151 6.2 วิธีการเลี้ยงปลาตะเพียนขาว บ่อเลี้ยงปลาตะเพียนขาว บ่อเลี้ยงปลาตะเพียนหากต้องการให้ปลาโตดีควรเป็นบ่อกว้าง เนื้อที่น้ ามากกว่า 1 ไร่ขึ้นไป ความลึกอยู่ในช่วง 1-2 เมตร มีอาหารธรรมชาติพอเพียง น้ าต้องมี คุณสมบัติที่ดี มีออกซิเจนเพียงพอ หากสามารถท าให้เกิดการไหลเวียนของน้ าได้ จะพบว่าปลามี อัตราเจริญเติบโตดีขึ้น หากเป็นการเลี้ยงในนาปลา ควรรักษาระดับน้ าในผืนนาไม่ให้น้อยกว่า 50 เซนติเมตร เนื่องจากปลาตะเพียนขาวเป็นปลากินพืชที่ไม่มีอวัยวะในการสู้กับศัตรูนอกจากว่ายน้ าหนี เท่านั้น การเตรียมบ่อจึงต้องก าจัดศัตรูออกให้หมด ก่อนการปล่อยน้ าเข้าบ่อควรใช้ตะแกรงตาถี่หรือ อวนไนลอนกรองน้ า เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาช่อน ปลาหมอ หรือศัตรูอื่นๆ เข้ามาในบ่อได้ อัตราการปล่อยปลาขนาด 2-3 เซนติเมตร ลงเลี้ยงในบ่อหรือนาปลาที่มีการเตรียมบ่อที่ดี มี อาหารธรรมชาติสมบูรณ์ จะปล่อยปลาได้ในอัตรา 2-3 ตัว / ตารางเมตร หรือ 5,000 ตัว / ไร่ หากมีการให้อาหารเสริม และจัดการบ่อที่ดีก็จะสามารถปล่อยได้เพิ่มขึ้น การเลี้ยงปลาตะเพียนขาว ที่นิยมท าในปัจจุบัน มักเป็นการเลี้ยงรวมกับปลากินพืชชนิดอื่นๆ เช่น ปลานิล ปลาจีน ปลายี่สกเทศ อย่างไรก็ตาม อัตราปล่อยรวมกันไม่ควรเกิน 1,000 ตัว/ไร่ เพื่อไม่ให้ปลาแน่นบ่อเกินไป ซึ่งจะมีผล ต่อการเจริญเติบโตของปลา ตลอดจนปัญหาเรื่องคุณภาพของน้ าด้วย การให้อาหาร อาหารเลี้ยงปลาตะเพียนขาว ควรให้อาหารธรรมชาติเป็นหลัก ได้แก่ พืช น้ า แหน สาหร่าย และปุ๋ยมูลสัตว์ต่างๆ ส าหรับปุ๋ยมูลสัตว์ ควรใส่ในอัตรา 150-200 กิโลกรัม /ไร่ โดยวางปุ๋ยไว้รอบๆบ่อบริเวณชายน้ าริมตลิ่ง เพื่อให้ปุ๋ยค่อยๆละลายลงในน้ า การตัดหญ้าที่ขึ้นบริเวณ รอบบ่อให้เป็นอาหารเสริมเป็นวิธีที่ดีในการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ หรือจะให้อาหารผสมในอัตรา 2-5 % ของน้ าหนักตัวปลา ให้ปลากินวันละครั้งในเวลาบ่าย จะท าให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี การจับและการล าเลียง การเลี้ยงปลาตะเพียนขาว ผู้เลี้ยงต้องระมัดระวังเรื่องคุณภาพของ น้ าให้มาก เพราะปลาตะเพียนขาวจัดเป็นปลาหัวเบา เมื่อมีน้ าเสียหรือมีสารพิษ ปลาตะเพียนขาว จะตายก่อน การป้องกันศัตรู เช่น ป้องกันปลาช่อน ปลาหมอ ควรท าด้วยความระมัดระวัง และ สม่ าเสมอ เคยมีผู้ค านวณว่า ปลาช่อน 1 ตัว จะกินลูกปลาตะเพียนได้ 5-10 ตัว / วัน ดังนั้น หากปลาช่อนอยู่ในบ่อ 1 เดือน จะกินปลาตะเพียนได้ถึง 300 ตัว ปลาตะเพียนขาวขนาด 2-3 เซนติเมตร หากเลี้ยงอย่างสมบูรณ์จะโตได้ขนาด300-400 กรัม ใน เวลา 6-8 เดือน การจับปลาควรจับให้ตรงกับช่วงที่ปลาธรรมชาติมีราคาแพง คือในช่วงเดือนมกราคมมีนาคม จะจ าหน่ายได้ราคาดี วิธีจับส่วนใหญ่จะใช้อวนจับในเวลากลางคืน แล้วล าเลียงปลาตายส่ง ตลาดในเวลาเช้าตรู่ ในกรณีที่จับปลาเวลากลางวัน แล้วขังปลาไว้ในเปลอวน ควรเพิ่มออกซิเจน โดย การใช้ปั๊มสูบน้ าพ่นลงในกระชัง เพื่อไม่ให้ปลาตายก่อนเวลาล าเลียง
152 7. การเลี้ยงปลาไน ชื่อสามัญ Common carp ชื่อวิทยาศาสตร์ Cyprinus carpio ภาพที่ 21 แสดงรูปร่างของปลาไน ที่มา : http://www.siamfishing.com 7.1 ลักษณะทั่วไปของปลาไน ปลาไนเป็นปลาชนิดแรกที่ได้เริ่มน ามาเลี้ยงกัน และได้นิยมเลี้ยงกันแพร่หลายไปเกือบทุก ประเทศในโลก มีถิ่นก าเนิดอยู่ในภาคตะวันออกของทวีปเอเชีย ประเทศจีนเป็นผู้น าปลาไนมาเลี้ยง ก่อน โดยมีหลักฐานกล่าวไว้ว่าการเลี้ยงปลาไนได้เริ่มต้นราว พ.ศ. 68 หรือก่อนคริสต์ศักราช 475 ปี หลังจากสงครามครูเสดได้มีผู้น าปลาไนไปยังดินแดนยุโรปเป็นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1367 ผู้ที่น าไป คือ ชาวออสเตรเลีย ในปี ค.ศ. 1496 ได้น าไปเลี้ยงในประเทศอังกฤษ ในบันทึกที่แน่นอนได้แก่การน า ปลาไนไปยังทวีปอเมริกาเมื่อ ค.ศ.1830 โดยกัปตันโรบินสันน าไปจากประเทศฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 14 การน าปลาไนไปเลี้ยงในที่ต่างๆได้ท ากันอย่างแพร่หลาย (กรมประมง , 2549) ในประเทศไทยชาวจีนได้น าจากประเทศจีนมาเลี้ยงในกรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 75 ปีมานี้ ซึ่งในเวลานั้นก็ไม่สู้จะแพร่หลายนัก ประชาชนส่วนมากรู้จักกันเพียงเผินๆว่าเป็นปลาเมืองจีนเท่านั้น ปลาไนเป็นปลาชาวไทยเราทางแคว้นสิบสอบจุไทยได้เลี้ยงกันมานานแล้วและเรียกกันว่า “ปลาไน” ซึ่งตรงกับภาษาจีนว่า หลีฮื้อ หรือหลีโกว ในยุโรปและอเมริกาเรียกกันว่า คอมมอนคาร์พ (Common carp) ความดีของปลาไน คือ เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ไม่สิ้นเปลืองค่าเลี้ยงดูเพราะเป็นปลาที่กินอาหาร ธรรมชาติ เช่น พืชและสัตว์น้ าเล็กๆ อดทนต่อสิ่งแวดล้อม มีการเจริญเติบโตรวดเร็ว เป็นปลาที่ไม่
153 ท าลายกันเอง เมื่อถึงฤดูวางไข่ปลาก็จะท าการสืบพันธุ์ได้ในบ่อเป็นอย่างดี และมีลูกเป็นจ านวนมาก เนื้อของปลาไนก็ใช้ประกอบเป็นอาหารที่นิยมกันแพร่หลายมาแล้วในประเทศต่างๆ เช่น ในประเทศ จีน ประเทศญี่ปุ่น และประเทศอินโดนีเซีย ลักษณะและนิสัยของปลาไน ปลาไนเป็นปลาน้ าจืดชนิดหนึ่งในตระกูลปลาตะเพียนหรือ คาร์พ เป็นปลาที่มีร่างกายแข็งแรง รูปลักษณะคล้ายปลาตะเพียน มีเกล็ดกลมใหญ่ทั่วตัวนอกจาก ส่วนหัวไม่มีเกล็ด ปากเล็กไม่มีฟัน ริมฝีปากหนาและมีหนวดสี่เส้น ครีบหลังเป็นครีบเดียวยาว ส่วน สีของปลาไนแม้จะไม่เหมือนกันตามภูมิประเทศที่อยู่ของมันก็ตาม แต่โดยมากมักจะเป็นสีเงินปนเทา บางทีจะมีสีเหลืองแกมอ่อน บางตัวก็จะเป็นสีทองตลอดตัว ปลาไนชอบอยู่ในแม่น้ า ล าคลอง หนองบึง ที่พื้นดินเป็นโคลนกระแสน้ าไหลอ่อนเกือบจะ นิ่ง ชอบอยู่ในน้ าอุ่นมากกว่าน้ าเย็น ซึ่งมีอุณหภูมิระหว่าง 20-30 องศาเซลเซียส ไม่ชอบน้ าใส จนเกินไป ปกติมักชอบวางไข่ในที่ตื้น เป็นปลาที่อดทนต่อดินฟ้าอากาศ สามารถคุ้นเคยกับ ธรรมชาติได้ง่าย เช่น อุณหภูมิของน้ าในบ่อเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ าลงไปบ้างปลาไนก็จะอยู่ได้ ปลา ไนมีนิสัยขลาดแต่ก็สามารถฝึกให้เชื่องได้โดยวิธีการให้อาหาร กล่าวคือต้องระวังอย่าให้ปลาตกใจกลัว จนเกินไป หากว่ากลัวหรือตกใจเสียครั้งหนึ่งแล้ว กว่าจะท าให้คุ้นเคยหรือเชื่องได้อีกก็กินเวลานาน หรืออาจจะไม่เชื่องอีกเลยก็เป็นได้ 7.2 วิธีการเลี้ยงปลาไน การเลี้ยงปลาใหญ่ การเลี้ยงปลาใหญ่ หมายถึง การเลี้ยงปลาจนโตได้ขนาดที่จะส่งตลาด หรือเลี้ยงไว้เพื่อเป็น พ่อแม่พันธุ์ จึงจ าเป็นต้องใช้เนื้อที่บ่อให้มีขนาดใหญ่เพียงพอแก่ปริมาณปลาที่จะเติบโต อาหารและการให้อาหาร สิ่งส าคัญที่สุดคือเรื่องอาหาร หากจะให้ปลากินแต่อาหารซึ่งมีตาม ธรรมชาติภายในบ่อแล้ว ก็จะไม่เป็นการเพียงพอ ฉะนั้นการจัดอาหารเพิ่มเติมให้จึงมีความจ าเป็น อย่างยิ่ง ปลาจึงเจริญเติบโตรวดเร็วตามความประสงค์ ตามธรรมดาอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อปลา นอกจากจะมีพืชเล็กๆ และไรน้ าที่เรียกว่าแพลงก์ตอนแล้ว ยังมีพวกตะไคร่น้ า แหน ตัวอ่อนของ แมลง แมลง ไส้เดือนเล็กๆ และพวกลูกหอย ลูกกุ้ง ฯลฯ อาหารธรรมชาติเหล่านี้มีส่วนที่ช่วยให้ เพิ่มความเจริญเติบโตของปลาไน โดยเฉพาะอาหารจ าพวกแมลง เพราะแมลงนี้เองมีส่วนที่ท าให้ปลา ไนได้เพิ่มน้ าย่อยที่จะไปละลายอาหารประเภทอื่นที่จัดหามาเพิ่มเติม ดังนั้นตัวอ่อนของแมลงหรือ แมลงจึงมีบทบาทส าคัญเกี่ยวกับปลาไนด้วย ดังนั้นเพื่อที่จะให้อาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อได้มีอย่าง อุดมสมบูรณ์ตลอดเวลา จึงจ าเป็นจะต้องเพิ่มปุ๋ยจ าพวกมูลสัตว์ต่างๆหรือปุ๋ยหมักอยู่เสมอ การที่จะ เพิ่มปุ๋ยมากน้อยเพียงใดตลอดจนจ านวนครั้งที่จะใส่ปุ๋ยนั้น ก็โดยสังเกตจากสีของน้ าในบ่อเป็นเกณฑ์ ตามธรรมดาปลาไนไม่ค่อยจะเป็นโรคร้ายแรง และยังไม่เคยปรากฏว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้นแก่ปลาไนที่ เลี้ยงเลย เป็นแต่ในฤดูร้อนถ้าเลี้ยงปลาแน่นเกินไป หรือไม่ได้ท าการถ่ายเทน้ าอาจจะเกิดตัวเห็บน้ า
154 และหนอนสมอ เหล่านี้เป็นพยาธิที่จะเกาะกินเลือดปลาท าให้ปลาอ่อนเพลีย ไม่กินอาหารอาจถึง ตายได้ แต่เมื่อพ้นฤดูนี้ไปแล้วก็ไม่ค่อยปรากฏว่าเป็นโรคอื่นเลย สาเหตุของโรคที่เกิดขึ้นนั้นโดยมาก มักเนื่องมาจากคุณสมบัติของน้ าไม่ดี หรือน้ าเสียเป็นส่วนใหญ่ การขังก่อนออกจ าหน่ายตลาด เมื่อจับปลาออกจากบ่อเลี้ยงเพื่อจะน าออกสู่ตลาด หรือจะ น าไปจ าหน่ายนั้น ถ้าจับปลาแล้วล าเลียงไปตลาดในทันทีปลาอาจจะตายได้ง่าย ทั้งเนื้อปลาก็จะมีกลิ่น โคลนและอ่อนนิ่ม รสไม่ดี ราคาก็จะตก ขายไม่ได้ราคา เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเมื่อเลี้ยงอยู่ในบ่อ ปลาอยู่ในที่กว้าง ไม่ถูกรบกวนให้ตกใจ เมื่อถูกจับขึ้นมาและล าเลียงไปโดยกะทันหัน ปลาจะตื่นตกใจ กระโดดชนภาชนะล าเลียงท าให้บอบช้ าตายเป็นส่วนมาก ฉะนั้นทางที่ดีควรจะตีอวนมาขังไว้สักหนึ่งหรือ สองคืนก่อน ให้ปลาเคยชินอยู่ในที่แคบและในน้ าที่สะอาดแล้วจึงล าเลียงไปขาย ปลาไนก็จะมีชีวิตถึง ตลาดโดยปลอดภัย ได้ราคาดี และรสดีไม่มีกลิ่นโคลน ปลาไนที่ขายในท้องตลาดนั้น นิยมขายกันเป็น ปลาเป็น ถ้าตายแล้วมักจะไม่มีผู้นิยมซื้อกันและราคาตก เนื่องจากอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่ออาจไม่ เพียงพอกับจ านวนปลาที่เลี้ยงดังได้กล่าวแล้ว จึงจ าเป็นจะต้องหาอาหารมาเพิ่มเติมให้คือ แหนเป็ด และไข่น้ า ใช้โปรยให้กินสดๆ เศษผัก ผักบุ้ง ผักกาดขาว และเศษผักต่างๆ ใช้ต้มให้เปื่อย ผสมกับ ร าหรือปลายข้าว กากถั่วเหลืองที่มีขายตามท้องตลาด จะใช้แขวนหรือใส่กระบะไม้ไว้ในบ่อก็ได้ กากถั่ว ลิสง ใช้เช่นเดียวกับกากถั่วเหลือง ปลายข้าวและร าละเอียดใช้ต้มปลายข้าวให้สุกแล้วผสมกับร า ละเอียดปนกับเศษผักเล็กน้อย ส่วนอาหารจ าพวกสัตว์ เช่น ตัวไหม เลือด และเครื่องในสัตว์อื่นๆ ใน ต่างประเทศนิยมใช้ผสมปนกับอาหารดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งท าให้ปลาที่เลี้ยงเจริญเติบโตได้รวดเร็วขึ้น การให้อาหารควรให้เป็นที่ ตามบริเวณขอบบ่อเป็นเหมาะที่สุดโดยจะโยนอาหารให้กิน หรือ หาไม้มาท าแป้นใส่อาหารให้แก่ปลาโดยให้แป้นไม้อยู่ใต้ผิวน้ าประมาณ 30 เซนติเมตร หรือจะกะให้ พอเหมาะแก่ปลาที่เข้ามากินอาหารได้ถนัด วิธีนี้จะท าให้ปลารู้ที่ให้อาหารที่แน่นอน เวลาให้อาหารแก่ ปลานั้น ควรจะให้เป็นเวลาโดยให้เพียงวันละครั้งเดียวในตอนเช้า ปริมาณอาหารที่ให้ควรสังเกตดู ถ้าน้อยไปก็ให้เพิ่มขึ้นอีก ถ้าอาหารเหลือมากก็ลดน้อยลงตามสมควร ให้ประมาณ 5 % ของน้ าหนัก ทั้งหมดของปลาที่เลี้ยงในบ่อนั้น ส่วนแหนเป็ดและไข่น้ าควรจะให้มีอยู่ในบ่อเสมอ แต่ไม่ควรให้ มากกว่า 1 ใน 4 ของเนื้อที่ผิวน้ า ข้อสังเกตในการให้อาหารแก่ปลา ถ้าให้มากจนเกินไปเศษอาหารที่เหลืออยู่ในบ่อนั้นจะเกิด บูดเน่า ท าให้เกิดก๊าซที่เป็นอันตรายต่อปลามากขึ้น โดยท าให้ปลาอึดอัดหายใจไม่ออก ไม่กินอาหาร ปลาจะโผล่หัวขึ้นมาเหนือพื้นน้ า ถ้าทิ้งไว้นานปลาจะตายเป็นส่วนมากอาการเช่นนี้เราเรียกว่า “ปลาลอยหัว” ถ้าเห็นปลามีอาการเช่นนี้เมื่อใดให้รีบจัดการเปลี่ยนน้ าทันที ถ้าไม่มีทางจะเปลี่ยนน้ า ได้ให้หาทางตักเอาเศษอาหารที่เหลือนั้นขึ้นมาจากบ่อหรือย้ายปลาไปไว้บ่ออื่นโดยด่วน แล้วจึงค่อย จัดการถ่ายน้ าและเติมน้ าใหม่ลงไป
155 การเปลี่ยนถ่ายน้ า การเจริญเติบโตของปลาไน นอกจากเรื่องอาหารแล้ว ยังมีส่วน สัมพันธ์เกี่ยวกับน้ า การระบายน้ า การเปลี่ยนน้ า และการแบ่งเลี้ยงอีกด้วย ถึงแม้ว่าปลาไนจะอาศัย อยู่ในน้ าธรรมดาทั่วไปได้ดี แต่น้ าจากแม่น้ า ล าคลอง หนอง บึง ที่มีคุณสมบัติเป็นน้ าอ่อน เป็นน้ า ที่เหมาะแก่การเลี้ยงปลาไน น้ าตามล าห้วยล าธารใกล้เขาและน้ าเย็นจัดนั้นไม่เหมาะแก่การเลี้ยงปลา ชนิดนี้ เพราะมีธาตุต่างๆเจือปนอยู่ด้วยและน้ านั้นมีอาหารธรรมชาติอยู่น้อย ฉะนั้นถ้าจะน าน้ านี้มา เลี้ยงปลาไน ถึงปลาไม่เป็นอันตรายก็จริงแต่จะท าให้ปลาเจริญเติบโตช้ามาก การระบายน้ าและการเปลี่ยนน้ า บ่อเลี้ยงปลาไนไม่จ าเป็นต้องระบายน้ าให้ไหลเข้าอยู่เสมอ เหมือนกับการเลี้ยงปลาบางชนิด เพราะปลาไนเป็นปลาที่ชอบอาศัยในน้ านิ่ง และการถ่ายเทน้ านี้จะ ท าให้อาหารธรรมชาติที่เพาะขึ้นในบ่อโดยการใส่ปุ๋ยนั้นลดน้อยลงหรือสูญเสีย แต่ถึงกระนั้นก็ตามถ้า ขุดบ่อใหม่แล้ว การเลือกหาท าเลภูมิประเทศที่ใกล้แม่น้ าล าคลองนั้น มีความจ าเป็นอย่างยิ่งแก่การ เลี้ยงปลา เพราะถ้าน้ าในบ่อเกิดเสียขึ้น จะได้มีโอกาสถ่ายเทหรือเปลี่ยนน้ าได้ตามความต้องการ มิฉะนั้นแล้วจะต้องใช้เครื่องสูบน้ า ซึ่งจะท าให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากโดยไม่จ าเป็น การแบ่งเลี้ยง การแบ่งเลี้ยงเป็นสิ่งจ าเป็นและส าคัญมากส าหรับการเลี้ยงปลา เพราะปลาตัว หนึ่งๆ ต้องมีเนื้อที่ให้พอเหมาะแก่การอยู่อาศัยของปลาเช่นเดียวกับพืช ถ้าปลูกถี่หรือหนาแน่นเกินไป แล้วจะได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร แม้จะให้ปุ๋ยมากเพียงไรก็ตาม ปลาก็เช่นเดียวกันแม้จะให้อาหารมาก เพียงไร แต่ถ้าปล่อยให้อยู่กันแน่นเกินไปปลาก็จะไม่เจริญเติบโต ดังนั้นเมื่อปลาโตขึ้นจ าเป็นต้องขยับ ขยายให้มีเนื้อที่กว้างขวางออกไป หรือมิฉะนั้นก็จะต้องท าการแบ่งเลี้ยงไปบ่ออื่นเสียบ้าง อีกประการหนึ่ง ลูกปลาย่อมเจริญเติบโตไม่เท่ากัน โตบ้างเล็กบ้างเป็นธรรมดา ถ้าจะเลี้ยง รวมกันไป จะท าให้ลูกปลาที่เล็กกว่าไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร เพราะเวลาให้อาหารปลาใหญ่กว่าจะ แย่งกินอาหารเสียหมด หรือบางทีตัวเล็กก็เข้าไปไม่ถึง เพราะถูกตัวใหญ่กว่ารังแก เหตุนี้จึงท าให้ ปลาตัวเล็กต้องอดอาหาร ได้กินไม่เพียงพอกับความต้องการปลาจึงไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ดังนั้น จึงควรคัดปลาที่มีขนาดไล่เลี่ยกันเลี้ยงในบ่อเดียวกัน ปลารุ่นหนึ่งๆที่จะเลี้ยงจนโตส่งตลาดได้นั้น ควรคัดขนาดและแบ่งเลี้ยงประมาณ 3-4 ครั้ง ขนาดปลา (ซม.) ควรเลี้ยงปลาประมาณ (ตัว/ไร่) 3-5 5-10 มากกว่า 10 20,000-25,000 ตัว 4,000-5,000 ตัว 800-1,200 ตัว ที่มา : กรมประมง , 2549 ตารางที่ 8 แสดงอัตราการเลี้ยงปลาไนในบ่อต่อเนื้อที่ 1 ไร่
156 ศัตรู โรคและพยาธิ ปลาไนเป็นปลาที่ไม่ดุร้าย และมีปลาบางชนิดที่เป็นศัตรูของปลาไน ซึ่งได้แก่ ปลาจ าพวกที่กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น ปลาชะโด ปลาช่อน ปลาบู่ ปลาเทโพ ฯลฯ ศัตรู อื่นซึ่งมักจะพบเสมอ ได้แก่ กบ เขียด เต่า ตะพาบน้ า เหี้ย นาก และนก เป็นต้น 8. การเลี้ยงปลาจีน (Chinese carp) ปลาเฉา ชื่อสามัญ Grass carp ชื่อวิทยาศาสตร์ Ctenopharyngodon idellus ปลาลิ่น ชื่อสามัญ Silver carp ชื่อวิทยาศาสตร์ Hypopthalmichthys molitrix ปลาซ่ง ชื่อสามัญ Bighead carp ชื่อวิทยาศาสตร์ Aristichthys nobilis ภาพที่ 22 แสดงรูปร่างของปลาเฉา ที่มา : http://www.jawnoyfishing.blogspot.com ภาพที่ 23 แสดงรูปร่างของปลาลิ่น ที่มา : http://www.jawnoyfishing.blogspot.com
157 ภาพที่ 24 แสดงรูปร่างของปลาซ่ง ที่มา : http://www.jawnoyfishing.blogspot.com 8.1 ลักษณะทั่วไปของปลาจีน ชาวจีนรู้จักวิธีการเลี้ยงปลาโดยมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานมากกว่า 2,000 ปี ส าหรับ พันธุ์ปลาจีนที่ได้ท าการคัดเลือกขึ้นมาใช้ในการเพาะเลี้ยงจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ปลาเฉา ปลาลิ่น ปลา ซ่ง ปลาสร้อยน้ าเงิน ปลาวูซัง วิธีการเลี้ยงนั้นชาวจีนได้ยึดหลักการเลี้ยงปลาแบบรวมกันในบ่อเดียว (Polyculture) โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางชีววิทยาในการก่อให้เกิดอาหารปลาและผลผลิตปลา การ ใช้ประโยชน์ที่เกิดขึ้นในบ่ออย่างเต็มที่ ส าหรับการน าพันธุ์ปลาจีนดังกล่าวเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย สันนิษฐานว่าน าเข้ามาโดยชาวจีนอพยพที่เข้ามาท ามาหากินในเมืองไทยเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว ภายหลังที่กรมประมงสามารถเพาะพันธุ์ปลาไนได้ การน าปลาจีนเข้ามาจากต่างประเทศก็ลดลง ปัจจุบันเกษตรกรไทยสามารถเพาะพันธุ์ปลาจีนขึ้นได้ด้วยวิธีผสมเทียม ดังนั้นกรมประมงจึงได้ออก ระเบียบห้ามน าพันธุ์ปลาจีนเข้ามาในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมอาชีพแก่เกษตรกรไทยให้มีความมั่นคง ยิ่งขึ้น และเป็นการลดค่าใช้จ่ายเงินตราที่จะต้องใช้ในการซื้อสินค้าจากต่างประเทศ (ชาติชาย , 2543) ปัจจุบันมีผู้เลี้ยงปลาจีนน้อยลง ทั้งนี้เนื่องมาจากประชาชนไม่นิยมบริโภคปลาจีนชนิด ปลา เฉา ปลาเล่ง ปลาซ่ง เพราะเป็นปลาชนิดใหม่และมีข้อจ ากัดในด้านการเลี้ยง เพราะต้องใช้เนื้อที่บ่อ เลี้ยงขนาดใหญ่ และเมื่อผลิตได้มากก็ไม่มีตลาดจ าหน่าย กับทั้งราคาที่จ าหน่ายได้ก็ค่อนข้างต่ า แต่ ข้อดีของปลาทั้ง 3 ชนิดก็คือ มีความเหมาะสมที่จะผลิตและปล่อยลงหนองบึง อ่างเก็บน้ า ท านบ ปลา บ่อปลา เพื่อใช้ประโยชน์จากอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ ชีวประวัติ เพื่อให้ทราบถึงรูปร่างและลักษณะชีวิตความเป็นอยู่ของปลาจีน ในด้าน นิเวศวิทยา เช่น นิสัยในการกินอาหาร การผสมพันธุ์ การวางไข่และฟักไข่ ตลอดจนขบวนการที่ใช้ ในการผลิตจากการเพาะเลี้ยง จึงควรท าความรู้จักกับปลาจีนบางพันธุ์ ดังนี้ (ชาติชาย , 2543)
158 1. ปลาเฉา ส่วนหัวค่อนข้างแบน ปากอยู่ปลายสุดเฉียงขึ้นเล็กน้อย ขากรรไกรล่างสั้นกว่า ขากรรไกรบน ตาเล็ก ซี่เหงือกจะติดต่อกับแก้ม ซี่กรองเหงือกห่างและสั้น ฟันคอหอยมีอยู่ 2 แถว คล้ายหวี ข้างซ้ายมี 2-5 ซี่ ข้างขวามี 2-4 ซี่ ครีบหลังสั้นมีก้านครีบเดี่ยว 3 ก้าน ก้านครีบ แขนง 7 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 3 ก้าน และก้านครีบแขนง 8 ก้าน ครีบอกมีก้านครีบ เดี่ยว 2 ก้าน ก้านครีบแขนง 14 ก้าน ครีบท้องมีก้านครีบเดี่ยว 1 ก้าน ครีบแขนง 8 ก้าน เกล็ด ขนาดใหญ่บริเวณเส้นข้างตัว 34-35 เกล็ด ล าตัวรูปกระสวยคล้ายรูปกระบอก หางแบนข้าง ส่วน หลังสีด าน้ าตาล ส่วนท้องขาว ปลาเฉาเป็นปลาที่จัดอยู่ในประเภทกินหญ้าหรือวัชพืชในน้ า มีลักษณะพิเศษคือฟันที่คอหอย มีลักษณะงุ้มคล้ายเล็บเสือขนาดใหญ่ 4 ซี่ และขนาดเล็ก 2 ซี่ มี 2 แถวประสานกันคล้ายหวี ซึ่ง สามารถใช้บดและตัดหญ้าได้ ปลาวัยอ่อนจะกินอาหารจ าพวกแพลงก์ตอน และเมื่อปลาโตขึ้นมี ขนาด 10 เซนติเมตร ฟันที่คอหอยเจริญแข็งแรงก็สามารถกินอาหารพวกหญ้าและพันธุ์ไม้น้ าชนิด ต่างๆ ได้ ปลาเฉาที่เลี้ยงในบ่อขนาด 15 เซนติเมตร จะกินอาหารสมทบได้หลายชนิด เช่น กาก ถั่วเหลือง กากถั่วลิสง ร าข้าว กากเบียร์ มันฝรั่ง ธัญพืช ใบและล าต้นของผัก หญ้า และใบอ้อย สด 2. ปลาลิ่น ส่วนหัวมีขนาดปานกลาง ปากเชิดขึ้นเล็กน้อยอยู่ปลายสุดของส่วนหัว ขากรรไกรล่างเฉียงขึ้นบนเล็กน้อย ตาค่อนข้างเล็กและอยู่ใต้แนวระดับกึ่งกลางล าตัว ส่วนหนังของ เหงือกไม่เชื่อมสนิทกับแก้มส่วนล่าง ซี่กรองเหงือกติดต่อกันเหมือนตะแกรงที่มีลักษณะคล้ายฟองน้ า ส่วนที่คอหอยมีข้างละแถว ๆ ละ 4 ซี่ พื้นหน้าตัดของฟันแบนเป็นร่องละเอียด ครีบหลังมีก้านครีบ เดี่ยว 3 ก้าน และก้านครีบแขนง 7 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 3 ก้าน และก้านครีบแขนง 12-13 ก้าน ครีบอกมีก้านครีบเดี่ยว 1 ก้าน และก้านครีบแขนง 17 ก้าน ครีบท้องมีก้านครีบ เดี่ยว 1 ก้าน และก้านครีบแขนง 8 ก้าน เกล็ดบนเส้นข้างตัวมี 110-123 เกล็ด ล าตัวรูป กระสวยแบนข้าง ส่วนท้องเป็นสันยาวจากอกถึงรูก้น ล าตัวส่วนหลังสีด าเทา ส่วนอื่นๆ สีเงิน ปลา ลิ่นเป็นปลาที่จัดอยู่ในประเภทกินแพลงก์ตอน โดยมีซี่เหงือกละเอียดและถี่ส าหรับกรองอาหาร ธรรมชาติขนาดเล็ก ปลาชนิดนี้จะกินพวกแพลงก์ตอนพืชเป็นส่วนใหญ่และแพลงก์ตอนสัตว์เป็นส่วน น้อย คือมีอัตราส่วนประมาณ 250 : 1 นอกจากนี้ปลาที่เลี้ยงในบ่อยังกินอาหารสมทบอื่นๆได้อีก เช่น กากถั่ว ปลายข้าว ร า เป็นต้น 3. ปลาซ่ง ส่วนหัวใหญ่มีความยาวประมาณ 1 ใน 3 ของล าตัว ปากอยู่ปลายสุดและ เชิดขึ้นข้างบน ขากรรไกรล่างเฉียงขึ้นข้างบนเล็กน้อย ตาค่อนข้างเล็กอยู่ต่ าเยื้องลงมาทางส่วนหน้า ผิวหนังเหงือกไม่ติดกับแก้ม ซี่กรองเหงือกถี่และมีขนาดเล็กแต่ไม่ติดกัน ที่คอหอยมีฟันข้างละแถว ๆ ละ 4 ซี่ พื้นหน้าตัดของฟันแบนและเรียบ ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว 3 ก้าน และก้านครีบแขนง 7 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 3 ก้าน และก้านครีบแขนง 11-14 ก้าน ครีบอกมีก้านครีบเดี่ยว
159 1 ก้าน และก้านครีบแขนง 17 ก้าน ครีบท้องมีก้านครีบเดี่ยว 1 ก้าน และก้านครีบแขนง 8 ก้าน เกล็ดเล็กที่เส้นข้างตัวมี 95-105 เกล็ด ล าตัวรูปกระสวย ส่วนท้องบริเวณหางแบนข้างและ เป็นสัน ส่วนหลังจะด าคล้ าบางแห่ง ส่วนท้องเหลือง ปลาซ่งเป็นปลากินแพลงก์ตอนเช่นเดียวกับปลาลิ่น แต่จะกินแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหารหลัก แพลงก์ตอนพืชเป็นอันดับรอง และอาหารสมทบอื่นๆ เช่น กากถั่ว ปลายข้าว และร า ฯลฯ ความเป็นอยู่ ปลาเฉา ปลาลิ่น จะอยู่อาศัยในระดับความลึกของน้ าแตกต่างกัน เนื่องจาก นิสัยการกินอาหารต่างกัน คือปลาเฉาอยู่ระหว่างกลางน้ า หรือต่ าลงไปและชอบอยู่ใกล้ๆฝั่ง ปลาลิ่น และปลาซ่งอาศัยเหนือระดับกลางน้ าเล็กน้อย อุณหภูมิในน้ าที่เหมาะสมต่อการด ารงชีวิตและการเจริญเติบโตที่ดีคือระหว่าง 25-30 องศา เซลเซียส เมื่ออุณหภูมิของน้ าต่ ากว่า 15 องศาเซลเซียส ปลาจีนจะกินอาหารลดลง และจะหยุดกิน อาหารเมื่ออุณหภูมิต่ ากว่า 10 องศาเซลเซียส ความเป็นกรดเป็นด่าง 7- 8.5 ดีที่สุด ปริมาณออกซิเจนในน้ าจะต้องสูงกว่า 2 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) เมื่อปริมาณออกซิเจนต่ า กว่า 2 ส่วนในล้านส่วน ปลาจะกินอาหารน้อยลง และหยุดกินอาหารเมื่อออกซิเจนต่ ากว่า 1 ส่วน ในล้านส่วน ปลาจะลอยหัวและตายเมื่อออกซิเจนในน้ าอยู่ในระดับ 0.2-0.5 ส่วนในล้านส่วน ปลาจีนที่เลี้ยงในมณฑลกวางตุ้งของจีน จะเริ่มวางไข่ตั้งแต่เดือนเมษายน ส่วนปลาจีนที่ เลี้ยงในประเทศไทย คือ ปลาเฉา ปลาลิ่น และปลาซ่ง จะเริ่มวางไข่ได้ในเดือนพฤษภาคม ดังนั้น การขุนอาหารเพื่อเลี้ยงพ่อแม่ปลา ควรเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 8.2 วิธีการเลี้ยงปลาจีน ก่อนที่จะพิจารณาเลี้ยงปลาจีน มีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ดุลพินิจดูข้อดีข้อเสียของ การเลี้ยงปลาจีนเสียก่อน ทั้งในด้านชีววิทยา อาหารและปุ๋ยที่จะใช้ ต้นทุนและผลผลิตที่จะได้ ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ เช่น ในด้านตลาดในปัจจุบัน ปลาจีนชนิดปลาเฉา ปลาลิ่น และปลาซ่ง นิยม บริโภคกันในหมู่คนจีนเท่านั้น ความต้องการบริโภคจึงอยู่ในขีดจ ากัด อย่างไรก็ตามข้อดีและข้อเสีย ในการเลี้ยงปลาจีนมีปัจจัยต่างๆ ที่ควรพิจารณาดังนี้ ข้อดี 1. นิสัยในการกินอาหารสอดคล้องกับอาหารธรรมชาติที่มีในบ่อ โดยใช้หญ้าเป็นอาหาร ของปลาเฉา และการใส่ปุ๋ยคอกก่อให้เกิดอาหารจ าพวกแพลงก์ตอนเป็นประโยชน์ต่อปลาลิ่น ปลาซ่ง และมีปลาไนกินอาหารตามก้นบ่อ 2. โดยทั่วไป บ่อที่ใช้เลี้ยงปลาจีนหากเป็นบ่อเก่าขนาดใหญ่ที่ขุดดินไปถมที่ การจัดการใน เรื่องสูบน้ าเข้าออกท าไม่ได้ จึงเป็นบ่อที่มีลักษณะเป็นแหล่งน้ าธรรมชาติ แต่สามารถจะด าเนินการ เลี้ยงปลาจีนได้ โดยปล่อยปลาขนาดใหญ่ 10-15 เซนติเมตร และจับปลาโตด้วยแหหรืออวน ข้อดีที่ ส าคัญที่สุดก็คือ ไม่มีปัญหาเรื่องทุนที่จะใช้ขุดบ่อ อาจจ่ายเงินลงทุนเป็นค่าเช่าบ่อประจ าปีเท่านั้น
160 3. ปลาที่จ าหน่ายได้ราคาดี ต้องเป็นปลาเป็นที่กรุงเทพ ฯ มีย่านตลาดเยาวราชเป็นศูนย์ กลางของการจ าหน่ายปลาจีนแต่เพียงแห่งเดียว ข้อเสีย 1. การเลี้ยงปลาแบบนี้ เป็นแบบดั้งเดิมที่ไม่เหมาะในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะได้ผลผลิต ต่ าเพียงไร่ละ 300 - 500 กิโลกรัม และหากจะเพิ่มผลผลิตโดยให้อาหารสมทบ เช่น ร า ปลาย ข้าว และกากถั่ว ก็มีผลตอบแทนน้อยกว่าปลาชนิดอื่น 2. การเลี้ยงปลาจีนต้องใช้บ่อขนาดใหญ่ เนื้อที่ตั้งแต่ 1 ไร่ขึ้นไป อัตราการปล่อยก็หนาแน่น ไม่ได้ เพราะน้ าที่ใช้เลี้ยงปลาจีนต้องมีคุณภาพดี มีปริมาณออกซิเจนสูง ส่วนการขุดบ่อขนาดใหญ่ ต้องใช้ทุนสูง ไม่คุ้มค่าที่จะเลี้ยงปลาจีนแบบรวม 3. การจ าหน่ายปลาใหญ่ถ้าเป็นปลาตายราคาต่ ามาก คือมีราคาเท่าๆ กับปลานิลหรือปลา สวาย บางทีราคาต่ ากว่าอีกด้วย ทั้งนี้เพราะคนไทยไม่นิยมบริโภคปลาจีน ปลาที่เลี้ยงในบ่อดินมักใช้ ปากชอนไชเชิงลาดของบ่อ ท าให้เกิดการพังทลายของดิน ในข้อดี ควรน าเอานิสัยในการกินอาหารของปลาจีนแต่ละชนิดไปประยุกต์ใช้ในการเพิ่มพูน ผลผลิตของปลาที่เลี้ยงแบบรวมในบ่อด้วยวิธีพัฒนา (Intensive culture) โดยพิจารณาปล่อยปลาแต่ ละชนิดจ านวนมากน้อย ให้สอดคล้องกับปริมาณอาหารที่มีอยู่ในบ่อที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ คือ การเลี้ยงปลาจีนแบบรวม ใช้บ่อขนาดใหญ่ตั้งแต่ 1 ไร่ขึ้นไป ปล่อยปลาเฉา ปลาลิ่น ปลา ซ่ง อัตราส่วน 7 : 2 : 2 หรือ 2 : 1 : 1 อัตราส่วนที่ปล่อย 4 ตารางเมตร ปลา 1 ตัว ขนาดของ ปลาที่ปล่อยถ้าเป็นบ่อขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถก าจัดศัตรูพืชได้ก็ปล่อยปลาโตขนาด 10-15 เซนติเมตร โดยใช้หญ้าสดเป็นอาหารและใส่ปุ๋ยเป็นหลัก การเลี้ยงปลาจีนแบบดั้งเดิมกล่าวนี้ ถ้าจะใช้พ่อแม่ปลา ในการเพาะผสมเทียม ควรให้อาหารสมทบ เช่น กากถั่วลิสงแช่น้ า 1 คืน หรืออาหารผสมมีปลายข้าว ร า และปลาป่น มีอัตราส่วนของโปรตีน 30 % ให้วันละ 1-2 % ของน้ าหนักปลาด้วย การเลี้ยงปลาจีนในคอก ซึ่งอาจจะท าได้โดยเลือกที่ในแหล่งน้ าที่เป็นอ่าว มีความลึกของน้ า ในระดับ 3-5 เมตร และในที่ดังกล่าวควรจะมีระดับน้ าต่ าสุดประจ าปีประมาณ 1.5 เมตร หรือท า การกั้นคอกในบริเวณชายฝั่งที่กันลมพายุได้ ขนาดของคอกควรมีพื้นที่ประมาณ 200-1,600 ตาราง เมตร เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยใช้อวนพลาสติกขนาดช่องตาประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ตาม ขนาดของปลาที่จะเลี้ยง ใช้เสากระทู้ไม้ไผ่หรือไม้จริงปักเป็นหลักห่างกันประมาณ 3 เมตร แล้วใช้ไม้ ไผ่ผูกติดยึดตรึงให้แน่น เพื่อใช้เป็นโครงยึดเนื้ออวน ปลาจีนที่ปล่อยเลี้ยงควรใช้ปลาเฉาเป็นหลัก เพราะในแหล่งน้ าต่างๆมีพันธุ์ไม้น้ าที่น ามาใช้ เป็นอาหารได้มากมาย ขนาดของปลาเฉาที่ปล่อยเลี้ยงควรมีขนาดไม่ต่ ากว่า 15 เซนติเมตร เพราะ ปลาขนาดนี้มีฟันคอหอยที่สมบูรณ์พอที่จะบดตัดหญ้าหรือวัชพืชน้ าได้ ส่วนปลาชนิดอื่นๆ เช่น ปลา
161 ลิ่น ปลาซ่ง ควรปล่อยรวมกันประมาณ 30 % ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของอาหารธรรมชาติที่ เหมาะสมกับนิสัยของปลาแต่ละชนิด อัตราส่วนที่ปล่อยต่อพื้นที่ประมาณ 1-2 ตัวต่อตารางเมตร การเลี้ยงปลาจีนแบบรวมและพัฒนา ปัจจุบันเป็นที่นิยมและได้ผลดีในการเพิ่มผลผลิตของ ปลาในบ่อที่เลี้ยงปลาแบบรวม โดยใช้ปลาจีนเลี้ยงรวมด้วย เพื่อใช้ประโยชน์จากอาหารที่มีเหลืออยู่ ในบ่อ เช่น หญ้าหรือวัชพืชน้ า แพลงก์ตอน ตัวอ่อนของแมลง ฯลฯ ตัวอย่างได้แก่ การเลี้ยงปลาสวายในบ่อร่วมกับปลานิล โดยใช้เศษอาหารเหลือจากภัตตาคาร ในการนี้จะปล่อยปลาเฉา ปลาลิ่น ปลาซ่ง เพิ่มขึ้นอีกไร่ละประมาณ 20 ตัว นอกจากนี้ยังใช้ลูก ปลาช่อนหรือปลาบู่อีกไร่ละ 20 ตัว เพื่อควบคุมประชากรของปลานิล ทั้งนี้เมื่อรวมลูกปลาทั้งหมดที่ จะปล่อยประมาณ 5 ตัว/1 ตารางเมตร และด าเนินการเลี้ยงแบบพัฒนา โดยมีการจัดการที่ดีใน ด้านอาหารปลา การรักษาคุณสมบัติของน้ าในบ่อ ตลอดจนการคัดเลือกจับปลาที่มีขนาดใหญ่ จ าหน่าย และการปรับปรุงบ่อภายหลังที่ใช้เลี้ยงปลามาแล้ว ในระยะ 1 ปี ผลผลิตของปลาโดย การเลี้ยงปลาแบบรวมดังกล่าวนี้จะได้ประมาณ 1,000-2,000 กิโลกรัมต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาหารที่ใช้ เลี้ยงปลาและสถานที่ตั้งของบ่อที่อยู่ในท าเลที่ดี เช่น อยู่ใกล้แม่น้ าล าคลองสามารถสูบน้ าถ่ายเทได้ สะดวกทุกฤดูกาล ตลาดและการล าเลียงปลา ปลาจีนเป็นที่นิยมในกลุ่มชาวจีนส่วนใหญ่ ดังนั้นตลาดขาย ปลาจีนจึงอยู่ในกลุ่มที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ เช่น ตลาดเก่าเยาวราช กรุงเทพฯ นอกจากนี้ตามตลาดสด ใหญ่ๆ ก็มีปลาจีนวางจ าหน่ายเช่นกัน การจ าหน่ายปลาจีนนิยมจ าหน่ายในลักษณะปลาเป็นๆ โดย ผู้ขายจะน าปลามาขังไว้ในกระบะใส่น้ าเพื่อขังปลาไว้ จนผู้ซื้อมาเลือกซื้อตกลงราคากันได้ แล้วจึงฆ่า ปลาขอดเกล็ด ควักไส้ หั่นเป็นท่อนน าไปปรุงอาหาร เมื่อลักษณะการจ าหน่ายปลาเป็นแบบที่กล่าวข้างต้น การจับและล าเลียงปลาจีนสู่ตลาดจึง เป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยาก เริ่มด้วยก่อนการจับปลา ผู้จับปลาต้องมีการนัดหมายกับแผงขายปลาให้ แน่นอนถึงจ านวนปลาและขนาดปลาที่จะขายหมดในแต่ละวัน จากนั้นจึงใช้อวนตีจับปลาในเวลา กลางวัน มาขังไว้ในกระชังอวนเปล ใช้เครื่องปั๊มน้ าสูบน้ าพ่นเพิ่มออกซิเจนเพื่อไม่ให้ปลาตาย จนกระทั่งเวลาประมาณตี 4 ของวันรุ่งขึ้น จึงล าเลียงปลาใส่ท้ายรถกระบะใส่น้ าส่งไปสู่ตลาด ในสภาพ นี้ปลาจะถึงตลาดในสภาพที่ยังมีชีวิต รอจนผู้ซื้อมาซื้อต่อไป
162 9. การเลี้ยงปลานวลจันทร์เทศ ชื่อสามัญ Mrigal ชื่อวิทยาศาสตร์ Cirrhinus mrigala ภาพที่ 25 แสดงรูปร่างของปลานวลจันทร์เทศ ที่มา : http://www.fisheries.go.th/if-phattalun...ture.htm 9.1 ลักษณะทั่วไปของปลานวลจันทร์เทศ ปลานวลจันทร์เทศ เป็นปลาที่มีพื้นเพเดิมอยู่ในตอนเหนือของประเทศอินเดีย ปลาตัวนี้เป็น ปลาชนิดหนึ่งในจ านวน 3 ชนิด จากประเทศอินเดียที่ได้น าเข้ามาในประเทศไทย ได้แก่ ปลายี่สก เทศ ปลานวลจันทร์เทศ ปลากระโห้เทศ หลังจากที่ได้น าพันธุ์ปลาชนิดนี้เข้ามาในประเทศไทย ก็ได้ มีการเพาะขยายพันธุ์แบบผสมเทียมส าเร็จ จนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย รูปร่างและอุปนิสัย ปลานวลจันทร์เทศเป็นปลามีเกล็ด วงศ์เดียวกับปลาตะเพียนขาว ปลาไน ฯลฯ มีรูปร่างป้อม มีหนวด 1 คู่ ฐานของครีบหลังอยู่ใกล้มาทางจะงอยปากมากกว่าฐาน ของครีบหาง ขนาดของเกล็ดปานกลาง เกล็ดเส้นข้างตัว 40-45 เกล็ด ครีบหางเว้าลึก ล าตัวมีสีเงิน และมีสีเทาเข้มทางด้านหลัง ส่วนบริเวณครีบอกและครีบก้นมีสีชมพูอ่อน ตามีสีทอง เพศผู้มีล าตัวเรียวยาว ครีบหูมีตุ่มเล็กๆ เมื่อใช้มือลูบครีบหูจะรู้สึกสากมือ เมื่อถึงฤดูผสม พันธุ์ช่องเพศมีลักษณะเป็นวงรีเล็ก ถ้าใช้มือบีบช่องท้องใกล้อวัยวะสืบพันธุ์จะมีน้ าสีขาวข้นไหล ออกมา เพศเมียมีล าตัวอ้วนป้อม ครีบหูลื่นไม่สากเหมือนตัวผู้ เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ส่วนท้องจะขยาย ใหญ่ขึ้นเห็นชัดเจน พื้นท้องนิ่ม ช่องเพศเป็นวงกลมบวมมีสีชมพูอ่อนๆ ปลานวลจันทร์เทศเป็นปลาที่ชอบอาศัยอยู่ในแม่น้ า และอ่างเก็บน้ า เป็นปลาที่ได้รับการ คัดเลือกแล้วว่าเหมาะสมส าหรับเลี้ยงในบ่อ หนอง บึง เป็นปลาที่ไม่แพร่พันธุ์เองในบ่อเลี้ยง แต่
163 บางครั้งอาจแพร่พันธุ์เองในอ่างเก็บน้ า หากมีสภาพและภาวะที่เหมาะสม ในประเทศอินเดียได้มีการ รวบรวมพันธุ์ตามแม่น้ าซึ่งเป็นแหล่งน้ าธรรมชาติเพื่อน ามาท าการเลี้ยงปลาชนิดนี้เป็นปลาที่ หากินตาม พื้นท้องน้ า ชอบกินซากสัตว์และพืชที่เน่าเปื่อย หรือกินได้ทั้งอาหารประเภทพืชและสัตว์ บางทีก็หา อาหารตามระดับกลางน้ าได้ด้วย ลูกปลาขนาดเล็กจนถึง 2.5 เซนติเมตร ชอบกินแพลงก์ตอนสัตว์ โดยเฉพาะกุ้งและโรติเฟอร์ ส่วนแพลงก์ตอนพืชอาจกินบ้างในบางโอกาส ปลาใหญ่กินสาหร่ายสีน้ าเงิน แกมเขียว สาหร่ายสีเขียว และพวกเศษเล็กๆ ของพืชชั้นสูง ซึ่งเมื่อรวมกันเข้าก็ประมาณ 50 % ของ อาหารที่ปลากินทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นพืชเน่าเปื่อย โคลน และอินทรีย์สารในดิน 9.2 วิธีการเลี้ยงปลานวลจันทร์เทศ ในการเลี้ยงปลานวลจันทร์เทศในประเทศไทยนั้น เท่าที่ปรากฏมีการเลี้ยงในบ่อดิน การ เลี้ยงในนา และการปล่อยลงแหล่งน้ าธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ การเลี้ยงในบ่อดินนั้นไม่นิยมเลี้ยงปลา ชนิดเดียว แต่นิยมเลี้ยงแบบรวมกับปลาชนิดอื่นๆ โดยมีสุกรและเป็ดเป็นหลัก ส่วนการเลี้ยงในนา และการปล่อยลงในแหล่งน้ าธรรมชาติ ก็เป็นการเลี้ยงแบบรวมกับปลาชนิดอื่นๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม มีวิธีการและแบบการเลี้ยงที่พอจะใช้เป็นหลักเท่าที่มีอยู่ดังต่อไปนี้ (ชาติชาย , 2543) การเลี้ยงในบ่อดิน การเลี้ยงแบบชนิดเดียว การเลี้ยงด้วยวิธีนี้จะไม่ค่อยนิยมกันนัก เพราะ ในทางปฏิบัติแล้ว การเลี้ยงปลาแบบรวมนั้นจะให้ผลผลิตดีกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเลี้ยงแบบ ชนิดเดียวไม่ได้ ต้องใช้ปุ๋ยจากมูลสัตว์มาใส่บ่อปลา และท าปุ๋ยหมักไว้บนบ่อปลา เพื่อให้เกิดอาหาร ธรรมชาติ ตลอดจนพืช สัตว์ในบ่อดิน ให้กินพืชผักหรือเศษที่เหลือใช้หรือขาย ซึ่งเป็นอาหารเสริม ราคาถูกและอาหารจ าพวกร า ปลายข้าวต้มผสมกับผักเช่นที่เลี้ยงปลาในบ่อทั่วๆไป การปล่อยปลา ชนิดนี้ลงบ่อดิน ควรเป็นอัตรา 2,000-3,000 ตัว / ไร่ ใช้เวลา 1 ปี 3 เดือน ส่วนการเลี้ยงแบบ รวมและการเลี้ยงแบบผสมผสานในบ่อดินนั้นเป็นแบบที่เลี้ยงที่มีการนิยมมากในหมู่ผู้เลี้ยงเป็นอาชีพ ทั่วไป การเลี้ยงในนา ปลานวลจันทร์เทศปล่อยเลี้ยงในนา โดยการปล่อยลูกปลานวลจันทร์เทศรวม กับปลาชนิดอื่นๆ เช่น ปลานิล ปลาไน ปลาตะเพียนขาว ปลาลิ่น และปลาซ่ง อาศัยปุ๋ยจากคอกหมู ที่เลี้ยงไว้ในนา และร าข้าวบางครั้งบางคราว ปลานวลจันทร์เทศมีการเจริญเติบโตดีมาก การปล่อยลงเลี้ยงในแหล่งน้ าธรรมชาติ แม้ว่าปลานวลจันทร์เทศจะเป็นปลาที่มีการเลี้ยงไม่ แพร่หลายในระยะต่อมา แต่ก็เป็นปลาที่น่าสนใจและมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมในการเลี้ยงมาก ขึ้น โดยเฉพาะการเลี้ยงแบบผสมผสาน โดยเลี้ยงรวมกับปลานิล ปลาตะเพียนขาว ปลาไน ปลา ยี่สกเทศ ปลาซ่ง ปลาลิ่น ปลาเฉา ปลาสวาย และปลาบึก โดยใช้สุกร และเป็ดเป็นสัตว์บกที่ให้ มูลลงบ่อโดยไม่มีการให้อาหารปลาเลย นอกจากมูลสัตว์ที่ล้างลงบ่อเท่านั้น ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ
164 10 เดือน ปรากฏว่าปลานวลจันทร์เทศโตเร็วและมีอัตรารอดสูง เมื่อเทียบกับปลานิล ปลาตะเพียน ขาว และปลายี่สกเทศ ปลานวลจันทร์เทศได้รับความนิยมในหมู่คนไทยมากกว่าปลาคนจีน ดังจะเห็นได้จากปลาทั้ง สองชนิดนี้มีวางขายตามตลาดสดทั่วไป ปลาที่มีน้ าหนัก 1-3 กิโลกรัม เป็นขนาดที่นิยมบริโภคกัน มาก 10. การเลี้ยงปลาบึก ชื่อสามัญ Mekong giant catfish หรือ huge fish ชื่อวิทยาศาสตร์ Pangasianodon gigas ภาพที่ 26 แสดงรูปร่างของปลาบึก ที่มา : http://www.seedang.com 10.1 ลักษณะทั่วไปของปลาบึก ในบรรดาปลาน้ าจืดที่ไม่มีเกล็ดและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกนั้น “ ปลาบึก ” นับว่าเป็นปลา ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ส่วนค าว่า “ บึก ” เพี้ยนมาจากค าว่า “ หึก ” ซึ่งเป็นภาษาของกลุ่มชนที่อยู่ บริเวณฝั่งโขง ซึ่งหมายถึงใหญ่ ดังนั้นจึงเรียกปลาที่มีขนาดมหึมานี้ว่า ปลาหึก ครั้งนานไปเสียงจึง เพี้ยนกลายเป็นปลาบึก ตราบจนทุกวันนี้ (ชาติชาย , 2543) รูปร่างลักษณะ ปลาบึกถ้าดูผิวเผินมีรูปร่างคล้ายปลาสวาย และมีขนาดไล่เลี่ยกับปลา เทพา แต่ปลาบึกจะมีขนาดใหญ่กว่า ข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือ ปลาบึกไม่มีเงี่ยง ไม่มีฟัน และ มีต าแหน่งของนัยน์ตาอยู่ต่ ากว่าระดับมุมปาก แหล่งที่อยู่อาศัยของปลาบึกเท่าที่ทราบมีเฉพาะในล าน้ าโขงเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ นับตั้งแต่อ าเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ลงไปจนถึงอ าเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ปลา
165 บึกชอบอาศัยอยู่ในที่ซึ่งน้ ามีระดับลึกนับเป็นสิบๆเมตรขึ้นไป พื้นท้องน้ าเต็มไปด้วยก้อนหินและโขด หินสลับซับซ้อนกัน ยิ่งมีถ้ าใต้น้ าด้วยแล้วปลาบึกจะชอบมากที่สุด สิ่งนี้เป็นข้อสันนิษฐานได้ว่าคง เนื่องมาจากปลาชนิดนี้ขนาดใหญ่โตจึงต้องอาศัยอยู่ในน้ าที่ลึก และอาศัยถ้ าใต้น้ าเป็นที่หลบซ่อนตัว ในอดีตที่ผ่านมาปลาบึกเป็นปลาที่รู้จักกันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่อาศัยอยู่สองฝั่ง โขง ซึ่งมีความเชื่อมาแต่ดึกด าบรรพ์ว่าปลาบึกเป็นปลาที่ศักดิ์สิทธิ์แหล่งลุ่มน้ าโขง การได้บริโภคเนื้อ ปลาบึกถือว่าจะท าให้ประสบโชคดีและมีบุญ ประกอบกับเนื้อของปลาบึกมีรสชาติดี เป็นที่นิยม ชมชอบของประชาชนโดยทั่วไป จึงท าให้มีการจับปลาบึกกันมาก ปัจจุบันปริมาณปลาบึกที่จับได้ในแต่ ละปีลดจ านวนลงเป็นอันมาก จนน่าวิตกว่าอาจจะสูญพันธุ์ไปในอนาคตอันใกล้นี้ แหล่งพันธุ์และการหาพันธุ์ ลูกปลาบึกควรมีข้อระมัดระวังในเรื่องของพันธุ์ เพราะปลาบึก ตอนเล็กจะมีลักษณะภายนอกเหมือนกับปลาสวายมาก ต้องคอยสังเกตให้ดี ลักษณะของปลาบึกมี หัวโต ตาต่ าต่างจากปลาสวาย ที่หัวหักเป็นลิ่ม และต าแหน่งตาสูงกว่ามุมปาก ต้องอาศัยความ ช านาญพอสมควรในการดูลักษณะ ลูกปลาบึกฟันจะเสมอกัน ส่วนลูกปลาสวายฟันจะไม่เสมอกัน แต่พอตอนโตปลาทั้งสองชนิดจะไม่มีฟัน 10.2 วิธีการเลี้ยงปลาบึก การเตรียมบ่อก่อนปล่อยปลา ปลาบึกไม่ต้องเตรียมบ่อแบบนากุ้งหรือบ่อปลาอื่นๆ เพียงแต่ เอารถดันเป็นคันคูขึ้นมา โดยไม่กวาดเอาหน้าดินมาด้วย หน้าดินจะมีผลต่ออาหารของปลาบึกในการ เลี้ยงต่อไป หน้าดินที่ติดอยู่เวลาปล่อยน้ าเข้าบ่อแล้วจะท าให้เกิดพืชน้ า สามารถเป็นอาหารของปลา บึกได้ และขี้ปลาบึกที่ถ่ายไว้จะกลับมาเป็นปุ๋ย ท าให้เกิดแพลงก์ตอนปลาก็กินได้อีก การท าบ่อจึง เป็นสิ่งส าคัญมาก บ่อปลาบึกตามทฤษฎีควรมีความลึก 3 เมตร แต่ที่บ่อลึกเพียง 1.5 เมตร ก็ สามารถเลี้ยงได้หากเลี้ยงขายพันธุ์มิได้ขายเนื้อ ไม่ต้องท าลึกเพื่อให้ปลาใหญ่อยู่ บ่อปลาบึกควรจะมี 2 บ่อคู่กัน สามารถย้ายบ่อและล้างบ่อได้สะดวก การท า 2 บ่อคู่กัน ยังมีประโยชน์ เมื่อเวลาจับปลาขายจะได้กันปลาที่เหลือจากการจับไว้ในบ่อหนึ่ง ส่วนอีกบ่อหนึ่งไว้ใส่ พันธุ์ปลาที่ได้มาใหม่ จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการดูแลและชนิดของอาหารที่ให้ เพราะปลาจะมีอายุ ต่างกัน ปรับสภาพน้ าให้ได้ pH 7.5-8.5 ก่อนที่จะปล่อยปลา โดยการใช้ปูนขาวหว่านให้ทั่ว อัตรา ที่ใช้แล้วแต่พื้นที่ ถ้าน้ าเป็นกรดมากให้ใช้ไม่ต่ ากว่า 100 กิโลกรัม/ไร่ การท าบ่อจะต้องมีแหล่งน้ าที่ เพียงพอ การปล่อยปลาและการอนุบาลลูกปลา หลังจากที่เตรียมบ่อและปรับสภาพน้ าในบ่อปลา แล้ว ก็จะปล่อยปลาลงสู่บ่อ แต่ลูกปลาที่ได้มาควรจะอนุบาลก่อน การอนุบาลไม่จ าเป็นต้องท าบ่อ ขึ้นมาใหม่ก็ได้ เพียงแต่เอาผ้ามุ้งเขียวกั้นในบริเวณบ่อจริงส่วนหนึ่งไว้เป็นบ่ออนุบาล หลังจากที่ได้ เตรียมบ่อเสร็จแล้วปล่อยปลาลงบ่ออนุบาล ให้อาหารที่ใช้เลี้ยงลูกปลาดุก เมื่อลูกปลาโตจนกบ เขียดกินไม่ได้แล้วก็ปล่อยสู่บ่อปกติ
166 อัตราการปล่อยปลาถ้ามีพื้นที่บ่อเป็นผืนติดกัน 10 -11 ไร่ ปล่อย 10,000 -20,000 ตัวก็ได้ (ส าหรับขายพันธุ์) ถ้าต่อไปแน่นนักก็ขยายบ่อ แต่ถ้ามีแหล่งถ่ายเทน้ าอยู่ตลอด ปล่อยไร่ละ 300-500 ตัว ก็ไม่มีปัญหา (ส าหรับเลี้ยงขายเนื้อ) การให้อาหารปลาบึก ปลาบึกมีนิสัยการกินที่เป็นที่ ถ้าให้อาหารตรงไหนมันก็จะมาอยู่ตรง นั้นตลอด ซึ่งก็มีผลดีเวลาให้อาหารควรตรงเวลาทุกวัน ลูกปลาบึกยังเล็ก ให้อาหารปลาดุกวันละ 2 มื้อ เช้า-เย็น อาหารชนิดนี้โปรตีนสูงจะช่วย ยืดความยาวของตัวปลา จนกระทั่งปลามีน้ าหนักได้ 2-3 กิโลกรัม ก็เปลี่ยนมาให้อาหารหมูและร า บดอัดผสมกากถั่วเหลืองเพื่อประหยัดต้นทุน เรื่องอาหารต้องระวังถ้าร าบดอัดไม่แน่นมักจะไม่ละลาย น้ าและจะลอยบนผิวน้ าท าให้เกิดน้ าเสียได้ อาหารที่บดอัดดีแล้วเมื่อโยนลงไปจะจมปลาก็จะกินได้ ปลาบึกจะมีนิสัยอยู่เป็นกลุ่ม อยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นเวลาย้ายที่หรือว่ายไปไหนก็จะไปเป็นกลุ่ม ซึ่งมี ผลดีต่อการให้อาหาร ไม่ต้องหว่านไปทั่วบ่อ การให้อาหารเพียงพอหรือไม่ดูจากเสียงของน้ าที่แตกกระจาย ถ้าให้ไปแล้วเสียงค่อยๆ เงียบ แสดงว่าปลาเริ่มอิ่มแล้วหยุดให้ได้ การเหลือของเศษอาหารจะมีผลท าให้น้ าเน่าเสียได้ โดยดูจากปลา ก็ได้ ถ้าผุดขึ้นมาผิวน้ าบ่อยๆ แสดงว่าน้ าเริ่มเสียแล้วต้องเปลี่ยนน้ า การเจริญเติบโตของปลาบึก ปลาบึกจะเจริญเติบโตได้ดีมีปัจจัยอยู่ที่ขนาดของบ่อ การให้ อาหาร การขึ้นน้ า และการดูแลรักษาจากลูกปลาตัวเท่านิ้วก้อยเลี้ยงมาจนน้ าหนักได้ถึง 6-7 กิโลกรัม ในปัจจุบันใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน ก็พร้อมที่จะขายได้แล้ว 11. การเลี้ยงปลายี่สกเทศ ชื่อสามัญ Rohu ชื่อวิทยาศาสตร์ Labeo rohita ภาพที่ 27 แสดงรูปร่างของปลายี่สกเทศ ที่มา : http://www.siamfishing.com
167 ลักษณะทั่วไปของปลายี่สกเทศ ปลายี่สกเทศ เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันอย่างกว้างขวางในประเทศอินเดีย เพราะเป็นปลาที่มี รสชาติดีและได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างมาก ภายหลังจากที่ได้น าเข้ามาทดลองเลี้ยงและ เพาะพันธุ์ในประเทศไทยเมื่อปี 2521 ปรากฏว่าปลาชนิดนี้เพาะพันธุ์ได้ง่าย เลี้ยงโตเร็วทั้งในบ่อและ ในแหล่งน้ าธรรมชาติ ปัจจุบันปลาชนิดนี้ได้รับความนิยมในการบริโภคกันทั่วไปในภาคเหนือ ภาค อีสาน ภาคกลาง ตลอดจนภาคตะวันออก อาจพบการซื้อขายในตลาดสดทั่วๆไปในภาคต่างๆ ใน ระยะแรกที่น าเข้ามานั้นยังไม่มีชื่อเฉพาะในประเทศไทยจึงยังเรียกปลาชนิดนี้ว่า “ ปลาโรฮู่ ” ตามชื่อ พื้นเมืองของอินเดีย ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่ให้ว่าเป็น “ ปลายี่สกเทศ ” ด้วยเหตุผลที่ว่าปลาโรฮู่ เป็นปลาที่มีรสชาติดีและเป็นปลาในตระกูลเดียวกับปลายี่สกของไทย นอกจากนี้ยังมีความหมายว่า เป็นปลาที่คนไทยน ามาจากต่างประเทศอีกด้วย แหล่งก าเนิดและการแพร่กระจาย ปลายี่สกเทศเป็นปลาที่มีถิ่นก าเนิดในน่านน้ าจืดตอน เหนือของประเทศอินเดีย แม่น้ านามาดาทับตี และมหานทีในภาคกลาง แม่น้ าในประเทศปากีสถาน บังกลาเทศ พม่า แม่น้ าทาโร ประเทศเนปาล ต่อมาภายหลังได้ถูกน าไปแพร่พันธุ์ในแหล่งต่างๆ ของประเทศอินเดีย เช่น ทะเลสาบโพโอ บอมเบ ปลาชนิดนี้ได้ถูกน าไปแพร่พันธุ์ในประเทศศรีลังกา และหมู่เกาะมอริเซียส ในระยะต่อมาได้ ถูกน าไปเลี้ยงแพร่พันธุ์ในรัสเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และบางประเทศในแอฟริกา รูปร่างลักษณะและอุปนิสัย ปลายี่สกเทศเป็นปลามีเกล็ดวงศ์เดียวกับพวกปลาตะเพียน ปลาไน ฯลฯ เป็นปลาน้ าจืดที่มีรูปร่างเพรียว ล าตัวค่อนข้างแบนข้าง สันหลังโค้งมากกว่าส่วนท้อง หัวมนและแบนข้าง และงอยปากยื่นยาวกว่ากรรไกรทั้งสอง ริมฝีปากย่น ประกอบด้วยหลืบเห็น เด่นชัด โดยทั่วไปจะมีหนวดคู่เดียวบนขากรรไกร บางครั้งอาจจะพบหนวดอีกคู่หนึ่งที่ปลายจะงอย ปาก จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่กึ่งกลางระหว่างปลายจะงอยปากกับฐานของครีบหาง เกล็ดบนเส้น ข้างตัว 40-42 เกล็ด สันหลังจะมีสีน้ าเงินปนน้ าตาล ด้านข้างและด้านท้องสีขาวเงิน ครีบสีแดงเรื่อ มีจุดแดงอยู่ในเกล็ด ๆ ละจุด ลูกปลายี่สกเทศขนาด 1-2 เซนติเมตร จะมีจุดด า 3 จุด ท าเป็น มุมสามเหลี่ยมอยู่บนฐานครีบหางเป็นลักษณะเอกลักษณ์ของลูกปลายี่สกเทศโดยเฉพาะ ปลายี่สกเทศมีอุปนิสัยในการกินอาหารที่ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของลูกปลา ลูกปลายี่สก เทศหลังจากที่ฟักออกเป็นตัวขนาด 1.5-2.5 เซนติเมตร จะกินพวกแพลงก์ตอนสัตว์ ส่วนพวก แพลงก์ตอนพืชที่ปะปนมากับแพลงก์ตอนสัตว์ เมื่อลูกปลากินเข้าไปจะถูกขับถ่ายออกหมดโดยไม่มี การย่อย ปลาที่มีขนาด 5 เซนติเมตรขึ้นไปจะกินแพลงก์ตอนพืชเป็นอาหาร ส่วนปลายี่สกขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 20 เซนติเมตรขึ้นไป จะเปลี่ยนมากินอาหารที่เป็นพวกพืชผักและเศษพืชที่เน่าเปื่อยตามพื้น ท้องน้ ามากขึ้น (ชาติชาย , 2543)
168 11.1 วิธีการเลี้ยงปลายี่สกเทศ ปลายี่สกเทศมีการเลี้ยงหลายรูปแบบ เช่น ในบ่อ ในกระชัง และในคอก การเลี้ยงในบ่อมี ทั้งแบบเดี่ยวและแบบรวมกับปลาชนิดอื่น ปัจจุบันนิยมเลี้ยงแบบรวมมากที่สุด การเลี้ยงปลายี่สก เทศในคอกรวมกับปลาชนิดอื่น คือ ปลานิล ปลาซ่ง และปลาเฉา ให้ผลผลิตสูงสุดคือ 2.32 ตัน / ไร่ ในระยะเวลา 190 วันการเลี้ยงในบ่อโดยปล่อยปลาขนาดเฉลี่ย 9 เซนติเมตร หนัก 10 กรัม อัตรา 1 ตัว / ตารางเมตร ให้อาหารเม็ดสูตรของสถาบันประมงน้ าจืดแห่งชาติ ในอัตรา 5 % ของ น้ าหนักตัวในระยะแรกและเมื่อปลามีขนาด 6 นิ้วขึ้นไป ให้อาหาร 3 % ของน้ าหนักตัว แล้วใส่ ปุ๋ยเคมีฟอสเฟต ลงไปในบ่ออัตรา 10 กิโลกรัม/ ไร่/เดือน จนครบ 8 เดือน ผลปรากฏว่าปลาที่เลี้ยง ให้ผลผลิต 420 กิโลกรัม/ไร่ การให้ปุ๋ยแก่ปลายี่สกที่เลี้ยงในบ่อนั้นจ าเป็นอย่างยิ่งและถ้าพิจารณาดู นิสัยการกินอาหารของปลายี่สกเทศ จะเห็นได้ว่าปลายี่สกเทศกินอาหารแพลงก์ตอนพืชและกินอาหาร พืชผักและเศษพืชเน่าเปื่อย อันเป็นผลสืบเนื่องจากการใส่ปุ๋ยลงบ่อได้อย่างดี แม้จะไม่มีอาหารสมทบ เลยก็สามารถเจริญเติบโตได้ 12. การเลี้ยงปลาบู่ทราย ชื่อสามัญ Marbled goby หรือ Sand goby ชื่อวิทยาศาสตร์ Oxyeleotris marmoratus ภาพที่ 28 แสดงรูปร่างของปลาบู่ ที่มา : http://www.ninekaow.com 12.1ลักษณะทั่วไปของปลาบู่ทราย คนส่วนใหญ่รู้จักปลาบู่ทรายจากนิทานพื้นบ้านของไทยเรื่อง “ ปลาบู่ทอง” ที่เล่าสืบทอดกัน มาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักธรรมชาติวิทยาที่แท้จริงของปลาบู่ทรายว่าเป็นเช่นไร
169 ปลาบู่ทรายเป็นปลาที่มีความส าคัญทั้งในแง่เศรษฐกิจและการอนุรักษ์ ราคาปลาบู่ทรายที่ซื้อ ขายกันในท้องตลาดสูงกว่าราคาปลาน้ าจืดทั่วๆไปถึงเกือบ 10 เท่า จึงเป็นสิ่งชักจูงให้มีผู้พยายาม เพาะเลี้ยงปลาชนิดนี้ ซึ่งก็ท าได้ส าเร็จระดับหนึ่ง ปลาบู่เป็นปลาน้ าจืด นิยมเลี้ยงกันในบริเวณแม่น้ าล าคลองต่างๆในจังหวัดภาคกลาง เช่น บริเวณแม่น้ าน่าน อ าเภอชุมแสง และอ าเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ปัจจุบันเลี้ยงกันมากในแม่น้ า ลพบุรี ที่ อ.บ้านแพรก อ.บางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปลาบู่เป็นปลาเศรษฐกิจราคาสูง นิยมบริโภคกันมาก จึงมีตลาดจ าหน่ายทั้งในและต่างประเทศ แหล่งก าเนิดและอุปนิสัย ปลาบู่ทรายเป็นปลาที่สามารถพบได้ทั่วไปในน้ าจืดและน้ ากร่อย เล็กน้อย ในหลายประเทศโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะมลายู ได้แก่ บอร์เนียว เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย มาเลเซีย จีน ไทย ส าหรับในประเทศไทยพบแพร่ขยายพันธุ์ทั่วไปตาม แม่น้ าล าคลองและสาขาทั่วทุกภาค ตามหนองบึงและอ่างเก็บน้ าต่างๆ เช่น แม่น้ าเจ้าพระยา ปากน้ า โพ บึงบอระเพ็ด แม่น้ าลพบุรี แม่น้ าท่าจีน นอกจากนี้พบตามอ่างเก็บน้ าทุกภาคของประเทศ เช่น อ่างเก็บน้ าเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น อ่างเก็บน้ าล าตะคอง จ.นครราชสีมา อ่างเก็บน้ าเขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ อ่างเก็บน้ าบางพระ จ.ชลบุรี อ่างเก็บน้ าเขื่อนบางลาง จ.ยะลา จ.สุโขทัย จ.พิจิตร จ.พิษณุโลก และยังมีรายงานพบในทะเลน้อย จ.สงขลา ส าหรับในอ่างเก็บน้ าที่สร้างขึ้นใหม่พบว่าปลา บู่ทรายมีการเจริญเติบโตเร็วและแพร่ขยายพันธุ์ได้ดีเช่นเดียวกับปลากินเนื้อชนิดอื่น (ชาติชาย , 2543) ปลาบู่ทรายเป็นปลากินเนื้อ แต่ในธรรมชาติปลาชนิดนี้จะไม่มีนิสัยดุร้าย เมื่อเทียบกับปลา ชะโดและปลาช่อน กล่าวคือปลาบู่ทรายที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ านิ่งมักจะพักอยู่กับที่เฉยๆ ต่อเมื่อ เหยื่อ เช่น พวกลูกกุ้ง ลูกปลาขนาดเล็ก ผ่านมาตรงหน้าจึงจะงับเหยื่อเหล่านั้นกินเป็นอาหาร แต่ อุปนิสัยนี้จะเปลี่ยนไปเมื่อมีกระแสน้ าเข้ากระตุ้น ปลาบู่จะเริ่มเคลื่อนที่ว่องไวขึ้น และไล่งับอาหาร รวดเร็วขึ้น ซึ่งการเรียนรู้อุปนิสัยเช่นนี้ สามารถน าไปใช้ประโยชน์ในการเลี้ยงปลาบู่ได้เป็นอย่างดี แหล่งพันธุ์ปลาบู่ การเพาะเลี้ยงปลาบู่นับวันจะประสบปัญหาเรื่องพันธุ์ปลาที่จะน ามาเลี้ยง มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เดิมการเลี้ยงปลาบู่ใช้วิธีช้อนลูกปลาตามรากหญ้า รากพันธุ์ไม้น้ าในล าคลอง หนองบึง แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมลงเป็นล าดับและจากการจับปลาที่ใช้เครื่องมือผิดประเภทและ จับมากเกินไป ในปัจจุบันการเลี้ยงปลาบู่ต้องการลูกปลาเป็นจ านวนมากในการเลี้ยงแต่ละครั้ง และยัง ต้องมีขนาดใกล้เคียงกันอีกด้วย ท าให้ต้องหันมาท าการเพาะเลี้ยงขึ้นแทนเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว การ เพาะพันธุ์ปลาบู่เท่าที่ผ่านมามี 2 วิธี คือ วิธีการฉีดฮอร์โมน และ วิธีการเลียนแบบธรรมชาติ 12.2 วิธีการเลี้ยงปลาบู่ ปลาบู่เป็นปลามีราคาแพง เป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศเป็นจ านวนมาก ที่ผ่านๆมามีผู้สนใจเลี้ยงปลาบู่เป็นจ านวนมาก การเลี้ยงปลาบู่นั้นมีการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ บ่อดิน และกระชัง แต่ที่นิยมเลี้ยงกันมากเป็นการเลี้ยงในกระชัง ส่วนบ่อดินก็มีผู้เลี้ยงกันอยู่บ้างทั้งในรูปการ
170 เลี้ยงแบบเดี่ยว (Monoculture) แบบรวม (Polyculture) และแบบผสมผสาน (Integratedculture) การเลี้ยงในบ่อซีเมนต์มีการเลี้ยงอยู่น้อยมาก เพราะเป็นการลงทุนสูงและต้องการน้ าสะอาดในการเลี้ยง ในที่นี้จะกล่าวถึงการเลี้ยงปลาบู่ในบ่อดินพอสังเขป (กรมประมง , 2546) การเลี้ยงปลาบู่ในบ่อดิน การเลี้ยงปลาบู่ในดินส่วนใหญ่จะเป็นการเลี้ยงร่วมกับปลาอื่น เช่น เลี้ยงร่วมกับปลานิลเพื่อไว้คุมประชากรของลูกปลานิลไม่ให้แน่นบ่อเช่นเดียวกับปลาช่อน นอกจากนี้ ยังมีการเลี้ยงร่วมกับปลาชนิดอื่นใต้เล้าไก่ หรือเล้าหมู โดยปล่อยอัตราส่วนปลาบู่ต่ าในปริมาณไม่ แน่นอน แล้วแต่ผู้เลี้ยงจะหาซื้อพันธุ์ได้จ านวนมากน้อยเท่าใด ส าหรับการเลี้ยงปลาบู่แบบเดี่ยวก็มีท า อยู่บ้างที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยเลี้ยงในบ่อดินขนาดใหญ่ประมาณ 5 ไร่ ขึ้นไป จ านวนปลาที่ปล่อยไม่แน่นอน เพียงแต่กว้านซื้อปลาบู่ปล่อยลงเลี้ยงในบ่อ เมื่อปลาบางส่วนโตได้ ขนาดตลาด คือ ตั้งแต่ 400-500 กรัมขึ้นไปก็จับขาย แล้วหาพันธุ์ปลามาปล่อยชดเชย อาหารที่ ให้เป็นพวกปลาเป็ดบดปั้นเป็นก้อนๆ ใส่ลงในเรือแล้วแจวให้อาหารเป็นจุดๆรอบบ่อ จุดที่ให้อาหารมี กระบะไม้ปักอยู่เหนือก้นบ่อเล็กน้อย ให้อาหารในตอนเย็นประมาณ 5 % ของน้ าหนักปลาในครั้งแรก หลังจากนั้นจะพิจารณาดูว่าสมควรให้อาหารเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไร การถ่ายเทน้ ามีท าบ้างแล้วแต่ สภาพน้ าในบ่อ โดยปกติใช้เวลาเลี้ยง 8-12 เดือน พันธุ์ปลาที่ปล่อยเลี้ยงใช้ปลาขนาด 100-300 กรัมตามแต่รวบรวมได้ ขนาดปลาบู่ที่จับขายให้พ่อค้าคนกลางประมาณ 400 กรัมขึ้นไปแต่ไม่เกิน 1 กิโลกรัม อย่างไรก็ตามก็มีการศึกษาวิจัยการเลี้ยงปลาบู่ในบ่อดินอยู่บ้าง แต่ได้ผลการเจริญเติบโตไม่ดี เนื่องจากปลาถูกรบกวนจากการชั่งวัด สภาพแวดล้อม และการจัดการในการทดลองไม่เหมาะสม การเลี้ยงปลาบู่ในกระชัง ปลาบู่เป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงในกระชัง เนื่องจากสามารถ เลี้ยงได้หนาแน่นในที่แคบได้และเป็นปลากินเนื้อจึงไม่จ าเป็นต้องพึ่งอาหารธรรมชาติมากนักแต่ใช้ อาหารที่ท าขึ้น ถึงแม้ว่าปลาบู่มีนิสัยชอบอยู่นิ่งเป็นส่วนใหญ่แต่มันก็ชอบที่ที่น้ าไหลผ่าน โดยเฉพาะน้ า ที่มีความขุ่นยิ่งดี เพราะปลาบู่ตกใจง่ายเมื่ออยู่ในน้ าใส ปลาบู่เป็นปลามีราคาแพง และเป็นปลาที่มี ความต้องการจากต่างประเทศอย่างมากโดยเฉพาะฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ ท าให้มีผู้สนใจที่จะ เลี้ยงปลาบู่เป็นจ านวนมาก การเลี้ยงปลาบู่ในกระชังมีรายละเอียดดังนี้ (ชาติชาย , 2543) การเลือกสถานที่ การเลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการวางกระชังปลาบู่เป็นจุดเริ่มต้นที่ ส าคัญที่สุด ถ้าท าการเลือกสถานที่เลี้ยงได้ดี ท าให้ปลาบู่เจริญเติบโตเร็ว อัตรารอดสูง และทุ่น ค่าใช้จ่ายในการจัดการ สถานที่ที่เหมาะสมส าหรับการเลี้ยงปลาบู่ในกระชัง คือ 1. น้ าต้องมีคุณสมบัติ มีออกซิเจนสูง มีปริมาณน้ าเพียงพอตลอดปี มีความขุ่นพอสมควร เพราะปลาบู่ชอบที่มืด จะช่วยให้ปลากินอาหารได้ดี 2. เป็นแหล่งน้ าที่สงบ หรือมีเรือยนต์สัญจรไปมาน้อย เพราะปลาบู่ตกใจง่าย ถ้าตกใจ แล้วมักจะไม่กินอาหาร
171 3. เป็นแหล่งน้ าที่กระแสน้ าไหลผ่านสะดวก ความลึกของน้ าไม่น้อยกว่า 2 เมตร สามารถถ่ายเทเศษอาหาร และของเสียในกระชังได้ 4. เป็นแหล่งน้ าที่อยู่ห่างไกลจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะท าให้เกิดน้ าเสีย และไม่มี สารพิษอื่นเจือปน 5. การคมน าคมสะดวก ง่ายต่อการล าเลียงพันธุ์ปลา อาหารปลา และน าปลา ออกจ าหน่ายสู่ท้องตลาด 6. ปราศจากโจรผู้ร้าย เพราะปลาบู่เป็นปลาเศรษฐกิจ มีราคาแพง มักมีการลักลอบตัด กระชังขโมยปลา ถ้าหากมีเพื่อนบ้านที่ดีหรือมีที่พักดูแลอยู่ใกล้ที่เลี้ยง จะท าให้การเลี้ยงปลาบู่ ประสบผลส าเร็จ ประเภทของกระชัง การเลี้ยงปลาบู่ในกระชังส่วนใหญ่แล้วเป็นการเลี้ยงในกระชังไม้ไผ่ หรือไม้จริง ส่วนกระชังตาข่ายไนล่อนหรือใยสังเคราะห์ หรือตาข่ายเหล็กที่ใช้เลี้ยงปลาน้ ากร่อยยังไม่ เป็นที่นิยม กระชังแบ่งเป็นประเภทๆ ดังนี้(ชาติชาย , 2543) 1. กระชังท าด้วยไม้ไผ่ ขนาดความกว้าง 2 เมตร ยาว 5 เมตร ลึก 1.5 เมตร ไม้ไผ่ที่ จะใช้เหลาเรียบ ขนาดกว้าง 2.5 เมตร หนา 0.5 เซนติเมตร ไม้ไผ่ดังกล่าวจะน ามาสานแบบ ชะลอมแต่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีช่องห่างประมาณ 1 เซนติเมตรเพื่อให้น้ าไหลผ่าน ด้านมุมมีเฝือก ไม้ไผ่ปักตรงกลาง มีช่องปิดเปิดส าหรับให้อาหารอายุการใช้งานประมาณปีครึ่ง ลูกบวบพยุงให้กระชัง ลอยข้างละ 25-30 ล า เหมาะส าหรับผู้เลี้ยงที่มีทุนน้อย ข้อเสียคือ กระแสน้ าถ่ายเทไม่สะดวก มี เศษอาหารเหลือตกค้างอยู่ตามก้นกระชัง และท าความสะอาดกระชังยาก 2. กระชังท าด้วยไม้ไผ่แต่โครงกระชังท าด้วยไม้จริง น าไม้ไผ่มาผ่าเป็นซีกๆ ละประมาณ 3 นิ้ว แล้วตัดเป็นท่อนตามความกว้างและความยาวของขนาดกระชังที่จะสร้าง และตีไม้ไผ่รอบทุกด้าน ของโครงกระชังไม้จริงให้มีช่องห่างประมาณครึ่งเซนติเมตรเพื่อให้น้ าไหลผ่าน จะใช้ไม้ไผ่ขนาด เดียวกันท าฝาปิดกระชัง ใช้ลูกบวบรวม 25 ล า อายุใช้งานประมาณ 2 ปี 3. กระชังไม้จริง เหมาะส าหรับผู้ที่มีทุนมาก กระชังชนิดนี้มีความทนทานอายุการใช้งาน 5-7 ปี กระชังสร้างด้วยไม้ขนาดหน้า 4 นิ้ว หนา 2 นิ้ว ประกอบเป็นโครงร่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตาม ขนาดกระชังที่จะสร้าง ใช้ไม้ขนาดหน้า 4 นิ้ว หนา 1 นิ้ว ไสกบให้เรียบดีปิดพื้นและด้านข้าง 4 ด้าน โดยให้มีระยะห่าง 1.5-2 เซนติเมตร ด้านบนตีไม้ปิดเช่นเดียวกับด้านข้างและมีช่องปิดเปิดส าหรับให้ อาหาร 40 x 50 เซนติเมตร ทุ่นลอยใช้ลูกบวบประมาณ 100 ล า กระชังไม้จริงที่นิยมใช้มี 3 ขนาดคือ 2.5 x 8 x 1.5 ม., 2.5 x 5 x 1.5 ม., และ 2.5 x 3 x 1.5 ม. ตามล าดับ ส าหรับการบ ารุงรักษาในช่วง 2 ปีแรกไม่ต้องซ่อมแซม เมื่อย่างเข้าปีที่ 3 ต้องท าการ ซ่อมแซม หลังจากนั้นซ่อมแซมใหม่ทุก 2 ปี
172 ขนาดกระชังที่เลี้ยงปลาบู่ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เลี้ยง ซึ่งต้องพิจารณาร่วมกับ ขนาดของแหล่งน้ าและเงินทุนโดยทั่วไปขนาดของกระชังมีขนาดตั้งแต่ 2 x 3 ม. , 2.5 x 8 ม. และ 2.5 x 3 ม. กระชังส่วนใหญ่มีฝาปิดเปิดด้านบนและติดกุญแจป้องกันการลักขโมย อัตราการปล่อย พันธุ์ปลาบู่ที่นิยมน ามาเลี้ยงส่วนใหญ่มีขนาด 100-300 กรัม ซึ่งได้จากการ รวบรวมเองจากธรรมชาติ หรือซื้อจากพ่อค้าคนกลางที่ด าเนินการทั้งขายพันธุ์และรับซื้อปลาบู่ขนาด ตลาดส่งเข้ากรุงเทพฯ ปลาบู่มีนิสัยชอบนอนนิ่งอยู่บริเวณก้นกระชัง ท าให้สามารถปล่อยปลาบู่ได้ หนาแน่นประมาณ 70-100 ตัว/ตารางเมตร หรือประมาณ 10-30 กิโลกรัม/ ลูกบาศก์เมตร อัตรา การปล่อยดังกล่าวนี้ใช้กับแหล่งน้ าที่มีการถ่ายเทของน้ าดีมากผ่านในกระชัง แต่ถ้าแหล่งน้ าใดมี คุณสมบัติไม่ดีและไหลถ่ายเทช้าควรปล่อยอัตรา 40-50 ตัว/ตารางเมตร ก่อนปล่อยพันธุ์ปลาลงใน กระชังควรท าให้ปลามีความคุ้นเคยกับน้ าที่จะเลี้ยง โดยเอาน้ าในกระชังปนลงในภาชนะด้วยและควรมี การฆ่าเชื้อป้องกันโรคเสียก่อน ส าหรับการป้องกันโรคนั้นก่อนปล่อยพันธุ์ปลาบู่ลงเลี้ยงควรแช่ปลาในน้ าเกลือที่มีความ เข้มข้น 10 เปอร์เซ็นต์ แล้วน ามาแช่ในด่างทับทิมซึ่งมีความเข้มข้น 5-10 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) นาน 20 นาทีอีกครั้งหนึ่งเพื่อก าจัดหนอนสมอ แล้วน าไปแช่ในน้ ายาเมทธีลีนบลู(Methyleneblue) เข้มข้น 2-3 ส่วนในล้านส่วน หลังจากนั้นน าไปปล่อยลงเลี้ยงในกระชังได้ ในกรณีที่รวบรวมพันธุ์ปลาจากแหล่งน้ าธรรมชาติ ซึ่งปกติแล้วใช้เครื่องมือ เช่น ลอบ ข่าย สวิง ยอยก ฯลฯ แล้วน าปลาไปพักรวมกันในกระชังจนได้ปริมาณมากพอ แล้วค่อยล าเลียงพันธุ์ ปลาไปยังผู้เลี้ยง ควรจะป้องกันพันธุ์ปลาไม่ให้เกิดความบอบช้ า มีบาดแผล และเกิดความเครียด โดยก่อนพักปลาลงในกระชังท าการฆ่าเชื้อที่ติดมากับปลา โดยแช่ปลาในน้ าที่ผสมเฟอราเนซ (Furanace) มีความเข้มข้น 1-2 กรัม ต่อน้ า 100 ลิตร แช่ไว้ 5 ถึง 15 นาที หรือแช่ใน สารละลายด่างทับทิมที่มีความเข้มข้น 10 ส่วนในล้านส่วนนาน 10 นาที ในระหว่างพักปลาควรดูแล เอาใจใส่ และให้อาหารเพียงพอเพื่อให้ปลาแข็งแรงขึ้น ก่อนล าเลียงไปเลี้ยงในกระชังต่อไป อาหารและการให้อาหาร ปลาบู่จัดว่าเป็นปลากินเนื้อดังนั้นอาหารที่ดีควรมีโปรตีน 38-40 % ไขมัน 5-8 % คาร์โบไฮเดรต 9-12 % วิตามินและแร่ธาตุ 0.5-1 % อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาบู่แบ่งเป็น 2 ชนิด 1. อาหารแบบพื้นบ้าน เป็นอาหารสดได้จากการน าปลาเป็ดจากทะเลหรือปลาน้ าจืดมาสับ ให้ปลากิน ต่อมาได้มีการพัฒนาการท าอาหารด้วยเครื่องบดอาหาร ซึ่งมีผลดีท าให้กระดูกปลาเป็ดป่น ย่อยละเอียดไม่เป็นอันตรายต่อล าไส้ปลาบู่ และยังประหยัดเวลาและแรงงาน ส่วนใหญ่อาหารปลานี้มี สูตรดังนี้ คือ ใช้ปลาเป็ดสดบดละเอียด 94 % ร าละเอียด 5 % วิตามินและเกลือแร่ 1 % เกษตรกรบางรายผสมหัวอาหารหมูหรือไก่ลงไปด้วย นอกจากนี้ยังสามารถใส่เกลือป่น ในอัตราเกลือ
173 ป่น 100 กรัมต่ออาหาร 3 กิโลกรัม ผสมลงไปในอาหาร ซึ่งท าให้อาหารจับตัวเหนียว เพื่อป้องกัน การละลายหรือลอยตัวของอาหาร 2. อาหารผสมสูตรส าเร็จแบบเปียก อาหารชนิดนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย และยังต้องพัฒนา ให้เหมาะสมเพื่อให้ปลาบู่ยอมรับอาหารนี้เตรียมจากส่วนประกอบวัสดุอาหารแห้งและเปียก สะดวก ในการจะเก็บได้นานในตู้แช่เย็น เตรียมง่ายและถูกสุขลักษณะ นอกจากนี้ยังสามารถจะเติมยา ปฏิชีวนะและฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต เนื่องจากปลาบู่กินอาหารเชื่องช้ากว่าปลาชนิดอื่น จึงควรปั้นเป็นก้อนใส่ถาดเตรียมไว้ใน กระชังให้ต่ ากว่าระดับผิวน้ าประมาณ 50 เซนติเมตร การให้อาหารท าได้ 2 แบบคือ แบบที่ 1 เป็นการให้อาหารทุกวันๆ ละ 3-5 % ของน้ าหนักปลาในกระชัง และแบบที่ 2 เป็นการให้อาหาร 2 วันครั้ง โดยให้ 8-10 % ของน้ าหนักปลา อย่างไรก็ตามการให้อาหารควรสังเกตการกินอาหาร ของปลาว่ากินอาหารที่ให้หมดหรือไม่ และค่อยปรับเพิ่มหรือลดอาหารตามนั้น การจัดการกระชัง การเลี้ยงปลาบู่ในกระชังควรมีการจัดการด้านการท าความสะอาด การดูแลรักษา และการ คัดขนาด การท าความสะอาด เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้เลี้ยงพึงปฏิบัติ ถึงแม้จะวางกระชังเลี้ยงในแหล่งน้ าที่ ไหลดี ควรจะมีการใช้แปรงขัดภายในกระชังให้ตะไคร่น้ าตะกอนที่ติดตามตะไคร่น้ าและตัวกระชังออก รวมทั้งเศษอาหาร เพราะเป็นแหล่งหมักหมมและก่อให้เกิดเชื้อโรค หลังจากปลาบู่เอาข้างตัวไปถูกับ ข้างกระชังหรือพื้นกระชัง อาจท าให้ตัวเป็นแผลและเชื้อโรคตามตะกอนหรือตะไคร่น้ าเข้าตัวปลาตาม แผลได้ กรณีที่มีตะกอนดินทับถมในกระชังมากควรใช้พลั่วแซะตะกอนออก หรือใช้เครื่องสูบน้ าด้วย ไฟฟ้าแบบจุ่มฉีดไล่ตะกอน เกษตรกรบางรายนิยมใช้ด่างทับทิมห่อด้วยผ้าถูตามในกระชังเพื่อฆ่าเชื้อ การคัดขนาด การเลี้ยงปลาบู่นั้นต้องท าการคัดขนาดปลาหลายๆ ครั้ง โดยปกติควรมีการ คัดขนาดเดือนละครั้ง หรืออย่างน้อย 2 เดือนต่อครั้ง เนื่องจากปลาบู่เป็นปลากินเนื้อและมีนิสัย ก้าวร้าว ปลาตัวใหญ่จะคอยไล่ไม้ให้ปลาตัวเล็กได้มีโอกาสเข้ามากินอาหารท าให้ปลาตัวเล็กผอมลง พฤติกรรมก้าวร้าวนี้เกิดขึ้นในลูกปลาบู่ตัวเล็กเหมือนกัน คือถ้าลูกปลามีขนาดต่างกันมากก็จะกิน กันเอง แต่ในปลาบู่ขนาดใหญ่จะมีพฤติกรรมกัดกันเองและไล่กันไปมา การคัดขนาดปลาบู่ท าให้มี ขนาดโตเท่ากันสม่ าเสมอ อีกทั้งท าให้ปลาโตเร็วและเพิ่มผลผลิตอีกด้วย การเจริญเติบโตและการจับ การเจริญเติบโตของปลาบู่ขึ้นอยู่กับการให้อาหาร ขนาดปลา ที่ปล่อยลงเลี้ยง จ านวนพอเหมาะไม่หนาแน่นเกินไป การถ่ายเทของน้ าดี กระแสน้ าไม่อับนิ่ง น้ ามีสี ขุ่น ประกอบกับดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ าเสมอ ปลาบู่ที่ปล่อยลงเลี้ยงขนาด 100-300 กรัม ใช้เวลา เลี้ยงประมาณ 4-8 เดือน ปลาบู่จะโตน้ าหนักตัวประมาณ 500 -1,200 กรัม ซึ่งเป็นขนาดที่ตลาด ต้องการ
174 การเลี้ยงปลาบู่ในกระชังระยะ 3 เดือนแรก ควรเลี้ยงด้วยกระชังตาถี่จนปลาโตได้ขนาด 300 กรัมขึ้นไป จึงย้ายลงเลี้ยงในกระชังที่ถาวรแข็งแรงและมีตากระชังห่างขึ้น เพราะน้ าไหลสะดวก ท าให้ปลาเจริญเติบโตดี ก่อนจับปลา ผู้จับจะลงไปในกระชังเพื่อให้ปลาคุ้นเคยเสียก่อน หากปลายังไม่คุ้นจะตกใจ และช็อคตายได้ง่าย เมื่อเห็นว่าคุ้นดีแล้วก็ใช้สวิงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 60 เซนติเมตร ซึ่งถักเป็นตาข่ายรูปถุง ยาวประมาณ 70 เซนติเมตร ค่อยๆ ตักปลาทีละน้อยๆ จนกว่าปลาในกระชัง จะเหลือน้อยลง จึงใช้อวนไนลอนขนาดเท่ากับกระชัง ไล่ปลาที่เหลือไปอยู่มุมหนึ่งของกระชัง แล้ว ใช้สวิงตักอีกครั้งหนึ่งจนหมด หรือจะใช้เฝือกขนาดเท่ากับความกว้างของกระชังลากผ่านอีกครั้งก็ได้ 13. การเลี้ยงปลาช่อน ชื่อสามัญ Striped snake-head fish ชื่อวิทยาศาสตร์ Channa striata ภาพที่ 29 แสดงรูปร่างของปลาช่อน ที่มา : http://www.rakbankerd.com/ 13.1ลักษณะทั่วไปของช่อน ปลาช่อน เป็นปลากินเนื้อที่พบอาศัยแพร่กระจายในแหล่งน้ าจืดทั่วทุกภาคของไทย จัดเป็น ปลาที่มีความอดทนและปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้ดี ในธรรมชาติปลาช่อนอาศัยอยู่เดี่ยวๆ หรือ เป็นคู่ตามพื้นหน้าดินที่เป็นโคลน เพื่อคอยจ้องหาเหยื่อที่มีชีวิต เช่น ปลา กุ้ง กบ และแมลงต่างๆ กินเป็นอาหาร ในฤดูแล้งปลาช่อนสามารถหมกตัวอยู่ในโคลนและมีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานาน เนื่องจาก ที่เหนือช่องเหงือกมีเยื่อบางๆย่นซ้อนกันอยู่ ซึ่งเป็นเครื่องช่วยหายใจที่เรียกว่า Diverticular ท าหน้าที่ รับอากาศ และความชื้นเก็บไว้ช่วยในการหายใจเมื่อจ าเป็น (ชาติชาย , 2543)
175 การเลี้ยงปลาช่อนสามารถท าได้ทั้งในบ่อและในกระชัง แต่ที่นิยมเลี้ยงกันในปัจจุบัน คือ อนุบาลลูกปลาในกระชังตั้งแต่ระยะลูกครอก (ยาว 2-3 เซนติเมตร) จนถึงขนาดปานกลาง (ยาว 8 - 10เซนติเมตร) แล้วจึงน ามาเลี้ยงในบ่อดินจนถึงระยะจับขาย ขนาดบ่อและการเตรียมบ่อ บ่อปลาช่อนที่นิยมท ากันส่วนใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อ ง่ายต่อการจับขนาดตั้งแต่ 800 ตารางเมตรขึ้นไป มีทางน้ าเข้าออกระบายน้ าได้สะดวก ความลึก ของน้ า (จากก้นบ่อถึงผิวน้ า) ควรลึกประมาณ 1.5-2 เมตร คันบ่อควรสูงจากผิวน้ าไม่ต่ ากว่า 50 เซนติเมตร เพื่อป้องกันน้ าท่วมหรือปลาหนีจากบ่อ ในกรณีเลี้ยงปลาช่อนใกล้กับบ่อปลาชนิดอื่น ควรล้อมกั้นคันบ่อด้วยมุ้งไนล่อนโดยรอบ เพื่อป้องกันปลาหนีด้วย การเตรียมบ่อที่ดีนั้น ควรตากบ่อให้แห้ง ถ้าเป็นบ่อเก่าควรลอกเลนให้มากที่สุด แล้วโรยปูน ขาวให้ทั่วบ่อ ในอัตราปูนขาว 1 กิโลกรัม ต่อเนื้อที่10 ตารางเมตร เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อ ปลา และท าปฏิกิริยาต่อก๊าซในดิน ก่อนปล่อยปลา 3-5 วัน ควรเปิดน้ าเข้าบ่อประมาณ 30 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยคอกในอัตรา 50-100 กิโลกรัม / ไร่ ทิ้งไว้ 2-3 วัน เมื่อน้ าเริ่มมีสีเขียวหรือมีไรน้ า เล็กน้อย จึงเติมน้ าให้ได้ความลึก 80-100 เซนติเมตร จึงน าปลามาปล่อยลงเลี้ยง อัตราการปล่อยและการเจริญเติบโต ปลาที่ปล่อยเลี้ยงในบ่อควรมีขนาดความยาว 8-10 เซนติเมตร ปล่อยเลี้ยงในอัตรา 50 ตัว / ตารางเมตร หรือ 1 แสนตัว / ไร่ ขนาดของปลาเมื่อ เริ่มปล่อยต้องมีขนาดใกล้เคียงกัน ไม่ควรปล่อยปลาขนาดเล็กรวมกับปลาใหญ่ เพราะปลาจะกิน กันเองหรือท าร้ายกันจนเกิดบาดแผล ซึ่งจะมีปัญหาโรคปลาตามมาภายหลัง ก่อนปล่อยปลาเลี้ยง ควรฆ่าเชื้อโรคพยาธิซึ่งอาจติดมากับปลา โดยแช่ปลาในน้ าฟอร์มาลินความเข้มข้น 50-100 ส่วนใน ล้านส่วน (ppm.) ในเวลา 10-15 นาที แล้วจึงตักปลาปล่อยลงบ่อ (กรมประมง , 2548) ปลาช่อนเป็นปลาที่ชอบกินสัตว์มีชีวิต แต่ก็สามารถฝึกให้กินอาหารผสมได้ ส่วนผสมของ อาหารได้แก่ ปลาเป็ด ไส้ไก่ หรือเนื้อสัตว์อื่นๆ น ามาผสมคลุกกับร าในอัตราปลาเป็ด 10-15 ส่วนต่อ ร า 1 ส่วน อาจเติมหัวอาหารเสริม ปลายข้าวต้ม หรือหญ้าขนในอัตรา 1-3 % ของน้ าหนักอาหาร ทั้งหมด เพื่อช่วยให้ปลามีการเจริญเติบโตดีขึ้น การบดสามารถใช้เครื่องบดหรือมีดสับก็ได้ แต่ต้องให้ ขนาดของอาหารเล็กกว่าขนาดของปากปลา เพื่อให้ปลากินได้สะดวก วิธีให้อาหารควรท าแป้นอาหาร หรือตะแกรงวางอาหาร ส่วนมากมักท าด้วยไม้ไผ่ลอยอยู่ใกล้ผิวน้ า เมื่อน าอาหารมาวางบนแป้น น้ าหนักอาหารจะกดให้แป้นอาหารจมลง ปลาจะเข้ามากินอาหาร เมื่ออาหารหมดหรือเหลือเล็กน้อย แป้นอาหารจะลอยขึ้นท าให้ผู้เลี้ยงสังเกตการกินอาหารของปลาได้ง่าย การให้อาหารปลาควรให้วันละ 1-2 ครั้ง อัตราการให้ควรคิดจากน้ าหนักของปลาในบ่อ โดยทั่วไปจะให้ประมาณ 10-15 % ของน้ าหนักปลาในบ่อต่อวัน อย่างไรก็ตามต้องสังเกตการกิน อาหารของปลาในแต่ละวันด้วย อัตราการแลกอาหารให้เป็นเนื้อปลาของปลาช่อน ประมาณ 5 : 1 (อาหารเปียก 5 กิโลกรัม ได้น้ าหนักปลาเพิ่ม 1 กิโลกรัม)
176 13.2 การเลี้ยงปลาช่อน บ่อปลาช่อนที่ดีควรมีการเติมน้ าเข้าออกตลอดเวลา หรืออย่างน้อยวันละครั้งเพื่อควบคุมให้ น้ ามีคุณสมบัติดีอยู่เสมอ โรคปลาที่พบมากคือโรคพยาธิท าให้ปลาอ่อนแอหรือเป็นแผล จากนั้นเชื้อ แบคทีเรียหรือเชื้อราในน้ าจะเข้าแทรกท าให้โรคลุกลามระบาดเป็นอันตรายกับปลาทั้งบ่อ ซึ่งยากแก่ การแก้ไข การป้องกันจึงเป็นสิ่งจ าเป็นมากกว่าการรักษา ผู้เลี้ยงต้องตรวจดูสุขภาพปลาอย่างสม่ าเสมอ เมื่อพบอาการผิดปกติต้องรีบท าการแก้ไขให้ทัน ปลาที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุไม่ควรน ามารับประทาน หรือปล่อยทิ้งไว้ในน้ า ควรจับออกจากบ่อแล้วฝังหรือท าลายแล้วรีบหาสาเหตุเพื่อป้องกันต่อไป การเจริญเติบโตและการจับ ปลาช่อนขนาด 8-10 เซนติเมตร ที่ได้รับการดูแลอย่างดีใน เวลา 8-10 เดือน จะมีน้ าหนักเฉลี่ยประมาณตัวละ 1 กิโลกรัม มีอัตรารอดตายมากกว่า 70% ก่อนการจับควรงดอาหารประมาณ 1 วัน แล้วใช้อวนล้อมจับจนกว่าปลาจะน้อยลงจึงสูบน้ าออก จับปลาส่วนที่เหลือออกให้หมด บ่อขนาดเนื้อที่ 1 ไร่ ควรให้ผลผลิตประมาณ 5-8 ตัน การงดให้อาหารปลาก่อนการจับจะท าให้ปลาไม่ตายขณะล าเลียง ในการล าเลียงขนส่งนิยมใส่ ปลาในลังสังกะสี บรรจุปลาลังละ 50 กิโลกรัม ปลาช่อนที่มีชีวิตจะขายได้ราคาดีกว่าปลาที่ตายแล้ว ดังนั้นการจับปลาและการล าเลียงจึงควรท าด้วยความระมัดระวัง 14. การเลี้ยงปลาแรด ชื่อสามัญ Giant gouramy ชื่อวิทยาศาสตร์ Osphronemus goramy ภาพที่ 30 แสดงรูปร่างของปลาแรด ที่มา : http://www4.pantown.com
177 14.1 ลักษณะทั่วไปของปลาแรด ปลาแรด เป็นปลาจ าพวกเดียวกับปลากระดี่ และปลาสลิดแต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ใน ต่างประเทศ เช่น ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เรียกปลาชนิดนี้ว่า กัวรามี (gouramy) เป็น ปลาที่ประชาชนนิยมบริโภค และราคาแพงมาก ปลาชนิดนี้ขนาดใหญ่อาจจะมีน้ าหนัก 6-7 กิโลกรัม และมีความยาวถึง 60 เซนติเมตร ลักษณะรูปร่างมีล าตัวแบนข้าง หัวค่อนข้างเล็ก ขากรรไกรล่างมีร่องยื่นออกมาจากริมฝีปากบนเล็กน้อย มีฟันที่ขากรรไกรบนและล่าง และมีอวัยวะ พิเศษช่วยหายใจ (Labyrinth organ) ดังนั้นจึงเป็นปลาที่มีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมมีปริมาณ ออกซิเจนต่ าได้ดี ในประเทศไทยมีปลาแรดอยู่ทั่วไปในอ่างเก็บน้ า หนองบึง และตามสระน้ าของวัด ซึ่งเข้าใจ ว่ามีผู้น าไปปล่อยในวัด และจากสาเหตุที่พบปลาแรดเลี้ยงในสระน้ าในวัดจึงท าให้ไม่นิยมรับประทาน กันเท่าที่ควร ทั้งๆที่ปลาแรดมีเนื้อที่อร่อยมาก และมีผู้นิยมเลี้ยงปลาแรดเป็นปลาสวยงามกันมาก เนื่องจากปลาแรดมีนิสัยรักสงบอยู่ประจ าที่เสมอ จึงมักมีผู้เลี้ยงปลาแรดไว้ในกระชัง เพื่อใช้ ตรวจสอบรูรั่วของกระชัง โดยหากกระชังมีรูรั่วปลาแรดจะหนีออกจากกระชัง แต่ไม่หนีไปไกลคงว่าย วนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นเป็นที่สังเกตได้ (ชาติชาย , 2543) 14.2 วิธีการเลี้ยงปลาแรด ปลาแรดจัดว่าเป็นปลาที่กินพืช เช่น ผักบุ้ง สาหร่าย จอก แหน หญ้าอ่อน และใบไม้ เศษอาหารจากโรงครัว หรืออาหารผสมจ าพวกร าข้าว ปลายข้าว และปลาป่น ปลาแรดสามารถจะ เลี้ยงได้ในบ่อหรือในกระชัง และคอก ตามแหล่งน้ าต่างๆ แต่ที่นิยมเลี้ยงโดยเฉพาะในบ่อ จะปล่อย ปลาแรดเลี้ยงรวมกับปลากินพืชอื่นๆ ในบ่อที่มีพืชน้ าหรือวัชพืชขึ้น เพื่อให้ปลาแรดกินเป็นการท า ความสะอาดบ่อไปในตัว ปลาแรดควรเลี้ยงในบ่อดิน ความลึกของน้ า 1 เมตร ปลาแรดขนาดใหญ่ มักเลี้ยงรวมกับปลากินพืชชนิดอื่นๆ เช่น ปลาหมอเทศ ปลานิล ควรเลี้ยงในอัตราไม่เกิน 1-4 ตารางเมตรต่อตัว และควรเลี้ยงในน้ าสะอาดเสมอ ถ้าให้อาหารเสริมด้วย ลูกปลาแรดขนาด 5-7 เซ็นติเมตร เลี้ยงในระยะ 1 ปี จะมีน้ าหนัก ประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งเป็นขนาดที่ใช้บริโภค ปลาแรดที่อดจะกินอาหารทุกชนิดให้หนักท้อง และ มักจะตายด้วยท้องที่เต็มไปด้วยก้อนหิน เปลือกหอยและของอื่นๆ ส าหรับในกระชังเลี้ยงปลาสวายก็ ปล่อยปลาแรดลงไป เพื่อท าหน้าที่ยามตรวจกระชังเช่นเดียวกัน การตลาด แม้ว่าปลาแรดจัดเป็นปลาที่มีรสชาติดีเหมาะที่จะท าอาหารในภัตตาคารแต่ เนื่องจากความเชื่อว่าเป็นปลาในวัด จึงมีผู้นิยมเลี้ยงน้อยกว่าปลาชนิดอื่นๆ ในล าน้ าสะแกกรังเขต จังหวัดอุทัยธานีมีการเลี้ยงปลาแรดในกระชัง และซื้อขายกันในราคากิโลละ 50-80 บาท ผู้ที่เคย รับประทานปลาแรดต่างก็อยากหาปลาแรดมารับประทานกันอีกเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามใน
178 ปัจจุบันปลาแรดจัดเป็นปลาสวยงามที่มีผู้นิยมเลี้ยงและส่งไปจ าหน่ายต่างประเทศ ดังนั้นหากผู้เลี้ยง ไม่คิดจะเลี้ยงเพื่อขายเป็นปลาเนื้อ ก็อาจเพาะเลี้ยงเพื่อขายเป็นปลาสวยงามก็ได้ 15. การเลี้ยงปลาหมอตาล ชื่อสามัญ Temminck's kissing gourami ชื่อวิทยาศาสตร์ Helostoma temminckii ภาพที่ 31 แสดงรูปร่างของปลาหมอตาล ที่มา : http://www.nicaonline.com 15.1 ลักษณะทั่วไปของปลาหมอตาล ปลาหมอตาล เป็นปลาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับปลาแรด แต่ขนาดโตเต็มที่จะมีน้ าหนัก ประมาณ 300 กรัม เป็นปลาที่มีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจเช่นเดียวกับปลาแรด มีล าตัวแบนข้าง บริเวณด้านบนของล าตัวสีเทาอมเขียว มีแถบสีด าพาดขวางบริเวณหัว 1 แถบ และบริเวณโคนหางอีก 1 แถบ ปากขนาดเล็กยืดหดได้ ปลาหมอตาลเป็นปลาที่กินอาหารจ าพวกสาหร่ายสีเขียว หรือสีน้ าเงิน แกมเขียวชนิดเซลล์เดียว ตะไคร่น้ า อาหารผสมจ าพวกร า ปลายข้าว และปลาป่น (ชาติชาย , 2543) ปลาหมอตาลเป็นปลาน้ าจืดที่มีความทนทาน อยู่ในแม่น้ าล าคลอง หนอง บึง ที่มี กระแสน้ าไม่เชี่ยว เลี้ยงง่าย รสดี พบทั่วไปเฉพาะในนาข้าวหลังการเก็บเกี่ยว เป็นปลากินพืช สามารถเลี้ยงในบ่อได้ ปลาหมอตาลเผือกนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกต่างๆ กัน เช่น ปลา อีกก ปลาอีดัน ปลาใบตาล ปลาวี ปลาจูบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Helostoma temminckii
179 รูปร่างลักษณะ ล าตัวปลาหมอตาลแบนข้าง ยาวมากกว่ากว้าง ปากเล็กยืดหดได้ ริม ฝีปากหนา ริมฝีปากบนและล่างเท่ากัน ฟันละเอียด ตาอยู่เหนือมุมปาก ครีบหลังและครีบก้นมี ก้านครีบแข็งและอ่อน ครีบท้องมีก้านครีบแข็ง 5 ซี่ เกล็ดเล็กมีอยู่ที่เส้นข้างตัว 44-48 เกล็ด เส้นข้างตัวขาดตอนตรงบริเวณใต้ก้านครีบอ่อนของครีบหลัง ตัวโตเต็มที่มีความยาวถึง 32.5 เซนติเมตร อยู่ในครอบครัวเดียวกับปลาหมอ คือ Anabantidae (อะนาแบนทิดี้) 15.2 วิธีการเลี้ยงปลาหมอตาล การเตรียมบ่อเลี้ยง ปลาหมอตาลสามารถน าไปเลี้ยงในนาข้าวได้ เหมาะที่จะเลี้ยงในนา รวมกับปลานิล ปลาไน เพราะปลาชนิดนี้จะใช้ประโยชน์จากอาหารต่างชนิดกับปลาดังกล่าว นอกจากนี้ในบ่อที่เลี้ยงปลานิลที่อุดมไปด้วยสาหร่ายสีเขียวชนิดเซลล์เดียว (Phytoplankton) ซึ่งเป็น อาหารโดยตรงตามธรรมชาติของปลาหมอตาล ดังนั้นจึงใช้ปลาชนิดนี้แก้ปัญหาน้ าเสียอันเนื่องมาจาก สาหร่ายดังกล่าว และยังเป็นการเพิ่มพูนผลผลิตปลาอีกด้วย ระดับของคูในนาข้าวไม่ต่ ากว่า 30 เซนติเมตร ปล่อยปลาลงเลี้ยงในอัตรา 1 ตัว / ตาราง เมตร การเลี้ยงในตู้กระจกเลี้ยงได้ตั้งแต่ตู้กระจกขนาด 10 x 15 เซนติเมตรขึ้นไป ปลาที่สมบูรณ์ จะเจริญเติบโตไม่ต่ ากว่า 15 เซนติเมตร ในระยะเวลา 1 ปี อาหารเสริม ปลาหมอตาลชอบกินสาหร่ายและไรน้ าเป็นอาหาร ควรเพาะไรน้ าในบ่อปลา ด้วยปุ๋ยคอกในอัตรา 100 กิโลกรัม / ไร่ ก่อนการปล่อยปลาลงเลี้ยง นอกจากนี้แล้วควรหาผักบุ้ง และโรยร าให้กินบ้าง สรุป ปลาน้ าจืดที่มีความส าคัญทางเศรษฐกิจในแต่ละชนิด มีเทคนิควิธีการเลี้ยงและการดูแล จัดการแตกต่างกันออกไป และตลาดผู้บริโภคก็มีความต้องการปลาน้ าจืดในแต่ละชนิดแตกต่างกันใน แต่ละช่วงเวลา ผู้เลี้ยงปลาจึงต้องมีการวางแผนในการผลิตปลาให้ตรงตามความต้องการของ ท้องตลาด และมีการดูแลเอาใจใส่ที่ดี เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด ผู้บริโภค ทั้งภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ ค าถามท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 8 จงตอบค าถามต่อไปนี้ 1. จงอธิบายถึงข้อพิจารณาขั้นพื้นฐานของการคัดเลือกปลาที่จะเลี้ยง ? 2. จงบอกถึงชนิดของปลาน้ าจืดที่นิยมเลี้ยง ? 3. จงอธิบายถึงหลักวิธีการเลี้ยงปลาน้ าจืดที่ส าคัญทางเศรษฐกิจมา 3 ชนิด ?
180 กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ใบงานที่ 7 ชื่อใบงาน การศึกษาจ าแนกประเภทของปลาน้ าจืดที่นิยมเลี้ยง จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถจ าแนกประเภทของปลาน้ าจืดที่นิยมเลี้ยงได้ 2. นักเรียนสามารถบอกลักษณะของปลาน้ าจืดที่นิยมเลี้ยงได้ เครื่องมือ /อุปกรณ์ 1. แบบบันทึกการศึกษาศูนย์การเรียน 2. เอกสาร จุลสาร ต าราเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาน้ าจืดประเภทต่าง ๆ 3. ตัวอย่างของจริง ได้แก่ ปลานิล ปลาดุก ปลาช่อน ปลาตะเพียนขาว ปลาแรด ปลา จีน และปลาบึก 4. ป้ายศูนย์การเรียน 1 – 7 ล าดับขั้นตอนการปฏิบัติงาน 1. แบ่งนักเรียนออกเป็น 7 กลุ่ม และมอบหมายให้แต่ละกลุ่มท าการศึกษาความรู้ในศูนย์ การเรียนรู้ต่าง ๆ โดยหมุนเวียนให้ครบทั้ง 7 ศูนย์ ประกอบด้วย - ศูนย์การเรียนรู้ที่หนึ่งเรื่อง การเลี้ยงปลานิล - ศูนย์การเรียนรู้ที่สองเรื่อง การเลี้ยงปลาจีน - ศูนย์การเรียนรู้ที่สามเรื่อง การเลี้ยงปลาช่อน - ศูนย์การเรียนรู้ที่สี่เรื่อง การเลี้ยงปลาบึก - ศูนย์การเรียนรู้ที่ห้าเรื่อง การเลี้ยงปลาแรด - ศูนย์การเรียนรู้ที่หกเรื่อง การเลี้ยงปลาสวาย - ศูนย์การเรียนรู้ที่เจ็ดเรื่อง การเลี้ยงปลาตะเพียนขาว 2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันท าบันทึกการเรียนรู้ตามรูปแบบที่ก าหนดซึ่งประกอบด้วย ประเภทและลักษณะของปลาน้ าจืด ความส าคัญ ประวัติการเลี้ยง ลักษณะการเลี้ยง 3. ให้แต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปประเภทของปลาน้ าจืดที่นิยมเลี้ยง และหลักการจ าแนก ประเภทปลาน้ าจืดที่นิยมเลี้ยง
181 4. ให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกน าเสนอ 5. ให้นักเรียนแต่ละคนจัดท าบันทึกการเรียนรู้พร้อมทั้งแบบประเมินตนเอง 6. ส าหรับชิ้นงานรายบุคคลให้เก็บสะสมในแฟ้มสะสมผลงาน การวัดผลประเมินผล 1. ประเมินจากการน าเสนองาน 2. ประเมินจากแบบบันทึกการศึกษาศูนย์การเรียน 3. ประเมินจากแบบบันทึกการเรียนรู้
182 ใบงานที่8 ชื่อใบงาน การศึกษาดูงานการเลี้ยงปลาน้ าจืด จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนได้รู้รูปแบบในการเลี้ยงปลาน้ าจืด 2. นักเรียนเกิดทัศนคติที่ดีต่อการเลี้ยงปลาน้ าจืด เครื่องมือ /อุปกรณ์ 1. แบบบันทึกการศึกษาดูงาน 2. สถานประกอบการ หน่วยงานที่เลี้ยงปลาน้ าจืด ล าดับขั้นตอนการปฏิบัติงาน 1. ครูน านักเรียนไปศึกษาดูงานนอกสถานที่ในสถานประกอบการที่เลี้ยงปลาน้ าจืด 2. ให้นักเรียนท าการบันทึกการเรียนรู้ตามรูปแบบที่ก าหนดซึ่งประกอบด้วย ประเภทและลักษณะของปลาน้ าจืดที่เลี้ยง รูปแบบของบ่อ ความเหมาะสมในการเลี้ยง 3. ให้นักเรียนแต่ละคนจัดท าบันทึกการเรียนรู้พร้อมทั้งแบบประเมินตนเอง 4. ส าหรับชิ้นงานรายบุคคลให้เก็บสะสมในแฟ้มสะสมผลงาน การวัดผลประเมินผล 1. ประเมินจากรายงานผลการไปศึกษาดูงาน 2. ประเมินจากแบบบันทึกการเรียนรู้
183 แบบบันทึกการศึกษาดูงานแหล่งเลี้ยงปลาน้ าจืด 1. ชื่อและที่อยู่ของสถานประกอบการที่ไปศึกษาดูงาน .............................................................................................................................................. 2. ลักษณะการประกอบการ ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................ 3. จ านวนบ่อเลี้ยงปลา.................................บ่อ มีพื้นที่ทั้งหมดจ านวน..............ไร่ 4. ชนิดของปลาที่เลี้ยง ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................ 5. รูปแบบและวิธีในการเลี้ยงปลา ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................ 6. ต้นทุนในการเลี้ยงปลา ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................ 7. ผลผลิตในการเลี้ยงปลา ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................ 8. ตลาดส าหรับการจ าหน่ายผลผลิต ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................ 9. ปัญหาและอุปสรรคในการเลี้ยงปลา ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................ ……………………........................................................................................................................................
184 แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่8 วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง การเลี้ยงปลาน้ าจืดชนิดต่างๆ ค าแนะน า ให้นักเรียนอ่านค าถามแล้วกากะบาด (X) ทับข้อค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค าตอบเดียว ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. ปลาชนิดใดที่สามารถผสมพันธุ์ออกลูกได้เองภายในบ่อเลี้ยง ? ก. ปลาสวาย ข. ปลายี่สก ค. ปลาดุก ง. ปลานิล 2. ปลาน้ าจืดประเภทไม่มีเกล็ดชนิดใดที่ตัวโตที่สุดของไทย ? ก. ปลาเทโพ ข. ปลาเทพา ค. ปลาสวาย ง. ปลาบึก 3. ปลาชนิดใดที่สามารถอดทนอยู่ในแหล่งน้ าที่มีปริมาณก๊าซออกซิเจนต่ าได้ดี ? ก. ปลานิล ข. ปลาไน ค. ปลาดุก ง. ปลายี่สก 4. ปลาชนิดใดที่จัดว่าเป็นปลาที่กินพืชเป็นอาหาร ? ก. ปลาบู่ ข. ปลากราย ค. ปลาเสือตอ ง. ปลานิล 5. ในการเลี้ยงปลาชนิดใดที่ต้องใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักลงในบ่อเพื่อสร้างน้ าเขียว ? ก. ปลาชะโด ข. ปลาดุก ค. ปลาปลานิล ง. ปลาช่อน
185 6. ปลาในกลุ่มปลาจีนชนิดใดที่ชอบอาศัยและหากินบริเวณระดับผิวน้ า ? ก. ปลาเฉา ข. ปลาลิ่น ค. ปลาซ่ง ง. ถูกทุกข้อ 7. ปลาดุกชนิดใดที่เนื้อมีรสชาติดีที่สุด ? ก. ปลาดุกด้าน ข. ปลาดุกอุย ค. ปลาดุกรัสเซีย ง. ปลาดุกบิ๊กอุย 8. อัตราการปล่อยปลาสลิดลงเลี้ยงที่เหมาะสมต่อพื้นที่คือข้อใด ? ก. 5-10 ตัว/ตรม. ข. 10-15 ตัว/ตรม. ค. 15-20 ตัว/ตรม. ง. 20-25 ตัว/ตรม. 9. ปลาชนิดใดที่ชอบขุดคุ้ยพื้นบ่อและคันบ่อเพื่อหาอาหารท าให้คันบ่อพังทลายได้ง่าย ? ก. ปลาช่อน ข. ปลาหมอตาล ค. ปลาไน ง. ปลาตะเพียนขาว 10. ปลาตะเพียนขาวสามารถเจริญเติบโตได้ในน้ ากร่อยที่มีความเค็มไม่เกินข้อใด ? ก. 3 ppt. ข. 5 ppt. ค. 7 ppt. ง. 9 ppt.
แผนการจัดการเรียนรู้ประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง อาหารและการให้อาหารปลา 1. สาระส าคัญ : อาหารปลามีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของปลาที่เลี้ยง โดยต้นทุนใน การเลี้ยงปลาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นค่าอาหารปลา ดังนั้นการศึกษาถึงประเภทของอาหารปลา องค์ประกอบของธาตุอาหารที่ส าคัญ รูปแบบของอาหารปลา การผลิตอาหารเลี้ยงปลา และการ ค านวณสูตรอาหารปลา จะมีผลท าให้ผู้เรียนสามารถน าประสบการณ์ความรู้ไปปรับใช้ในการเลี้ยง ปลาได้อย่างเหมาะสม และจะเป็นแนวทางในการลดต้นทุนการเลี้ยงปลาได้อีกด้วย 2. สมรรถนะประจ าหน่วยการเรียนรู้: 1. มีความรู้เรื่องอาหารและการให้อาหารปลา 2. ปฏิบัติการสร้างสูตรอาหารและการผสมอาหารปลา 3. มีกิจนิสัยการท างานอย่างเป็นระบบด้วยความรับผิดชอบ ขยัน อดทน 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง : 1. สามารถบอกนิสัยการกินอาหารของปลาได้อย่างถูกต้อง 2. สามารถจ าแนกประเภทอาหารของปลาได้อย่างถูกต้อง 3. สามารถบอกองค์ประกอบธาตุอาหารที่ส าคัญได้อย่างถูกต้อง 4. สามารถบอกรูปแบบของอาหารปลาได้อย่างถูกต้อง 5. สามารถปฏิบัติการผลิตอาหารเพื่อใช้เลี้ยงปลาได้อย่างถูกต้อง 6. สามารถค านวณสูตรอาหารปลาได้อย่างถูกต้อง 7. สามารถอธิบายวิธีการให้อาหารปลาประเภทต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง 8. สามารถอธิบายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกินอาหารของปลาได้อย่างถูกต้อง 9. สามารถค านวณหาอัตราการแลกเนื้อของปลาที่เลี้ยงได้อย่างถูกต้อง 4. ความรู้ที่ต้องได้รับ : 1. นิสัยการกินอาหารของปลา 2. ประเภทของอาหารปลา 3. องค์ประกอบของธาตุอาหารที่ส าคัญ 4. รูปแบบของอาหารปลา
187 5. การผลิตอาหารเลี้ยงปลา 6. การค านวณสูตรอาหารปลา 7. วิธีการให้อาหารปลา 8. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกินอาหารของปลา 9. อัตราแลกเนื้อ 5. ทักษะทางปัญญาที่ต้องการพัฒนา : สามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีทักษะทางการวิเคราะห์ สังเคราะห์ 6. คุณธรรมจริยธรรมที่ต้องการ : 1. มีใจรักและศรัทธาในวิชาชีพ 2. มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร 3. มีความซื่อสัตย์ 4. มีความสนใจใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 7. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องการ : 1. มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลา 2. มีมนุษย์สัมพันธ์ 3. การรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถท างานร่วมกับผู้อื่น 5. การบริการสังคมและชุมชน 6. ความปลอดภัย 8. กิจกรรมการเรียนการสอน : 1. ศึกษาเนื้อหาในหัวเรื่องที่ 1-9 2. การท าแบบทดสอบก่อนการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 3. แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อท ากิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง อาหารและการให้ อาหารปลา โดยใช้เทคนิควิธีการสอนแบบ CIPPA 4. การฝึกปฏิบัติการค านวณสูตรอาหารและผสมอาหารปลาเพื่อใช้เลี้ยงปลาตามกลุ่มที่ได้รับ มอบหมาย 5. การฝึกปฏิบัติการเพาะเลี้ยงไรแดงเพื่อเป็นแหล่งอาหารปลา
188 6. การท าแบบทดสอบหลังการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 7. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 8. การจัดท าบันทึกการเรียนรู้ 9. การเก็บรวบรวมผลงานการเรียนรู้เพื่อจัดท าแฟ้มสะสมผลงาน 9. จ านวนชั่วโมงที่สอน : จ านวน 12 ชั่วโมง 10. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ : 1. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 3. แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 4. เอกสารใบงานเรื่อง การสร้างสูตรอาหารเพื่อเลี้ยงปลาน้ าจืด และการเพาะเลี้ยงไรแดงเพื่อเป็น แหล่งอาหารปลา 5. แบบบันทึกการเรียนรู้ 11. วิธีการประเมินผล : 1. การวัดความสามารถด้านพุทธิพิสัย : โดยการท าแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน แบบทดสอบ ก่อน-หลังเรียน การร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น และการน าเสนองาน 2. การวัดความสามารถด้านทักษะพิสัย : โดยการสังเกตพฤติกรรมในการท างานร่วมกัน การ วางแผนในการท างานร่วมกัน และความสามารถในการท างานส าเร็จอย่างมีคุณภาพตามเวลาที่ มอบหมาย 3. การวัดความสามารถด้านจิตพิสัย : โดยการสังเกตจากพฤติกรรมในขณะด าเนินกิจกรรม การเรียนการสอนว่า ให้ความสนใจในการเรียนรู้ การมีวินัย การตรงต่อเวลา การมีส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน
189 หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 อาหารและการให้อาหารปลา อาหารปลา เป็นสิ่งส าคัญอย่างยิ่งที่จะท าให้ปลาเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ และมีน้ าหนัก ดี การให้อาหารปลาควรให้อย่างถูกต้องตามความต้องการของปลาแต่ละชนิด ดังนั้นผู้เลี้ยง จ าเป็นต้องทราบถึงความต้องการอาหารของปลาแต่ละชนิดซึ่งแตกต่างกัน การจ าแนกปลาตามลักษณะนิสัยการกินอาหาร (ชาติชาย , 2543) 1. กินอาหารตามผิวน้ า (Surface feeder) จะกินอาหารที่ลอยน้ าหรืออยู่ใกล้ผิวน้ า แม้กระทั่งแพลงก์ตอนที่เคลื่อนขึ้นลงตามแนวดิ่ง และอาศัยอยู่ตามผิวน้ าเพียงบางเวลา ปลาพวกนี้ ได้แก่ ปลาเฉา ปลาแรด ปลาช่อน ปลาสลิด ปลาเสือพ่นน้ า และปลานิล 2. กินอาหารกลางน้ า (Mid-water feeder) เป็นปลาที่กินอาหารที่ล่องลอยและเคลื่อนไหว อยู่ในระดับกึ่งความลึกของน้ า ได้แก่ ปลาเล่ง ปลาหมอตาล ปลาสวาย และปลาหมอไทย 3. กินอาหารที่พื้นก้นแหล่งน้ า (Bottom feeder) เป็นปลาที่กินอาหารจ าพวกสัตว์หน้าดิน ได้แก่ ปลาไน ปลาดุก ปลาหลด ปลาเทศบาล และปลาซ่ง การจ าแนกปลาตามชนิดการกินอาหาร (สุภาพร , 2550) 1. ปลากินพืช (Herbivores) ได้แก่ ปลาเฉา ปลาตะเพียนขาว ปลานิล ปลาแรด ปลา ยี่สกเทศ 2. ปลากินสัตว์หรือกินเนื้อ (Carnivores) ได้แก่ ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาบู่ทราย ปลาดุก ปลาหมอไทย ปลากะสง 3. ปลากินทั้งพืชและสัตว์ (Omnivores) ได้แก่ ปลาสวาย ปลายี่สกไทย 4. ปลาที่กินตะไคร่น้ า (Plankton feeders) ได้แก่ ปลาปลาสลิด ปลาซ่ง ปลาเกล็ดเงิน การที่เราจะพิจารณาโดยประมาณว่าปลาชนิดใดจะชอบกินอาหารประเภทใดนั้น ต้องศึกษาถึง ส่วนประกอบภายในระบบอวัยวะย่อยอาหาร และลักษณะต่างๆของอวัยวะของปลาแต่ละชนิด ดังนี้ 1. ซี่เหงือก (Gill rakers) ปลาที่มีซี่เหงือกเล็ก เรียงยาวมักจะเป็นปลาที่กินของเล็กๆ ส่วนปลาที่มีซี่เหงือกใหญ่แข็งแรงและห่างมักจะเป็นปลาพวกกินเนื้อสัตว์ 2. ฟัน (Teeth) ถ้าเป็นปลาที่มีกรามแข็งแรง คม เช่น พวกฟันเคี้ยว (Canine) มักจะเป็น
190 ปลาประเภทกินเนื้อเป็นอาหาร แต่ถ้าเป็นปลาประเภทกินพืชเป็นอาหารนั้น มักจะเป็นปลาที่มีฟันใน อุ้งปากอยู่เพียงแต่ในช่องคอ 3. กระเพาะ (Stomach) ปลาที่กินสัตว์กระเพาะจะหนา ส่วนปลาที่กินพืชกระเพาะมัก จะบาง ถ้าดูที่ล าไส้ในปลากินสัตว์ล าไส้จะสั้นเหยียดตรงและมีสีขาว ส่วนปลาที่กินพืชนั้นล าไส้จะยาว มาก บางทีถึงกับต้องมีการม้วนไว้กับกระเพาะลมเสียหลายรอบแล้วจึงจะเปิดออกสู่ทวาร 4. ปลาที่กินสัตว์ มักจะมีเยื่อบุช่องท้องเป็นสีขาวค่อนไปทางสีเนื้อ ปลากินพืชจะมีสีด า 5. ปลาที่กินสัตว์ มักจะพบว่ามีช่องว่างเกือบเต็มกระเพาะ 6. ปลาที่กินสัตว์บางชนิดอาจพบสัตว์ที่เป็นพยาธิในล าไส้ ซึ่งพยาธิชนิดนั้นๆอาจใช้ ปลาเป็นที่อยู่อาศัย (Intermediate host) ในตอนใดตอนหนึ่งของวงจรชีวิตก็ได้ ซึ่งในปลากินพืชจะ ไม่พบ 7. ปลาที่กินแพลงก์ตอน ตรงเพดานปากจะเป็นร่องตามทางยาว ตั้งแต่คอหอยจนถึง บนฟันขากรรไกรล่าง ความลึกตื้นขึ้นอยู่กับชนิดของปลา อาหารจะมีประโยชน์กับปลาในด้าน การเคลื่อนไหว การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การ เจริญเติบโตและการขยายพันธุ์ ซึ่งจะสามารถแบ่งอาหารที่ปลากินออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ (อุธร , 2550 ) 1. อาหารธรรมชาติ(Natural feed) หมายถึง อาหารที่เกิดมีขึ้นเองในแหล่งน้ าตาม ธรรมชาติ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด 1.1 อาหารธรรมชาติพวกสัตว์ ได้แก่ สัตว์ตัวเล็กที่อาศัยเลี้ยงตัวอยู่ในน้ า เช่น พวก จุลินทรีย์ ไรน้ า (Water fleas) ลูกน้ า (Mosquito larvae) ลูกกุ้ง ลูกปลา ลูกกบ ลูกเขียด ไข่ และตัวอ่อนของแมลงที่อาศัยอยู่ในน้ า รวมทั้งไข่ของปลาต่างๆด้วย 1.2 อาหารธรรมชาติพวกพืช ได้แก่ พันธุ์ไม้น้ าต่างๆ เช่น สาหร่าย ตะไคร่น้ า จอกแหน รากของพันธุ์ไม้น้ า และใบหญ้าบางชนิดที่ขึ้นอยู่ตามขอบบ่อ 2. อาหารสมทบ (Supplement feed) หมายถึง เป็นอาหารที่ผู้เลี้ยงจัดหาจากที่อื่นมาให้ เพิ่มเติม นอกเหนือจากที่มีอยู่แล้วในบ่อ แบ่งออกเป็น 2.1 อาหารจ าพวกเนื้อ ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่างๆทั้งที่มีชีวิตและตายเน่าเปื่อยแล้ว เช่น ปลวก (Isoptera) หนอน ไส้เดือนตัวใหญ่ มด ไส้ของสัตว์ชนิดต่างๆ เครื่องในสัตว์ 2.2 อาหารจ าพวกพืช ได้แก่ ข้าว ร า ผักชนิดต่างๆ ข้าวโพด เผือก มันเทศ และ หญ้าเลี้ยงสัตว์ 2.3 อาหารเทียม (Artificial feed) ได้แก่ อาหารที่อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ประเภทของอาหารปลา
191 ไข่ผง ปลาป่น กุ้งป่น ไรน้ าตากแห้ง อาหารเม็ดที่มีส่วนผสมของโปรตีน เป็นต้น องค์ประกอบของธาตุอาหารปลาที่ส าคัญ อาหารปลาที่ดีจะต้องประกอบด้วยสารอาหารดังต่อไปนี้(เกรียงศักดิ์ , 2547) 1. โปรตีน (Proteins) เป็นสารอาหารที่ร่างกายน าไปใช้ในรูปสารเคมีของกรดอมิโนชนิด ต่างๆ ที่จ าเป็นมี 10 ชนิด ได้แก่ อาร์จินีน (Argenine) ฮิสติดีน (Histidine) ไลซีน (Lysine) ลิว ซีน (Leucine) ไอโซลิวซีน (Isoleucine) ทริบโตเฟน (Tryptophan) ทรีโอนีน (Threonine) ฟีนิลอะ ลานีน (Phenylalanine) เมทไธโอนีน (Methionine) และวาลีน (Valine) โปรตีนเป็นสารที่ให้ พลังงานเพื่อการด ารงชีวิต เพื่อการเจริญเติบโต และเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานทั้งหมด (Gross energy , G.E.) 5.6 กิโลแครอลี่/กรัม พลังงานที่ย่อยได้ (Digestible energy , D.E.) 4.5 กิโลแครอ ลี่/กรัม ให้พลังงานรองจากไขมัน คุณภาพของโปรตีน ขึ้นอยู่กับกรดอมิโนที่เป็นองค์ประกอบในโปรตีนนั้น ถ้าอาหารมีกรด อมิโนที่จ าเป็นครบถ้วนทั้งชนิดและปริมาณ สัตว์น้ าจะเจริญเติบโตดีและใช้ประโยชน์จากโปรตีนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ แหล่งโปรตีนพบได้ทั้งในพืชและสัตว์ได้แก่ ปลาป่น กากถั่วเหลือง เนื้อป่น เลือด ป่น ปลามีความต้องการโปรตีนอย่างน้อยที่สุดเท่ากับปริมาณโปรตีนที่สะสมอยู่ในร่างกายของปลา ปลากินพืชต้องการโปรตีน 18-25 % ปลากินทั้งพืชและสัตว์ต้องการโปรตีน 25-32 % และปลากิน สัตว์ต้องการโปรตีน 30-35 % 2. ไขมัน (Fat , Lipids) เป็นธาตุอาหารที่ให้พลังงานเช่นเดียวกับโปรตีนและคาร์โบไฮ เดรท โดยให้พลังงานมากที่สุดในกลุ่มของอาหารพลังงาน คือให้พลังงานทั้งหมด 9.3 กิโลแครอลี่/ กรัม พลังงานย่อยได้ 8.4 กิโลแครอลี่/กรัม ร่างกายน าไปใช้ในรูปของกรดไขมัน เช่น linolenic acid , omega id1, saturated acid พบในพืชและสัตว์ ไขมันมีคุณสมบัติไม่ละลายน้ ามีความ จ าเป็นต่อการด ารงชีพ การเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ของสัตว์น้ า โดยทั่วไปแล้วหน้าที่ของไขมันมี ดังนี้ 2.1 เป็นแหล่งพลังงาน เมื่อสัตว์น้ าได้รับสารอาหารประเภทไขมันจะย่อยและดูด ซึมไปใช้ ไขมันเป็นอาหารที่ใช้พลังงานมากที่สุด และช่วยประหยัดการใช้โปรตีนในอาหารไม่ให้ถูกเผา ผลาญเปลี่ยนเป็นพลังงาน 2.2 เป็นตัวพาวิตามินไปใช้ประโยชน์ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย วิตามินที่ละลาย ในไขมัน ได้แก่ วิตามิน เอ , ดี, อี, และ เค 2.3 เป็นโครงสร้างผนังเซลล์ ซึ่งท าให้เซลล์สามารถยืดหยุ่นปรับสภาพให้เข้ากับ อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงได้ 2.4 เป็นแหล่งให้กรดไขมันที่จ าเป็นแก่ร่างกาย เพื่อไปท าหน้าที่ช่วยในการหดตัว ของกล้ามเนื้อ และป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด
192 3. คาร์โบไฮเดรท (Carbohydrate) เป็นสารที่ให้พลังงานทั้งหมด 4.2 กิโลแครอลี่/กรัม พลังงานย่อยได้ 2.1 กิโลแครอลี่/กรัม มีราคาถูกที่สุดในอาหารประเภทให้พลังงาน ในธรรมชาติพบใน รูปแป้ง น้ าตาล เส้นใยพืช เมื่อสัตว์น้ าได้รับอาหารพวกคาร์โบไฮเดรทเข้าไปจะถูกย่อยด้วยน้ าย่อยคาร์ โบไฮเดรทจนกระทั่งได้สารโมเลกุลเล็กที่สุด คือ กลูโคส แล้วถูกดูดซึมตามท่อทางเดินอาหารเพื่อ น าไปใช้ประโยชน์ต่างๆ คือ เป็นองค์ประกอบของเซลล์ หรือน าไปเผาผลาญให้ได้พลังงานออกมาเพื่อ ร่างกายน าไปใช้ในชีวิตประจ าวัน ปัจจุบันบทบาทและหน้าที่ของคาร์โบไฮเดรทต่อการผลิตอาหารปลามีความส าคัญเป็นอย่าง มาก เพราะคาร์โบไฮเดรทเป็นแหล่งพลังงานที่ถูก และใช้ทดแทนพลังงานจากโปรตีนได้ ท าให้สามารถ ลดต้นทุนการผลิตได้โดยการลดโปรตีนในสูตรอาหารบางส่วนแล้วเพิ่มคาร์โบไฮเดรทเข้าไปแทน แต่ ปลาได้รับคุณค่าทางอาหาร และพลังงานเท่าเดิม แหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ส าคัญ เช่น ร า ปลายข้าว ข้าวโพด แป้งมันส าปะหลัง เป็นต้น หากพิจารณาการใช้ประโยชน์ทางโภชนาการของคาร์โบไฮเดรท ถือว่าแป้งเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรทที่มีผลส าคัญต่อการเจริญเติบโตของปลามากกว่าน้ าตาล ปลากินพืช เช่น ปลานิล ปลาไน ปลาจีน สามารถย่อยแป้งได้ดีกว่าปลากินสัตว์ และปลากินทั้งพืชและสัตว์เพราะ ปลากินพืชมีระบบส าไส้ยาว รวมทั้งมีปริมาณของน้ าย่อยแป้งมากกว่าปลากินสัตว์และปลากินทั้งพืช และสัตว์ประโยชน์ของแป้งในอาหารปลา นอกจากจะท าหน้าที่เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานเพื่อใช้ ประโยชน์ในการด ารงชีพแล้ว แป้งยังท าให้อาหารที่ผลิตเป็นอาหารเม็ดส าเร็จรูป อาหารผงและอาหาร แผ่น มีความคงทนในน้ าได้นานขึ้น เพราะธรรมชาติของแป้งเมื่อถูกท าให้สุกโดยความร้อนจะมีความ เหนียวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้แป้งยังช่วยท าให้อาหารลอยน้ า เช่น อาหารปลาดุก เพราะแป้งเมื่อผ่าน ขบวนการผลิตจะพองตัวและเกิดช่องว่างและเบาท าให้อาหารเม็ดลอยน้ าได้ อาหารประเภทลอยน้ า ควรมีสัดส่วนของแป้งจาก ปลายข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี อยู่อย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์ คาร์โบไฮเดรทอีกรูปแบบหนึ่ง คือ เส้นใยพืช ซึ่งจะไม่มีประโยชน์ในการให้พลังงานแก่ปลา เพราะปลาไม่สามารถย่อยเส้นใยพืชได้จะถูกขับออกมาในรูปกากอาหาร เส้นใยพืชมีประโยชน์ช่วยให้ อาหารที่ปลากินเข้าไปเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารได้ช้าลง ท าให้สารอาหารถูกดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ มากขึ้น แต่ถ้าใส่เส้นใยพืชในการผลิตอาหารมากเกินไปจะท าให้อาหารนั้นละลายน้ าได้เร็วและคุณค่า ทางอาหารลดลงเพราะปลาไม่สามารถย่อยเส้นใยพืชได้ ปลาจะเจริญเติบโตช้า 4. วิตามิน (Vitamins) เป็นสารที่จ าเป็นต่อร่างกายแต่ไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ร่างกาย ต้องการวิตามินเพียงเล็กน้อย เพื่อน าไปใช้ในการเจริญเติบโต การด ารงชีพ และการสืบพันธุ์ให้เป็นไป ตามปกติ ปลาก็เหมือนกับสัตว์ชนิดอื่นที่สามารถสังเคราะห์วิตามินภายในร่างกายได้ แต่ไม่เพียงพอกับ ความต้องการของร่างกาย วิตามินบางตัวปลาไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ต้องได้รับมาจากอาหาร ภายนอก วิตามินแบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ ตามความสามารถในการละลาย คือ 4.1 วิตามินพวกที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามิน เอ , ดี, อี, และ เค วิตามิน
193 พวกนี้ไม่ละลายในน้ าแต่ละลายในไขมัน วิตามินกลุ่มนี้ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้อาหารชนิดนั้นต้องมี ไขมันเป็นองค์ประกอบอยู่เพียงพอ และวิตามินกลุ่มนี้สามารถสะสมไว้ตามไขมันในร่างกายได้ 4.2 วิตามินพวกที่ละลายในน้ า มี 2 กลุ่ม คือ 4.2.1 กลุ่มวิตามินบีรวม ซึ่งมี 8 ชนิด คือ - วิตามินบีหนึ่ง (Thiamin) - วิตามินบีสอง (Riboflavin) - วิตามินบีหก (Pyridoxine) - วิตามินบีสิบสอง (Cyanocobalamin) - กรดแพนโททีนิค (Panthotenic acid) - ไนอาซิน (Niacin) - ไบโอติน (Biotin) - กรดโพลิค (Folic acid) 4.2.2 กลุ่มวิตามินหลัก เป็นกลุ่มที่วิตามินที่ปลาต้องการมาก เกี่ยวข้องกับ การเจริญเติบโตมี 3 ชนิด คือ - อินโนซิทอล (Inosital) - โคลีน (Chorine) - วิตามินซี (Ascorbic acid) ชนิดวิตามิน อาการเมื่อขาดวิตามิน วิตามินเอ น้ าหนักเฉลี่ยของปลาลดลง สายตาไม่ดี หนีแสง ตาขุ่น ปูดบวม อักเสบ การสร้าง กระดูกผิดปกติ ท าให้กระพุ้งแก้มหงิกงอ ผิวตัวซีด มีการตกเลือดที่ครีบ ผิวหนัง ไต วิตามินดี การเจริญเติบโตลดลง การให้อาหารมีประสิทธิภาพต่ าสุด มีปริมาณไขมันที่ตับและ กล้ามเนื้อมากขึ้น วิตามินเค ท้องบวม เลือดแข็งตัวช้า เลือดคั่งตามเหงือก ตา และกล้ามเนื้อ ขาดนานๆ จะ เป็นโรคโลหิตจาง วิตามินบี 12 เบื่ออาหาร การเจริญเติบโตลดลง โลหิตจาง เม็ดเลือดแดงเปราะ ผิวคล้ า วิตามินซี การสร้างกระดูกอ่อนและกระดูกแข็งผิดปกติ กระดูกสันหลังหัก กระดูกอ่อนที่ครีบ และเหงือกอ่อนแอไม่เจริญเท่าที่ควรเป็นแผลหายช้า ความต้านทานโรคลดลง ตาย วิตามินบี 6 หายใจถี่เร็ว ตกใจง่าย ว่ายน้ าหมุน ตายกะทันหัน ตัวแข็ง ตายรวดเร็ว ตารางที่ 9 แสดงอาการของการขาดวิตามินชนิดต่าง ๆในปลา
194 5. แร่ธาตุ (Minerals) เป็นสารอาหารที่จ าเป็นต่อสิ่งมีชีวิต เพื่อช่วยให้การด ารงชีพ การ เจริญเติบโตและการด าเนินกิจกรรมต่างๆภายในร่างกายให้เป็นไปอย่างปกติ ปลาแตกต่างจากสัตว์ ชนิดอื่นคือ สามารถดูดซึมแร่ธาตุจากน้ าเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรงทางเหงือกนอกเหนือจากอาหารที่กิน เข้าไป การดูดซึมแร่ธาตุนอกจากจะช่วยในการจัดระบบสมดุลภายในร่างกายกับภายนอกร่างกายให้ เป็นปกติแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในแง่ของโภชนาการอาหารด้วย แร่ธาตุที่ปลาต้องการแบ่ง ออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 5.1 กลุ่มแร่ธาตุหลัก หมายถึง แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณมาก จ าเป็นต้องใส่ ลงในอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย มี 7 ชนิด คือ แคลเซียม(Ca) , ฟอสฟอรัส (P) , แมกนีเซียม (Mg) ,โซเดียม (Na) ,โปแตสเซี่ยม (K) , คลอไรด์ (Cl) ,และก ามะถัน (S) 5.2 กลุ่มแร่ธาตุรอง หมายถึง แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยมากจะมี อยู่แล้วในอาหารมี 7 ชนิด คือ เหล็ก (Fe) , ทองแดง (Cu) , แมงกานีส (Mn) , สังกะสี(Zn) ,ซิลิ เนียม (Se) ,ไอโอดีน (I) , และ โคบอล (Co) 6. น้ า (Water) น้ าเป็นสารอาหารที่จ าเป็นและเป็นตัวกลางในการน าอากาศ โดยเฉพาะ ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและน าคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ยังเป็นสื่อกลางในการน าสารอาหารต่างๆ ในระบบเลือด การระบายของเสียและการปรับดุลของสัตว์น้ าด้วย รูปแบบของอาหารปลา แบ่งอย่างกว้างๆ ได้ 2 แบบ (เกรียงศักดิ์, 2547) คือ 1. แบบเปียก เป็นอาหารที่ผู้เลี้ยงปลาประกอบขึ้นเอง โดยวิธีการผสมวัสดุต่างๆคลุกเค้าให้เข้า กันด้วยแรงคนหรือใช้เครื่องบดและอาหารสดที่ให้ปลากินโดยตรง วัสดุอาหารที่นิยมใช้ ได้แก่ ปลาย ข้าว ร า กากถั่ว กากเบียร์ ปลาป่น ปลาเป็ด กากมะพร้าว เศษอาหารจากครัวเรือน ส่าเหล้า เครื่องในสัตว์ ผักบุ้ง ผักตบชวา แหน ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการใช้มูลสัตว์บางชนิดเลี้ยงปลาอีกด้วย 2. แบบแห้ง เป็นอาหารที่ผู้เลี้ยงปลาสามารถประกอบขึ้นเองได้ ด้วยวิธีที่ไม่ยุ่งยากซับ ซ้อน หรือซื้อจากบริษัทผู้ผลิตอาหารปลา ซึ่งมีวิธีการผลิตที่ซับซ้อนมากขึ้น อาหารแบบแห้งสามารถ เก็บรักษาไว้ได้เป็นเวลานาน สะดวกในการใช้เลี้ยงปลาและขนส่งไปยังสถานที่ต่างๆ อาหารแห้งแบ่ง ออกได้ดังนี้ 2.1 อาหารผง ประกอบด้วยวัสดุอาหารชนิดต่าง ๆ ที่มีลักษณะแห้งและเป็นผง ละเอียดผสมรวมกัน 2.2 อาหารชนิดเม็ดจมน้ า เป็นอาหารที่ท ามาจากวัสดุอาหารชนิดต่างๆผสมคลุก เคล้าหรือบดให้เข้ากัน อาจต้องผสมน้ าเล็กน้อยเพื่อให้เปียกชื้นแล้วน ามาผ่านเครื่องอัดเม็ด อาหารจะ ออกมาในลักษณะเป็นท่อนๆ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางและความยาวที่ต้องการ อาหารที่ออกมาจาก เครื่องอัดเม็ดใหม่ๆมีความชื้นปนอยู่ ต้องน าไปผึ่งลมหรือแดดให้แห้งจึงจะเก็บรักษาไว้ได้นาน
195 2.3 อาหารชนิดเม็ดลอยน้ า เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบเหมือนกับอาหารชนิดเม็ด จมน้ า แต่มีวิธีการผลิตซับซ้อนกว่า โดยการอัดอากาศเข้าไปเพื่อให้อาหารที่ผลิตออกมาสามารถลอย น้ าได้ ท าให้ผู้เลี้ยงปลาสามารถสังเกตการกินอาหารของปลาได้ว่าปริมาณอาหารที่ให้เพียงพอต่อ ความต้องการของปลาหรือไม่ การผลิตอาหารเลี้ยงปลา ฟาร์มเลี้ยงปลาขนาดกลางและมีทุนพอสมควร เจ้าของฟาร์มมีความรู้ด้านอาหารปลาบ้าง ก็ สามารถผลิตอาหารปลาขึ้นมาใช้เองได้ในรูปของอาหารแบบชนิดเปียกและแห้ง โดยใช้เครื่องมือในการ ผลิตที่มีจ าหน่ายอยู่ในท้องตลาด ซึ่งราคาก็ไม่แพงมากนัก ประกอบกับวัสดุที่จะใช้ท าเป็นอาหารส่วน ใหญ่ก็เป็นของที่ผลิตขึ้นเองในประเทศ และมีจ าหน่ายในท้องตลาดทั่วไป (โชคชัย , 2548) เครื่องมือที่ใช้ท าอาหารปลาจะประกอบด้วยเครื่องมือที่เป็นหลักอยู่ 4 ตัว คือ 1. เครื่องบด เป็นเครื่องมือที่ใช้ส าหรับบดวัสดุอาหารที่เป็นเม็ดหรือชิ้นให้กลายเป็นฝุ่นแห้ง แป้ง ขนาดของวัสดุที่ได้ออกมาขึ้นอยู่กับแร่งหรือตะแกรงในเครื่องนั้นๆ การบดให้วัสดุเป็นผงละเอียด จะช่วยท าให้การใช้ประโยชน์จากอาหารนั้นของปลาดีขึ้น เครื่องบดที่น ามาใช้มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบ อาหารแห้ง เช่น บดข้าวโพด ถั่ว ข้าว อีกแบบหนึ่งเป็นอาหารสด เช่น บดหรือปั่นผักตบชวา ผักบุ้ง ผลได้ออกมาจะมีลักษณะคล้ายกะปิ 2. เครื่องชั่ง ใช้ส าหรับชั่งวัสดุต่างๆ ตามจ านวนที่ค านวณไว้ก่อนที่จะเข้าเครื่องผสมอาหาร 3. เครื่องผสม เป็นเครื่องมือที่จะผสมให้วัสดุต่างๆ ซึ่งมีจ านวนแตกต่างกันให้คลุกเคล้าเป็น เนื้อเดียวกัน ทั้งนี้ในการท าอาหารวัสดุบางชนิดจะถูกน ามาใช้เป็นจ านวนน้อย เช่น พวกวิตามิน แร่ ธาตุ หรือพวกสารเหนียว การใช้เครื่องผสมจะท าให้สารอาหารต่างๆที่ใส่เข้าไปกระจายไปผสมกับ วัสดุอื่นๆ อย่างทั่วถึง เครื่องผสมนี้ส่วนใหญ่จะเป็น 2 แบบ คือ 3.1 แบบตั้ง ซึ่งมีรูปลักษณะแบบกรวยกรอกน้ าภายในมีเกลียวหมุนด้วยแรงเครื่อง ฉุด ซึ่งท าให้วัสดุต่างๆผสมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เหมาะส าหรับใช้ผสมวัสดุที่มีความชื้นน้อยหรือเป็น ของแห้ง
196 ภาพที่ 32 แสดงเครื่องผสมอาหารแบบถังตั้ง ที่มา : http://courseware.rmutl.ac.th 3.2 แบบนอน มีลักษณะคล้ายรูปทรงกระบอกผ่าซีกปิดหัวท้ายวางในแนวนอน ภายในทรงกระบอกนี้จะมีแกนซึ่งล้อมรอบด้วยใบพัดซ้อนกันหลายใบ และแกนจะหมุนได้ด้วยเครื่อง ฉุด เครื่องแบบนี้ใช้ได้ทั้งวัสดุที่เป็นแบบเปียกหรือแห้ง ภาพที่ 33 แสดงเครื่องผสมอาหารแบบถังนอน ที่มา : http://courseware.rmutl.ac.th 4. เครื่องอัดเม็ด เป็นเครื่องที่เกษตรกรรู้จักในชื่อว่า เครื่องโม่ปลาหรือเครื่องบดเนื้อ มีรูป ลักษณะเป็นกระบอกยาว ปลายกระบอกข้างหนึ่งปิดตันและเจาะเป็นช่องข้างบนต่อกับที่ส าหรับใส่ให้ อาหารไหลลงมา ภายในกระบอกมีแกนเป็นเกลียวเพื่อหมุนส่งอาหารให้ออกไปที่ปลายกระบอก ปลาย กระบอกสวมด้วยจานกลมเจาะเป็นรูเพื่อให้อาหารออกมาตรงกลางจานกลมที่เป็นรู (หน้าแว่น) จะสวม กับแกนที่หมุน ส่วนของแกนที่ยื่นออกมาจะติดใบมีดเพื่อให้อาหารออกมาเป็นแท่งๆยาวสั้นตามที่ ต้องการ ในกรณีที่ต้องท าเป็นเม็ด หากเป็นเครื่องโม่ปลาใบมีดจะอยู่ในกระบอกชิดติดกับหน้าแว่น วัสดุอาหารที่หมุนมาตามเกลียวซึ่งหมุนด้วยแรงฉุดจะถูกดันออกมาทางรูหน้าแว่นเป็นเส้นๆหรือเป็น
197 แท่ง เครื่องมือนี้จะผลิตอาหารออกมาในรูปค่อนข้างจะมีความชื้นสูงหรือเปียก ซึ่งอาจน าไปใช้เลี้ยง ปลาเลย หรือผึ่งแดดให้แห้งเก็บเป็นอาหารแห้งใช้เลี้ยงในวันต่อๆ ไป การท าอาหาร เมื่อชั่งวัสดุอาหารตามสูตรที่ก าหนดให้หรือที่ค านวณได้แล้ว ก็น าไปเข้า เครื่องผสมแบบหนึ่งแบบใดก็ได้ ในกรณีที่เป็นอาหารแห้งจะต้องเติมน้ าประมาณ 35-40 % ของ อาหารที่ใส่เข้าเครื่องทั้งหมดแล้วเดินเครื่องให้อาหารผสมกัน โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที จากนั้นก็ถ่ายเทอาหารไปใส่ในเครื่องอัดเม็ดหรือโม่ปลา หากอาหารที่ได้ออกมาไม่เปียกมาก การตากแดดเพียงแดดเดียวอาหารก็จะแห้งพอที่จะเก็บได้นาน ในกรณีที่อาหารเปียกมากและไม่มี แดดที่ใช้ตาก ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการเกิดเชื้อราในอาหาร การป้องกันโดยใช้สารกันบูดในรูป แคลเซี่ยมโปรปิโอเนต (Calcium propionate) จะช่วยท าให้เกิดเชื้อราได้ช้าลง (เกรียงศักดิ์, 2547) หลักในการน าวัสดุมาท าเป็นอาหารปลาเพื่อให้คุณภาพดีจะต้องพิจารณา ดังนี้ 1. วัสดุที่น ามาจากหลายๆแหล่งรวมกัน จะมีคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิม เช่น ข้าว + ร า + แหน จะท าให้อาหารนั้นมีคุณภาพดีกว่า ข้าว + ร า เพียง 2 อย่าง ทั้งนี้เป็นเพราะท าให้ส่วนผสมของ อาหารได้สมดุลขึ้น 2. วัสดุที่น ามาท าเป็นอาหาร ไม่ควรจะเป็นวัสดุที่น ามาจากแหล่งก าเนิดจากพวกพืชล้วนๆ ควรมีส่วนที่มาจากเนื้อสัตว์ปนอยู่ด้วย เพราะวัสดุจากพืชล้วนๆให้คุณค่าทางอาหารไม่สมบูรณ์ส าหรับ การเจริญเติบโตของปลา 3. วัสดุประเภทแป้ง อันได้แก่ มันส าปะหลัง ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ้าง เมล็ดจากพืช หรือ อื่นๆ ควรจะผ่านความร้อนหรือต้มเสียก่อนให้ปลากิน ทั้งนี้การต้มหรือการใช้ความร้อนจะท าให้ คุณภาพอาหารดีขึ้น คือปลาสามารถย่อยได้ดีขึ้น หรือท าลายพิษของสารอาหารนั้นก่อนปลากิน 4. วัสดุอาหารประเภทโปรตีนที่ท ามาจากสัตว์จะดีกว่าอาหารที่ท ามาจากพืช 5. เยื่อใย หรือกาก หรือส่วนที่เป็นของแข็ง เหนียว จากพืชต่างๆ เป็นสิ่งที่ปลากินไปแล้ว ไม่สามารถจะย่อยได้ แต่มีประโยชน์ในการช่วยท าให้การขับถ่ายของปลาดีขึ้น ในการก าหนดว่าอาหารคุณค่าขนาดใดจึงจะเหมาะกับปลาที่เลี้ยงนั้น ควรจะพิจารณาอย่าง กว้างๆ โดยพิจารณาจากปริมาณโปรตีนในอาหารกับชนิดปลาที่เลี้ยง เช่น 1. ปลาที่ต้องการระดับโปรตีนต่ า ซึ่งได้แก่ ปลาจีนชนิดต่างๆ ปลานิล ปลาสวาย อาหารที่ ให้ควรมีโปรตีนประมาณ 18-22 % 2. ปลาที่ต้องการระดับโปรตีนปานกลาง ซึ่งได้แก่ ปลาตะเพียน ปลาไน ปลาดุกด้าน ปลากา ปลายี่สก อาหารที่ให้ควรมีโปรตีนประมาณ 23-30 % 3. ปลาที่ต้องการระดับโปรตีนสูง ซึ่งได้แก่ ปลาช่อน ปลาดุก ปลาบู่ อาหารที่ให้ควรมี โปรตีนมากกว่า 30 %
198 สูตรอาหารปลา ก่อนที่จะคิดท าสูตรอาหารส าเร็จรูปขึ้นใช้เองนั้น จะต้องรู้ว่าตนเองต้องการใช้สูตรอาหารใด ในการเลี้ยงปลา สูตรอาหารที่ดีต้องมีลักษณะดังนี้ 1. ท าให้ปลามีการเจริญเติบโตเร็ว แข็งแรงและมีภูมิต้านทานโรคดี 2. ท าให้ปลามีอัตราการแลกเนื้อที่ดี และอัตราการรอดสูง 3. วัตถุดิบต่างๆที่ใช้สามารถจัดซื้อหาได้ง่าย ราคาถูก และสะดวกต่อการเก็บรักษา ตัวอย่างของสูตรอาหารปลาบางชนิดที่แนะน าโดยกรมประมง (เกรียงศักดิ์, 2547) ตารางที่ 10 ส่วนผสมของวัสดุอาหารส าหรับเลี้ยงปลานิล วัสดุอาหาร น้ าหนัก % ปลาป่นอัดน้ ามัน 12 กากถั่วลิสงป่น 6 ร าละเอียด 41 ปลายข้าวบดหรือมันเส้นบด 40 วิตามิน + เกลือแร่ 1 รวม 100 ตารางที่ 11ส่วนผสมของวัสดุอาหารส าหรับเลี้ยงพ่อแม่ปลาสวาย ปลาไน และปลายี่สกเทศ วัสดุอาหาร น้ าหนัก % ปลาป่นอัดน้ ามัน 16 กากถั่วลิสงป่น 24 กากถั่วเหลืองป่น 14 ร าละเอียด 30 ปลายข้าวบดหรือมันเส้นบด 15 วิตามิน + เกลือแร่ 1 รวม 100
199 ตารางที่ 12 ส่วนผสมของวัสดุอาหารส าหรับเลี้ยงปลาตะเพียน วัสดุอาหาร น้ าหนัก % ปลาป่นอัดน้ ามัน 12 กากถั่วลิสงป่น 23 ร าละเอียด 40 แป้งหรือข้าว 20 ใบกระถินป่น 4 วิตามิน + เกลือแร่ 1 รวม 100 ตารางที่ 13 ส่วนผสมของวัสดุอาหารส าหรับเลี้ยงปลาขนาดใหญ่ วัสดุอาหาร น้ าหนัก % ปลาป่นอัดน้ ามัน 17 กากถั่วเหลืองป่น 17 กากถั่วลิสงป่น 18.4 ร าละเอียด 22 ปลายข้าว 24 วิตามิน + แร่ธาตุ 1.6 รวม 100
200 ตารางที่ 14 ส่วนผสมของสูตรอาหารส าหรับเลี้ยงปลาดุกขนาดเล็กถึงปลาดุกขนาดกลาง วัสดุอาหาร น้ าหนัก % ปลาป่นอัดน้ ามัน 23 กากถั่วเหลือง 23 กากถั่วลิสง 23 ร าละเอียด 14 ปลายข้าว 15.4 วิตามิน + แร่ธาตุ 1.6 รวม 100 ตารางที่ 15 ส่วนผสมวัสดุอาหารส าหรับเลี้ยงลูกปลาไน ลูกปลาตะเพียน และลูกปลานิล วัสดุอาหาร น้ าหนัก % ปลาป่นอัดน้ ามัน 30 ร าละเอียด 45 กากถั่วลิสง 24 วิตามิน + แร่ธาตุ 1 รวม 100 ก่อนผสมอาหาร ร่อนวัสดุอาหารที่เตรียมไว้ด้วยตะแกรงเบอร์ 16 หรือ 16 x16 ช่อง ตารางนิ้ว แล้วน าเข้าเครื่องผสมอาหารนาน 8 -10 นาที ให้ลูกปลากินในรูปผง