The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารการสอนวิชาการเพาะเลี้ยงปลา (ส่งทำเล่ม)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Boonyanuch Kaewmanee, 2023-03-13 23:01:06

เอกสารประการเรียน วิชาการเพาะเลี้ยงปลา (Fish Breeding and Culture)

เอกสารการสอนวิชาการเพาะเลี้ยงปลา (ส่งทำเล่ม)

Keywords: Fish Breeding and Culture

251 ง. สิ่งแวดล้อม 6. ข้อใดเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาในด้านสภาพแวดล้อม ? ก. สภาพความเป็นกรดเป็นด่างของน้ า ข. ปริมาณก๊าซที่ละลายในน้ า ค. อุณหภูมิและความเค็มของน้ า ง. ถูกทุกข้อ 7. โรคท้องบวมในปลาดุกเกิดมาจากสาเหตุใด ? ก. เชื้อรา ข. เชื้อแบคทีเรีย ค. เชื้อไวรัส ง. พยาธิภายใน 8. ข้อใดไม่ใช่แพลงก์ตอนสัตว์ ? ก. ไรแดง ข. ตัวอ่อนของกุ้ง ค. โรติเฟอร์ ง. คลอเรลล่า 9. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องการเจริญเติบโตของปลา ? ก. อัตราการเจริญเติบโตของปลาจะมีมากเมื่อยังเป็นลูกปลา ข. อัตราการเจริญเติบโตของปลาจะลดลงเมื่อปลามีอายุมากขึ้น ค. กราฟการเจริญเติบโตของปลาจะเป็นรูปตัว S-Shape ง. ถูกทุกข้อ 10. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาในด้านใดที่ส าคัญที่สุด ? ก. ด้านการจัดการ ข. ด้านสภาพแวดล้อม ค. ด้านความอุดมสมบูรณ์ของบ่อเลี้ยง ง. ด้านอาหาร


แผนการจัดการเรียนรู้ประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 12 เรื่อง การป้องกันก าจัดโรค ปรสิตและศัตรูปลา 1. สาระส าคัญ : การเลี้ยงปลาทุกชนิดจะมีโรค ปรสิต และศัตรูปลาคอยรบกวนสุขภาพของปลา ในลักษณะต่างๆ ท าให้เกิดความเสียหายต่อการเลี้ยงและท าให้ได้ผลผลิตต่ า การศึกษาถึงวิธีการ ป้องกันก าจัดโรค ปรสิตและศัตรูปลา จะท าให้ผู้เรียนทราบถึงแนวทางในการป้องกันก าจัดโรค ปรสิตและศัตรูปลาเพื่อที่จะสามารถน าไปใช้ปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม 2. สมรรถนะประจ าหน่วยการเรียนรู้: 1. มีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันก าจัดโรค ปรสิตและศัตรูปลา 2. สามารถปฏิบัติในการป้องกันก าจัดโรค ปรสิตและศัตรูปลา 3. มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพการเลี้ยงปลาน้ าจืด 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง : 1. สามารถอธิบายสาเหตุของการเกิดโรคในปลาได้อย่างถูกต้อง 2. สามารถอธิบายอาการของปลาที่เป็นโรคได้อย่างถูกต้อง 3. สามารถฝึกปฏิบัติการป้องกันและควบคุมโรคปลาได้อย่างถูกต้อง 4. สามารถฝึกปฏิบัติการรักษาโรคปลาได้อย่างถูกต้อง 5. สามารถค านวณปริมาณของสารเคมีและยาได้อย่างถูกต้อง 6. เกิดเจตคติที่ดีต่อการเลี้ยงปลา 4. ความรู้ที่ต้องได้รับ : 1. สาเหตุของการเกิดโรคปลา 2. อาการของปลาที่เป็นโรค 3. การป้องกันและควบคุมโรคปลา 4. การรักษาโรคปลา 5. โรคและพยาธิในปลาที่ส าคัญ 6. การค านวณปริมาณของสารเคมีและยา 5. ทักษะทางปัญญาที่ต้องการพัฒนา : ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีทักษะทางการวิเคราะห์ สังเคราะห์


253 6. คุณธรรมจริยธรรมที่ต้องการ : 1. มีใจรักและศรัทธาในวิชาชีพ 2. มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร 3. มีความซื่อสัตย์ 4. มีความสนใจใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 7. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องการ : 1. มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลา 2. มีมนุษย์สัมพันธ์ 3. การรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถท างานร่วมกับผู้อื่น 5. การบริการสังคมและชุมชน 6. ความปลอดภัย 8. กิจกรรมการเรียนการสอน : 1. ศึกษาเนื้อหาในหัวเรื่องที่ 1-6 2. การท าแบบทดสอบก่อนการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 12 3. จัดการเรียนรู้ในลักษณะการสืบเสาะหาความรู้ โดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนออกเป็น 4 กลุ่มเพื่อ ร่วมกันศึกษาปัญหาการเกิดโรคและปรสิตในปลา จากสถานประกอบการในเขตพื้นที่ใกล้เคียง 4. ให้แต่ละกลุ่มน าเสนอผลการศึกษาตามประเด็นที่ก าหนด 5. การฝึกปฏิบัติการตรวจสอบโรค ปรสิตและการรักษาโรค ปรสิตในปลา 6. การท าแบบทดสอบหลังการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 12 7. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 12 8. การจัดท าบันทึกการเรียนรู้ 9. การเก็บรวบรวมผลงานการเรียนรู้เพื่อจัดท าแฟ้มสะสมผลงาน 9. จ านวนชั่วโมงที่สอน : จ านวน 12 ชั่วโมง 10. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ : 1. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 12 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 12 3. แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 12 4. ตัวอย่างของสัตว์น้ าที่เป็นโรคและปรสิต


254 5. เอกสารใบงานเรื่อง การดูลักษณะอาการของปลาน้ าจืดที่เป็นโรค 6. แหล่งวิทยาการในชุมชนด้านการเลี้ยงปลา 7. แบบบันทึกการเรียนรู้ 11. วิธีการประเมินผล : 1. การวัดความสามารถด้านพุทธิพิสัย : โดยการท าแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน แบบทดสอบ ก่อน-หลังเรียน การร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น และการน าเสนองาน 2. การวัดความสามารถด้านทักษะพิสัย : โดยการสังเกตพฤติกรรมในการท างานร่วมกัน การ วางแผนในการท างานร่วมกัน และความสามารถในการท างานส าเร็จอย่างมีคุณภาพตามเวลาที่ มอบหมาย 3. การวัดความสามารถด้านจิตพิสัย : โดยการสังเกตจากพฤติกรรมในขณะด าเนินกิจกรรม การเรียนการสอนว่า ให้ความสนใจในการเรียนรู้ การมีวินัย การตรงต่อเวลา การมีส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน


หน่วยการเรียนรู้ที่ 12 การป้องกันก าจัดโรค ปรสิตและศัตรูปลา โรคปลา (Fish disease) หมายถึง ภาวะผิดธรรมชาติของปลาซึ่งตรงกันข้ามกับภาวะที่มี สุขภาพดี สิ่งที่ท าให้เกิดโรคได้แก่ แบคทีเรีย รา ไวรัส ปรสิตจ าพวกสัตว์เซลเดียว โปรโตซัว หนอนพยาธิและครัสตาเชีย ที่ท าอันตรายโดยตรงต่อปลาโดยท าลายอวัยวะภายในและอวัยวะ ภายนอกท าให้ปลามีอาการผิดปกติพิการหรือตายได้ในที่สุด นอกจากนี้โรคปลายังอาจเกิดจาก สิ่งแวดล้อมและการขาดสารอาหารได้อีกด้วย การเกิดโรคปลาย่อมท าให้เกิดความเสียหายโดยเฉพาะ ลูกปลา เมื่อเกิดโรคขึ้นมาแล้วส่วนใหญ่การรักษาได้ผลค่อนข้างน้อย ดังนั้นเพื่อลดความสูญเสียอัน เนื่องมาจากโรคและปรสิตจึงควรเน้นไปที่การป้องกัน เช่น การก าจัดต้นเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่อาจ เป็นเหตุท าให้เกิดโรค ดีกว่าปล่อยให้เกิดโรคแล้วจึงท าการรักษา สาเหตุของการเกิดโรคปลา โรคของปลาเกิดขึ้นได้ทั้งในแหล่งน้ าธรรมชาติและปลาที่เลี้ยงในบ่อ การเกิดโรคและปรสิต ย่อมมีสาเหตุมาจากปัจจัยหนึ่งหรือหลายปัจจัย เมื่อปลาที่เลี้ยงเป็นโรคหรือปรสิตแล้วถ้าคุณสมบัติ ของน้ าเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมโทรมมากขึ้น อาการของโรคก็เพิ่มทวียิ่งขึ้นและถึงตายในที่สุด น้ า เป็นปัจจัยที่ส าคัญในการด ารงชีวิตของปลา ถ้าคุณสมบัติของน้ าเสื่อมโทรมลงอันเกิดจากการขาด ออกซิเจน มีปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 20 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) แก๊สแอมโมเนีย ไน ไตรท์ และไฮโดรเจนซัลไฟด์สูง เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ท าให้ปลาเกิดความเครียดและถึงตายในที่สุดได้ ดังนั้นการป้องกันโรคและปรสิต จึงท าได้ง่ายโดยรักษาคุณสมบัติของน้ าในบ่อที่เลี้ยงปลาให้มีสภาพดี อยู่เสมอ ส่วนการใช้ยาและสารเคมีในการรักษาปลาในระดับความเข้มข้นที่สามารถท าลายโรคและ ปรสิตให้ตายได้ย่อมมีผลกระทบต่อปลาไม่มากก็น้อย ซึ่งควรน ามาใช้เป็นวิธีสุดท้ายสาเหตุของการ เกิดโรคส่วนมากมีสาเหตุดังนี้ 1. การให้อาหารที่ไม่ดีหรือมากเกินไปเหลือในบ่อ ส่งผลให้น้ ามีคุณภาพไม่ดีเนื่องจากไม่มี การปรับปรุงคุณภาพน้ าหรือการถ่ายเทน้ าเก่าออก ท าให้ปลาโตช้าหรือเครียดประกอบกับมีเชื้อโรค และพาหะของโรคติดมา 2. การเลี้ยงหนาแน่น ถ้าให้อาหารน้อยท าให้ปลาขาดสารอาหารที่จ าเป็น หรือถ้าให้อาหาร มากเกินไปท าให้เศษอาหารที่เหลือตกค้างสะสมในบ่อ และเกิดการเน่าเป็นก๊าซพิษต่อปลา มีผลท า ให้สุขภาพปลาอ่อนแอ 3. น าปลาที่ติดเชื้อโรคมาเลี้ยงโดยไม่ได้ก าจัดโรคและปรสิตเสียก่อน 4. ใช้เครื่องมือจับขนส่งที่ปนเปื้อนของเชื้อโรค โดยไม่ท าความสะอาดก่อนและท าให้เกิด


256 Host (1) Pathogen (2) Environment Stress (3) บาดแผลในปลา 5. น้ ามีคุณภาพเสื่อมโทรมลงและเมื่อถ่ายเทเปลี่ยนน้ า บางครั้งเชื้อโรคก็อาจติดตาม น้ าเข้ามาในบ่อเลี้ยงปลาด้วย 6. คุณภาพของอาหารต่ าหรือไม่สด ในกรณีใช้ปลาเป็ดเลี้ยงปลาดุก 7. การใช้เครื่องมือ เช่น อวน แห สวิง กระชอน คัดจับปลาขาดความประณีต ซึ่งท าให้ เกล็ดหลุดหรือเกิดบาดแผลแก่ปลาเชื้อโรคก็เข้าท าการได้สะดวก โดยสรุปแล้วสาเหตุการเกิดโรคของปลานั้นขึ้นอยู่กับสิ่งส าคัญ 3 ประการ คือ 1. ปลาในที่นี้หมายถึงโฮส (Host) ที่อ่อนแอพร้อมที่จะยอมรับเชื้อ (Host susceptibility) 2. เชื้อที่มีความรุนแรงในการท าให้เกิดโรค (Pathogen virulence) 3. สภาวะแวดล้อมที่ท าให้ปลาเกิดความเครียด (Environmental stress) Snieszko (1974) (อ้างในชลอ , 2528) ได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างโฮส เชื้อโรคและ สิ่งแวดล้อมที่ท าให้ปลาเกิดความเครียด (Stress) ซึ่งจะท าให้ปลาเกิดโรคได้โดยใช้แผนภาพต่อไปนี้ ปลาปกติ ปลาอ่อนแอ ปลาเกิดโรค ภาพที่ 38 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวปลา เชื้อโรคและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่ท าให้ เกิดโรคในปลา โรคปลาจะเกิดขึ้นได้อย่างรุนแรงเพียงกรณีเดียวเท่านั้น คือ เมื่อมีโฮส (1) และเชื้อโรค (2) อยู่ ในสภาพแวดล้อมซึ่งเหมาะสมแก่การเกิดโรค (3) ถ้าหากมีเพียงโฮส (1) และเชื้อโรค(2) แต่ สภาพแวดล้อมเหมาะสมแก่โฮสจะไม่มีการระบาดของโรค เช่นเดียวกันเมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสม ส าหรับการเกิดโรค และมีโฮสคือมีแต่ (1) และ (3) แต่ไม่มี (2) คือเชื้อโรค โรคก็จะไม่เกิดขึ้น


257 สภาวะแวดล้อมมีความส าคัญมากต่อการเกิดโรค ในสภาวะที่ทุกอย่างอยู่ในสมดุล คือโฮสมี สุขภาพแข็งแรง มีเชื้อโรคในปริมาณที่พอเหมาะและสภาพแวดล้อมดี คือคุณภาพน้ าอยู่ในเกณฑ์ดี ปลาจะไม่เป็นโรค แต่เมื่อใดสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี เช่น ปริมาณออกซิเจนที่ละลายใน น้ าลดต่ าลงมาก อุณหภูมิของน้ าเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน มีสารมลพิษในน้ ามาก สิ่งต่างๆเหล่านี้จะ ท าให้ปลาเกิดอาการเครียด ร่างกายอ่อนแอมีโอกาสที่จะยอมรับเชื้อต่างๆได้ง่ายขึ้น อาการของปลาที่เป็นโรค อาการของปลาที่เลี้ยงเป็นโรคและปรสิต สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าพร้อมๆกับอาการ ต่อเนื่องได้ไม่มากนัก คือ 1. ถ้าเป็นปลาจ าพวกไม่มีเกล็ด สีของผิว ล าตัวจะซีดหรือคล้ าลงจากสีของปลาชนิด นั้นตามธรรมชาติ 2. ปลาจะว่ายน้ าแตกฝูง แสดงอาการอ่อนเพลียหรือลอยหัว 3. ซี่เหงือกจะมีสีซีดหรือมีจุดขาว 4. มีราเกาะตามตัว หนวด และครีบ 5. กกหูจะบวมหรือมีบาดแผล (ปลาดุก) 6. ล าตัวมีบาดแผล ท้องบวม และมีน้ าเหลืองในช่องท้อง 7. ครีบเน่าและกร่อน 8. มีจุดสีแดงหรือขาวประทั่วล าตัว 9. เบื่ออาหาร ล าตัวซูบผอม 10. ตาโปน เมื่อพบว่าปลาที่เลี้ยงในบ่อมีอาการดังกล่าว หรือลอยอืดขึ้นมาตายเพียง 1-2 ตัว ให้รีบตัก ขึ้นมาจากน้ า และคอยสังเกตว่ามีปลาตายหรือมีอาการของโรคดังกล่าวหรือไม่มากน้อยเพียงใด ถ้า เป็นการตายเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ตัว หรือเดือนละ 2-3 ตัว แต่ปลาส่วนใหญ่ยังกินอาหารดีและ แข็งแรงก็ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะถือว่าเป็นการตายตามธรรมดาของปลาที่ไม่แข็งแรง และเป็นโรค เฉพาะตัวซึ่งไม่ติดต่อกับปลาตัวอื่นๆ โรคและปรสิตในปลาที่ส าคัญ (โชคชัย , 2548) 1. โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacteria) 1.1 แอโรโมแนส ไฮโดรฟิลลา (Aeromonas hydrophila) เป็นแบคทีเรียที่มีความสามารถ และเป็นตัวการส าคัญที่ก่อให้เกิดโรคในปลาแทบทุกชนิด โดยเฉพาะในปลาน้ าจืด ปลาที่ติดเชื้อจะมี อาการตกเลือด มีแผลตามล าตัวและครีบ ครีบกร่อน ตาขุ่น ตาโปน หนวดหงิก กกหูบวม ท้อง บวม มีน้ าในช่องท้อง เกล็ดตั้ง ลอยหัว กินอาหารน้อยลงหรือไม่กินอาหาร


258 ภาพที่ 39 แสดงปลาเป็นโรคแผลเน่าเปื่อยจากเชื้อแบคทีเรีย ที่มา : http://www.rakbankerd.com 1.2 วิบริโอซีส (Vibriosis) เช่น วิบริโอ แองกิลลารัม (Vibrio angullarum) เป็นต้น วิบริโอซีส เป็นโรคที่มักพบในปลาทะเลและปลาน้ ากร่อยที่เลี้ยงอยู่ตามชายฝั่ง ปลาที่ติดเชื้อจะมีอาการตกเลือดของ อวัยวะภายใน มีแผลตามล าตัว ท้องบวม ตาบวมน้ า โลหิตจาง ร่างกายอ่อนแอ ไม่กินอาหาร 1.3 ซูโดโมแนส ฟลูโอเรสเซนส์ (Pseudomonas fluorescens) เป็นแบคทีเรียที่มัก ก่อให้เกิดโรคในปลาสวยงามที่เลี้ยงอยู่ในตู้ปลา อาการของปลาที่ติดเชื้อเช่นเดียวกันกับแอโรโมแนส ไฮโดรฟิลลา จะมีอาการตกเลือดและเป็นแผลตามล าตัวแต่อาจจะเล็กกว่า อวัยวะภายในมีอาการตก เลือด ตาบวม ท้องบวม 1.4 เฟลกซิแบกเตอร์ คอลัมนาริส (Flexibacter columnaris) บางทีเรียกว่าโรคตัวด่าง หรือโรคคอลัมนาริส ปลาที่เป็นโรคนี้จะมีแผลด่างขาวตามล าตัว ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานอาจกลายเป็น แผลลึกได้ มักเกิดกับปลาที่บอบช้ าจากการล าเลียงขนส่ง ในช่วงฤดูที่อุณหภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง จากสูงไปหาต่ า ปลาจะมีอาการตัวด่างซีดเป็นแถบ ครีบเปื่อยกร่อน กระสับกระส่าย และตายเป็น จ านวนมาก 1.5 วัณโรคปลา (Fish tuberculosis) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ แบคทีเรีย ไมโครแบคทีเรียม (Mycobacterium sp.) ซึ่งพบได้เสมอในปลาสวยงามที่กินเนื้อที่เลี้ยงอยู่ในตู้กระจก เช่น ปลากัด ปลาเทวดา ปลาออสก้า และปลาปอมปาดัวร์ เป็นต้น ปลาอาจจะไม่แสดงอาการให้เห็นหรือมี


259 อาการให้เห็น คือน้ าหนักตัวลดลง ไม่กินอาหาร เกล็ดหลุด มีแผล ตาโปน ว่ายน้ าผิดปกติ และมี จุดขาวเกิดขึ้นตามอวัยวะภายใน เป็นต้น 2. โรคที่เกิดจากไวรัส (Virus) ไวรัสเป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กมาก โรคที่พบเสมอในปลาทะเลและปลาน้ ากร่อย เช่น โรค ลิมโฟซิสติส (Lymphocystis) ในปลากะพงขาวจะท าให้เกิดอาการตุ่มปมนูนของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน คล้ายหูด บนผิวหนังส่วนต่างๆ เช่น บริเวณหลัง ครีบหลัง และเหงือกของปลา ตุ่มเหล่านี้มัก รวมกันเป็นกระจุก ขนาดและจ านวนตุ่มจะแตกต่างกันออกไป โรคนี้ไม่สามารถรักษาได้ ดังนั้นจึง ควรแยกปลาที่เป็นโรคนี้ออกให้หมด ภาพที่ 40 แสดงปลาเป็นโรคหูดปลาหรือโรคแสนปม ที่มา : http://www.rakbankerd.com 3. โรคที่เกิดจากปรสิต (Parasite) ปรสิต เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยภายในหรือภายนอกตัวปลา ปรสิตนับว่าเป็นตัวการส าคัญ และพบบ่อยที่สุด ในการอนุบาลลูกปลาชนิดต่างๆ โดยเฉพาะปรสิตภายนอกที่เกาะเหงือกและล าตัว ของลูกปลา ท าให้ปลามีเมือกมาก มีแผลตามล าตัว ตกเลือด ครีบเปื่อย มีจุดขาวตามล าตัว ว่าย น้ าไม่มีทิศทาง ควงสว่านหรือสีกับวัตถุในน้ า และเป็นสาเหตุท าให้ลูกปลาตายเป็นจ านวนมาก ตัวอย่างของปรสิต เช่น 3.1 อิ๊ค (Ichthyophthirius multifilis) เป็นโปรโตซัวเซลล์เดียว ท าให้เกิดโรคจุดขาว โดย ปลาจะมีจุดขาวเล็กๆ กระจายอยู่ตามล าตัวและครีบ เกิดจากโปรโตซัวจ าพวกเคลื่อนที่ด้วยซีเลีย (Cilia) ลักษณะเด่นคือเซลล์ตัวเต็มวัยจะมีนิวเคลียสรูปเกือกม้า เมื่อฝังตัวเข้าใต้ผิวหนังปลาแล้วจะกิน


260 เซลล์ผิวหนังเป็นอาหาร และสามารถออกจากตัวปลาเพื่อแพร่ระบาดต่อไป โรคจุดขาวจัดว่าเป็นโรค ที่มีความรุนแรงและท าให้ลูกปลาตายเป็นจ านวนมาก ภาพที่ 41 แสดงวงจรชีวิตของอิ๊ค ที่มา : เกรียงศักดิ์ , 2547 3.2 เห็บระฆัง (Trichodina sp.) เป็นโปรโตซัวเซลล์เดียว รูปร่างคล้ายระฆัง ชอบเกาะ ตามเหงือก ครีบและล าตัวของปลา ท าให้เกิดแผลขนาดเล็ก ปลาจะมีอาการระคายเคือง เมือกแตก สามารถแพร่ระบาดและท าให้ลูกปลาทั้งบ่อตายได้อย่างรวดเร็ว ภาพที่ 42 แสดงรูปร่างของเห็บระฆัง ที่มา : http://www.time4fish.net/treattank.html


261 3.3 โอโอดิเนียม (Oodinium sp.) เป็นโปรโตซัวเซลล์เดียว เกาะตามเหงือกและตามล าตัว ของปลา ท าให้เกิดรอยด่างมีสีน้ าตาลคล้ายสีสนิมตามล าตัว ว่ายน้ ากระสับกระส่าย แผ่นปิดเหงือก อ้ามากกว่าปกติ ลูกปลาจะทยอยกันตายจนหมดบ่อ 3.4 ป ลิงใส (Monogenetic trematode) ได้ แก่ Dactylogyrus sp. (Gill fluke) แ ล ะ Gyrodactylus sp. (Skin fluke) เป็นปรสิตที่เกาะบริเวณเหงือกและล าตัวของปลา ปลาจะมีอาการ ว่ายน้ าทุรนทุราย เมือกแตก หายใจเร็วกว่าปกติ ตกเลือด อาจมองเห็นตัวปลิงใสในลักษณะเป็นขน สีขาวสั้นๆ เกาะอยู่ตามล าตัวทั่วไป สามารถแพร่ระบาดและท าให้ลูกปลาตายเป็นจ านวนมาก ภาพที่ 43 แสดงรูปร่างของปลิงใส Gyrodactylus sp. ที่มา : http://www.toyen.uio.no/gyrodactylus/ 3.5 หนอนสมอ (Lernaea sp.) เป็นพวกโคพีพอด (Copepod) มีเฉพาะเพศเมียเท่านั้นที่ เป็นปรสิต ลักษณะล าตัวยาวคล้ายหนอน ตอนปลายมีถุงไข่ 1 คู่ ส่วนหัวแตกแขนงคล้ายสมอเรือ ชอบเกาะอยู่ตามโคนครีบ โดยจะใช้ส่วนหัวฝังเข้าไปใต้ผิวหนัง และลึกจนถึงชั้นกล้ามเนื้อ ดังนั้น ในขณะที่มันเกาะจึงเห็นได้เฉพาะส่วนล าตัวเท่านั้น หนอนสมอจะดูดกินเนื้อเยื่อปลาเป็นอาหาร ท า ให้เกิดความระคายเคืองและเป็นแผลตกเลือด ภาพที่ 44 แสดงปลาที่เป็นโรคเนื่องจากหนอนสมอ ที่มา : กรมประมง , 2550


262 4. โรคที่เกิดจากเชื้อรา (Fungi) ได้แก่ราน้ า (Water mold) เกิดจากเชื้อ Saprolegnia sp. ลักษณะเป็นเส้นใยสีขาวไม่มี คลอโรฟิลล์ เส้นใยสามารถแตกกิ่งก้านแต่ภายในไม่มีผนังกั้น ชอบเกาะกับไข่ปลาที่เสีย มีลักษณะ เป็นปุยคล้ายเส้นใยส าลี สีขาวอมเทา ราน้ ามักพบในปลาที่มีรอยบอบช้ า เชื้อราจะเข้าท าลายตาม รอยแผลซึ่งอาจพบตามล าตัว ครีบและเหงือก ท าให้แผลลุกลามออกไป ภาพที่ 45 แสดงปลาเป็นโรคจากเชื้อรา Saprolegnia sp. ที่มา : http://www.aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=34160.0 5. โรคที่เกิดจากการขาดสารอาหาร สารอาหารบางอย่างเป็นสิ่งจ าเป็นส าหรับการด ารงชีวิตของปลา เมื่อขาดสารเหล่านั้นจะ ท าให้เกิดโรคได้ เช่น ปลาดุกที่ขาดวิตามินซีจะท าให้เกิดโรคหัวกะโหลกร้าว ตัวคด และตกเลือด หรือถ้าขาดวิตามินบีจะท าให้เกิดโรคชักกระตุก ปลาจะตัวเกร็งในขณะว่ายน้ า เป็นต้น สารอาหาร จึงเป็นสิ่งที่ท าให้เกิดโรคได้ถ้าหากได้รับน้อยหรือมากเกินไป ภาพที่ 46 แสดงลักษณะปลาที่ขาดวิตามินซี ที่มา : http://www.fancycarp.com


263 6. โรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมทางกายภาพและทางเคมี สิ่งแวดล้อมทางกายภาพและเคมี ได้แก่ แสง อุณหภูมิ ความเป็นกรดเป็นด่างของน้ า ก๊าซที่ละลายน้ า ความโปร่งแสงของน้ า ตะกอนสิ่งแขวนลอย สารเคมี สารพิษ และโลหะหนัก ปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุโดยตรงที่ท าให้เกิดโรคได้ เช่น การจัดการคุณภาพน้ าภายในบ่อไม่ดี หรือการได้รับวัตถุมีพิษที่ปนเปื้อนเข้ามา ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุโดยตรงแล้ว ปัจจัยเหล่านี้อาจ เป็นปัจจัยโน้มน าที่ท าให้ปลาอ่อนแอหรือเพิ่มความไวต่อการเกิดโรคติดเชื้อชนิดอื่นๆ ด้วย โรคฟองอากาศ (Gas bubble disease) เป็นโรคที่เกิดจากน้ าภายในบ่อมีปริมาณก๊าซไนโตรเจน หรือออกซิเจนละลายเกินจุดอิ่มตัว และเกิดการลดความกดดันอย่างกะทันหันจนท าให้เกิดฟองก๊าซอยู่ ภายในเส้นเลือด ฟองก๊าซจะขัดขวางการหมุนเวียนโลหิต เกิดภาวะก้อนจุก (Embolism) ในลูกปลาวัย อ่อน ฟองก๊าซมักเกิดขึ้นตามบริเวณใต้ผิวหนัง และระหว่างถุงไข่แดงกับเยื่อหุ้มไข่ ลูกปลาที่โตแล้วอาจ พบตามบริเวณตา ปากและที่เหงือก สาเหตุอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างกะทันหัน หรือ การย้ายลูกปลาลงในบ่อที่มีการให้อากาศในอัตราที่ต่ ากว่า การป้องกันและควบคุมโรคปลา การป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคต่างๆ ทั้งโรคติดเชื้อและโรคไร้เชื้ออาศัยความรู้ เกี่ยวกับสาเหตุของโรค (Pathogen virulence) เจ้าบ้าน (Host) และสิ่งแวดล้อม (Environmental stress) เป็นหลักในการป้องกันโรค ซึ่งโดยทั่วไปควรยึดหลัก 3 ประการ คือ 1. ส่งเสริมสุขภาพและให้ภูมิคุ้มกันโรคแก่เจ้าบ้าน 2. ควบคุมและก าจัดสาเหตุของโรค 3. ควบคุมส่วนที่ไม่ดีของสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างส่วนที่ดีของสิ่งแวดล้อม การป้องกันที่ดีที่สุด ผู้เลี้ยงควรสนใจตั้งแต่การเตรียมบ่อ การล าเลียงลูกปลา คุณภาพ อาหาร ตั้งแต่เริ่มเลี้ยงจนกระทั่งจับขายได้ โดยการเอาใจใส่สิ่งต่าง ๆ ดังนี้ 1. สถานที่ จะต้องเป็นแหล่งน้ าที่มีน้ าปริมาณมากพอตลอดระยะเวลาการเลี้ยง รวมทั้ง คุณภาพของน้ าจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของปลา ซึ่งจะท าให้ปัญหาเกี่ยวกับ ปลาเป็นโรคน้อยลง และที่ส าคัญแหล่งน้ านั้นควรจะอยู่ห่างจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือแหล่ง เกษตรกรรมที่มีการใช้ยาปราบศัตรูพืชมากๆ เพราะอาจมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อปลาปะปนอยู่ได้ 2. การเตรียมบ่อ บ่อใหม่ควรมีการใส่ปูนขาวประมาณ 60-100 กิโลกรัม/ไร่ หรืออาจมากกว่า นี้ ทั้งนี้ขึ้นกับว่าความเป็นกรดของดินมากน้อยเพียงใด ถ้าเป็นบ่อเก่าหลังจากจับปลาออกหมดควรจะ มีการวิดบ่อให้แห้งพร้อมกับลอกเลนก้นบ่อ แล้วใช้ปูนขาวในอัตรา 60 กิโลกรัม/ไร่ โรยให้ทั่วบ่อทิ้ง ไว้อย่างน้อย 1 อาทิตย์ ต่อจากนั้นจึงปล่อยน้ าเข้าบ่อ ทิ้งไว้อีก 7 วัน จึงปล่อยปลาลงเลี้ยงได้ ในช่วงอาทิตย์หลังนี้อาจมีการใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มอาหารธรรมชาติในบ่อได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของปลาที่จะ เลี้ยงด้วย โดยปกติน้ าที่ใช้เลี้ยงปลาควรมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 6.5-8.5 และมีค่า


264 ความเป็นด่างของน้ าอยู่ระหว่าง 150-200 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) ถ้าค่าเหล่านี้ต่ าเกินก็ควรมีการ เติมปูนขาว และถ้าเป็นไปได้ทางน้ าเข้าบ่อควรมีอวนตาถี่กั้นเพื่อป้องกันพวกปรสิตบางชนิดและพวก ปลาธรรมชาติเข้ามาในบ่อเพราะปลาเหล่านั้นอาจเป็นตัวน าโรคและสามารถท าให้ปลาในบ่อเกิดโรค ได้ทันทีในสภาพที่ปลาอ่อนแอ 3. เลือกลูกปลาที่แข็งแรง มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ลูกปลาควรมีสุขภาพแข็งแรง เพราะ ลูกปลาที่สุขภาพไม่สมบูรณ์แข็งแรงหลังจากปล่อยลงในบ่อจะมีอัตราการตายสูงมาก นอกจากนี้ลูก ปลาควรมีขนาดเท่าๆ กัน เพื่อป้องกันการแย่งอาหารและการกินกันเอง 4. ลดความบอบช้ าในการขนส่ง ลูกปลาที่ต้องขนส่งในระยะทางไกลๆ โดยใช้ถุงพลาสติก หรือถัง ไม่ควรจะหนาแน่นมากเพราะปลาอาจจะบอบช้ ามาก ร่างกายจะอ่อนเพลียและมีโอกาสที่จะ ตายในเวลาต่อมา ดังนั้นในขณะที่ล าเลียงควรใส่เกลือในปริมาณ 0.1- 0.2 เปอร์เซ็นต์ หรือใส่ยา เหลืองเข้มข้น 1-3 ส่วนในล้านส่วน อาจจะช่วยลดอัตราการตายได้และที่ส าคัญก่อนปล่อยปลาลง บ่อ ควรระวังว่าอุณหภูมิน้ าในถุง และน้ าในบ่อไม่ควรแตกต่างกันมากนัก 5. ควรก าจัดปรสิตที่ติดมากับลูกปลา เช่น ในกรณีลูกปลาดุกมักจะพบพวกเห็บระฆังและ ปรสิตปลิงใสจ านวนมาก ซึ่งจะท าให้ปลาอ่อนแอ และถ้ามีมากอาจท าให้ปลาตายได้ จึงควรท าการ แช่ลูกปลาในดิพเทอเร็กซ์เข้มข้น 0.25-0.5 ส่วนในล้านส่วน นาน 3 ชั่วโมง ในกรณีของปลิงใส และ ใส่ฟอร์มาลินเข้มข้น 50 ส่วนในล้านส่วน แช่นาน 1 ชั่วโมง ก่อนปล่อยปลาลงบ่อ หรือท าการแช่ ลูกปลาในบ่อได้เลย โดยการลดระดับน้ าเพื่อประหยัดยาที่ใช้ แต่อย่างไรก็ตามการแช่ลูกปลาก่อน การขนส่งจะให้ผลดีกว่าการแช่หลังการขนส่ง เพราะการเดินทางลูกปลาจะอ่อนเพลีย อาจทนต่อยา ที่ใช้แช่ไม่ได้ 6. ไม่ควรปล่อยปลาแน่นเกินไป การปล่อยปลาแน่นอาจไม่มีปัญหาในระยะที่ปลาขนาดเล็ก แต่เมื่อปลามีขนาดใหญ่ขึ้น จะมีการตายเนื่องจากอาหารที่เหลือและของเสียที่ปลาขับออกมา จะท า ให้น้ าเกิดเน่าเสีย ดังนั้นควรปล่อยปลาในอัตราที่เหมาะสมของปลาแต่ละชนิดที่เลี้ยง เช่น ถ้าเป็นลูก ปลาดุก ขนาด 5-7 เซนติเมตร ควรปล่อยประมาณ 50-70 ตัวต่อตารางเมตร 7. ควบคุมการให้อาหาร โดยปกติปลาที่เริ่มปล่อยลงเลี้ยงยังไม่ควรให้อาหารทันที จะต้องให้ ปลามีการปรับตัวเสียก่อน และอาหารที่ใช้เลี้ยงควรมีคุณค่าอาหารสูง ซึ่งประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ และวิตามินที่จ าเป็นครบถ้วนมีความสด จะท าให้ปลาแข็งแรงมีความต้านทานโรคดีขึ้น และต้อง ระวังไม่ให้มากจนเหลือจะท าให้น้ าเสียได้ 8. ดูแลอย่างสม่ าเสมอ ต้องสังเกตความผิดปกติตลอดระยะเวลาการเลี้ยง ถ้าพบจะต้องหา สาเหตุและรีบแก้ไขทันที เช่น หลังจากวันที่ฝนตกหนักๆ ควรมีการใส่ปูนขาวเพิ่ม เพราะน้ าฝนจะ ท าให้คุณสมบัติของน้ าเปลี่ยนไป ซึ่งปลาอาจจะปรับตัวไม่ทันท าให้ร่างกายอ่อนแอได้ นอกจากนี้ ในช่วงที่อากาศเริ่มเย็น คือ ประมาณเดือนพฤศจิกายนนั้นมักพบปลาป่วยเสมอ เนื่องจากมีการ


265 เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างมากช่วงนี้ปลาจะไม่ค่อยกินอาหาร ดังนั้นควรลดปริมาณอาหารลงเพื่อกัน การเน่าเสียของน้ า ในช่วงปลายฤดูฝนต่อฤดูหนาวของทุกๆปี มักจะมีโรคระบาดปลาน้ าจืดเกิดขึ้นในแหล่งน้ า ธรรมชาติและในบ่อเลี้ยง การป้องกันเท่าที่ผ่านมาวิธีที่ได้ผลดีที่สุด และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อย ได้แก่ การปิดบ่อไม่ให้น้ าจากแหล่งธรรมชาติเข้าไป และใส่ปูนขาวประมาณ 60-100 กิโลกรัม/ไร่ ทุกๆ 2-3 อาทิตย์ ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ าความเป็นกรดเป็นด่างภายในบ่อ และอาจมีการใส่เกลือใน ปริมาณ 200-300 กิโลกรัม/ไร่ หลังจากที่น้ าเริ่มจะเสีย วิธีนี้สามารถป้องกันปลาในบ่อไม่ให้เป็นโรคได้ เพราะฉะนั้นผู้เลี้ยงปลาควรจะต้องสังเกตว่าเมื่อใดพบปลาในแหล่งน้ าธรรมชาติเริ่มเป็นโรคระบาด เช่น มีแผลบนล าตัวก็ให้ปิดบ่อ ในบ่อที่ปิดน้ าช้าอาจท าให้ปลาบางส่วนเป็นโรคก็ได้ หลังจากที่ปิดบ่อ และใส่ปูนขาวไปแล้วก็ตาม ปลาที่แสดงอาการป่วยเป็นโรคมากก็อาจจะไม่หาย แต่สามารถป้องกัน ปลาส่วนใหญ่ตัวอื่นๆไม่ให้เป็นโรคได้ การใส่ปูนขาวและเกลืออาจจะไม่ช่วยรักษาปลาป่วยที่มีอาการ โรคมาก แต่จะช่วยป้องกันปลาส่วนใหญ่เท่านั้น ในช่วงปิดบ่อนี้การให้อาหารต้องระมัดระวังไม่ควรให้ อาหารมากเกินไปเพราะจะท าให้น้ าเสียได้ง่าย ควรให้อาหารพอประมาณเพื่อป้องกันไม่ให้ปลากิน กันเอง ลักษณะของน้ าในบ่อที่ปิดเป็นเวลานานเหล่านี้จะมีสีเขียว ปริมาณแพลงก์ตอนพืชหนาแน่น แต่จะไม่พบว่าปลาเป็นโรค ขณะที่บ่อที่ไม่ใส่ปูนขาวหรือใส่ปูนขาวน้อยเกินไป หรือมีการเปิดน้ าเข้า บ่อบ้างเป็นระยะๆ ส่วนมากน้ าจะมีสีขาวขุ่น และมักจะมีปลาป่วยเป็นโรค ที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นการป้องกันโรคที่ได้ผลดี แต่อย่างไรก็ตามยังต้องอาศัยความรู้และความ ช านาญขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้เลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ ผู้ที่เริ่มเลี้ยงปลาควรจะมีการศึกษาขั้นตอน วิธีการต่างๆในการเลี้ยง และควรเริ่มเลี้ยงปลาที่เลี้ยงง่าย มีปัญหาเรื่องโรคน้อยก่อน ยาและสารเคมีที่นิยมใช้ในการป้องกันและรักษาโรคปลา ยาและสารเคมีที่นิยมใช้กันโดยทั่วๆไป มีดังต่อไปนี้ 1. ฟอร์มาลิน (Formaline) ใช้ก าจัดปรสิตภายนอกทั่วไป ปริมาณที่ใช้ 25-50 ส่วนใน ล้านส่วน (ppm.) แช่ตลอดไป หรือผสมกับมาลาไครท์กรีน เข้มข้น 0.15 ส่วนในล้านส่วน เพื่อ เสริมฤทธิ์ในการรักษาโดยเฉพาะโรคที่เกิดจากอิ๊ค 2. ดิพเทอร์เร็กซ์ (Dipterex) ใช้ก าจัดปลิงใสและหนอนสมอ ปริมาณที่ใช้ 0.25 - 0.50 ส่วนในล้านส่วน แช่ตลอดไป 3. มาลาไครท์กรีน (Malachite green) ใช้ก าจัดเชื้อรา ปริมาณที่ใช้ 0.10-0.15 ส่วนใน ล้านส่วน 4. เกลือแกง (NaCl) ใช้ก าจัดปรสิต รา และแบคทีเรียบางชนิด ช่วยลดความเครียดจึง นิยมใช้ในการล าเลียงขนส่งลูกปลา ปริมาณที่ใช้ 0.1-0.5 เปอร์เซ็นต์แช่ตลอดไป


266 5. ออกซี่เตตร้าไซคลิน (Oxytetracycline) ใช้ก าจัดของเสีย ปริมาณที่ใช้ 10-20 ส่วน ในล้านส่วน แช่ 5-7 วัน หรือ 3-5 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ให้กินติดต่อกัน 7-10 วัน 6. ยาเหลือง (Acriflavine) ใช้ก าจัดแบคทีเรีย ปรสิตบางชนิด และนิยมใช้ในการล าเลียง ขนส่งลูกปลา ปริมาณที่ใช้ 3 ส่วนในล้านส่วน แช่ติดกัน 3 วัน ภาพที่ 47 แสดงตัวอย่างของยาที่ใช้รักษาโรคปลา ที่มา : http://www.tarad.com/.../product.detail.php?id=1337058 การรักษาโรคปลา การรักษาโรคของปลา ควรเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมเกิดผลดีในการรักษาและ ประหยัดค่าใช่จ่าย ซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้ 1. การจุ่มปลาป่วยลงในยาหรือสารเคมี (Dips) ซึ่งอยู่ในรูปของสารละลายที่มีความ เข้มข้นสูงในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ควรเกิน 1 นาที วิธีนี้ต้องระวังอย่าให้ปลาเกิดอันตรายขึ้นเนื่องจาก ความเข้มข้นของยา หรือสารเคมีสูงเกินไปหรือจุ่มปลานานเกินไป 2. การแช่ปลาในระยะสั้น (Baths) วิธีนี้ใช้กับบ่อปลาที่มีขนาดเล็กซึ่งสามารถถ่ายเทน้ า ได้สะดวกโดยแช่ปลาป่วยลงในสารละลายยาหรือสารเคมีไม่นานเกิน 1 ชั่วโมง 3. การแช่ปลาในระยะยาว (Prolonged immersion) วิธีนี้สามารถท าโดยไม่ต้องเปลี่ยน น้ า เหมาะส าหรับบ่อปลาขนาดใหญ่ที่ถ่ายเทน้ าได้ยาก เสียเวลานานและสิ้นเปลือง ปลาป่วยถูกแช่อยู่ใน สารละลายยาหรือสารเคมีเจือจางตลอดไป โดยไม่มีการถ่ายเทน้ าทิ้ง 4. การผสมยาในอาหาร (Medicated feed treatment) วิธีการผสมยาลงในอาหารปลาที่ นิยมมี 2 วิธี


267 1.1 ผสมยาในอาหารก่อนอัดเม็ด หรือก่อนปั้นเป็นก้อน 1.2 ฉาบอาหารด้วยน้ ามันผสมยา น้ ามันที่ใช้ได้แก่ น้ ามันปลาสร้อย น้ ามันปลาสลิด เป็นต้น กลิ่นน้ ามันปลาที่เคลือบอาหาร จะช่วยกระตุ้นให้ปลารู้สึกอยากกินอาหาร 5. การฉีดยา (Injection) วิธีนี้ใช้กับปลาที่มีจ านวนน้อย มีขนาดใหญ่ ราคาสูง เช่น พ่อ พันธุ์ แม่พันธุ์ ต าแหน่งที่ฉีดยาคือ กล้ามเนื้อ ช่องท้อง และใต้ผิวหนัง การฉีดยาเข้าช่องท้อง อันตรายมากถ้าผู้ฉีดยาไม่มีความช านาญแต่ให้ผลในการรักษาที่เร็ว และยาคงอยู่ในตัวปลาได้นาน การ ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อกระท าได้ง่ายและสะดวก แต่ให้ผลการรักษาช้ากว่าการฉีดยาเข้าช่องท้อง ส่วน การฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังให้ผลการรักษาที่ดีพอควร การค านวณปริมาตรน้ า เมื่อตัดสินใจจะใช้ยาหรือสารเคมีในการป้องกันหรือรักษาโรค สิ่งที่ต้องค านึงถึงเป็นอันดับแรก คือ ปริมาตรน้ าในบ่อ ซึ่งต้องค านวณให้ถูกต้อง เพื่อให้การใช้ยาหรือสารเคมีมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งมี วิธีการคิดค านวณดังนี้ (สถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ าจืด , 2551) สูตรการค านวณปริมาตรน้ าในบ่อที่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ปริมาตรของน้ า = ความยาวของบ่อ x ความกว้างของบ่อ x ระดับความลึกของน้ า ตัวอย่าง บ่อมีความกว้าง 5 เมตร ยาว 10 เมตร น้ าลึก 1 เมตร ปริมาตรน้ า = 5 x 10 x 1 ลูกบาศก์เมตร = 50 ลูกบาศก์เมตร หมายเหตุ การวัดขนาดของบ่อเป็นเมตรจะท าให้การค านวณปริมาตรของน้ าในบ่อ และปริมาณของ ยาหรือสารเคมีที่จะใช้ง่ายขึ้น การค านวณปริมาณยาหรือสารเคมี ตัวอย่าง ถ้าต้องการฟอร์มาลินในอัตราส่วน 25 ส่วนในล้านส่วน หรือ 25 มิลลิลิตรต่อน้ า 1 ลูกบาศก์เมตร ในบ่อที่มีปริมาตรน้ า 50 ลูกบาศก์เมตร สูตร ปริมาตรยา = ปริมาตรน้ า (ลูกบาศก์เมตร) x ความเข้มข้นยา (ppm.) ดังนั้นถ้าต้องการใช้ฟอร์มาลินอัตราส่วน 25 ppm. ต้องใช้ฟอร์มาลิน = 50 x 25 มิลลิลิตร = 1,250 มิลลิลิตร


268 การค านวณปริมาณยาผสมยาลงในอาหาร สูตร (0.01) D % D = ขนาดยาที่ใช้ R R = % อาหาร/น้ าหนัก ตัวอย่าง ต้องการให้ยาออกซี่เตตราไซคลิน ขนาด 25 กรัมต่อน้ าหนักปลา 1 กิโลกรัมต่อวัน และให้อาหารปลาในอัตรา 1 % ของน้ าหนักตัว ต้องผสมยาขนาดเท่าใด แทนค่า (0.01) 25 = 0.25 % 1 คือผสมยาออกซี่เตตราไซคลิน 0.25 กรัมในอาหารปริมาณ 100 กรัม การใช้สารเคมีแต่ละชนิดจะต้องรู้ความเข้มข้นของตัวยา (Active ingredient) เพื่อการ ค านวณสารเคมีนั้นๆไม่ผิดพลาด โดยทั่วไปแล้วสารเคมีที่ใช้มีความเข้มข้น 100 เปอร์เซ็นต์ เช่น ฟอร์มาลินที่มีฟอร์มาลดีไฮด์ 37- 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นของเหลวใส เวลาค านวณเราคิดน้ ายา ฟอร์มาลินมีตัวยาหรือมีความเข้มข้น 100 เปอร์เซ็นต์ มาลาไครท์กรีนที่ใช้ก็มีตัวยา 100 เปอร์เซ็นต์ แต่สารเคมีบางชนิดที่นิยมใช้กัน ได้แก่ ดิพเทอร์เร็กซ์ (ไดลอกซ์ หรือมาโซเท็น) เป็นยาฆ่าแมลงที่ น ามาใช้ก าจัดพวกพยาธิปลิงใส หนอนสมอ และเห็บปลา โดยทั่วไปแล้วที่มีขายกันในท้องตลาดจะมี ความเข้มข้น 95 เปอร์เซ็นต์ คือมีตัวยาเพียง 95 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นในการค านวณจะต้องคิดตาม เปอร์เซ็นต์ตัวยา ตัวอย่าง ต้องการใช้ดิพเทอร์เร็กซ์ใส่ลงไปในตู้ปลาที่มีน้ า 200 ลิตร เพื่อก าจัดปลิงใส โดย ใส่ดิพเทอร์เร็กซ์เข้มข้น 0.25 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) วิธีค านวณ เนื่องจากดิพเทอร์เร็กซ์มีตัวยา 95 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นต้องใช้ดิพเทอร์เร็กซ์ = 200 x 0.25 x 100 95 ต้องใช้ดิพเทอร์เร็กซ์ = 52.63 มิลลิกรัม การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาปลาที่เป็นโรคเนื่องจากแบคทีเรีย อาจจะใช้วิธีแช่ปลาในน้ าที่มี ยา หรือการใส่ยาลงไปในอาหารให้ปลากินติดต่อกันตามระยะเวลาที่ก าหนดไว้ในตู้ขนาดเล็ก เช่น ผู้ เลี้ยงปลาสวยงาม หรือบ่อขนาดเล็กเช่น บ่อคอนกรีตกลมที่เลี้ยงปลาดุก การรักษาปลาที่เป็นโรค นิยมใช้วิธีใส่ยาลงไปในน้ าซึ่งวิธีค านวณยาก็เช่นเดียวกันกับการค านวณสารเคมีอื่นๆทั่วไป การรักษาโรคปลาในบ่อที่มีขนาดใหญ่ วิธีที่เหมาะสมคือการใส่ยาลงไปในอาหารให้ปลากิน ถ้าปลาป่วยยังคงกินอาหารปริมาณของยาที่ใส่ลงไปจะคิดเทียบกับน้ าหนักของปลา เช่น ปริมาณยา คลอแรมเฟนิคอลที่จะใส่ลงไปจะคิดเทียบกับน้ าหนักของปลา เช่น ปริมาณยาคลอแรมเฟนิคอลที่จะ


269 ใส่ลงไปในอาหาร 55 มิลลิกรัม ต่อน้ าหนักปลา 1 กิโลกรัมติดต่อกันนาน 10 วัน หมายถึงปลา หนัก 1 กิโลกรัมควรจะได้รับยา 55 มิลลิกรัมต่อวันติดต่อกันนาน 10 วัน แต่ในการค านวณเพื่อ หาปริมาณของยาที่จะใส่ลงไปในอาหารนั้น วิธีที่ง่ายและนิยมปฏิบัติกันคือ เปรียบเทียบจากปริมาณ อาหารที่ให้ปลา หรือที่ปลากินในแต่ละวัน เช่นปลากินอาหาร 3 เปอร์เซ็นต์ของน้ าหนักตัว (ในกรณี เป็นอาหารแห้ง) หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ าหนักตัว (ถ้าเป็นอาหารเปียก) สมมุติว่าปลากินอาหาร 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ าหนักตัว ดังนั้นการค านวณจะเป็นดังนี้ ปลาหนัก 100 กรัม ต้องกินอาหาร 10 เปอร์เซ็นต์ = 10 กรัม ปลา 1 กิโลกรัม = 1,000 กรัม ต้องกินอาหาร = 10 x 1,000 100 = 100 กรัม ดังนั้นต้องใช้คลอแรมเฟนิคอล 55 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม ในการรักษาโรคปลาที่เกิดจากแบคทีเรียโดยการฉีดนั้น ค านวณได้โดยตรงกับน้ าหนักตัว ปลา เช่น ใช้ยาเตตร้าไซคลินในอัตรา 30 มิลลิกรัมต่อน้ าหนักปลา 1 กิโลกรัม ฉีดเข้าทางช่องท้อง การใส่ยาในบ่อปลา 1. พยายามวัดความกว้าง ความยาว และความลึกของน้ าให้แน่นอน แล้วจึงใช้สูตรการ ค านวณตามชนิดและความเข้มข้นของยาที่ต้องการใช้ ก็จะได้ปริมาณยาที่เราจะใส่ลงบ่อ 2. ก่อนจะใส่ยาลงบ่อ จะต้องน ายานั้นมาละลายน้ าให้มากพอที่จะสาดให้ทั่วบ่อ 3. ถ้าน้ าในบ่อมากก็ควรจะสูบน้ าออกเสียบ้างเพื่อประหยัดค่ายา 4. เมื่อใส่ยาแล้วควรจะทิ้งไว้อย่างน้อย 12 ชั่วโมงจึงจะปล่อยน้ าเข้า อาการผิดปกติของปลาเมื่อแพ้สารเคมีที่ใช้รักษาโรค 1. ปลาจะแสดงอาการผิดปกติหลังจากใช้สารเคมีแล้วประมาณ 10 นาที ระยะเวลานี้ จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับฤทธิ์และปริมาณที่เป็นพิษของสารเคมีนั้น 2. อาการที่เห็นชัด คือ อาการทางระบบประสาทเริ่มแรกปลาจะตื่นตกใจอย่างรุนแรง เป็นจ านวนมาก จากนั้นจะแสดงอาการชักโดยว่ายน้ าเวียนวนไม่มีทิศทาง 3. ปลาที่แพ้ไม่มากนักจะลอยตัวที่ผิวน้ าและหายใจเร็ว การเคลื่อนไหวต่างๆเป็นไปอย่าง เชื่องช้า 4. ปลาที่ตายจะมีอาการผิดปกติหลายอย่าง เช่น เลือดออกใต้เกล็ด หรือทวารหนักหรือ ใต้ลูกนัยน์ตา ปากทวารหนักเปิดกว้างกว่าปกติ ลูกนัยน์ตาโปนออกนอกเบ้าตามากกว่าปกติ


270 วิธีแก้ไขปลาเมื่อแพ้พิษสารเคมี 1. สูบน้ าจากแหล่งน้ าที่เหมาะสมลงในบ่อ 2. หาทางเพิ่มออกซิเจนในน้ า เช่น สูบน้ าพ่นในอากาศเป็นน้ าพุแล้วตกลงในบ่อปลา หรือ เป่าอากาศลงในน้ า 3. ใช้สารเคมีบางอย่างที่ท าลายฤทธิ์กันแก้ไข เช่น น้ าประปามีสารเคมีคลอรีนปนอยู่ซึ่ง เป็ น พิ ษ ต่ อ ป ล า แ ต่ ส าม า ร ถ ก า จั ด ค ล อ รีน ให้ ห า ย ได้ โด ยใช้ โซ เดี่ ย ม ไท โอ ซั ล เฟ ท (Sodiumthiosulphate , Na2S2O3 ) หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า ไฮโป (น้ ายาล้างรูป) 4. เมื่อปลามีอาการดีขึ้น ให้สูบน้ าในบ่อออกแล้วรีบเติมน้ าใหม่ลงไป หรือสูบน้ าออก จากบ่อทางหนึ่ง และเติมน้ าเข้าบ่ออีกด้านหนึ่ง สรุป โรค ปรสิตและศัตรูปลา เป็นสิ่งที่คอยรบกวนสุขภาพของปลาที่เลี้ยงที่ท าให้ผู้เลี้ยงปลา ประสบปัญหาขาดทุน ผู้เลี้ยงปลาจึงต้องใช้หลักการป้องกันไว้ก่อนที่จะเกิดโรคระบาด เพราะปลาอยู่ ในน้ าจ านวนมากเมื่อเป็นโรคแล้วจะรักษาได้ยาก เนื่องจากน้ าที่ปลาอยู่อาศัยจะเป็นตัวกลางในการ น าโรคและปรสิตติดต่อกันอย่างรวดเร็ว การป้องกันไม่ให้ปลาที่เลี้ยงเกิดโรคและปรสิตท าได้โดย การ ดูแลสุขภาพปลาให้แข็งแรงไม่อ่อนแอ การลดเชื้อโรคและปรสิตในแหล่งน้ าโดยการรักษา สภาพแวดล้อมที่ไม่ท าให้ปลาเกิดความเครียด ค าถามท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 12 จงตอบค าถามต่อไปนี้ 1. จงอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดโรคในปลา ? 2. จงอธิบายถึงลักษณะอาการของปลาที่เป็นโรค ? 3. จงอธิบายถึงวิธีการป้องกันและควบคุมโรคปลา ? 4. จงบอกถึงวิธีการรักษาโรคปลา ? 5. จงค านวณหาปริมาณของน้ ายาฟอร์มาลินที่ต้องใส่ลงในบ่อปลาบิ๊กอุย ขนาดครึ่งไร่ เพื่อ รักษาโรคที่เกิดจากปรสิตบริเวณล าตัวปลา โดยให้ใช้ความเข้มข้นของฟอร์มาลิน เท่ากับ 25 ส่วนใน ล้านส่วน (ppm.) โดยก่อนใช้น้ ายาให้ลดระดับน้ าในบ่อลงเหลือ 80 เซนติเมตร ?


271 กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ใบงานที่ 13 ชื่อใบงาน การดูลักษณะอาการของปลาน้ าจืดที่เป็นโรค จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถดูลักษณะอาการของปลาที่เป็นโรคได้ 2. นักเรียนสามารถบอกความแตกต่างของปลาที่เป็นโรคแต่ละโรคได้ เครื่องมือ / อุปกรณ์ 1. ถาดพลาสติก 2. คีมคีบ 3. ตู้กระจก 4. เลนส์ขยาย 5. ตัวอย่างของปลาที่เป็นโรค 6. มีดผ่าตัด 7. ถุงมือยาง 8. เข็มหมุด ล าดับขั้นการปฏิบัติงาน 1. น าตัวอย่างของปลาที่เป็นโรคใส่ในถาดและในตู้กระจก 2. ให้นักเรียนศึกษาลักษณะอาการของปลาที่เป็นโรคแต่ละชนิด 3. บันทึกลักษณะอาการของปลาที่ได้พบเห็นโดยละเอียด การวัดผลประเมินผล 1. ประเมินผลจากการปฏิบัติงานของนักเรียน 2. ประเมินผลจากรายงานผลการปฏิบัติงาน


แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 12 วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง การป้องกันก าจัดโรค ปรสิต และศัตรูปลา ค าแนะน า ให้นักเรียนอ่านค าถามแล้วกากะบาด (X) ทับข้อค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค าตอบเดียว ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. โรคอิ๊ค (Ich) เกิดจากเชื้อชนิดใด ? ก. โปรโตซัว ข. แบคทีเรีย ค. รา ง. ไวรัส 2. โรคครีบเปื่อยและหางเปื่อย เกิดจากเชื้อชนิดใด ? ก. โปรโตซัว ข. แบคทีเรีย ค. รา ง. ไวรัส 3. ข้อใดไม่ใช่ปรสิตภายนอกร่างกายของปลา ? ก. เห็บปลา ข. หนอนสมอ ค. ปลิงใส ง. พยาธิเส้นด้าย 4. จะใช้สารในข้อใดเพื่อท าการปรับสภาพน้ าในบ่อปลาหลังจากฝนตกหนักๆ ? ก. เกลือแกง ข. ด่างทับทิม ค. ปูนขาว ง. มาลาไครท์กรีน 5. เมื่อดึงหนอนสมอออกจากตัวปลาแล้วควรใช้ยาชนิดใดแต้มที่แผลของปลา ? ก. ยาเหลืองหรือยาแดง ข. ด่างทับทิม ค. เมทธิลีนบลู


273 ง. มาลาไครท์กรีน 6. การรักษาโรคปลาแบบใดที่ต้องใช้สารเคมีที่มีความเข้มข้นสูง ? ก. การจุ่มปลาป่วยลงในน้ ายาหรือสารเคมี ข. การแช่ปลาในระยะสั้น ค. การแช่ปลาในระยะยาว ง. ไม่มีข้อใดถูก 7. Saprolegnia sp. เป็นเชื้อชนิดใด ? ก. แบคทีเรีย ข. ไวรัส ค. รา ง. ปรสิต 8. Aeromonas hydrophila เป็นเชื้อชนิดใด ? ก. แบคทีเรีย ข. ไวรัส ค. รา ง. ปรสิต 9. การรักษาโรคปลาโดยวิธีการฉีดยาเหมาะสมกับกรณีใด ? ก. ปลาที่มีจ านวนน้อย ข. ปลาที่มีขนาดใหญ่ ค. ปลาที่มีราคาสูง ง. ถูกทุกข้อ 10. น้ ายาโซเดี่ยม ไทโอซัลเฟท (Sodiumthiosulphate , Na2S2O3 ) ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในข้อใด ? ก. ใช้แช่ปลาที่มีปรสิตเกาะ ข. ใช้ปรับสภาพ pH ของน้ า ค. ใช้ก าจัดพิษของคลอรีนในน้ าประปา ง. ใช้ท าให้น้ าตกตะกอน


แผนการจัดการเรียนรู้ประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 13 เรื่อง การจับปลาและการตลาด 1. สาระส าคัญ : เทคนิคการจับปลาเพื่อการขนส่งล าเลียงในแต่ละช่วงวัยนั้นจะมีผลต่ออัตราการตาย หรือ อัตราการรอดตายของปลา และการรู้ถึงกลไกทางการตลาดของปลา จะช่วยให้เข้าใจช่องทางการ จ าหน่ายผลผลิตจากการเลี้ยงปลา การมีความรู้เรื่องการจับปลาและการตลาด จะท าให้ผู้เรียนสามารถ ด าเนินการด้านการจับปลา การขนส่ง และการตลาดได้อย่างถูกต้อง 2. สมรรถนะประจ าหน่วยการเรียนรู้: 1. มีความรู้เกี่ยวกับการจับปลาและการตลาด 2. สามารถท าการจับปลาเพื่อการขนส่งล าเลียงตามหลักการ 3. มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพการเลี้ยงปลาน้ าจืด 4. มีกิจนิสัยในการท างานอย่างเป็นระบบด้วยความรับผิดชอบ ขยัน อดทน 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง : 1. สามารถอธิบายวิธีการจับปลาได้อย่างถูกต้อง 2. สามารถอธิบายวิธีการแก้ปัญหากลิ่นสาบของปลาได้อย่างถูกต้อง 3. สามารถฝึกปฏิบัติการขนส่งล าเลียงปลาได้อย่างถูกต้อง 4. สามารถอธิบายสภาพการตลาดปลาน้ าจืดได้อย่างถูกต้อง 5. เกิดเจตคติที่ดีต่อการเลี้ยงปลา 4. ความรู้ที่ต้องได้รับ : 1. การจับปลา 2. การแก้ปัญหากลิ่นสาบของปลา 3. การขนส่งปลา 4. การตลาดปลาน้ าจืด 5. ทักษะทางปัญญาที่ต้องการพัฒนา : ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีทักษะทางการวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า


274 6. คุณธรรมจริยธรรมที่ต้องการ : 1. มีใจรักและศรัทธาในวิชาชีพ 2. มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร 3. มีความซื่อสัตย์ 4. มีความสนใจใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 7. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องการ : 1. มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลา 2. มีมนุษย์สัมพันธ์ 3. การรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถท างานร่วมกับผู้อื่น 5. การบริการสังคมและชุมชน 6. ความปลอดภัย 8. กิจกรรมการเรียนการสอน : 1. ศึกษาเนื้อหาในหัวเรื่องที่ 1-4 2. การท าแบบทดสอบก่อนการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 13 3. การบรรยายประกอบการยกตัวอย่าง 4. การอภิปรายหลังการท ากิจกรรม เกม หรือสถานการณ์จ าลอง 5. การท างานกลุ่มและน าเสนอรายงานจากการค้นคว้า 6. การฝึกปฏิบัติในการจับและล าเลียงขนส่งปลา 7. การท าแบบทดสอบหลังการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 13 8. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 13 9. การจัดท าบันทึกการเรียนรู้ 10. การเก็บรวบรวมผลงานการเรียนรู้เพื่อจัดท าแฟ้มสะสมผลงาน 9. จ านวนชั่วโมงที่สอน : จ านวน 6 ชั่วโมง


275 10. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ : 1. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 13 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 13 3. แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 13 4. เอกสารใบงานเรื่อง ชื่อใบงาน การเตรียมปลาน้ าจืดเพื่อการล าเลียงขนส่ง 5. แบบบันทึกการเรียนรู้ 11. วิธีการประเมินผล : 1. การวัดความสามารถด้านพุทธิพิสัย : โดยการท าแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน แบบทดสอบ ก่อน-หลังเรียน การร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น และการน าเสนองาน 2. การวัดความสามารถด้านทักษะพิสัย : โดยการสังเกตพฤติกรรมในการท างานร่วมกัน การ วางแผนในการท างานร่วมกัน และความสามารถในการท างานส าเร็จอย่างมีคุณภาพตามเวลาที่ มอบหมาย 3. การวัดความสามารถด้านจิตพิสัย : โดยการสังเกตจากพฤติกรรมในขณะด าเนินกิจกรรม การเรียนการสอนว่า ให้ความสนใจในการเรียนรู้ การมีวินัย การตรงต่อเวลา การมีส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน


หน่วยการเรียนรู้ที่ 13 การจับปลาและการตลาด การจับปลา ปลาที่เลี้ยงไว้เมื่อมีขนาดตามที่ตลาดต้องการแล้วก็ต้องจับขาย เพื่อประหยัดต้นทุนการผลิต ถ้าหากปล่อยไว้ต้นทุนการผลิตก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น การจับปลามีหลายวิธีควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับ ประเภทการเลี้ยงปลา และชนิดของปลาตัวอย่าง เช่น ปลาที่เลี้ยงในกระชัง จับขายโดยใช้สวิงตัก ขึ้นมา เช่น ปลาบู่ ก่อนจับขึ้นมาผู้เลี้ยงปลาจะลงไปในกระชังให้ปลาคุ้นเคยก่อนเพราะถ้าปลาไม่ คุ้นเคยจะตกใจช็อคตายได้ง่าย แล้วใช้สวิงซึ่งถักเป็นรูปตาข่ายถุงค่อยๆตักขึ้นมาที่ละน้อยๆตัว จน ปลาในกระชังเหลือน้อยจึงใช้อวนไนล่อนหรือเฝือกขนาดเท่ากับความกว้างของกระชัง ไล่ต้อนปลาที่ เหลือให้ไปอยู่อีกมุมหนึ่งของกระชังแล้วใช้สวิงตักขึ้นจนหมด ส าหรับปลาชะโดที่มีนิสัยดุร้ายและ แข็งแรงผู้เลี้ยงจะใช้ไฟฟ้าช๊อตให้ปลาอ่อนแรงก่อนจึงใช้สวิงตักขึ้นมาการจับโดยวิธีใช้อวนล้อมจับ เลือกเอาปลาที่ได้ขนาดขึ้นขายตัวที่เล็กก็เลี้ยงต่อไป วิธีนี้ใช้กับปลาที่ขยายพันธุ์ได้เองในบ่อ เช่น ปลานิล ปลาหมอเทศ ซึ่งมีอยู่หลายขนาดในบ่อ เพื่อป้องกันปลาแน่นเกินไปจะไม่โตการจับโดยวิธี สูบน้ าออกจากบ่อจนแห้ง เพื่อจับปลาทั้งหมดแล้วเตรียมบ่อเลี้ยงปลารุ่นใหม่ เมื่อน้ าแห้งปลาจะมา รวมอยู่ในบริเวณที่ลึกที่สุดของบ่อจึงใช้สวิงตักปลาขึ้น เช่น บ่อเลี้ยงปลาสลิด ปลาช่อน และปลา สวาย จะใช้วิธีสูบน้ าออกจากบ่อจนมีระดับน้ าต่ าเพียงพอต่อการใช้อวนล้อมจับปลาได้สะดวก จึงใช้ อวนล้อมจับปลาให้มีจ านวนน้อยลงแล้วจึงสูบน้ าให้แห้งและจับปลาบางส่วนที่เหลือให้หมดการเลี้ยง ปลาในบ่อคอนกรีต สามารถจับปลาได้ง่ายโดยการระบายน้ าออกจนแห้งแล้วใช้สวิงตัก การจับปลา ขนาดเล็กในบ่ออนุบาล เมื่อน าไปเลี้ยงต้องระมัดระวังมาก ป้องกันลูกปลาบอบช้ าและลดอัตราการ ตาย ส่วนใหญ่ใช้อวนล้อมจับในขณะที่อากาศไม่ร้อน ในตอนเช้าหรือตอนเย็น (สันต์, 2548) ภาพที่ 48 แสดงการจับปลาด้วยอวนลาก ภาพถ่าย โดย นายบรรชร กล้าหาญ , 2551


277 การแก้ปัญหากลิ่นสาบของปลา ปลาที่ได้จากการเลี้ยงมักมีกลิ่นสาบ (Off flavor) และมีสีสันคล้ าหรือเข้มกว่าปลาที่จับได้ จากธรรมชาติ เนื่องจากปลาที่ได้มาจากการเลี้ยงอาศัยอยู่ในน้ า ซึ่งมีสภาพค่อนข้างเน่าเสีย กลิ่น เหม็น และสีค่อนข้างคล้ าท าให้ผู้บริโภคไม่ค่อยชอบ ซึ่งมีวิธีการป้องกันกลิ่นสาบของปลาที่เลี้ยงโดย น าปลามากักขังในน้ าสะอาด หรือถ่ายเทน้ าที่ใช้เลี้ยงปลาติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนจับปลา ขายก่อนจับปลาขายต้องงดใส่ปุ๋ยมูลสัตว์ในบ่อปลาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ถ้าเป็นไปได้ควรน าปลาไป เลี้ยงในบ่อที่ไม่มีโคลน และงดการใส่ปุ๋ยมูลสัตว์ ควรงดเลี้ยงปลาด้วยอาหารสดและเหม็นคาวเป็น ระยะเวลาหนึ่งก่อนจับปลาขาย โดยเลี้ยงปลาด้วยอาหารส าเร็จรูปหรืออาหารสมทบชนิดอื่นแทน จ าหน่ายสู่ผู้บริโภคในรูปของผลิตภัณฑ์(อุธร , 2550) การขนส่งปลา การขนส่งปลาเป็นสิ่งที่ต้องกระท าอยู่เสมอ เช่น การขนส่งปลาจากฟาร์มสู่ตลาดจ าเป็นต้อง รักษาชีวิตปลาให้อยู่นานที่สุดและมีความสดมากที่สุด จึงจะเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและราคาสูง กว่าปลาตาย ถ้าเป็นลูกปลาที่ขนส่งเพื่อน าไปเลี้ยง ถ้ามีการบอบช้ ามากอัตราการตายจะสูงและจะมี การติดเชื้อโรคต่างๆได้ง่าย การขนส่งปลามีหลายวิธีขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และชนิดของปลา ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการขนส่งปลามีชีวิต 1. ชนิดของปลา ปลาแต่ละชนิดมีความอดทนต่อการขาดแคลนออกซิเจนได้นานต่างกัน ปลาที่มีความอดทน ต่อสภาพการขาดแคลนออกซิเจนได้ดีจะท าให้การขนส่งมีประสิทธิภาพดีขึ้น เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอไทย 2. อายุและขนาดของปลา ปลาขนาดเล็กใช้ออกซิเจนเพื่อการหายใจปริมาณสูงกว่าปลาขนาดใหญ่ เมื่อเปรียบเทียบกับ น้ าหนักตัวของปลา แต่ในการบรรจุปลาเพื่อการขนส่งก็ยังต้องใส่ออกซิเจนให้ปลาขนาดใหญ่มากกว่า เพราะว่าปลาขนาดใหญ่มีน้ าหนักมากกว่าปลาขนาดเล็ก ดังนั้นปริมาณออกซิเจนที่ต้องการใช้เพื่อการ หายใจจึงมีจ านวนสูงกว่า 3. ช่วงเวลาของการขนส่ง ควรขนส่งในช่วงอุณหภูมิของอากาศต่ า เช่น ตอนเช้า ตอนเย็น หรือกลางคืน ถ้าอุณหภูมิ สูงปลาจะมีการหายใจ การขับถ่ายเพิ่มขึ้น ท าให้ปริมาณของเสียในน้ าเพิ่มขึ้น เช่น แอมโมเนีย คาร์บอนไดออกไซด์ฯลฯ


278 4. อุณหภูมิของน้ า ถ้าอุณหภูมิต่ าปลาจะใช้พลังงานในการด ารงชีวิตน้อยลง อัตราการเผาผลาญในร่างกายลดต่ าลง ท า ให้การใช้ออกซิเจนสามารถละลายในน้ าได้มากขึ้นเมื่ออุณหภูมิของน้ าต่ าลง 5. ช่วงเวลามีไข่ของปลา ปลาที่มีไข่แก่มีความอดทนต่อการขนส่งได้น้อยกว่าปลาที่มีไข่อ่อนหรือปลาที่ยังไม่มีไข่ 6. ระยะเวลาในการขนส่ง ควรใช้เวลาให้น้อยที่สุดปลาจะมีอัตรารอดสูง 7. ภาชนะใส่ปลา ภาชนะที่ใส่ต้องสะอาด ภายในไม่มีเหลี่ยมหรือมุมที่แคบถ้าเป็นถุงพลาสติกใบที่ซ้อนอยู่ข้างใน ต้องมัดด้วยยางวง ไม่ให้เกิดเป็นมุมแคบป้องกันอันตรายที่ปลาไปอัดกันอยู่อย่างหนาแน่นที่มุม สาเหตุที่ท าให้ปลาตายเนื่องจากการขนส่ง 1. ปลาอยู่ในสภาพที่ขาดแคลนออกซิเจน หรือ ไม่มีออกซิเจนที่จะใช้หายใจ 2. น้ าที่ใช้ในการขนส่งปลา มีสิ่งที่เป็นพิษต่อปลาเจือปนอยู่ 3. ปลามีการเคลื่อนไหวมากกว่าปกติ เช่น ตื่นตกใจ อยู่หนาแน่นเกินไป 4. ปลามีสุขภาพไม่แข็งแรงหรือได้รับความชอกช้ ามาก 5. ปลาอดอาหารเป็นเวลานานเกินไป 6. ปลาเกิดโรคในระหว่างการขนส่ง การเตรียมขนส่งปลามีชีวิต การจับปลาเพื่อเตรียมขนส่ง ต้องระวังไม่ให้ปลาบอบช้ าเกิดบาดแผล จากเครื่องมือจับหรือ จากภาชนะขนย้ายขังปลาไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก่อนการขนส่งโดยให้น้ าสะอาดไหลผ่านเพื่อให้ตัว ปลาสะอาด และให้ปลาขับถ่ายของเสียออกไปก่อนที่จะท าการขนส่งควรงดให้อาหารปลาก่อนการ ขนส่งประมาณ 1-2 วัน เพื่อไม่ให้ปลาขับถ่ายขณะขนส่งจะท าให้น้ าเน่าเสีย และปลาที่มีอาหารอยู่ ในกระเพาะหรือทางเดินอาหารจะใช้ออกซิเจนมากกว่าปลาที่หิวหรืออดอาหาร ไม่ควรขนส่งปลาที่ อ่อนแอบอบช้ ามีบาดแผลหรือเป็นโรค การขนย้ายภาชนะบรรจุปลาให้ท าด้วยความระมัดระวังกันปลา บาดเจ็บหรือบอบช้ า และยังกันความเสียหายของอุปกรณ์อีกด้วย (โชคชัย , 2548)


279 ภาพที่ 49 แสดงการขนส่งล าเลียงปลาโดยรถยนต์ ภาพถ่าย โดย นายบรรชร กล้าหาญ , 2551 วิธีลดอุณหภูมิในระหว่างการขนส่ง 1. รองพื้นที่วางถุงพลาสติกด้วยวัสดุที่ให้ความเย็น เช่น กาบกล้วย ขี้เลื่อยผสมน้ าแข็ง กระสอบป่านชุบน้ า 2. ใช้กระสอบป่านชุบน้ าคลุมบนภาชนะ หรือถุงพลาสติกที่บรรจุปลา 3. บรรจุถุงพลาสติกใส่ปลาลงในลังไม้ ซึ่งกรุภายในด้วยโฟมโดยรอบและใส่น้ าแข็งบด 4. ใช้น้ าแข็งบรรจุถุงพลาสติกขนาดเล็กผูกรัดปากถุงให้แน่นใส่ในถุงพลาสติก บรรจุปลา ก่อนการอัดออกซิเจน 5. ขนส่งปลาด้วยยานพาหนะปรับอากาศ การใช้ยาหรือสารเคมีในการขนส่ง การขนย้ายปลาอาจท าให้เกิดการระบาดของโรคปลาและปรสิตได้ เพราะว่าเชื้อโรคและ ปรสิตสามารถติดไปกับตัวปลา ภาชนะใส่ปลาอุปกรณ์ที่ใช้หรือน้ าจึงควรมีการป้องกันก าจัดโรค และ ปรสิตของปลาในการขนส่งซึ่งมียาและสารเคมีหลายชนิดที่นิยมใช้ เช่น (โชคชัย , 2548) ยาเหลือง ความเข้มข้นประมาณ 3 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) แช่ปลาตลอดไป เกลือแกง ความเข้มข้นประมาณ 0.5-1 % แช่ปลาตลอดไป ฟอร์มาลีน ความเข้มข้นประมาณ 20-40 ส่วนในล้านส่วน แช่ปลานานประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก่อนการขนส่ง มาลาไครท์กรีน ความเข้มข้นประมาณ 1-5 ส่วนในล้านส่วน แช่ปลานานประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนการขนส่ง


280 การใช้ยาสลบในการขนส่งปลา ในการขนส่งพ่อแม่พันธุ์ปลาที่มีขนาดใหญ่มีก าลังแข็งแรง ถ้าปลาเคลื่อนไหวมากและตกใจท า ให้ปลาบอบช้ า บาดเจ็บและยังไม่สะดวกในการปฏิบัติงาน เช่น ดิ้นหลุดขณะจับ ภาชนะบรรจุ เสียหายจากแรงชน ถ้าปลาที่อยู่ในอาการสลบสามารถจับกุมได้ง่าย ขนย้ายสะดวกเพราะว่าปลาไม่มี ปฏิกริยาโต้ตอบต่อสิ่งเร้าภายนอก ว่ายน้ าช้าลงไม่ดิ้นรน ข้อดีของการใช้ยาสลบ 1. ลดปริมาณการใช้ออกซิเจนของปลา 2. ลดการขับถ่ายของเสียของปลา 3. ควบคุมความตื่นตกใจของปลาซึ่งท าให้ปลามีบาดแผลบอบช้ าได้ 4. ปฏิบัติงานได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น 5. ขนส่งได้เป็นระยะทางไกลมากขึ้น และใช้เวลาได้นานมากขึ้น ยาสลบมีอยู่หลายชนิด ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะตัวการที่จะเลือกใช้ยาสลบชนิดใดมีข้อพิจารณา ความเหมาะสมขั้นพื้นฐาน ดังนี้(โชคชัย , 2548) 1. ละลายน้ าได้ดี 2. ความเข้มข้นที่เหมาะสมในการใช้ มีค่าต่ า จะประหยัด 3. ช่วงเวลาที่ท าให้ปลาสลบ และการท าให้ฟื้นใช้ระยะเวลาสั้น 4. ปลาสามารถอยู่ในสารละลายของยาสลบที่มีความเข้มข้นต่ าๆ ได้เป็นเวลานานด้วยความ ปลอดภัย 5. ไม่มีผลตกค้างที่ก่อให้เกิดผลเสียตามมา 6. ระดับความเข้มข้นของยาสลบที่ท าให้ปลาตาย ควรสูงกว่าระดับความเข้มข้นที่ท าให้ปลา สลบมาก เพื่อป้องกันความผิดพลาดกรณีที่ใช้ความเข้มข้นสูง ตัวอย่างของยาสลบที่ใช้ในการขนส่งปลา ได้แก่ MS-222 , Quinaldine , Tertiary Amyl Alcohol , Phenobarbital Sodium เป็นต้น การตลาดปลาน้ าจืด ผลผลิตปลาน้ าจืดของประเทศไทยในแต่ละปีมีไม่มากพอที่จะส่งเป็นสินค้าออก ปลาน้ าจืดของ ไทยมีน้อยชนิดที่ตลาดต่างประเทศต้องการ แต่ก็มีปลาน้ าจืดบางชนิดที่สามารถส่งไปจ าหน่ายตลาด ต่างประเทศได้ เช่น ปลาบู่ทราย ปลาช่อน และปลาดุก ฉะนั้นผลผลิตปลาน้ าจืดส่วนใหญ่จึงใช้ บริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากทะเล ตลาดปลาน้ าจืดภายในประเทศ ปลาน้ าจืดที่ขายอยู่ตามตลาดขายปลีกหรือตลาดสดมีอยู่ 2 ประเภท คือ ปลาที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือปลาเป็น และปลาที่ตายแล้ว ปลาเป็นที่น ามาขายในตลาด ได้แก่ ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ


281 ไทยและปลาไหล ปลาเหล่านี้มีความอดทนต่อสภาวะที่มีออกซิเจนน้อย หรือขาดออกซิเจนได้นาน จึง สามารถน ามาจ าหน่ายในลักษณะปลาเป็นได้ และผู้ซื้อมักนิยมบริโภคปลาเป็นเพราะว่าเมื่อน ามาปรุง อาหารจะได้รสชาติที่อร่อยกว่าปลาตาย ส่วนปลาตายที่น ามาจ าหน่ายได้ในตลาด ได้แก่ ปลาเนื้ออ่อน ปลากราย ปลาตะเพียนขาว และปลานิล เป็นต้น ตลาดปลาน้ าจืดส่วนใหญ่อยู่ในท้องถิ่นและจังหวัด ใกล้เคียง จังหวัดที่อยู่รอบๆกรุงเทพฯ เช่น สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ปทุมธานี นนทบุรี จะมีพ่อค้าแม่ค้าจ านวนหนึ่งที่น าปลาน้ าจืดจากจังหวัดเหล่านี้เข้ามาขายในตลาดสด ของกรุงเทพฯ เช่น ตลาดเทเวศน์ ตลาดสะพานใหม่ ตลาดลาดพร้าว ฯลฯ อย่างไรก็ตามได้มีการ ขนส่งปลาน้ าจืดบางส่วนเข้ามาจ าหน่ายผ่านสะพานปลากรุงเทพฯด้วย นอกจากนี้ยังมีพ่อค้ามารับซื้อ ปลาจากฟาร์มปลาในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อน าไปขายยังตลาดในจังหวัดภาคเหนือและภาค อีสานด้วย ปลาน้ าจืดที่มีจ าหน่ายอยู่ในตลาดได้มาจาก 2 แหล่ง คือ ปลาเลี้ยงและปลาที่จับได้จาก แหล่งน้ าตามธรรมชาติ ลักษณะการจ าหน่ายปลาเลี้ยงเจ้าของฟาร์มสามารถกระท าได้หลายวิธี เช่น ขายส่งปลาให้สะพานปลากรุงเทพฯ ขายให้คนกลางในท้องถิ่นหรือต่างท้องถิ่น ส่วนปลาที่จับได้จาก แหล่งน้ าธรรมชาติ ผู้รับอาจจะน าไปขายเองในตลาดหรืออาจน าไปขายให้พ่อค้าหรือแม่ค้า เพื่อน าไป จ าหน่ายในตลาดท้องถิ่น หรืออาจมีพ่อค้าคนกลางรวบรวมจากชาวประมงมาขายให้พ่อค้าขายส่ง เพื่อ น าไปขายให้พ่อค้าขายปลีก (ศักดิ์ชัย , 2536) ภาพที่ 50 แสดงการจ าหน่ายปลาในท้องตลาด ภาพถ่าย โดยนายบรรชร กล้าหาญ , 2551 ตลาดปลาน้ าจืดต่างประเทศ ปัจจุบันมูลค่าส่งออกปลาน้ าจืดไม่ถึงร้อยละ 1 ของสินค้าประมงที่ส่งออกทั้งหมด และมี แนวโน้มที่จะส่งออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปลาน้ าจืดที่ส าคัญเพื่อการส่งออก ได้แก่ ปลาบู่ทราย มีตลาดที่ ส าคัญ คือ ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย ขนาดของปลาบู่ทรายที่ตลาดต่างประเทศต้องการ ประมาณตัวละ 500-1,200 กรัม ล าเลียงส่งต่างประเทศ โดยวิธีใส่ถุงพลาสติกอัดออกซิเจนส่งออก


282 ในรูปปลามีชีวิต ปลาดุกและปลาช่อนมีตลาดที่ส าคัญ คือ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ฮ่องกง และ สิงคโปร์ ส่งออกในรูปของปลาแช่แข็ง โดยวิธีบรรจุในถุงพลาสติกเป็นตัวๆและเก็บไว้ในห้องเย็น ตั้งแต่ปลายปี 2534 ได้มีการเปิดตลาดการค้าปลาน้ าจืดที่ส าคัญขึ้นอีกแห่งหนึ่ง คือประเทศญี่ปุ่น โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2534 ประเทศญี่ปุ่นได้สั่งน าเข้าปลาดุกบิ๊กอุยจากประเทศไทยเดือน ละประมาณ 50 ตัน และในเดือนมกราคม 2535 เป็นต้นไป จะน าเข้าเดือนละประมาณ 200 ตัน ซึ่งเป็นที่คาดหวังว่าถ้าประเทศญี่ปุ่นเป็นลูกค้าปลาน้ าจืดรายใหญ่ต่อไปก็จะท าให้การเพาะเลี้ยง ปลาน้ าจืด และเศรษฐกิจของผู้ประกอบอาชีพการเลี้ยงปลาน้ าจืดมีความเจริญก้าวหน้าและมั่นคง มากขึ้น การส่งออกปลาดุกบิ๊กอุยส่งไปในรูปของปลาแช่แข็ง โดยตัดแต่งเอาครีบและล าไส้ออก ปลา ไหลญี่ปุ่นซึ่งสั่งซื้อลูกปลามาจากประเทศญี่ปุ่นและจีนน ามาเลี้ยงจนได้ขนาดตลาด (Marketable size) แล้วส่งกลับไปขายที่ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีการส่งปลาน้ าจืดออกในสภาพแปรรูป เช่น ปลาร้า ปลาตากแห้ง และปลาเค็มอีกด้วย (ศักดิ์ชัย , 2536) การตลาดปลาสวยงามน้ าจืด ปลาสวยงามหรือปลาตู้ มีแหล่งผลิตและตลาดใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ เช่น ตลาดนัดสวน จตุจักร ตลาด อตก. และมีร้านจ าหน่ายปลาสวยงามให้เห็นอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีจ าหน่ายใน ห้างสรรพสินค้าอีกด้วย ในต่างจังหวัดก็มีร้านจ าหน่ายปลาสวยงามอยู่แทบทุกจังหวัด ปลาสวยงามที่ ซื้อขายกันอยู่ในท้องตลาดมีทั้งพันธุ์พื้นเมืองของไทย และพันธุ์ปลาจากต่างประเทศที่สั่งเข้ามา ปลา สวยงามพันธุ์พื้นเมืองของไทยมีทั้งปลาที่นิยมใช้เป็นอาหาร และปลาที่ไม่นิยมใช้เป็นอาหาร ได้แก่ ปลาที่อยู่ในสกุลปลาซิว ปลาหมู ปลาตะเพียน ปลาสวาย ปลากราย และปลากา ซึ่งรวมแล้วไม่ น้อยกว่า 60 ชนิด ปลาสวยงามพันธุ์ต่างประเทศได้แก่ ปลาข้างลาย ปลาทรงเครื่อง ปลาเทวดา ปลานีออน ปลาขวานบิน ปลาหางนกยูง ปลาหางดาบ ปลาม้าลาย ปลาแฟนซีคาร์พ ปลาเงิน ปลาทอง ปลาอโรวานา ฯลฯ ปลาสวยงามพันธุ์ต่างประเทศบางชนิด เมื่อสั่งเข้ามาเพาะเลี้ยงใน ประเทศไทยได้ระยะเวลาหนึ่งแล้วสามารถส่งกลับออกไปยังตลาดต่างประเทศได้ เช่น ปลาปอม ปาดัวร์ ปลาออสการ์ ปลาทรงเครื่อง เป็นต้น ปลาสวยงามหรือปลาตู้ สามารถน าเงินตราจาก ต่างประเทศได้ปีละนับสิบล้านบาท ตลาดปลาสวยงามของเมืองไทยมีอยู่อย่างกว้างขวาง ทั้งในทวีป เอเชีย ยุโรป อเมริกา แอฟริกา และออสเตรเลีย ประเทศที่น าเข้าปลาสวยงามจากเมืองไทยที่ส าคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สิงคโปร์ ฝรั่งเศส อาร์เจนตินา แคนาดา อังกฤษ อิตาลี คูเวต ซาอุดิอาระเบีย โปแลนด์ และญี่ปุ่น (ศักดิ์ชัย , 2536)


283 ผู้ผลิต พ่อค้าคนกลาง โรงงานแปรรูป คนกลาง ห้องเย็น พ่อค้าส่งออก พ่อค้าขายปลีก ผู้บริโภค ภาพที่ 51 แสดงวงจรการตลาดสินค้าสัตว์น้ า ตลาดสินค้าสัตว์น้ า ตลาดสินค้าสัตว์น้ าปัจจุบันของไทยมีลักษณะเดียวกันกับสินค้าการเกษตรอื่นๆ ซึ่งเริ่มต้น ด้วยผู้ผลิตหรือผู้เลี้ยงปลา เมื่อเลี้ยงปลาได้ขนาดตามต้องการจะจ าหน่ายปลาให้แก่พ่อค้าขายส่งที่ ตลาดกลางหรือสะพานปลา พ่อค้าขายส่งจะน าปลาคัดขนาดและขายย่อยให้พ่อค้าขายปลีกตามแผง ตลาดสดเพื่อจ าหน่ายผลผลิตปลาสู่ผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมผลผลิตบางส่วนส่งโรงงาน แปรรูป เช่น โรงงานท าปลากระป๋อง อบแห้ง รมควัน ฯลฯ โรงงานห้องเย็นเพื่อท าปลาแช่แข็ง หรือส่งออกจ าหน่ายต่างประเทศในสภาพที่มีชีวิต เช่น ปลาบู่ กุ้งก้ามกราม ฯลฯ วงจรการตลาดดังกล่าวนี้มีผู้ที่ด าเนินการเป็นอีกอาชีพหนึ่งคือคนกลาง ซึ่งท าหน้าที่เป็นตัว เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตกับพ่อค้าขายส่ง ผู้บริโภคและกระบวนการต่างๆก่อนส่งออกโดยคนกลางจะ เป็นผู้รับซื้อปลาจากผู้ผลิตน าไปส่งพ่อค้าดังกล่าว ในตลาดเสรีที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์คนกลางจะ ได้ก าไรที่เหมาะสม และระบบตลาดจะด าเนินไปด้วยดี แต่เนื่องจากปัจจุบันยังมีช่องว่างระหว่าง การค้าของผู้ผลิตและผู้บริโภคอยู่มาก จึงเป็นช่องทางให้คนกลางเอาเปรียบได้ง่าย ดังนั้นผู้ที่จะ ด าเนินธุรกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ าที่ฉลาด จึงควรที่จะต้องเข้าใจในระบบเพื่อหาช่องทางที่จะขาย ผลผลิตให้มีก าไรสูงสุด สรุป การจับปลาในแต่ละช่วงวัย ต้องเข้าใจวิธีการจับ การล าเลียงขนส่งและการจัดจ าหน่าย ผู้ เลี้ยงต้องเลือกจับในช่วงเวลาที่อากาศไม่ร้อนเกินไป และท าด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้ปลาบอบ ช้ าอันจะท าให้ปลาติดโรคหรือตายได้ ในด้านการตลาดปัจจุบันตลาดยังมีความต้องการสินค้าประเภท ปลาน้ าจืดจากประเทศไทยอยู่มาก ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งปลาน้ าจืดในกลุ่มที่ เลี้ยงเป็นปลาสวยงามตลาดก็ยังมีความต้องการอยู่สูงอีกด้วยเช่นกัน


284 ค าถามท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 13 จงตอบค าถามต่อไปนี้ 1. จงอธิบายถึงวิธีการในการจับปลาเพื่อน าออกจ าหน่าย ? 2. จงอธิบายถึงวิธีการแก้ปัญหากลิ่นสาบของปลาที่เลี้ยงก่อนน าออกจ าหน่าย ? 3. จงอธิบายถึงวิธีการล าเลียงขนส่งปลาเพื่อน าออกจ าหน่าย ? 4. จงอธิบายถึงวิถีการตลาดของปลาน้ าจืด ?


กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ใบงานที่ 14 ชื่อใบงาน การเตรียมปลาน้ าจืดเพื่อการล าเลียงขนส่ง จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถด าเนินขั้นตอนการพักปลาได้ 2. นักเรียนสามารถท าการคัดขนาดของปลาได้ เครื่องมือ / อุปกรณ์ 1. ที่คัดขนาดปลา 2. อุปกรณ์เพิ่มออกซิเจน 3. สวิงจับปลา 4. อวนส าหรับจับปลา 5. ถังขนย้ายปลา 6. เครื่องสูบน้ า 7. กระชัง วัสดุ 1. ปลาขนาดต่าง ๆ 2. เกลือแกง ล าดับขั้นการปฏิบัติงาน การพักปลาเพื่อรอการขนส่ง 1. เตรียมน้ าและอุปกรณ์ส าหรับการพักปลา 2. รวบรวมปลาจากบ่ออนุบาลขนย้ายสู่อุปกรณ์พัก 3. น าปลาผ่านอุปกรณ์คัดขนาด 4. ปล่อยน้ าให้ไหลผ่านในอัตรา 5 – 10 ลิตรต่อนาที 5. เปิดเครื่องเพิ่มออกซิเจนขนาดปานกลาง 6. ใส่เกลือแกงในอัตรา 0.5 – 1 % เพื่อลดความเครียด 7. สังเกตอาการของปลา 8. บันทึกผลการปฏิบัติงาน


286 การวัดผลและประเมินผล 1. ประเมินผลจากการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติของนักเรียน 2. ประเมินผลจากรายงานผลการปฏิบัติงาน


287 แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 13 วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง การจับปลาและการตลาด ค าแนะน า ให้นักเรียนอ่านค าถามแล้วกากะบาด (X) ทับข้อค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค าตอบเดียว ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. ปลาชนิดใดที่มักจะตกใจช็อคตายได้ง่ายเมื่อจับปลา ? ก. ปลานิล ข. ปลาบู่ ค. ปลาแรด ง. ปลากดเหลือง 2. การใช้ยาสลบในการขนส่งปลาขนาดใหญ่เพื่อวัตถุประสงค์ใด ? ก. ลดการใช้ออกซิเจน ข. ลดการขับถ่ายของเสีย ค. ควบคุมความตื่นตกใจซึ่งท าให้เกิดบาดแผล ง. ถูกทุกข้อ 3. สาเหตุใดที่ท าให้ปลาตายขณะขนส่งมากที่สุด ? ก. ปลาขาดออกซิเจน ข. ปลาอดอาหารนานเกินไป ค. ปลาเกิดโรคระหว่างการขนส่ง ง. ปลาตกใจเคลื่อนไหวมากกว่าปกติ 4. สารเคมีชนิดใดที่นิยมใส่ในน้ าที่ใช้ล าเลียงปลาเพื่อป้องกันก าจัดโรคและปรสิตของปลา ? ก. ยาเหลือง ข. เกลือแกง ค. ฟอร์มาลีน ง. มาลาไครท์กรีน 5. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการขนส่งปลามีชีวิตข้อใดส าคัญที่สุด ? ก. ชนิดของปลา ข. ช่วงเวลาของการขนส่ง ค. อุณหภูมิของน้ า ง. ระยะเวลาในการขนส่ง


288 6. การอดอาหารของปลาก่อนการขนส่งล าเลียงเพื่อวัตถุประสงค์ในข้อใด ? ก. ไม่ให้ปลาขับถ่ายของเสียขณะขนส่ง ข. ลดการใช้ออกซิเจน ค. กันน้ าเน่าเสียและเกิดโรคระบาด ง. ถูกทุกข้อ 7. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง ? ก. ปลาขนาดเล็กใช้ออกซิเจนสูงกว่าปลาขนาดใหญ่ ข. ปลาที่มีไข่แก่มีความอดทนต่อการขนส่งได้น้อย ค. ถ้าอุณหภูมิต่ าปลาจะใช้พลังงานในการด ารงชีพน้อยลง ง. ออกซิเจนสามารถละลายน้ าได้ดีถ้าน้ ามีอุณหภูมิสูง 8. ตลาดส่งออกปลาบู่ทรายในต่างประเทศที่ส าคัญคือข้อใด ? ก. ฝรั่งเศส มาเลเซีย ข. สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ค. ฮ่องกง สิงคโปร์ ง. จีน ญี่ปุ่น 9. ตลาดส่งออกปลาดุกและปลาช่อนในต่างประเทศที่ส าคัญคือข้อใด ? ก. ฝรั่งเศส มาเลเซีย ข. สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ค. ฮ่องกง จีน ง. เกาหลี บรูไน 10. แหล่งผลิตและตลาดปลาสวยงามที่ส าคัญที่สุดของไทยคือข้อใด ? ก. ตลาดไท ข. ตลาดเยาวราช ค. ตลาด อตก. ง. ตลาดนัดสวนจตุจักร


แผนการจัดการเรียนรู้ประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 14 เรื่อง การค านวณต้นทุนการผลิตและการประเมินผลผลิต 1. สาระส าคัญ : การเลี้ยงปลาน้ าจืดแบบเชิงธุรกิจนั้น ผู้เลี้ยงต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูง ใช้ช่วง ระยะเวลาในการเลี้ยงที่สั้น และใช้ต้นทุนในการผลิตที่ต่ า เพื่อที่ว่าจะได้มีผลก าไรเพียงพอต่อการ ด ารงอยู่ของฟาร์ม ในการศึกษาถึงการค านวณต้นทุนการผลิตและการประเมินผลผลิต จึงมี ความส าคัญต่อการที่จะบริหารจัดการฟาร์มเลี้ยงปลาให้ประสบผลส าเร็จ 2. สมรรถนะประจ าหน่วยการเรียนรู้: 1. มีความรู้เกี่ยวกับการค านวณต้นทุนการผลิตและการประเมินผลผลิต 2. สามารถปฏิบัติการค านวณต้นทุนการผลิตและการประเมินผลผลิต 3. มีกิจนิสัยในการท างานอย่างเป็นระบบด้วยความรับผิดชอบ ขยัน อดทน 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง : 1. สามารถค านวณต้นทุนการผลิตในการเลี้ยงปลาน้ าจืดได้อย่างถูกต้อง 2. สามารถประเมินผลผลิตในการเลี้ยงปลาน้ าจืดได้อย่างถูกต้อง 4. ความรู้ที่ต้องได้รับ : 1. การค านวณต้นทุนการผลิต 2. การประเมินผลผลิต 5. ทักษะทางปัญญาที่ต้องการพัฒนา : ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีทักษะทางการวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า 6. คุณธรรมจริยธรรมที่ต้องการ : 1. มีใจรักและศรัทธาในวิชาชีพ 2. มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร 3. มีความซื่อสัตย์ 4. มีความสนใจใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์


290 7. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องการ : 1. มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลา 2. มีมนุษย์สัมพันธ์ 3. การรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถท างานร่วมกับผู้อื่น 5. การบริการสังคมและชุมชน 6. ความปลอดภัย 8. กิจกรรมการเรียนการสอน : 1. ศึกษาเนื้อหาในหัวเรื่องที่ 1-2 2. การท าแบบทดสอบก่อนการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 14 3. การบรรยายประกอบการยกตัวอย่าง 4. การท างานกลุ่มและน าเสนอรายงาน 5. การฝึกปฏิบัติในการค านวณต้นทุนและการประเมินผลผลิตในการเลี้ยงปลา 6. การท าแบบทดสอบหลังการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 14 7. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 14 8. การจัดท าบันทึกการเรียนรู้ 9. การเก็บรวบรวมผลงานการเรียนรู้เพื่อจัดท าแฟ้มสะสมผลงาน 9. จ านวนชั่วโมงที่สอน : จ านวน 9 ชั่วโมง 10. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ : 1. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 14 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 14 3. แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 14 4. เอกสารใบงานเรื่อง การวางแผนเลี้ยงปลาน้ าจืดและการค านวณต้นทุนการผลิต 5. แบบบันทึกการเรียนรู้ 11. วิธีการประเมินผล : 1. การวัดความสามารถด้านพุทธิพิสัย : โดยการท าแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน แบบทดสอบ ก่อน-หลังเรียน การร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น และการน าเสนองาน 2. การวัดความสามารถด้านทักษะพิสัย : โดยการสังเกตพฤติกรรมในการท างานร่วมกัน การ วางแผนในการท างานร่วมกัน และความสามารถในการท างานส าเร็จอย่างมีคุณภาพตามเวลาที่ มอบหมาย


291 3. การวัดความสามารถด้านจิตพิสัย : โดยการสังเกตจากพฤติกรรมในขณะด าเนินกิจกรรม การเรียนการสอนว่า ให้ความสนใจในการเรียนรู้ การมีวินัย การตรงต่อเวลา การมีส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน


หน่วยการเรียนรู้ที่ 14 การค านวณต้นทุนการผลิตและการประเมินผลผลิต การค านวณต้นทุนการผลิต ก่อนท าการค านวณคิดต้นทุนการลงทุนการผลิต ควรจะศึกษาเปรียบเทียบข้อมูลจาก ผู้ประกอบการรายอื่นโดยลองถามโดยตรงจากผู้ประกอบการที่ท าอยู่ก่อนแล้ว และสอบถามข้อมูล จากกรมประมงโดยตรง หรือตรวจสอบจากรายงานและหนังสือวารสารต่างๆที่รายงานเรื่องเกี่ยวกับ ธุรกิจการเลี้ยงปลา การคิดค านวณการลงทุนควรมีหลักการดังนี้(สุภาพร , 2550) การค านวณรายจ่าย รายจ่ายส าหรับการลงทุน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. รายจ่ายคงที่ หมายถึง รายจ่ายที่ต้องลงทุนเมื่อเริ่มด าเนินกิจการและประกอบการ ไม่ว่าจะมีผลผลิตต่อเนื่องหรือไม่ เช่น 1.1 ค่าที่ดิน ที่ดินเป็นสมบัติของฟาร์มโดยตรง หรือได้จากการเช่าหรือเช่าซื้อ แม้แต่การใช้ที่ดินของตนเองก็จะต้องคิดค่าใช้ที่ดินของตนเองด้วย เพราะเราต้องคิดว่าถ้าเราไม่ท า กิจการเลี้ยงปลา เราอาจจะเอาที่ดินไปขายน าเงินมาฝากไว้กินดอกเบี้ย หรือไปให้ผู้ประกอบการราย อื่นเช่า 1.2 ค่าสิ่งก่อสร้าง ค่าจ้างวิศวกรและสถาปนิก เป็นการลงทุนครั้งแรกก่อนเริ่ม ด าเนินกิจการ ค่าสร้างส านักงาน บ่อเลี้ยง ค่าตัดถนนภายในฟาร์ม ค่าสร้างประตูระบาย คลองส่งน้ า ฯลฯ ค่าสิ่งก่อสร้างนี้ใช้จ่ายเพียงครั้งเดียวตอนเริ่มสร้างครั้งแรก ปีต่อไปอาจจะต้องมีการซ่อมแซมและ ปรับปรุง ควรค านวณเผื่อไว้สัก 5 เปอร์เซ็นต์ ในปีที่สอง และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในปีต่อไป 1.3 ค่าอุปกรณ์ที่ใช้ในฟาร์ม เช่น เครื่องสูบน้ า ระบบไฟฟ้า เครื่องให้อาหาร อวน กระชัง รถยนต์ ถังล าเลียงสัตว์น้ า ฯลฯ ค่าอุปกรณ์เหล่านี้ต้องค านวณค่าเสื่อมราคาปีละอย่าง น้อย 10 เปอร์เซ็นต์ด้วย 1.4 ค่าดอกเบี้ย ในกรณีของเงินกู้หรือเงินลงทุนจะต้องค านวณค่าดอกเบี้ยด้วยว่า จะต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยเท่าไรในแต่ละปี ตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริงแล้ว แม้ว่าจะเป็นเงินของเรา เองก็ต้องคิดด้วยว่าเราสูญเสียดอกเบี้ยเท่าไรในการที่เอาเงินมาใช้ในการลงทุนนี้ แทนที่จะเอาไปฝาก ธนาคารไว้ก็จะได้ดอกเบี้ยเช่นกัน หรือเอาไปให้ผู้ประกอบการรายอื่นกู้ก็จะได้ดอกเบี้ย ถ้ากิจการ ของเราลงทุนไปแล้วได้ก าไรน้อยกว่าดอกเบี้ยที่ได้จากธนาคาร ถ้าเอาเงินจ านวนนั้นไปฝากธนาคารก็ แสดงว่าเราเป็นนักจัดการที่ใช้ไม่ได้ หรือปลาชนิดนั้นให้ผลผลิตไม่คุ้มค่ากับการลงทุนก็ควรหาทาง ปรับปรุงลดต้นทุนลง หรือหันไปเพาะเลี้ยงปลาชนิดอื่นแทน


293 2. รายจ่ายผันแปร หมายถึง รายจ่ายที่ใช้ในการด าเนินการผลิต ผันแปรตามราคาของ ท้องตลาด เช่น 2.1 ค่าพันธุ์ปลาที่ซื้อมาเลี้ยง ค่าพ่อแม่พันธุ์ปลา ฯลฯ 2.2 ค่าอาหารปลา เช่น อาหารสด อาหารเม็ด 2.3 ค่าสารเคมี ยารักษาโรค เครื่องมือประเภทใช้แล้วหมดไป เช่น กระดาษกรอง กระดาษวัดพีเอช (pH) ปูนขาว กากชา 2.4 ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ปะรอยรั่วของบ่อ ซ่อมหลังคาที่ถูกลมพายุพัด พังไป 2.5 ค่าไฟฟ้าและน้ ามันเชื้อเพลิงที่ใช้ในการสูบน้ า เปิดปั๊มออกซิเจน การใช้แสง สว่างตอนกลางคืน 2.6 ค่าแรงงาน เงินเดือนส าหรับพนักงานภายในฟาร์ม ค่าใช้จ่ายกองกลางในการ ด าเนินธุรกิจ การท าบัญชีรายรับรายจ่าย ท าใบส่งสินค้า และอย่าลืมคิดเงินเดือนของตัวเองด้วย เพราะถ้าเราไม่ท ากิจการนี้เราไปท าอย่างอื่นก็ได้เงินเดือนเช่นกัน 2.7 ค่าเสื่อมราคา เครื่องมือสิ่งก่อสร้าง พาหนะต่างๆที่ใช้ในงานย่อมมีการเสื่อม คุณภาพตามอายุการใช้งาน เราจ าเป็นจะต้องค านวณค่าเสื่อมราคาเพื่อเตรียมการซื้อใหม่ในปีที่ หมดอายุ ปกติจะคิดค่าเสื่อมราคาปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ (อาจผันแปรเพิ่มขึ้นหรืออาจลดลงตามปริมาณ การใช้งาน) 2.8 งบส ารองฉุกเฉิน ในกรณีที่ต้องมีความจ าเป็นฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษาพยาบาล คนงานจากอุบัติเหตุ


ตารางที่ 21 ตัวอย่างประมาณการค่าใช้จ่ายการผลิตลูกปลานิลเพศผู้ ประมาณ 300,000 ตัว/เดือน ที่มา : เกรียงศักดิ์ , 2547 ตัวอย่างต้นทุนในการเลี้ยงปลานิลแปลงเพศ (กรมประมง , 2550)


295 รายการ เฉลี่ย หมายเหตุ 1. ต้นทุนผันแปร 1.1 ค่าพันธุ์ปลานิลเพศผู้ 1,000.00 ตัวละ 2 บาท ขนาด 50 กรัม 1.2 ค่าอาหารปลา 4,352.40 214.9 กิโลกรัมๆ ละ 20.25 บาท 1.3 ค่าแรงงาน 292.57 ชั่วโมงละ 25.45 บาท เลี้ยง 63 วัน จับปลาท าความสะอาดกระชัง 1.4 ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนของต้นทุนผันแปร (คิดจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจ าร้อยละ 4.5 บาทต่อปี) 44.18 รวมต้นทุนผันแปร 5,689.15 2. ต้นทุนคงที่ 2.1 ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ 250.00 2.2 ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนคงที่ (คิดจากอัตรา ดอกเบี้ยเงินฝากประจ าร้อยละ 4.5 บาทต่อปี) 2.25 รวมต้นทุนคงที่ 252.50 รวมต้นทุนทั้งหมด (บาท) 5,942.00 ผลตอบแทนและรายได้ ภายหลังการเลี้ยง 63 วัน จะได้ผลผลิต 180 - 212 กิโลกรัม จ าหน่ายในราคา 40 บาท/ กิโลกรัม จะมีรายได้อยู่ในช่วง 7,213 - 8,502 บาท ซึ่งเมื่อน าต้นทุนทั้งหมดหักออกจากรายได้ จะมี ก าไรสุทธิระหว่าง 1,294 - 2,439 บาท/กระชัง โดยมีจุดคุ้มทุนที่ 31.11 บาท โดยมีรายละเอียดการ ลงทุน และผลตอบแทนดังตารางที่ 22 (กรมประมง , 2550) รายการ รายได้ รายได้เฉลี่ย ระยะเวลาการเลี้ยง (วัน) 63 - ผลผลิตปลา (กิโลกรัม) 180 - 212 196 ราคาปลานิล (บาท) 40 - รายได้จากการขายปลา (บาท) 7,213 - 8,502 7,857.5


296 ต้นทุนทั้งหมด (บาท 5,918 - 6,062 5,990 รายได้สุทธิ (บาท/กระชัง) 1,294 - 2,439 1,866.5 ราคาจุดคุ้มทุน (บาท/กิโลกรัม) 28.5 - 32.8 30.65 ผลตอบแทนต่อต้นทุน (ร้อยละ) 21.8 - 40.2 31 หมายเหตุ : จากข้อมูลทดลองเลี้ยงของสถานีประมงน้ าจืดจังหวัดอุตรดิตถ์ จ านวน 9 กระชัง ตารางที่ 22 แสดงการลงทุนและผลตอบแทนในการเลี้ยงปลานิลแปลงเพศ การคิดมูลค่าทรัพย์สินและค่าเสื่อม การคิดมูลค่าทรัพย์สินและค่าเสื่อม มูลค่าของทรัพย์สินทุกชนิด มีวิธีการคิดได้หลายแบบ ผู้จัดการต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม ดังนี้(อุธร , 2548) 1. คิดตามมูลค่าในตลาด (Market value) ใช้กับทรัพย์สินหมุนเวียน คิดตามมูลค่า ตลาด ณ วันที่ส ารวจ นิยมใช้คิดมูลค่าผลผลิตคงเหลือ 2. คิดตามต้นทุนซื้อมา (Cost) ใช้กับทรัพย์สินหมุนเวียน ได้แก่ ปัจจัยการผลิตคงเหลือ 3. คิดจากมูลค่าต้นทุนการผลิตของฟาร์ม (Farm production cost) ใช้กับปัจจัยการ ผลิตของกิจการที่ฟาร์มผลิตใช้เอง เช่น พ่อแม่พันธุ์ปลา วัตถุดิบอาหารปลาบางอย่าง 4. คิดมูลค่าทรัพย์สินจากผลตอบแทนเงินทุน (Capitalization) ใช้กับทรัพย์สินอายุยาว นาน เช่น ที่ดิน การคิดใช้หลักค านวณ มูลค่าปัจจุบันของที่ดิน (V) = ผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ยต่อปีที่คาดว่าจะได้รับจากที่ดิน (R) อัตราผลตอบแทนเงินทุนที่ควรได้รับ (r) ตัวอย่าง ที่ดินใช้สร้างบ่อเลี้ยงปลานิล 20 ไร่ ให้รายได้สุทธิปีละ 160,000 บาท อัตราผลตอบแทนเงินทุนคิดจากดอกเบี้ย 8 % ต่อปี V = R = 160,000 = 2,000,000 บาท r 0.08 5. คิดมูลค่าทรัพย์สินจากต้นทุนซื้อมาหักค่าเสื่อมสะสม (Cost less depreciation) ใช้ กับเครื่องทุ่นแรง สิ่งก่อสร้าง


297 วิธีการคิดค่าเสื่อมในการคิดค านวณค่าเสื่อมราคามีวิธีการ 4 วิธี ดังต่อไปนี้ 1. Straight Line เป็นวิธีคิดอย่างง่าย คิดค่าเสื่อมเท่ากันทุกปี จากสูตร ค านวณค่าเสื่อมราคาต่อปี = ราคาทรัพย์สินที่ซื้อมา - ค่าซาก อายุการใช้งาน ตัวอย่าง เครื่องอัดเม็ดอาหารปลาซื้อมา ราคา 360,000 บาท ใช้ 10 ปี จะขาย ซากได้ราคา 72,000 บาท ค่าเสื่อมต่อปีค านวณจากสูตร ค่าเสื่อมต่อปี = 360,000 - 72,000 = 28,800 บาท 10 2. วิธี Double Declining Balance คิดค่าเสื่อมลดลงตามมูลค่าปัจจุบัน คิด อัตราเสื่อมเท่ากันทุกปี ค่าเสื่อมต่อปี = มูลค่าทรัพย์สินในบัญชีต้นปี x อัตราค่าเสื่อม อัตราค่าเสื่อมต่อปีคิด 2 เท่า ของวิธี Straight Line เช่น อายุการใช้งาน 10 ปี คิดอัตราเฉลี่ย 200 % หรือปีละ 20 % ดังตัวอย่างค่าเสื่อมของเครื่องอัดอาหารเม็ด ปีที่ 1 360,000 x 20 % = 72,000 บาท ปีที่ 2 (360,000 - 72,000) x 20 % = 57,600 บาท ปีที่ 3 (360,000 - 129,600) x 20 % = 46,000 บาท 3. วิธี Sum - Of The Year Digits ค านวณจากสมการ ค่าเสื่อมราคาต่อปี = (ต้นทุน - ค่าซาก) x จ านวนปีที่ทรัพย์สินมีอายุใช้งานเหลือ (RL) ผลรวมของจ านวนนับตั้งแต่ 1 บวกเพิ่มตามจ านวนปีจนถึงสิ้นสุดอายุใช้งาน (SOYD) SOYD = n (n + 1) /2 ถ้าอายุใช้งาน 10 ปี = 10 (10 + 1) /2 = 110 = 55 2 จากปัญหาเดิมคิดค่าเสื่อมเครื่องอัดเม็ดอาหารดังนี้ ปีที่ 1 (360,000 - 72,000) x 10 = 52,363 บาท 55


298 ปีที่ 2 (360,000 - 72,000) x 9 = 47,127 บาท 55 ปีที่ 3 (360,000 - 72,000) x 8 = 41,891 บาท 55 การคิดค่าเสื่อมราคาแบบ Double Declining Balance และ Sum - Of The Year Digits มีค่าเสื่อมคุณภาพเร็วในระยะแรก เช่น รถยนต์ เครื่องจักรต่างๆ ทรัพย์สินดังกล่าวเมื่อใช้ งาน 1-2 ปี จะขายได้ในราคาลดลงมาก การประเมินผลผลิต สูตรการประเมินการเจริญเติบโตและผลผลิต การประเมินอัตราการเจริญเติบโต ส าหรับวิธีการประเมินอัตราการเจริญเติบโตที่นิยมใช้ ก็มีวิธีการประเมินอยู่หลายรูปแบบ เช่น ประเมินจาก (วิมลและคณะ , 2535) 1. น้ าหนักเฉลี่ย (weight average) ค านวณจากสูตร น้ าหนักเฉลี่ย = น้ าหนักปลารวม จ านวนปลาที่เหลือทั้งหมด 2. น้ าหนักเพิ่ม (Weight gain) ค านวณจากสูตร Weight gain (Wg) = น้ าหนักปลาเมื่อสิ้นสุดการเลี้ยง – น้ าหนักปลาเริ่มต้น 3. น้ าหนักเพิ่มต่อวัน (Average diary growth) น้ าหนักเพิ่มต่อวัน (ADG) = น้ าหนักปลาเมื่อสิ้นสุดการเลี้ยง – น้ าหนักปลาเริ่มต้น จ านวนวันที่เลี้ยง 4. % น้ าหนักเพิ่ม (% Weight gain , % Wg) ค านวณจากสูตร % Wg = [ (น้ าหนักปลาเมื่อสิ้นสุดการเลี้ยง – น้ าหนักปลาเริ่มต้น )] x 100 น้ าหนักปลาเริ่มต้น


299 5. % น้ าหนักเพิ่มต่อวัน x (Instantaneous growth , % Wg/d) ค านวณจากสูตร % Wg/day = (elnw1-xlnwo/T – 1) x 100 เมื่อ W1 = น้ าหนักปลาเมื่อสิ้นสุดการเลี้ยง WO = น้ าหนักปลาเริ่มต้น T = ระยะเวลาการทดลอง (วัน) 6. อัตราการเจริญเติบโตจ าเพาะ (Specific growth rate , SRG) ค านวณจากสูตร SGR (% /วัน) = [ (In น้ าหนักปลาเมื่อสิ้นสุดการเลี้ยง – น้ าหนักปลาเริ่มต้น )] x 100 ระยะเวลาการเลี้ยง (วัน) 7. ความยาวเฉลี่ยของปลา (Length average) ความยาวเฉลี่ย (เซนติเมตร) = ความยาวปลารวม (เซนติเมตร) จ านวนปลาที่เหลือทั้งหมด 8. ความยาวเพิ่มเฉลี่ยของปลา (Length gain , Lg) Lg = L1 – L0 เมื่อ L1 = ความยาวเฉลี่ยของปลาเมื่อสิ้นสุดการเลี้ยง L0 = ความยาวเฉลี่ยของปลาเมื่อเริ่มต้น การประเมินอัตราการรอดตาย % อัตราการรอดตาย (% Survival rate) ค านวณจากสูตร % อัตราการรอดตาย = จ านวนปลาที่เหลือเมื่อสิ้นสุดการทดลอง x 100 จ านวนปลาที่เริ่มต้นการทดลอง การประเมินอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ (Feed conversion ratio , FCR) ค านวณจากสูตร FCR = น้ าหนักอาหาร (แห้ง) ที่ปลากิน น้ าหนักปลาที่เพิ่ม (เวียง , 2528)


Click to View FlipBook Version