The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารการสอนวิชาการเพาะเลี้ยงปลา (ส่งทำเล่ม)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Boonyanuch Kaewmanee, 2023-03-13 23:01:06

เอกสารประการเรียน วิชาการเพาะเลี้ยงปลา (Fish Breeding and Culture)

เอกสารการสอนวิชาการเพาะเลี้ยงปลา (ส่งทำเล่ม)

Keywords: Fish Breeding and Culture

51 จากวิธีค านวณข้างบนนี้ เราจะต้องใช้ซูพรีแฟกซ์ 0.46 ซี.ซี. โมทิลี่ยม 9 เม็ดครึ่ง และเติมน้ ากลั่น 8.74 ซี.ซี. ลงไป ได้น้ ายาที่ผสมแล้ว 9.2 ซี.ซี. แล้วน าไปฉีดปลาตัวละ 1.5, 1.7, 1.8, 2.0 และ 2.2 ซี.ซี. ตามล าดับ ส่วนการฉีดในครั้งที่ 2 ก็มีวิธีค านวณเช่นเดียวกับครั้งแรก จะได้ผลคือ ในปลาตัวเมียใช้ ซูพรีแฟกซ์0.86 ซี.ซี. โมทิเลี่ยม 8 เม็ดครึ่ง หรือ 9 เม็ด เติมน้ ากลั่นลงไป 7.74 ซี.ซี. จะได้น้ ายาผสม แล้ว 8.6 ซี.ซี. น าไปฉีดให้ปลาตัวเมีย ตัวละ 1.2, 1.4, 1.8, 2.0 และ 2.2 ซี.ซี. ตามล าดับ ในปลาตัวผู้ ใช้ซูพรีแฟกซ์ 0.92 ซี.ซี. โมทิเลี่ยม 9 เม็ดครึ่ง เติมน้ ากลั่น 8.28 ซี.ซี. ให้ได้ น้ ายาที่ผสมแล้ว 9.2 ซี.ซี. แล้วน าไปฉีดปลาตัวผู้ตัวละ 1.5, 1.7, 1.8, 2.0 และ 2.2 ซี.ซี. ตามล าดับ ตัวอย่างที่ 3 มีแม่พันธุ์ปลายี่สกหนัก 800 กรัม ต้องการฉีดฮอร์โมน SUPREFACT ในอัตราความ เข้มข้น 30 MICROGRAM ต่อปลาหนัก 1 ก.ก. และใช้ MOTILIUM - M 10 มิลลิกรัม ต่อปลา หนัก 1 ก.ก.โดยให้ฉีดปริมาณสารละลายฮอร์โมนเข้าสู่ตัวปลา 1 ซี.ซี. และใช้ฮอร์โมนจาก สารละลายตั้งต้นที่ใน 1 ซี.ซี. มีฮอร์โมนซูพรีแฟกซ์อยู่ 100 ไมโครกรัม จงแสดงวิธีการค านวณ วิธีท า แม่ปลาหนัก 0.8 ก.ก. ต้องการใช้ซูพรีแฟกซ์ 30 ไมโครกรัม/ปลาหนัก 1 ก.ก. มีปลาหนัก 1 ก.ก. ใช้ซูพรีแฟกซ์ 30 ไมโครกรัม ถ้าปลาหนัก 0.8 ก.ก.ใช้ซูพรีแฟกซ์ 30x0.8= 24 ไมโครกรัม ท าไมโครกรัมเป็น ซี.ซี. = 24/100 = 0.24 ซี.ซี. ปริมาณที่ใช้ MOTILIUM = 10 มิลลิกรัม/ปลาหนัก 1 ก.ก. ปลาหนัก 1 ก.ก. ใช้ MOTILIUM = 10 มิลลิกรัม ปลาหนัก 0.8 ก.ก. ใช้ MOTILIUM = 10x0.8 = 8 มิลลิกรัม ใช้ MOTILIUM = 8 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1 เม็ด ปริมาณสารละลายฮอร์โมนตัวละ 1 ซี.ซี. จะต้องใช้น้ ากลั่น = 1-0.24 = 0.76 ซี.ซี สรุป ในการเพาะพันธุ์ปลาครั้งนี้จะต้องใช้ SUPREFACT = 0.24 ซี.ซี. MOTILIUM = 8 มิลลิกรัม น้ ากลั่น = 0.76 ซี.ซี.


52 8. ต าแหน่งที่จะฉีดควรฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณ ด้านหลังของโคนครีบหลังหรือฉีดเข้าช่อง ท้องที่โคนครีบท้อง หรือโคนครีบหูก็ได้ 9. ปลาตะเพียน ปลานวลจันทร์เทศ ปลายี่สกเทศ เมื่อฉีดยาแล้วควรปล่อยให้ออกไข่เอง ในกระชังจะสะดวกกว่า เมื่อวางไข่แล้วจึงย้ายไข่ไปฟัก ส่วนปลาอื่น ๆ ควรน าแม่ปลาขึ้นมารีดไข่ เมื่อปลาพร้อมที่จะวางไข่แล้ว 10. ยาซูพรีแฟกซ์และโมทิเลี่ยมไม่มีอันตรายต่อปลา ปลาที่ฉีดยาแล้วถ้าจะน าไปรับประทาน ต้องท าให้ปลาสุกก่อน ควรเก็บยาไว้ในที่ปลอดภัย ห่างจากมือเด็ก อย่าสัมผัสกับยาโดยตรง หาก ท าซูพรีแฟกซ์รดมือ ให้รีบล้างออกด้วยน้ าสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง 11. เข็มและหลอดฉีดยาที่ใช้ดูดซูพรีแฟกซ์ ทุกครั้งจะต้องสะอาดผ่านการต้มน้ าเดือดไม่น้อย กว่า 5 นาทีมาแล้ว ถ้าน าเข็มสกปรกไปดูดยา ยาจะเสื่อมคุณภาพอย่างรวดเร็ว โดยจะเห็นตะกอนอยู่ใน น้ ายา เมื่อฉีดปลาในปริมาณที่แนะน าปลาจะไม่วางไข่ ถ้าเก็บรักษาและใช้อย่างถูกต้อง ยานี้จะใช้งานได้ นานไม่น้อยกว่า 1 ปี ข้อดีของการใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ซูพรีแฟกซ์ คือ สะดวกในการใช้ได้ผลดีกับปลาหลายชนิด เช่น ปลาดุก ปลาสวาย ปลาตะเพียน ปลายี่สก ปลาจีน เป็นต้น และมีต้นทุนการเพาะพันธุ์ต่อหน่วย ถูกกว่าการใช้ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองปลา วิธีการฉีดฮอร์โมน ในการฉีดฮอร์โมนกระตุ้นการตกไข่ของปลา มีวิธีการฉีด 2 วิธีคือ (ปกรณ์, 2532) 1. การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular injection) โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณใต้ครีบ หลังเหนือเส้นข้างล าตัว ใช้ได้ดีกับปลาที่ไม่มีเกล็ด เช่น ปลาดุก ปลาสวาย โดยปักเข็มลงลึกประมาณ 0.5 – 1 เซนติเมตร ยกเข็มขึ้นท ามุมประมาณ 45 องศา หรืออาจฉีดบริเวณโคนครีบหู ใช้ได้ดีกับปลา ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ปลายี่สกเทศ ปลาจีน ปลาไน ซึ่งเมื่อเปิดบริเวณหลังโคนครีบหูของปลาจะพบว่า เป็นบริเวณที่ไม่มีเกล็ด การปักเข็มควรหันปลายเข็มไปทางตาของปลาด้านตรงข้าม โดยท ามุม ประมาณ 45 องศากับล าตัว นอกจากนี้อาจฉีดบริเวณด้านท้ายของฐานครีบหลังก็ได้ นิยมฉีดให้แก่ ปลามีเกล็ดขนาดเล็ก เช่น ปลาตะเพียนขาว


53 ภาพที่ 7 แสดงต าแหน่งการฉีดฮอร์โมน ก. บริเวณกล้ามเนื้อใต้ครีบหลังเหนือเส้นข้างล าตัว ข. บริเวณโคนครีบหู ค. บริเวณด้านท้ายของฐานครีบหลัง ง. และ จ. ปลาที่มีเกล็ดต้อง สอดปลายเข็มเข้าระหว่างรอยต่อของเกล็ด 2. การฉีดเข้าช่องท้อง (Intraperitoneal injection) เป็นวิธีการที่นิยมใช้ใน ต่างประเทศที่มี อุณหภูมิต่ า เพราะการฉีดเข้าช่องท้องฮอร์โมนจะออกฤทธิ์ได้ดีกว่า ท าได้โดยการสอดปลายเข็มฉีดยา ให้ทะลุผนังช่องท้อง และกล้ามเนื้อหน้าท้อง แล้วฉีดให้ฮอร์โมนอยู่ในช่องท้อง แต่มีข้อเสียคือ อาจจะ ท าให้อวัยวะภายในฉีกขาด นอกจากนี้อาจเกิดการสูญเสียฮอร์โมนถ้าปลายเข็มฉีดเข้าไปในท่อ ทางเดินอาหารของปลา ฉะนั้นผู้ที่เลือกฉีดวิธีนี้ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอวัยวะภายในของ ปลาที่จะถูกฉีดด้วย การพักปลาระหว่างช่วงการฉีดฮอร์โมน ในกรรมวิธีการเพาะพันธุ์ปลาโดยวิธีฉีดฮอร์โมน จะต้องมีการพักปลาระหว่างช่วงการฉีดฮอร์โมนหรือก่อนการรีดไข่ การพักปลาเป็นช่วงที่มี ความส าคัญยิ่ง ทั้งนี้เพราะว่าการท างานของฮอร์โมนจะมีประสิทธิภาพเพียงใดขึ้นอยู่กับสภาวะทาง สรีระของสัตว์ การพักปลาให้อยู่ในสภาพที่ดีนั้นจะช่วยให้การท างานของฮอร์โมนเป็นไปอย่างปกติ การจับปลาขึ้นมาเพื่อการฉีดและระหว่างฉีดควรท าอย่างรวดเร็วและนิ่มนวลเพื่อป้องกันปลาบอบช้ า ระบบน้ าและอากาศควรจัดไว้ในที่กักขัง พ่อแม่ปลาและบริเวณที่กักขังควรกว้างพอที่ปลาจะว่ายน้ า ได้อย่างปกติ การตรวจสอบความพร้อมของปลาหลังการฉีดฮอร์โมน เมื่อเสร็จสิ้นกรรมวิธีการฉีดฮอร์โมน ให้กับแม่ปลาและพ่อปลาแล้ว เมื่อถึงระยะเวลาการวางไข่ต้องจับแม่ปลามารีดไข่และรีดน้ าเชื้อพ่อ ปลาผสมกับไข่ แม่ปลาที่พร้อมจะรีดไข่ได้จะแสดงอาการกระวนกระวาย ว่ายน้ าไปมาอย่างรวดเร็ว การเปิดปิดของกระดูกปิดเหงือกถี่ขึ้น เช่นเดียวกับการขยับตัวของครีบหู แล้วเมื่อใช้มือรีดเบาๆ บริเวณช่องเพศหากปลาพร้อมที่จะวางไข่จะมีไข่พุ่งออกมาโดยไม่ต้องออกแรงเค้น ก็ให้น าปลาขึ้นมา


54 รีดไข่ได้ทันทีหากพบว่ายังรีดไข่ไม่ได้ให้สังเกตลักษณะของช่องเพศในขณะที่บีบดูว่าช่องเพศขยายตัวดี หรือไม่ เพื่อค านวณเวลาว่าควรจะเว้นช่วงนานกี่นาทีจึงจะตรวจสอบแม่ปลาอีกครั้งหนึ่ง แต่หาก สังเกตไม่พบว่าปลามีอาการกระวนกระวายก็ยังไม่ควรตรวจสอบ เพราะจะเป็นการรบกวนการพัฒนา ของไข่ การสังเกตอาการแม่ปลานี้มีข้อยกเว้นในปลาบางชนิด เช่น ปลาดุก ซึ่งแม่ปลาไม่แสดง อาการใดๆเลยแต่จะสังเกตจากลักษณะอื่น เช่น เมื่อพบว่าเริ่มมีไข่ปลาหลุดออกมาในบ่อพักก็ให้น า ปลาขึ้นมารีดไข่ได้ การรีดไข่ รีดน้ าเชื้อ และการผสมไข่กับน้ าเชื้อ 1. การรีดไข่ หลังจากฉีดฮอร์โมนให้แก่แม่ปลาครั้งสุดท้าย และถึงก าหนดการตกไข่ของแม่ ปลาจะต้องมีการตรวจสอบ และเมื่อพบว่าแม่ปลามีไข่ถึงขั้นที่สามารถรีดได้แล้ว ให้ด าเนินการตาม ขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1.1.ใช้สวิงตักแม่ปลาขึ้นจากบ่อ ซับตัวปลาด้วยผ้าขาวบางบริเวณช่องเพศ และรอบช่อง เพศให้แห้ง 1.2.หงายมือข้างที่ถนัดจับหัวปลาบริเวณครีบอก ให้หัวปลาหันเข้าหาล าตัวทุกครั้ง ใช้ผ้า รองมือในการจับเพื่อไม่ให้ลื่น และป้องกันปลาช้ า 1.3.ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้รีดไข่ โดยบีบจากบริเวณช่องเพศ แล้วเลื่อนมือมาจนถึงโคน ครีบท้องหลาย ๆ ครั้ง รีดไข่ลงในกะละมังเคลือบจนไข่หมดท้อง 2. การรีดน้ าเชื้อ ภายหลังจากการรีดไข่ ให้จับพ่อปลารีดน้ าเชื้อลงรวมกับไข่ในกะละมังให้ เร็วที่สุด โดยมีขั้นตอนดังนี้ 2.1.ใช้สวิงจับปลาขึ้นจากบ่อ ใช้ผ้าซับตัวปลาให้แห้ง 2.2.ใช้มือข้างที่ถนัดรีดน้ าเชื้อ โดยรีดตั้งแต่บริเวณครีบอกไปจนถึงอวัยวะเพศให้น้ าเชื้อไหล ลงไปรวมกับไข่ในกะละมังเคลือบ 3. การผสมไข่กับน้ าเชื้อที่นิยมท ากันมี 3 วิธี คือ 3.1.วิธีเปียก (Wet method) เป็นวิธีการรีดไข่และน้ าเชื้อผสมกันลงไปในภาชนะที่มี น้ าอยู่แล้ว และใช้ขนไก่คนผสมให้ทั่วแล้วน าไปเทลงในอุปกรณ์เพาะฟักทันที ในปัจจุบันวิธีนี้ไม่ค่อย นิยม เนื่องจากน้ าเชื้อถูกเจือจางไปมาก และอีกทั้งถ้ารีดน้ าเชื้อผสมช้าไปอาจท าให้อัตราการปฏิสนธิ ต่ า เนื่องจากไข่ดูดน้ าเร็ว และช่องไมโครไพล์ (Micropyle) ปิดอย่างรวดเร็ว วิธีนี้เหมาะส าหรับไข่ ลอยและไข่ครึ่งจมครึ่งลอย เช่น ปลาหมอไทย ปลาตะเพียน


55 3.2.วิธีแห้ง (Dry method) เป็นวิธีการรีดไข่และน้ าเชื้อผสมกันลงในภาชนะที่แห้ง สนิทซึ่งเชื้อตัวผู้จะเคลือบผิวของเปลือกไข่ไว้โดยตรง หลังจากนั้นใช้ขนไก่คนให้ไข่และน้ าเชื้อเข้าเป็น เนื้อเดียวกัน จึงน าไปฟักในอุปกรณ์เพาะฟักทันที วิธีนี้เหมาะส าหรับไข่ติดวัตถุ โดยเฉพาะไข่ปลา สวาย และไข่ปลาดุกอัฟริกัน ซึ่งเหนียวจัดท าให้ไข่มีอัตราการฟักตัวสูงขึ้น 3.3. วิธีแห้งแบบดัดแปลง (Modified dry method) เป็นวิธีผสมเทียมที่นิยม แพร่หลายมากที่สุดที่ดัดแปลงมาจากวิธีแห้งโดยการรีดไข่และน้ าเชื้อผสมกันลงในภาชนะที่แห้งสนิท แล้วใช้ขนไก่คนให้ไข่และน้ าเชื้อเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน และเติมน้ าลงไปพอท่วมไข่ พร้อมใช้ขนไก่คน ประมาณ 1 – 2 นาที จากนั้นท าการล้างเมือกโดยการเปลี่ยนน้ าอีก 2 ครั้ง ก็สามารถน าไปฟักใน อุปกรณ์เพาะฟักได้ทันที วิธีนี้เหมาะส าหรับไข่ปลาเกือบทุกประเภท เช่น ไข่ครึ่งจมครึ่งลอย ไข่ลอย และไข่จมติดวัตถุที่เหนียวไม่มาก เช่น ไข่ปลาดุกอุย เป็นต้น ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฟักไข่ ในการฟักไข่ปลาแต่ละชนิด หลังจากที่ไข่ได้รับการผสมแล้วจะต้องน าไปเพาะฟักในอุปกรณ์ ที่จัดไว้ตามชนิดของไข่ปลา ในการฟักไข่ปลาควรค านึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ 1. การให้ออกซิเจน ในการฟักไข่ปลาจะต้องให้ออกซิเจนแก่ไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว โดย การปล่อยให้น้ าไหลผ่านไข่ที่ก าลังฟักอย่างสม่ าเสมอ และให้ใช้แอร์ปั้มช่วยเพิ่มออกซิเจน ไข่ที่ก าลัง ฟักจะต้องกระจายไม่ติดกันเป็นก้อนซึ่งจะช่วยให้ไข่ทุกฟองมีโอกาสสัมผัสกับออกซิเจนในน้ าได้มากขึ้น ความต้องการออกซิเจนของไข่ที่ฟักจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆตามระยะการพัฒนาของไข่ 2. การก าจัดของเสีย ในช่วงระหว่างการเจริญและพัฒนาของไข่ ไข่จะปล่อยสารที่เป็น ของเสียออกมาละลายกับน้ า เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย สารพิษเหล่านี้ ถ้ามีอยู่ มากในอุปกรณ์ที่ใช้ในการฟักไข่จะท าให้จ านวนไข่ที่ฟักเป็นตัวน้อยหรือฟักไม่ออกหมดเลยก็ได้ จึง ควรมีการถ่ายเทน้ าในระหว่างฟักเพื่อเป็นการก าจัดของเสียต่างๆที่ละลายอยู่ในน้ า 3. การควบคุมอุณหภูมิของน้ า อุณหภูมิของน้ าที่ใช้ในการฟักไข่ตามปกติในเขตร้อนไม่มี ปัญหาด้านอุณหภูมิ แต่ถ้าเป็นเขตหนาวจ าเป็นต้องควบคุมอุณหภูมิของน้ าที่ใช้ฟักไข่ปลา โดย เครื่องมือท าความร้อน (Heater) ปรับอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม คือ 25 – 27 องศา เซลเซียส 4. การควบคุมการไหลของน้ า ไข่ปลาบางชนิดมีลักษณะบอบบางมาก เช่น ไข่ของปลา ตะเพียนขาวและปลายี่สกเทศ ถ้าใช้กระเเสน้ าไหลแรงจะท าให้แตกเสียหายได้ 5. คุณสมบัติของน้ า น้ าที่ใช้ฟักไข่ต้องเป็นน้ าที่สะอาดไม่ควรมีแพลงค์ตอนติดมากับน้ า เพราะแพลงค์ตอนเป็นตัวแย่งใช้ออกซิเจนในน้ า และน้ าที่ใช้ฟักไข่ปลาจะต้องปราศจากศรัตรูที่จะกัด กิน หรือท าลายไข่ เช่น มวนวน ตัวอ่อนของแมลงปอ แมลงป่องน้ า แมงดาสวน เป็นต้น


56 ประเภทของการฟักไข่ การฟักไข่ปลา แบ่งออกได้ตามประเภทของไข่ ดังนี้ 1. การฟักไข่ปลาประเภทไข่ลอย ตามปกตินิยมเพาะฟักไข่ปลาในบ่ออนุบาลหรือ กระชังผ้าโอล่อนแก้ว รูปร่างของกระชังเป็นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า เช่น ขนาดยาว 2 เมตร กว้าง 1 เมตร และลึก 0.5 เมตร ใช้หูเกี่ยวหรืออาจใช้โครงเหล็กถ่วงพื้นให้กระชังตึงคงรูปอยู่ได้ ในขณะที่ ท าการเพาะฟักต้องมีการเพิ่มออกซิเจนลงในน้ าโดยใช้แอร์ปั้มเพื่อช่วยไล่ไขมันที่ติดออกมาให้มากที่สุด เมื่อลูกปลาฟักออกเป็นตัวแล้วจึงรวบรวมลูกปลาไปอนุบาลในบ่อต่อไป 2. การฟักไข่ปลาประเภทไข่ครึ่งจมครึ่งลอย ในการฟักไข่แบบนี้ที่นิยมใช้ทั่วไปมี 3 แบบ คือ 2.1 แบบกรวยฟัก (Funnel type incubator) กรวยฟักที่ใช้กันทั่วๆไปเป็นแบบที่ ระบบระบายน้ าเข้าทางก้นกรวย แล้วไหลออกทางปากกรวย แรงของน้ าจะท าให้ไข่ลอยฟุ้งอยู่ ตลอดเวลา โดยทั่วไปจะปรับให้น้ าฟักไขขึ้นไปสูง 2 ใน 3 ของความสูงของกรวย ดังนั้นความแรง ของน้ าจะขึ้นอยู่กับความจุของกรวยนั้นๆ เช่น กรวยขนาด 10 ลิตร ความแรงของน้ าควรอยู่ ระหว่าง 0.5 – 1 ลิตร/นาที ในปัจจุบันนิยมใช้ผ้าโอล่อนแก้วท ากรวย 2.2 แบบกระชังถ่วงก้น (Hapa type incubator) กระชังที่ใช้ในการเพาะฟักควร ท าด้วยผ้าโอล่อนแก้ว โดยท าการขึงกระชังลงในบ่อ พร้อมกับใช้เครื่องมือปั้มลมเป็นตัวที่ช่วยให้ไข้ ฟุ้งกระจาย ด้วยการวางท่อลมที่บริเวณกึ่งกลางของพื้นกระชัง น้ าหนักของหัวทรายหรือตะกั่วถ่วง สายลม จะช่วยท าให้กระชังหย่อนและมีลักษณะเป็นรูปกรวยเมื่อน าไข่ลงฟัก ไข่ปลาจะอยู่ใน ลักษณะหมุนเวียนคล้ายการฟักแบบกรวย 2.3 แบบถังฟักระบบน้ าไหล (Running funnel type incubator) โดยให้มีระบบ น้ าไหลเข้าถังด้านบนหรือด้านล่างก็ได้ช่วยให้น้ าหมุนเวียนอยู่ภายในถังอย่างสม่ าเสมอ ที่บริเวณกลาง ถังจะมีรูระบายน้ าทิ้ง บริเวณรอบๆตรงกลางที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 90 เซนติเมตร จะบุด้วยตะแกรง หรือผ้าโอล่อนแก้วเพื่อป้องกันไม่ให้ไข่ไหลไปกับน้ า หลังจากลูกปลาฟักออกเป็นตัวแล้วให้ใช้กระชัง ตาถี่รองที่ทางน้ าออกพร้อมกับยกตะแกรงชั้นในออก ลูกปลาก็จะไหลออกทางท่อน้ าออกลงสู่กระชัง ซึ่งพร้อมที่จะน าไปอนุบาลต่อไป 3. การฟักไข่ปลาประเภทจมติดวัตถุ นิยมท าการเพาะฟักในกระชังผ้าโอล่อนแก้วโดยการหา วัสดุให้ไข่ติดเสียก่อน เช่น รังเทียม (Kakabans) หรือแผงฟักไข่ โดยน าวัสดุที่มีไข่ปลาติดเหล่านี้ไป เพาะฟักในกระชัง มีการใช้เครื่องปั้มลมเพื่อเพิ่มออกซิเจนลงในบ่อฟักเมื่อลูกปลาฟักออกเป็นตัวแล้ว ก็จะลอดตามุ้งไนล่อนของแผงฟักไข่ได้ หรือสลัดหลุดจากรังเทียม จากนั้นจึงยกแผงฟักไข่หรือรัง เทียมออกหลังจากน าลูกปลาไปอนุบาลต่อไป


57 การดูแลไข่ระหว่างฟัก ในระยะแรกของการฟักไข่ ไข่ปลาที่เสียแล้วและไข่ที่ดีจะมีลักษณะ คล้ายคลึงกันมาก ยังไม่มีความแตกต่างเกิดขึ้น แต่หลังจากการฟักผ่านไป 4 – 6 ชั้วโมง ไข่ปลาที่ ไม่ได้รับการผสมกับเชื้อตัวผู้ จะมีลักษณะสีขาวขุ่นไม่ใสเหมือนกับไข่ที่ได้รับการผสมซึ่งจะมีการพอง ตัว และสีที่สม่ าเสมอไปในลักษณะเดียวกันยิ่งในระยะนี้ต้องมีการควบคุมคุณภาพของน้ า เช่น ปริมาณออกซิเจน และอุณหภูมิ ให้เหมาะสมต่อการเจริญของไข่ปลา ไข่ปลาที่ไม่ได้รับการผสมจาก เชื้อตัวผู้จะเป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อราแพร่ไปยังไข่ปลาที่ได้รับการผสมจากน้ าเชื้อตัวผู้แล้ว ฉะนั้นจึงควร ป้องกันการแพร่ของเชื้อรา โดยใช้ Malachite green ในอัตราความเข้มข้น 3 ppm. แช่ไว้ใน อุปกรณ์เพาะฟัก 30 – 60 นาที ทุกวัน ถ้ามีการแพร่กระจายของเชื้อรามากควรใช้อัตราความ เข้มข้น 0.1 – 0.2 ppm. เติมในบ่อพักน้ าที่ใช้ในการฟักไข่ปลา ข้อดีและข้อจ ากัดของการเพาะพันธุ์ปลาโดยวิธีการผสมเทียม ข้อดี 1. ไข่สะอาดปราศจากสิ่งเจือปนท าให้มีอัตราการฟักสูง 2. สามารถควบคุมโรค และพยาธิได้ดี เนื่องจากท าในโรงเพาะฟัก 3. สามารถเพาะพันธุ์ปลานอกฤดูกาลเพาะพันธุ์ได้ 4. สามารถวางแผนในการผลิตปลาได้ล่วงหน้า 5. สามารถผสมข้ามพันธุ์ปลาต่างชนิดกันได้ 6. สามารถผลิตลูกปลาได้เป็นจ านวนมากต่อการเพาะพันธุ์ในแต่ละครั้ง 7. ได้ลูกปลาที่มีขนาดสม่ าเสมอกัน 8. สามารถเพาะพันธุ์ปลาที่ไม่ผสมพันธุ์กันเองในบ่อเลี้ยงได้ 9. ได้ลูกปลาที่แข็งแรง ปราศจากโรค ข้อจ ากัด 1. พ่อแม่ปลาอาจได้รับบาดเจ็บจากการฉีดฮอร์โมนและการรีดไข่และน้ าเชื้อ 2. ต้องมีต่อมใต้สมอง หรือฮอร์โมนเพียงพอ 3. การรีดไข่ต้องใช้ประสบการณ์มาก


58 บทสรุป การเพาะพันธุ์สัตว์น้ าโดยวิธีการฉีดฮอร์โมนผสมเทียมนับว่าเป็นวิธีในการเพาะพันธุ์สัตว์น้ าที่ ก าลังได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากท าได้ง่ายสะดวกต่อการใช้และได้ผลค่อนข้าง แน่นอนท าให้สามารถที่จะขยายพันธุ์สัตว์น้ าชนิดต่างๆให้เพียงพอ โดยผู้ด าเนินการจะต้องมีความรู้ และทักษะในการผสมฮอร์โมน การฉีดฮอร์โมน การรีดไข่ปลามาผสมกับน้ าเชื้อ การฟักไข่และการ อนุบาลลูกปลาที่ถูกวิธี ก็จะท าให้การเพาะพันธุ์โดยวิธีการผสมเทียมประสบผลส าเร็จตามความ ต้องการ ทั้งนี้การผสมเทียมมีข้อดีหลายประการอาทิ มีอัตราการฟักของไข่สูง สามารถควบคุมโรค และพยาธิได้ สามารถเพาะพันธุ์ปลานอกฤดูกาล โดยการวางแผนการผลิตได้ รวมทั้งสามารถผสม ข้ามพันธุ์ปลาได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อด้อยเช่น การบาดเจ็บของพ่อแม่ปลา การขาดทักษะ ประสบการณ์ของผู้ผลิตและการค านวณปริมาณของต่อมใต้สมองหรือฮอร์โมนที่จะใช้ แบบประเมินผลท้ายหน่วยการเรียน 1. นายกนกต้องการเพาะพันธุ์ปลาดุกโดยวิธีการผสมเทียม เขาจึงไปขอค าแนะน าจากประมงอ าเภอ หากท่านเป็นประมงอ าเภอจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับการผสมเทียมปลาดุกแก่นายกนกอย่างไร จึงจะ สามารถท าให้นายกนกผสมเทียมปลาดุกได้ส าเร็จ 2. หากต้องการจะน าต่อมใต้สมองปลาฉีดกระตุ้นการตกไข่ให้แก่แม่ปลาตะเพียนขาว น้ าหนัก 2 กิโลกรัม โดยก าหนดอัตราเข้มข้น 1.5 โดส จะต้องด าเนินการอย่างไรบ้างจงอธิบายโดยละเอียด 3. หากต้องการผ่าเก็บต่อมใต้สมองปลาไน จะต้องด าเนินการอย่างไรบ้างจงอธิบายโดยละเอียด 4. ฮอร์โมนสังเคราะห์ที่มีบทบาทมากที่สุดในการเพาะพันธุ์ปลาคืออะไรและมีคุณสมบัติอย่างไร …..ให้ปลาฉันหนึ่งตัว …..ฉันมีกินหนึ่งวัน …..แต่ถ้าสอนให้ฉันเพาะเลี้ยงปลาได้ ….ฉันจะมีปลากินตลอดไป


59 แผนการเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง การอนุบาลลูกปลา 1) เนื้อหา 1. ประเภทของการอนุบาลลูกปลา 2. อัตราการปล่อยลูกปลา 3. การจัดการน้ าในบ่ออนุบาล 4. การป้องกันและก าจัดศัตรูสัตว์น้ า 5. โรคและปรสิต 6. การสร้างแหล่งอาหารให้ลูกปลาด้วยการเพาะเลี้ยงไรแดง 2) ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังน าทาง : จุดประสงค์น าทาง 1. บอกประเภทของการอนุบาลลูกปลา 2. บอกอัตราการปล่อยลูกปลาที่เหมาะสม 3. สาธิตวิธีการจัดการน้ าในบ่ออนุบาล 4. บอกวิธีการป้องกันและก าจัดศัตรูสัตว์น้ า 5. สรุปประเภทและลักษณะของโรคและปรสิตปลา 6. สาธิตวิธีการสร้างแหล่งอาหารให้ลูกปลาด้วยการเพาะเลี้ยงไรแดง 7. เกิดแนวคิดในการอนุบาลลูกปลาเพื่อเป็นการสร้างอาชีพ 3) กิจกรรมการเรียนการสอน ครั้งที่ 1. การแบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่มเพื่อวิเคราะห์ปัญหาในการอนุบาลลูกปลาด้วยเทคนิค แผนภูมิพาเรโท ครั้งที่ 2 – ครั้งที่ 8 การเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการ 9 ขั้น จากแบ่งกลุ่มค้นคว้าใน 3 ประเด็นประกอบด้วย หลักการอนุบาลลูกปลา การป้องกันและก าจัดศัตรูปลา โรคและปรสิตของ ปลา ครั้งที่ 3 การน าเสนองานการค้นคว้า ครั้งที่ 4 การฝึกปฏิบัติในการเพาะเลี้ยงไรแดง ครั้งที่ 5 การฝึกปฏิบัติการเตรียมบ่อดินเก่า บ่อดินใหม่และบ่อซีเมนต์ใหม่เพื่อการอนุบาล ลูกปลา


60 ครั้งที่ 6 การศึกษาโรคและศัตรูปลาโดย วีดีทัศน์เรื่องโรคและศัตรูปลา ครั้งที่ 7 การศึกษาดูงานนอกสถานที่ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการประมงน้ าจืดร้อยเอ็ด ครั้งที่ 8 การน าเสนอผลการเรียนรู้จากการฝึกอนุบาลลูกปลา 4) สื่อการเรียนการสอน 1. อุปกรณ์เพื่อการฝึกปฏิบัติตามใบงาน 2. เอกสารใบงานที่ 18 เรื่องการวิเคราะห์ปัญหาการอนุบาลลูกปลาโดยเทคนิคพาเรโท 3. เอกสารใบงานที่ 19 ใบงานการค้นคว้าหลักการอนุบาล 4. เอกสารใบงานที่ 20 เรื่องการเพาะเลี้ยงไรแดงเพื่อเป็นแหล่งอาหารให้ลูกปลา 5. เอกสารใบงานที่ 21 เรื่องการเตรียมบ่ออนุบาล 6. เอกสารใบงานที่ 22 เรื่องระบบการอนุบาลลูกปลา 7. เอกสารใบงานที่ 23 เรื่องบันทึกการศึกษาดูงาน 8. วีดีทัศน์เรื่อง โรคและศัตรูปลา 9. แหล่งวิทยาการในชุมชนได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ าจืดจังหวัดร้อยเอ็ด 5) การวัดประเมินผล 1. การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 2. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มอบหมาย 3. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนที่ 7 4. การท าบันทึกการเรียนรู้ (Learning Log) 5. การบันทึกการศึกษาดูงานนอกสถานที่


หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 การอนุบาลลูกปลา การอนุบาลลูกปลาเป็นขั้นตอนหนึ่งในระบบการเพาะเลี้ยงลูกปลา เป็นการน าลูกปลาขนาด เล็กที่ฟักออกเป็นตัว พักไว้จนแข็งแรง น าไปอนุบาลลูกปลาเป็นขั้นที่ต้องอาศัยความรู้ความช านาญ ตลอดต้องเอาใจใส่อย่างดียิ่ง นักผสมพันธุ์ปลาส่วนมากมักจะประสบปัญหาในระยะอนุบาล ทั้งนี้ เพราะลูกปลาที่ออกจากไข่มีขนาดเล็กมาก อ่อนแอไม่สามารถช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากศัตรูต่าง ๆ ได้ จึงอาจกล่าวได้ว่าขั้นตอนการอนุบาลลูกปลา เป็นขั้นตอนที่ส าคัญที่สุดในขบวนการเพาะขยายพันธุ์ ปลา (อุทัยรัตน์, 2538) ประเภทของการอนุบาลลูกปลา โดยธรรมชาติลูกปลาจะสามารถเริ่มหาอาหารกิน หลังจากถุงไข่แดงยุบ (Yolk sac) ซึ่งกิน เวลาประมาณ 2 – 3 วันหลังจากฟักเป็นตัว อาหารที่ใช้เลี้ยงลูกปลาช่วงนี้ได้แก่ ไข่แดงสุก โดย น ามาบดให้ละเอียดแล้วน าไปให้กิน วิธีการให้กินคือควรให้กินทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง ประมาณ 1 – 2 วันต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นไรแดงประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นจึงย้ายลงบ่อดินที่ท าความสะอาด ฆ่า ศัตรูปลาและใส่ปุ๋ยเพื่อเพาะอาหารธรรมชาติแล้ว พร้อมทั้งต้องคอยดูแลพวกแมลงต่างๆ และมวน กรรเชียงซึ่งถ้ามีมากต้องก าจัดโดยใช้ น้ ามันโซ่ล่า 1 แกลลอน ต่อเนื้อที่น้ า 1 ไร่ สาดให้ทั่วบ่อ ในช่วงแดดจัด ทิ้งไว้ประมาณ 3 วัน แล้วจึงค่อยปล่อยลูกปลาลงไป อาหารในช่วงนี้ต้องให้ร าละเอียด เป็นอาหารสมทบ (สุภาพร, 2538) ส าหรับวิธีการในการอนุบาลลูกปลาสามารถท าได้หลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของปลา และ วิธีการของแต่ละคน ซึ่งอาจเหมือนกันหรือต่างกันในปลาชนิดเดียวกัน ในที่นี้จะขอน าเสนอประเภท การอนุบาลลูกปลาด้วยการแบ่งตามลักษณะวิธีการ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. การแบ่งตามประเภทของอาหารที่ใช้ 1. 1. การอนุบาลลูกปลาโดยใช้อาหารสมทบ (อาหารที่ไม่เกิดขึ้นเองในบ่อ) อาหารสมทบหมายถึง อาหารที่ผู้เลี้ยงใช้เลี้ยงปลาโดยตรง และเป็นอาหารที่มี คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน เมื่อปลากินสามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ ซึ่งแบ่งออกได้ ดังนี้ 1.) อาหารลูกปลาระยะแรก เป็นอาหารที่ใช้เลี้ยงลูกปลาที่เริ่มกินอาหารจนถึงอายุ ประมาณ 10 วัน เป็นระยะที่ปลาต้องการอาหารที่มีคุณลักษณะพิเศษ เนื่องจากลูกปลาระยะแรกมี ขนาดเล็ก และมีอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะอวัยวะรับสัมผัสยังเจริญไม่ดี การกินอาหารเป็นไปใน ลักษณะไม่ตั้งใจ เพียงแต่ว่ายน้ าอ้าปากไปเรื่อย ๆ เมื่อมีอาหารผ่านเข้าไปในปากลูกปลาจึงจะกิน


62 ด้วยสาเหตุดังกล่าวอาหารลูกปลาจึงควรมีคุณสมบัติเหล่านี้ คือ มีขนาดเล็กพอดีกับขนาดของลูกปลา ลอยตัวกระจายอยู่ทั่วไปในน้ าท าให้ลูกปลาพบได้ง่าย มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน อาหารที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ได้แก่ การน าเอาไข่ไก่ดิบมาตีให้เข้ากัน แล้วใช้น้ า เดือดเทลงในไข่พร้อมกับคนแรง ๆ จะได้ไข่ผงละเอียดที่ลอยน้ าได้ หรือใช้ไข่แดงต้มสุกละลายน้ า หรือโรติเฟอร์ (Rotifer) และไรแดง ให้แก่ลูกปลาได้โดยตรงซึ่งมีข้อดีคือ ไม่ท าให้น้ าเน่าเสีย 2.) อาหารส าหรับลูกปลาระยะหลัง ลูกปลาระยะนี้สามารถหัดให้กินอาหารได้ การ กินอาหารแตกต่างกันไปตามชนิดของปลา ในลูกปลากินเนื้อ เช่น ลูกปลาดุก ลูกปลาช่อน สามารถกิน ปลาบดผสมร าหรืออาหารส าเร็จรูปจมน้ าได้ดี ส่วนลูกปลากินพืช เช่น ลูกปลาตะเพียนขาว ลูกปลา ยี่สกเทศ ลูกปลานวลจันทร์ สามารถกินอาหารส าเร็จรูปชนิดผง หรือร าละเอียดผสมปลาป่น กากถั่วที่ ลอยน้ าได้ดี 1.2 การอนุบาลลูกปลาโดยใช้อาหารธรรมชาติ อาหารธรรมชาติหมายถึง อาหารที่เกิดขึ้นเองภายในบ่อ เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กทั้ง พืชและสัตว์ มีขนาดต่างกัน ลูกปลาเลือกกินได้ตามความเหมาะสม อาหารธรรมชาติจะเพิ่มจ านวนขึ้น ในบ่อโดยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยอนินทรีย์ การใส่ปุ๋ยในบ่อดินได้ผลดีกว่าบ่อคอนกรีต การเตรียม อาหารธรรมชาติในการอนุบาลลูกปลาจะท าไปพร้อมกับการเตรียมบ่อ โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1.) ก าจัดศัตรู เนื่องจากปลาวัยอ่อนที่ปล่อยลงอนุบาลในบ่อนั้น มีขนาดเล็กและ บอบบางมาก ถ้ามีสัตว์จ าพวกกบ ปลาช่อน ปลาไหล ปลาหมอ หลงเหลืออยู่ภายในบ่อ นอกจาก จะกินลูกปลาเป็นอาหาร ยังแย่งอาหารลูกปลากินอีกด้วย จึงต้องก าจัดศัตรูปลาให้หมดไปเสียก่อน โดยใช้ยาเบื่อเมา ได้แก่ โล่ติ๊น กากชา หรือโซเดียมไซยาไนด์ (Sodium cyanide) บ่อที่เคยเลี้ยงปลา มาก่อนและมีน้ าขังต้องสูบน้ าให้แห้งแล้วตากบ่อทิ้งไว้เพื่อก าจัดศัตรู บ่อที่ไม่สามารถสูบน้ าให้แห้งได้ ต้องสูบให้เหลือน้อยที่สุดแล้วใส่ยาเบื่อเมาจึงจะได้ผลดีและไม่สิ้นเปลือง 2.) ใส่ปูนขาว การใส่ปูนขาวมีจุดประสงค์ช่วยปรับความเป็นกรดเป็นด่างของดิน และท าให้ธาตุอาหารอื่น ๆ ถูกน าไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยก าจัดเชื้อโรค ตลอดจนศัตรูปลา ขนาดเล็กลงในบ่อได้ โดยใส่ในอัตรา 60 กิโลกรัมต่อไร่ โดยหว่านให้ทั่วก้นบ่อในขณะน้ าแห้ง 3.) ใส่ปุ๋ย การใส่ปุ๋ยคอกแห้งควรใส่พร้อมกับการก าจัดศัตรูและใส่ปูนขาวจะท าให้ ประหยัดแรงงาน ปูนขาวและปุ๋ยก็จะกระจายทั่วถึง โดยใส่ปุ๋ยในอัตรา 200 – 300 กิโลกรัมต่อไร่ โดยให้ทั่วก้นบ่อ หลังจากนั้นจึงเปิดน้ าเข้าบ่อ ระดับน้ า 50 เซนติเมตร ปล่อยทิ้งไว้5 – 7 วัน น้ าจะ มีสีเขียว แสดงว่ามีอาหารธรรมชาติเกิดขึ้นในบ่อจ านวนมาก สามารถปล่อยลูกปลาลงเลี้ยงในบ่อได้ การอนุบาลลูกปลากินพืชให้ได้ผลดีต้องใช้ทั้งอาหารธรรมชาติและอาหารสมทบควบคู่กันตลอด ระยะเวลาการอนุบาล 1 – 2 เดือน


63 2. การแบ่งตามลักษณะบ่อหรืออุปกรณ์การอนุบาล บ่ออนุบาลโดยทั่วไป ไม่จ าเป็นต้องสร้างให้ใหญ่โตเช่นเดียวกับบ่อเลี้ยง ทั้งนี้เพื่อสะดวก ในการดูแลรักษา หลักการส าคัญที่ควรค านึงในการสร้างบ่ออนุบาล มีดังนี้ 1.) เนื้อที่ผิวน้ าของบ่อไม่ควรที่จะกว้างหรือแคบจนเกินไป 2.) ควรมีระบบน้ าผ่านได้ในปริมาณที่ต้องการตามขนาดของปลาที่เติบโตขึ้น 3.) ถ้าเป็นบ่อคอนกรีต ควรทาสีด้านในด้วยสีอ่อน ๆ และให้ถูกแสงแดดพอประมาณ 4.) อุณหภูมิของน้ าภายในบ่อควรอยู่ในระดับ 28 – 31 องศาเซลเซียส ส าหรับวิธีการอนุบาลลูกปลาตามลักษณะของบ่อหรืออุปกรณ์ประกอบด้วย 1.) การอนุบาลปลาในบ่อดิน : เป็นบ่อที่มีประสิทธิภาพและนิยมมากเพราะการ ลงทุนต่ า สามารถอนุบาลปลาได้มาก ลูกปลาเจริญได้ดี บ่ออนุบาลดินมีหลายขนาดสามารถปรับได้ ตามความต้องการเช่น 100 – 2,000 ตารางเมตร หรือ 20 x 40 x 1.00 เมตร 2.) การอนุบาลในบ่อคอนกรีต : นิยมใช้กับปลาบางชนิดเช่น ปลาสวยงาม ปลา ดุก ขนาดของบ่อขึ้นอยู่กับความต้องการและชนิดของปลา เช่น ปลาสวยงามทั่วไปควรมีพื้นที่ผิวน้ า 1 – 2.5เมตร ลึก 60 เซนติเมตร รูปทรงขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และสามารถสร้างได้ทั้งในระบบน้ า นิ่งและไหลเวียน ในรูปแบบของบ่อแบบฝังดินหรือบ่อลอย และบ่อที่นิยมมากคือ บ่อลอยเพราะ สะดวกต่อการระบบน้ า ทั้งนี้ควรมีหลังคากันแดดด้วย ซึ่งขนาดของบ่อควรต้องสัมพันธ์กับจ านวน ปลา ทั้งนี้บ่อคอนกรีตมีความสะดวกง่ายต่อการดูแลรักษา การตรวจสอบการเจริญของลูกปลา ลูก ปลามีอัตราการรอดสูง แต่ลงทุนค่อนข้างแพง จึงนิยมกับการอนุบาลปลาที่อนุบาลยากหรือมีราคา แพง 3.) การอนุบาลปลาในกระชัง : กระชังเป็นโครงไม้สี่เหลี่ยมซึ่งกรุด้วยไนลอนช่องตา 1 – 2 มิลิเมตร มีขนาดไม่แน่นอน แต่โดยทั่วไปจะมีขนาดเล็กเพราะสะดวกและง่ายต่อการดูแล รักษา จะนิยมใช้ในที่มีน้ าไหล หรือแหล่งน้ าขนาดใหญ่เพื่อให้น้ าหมุนเวียนได้สะดวก 4.) การอนุบาลปลาในที่กักขังขนาดเล็ก : วิธีการนี้เป็นการอนุบาลในภาชนะ ขนาดเล็กเช่น ตู้กระจก อ่างน้ า ส่วนใหญ่นิยมกับปลาสวยงาม การอนุบาลในบริเวณที่แคบต้อง ระมัดระวังเกี่ยวกับปริมาณของออกซิเจน และการก าจัดของเสีย จ าเป็นต้องใช้แอร์ปั๊มช่วยและต้องให้ อาหารสมทบ อัตราการปล่อยลูกปลา การปล่อยลูกปลาในอัตราที่เหมาะสม จะท าให้ปลาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ได้ผลผลิตสูง การ ก าหนดอัตราการปล่อยที่แน่นอนเป็นเรื่องที่ท าได้ยาก ทั้งนี้เพราะมีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย เช่น ความทนทานของลูกปลาที่ต้องการเมื่อถึงก าหนดจับ อย่างไรก็ตามมีหลักเกณฑ์โดยประมาณในการ ปล่อยลูกปลาตามตารางที่ 2


64 ตารางที่ 2 อัตราการปล่อยลูกปลาในบ่ออนุบาลชนิดต่าง ๆ ชนิดปลา บ่อดิน (ตัวต่อ ไร่) บ่อซีเมนต์ (ตัวต่อตาราง เมตร) ตู้กระจก (ตัวต่อน้ า 100 ลิตร) ปลานิล ปลาไน ปลาสลิด , แรด ช่อน,หมอไทย ดุกอุย ,ดุกด้าน ปลาบู่ ยี่สกเทศ, ปลา เฉา ปลาลิ่น , ปลา ซ่ง ป ล าต ะ เพี ย น ขาว 300,000 300,000 200,000 300,000 500,000 100,000 400,000 400,000 800,000 200 150 50 300 3,500 100 100 100 250 50 50 50 200 2,000 100 50 50 100 ที่มา : อุทัยรัตน์(2538) การล าเลียงลูกปลาปล่อยลงบ่ออนุบาล ควรล าเลียงด้วยความระมัดระวังในเวลาเช้าหรือเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่อุณหภูมิของน้ าในบ่อดินและบ่อซีเมนต์ไม่ต่างกันมากนัก และสิ่งที่ควรค านึงถึงอีก ประการหนึ่งคือ ในขณะที่ปล่อยลูกปลาลงบ่ออนุบาล น้ าในบ่อต้องมีอาหารธรรมชาติเกิดขึ้นอย่าง เพียงพอ จึงจะท าให้ลูกปลามีอัตราการรอดตายสูง (ธรรมนูญ , 2535) การจัดการน้ าในบ่ออนุบาล ระดับน้ าในบ่ออนุบาลขึ้นอยู่กับชนิดของปลา เช่น ปลาสวายต้องการน้ าลึกกว่าปลาดุก โดยทั่วไประดับของน้ าเมื่อเริ่มปล่อยควรมีความลึกประมาณ 50 เซนติเมตร เมื่อเริ่มอนุบาล คุณสมบัติของน้ าจะเริ่มเปลี่ยนแปลง จึงจะเพิ่มระดับน้ าขึ้นเรื่อยๆจนเต็มระดับการเก็บกักน้ า การ อนุบาลระยะแรกไม่จ าเป็นต้องถ่ายเทน้ า ทั้งนี้เพราะลูกปลามีขนาดเล็ก การถ่ายเทน้ าค่อนข้าง ล าบาก ส าหรับการอนุบาลในบ่อคอนกรีต โดยเลี้ยงอย่างหนาแน่น มีความจ าเป็นอย่างยิ่งในการดูด สิ่งขับถ่ายตลอดจนเศษอาหารทิ้งทุกวัน แล้วจึงเพิ่มระดับน้ าให้สูงขึ้นตามที่ต้องการ คุณสมบัติของน้ า นอกจากจะมีความสมบูรณ์ด้วยอาหารธรรมชาติแล้ว ควรมีปริมาณ ออกซิเจนที่ละลายในน้ าไม่ต่ ากว่า 3 มิลลิกรัม / ลิตร(p.p.m.) หากพบว่า ค่าความเข้มข้นของ ออกซิเจนในน้ าค่อนข้างต่ าเกินไป จ าเป็นต้องเติมน้ าดีลงในบ่อ และถ้าเป็นบ่อคอนกรีตต้องให้ ออกซิเจนตลอดเวลา โดยทั่วไประดับน้ าส าหรับการอนุบาลในบ่อดินควรลึกประมาณ 50 เซนติเมตร แล้วจึงเพิ่ม ระดับน้ าขึ้นอย่างต่อเนื่องจนได้ระดับที่ต้องการ คือลึกประมาณ 1 – 1.5 เมตร ภายในเวลา 1 เดือน


65 ในระยะแรกของการอนุบาลจึงยังไม่จ าเป็นต้องถ่ายน้ า ส่วนการอนุบาลลูกปลาในบ่อคอนกรีตโดย เลี้ยงอย่างหนาแน่น อาจจ าเป็นต้องดูดสิ่งขับถ่ายตลอดจนเศษอาหารทุกวัน แล้วจึงเพิ่มระดับน้ าขึ้น เท่าเดิม (เมฆ , 2525 ) การป้องกันและก าจัดศัตรูสัตว์น้ า ศัตรูสัตว์น้ า หมายถึง สัตว์ที่เข้าท าลายสัตว์เลี้ยงโดยตรง อาจท าลายในระยะเป็นไข่ ระยะตัว อ่อน หรือตัวเต็มวัย รวมทั้งสัตว์น้ าที่คอยแย่งอาหาร อากาศ และที่อยู่อาศัย ศัตรูของสัตว์น้ ามีทั้ง สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังและสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง การป้องกันและก าจัดศัตรูท าได้ดังนี้ 1. การป้องกันและก าจัดก่อนระยะปล่อยปลา ก่อนปล่อยปลาต้องก าจัดศัตรูให้หมดโดย การใส่ยาเบื่อเมา เช่น โล่ติ๊น (หางไหลแดง) ซึ่งในเถาและรากของโล่ติ๊นจะมีสารที่เป็นพิษต่อปลา ชื่อ โรทีโนน (Rotenone) โดยโรทีโนนท าให้เส้นเลือดฝอยที่เหงือกของปลามีขนาดเล็กลง และอุดตันท า ให้แลกเปลี่ยนออกซิเจนได้น้อยลงจึงมีผลท าให้ปลาตาย ใส่โล่ติ๊นในอัตราส่วน 1 กิโลกรัมต่อปริมาตร น้ าในบ่อ 100 ลูกบาศก์เมตร โดยการทุบเถาโล่ติ๊นให้แตก แช่น้ าในถังทิ้งไว้ 10 – 12 ชั่วโมง แล้วจึง ใช้มือบิดให้น้ าสีขาวไหลออกมา น าไปสาดให้ทั่วบ่อ ลูกปลาจะตายภายใน 6 ชั่วโมง ความเป็นพิษของ โล่ติ๊นจะสลายตัวภายใน 5 – 7 วัน หรือใช้กากชา (กากเมล็ดชา) มีสารพิษ ชื่อ ซาโปนิน (Sapronine) โดย ซาโปนินเป็นพิษต่อระบบประสาทของปลา วิธีการใช้ท าโดยน ากากชาแช่น้ า 10 – 12 ชั่วโมง แล้วน าไปสาดให้ทั่วบ่อ อัตราส่วนกากชา 2 กิโลกรัมต่อปริมาตรน้ า 100 ลูกบาศก์เมตร พิษของกาก ชาจะสลายตัวภายใน 5 – 7 วัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้โซเดียมหรือโปแตสเซียมไซยาไนท์ (Sodium or Patassium cyanide) ซึ่งเป็นสารเคมีใช้ในปริมาณ 20 กรัมต่อน้ า 100 ลูกบาศก์เมตร ฆ่าปลาและสัตว์น้ าอื่น ๆ ในบ่อ ความเป็นพิษจะสลายตัวภายใน 3 – 5 วัน เมื่อสูบน้ าเข้าบ่อต้องกรอง น้ าทุกครั้งเพื่อป้องกันศัตรู ทั้งที่เป็นตัวเต็มวัย ตัวอ่อน ไข่ ไม่ให้เข้ามาในบ่อ วิธีการกรองแบบง่าย ๆ ท าได้โดยใช้อวนไนล่อนตาถี่เย็บเป็นถุงยาว น ามาสวมไว้กับท่อน้ าเข้า การเย็บถุงให้มีลักษณะยาว ช่วยเพิ่มพื้นที่การกรอง และสามารถก าจัดสิ่งอุดตันได้ง่าย 2. การป้องกันและก าจัดหลังระยะการปล่อยปลา ศัตรูลูกปลาจ าพวกแมลง เช่น มวน กรรเชียง สามารถบินมาท าอันตรายลูกปลาในบ่อ โดยเฉพาะลูกปลาตะเพียนขาว ปลาจีน การก าจัด โดยใช้น้ ามันดีเซล เบนซิน หรือน้ ามันมะพร้าว ราดลงในบ่อทางด้านเหนือลม ในอัตราประมาณ 4 – 5 ลิตรต่อไร่ น้ ามันจะแผ่บาง ๆ ปกคลุมผิวน้ า เมื่อแมลงจ าพวกมวนว่ายน้ าขึ้นมาหายใจผิวน้ าน้ ามันจะ เคลือบช่องเปิดของท่อหายใจ ท าให้มวนเหล่านั้นตายในเวลาต่อมา ส่วนศัตรูชนิดอื่นที่พบบ้างในระยะนี้ คือ ลูกอ๊อด ควรใช้สวิงตักออก หรือก าจัดตั้งแต่ระยะเป็นไข่ ปลาช่อนก็อาจเล็ดลอดลงไปในบ่อ อนุบาลได้ภายหลังจากปล่อยลูกปลา ก าจัดโดยการทอดแหหรือใช้เบ็ดล่อ


66 โรคและปรสิต ในการอนุบาลปลากินพืช จ าพวกปลานิล ปลาไน จะพบปัญหาเกี ่ยวกับโรคและปรสิต น้อยมาก แต่จะพบมากในการอนุบาลลูกปลากินเนื้อ เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลาชะโด โรคและ ปรสิตที่พบมาก ได้แก่ (ปภาศิริ, 2538) 1. โรค โรคที่พบในปลาทั่ว ๆ ไปเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ กัน แต่ส าหรับลูกปลาที่เลี้ยงกัน แพร่หลายในทุกภาคนั้น พบว่าส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบ้างเล็กน้อย 1.1 โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Aeromonas hydrophila เป็นโรคที่พบแพร่หลาย และมีอาการต่างกันในปลาชนิดต่าง ๆ โรคที่พบว่าท าความเสียหายในการอนุบาลลูกปลามากคือ โรค โคนครีบหูบวมที่เกิดในปลาดุก ลักษณะอาการทั่วไปของปลาที่เป็นโรคคือ เหงือกซีด ท้องบวม ภายใน ช่องท้องมีน้ าเหลืองปนเลือด โรคนี้มักเกิดกับปลาที่มีอาการเครียด อาจจะเนื่องจากคุณภาพของน้ า ลดลง เช่น ปริมาณออกซิเจนต่ าเกินไป ปริมาณแอมโมเนียสูงเกินมาตรฐาน (0.025 มิลลิกรัม/ลิตร) หรือปลาเครียดเนื่องจากการขนส่ง แบคทีเรียชนิดนี้ท าให้เกิดโรคในลูกปลาตะเพียนขาวด้วยเช่นกัน โดยลูกปลาที่เป็นโรคมีอาการตัวเปื่อย หางเปื่อย และเกล็ดหลุด การรักษาโรคนี้ได้ผลค่อนข้างน้อยโดยการใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น ออกซี่เตตราไซคลิน หรือ ยาคลอแรมฟินิคอล ผสมอาหารในอัตรา 100 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัมทุกวันเป็นเวลา 10 วัน หรือใช้ฟูราเนซ ผสมในอาหารในอัตรา 0.5 – 1 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ติดต่อกัน 10 – 14 วัน วิธีการที่ดีที่สุดคือการป้องกัน โดยการดูแลปลาให้มีสุขภาพสมบูรณ์ที่สุด คุณภาพน้ า ต้องดีอยู่เสมอ ให้อาหารที่เหมาะสมในปริมาณที่เพียงพอ เมื่อพบว่าปลาเริ่มมีอาการเซื่องซึม ควร เปลี่ยนน้ าและเติมเกลือแกงในปริมาณร้อยละ 0.1, 0.5 ปลาจะมีอาการดีขึ้น ในการขนส่งลูกปลาควร ขนส่งลูกปลาด้วยความหนาแน่นต่ า พร้อมกับเติมเกลือแกงในอัตราเดียวกันในน้ าในภาชนะล าเลียง และพักปลาหลังการขนส่งในน้ าที่มีเกลือแกงในปริมาณเดียวกัน 3 – 5 วัน 1.2 โรคคอลัมนาริส (columnaris) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Flexibacter columnaris โรคนี้ถึงแม้จะพบไม่แพร่หลายนัก แต่ก็ท าความเสียหายแก่ลูกปลาเช่นเดียวกัน มักพบในช่วงเดือน พฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม ซึ่งเป็นระยะที่อุณหภูมิของน้ าต่ า ปลาจะมีอาการด่างซีดเป็นแถบตามตัว ครีบต่าง ๆ เปื่อยกร่อน เมือกบาง ว่ายน้ ากระสับกระส่าย มักจะเกิดกับปลาที่บอบช้ าจากการขนส่ง พบได้ในปลาดุก ปลาช่อน ปลากระพงขาวที่เลี้ยงในน้ าจืด การรักษาท าได้โดยการแช่ปลาในน้ ายาฟูราเรซ 1.5 กรัม / น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ติดต่อกัน 3 วัน หรืออาจใช้จุนสี 40 กรัม / น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร แช่นาน 20 นาที หรือใช้ด่างทับทิม 2 – 4 กรัม / 1 น้ าลูกบาศก์เมตรแช่ตลอดไป


67 1.3 โรคที่เกิดจากเชื้อรา Saprolegnia sp. เชื้อรานี้จะเข้าท าลายปลาหลังจากเกิดแผล เน่าเปื่อย ปลาจะมีปุยสีขาวอมเทาหรือน้ าตาลปกคลุมที่บาดแผล ผิวหนังและเหงือก และพบมากกับ ไข่ปลาที่เสียระหว่างการฟัก เมื่อเกิดมากเส้นใยของเชื้อราจะขัดขวางการหายใจของลูกปลา การ ป้องกันท าได้โดยแช่ไข่ปลาในสารละลายมาลาไคท์กรีน 5 กรัม / น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร นาน 1 ชั่วโมง หรือแช่ในน้ าเกลือเข้มข้นร้อยละ 5 นาน 1 – 2 นาที แล้วจึงน าไปฟักและคอยก าจัดไข่เสียออกจาก อุปกรณ์ฟักไข่ 1.4. โรคแกสบับเบิล (gas bubble disease) มีสาเหตุเกิดจากการที่มีก๊าซบางชนิด ละลายอยู่ในน้ ามากเกินจุดอิ่มตัว โดยเฉพาะก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจน หรือมีสาเหตุมาจากการย้าย ลูกปลาจากน้ าที่มีออกซิเจนสูงไปยังที่มีออกซิเจนต่ า ลูกปลาจะมีอาการเกิดถุงลมใต้ผิวหนังและที่ถุง อาหาร การป้องกันท าได้โดยการรักษาคุณสมบัติของน้ าในบ่ออนุบาลให้ดีอยู่เสมอ หากใช้น้ า บาดาลอนุบาลลูกปลาจะต้องพักน้ าและให้อากาศอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มก๊าซออกซิเจนที่ไม่ ต้องการ เช่น ไนโตรเจนออกไป 2. ปรสิต (parasites) ปกติตามธรรมชาติ ตามตัวลูกปลามักพบปรสิตชนิดต่าง ๆ เกาะ อยู่เสมอ ถ้ามีปริมาณไม่มากนักและลูกปลามีสุขภาพดีก็ไม่เกิดอันตรายแต่อย่างใด แต่ถ้าหากปรสิต เพิ่มจ านวนมากขึ้นก็จะท าให้เกิดอันตรายได้ ส่วนใหญ่พบในปลาดุก ส่วนลูกปลาอื่นมีปัญหาบ้าง เช่น ปลาช่อน ปลาสวาย ปรสิตที่ส าคัญ ได้แก่ 2.1 เห็บระฆัง (Trichodina sp.) ลักษณะคล้ายระฆังหรือถ้วยคว่ า มีขนาด 40 – 70 ไมครอน มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น พบในปลาหลายชนิด เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลาทรงเครื่อง ปลาสวาย ปลาตะเพียน ปลาไน ท าให้เกิดความเสียหายมากในลูกปลาดุก โดยเกาะตามเหงือก ล าตัว ครีบ มีผลให้ปลาดุกตายได้ทีละมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็บระฆังจะเพิ่มจ านวนได้อย่างรวดเร็วใน ระหว่างการล าเลียง การก าจัดท าได้โดยแช่ปลาในน้ ายาฟอร์มาลิน 25 – 50 มิลลิลิตร / น้ า 1 ลูกบาศก์ เมตร ทิ้งไว้ตลอดไป หรือแช่ในมาลาไคท์กรีน 0.15 กรัม / น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร ผสมฟอร์มาลิน 25 มิลลิเมตร / น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร แช่ติดต่อกัน 7 วัน และควรระวังการติดต่อของเชื้อโดยติดไปกับ เครื่องมือ


68 2.2 ปลิงใส (Gyrodactylus sp.) เป็นปรสิตขนาด 2 – 3 มิลลิเมตร ล าตัว เรียวใสพบเกาะมากตามเหงือกและล าตัว โดยเฉพาะลูกปลาดุก ซึ่งพบว่าสามารถท าให้ลูกปลาดุกตาย ได้จ านวนมาก การก าจัดโดยการแช่ปลาในน้ ายาฟอร์มาลิน 25 – 50 มิลลิลิตร/น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร หรือใช้ดิพเทอร์เร็กซ์ 0.25 – 0.50 กรัม/น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร แช่ตลอดไป 2.3 จุดขาว หรืออิ๊ค (Ichthyophthirius multifilis) จัดเป็นโปรโตซัวขนาด ใหญ่ 50 – 100 ไมครอน มีรูปร่างกลม มีลักษณะเด่นคือ มีนิวเคลียสเป็นรูปเกือกม้า เมื่อฝังตัวเข้าใต้ ผิวหนังปลาแล้วจะเกิดเป็นจุดสีขาวทั่วไป ปลาจะอ่อนแอและตายในที่สุด มักเกิดในต้นฤดูหนาว ก่อให้เกิดความเสียหายกับปลาทุกชนิด โดยเฉพาะปลาที่เลี้ยงในบ่อซีเมนต์ การก าจัด ตัวเต็มวัยยังไม่มีวิธีการก าจัดที่ได้ผลดี จึงใช้วิธีท าลายตัวอ่อนที่ล่องลอย อยู่ในน้ า ซึ่งจะสามารถตัดวงจรชีวิตของอิ๊คได้โดยใช้ฟอร์มาลิน 150 – 200 มิลลิลิตร / น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร แช่ปลา 1 ชั่วโมง หรือ 25 – 50 มิลลิลิตร / น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร แช่ไว้ตลอดไป หรืออา จะใช้มาลาไคท์กรีนผสมฟอร์มาลินในอัตราความเข้มข้น 0.15 กรัม / น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร และ 25 มิลลิลิตร / น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร ตามล าดับแช่ติดต่อกัน 7 วัน 2.4 หนอนสมอ (Lernaea sp.) มีลักษณะรูปร่างเป็นทรงกระบอกขนาดประมาณ 0.2– 4.3 มิลลิเมตร ส่วนหัวมีลักษณะคล้ายสมอ ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ฝังเข้าไปใต้ผิวหนังปลาแล้วโผล่ส่วน หางออกมา ท าให้ปลาเกิดความระคายเคือง ว่ายน้ าเอาสีข้างสัมผัสขอบบ่อท าให้เกิดแผล แม้จะไม่พบ บ่อยนักระหว่างการอนุบาลลูกปลา แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก าจัดค่อนข้างยาก การก าจัดโดยแช่ปลาในสารละลายดิพเทอร์เร็กซ์ อัตราส่วน 0.5 กรัม / น้ า 1 ลูกบาศก์ เมตร นาน 24 ชั่วโมง เว้นระยะ 5 – 7 วัน จึงแช่น้ ายาอีก 2 – 3 ครั้ง บทสรุป การเพาะพันธุ์ปลาจะประสพผลส าเร็จดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับช่วงที่ลูกปลาฟักออกเป็นตัวใหม่ๆ จนถึงอายุ 1 เดือน ซึ่งจะมีร่างกายที่บอบบางอ่อนแอถ้าหากว่าลูกปลาต้องไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ ไม่เหมาะสม เช่นสภาพน้ าไม่เหมาะสม อาหารไม่เพียงพอและมีศัตรูตามธรรมชาติคอยรบกวนก็จะมี ผลท าให้ลูกปลาอ่อนแอและตายได้ง่าย ในช่วงนี้ผู้เพาะพันธุ์ปลาจะต้องคอยจัดการในด้านการอนุบาล ลูกปลาวัยอ่อนให้ดี เช่นการเตรียมบ่ออนุบาลที่เหมาะสม ใช้ชนิดและขนาดของอาหารที่เหมาะสม รวมทั้งการป้องกันและก าจัดศัตรูที่ดีพอ ซึ่งถ้ามีการจัดการในเรื่องต่างๆได้ดีตลอดช่วงของการอนุบาล จะมีผลท าให้อัตราการเจริญเติบโตของลูกปลาดีและอัตราการรอดของลูกปลาที่อนุบาลมีสูง


69 แบบประเมินผลท้ายหน่วยการเรียน 1. การอนุบาลลูกปลามีกี่ประเภทอะไรบ้าง 2. หากต้องการอนุบาลลูกปลายี่สกในบ่อดิน โดยวิธีการใช้อาหารสมทบจะต้องท าอย่างไรบ้าง 3. การอนุบาลลูกปลาให้มีอัตราการรอดสูง และเจริญเติบโตได้อย่างดีนั้น จะต้องค านึงถึงสิ่งใดบ้าง 4. โรคและปรสิตที่มักจะเกิดขึ้นกับปลามีชนิดใดบ้าง และสามารถป้องกันรักษาได้อย่างไร


แผนการจัดการเรียนรู้ประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง คุณภาพน้ าและการจัดการคุณภาพน้ า 1. สาระส าคัญ : คุณภาพของน้ าในบ่อเลี้ยงปลามีผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ และอัตราการเจริญเติบโตของ ปลาที่เลี้ยง เนื่องจากน้ าเป็นสิ่งแวดล้อมที่ปลาอยู่อาศัยตลอดเวลา การศึกษาถึงคุณสมบัติของน้ า และการจัดการคุณภาพน้ าในบ่อเลี้ยงปลา จะมีผลท าให้ผู้เรียนได้เกิดความรู้และทักษะ ในการจัดการ คุณภาพน้ าเพื่อใช้ในการเลี้ยงปลาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไป 2. สมรรถนะประจ าหน่วยการเรียนรู้: 1. มีความรู้เกี่ยวกับคุณภาพน้ าและการจัดการคุณภาพน้ า 2. ปฏิบัติการตรวจสอบคุณสมบัติของน้ าที่ใช้ในการเลี้ยงปลา 3. สามารถดูแลจัดการคุณสมบัติของน้ าที่ใช้ในการเลี้ยงปลา 4. มีกิจนิสัยในการท างานอย่างเป็นระบบด้วยความรับผิดชอบ ขยัน อดทน 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง : 1. สามารถอธิบายถึงคุณสมบัติของน้ าส าหรับการเลี้ยงปลาในด้านต่างๆได้อย่างถูกต้อง 2. สามารถจัดการคุณภาพน้ าส าหรับการเลี้ยงปลาในด้านต่างๆได้อย่างเหมาะสม 4. ความรู้ที่ต้องได้รับ : 1. คุณสมบัติทางกายภาพของน้ า 2. คุณสมบัติทางเคมีของน้ า 3. คุณสมบัติทางชีววิทยาของน้ า 4. การจัดการคุณภาพน้ า 5. ทักษะทางปัญญาที่ต้องการพัฒนา : ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีทักษะทางการวิเคราะห์ สังเคราะห์ 6. คุณธรรมจริยธรรมที่ต้องการ : 1. มีใจรักและศรัทธาในวิชาชีพ 2. มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร 3. มีความซื่อสัตย์ 4. มีความสนใจใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์


71 7. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องการ : 1. มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลา 2. มีมนุษย์สัมพันธ์ 3. การรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถท างานร่วมกับผู้อื่น 5. การบริการสังคมและชุมชน 6. ความปลอดภัย 8. กิจกรรมการเรียนการสอน : 1. ศึกษาเนื้อหาในหัวเรื่องที่ 1-4 2. การท าแบบทดสอบก่อนการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 3.แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อร่วมกันศึกษาในเนื้อหาคุณภาพน้ าและการจัดการ คุณภาพน้ า ด้วยเทคนิควิธีการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน 4. ให้นักเรียนแต่ละคนจดบันทึกการเรียนรู้ในแต่ละศูนย์การเรียนตามแบบฟอร์มที่ก าหนด 5. การฝึกปฏิบัติการทดสอบคุณสมบัติของน้ าในบ่อเลี้ยงปลา 6. การท าแบบทดสอบหลังการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 7. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 8. การจัดท าบันทึกการเรียนรู้ 9. การเก็บรวบรวมผลงานการเรียนรู้เพื่อจัดท าแฟ้มสะสมผลงาน 9. จ านวนชั่วโมงที่สอน : จ านวน 9 ชั่วโมง 10. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ : 1. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 3. แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 4. เครื่องมือตรวจวัดคุณสมบัติของน้ า 5. เอกสารใบงานเรื่อง การตรวจวัดคุณสมบัติของน้ าในบ่อเลี้ยงปลา 6. เอกสารส าหรับการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน 7. แบบบันทึกการเรียนรู้


72 11. วิธีการประเมินผล : 1. การวัดความสามารถด้านพุทธิพิสัย : โดยการท าแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน แบบทดสอบ ก่อน-หลังเรียน การร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น และการน าเสนองาน 2. การวัดความสามารถด้านทักษะพิสัย : โดยการสังเกตพฤติกรรมในการท างานร่วมกัน การ วางแผนในการท างานร่วมกัน และความสามารถในการท างานส าเร็จอย่างมีคุณภาพตามเวลาที่ มอบหมาย 3. การวัดความสามารถด้านจิตพิสัย : โดยการสังเกตจากพฤติกรรมในขณะด าเนินกิจกรรม การเรียนการสอนว่า ให้ความสนใจในการเรียนรู้ การมีวินัย การตรงต่อเวลา การมีส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน


หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 คุณภาพน้ าและการจัดการคุณภาพน้ า น้ าเป็นตัวกลางที่ส าคัญของปลาที่ใช้อยู่อาศัย และน าอาหารที่มีในน้ ามาใช้ประโยชน์ใน การด ารงชีวิต น้ าจะมีผลอย่างมากต่อการเลี้ยงปลา ในบางแถบที่มีปริมาณฝนตกน้อยจึง จ าเป็นต้องใช้น้ าจากแหล่งอื่น เช่น คูคลอง ซอย จากระบบการส่งน้ าของชลประทาน ในการเลี้ยง ปลานั้นน้ าในบ่อไม่ควรมีการลดระดับต่ ากว่า 2 ฟุตในฤดูแล้ง และการไหลของน้ าเพื่อให้ถ่ายเทนั้นไม่ ควรมากเกินไป เพราะจะเป็นการชะและถ่ายเทเอาปุ๋ยที่ใช้เพื่อให้เกิดอาหารแก่ปลาในบ่อให้หมดไป หรือความอุดมสมบูรณ์ลดน้อยลงไป คุณสมบัติของน้ าในบ่อเลี้ยงปลานั้นมีความเกี่ยวข้องกับ คุณสมบัติทางกายภาพ เคมี และชีวภาพของน้ าในบ่อปลา ซึ่งอาจอธิบายดังนี้ คุณสมบัติทางกายภาพของน้ า (Physical quality of water) 1. อุณหภูมิ (Temperature) อุณหภูมิของน้ ามีความส าคัญต่อการเลี้ยงปลาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะลูกปลาขนาดเล็ก การ เปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของน้ าอย่างกะทันหันปลาจะตายทันที หรือไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดการ หยุดชะงักการกินอาหาร และการเจริญเติบโต อีกกรณีหนึ่งคือถ้าอุณหภูมิของน้ าเปลี่ยนแปลงไป ในทางสูงปลาจะเกิดการกระวนกระวาย และลอยหัวขึ้นสู่ผิวน้ าแสดงอาการอ่อนเพลีย ถ้าหาก ช่วงเวลาเช่นนี้เกิดติดต่อกันเป็นเวลานานอาจท าให้ปลาตายได้ อุณหภูมิน้ ามีความส าคัญต่อระบบนิเวศน์(Ecosystem) ของบ่อเลี้ยงปลา ซึ่งมีผลกระทบต่อ ชีวิตความเป็นอยู่ของปลาในบ่อทั้งโดยตรงและทางอ้อม เพราะว่าอุณหภูมิน้ าจะมีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกายภาพ เคมีและชีวภาพหลายอย่าง เช่น ความอดทนต่อการ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิน้ าของปลาจะขึ้นอยู่กับชนิด ขนาด และอายุของปลา ปริมาณออกซิเจนที่ ละลายในน้ า ความคุ้นเคยของปลา และมลภาวะของน้ า เป็นต้น โดยทั่วไปลูกปลาและปลาขนาด ใหญ่สามารถอดทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ าได้ในช่วงกว้างกว่าตัวอ่อน ในช่วงฤดูหนาวการ กินอาหารของปลาจะลดน้อยลง อัตราการเผาผลาญอาหาร (Metabolic rate) ลดลง ประสิทธิภาพ การออกไข่ลดลง อุณหภูมิยังมีอิทธิพลต่อการเกิดโรคและปรสิตของปลา และยังเกี่ยวข้องกับการสร้าง ภูมิคุ้มกันของปลาอีกด้วย เช่น การเกิดโรคระบาดของปลาในประเทศไทยมักเกิดในฤดูหนาวซึ่ง อุณหภูมิน้ าต่ า นอกจากนี้อุณหภูมิยังมีอิทธิพลต่อการละลายของก๊าซชนิดต่างๆ ในน้ าอีกด้วย เช่น ก๊าซออกซิเจน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะละลายน้ าได้มากขึ้นเมื่ออุณหภูมิของน้ าลดต่ าลง และ


74 อุณหภูมิมีผลต่อการเน่าสลายของสารอินทรีย์สาร การละลายของเกลือแร่ในน้ า สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งเป็น อาหารของปลา เป็นต้น ในตอนบ่ายจะมีแสงแดดส่องลงไปในบ่อปลามากท าให้อุณหภูมิของน้ าสูงขึ้น ผิวน้ าในบ่อย่อม ได้รับความร้อน ส่วนน้ าที่อยู่ลึกก้นบ่อถ้าเป็นบ่อลึกกว่านี้อุณหภูมิในบ่อกับก้นบ่อจะแตกต่างกันมาก เช่น ในเวลาตอนเย็นอุณหภูมิที่ก้นบ่อยังร้อนจัดกว่าผิวน้ าทั้งนี้เพราะอุณหภูมิในก้นบ่อนอกจากได้รับ ความร้อนจากดวงอาทิตย์แล้ว ยังได้รับความร้อนจากสสารต่างๆที่ก้นบ่อเน่าเปื่อยเกิดความร้อน เพิ่มขึ้นอีก ต้องใส่ปุ๋ยแต่น้อยโดยเฉพาะในฤดูร้อนจัดควรใส่ปุ๋ยแต่น้อย เพราะจะท าให้ปุ๋ยเกิดความ ร้อนขึ้น ในขณะฝนตกผิวน้ าจะเย็นแต่ก้นบ่อร้อน ความร้อนที่ก้นบ่อพยายามจะระเหยขึ้นข้างบน ความเย็นข้างบนพยามลงข้างล่างเมื่อเป็นเช่นนี้น้ าจะเสียอาจท าให้ปลาตายได้ ป้องกันโดยการปลูก ต้นไม้ให้เป็นร่มเงาทางทิศตะวันตกหรือทิศตะวันออกของบ่อปลา (เกรียงศักดิ์ , 2547) 2. สี (Color) สีของน้ าที่มองเห็นเป็นสีที่ไม่ถูกดูดซึม ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือจากแสงที่ส่องลงน้ า น้ าบริสุทธิ์จริงๆ จะดูดซึมองค์ประกอบของแสงได้ทั้งหมด ดังนั้นน้ าบริสุทธิ์จึงไม่มีสีส่วนน้ าในแหล่งน้ าธรรมชาติทั่วไปที่ เห็นเป็นสีต่างๆ นั้น ก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของแต่ละแหล่งน้ า สีของน้ า แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ (เกรียงศักดิ์ , 2547) 1. สีจริง (True color) เป็นสีของน้ าซึ่งเกิดจากสารละลายชนิดต่างๆ ที่อยู่ในน้ า สารที่ ละลายในน้ าอาจเป็นสารอินทรีย์ เช่น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรท เป็นต้น หรือ เป็นสารอนินทรีย์ เช่น แร่ธาตุต่างๆ สิ่งเหล่านี้ท าให้น้ าเกิดสีต่างๆ 2. สีปรากฏ (Apparent color) เป็นสีที่เกิดจากการสะท้อนของแสงจากพื้นก้นของแหล่งน้ า ท้องฟ้า สารแขวนลอยในน้ า สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ า เช่น แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ ฯลฯ สีของน้ าเป็นสิ่งที่ใช้ประเมินค่าก าลังการผลิตและองค์ประกอบทางเคมีของน้ าได้บางอย่างคร่าว ๆเช่น น้ าที่มีหินปูนหรือแคลเซียมคาร์บอเนตปะปนอยู่จะมีสีเขียวอ่อน เฟอร์ริคไฮดรอกไซด์ท าให้น้ ามีสี แดง สารพวกก ามะถันท าให้น้ ามีสีเขียวอมเหลือง ไดอะตอมท าให้เกิดสีค่อนข้างเหลือง หรือเหลืองอม น้ าตาล สาหร่ายสีน้ าตาลท าให้น้ าสีเขียวเข้ม แพลงก์ตอนสัตว์พวกกุ้ง ปูเล็กๆ (Microcrustaceans) ท าให้น้ ามีสีแดง ฮิวมัสท าให้น้ ามีสีน้ าตาลอมเหลือง โดยทั่วไปแหล่งน้ าที่มีความอุดมสมบูรณ์และ ก าลังผลิตสูง เพราะว่ามีปริมาณสารอินทรีย์มากจะมีสีน้ าเงินหรือค่อนไปทางเขียว ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณา เกี่ยวกับปริมาณแพลงก์ตอนพืชที่ท าให้น้ ามีสีเขียวด้วย ส าหรับน้ าที่เหมาะสมที่จะใช้เลี้ยงปลานั้นควร มีสีค่อนข้างเขียว หรือน้ าเงินอ่อน น้ าในบ่อปลาที่มีสีเหลืองหรือน้ าตาลนั้นส่วนใหญ่มีฤทธิ์เป็นกรด และมีค่าความเป็นด่างต่ าไม่เหมาะส าหรับใช้เลี้ยงปลา


75 3. ความขุ่น (Turbidity) ความขุ่นของน้ าเกิดจากสารแขวนลอยทั้งหมดที่มีอยู่ในน้ าซึ่งคอยกีดขวางการส่องผ่านของ แสง สารแขวนลอยดังกล่าว ได้แก่ แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ อนุภาคของดิน อนุภาค ของทราย แบคทีเรีย แร่ธาตุต่าง ๆ ฯลฯ ความขุ่นของน้ าซึ่งเกิดจากแพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอน สัตว์ เป็นที่ต้องการส าหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ า ส่วนอนุภาคของดิน อนุภาคของทราย มักจะท าให้ เกิดความเสียหายแก่สิ่งมีชีวิตในน้ า น้ าที่มีความขุ่นมากท าให้แสงสว่างส่องลงไปได้ไม่ลึก การ สังเคราะห์แสงของพืชลดลง ท าให้ก าลังผลิตขั้นต้น (Primary productivity) ของแหล่งน้ าลดลงมีผล ให้ปริมาณอาหารธรรมชาติของสัตว์น้ าลดลงด้วย สารแขวนลอยที่ท าให้เกิดความขุ่นสามารถท า อันตรายต่อสัตว์น้ าโดยตรง โดยตะกอนสารแขวนลอยเข้าไปอุดในช่องเหงือกท าให้การหายใจติดขัด การเจริญเติบโตของสัตว์น้ าช้ากว่าปกติการฟักไข่หยุดชะงักหรือช้าลง การตรวจความขุ่นของน้ ากระท า ได้โดยใช้เครื่องมือวัด เช่น ใช้เครื่อง Spectrophotometer หรือหาน้ าหนักของสารแขวนลอย และของแข็งในน้ าโดยวิธีการระเหยน้ าให้แห้ง หรือวัดความโปร่งแสง (Transparency) โดยใช้แผ่นวัด ความโปร่งแสงของน้ า (Secchi disc) ซึ่งท าด้วยแผ่นไม้ หรือโลหะกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 เซนติเมตร ทาสีขาวสลับด าตรงกลางมีหูส าหรับผูกเชือก เมื่อใช้หย่อนลงไปในน้ าจนถึงระดับความ ลึกที่เริ่มมองไม่เห็นแผ่นสีขาวหรือสีด า ก็บันทึกความลึกจากผิวน้ าไว้เป็นค่าความโปร่งแสง แหล่งน้ าที่ให้ผลผลิตทางการประมงที่ดีควรจะมีค่าปริมาณสารแขวนลอยอยู่ในระหว่าง 25 - 80 มิลิกรัม/ลิตร แต่ถ้าอยู่ในช่วงระหว่าง 80 - 400 มิลิกรัม/ลิตร ผลผลิตจะลดลง และถ้า มากกว่า 400 มิลลิกรัม/ลิตร ขึ้นไปท าให้การเลี้ยงปลาไม่ได้ผล แหล่งน้ ามีค่าความโปร่งแสง 30 – 60 เซนติเมตร เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสัตว์น้ า ค่าความโปร่งแสงต่ ากว่า 30 เซนติเมตร แสดงว่าน้ าขุ่นมากเกินไป หรือมีปริมาณแพลงก์ตอนมากเกินไป ซึ่งอาจจะท าให้ขาดแคลนออกซิเจน ได้ ถ้าความโปร่งแสงมีค่าสูงกว่า 60 เซนติเมตรแสดงว่าแหล่งน้ านั้นไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ ภาพที่ 6 แสดงแผ่นวงกลม (Secchi disc) ใช้วัดความขุ่นใสของน้ า ที่มา : โกสินทร์, 2544


76 คุณสมบัติทางเคมีของน้ า (Chemical quality of water) 1. ออกซิเจนที่ละลายน้ า (Dissolved Oxygen , D.O. ) จ านวนของออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ า มีความส าคัญต่อความเป็นอยู่ของปลามาก ปัญหาที่ เกิดขึ้นบ่อยครั้งต่อปลาที่เลี้ยงในบ่อได้แก่ ปลาลอยหัวตอนเช้า เช่น ปลาจีน ปลายี่สก ทั้งนี้ เนื่องจากมีปริมาณออกซิเจนในน้ าน้อยไม่พอต่อการหายใจของปลา ปลาซึ่งขึ้นมาลอยหัวแล้วฮุบเอา ออกซิเจนบริเวณผิวน้ าไปใช้ในการหายใจ ถ้าเป็นเช่นนี้นานๆท าให้ปลาตายได้อัตราการใช้ออกซิเจน ของปลาแตกต่างกันตามชนิด ขนาด ระยะต่างๆ ในช่วงชีวิต พฤติกรรมของปลา เช่น การกิน อาหาร การสืบพันธุ์ การเคลื่อนไหว และสภาพแวดล้อมที่ปลาอาศัยอยู่ เช่น อุณหภูมิ ปลาจะใช้ ออกซิเจนมากขึ้นตามอุณหภูมิของน้ าที่สูงขึ้น ทั้งนี้เพราะว่าอุณหภูมิสูงขึ้นท าให้อัตราการเผาผลาญ อาหารในร่างกายของปลาสูงขึ้นปลาจึงกินอาหารมากขึ้น โดยทั่วไปปลาขนาดเล็กจะใช้ออกซิเจนต่อ หน่วยน้ าหนักมากกว่าปลาขนาดใหญ่ และปลาอ้วนจะมีอัตราการใช้ออกซิเจนสูงกว่าปลาผอม อัตรา การใช้ออกซิเจนของปลาที่เคลื่อนที่จะสูงกว่าปลาที่อยู่นิ่ง ปลาจะกินอาหารน้อยลงเมื่อปริมาณ ออกซิเจนต่ า การใช้ออกซิเจนของปลาหลังจากกินอาหารมีอัตราสูงกว่าเมื่อปลายังไม่ได้กินอาหาร เนื่องจากปลาต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเพื่อกระบวนการย่อยอาหาร (เกรียงศักดิ์ , 2547) น้ าในบ่อปลาส่วนใหญ่ได้รับออกซิเจนจากการสังเคราะห์แสงของพืชในน้ า และจากการที่ ออกซิเจนในอากาศละลายปนกับน้ า แต่ปริมาณออกซิเจนที่ได้รับจากการสังเคราะห์แสงสูงกว่า ปริมาณที่ได้รับจากอากาศ ดังนั้นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการสังเคราะห์แสงย่อมมีผลกระทบต่อ ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ าด้วย ปัจจัยที่ควบคุมการสังเคราะห์แสง ได้แก่ อุณหภูมิ แสงแดด ธาตุอาหาร ชนิดของพืช ปริมาณพืช เป็นต้น แหล่งที่มาของออกซิเจนในน้ า 1. จากบรรยากาศโดยตรง เกิดแรงดันบรรยากาศมีมากกว่า กระแสลมพัดพาสู่ผิวน้ า 2. จากขบวนการสังเคราะห์แสงของพืชน้ า โดยเฉพาะแพลงก์ตอนพืชเป็นแหล่งที่ให้ ออกซิเจนได้มาก 3. เกิดจากขบวนการเคมีของแร่ธาตุอื่นๆ ในน้ า สาเหตุที่ท าให้ออกซิเจนในน้ าลดลง 1. จากขบวนการหายใจของสิ่งมีชีวิต 2. จากการเน่าสลายของอินทรียวัตถุต่างๆ 3. จากขบวนการเคมีของแร่ธาตุสารประกอบต่างๆ 4. เกิดจากการละลายผสมกับน้ าที่มีออกซิเจนต่ ากว่า 5. จากอุณหภูมิของน้ าที่เพิ่มสูงขึ้น


77 โดยปกติทั่วๆ ไปปริมาณออกซิเจนจะมีน้อยในตอนเช้า แล้วจะค่อยเพิ่มขึ้นในตอนสายและมี มากที่สุดในตอนเย็น จากนั้นจะค่อยๆลดลงจนกระทั่งถึงตอนเช้าสลับกันดังนี้เรื่อยๆไป (ภาพที่ 7) นอกจากนี้ปริมาณของออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ านั้นจะมากหรือน้อยประการใด ย่อมขึ้นอยู่กับความ สูงต่ าของอุณหภูมิของน้ าอีกด้วย กล่าวคือถ้าอุณหภูมิของน้ าต่ าความสามารถในการละลายของ ออกซิเจนในน้ าจะมีมาก ถ้าอุณหภูมิสูงก็มีความสามารถในการละลายได้น้อย ภาพที่ 7 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ าในรอบหนึ่งวัน ที่มา : Boyd , 1981 ปลาในแถบร้อนส่วนมากจะขาดออกซิเจนเมื่ออุณหภูมิของน้ าสูงขึ้น เช่น ปลาหมอเทศจะ ลอยตัวเมื่ออุณหภูมิของน้ าสูงถึง 40 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงจะท าให้ปลากระวนกระวายได้เช่นกัน หรือไม่ก็เนื่องจากการใส่ปุ๋ยมากเกินไปท าให้พวกสาหร่าย (Algae) เกิดมากการแก่งแย่งออกซิเจนก็มีมาก ไปด้วย และบางเวลาก็เป็นเพราะอากาศที่พัดหมุนเวียนตามผิวน้ ามีน้อยเกินไป การแก้ปัญหาเมื่อปลาลอยหัวในเวลาเช้าเนื่องจากขาดออกซิเจน 1. สูบน้ าหมุนเวียนแล้วพ่นให้เกิดการกระเพื่อมตามผิวหน้าน้ า พ่นน้ าและละอองฝอยของ น้ าลงในบ่อในช่วงระยะเวลาหนึ่ง 2. ใช้วัตถุอื่นๆ กระทุ่มน้ าให้กระฉอกอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดฟองน้ า (Air bubble) เป็นการ เพิ่มออกซิเจนขึ้นในน้ า 3. ปล่อยน้ าใหม่เข้าอย่างเดียว หรือสูบน้ าเก่าทิ้งแล้วปล่อยน้ าเข้าใหม่ 4. ลดจ านวนปลาในบ่อให้น้อยลง 5. ในระยะยาวนั้นต้องคอยคุมปริมาณแพลงก์ตอนพืช ไม่ให้มีมากจนเกินไปในบ่อปลา


78 2. คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide , Co2 ) คาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ในน้ าจะมีปริมาณและคุณสมบัติตรงกันข้ามกับออกซิเจน ไม่มี ประโยชน์กับการหายใจของปลา ถ้าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ าอยู่ในระดับสูงมากๆก็จะท าให้ปลา และสัตว์อื่นๆไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ถึงแม้ว่าในแหล่งน้ านั้นจะมีปริมาณออกซิเจนอยู่อย่าง เพียงพอ ปลาส่วนใหญ่สามารถรู้สึกต่อการเปลี่ยนแปลงของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ าได้ดีจึง หลีกหนีไม่อาศัยอยู่ในน้ าบริเวณที่มีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์สูง สาเหตุที่ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นในน้ า (โชคชัย , 2548) 1. เมื่ออุณหภูมิของน้ าลดลง 2. จากการหายใจออกมาของสัตว์น้ า 3. จากการหายใจของพืชน้ าในเวลากลางคืน 4. จากการตกตะกอนของแคลเซียมคาร์บอเนต 5. น้ าในส่วนลึกถูกน าขึ้นสู่ผิวน้ า 6. ความเค็มของน้ าเพิ่มขึ้น 0 3 6 9 ช่วงเวลาในรอบวัน (นาฬิกา) ภาพที่ 8 แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ปริมาณ O2 และ Co2 ที่ละลายในน้ าในรอบ 24 ชั่วโมง 12 18 (เย็น) g hpJH 6 (เช้า) 24 6 (เช้า) Co2 ปริมำณ แก๊ส (ppm.) O2


79 3. ความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) พีเอช (pH , Percentage of hydrogen ion concentration) ความเข้มข้นของไฮโดรเจน ไอออน (H + ) เป็นปัจจัยส าคัญในสภาพแวดล้อมที่สัตว์น้ าอยู่อาศัย น้ าที่มีคุณสมบัติเป็นกลางคือมีพีเอช เท่ากับ 7 การเพิ่มไฮโดรเจนไอออนจะท าให้ค่าพีเอชลดต่ าลงกว่า 7 เรียกว่ามีสภาพเป็นกรด การลด ไฮโดรเจนไอออนจะท าให้ค่าพีเอชเพิ่มสูงมากกว่า 7 เรียกว่ามีสภาพเป็นด่าง ค่าพีเอชจะคงเดิมหากมี การเติมเกลือที่เป็นกลาง เช่น เกลือแกง (NaCl) การเติมกรดหรือด่างจะท าให้ค่าของพีเอชเปลี่ยนไป แหล่งน้ าธรรมชาติทั่วไปมีค่า pH ระหว่าง 5 - 9 ซึ่งความแตกต่างนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของภูมิประเทศ และสภาพแวดล้อมหลายประการ เช่น ลักษณะพื้นดิน และหิน ปริมาณน้ าฝน ตลอดจนการใช้ ประโยชน์ที่ดิน ปกติพบอยู่เสมอว่าระดับ pH ของน้ าผันแปรไปตามคุณสมบัติของดิน ดังนั้นใน บริเวณที่ดินมีสภาพเป็นกรดก็จะท าให้น้ ามีสภาพเป็นกรดตามไปด้วย นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตทั้งในดินและ น้ า เช่น จุลินทรีย์และแพลงก์ตอนพืช สามารถท าให้ค่า pH ของน้ ามีการเปลี่ยนแปลง ค่าความเป็น กรดเป็นด่างมีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ า ช่วงระดับ pH ที่มีผลต่อการ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ า คือ (สันต์ , 2548) pH ต่ ากว่า 4.0 เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ ามีผลให้ปลาตายได้ pH 4.0-6.5 ปลาบางชนิดทนอยู่ได้แต่ให้ผลผลิตต่ า มีการเจริญเติบโตช้า การสืบพันธุ์จะ หยุดชะงัก pH 6.5-9.0 เป็นช่วงที่เหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ า pH 9.0-11.0 ไม่เหมาะสมแก่การด ารงชีวิต หากสัตว์น้ าต้องอาศัยอยู่เป็นเวลานาน จะให้ ผลผลิตต่ า pH สูงกว่า 11 จะเป็นพิษต่อปลา การปรับค่าความเป็นกรดของน้ าโดยการใส่ปูนขาว การปรับค่าความเป็นด่างของน้ าโดยการ ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักลงในน้ า 4. ความกระด้าง (Hardness) ความกระด้างของน้ า หมายถึง ปริมาณของเกลือที่ละลายในน้ าซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกลือ แคลเซี่ยม และแมกนีเซี่ยม แต่อาจมีแร่ธาตุอื่นๆ รวมอยู่ด้วย หากมีปริมาณละลายอยู่มาก เช่น เหล็ก แมงกานีส เป็นต้น ความกระด้างของน้ า แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ (สันต์ , 2548) 1.ความกระด้างชั่วคราว (Temporary hardness) เกิดจากเกลือแคลเซียมไบคาร์บอเนต หรือ แมกนีเซียมไบคาร์บอเนตละลายปนอยู่ในน้ า เมื่อถูกความร้อนเกลือที่ละลายอยู่ในน้ าจะตกตะกอน กลายเป็นหินปูน ท าให้ความกระด้างของน้ าหายไป


80 2. คว ามก ระด้ างถ าวร (Permanent hardness) เกิดจากเกลือแคลเซียมคลอไรด์ แมกนีเซียมคลอไรด์ แคลเซียมซัลเฟต แมกนีเซียมซัลเฟต แคลเซียมคาร์บอเนต หรือแมกนีเซียม คาร์บอเนตละลายปนอยู่ในน้ า เมื่อถูกความร้อนความกระด้างของน้ าจะไม่หายไป การวัดค่าความกระด้าง นิยมวัดผลรวมของความกระด้างทั้งสองประเภท โดยคิดค านวณ ออกมาในรูปของแคลเซียมคาร์บอเนต ค่าความกระด้างของแหล่งน้ าโดยทั่วไปแตกต่างกันตามปริมาณ เกลือที่ละลายในน้ าซึ่งขึ้นอยู่กับแหล่งน้ า ที่มาของน้ า การแบ่งประเภทน้ าตามล าดับความกระด้าง จ าแนกได้ดังนี้ (สันต์ , 2548) ค่าความกระด้าง (มิลลิกรัม/ลิตร) ประเภทของน้ า ต่ ากว่า 75 75 -150 151 -300 300 ขึ้นไป น้ าอ่อน น้ ากระด้างเล็กน้อย น้ ากระด้างปานกลาง น้ ากระด้างมาก ตารางที่ 4 แสดงการแบ่งประเภทน้ าตามล าดับความกระด้าง ความกระด้างของน้ าโดยตัวของมันเอง ไม่ถือว่าเป็นปัจจัยส าคัญที่ท าให้เกิดอันตรายต่อปลา แต่ความกระด้างของน้ าจะมีความสัมพันธ์กับค่าความเป็นด่าง และ pH ของน้ า นอกจากนี้ความ กระด้างของน้ ายังช่วยลดความเป็นพิษของสารพิษ ความกระด้างของน้ า ที่เหมาะสมส าหรับการเลี้ยง ปลา ควรมีค่าในระดับปานกลางหรือค่อนข้างสูงเล็กน้อย 5. แอมโมเนีย (Ammonia , NH3) ในบ่อเลี้ยงปลาที่มีการให้อาหารประเภทเนื้อสัตว์ หรือ อาหารที่มีโปรตีนสูง อาหารที่เหลือและ ของเสียที่ปลาขับถ่ายออกมาจะมีสารโปรตีน หรือ สารอินทรีย์ ไนโตรเจนที่ยังย่อยไม่หมด สาร เหล่านี้จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรีย และ เชื้อราบางชนิดให้เป็นแอมโมเนีย นอกจากนี้แอมโมเนียใน บ่อปลายังได้จากกระบวนการย่อยสลายซากพืชและซากสัตว์โดยแบคทีเรีย และเชื้อราอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อแพลงก์ตอนพืชตายเป็นจ านวนมากจะท าให้ปริมาณแอมโมเนียในน้ าสูงขึ้นแอมโมเนียมี อยู่ 2 รูป คือ อิออนไนซ์แอมโมเนีย (Ionized ammonia , NH4 ) ซึ่งไม่เป็นพิษต่อปลา และ อันอิ ออนไนซ์ (Unionized ammonia , NH3 ) ซึ่งเป็นพิษต่อปลา แอมโมเนียจะอยู่ในรูปอันอิออนมา กกว่ารูปอิออนไนซ์ เมื่อน้ ามีความเป็นกรดเป็นด่างและอุณหภูมิสูง ความเป็นพิษของอันอิออนไนซ์ แอมโมเนียเพิ่มมากขึ้นเมื่อปริมาณของออกซิเจนที่ละลายน้ าในน้ าต่ า และพิษของอันอิออนไนซ์


81 แอมโมเนียลดลง ถ้าในน้ ามีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์สูง เพราะว่าคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ าท าให้ ความเป็นด่างของน้ าลดลง แอมโมเนีย เป็นสาเหตุท าให้เกิดอาการระคายเคืองโดยเฉพาะบริเวณเหงือก ซี่เหงือกจะเพิ่ม จ านวนเซลล์มากขึ้น (Hyperplasia) และเชื่อมติดกันจนท าให้ปลาไม่สามารถที่จะท าการแลกเปลี่ยน คาร์บอนไดออกไซด์และ ออกซิเจนกับน้ าได้เต็มที่ ปริมาณแอมโมเนียในน้ าที่เพิ่มขึ้นจะท าให้ความ เข้มข้นของออกซิเจนในเลือดปลาลดลง ถ้าในน้ ามีปริมาณแอมโมเนียสูงถึง 1 มิลลิกรัม/ลิตรจะท าให้ ปริมาณออกซิเจนในเลือดลดลงอย่างรวดเร็วเหลือเพียง 1 ใน 7 ส่วนของสภาวะปกติ ทั้งนี้ เนื่องจากแอมโมเนียมีผลกระทบต่อการขนส่งออกซิเจนในเลือด โดยจะท าให้ฮีโมโกลบินของเลือดไม่ สูญเสียความสามารถในการรวมตัวกับออกซิเจน และจะมีผลท าให้เลือดไม่สามารถที่จะก าจัด คาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกด้วย ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มปริมาณขึ้น 15 % ของสภาวะปกติ ความเป็นพิษของแอมโมเนียในบ่อเลี้ยงปลา สามารถลดได้โดยใช้เกลือแกง (NaCl) ในอัตรา ประมาณ 200 -250 กิโลกรัม / ไร่ ทุก ๆ 1-2 อาทิตย์(เกรียงศักดิ์ , 2547) 6. ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือที่เรียกว่า ก๊าซไข่เน่า เกิดจากการหมักหมมและการเน่าสลายของ อินทรีย์สารก้นบ่อ จะเกิดปัญหาในการเลี้ยงปลาที่มีการให้อาหารปริมาณมาก และมีการตกค้างเป็น พิษต่อปลา โดยเฉพาะปลาที่อ่อนแอมีภูมิต้านทานต่ า แม้เพียง 0.1-0.2 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) ก็จะ ตายได้ส่วนปลาที่แข็งแรงมีภูมิต้านทานสูงแต่ถ้าเกิน ส่วนในล้านส่วน ก็จะมีอาการมึนงงท าให้ปลา ตายได้เช่นกัน ปกติตามพื้นที่ก้นบ่อปลามักเกิดการขาดออกซิเจนที่ละลายในน้ าได้ง่าย เพราะฉะนั้น ปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟด์จะมีมากตามก้นบ่อปลา เนื่องจากอาหารที่เหลือและของเสียที่ปลาขับถ่าย ออกมาตกลงสู่พื้นก้นบ่อ แบคทีเรียจะท าการย่อยสลายอินทรีย์เหล่านั้น ท าให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ น้ าที่มีไฮโดรเจนซัลไฟด์จะมีสีคล้ าและมีกลิ่นเหม็น ควรปรับปรุงแก้ไขโดยลดปริมาณอาหารที่ให้ปลาลง หรือใส่ปูนขาวประมาณ 30 มิลลิกรัม/ลิตร หรือเติมเกลือแกง 250 มิลลิกรัม/ลิตร ลงในบ่อเป็น ระยะๆ ก่อนการเลี้ยงปลาครั้งต่อไป ควรตากบ่อให้แห้งและใส่ปูนขาวให้ทั่วบ่อเพื่อลดสารประกอบ พวกซัลไฟด์ให้น้อยลงหรือหมดไป (สันต์ , 2548) คุณสมบัติทางชีววิทยาของน้ า (Biological quality of water) สิ่งมีชีวิตในบ่อเลี้ยงปลาประกอบด้วย ชุมชนของพืชและสัตว์ที่เป็นพื้นฐานทางชีววิทยาของ การผลิตในบ่อ และมีทั้งประโยชน์และเป็นโทษต่อการเพิ่มผลผลิตของการเลี้ยงปลา ดังนี้ (อุธร , 2550)


82 1. พืชน้ า (Aquatic vegetation) พืชน้ ามีบทบาทในการดูดซับแร่ธาตุอาหาร ตกตะกอนสิ่งแขวนลอย ท าให้น้ าใสสะอาดและ คุณภาพดีขึ้น เป็นอาหารของปลา แต่ถ้าเจริญเติบโตมากเกินไปท าให้บ่อตื้นเขิน ขัดขวางการเพิ่ม ผลผลิตของปลาที่เลี้ยงเพราะพื้นที่อยู่อาศัยลดลง และเป็นที่หลบซ่อนของศัตรูปลา พืชน้ าเป็นสิ่งที่ไม่ พึงประสงค์ในบ่อเลี้ยงปลาที่เลี้ยงแบบประณีต ต้องการผลผลิตสูงจึงต้องก าจัดออกให้หมดหรือเหลือ น้อยที่สุด 2. แพลงก์ตอน (Plankton) แพลงก์ตอนพืช และ แพลงก์ตอนสัตว์ เป็นอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อปลาซึ่งเป็นอาหาร ของปลากินแพลงก์ตอนและลูกปลาขนาดเล็ก บ่อปลาที่มีการเลี้ยงปลาแบบใส่ปุ๋ย หรือให้อาหารเป็น ประจ าจะมีแพลงก์ตอนพืช และแพลงก์ตอนสัตว์เกิดขึ้นเป็นจ านวนมาก เพราะว่ามีธาตุอาหารอุดม สมบูรณ์ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนแพลงก์ตอนพืชในบ่อปลาจะเกิดมากขึ้นเนื่องจากมีแสงแดดจัด และปริมาณน้ าในบ่อปลาลดน้อยลง เพราะว่าอยู่ในสภาวะแห้งแล้งแสงแดดส่องผ่านพื้นน้ าได้อย่าง ทั่วถึง การสังเคราะห์แสงมีมากขึ้น แพลงก์ตอนพืชจึงขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ปริมาณแพลงก์ตอนพืชและ แพลงก์ตอนสัตว์เป็นปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการขาดแคลนปริมาณออกซิเจนในบ่อปลา ซึ่งอาจถึงขั้น ท าให้ปลาตายได้ 3. เบนโทส (Benthos) เบนโทส (Benthos) เป็นชุมชนชีวอินทรีย์ที่อาศัยอยู่พื้นก้นบ่อ แบ่งออกเป็นพืชหน้าดิน (Phytobenthos) และสัตว์หน้าดิน (Zoobenthos) พืชหน้าดินอาศัยติดกับผนังวัตถุในน้ า ส่วนใหญ่ เป็นสาหร่าย (Algae) ทั้งสีน้ าเงินและเขียว เช่น Anabaena , Oscillatoria , Navicula และ Spirogyra เป็นต้น พืชดังกล่าวเป็นอาหารปลาบางชนิดแต่บางชนิดผลิตสาร Geosmin ที่ท าให้เกิด กลิ่นสาบ (Off flavor) ในเนื้อปลา สัตว์หน้าดินที่เป็นอาหารส าคัญของปลา ได้แก่ ตัวอ่อนของ แมลง เช่น ลิ้นน้ าจืด ชีปะขาว หอยฝาเดียว หอยสองฝา สัตว์พวกกุ้ง ปู และไส้เดือนน้ า บางชนิด เจริญเติบโตในสภาพน้ าเสื่อมโทรม หลายชนิดเจริญเติบโตในพื้นดินโคลนมีอินทรีย์วัตถุสมบูรณ์ดี ความชุกชุมของสัตว์หน้าดินเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและคุณภาพน้ าก้นบ่อ โดยทั่วไปจะพบมากใน ฤดูฝนและฤดูร้อน จะเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นด้วยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ การจัดการคุณภาพน้ า การที่จะควบคุมจัดการคุณภาพน้ าได้ดีนั้นต้องอาศัยการสังเกต และตรวจสอบคุณภาพน้ า ซึ่งจะท าได้โดยการดูสี การวัดความขุ่นของน้ าโดยวิธีเบื้องต้นจะใช้สายตาหรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง ประกอบ หรืออาจใช้วิธีการไตเตรท (Titrate) (การไตเตรท คือ การน าสารตัวหนึ่งซึ่งไม่ทราบความ เข้มข้นมาท าปฏิกิริยากับสารอีกตัวที่ทราบความเข้มข้นแน่นอนจนสารทั้งสองท าปฏิกิริยาพอดีกัน แล้ว


83 น าผลที่ได้ไปค านวณหาความเข้มข้นของสารตัวที่ไม่ทราบ) กับสารเคมีก่อนท าการปรับปรุงจะได้ผล ยิ่งขึ้น โดยมีสิ่งที่จะต้องจัดการดังนี้ (เกรียงศักดิ์ , 2547) 1. การพักน้ า ปกติโดยทั่วไปในฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ าจ าเป็นต้องมีอ่างเก็บน้ าประมาณ 30- 40 % ของพื้นที่ หรือฟาร์มเพาะลูกปลาจ าเป็นต้องมีบ่อพักน้ าเสมอ เพื่อช่วยให้น้ าตกตะกอนมี สภาพที่ใสขึ้น และยังช่วยลดปริมาณก๊าซพิษจากการระเหย เช่น คลอรีน (Cl) , แอมโมเนีย (NH3 ), ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) การพักน้ าเป็นการปรับปรุงคุณภาพน้ าขั้นต้นซึ่งมีความจ าเป็น 2. การกรองและการตกตะกอน การใช้ตัวกรองโดยมีวัสดุต่างๆ เช่น ทรายละเอียด ทราย หยาบ หิน กรวด และ ถ่าน เป็นการก าจัดความขุ่น กลิ่น แต่ไม่สามารถก าจัดสารอินทรีย์หรือเชื้อ โรค จุลินทรีย์ แบคทีเรีย สารพิษที่ปะปนมากับน้ าได้ การตกตะกอนอาจใช้สารเคมีใส่ลงในน้ า เช่น จุนสี(Copper sulfate , CuSo4 ) , สารส้ม (หรือ Alum) หรือปุ๋ยเคมี ช่วยลดความขุ่นและปริมาณ ของแพลงก์ตอนได้บ้าง การใส่ปูนขาวนอกจากช่วยลดความขุ่นแล้วยังช่วยปรับสภาพน้ าที่เป็นกรดได้ และช่วยให้เกิดการตกตะกอนของสารแขวนลอยได้ 3. การระบายและเติมน้ าใหม่ ปกติวิธีการนี้นิยมในการเลี้ยงปลาแบบพัฒนาหรือมีการปล่อยสัตว์ น้ าค่อนข้างหนาแน่น และมีการให้อาหารเน้นโปรตีนสูง เช่น การเลี้ยงปลาดุก การเลี้ยงกุ้งทะเล จ าเป็นต้องมีการระบายน้ าเก่าโดยเฉพาะบริเวณพื้นบ่อออกประมาณ 1 ใน 3 ส่วน แล้วเติมน้ าใหม่ ปริมาณในการถ่ายเทน้ าขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของคุณภาพน้ าเป็นเกณฑ์ส าคัญ การถ่ายเทน้ า นอกจากได้น้ าใหม่แล้วยังช่วยให้คุณสมบัติบางตัวดีขึ้น เช่น ออกซิเจน อุณหภูมิความเป็นกรด-ด่าง ลด ปริมาณก๊าซพิษ เช่น แอมโมเนีย (NH3 ) , ไฮโดรเจนซัลไฟด์(H2S)และสารพิษ 4. การเติมอากาศหรือออกซิเจนลงในบ่อน้ า เป็นการช่วยท าให้สภาพน้ าดีขึ้น ช่วยลด ปริมาณก๊าซพิษ เช่น แอมโมเนีย ไฮโดรเจนซัลไฟด์ สารพิษ และช่วยให้สุขภาพของปลาดีขึ้น ท า ให้โอกาสเป็นโรคน้อยลง 5. การป้องกันและก าจัดเชื้อโรค การใช้สารเคมีที่นิยมใช้เช่น คลอรีน ฟอร์มาลิน ด่างทับทิม ปูนขาว และการใช้แสงอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet Radiation , UV) ในการฆ่าเชื้อ ควรค านึงถึง ผลของอุณหภูมิน้ าจะสูงขึ้น และ ค่าใช้จ่าย ปริมาณการใช้ขึ้นอยู่กับชนิดของสัตว์น้ า ปริมาณ ชนิด ของสารเคมี เชื้อโรค และระยะเวลาการใช้ 6. ความลึกของน้ าในบ่อ จ าเป็นต้องควบคุมให้ได้ระดับที่เหมาะสมคือ 1-1.5 เมตร หากน้ า มีความลึกมากเกินไป เช่น มากกว่า 2 เมตร จะท าให้ผลผลิตของแหล่งน้ าและปริมาณออกซิเจน พื้นบ่อลดลง เนื่องจากแสงแดดส่องลงไม่ถึงพื้นบ่อ และมีโอกาสเกิดแก๊สพิษบริเวณพื้นบ่อเนื่องจาก จุลินทรีย์ย่อยสลายสารอินทรีย์ในสภาพที่ขาดออกซิเจน หากน้ ามีความลึกน้อยไป เช่น น้อยกว่า 50 เซนติเมตร อุณหภูมิของน้ าจะสูงและโอกาสเกิดความขุ่นได้มากขึ้น ระดับน้ าลึกเกินไปท าให้มีการ สูญเสียโอกาสในการกินอาหารของปลา และค่าใช้จ่ายในการถ่ายเทน้ าสูง


84 7. การใช้ระบบหมุนเวียนน้ าในการเลี้ยงหรือการเลี้ยงระบบปิด ในการเลี้ยงแบบเข้มข้น บริเวณที่มีปัญหาแหล่งน้ าภายนอก หรือจากน้ าธรรมชาติไม่เหมาะสมหรือมีจ ากัด กล่าวคือ น้ าทิ้ง จากการเลี้ยงจะน าไปตกตะกอนในบ่อฟัก เพื่อให้ตกตะกอนและให้อาหารที่เหลือเพื่อเลี้ยงปลานิล หรือปลากะพงได้แล้วน าน้ าไปเลี้ยงในบ่อหอย แพลงก์ตอน หรือสาหร่าย ซึ่งจะท าให้น้ าใสขึ้น และ ให้แร่ธาตุอาหารที่เหลือออก จากนั้นน าน้ าไปเติมสารเคมี เช่น ฟอร์มาลินเจือจาง หรือ คลอรีน และ เติมอากาศแล้วสามารถน ากลับไปใช้เลี้ยงปลาได้ใหม่ สรุป น้ าเป็นสิ่งส าคัญที่สุดในการเลี้ยงปลาทุกรูปแบบ น้ าที่จะใช้เพื่อการเลี้ยงปลาจะต้องมีคุณสมบัติ ในแต่ละด้านอย่างเหมาะสมจึงจะท าให้ปลาที่เลี้ยงมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี คุณสมบัติที่เหมาะสมของ น้ า ผู้เลี้ยงปลามีส่วนส าคัญในการช่วยดูแลจัดการ ดังนั้นผู้เลี้ยงปลาจึงควรให้ความส าคัญกับการดูแลใน เรื่องคุณสมบัติของน้ าที่จะใช้ในการเลี้ยงปลาให้มากเป็นพิเศษ ค าถามท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 จงตอบค าถามต่อไปนี้ 1. จงอธิบายถึงคุณสมบัติของน้ าด้านต่างๆที่เหมาะสมส าหรับการเลี้ยงปลา ? 2. จงบอกถึงหลักการจัดการคุณภาพน้ าด้านต่างๆส าหรับการเลี้ยงปลา ?


กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ใบงานที่ 6 ชื่อใบงาน การตรวจวัดคุณสมบัติของน้ าในบ่อเลี้ยงปลา จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถท าการตรวจวัดคุณสมบัติของน้ าที่ใช้เลี้ยงปลาได้ เครื่องมือ /อุปกรณ์ 1. กระดาษลิสมัต 2. ปรอทวัดอุณหภูมิ 3. แผ่นวัดความขุ่นใสของน้ า 4. ไม้เมตร 5. ตะแกรงตาถี่ 6. แบบฟอร์มจดบันทึกข้อมูล 7. น้ าที่จะท าการตรวจวัด ล าดับขั้นตอนการปฏิบัติงาน 1. แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่มเพื่อให้ปฏิบัติงาน 2. ให้นักเรียนท าการตรวจวัดคุณสมบัติของน้ าในบ่อเลี้ยงปลาของวิทยาลัยแต่ละบ่อในด้าน 2.1 อุณหภูมิของน้ า 2.2 ความขุ่นใสของน้ า 2.3 ความเป็นกรดเป็นด่างของน้ า 2.4 ความลึกของน้ า 2.5 สิ่งมีชีวิตอื่นๆในแหล่งน้ า 3. ให้เขียนรายงานผลการปฏิบัติงาน การวัดและประเมินผล 1. จากรายงานผลการปฏิบัติงาน 2. จากการสังเกตการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานกลุ่ม


แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่6 วัตถุประสงค์เพื่อประเมินความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพน้ าและการจัดการคุณภาพน้ า ค าแนะน า ให้นักเรียนอ่านค าถามแล้วกากะบาด (X) ทับข้อค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค าตอบเดียว --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. ความอดทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิน้ าของปลาจะขึ้นอยู่กับข้อใดมากที่สุด ? ก. ขนาดและอายุของปลา ข. ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ า ค. ความคุ้นเคยของปลา ง. มลภาวะของน้ า 2. ความขุ่นจากสารแขวนลอยในน้ าจะมีผลต่อปลาอย่างไรบ้าง ? ก. เข้าไปอุดในช่องเหงือกท าให้การหายใจติดขัด ข. การเจริญเติบโตของปลาจะช้ากว่าปกติ ค. การฟักไข่จะหยุดชะงักหรือช้าลง ง. ถูกทุกข้อ 3. แหล่งน้ าที่ให้ผลผลิตทางการประมงที่ดีควรมีค่าปริมาณสารแขวนลอยอยู่ในช่วงใด ? ก. 5-25 มิลลิกรัม/ลิตร ข. 25-80 มิลลิกรัม/ลิตร ค. 80-100 มิลลิกรัม/ลิตร ง. 100-200 มิลลิกรัม/ลิตร 4. ปลาในช่วงใดที่ต้องการใช้ก๊าซออกซิเจนเพื่อการหายใจมากที่สุด ? ก. ปลาที่อ้วนมากเกินไป ข. ปลาที่กินอาหารอิ่มเต็มที่ ค. ปลาที่มีไข่แก่เต็มที่ในท้อง ง. ปลาที่ก าลังตกใจ 5. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ท าให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในแหล่งน้ าเพิ่มขึ้น ? ก. เมื่ออุณหภูมิของน้ าเพิ่มสูงขึ้น ข. การหายใจออกมาของสัตว์น้ า ค. การหายใจของพืชน้ าในเวลากลางคืน ง. เมื่อความเค็มของน้ าลดลง


87 6. ระดับค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ าที่เหมาะสมในการเลี้ยงปลาคือข้อใด ? ก. 4.5-6.5 ข. 5.5-7.5 ค. 6.5-8.5 ง. 7.5-9.5 7. สารใดที่สามารถลดความเป็นพิษของแอมโมเนียในบ่อเลี้ยงปลาได้? ก. ปูนขาว ข. เกลือแกง ค. ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ง. ด่างทับทิม 8. ข้อใดไม่ใช่วิธีการลดปริมาณก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ในบ่อเลี้ยงปลา ? ก. ใส่ปูนขาว ข. เติมเกลือแกง ค. ตากบ่อให้แห้งช่วงเตรียมบ่อ จ. ใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ 9. การมีปริมาณแพลงก์ตอนพืชในบ่อเลี้ยงปลามากเกินไปจะเกิดผลเสียในข้อใดมากที่สุด ? ก. น้ าจะเป็นกรดเพิ่มมากขึ้น ข. เกิดโรคและปรสิตระบาด ค. เกิดตะกอนของน้ ามากขึ้น ง. ขาดแคลนออกซิเจนในน้ า 10. ข้อใดกล่าวได้ถูกต้องที่สุด ก. ปริมาณออกซิเจนในน้ าจะมีมากที่สุดตอนใกล้รุ่ง ข. ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ าจะมีมากที่สุดตอนเย็น ค. ออกซิเจนในน้ าจะลดลงถ้าอุณหภูมิของน้ าสูงขึ้น ง. คาร์บอนไดออกไซด์ในน้ าจะสูงขึ้นเมื่อน้ ามีความเค็มเพิ่มขึ้น


แผนการจัดการเรียนรู้ประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง รูปแบบการเลี้ยงปลาน้ าจืด 1. สาระส าคัญ : การเลี้ยงปลาน้ าจืดสามารถท าการเลี้ยงกันได้หลายวิธี การที่ผู้เลี้ยงจะเลือกเลี้ยงปลาใน รูปแบบใดนั้นจะพิจารณาจากชนิดของปลาที่จะท าการเลี้ยง งบประมาณส าหรับการลงทุน และ สภาพของพื้นที่ที่มีอยู่ การศึกษาถึงรูปแบบการเลี้ยงปลาน้ าจืด จะท าให้ผู้เรียนสามารถน าไป ประยุกต์ใช้ในการเลือกวิธีการเลี้ยงปลาน้ าจืดได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 2. สมรรถนะประจ าหน่วยการเรียนรู้: 1. มีความรู้เรื่องรูปแบบการเลี้ยงปลาน้ าจืด 2. สามารถปฏิบัติการเลี้ยงปลาน้ าจืดรูปแบบต่างๆ 3. มีกิจนิสัยการท างานอย่างเป็นระบบด้วยความรับผิดชอบ ขยัน อดทน 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง : 1. สามารถบอกถึงประเภทของการเลี้ยงปลารูปแบบต่างๆได้อย่างถูกต้อง 2. สามารถอธิบายถึงเทคนิคการเลี้ยงปลารูปแบบต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง 3. สามารถท าการเลี้ยงปลารูปแบบต่างๆได้ 4. ความรู้ที่ต้องได้รับ : 1. ประเภทของการเลี้ยงปลา 2. การเลี้ยงปลาในบ่อดิน 3. การเลี้ยงปลาในนาข้าว 4. การเลี้ยงปลาในกระชัง 5. การเลี้ยงปลาในบ่อคอนกรีต 5. ทักษะทางปัญญาที่ต้องการพัฒนา : ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีทักษะทางการวิเคราะห์ 6. คุณธรรมจริยธรรมที่ต้องการ : 1. มีใจรักและศรัทธาในวิชาชีพ 2. มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร 3. มีความซื่อสัตย์ 4. มีความสนใจใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์


89 7. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องการ : 1. มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลา 2. มีมนุษย์สัมพันธ์ 3. การรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถท างานร่วมกับผู้อื่น 5. การบริการสังคมและชุมชน 6. ความปลอดภัย 8. กิจกรรมการเรียนการสอน : 1. ศึกษาในหัวเรื่องที่ 1-5 2. การท าแบบทดสอบก่อนการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 3. แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 5 กลุ่ม เพื่อท ากิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับ ประเภทของการ เลี้ยงปลา การเลี้ยงปลาในบ่อดิน การเลี้ยงปลาในนาข้าว การเลี้ยงปลาในกระชัง และการเลี้ยงปลา ในบ่อคอนกรีต โดยผ่านเทคนิควิธีการ Rally Technic 4. บันทึกการเรียนรู้จากกิจกรรม Rally Technic 5. การศึกษา วีดีทัศน์ วิธีการเลี้ยงปลา 6. การฝึกปฏิบัติการเลี้ยงปลาในบ่อดิน บ่อซีเมนต์และในกระชัง 7. การท าแบบทดสอบหลังการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 8. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 9. การจัดท าบันทึกการเรียนรู้ 10. การเก็บรวบรวมผลงานการเรียนรู้เพื่อจัดท าแฟ้มสะสมผลงาน 9. จ านวนชั่วโมงที่สอน : จ านวน 12 ชั่วโมง 10. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ : 1. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 3. แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 4. วีดีทัศน์การเลี้ยงปลาแบบต่างๆ 5. เอกสารใบงานเรื่อง การเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน การเลี้ยงปลาในกระชัง และการเลี้ยงปลา ในบ่อซีเมนต์ 6. เอกสารบันทึกการเรียนรู้จากกิจกรรม Rally Technic


90 7. แบบบันทึกการเรียนรู้ 11. วิธีการประเมินผล : 1. การวัดความสามารถด้านพุทธิพิสัย : โดยการท าแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน แบบทดสอบ ก่อน-หลังเรียน การร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น และการน าเสนองาน 2. การวัดความสามารถด้านทักษะพิสัย : โดยการสังเกตพฤติกรรมในการท างานร่วมกัน การ วางแผนในการท างานร่วมกัน และความสามารถในการท างานส าเร็จอย่างมีคุณภาพตามเวลาที่ มอบหมาย 3. การวัดความสามารถด้านจิตพิสัย : โดยการสังเกตจากพฤติกรรมในขณะด าเนินกิจกรรม การเรียนการสอนว่า ให้ความสนใจในการเรียนรู้ การมีวินัย การตรงต่อเวลา การมีส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน 12. บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ 1. ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้ .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2. ปัญหาที่พบ .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3. แนวทางแก้ปัญหา .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................


หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 รูปแบบการเลี้ยงปลาน้ าจืด ประเภทของการเลี้ยงปลา การเลี้ยงปลาแบ่งตามลักษณะของการด าเนินงานได้เป็น 3 ประเภท คือ (อุธร , 2550) 1. การเลี้ยงปลาแบบธรรมดา (Extensive farming) การเลี้ยงปลาแบบธรรมดา เป็นการเลี้ยงปลาแบบอาศัยอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อปลา ไม่ มีการให้อาหารสมทบ ขาดการบ ารุงรักษาและปรับปรุงผลผลิต ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ผลผลิตที่ได้ต่ า แต่ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากใช้พื้นที่การเลี้ยงมากขึ้น 2. การเลี้ยงปลาแบบกึ่งเข้มข้น (Semi-intensive farming) การเลี้ยงปลาแบบกึ่งเข้มข้น เป็นประเภทการเลี้ยงปลาที่จัดอยู่ในระหว่างการเลี้ยงปลาแบบ ธรรมดากับการเลี้ยงปลาแบบเข้มข้น ปลาที่เลี้ยงเจริญเติบโตโดยการกินอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อ เป็นส่วนใหญ่ อาจจะให้อาหารสมทบและใส่ปุ๋ยบ้างเป็นบางครั้งคราว ผลผลิตที่ได้รับสูงกว่าการเลี้ยง ปลาแบบธรรมดาแต่ต่ ากว่าการเลี้ยงปลาแบบเข้มข้น 3. การเลี้ยงปลาแบบเข้มข้น (Intensive farming) การเลี้ยงปลาแบบเข้มข้น เป็นการเลี้ยงปลาที่ต้องการผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่สูงจึงต้องเอา ใจใส่ดูแล และน าเทคนิควิธีการต่างๆเข้าช่วยในการเพิ่มผลผลิต เช่น การคัดเลือกชนิดปลาที่จะเลี้ยง การให้อาหารที่มีคุณภาพสูง การบ ารุงรักษาและการปรับปรุงบ่อปลาอย่างดี การใส่ปุ๋ย การใช้ยา และการใช้สารเคมีเพื่อก าจัดโรคและปรสิต ฯลฯ รูปแบบการเลี้ยงปลา 1. การเลี้ยงปลาในบ่อดิน (Pond culture) การเลี้ยงปลาในบ่อดิน มีวิธีด าเนินการหลายรูปแบบ เช่น การเลี้ยงปลาชนิดเดียว (Monoculture) การเลี้ยงปลาหลายชนิดรวมกัน (Polyculture) การเลี้ยงปลาในร่องสวน (Ditch culture) การเลี้ยงปลาในนาข้าว (Paddy-field culture) การดัดแปลงนาข้าวมาใช้เลี้ยงปลาหรือนา ปลา การเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน (Integrated fish farming system) ซึ่งจะได้กล่าวถึงรายละเอียด ดังนี้


92 ภาพที่ 9 แสดงการเลี้ยงปลาในบ่อดิน ที่มา : http://www.time4fish.net 1.1 การเลี้ยงปลาชนิดเดียว (Monoculture) การเลี้ยงปลาแบบนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะผลิตปลาเพียง 1 ชนิดเท่านั้น ส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงปลา กินเนื้อเพราะว่ามีราคาดี มีบางที่เลี้ยงปลากินพืช ปลากินแพลงก์ตอนหรือปลากินอาหารไม่เลือก ซึ่ง ราคาดี เช่น ปลาตะเพียนขาว ปลานิล ปลาสลิด ปลาสวาย การเลี้ยงปลากินเนื้อส่วนใหญ่จะใช้บ่อ เลี้ยงขนาดเล็กและปล่อยปลาเลี้ยงในอัตราหนาแน่น การเลี้ยงปลากินเนื้อต้องดูแลเอาใจใส่อย่างดี มี การจัดการที่ดีเพราะว่าการลงทุนสูง เช่น ค่าพันธุ์ปลา ค่าอาหาร ค่ายา และสารเคมี ฯลฯ อีกทั้งการ เลี้ยงปลากินเนื้อปัญหามาก เช่น ถ้าให้อาหารไม่เพียงพอปลาก็จะกินกันเอง น้ าในบ่อเลี้ยงปลาเน่า เสียง่าย เนื่องจากอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์หรืออาหารที่มีโปรตีนสูง เมื่อน้ าในบ่อเน่าเสียผลที่ตามมาคือ ปลาเจริญเติบโตช้าลง ปลาเป็นโรคและปรสิตได้ง่าย นอกจากนี้ยังท าให้ผลผลิตมีรูปร่างที่ท าให้ ผู้บริโภคไม่นิยมอีกด้วย เช่น ตัวปลามีสีคล้ า มีกลิ่นสาบ ปลากินเนื้อที่นิยมเลี้ยงได้แก่ ปลาดุกอุย ปลาดุกด้าน ปลาช่อน เป็นต้น ส่วนการเลี้ยงปลากินพืช ปลากินแพลงก์ตอน หรือปลาที่กินอาหาร ไม่เลือกจะเลี้ยงในบ่อขนาดใหญ่ปล่อยหนาแน่น ใช้ระยะเวลาการเลี้ยงนานกว่าปลากินเนื้อ ปัญหา ของการเลี้ยงปลากินพืชคือ ขาดแคลนอาหารสมทบจ าพวกพืชผัก เช่น แหน สาหร่าย ผักบุ้ง หญ้าขน ฯลฯ (สันต์, 2536)


93 1.2 การเลี้ยงปลาหลายชนิดรวมกัน (Polyculture) เป็นการเลี้ยงปลาหลายชนิดรวมกันในบ่อเดียวกัน หรือชนิดเดียวแต่มีขนาดต่างกัน ได้แก่ การคัดเลือกปลาที่กินอาหารแตกต่างกันและไม่เป็นอันตรายซึ่งกันและกัน เช่น ปลากินพืช (ปลาเฉา , ปลาตะเพียนขาว) ปลากินแพลงก์ตอนพืช (ปลาลิ่น) กินแพลงก์ตอนสัตว์ (ปลาซ่ง) ปลากินซากพืช (ปลายี่สกเทศ , ปลานวลจันทร์เทศ) กินตัวอ่อนของแมลงตามก้นบ่อ (ปลาไน) และปลาที่กินอาหารไม่ เลือก (ปลานิล , ปลาสวาย) นอกจากนี้อาจพิจารณาในด้านแหล่งที่อยู่อาศัยด้วย เช่น ปลาเฉาเป็นปลา ที่อาศัยหากินบริเวณผิวน้ า ปลาลิ่นอยู่ระดับน้ าที่ลึกถัดลงมา ปลาซ่งอยู่ระดับน้ าลึกถัดจากปลาลิ่น ปลายี่สกเทศ ปลานวลจันทร์เทศ กินซากพืชตามก้นบ่อ ปลาไน กินตัวอ่อนของแมลงในน้ าตามก้น บ่อ เป็นต้น ข้อดีของการเลี้ยงปลาแบบรวม สามารถใช้ประโยชน์จากอาหารที่มีในบ่อปลาอย่างเต็มที่ เพราะมีปลาหลายชนิดเลี้ยงรวมกันและกินอาหารที่แตกต่างกัน สามารถทยอยจับปลาใหญ่ ออกจ าหน่ายได้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ท าให้ขายได้ราคาดี และเกิดรายได้อย่าง ต่อเนื่องในช่วงของการเลี้ยง (ชาติชาย , 2543) 1.3 การเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน (Integrated fish farming) การเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน หมายถึง การเลี้ยงปลาร่วมกับเลี้ยงสัตว์อื่นๆ รวมทั้งการ ปลูกพืชในพื้นที่ใดที่หนึ่ง โดยพยามใช้พื้นดินและพื้นน้ าที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และมีการ จัดการกิจกรรมนั้นๆให้สามารถเกื้อกูลประโยชน์ซึ่งกันและกันสูงสุด ทั้งทางตรงและทางอ้อมตาม ความเหมาะสมของสภาพท้องถิ่นเพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้น และพยายามลดต้นทุนการผลิตให้มากที่สุด เท่าที่จะท าได้(ภาณุ , 2545) พื้นฐานของการเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน โดยทั่วไปมีการจัดการ ดังนี้ คือ ก. ใช้เศษเหลือของพืชผักที่ปลูกบนคันบ่อปลาเป็นอาหารโดยตรง ข. ใช้มูลของสัตว์เลี้ยงเป็นปุ๋ย เพื่อเพิ่มอาหารธรรมชาติในบ่อปลาหรือเป็นอาหารของปลา และเพิ่มธาตุอาหารให้แก่พืชผัก ค. น าดินโคลนจากก้นบ่อปลาไปใช้ในการปลูกพืชผัก ประโยชน์ของการเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน ก. เป็นการใช้พื้นดินในฟาร์ม ซึ่งนอกเหนือจากพื้นที่บ่อปลาให้เกิดประโยชน์ด้วยการ ปลูก พืชผัก เช่น ตะไคร้ พริก กล้วย ผักชีกะเพรา อ้อย เป็นต้น หรือ สร้างคอกเลี้ยงสัตว์ เช่น คอกสุกร วัว ควาย ไก่ เป็ด ห่าน แกะ แพะ เป็นต้น ส่วนพื้นที่น้ านอกจากใช้เลี้ยงปลาแล้ว ยัง สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจบางชนิดได้ เช่น ผักกะเฉด ผักบุ้ง เป็นต้น


94 ข. เป็นการใช้ประโยชน์จากเศษเหลือหรือของเสียจากพืชและสัตว์อย่างเต็มที่ เช่น มูลสัตว์ น้ าล้างคอกสัตว์ เศษอาหารที่ตกหล่น เศษผัก เศษหญ้าต่างๆ เป็นอาหารของปลา และ เป็นปุ๋ยเเก่บ่อปลา หรือใช้เป็นปุ๋ยส าหรับปลูกพืช นอกจากนี้ยังสามารถน าดินโคลนซึ่งมีความสมบูรณ์ดี จากพื้นก้นบ่อปลามาใช้ปลูกพืชผักได้อีกด้วย ค. ท าให้รายได้มากขึ้น เนื่องจากผลผลิตมากขึ้น การเลี้ยงปลาแบบผสมผสานเป็นการใช้ พื้นที่ดิน และพื้นที่น้ าให้เป็นประโยชน์ต่อการผลิตมากที่สุด ดังนั้นผลผลิตรวมต่อหน่วยพื้นที่จึงมีค่าสูง รายได้ของเกษตรกรจึงเพิ่มขึ้น ง. การเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน มีการน าปัจจัยต่างๆ ที่มีอยู่หรือเกิดขึ้นในฟาร์มมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อการผลิตมากที่สุด ซึ่งเป็นการประหยัดต้นทุนการผลิต ดังนั้นต้นทุนการผลิตจึงต่ าลงท า ให้มีก าไรมากขึ้น ลักษะการท าฟาร์มแบบผสมผสาน ลักษณะการท าฟาร์มแบบนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความต้องการของตลาด ทุน ของผู้ด าเนินการ ความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ เป็นต้น การท าฟาร์มแบบผสมผสานโดยทั่วไปแบ่ง ออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ (กรมประมง , 2547) 1. การผสมผสานโดยการยึดการปลูกพืชเป็นหลัก ได้แก่ การเลี้ยงปลาในนาข้าว การ ท าสวนผลไม้ สวนผัก และการเลี้ยงปลาในร่องสวน หรือคูของสวน 2. การผสมผสานโดยการยึดการเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก ได้แก่ การเลี้ยงปลาร่วมกับการเลี้ยง สัตว์อื่นๆ และปลูกพืช โดยมุ่งหวังว่าผลผลิตของปลาที่ได้รับเป็นผลพลอยได้จากอาหารของสัตว์ที่เลี้ยง ตกหล่น และมูลของสัตว์เลี้ยงซึ่งปลาสามารถกินเป็นอาหารได้ และสิ่งเหล่านี้ยังก่อให้เกิดอาหาร ธรรมชาติส าหรับปลาในบ่ออีกด้วย 3. การผสมผสานโดยยึดการเลี้ยงปลาเป็นหลัก ได้แก่ การเลี้ยงปลาร่วมกับการเลี้ยงสัตว์ อื่นๆ และปลูกพืชโดยมุ่งหวังจะใช้มูลของสัตว์เลี้ยง และของเสียจากการเลี้ยงสัตว์ มาท าให้เกิดประโยชน์ ต่อการผลิตปลามากที่สุดเพื่อลดต้นทุนการผลิต ส าหรับการเลี้ยงปลานั้นมีการจัดการอย่างดีเช่น ให้ อาหารสมทบ ใส่ปุ๋ยเพิ่มเติม ถ่ายเทน้ าในบ่อเลี้ยงปลาทิ้งและเติมน้ าใหม่ เมื่อจ าเป็น ฯลฯ การเลี้ยงสัตว์ในระบบการเลี้ยงปลาแบบผสมผสานนั้น จ าเป็นต้องมีคอกเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์ และคอกสัตว์ต้องมีความสัมพันธ์กับการเลี้ยงปลาด้วย ถ้าจ านวนสัตว์เลี้ยงมากเกินไปมูลของสัตว์และ ของเสียจากคอกสัตว์ที่มีปริมาณมากท าให้น้ าในบ่อปลาเน่าเสีย หรือ เกิดแพลงก์ตอนพืช และพืชน้ า มากเกินไปเป็นสาเหตุให้น้ าในบ่อปลาขาดออกซิเจนในเวลากลางคืน สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลท าให้เกิดการ เจริญเติบโตของปลาช้าลง หรืออาจท าให้ปลาตายได้ นอกจากนี้การสร้างคอกสัตว์ยังต้องค านึงถึง ความสะดวกในการท างาน การจัดการฟาร์ม การจับปลาและเงินทุนอีกด้วย การสร้างคอกสัตว์ โดยทั่วไปมี 3 ประเภท คือ (กรมประมง , 2547)


95 1. การสร้างคอกสัตว์คร่อมบนบ่อปลาตรงบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของบ่อปลา พื้นคอกสัตว์อาจ ท าด้วยไม้แบบหรือไม้ไผ่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของการด าเนินงาน คอกสัตว์ลักษณะนี้มูลสัตว์ สามารถตกลงไปในบ่อปลาได้โดยตรง สัตว์เลี้ยงที่นิยมในคอกแบบนี้ ได้แก่ สุกร และ ไก่ 2. การสร้างคอกสัตว์บริเวณคันบ่อปลาด้านในด้านหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของ สถานที่และพื้นที่ ส่วนใหญ่จะสร้างเป็นอาคารถาวร พื้นคอนกรีตลาดเทเล็กน้อยหรืออาจมีรางระบาย น้ าและมูลสัตว์ เพื่อรวบรวมมูลของสัตว์ลงสู่บ่อปลา สัตว์เลี้ยงที่นิยมเลี้ยงในคอกแบบนี้ ได้แก่ สุกร โค เป็นต้น 3. การสร้างคอกสัตว์อยู่บนแพ หรือมีทุ่นลอยน้ าได้ท าให้สามารถเคลื่อนย้ายได้เพื่อความ สะดวกในกรณีจ าเป็น เช่น ระหว่างการลากอวนจับปลา คอกสัตว์แบบนี้ให้ความสะดวกในการใช้ อวนจับปลามาก สัตว์เลี้ยงที่นิยมเลี้ยงในคอกแบบนี้ ได้แก่ เป็ด ภาพที่ 10 แสดงการเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน ที่มา : http://www.gotoknow.org/blog/fisho/2...page%3D1 ปัญหาของการเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน 1. เกษตรกรปล่อยปลาหนาแน่นเกินไป ทั้งนี้เพราะความต้องการปล่อยเผื่อจ านวนปลาตาย และลูกปลาที่น ามาเลี้ยงขนาดเล็ก ท าให้ปลาเจริญเติบโตช้า อัตราการตายสูง ดังนั้นควรอนุบาลลูก ปลาให้โตพอสมควรก่อนปล่อยเลี้ยง 2. จ านวนสัตว์เลี้ยงไม่สัมพันธ์กับจ านวนปลาในบ่อ ท าให้มูลสัตว์มีน้อยไม่เพียงพอส าหรับ การเป็นอาหารของปลา มีผลท าให้ปลาเจริญเติบโตช้า 3. ปลาตายเนื่องจากคุณสมบัติของน้ าไม่เหมาะสม เช่น ขาดออกซิเจนในน้ า น้ าเป็นกรด มากเกินไป เป็นต้น


96 4. การจัดการไม่ถูกต้อง เช่น เกษตรกรปล่อยปลาเลี้ยงในบ่อก่อนการเลี้ยงสัตว์ท าให้ปลา ขาดอาหาร อัตราการตายสูง เกษตรกรส่วนมากไม่ค่อยเปลี่ยนน้ าในบ่อปลา การเลี้ยงปลานั้นควรมี การถ่ายเทน้ าเก่าทิ้ง และเพิ่มน้ าใหม่บ้างตามความจ าเป็นจึงจะท าให้ปลาเจริญเติบโตดี 2. การเลี้ยงปลาในนาข้าว (Rice field culture , Paddy-field culture) การเลี้ยงปลาในนาข้าว เป็นวิธีที่ใช้พื้นที่นาให้เกิดประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลาเดียวกันเกษตรกร นิยมเลี้ยงกันทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณที่เก็บกักน้ าได้ดี และมีน้ าเพียงพอเพราะการเลี้ยงปลาแบบนี้ให้ ประโยชน์แก่เกษตรกรอย่างคุ้มค่า เช่น เป็นอาหาร เพิ่มรายได้ ช่วยก าจัดวัชพืช ศัตรูของต้นข้าว ช่วยพรวนดิน เพิ่มปุ๋ยในนา (กรมประมง , 2550) ข้อดีของการเลี้ยงปลาในนาข้าว 1. เป็นการใช้ที่ดินอย่างถูกต้องตามหลักเศรษฐศาสตร์ คือสามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด 2. เป็นการทุ่นค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้างแรงงาน 3. เป็นการทุ่นอาหารปลาเมื่อเลี้ยงปลาเพียงอย่างเดียว 4. เพิ่มผลผลิตให้แก่ข้าว 5. เป็นการช่วยเพิ่มปุ๋ยให้แก่ดินและปรับปรุงหน้าดิน 6. ช่วยป้องกันการพังทลายของดิน 7. ช่วยก าจัดพันธุ์ไม้น้ า 8. ช่วยก าจัดแมลงซึ่งจะเป็นศัตรูของต้นข้าว 9. ช่วยเพิ่มรายได้ การเลือกสถานที่ ผืนนาทุกแห่งมิใช่จะเหมาะสมต่อการเลี้ยงปลาในนาข้าวเสมอไป การเลี้ยงปลาในนาข้าวจึง มักจะมีอุปสรรคอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเรื่องน้ าไม่เพียงพอตลอดช่วงระยะเวลาของการเลี้ยง ก่อน เลี้ยงจึงควรยึดหลักในการเลือกผืนนาให้มีสภาพดังนี้ 1. อยู่ใกล้แหล่งน้ า หนอง บึง ล าธาร ทางน้ าไหล ที่สามารถน าน้ าเข้าแปลงนาได้ แปลง นาที่อาศัยน้ าฝนท านาแต่เพียงอย่างเดียวควรเก็บกักน้ าได้ไม่น้อยกว่า 90 วัน 2. ไม่เป็นที่ลุ่มจนน้ าท่วม หรือที่ดอนเกินไปจนไม่สามารถกักเก็บน้ าได้ 3. ดินกักเก็บน้ าได้ดี เช่น ดินเหนียว 4. ใกล้บ้านหรือสถานที่มีการดูแลรักษาได้ง่าย 5. สามารถควบคุมปริมาณน้ าได้ รูปแบบทั่วไปของการเลี้ยงปลาในนาข้าว 1. ขุดบ่ออนุบาลที่มุมใดมุมหนึ่งของกระทงนา 2. เสริมคันนาด้านที่ขุดบ่ออนุบาลให้สูงขึ้น


97 3. ใช้บ่อธรรมชาติที่มีอยู่เดิม 4. เสริมคันนาเฉพาะด้านที่มีร่องน้ าหรือที่ลุ่มกันปลาหนี 5. ขุดร่องน้ าใหม่รอบๆ กระทงนาเอาดินเสริมคันนาทั้ง 4 ด้าน ขนาดของแปลงนาที่เหมาะสม แปลงนาที่เลี้ยงปลาในนาข้าวจะมีรูปร่างอย่างไรก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสมของพื้นที่ และความพร้อมของผู้เลี้ยง แต่แปลงนาขนาดตั้งแต่ 5 ไร่ขึ้นไป จะมีความเหมาะสมและให้ ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ล ารางส่งน้ า คันนา คู คูในนา ภาพที่ 11 แสดงลักษณะของแปลงนาที่ใช้เลี้ยงปลา การเตรียมแปลงนาข้าว การเตรียมแปลงนาเพื่อใช้เลี้ยงปลาในผืนนาไปด้วยนั้น ควรเตรียมให้เสร็จก่อนระยะ เตรียมดินและไถคราด โดยปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. แปลงนาที่เป็นที่ลุ่มและสามารถเก็บกักน้ าได้ลึกอย่างน้อย 1 ศอก (50 เซนติเมตร)ตลอด ฤดูท านา ควรเสริมคันนาให้สูงขึ้นจากระดับพื้นนาเดิมประมาณ 50 เซนติเมตร และมีความมั่นคง แข็งแรงเพียงพอ เพื่อป้องกันน้ าท่วมและการพังทลายของคันนา แปลงนำ บ่อรวมปลำ ที่พัก


98 2. แปลงนาที่มีบ่อล่อปลาอยู่แล้ว ก็ดัดแปลงเสริมคันนาให้แข็งแรงสามารถเก็บกักน้ าให้ลึก อย่างต่ า 30 เซนติเมตร โดยให้พื้นที่ของแปลงนามีขนาดประมาณ 10 เท่าของพื้นที่บ่อล่อปลา 3. แปลงนาซึ่งเป็นที่ลุ่มและพื้นที่ลาดเอียง บางด้านก็ให้ใช้ด้านต่ าเป็นที่พักปลาโดยขุดดิน ด้านนี้มาเสริมคันนาให้สูงขึ้นมากพอที่จะเก็บกักน้ าให้ท่วมที่ดอนได้ ประมาณ 30 เซนติเมตร 4. แปลงนาที่อยู่ในพื้นที่ราบและไม่เป็นที่ลุ่มเกินไป ควรขุดร่องน้ ารอบพื้นนาให้มีความกว้าง 1 เมตร ลึก 80 เซนติเมตร = 1 เมตร แล้วน าดินที่ขุดขึ้นเสริมคันนา ให้สูงจากระดับพื้นนาเดิมประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อเก็บกักน้ าที่ท่วมแปลงนาได้ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร และเพื่อความสะดวกในการจับ ปลา จึงควรขุดบ่อรวมปลาไว้บริเวณที่ลึกที่สุดของแปลงนา เพื่อให้ปลามารวมกันในขณะที่ลดระดับน้ าใน แปลงนาข้าว โดยมีพื้นที่ขนาด 6 x 8 เมตร ลึก 1.25 เมตร ทั้งนี้เพื่อเป็นที่พักปลาในการหลบร้อน และ สะดวกในการจับปลาอีกด้วย ซึ่งบ่อรวมปลานี้ยังใช้เป็นบ่ออนุบาลลูกปลาที่มีขนาดเล็กให้มีขนาดใหญ่ คือมีความยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ซึ่งเหมาะที่จะปล่อยเลี้ยงไว้ในแปลงนาได้ดี โดยการอนุบาลลูก ปลาไว้ล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน ก่อนถึงฤดูท านา 5. พันธุ์ข้าว ใช้พันธุ์ข้าวที่กรมส่งเสริมการเกษตรแนะน าในแต่ละท้องถิ่น หากเป็นไปได้ ควรเลือกใช้ข้าวพันธุ์หนักที่สามารถอยู่ได้นานวัน พันธุ์ปลาที่ควรเลี้ยงในนาข้าว 1. เลี้ยงง่าย 2. เติบโตเร็วในช่วงการเลี้ยงนั้น 3. อดทนต่อสภาพแวดล้อม 4. หาพันธุ์ปลาได้ง่าย 5. ราคาพันธุ์ปลาไม่แพง 6. ไม่ท าลายต้นข้าว 7. เนื้อมีรสดีเป็นที่นิยมของท้องถิ่น 8. จ าหน่ายได้ราคาดี 9. สามารถเลี้ยงในที่ตื้นๆ ได้ พันธุ์ปลาดังกล่าวได้แก่ ปลาไน ปลาตะเพียนขาว ปลานิล ปลานวลจันทร์เทศ และปลา ซ่ง ซึ่งปลาต่าง ๆ เหล่านี้กินอาหารธรรมชาติที่เกิดขึ้นในแปลงนา ประเภทพืชและสัตว์เล็ก ๆ ได้ดีจึง โตเร็ว และนอกจากนี้ยังกินอาหารเสริมต่างๆ ที่หาได้ในท้องถิ่นอีกด้วย ช่วงเวลาที่ควรปล่อยปลา หลังจากไถคราดและปักด าเสร็จเรียบร้อยประมาณ 10 วัน เมื่อเห็นว่าต้นข้าวแข็งแรงและ รากยึดติดดินดีแล้ว จึงน าปลามาปล่อยลงเลี้ยง


99 ขนาดและจ านวนพันธุ์ปลา ขนาดและจ านวนพันธุ์ปลาที่จะปล่อยลงเลี้ยงในนาแปลงหนึ่ง ๆ ควรใช้ปลาขนาดความยาว 5- 10 เซนติเมตร เพราะเป็นปลาขนาดที่เติบโตได้รวดเร็ว และพอที่จะเลี้ยงตัวหลบหลีกศัตรูได้ดี จ านวน ปลาที่จะปล่อยลงเลี้ยงนั้น ควรปล่อยในอัตราที่เหมาะสมต่อเนื้อที่นา อย่าให้มากหรือน้อยเกินไปหาก มากเกินไปแล้วปลาจะเจริญเติบโตช้า เพราะปลาจะแย่งที่อยู่อาศัยและแย่งอาหารกันเอง ในเนื้อที่นา 1 ไร่ ควรปล่อยปลาลงเลี้ยงประมาณ 400 - 800 ตัว แล้วแต่ขนาดของปลา หรือถ้าจะเลี้ยงปลาหลายชนิด รวมกันควรใช้สัดส่วนของปลาไนต่อปลาตะเพียนต่อปลานิล= 4 : 2 : 2 จะท าให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ถ้าหาก แปลงนาที่มีน้ าที่สมบูรณ์อาจพิจารณาปล่อยปลาตัวโต หรือปลานวลจันทร์เทศอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ รวมกันเสริมลงไปไม่เกิน 10 - 20 ตัว ต่อพื้นที่ 1 ไร่ (กรมประมง , 2550) อาหารและการให้อาหาร การเลี้ยงปลาในนาเป็นการใช้อาหารธรรมชาติในพื้นนาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ แต่อาหาร ธรรมชาตินี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของปลา จ าเป็นต้องเร่งให้เกิดอาหารธรรมชาติโดยควรใส่ปุ๋ย และให้อาหารสมทบดังนี้ ปุ๋ย ปุ๋ยที่เหมาะสม ได้แก่ มูลสัตว์ที่หาได้ในท้องถิ่นใส่ในอัตราเดือนละ 50 - 80 กิโลกรัมต่อไร่ โดยการหว่านในร่องนาหรือกองไว้มุมแปลงนา ด้านใดด้านหนึ่งแล้วแต่ความสะดวก หรือผสมใช้ท าเป็น ปุ๋ยหมักก็ได้ ส่วนการใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์นั้นสามารถใส่ได้ตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรแนะน า อาหารสมทบ อาหารสมทบ ได้แก่ ร า ปลายข้าวต้มผสมร า ปลวก แมลง ผักและหญ้าชนิดที่ปลากินได้ จะท าให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น การดูแลรักษา 1. ศัตรู โดยทั่วไปได้แก่ ปลาช่อน งู เขียด หนู กบ และนกกินปลา ก่อนปล่อยปลา จึงควรก าจัดศัตรูภายในผืนนาออกให้หมดเสียก่อน และควรระมัดระวังโดยพยายามหาทางป้องกัน ศัตรูที่จะมาภายหลังอีกด้วย 2. ระดับน้ า ควรจะรักษาระดับน้ าให้ท่วมผืนนา หลังจากปล่อยปลาแล้วจนถึงระยะเก็บ เกี่ยวอย่างน้อยประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อปลาจะได้หากินบนผืนนาได้ทั่วถึง 3. หมั่นตรวจสอบคันนาอย่างสม่ าเสมอ เพื่อป้องกันคันนารั่วซึมและพังทลาย สาเหตุมัก เกิดจากการเจาะท าลายของปูนาและฝนตกหนัก 4. ยาปราบศัตรูพืช ไม่ควรใช้ยาปราบศัตรูพืชในแปลงนาที่มีการเลี้ยงปลาร่วมอยู่ด้วย เพราะยาฆ่าแมลงหรือยาปราบศัตรูพืช ส่วนใหญ่เป็นอันตรายต่อปลา แม้ใช้เพียงเล็กน้อยก็อาจท าให้


100 ปลาถึงตายได้ แต่ในกรณีที่ต้นข้าวเกิดโรคระบาดจ าเป็นจะต้องฉีดยาฆ่าแมลงควรจับปลาออกให้หมด เสียก่อน 5. การใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ชนิดเม็ดที่ละลายได้ยากจะต้องระมัดระวังให้มาก เพราะปลา อาจจะกินปุ๋ยท าให้ตายได้ ควรละลายน้ าแล้วลาดให้ทั่วผืนนา แสดงขั้นตอนการเลี้ยงปลาในนาข้าว ที่มา : กรมประมง , 2550 ขุดร่องริมคันนำ ท ำควำมสะอำด ร่องด้วยปูนขำว และใส่ปุ๋ ยคอก ปลูกไม้ผลพืชผัก บนคันนำ เตรียมแปลงตก กล้ำข้ำว อนุบำลลูกปลำ เมื่อมีน ้ำขัง เตรียมแปลงตก กล้ำข้ำว เก็บผลผลิต เก็บผลผลิต ข้ำวและปลำ ปล่อยลูกปลำลง แปลงนำหลังปัก ด ำข้ำวแล้ว 10 วัน เก็บผลผลิต เศษเหลือให้ปลำ


Click to View FlipBook Version