The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารการสอนวิชาการเพาะเลี้ยงปลา (ส่งทำเล่ม)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Boonyanuch Kaewmanee, 2023-03-13 23:01:06

เอกสารประการเรียน วิชาการเพาะเลี้ยงปลา (Fish Breeding and Culture)

เอกสารการสอนวิชาการเพาะเลี้ยงปลา (ส่งทำเล่ม)

Keywords: Fish Breeding and Culture

101 ผลผลิตที่ได้ การเลี้ยงปลาในนาข้าวนอกจากจะได้ข้าวตามปกติแล้ว ยังพบว่าแปลงนาที่มีการเลี้ยงปลาควบคู่ กับการปลูกข้าว จะได้ข้าวเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณไร่ละ 5 ถัง นอกจากนี้ยังได้ปลาอีกอย่างน้อย ประมาณไร่ละ 20 กิโลกรัม ซึ่งถ้าหากมีการใส่ปุ๋ยและให้อาหารสมทบด้วยแล้วจะได้ผลผลิตปลา เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5 เท่า (กรมประมง , 2550) การเลี้ยงปลาในนาข้าวเป็นอาชีพที่ชาวนาสามารถปฏิบัติได้เกือบตลอดปี เพราะนอกจากจะเลี้ยง ปลาในนาในระยะที่ท านาตามปกติแล้ว หลังจากที่เกี่ยวข้าวในนาเสร็จชาวนายังสามารถใช้ผืนนาเดิม เลี้ยงปลาในระยะหลังการเก็บเกี่ยวได้อีกในกรณีที่มีน้ าอุดมสมบูรณ์ โดยเพิ่มระดับน้ าให้ท่วมผืนนา อย่างน้อยประมาณ 30 เซนติเมตร ตลอดระยะเวลาที่เลี้ยงปลาผืนนาที่เคยถูกทอดทิ้งให้แห้งแล้ง ปราศจากประโยชน์จะกลับกลายสภาพเป็นบ่อเลี้ยง ซึ่งข้าวและวัชพืชบนผืนนาจะเน่าสลายกลายเป็น อาหารอย่างอุดมสมบูรณ์แก่ปลา เป็นการใช้ประโยชน์จากผืนนาอีกครั้งหนึ่งจนกว่าจะถึงฤดูท านา ตามปกติ ปัญหาของการเลี้ยงปลาในนาข้าว 1. น้ าท่วม ท าให้ปลาหนีออกจากนา 2. ปล่อยปลาหนาแน่นเกินไป ท าให้ปลาโตช้าไม่ได้ขนาด 3. การใช้ยาปราบศัตรูพืชในนาข้าว ท าให้ปลาตาย อาหารธรรมชาติลดลง ภาพที่ 12 แสดงการเลี้ยงปลาในนาข้าว ที่มา : http://www.sathai.org


102 3. การเลี้ยงปลาในกระชัง (Cage culture) การเลี้ยงปลาในกระชัง เป็นวิธีการเลี้ยงปลาที่มีมานานแล้ว อาจมีต้นก าเนิดมาจากประเทศ กัมพูชาซึ่งเลี้ยงกันอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ าโขงตอนล่าง ปัจจุบันจังหวัดนครสวรรค์เป็นแหล่งที่มีการ เลี้ยงปลาในกระชังมากที่สุด ซึ่งเลี้ยงกันอยู่ในลุ่มแม่น้ าน่าน จังหวัดอื่นๆ ที่มีการเลี้ยงปลาในกระชัง ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา อุทัยธานีลพบุรี สุพรรณบุรี ชัยนาท กาญจนบุรี ปลาที่นิยมเลี้ยงใน กระชัง ได้แก่ ปลาสวาย ปลาบู่ทราย ปลาชะโด ส่วนปลาอื่นๆ ก็มีบ้าง ได้แก่ ปลานิล ปลา ตะเพียนขาว ปลาช่อน ปลาแรด เป็นต้น ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกสถานที่เลี้ยงปลาในกระชัง 1. คุณภาพน้ าและปริมาณน้ าเหมาะสมทุกๆ ด้าน ไม่มีน้ าเสียไหลผ่าน 2. หาพันธุ์ปลาและอาหารได้ง่าย 3. ไม่ขัดต่อกฎหมายการประมง และการสัญจรทางน้ า 4. มีแหล่งรับซื้อปลาที่ผลิตได้ 5. การคมนาคมสะดวก โครงสร้างของกระชัง ประกอบด้วย 3 ส่วน (สุทธิชัย , 2548) 1. โครงร่าง จะมีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าท าด้วยไม้ ไม้ไผ่ ท่อเหล็กชุบหรือท่อน้ า 2. ตัวกระชัง จะท าด้วยอวนไนลอนโพลีเอททีลีน ซึ่งมีทั้งแบบมีปมและไม่มีปม ไม้ไผ่ ไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อแข็ง ตะแกรงลวดชุบ 3. ทุ่นลอย ใช้พยุงกระชังให้ลอยน้ า สามารถรับน้ าหนักของตัวกระชังปลาที่เลี้ยงและ เกษตรกรที่ลงไปปฏิบัติงานบนกระชังได้ ชนิดของกระชังที่นิยมใช้ 1. กระชังไม้ไผ่ เหมาะส าหรับผู้ที่มีทุนน้อย อายุการใช้งาน 1–1.5 ปี มีขนาด 2 x 5 x 1.5 ลูกบาศก์เมตร กระชังแบบนี้สานคล้ายชะลอม และกันปลากระโดดหนีโดยสานไม้ไผ่เป็นผืนเพื่อปิด บนกระชัง ข้อเสียของกระชังไม้ไผ่คือ กระแสน้ าไหลถ่ายเทไม่สะดวก ท าให้มีเศษอาหารเหลือ ตกค้างตามก้นกระชัง และท าความสะอาดกระชังได้ยาก 2. กระชังไม้ เหมาะส าหรับผู้ที่มีทุนมากและเลี้ยงปลาที่มีราคาแพง ถ้าท าด้วยไม้เนื้ออ่อนมีอายุ ใช้งาน 5 - 6 ปี ถ้าท าด้วยไม้เนื้อแข็งอายุใช้งาน 8 - 10 ปี ปัจจุบันนิยมท าโครงกระชังด้วยไม้ แล้วใช้ไนลอนท าเป็นก้นและฝากระชังเพื่อลดค่าใช้จ่ายลง


103 3. กระชังอวน ท าด้วยอวนไนล่อนหรือโพลีเอททีลีน ส่วนมากเป็นเนื้ออวนประเภทไม่มีปม ซึ่งท าให้ปลาไม่บอบช้ า นิยมใช้เลี้ยงปลาน้ ากร่อยบริเวณชายฝั่งทะเล อายุการใช้งาน 2 - 3 ปี ซึ่ง แบ่งออกได้เป็น กระชังอวนผูกติดกับเหล็ก และกระชังอวนลอย ประเภทของกระชังที่นิยมใช้เลี้ยงปลาแยกออกได้เป็น 3 ประเภท 1. กระชังลอย หมายถึง กระชังที่แขวนลอยด้วยทุ่นและพื้นก้นกระชังอยู่พ้นผิวดินที่กระชัง ตั้งอยู่ กระชังชนิดนี้นิยมแพร่หลาย เพราะมีการถ่ายเทน้ าได้ดีไม่มีปัญหาเกี่ยวกับพวกตัวเบียนและ ระดับน้ าขึ้นลง 2. กระชังก้นติดพื้นดิน หมายถึง กระชังที่ก้นของกระชังติดอยู่บนพื้นดินใต้ท้องน้ า ส่วน ของขอบกระชังไม่แขวนด้วยทุ่นแต่โผล่พ้นผิวน้ าขึ้นไป กระชังชนิดนี้เหมาะส าหรับแหล่งน้ าที่มีระดับ ขึ้นลงไม่ต่างกันมาก 3. กระชังครึ่งลอยครึ่งจม หมายถึง กระชังที่มีฝาปิดและแขวนลอยใต้ผิวน้ าก้นกระชังไม่ติด พื้นดินท้องน้ า กระชังชนิดนี้ไม่เป็นที่นิยมเพราะยากแก่การให้อาหาร และดูแลรักษา รูปแบบของกระชังมีหลายรูปแบบ เช่น กระชังวงกลมแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า และแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นต้น รูปแบบของกระชังที่ใช้อาจขึ้นอยู่กับชนิดของปลาที่เลี้ยง ความสะดวกในการปฏิบัติงาน อย่างไรก็ดีรูปแบบของกระชังที่ใช้เลี้ยงที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย คือ แบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสและแบบ สี่เหลี่ยมผืนผ้า ทั้งนี้เพราะสร้างง่ายและต้นทุนต่ ากว่ากระชังแบบกลม ขนาดของกระชัง จะแตกต่างกันไปตามสภาพความเหมาะสมในการใช้งานวัสดุที่ใช้และสภาพท้องที่ดังนี้ 1. กระชังอนุบาลลูกปลา มีขนาด 1 x 2 x 1 เมตร หรือ 2 x 2 x 1 เมตร ขนาดตาอวน ขึ้นอยู่กับขนาดลูกปลา ลูกปลาขนาดความยาว 1.0 – 5.0 เซนติเมตร ใช้กระชังมุ้งเขียว ขนาดตาอวน 1.0 – 2.0 มิลลิเมตร 2. กระชังเลี้ยงปลาเล็ก มีขนาด 2 x 2 x 1.5 เมตร ขนาดตาอวน 0.5 - 1.0 เซนติเมตร 3. กระชังเลี้ยงปลาใหญ่ ใช้ส าหรับปลาขนาดความยาวตั้งแต่ 15 เซนติเมตร ขึ้นไป กระชังมีขนาด 3 x 3 x 2.5 เมตร หรือ 4 x 4 x 2.5 เมตร หรือ 5 x 5 x 3 เมตร ขนาดตา อวนที่ใช้มีขนาด 2.0 – 3.0 เซนติเมตร การดูแลรักษากระชัง ต้องหมั่นตรวจดูกระชังบ่อยๆ ถ้าหากกระชังมีรอยขาดอาจเนื่องจากเศษไม้เข้าไปติดหรือปู กัดควรรีบซ่อมแซมแก้ไขทันที กระชังที่ใช้เลี้ยงควรย้อมหรือทาด้วยยากันเพรียงเสียก่อนและต้องท า


104 ความสะอาดกระชัง การท าความสะอาดกระชังควรกระท าให้ห่างไกลจากสถานที่เลี้ยง ทั้งนี้เพราะ จะไม่ท าให้น้ าขุ่นซึ่งเป็นอันตรายกับปลา ภาพที่ 13 แสดงการเลี้ยงปลาในกระชัง ภาพถ่าย โดยนายบรรชร กล้าหาญ , 2551 ข้อจ ากัดของการเลี้ยงปลาในกระชัง 1. สภาพแวดล้อมในบริเวณที่ตั้งกระชังต้องเหมาะสม เช่น คุณภาพของน้ าต้องดี กระแสน้ าไหลในอัตราที่พอเหมาะ และไม่เกิดปัญหาโรคปลา สถานที่อยู่ในบริเวณที่ก าบังลม 2. ปลาที่ปล่อยเลี้ยงควรมีขนาดใหญ่กว่าตาหรือช่องกระชัง ปลาจะไม่รอดหนีหาย 3. ปลาที่เลี้ยงควรมีลักษณะการกินอาหารพร้อมๆกันทันทีที่ให้อาหาร เพื่อให้ปลากิน อาหารให้มากที่สุดก่อนที่อาหารจะถูกกระแสน้ าพัดพาออกไปนอกกระชัง 4. ในกรณีที่แหล่งน้ าเลี้ยงผิดปกติ เช่น เกิดสารพิษ น้ ามีปริมาณมากหรือน้อยในทันที อาจจะเกิดปัญหากับปลาที่เลี้ยงซึ่งยากต่อการแก้ไข หากประสบปัญหาดังกล่าวควรขนย้ายปลาไป เลี้ยงที่อื่น 4. การเลี้ยงปลาในบ่อคอนกรีต (Tank culture) เป็นวิธีการเลี้ยงปลาโดยให้น้ าไหลผ่านตลอดเวลา อาจจะปล่อยทิ้งหรือปล่อยลงบ่อใหญ่ เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ าแล้วน ากลับมาใช้ใหม่ ข้อดีของการเลี้ยงแบบนี้ คือ สามารถดูแลและสังเกต ความผิดปกติของปลาได้ง่าย และยังสามารถจัดการในด้านความสะอาด คุณภาพน้ า การให้อาหาร การก าจัดโรคและปรสิต และยังสามารถจับขายได้ง่ายสะดวกอีกด้วย ปลาที่จะเลี้ยงในบ่อคอนกรีต ควรมีราคาดี โตเร็ว อดทนต่อสภาพสิ่งแวดล้อม เช่น อยู่กันอย่างหนาแน่นได้ อยู่ในน้ าที่มีออกซิเจน


105 ต่ าได้ เช่น ปลาดุกอาจจะเลี้ยงในบ่อคอนกรีตกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไป ความลึก ประมาณ 1.2 เมตร ก้นบ่อเป็นรูปกรวยผิวด้านในเรียบเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับปลา ปล่อย ลูกปลาความยาว 5 - 9 เซนติเมตร จ านวน 350 - 500 ตัว/ลูกบาศก์เมตร ช่วงแรกให้มีระดับ น้ าเพียง 30 – 40 เซนติเมตร และค่อยๆ เพิ่มขึ้นประมาณ 10 เซนติเมตร ทุก 5 วัน จนถึง ระดับที่ต้องการ (โชคชัย , 2548) อาหารที่ให้นิยมอาหารส าเร็จรูปชนิดเม็ดลอยน้ า โปรตีน 30 – 45 % ให้ประมาณวันละ 3 – 12 % ของน้ าหนักปลา วันละประมาณ 5 ครั้ง และยังต้องลดระดับน้ าในบ่อลงประมาณ 15 เซนติเมตร ในเวลาประมาณ 6.00 น. และ 19.30 น. ของทุกวัน เพื่อระบายน้ าก้นบ่อทิ้ง ท่อระบายน้ าทิ้ง ภาพที่ 14 แสดงบ่อคอนกรีตส าหรับเลี้ยงปลา ในพื้นที่ที่มีดินเป็นทรายหรืออยู่บนที่ดอน ดินไม่สามารถกักเก็บน้ าไว้ได้เป็นเวลานานๆ ผู้ เลี้ยงก็ควรหันมาเลี้ยงปลาในบ่อคอนกรีตแทน ซึ่งการเลี้ยงปลาในรูปแบบนี้ยังสามารถที่จะท าการ เลี้ยงปลาแบบเข้มข้น (Intensive) ได้เป็นอย่างดีซึ่งจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า สรุป การเลี้ยงปลาในแต่ละวิธีผู้เลี้ยงจะต้องมีการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดสม่ าเสมอ ตลอดช่วง ระยะเวลาของการเลี้ยงเพื่อให้ปลาที่เลี้ยงมีอัตราการรอดตายสูง มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี และ ได้ผลผลิตจากการเลี้ยงสูง ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรนิยมเลี้ยงปลาแบบเข้มข้นที่ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ มากเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายของการผลิตและตามระยะเวลาที่ต้องการ


106 ค าถามท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 จงตอบค าถามต่อไปนี้ 1. จงบอกถึงประเภทของการเลี้ยงปลาตามลักษณะการด าเนินงาน ? 2. จงอธิบายถึงเทคนิคการเลี้ยงปลารูปแบบต่างๆ ?


กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ใบงานที่ 7 ชื่อใบงาน การเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถปฏิบัติการเตรียมบ่อดินเพื่อการเลี้ยงปลาดุกได้ 2. สามารถปฏิบัติการดูแลปลาที่เลี้ยงได้ 3. สังเกตและบันทึกอัตราการเจริญเติบโตของปลาที่เลี้ยงได้ เครื่องมือและอุปกรณ์ 1. อุปกรณ์เพื่อการเตรียมบ่อได้แก่ จอบ เสียม มีด ตาข่ายส าหรับล้อมท ารั้ว 2. สวิงส าหรับช้อนลูกปลา 3. แหหรืออวนส าหรับจับปลาหรือสัตว์น้ าที่อาจจะอาศัยในบ่อ 4. หลักไม้และเชือก วัสดุ 1. พันธุ์ปลาดุก 2. อาหารส าเร็จรูป 3. ปุ๋ยคอก 4. มุ้งเขียว ขั้นตอนการปฏิบัติ ให้นักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. เตรียมบ่อดินขนาด 2.5 ม. X 6 ม. 2. บ่อที่เตรียมให้มีระดับความลึกที่สามารถจุน้ าได้ 1.5 เมตร 3. ใช้แหหรืออวนในการจับปลาหรือสัตว์น้ าที่อาจจะอาศัยในบ่อ 4. น าตาข่ายล้อมรอบบ่อเพื่อป้องกันศัตรู 5. ปล่อยน้ าเข้าบ่อปลา ใส่ปุ๋ยคอกเพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติ 6. ปล่อยพันธุ์ปลาดุกที่มีความสมบูรณ์พร้อมใส่ในบ่อที่เตรียมบ่อละ 800 ตัว 7. ดูแลให้อาหารทุกวัน


108 8. สังเกตการเจริญเติบโตของปลาพร้อมทั้งบันทึกผล การวัดผลและประเมินผล 1. ประเมินการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย จากการปฏิบัติของนักเรียนในการเตรียมบ่อ 2. ประเมินการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย โดยการให้นักเรียนบรรยายสรุปถึงขั้นตอนในการ ปฏิบัติงาน 3. ประเมินการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย โดยสังเกตจากพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ งาน ความสนใจในการท างานที่ได้รับมอบหมายด้วยความตระหนักในหน้าที่


ใบงานที่ 5 ชื่อใบงาน การเลี้ยงปลาในกระชัง จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถปฏิบัติการเตรียมกระชังเพื่อการเลี้ยงปลาได้ 2. นักเรียนสามารถปฏิบัติการดูแลปลาในกระชังได้ 3. นักเรียนสามารถสังเกตและบันทึกอัตราการเจริญเติบโตของปลาในกระชังได้ เครื่องมือและอุปกรณ์ 1. อุปกรณ์เพื่อการเตรียมกระชัง ได้แก่ ตาข่าย เชือกไนล่อน หลักไม้เชือกฟาง กรรไกร 2. สวิงส าหรับช้อนลูกปลา วัสดุ 1. พันธุ์ปลาทับทิม 2. อาหารส าเร็จรูป ขั้นตอนการปฏิบัติ ให้นักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. เตรียมขึงกระชังลงในบ่อ 2. คัดเลือกพันธุ์ปลาทับทิมที่มีความสมบูรณ์ใส่ในกระชังที่เตรียมไว้กระชังละ 600 ตัว 3. ดูแลให้อาหารทุกวัน 4. สังเกตการเจริญเติบโตของปลาพร้อมทั้งบันทึกผล การวัดผลและประเมินผล 1. ประเมินการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย จากการปฏิบัติของนักเรียนในการเตรียมกระชัง 2. ประเมินการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย โดยการให้นักเรียนบรรยายสรุปถึงขั้นตอนในการ ปฏิบัติงาน และการปล่อยพันธุ์ปลา 3. ประเมินการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย โดยสังเกตจากพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ งาน ความสนใจในการท างานที่ได้รับมอบหมายด้วยความตระหนักในหน้าที่


ใบงานที่ 6 ชื่อใบงาน การเลี้ยงปลาในบ่อซีเมนต์ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถท าการเลี้ยงปลาในบ่อซีเมนต์ได้ 2. นักเรียนสามารถสังเกตและบันทึกอัตราการเจริญเติบโตของปลาในบ่อซีเมนต์ได้ เครื่องมือ / อุปกรณ์ 1. สวิง 2. อุปกรณ์เพิ่มออกซิเจนในน้ า 3. บ่อคอนกรีตขนาด 3 X 6 X 1.5 เมตร 4. กะละมังพักปลา วัสดุ 1. พันธุ์ปลาดุก 2. อาหารเม็ด ล าดับขั้นการปฏิบัติงาน 1. การเตรียมล้างบ่อซีเมนต์ 2. ปล่อยน้ าเข้าบ่อซีเมนต์ลึก 1.5 เมตร 3. ปล่อยปลาลงในบ่อซีเมนต์ 4. น าผักตบชวาลอยในบ่อซีเมนต์ 5. ดูแลให้อาหารทุกวัน 6. สังเกตการเจริญเติบโตของปลา การวัดผลและประเมินผล 1. ประเมินผลจากขั้นตอนการปฏิบัติงานของนักเรียน 2. ประเมินผลจากการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของนักเรียน 3. ประเมินผลจากการรายงานผลการปฏิบัติงานของนักเรียน


111 การสรุปผลการศึกษาการเลี้ยงปลาน้ าจืดแบบต่าง ๆ 1. หลักการในการเตรียมบ่อดิน …………………………………………………………………………………………………………………………….............. ....................................................................................................................................……………………… ....................................................................................................................................……………………… 2. หลักการเตรียมกระชัง ………………….................................................................................................................................... ..............………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ....................................................................................................................................……………………… 3. หลักการเตรียมบ่อซีเมนต์ ……………………………………………………………………………………………………………………………………….. ................................................................................................................................................……………. ...................................................................................................................................……………………… ....................................................................................................................................……………………… 4. ผลการเลี้ยงปลาน้ าจืดแบบต่าง ๆ 4.1. การเลี้ยงในบ่อดิน ......................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................. ................. ................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................……………………… 4.2.การเลี้ยงในกระชัง ......................................................................................................................................................... ................. ............................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ......................................................................................................................................................... ..... ...............................................................................................................................………………………


112 4.3. การเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ......................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ......................................................................................................................................................... ..... ...............................................................................................................................……………………… 5. ข้อดีและข้อจ ากัดของการเลี้ยงปลาน้ าจืดในวิธีต่าง ๆ 5.1 การเลี้ยงในบ่อดิน …………………………………….…………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………….……… ………………………………………………………..…………………………………………………………………………… 5.2 การเลี้ยงในกระชัง …………………………………………………………………………………………………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………….………………………………………………………………………………………………………… 5.3 การเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………….............................................................. ................................................................................................................................................................ ..............................................................................................................................………………………


แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง เทคนิคการเลี้ยงปลาน้ าจืดวิธีต่างๆ ค าแนะน า ให้นักเรียนอ่านค าถามแล้วกากะบาด (X) ทับข้อค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค าตอบเดียว ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. ปัจจุบันเกษตรกรนิยมเลี้ยงปลาในประเภทใดมากที่สุด ? ก. แบบธรรมดา ข. แบบกึ่งเข้มข้น ค. แบบเข้มข้น ง. แบบยังชีพ 2. ปลาชนิดใดสามารถที่จะเลี้ยงรวมกันได้ดี? ก. ปลาดุกกับปลาตะเพียนขาว ข. ปลาบู่กับปลานิล ค. ปลายี่สกกับปลาจีน ง. ปลาช่อนกับปลาหมอไทย 3. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน ? ก. เป็นการใช้พื้นที่ในฟาร์มให้เกิดประโยชน์สูงสุด ข. เป็นการใช้ประโยชน์จากเศษเหลือของพืชและสัตว์ ค. ท าให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ง. ลดการเกิดโรคระบาด 4. ประโยชน์จากการเลี้ยงปลาในนาข้าวข้อใดส าคัญที่สุด ? ก. เพิ่มผลผลิตให้แก่ข้าว ข. ช่วยก าจัดพันธุ์ไม้น้ า ค. ช่วยก าจัดแมลงศัตรูข้าว ง. เป็นการใช้ที่ดินอย่างถูกต้องตามหลักเศรษฐศาสตร์ 5. ปลาชนิดใดที่สามารถเลี้ยงแบบผสมผสานได้ดี? ก. ปลานิล ปลาหมอเทศ ข. ปลาไน ปลาตะเพียนขาว ค. ปลาดุก ปลาสวาย ง. ปลาบู่ ปลาช่อน


114 6. ข้อใดไม่ใช่การจัดการโดยทั่วไปของการเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน ? ก. ใช้เศษเหลือของผักที่ปลูกบนบ่อปลาเป็นอาหารปลาโดยตรง ข. ใช้มูลสัตว์เลี้ยงเป็นปุ๋ยเพิ่มอาหารธรรมชาติในบ่อ ค. น าปลาที่ตายแล้วไปให้เป็นอาหารปลาอื่นต่อไป ง. น าดินโคลนจากก้นบ่อปลาไปใช้ในการปลูกพืชผัก 7. ปัจจัยส าคัญที่สุดที่ท าให้การเลี้ยงปลาในนาข้าวประสบผลส าเร็จคือข้อใด ? ก. รักษาระดับน้ าในแปลงนาอย่างน้อย 30 เซนติเมตร ข. ปล่อยปลาลงเลี้ยงในอัตราที่เหมาะสม ค. ไม่ใช้ยาปราบศัตรูพืชในนาข้าว ง. ป้องกันนกไม่ให้มากินปลาในนา 8. ปัจจัยในการเลือกสถานที่เพื่อการเลี้ยงปลาในกระชังข้อใดส าคัญที่สุด ? ก. คุณภาพน้ าแต่ละด้านเหมาะสมไม่มีน้ าเสียผ่าน ข. หาพันธุ์ปลาและอาหารได้ง่าย ค. ไม่ขัดต่อกฎหมายการประมงและการสัญจรทางน้ า ง. มีแหล่งรับซื้อปลาและการคมนาคมสะดวก 9. ปลาชนิดใดที่เหมาะสมส าหรับการเลี้ยงในบ่อคอนกรีต ? ก. ปลานิล ข. ปลาช่อน ค. ปลาสวาย ง. ปลาดุก 10. ปัจจุบันเกษตรกรนิยมเลี้ยงปลาในรูปแบบใดมากที่สุด ? ก. เลี้ยงในกระชัง ข. เลี้ยงในบ่อดิน ค. เลี้ยงในบ่อคอนกรีต ง. เลี้ยงในนาข้าว


115 แผนการจัดการเรียนรู้ประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง เทคนิคการเลี้ยงปลาน้ าจืด 1. สาระส าคัญ : ปลาน้ าจืดที่มีความส าคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่นิยมเลี้ยงกันมีอยู่หลายชนิด การที่ จะเลือกเลี้ยงปลาชนิดใดนั้นต้องพิจารณาถึงความนิยมของผู้บริโภค ต้นทุนในการเลี้ยง และสภาวะ ทางการตลาดประกอบด้วย การศึกษาถึงเทคนิควิธีการเลี้ยงปลาน้ าจืดที่มีความส าคัญทางเศรษฐกิจ ชนิดต่างๆ จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถที่จะน าไปใช้ปฏิบัติในการเลี้ยงปลาได้อย่างถูกต้อง 2. สมรรถนะประจ าหน่วยการเรียนรู้: 1. มีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการเลี้ยงปลาน้ าจืด 2. สามารถปฏิบัติการเลี้ยงปลาน้ าจืดตามหลักการ 3. มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพการเลี้ยงปลาน้ าจืด 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง : 1. สามารถอธิบายเทคนิควิธีการเลี้ยงปลาน้ าจืดแต่ละชนิดได้อย่างถูกต้อง 2. สามารถฝึกปฏิบัติท าการเลี้ยงปลาน้ าจืดที่ส าคัญทางเศรษฐกิจได้อย่างถูกต้อง 3. สามารถอธิบายคุณค่าของการเลี้ยงปลาน้ าจืดได้อย่างถูกต้อง 4. มีกิจนิสัยในการท างานอย่างเป็นระบบด้วยความรับผิดชอบ ขยัน อดทน 4. ความรู้ที่ต้องได้รับ : 1. ข้อพิจารณาพื้นฐานในการคัดเลือกชนิดปลาที่จะเลี้ยง 2. เทคนิคการเลี้ยงปลาน้ าจืดที่มีความส าคัญทางเศรษฐกิจ 5. ทักษะทางปัญญาที่ต้องการพัฒนา : ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีทักษะทางการวิเคราะห์ สังเคราะห์


116 6. คุณธรรมจริยธรรมที่ต้องการ : 1. มีใจรักและศรัทธาในวิชาชีพ 2. มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร 3. มีความซื่อสัตย์ 4. มีความสนใจใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 7. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องการ : 1. มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลา 2. มีมนุษย์สัมพันธ์ 3. การรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถท างานร่วมกับผู้อื่น 5. การบริการสังคมและชุมชน 6. ความปลอดภัย 8. กิจกรรมการเรียนการสอน : 1. ศึกษาเนื้อหาในหัวเรื่องที่ 1-2 2. การท าแบบทดสอบก่อนการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 8 3. ศึกษาวิดีทัศน์เรื่องการเลี้ยงปลาน้ าจืดพร้อมการอภิปรายแลกเปลี่ยน 4. การเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนเรื่องประเภทของปลาน้ าจืดที่นิยมเลี้ยง 5. การฝึกปฏิบัติการเลี้ยงปลาตามกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย 6. การศึกษาดูงานนอกสถานที่ด้านการเลี้ยงปลาน้ าจืด 7. การท าแบบทดสอบหลังการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 8 8. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 8 9. การจัดท าบันทึกการเรียนรู้ 10. การเก็บรวบรวมผลงานการเรียนรู้เพื่อจัดท าแฟ้มสะสมผลงาน 9. จ านวนชั่วโมงที่สอน : จ านวน 12 ชั่วโมง 10. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ : 1. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 8


117 3. แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 8 4. วีดีทัศน์การเลี้ยงปลาน้ าจืดชนิดต่างๆ 5. แหล่งวิทยาการในชุมชนด้านการเลี้ยงปลาน้ าจืด 6. เอกสารใบงานเรื่อง การศึกษาจ าแนกประเภทของปลาน้ าจืดที่นิยมเลี้ยง 7. แบบบันทึกการเรียนรู้ 11. วิธีการประเมินผล : 1. การวัดความสามารถด้านพุทธิพิสัย : โดยการท าแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน แบบทดสอบ ก่อน-หลังเรียน การร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น และการน าเสนองาน 2. การวัดความสามารถด้านทักษะพิสัย : โดยการสังเกตพฤติกรรมในการท างานร่วมกัน การ วางแผนในการท างานร่วมกัน และความสามารถในการท างานส าเร็จอย่างมีคุณภาพตามเวลาที่ มอบหมาย 3. การวัดความสามารถด้านจิตพิสัย : โดยการสังเกตจากพฤติกรรมในขณะด าเนินกิจกรรม การเรียนการสอนว่า ให้ความสนใจในการเรียนรู้ การมีวินัย การตรงต่อเวลา การมีส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน 12. บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ 1. ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้ .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2. ปัญหาที่พบ .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3. แนวทางแก้ปัญหา .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................


118 หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 เทคนิคการเลี้ยงปลาน้ าจืด ข้อพิจารณาพื้นฐานส าหรับการคัดเลือกชนิดปลาที่จะเลี้ยง ปลาแต่ละชนิดมีลักษณะการกิน การอยู่ ตลอดจนการเจริญเติบโตและการแพร่พันธุ์แตกต่าง กันไม่มากก็น้อย จึงเป็นเรื่องส าคัญอย่างยิ่งก่อนที่ผู้เลี้ยงปลาจะตัดสินใจเลี้ยงปลาชนิดใด ควรจะได้ เรียนรู้หรือทราบถึงลักษณะนิสัยของปลาชนิดนั้นๆเสียก่อน หลักการคัดเลือกปลาที่จะเลี้ยง จึงเป็นส่วน ส าคัญที่จะท าให้ได้ก าไร หรือประสบผลส าเร็จท าให้ผลผลิตออกมาเป็นเนื้อปลาสูงสุดในแหล่งน้ านั้นๆ โดยค านึงถึงแง่เศรษฐกิจที่จะให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า ส าหรับข้อพิจารณาพื้นฐานในการคัดเลือก ชนิดปลาที่จะเลี้ยงมีดังนี้(กรมประมง , 2551) 1. เลี้ยงง่าย ได้แก่ ปลาที่กินอาหารง่าย ไม่เลือกอาหาร เช่น กินผักหญ้า อาหารที่มี ตามธรรมชาติ หรือซื้อหาได้ง่ายและราคาถูก 2. เจริญเติบโตรวดเร็ว ถ้าปลาที่เลี้ยงโตเร็วเพียง 6 เดือนถึง 1 ปีก็ใช้เป็นอาหารหรือมี ขนาดโตพอที่จะจ าหน่ายได้ 3. หาพันธุ์ได้ง่าย เช่น เพาะพันธุ์ได้ในบ่อ หรือหาพันธุ์ปลาได้จากที่ใกล้เคียงเพื่อจะได้มี ปลาเลี้ยงอยู่เสมอ และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อหาลูกปลามาเลี้ยงด้วยราคาแพงเกินไป 4. มีลูกดกและขยายพันธุ์ง่าย ระยะเวลาการวางไข่ แพร่พันธุ์ยาวนานและวางไข่หลายครั้ง 5. อดทนต่อสภาวะแวดล้อม และมีความต้านทานต่อการเบียดเบียนของโรคพยาธิ 6. มีความสามารถในการกินอาหารธรรมชาติอย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยน อาหารสมทบเป็นเนื้อได้สูง 7. ไม่เป็นศัตรูหรือกินปลาด้วยกัน โดยเฉพาะควรเป็นปลากินพืชหรือกินแพลงก์ตอน 8. ควรเป็นปลาที่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นได้ดี 9. เป็นปลาที่เนื้อมีรสชาติดี มีคุณค่าทางอาหารสูง และขายได้ราคาสูง การที่ปลาจะใช้ประโยชน์จากอาหารธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะต้องเป็นปลาที่กิน อาหารที่มีห่วงโซ่อาหารสั้น (Short food chain) เช่น ปลาที่กินพวกอินทรีย์สารที่เน่าเปื่อย หรือ ปลาที่กินพืชและสาหร่าย นอกจากนั้นควรจะเป็นปลาที่ใช้ประโยชน์จากอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ใน ส่วนต่างๆของบ่อ ปลาที่มีแหล่งอาศัยต่างกันก็กินอาหารแตกต่างกันออกไป เพื่อให้เกิดผลผลิตสูงจึง ควรจะเลี้ยงปลาที่มีนิสัยการกินอาหารแตกต่างกันไว้ในบ่อเดียวกัน ในแง่เศรษฐกิจควรจะเลี้ยงปลากิน พืชแต่ผู้บริโภคต้องการปลาที่มีรสชาติแตกต่างกัน ปลาที่กินเนื้อรสชาติดีกว่าปลากินพืชและมีราคา ดีกว่า


119 การเพาะเลี้ยงปลาบางชนิดที่ให้ผลผลิตดีกว่าปลาที่มีอยู่ในท้องถิ่น จึงได้มีการน าปลาจาก ต่างประเทศเข้ามาเลี้ยง และมีปลาหลายชนิดที่เราน าเข้ามาเลี้ยงในประเทศ บางชนิดก็เป็นที่นิยม บางชนิดก็เสื่อมความนิยม นอกจากนั้นปลาบางชนิดอาจจะเลี้ยงได้ดีในสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างจากเดิม เช่น ปลาน้ ากร่อยประเภท ปลานวลจันทร์ทะเล ปลากระบอก ปลากะพง จะเจริญเติบโตในน้ าจืด ดีกว่าในน้ ากร่อย ฉะนั้นจึงควรมีการวิเคราะห์ดูว่าปลาแต่ละชนิดจะเหมาะกับสภาพและสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ของตนเองที่มีอยู่มากน้อยเพียงใด ชนิดของปลาน้ าจืดที่นิยมเลี้ยง 1. การเลี้ยงปลานิล ชื่อสามัญ Nile tilapia ชื่อวิทยาศาสตร์ Oreochromis niloticus ภาพที่ 15 แสดงรูปร่างของปลานิล ที่มา : http://www.rakmuangthai.com 1.1 ลักษณะทั่วไปของปลานิล ปลานิลเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว อดทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้เป็นอย่างดี กินอาหาร จ าพวกพืชสามารถกินอาหารได้ทุกชนิด ขยายพันธุ์ได้ในบ่อเลี้ยงและแหล่งน้ าทั่วไป มีไข่ดกและ ขยายพันธุ์ได้ตลอดปี ใช้เวลาเลี้ยงระยะสั้นก็สามารถจับขึ้นมาขายได้ เนื่องจากปลานิลมีรสชาติดี ท าอาหารได้หลายชนิด จึงเป็นที่นิยมบริโภคกันทั่วไป ประกอบกับราคาปลานิลดีพอสมควร จึงท า ให้มีการเลี้ยงปลาชนิดนี้กันมาก


120 ปลานิลเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกในปี 2508 โดยเจ้าฟ้าอากิฮิโต มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น ได้จัดปลานิลขนาด 9 เซนติเมตร หนัก14กรัม จ านวน 50 ตัว เข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ปล่อยเลี้ยงในบ่อดินขนาด 10 ตารางเมตร ในพระราชวังสวน จิตรดา ปรากฏว่าปลานิลขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานพันธุ์ปลานิล ขนาด 3-4 เซนติเมตร จ านวน 10,000 ตัว ให้กรมประมงด าเนินการขยายพันธุ์ต่อไป (กรมประมง , 2550) แหล่งก าเนิดของปลานิล ปลานิลเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในสกุลทิลาเปีย (Tilapia) มีความยาว 40-50 เซนติเมตร การแพร่พันธุ์ของปลาชนิดนี้มีอยู่กว้างขวางในทวีปเอเชีย แอฟริกา และ ตะวันออกกลาง จัดเป็นปลาที่มีความส าคัญทางด้านเศรษฐกิจของแอฟริกา การแพร่กระจายของปลา นิลมิได้มีเฉพาะในแหล่งน้ าธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังมีผู้น าเอาไปเลี้ยงในประเทศต่างๆของเอเชีย ตะวันออกกลางและตะวันออกใกล้ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไต้หวัน และญี่ปุ่นอย่างแพร่หลายด้วย ในประเทศไทยปลานิลอาศัยอยู่ได้ในแหล่งน้ าจืดทั่วทุกภาคของประเทศไทย แม้แต่แหล่งน้ าบริเวณ ชายฝั่งทะเลที่มี น้ ากร่อย ปลานิลก็สามารถเจริญเติบโตได้ดีเช่นเดียวกัน รูปร่างและลักษณะนิสัย ลักษณะคล้ายปลาหมอเทศ ริมฝีปากบนและร่างเสมอกัน บริเวณ แก้มมีเกล็ด 4 แถว ล าตัวมีสีเขียวปนน้ าตาลและมีลายพาดขวาง 9-10 แถบ ตรงกลางเกล็ดมีสีเข้ม ที่กระดูกแก้มมีจุดสีเข้มอยู่ 1 จุด บริเวณปลายอ่อนของครีบหลัง ครีบก้นและครีบหางมีจุดสีขาวและ เส้นสีด าตัดขวางอยู่ทั่วไป ปกติรูปร่างลักษณะภายนอกของปลานิลตัวผู้และตัวเมียจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่ อวัยวะที่ใช้จ าแนกความแตกต่างของปลานิลตัวผู้และตัวเมียคืออวัยวะเพศ ปลานิลตัวผู้จะมีอวัยวะ เพศยื่นยาว มีช่องเปิดเพียงช่องเดียวอยู่ตรงปลาย ท าหน้าที่ขับถ่ายปัสสาวะและน้ าเชื้อ ส่วนปลานิล ตัวเมียจะมีอวัยวะเพศยื่นยาวออกมาสั้นกว่าและใหญ่กว่าตัวผู้ จะเห็นได้ชัดในปลาที่มีความยาวตั้งแต่ 10 เซนติเมตรขึ้นไป บนอวัยวะจะมีช่องเปิด 2 ช่อง ช่องแรกอยู่ตรงส่วนปลายท าหน้าที่เป็นช่อง ขับถ่ายปัสสาวะ อีกช่องอยู่ถัดไปทางส่วนหน้าตรงบริเวณกลางซึ่งมีขนาดใหญ่และมีสีชมพูเรื่อๆ หรือ สีเนื้อท าหน้าที่เป็นช่องปล่อยไข่ นอกจากนี้ยังสังเกตข้อแตกต่างระหว่างปลาตัวผู้และตัวเมียได้อีกทาง หนึ่งคือ สีบนล าตัวและใต้คางของปลาตัวผู้จะเข้มกว่าปลาตัวเมีย โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ ปลานิลเป็นปลาที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงในแหล่งน้ าจืด สามารถปรับตัวเข้าไปอาศัยในน้ ากร่อย ได้ สามารถทนต่อความเค็มได้ 20 ส่วนในพันส่วน (ppt.) มีชีวิตอยู่ในช่วงที่มีอุณหภูมิแตกต่างกัน กว้างตั้งแต่ 11-42 องศาเซลเซียส แต่ก็ไม่สามารถอยู่ในที่เย็นซึ่งมีอุณหภูมิต่ ากว่า 5 องศาเซลเซียส ได้ และสามารถทนต่อสภาพความเป็นกรดได้ถึง pH 6.0 เจริญเติบโตได้ดีในช่วง pH 6.5 - 8.5 การกินอาหาร ปลานิลสามารถกินได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น แพลงก์ตอนพืช พืชน้ า ไรน้ า นอกจากอาหารเหล่านี้แล้ว ปลานิลยังสามารถกินอาหารพวกอาหารเม็ด และเศษอาหารได้


121 1.2 วิธีการเลี้ยงปลานิล การเลี้ยงปลานิลเพื่อจ าหน่ายจะต้องพิจารณาในด้านอาหารปลาที่จะน ามาใช้เลี้ยงเป็นหลัก คือต้องเป็นอาหารที่หาง่าย ราคาต่ า เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้มากที่สุด มีความจ าเป็นในด้านการ จัดการฟาร์มที่เหมาะสม เพราะปลานิลเป็นปลาที่ออกลูกดก ถ้าหากปลาในบ่อมีความหนาแน่นมากก็ จะไม่เจริญเติบโต การเลี้ยงที่จะให้ได้ผลดีต้องปฏิบัติตามหลักวิชาการ บ่อดิน บ่อที่เลี้ยงปลานิลควรเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพื่อสะดวกในการจับ เนื้อที่อย่างน้อย ประมาณ 200 ตารางเมตร บ่อขนาดดังกล่าวสามารถจะผลิตปลานิลได้125 - 250 กิโลกรัม/ปี โดยใช้เศษอาหารจากโรงครัว ปุ๋ยคอก อาหารสมทบอื่นๆที่หาได้ง่าย เช่น แหนเป็ด สาหร่าย เศษ พืชผักต่างๆ ปริมาณปลาที่ผลิตได้ก็เพียงพอส าหรับการบริโภคในครอบครัวที่มีจ านวน 5-6 คน ส่วนการเลี้ยงปลานิลเพื่อการค้าในรูปแบบที่เลี้ยงเดี่ยว ควรใช้บ่อขนาดใหญ่ตั้งแต่ 1 งานถึง 3 ไร่ และควรจะมีหลายบ่อเพื่อทยอยจับปลาเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน เพื่อให้ได้เงินสดมา ใช้จ่ายเป็นเงินทุนหมุนเวียนส าหรับค่าอาหารปลา เงินเดือนคนงาน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ บ่อเก่า ก าจัดวัชพืชและพันธุ์ไม้น้ าต่างๆ เช่น กก หญ้า ผักตบชวาให้หมด โดยน ามากอง สุมไว้เพื่อให้แห้งและตาย แล้วน ามาใช้เป็นปุ๋ยหมักในขณะที่ปล่อยปลาลงเลี้ยง ถ้าในบ่อมีเลนมากก็ จ าเป็นต้องลอกเลนขึ้นโดยน าไปเสริมคันดินที่ช ารุด และควรแต่งเชิงลาดและคันดินให้แน่นด้วย ก่อนที่จะปล่อยปลานิลลงเลี้ยง ท าการก าจัดวัชพืช ศัตรูของปลาจ าพวกปลากินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาหมอ ปลาดุก นอกจากนี้ก็มีสัตว์จ าพวก กบ เขียด งู เป็นต้น โดยวิธี ระบายน้ าออกให้เหลือน้อยที่สุด ในกรณีที่จะสูบน้ าให้แห้งจะต้องพิจารณาด้วยว่า จะหาน้ าจากที่ใด มาใช้ได้ทันที เมื่อตากบ่อไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ ถ้าไม่สามารถจะหาน้ ามาได้ต้องรอถึงฤดูฝน การก าจัด ศัตรูของปลาดังกล่าวอาจใช้โล่ติ๊นสดหรือแห้งประมาณ 1 กิโลกรัม/ปริมาณของน้ าในบ่อ 100 ลูกบาศก์เมตร วิธีใช้คือทุบหรือบดโล่ติ๊นให้ละเอียด น าลงแช่น้ าประมาณ 1-2 ปี๊บ ขย าโล่ติ๊น เพื่อให้น้ าสีขาวออกมาหลายๆครั้งจนหมดน าไปสาดให้ทั่วบ่อ ศัตรูพวกปลาจะลอยหัวขึ้นมาภายหลัง ใส่โล่ติ๊นประมาณ 30 นาที ใช้สวิงจับขึ้นมาบริโภคได้ ที่เหลือตายก้นบ่อจะลอยอืดขึ้นในวันรุ่งขึ้น ถ้ามี ปริมาณไม่มากนักก็ไม่จ าเป็นต้องเก็บขึ้น ส่วนศัตรูจ าพวก กบ เขียด งู จะหนีออกจากบ่อไป และ ก่อนที่จะปล่อยปลาลงเลี้ยงควรจะทิ้งระยะไว้ประมาณ 7 วัน เพื่อให้ฤทธิ์ของโล่ติ๊นสลายตัวไปหมด เสียก่อน การกินอาหารของปลานิลจะกินอาหารจ าพวกแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ เศษวัสดุ เน่าเปื่อยตามก้นบ่อ แหน สาหร่าย ฯลฯ ในบ่อเลี้ยงปลาถ้าจะให้มีอาหารธรรมชาติดังกล่าวเกิดขึ้น เสมอต้องใส่ปุ๋ยลงไปเพื่อละลายเป็นธาตุอาหารจ าพวก N , P , K ซึ่งพืชน้ าขนาดเล็กจ าเป็นต้องใช้ใน การปรุงอาหารและเจริญเติบโตโดยกระบวนการสังเคราะห์แสงซึ่งเป็นห่วงโซ่อาหาร ส่วนแพลงก์ตอน


122 สัตว์ ได้แก่ ไรน้ า และตัวอ่อนของแมลง ปุ๋ยที่ใช้ได้แก่ มูลวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ นอกจากปุ๋ยที่ ได้จากมูลสัตว์แล้วก็อาจใช้ปุ๋ยหมักจ าพวกหญ้าและฟางข้าว ปุ๋ยพืชสดต่างๆ เช่น พืชจ าพวกตระกูล ถั่ว ต้นสาบเสือ ส าหรับการท าปุ๋ยหมักควรกองสุมเป็นชั้นๆ โรยขั้นด้วยปุ๋ยคอกประมาณ 2-5 ชั้น เพื่อ เร่งอัตราการเน่าเปื่อยสลายตัวได้ดียิ่งขึ้น อัตราส่วนการใส่ปุ๋ยคอกในระยะแรก ควรใส่ประมาณ 250-300 กิโลกรัม/ไร่/เดือน ส่วนใน ระยะหลังควรลดลงเพียงครึ่งหนึ่งหรือสังเกตจากสีของน้ าในบ่อ ถ้ายังมีสีเขียวอ่อนแสดงว่ามีอาหาร ธรรมชาติเพียงพอ ถ้าสีใสปราศจากอาหารธรรมชาติก็เพิ่มอัตราส่วนให้มากขึ้น และในกรณีที่หาปุ๋ยคอก ไม่ได้ก็อาจใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15 : 15 : 15 ใส่ประมาณ 5 กิโลกรัม/ไร่/เดือนก็ได้ วิธีใส่ปุ๋ย ถ้าเป็นปุ๋ยคอกควรตากบ่อให้แห้งเสียก่อน เพราะถ้าเป็นปุ๋ยสดแล้วจะท าให้น้ าใน บ่อมีก๊าซจ าพวกแอมโมเนียละลายอยู่ในน้ ามาก ซึ่งเป็นอันตรายต่อปลา การใส่ปุ๋ยคอกใช้วิธีหว่านลง ไปในบ่อให้ละลายน้ าโดยทั่วๆไป ส่วนปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยสดนั้นควรกองสุมไว้ตามมุมบ่อ 2-3 แห่ง โดยมี ไม้ปักล้อมเป็นคอกรอบกองปุ๋ย เพื่อป้องกันมิให้ส่วนที่ยังไม่สลายตัวกระจัดกระจาย บ่อที่มีอาหารธรรมชาติมากหรือน้อยนั้น ถ้าจะให้ทราบผลได้แน่นอนควรใช้ถุงลากแพลงก์ตอน ลากตรวจสอบ หรือจะสังเกตได้จากสีของน้ า ถ้ามีสีเขียวจะมีอาหารจ าพวกพืชเล็กๆ มาก แต่น้ าใน บ่อสีค่อนข้างคล้ ามักจะมีอาหารจ าพวกไรน้ ามาก พวกพืชน้ าขนาดเล็กและไรน้ าเหล่านี้นับว่าเป็นแหล่ง อาหารโปรตีนที่ส าคัญ และจ าเป็นในการเจริญเติบโตของปลานิลที่เลี้ยงเป็นอย่างมาก อัตราการปล่อยปลา ปลานิลขยายพันธุ์ได้รวดเร็วในบ่อเลี้ยงแม่ปลาตัวหนึ่งจะออกลูกได้ 3 - 4 ครั้ง ในเวลา 1 ปี การเลี้ยงปลานิลจ านวนพันธุ์ปลาที่จะปล่อยลงบ่อเลี้ยงแบ่งออกได้ 2 วิธี คือ 1. ปล่อยลูกปลาขนาด 3-5 เซนติเมตร ครบจ านวนอัตราส่วนต่อพื้นที่ผิวน้ าของบ่อที่มีความ ลึกประมาณ 1 เมตร และมีระยะเวลาการเลี้ยงที่จะจับปลาจ าหน่ายภายในระยะเวลา 6-12 เดือน ซึ่งควรปล่อยปลาให้เต็มที่ตามสัดส่วน 3 ตัว/ตารางเมตร หรือ 5,000 ตัว / ไร่ 2. ปล่อยพ่อแม่ปลาขนาด 15-20 เซนติเมตร น้ าหนักเฉลี่ยตัวละประมาณ 250-300 กรัม จ านวน 1 คู่/เนื้อที่ผิวน้ า 8 ตารางเมตร หรือไร่ละ 200 คู่ ในชั่วระยะเวลา 2-3 เดือน จะมีลูกปลา เกิดขึ้นจ านวนมากเกินความต้องการ ควรใช้อวนคัดจับลูกปลาออกเพื่อลดปริมาณลงให้ใกล้เคียงกับ อัตราส่วนที่เหมาะสม มิฉะนั้นปลาที่เลี้ยงก็จะไม่เจริญเติบโตเนื่องมาจากมีความหนาแน่นมาก ถ้าจะ ไม่ใช้วิธีจับลูกปลาออกก็อาจจะท าการควบคุมโดยชีววิธี ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งในการปฏิบัติและ เศรษฐกิจ คือ ปล่อยลูกปลาบู่ทรายขนาด 50-100 กรัม หรือลูกปลาช่อนขนาดนิ้วมือ 100 ตัว/ไร่ ภายหลังที่ปล่อยปลานิลลงเลี้ยงด้วยวิธีนี้ 3-4 เดือนลูกปลาบู่และปลาช่อนดังกล่าวจะกินลูกปลานิล ขนาดเล็ก กุ้งฝอย และปลาขนาดเล็กอื่นๆที่ไม่ต้องการ ซึ่งจะท าให้ปริมาณส่วนของปลานิลที่เลี้ยง อยู่ในลักษณะสมดุล มีการเจริญเติบโตดี และเมื่อเก็บเกี่ยวผลในระยะเวลาประมาณ 8-12 เดือน


123 นับตั้งแต่ปล่อยพ่อแม่ปลาลงเลี้ยง ก็จะได้ผลผลิตปลานิลขนาดใหญ่ตามที่ตลาดต้องการ และมีปลาบู่ กับปลาช่อนอีกจ านวนหนึ่งซึ่งจ าหน่ายได้ราคาดี การให้อาหาร การใส่ปุ๋ยเป็นการให้อาหารแก่ปลานิลวิธีหนึ่งที่ส าคัญมาก เพราะจะได้ อาหารธรรมชาติที่มีโปรตีนสูงและราคาถูก แต่เพื่อเป็นการเร่งให้ปลาที่เลี้ยงเจริญเติบโตเร็วขึ้น หรือ ถูกต้องตามหลักวิชาการ จึงควรให้อาหารจ าพวกคาร์โบไฮเดรทเป็นอาหารสมทบด้วย เช่น ร า ปลายข้าว กากมะพร้าว มันส าปะหลัง หั่นต้มให้สุก และเศษเหลือของอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น กากถั่วเหลืองจากโรงท าเต้าหู้ กากถั่วลิสง อาหารผสมซึ่งมีปลาป่น ร าข้าว ปลายข้าว มีจ านวน ของโปรตีนประมาณ 20 % เศษอาหารที่เหลือจากโรงครัวหรือภัตตาคาร อาหารประเภทพืชผัก เช่น แหนเป็ด สาหร่าย ผักตบชวาสับให้ละเอียดเป็นต้น อาหารสมทบเหล่านี้ควรเลือกหาชนิดที่มี ราคาถูกและหาได้สะดวกส่วนปริมาณที่ให้ไม่ควรเกิน 4 % ของน้ าหนักปลาที่เลี้ยง หรือจะใช้ความ สังเกตจากปลาที่ขึ้นมากินอาหารจากจุดที่ให้เป็นประจ า คือถ้ายังมีปลานิลออกันอยู่มากเพื่อรอกิน อาหาร ก็เพิ่มทวีจ านวนอาหารมากขึ้นตามล าดับทุก 1-2 สัปดาห์ ในการให้อาหารสมทบมีข้อพึง ระวัง คือถ้าปลากินไม่หมด อาหารตกจมก้นบ่อ หรือละลายน้ ามากไป ก็อาจท าให้เกิดความ เสียหายขึ้นหลายประการ เช่น เสียค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์ ท าให้น้ าเน่าเสียเป็นอันตรายต่อ ปลาที่เลี้ยง หรือต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการสูบถ่ายเปลี่ยนน้ าบ่อยๆ เป็นต้น การเลี้ยงปลาต้องตรวจและวัดคุณสมบัติของน้ าตลอดเวลา ถ้าน้ าเสียเป็นอันตรายต่อปลา ต้องรีบเปลี่ยนน้ าทันที หรือน้ ามีคุณสมบัติทางเคมีเปลี่ยนแปลงไป เช่น ปริมาณออกซิเจนลดลง มี ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (ก๊าซไข่เน่า) หรือความเป็นกรดเป็นด่างของน้ าเปลี่ยนแปลงไปก็ต้องรีบแก้ไข ทันที โรคปลาก็เช่นกันถึงแม้ปลาจะไม่ค่อยเป็นโรคมากนัก แต่ก็มีโอกาสที่เป็นโรคได้จึงต้องหมั่น ตรวจดูปลาในบ่ออยู่เสมอ ถ้าเห็นปลามีอาการผิดปกติก็จับขึ้นมาตรวจ ถ้าพอจะแก้ไขได้ก็รีบแก้ไข ทันที ผลผลิต ผลผลิตของปลานิลที่เลี้ยงแบบเดี่ยว จะได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของปุ๋ยที่ใช้ คุณภาพของอาหารที่ให้และการจัดการซึ่งพอจะยกตัวอย่างให้ทราบดังต่อไปนี้(ชาติชาย , 2543) 1. ใส่ปุ๋ยคอกอย่างเดียว ได้ผลผลิตประมาณ 200-300 กิโลกรัม/ไร่/6 เดือน 2. ใส่ปุ๋ยคอก + ปุ๋ยหมัก ได้ผลผลิตประมาณ 250-350 กิโลกรัม/ไร่/เดือน 3. ใส่ปุ๋ยคอก + ปุ๋ยหมัก + อาหารผสมโปรตีนประมาณ 20 % (ร าข้าว ปลายข้าว ปลาป่น) จะได้ผลผลิตประมาณ 650 -1,000 กิโลกรัม/ไร่/6 เดือน การปล่อยลูกปลานิลเลี้ยง 2 วิธีดังกล่าวข้างต้น โดยวิธีแรกปล่อยลูกปลาขนาด 3-5 เซนติเมตร ปลาขนาดดังกล่าวนี้เมื่อเลี้ยงในระยะ 4-5 เดือน บางส่วนจะมีขนาดตั้งแต่ 11 เซนติเมตร ขึ้นไป ซึ่งอยู่ในวัยเจริญพันธุ์สามารถวางไข่ได้และมีลูกปลาเกิดขึ้นหนาแน่นในบ่อ ท าให้ ปลาส่วนใหญ่ที่เลี้ยงไว้แต่เดิมไม่โตเพราะถูกแย่งอาหาร ที่อยู่อาศัย คุณสมบัติของน้ าไม่เหมาะสม คือ


124 ปริมาณของออกซิเจนในน้ าไม่เพียงพอ ตลอดจนปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากขึ้นจาก การหายใจของปลาจ านวนมากที่อาศัยกันอยู่อย่างหนาแน่น ฉะนั้นการจัดการที่ดีก็คือ ควบคุม ประชากรปลาโดยชีววิธีดังได้กล่าวมาแล้วและอีกวิธีหนึ่งคือ ใช้ข่ายไนลอนขนาดช่องตา 8 เซนติเมตร คัดจับปลาที่มีขนาดน้ าหนัก 6-7 ตัว/กิโลกรัม ไปจ าหน่ายอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งและถ้าสามารถใช้ อวนตาขนาด 1 นิ้ว ตีจับคัดเลือกปลาขนาดต่างๆ ออกไปเลี้ยงในบ่ออื่น หรือจ าหน่ายคราวละมากๆ ก็ควรปฏิบัติ 1-2 เดือน / ครั้ง เพื่อจัดอัตราส่วนของปริมาณปลาที่เลี้ยงให้อยู่ในลักษณะสมดุล โดย เปิดโอกาสให้ลูกปลาขนาดเล็กสามารถเจริญเติบโตเร็วขึ้นจะเป็นการเพิ่มผลผลิตของปลาที่เลี้ยงมาก ขึ้นอีกประมาณ 20% 1.3 การเลี้ยงปลานิลในนาข้าว ปกติพื้นที่นามีความอุดมสมบูรณ์สูงท าให้เกิดแพลงก์ตอน พืชและแพลงก์ตอนสัตว์ในปริมาณที่มาก จึงเหมาะสมที่จะเลี้ยงปลาได้ การเลี้ยงปลาในนาข้าวต้อง ปรับปรุงนาข้าวให้เหมาะสมโดยขุดคูรอบแปลงนาเสริมคันดินให้สูง ภายในแปลงนาควรซอยเป็นคู เล็กๆ เริ่มปล่อยปลาลงไปเมื่อปลูกข้าวได้ตั้งแต่ 1-2 อาทิตย์ หรือหลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว แต่วิธีหลังจะ ท าได้ก็ต่อเมื่อมีน้ าเพียงพอ อัตราปล่อยปลานิลในนาข้าวใช้ปลาขนาด 4-5 เซนติเมตร จ านวน 500-1,200 ตัวต่อไร่ การเลี้ยงปลานิลในนาข้าว ก็มีข้อจ ากัดตรงที่ไม่สามารถใช้ยาปราบศัตรูพืชได้ เพราะจะเป็น อันตรายต่อปลา ผลผลิตข้าวที่ได้จึงไม่สูงเท่าที่ควร จะได้ผลราว 380 - 480 กิโลกรัมต่อไร่ แต่จะ ได้ผลผลิตของปลาประมาณ 100 กิโลกรัมต่อไร่ การเลี้ยงปลานิลในนาข้าวจะได้ผลดีกว่าการท านา อย่างเดียวถ้าในนานั้นมีศัตรูพืชระบาดไม่มากนัก เนื่องจากประหยัดต้นทุนไปได้มาก เช่น ไม่ต้องใช้ ยาฆ่าแมลง เพราะใช้แล้วปลาจะเป็นอันตราย แต่ศัตรูข้าวส่วนหนึ่งจะเป็นอาหารของปลา การเลี้ยง ปลาในนาข้าวจะท าให้ดินดี ไถพรวนท าได้ง่ายจึงประหยัดน้ ามันส าหรับรถไถ และการสึกหรอของรถ ย่อมน้อยลง การให้ปุ๋ยก็น้อยลงเพราะดินสมบูรณ์อยู่มากแล้ว 1.4 การเลี้ยงปลานิลในกระชัง หมายถึง การเลี้ยงปลาในภาชนะที่กักขัง ตั้งแต่ลูกปลา ขนาดเล็กไปถึงขนาดใหญ่ โดยน้ าสามารถถ่ายเทได้รอบด้านโดยสะดวก ส าหรับปลานิลนั้นการเลี้ยงในบ่อดินมีข้อเสียคือ มีการสืบพันธุ์วางไข่อยู่เสมอ ดังนั้นการ เติบโตจึงไม่เร็วเท่าที่ควร เมื่อน ามาเลี้ยงในกระชังแล้วจึงไม่มีการสืบพันธุ์ ท าให้ปลาโตเร็ว กระชังที่เหมาะสมในการเลี้ยงปลาจะต้องมีการถ่ายเทน้ าได้ดีจึงจะให้ผลิตผลสูง ผิวกระชัง ต้องมีช่องกว้างพอ เช่น ช่องตาอวนควรมีขนาดตา 5 มิลลิเมตร ขนาดของปลานิลที่ปล่อยลงเลี้ยง จะต้องมีขนาด 25 กรัม ถ้าเป็นกระชังท าด้วยอวน ขนาดของปลาจะต้องใหญ่กว่า 10 เท่าของตา อวน คือปลาควรมีน้ าหนัก 70 กรัม ลักษณะของกระชังมีดังนี้ (กรมประมง , 2550) 1. กระชังหรือคอกแบบผูกติดกับที่ สร้างโดยใช้ไม้ไผ่ทั้งล าปักลงในแหล่งน้ า ถ้ากระชังไม่ ใหญ่นักก็ใช้ไม้ไผ่ปัก 4 มุมกระชังก็พอ และถ้ากระชังใหญ่ก็ใช้ไม้ไผ่ปักเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม


125 นอกจากนี้ควรมีไม้ไผ่ผูกเป็นแนวนอน เหนือผิวน้ าประมาณ 1-2 เมตร เพื่อยึดล าไม้ไผ่ที่ปักลงในดิน ให้แน่น กระชังตอนบนและล่างควรร้อยเชือกคร่าวเพื่อใช้ยึดตัวกระชังให้ขึงตึง โดยเฉพาะตรงมุม 4 มุมของกระชังทั้งด้านล่างและด้านบน การวางกระชังก็ควรวางให้เป็นกลุ่ม โดยเว้นระยะห่างกันให้น้ า ไหลผ่านได้สะดวก อวนที่ใช้ท ากระชังเป็นอวนไนลอนช่องตาแตกต่างกันตามขนาดของปลานิลที่จะ เลี้ยง คือขนาดช่องตา 1/4 นิ้ว 8/8 นิ้ว ขนาด 1/2 นิ้ว และอวนตาถี่ส าหรับเพาะและเลี้ยงลูก ปลาวัยอ่อน 2. กระชังแบบลอย ลักษณะเหมือนกับกระชังโดยทั่วไป แต่ไม่ใช้เสาปักยึดอยู่กับที่ ส่วนบนของกระชังผูกติดทุ่นลอย ซึ่งใช้ไม้ไผ่หรือแท่งโฟม มุม 4 มุมด้านล่างใช้แท่งปูนซีเมนต์หรือ ก้อนหินผูกติดกับเชือกคร่าวถ่วงให้กระชังจม ถ้าเลี้ยงปลาหลายกระชังก็ใช้เชือกผูกโยงติดกันไว้เป็น กลุ่ม แหล่งน้ าที่ตั้งกระชัง กระชังควรตั้งในที่มีลมเพื่อช่วยพัดพาไม่ให้สัตว์หรือพืชมาเกาะที่ตา กระชัง ซึ่งจะท าให้เป็นอันตรายต่อปลาที่เลี้ยง เนื่องจากจะท าให้ออกซิเจนน้อยลง และการถ่ายเท ของน้ าไม่สะดวก ควรวางกระชังในที่มีระดับน้ าลึก 2-5 เมตร มีลมพัดตลอดเวลา ปลานิลที่เลี้ยงในกระชัง ในหนองบึงที่มีอาหารธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ สามารถปล่อยปลาได้ หนาแน่น คือ 40-100 ตัว/ตารางเมตร โดยไม่ต้องให้อาหารสมทบ ส าหรับประเทศไทยไม่มีแหล่ง น้ าใดที่มีอาหารธรรมชาติสมบูรณ์ การเลี้ยงปลาในกระชังจ าเป็นต้องให้อาหารสมทบที่เหมาะสม เช่น ปลายข้าวหรือมันส าปะหลัง ร าข้าว ปลาป่น และพืชผักต่างๆ โดยมีอัตราส่วนของโปรตีนประมาณ 20 % วิธีท าอาหารผสมคือ ต้มเฉพาะปลายข้าวหรือมันส าปะหลังให้สุก แล้วน ามาคลุกเคล้ากับร า ปลาป่น และพืชผักต่างๆ แล้วปั้นเป็นก้อนเพื่อมิให้ละลายน้ าได้ก่อนที่ปลาจะกิน ส่วนกระชังหรือคอก ปลาที่เลี้ยงในล าแม่น้ า จะเพิ่มอัตราส่วนการปล่อยปลาลงเลี้ยงได้ประมาณ 200 ตัว / ตารางเมตร ตามธรรมชาติปลานิลค่อนข้างชอบกินพืช ถ้าใช้อาหารพวกพืชหรือเศษของเหลือจาก การเกษตรและอุตสาหกรรม ก็เลี้ยงปลาได้ดีเหมือนอาหารเม็ด ถ้าเป็นอาหารเม็ดเลี้ยงปลาควรมี โปรตีน 24 % ในอัตรา 6 % ของน้ าหนักตัวปลา หากอัตราปล่อยปลาอยู่ในระดับ 300-350 ตัว / ตารางเมตร ผลผลิตของปลาขึ้นกับการดูแล อาหาร ระยะเวลาการเลี้ยง ปกติการเลี้ยงปลาใน กระชังจะให้ผลสูงกว่าเลี้ยงในบ่อ 10-20 เท่า


126 2. การเลี้ยงปลาสวาย ชื่อสามัญ Stripped catfish , Siamese shark ชื่อวิทยาศาสตร์Pangasius sutchi Fewler ภาพที่ 16 แสดงรูปร่างของปลาสวาย ที่มา : http:// www.moohin.com/animals/other-33.shtml 2.1 ลักษณะทั่วไปของปลาสวาย ปลาสวายพบเห็นทั่วไปทั้งในประเทศไทย กัมพูชา และเวียดนาม แหล่งที่พบปลาสวายชุกชุม มากที่สุดในประเทศไทย คือ บริเวณลุ่มแม่น้ าเจ้าพระยา ตั้งแต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เรื่อยไปจนถึง จังหวัดนครสวรรค์เป็นปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจที่ส าคัญชนิดหนึ่ง เพราะเนื้อมีรสดีมีปริมาณมาก สามารถปรุงแต่งเป็นอาหารได้หลายแบบหลายรส ในการเลี้ยงปลาเป็นอาชีพ ปลาสวายเป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงอย่าง กว้างขวาง สามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อ ในกระชัง และเลี้ยงได้ทั้งชนิดเดียว หรือเลี้ยงรวมกันกับปลา ชนิดอื่น เช่น ปลาตะเพียน ปลานิล ฯลฯ เพราะปลาสวายเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว และไม่ค่อยมี โรคพยาธิเบียดเบียนเช่นปลาอื่นๆ นอกจากนั้นยังเป็นปลาที่กินอาหารได้เกือบทุกชนิด แม้เศษ อาหารจากร้านค้า ครัวเรือน หรือมูลสัตว์ เช่น มูลไก่ มูลสุกร ฯลฯ ก็ใช้เป็นอาหารปลาสวายได้ เป็นอย่างดี ปลาสวายเป็นปลาน้ าจืดที่ไม่มีเกล็ด มีขนาดใหญ่มากรองจากปลาบึก ขนาดใหญ่ที่สุดมีความ ยาวถึง 150 เซนติเมตร ล าตัวเรียวยาว ลักษณะด้านข้างค่อนไปทางอ้วนกลม มีหลังค่อนข้างตรง


127 ส่วนหน้าลาดลงถึงปาก ปากกว้างทู่ มีหนวดสั้นๆ 2 คู่ มีกระโดงครีบหลัง 2 ครีบไม่ติดต่อกัน ครีบอันหลังเล็กมาก เป็นครีบไขมัน (Adipose fin) นอกจากนี้ยังมีครีบอก 1 คู่ ปลายหางยาวและ เว้าลึกเป็นแฉก หลังมีสีหม่นเข้ม ตามครีบจะมีสีเหลืองอ่อน ที่ปลายหาง ครีบหลังและครีบอกจะมีสี ค่อนข้างด า ปลาสวายมีลักษณะส่วนสัดคล้ายคลึงกับปลาเทโพ แต่แตกต่างกันโดยใช้จุดเป็นเครื่อง สังเกตได้ง่ายๆคือ ปลาเทโพจะมีจุดกลมด าที่เหนือโคนครีบหูหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ หู” อีกข้างละ หนึ่งจุด แหล่งก าเนิดและการแพร่กระจาย ปลาสวายมีแหล่งก าเนิดในประเทศอินเดียและพม่า ต่อมาได้แพร่เข้ามาในประเทศอินโดนีเซียและไทย ในประเทศไทยปลาสวายมีแหล่งอาศัยอยู่ในแม่น้ า เจ้าพระยา ท่าจีน ป่าสัก และแม่น้ าโขง รวมทั้งคลอง หนองบึง อันเป็นสาขาของแม่น้ าดังกล่าว เช่น ในบึงบอระเพ็ดจังหวัดนครสวรรค์ และบึงสีไฟจังหวัดพิจิตร พบว่าปลาสวายอาศัยอยู่บริเวณที่ เป็นอ่าว น้ านิ่งและมีผักตบชวา แต่ไม่เคยมีรายงานการพบปลาสวายในแม่น้ าสายส าคัญอื่น ๆ เช่น แม่น้ าแม่กลอง และบางปะกง ตลอดจนแม่น้ าในแถบทางภาคใต้ของประเทศไทย (กรมประมง , 2549) อุปนิสัยและคุณสมบัติบางประการ ปลาสวายชอบอาศัยอยู่ได้ทั้งแม่น้ าล าคลองที่มีการ ถ่ายเทน้ าได้ดี จะสามารถปรับตัวเองให้อยู่ในหนองที่มีน้ านิ่งเช่นกัน บริเวณที่อาศัยมักจะเป็นแอ่งที่ กว้างและลึกพอประมาณ มักพบว่าบริเวณหน้าวัดซึ่งเป็นแม่น้ าล าคลองจะพบว่าปลาสวายอาศัยอยู่ได้ เป็นอย่างดีหากไม่มีผู้รบกวน เป็นปลาที่ฉลาดสามารถหลบหลีกจากการจับด้วยเครื่องมือต่างๆได้ดี เมื่อถึงฤดูฝนหรือฤดูน้ าแรงไหลหลาก ปลาสวายที่อาศัยอยู่ตามแม่น้ า ล าคลอง หนอง บึง จะเคลื่อนย้ายออกหากินในบริเวณน้ าท่วมถึงเพื่อหาอาหารที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างการ เจริญเติบโตของถุงน้ าเชื้อและรังไข่ของพ่อแม่ปลาให้สมบูรณ์ ก่อนที่จะมีการผสมพันธุ์และวางไข่ใน ระยะต่อมา ปลาสวายเป็นปลาที่กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ โดยทั่วไปแล้วจะชอบกินอาหารประเภทเนื้อ มากกว่า ทั้งนี้จะไม่เลือกว่าสัตว์มีชีวิตหรือตาย การเลี้ยงปลาสวายไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงในบ่อหรือใน กระชัง ผู้เลี้ยงมักนิยมให้อาหารประเภทเศษอาหารจากครัวเรือน หรืออาหารที่หาได้ด้วยราคาประหยัด ที่สุด ซึ่งได้แก่ ปลายข้าวต้มผสมร าและผักสดผสมกัน ปลาก็จะเจริญได้ดี แต่ถ้าเป็นการเลี้ยงเพื่อท า พ่อแม่พันธุ์แล้ว มีความจ าเป็นจะต้องผสมปลาสดซึ่งอาจเป็นปลาเป็ดสับหรือปลาป่นลงในส่วนผสม ของอาหารจึงจะได้ผลดี ตามธรรมชาติปลาชนิดนี้มีนิสัยการกินอาหารกับพื้นน้ าหรือก้นบ่อ แต่ก็พบว่า สามารถกินอาหารบนผิวน้ าได้ดีเช่นกัน ดังจะเห็นได้ตามสวนสัตว์และหน้าวัดต่างๆ ซึ่งมีประชาชนได้ ซื้อขนมปังโยนลงไปเพื่อดูการกินอาหารของปลาสวายอย่างสนุกสนาน แหล่งหาพันธุ์ ปลาสวายไม่วางไข่แพร่พันธุ์ในบ่อหรือในกระชัง การเลี้ยงปลาชนิดนี้จึงต้อง อาศัยหาพันธุ์มาจากแหล่งน้ าธรรมชาติ ลูกปลาสวายส่วนมากจะได้มาจากแหล่งน้ าต่าง ๆ ในภาค


128 กลาง คือ ประมาณเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคมซึ่งเป็นฤดูน้ าหลาก ชาวประมงจะท าการจับลูกปลา โดยใช้เครื่องมือจับปลาแบบเครื่องกั้นที่เรียกว่า “ ไซมาน ” หรือ แห ช้อน และอาจใช้ลอบยืนได้ โดยใช้กล้วยสุกหรือปลาเน่าเป็นเหยื่อล่อ ปัจจุบันทั้งกรมประมงและฟาร์มเลี้ยงปลาของเอกชน สามารถเพาะพันธุ์ปลาสวายโดยวิธีการผสมเทียมได้ จึงท าให้มีแหล่งพันธุ์ปลาเพิ่มขึ้นอีก 2.2 วิธีการเลี้ยงปลาสวาย การเลี้ยงปลาสวายประเภทเลี้ยงชนิดเดียวนั้น ปัจจุบันมีการเลี้ยง 2 วิธีคือ เลี้ยงในบ่อดิน และเลี้ยงในกระชัง (กรมประมง , 2549) การเลี้ยงปลาสวายในบ่อดิน การเลี้ยงปลาสวายในบ่อดินท ากันมากในภาคกลาง โดยเฉพาะในเขตจังหวัดนครสวรรค์ ลงมาถึงสุพรรณบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร ข้อมูล เกี่ยวกับการเลี้ยง การให้อาหาร ตลอดจนการเจริญเติบโตค่อนข้างจะแตกต่างกันมาก ทั้งนี้มีปัจจัย อยู่หลายอย่างที่ท าให้มีข้อแตกต่างกัน เช่น น้ าและคุณสมบัติของน้ าที่ใช้เลี้ยง อาหารที่ใช้เลี้ยง และการจัดการ ตลอดจนการเอาใจใส่ ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ส าคัญในการเลี้ยงทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงปลาสวาย ควรจะได้มีการพิจารณาหลักทั่วๆ ไป คือ 1. ขนาดของบ่อและที่ตั้ง ควรเป็นบ่อขนาดใหญ่ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ขึ้นไป หรือ อย่างน้อยไม่ต่ ากว่า 400 ตารางเมตร ความลึกประมาณ 2 เมตร ที่ตั้งของบ่อควรใกล้แม่น้ าหรือ ล าคลองที่สามารถรับน้ าและระบายน้ าเข้าออกได้เมื่อต้องการ 2. การเตรียมบ่อ ใช้หลักการและวิธีการเดียวกับหลักการเตรียมบ่อเลี้ยงปลาทั่วไป 3. น้ าที่เอาใส่ไว้ในบ่อ ต้องเป็นน้ าที่มีคุณภาพ มีความเป็นกรด – ด่าง และปริมาณ ออกซิเจนเหมาะสม พันธุ์ปลา การเลือกพันธุ์ปลาที่จะน ามาเพาะเลี้ยง ควรคัดพันธุ์ปลาที่สมบูรณ์ ไม่มีแผล ไม่ เป็นปลาที่แคระแกร็น และตาไม่บอด เพราะหากเป็นปลาตาบอดแล้วจะไม่เป็นที่นิยมของผู้บริโภค เพราะสีของล าตัวจะด าไม่น่ารับประทาน ข้อควรระวังอีกประการหนึ่ง คือ การคัดพันธุ์ปลาลงเลี้ยง ต้องคัดปลาที่มีขนาดโตไล่เลี่ยกันปล่อยลงเลี้ยงในบ่อเดียวกัน เพราะหากปลามีขนาดตัวแตกต่างกัน มาก ปลาที่มีขนาดเล็กจะเข้ากินอาหารไม่ทันปลาตัวใหญ่ ท าให้มีปัญหาในการจับเพื่อจ าหน่าย ปลา ที่ปล่อยควรมีขนาดค่อนข้างโต คือ ขนาด 5-12 เซนติเมตร อัตราการปล่อย 2-3 ตัว/ตารางเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของอาหาร และความอุดมสมบูรณ์ของน้ าที่ใช้เลี้ยง อาหาร ปลาสวายเป็นปลากินอาหารได้ทุกประเภทโดยไม่เลือกซึ่งได้แก่ พืช สัตว์เล็กที่อยู่ ในน้ า เช่น พวกแมลง ไส้เดือน หนอน และตะไคร่น้ า ตลอดจนพวกจอกแหนและผักที่กินใบ นอกจากนั้นปลาสวายยังมีความสามารถในการใช้มูลสัตว์จ าพวกหมู ไก่ และจ าพวก วัว ควาย


129 ให้เป็นอาหารโดยตรงได้อีกด้วย ปลาสวายจึงเป็นปลาที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นปลาเลี้ยงแบบไร่นา สวนผสม หรือเรียกว่าแบบผสมผสานชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ในการเลี้ยงปลาสวายให้ประสบความส าเร็จหรือให้ได้ผลก าไรนั้น อยู่ที่การหาวัสดุมาใช้เป็น อาหาร ถ้าหากหาวัสดุมาได้ด้วยราคาถูก การเลี้ยงปลาก็ได้ก าไร ในทางตรงกันข้ามถ้าวัสดุอาหารหา มาได้ด้วยราคาแพง ก็จะได้ก าไรน้อยหรือขาดทุน อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาสวายในเขตชานเมืองของกรุงเทพมหานคร ปทุมธานี และจังหวัด ใกล้เคียง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตปลาสวาย ส่วนใหญ่จะได้มาจากเศษอาหารจากภัตตาคารและร้านค้า พวกมูลสัตว์หรืออาหารจากส่วนที่ย่อยไม่หมดของกระเพาะและล าไส้ของโค กระบือ และสุกรจาก โรงฆ่าสัตว์ เศษผักจากสวนผัก ซึ่งผู้ท าสวนผักตัดทิ้งและคัดทิ้ง เศษผักจากตลาดสดที่ถูกคัดทิ้ง ตลอดจนเศษเครื่องในและเหงือกปลาที่แม่ค้าในตลาดคัดออกทิ้ง เศษมันเส้น (จากมันส าปะหลัง) หรือ มันเส้น หรือหัวมัน ตลอดจนใบมัน โดยเฉพาะใบมันอาจโยนให้โดยตรง หรือต้มผสมกับวัสดุอื่นให้ กิน การเจริญเติบโตและผลผลิต การเลี้ยงปลาสวายในบ่อจะใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 8-12 เดือน ปลาสวายจะมีขนาด 1-1.5 กิโลกรัม ซึ่งเป็นขนาดที่จ าหน่ายได้ในท้องตลาดทั่วๆ ไป ปลาที่เลี้ยงใน บ่อดินในระยะ 8-12 เดือนนี้ จะมีผลผลิตประมาณ 4,000-6,000 กิโลกรัม/ไร่ ทั้งนี้แล้วแต่ความอุดม สมบูรณ์ของอาหารที่ให้และน้ าที่ใช้เลี้ยง การจับ หากท าการจับปลาจ านวนน้อยให้ใช้แหหรือสวิง แต่ถ้าจ านวนมากควรใช้อวนหรือ เฝือกสุกล้อม หากเป็นบ่อขนาดใหญ่ให้แบ่งตอนของบ่อด้วยเฝือกหรืออวนก่อน แล้วใช้อวนล้อมสกัด จับส่วนที่ต้องการออก เพื่อไม่ให้ปลาบริเวณที่เหลือมีอาการตื่นตกใจตามไปด้วย การแก้ปัญหากลิ่นสาบโคลนของปลาสวายที่เลี้ยงในบ่อ จากการเลี้ยงปลาสวายในบ่อ โดยเฉพาะที่เลี้ยงอย่างหนาแน่นนั้นมักจะมีกลิ่นสาบโคลนเมื่อ น ามาท าเป็นอาหาร การแก้ปัญหากลิ่นสาบโคลนมีดังนี้ 1. ถ่ายเทน้ าที่เลี้ยงปลาติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะน าปลาสวายไปจ าหน่ายหรือ ท าอาหาร 2. ควรจับปลาหรือถ่ายปลาจากบ่อใหม่ ที่มีน้ าสะอาดและถ่ายเทได้พอสมควร แล้วให้ อาหารจ าพวกปลายข้าวต้มผสมร าก่อนน าไปจ าหน่าย 2-3 วัน จะท าให้ปลามีกลิ่นดีขึ้นเมื่อ ท าอาหาร การเลี้ยงปลาสวายในกระชัง เป็นการเลี้ยงที่ให้ผลผลิตสูงกว่าการเลี้ยงในบ่อดิน และได้รับ ความนิยมอย่างมากจากผู้ที่อาศัยเรือนแพในแม่น้ าล าคลองแถบภาคกลาง เช่น จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ หลักเกณฑ์การเลี้ยงปลาสวายในกระชัง มีดังนี้


130 1. ที่ตั้งของกระชัง ควรตั้งในแหล่งน้ าจืดที่มีน้ าไหลถ่ายเทได้ เช่น แม่น้ า ล าคลอง หาก จะเลี้ยงในอ่างเก็บน้ าควรตั้งกระชังให้อยู่ในบริเวณตอนบนของอ่าง ซึ่งมีกระแสน้ าพอที่จะช่วยถ่ายเท ของเสียจากกระชังได้บ้างก็จะเป็นการดี 2. วัสดุที่ใช้สร้างกระชัง ส่วนใหญ่นิยมท าด้วยไม้เนื้อแข็งและจะมีอยู่บ้างที่ยังใช้ไม้ไผ่สาน ท าเป็นกระชัง นอกจากนั้นก็มีการใช้เนื้ออวนโพลีเอททีลิน แต่ยังไม่แพร่หลายมากนักในการใช้วัสดุ พยุงกระชังให้ลอยน้ านั้น นิยมใช้ไม้ไผ่มัดเป็นแพลูกบวบ 3. ขนาดของกระชัง ส่วนใหญ่ถ้าเป็นกระชังไม้หรืออวนจะมีขนาด 8-15 ตารางเมตร ลึก 1.25 -1.50 เมตร และถ้าเป็นไม้ไผ่สานจะมีขนาด 2 x 5 x 1.5 เมตร 4. อัตราการปล่อย ปลาที่ปล่อยเลี้ยงในกระชังขนาด 7 - 12 เซนติเมตร ปล่อยในอัตรา 100- 200 ตัว/ ตารางเมตร 5. อาหารและการให้อาหาร ใช้อาหารและส่วนประกอบของอาหารที่เลี้ยงในบ่อ แต่มี ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับการให้อาหารปลาที่เลี้ยงในกระชังนั้น อาหารอาจจะฟุ้งกระจายขณะที่ ปลาสวายแย่งกันกินอาหารจะมีส่วนสูญเสียอยู่จ านวนหนึ่ง อาจแก้ไขโดยใส่สารเหนียวผสมในอาหารที่ ให้ควรจะให้วันละ 1 ครั้ง ในปริมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ของน้ าหนักตัว 6. การเจริญเติบโต ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของอาหารที่ให้ หากเป็นกระชังขนาด ประมาณ 10 ตารางเมตร ลึก 1.25 เมตร ปล่อยปลา 150-200 ตัว/ตารางเมตร ใช้เวลาเลี้ยง ประมาณ 1 ปี จะให้ผลผลิตประมาณ 1,500 กิโลกรัม/กระชัง 7. การจับและล าเลียงส่งตลาด การจับปลาสวายที่เลี้ยงในกระชังนั้นท าง่ายๆ โดยใช้อวน ล้อมจับในกระชังซึ่งง่ายกว่าการจับในบ่อมาก การล าเลียงทางบกเพื่อให้ได้ปลามีชีวิตไปขายในตลาดท าได้ง่าย ๆโดยทางรถยนต์โดยรถปิคอัพ ใช้ถังสี่เหลี่ยมขังน้ าประมาณเพียงเพื่อให้ท่วมปลาแล้วใช้อวนปิดถัง การล าเลียงแบบนี้ควรท าตอนเช้ามืด หรือกลางคืนซึ่งมีอากาศเย็นจะได้ผลดีมาก


3. การเลี้ยงปลาดุก ชื่อสามัญ Walking catfish ชื่อวิทยาศาสตร์ ปลาดุกด้าน (Clarias batrachus) ชื่อวิทยาศาสตร์ ปลาดุกอุย (Clarias macrocephalus) ภาพที่ 17 แสดงรูปร่างของปลาดุกอุย ภาพถ่าย โดยนายบรรชร กล้าหาญ , 2551 3.1 ลักษณะทั่วไปของปลาดุก ปลาดุกเป็นปลาที่ชาวไทยนิยมรับประทานเป็นอาหารประจ าวัน และถือว่าเป็นปลาที่รสชาติ ดีชนิดหนึ่ง ถึงแม้มีขายตามตลาดทั่วไปแต่ก็มีราคาค่อนข้างสูง มีผู้เลี้ยงปลาชนิดนี้มานานแล้วปรากฏ ว่าเลี้ยงง่าย โตเร็ว และอดทนต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งสะดวกในการขนส่งในระยะทางไกล จึงมีผู้สนใจ เลี้ยงปลาดุกขึ้นมากตามล าดับ ในปัจจุบันปลาดุกจัดว่าเป็นปลาน้ าจืดเศรษฐกิจที่มีคุณภาพสูงสุด ค าว่าปลาดุก ในรายงานสถิติผลผลิตของกรมประมงหมายถึงปลากลุ่มปลาดุก ไม่ได้กล่าว แยกชนิดโดยเฉพาะเจาะจงแต่เป็นที่ทราบกันดีว่าปลาดุกที่เลี้ยงเป็นการค้าขายในประเทศมีหลายชนิด ที่นิยมเลี้ยงแพร่หลายในยุคแรกๆ ก็คือ ปลาดุกด้าน หลังจากเคยมีราคาตก เกษตรกรก็หันมาเลี้ยง ปลาดุกอุยแทน ปลาดุกอุยนี้เจริญเติบโตช้าและมีปัญหาเรื่องโรคมาก แต่เนื้อมีรสชาติดีจึงขายได้ราคา ดีกว่าปลาดุกชนิดอื่นๆ จนกระทั่งในปี 2530 ได้มีผู้น าปลาดุกยักษ์ (ปลาดุกเทศหรือปลาดุกรัสเซีย) จากประเทศลาวมาผสมพันธุ์กับปลาดุกอุย ได้ปลาลูกผสมที่มีรสชาติที่คล้ายกับปลาดุกอุยเจริญเติบโต


132 เร็วมาก และทนทานต่อโรค เกษตรกรจึงหันมาเลี้ยงปลาลูกผสม หรือที่เรียกกันว่า “บิ๊กอุย” ตั้งแต่ นั้นมาประมาณว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาดุกประมาณ 80% เลี้ยงบิ๊กอุย มีเพียง 20 % ที่เหลือเท่านั้นที่ เลี้ยงปลาดุกยักษ์ ปลาดุกอุยหรือ ปลาดุกด้านแท้ (กรมประมง , 2550) ลักษณะของปลาดุกและแหล่งก าเนิด ปลาดุกเป็นปลาที่อยู่ในสกุล Clarias ลักษณะโดยทั่วไป นั้น เป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด ตัวเรียวยาว ครีบหลังยาวไม่มีกระโดง ครีบท้องยาวถึงโคนหางมีหนวด 4 คู่ และมีอวัยวะช่วยในการหายใจ ซึ่งช่วยให้ปลาดุกอดทนและสามารถอยู่พ้นน้ าได้นาน ความแตกต่าง ของปลาดุกด้าน (Clarias batrachus) และปลาดุกอุย (Clarias macrocephalus) นั้นอยู่ที่กระดูก ท้ายทอยแหลมกว่าของปลาดุกอุย ซึ่งเป็นลักษณะที่ส าคัญ นอกจากนั้นยังมีลักษณะอื่นอีก เช่น สีที่ ล าตัวซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยความช านาญ แหล่งของปลาชนิดนี้ มีอยู่ทั่วไปในน่านน้ าจืดในเขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย หมู่เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ ส าหรับประเทศเรานั้น พบตามล าคลอง หนอง บึง ทั่วทุกภาคของประเทศ ส่วนปลาดุกยักษ์ มีถิ่นก าเนิดในทวีปแอฟริกา มีชื่อว่า (Clarias gariepinus , African sharptooth catfish) เป็นปลาที่มีการเจริญเติบโตเร็วมาก กินอาหารได้ทุกชนิด มีความต้านทานโรค และสภาพแวดล้อมสูง มีขนาดใหญ่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ แต่มีเนื้อเหลวและมีสีซีดขาวไม่น่า รับประทาน ซึ่งกรมประมงได้ให้ชื่อว่าปลาดุกเทศ (ชาติชาย , 2543) นิสัยของปลาดุก ตามธรรมชาติปลาดุกชอบอยู่ในล าคลอง หนองบึง บ่อ ที่น้ าจืดสนิท พื้นดินเป็นโคลนตม แม้แต่ในหนองน้ าที่มีน้ าเพียงเล็กน้อยก็ยังพบปลาดุก ปลาดุกยังมีอวัยวะพิเศษที่ ช่วยในการหายใจ สามารถด ารงชีวิตอยู่ได้ในสภาวะของน้ าที่มีออกซิเจนเพียงเล็กน้อย ในน้ าที่ ค่อนข้างกร่อยในเขตชลประทานบริเวณชายทะเล ปลาดุกก็สามารถอาศัยอยู่ได้ ปลาดุกมีนิสัยชอบ หาอาหารตามหน้าดิน เป็นปลาที่มีตาเล็กผิดส่วนกับขนาดของตัว แต่มีหนวดซึ่งรับความรู้สึกได้ดี ตามปกติปลาดุกมีนิสัยว่องไว ชอบกินอาหารจ าพวกเนื้อสัตว์ แต่ถ้าน ามาเลี้ยงอาจให้อาหารจ าพวก พืช และสามารถหัดให้ปลาดุกขึ้นมากินอาหารบริเวณผิวน้ าได้ 3.2 วิธีการเลี้ยงปลาดุก การเลี้ยงเป็นปลาใหญ่ การเลี้ยงปลาดุกด้านหรือปลาดุกอุยเพื่อเป็นปลาขนาดใหญ่ส าหรับจ าหน่ายในท้องตลาด ใช้วิธีเลี้ยงคล้ายกัน โดยสามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อดิน บ่อซีเมนต์ และกระชัง แต่ในบรรดาปลาดุกทั้ง 4 ชนิด (ปลาดุกอุย ปลาดุกด้าน ปลาดุกยักษ์และบิ๊กอุย) ปลาดุกอุยนับว่าเลี้ยงยากที่สุด แต่ถ้านับ ในช่วงอนุบาลปลาดุกด้านจะมีปัญหามากที่สุด ส่วนปลาดุกยักษ์และบิ๊กอุยนั้นเลี้ยงง่ายที่สุด วิธีการ เลี้ยงโดยหลักการเหมือนกัน แต่ต่างกันในรายละเอียดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยา


133 บ่อดิน หรือนาข้าวที่ดัดแปลงเป็นบ่อเลี้ยงปลาดุก เนื้อที่ของบ่อหรือนาข้าวที่ใช้เลี้ยง ไม่ ต้องใช้ขนาดใหญ่ เพราะปลาดุกสามารถจะเลี้ยงได้ในความหนาแน่นสูง พื้นที่ของบ่อที่เหมาะสมคือ 200-400 ตารางเมตร สามารถกักเก็บน้ าได้ 80-100 เซนติเมตร หมุนเวียนจับปลาจ าหน่าย ส่วน ท าเลที่ตั้งของบ่อควรอยู่ใกล้แหล่งน้ า เช่น แม่น้ า ล าคลอง เขตชลประทาน หรือเลี้ยงในช่วงฤดูฝนที่ มีน้ าอุดมสมบูรณ์ เพราะการเลี้ยงปลาชนิดนี้ถึงแม้จะใช้บ่อเล็กแต่ก็ต้องใช้น้ ามากเพื่อการถ่ายเท เปลี่ยนน้ า การเตรียมบ่อส าหรับการเลี้ยงปลาดุกนั้นต้องมีการเตรียมบ่อที่ดี มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาก้นบ่อ เน่าท าให้น้ าในบ่อเสียและท าให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของปลาในที่สุด บ่อปลาดุกที่เลี้ยงมาหลายๆปีโดย ไม่มีการดูแลบ่อจะพบปัญหาเป็นโรคบ่อยๆยากต่อการแก้ไข ปลาดุกมีนิสัยชอบหนีออกจากบ่อเลี้ยง โดยเฉพาะขณะที่ฝนตกน้ าไหลลงไปในบ่อ ปลาจะว่ายทวนน้ าออกไป การเตรียมบ่อปลาควรจะได้หาทาง ป้องกันการหนีไว้ด้วย โดยทั่วไปนิยมล้อมขอบบ่อด้วยรั้วไม้รวกหรือเฝือก สูงประมาณ 50 เซนติเมตร ในบางแห่งใช้ต้นหมากทาบขนานกับขอบบ่อโดยรอบ ส าหรับผู้ที่มีบ่ออยู่ใกล้กับแหล่งน้ าธรรมชาติ เช่น คลอง คู ก็ควรพิจารณากรุภายในบ่อด้วยไม้ เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาเจาะขอบบ่อหนีไปได้ การปล่อยปลาและอัตราปล่อย ผู้เลี้ยงปลาส่วนใหญ่มักไม่เพาะปลาเองจึงต้องล าเลียงมาจาก ฟาร์มเพาะ ถ้าเป็นไปได้ควรล าเลียงในตอนกลางคืนเพราะอากาศไม่ร้อน ถ้าขนส่งด้วยรถปรับอากาศ ก็ยิ่งดีหากขนด้วยรถธรรมดาควรรองพื้นด้วยขี้เรื่อยหรือกระสอบที่เปียก และคลุมถุงปลาด้วย กระสอบที่เปียกหรืออาจใช้ผักตบชวากองทับมาบนถุง ถ้าล าเลียงเป็นระยะทางไกลๆควรแวะฉีดน้ า ให้ผ้า หรือผักตบชวาให้เปียกอยู่เสมอ การปล่อยลูกปลา ควรปล่อยในตอนเช้าเมื่อเริ่มมีแดดน้ าจะยังไม่ร้อนและในบ่อเริ่มมี ออกซิเจน ไม่ควรปล่อยตอนแดดร้อนจัดเพราะอุณหภูมิของน้ าจะสูง ในตอนเย็นสามารถปล่อยได้ เมื่อน้ าเริ่มเย็นลงไปจนถึงตอนดึก แต่ไม่ควรปล่อยตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงตอนเช้า เพราะช่วงนั้นเป็น ช่วงที่ออกซิเจนต่ าที่สุดโดยเฉพาะบ่อที่ใส่ปุ๋ย ก่อนปล่อยลูกปลาควรน าถุงลูกปลาไปลอยไว้ในบ่อที่จะ ปล่อยอย่างน้อย 20 นาที และใช้มือทดสอบดูว่าอุณหภูมิของน้ าในถุงกับน้ าในบ่อเท่ากันแล้วหรือยัง จากนั้นเปิดให้น้ าบ่อเข้าไปในบ่อครึ่งต่อครึ่งปล่อยให้ลูกปลาปรับตัวก่อน แล้วรวบปากถุงจุ่มลงในบ่อ แล้วจึงยกถุงขึ้น อย่ายกถุงขึ้นเหนือน้ าเพราะลูกปลาจะติดค้างอยู่ในถุง อัตราการปล่อยปลามีดังนี้ (ชาติชาย , 2543) 1. ปลาดุกด้าน ไม่ควรปล่อยปลาลงในบ่อหนาแน่นเกินไป อัตราที่เหมาะสมส าหรับปลา ขนาดเล็ก 3-5 เซนติเมตร ควรปล่อย 50-60 ตัว / ตารางเมตร ส่วนปลาขนาด 5-7 เซนติเมตร ควรปล่อยประมาณ 40-50 ตัว/ตารางเมตร ส าหรับบ่อที่มีการถ่ายเทน้ าได้สะดวก จะเพิ่มปลาให้ จ านวนมากกว่านี้ก็ได้ แต่ไม่ควรปล่อยให้มากเกินไปจนแน่น จะท าให้ปลาเติบโตช้าและท าอันตราย กันเอง


134 2. ปลาดุกอุย แม้ว่าจะเป็นปลาที่มีความอดทนต่อสภาพน้ าเสียได้ใกล้เคียงกับปลาดุกด้าน ผู้เลี้ยงก็ไม่ควรปล่อยปลาลงไปเลี้ยงหนาแน่นเท่ากับปลาดุกด้าน เนื่องจากพันธุ์ปลามีราคาสูงกว่ามาก อีกทั้งความต้องการพื้นที่น้ าเพื่อการเจริญเติบโตของปลาดุกอุยสูงกว่าปลาดุกด้าน อัตราการปล่อย ปลาที่เหมาะสม หากเป็นปลาขนาด 5-7 เซนติเมตร ควรปล่อยระหว่าง 15-20 ตัว/พื้นที่ผิวน้ า 1 ตารางเมตร และปลาขนาด 3-5 เซนติเมตร ปล่อยระหว่าง 20-25 ตัว / พื้นที่ผิวน้ า 1 ตารางเมตร 3. ปลาดุกลูกผสม (บิ๊กอุย) ที่เลี้ยงจะปล่อยลูกปลาขนาด 2-3 เซนติเมตร ในอัตรา ประมาณ 40-100 ตัว/ตารางเมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับวิธีในการเลี้ยง คือ ชนิดของอาหาร ขนาดของบ่อ และระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ า ซึ่งปกติทั่วๆ ไปอัตราปล่อยเลี้ยงประมาณ 50 ตัว/ตารางเมตร เนื่องจากลูกปลาดุกมักมีเชื้อโรคติดมา และบ่อที่เคยใช้เลี้ยงปลามาแล้วก็มักจะมีเชื้อโรค หลายชนิดที่เป็นอันตรายต่อปลาที่น ามาเลี้ยงใหม่ ดังนั้นเมื่อปล่อยลูกปลาดุกลงเลี้ยงแล้วจะต้องใช้ น้ ายาฟอร์มาลินสาดให้ทั่วบ่อ ให้มีความเข้มข้นของฟอร์มาลิน 4 ส่วนในล้าน คือปริมาตรของน้ าในบ่อ 1 ลูกบาศก์เมตร ใช้น้ ายาฟอร์มาลิน 40 ลูกบาศก์เซนติเมตร เช่น ถ้าน้ าในบ่อมี100 ลูกบาศก์ เมตร จะต้องใช้น้ ายาฟอร์มาลิน 4 ลิตร เป็นต้น ในเย็นวันที่ปล่อยปลาไม่ต้องให้อาหารปลา และในวันรุ่งขึ้นจึงเริ่มให้อาหารปลา และเพิ่ม ระดับน้ าในบ่อขึ้นอีก 10 เซนติเมตร หลังจากเลี้ยงปลามา 2 สัปดาห์ ต้องใส่น้ ายาฟอร์มาลินที่มี ความเข้มข้นเดิมซ้ าอีกครั้ง เพื่อก าจัดพยาธิที่เกาะอยู่ตามเหงือกและครีบปลา และใส่ซ้ าอีกครั้ง หลังจากใส่ครั้งที่ 2 เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือน การที่ต้องใส่ยาฟอร์มาลินซ้ าในครั้งที่ 2 และ 3 นั้น เป็นการป้องกันโรคมิให้เกิดกับปลาดุกที่เลี้ยง อาหาร อาหารเป็นต้นทุนที่ส าคัญที่สุด ดังนั้นถ้าสามารถหาอาหารราคาถูก อัตราแลกเนื้อ ดี (ใช้อาหารจ านวนน้อยต่อผลผลิตปลา 1 กิโลกรัม) ก็จะท าให้ต้นทุนต่ าลงมาก สิ่งส าคัญควรระวัง อาหารราคาถูกบางอย่างอาจคุณภาพไม่ดี จะท าให้เกิดปัญหาเรื่องน้ าและเรื่องโรคตามมาในที่สุด หากมีเศษอาหารเหลือมากในบ่อ ในรายที่ยังไม่ช านาญ หรือรายที่มีน้ าใช้ปริมาณน้อย ควรเลี้ยงโดยใช้อาหารส าเร็จรูปจาก โรงงาน เพราะควบคุมปริมาณอาหารได้ง่าย แต่ต้นทุนค่าอาหารก็สูง ในรายที่มีประสบการณ์ พอสมควร มีน้ าเพียงพอที่จะถ่ายเทในบ่อ อาจใช้อาหารสดอื่นๆที่มีราคาถูก เช่น ไส้ไก่ หรือปลา เป็ด แต่ต้องแน่ใจว่าซื้อได้ในราคาถูกจริงๆ ฟาร์มขนาดใหญ่บางฟาร์มอาจผสมอาหารใช้เอง แต่ทั้งนี้ ต้องวางแผนการผลิตให้ดีเพราะต้นทุนวัตถุดิบจะค่อนข้างสูงถ้าซื้อปริมาณน้อย ทั้งยังเสี่ยงต่อการ ปลอมปนอีกด้วย อาหารที่นิยมใช้เลี้ยงปลาดุกมีดังนี้ (กรมประมง , 2550) 1. อาหารส าเร็จรูปจากโรงงาน เป็นอาหารเม็ดลอยน้ ามีระดับโปรตีนต่างๆ กัน สูตร โปรตีนสูงส าหรับปลาเล็ก และโปรตีนต่ าลงมาส าหรับปลาใหญ่มีหลายยี่ห้อ ซึ่งมีราคาแตกต่างกันไป ในการเลือกซื้ออาหารควรเลือกอาหารที่ค่อนข้างละเอียดมิฉะนั้นจะย่อยยาก และเป็นอาหารที่คงทน


135 ในน้ าได้นานไม่ต่ ากว่า 15 นาที อาจทดสอบโดยเอาน้ าใส่ภาชนะใส่อาหารลงไปใช้มือคนเบาๆ อาหาร บางยี่ห้อจะจมเป็นส่วนใหญ่ ปลากินไม่ทันท าให้เกิดการสูญเสีย การให้อาหารเม็ดลอยน้ าค่อนข้างง่าย เพียงแต่สาดให้ปลากินด้านใดด้านหนึ่งของบ่อ ควร เป็นด้านเหนือลมเพราะกลิ่นอาหารจะกระจายได้ดี ท าให้ปลามากินอาหารได้ดีขึ้น ในครั้งแรกควรให้ เป็นส่วนน้อยก่อน รอสักครู่เมื่อเห็นปลามามากขึ้นจึงเทอาหารที่เหลือลงไป ควรสังเกตด้วยว่าเมื่อปลา เริ่มซาลงอาหารยังเหลือมากหรือไม่ ควรดูให้อาหารหมดพอดีเมื่อปลาหยุดกิน 2. อาหารสด ได้แก่ ไส้ไก้ ไส้ปลา ปลาเป็ด หรือเศษอาหารจากโรงงาน ถ้าสามารถซื้อได้ ราคาถูกก็ควรน ามาใช้เสริม โดยทั่วไปเกษตรกรจะให้อาหารเม็ดจากโรงงาน 1 เดือน แล้วจึงให้ อาหารสดในเดือนต่อมา แต่ต้องค านึงด้วยว่าอัตราแลกเนื้อของอาหารเหล่านี้มีค่าสูง (ใช้อาหาร 3-4 กิโลกรัม จึงจะได้ปลา 1 กิโลกรัม) ดังนั้นถ้าอาหารสดเหล่านี้ราคาแพงก็ไม่คุ้มที่จะใช้ อาหารสดควรน ามาบด และผสมร าในอัตราส่วน ร า 1 ส่วนต่ออาหาร 9 ส่วน เพื่อให้ อาหารเหนียวขึ้น และควรผสมวิตามินซีในอัตรา 1 กรัม / อาหาร 1 กิโลกรัม การให้อาหารสดควรให้ กินเป็นที่ และควรให้ที่เดิมทุกครั้งอย่าสาดทั่วบ่อเพราะจะท าให้น้ าเน่า หลังให้อาหารครึ่งชั่วโมงควร ตรวจสอบบริเวณให้อาหารว่ามีอาหารเหลือมากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้ปรับปริมาณอาหารต่อไป อาหารบางชนิด เช่น ไส้ไก่ เมื่อเหลือจะพองลอยอืดขึ้นมาท าให้ตรวจสอบได้ง่าย ข้อดีอีกประการหนึ่งของอาหารสดก็คือ ปลาที่เลี้ยงจะมีเนื้อเหลืองสวยกว่าการเลี้ยงด้วย อาหารเม็ดเพียงอย่างเดียว แต่ถ้ามีไขมันมากเกินไปก็จะเป็นปัญหาต่อสุขภาพปลา ปลาดุกเป็นปลาที่กินอาหารรวดเร็ว สังเกตการกินได้ไม่ยาก เมื่อเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดลอยน้ า ส่วนใหญ่จึงให้อาหารโดยดูให้ปลากินจนอิ่ม แทนที่จะให้เป็นร้อยละของน้ าหนักตัวปลา เฉลี่ยตลอด การเลี้ยงประมาณ 3 % ของน้ าหนักตัวต่อวันส าหรับอาหารเม็ดลอยน้ า ส่วนอาหารสดประเภทไส้ไก่ อัตราการให้อาหารจะอยู่ประมาณ 5-7 % ของน้ าหนักตัวต่อวัน อย่างไรก็ตาม การให้อาหารในช่วงเดือนแรกค่อนข้างยากต่อการจัดการ เนื่องจากในการให้ อาหารจมการกะปริมาณอาหารนอกจากจะพิจารณาตามน้ าหนักปลาแล้ว ต้องค านึงถึงการกระจาย ของอาหารด้วยว่ากระจายพอที่ลูกปลาจะกินได้ทั่วถึงหรือไม่ ในเดือนแรกจะให้อาหารเม็ดลอยน้ า ส าหรับปลาดุกเล็ก (โปรตีน 30 %) กะประมาณว่าลูกปลาจะกินอาหารประมาณ 5 % ของน้ าหนัก ตัว ใช้ตัวเลขโดยประมาณว่าลูกปลาดุกทุกชนิดที่มีขนาด ¾ นิ้ว (ปลาหุน) จนถึง 1 นิ้ว จะหนัก ตัวละประมาณ 0.1 กรัม เช่น บ่อ 1 ไร่ (1,600 ตารางเมตร) ปล่อยปลา 60 ตัว / ตารางเมตร เป็นจ านวนทั้งสิ้น 96,000 ตัว ดังนั้นน้ าหนักลูกปลาทั้งหมด 9,600 กรัม จะกินอาหารวันละ 96,000 x 5 = 480 กรัม แบ่งให้กิน 2-3 มื้อ 100


136 จากอัตราปล่อยที่แนะน าข้างต้นจะเห็นว่าในวันแรกที่ให้อาหารปลาแต่ละชนิดจะกินอาหาร ดังนี้ ชนิดปลา อัตราปล่อย / ตร.ม. บ่อ 800 ตร.ม. บ่อ 1,600 ตร.ม. ดุกอุย 60 ตัว 240 กรัม / วัน 480 กรัม / วัน ดุกด้าน 100 ตัว 400 กรัม / วัน 800 กรัม / วัน ดุกยักษ์ 100 ตัว 400 กรัม / วัน 800 กรัม / วัน ดุกบิ๊กอุย 100 ตัว 400 กรัม / วัน 800 กรัม / วัน ที่มา : กรมประมง , 2550 ตารางที่ 5 แสดงอัตราการกินอาหารของปลาดุกชนิดต่างๆ ในวันปล่อยปลาวันแรกจะยังไม่ให้อาหารเพราะปลายังตื่นอยู่จะให้อาหารในวันต่อมา อาหารนี้น ามาแช่น้ าเล็กน้อยพอให้นิ่มแล้วขย าเป็นก้อนเล็กๆ ค่อนข้างแบนจะได้ไม่ไหลลงที่ลึก อาจ ให้อาหารผงปั้นแทนอาหารเม็ดในระยะ 5 วันแรก จะท าให้ปลาย่อยอาหารได้ดีขึ้น โยนก้อนอาหาร ให้กินทั่วบ่อโดยเฉพาะบริเวณชายบ่อ ในสัปดาห์แรกนี้จะยังสังเกตปริมาณลูกปลาได้ไม่ชัด แต่เมื่อ เข้าสัปดาห์ที่ 2 จะสังเกตปริมาณลูกปลาได้จากการที่ปลาขึ้นมาฮุบน้ าเป็นระยะๆ ท าให้น้ ากระเพื่อม คล้ายเวลาฝนลงเม็ด ในกรณีที่ใช้อาหารเม็ดมาปั้นอาหารบางส่วนที่ยังเป็นเม็ดก็จะลอยขึ้นมา เป็น การหัดปลาให้กินอาหารลอยทางอ้อม และท าให้สังเกตได้ด้วยว่าปลากินอาหารหมดหรือไม่ ถ้า สังเกตเห็นอาหารลอยเหลือมากก็ควรลดอาหารในวันต่อไปลง ส าหรับปลาดุกอุยในช่วง 1-3 วันแรกนี้ หากไม่แน่ใจว่าลูกปลาจะคุ้นเคยกับอาหารปั้นเป็น ก้อน อาจให้กินอาหารผง (Powderfeed) ก่อนก็ได้โดยโรยให้กินทั่วบ่อ เมื่อจะเปลี่ยนเป็นอาหาร ขย าก็ให้ผสมอาหารผงลงไปด้วยในวันแรกๆ ในวันต่อมาปลาจะกินเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15 % (บิ๊กอุยและปลาดุกยักษ์) ก็ให้ลองเพิ่ม อาหารดูและสังเกตว่าปลากินหมดหรือไม่ ถ้าสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ฝนตกหนัก หรือ อุณหภูมิลดต่ าลงปลาจะกินอาหารน้อยลง นอกจากนั้นถ้าปลาเป็นโรคหรือเครียดจะกินอาหารน้อยลง เช่นเดียวกัน จะเห็นว่าปริมาณอาหารที่ให้จะต้องคอยปรับอยู่เสมอตามความต้องการของปลา และ การสังเกตปริมาณอาหารที่ปลากินก็จะบอกให้ทราบถึงสุขภาพของปลาได้เช่นกัน จะให้อาหารปั้นเป็น ก้อนอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ ในสัปดาห์ที่ 3 จึงเริ่มให้อาหารเม็ดลอยน้ า โดยแบ่งอาหารบางส่วน หว่านให้กินโดยตรงไม่ขย าเป็นก้อน อาหารนี้อาจแช่น้ าเล็กน้อยในระยะแรกๆ เพื่อให้ปลากินได้ สะดวกเพื่อให้ง่ายแก่การปฏิบัติผู้เลี้ยงสามารถกะปริมาณอาหารในช่วง 3 สัปดาห์แรกโดยใช้ตาราง ต่อไปนี้เป็นเกณฑ์ หลังจากนั้นก็สามารถปรับปริมาณอาหารได้โดยสังเกตจากการกินของปลาโดยตรง


137 ชนิดปลา อัตราปล่อย ตัว/ตร.ม. วันที่ ปริมาณอาหาร (กก.) บ่อ 800 ตร.ม. บ่อ 1,600 ตร.ม. บิ๊กอุยและ ปลาดุกยักษ์ 100 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 0.4 0.5 0.53 0.6 0.7 0.8 0.9 1 1.2 1.4 1.6 1.85 2.1 2.5 2.8 3.2 3.7 4.3 4.9 5.7 6.5 0.8 0.9 1 1.2 1.4 1.6 1.8 2.1 2.4 2.8 3.2 3.7 4.3 4.9 5.6 6.5 7.5 8.6 9.9 11.3 13.0 ที่มา : กรมประมง , 2550 ตารางที่ 6 แสดงปริมาณการให้อาหารในช่วง 3 สัปดาห์แรกของปลาดุกบิ๊กอุยและปลาดุกยักษ์ หมายเหตุ ปลาดุกยักษ์อาจใช้ตารางนี้เป็นเกณฑ์ขั้นต่ าได้ แต่ต้องจ าไว้เสมอว่าปลาดุกยักษ์ต้องการ อาหารมากกว่าบิ๊กอุยเล็กน้อย


138 ปริมาณอาหารอาจเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณลูกปลาที่เหลือรอดในที่นี้คิดอัตรารอดประมาณ 50% ส าหรับปลาดุกด้านและปลาดุกอุยไม่ควรเพิ่มอาหารทุกวัน เพราะจะท าให้ปลาเป็นโรคง่าย เนื่องจากความเครียด ควรปรับปริมาณอาหารสัปดาห์ละครั้ง โดยปรับครั้งละประมาณ 15 % ก็ เพียงพอแล้ว ดังนั้นตารางปริมาณอาหารในการอนุบาลเดือนแรกจะเป็นดังนี้ ชนิดปลา อัตราปล่อย ตัว/ตร.ม. วันที่ ปริมาณอาหาร (กก.) / บ่อ บ่อ 800 ตร.ม. บ่อ 1,600 ตร.ม. ปลาดุกอุย ปลาดุกด้าน 60 100 1-7 8-14 15-21 1-7 8-14 15-21 0.2 0.3 0.35 0.4 0.5 0.6 0.4 0.6 0.7 0.8 1 1.2 ที่มา : กรมประมง , 2550 ตารางที่ 7 แสดงปริมาณอาหารในการอนุบาลเดือนแรกของปลาดุกอุยและปลาดุกด้าน ในสัปดาห์ที่ 4จะให้อาหารเม็ดลอยน้ าทั้งหมด เมื่อมาถึงระยะนี้การดูแลเรื่องอาหารก็ง่ายขึ้น โดยจะสามารถให้อาหารเพียงจุดเดียว ในช่วงแรกปลาจะมากินอย่างรวดเร็วพอปลาเริ่มหยุดกินอาหารควร จะเริ่มหมดพอดีท าให้ปรับปริมาณอาหารได้ง่ายในช่วงนี้จะแบ่งให้อาหาร 2 มื้อเช้าและบ่าย สัปดาห์ที่ 5 หากเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดเพียงอย่างเดียวก็ยังคงให้อาหารตามวิธีการที่กล่าว มาแล้วข้างต้น หากให้อาหารสด เช่น ไส้ไก่ ก็เริ่มให้สัปดาห์นี้โดยบดไส้ไก่ให้กินจุดเดียวกับที่ให้ อาหารเม็ด โดยในวันแรกๆ จะยังให้อาหารเม็ดอยู่บ้าง แล้วค่อยๆ ลดปริมาณอาหารเม็ดลง ภายใน 4-5 วันก็งดอาหารเม็ดคงให้ไส้ไก่อย่างเดียว เมื่อให้ไส้ไก่หรืออาหารสดอย่างอื่น ควรให้อาหารเพียงวันละ 1 ครั้ง เพราะอาหารเหล่านี้ ย่อยยาก ปลากินมื้อเดียวจะอิ่มไปเป็นวัน ต้องระวังเรื่องปริมาณอาหารให้มาก โดยสังเกตการกิน อาหารของปลา ถ้าปลากินอาหารน้อยลงกว่าปกติ ควรลดอาหารลงครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตามเศษไส้ไก่


139 ที่เหลือจะลอยขึ้นมา ท าให้สังเกตอาหารที่เหลือได้ ไส้ไก่จะบดให้ 1 เดือน เฉพาะเดือนที่ 2 นี้ เท่านั้น เมื่อเข้าเดือนที่ 3 ปลาเริ่มกินอาหารชิ้นใหญ่ได้แล้วก็ไม่ต้องบด การจัดการคุณภาพน้ า คุณภาพน้ าในแต่ละฟาร์มจะแตกต่างกันไปตามแหล่งน้ า ชนิดของ อาหาร การจัดการในการให้อาหาร และความหนาแน่นของลูกปลา ดังนั้นแต่ละฟาร์มก็จะมี รายละเอียดในการปฏิบัติงานต่างกัน แต่หลักการโดยทั่วไปก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน การดูแลคุณภาพน้ าในช่วงการเลี้ยงเดือนแรกซึ่งปลายังเล็กอยู่ไม่มีปัญหานัก ฟาร์มส่วนใหญ่จะ ใช้วิธีเพิ่มระดับน้ าในบ่อทุกวันหรือวันเว้นวันแล้วแต่สี โดยจะสังเกตว่าน้ าที่ดีจะมีสีเขียวอ่อนค่อนข้างใส เมื่อวัดด้วยแผ่นวัดความขุ่นใส (Secchi disc) ค่าที่อ่านได้ไม่ควรต่ ากว่า 15 เซนติเมตร ถ้ามีค่าต่ า กว่านี้จะเพิ่มน้ าในบ่อ หรือเมื่อสังเกตว่าระดับน้ าในบ่อลดลงก็ต้องเติมน้ า ถ้าควบคุมการให้อาหารให้ดี ในช่วงเดือนแรกนี้อาจไม่ต้องถ่ายน้ าเลย เพียงแต่เพิ่มน้ าก็เพียงพอแล้ว เมื่อย่างเข้าเดือนที่ 2 ปลาเริ่มโตขึ้นหากน้ ามีสีเขียวขุ่นก็ควรถ่ายน้ าทันที โดยปกติในช่วงเดือน ที่ 2 นี้มักจะถ่ายน้ า 5-7 วันต่อครั้ง โดยถ้าไม่เสียมากจะถ่ายเพียง 25-30 % หมายความว่าสูบน้ า หรือปล่อยน้ าออกจากบ่อ จนระดับน้ าลดลงไป 25-30 เซนติเมตร (ระดับน้ าในบ่อ 1 เมตร) แล้วสูบ น้ าเข้าให้เท่าระดับเดิม แต่ถ้าน้ าเสียรุนแรงอาจต้องถ่ายถึงครึ่งบ่อ (50 %) ถ้าเป็นไปได้ควรใช้วิธีสูบ ออกและเข้าพร้อมกันหรือที่เรียกว่าไล่น้ า น้ าจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในเดือนที่ 3 เป็นต้นไปปลาจะแน่นบ่อ อาหารก็ต้องให้มากขึ้นตามความต้องการของปลา จึงจ าเป็นต้องถ่ายน้ าบ่อยครั้งขึ้น โดยดูจากสีน้ าเป็นเกณฑ์เช่นเดียวกัน ควรจะถ่ายน้ าทุกๆ 3 วัน ในช่วงนี้ โดยถ่ายวันละ 30-50 % สิ่งส าคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อจะถ่ายน้ าต้องดูให้แน่ใจก่อน ว่าน้ าที่จะสูบเข้าบ่อนั้นต้องมีคุณภาพดีกว่าน้ าในบ่อ การดูแลที่ได้กล่าวมานี้ใช้ได้ทั้งการเลี้ยงปลาดุกด้าน ปลาดุกอุย บิ๊กอุย และปลาดุกยักษ์ แต่ส าหรับปลาบิ๊กอุยและปลาดุกยักษ์ในกรณีที่น้ ามีจ ากัดอาจพิจารณาลดการถ่ายน้ าลงได้บ้างตาม ความจ าเป็น แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้น้ าเน่าเสียจนด าและส่งกลิ่นเหม็น เพราะอาจท าให้ปลาเกิด ความเครียดและเป็นโรคได้ ซึ่งในกรณีที่น้ าคุณภาพไม่ดีเมื่อเกิดโรคแล้วจะยิ่งควบคุมยาก ระยะเวลาการเลี้ยงและการจับจ าหน่าย การเลี้ยงปลาดุกอุยและปลาดุกด้านขนาด 5-7 เซนติเมตร ให้ได้ขนาดตามที่ตลาดต้องการ จะใช้เวลาประมาณ 120-150 วัน จะได้ปลาขนาด 7-8 ตัว/ กิโลกรัม การที่เลี้ยงให้ได้ปลาโตขนาดดังกล่าว คุณภาพอาหารที่ใช้เลี้ยงจะต้องดีและถ่ายเทน้ าเป็นไป อย่างสม่ าเสมอ โดยส่วนใหญ่ผู้บริโภคในภาคกลางและภาคอีสาน ต้องการปลาขนาด 8-10 ตัว/ กิโลกรัม ก่อนการวิดบ่อจับปลาขาย 1 วัน ควรงดอาหารและถ่ายเทน้ าในบ่อ เพื่อหลีกเลี่ยงปลาตาย ระหว่างการจับหรือการขนส่ง และควรจับปลาจ าหน่ายให้หมดภายในวันเดียว


140 4. การเลี้ยงปลายี่สก ชื่อสามัญ Jullien golden-price carp ชื่อวิทยาศาสตร์ Probarbus jullieni ภาพที่ 18 แสดงรูปร่างของปลายี่สก ที่มา : http://www.bloggang.com 4.1 ลักษณะทั่วไปของปลายี่สก ปลายี่สกเป็นปลาน้ าจืดชนิดหนึ่ง ซึ่งมีชื่อที่ใช้เรียกแตกต่างกันออกไปตามถิ่นที่อยู่อาศัย เช่น ที่แม่น้ าโขงจังหวัดหนองคาย เรียก “ ปลาเอิน ” หรือ “ ปลาเอินคางหมู” ในท้องที่บางแห่งเรียก ปลาชนิดนี้ว่า “ปลายี่สกทอง” “กะสก” หรือ “อีสก” บริเวณแม่น้ าน่านเรียก “ปลาชะเอิน” เนื้อมีรสดี ปัจจุบันเป็นปลาที่หายาก มีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับจ าพวกปลาน้ าจืดที่มีอยู่ในประเทศ ไทย ราคากิโลกรัมละ 80-100 บาท ปลายี่สกหนังหนา เนื้อเหลือง ละเอียดอ่อน นิ่ม รสหวาน ประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ต้มย า ต้มเค็ม แกงเหลือง ทอดมัน ทอดฟู นึ่ง เจี๋ยน นึ่งกับ เครื่องปรุงแบบจีน ชุบแป้งทอดรับประทานได้อร่อยเช่นกัน ปัจจุบันแหล่งที่มีปลายี่สกมากที่สุด คือ แม่น้ าโขง รองลงมาได้แก่ แม่น้ าน่าน ส่วนที่แม่น้ าแควจังหวัดกาญจนบุรี แม่น้ าแม่กลองจังหวัด ราชบุรี ซึ่งเคยมีแต่ขณะนี้แทบจะไม่มีปลายี่สกเหลืออยู่เลย ปลายี่สกที่จับได้มีปริมาณลดลง เนื่องจากแหล่งน้ าอันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ าเสื่อมโทรม ไปตามธรรมชาติและความเจริญของบ้านเมือง เช่น การสร้างเขื่อนกั้นน้ า การสร้างถนน การสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม และการปล่อยสิ่งโสโครกลงในแม่น้ าล าคลอง ท าให้เกิดน้ าเสียเป็นอันตรายต่อ


141 พันธุ์สัตว์น้ า จ านวนปลายี่สกลดน้อยลง จึงมีผู้หันมาสนใจเลี้ยงปลายี่สกมากขึ้น เพื่อทดแทนการจับ จากธรรมชาติซึ่งนับวันจะมีจ านวนน้อยลงทุกที การเพาะพันธุ์ปลายี่สกเสริมแหล่งน้ าธรรมชาติจะช่วย อนุรักษ์พันธุ์ปลาชนิดนี้ไว้ได้ก่อนที่จะสูญพันธุ์ไป ประวัติและถิ่นก าเนิด ปลายี่สกมีเผ่าพันธุ์เชื้อสายเดียวกับปลาตะเพียน เช่นเดียวกับปลา ตะโกก ปลากระโห้ ปลานวลจันทร์น้ าจืด และปลาสร้อย ในภาคกลางพบปลายี่สกอาศัยอยู่ใน แม่น้ าเจ้าพระยา แม่น้ าแม่กลอง แม่น้ าราชบุรี แม่น้ าป่าสัก แควน้อย แควใหญ่ ภาคเหนือพบ มากที่แม่น้ าน่าน จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบในแม่น้ าโขง ตั้งแต่จังหวัดเชียงราย จังหวัดอุบลราชธานี มีมากในจังหวัดหนองคายและจังหวัดนครพนม เมื่อ 50 ปีก่อนปลายี่สกเป็นปลา ที่นิยมของชาวราชบุรีพอๆ กับปลาจาดหรือปลาเวียน อันมีชื่อเสียงของจังหวัดเพชรบุรีส่วนใน ต่างประเทศเคยพบในประเทศมาเลเซีย และคาดว่าคงจะพบในประเทศลาว เขมร และเวียดนาม ด้วย ตามธรรมชาติปลายี่สกกินพืชในน้ าเป็นอาหารหลัก และอาจกินสัตว์หน้าดิน ลูกกุ้ง ลูกปู และไรน้ าด้วย ปลายี่สกชอบอาศัยอยู่ในแม่น้ าสายใหญ่ ที่พื้นท้องน้ ามีลักษณะเป็นกรวดทราย ระดับ น้ าลึก 5-10 เมตร น้ าเย็นใสและสะอาด จืดสนิทและเป็นบริเวณที่มีน้ าไหล วังน้ ากว้างและมี กระแสน้ าไหลวน ลูกปลาจะไปรวมกับอยู่เป็นฝูงตรงบริเวณที่เป็นอ่าว และพื้นที่เป็นโคลนหนา ประมาณ 10-20 เซนติเมตร พอถึงเดือนตุลาคม ปลาจะเริ่มว่ายทวนขึ้นไปเหนือน้ าเพื่อวางไข่และจะ กลับถิ่นเดิมในเดือนพฤษภาคม หรือพอน้ าเริ่มมีระดับสูงขึ้นปลายี่สกจะพากันไปอาศัยห้วยวังที่มีน้ า ลึก กระแสน้ าไหลคดเคี้ยว พื้นดินเป็นดินทรายและกรวดหิน เป็นท้องทุ่ง (คุ้ง) หรือวังน้ าที่กว้าง ใหญ่ สงบ น้ าใสสะอาด ลึกตั้งแต่ 5-10 เมตร หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดมา (กรมประมง , 2551) ลักษณะรูปร่าง ปลายี่สกมีลักษณะเด่นคือ สีของล าตัวเป็นสีเหลืองนวล ล าตัวค่อนข้างกลม และยาว บริเวณด้านข้างมีแถบสีด าข้างละ 7 แถบ พาดไปตามความยาวของล าตัว ลายตามตัว เหล่านี้จะปรากฏในลูกปลาที่มีขนาด 3-5 นิ้ว บริเวณหัวมีสีเหลืองแกมเขียว ริมปากบนมีหนวด สั้นๆ 1 คู่ มีฟันที่คอหอยเพียงแถบเดียวจ านวน 4 ซี่ เวลากินอาหารท าปากยืดหดได้ เยื่อม่านตา เป็นสีแดงเรื่อๆ ครีบหลัง ครีบหู ครีบท้อง มีสีชมพูแทรกอยู่กับพื้นครีบซึ่งเป็นสีเทาอ่อนหาง ค่อนข้างใหญ่และเว้าลึก ปลายี่สกเป็นปลาขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในจ านวนปลาน้ าจืดด้วยกัน เคยพบใน จังหวัดกาญจนบุรี ขนาดใหญ่ที่สุดยาว 1.35 เมตร น้ าหนัก 40 กิโลกรัม 4.2 วิธีการเลี้ยงปลายี่สก การหาพันธุ์ปลายี่สกมาเลี้ยง อาจหาลูกปลาได้จาก 2 ทาง คือ จากแหล่งน้ าธรรมชาติ และซื้อพันธุ์ปลาจากหน่วยราชการของกรมประมง ซึ่งได้จากการผสมเทียมปีหนึ่งๆ หลายล้านตัว ลูกปลาเหมือนเด็กวัยอ่อนต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ขนาดลูกปลาที่เหมาะสมในการล าเลียงเพื่อน าไปเลี้ยง


142 คือ 1-1 นิ้วครึ่ง หรือ 3-5 เซนติเมตร ไม่ควรโตกว่านี้ เพราะปลายี่สกเป็นปลาแม่น้ าตกใจง่าย ถ้า ขนาดโต กว่าจะกระโดดได้แรง ท าให้ปลาบอบช้ า อัตรารอดตายจะต่ า การบรรจุลูกปลา ให้บรรจุในน้ าสะอาด ถ้าบรรจุด้วยถุงพลาสติกที่ใช้ในการล าเลียง ถุงหนึ่งๆ บรรจุลูกปลาได้ประมาณ 100-500 ตัว แล้วแต่ขนาดของปลา ถังที่บรรจุ ระยะทาง โดยอัดออกซิเจน และมัดปากถุงให้แน่น เวลาที่ล าเลียงกลางคืนเหมาะที่สุดเพราะอากาศไม่ร้อน เป็นเหตุให้ปลา อ่อนเพลียและอาจตายได้แต่ถ้าจ าเป็นต้องล าเลียงกลางวันให้ใส่น้ าแข็งข้างถุงที่บรรจุปลาด้วย บ่อเลี้ยงลูกปลายี่สก ขนาดบ่อควรมีเนื้อที่ตั้งแต่ 800 ตารางเมตรขึ้นไป ลึกตั้งแต่ 80 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร เลี้ยงลูกปลาขนาด 1-1 นิ้วครึ่ง อัตราการปล่อยประมาณ 100,000 ตัว ต่อเนื้อที่บ่อ 800 ตารางเมตร หรือ 200,000 ตัว ต่อเนื้อที่บ่อ 1 ไร่ ถ้าจะให้ได้ผลดีเนื้อที่บ่อ 800 ตารางเมตร ปล่อยลูกปลาน้อยกว่า 100,000 ตัว ลูกปลาจะเจริญเติบโตเร็วขึ้น บ่อเลี้ยงปลายี่สกใหญ่ ขนาดบ่อควรมีเนื้อที่ไม่น้อยกว่า 1 ไร่ ระดับน้ าลึก 1.20 - 2.0 เมตร ใช้เลี้ยงปลายี่สกได้ขนาดที่ตลาดต้องการคือ น้ าหนัก 4 กิโลกรัมขึ้นไป อัตราการปล่อย ทั่วไป ปลาขนาด 10 เซนติเมตร จ านวน 200 ตัว / เนื้อที่ 1 ไร่ หากปลาได้รับอาหารอุดม สมบูรณ์ ปลาจะเจริญเติบโตเร็วยิ่งขึ้น ภายในระยะเวลา 2 ปี จะได้น้ าหนัก 4 กิโลกรัมเป็นอย่าง น้อย ส่วนการปล่อยลงบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ ซึ่งเป็นบ่อดินขนาด 1 ไร่ น้ าลึกประมาณ 1.0 เมตร ปล่อยปลาขนาด 1.0-7.0 กิโลกรัม จ านวน 30 ตัว (น้ าหนักรวมประมาณ 100 กิโลกรัม) เลี้ยง แบบรวมเพศ ผู้ที่เลี้ยงเป็นอุตสาหกรรมต้องลงทุนมาก เนื่องจากเป็นปลาขนาดใหญ่ ใช้เวลาเลี้ยงหลายปี จึงจะได้ขนาดที่ตลาดต้องการ ผู้ที่มีทุนน้อยควรจะเลี้ยงปลายี่สกเป็นปลาสมทบ คือ เลี้ยงรวมกับ ปลากินพืชชนิดอื่นๆ เช่น ปลาไน ปลาสวาย ปลาจีน ปลาเหล่านี้จะกินอาหารผิวน้ าและกลางน้ า ส่วนปลายี่สกจะกินอาหารพื้นบ่อ อาหารที่เหลือจากผิวน้ า กลางน้ า จะตกไปเป็นอาหารปลายี่สก การเลี้ยงเป็นปลาสมทบ อัตราการปล่อยปลากินพืช 3,000 - 4,000 ตัว ต่อปลายี่สก 100 ตัว ส าหรับผู้ที่มีทุนเพียงพอและมีบ่อขนาดใหญ่อาจเลี้ยงปลายี่สกชนิดเดียวก็ได้ ทั้งนี้ก่อนจะปล่อยปลาลงเลี้ยงในบ่อ เมื่อรับพันธุ์ปลามาแล้วควรน าถุงไปวางแช่พักไว้ในบ่อ ประมาณ 15 นาที เพื่อปรับอุณหภูมิในถุงให้ใกล้เคียงกับน้ าในบ่อ จึงเปิดปากถุงเติมน้ าในบ่อเข้าถุง ทีละน้อยก่อนปล่อยลูกปลาลงเลี้ยง อาหารปลายี่สก การเลี้ยงปลายี่สกต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษโดยเฉพาะในช่วงเลี้ยงลูกปลาใน ช่วงแรก หอยเป็นอาหารที่ปลายี่สกชอบมากที่สุด ส่วนผสมของอาหารที่ให้ควรมี ร า 1 ส่วน ปลา ป่น 2 ส่วน กากถั่ว 2 ส่วน ใส่น้ าคลุกเข้ากันพอเป็นก้อนกลมๆ ขนาดเท่าลูกตระกร้อ วางไว้ที่ กระบะไม้ซึ่งแขวนอยู่มุมบ่อใต้ผิวน้ าประมาณ 30 เซนติเมตร


143 วิธีที่จะท าให้มีอาหารธรรมชาติในบ่อปลาก็คือ ใส่ปุ๋ยมูลสัตว์แห้ง เช่น มูลโค กระบือ มูลไก่ มูล เป็ดตากแห้ง ฯลฯ จะท าให้เกิดปุ๋ยธรรมชาติ พวก กุ้ง หอย เป็นต้น ซึ่งปลายี่สกชอบกิน การใส่ปุ๋ยควรใส่ เหนือลมเพื่อปุ๋ยจะได้กระจายไปทั่วบ่อ การใส่มูลสัตว์สดๆไม่ควรท าเพราะจะท าให้เกิดก๊าซแอมโมเนีย ละลายอยู่ในน้ ามากขึ้น การสังเกตว่าในบ่อมีอาหารธรรมชาติมากเพียงพอหรือไม่ ใช้มือจุ่มลงไปในบ่อ ลึกถึงข้อศอกถ้ามองไม่เห็นฝ่ามือ แสดงว่าน้ านั้นมีอาหารธรรมชาติมาก หากเลี้ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์ ให้อาหารผสม (ร า : ปลาป่น : กากถั่ว 3 : 2 : 1) วันละ 3 เปอร์เซ็นต์ของน้ าหนักปลาทั้งหมด วันแรกๆให้ทีละน้อย เพื่อเป็นการหัดให้ลูกปลารู้จักกินอาหาร และให้สังเกตดูปริมาณอาหารที่ปลากินวันหนึ่งๆด้วย และค่อยๆเพิ่มอาหารให้ทีละน้อยๆ ถ้าให้มาก เกินไปอาหารเหลือจะบูดเสียท าให้น้ าเสียเป็นอันตรายต่อปลาในบ่อ ควรให้อาหารวันละ 2 เวลาคือ 9.00 น. และ 14.00 น. ก่อนจะให้อาหารควรมีสัญญาณ เช่น ใช้มือตีน้ าให้มีเสียงเมื่อปลาได้ยินจะว่าย มากินอาหารเป็นฝูงทั้งนี้ควรสังเกตปริมาณและชนิดของอาหารที่ให้ ถ้ามีโปรตีนสูงปลาจะ เจริญเติบโตเร็ว การให้อาหารเช่นนี้มีผลดี คือ ท าให้รู้จ านวนปลา สังเกตได้ว่าปลาหายไปหรือไม่ รู้ ว่าปลาเป็นโรคหรือไม่ เพื่อคัดตัวที่ไม่ต้องการออก ท าให้ปลาโตเร็วยิ่งขึ้น และเลี้ยงได้หนาแน่นกว่า การให้กินอาหารจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว การให้อาหารปลายี่สกขนาดโต ควรเพิ่มกากถั่วแผ่น ปลาป่น สาหร่าย ผักบุ้ง ร า ปลายข้าวต้ม บดผสมกันคลุกกับข้าวสุกหรืองาคั่วอย่างละเอียด 10 เปอร์เซ็นต์ การเจริญเติบโต การเจริญเติบโตของปลายี่สก นอกจากเรื่องอาหารแล้ว การระบายน้ า การเปลี่ยนน้ าเป็นสิ่งจ าเป็นอย่างยิ่งนอกจากนี้ อย่าปล่อยปลาในอัตราที่หนาแน่นเกินไป ถ้าหนาแน่น เกินไปปลาจะไม่เติบโตเท่าที่ควร ปลาโตขึ้นต้องการเนื้อที่มาก ปลาใหญ่จะแย่งอาหารปลาเล็ก การ แบ่งเลี้ยงและการคัดขนาดเป็นสิ่งจ าเป็นและส าคัญมาก ควรกระท าทุก 6 เดือนต่อครั้ง เมื่อเลี้ยงได้ 1 ปี จะมีน้ าหนัก 1-2 กิโลกรัมเป็นอย่างน้อยแต่การซื้อขายในตลาด มักนิยมปลาซึ่งมีขนาดหนักกว่า 4 กิโลกรัมขึ้นไป ปลายี่สกไทยที่เลี้ยงด้วยความหนาแน่น 1 ตัว/ตารางเมตร มีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูง กว่าการเลี้ยงด้วยความหนาแน่น 2 ตัว/ตารางเมตร ส่วนอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อใกล้เคียง กัน ศัตรู ศัตรูลูกปลายี่สก ได้แก่ คางคก กบ แมลงวัยอ่อนนอกจากนี้มีเห็บ หนอนสมอ งูกิน ปลา ปลาช่อน และนกกินปลา ส าหรับนกกินปลาจะกินปลาขณะฝูงปลาขึ้นมากินอาหาร บางครั้ง อาจจะมีนกมาคอยจับจ้องกินปลาในขณะที่น้ าในบ่อเสีย ปลาลอยหัว ซึ่งจะเป็นข้อสังเกตว่ามีเหตุ ผิดปกติเกิดขึ้นในบ่อแล้ว


144 5. การเลี้ยงปลาสลิด ชื่อสามัญ Sepat siam หรือ Snake skin gourami ชื่อวิทยาศาสตร์ Trichogaster pectoralis ภาพที่ 19 แสดงรูปร่างของปลาสลิด ที่มา : http://www.siamfishing.com 5.1 ลักษณะทั่วไปของปลาสลิด ปลาสลิด เป็นปลาน้ าจืดชนิดหนึ่งของไทย มีรูปร่างคล้ายปลากระดี่แต่มีขนาดโตกว่า ครีบท้อง เป็นเส้นยาวเส้นเดียว ล าตัวมีสีค่อนข้างด าเป็นสีพื้นและมีริ้วด าพาดขวางตามล าตัวจากหัวถึงโคนหาง มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยและมีชุกชุมมากในภาคกลาง เมื่อโตเต็มที่มีความยาวถึง 25 เซนติเมตร ขนาดเฉลี่ยโดยทั่วไปที่พบมากยาวประมาณ 15-16 เซนติเมตร เมื่อปลาอายุประมาณ 6-7 เดือน ปลาตัวผู้จะมีสีเข้มกว่าตัวเมีย ครีบหางของปลาตัวผู้จะยาวจรดโคนหางหรือพ้นโคนหาง ส่วนครีบ หลังของปลาตัวเมียนั้นจะมน และมีความยาวไม่ถึงโคนหาง ปลาสลิดจะวางไข่ผสมพันธุ์ในต้นเดือน เมษายนถึงเดือนตุลาคม ในธรรมชาติปลาผสมพันธุ์วางไข่โดยปลาตัวผู้จะก่อหวอดติดกับพันธุ์ไม้น้ า แล้วไล่ปลาตัวเมียให้ไปอยู่ใต้หวอดท าการรัดท้องตัวเมีย เมื่อไข่หลุดออกมาตัวผู้จะปล่อยน้ าเชื้อผสม อมไข่ไว้ในปากแล้วกลับพ่นเข้าไปในหวอด ไข่ปลาสลิดมีสีเหลืองขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 มิลลิเมตร แม่ปลาขนาดความยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตร จะมีไข่ประมาณ 7,000-10,000 ฟอง ในธรรมชาติปลาสลิดชอบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ าที่มีพันธุ์ไม้น้ า เช่น ในท้องนา ร่องน้ า คูน้ า แอ่งน้ า อ่างเก็บน้ า หนองและบึง เป็นต้น พบชุกชุมในภาคกลางมากกว่าภาคอื่นๆ อาหาร ธรรมชาติของปลาชนิดนี้ ได้แก่ แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ ตัวอ่อนแมลงน้ า และพันธุ์ไม้น้ า


145 ที่เน่าเปื่อย ปลาสลิดเป็นปลาที่มีความส าคัญทางเศรษฐกิจ เป็นปลาที่มีรสดี นิยมท าเป็นปลาเค็ม ตากแห้งมากกว่าปลาสด ปลาสลิดเค็มเป็นสินค้าส าคัญ นิยมซื้อขายภายในประเทศราคาค่อนข้างสูง ปัจจุบันนิยมท านาปลาสลิดกันอย่างแพร่หลายในเขตจังหวัดสมุทรปราการและฉะเชิงเทรา 5.2 วิธีการเลี้ยงปลาสลิด บ่อเลี้ยงปลาสลิด บ่อที่จะใช้เลี้ยงปลาสลิด ควรมีชานบ่อกว้างขวางอย่างน้อย 1 เมตร ส าหรับให้ปลาวางไข่ ผิดกับบ่อเลี้ยงปลาชนิดอื่นๆซึ่งไม่ต้องมีชานบ่อ บ่อขนาดเล็กที่สุดควรจะมีความ กว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร และลึก 1.50 เมตร ถ้าอยู่ติดกับแม่น้ าล าคลอง มีทางระบายถ่ายเท น้ าได้สะดวกด้วยแล้วนับว่าเป็นท าเลที่ดี บ่อที่ขุดใหม่โดยทั่วไปแล้วดินมักจะมีสภาพเป็นกรด ควรใช้ปูนขาวโรยให้ทั่ว โดยใช้ 1 กิโลกรัม/เนื้อที่ 10 ตารางเมตร เพื่อแก้ความเป็นกรดของดินให้เจือจางลง เมื่อความเป็นกรดของดิน ลดลงไปแล้ว น้ าที่ปล่อยเข้ามาในบ่อส าหรับเลี้ยงปลาก็จะไม่เปลี่ยนแปลงสภาพไปจากธรรมชาติ คือ รักษาความเป็นกลางหรือเป็นด่างเล็กน้อยไว้ได้ ซึ่งน้ าดังกล่าวนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่ใช้เลี้ยงปลา ถ้าเป็นบ่อเก่าที่เคยใช้เลี้ยงปลาควรก าจัดวัชพืชต่างๆในบ่อปลาให้หมด หากบ่อตื้นเขินไม่ เหมาะแก่การเลี้ยงควรสูบน้ าออก ลอกเลน และตกแต่งคันบ่อให้มั่นคงแข็งแรง แล้วตากบ่อให้แห้ง ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้แสงแดดช่วยฆ่าและก าจัดเชื้อโรคต่างๆ บ่อเก่าหลังจากได้ก าจัดวัชพืชใน บ่อหมดสิ้นแล้ว ถ้ามีน้ าพอเพียงก็สามารถจะใช้เลี้ยงปลาได้เลย แต่ก่อนที่จะปล่อยพันธุ์ปลาลงเลี้ยง ควรจะใช้โล่ติ๊นฆ่าศัตรูต่างๆ ของปลาในบ่อให้หมดสิ้นเสียก่อน จึงน าพันธุ์ปลาสลิดปล่อยลงเลี้ยง เนื่องจากตะไคร่น้ าเป็นอาหารจ าเป็นส าหรับลูกปลาสลิดขนาดเล็กและใหญ่ ฉะนั้นในขณะที่ ก าลังตากบ่ออยู่ เพื่อมิให้เสียเวลาควรจะเตรียมการเพาะอาหารธรรมชาติส าหรับปลาไปด้วยในตัว วิธีเพาะอาหารธรรมชาติดังกล่าวท าได้โดยใช้ปุ๋ยคอกโรยให้ทั่วบ่อ อัตราส่วนปุ๋ยคอก 100 กิโลกรัม / เนื้อที่ 1 ไร่ แล้วจึงค่อยไขน้ าเข้าบ่อให้มีระดับสูงจากก้นบ่อประมาณ 10-20 เซนติเมตร ทิ้งไว้ราว 7- 10 วัน ตะไคร่น้ าหรือที่เรียกว่าขี้แดดก็จะเกิดขึ้นในบ่อ จากนั้นจึงค่อยปล่อยน้ าเข้าบ่อตามระดับที่ ต้องการ ถ้าเป็นบ่อใหม่ ภายหลังที่ใส่ปุ๋ยและปล่อยน้ าเข้าแล้ว ควรน าเชื้อตะไคร่น้ าที่หาได้จากน้ าที่มี สีเขียวจัดโดยทั่วไปมาใส่ลงในบ่อเพื่อเร่งให้เกิดตะไคร่น้ าเร็วขึ้น บ่อปลาสลิดควรปลูกไม้พันธุ์ไม้น้ า เช่น ผักบุ้ง แพงพวย และผักกระเฉด เพื่อให้เหมาะกับ นิสัยและความเป็นอยู่ของปลาสลิด กล่าวคือ พันธุ์ไม้น้ าเหล่านี้นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ปลาโดย ให้อาหารและร่มเงาแล้ว ยังเป็นที่ส าหรับปลาได้วางไข่ในฤดูฝน (ระหว่างเดือนเมษายน - สิงหาคม) อีกด้วย ปลาจะหาท าเลที่วางไข่ตามที่ตื้นและมีพันธุ์ไม้น้ าเพื่อก่อหวอดวางไข่ กิ่ง ใบ และก้าน จะ เป็นสิ่งส าคัญในการยึดเหนี่ยวมิให้ไข่หลุดพลัดแตกกระจัดกระจายไปและเมื่อไข่ปลาฟักออกเป็นตัว แล้ว ก็จะเป็นที่ให้ลูกปลาได้อาศัยเลี้ยงตัวก าบังร่มเงาและหลบหลีกศัตรูได้เป็นอย่างดี ส าหรับการ


146 ปลูกพันธุ์ไม้น้ าดังกล่าวควรจะปลูกตามบริเวณชานบ่อ มิใช่โยนกอผักไว้กลางบ่อจะท าให้ผักไม่งาม ผักซึ่งขึ้นอยู่ตามบริเวณชานบ่อที่มีน้ าตื้นๆ เหมาะส าหรับจะเป็นที่อาศัยและเป็นที่วางไข่ของปลาสลิด มากกว่าผักที่ขึ้นอยู่กลางบ่อ บ่อปลาบางแห่งปุ๋ยธรรมชาติในดินไม่เพียงพอที่จะท าให้เกิดจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีชีวิต เล็กๆ ในน้ าที่ใช้เป็นอาหารของลูกปลาได้จ าเป็นต้องใส่ปุ๋ยคอก ได้แก่ มูลโค มูลกระบือที่ตากแห้ง แล้ว โรยตามริมบ่อในอัตราเนื้อที่บ่อ 160 ตารางเมตร (คิดพื้นที่ผิวน้ า) ต่อปุ๋ย 10 กิโลกรัม ปกติการใส่ปุ๋ยนี้ควรจะกระท าทุก 2-3 เดือนต่อครั้ง นอกจากนี้การที่จะให้บ่อปลามีอาหาร ธรรมชาติอยู่เสมอนี้ จะท าได้โดยน าปุ๋ยหมักไปกองไว้บริเวณริมบ่อด้านใดด้านหนึ่ง ปุ๋ยหมักนี้ใช้หญ้า สดที่ดายทิ้งกองอัดให้แน่น แล้วควรใสปุ๋ยคอกผสมลงไปด้วย เพื่อให้หญ้าสดสลายตัวเร็วขึ้น จะได้ เร่งให้เกิดจุลินทรีย์และไรน้ าต่างๆเพื่อใช้เป็นอาหารของปลาสลิดต่อไป (กรมประมง , 2549) 5.3 การเพาะพันธุ์ปลาสลิด ปลาสลิดสามารถเพาะพันธุ์ได้ง่าย ปลาสลิดที่จะน ามาใช้เป็น พ่อแม่พันธุ์ ควรเลือกปลาที่มีขนาดใหญ่ แข็งแรง สมบูรณ์ ไม่มีแผล ครีบและหางไม่แตก ขนาด ปลาที่จะสืบพันธุ์ได้ล าตัวจะยาวกว่า 10 เซนติเมตรขึ้นไป อัตราส่วนตัวผู้และตัวเมียที่จะปล่อยลงใน บ่อนั้น เป็นตัวผู้ 1 ตัวต่อตัวเมีย 1 ตัว ปลาสลิดจะเริ่มวางไข่ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนสิงหาคมในฤดูฝน โดยแม่ปลาตัวหนึ่ง วางไข่หลายครั้ง ครั้งละประมาณ 4,000-10,000 ฟอง ฉะนั้นการจัดบ่อเพาะเลี้ยงปลาสลิด จึงควร ให้เสร็จภายในเดือนมีนาคม คือหลังจากที่ได้ก าจัดศัตรู ระบายน้ าเข้า และปล่อยพันธุ์ปลาลงบ่อแล้ว ควรปลูกผักบุ้งรอบบริเวณชานบ่อ ซึ่งมีน้ าลึกเพียง 20-30 เซนติเมตร ปลาสลิดจะเข้าไปก่อหวอด วางไข่ และลูกปลาวัยอ่อนจะสามารถเลี้ยงตัวหลบหลีกศัตรูตามบริเวณชานบ่อนี้ได้ ถ้าได้จัดบ่อด้วยวิธีต่อไปนี้แล้ว จะท าให้ได้ลูกปลาสลิดเหลือรอดมากขึ้น กล่าวคือ ระบายน้ าเข้าบ่อผ่านตะแกรงที่มีช่องตาขนาด 1 มิลลิเมตร จนท่วมชานบ่อโดยรอบให้มี ระดับสูง 20 - 30 เซนติเมตร ปลาจะเข้าก่อหวอดวางไข่มากขึ้น ทั้งอาณาเขตบ่อก็จะกว้างขวาง กว่าเดิม เป็นการเพิ่มที่วางไข่และที่เลี้ยงตัวของลูกปลามากขึ้นด้วย สาดปุ๋ยมูลโคและมูลกระบือแห้ง บนบริเวณชานบ่อที่ไขน้ าให้ท่วมขึ้นมาใหม่นั้น ตามอัตราที่ได้ก าหนดไว้ในเรื่องการใส่ปุ๋ย จะท าให้เกิด ไรน้ าและท าให้ผักบนชานบ่อเจริญงอกงามขึ้น ปล่อยให้ผักขึ้นรกบริเวณชานบ่อ ผักเหล่านี้ปลาสลิด จะใช้ก่อหวอดวางไข่ และเป็นที่ก าบังหลบหลีกศัตรูของลูกปลาในวัยอ่อน จนกว่าจะแข็งแรงเอาตัว รอดได้ ก่อนจะเริ่มวางไข่ ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายเตรียมการโดยในขั้นแรกปลาตัวผู้จะเลือกสถานที่จะ ก่อหวอด ซึ่งเป็นฟองน้ าลายไว้ในระหว่างต้นผักบุ้งโปร่งๆไม่หนาทึบเกินไป และโดยปกติปลาสลิดตัว เมียจะชอบวางไข่ในร่มมากกว่ากลางแจ้ง ตัวผู้จะเป็นตัวจัดหาที่ที่เห็นว่าเหมาะสมแล้วเริ่มก่อหวอด เช่นเดียวกับปลากัด ปลากริม และปลากระดี่ เมื่อเตรียมหวอดเสร็จแล้ว ปลาก็จะเริ่มผสมพันธุ์กัน


147 โดยตัวผู้จะเริ่มไล่ต้อนตัวเมียเข้าใต้บริเวณหวอด และรัดท้องตัวเมียให้ไข่ออก ปล่อยน้ าเชื้อเข้าผสม กับไข่ จากนั้นปลาตัวผู้ก็จะอมไข่พ่นเข้าใต้หวอด ไข่จะลอยติดอยู่ที่หวอด แม่ปลาจะวางไข่จนกว่า จะหมดรุ่นของไข่แก่ในคราวหนึ่งๆ ลักษณะของไข่ปลาสลิดจะมีสีเหลือง ปลาสลิดนั้นนอกจากจะเพาะขยายพันธุ์ในบ่อดังกล่าวมาแล้วยังใช้วิธีเพาะในภาชนะได้อีกวิธี หนึ่ง คือ ใช้ถังไม้สักปากกว้าง 1.50 เมตร ยาว 3 เมตร ลึก 60 เซนติเมตร ใส่น้ าคลองที่สะอาด ให้ระดับน้ าลึกเพียง 40 เซนติเมตร วางไว้กลางแจ้งท าเพิงคลุมถังขนาด 2 ใน 4 ของถังเพื่อ ก าบังแดด ใช้ผักบุ้งลอยไว้ 3 ใน 4 ของถัง แล้วปล่อยปลาที่ก าลังมีไข่แก่ลงไป 10 ตัว ตัวผู้ 10 ตัว หลังจากปล่อยลงถังเพียง 4 - 6 วัน ปลาสลิดจะเริ่มก่อหวอดวางไข่ ไข่ปลาจะฟักเป็นตัวและ เติบโตเช่นเดียวกับการเพาะฟักในบ่อดิน จากนั้นจึงช้อนพ่อแม่ปลาออก เลี้ยงลูกปลาในถังนี้ไปก่อน โดยให้ไข่ผงหรือไรน้ าเป็นอาหารไปสัก 2 สัปดาห์ ต่อจากนั้นให้กินร าผงละเอียด ไปจนกว่าลูกปลาจะมี ขนาดยาว 2 เซนติเมตร จึงปล่อยลงบ่อเลี้ยงต่อไป นอกจากวิธีที่กล่าวมาแล้วนี้ ยังมีวิธีเพาะปลูกปลาสลิดอีกวิธีหนึ่ง คือช้อนหวอดไข่จากในบ่อ เพาะเลี้ยงน ามาฟักในถังไม้สัก จนลูกปลาสลิดโตจึงปล่อยลงในบ่อ วิธีนี้ช่วยให้ลูกปลาสลิดมีชีวิตรอด อยู่ได้จ านวนมากกว่าที่จะปล่อยให้เจริญเติบโตในบ่อเพาะเลี้ยงเอง เพราะในบ่อย่อมมีศัตรูของปลา สลิดอยู่ เช่น แมลงในน้ า กบ ปลา งูฯลฯ ซึ่งจะคอยท าลายไข่และลูกปลา อย่างไรก็ดีการกระท าโดย วิธีช้อนรังไข่จากบ่อมาเพาะฟักในถังไม้ยังไม่ดีเท่ากับปล่อยพ่อแม่ปลาลงผสมกันในถังไม้ดังกล่าวใน ตอนต้น เพราะการช้อนหวอดไข่มาเพาะฟักในถังนั้นอาจมีแมลงในน้ าและไข่ปลาบางชนิดติดปะปน มากับหวอดไข่ด้วย จะเป็นศัตรูต่อลูกปลาสลิด ท าให้ลูกปลาสลิดรอดชีวิตน้อยลงกว่าวิธีแรก ไข่ปลา สลิดจะเริ่มฟักเป็นตัวภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง โดยจะทยอยออกเป็นตัวหมดภายในเวลา 48 ชั่วโมง ไข่ที่ไม่ได้รับการผสมจะเป็นราสีขาวไม่ออกเป็นตัว ลูกปลาที่ออกจากไข่ใหม่ๆ จะมีถุงอาหารติด อยู่ที่ท้องและจะไม่กินอาหารจนกว่าจะพ้น 7 วันไปแล้ว เมื่อถุงอาหารยุบหมดจึงจะเริ่มกินอาหาร ปลา สลิดที่มีอายุ 7 เดือน จะมีความยาวตั้งแต่ 10 เซนติเมตรขึ้นไป ซึ่งเป็นขนาดที่สามารถสืบพันธุ์ได้ต่อไป อีก (กรมประมง , 2549) การปล่อยปลาสลิดลงเลี้ยง เวลาที่เหมาะสมส าหรับการปล่อยปลาลงเลี้ยงในบ่อ ก็คือ เวลาเช้าตรู่หรือเวลาเย็น เพราะเวลาดังกล่าวน้ าในบ่อไม่ร้อนจัด ปลาที่ปล่อยลงไปจะปรับตัวให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อมได้และไม่ตายง่าย อัตราส่วนของปลาที่ปล่อยลงเลี้ยงประมาณ 5-10 ตัว / เนื้อที่ผิวน้ า 1 ตารางเมตรเป็นอย่างมาก การให้อาหาร อาหารที่ปลาสลิดชอบกินก็คือ ตะไคร่น้ า ร าละเอียด หรือปลายข้าวต้มปนกับ ผักบุ้งที่หั่นแล้ว แหนสด และปลวก


148 ตะไคร่น้ าและไรน้ าเป็นอาหารของลูกปลาวัยอ่อน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 7 วัน ถึง 1 เดือน เมื่อลูก ปลามีอายุได้ 21 วัน ควรให้ร าข้าวอย่างละเอียดต้มปนกับผักบุ้งที่หั่นละเอียด หรือแหนสดและปลวก บ้าง เพราะลูกปลาบางตัวโตเร็วสามารถกินอาหารดังกล่าวได้บ้างแล้ว ส าหรับผักบุ้งที่จะใช้ต้มปนร า นั้นควรใช้ผัก 1 ส่วน ร า 2 ส่วน โดยต้มผักให้เปื่อยเสียก่อน แล้วจึงเอาร าลงไปเคล้าปั้นเป็นก้อนให้ กินเพียงวันละ 2 ครั้งในเวลาเช้าและเย็น โดยวางบนแป้นซึ่งอยู่ในระดับน้ า 1 คืบ ควรกะให้ปลากิน หมดพอดีในวันหนึ่งๆ ถ้าเหลือข้ามวันไปอาหารจะบูดเน่าท าให้น้ าเสียได้ แต่การที่จะก าหนดปริมาณ อาหารให้แน่นอนลงไปเป็นการยากที่จะค านวณได้ เพราะปลาย่อมจะเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน อาหารที่ ให้ต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นเสมอ การให้อาหารควรให้เป็นเวลา และให้ในระหว่างที่อากาศยังไม่ร้อน เช่น 7.00 น.- 8.00 น. และในตอนเย็นก่อนจะวางอาหารบนแป้นไม้ควรตีน้ าให้เป็นสัญญาณปลาจะได้เคยชินและเชื่องด้วย การจับ ปลาสลิดเมื่อเลี้ยงได้ในระยะ 8-10 เดือนก็สามารถจับได้ ฤดูการวิดจับปลาอยู่ฤดู แล้งระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ปลาจะมีขนาดความยาว 14-22 เซนติเมตร มีน้ าหนักตั้งแต่ 50-150 กรัม วิธีการจับใช้วิธีลดน้ าให้ปลาลงมาในคูจากนั้นก็ลดน้ าในคูให้ปลาไปรวมกันที่บ่อจับ ใกล้ทางน้ าออก จับปลาและคัดชนิดปลาที่จับได้ขาย ซึ่งนอกจากจะได้ปลาสลิดเป็นหลักแล้วยังได้ปลา ช่อน ปลาดุก ปลาตะเพียน และปลาหมอไทย เป็นผลพลอยได้เสริมอีกด้วย การจับเพื่อใช้เป็นอาหารประจ าวัน ปลาที่ใช้เป็นอาหารต้องมีขนาดยาวตั้งแต่ 10 เซนติเมตร ขึ้นไป จึงจะคุ้มทุน ควรใช้ลอบยืนวางไว้ตามมุมบ่อ ถ้าใช้แหทอดหรือสวิงตักที่แป้นอาหารปลาจะเข็ด ไม่มากินอาหารไปหลายวัน โรคและศัตรูปลาสลิด โดยธรรมชาติแล้วปลาสลิดไม่ค่อยจะเป็นโรคร้ายแรง ทั้งยังไม่เคย ปรากฏว่ามีโรคระบาดขึ้นในบ่อปลาสลิดเลย เว้นจากน้ าในบ่อจะเสียและสังเกตได้โดยปลาขึ้นลอยตัว เพราะออกซิเจนที่ละลายในน้ าไม่เพียงพอ จึงต้องขึ้นมาหายใจบนผิวน้ า ในเรื่องนี้ต้องระวังให้มาก ปลาอาจตายหมดทั้งบ่อ วิธีแก้ไขก็คือ ต้องถ่ายน้ าเก่าออกและระบายน้ าใหม่เข้า หรือย้ายปลาไปไว้ในบ่ออื่น อีกประการหนึ่ง ใน ฤดูร้อนมักจะเกิดเห็บปลาเกาะติดตามตัวปลา ซึ่งจะเกาะดูดเลือดของปลากิน ท าให้การเจริญเติบโต ของปลาชะงักลง ถ้ามีเพียงเล็กน้อยก็พอจะแกะออกจากตัวปลาได้แต่ถ้ามีมากเกินไป การก าจัดก็ โดยระบายน้ าสะอาดเข้าไปในบ่อให้มากๆ ก็จะท าให้ตัวเห็บนี้หายไปได้ อีกประการหนึ่ง ปลาที่จะน ามาเป็นพ่อแม่พันธุ์ ถ้าปรากฏว่ามีบาดแผล ไม่ควรน าลงไปเลี้ยง รวมกันในบ่อ เพราะปลาที่เป็นแผลจะเป็นโรครา และไปติดต่อถึงปลาตัวอื่นได้ ศัตรูของปลาสลิดก็มีสัตว์พวก นาก นกกินปลา เช่น นกกระเต็น นกยาง นกกาน้ า และ เหยี่ยว สัตว์เลื้อยคลาน เช่น เหี้ย งู เต่า ตะพาบน้ า กบ เขียด และปลาจ าพวกปลากินเนื้อ เช่น ปลา ช่อน ปลาชะโด และปลาไหล จะกินปลาสลิดขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ปลากริม ปลากัด และปลา


149 หัวตะกั่ว จะกินไข่ของปลาสลิดและลูกปลาในวัยอ่อน ตามธรรมชาติปลาสลิดย่อมจะรู้หลบหลีกศัตรู ได้ดี แต่เมื่อน ามาเลี้ยงไว้ในบ่อเช่นนี้ ปลาสลิดก็ยากที่จะหาทางหลบหลีกศัตรูได้ ฉะนั้นจ าเป็นต้อง ช่วยโดยการป้องกันและก าจัด ในการป้องกันและก าจัดพวกสัตว์ดูดนม เช่น นากและสัตว์เลื้อยคลาน เช่น เหี้ย งู กบ เขียด เต่า ตะพาบน้ า เหล่านี้ถ้าท ารั้วล้อมรอบได้ก็เป็นการป้องกันได้ดี ส่วนสัตว์จ าพวกนกก็ต้องท าเพิง คลุมแป้นอาหารไว้เพื่อป้องกันนกโฉบปลาในขณะที่ปลากินอาหารอยู่เป็นกลุ่ม จ าพวกปลากินเนื้อ ต่างๆ นั้น ควรต้องระวังผักที่จะเก็บลงมาปลูกในบ่อ เพราะอาจจะมีไข่ปลาดังกล่าวติดมาด้วย อีก อย่างหนึ่งท่อระบายน้ า ต้องพยายามใช้ลวดตาข่ายที่มีช่องตาขนาดเล็กกรองน้ าที่จะผ่านลงในบ่อ และต้องหมั่นตรวจตะแกรงถ้าช ารุดก็ควรเปลี่ยนใหม่ 6. การเลี้ยงปลาตะเพียนขาว ชื่อสามัญ Tawes หรือ Barp ชื่อวิทยาศาสตร์ Puntius gonionotus ภาพที่ 20 แสดงรูปร่างของปลาตะเพียนขาว ภาพถ่าย โดยนายบรรชร กล้าหาญ , 2551 6.1 ลักษณะทั่วไปของปลาตะเพียนขาว ปลาตะเพียนขาวเป็นปลาพื้นเมืองและเป็นปลาที่คนไทยโดยทั่วไปรู้จักทั่วทุกภาคของประเทศ ในด้านโภชนาการนั้นเป็นปลาที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหมู่คนไทย ทั้งในเมืองและชนบท เป็นปลาที่สามารถน ามาเลี้ยงและเพาะขยายพันธุ์ได้ง่าย จึงเป็นปลาพื้นเมืองที่ได้รับการคัดเลือกให้ ส่งเสริมในการเพาะเลี้ยงชนิดหนึ่ง การเพาะเลี้ยงปลาตะเพียนขาวได้ท าเป็นครั้งแรกก่อนปี 2503 ที่


150 สถานีประมงบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ และต่อมาได้พัฒนาในการเพาะพันธุ์ปลาชนิดนี้ ทั้งวิธี เลียนแบบธรรมชาติและผสมเทียม จนสามารถเผยแพร่จ าหน่ายจ่ายแจกได้ที่สถานีประมงจังหวัด ร้อยเอ็ด และสถานีประมงอื่น ๆ ตลอดจนฟาร์มเอกชนในระยะเวลาต่อมา แหล่งก าเนิด ปลาตะเพียนขาวเป็นปลาที่มีถิ่นก าเนิดดั้งเดิมอยู่แถบแหลมอินโดจีน ชวา ไทย สุมาตรา อินเดีย ปากีสถาน ขณะนี้ยังมีชุกชุมในถิ่นดังกล่าว ส าหรับประเทศไทยเรานั้นมีอยู่ทั่วไปใน แหล่งน้ าธรรมชาติ ตามแม่น้ า ห้วย หนอง คลอง บึงต่างๆทั่วทุกภาคของประเทศ เชื่อกันว่าปลาชนิด นี้มีอยู่คู่กับแม่น้ า ล าคลองในแถบภูมิภาคนี้นานแล้วนับตั้งแต่สมัยสุโขทัย หรืออาจจะก่อนกว่านั้น เพราะมีลายของถ้วยชาม เครื่องเคลือบปรากฏเป็นรูปปลาตะเพียนขาวให้เห็นอยู่กลาดเกลื่อน แต่ชื่อ “ตะเพียน” ที่ใช้เรียกขานกันเพิ่งจะมาพบเป็นหลักฐานในสมัยอยุธยาตอนปลาย จากพงศาวดารฉบับ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส และฉบับพระหัตถเลขา มีข้อความต้องกันอยู่ว่า สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ชอบเสวยปลาตะเพียน ถึงกับตั้งก าหนดโทษแก่คนที่กินปลาตะเพียนว่า จะต้องถูกปรับถึง 5 ต าลึง (กรมประมง , 2548) รูปร่างลักษณะและอุปนิสัย ปลาตะเพียนขาวมีลักษณะล าตัวแบนข้าง หัวเล็ก ปากเล็ก ริมฝีปากบาง ขอบส่วนหลังโค้งยกสูงขึ้น ความยาวจากสุดหัวจรดปลายหาง 2.5 เท่าของความสูง จะงอยปากแหลม มีหนวดเส้นเล็กๆ 2 คู่ ต้นของครีบหลังอยู่ตรงกันข้ามกับเกล็ดที่สิบของเส้นข้าง ตัว เกล็ดตามแนวเส้นข้างตัวมี 29-31 เกล็ด ล าตัวมีสีเงิน ส่วนหลังมีสีคล้ าส่วนท้องมีสีขาว ที่โคน ของเกล็ดมีสีเทาจนเกือบด า ปลาตะเพียนขาวขนาดโตเต็มที่มีล าตัวยาวสูงสุดถึง 50 เซนติเมตร ขนาด ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมีความยาวกว่า 32.5 เซนติเมตร ปลาตะเพียนขาวเป็นปลาที่หลบซ่อนอยู่ตามแม่น้ า ล าคลอง หนอง บึง ที่มีกระแสน้ าไหล อ่อนๆ หรือน้ านิ่ง เป็นปลาที่ทนต่อสิ่งเปลี่ยนแปลงและสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพสิ่งแวดล้อมได้ดี ไม่อยู่รวมกันเป็นฝูง นอกจากเวลาสืบพันธุ์และวางไข่ ปลาชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตในน้ ากร่อยที่มี ความเค็มไม่เกิน 7 ส่วนในพันส่วน (ppt.) อุณหภูมิเหมาะสมส าหรับปลาชนิดนี้อยู่ระหว่าง 25-33 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ าสุดที่ปลาพออยู่ได้ราว 15 องศาเซลเซียส ลูกปลาตะเพียนขาววัยอ่อนกินสาหร่ายเซลล์เดียวและแพลงก์ตอนสัตว์ขนาดเล็กนอกจากนั้น ยังพบว่าลูกปลาตะเพียนขาวที่มีอายุขนาด 2-3 นิ้ว จะเริ่มเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารมากินใบสาหร่าย หางกระรอก คือจะเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารจากการกินพวกแพลงก์ตอนทั้งพืชและสัตว์มาเป็นกินพืช ส่วนพวกปลาขนาด 3-5 นิ้ว กินพวกพืชชั้นสูงเป็นส่วนใหญ่ ปลาตะเพียนขาวเป็นปลาหากินกลางวัน สามารถกินอาหารได้หลายชนิด ทั้งพืชและสัตว์ เริ่มจากพืชชั้นต่ า พวกพืชเซลล์เดียว สาหร่ายน้ า เงินเขียว สาหร่ายเขียว พวกไดอะตอม ฯลฯ พืชชั้นสูง เช่น แหนแดง แหนเป็ด สาหร่ายพุงชะโด ผักบุ้ง พืชบก เช่น ใบมันเทศ ใบมันส าปะหลัง พวกผักกินใบต่างๆ ใบกระถิน ใบแค หญ้า ฯลฯ พวกสัตว์เริ่มจากพวกโปรโตซัว โรติเฟอร์ พวกหนอน ไรน้ า กุ้งฝอย แมลง หอย ลูกปลา ฯลฯ


Click to View FlipBook Version