แสดงผลผลิตของฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ าจืดของจังหวัดร้อยเอ็ด จ าแนกตามประเภท การเลี้ยง ปี 2550 ที่มา : กลุ่มวิจัยและวิเคราะห์สถิติการประมง , 2552 บทสรุป การเลี้ยงปลาน้ าจืดมีประโยชน์ในการผลิตอาหารประเภทโปรตีนจากปลาส าหรับเป็นอาหาร ของประชาชน เพื่อทดแทนปลาในแหล่งน้ าธรรมชาติที่ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ซึ่งประเทศไทยยังมีพื้นที่ ที่เหมาะสมแก่การเลี้ยงปลาน้ าจืดอยู่มาก และตลาดจ าหน่ายปลาน้ าจืดยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก กว้างขวาง จึงควรส่งเสริมให้ประชาชนแต่ละภูมิภาคได้มีการเลี้ยงปลาน้ าจืดกันในรูปแบบต่างๆให้ มากยิ่งขึ้น ค าถามท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 จงตอบค าถามต่อไปนี้ 1. จงอธิบายถึงความส าคัญของการเลี้ยงปลาน้ าจืด ? 2. จงบอกถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการเลี้ยงปลา ? 3. จงอธิบายถึงประวัติของการเลี้ยงปลา ? 4. จงบอกถึงชนิดของสัตว์น้ าจืดที่สามารถเลี้ยงหรือผลิตได้?


10 กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ใบงานที่1 ชื่อใบงาน การส ารวจข้อมูลการเลี้ยงปลาน้ าจืดของชุมชน จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถศึกษาข้อมูลการเลี้ยงปลาน้ าจืดและผลิตภัณฑ์ประมงของชุมชนได้อย่างถูกต้อง 2. สามารถสรุปและประเมินสภาวะการเลี้ยงปลาน้ าจืดและผลิตภัณฑ์ประมงของชุมชนได้ เครื่องมือ /อุปกรณ์ 1. แบบส ารวจข้อมูลการเลี้ยงปลาน้ าจืดของชุมชนจ านวนเท่ากับนักเรียน 2. อุปกรณ์ส าหรับการท าป้ายนิเทศ ล าดับขั้นตอนการปฏิบัติงาน 1. แบ่งนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม และมอบหมายให้ท าการส ารวจการเลี้ยงปลาน้ าจืดและ ผลิตภัณฑ์ประมงของชุมชน 4 แห่งบริเวณรอบสถานศึกษา ตามแบบส ารวจที่ก าหนดให้ โดย ก าหนดให้ส่งภายในเวลา 1 สัปดาห์ ทั้งนี้นอกจากการศึกษาเป็นกลุ่มแล้วนักเรียนทุกคนจะต้องท า แบบส ารวจเพื่อเก็บเป็นชิ้นงานของตนเองส าหรับสะสมในแฟ้มสะสมผลงาน 2. ให้แต่ละกลุ่มน าเสนอผลงานโดยการสรุปผลการส ารวจรายงานแก่เพื่อนในชั้นเรียนพร้อม ทั้งจัดท าป้ายนิเทศแผนภูมิการศึกษา 3. ในการน าเสนอผลงานให้นักเรียนแต่ละกลุ่มประเมินผลชิ้นงานของตนร่วมกับกลุ่มเพื่อน และผู้สอน 4. ส าหรับชิ้นงานรายบุคคลหลังจากที่ผู้สอนคืนผลงานให้แล้ว ให้นักเรียนแต่ละคนบันทึก การประเมินผลระดับชิ้นงานของตน และแลกเปลี่ยนการแสดงทัศนะต่อผลงานระหว่างเพื่อนใน ห้องเรียน เพื่อเก็บสะสมในแฟ้มสะสมผลงาน การวัดและประเมินผล 1. ประเมินผลจากการน าเสนอผลงาน 2. ประเมินผลจากการรายงานและป้ายนิเทศ


11 แบบส ารวจการเลี้ยงปลาน้ าจืด 1. ชื่อหมู่บ้าน………….…….ต าบล………..………อ าเภอ……..….………จังหวัด………….….. 2. จ านวนประชากรในหมู่บ้าน…………….…….คน ชาย…..……..….คน หญิง……..……..คน 3. อาชีพของประชาชนในชุมชน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. ประวัติของชุมชนโดยสรุป ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………….…………………………………………………………………………………… 5. ประวัติการเลี้ยงปลาน้ าจืดของชุมชน (เริ่มจากใคร,อย่างไรและมีการเพิ่มจ านวนผู้เลี้ยงได้อย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. สภาพปัจจุบันของการเลี้ยงปลาน้ าจืดในชุมชน : ชนิดของปลาน้ าจืดและจ านวนครัวเรือนที่เลี้ยง ปลาน้ าจืด 6.1……………………………………………...จ านวน…………………………ครัวเรือน 6.2 ……………………………………………..จ านวน…………………………ครัวเรือน 6.3………………………………………...……จ านวน…………………………ครัวเรือน 6.4……………………………………………...จ านวน………………………….ครัวเรือน 6.5……………………………………………...จ านวน………………………… ครัวเรือน 6.6……………………………………………...จ านวน………………………….ครัวเรือน 7. ลักษณะของการเลี้ยงปลาน้ าจืด 7.1 การเลี้ยงเพื่อบริโภคในครัวเรือน…………………………………..ครัวเรือน 7.2 การเลี้ยงเพื่อการค้า………………..……………………………….….ครัวเรือน


12 8. มูลเหตุจูงใจในการเลี้ยงปลาน้ าจืดของคนในชุมชน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………...... ............................................................................................................................................................... 9. สภาพปัญหาและความต้องการในการเลี้ยงปลาน้ าจืดของชุมชน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 10. รายชื่อสมาชิกในกลุ่ม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………


แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความรู้ของนักเรียนเรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาน้ าจืด ค าแนะน า ให้นักเรียนอ่านค าถามแล้วกากะบาด (X) ทับข้อค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค าตอบเดียว 1. ปลาช่วยรักษาสมดุลของสารอินทรีย์ในแหล่งน้ า ให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมไม่เป็นอันตรายต่อ สภาพแวดล้อม ข้อความดังกล่าวเป็นความส าคัญของปลาในข้อใด ? ก. ก าจัดของเสียและสิ่งปฏิกูล ข. ก าจัดแมลงและวัชพืช ค. เป็นตัวอย่างในการศึกษา ง. เพื่อการพักผ่อน 2. จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเทศใดที่มีการเลี้ยงปลาเป็นชาติแรก ? ก. อียิปต์โบราณ ข. จีน ค. โรมัน ง. ไทย 3. ในน้ ามีปลา ในนามีข้าว เป็นค ากล่าวของใคร ? ก. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ข. พ่อขุนรามค าแหงมหาราช ค. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ง. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช 4. สาเหตุที่ปลาในแหล่งน้ าธรรมชาติลดน้อยลงนั้นมาจากสาเหตุในข้อใดมากที่สุด ? ก. การจับปลาขึ้นมามากเกินก าลังการผลิตทดแทน ข. สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม ค. การเพิ่มขึ้นของจ านวนประชากร ง. การจับสัตว์น้ าที่ผิดวิธี 5. แนวโน้มในการเพาะเลี้ยงปลาน้ าจืดของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ? ก. จะลดน้อยลง ข. จะเพิ่มขึ้น ค. จะคงที่


14 ง. ไม่สามารถคาดการณ์ได้ 6. ปลามีประโยชน์ในด้านใดมากที่สุด ? ก. เลี้ยงดูเล่นเป็นปลาสวยงาม ข. ใช้ในการถ่วงดุลธรรมชาติ ค. ใช้ศึกษาทางการแพทย์และพันธุ์กรรม ง. เป็นแหล่งอาหารประเภทโปรตีน 7. ผลผลิตจากการเลี้ยงปลาน้ าจืดของประเทศไทยในปี พ.ศ.2550 ชนิดใดที่มีปริมาณมากที่สุด ? ก. ปลาสวาย ข. ปลานิล ค. ปลาตะเพียนขาว ง. ปลาบู่ 8. ข้อใดคือข้อมูลเบื้องต้นที่ส าคัญที่ผู้เลี้ยงปลาควรจะรู้? ก. วิธีการเลี้ยง ข. ชนิดปลาที่เลี้ยง ค. น้ าที่เลี้ยง ง. ถูกทุกข้อ 9. ปลาน้ าจืดของไทยชนิดใดที่มีความส าคัญทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ? ก. ปลาสลิด ปลาไน ข. ปลาตะเพียนขาว ปลาจีน ค. ปลาช่อน ปลาดุก ง. ปลาบู่ ปลาแรด 10. ในแหล่งน้ ากร่อยควรจะเลี้ยงปลาชนิดใดจึงเหมาะสมมากที่สุด ? ก. ปลากะพงขาว ข. ปลายี่สกเทศ ค. ปลาแรด ง. ปลานิล


แผนการเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะพันธุ์ 1) เนื้อหา 1. เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะพันธุ์ - เครื่องสูบน้ า ระบบกรองน้ า ระบบอากาศและปั๊มอากาศ - อุปกรณ์ผสมพันธุ์ปลา อุปกรณ์ฟักไข่ปลา อุปกรณ์จับปลา - อุปกรณ์ในการล าเลียงขนส่ง - ยาและสารเคมี - อุปกรณ์ในการเตรียมบ่อปลา - วัสดุอุปกรณ์อาหารปลา และอื่น ๆ 2) ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังน าทาง : จุดประสงค์น าทาง 1. สรุปประเภทเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะพันธุ์ปลาได้ 2. บอกลักษณะของเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะพันธุ์ปลาได้ 3. ตระหนักถึงคุณค่าและความส าคัญของเครื่องมือและอุปกรณ์ในการเพาะพันธุ์ปลา 4. เสนอแนวคิดในการปรับประยุกต์เครื่องมือและอุปกรณ์ในการเพาะพันธุ์ในเหมาะสมกับ สภาพแวดล้อมของชุมชน 3) กิจกรรมการเรียนการสอน 1. การแบ่งกลุ่มเพื่อศึกษาเรียนรู้โดยเทคนิค CIPPA 2. การแบ่งกลุ่มเพื่อศึกษาภูมิปัญญาของชุมชนเกี่ยวกับเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ การเพาะพันธุ์ปลา 3. การน าเสนองาน 4. การอภิปราย การบรรยาย 4) สื่อการเรียนการสอน 1. อุปกรณ์สื่อของจริงที่ใช้ในการเพาะพันธุ์ปลา 2. เอกสารใบงานที่ 3 เรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ในการเพาะพันธุ์ 3. เอกสารใบงานที่ 4 เรื่องการศึกษาภูมิปัญญาชุมชนเกี่ยวกับเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ เกี่ยวข้องกับการเพาะพันธุ์ปลา


16 5) การวัดประเมินผล 1. การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 2. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มอบหมาย 3. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนที่ 2 4. การท าบันทึกการเรียนรู้ (Learning Log)


หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะพันธุ์ มนุษย์ได้พยายามศึกษาค้นคว้าวิธีการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการเพาะพันธุ์สัตว์น้ าส าหรับ ตอบสนองความต้องการในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เลี้ยงเพื่อการบริโภค เพื่อความเพลิดเพลิน เพื่อ การศึกษา และเพื่อการอนุรักษ์ โดยใช้วิธีการเพาะขยายพันธุ์และอนุบาลดูแลจนกว่าจะสามารถ ด ารงชีวิตในสภาพแวดล้อมได้ และในกระบวนการของการเพาะขยายพันธุ์นั้น เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นสิ่งจ าเป็นส าหรับการเพาะพันธุ์ ดังนั้นในการเพาะพันธุ์ที่ดี นักเพาะพันธุ์จะต้องจัดเตรียม อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมก่อนการเพาะพันธุ์ ส าหรับอุปกรณ์ที่มีความจ าเป็นที่จะต้องใช้มีดังนี้ (ธรรมนูญ, 2535) 1. เครื่องสูบน้ า เป็นปัจจัยที่ส าคัญในการน าน้ าเข้าบ่อปลาหรือระบายน้ าออก เครื่องสูบน้ า มีอยู่หลายแบบ สามารถแบ่งตามลักษณะการท างานดังนี้ 1.1 เครื่องสูบน้ าแบบเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง เป็นเครื่องสูบน้ าที่บังคับให้น้ าไหลเพื่อ เปลี่ยนระดับความสูง ส่วนส าคัญของเครื่องสูบน้ าแบบนี้ มี 2 ส่วนคือ ใบพัดและห้องเครื่องสูบ ซึ่งมี ช่องกระจายน้ าอยู่รอบใบพัด ท าหน้าที่เปลี่ยนพลังงานความเร็วของน้ าเป็นพลังงานแรงดันเครื่องสูบ น้ าลักษณะนี้ เช่น เครื่องสูบน้ าแบบหอยโข่ง 1.2 เครื่องสูบน้ าแบบหมุนต้อนน้ า ชนิดที่ท าให้น้ าเคลื่อนที่โดยตรงด้วยการหมุนของ ใบพัดต้อนน้ าร่วมกับเพลาจากเครื่องยนต์แล้วกวาดหรือตักน้ าจากทางดูดไปออกที่ปากทางจ่าย เช่น เครื่องสูบท่อพญานาค 1.3 เครื่องสูบน้ าแบบแทนที่ เป็นเครื่องมือที่มีลูกสูบหรือส่วนประกอบที่มีหน้าที่คล้าย ลูกสูบ หรือเป็นเครื่องที่ใช้ไดอะแฟรม โดยดูดน้ าเข้าห้องเครื่องในจังหวะดูด แล้วปล่อยน้ าออกใน จังหวะอัด ท างานโดยการเคลื่อนที่กลับไปกลับมาของลูกสูบหรือไดอะแฟรมตามแนวเส้นตรง เช่น สูบ ชักน้ าทั่ว ๆ ไป 2. ระบบกรองน้ า การเพาะเลี้ยงปลาภายใต้การควบคุมควรจะมีระบบกรองน้ า เพื่อ ควบคุมปรับคุณสมบัติของน้ าให้เหมาะสม โดยทั่ว ๆ ไปในการเพาะเลี้ยงปลาจะต้องมีมีแหล่งน้ าเก็บ กักไว้ใช้ ซึ่งน้ าเหล่านี้ก่อนน าไปใช้ควรจะปรับสภาพต่าง ๆ ได้แก่ 2.1 การเพิ่มอากาศ ซึ่งอาจใช้ปั๊มหรือใบพัดเพิ่มอากาศลงไปในน้ า เพื่อเพิ่มออกซิเจน ท าให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนียออกไปจากน้ า และรวมทั้งท าให้น้ าอุ่นหรือเย็นได้อีกด้วย ในการออกแบบนั้นควรก าหนดต าแหน่งให้เหมาะสม 2.2 การกรองด้วยวิธีกล เป็นการลดตะกอนของแข็งต่าง ๆ ออกจากน้ าด้วยการใช้วัสดุ บางอย่าง เช่น ทราย กรวด ถ่านเปลือกหอย โดยให้น้ าผ่านวัสดุเหล่านี้ การกรองด้วยวิธีนี้ส่วนมาก


18 พวกอินทรีย์มักจะถูกกรองไปด้วย ส าหรับพวกที่ละลายในน้ าอาจสูญเสียไปบ้าง เช่น การกรองด้วย ทรายหยาบ (เบอร์ 30) ในอัตรา 3.3 ลิตร/วินาที สามารถขจัดสารแขวนลอยได้ 70 – 80 % ลด แอมโมเนียได้ 15 % 2.3 การตกตะกอน ให้ผลคล้ายวิธีกล แต่สามารถขจัดของแข็งได้ 70 % ลดแอมโมเนีย ประมาณ 20 % 3. ระบบอากาศและปั๊มอากาศ การเป่าอากาศลงในน้ ามีความจ าเป็นมาก เพื่อเพิ่ม ออกซิเจนให้แก่ปลา โดยเฉพาะในขณะที่ท าการฟักปลา อนุบาลปลา หรือฟักไข่ปลา จ าเป็นจะต้องมี ระบบปั๊มอากาศที่เพียงพอ การเพิ่มอากาศให้กับน้ าจะใช้เครื่องปั๊มอากาศซึ่งมีหลายแบบหลายขนาด ขนาดเล็กๆท างาน โดยไดอะแฟรม บางชนิดท างานโดยระบบลูกสูบคล้ายกับสูบของเครื่องยนต์ ลมหรืออากาศจาก เครื่องปั๊มจะผ่านท่ออากาศ ส่วนปลายท่ออาจมีหัวทราย หรือลูกหินฟองอากาศท าให้เกิดฟองน้ าเล็ก ๆ ในน้ าเพื่อเพิ่มอากาศ 4. อุปกรณ์ผสมพันธุ์ปลา อุปกรณ์ต่างๆในการผสมพันธุ์ปลามีหลายชนิด บางชนิดสามารถ ดัดแปลงหรือเพิ่มเติม ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของปลา 4.1อุปกรณ์ผสมพันธุ์ปลาแบบช่วยธรรมชาติ 4.1.1 วัสดุส าหรับไข่ติด เช่น สาหร่าย เชือกฟาง รากผักตบชวา ใช้วัสดุเหล่านี้ให้ไข่ ปลาเกาะติดขณะวางไข่ เช่น ปลาไน ปลาทอง 4.1.2 บ่อเพาะปลา อาจเป็นบ่อคอนกรีตหรือบ่อดิน 4.1.3 กรงผสมพันธุ์ เพื่อแยกพ่อแม่ปลาออกจากไข่หลังการผสม 4.2อุปกรณ์ในการผสมเทียมปลา ประกอบด้วย 4.2.1 ต่อมใต้สมอง ใช้เพื่อกระตุ้นให้ไข่ปลาแก่ นิยมใช้จากต่อมของปลาไน 4.2.2 ฮอร์โมนสกัดและฮอร์โมนสังเคราะห์ ใช้เพื่อกระตุ้นให้ไข่ปลาแก่ เช่น Suprefact , H.C.G. 4.2.3 อาซีโตน หรือแอลกอฮอล์ ใช้ในการแช่เพื่อเก็บรักษาต่อมใต้สมอง 4.2.4 อุปกรณ์ผ่าหัวปลาเพื่อเก็บต่อมใต้สมอง ประกอบด้วยเขียงไม้ มีด ปากคีบ แหลมปลายโค้ง คีมคีบเนื้อเยื่อ ส าลี 4.2.5 สวิงหรือเปลผ้าไนล่อน ส าหรับใช้จับพ่อแม่พันธุ์ปลา 4.2.6 หลอดบดเนื้อเยื่อ ใช้บดต่อมใต้สมองให้ละเอียดและใช้เป็นที่ผสมฮอร์โมนกับ น้ ากลั่นก่อนที่จะดูดไปฉีดให้แก่ปลาที่ต้องการ 4.2.7 เครื่องเหวี่ยงหนีศูนย์ถ่วง ใช้ส าหรับเหวี่ยงต่อมใต้สมองที่ผสมกับน้ ากลั่นให้น้ า ใส เพื่อจะได้ใช้ฉีดปลาต่อไป


19 4.2.8 หลอดฉีดยาและเข็มฉีดยา ใช้ส าหรับฉีดส่วนผสมของฮอร์โมนกับน้ ากลั่นเข้าสู่ ตัวปลา ควรใช้หลอดฉีดที่มีความจุไม่เกิน 2 ซี.ซี. ใช้เข็มเบอร์ 25 หรือ 26 เพราะปลามีขนาดเล็ก ฮอร์โมนที่ฉีดเข้าสู่ตัวปลาแต่ละครั้ง ไม่ควรมีปริมาณมากเกินไป คือไม่เกิน 1 ซี.ซี. 4.2.9 น้ ากลั่น ใช้เพื่อละลายต่อมใต้สมองหรือฮอร์โมนสกัดก่อนที่จะท าการฉีดเข้าสู่ ตัวปลา ควรเป็นน้ ากลั่นบริสุทธิ์ 4.2.10 เครื่องชั่งขนาดไม่เกิน 15 กิโลกรัม เพื่อใช้ชั่งตัวปลา ในการค านวณโดส ส าหรับการฉีดฮอร์โมน 4.2.11 ถาดเคลือบชามแก้วหรือกาละมังพลาสติกใช้ส าหรับผสมระหว่างไข่กับ น้ าเชื้อ 4.2.12 ขนไก่ ใช้ส าหรับคนไข่และน้ าเชื้อให้ผสมกันโดยทั่วถึง 5. อุปกรณ์ฟักไข่ปลา อุปกรณ์ต่างๆในการฟักไข่ปลามีหลายชนิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการฟักไข่ปลา ส าหรับ อุปกรณ์การฟักไข่ที่นิยมได้แก่ 5.1 กระชังฟักไข่ ลักษณะกระชังเป็นรูปสี่เหลี่ยม ท าด้วยผ้าโอล่อนแก้ว เมื่อต้องการจะ ฟักไข่ปลาน ากระชังไปขึงในบ่อเพาะฟัก การฟักไข่อาจจะต้องเพิ่มอากาศจากเครื่องปั๊ม 5.2 กรวยฟักไข่ปลา รูปกรวยท าเป็นโครงเหล็ก ขึงด้วยผ้าโอล่อนแก้วด้านล่างของกรวย อาจต่อท่อน้ าให้น้ าไหลผ่าน หรือติดลูกหินฟองอากาศ เพื่อมิให้ไข่ตกตะกอนซ้อนกัน ท าให้ไข่ปลา ได้รับออกซิเจนเพียงพอและมีเคลื่อนไหวตลอดเวลาที่เพาะฟัก 5.3 ถังฟักไข่ปลา ตัวถังอาจจะท าจากถังไฟเบอร์หรือถังคอนกรีต ระบบน้ าในถังจะใช้ ระบบน้ าหมุนภายในถัง เพื่อให้ไข่ปลาเคลื่อนไหว หรืออาจต่อท่ออากาศพ่นอากาศก็ได้ 5.4 กระจก ใช้ฟักไข่ปลาบางชนิดที่ต้องการดูแลใกล้ชิด ปริมาณไม่มาก เช่น ปลาทอง 6. อุปกรณ์จับปลา ในการเพาะเลี้ยงปลาจ าเป็นจะต้องเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการจับ ปลาไว้ให้พร้อม อุปกรณ์เหล่านี้ประกอบด้วย 6.1 ถังใส่ปลา อาจเป็นถังสังกะสีมีหูหิ้วเพื่อใช้ล าเลียงลูกปลา พ่อแม่พันธุ์ปลา 6.2อวนจับลูกปลา เป็นอวนตาเล็กและนิ่มใช้จับลูกปลา 6.3อวนจับปลาใหญ่ เป็นอวนตาใหญ่ใช้ส าหรับจับพ่อแม่พันธุ์ปลา 6.4สวิงตาขนาดต่าง ๆ ใช้จับหรือตักปลา 6.5 กระชังขังปลา ใช้เพื่อพักปลาแยกก่อนท าการเพาะเลี้ยง ตัวกระชังท าจากตาข่าย รูปสี่เหลี่ยม 6.6 รถล าเลียงปลา ใช้เพื่อล าเลียงลูกปลาและพ่อแม่พันธุ์ปลา


20 7. อุปกรณ์ในการล าเลียงขนส่งลูกปลา อุปกรณ์ที่จ าเป็นส าหรับการล าเลียง ขนส่งลูกปลา ประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น 7.1 ถังออกซิเจน เป็นถังเหล็กหนาบรรจุออกซิเจนมีอยู่หลายขนาด ที่ปากท่อติดมาตร ความดัน ประตูบังคับปล่อยแก๊สผ่านท่อพลาสติก 7.2 ถุงพลาสติก ใช้บรรจุปลาพร้อมออกซิเจนเพื่อการขนส่ง ถุงพลาสติกที่ใช้ควรเป็น ถุงขนาดใหญ่ 20 30” 7.3 ถังใส่ปลา กล่องโฟม ใช้ใส่พันธุ์ปลาเพื่อการขนส่งล าเลียง 7.4สวิงหรือถ้วย ส าหรับการตักและนับลูกปลา 7.5 กาละมังใส่ลูกปลา ใช้ในการใส่ลูกปลาเพื่อท าการนับ 8. ยาและสารเคมี ในการเพาะเลี้ยงปลามียาและสารเคมีหลายชนิดที่จ าเป็นในการเพาะเลี้ยง ซึ่งควร จัดเตรียมไว้ เมื่อมีความจ าเป็นจะได้น ามาใช้ได้ การใช้ยาและสารเคมีควรใช้ให้ถูกกับชนิดของเชื้อโรค ปัจจุบันมียาและสารเคมีหลายชนิดที่สามารถน ามาใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ า ดังจะแยกตามชนิดของ เชื้อโรคและศัตรูดังนี้ 8.1 ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น ยาเหลือง ด่างทับทิม ออริโอมัยซิน ซัลฟาไดอะซีน เทอรามัยซิน 8.2 ยาฆ่าเชื้อรา เช่น มาลาไคท์กรีน เมททิลลีนบลู 8.3 ยาฆ่าปรสิต เช่น ดิพเทอร์เร็กซ์ ฟอร์มาลิน จุนสี โซเดียมคลอไรด์ 9. อุปกรณ์ในการเตรียมบ่อปลา ประกอบด้วย 9.1 โล่ติ้น ใช้ฆ่าศัตรูปลาในพื้นบ่อที่มีน้ าอยู่เพียงเล็กน้อย 9.2 ปูนขาว ใช้ส าหรับฆ่าเชื้อในบ่ออนุบาลที่เป็นบ่อดิน ใช้ปรับความเป็นกรดเป็นด่าง ของน้ าในบ่อเลี้ยงปลา 9.3 ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นสิ่งช่วยให้เกิดอาหารธรรมชาติในบ่อเลี้ยง และบ่ออนุบาล 10. วัสดุอุปกรณ์อาหารปลา 10.1 อาหารลูกปลา ก่อนเพาะพันธุ์ปลาจ าเป็นจะต้องเตรียมอาหารลูกปลาให้ พร้อม เช่น เพาะลูกไรน้ า ไข่แดง ร าละเอียด ฯลฯ 10.2 เครื่องบดอาหาร มักจะใช้เครื่องบดเนื้อเพื่อเตรียมอาหารให้ลูกปลาวัยอ่อน 10.3 เครื่องอัดอาหารเป็นแผ่น อาหารปลาบางชนิด ถ้าน ามาตากแห้งอัดแผ่นจะเหมาะ ในการใช้เลี้ยงลูกปลาขนาด 5 – 10 เซนติเมตร


21 11. อุปกรณ์เบ็ดเตล็ด ที่มีความจ าเป็น เช่น 11.1 สายไฟ โคมไฟ 11.2 อุปกรณ์ช่างไม้ 11.3 จอบ มีดหวดหญ้า 11.4 สายยาง 11.5 รถเข็น 11.6 เชือก ฯลฯ บทสรุป ในการเพาะพันธุ์สัตว์น้ าชนิดต่างๆให้ได้ผลดีนั้นผู้ท าการเพาะเลี้ยงมีความจ าเป็นที่จะต้อง จัดเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆที่จ าเป็นไว้อย่างพอเพียง ซึ่งการที่จะต้องใช้เครื่องมือและ อุปกรณ์ชนิดต่างๆมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของสัตว์น้ าที่ท าการเพาะเลี้ยง และขนาด ของฟาร์มที่ด าเนินการ โดยผู้เพาะเลี้ยงจ าเป็นที่จะต้องทราบถึงวิธีในการใช้และการบ ารุงรักษา เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆที่ถูกวิธี เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดเสียหายในขณะการใช้งานและ สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบบประเมินผลท้ายหน่วยการเรียน 1. จงอธิบายถึงความส าคัญและความจ าเป็นของอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการเพาะพันธุ์ 2. นายกานต์ มีความต้องการที่จะเพาะขยายพันธุ์ปลาสวายแบบผสมเทียม นายกานต์ ควร จะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จ าเป็นต้องใช้อย่างไรบ้าง จงอธิบาย 3. นายการุณ ประสบปัญหาเรื่องการจัดอุปกรณ์ในการล าเลียงขนส่งลูกปลาเพราะขาด ความรู้ความเข้าใจถึงลักษณะและประเภทของอุปกรณ์ที่จ าเป็นต้องใช้ เขาจึงมาขอค าแนะน าจาก เกษตรต าบล หากนักศึกษาเป็นเกษตรต าบลจะให้ค าแนะน าแก่นายการุณอย่างไร จงอธิบาย


แผนการเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์และการดูลักษณะเพศ 1) เนื้อหา 1. การดูลักษณะเพศปลา 2. การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ปลา 3. การดูแลพ่อแม่พันธุ์ปลา 4. ระยะพัฒนาการของไข่และน้ าเชื้อ 2) ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังน าทาง : จุดประสงค์น าทาง 1. อธิบายลักษณะทางเพศของปลาได้ 2. อธิบายลักษณะที่ดีของพ่อแม่พันธุ์ปลาได้ 3. คัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ได้ 4. บรรยายการดูแลพ่อแม่พันธุ์ได้ 5. ปฏิบัติการดูแลพ่อแม่พันธุ์ได้ 6. พัฒนาความสนใจในการขยายพันธุ์ปลา 3) กิจกรรมการเรียนการสอน 1. แบ่งกลุ่มศึกษาเรียนรู้ด้วยเทคนิค Jicsaw ii 2. แบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติการคัดเลือกลักษณะทางเพศของพ่อแม่ปลา 3. การศึกษาวีดีทัศน์เรื่อง การเลี้ยงดูพ่อแม่พันธุ์ ความยาว 15 นาที 4. ศึกษา วีดีทัศน์เรื่องพัฒนาการของไข่และน้ าเชื้อ ความยาว 20 นาที 5. การน าเสนองาน การอภิปราย และการบรรยายสรุป 4) สื่อการเรียนการสอน 1. วีดีทัศน์เรื่องพัฒนาการของไข่และน้ าเชื้อ ความยาว 20 นาที 2. วีดีทัศน์เรื่อง การเลี้ยงดูพ่อแม่พันธุ์ ความยาว 15 นาที 3. เอกสารใบงานที่ 5 เรื่อง การศึกษาลักษณะทางเพศของปลา 5) การวัดประเมินผล 1. การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 2. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มอบหมาย 3. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนที่ 3 4. การท าบันทึกการเรียนรู้ (Learning Log)


23 หน่วยการเรียนรู้ที่3 การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์และการดูลักษณะเพศ การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ปลาเป็นสิ่งส าคัญอย่างหนึ่งในการเพาะเลี้ยงปลา ผู้เลี้ยงจะต้อง คัดเลือกแม่พันธุ์ได้ว่าตัวใดสามารถน าไปเพาะพันธุ์แล้วจะได้ผล มีอยู่บ่อยครั้งที่นักผสมพันธุ์ปลา ประสบความล้มเหลว เนื่องจากไม่สามารถคัดเลือกพันธุ์ปลาได้ ปลาจะไม่ขยายพันธุ์วางไข่ นั้น หมายถึงว่า การจัดเพาะขยายพันธุ์ครั้งนั้นล้มเหลว อย่างไรก็ตาม การกระท าการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ นั้นขึ้นอยู่กับสภาพการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ด้วย ถ้าเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์อย่างถูกวิธี ย่อมจะได้พ่อแม่พันธุ์ที่ดี ด้วย การดูลักษณะเพศปลา ผู้เพาะพันธุ์ปลาจะต้องจ าแนกเพศปลาได้ ปลาในระยะเล็ก ๆ สังเกตได้ยากในการแยกเพศ แต่เมื่อโตเต็มที่ก็สามารถจ าแนกได้ โดยสามารถจ าแนกได้ 2 แบบ คือ (สุภาพร, 2542) 1. ลักษณะเพศภายใน (Primary characteristic) ลักษณะเพศภายในที่บอกถึงลักษณะ เพศ ได้แก่รังไข่ (Ovary) ในปลาตัวเมีย และอัณฑะ (Testis) ในปลาตัวผู้ แต่ปลาบางชนิดจะมีอวัยวะ เหล่านี้ทั้ง 2 เพศในตัวเดียวกัน เรียกว่า กะเทย (Hermaphrodite) 2. ลักษณะภายนอก (Secondary characteristic) ในการคัดเลือกเพศปลา และ เพาะพันธุ์ปลาส่วนใหญ่จะสังเกตจากลักษณะภายนอก โดยสังเกตจากลักษณะดังต่อไปนี้ 2.1 ล าตัว ตามปกติตัวเมียจะอ้วนป้อมกว่าตัวผู้ หรือมีความกว้างมากกว่าเพศผู้ เช่น ปลาตะเพียนขาว ปลาตะเพียนทอง ปลาสลิด ปลาไน ปลากระดี่และปลาหมอไทย 2.2 ครีบ ลักษณะของครีบแตกต่างกันในปลาแต่ละชนิด เช่น ก. ปลาสลิด ลักษณะครีบของตัวผู้จะยาวกว่าตัวเมีย ข. ปลานวลจันทร์ทะเล ครีบหลังและครีบก้นของปลาตัวผู้จะยาวเป็นพิเศษ ค. ปลาดุก ครีบหูของปลาดุกเพศผู้จะยาวกว่าปลาเพศเมีย 2.3 สี ตามธรรมชาติโดยทั่วๆ ไป ปลาตัวผู้จะมีสีสรรสวยงามกว่าตัวเมีย ในปลาสลิด ปลานกแก้ว ปลากัดตัวผู้จะมีสีสวยงามกว่าตัวเมีย ในปลานิล ปลาตะเพียนขาวตัวผู้จะมีสีที่ปลายครีบ เข้มกว่าตัวเมีย ปลาแรดตัวเมียมีจุดด าตรงครีบหู 2.4 ส่วนท้อง ตามปกติในฤดูผสมพันธุ์ ปลาตัวเมียจะมีไข่เจริญเติบโตซึ่งท าให้ส่วนท้อง อูมเป่งด้วย เช่น ปลาเฉา ปลาซ่ง ปลาเล่ง ปลายี่สก ปลาตะเพียนฯลฯ


24 2.5 ขนาดล าตัว ปลาบางชนิดมีอัตราการเจริญเติบโตแตกต่างกันระหว่างเพศ ส่วนมาก ปลาตัวเมียมีขนาดโตกว่าตัวผู้ เช่น ปลาหมอไทย ปลาตะเพียนขาว ปลาไน ส่วนปลาที่ตัวผู้มีขนาดโต กว่าตัวเมีย เช่น ปลานิล ปลาหมอเทศ 2.6 ตุ่มสิว (Pearl organ) ส่วนใหญ่จะพบในฤดูผสมพันธุ์โดยเฉพาะปลาในสกุล Carp เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ถ้าจับบริเวณส่วนแก้ม หรือด้านในของครีบหู จะรู้สึกสากมือ ถ้าสังเกตส่วนนี้จะมี เม็ดเล็ก ๆ เรียงเป็นกลุ่ม แสดงให้เห็นว่าเป็นปลาตัวผู้ 2.7 หนวด ปลาตัวผู้จะมีหนวดยาวกว่าปลาตัวเมีย เช่น ปลาดุก ปลาแขยง (Cat fish) 2.8 ติ่งเพศ (Urogenital papilla) ปลาบางชนิดจะมีติ่งออกมาตรง Urogenital aperture ตามปกติปลาตัวผู้จะมีติ่งยาวค่อนข้างแหลม แต่ในปลาเพศเมียค่อนข้างสั้น เช่น ปลาดุก ปลานิล การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ปลา 1. การคัดเลือกแม่พันธุ์ปลา ควรคัดเลือกจากแม่ปลาที่มีไข่แก่พร้อมผสมพันธุ์ ซึ่งมีลักษณะ ภายนอกที่สังเกตได้ดังต่อไปนี้ 1.1 ส่วนท้องกลมนิ่มและบวมเป่ง ตั้งแต่ครีบหูไปจนถึงรูเปิดของช่องเพศ 1.2 รูเปิดของช่องเพศบวมนูนมีสีแดง และกว้างกว่าปลาตัวผู้ 2. การคัดเลือกพ่อพันธุ์ปลา ควรคัดเลือกพ่อปลาที่มีน้ าเชื้อสมบูรณ์พร้อมผสมพันธุ์ ซึ่งมี ลักษณะภายนอกที่สังเกตได้ดังนี้ 2.1 มีร่างกายแข็งแรงปราดเปรียว ไม่มีโรคพยาธิเบียดเบียน 2.2 เมื่อใช้มือกดที่ท้องเบา ๆ จะมีน้ าเชื้อสีขาวขุ่นไหลออกมาทางช่องเพศ เช่น ปลาไน ปลาจีน ปลายี่สกเทศ ปลาตะเพียนขาว ปลาสวาย ส่วนในปลาดุกมีผนังท้องแข็งน้ าเชื้อจะไม่ไหล ออกมา 2.3 ปลาบางชนิดแผ่นกระดูกปิดเหงือก และครีบหูจะสากมือเมื่อสัมผัส เช่น ปลาไน ปลา จีน ปลายี่สกเทศ ปลาตะเพียนขาว ปลาทอง ปลากัด การดูแลพ่อแม่พันธุ์ปลา การที่จะให้น้ าเชื้อ และไข่ของพ่อแม่พันธุ์ปลาเกิดการพัฒนาอย่างปกติ ต้องมีการจัดสภาพที่ อยู่อาศัย หรือบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ให้มีสภาพคล้ายคลึงกับแหล่งที่อยู่อาศัยในธรรมชาติของปลา เช่น ขนาดความลึกของบ่อ ความหนาแน่นของปลาในบ่อ อาหารที่เลี้ยง ตลอดจนสภาพของน้ าในบ่อเลี้ยง การดูแลพ่อแม่พันธุ์มีข้อพิจารณาดังนี้ (ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา 5, 2543) 1. ขนาดและความลึกของบ่อ การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาขนาดใหญ่ ซึ่งมีน้ าหนักตัวมากกว่า 3 กิโลกรัม ควรเลี้ยงในบ่อที่มีพื้นที่ไม่ต่ ากว่า 200 ตารางเมตร และความลึกระหว่าง 1 – 2 เมตร


25 ส าหรับขนาดของบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาทั่วไป เช่น ปลาดุกอุย ปลาไน ปลายี่สกเทศ ควรมีขนาด 800 – 1,600 ตารางเมตร ความลึก 1.5 เมตร 2. ความหนาแน่นและขนาดของพ่อแม่พันธุ์ปลา ควรปล่อยพ่อแม่ปลาที่มีขนาดใกล้เคียงกัน ถ้าพ่อแม่พันธุ์มีขนาดต่างกัน ปลาขนาดเล็กมักได้รับอาหารไม่เพียงพอ เพราะปลาขนาดใหญ่กิน อาหารได้เร็วกว่า และปลาขนาดเล็กจะไม่เข้าใกล้ปลาขนาดใหญ่ในขณะกินอาหาร พ่อแม่พันธุ์ปลาที่มี ขนาด 1 – 3 กิโลกรัม ปล่อย 500 – 1,000 ตัวต่อบ่อ 1 ไร่ ถ้าเป็นปลาขนาด 3 – 6 กิโลกรัม ปล่อย 50 – 100 ตัว ต่อบ่อ 1 ไร่ หรือปล่อยพ่อแม่พันธุ์ปลาได้มากขึ้น ถ้าปล่อยปลาต่างชนิดที่มีนิสัยการกิน อาหารต่างกัน 3. อาหาร ต้องให้อาหารพ่อแม่พันธุ์อย่างเพียงพอ โดยสังเกตจากปริมาณอาหารที่พ่อแม่ พันธุ์กินหมดภายในเวลา 15 นาที อาหารมีผลโดยตรงต่อการเจริญของไข่และน้ าเชื้อ ทั้งนี้เพราะ อาหารเป็นแหล่งพลังงาน ปกติปลาต้องกินอาหารประมาณร้อยละ 2 – 3 ของน้ าหนักตัวต่อวัน 4. น้ า น้ าในบ่อพ่อแม่พันธุ์ ควรมีการถ่ายเทออกอย่างน้อย 1 ส่วนใน 3 ส่วน ทุก ๆ 1 เดือน เพื่อลดของเสียที่ปะปนอยู่ในน้ าให้มีสภาพดีและมีออกซิเจน เพียงพอตลอดเวลา พัฒนาการของไข่และน้ าเชื้อ ไข่ปลามีลักษณะแตกต่างกันมากมายทั้งรูปร่าง สี และขนาดตามชนิดของปลา อย่างไรก็ตาม ไข่ปลาทุกชนิดมีส่วนประกอบส าคัญ 3 ประการคือ 1. นิวเคลียสและไซโตพลาสซึ่ม มีลักษณะเป็นจุดเล็กในไข่ปลาบางชนิดเช่น ไข่ปลาดุก ปลา จีน จะเห็นเป็นสีเหลืองชัดเจน มีเมื่อเกิดการปฏิสนธิส่วนนี้จะแบ่งเป็นเซลล์ชีวิตต่อไป 2. โยล์ค เป็นส่วนของไข่แดงซึ่งท าหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานของไข่ 3. เปลือกไข่ เป็นส่วนที่ห่อหุ้มไข่ไม่ให้ได้รับอันตราย ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ไข่แต่ให้ออกซิเจน และอาหารซึมผ่านได้ ที่เปลือกไข่จะมีรูขนาดเล็กเพื่อเป็นทางเข้าของเชื้อตัวผู้เรียกว่า Micropyle เปลือกไข่ micropyle นิวเคลียสและไซโตพลาสซึ่ม โยล์ค ภาพที่ 1 แสดงส่วนประกอบของไข่ปลา


26 พัฒนาการของไข่ : การผลิตไข่ของปลาจะเป็นไปตามฤดูกาล โดยจะมีการวางไข่ในฤดูฝน โดยมีการพัฒนาหรือการเจริญเติบโตซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 8 ขั้น ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Virgin : รังไข่มีขนาดเล็กแนบติดกระดูกสันหลัง โปร่งแสงเล็กน้อย สีเนื้อ ยัง มองไม่เห็นเม็ดไข่ด้วยตาเปล่า ขั้นที่ 2 Maturing virgin : รังไข่มีความโปร่งแสงขึ้นเล็กน้อย สีเนื้อเข้มขึ้น ความยาว ประมาณครึ่งหนึ่งของช่องท้อง อาจมองเห็นเม็ดไข่โดยใช้เลนส์ขยายส่องดู ขั้นที่ 3 Developed ovary reddis – white : รังไข่มีสีแดง-ส้ม-ขาว มองเห็นเม็ดไข่ได้ ชัดเจนขึ้น รังไข่มีความยาวประมาณ 2 ใน 3 ของความยาวของช่องท้อง ขั้นที่ 4 Developing : รังไข่ยังมีสีขุ่น มีเส้นโลหิตฝอยมาเลี้ยงมากขึ้น มองเห็นชัดเจน รัง ไข่เติบโตขยายออกทางด้านข้างมากขึ้น กินเนื้อที่ประมาณครึ่งหนึ่งของช่องท้อง ขั้นที่ 5 Gravid : รังไข่เติบโตเต็มช่องท้อง ไข่กลมและโปร่งแสง มีแตกต่างกันตามชนิด ของปลาเช่น เหลือง เทา หรือน้ าตาลด า ขั้นที่ 6 Sprawing : ไข่ปลาจะเรียงตัวกันอย่างหลวม ๆ ภายในรังไข่ เพียงรีดเบา ๆจะมี เม็ดไข่หลุดออกมา ไข่มีความโปร่งแสงมากขึ้น ยกเว้นไข่ปลาบางชนิดอาจขุ่นหรือทึบ ขั้นที่ 7 Spent : รังไข่มีส่วนเหลือตกค้างอยู่บ้างมีสีเข้ม ขั้นที่ 8 Resting : รังไข่ว่างเปล่า มีสีแดง การพัฒนาของน้ าเชื้อ : ขั้นที่ 1 Virgin : อัณฑะมีขนาดเล็กมาก อยู่ใกล้และแนบชิดกระดูกสันหลัง โปร่งแสง เล็กน้อย ขุ่น ไม่มีสี ยังไม่มีน้ าเชื้อ เส้นโลหิตมีสีแดงชัด ขั้นที่ 2 Maturing virgin : อัณฑะมีความโปร่งแสงมากขึ้น ขุ่น มีความยาวและขนาด เพิ่มขึ้น มีสีเนื้อ –แดง มองเห็นเส้นเลือดชัด ยังไม่มีน้ าเชื้อ ขั้นที่ 3 Developed testis reddis – white : อัณฑะขยายขนาดโตขึ้น มีความยาว ประมาณ 2 ใน 3 ของช่องท้อง มีสีแดง – ขาว –ขุ่น ยังไม่มีน้ าเชื้อ เส้นเลือดขยายขนาดโตขึ้น ขั้นที่ 4 Developing : อัณฑะขุ่น มีเส้นโลหิตฝอยมาเลี้ยงมากขึ้น ขยายขนาดทาง ส่วนกว้างมากขึ้น ขั้นที่ 5 Gravid : อัณฑะขยายขนาดโตขึ้น มีสีขาวหรือสีครีม นิ่มขึ้น และมีน้ าเชื้อหลวม ๆ อยู่ภายใน ขั้นที่ 6 Spawning : น้ าเชื้อในอัณฑะจะไหลพุ่งออกมาง่ายมาก เมื่อรีดเบาๆ หรือกระแทก ส่วนท้อง หรือเมื่อปลาดิ้น เกร็ง บิดกล้ามเนื้อ น้ าเชื้อจะไหลออกมาได้ มีสีขาวขุ่นคล้ายน้ านมหรือ แดง – ชมพู แล้วแต่ชนิดและสภาพของปลา


27 ขั้นที่ 7 Spent : อัณฑะเหี่ยว ขนาดเล็กลง มีน้ าเชื้อเหลืออยู่ในอัณฑะบ้าง ปลาบางชนิด อัณฑะจะเหี่ยวเฉพาะส่วนปลายเท่านั้น ส่วนต้นและส่วนกลางยังคงเต่งตึงอยู่ มีสีครีม ขึ้นที่ 8 Resting : อัณฑะมีขนาดเล็กลง มีสีแดง – ส้ม มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับขั้นที่ 7 ในการเพาะพันธุ์ปลาที่จะให้ได้ผลดีนั้นการเลี้ยงดูพ่อแม่พันธุ์ให้มีความสมบูรณ์และการ คัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ให้ได้ลักษณะที่ดีมีความส าคัญเป็นอย่างยิ่ง จึงควรมีการจัดสภาพแวดล้อมในการ เลี้ยงดูพ่อแม่พันธุ์ที่ดีเพื่อให้ปลานั้นมีความสมบูรณ์ทางเพศจนสามารถคัดเลือกน าไปท าเป็นพ่อแม่ พันธุ์ได้ มีการคัดเลือกพันธุ์ให้ได้ตามสายพันธุ์ที่ดีให้ผลผลิตสูงตามต้องการและมีการการคัดเพศปลาที่ ถูกต้อง ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส าคัญที่จะส่งผลให้การเพาะพันธุ์ปลาประสบผลส าเร็จ 1. ปลาเพศผู้และปลาเพศเมียมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย 2. พ่อแม่พันธุ์ปลาที่พร้อมจะผสมพันธุ์มีลักษณะเช่นไร จงอธิบาย 3. หากนักศึกษาได้รับมอบหมายให้ท าหน้าที่ดูแลพ่อแม่พันธุ์ปลา นักศึกษาจะมีวิธีการในการดูแล เช่นไร เพื่อให้พ่อแม่พันธุ์ปลามีไข่แก่และน้ าเชื้อสมบูรณ์ จงอธิบาย จับปลาหน้าวางไข่ จะท าให้ปลาสูญพันธุ์ บทสรุป แบบประเมินผลท้ายหน่วยการเรียน


28 แผนการเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การเพาะพันธุ์ปลาแบบเลียนแบบธรรมชาติ 1) เนื้อหา 1. การเพาะพันธุ์ปลาแบบธรรมชาติ 2. การเพาะพันธุ์ปลาแบบช่วยธรรมชาติ 3. การเพาะพันธุ์ปลาแบบกึ่งควบคุมธรรมชาติ 4. ข้อดี ข้อจ ากัดของการเพาะพันธุ์ปลาแบบธรรมชาติ แบบช่วยธรรมชาติและแบบกึ่ง ควบคุมธรรมชาติ 2) ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังน าทาง : จุดประสงค์น าทาง 1. อธิบายวิธีการเพาะพันธุ์ปลาแบบธรรมชาติได้ 2. อธิบายวิธีการเพาะพันธุ์ปลาช่วยแบบธรรมชาติได้ 3. อธิบายวิธีการเพาะพันธุ์ปลาแบบกึ่งควบคุมธรรมชาติได้ 4. เปรียบเทียบข้อดีข้อจ ากัดของการเพาะพันธุ์ปลาแบบธรรมชาติ ช่วยธรรมชาติและกึ่ง ควบคุมธรรมชาติได้ 5. สาธิตการเพาะพันธุ์ปลาแบบธรรมชาติได้ 6. สาธิตการเพาะพันธุ์ปลาแบบช่วยธรรมชาติได้ 7. สาธิตการเพาะพันธุ์ปลาแบบกึ่งควบคุมธรรมชาติได้ 8. เกิดแนวคิดในการเพาะพันธุ์ปลาตามความสนใจ 3) กิจกรรมการเรียนการสอน 1. การแบ่งกลุ่มเพื่อศึกษาเรียนรู้ด้วยเทคนิค Think Pair Chair 2. การฝึกปฏิบัติในการเตรียมบ่อธรรมชาติและการท ากระชัง 3. การฝึกปฏิบัติในการเพาะพันธุ์ปลาแบบช่วยธรรมชาติ 4. การฝึกปฏิบัติในการเพาะพันธุ์ปลาแบบกึ่งควบคุมธรรมชาติ 5. การศึกษาวีดีทัศน์เรื่องการเพาะพันธุ์ปลานิลและปลาสลิดเลียนแบบธรรมชาติ 6. การอภิปราย การบรรยายสรุป 4) สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารใบงานที่ 6 เรื่องการเตรียมบ่อธรรมชาติ 2. เอกสารใบงานที่ 7 เรื่องการท ากระชัง 3. เอกสารใบงานที่ 8 เรื่องการเพาะพันธุ์ปลาแบบช่วยธรรมชาติ


29 4. เอกสารใบงานที่ 9 เรื่องการเพาะพันธุ์ปลาแบบกึ่งควบคุมธรรมชาติ 5. วีดีทัศน์เรื่องการเพาะพันธุ์ปลานิลและปลาสลิดเลียนแบบธรรมชาติ 5) การวัดประเมินผล 1. การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 2. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มอบหมาย 3. การท าแบบฝึกหัดท้ายบทเรียนที่ 4 4. การท าบันทึกการเรียนรู้ (Learning Log)


หน่วยการเรียนรู้ที่4 การเพาะพันธุ์ปลาแบบเลียนแบบธรรมชาติ การเพาะพันธุ์ปลาแบบเลียนแบบธรรมชาติ หมายถึง การปล่อยพ่อแม่ปลาลงในภาชนะหรือ บ่อ ที่จัดสภาพไว้คล้ายคลึงกับแหล่งวางไข่ปลาตามธรรมชาติ เพื่อให้ปลาผสมพันธุ์วางไข่ หรือกระตุ้น ให้ปลาผสมพันธุ์วางไข่กันเอง (อุทัยรัตน์,2538) ทั้งนี้สามารถจ าแนกประเภทการเพาะพันธุ์ปลาแบบ เลียนแบบเลียนแบบธรรมชาติ ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การเพาะพันธุ์ปลาแบบธรรมชาติ เป็นวิธีที่ปล่อยพ่อแม่ปลาลงในบ่อหรือภาชนะที่จัดให้ปลาผสมกันเอง และเลี้ยงดูลูกอ่อนหรือ วางไข่เองตามธรรมชาติ เมื่อลูกปลามีขนาดโตพอที่จะจับแยกไปในบ่ออื่น จึงรวบรวมหรือวิดจับเพื่อ ด าเนินการต่อไป ปลาที่นิยมเพาะเลี้ยงวิธีนี้ได้แก่ ปลานิล ปลาสลิด ฯลฯ ส าหรับวิธีการเพาะพันธุ์ ปลาแบบนี้มี 2 ลักษณะคือ 1.1แบบกึ่งควบคุมธรรมชาติ การเพาะพันธุ์ปลาประเภทนี้เป็นการเพาะพันธุ์โดย เตรียมสภาพแวดล้อมบางส่วน เช่น ระดับน้ า อาหารและก าหนดอัตราการปล่อยพ่อแม่พันธุ์เท่านั้น เช่น การเพาะปลานิล โดยผู้เพาะเตรียมสภาพแวดล้อมบางส่วน เริ่มจากสูบน้ าเข้าบ่อเพาะพันธุ์ ซึ่ง เป็นบ่อดิน ขนาดพื้นที่ 50 – 1,600 ตารางเมตร ระดับน้ า 50 –100 เซนติเมตร จากนั้นจึงปล่อย พ่อแม่ปลาลงบ่อเพาะพันธุ์อัตราส่วน พ่อพันธุ์ 160 ตัว แม่พันธุ์ 240 ตัว ต่อพื้นที่บ่อ 1,600 ตาราง เมตร หรือ 1 ไร่ และควบคุมระดับน้ าในบ่อ ระหว่างการเพาะให้มีระดับความลึก 50 – 100 เซนติเมตร ตลอดระยะเวลาการเพาะพันธุ์ พ่อแม่พันธุ์จะผสมพันธุ์วางไข่และดูแลลูกเองในบ่อ เพาะพันธุ์ 1.2แบบควบคุมธรรมชาติ การเพาะพันธุ์ปลาประเภทนี้เป็นการเพาะพันธุ์โดยการ เตรียมสภาพแวดล้อมของบ่อผสมพันธุ์วางไข่ ให้คล้ายคลึงกับแหล่งผสมพันธุ์วางไข่ในธรรมชาติ เช่น การเพาะพันธุ์ปลาไน หลังจากปล่อยแม่พันธุ์ขนาด 2 กิโลกรัม จ านวน 3 ตัว พ่อพันธุ์ขนาด 1 – 2 กิโลกรัม จ านวน 6 ตัว ลงในบ่อซีเมนต์ ขนาด 12 ตารางเมตร ระดับน้ า 30 เซนติเมตร แล้วฉีดพ่นน้ า ให้เป็นฝอยลงในบ่อเพาะพันธุ์ให้มีลักษณะคล้ายฝนตกในฤดูฝน พร้อมกับจัดเตรียมสาหร่ายเทียมโดย ใช้เชือกฟางฉีกเป็นฝอยผูกรวมกันเป็นก า แล้วผูกติดกับกรอบไม้ไผ่ วางแช่ไว้ในบ่อเพาะพันธุ์ เพื่อเป็น ที่เกาะติดของไข่ปลาแทนพืชน้ าในธรรมชาติ ปลาไนจะผสมพันธุ์วางไข่ในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น จากนั้นจึงน าสาหร่ายเทียมที่มีไข่ติดไปฟักในบ่อฟักต่อไป


34 2. วิธีการเพาะพันธุ์ปลาแบบช่วยธรรมชาติ โดยการจัดเตรียมบ่อเพาะพันธุ์และบ่ออนุบาลให้เหมาะสมกับชนิดของปลา จัดสภาพ แวดล้อมในบ่อให้เหมาะสม จากนั้นจึงปล่อยพ่อแม่พันธุ์ปลาที่เลือกไว้ลงในบ่อเพาะพันธุ์หลังจากปลา ผสมพันธุ์และวางไข่แล้ว จึงแยกไปพักในบ่อเพาะฟักและบ่ออนุบาลต่อไป ปลาที่สามารถใช้วิธีการ เพาะพันธุ์แบบนี้ได้แก่ ปลาดุก ปลาแรด ปลาไน ปลาสลิด ฯลฯ ดังเช่นรายละเอียดของการ เพาะพันธุ์ปลาแบบช่วยธรรมชาติของปลาบางชนิด ตามตัวอย่างต่อไปนี้ 1.1 การเพาะพันธุ์ปลานิล (Tilapia nilotica) การเพาะพันธุ์ปลานิล เป็นการเพาะพันธุ์แบบกึ่งควบคุมธรรมชาติ มีวิธีการ ตามล าดับดังนี้ (กรมประมง, 2542) 2.1.1 การเตรียมบ่อ บ่อเพาะพันธุ์ปลานิลควรเป็นบ่อดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นที่ ตั้งแต่ 50 – 1,600 ตารางเมตร เก็บน้ าได้ในระดับความลึกเฉลี่ย 1 เมตร มีชานกว้าง 1 – 2 เมตร ถ้า เป็นบ่อเก่าควรวิดน้ าและก าจัดศัตรูปลาโดยใช้โล่ติ้นแห้ง 1 กิโลกรัม ต่อปริมาตรน้ า 100 ลูกบาศก์ เมตร โรยปูนขาวให้ทั่วบ่อ 1 กิโลกรัม ต่อพื้นที่บ่อ 1 ตารางเมตร ใส่ปุ๋ยคอกแห้ง 300 กิโลกรัม ต่อไร่ ตากบ่อทิ้งไว้ประมาณ 2 – 3 วัน จึงปล่อยน้ าเข้าบ่อผ่านผ้ากรอง หรือตะแกรงตาถี่ให้มีระดับความลึก ประมาณ 1 เมตร การใช้บ่อดินเพาะปลานิลจะมีประสิทธิภาพสูง เพราะเป็นบ่อที่มีสภาพคล้ายคลึง สภาพตามธรรมชาติ 2.1.2 การคัดเลือกพ่อแม่ปลานิล พ่อแม่ปลานิลสามารถคัดเลือกได้โดยตรงจากปลา ในบ่อเลี้ยงขุนเพื่อส่งตลาด คัดเลือกโดยสังเกตจากลักษณะภายนอกของปลาที่สมบูรณ์ ไม่มีบาดแผล แม่ปลาที่พร้อมวางไข่ อวัยวะเพศจะมีสีชมพูแดง ส่วนพ่อปลาสีบนล าตัว และบริเวณครีบเข้มสดใส มากกว่าปกติ ขนาดของพ่อแม่ปลาที่เหมาะสมมีขนาดยาวตั้งแต่ 15 – 25 เซนติเมตร น้ าหนัก 150 – 200 กรัม 2.1.3 อัตราส่วนที่ปล่อยพ่อแม่ปลาลงบ่อเพาะพันธุ์ ในอัตราส่วนพ่อปลา 160 ตัว แม่ปลา 240 ตัว ต่อพื้นที่บ่อ 1,600 ตารางเมตร หรือ 1 ไร่ หรือ อัตราส่วนพ่อปลา 2 ตัว แม่ปลา 3 ตัว ต่อพื้นที่บ่อ 20 ตารางเมตร การเพาะปลานิลแต่ละรุ่นใช้เวลาประมาณ 2 เดือน จึงเปลี่ยนพ่อแม่ ปลาชุดใหม่ 2.1.4 การให้อาหารและปุ๋ยระหว่างเพาะพันธุ์ ให้อาหารสมทบซึ่งมีส่วนผสมของ ปลายข้าว สาหร่าย หรือพืชผัก ร าละเอียด ในอัตราส่วน 1 : 2 : 3 โดยให้ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ของ น้ าหนักตัว วันละ 1 ครั้ง ส่วนปุ๋ยคอกแห้งต้องใส่ในอัตราส่วนประมาณ 100–200 กิโลกรัมต่อไร่ ต่อเดือน เพื่อให้เกิดแพลงค์ตอน (Plankton) หรือพืชน้ า ไรน้ าขนาดเล็ก อันเป็นประโยชน์ต่อลูกปลา นิลวัยอ่อนก่อนย้ายลงในบ่ออนุบาล 2.1.5 การอนุบาลลูกปลานิล ท าโดยรวบรวมลูกปลานิลจากบ่อเพาะพันธุ์ภายหลัง


35 การปล่อยพ่อแม่ปลาครั้งแรกประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นรวบรวมลูกปลา 2 – 3 สัปดาห์ต่อ ครั้ง โดยใช้อวนหรือตะแกรงตาถี่รวบรวมปล่อยในบ่ออนุบาลซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 200 ตารางเมตร ระดับน้ าลึก 1 เมตร บ่ออนุบาลดังกล่าวลูกปลาขนาด 1 – 2 เซนติเมตร ได้ครั้งละ 50,000 ตัว ให้ อาหารสมทบ เช่น ร าละเอียด กากถั่ว วันละ 2 ครั้ง จนลูกปลามีขนาด 3 – 5 เซนติเมตร จึงจับปลา ลงบ่อเลี้ยงหรือขายต่อไป 1.2 การเพาะพันธุ์ปลาสลิด (Trichogaster pectoralis) การเพาะพันธุ์ปลาสลิด เป็นการเพาะพันธุ์แบบกึ่งควบคุมธรรมชาติ ซึ่งมีวิธีการ ดังต่อไปนี้ 1.2.1 การเตรียมบ่อพันธุ์ปลาสลิด บ่อเพาะพันธุ์ปลาสลิดมักใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของ นาปลาสลิดหรือสร้างให้อยู่ติดกับแปลงนา พื้นที่บ่อเพาะใช้ประมาณ 1 ใน 10-20 ส่วนของแปลง เลี้ยงขุดคูโดยรอบกว้าง 3 เมตร ลึก 75 – 100 เซนติเมตร ดินที่ขุดจากคูน ามาสร้างบ่อให้แข็งแรง และล้อมคันบ่อด้วยมุ้งไนล่อนเพื่อป้องกันศัตรูลูกปลา เช่น งู กบ 1.2.2 ขั้นตอนการเพาะพันธุ์ มีขั้นตอนตามล าดับดังนี้ 1) ปล่อยพ่อแม่ปลาในอัตรา 1 ต่อ 1 จ านวน 160 คู่ต่อบ่อเพาะขนาด 1 ไร่ เตรียมพ่อแม่พันธุ์ก่อนการเพาะพันธุ์ 1 เดือน โดยให้อาหารสมทบ เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของปลาย ข้าว เศษผัก และร าละเอียด ในอัตราส่วน 1:2:3 ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ของน้ าหนักตัวต่อวัน 2) ก่อนระบายน้ าให้ท่วมพื้นนาเพื่อให้ปลาขึ้นมาผสมพันธุ์วางไข่ ให้ตัดหญ้า รวมไว้เป็นกองในบ่อ เหลือไว้บางส่วนให้ปลาสลิดก่อหวอดวางไข่พร้อมกับใส่ปุ๋ยคอกให้ทั่วบ่อ อัตรา 200 – 300 กิโลกรัมต่อพื้นที่บ่อ 1 ไร่ 3) เพิ่มระดับน้ าให้ท่วมพื้นนาประมาณ 30 เซนติเมตร พ่อแม่ปลาจะขึ้นไป วางไข่ภายใน 1 สัปดาห์ 4) ใส่ปุ๋ยคอกให้ทั่วบ่อทุกวัน วันละ 5 กิโลกรัม 5) เมื่อครบ 2 เดือน ระบายน้ าออกจากบ่อเพาะลงสู่แปลงเลี้ยงปลา ซึ่งลูก ปลาจะออกไปพร้อมกับน้ า จ านวนลูกปลาเหลือรอดประมาณ 500 ตัวต่อแม่ การเพาะโดยวิธีนี้ สามารถเพาะปลาสลิดได้ปีละ 2 ครั้ง หรือถ้าหากเพาะพันธุ์ในบ่อเพาะแบบเดี่ยว ไม่ปล่อยลูกปลา ออกสู่แปลงนาก็กระท าได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ต้องจับลูกปลาออกจากบ่อเพาะพันธุ์หลังจากปล่อย พ่อแม่ปลาแล้ว 1 – 2 เดือน จะได้ลูกปลาสลิดขนาด 2 – 3 เซนติเมตร 1.3 การเพาะพันธุ์ปลาไน (Cyprinus carpio) การเพาะพันธุ์ปลาไน เป็นการเพาะพันธุ์แบบควบคุมธรรมชาติ ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้


36 1.3.1 การคัดเลือกพ่อแม่ปลา แม่ปลาที่ไข่แก่ท้องจะอูมอิ่ม ช่องเปิดของอวัยวะ เพศมีสีชมพูแดง ส่วนพ่อปลาเมื่อใช้มือบีบท้องเบา ๆ จะมีน้ าเชื้อสีขาวขุ่นไหลออกมาทางช่องเพศ 1.3.2 บ่อและการเตรียมบ่อเพาะพันธุ์ บ่อที่ใช้เพาะพันธุ์ใช้ได้ทั้งบ่อดินและบ่อ ซีเมนต์ ขนาดบ่อตั้งแต่ 10 – 200 ตารางเมตร เตรียมบ่อโดยการปล่อยน้ าเข้าบ่อผ่านตะแกรงตาถี่ เพื่อป้องกันศัตรูที่มาพร้อมกับน้ า ให้มีระดับน้ า 30 เซนติเมตร 1.3.3 การเตรียมที่วางไข่ เนื่องจากปลาไนเป็นปลาที่ไข่ติดกับวัสดุ จึงจ าเป็นต้อง เตรียมวัสดุส าหรับวางไข่ เช่น สาหร่ายหางกะรอก ผูกรวมกันเป็นก าประมาณก าละ 10 ต้น ใช้ 10 ก าต่อแม่ปลา 1 ตัว หรือใช้เชือกฟางฉีกเป็นฝอยผูกกับกรอบไม้ หรือท่อ พีวีซี รูปสี่เหลี่ยมวางไว้กลาง บ่อ ข้อดีของการใช้เชือกฟางคือ ไม่ขาด และเมื่อฟักไข่ออกเป็นตัวแล้วล้างท าความสะอาด ผึ่งให้แห้ง เก็บไว้ใช้ในการเพาะครั้งต่อไปได้หลายปี 1.3.4 การปล่อยพ่อแม่ปลา และอัตราส่วนการปล่อยพ่อแม่ปลาลงบ่อเพาะพันธุ์ ใช้อัตราส่วนแม่ปลาขนาด 2 กิโลกรัม 1 ตัว พ่อปลาขนาด 1–2 กิโลกรัม 2–3 ตัว ต่อพื้นที่บ่อ 10 ตารางเมตร โดยปล่อยพ่อแม่ปลาในเวลาเย็น ตารางที่ 1 อัตราส่วนการปล่อยพ่อแม่ปลาไนต่อพื้นที่บ่อเพาะพันธุ์ แม่ปลาขนาด 2 ก.ก. (ตัว) พ่อปลาขนาด 1 – 2 กก. (ตัว) ขนาดของบ่อ (ตารางเมตร) สาหร่าย (ก า) 1 5 2 – 3 10 – 15 10 50 10 50 ที่มา : ปกรณ์ (2532) 1.3.5 การผสมพันธุ์และวางไข่ หลังจากปล่อยพ่อแม่พันธุ์ลงบ่อเพาะพันธุ์ในเวลา เย็น เมื่อถึงเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นปลาจะวางไข่ โดยพ่อปลาไล่คลอเคลียแม่ปลา จากนั้นแม่ปลาจะปล่อยไข่ ออกมาผสมกับน้ าเชื้อพ่อปลาในน้ า ในขณะเดียวกันแม่ปลาจะใช้หางโบกพัดให้ไข่ไปติดกับสาหร่ายที่ เตรียมไว้ 1.3.6 การฟักไข่ เมื่อปลาหยุดวางไข่แล้ว 2 – 3 ชั่วโมง จึงจับพ่อแม่ปลาออกจาก บ่อเพาะน ากลับไปเลี้ยงในบ่อพ่อแม่พันธุ์ตามเดิม หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนน้ าโดยการถ่ายน้ าเก่าออกทิ้ง ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ แล้วเติมน้ าใหม่ที่สะอาดให้เท่าเดิม ไข่ปลาที่ได้รับการผสมแล้ว จะฟัก ออกเป็นตัวภายในเวลา 30 – 60 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 20 – 30 องศาเซลเซียส


37 ข้อดีและข้อจ ากัดของการเพาะพันธุ์ปลาแบบเลียนแบบธรรมชาติ ข้อดี 1. พ่อแม่ปลาไม่บาดเจ็บเนื่องจากปลาผสมพันธุ์กันเองไม่ได้ผสมเทียม 2. ไม่จ าเป็นต้องทราบช่วงเวลาที่แม่ปลาตกไข่ 2. ไม่จ าเป็นต้องรีดไข่ 3. ไข่ที่ปล่อยออกมาไม่แก่เกินไป (Over ripening oocyte) ข้อจ ากัด 1. ไข่มีสิ่งเจือปนเนื่องจากผสมกันในแหล่งธรรมชาติ 2. ประเมินจ านวนไข่ที่แน่นอนได้ยาก 3. แม่ปลาอาจวางไข่ไม่หมด หรือวางไข่ได้แค่ 50 % 4. ผสมข้ามพันธุ์ไม่ได้ บทสรุป การเพาะพันธุ์ปลาแบบเลียนแบบธรรมชาติเป็นวิธีการเพาะพันธุ์สัตว์น้ าที่นิยมท ากันมานาน แล้ว ซึ่งมีวิธีการในการปฏิบัติที่ไม่ยุ่งยากและมีต้นทุนในการด าเนินการต่ าสามารถท าได้โดย การศึกษาสภาพของการผสมพันธุ์วางไข่ตามธรรมชาติของสัตว์น้ าชนิดนั้นๆว่ามีการผสมพันธุ์ วางไข่และเลี้ยงดูตัวอ่อนกันในลักษณะใด เมื่อต้องการที่จะเพาะพันธุ์สัตว์น้ าชนิดใดก็จัดให้มีการ จ าลองสถานการณ์ในการเพาะพันธุ์ให้เหมือนหรือใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติของ สัตว์น้ าในชนิดนั้นๆให้มากที่สุด ก็สามารถที่จะช่วยกระตุ้นให้สัตว์น้ านั้นๆสามารถที่จะท าการ ผสมพันธุ์วางไข่ในบ่อเพาะฟักที่จัดเตรียมไว้ได้ แบบประเมินผลท้ายหน่วยการเรียน 1. การเพาะพันธุ์ปลาโดยแบบธรรมชาติเหมาะกับปลาที่มีคุณสมบัติอย่างไร 2. การเพาะพันธุ์ปลาแบบช่วยธรรมชาติมีลักษณะอย่างไร 3. จงอธิบายถึงข้อดีและข้อจ ากัดของการเพาะพันธุ์ปลาแบบเลียนแบบธรรมชาติ


แผนการเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง การเพาะพันธุ์ปลาโดยวิธีผสมเทียม 1) เนื้อหา 1. ความหมายของการผสมเทียม 2. เครื่องมือและอุปกรณ์ในการผสมเทียม 3. ประเภทของฮอร์โมนในการผสมเทียม 4. การค านวณปริมาณการฉีดฮอร์โมนต่อมใต้สมองในการผสมเทียม 5. การเก็บและรักษาต่อมใต้สมองปลา 6. การฉีดฮอร์โมน 7. การรีดไข่ การผสมไข่ การฟักไข่ 8. ข้อดีข้อจ ากัดของการผสมเทียม 2) ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังน าทาง : จุดประสงค์น าทาง 1. บอกความหมายของการผสมเทียม 2. บอกประเภทและลักษณะของเครื่องมือและอุปกรณ์ในการผสมเทียม 3. บอกประเภทของฮอร์โมนในการผสมเทียม 4. ค านวณปริมาณการฉีดฮอร์โมนต่อมใต้สมองในการผสมเทียม 5. สาธิตวิธีการเก็บและรักษาต่อมใต้สมองปลา 6. สาธิตวิธีการฉีดฮอร์โมน 7. สาธิตการรีดไข่ การผสมไข่ การฟักไข่ 8. สรุปข้อดีข้อจ ากัดของการผสมเทียม 3) กิจกรรมการเรียนการสอน ครั้งที่ 1 : ศึกษาเรียนรู้เรื่องการผสมเทียมด้วยเทคนิคบัตรค า และการศึกษาวีดีทัศน์เรื่อง การผสมเทียมปลา ความยาว 20 นาที ครั้งที่ 2 : ศึกษาเรียนรู้เรื่องชนิดฮอร์โมนด้วยเทคนิค Rally Technique ครั้งที่ 3 : ฝึกปฏิบัติในการค านวณปริมาณการฉีดฮอร์โมนต่อมใต้สมองในการผสมเทียม ครั้งที่ 4 : ฝึกปฏิบัติการเก็บและรักษาต่อมใต้สมองปลา ครั้งที่ 5 : ฝึกปฏิบัติในการจับและการล าเลียงพ่อแม่พันธุ์ การฉีดฮอร์โมนจากต่อมใต้ สมอง การฉีดฮอร์โมนสกัด


39 ครั้งที่ 6 : ฝึกปฏิบัติในการรีดไข่ การผสมไข่ การฟักไข่ การศึกษาวีดีทัศน์เรื่องการผสม เทียมปลา ความยาว 20 นาที 4) สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารใบงานที่ 10 เรื่องชนิดฮอร์โมน 2. เอกสารใบงานที่ 11 เรื่องการค านวณปริมาณการฉีดฮอร์โมนต่อมใต้สมองในการผสม เทียม 3. เอกสารใบงานที่ 12 เรื่องการเก็บและรักษาต่อมใต้สมองปลา 4. เอกสารใบงานที่ 13 เรื่องการจับและการล าเลียงพ่อแม่พันธุ์ 5. เอกสารใบงานที่ 14 เรื่องการฉีดฮอร์โมน 6. เอกสารใบงานที่ 15 เรื่องการฉีดฮอร์โมนสกัด 7. เอกสารใบงานที่ 16 เรื่องการรีดไข่ 8. เอกสารใบงานที่ 17 เรื่อง การฟักไข่ 9. วิดีทัศน์เรื่องภาพแรกในชีวิตของปลา ความยาว 20 นาที 10. วีดีทัศน์เรื่องการผสมเทียมปลา ความยาว 20 นาที 5) การวัดประเมินผล 1. การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 2. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มอบหมาย 3. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนที่ 6 4. การท าบันทึกการเรียนรู้ (Learning Log)


หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 การเพาะพันธุ์ปลาโดยวิธีผสมเทียม การผสมเทียม หมายถึง การเพาะพันธุ์ปลาโดยวิธีการรีดไข่และน้ าเชื้อออกมาผสมกันใน ภาชนะภายนอกตัวปลา พ่อแม่ปลาที่ใช้อาจได้จากแหล่งน้ าธรรมชาติ ซึ่งแม่พันธุ์มีไข่แก่เต็มที่และมีไข่ ไหลออกมาในขณะจับปลา หรือได้มาจากบ่อเลี้ยงทั่วไป ซึ่งต้องฉีดฮอร์โมน (Hormone) กระตุ้น เพื่อให้เกิดการตกไข่และสามารถรีดออกมาผสมกับน้ าเชื้อต่อไป (อุทัยรัตน์, 2538) เครื่องมือและอุปกรณ์ การผสมเทียมปลา เครื่องมือและอุปกรณ์แบ่งออกได้เป็นกลุ่มดังต่อไปนี้ 1. อุปกรณ์จับพ่อแม่พันธุ์ ได้แก่ อวนขนาดตา 3 – 5 เซนติเมตร ยาว 25 – 40 เมตร สวิง ขนาดใหญ่ ถังเปลส าหรับขนย้ายพ่อแม่พันธุ์ ตาชั่งสปริง ผ้าซับน้ า 2. อุปกรณ์ฉีดฮอร์โมน ได้แก่ หลอดฉีดยาขนาด 1 – 2 ซี.ซี. พร้อมเข็มฉีดยาเบอร์ 22 – 27 ยาว 1 นิ้ว โกร่งแก้วบดต่อม ผ้าซับน้ า โต๊ะ และเบาะรองฉีดขนาดใดก็ได้แล้วแต่ความสะดวก ภาพที่ 2 อุปกรณ์ส าหรับการฉีดฮอร์โมน (ก) โกร่งแก้วบดต่อม (ข) หลอดฉีดยาพร้อมเข็ม (ค) ปากคีบปลายโค้ง 3. อุปกรณ์รีดไข่และน้ าเชื้อ ได้แก่ กะละมังผิวเรียบขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร ผ้าซับน้ า ขนปีกไก่ โต๊ะปฏิบัติงาน สวิงขนาดใหญ่


41 4. อุปกรณ์ผ่าต่อมและเก็บรักษาต่อมใต้สมอง ได้แก่ มีดโต้ เขียงไม้ ปากคีบปลายโค้ง ขวดขนาดเล็กบรรจุอะซีโตน (Acetone) พร้อมฝาปิด กระดาษซับหรือส าลี หรือฮอร์โมนสังเคราะห์ ซูพรีแฟกซ์ และโมทิเลี่ยม-เอ็ม 5. อุปกรณ์ฟักไข่ปลา ได้แก่ เครื่องปั๊มอากาศ พร้อมสายยางและหัวทราย กรวยฟักไข่หรือ กระชังฟักไข่ปลาเย็บจากผ้าไนล่อนตาถี่ การฉีดฮอร์โมนกระตุ้นการตกไข่ สิ่งส าคัญประการแรกของการเพาะพันธุ์ปลา คือ ต้องมีพ่อแม่พันธุ์น้ าเชื้อดีและมีไข่แก่ ประการต่อมาคือการใช้ฮอร์โมนกระตุ้นเพื่อให้เกิดการตกไข่ของแม่ปลาในเวลาที่ก าหนด นอกจากนี้ ต้องเตรียมอุปกรณ์หลักที่จ าเป็นในการฉีดฮอร์โมน ได้แก่ โกร่งแก้วบดต่อมใต้สมอง หลอดฉีดยา ขนาด 1 และ 2 มิลลิลิตร (ซี.ซี.) พร้อมเข็มฉีดยาเบอร์ 24 – 27 และอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ผ้าซับน้ า สวิง เป็นต้น ฮอร์โมน ฮอร์โมนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทยมีอยู่ 3 ชนิด คือ ฮอร์โมนจาก ต่อมใต้สมองของปลา ฮอร์โมนสกัด และฮอร์โมนสังเคราะห์ 1. ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองปลา (Pituitary gland) และวิธีการใช้ ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองปลา (Pituitary gland) ต่อมใต้สมองของปลาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นต่อมโดยเฉพาะกับส่วนของประสาท ส่วนที่เป็นต่อมยังแบ่งออกได้อีก 3 ส่วน คือ ต่อมใต้สมองส่วนหน้า ต่อมใต้สมองส่วนกลาง และต่อมใต้สมองส่วนท้าย ต่อมใต้สมองทั้ง 3 ส่วนนี้ ส่วนที่ส าคัญที่สุด ได้แก่ ต่อมใต้สมองส่วนกลางเพราะเป็นส่วนที่มีฮอร์โมนที่ควบคุมระบบ สืบพันธุ์ (Gonadotropins) ซึ่งจะประกอบไปด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด คือ ฮอร์โมนที่มีหน้าที่เร่งการ เจริญของรังไข่ในระยะหลัง จนถึงพร้อมที่จะวางไข่ (Maturational hormone) และฮอร์โมนที่มี หน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างไข่แดง (Vitellogenic hormone) 1.1. คุณสมบัติของปลาที่จะเก็บต่อมใต้สมอง ปลาที่เก็บต่อมใต้สมอง ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ สามารถน าต่อมไปใช้กับปลา ชนิดอื่นได้ผลดี เป็นปลาที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ สามารถเก็บต่อมได้ง่าย หาง่าย ราคาถูก เช่น ปลาไน นิยมมากที่สุด รองลงมาคือปลายี่สกเทศ ปลาจีน ปลาสวาย และควรเป็นปลาสด หากเป็นปลามี ชีวิตจะยิ่งได้ผลดี ถ้าเป็นปลาที่ตายต้องเก็บรักษาไว้ในที่อุณหภูมิต่ าและไม่ควรใช้ปลาที่ตายมานาน แล้ว เพราะฮอร์โมนภายในต่อมจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง 1.2. วิธีเก็บต่อมใต้สมองปลา มีขั้นตอนดังนี้ 1.) น าปลาที่จะเก็บต่อมใต้สมองมาชั่งน้ าหนักแล้วจดบันทึกไว้ 2.) ชั่งน้ าหนักของปลาก่อนที่จะน าไปผ่าต่อมจดบันทึกไว้ 3.) ดึงเหงือกของปลาให้ขาดทั้งสองข้างเพื่อฆ่าปลา และป้องกันไม่ให้เลือดไปคั่ง


42 ในต่อมใต้สมอง ท าให้หาต่อมได้ยากและต่อมไม่สะอาด 4.) เปิดกระดูกท้ายทอยปลา โดยการจับปลาบริเวณหน้าอกให้หางปลาตั้งขึ้น แล้วใช้มีดผ่าเปิดตั้งแต่บริเวณด้านท้ายของกระดูกท้ายทอยเฉียงมาจนถึงเหนือตา 5.) ดึงสมองออก เมื่อเปิดกระดูกท้ายทอยออกจะมองเห็นสมองของปลา จาก นั้นจึงใช้ปากคีบปลายแหลมคีบดึงสมองออกให้หมด 6.) ใช้ปากคีบช้อนตักต่อมขึ้นมาจากหัวปลา เมื่อดึงสมองออกแล้วจะสังเกตเห็น ต่อมใต้สมองเป็นเม็ดกลมสีขาวนวล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 – 3 มิลลิเมตรอยู่ในเบ้าของ กระโหลกศรีษะปลา ให้ใช้ปลายปากคีบช้อนตักต่อมขึ้นมาวางบนหลังมือ ใช้ปลายของปากคีบเขี่ย ต่อมให้เคลื่อนที่ประมาณ 1 – 2 เซนติเมตร เพื่อก าจัดไขมันที่ติดมากับผิวด้านนอกของต่อมใต้สมอง ภาพที่ 3 ลักษณะสมองปลาที่ ภาพที่ 4 ต่อมใต้สมองเป็นเม็ดกลมสีขาวนวล ปกคลุมต่อมใต้สมองอยู่ด้านล่าง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 –3 มม. อยู่ใต้สมอง 1.3. การเก็บรักษาต่อมใต้สมอง ต่อมใต้สมองที่เก็บจากตัวปลาแล้วถ้ายังไม่ได้ใช้ทันที สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน ซึ่งมีวิธีการดังนี้ 1.) น าต่อมที่รวบรวมได้ แช่ในน้ ายาอาซีโตน (Acetone) ประมาณ 5 นาที แล้วจึง เทน้ ายาอาซีโตนทิ้ง 2.) เติมน้ ายาอาซีโตนให้ท่วมต่อม แช่อีกประมาณ 8 – 12 ชั่วโมง จากนั้นจึงเท น้ ายาทิ้งอีกครั้งหนึ่ง 3.) เติมน้ ายาอาซีโตนใหม่ให้ท่วมต่อมอีกครั้งหนึ่ง แช่อีกประมาณ 24 ชั่วโมง จากนั้นจึงน าต่อมขึ้นมาผึ่งให้แห้ง ใส่ขวดแก้วขนาดเล็ก ปิดให้สนิท หุ้มด้วยพลาสติกหรือขี้ผึ้งอีก ชั้นหนึ่ง 4.) เขียนข้างขวดแสดงวันที่เก็บและน้ าหนักปลา 5.) การน าต่อมใต้สมองไปใช้ สามารถน าไปบดในโกร่งบดต่อม แล้วผสมน้ ากลั่น ฉีด ให้กับพ่อแม่ปลาได้เหมือนต่อมสด


43 1.4. อัตราการใช้ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองปลา ในปัจจุบันนิยมใช้จ านวนโดส (dose) เป็นเกณฑ์ มีสูตรการคิดค านวณ คือ สูตร โดส = ตัวอย่างที่ 1 แม่พันธุ์ปลาตะเพียนขาวมีน้ าหนักตัว 1.5 กิโลกรัม ต้องการฉีดฮอร์โมน จ านวน 2 โดส จะต้องผ่าเก็บต่อมใต้สมองจากปลาหนักเท่าไร วิธีการค านวณหาน้ าหนักของปลาที่ผ่าเก็บต่อมใต้สมอง สูตร โดส = (โดส = 2, น้ าหนักของปลา ที่จะฉีดฮอร์โมน = 1.5, น้ าหนักของปลาที่ผ่าเก็บต่อมใต้สมอง = ? แทนค่าจากสูตร 2 = น้ าหนักของปลาที่ผ่าต่อมใต้สมอง = 1.5 2 = 3 กิโลกรัม ตอบ น้ าหนักของปลาที่ผ่าต่อมใต้สมองเท่ากับ 3 กิโลกรัม ตัวอย่างที่ 2 ต้องการฉีดฮอร์โมนให้แม่ปลาตะเพียน 2 ตัว ที่มีน้ าหนัก 500 และ 300 กรัม มีปลาต่อม คือ ปลาไนหนัก 1,000 กรัม โดยฉีดตัวละ 1 โดส จงแสดงวิธีค านวณหาปริมาณ สารละลายต่อมบดเพื่อให้ได้ฮอร์โมนที่มีปริมาณตามต้องการ ในการฉีดปลาทั้ง 2 ตัว วิธีท า โดสที่มีอยู่ = = 1.25 โดส น ามาบดใน Homogenizer แล้วเติมน้ ากลั่นลงไปให้เป็น 1 ซี.ซี. ปริมาณฮอร์โมน 1.25 โดส น้ าหนักปลารวม 800 กรัม จากสารละลาย = 1 ซี.ซี. ปลาตัวที่ 1 ต้องการ 1 โดส น้ าหนักปลา 500 กรัมจากสารละลาย = ตอบ = 0.50 ซี.ซี. ปลาตัวที่ 2 ต้องการ 1 โดส น้ าหนักปลา 300 กรัมจากสารละลาย = ตอบ = 0.30 ซี.ซี น ้ำหนักของปลำที่ผ่ำต่อมใต้สมอง (ก.ก.) น ้ำหนักของปลำที่จะฉีดฮอร์โมน (ก.ก.) น ้ำหนักของปลำที่ผ่ำต่อมใต้สมอง (ก.ก.) น ้ำหนักของปลำที่จะฉีดฮอร์โมน (ก.ก.) น ้ำหนักของปลำที่ผ่ำต่อมใต้สมอง 1.5 1,000 (500 + 300) 11500 (1.25 800) 11300 (1.25 800)


44 ตัวอย่างที่ 3 ต้องการฉีดฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองให้แม่ปลาตะเพียนหนัก 500 กรัม โดยใช้ ปลาใต้ต่อมหนัก 800 กรัม ต้องการปริมาณฮอร์โมน 1 โดส และก าหนดให้ฉีดสารละลายต่อมบดเพียง 0.5 ซี.ซี. จงค านวณหาปริมาตรของน้ ากลั่นที่ใช้ละลายต่อมบด วิธีท า โดสที่มีอยู่ คือ = 1.6 โดส ต้องการปริมาณ 1 โดส จากสารละลายต่อมบด 0.5 ซี.ซี. แต่มีปริมาณ 1.6 โดส ต้องละลายต่อมด้วยน้ ากลั่น = ซี.ซี. นั่นคือบดต่อมใน Homogenizer แล้วเติมน้ ากลั่น = 0.8 ซี.ซี. แล้วจึงดูดมาฉีด 0.5 ซี.ซี. จึงจะได้ 1 โดสตามต้องการ อัตราการใช้ฮอร์โมนกับแม่ปลาแตกต่างกันตามชนิดและความพร้อมของแม่ปลา แม่ปลาที่ไข่ แก่กว่าใช้ในอัตราต่ ากว่า เช่น แม่ปลาตะเพียนขาวในฤดูผสมพันธุ์ (เดือนกรกฎาคม ถึง สิงหาคม) แม่ปลามีไข่แก่เต็มที่ ฉีดฮอร์โมนในอัตรา 1 โดส พักแม่ปลา 5 ชั่วโมง ก็สามารถรีดไข่ผสมกับน้ าเชื้อ ได้ แต่ถ้าแม่ปลาตะเพียนขาวก่อนฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งไข่ยังไม่แก่เต็มที่ใช้ฮอร์โมนในอัตราสูงถึง 2 โดส ส่วนพ่อปลานั้นใช้ฮอร์โมนในอัตรา 0.5 โดส ก็เพียงพอที่กระตุ้นให้พ่อปลาสร้างน้ าเชื้อเพิ่มขึ้นจน ปริมาณเพียงพอกับการผสมพันธุ์ 1.5. จ านวนครั้งในการฉีดฮอร์โมน ปริมาณฮอร์โมนที่เหมาะสมหมายถึง ฮอร์โมนทั้งหมดที่ฉีดให้แก่แม่ปลาแล้วท าให้แม่ ปลาเกิดการตกไข่ในเวลาที่ก าหนด การที่จะฉีดฮอร์โมนทั้งหมดเพียงครั้งเดียวหรือแบ่งเป็นหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดปลาและความพร้อมของแม่ปลา ปลาบางชนิดตกไข่ง่าย เมื่อฉีดฮอร์โมนจากต่อมใต้ สมองปลาทั้งหมดเพียงครั้งเดียวก็สามารถกระตุ้นให้ไข่ตกได้ แต่ปลาที่มีคุณสมบัติดังกล่าวในประเทศ ไทยมีเพียงชนิดเดียว คือ ปลาตะเพียนขาว ปลาส่วนใหญ่ตอบสนองต่อฮอร์โมนได้ดี เมื่อแบ่งฮอร์โมน ออกเป็น 2 ส่วน คือ ร้อยละ 33 ส าหรับการฉีดครั้งแรก และประมาณร้อยละ 67 ส าหรับการฉีดครั้งที่ 2 ส่วนในปลาบึกนั้นเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่จึงต้องท าการฉีดฮอร์โมนกระตุ้นเป็นระยะๆถึง 3 ครั้งจึง สามารถรีดไข่ได้ 1.6. ช่วงเวลาระหว่างการฉีดฮอร์โมน การเว้นระยะระหว่างการฉีดแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมิต่ าต้องเว้นระยะ ระหว่างการฉีดแต่ละครั้งนาน ส่วนในประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตร้อน นิยมเว้นช่วงระหว่างการฉีดแต่ละ ครั้ง 6 – 8 ชั่วโมง หรือยาวนานถึง 12 ชั่วโมงในปลาบางชนิด เช่น ปลาสวาย ปลาบึก 800 500 0.5 1.6 1


45 1.7. วิธีการบดต่อมใต้สมองปลา การบดต่อมใต้สมองมีวิธีการตามล าดับ ดังนี้ 1) น าต่อมใต้สมองปลาใส่ในโกร่งบดต่อม ใช้ด้านข้างของปลายแท่งแก้วบด ต่อมแตะต่อมใต้สมองใส่ลงไปในโกร่งบดต่อม โดยให้ต่อมใต้สมองติดอยู่กับผนังด้านในของโกร่ง ต้อง ระวังไม่ให้ต่อมตกลงไปถึงก้นหลอดเพราะจะท าให้การบดต่อมไม่ละเอียด 2) บดต่อมโดยการหมุนแท่งแก้วไปมาหลาย ๆ รอบ จนต่อมใต้สมอง ละเอียด สังเกตจากต่อมไม่รวมกันเป็นก้อนตามผนังโกร่ง ภาพที่ 6 บดต่อมใต้สมองโดยการหมุนแท่งแก้วไปมาหลาย ๆรอบ 3) ละลายต่อมใต้สมองบด โดยเติมน้ ากลั่นหรือน้ าเกลือเข้มข้น 0.6 เปอร์เซ็นต์ ในอัตรา 1 มิลลิลิตร(ซี.ซี.) ต่อ แม่ปลาหนัก 1 กิโลกรัม การเติมน้ ากลั่นในโกร่งครั้งแรก เติมลงเพียงเล็กน้อย และบดต่อมจนต่อมละลายดีแล้ว จึงเติมน้ ากลั่นส่วนที่เหลือทั้งหมดและปล่อย ให้สารละลายตกตะกอน จึงดูดสารละลายเฉพาะส่วนที่ใสไปใช้ฉีดแม่ปลา 2. ฮอร์โมนสกัด (Extract hormone) ฮอร์โมนสกัดที่จ าหน่ายตามร้านขายยาและโรงพยาบาลมีมากมาย ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ เตรียมจาก Gonadotropic hormone ที่ได้จากน้ าปัสสาวะของสัตว์ที่ก าลังตั้งครรภ์ และจากต่อม ใต้สมองส่วนหน้าของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ฮอร์โมนสกัดมีหลายพวกด้วยกันคือ 2.1 Placental gonadotropins มี 2 ชนิด คือ 2.1.1 Human Chorionic Gonadotropin (H.C.G.) สกัดจากปัสสาวะของหญิงมี ครรภ์ ซึ่งรกจะสร้าง Gonadotropin แล้วปล่อยสู่กระแสเลือด และในที่สุดถูกขับออกมากับปัสสาวะ ปริมาณฮอร์โมนในปัสสาวะจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะมีปริมาณสูงสุดในการตั้งครรภ์เดือนที่ 3


46 รูปแบบของ H.C.G. บริสุทธิ์ที่เข้ามาขายในประเทศไทยมีลักษณะเป็นผงสีขาว บรรจุ ในหลอดแก้วหรือขวดเล็ก ๆ มีหน่วยวัดเป็น I.U. (International Unit) ขวดละ 2,500 I.U. หรือ 5,000 I.U. 2.1.2 Pregnant Mare Serum (P.M.S.) ไม่ค่อยใช้มากนัก สกัดจาก Serum ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ก าลังตั้งครรภ์ 2.2 Mamalian pituitary gland เป็นฮอร์โมนที่สกัดจากต่อมใต้สมองของสัตว์เลี้ยง ลูกด้วยน้ านม มักน าไปผสมกับ H.C.G. ก่อนน ามาใช้ ตัวอย่างเช่น Synahorin ฮอร์โมนสกัดที่ใช้กันโดยทั่วไปได้แก่ H.C.G. ในท้องตลาดที่มีขายอยู่ในรูปผงสีขาว ซึ่งบาง ยี่ห้อจะมีตัวท าละลายมาพร้อมกับฮอร์โมน ตัวท าละลายนี้อาจเป็นน้ ากลั่น หรือน้ าเกลือ (NaCl) เข้มข้น 0.5 % ก็ได้ H.C.G. ที่บรรจุขวด ผู้ผลิตมักจะบอกจ านวนหน่วยของฮอร์โมนเป็น I.U. (International Unit) ในการใช้จ าเป็นจะต้องละลายฮอร์โมนทั้งหลอด โดยใช้น้ าเกลือหรือน้ ากลั่นเติม ลงไป โดยจะต้องทราบปริมาตรที่แน่นอนของตัวท าละลายนั้น ๆ จะท าให้แบ่งฮอร์โมนที่ละลายน้ ามา ใช้ได้ถูกต้อง เช่น ขนาดบรรจุ H.C.G. 5,000 I.U. ถ้าเติมน้ ากลั่น 5 มิลลิลิตร (cc.) ก็จะทราบได้ว่าใน 1 มิลลิลิตรของสารละลายนี้ จะมีเนื้อฮอร์โมนอยู่ 1,000 I.U. เป็นต้น ตัวอย่างการฉีดฮอร์โมนผสมเทียมปลาดุกอุย โดยใช้ฮอร์โมนสกัด (H.C.G.) สามารถฉีดเร่ง ให้แม่ปลามีไข่สุกได้โดยการฉีดครั้งเดียวที่ระดับความเข้มข้น 3,000 – 5,000 I.U. / แม่ปลาน้ าหนัก 1 ก.ก. หลังจากฉีดฮอร์โมนสกัดเป็นเวลาประมาณ 15-18 ชั่วโมง ก็สามารถรีดไข่ผสมกับน้ าเชื้อได้ (กรม ประมง, 2543) การฉีดฮอร์โมนผสมเทียมปลาดุกเทศ โดยใช้ฮอร์โมนสกัด (H.C.G.) ฉีดเร่งให้แม่ปลามีไข่สุก ได้ โดยการฉีดครั้งเดียวเหมือนกับปลาดุกอุยที่ระดับความเข้มข้น 2,000 – 4,000 I.U. / แม่ปลาน้ าหนัก 1 ก.ก. หลังจากฉีดฮอร์โมนเป็นเวลาประมาณ 9 – 12 ชั่วโมง ก็สามารถรีดไข่ผสมกับน้ าเชื้อได้ ในปลาเพศผู้การกระตุ้นให้พ่อพันธุ์มีน้ าเชื้อมากขึ้น โดยการฉีดฮอร์โมนสกัดครั้งเดียวที่ระดับ ความเข้มข้น 200 – 400 I.U. / พ่อปลาน้ าหนัก 1 ก.ก. ประมาณ 6 ชั่วโมง ก่อนที่จะผ่าเอาถุงน้ าเชื้อ ออกมาใช้ในการผสมเทียม ในทางปฏิบัติแล้ววิธีการใช้ฮอร์โมนสกัด เอช.ซี.จี. แต่เพียงอย่างเดียวมักจะไม่เป็นที่นิยม ทั้งนี้เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้ฮอร์โมนชนิดอื่น ๆ มาก มักนิยมใช้ฮอร์โมนนี้ร่วมกับต่อมใต้ สมองในอัตรา เอช.ซี.จี. 100 – 300 I.U. ต่อน้ าหนักแม่ปลา 1 กิโลกรัม การใช้ฮอร์โมนสกัด


47 3. ฮอร์โมนสังเคราะห์ (Synthetic hormone) ในปัจจุบันฮอร์โมนสังเคราะห์มีบทบาทมากในการเพาะพันธุ์ปลา ฮอร์โมนที่นิยมใช้กัน มากได้แก่ บูเซอเรลิน อาซีเตท (Buserelin acetate) เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นให้คล้ายกับ Gonadotropin-releasing hormone (GnRH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากสมองไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) มากระตุ้นต่อมใต้สมองผลิตฮอร์โมนโกนาโดโทรปิน (Gonadotropin hormone) แล้วปล่อยออกสู่กระแสเลือดไปกระตุ้นการท างานของรังไข่และอัณฑะของปลามีผลท าให้ไข่ปลาสุก ตก ไข่ และวางไข่ผสมพันธุ์ในที่สุด ซึ่งบูเซอเรลิน อาซีเตท มีชื่อทางการค้าว่า ซูพรีแฟกซ์ (Suprefact) บรรจุขวดในรูปสารละลาย ซูพรีแฟกซ์ 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.) เข้มข้น 1,000 ไมโครกรัม เพื่อให้ง่ายและ สะดวกในการใช้ต้องน าไปเจือจางในน้ ากลั่น อัตราซูพรีแฟกซ์ 1 มิลลิลิตรต่อ 20 ไมโครกรัม ใช้ฉีด กระตุ้นแม่ปลาได้ 1 กิโลกรัม ปกติในร่างกายปลาจะมีกลไกควบคุมการหลั่งของฮอร์โมน Gonadotropin จากต่อมใต้ สมองให้อยู ่ในระดับสมดุลย์ของร ่างกายตลอดเวลา โดยมีสารหนึ ่งถูกสร้างจากสมอง เรียกว ่า Dopamine ที ่ไปยับยั้งการผลิต Gonadotropin ของต ่อมใต้สมอง ดังนั้นการฉีดฮอร์โมน สังเคราะห์เพื่อกระตุ้นให้ปลาวางไข่จะต้องผสมสารเสริมฤทธิ์ที่มีฤทธิ์ต่อต้านสาร Dopamine ซึ่ง ชื่อว่า Domperidone หรือมีชื่อทางการค้าว่า Motilium-M อัตรา 10 มิลลิกรัม(1เม็ด)ต่อแม่ปลา 1 กิโลกรัม จึงจะท าให้ฮอร์โมนสังเคราะห์ออกฤทธิ์ได้เต็มที่ การใช้ยาซูพรีแฟกซ์เพื่อการเพาะพันธุ์ปลา ถ้าจะให้ได้ผลดีควรปฏิบัติตามค าแนะน าดังนี้ 1. ให้ใช้ยาซูพรีแฟกซ์ชนิดฉีดที่บรรจุในขวดแก้ว ขนาดบรรจุ 5.5 ซี.ซี. 2. ให้เก็บยาไว้ในตู้เย็นบริเวณที่ไม่ใช่ช่องแช่แข็ง ถ้าไม่มีตู้เย็นให้น าขวดยาใส่ถุงพลาสติก แล้วใช้ยางรัดให้แน่นกันน้ าเข้า น าไปแช่ในโอ่งน้ าที่มีน้ าเต็มอยู่ในที่ร่ม อุณหภูมิที่เหมาะสมส าหรับเก็บ รักษายาคือ 5 – 10 องศาเซลเซียส 3. ยาที่ซื้อไปจะมีตัวยาประมาณ 1 มิลลิกรัม หรือ 1,000 ไมโครกรัมต่อ 1 ซี.ซี. เวลาใช้ ควรน าไปเจือจางก่อน โดยหาขวดแก้วหรือพลาสติกขนาดประมาณ 20 ซี.ซี. ล้างให้สะอาดแล้วต้มใน น้ าเดือดประมาณ 5 นาที ทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นใช้เข็มและหลอดฉีดยาที่สะอาด และผ่านการต้มในน้ า เดือด แล้วดูดยาออกมา 1 ซี.ซี. ใส่ในขวดที่เตรียมไว้ แล้วใช้เข็มและหลอดฉีดยาขนาด 10 ซี.ซี. ดูด น้ ากลั่นหรือน้ าสะอาดที่ต้มแล้วทิ้งไว้ให้เย็น 9 ซี.ซี. ลงไปผสมกับยา รวมเป็น 10 ซี.ซี. ปิดฝาเขย่าให้ เข้ากัน ยาที่เจือจางแล้วนี้จะมีตัวยา 0.1 มิลลิกรัม หรือ 100 ไมโครกรัมต่อ 1 ซี.ซี. ซึ่งเป็นความ เข้มข้นที่พอเหมาะส าหรับใช้งาน แล้วน าขวดยาที่ซื้อมาไปเก็บไว้ในตู้เย็น ส่วนยาที่เจือจางไว้แล้วก็ น าไปฉีดปลา ถ้าใช้ไม่หมดให้เก็บไว้ในตู้เย็นเช่นกัน เมื่อต้องการใช้ก็น ามาใช้ใหม่ได้ เมื่อใช้หมดแล้ว จึงน ายาที่ซื้อมาเจือจางใหม่


48 4. ปริมาณยาที่ใช้ฉีดปลามีดังนี้ ปลาตะเพียน เฉพาะตัวเมียฉีดครั้งเดียวในอัตรา 10 – 15 ไมโครกรัม ต่อปลา 1 กิโลกรัม ปลาจะวางไข่ภายใน 6 – 8 ชั่วโมง ตัวผู้ไม่ต้องฉีด ปลานวลจันทร์เทศ ตัวผู้และตัวเมียฉีดครั้งเดียว เช่นเดียวกับปลาตะเพียน หรือฉีด 2 ครั้ง ครั้งแรกฉีดไป 5 ไมโครกรัมต่อปลา 1 กิโลกรัม เว้น 6 ชั่วโมงฉีดครั้งที่ 2 ในอัตรา 10 – 15 ไมโครกรัมต่อปลา 1 กิโลกรัม แล้วปลาจะวางไข่ภายใน 6 – 10 ชั่วโมง หลังจากฉีดครั้งที่ 2 ปลายี่สกเทศ ทั้งตัวผู้และตัวเมียให้ฉีด 2 ครั้ง เช่นเดียวกับปลานวลจันทร์เทศ ปลาสวาย ปลาดุกอุย ปลาดุกยักษ์ ปลาจีน ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ฉีด 2 ครั้ง ครั้งแรกฉีด 5 – 10 ไมโครกรัมต่อปลา 1 กิโลกรัม เว้น 6 ชั่วโมง ฉีดครั้งที่ 2 ในอัตรา 10 – 15 ไมโครกรัมต่อ ปลา 1 กิโลกรัม จะรีดไข่ปลาได้ภายใน 8 – 10 ชั่วโมง ภายหลังจากฉีดครั้งที่ 2 ไข่ที่รีดได้จะฟัก ออกเป็นตัวต่ ากว่าการฉีดด้วยต่อมใต้สมองปลา ถ้าต้องการใช้ยานี้กับปลาเหล่านี้ ควรใช้กับพ่อแม่ปลา ที่สมบูรณ์ดี และมีไข่แก่จัดเท่านั้นจึงจะได้ผลดี ปริมาณยาที่ใช้ฉีดปลาแต่ละชนิดที่ให้ไว้นี้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น ปริมาณยาที่จะฉีดผัน แปรไปตามฤดูกาลในแต่ละท้องที่ โดยทั่วไปในระหว่างฤดูร้อนก่อนเข้าฤดูฝน ปริมาณยาที่ใช้จะสูงแล้ว ค่อย ๆ ลดลง เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนในช่วงเดือนมิถุนายน –สิงหาคม ที่มีฝนตกชุก ช่วงนี้ปลาส่วนใหญ่จะมี ไข่แก่เต็มที่ เช่น ปลาตะเพียน ฉีดครั้งเดียวเพียง 3 – 5 ไมโครกรัม ต่อปลา 1 กิโลกรัม ก็วางไข่ได้ โดยปกติไม่ว่าจะฉีดครั้งเดียวหรือแบ่งฉีด 2 ครั้ง ปริมาณที่ฉีดรวมกันแล้วไม่ควรเกิน 20 ไมโครกรัมต่อ ปลา 1 กิโลกรัม เพื่อความแน่นอนผู้ฉีดจะต้องคอยสังเกตดูว่าปลาที่จะฉีดมีความสมบูรณ์มากน้อย เพียงใด และอยู่ในช่วงเวลาที่มีฝนตกชุกหรือไม่ แล้วจึงเพิ่มหรือลดปริมาณยาที่จะฉีดให้เหมาะสม 5. ซูพรีแฟกซ์ต้องใช้ควบคู่กับยาโมทิเลี่ยม หรือโมทิเลี่ยม-เอ็ม จึงได้ผลดี โดยใช้ยาโมทิเลี่ยม เท่ากันทุกครั้งที่ฉีด คือ 10 มิลลิกรัม (1 เม็ด) ต่อปลา 1 กิโลกรัม ในปลาทุกชนิด ในท้องตลาด มียา เลียนแบบโมทิเลี่ยมอยู่ 2 – 3 ชนิด ใช้แทนกันได้ แต่ให้ผลดีไม่เท่าโมทิเลี่ยมหรือโมทิเลี่ยม-เอ็ม 6. อุปกรณ์ที่ใช้ในการเตรียมยา และฉีดปลาต้องล้างให้สะอาดและต้มในน้ าเดือดอย่างน้อย 5 นาที แล้วทิ้งไว้ให้เย็นก่อนน าไปใช้ ความสะอาดของเครื่องมือเครื่องใช้เป็นสิ่งส าคัญที่สุดที่จะช่วย รักษาคุณภาพของยาให้คงทน และท าให้การเพาะพันธุ์ปลาได้รับผลส าเร็จ 7. วิธีค านวณปริมาณยาส าหรับฉีดปลา ตัวอย่างที่ 1 ต้องการฉีดฮอร์โมนให้ปลาตะเพียน 5 ตัว มีน้ าหนักตัวละ 200, 250, 300, 350 และ 400 กรัม โดยจะฉีดครั้งเดียวในอัตรา ซูพรีแฟกซ์ 10 ไมโครกรัมต ่อปลา 1 กิโลกรัม โมทิเลี ่ยม 10 มิลลิกรัม ต่อปลา 1 กิโลกรัม และฉีดยาที่ผสมแล้ว 1 ซี.ซี. ต่อปลา 1 กิโลกรัม


49 น้ าหนักปลาที่จะคิดรวมกัน = 200 + 250 + 300 + 350 + 400 = 1,500 กรัม = 1.5 กิโลกรัม ต้องใช้ซูพรีแฟกซ์ = 1.5 10 = 15 ไมโครกรัม ต้องใช้โมทิเลี่ยม = 1.5 10 = 15 มิลลิกรัม จากซูพรีแฟกซ์ที่เจือจางไว้มีตัวยา 100 ไมโครกรัมในน้ ายา 1 ซี.ซี. ดังนั้นตัวยาซูพรีแฟกซ์ 15 ไมโครกรัมอยู่ในน้ ายา = 0.15 ซี.ซี. ดังนั้นยาโมทิเลี่ยม 15 มิลลิกรัม = ยา 1 เม็ดบวกกับยาอีกครึ่งเม็ด น ายาโมทิเลี่ยม 1 เม็ดกับอีกครึ่งเม็ดใส่ในโกร ่งบดยา บดให้ละเอียด แล้วดูดซูพรีแฟกซ์ 0.15 ซี.ซี. ผสมลงไป เพื่อความสะดวกในการค านวณและการฉีด เราควรก าหนดให้ฉีดยาที่ผสมแล้วจ านวน 1 ซี.ซี. ต่อปลาน้ าหนัก 1 กิโลกรัม ดังนั้นปลา 1.5 กิโลกรัม เราจะต้องผสมยาที่จะฉีด 1.5 ซี.ซี. ในขณะนี้ ยาที่อยู่ในโกร่งบดยา มียาโมทิเลี่ยม 1 เม็ดครึ่ง และซูพรีแฟกซ์ 0.15 ซี.ซี. แต่ เราต้องการยาที่จะน าไปฉีดรวม 1.5 ซี.ซี. ดังนั้นต้องเติมน้ ากลั่นลงไปอีก 1.5 – 0.15 = 1.35 ซี.ซี. ให้ดูดน้ ากลั่นมา 1.35 ซี.ซี. เติมลงไปในโกร่งบดยา แล้วผสมยาทั้งหมดให้เข้ากันดี แล้ว จึงน าไปฉีดปลาโดยมีปริมาณยาที่จะฉีดให้ปลาแต่ละตัวดังนี้ ปลาน้ าหนัก 200 กรัม ฉีด 0.2 ซี.ซี. ” 250 ” ” 0.25 ” ” 300 ” ” 0.3 ” ” 350 ” ” 0.35 ” ” 400 ” ” 0.4 ” รวม 1,500 ” ” 1.5 ” วิธีค านวณ


50 ปลาทุกตัวจะได้รับยาเท ่า ๆ กัน ในอัตราซูพรีแฟกซ์ 10 ไมโครกรัม และโมทิเลี ่ยม 10 มิลลิกรัมต่อน้ าหนักปลา 1 กิโลกรัม ต้องการฉีดฮอร์โมนให้ปลายี่สกเทศตัวเมีย 5 ตัว น้ าหนัก = 1.2, 1.4, 1.8, 2.0 และ 2.2 กิโลกรัม ตามล าดับ และตัวผู้ 5 ตัว 1.5, 1.7, 1.8, 2.0 และ 2.2 กิโลกรัม ตามล าดับ โดยฉีดซูพรี แฟกซ์ให้ปลาตัวเมียและปลาตัวผู้ครั้งแรก 5 ไมโครกรัม ต่อน้ าหนักปลา 1 กิโลกรัม รวมกับโมทิเลี่ยม 10 มิลลิกรัม ต่อน้ าหนักปลา 1 กิโลกรัม เว้น 6 ชั่วโมงแล้วฉีดครั้งที่ 2 ฉีดซูพรีแฟกซ์ให้ปลาตัวเมีย และปลาตัวผู้ 10 ไมโครกรัมต่อน้ าหนักปลา 1 กิโลกรัมกับโมทิเลี่ยม 10 มิลลิกรัม ต่อน้ าหนักปลา 1 กิโลกรัม โดยให้ฉีดยาที่ผสมไว้แล้ว 1 ซี.ซี. ต่อน้ าหนักปลา 1 กิโลกรัม ฉีดครั้งแรกในปลาตัวเมีย น้ าหนักปลาที่ฉีดทั้งหมด =1.2 + 1.4 + 1.8 + 2.0 + 2.2 = 8.6 กิโลกรัม ดังนั้นต้องใช้ซูพรีแฟกซ์ 8.6 5 = 43 ไมโครกรัม ซูพรีแฟกซ์ที่เจือจางไว้มีตัวยา 100 ไมโครกรัม ในยา 1 ซี.ซี. ถ้าต้องการตัวยา 43 ไมโครกรัม ต้องดูดน้ ายามา 1X43 หารด้วย 100 = 0.43 ซี.ซี. ต้องใช้โมทิเลี่ยม 8.6 10 = 86 มิลลิกรัม หรือ 8.6 เม็ด น าโมทิเลี่ยมมา 8 เม็ดครึ่ง หรือ 9 เม็ด บดในโกร่งบดยาให้ละเอียดแล้วใช้เข็มฉีดยาดูด พรีแฟกซ์จากขวดที ่เจือจางไว้ 0.43 ซี.ซี. ผสมลงไป ต้องการยาที ่ผสมแล้วทั้งหมด 8.6 ซี.ซี. ดังนั้นต้องดูดน้ ากลั ่นเติมลงไปอีก 8.6 – 0.43 = 8.17 ซี.ซี. เติมลงไปในโกร ่งบดยาที ่มีซูพรี แฟกซ์และ โมทิเลี่ยมอยู่แล้วผสมให้เข้ากันดี แล้วน าไปฉีดปลาตัวเมียแต่ละตัวตามจ านวนดังนี้ ปลาตัวเมียน้ าหนัก 1.2 กก. ฉีด 1.2 ซี.ซี. ” 1.4 ” ” 1.4 ” ” 1.8 ” ” 1.8 ” ” 2.0 ” ” 2.0 ” ” 2.2 ” ” 2.2 ” ส าหรับปลาตัวผู้ 5 ตัว น้ าหนักรวม = 1.5 + 1.7 +1.8 +2.0 + 2.2 = 9.2 กิโลกรัม ตัวอย่างที่ 2 วิธีค านวณ


Click to View FlipBook Version