The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารการสอนวิชาการเพาะเลี้ยงปลา (ส่งทำเล่ม)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Boonyanuch Kaewmanee, 2023-03-13 23:01:06

เอกสารประการเรียน วิชาการเพาะเลี้ยงปลา (Fish Breeding and Culture)

เอกสารการสอนวิชาการเพาะเลี้ยงปลา (ส่งทำเล่ม)

Keywords: Fish Breeding and Culture

201 ตารางที่ 16 ส่วนผสมของวัสดุอาหารส าหรับเลี้ยงลูกปลาดุกด้าน ลูกปลาดุกอุย และลูกปลา ช่อน วัสดุอาหาร น้ าหนัก % ปลาป่นอัดน้ ามัน 56 ร าละเอียด 12 กากถั่วลิสงป่น 12 แป้งเหนียว 14 น้ ามันปลา 4 วิตามิน + แร่ธาตุ 1.6 สารเหนียว 0.4 รวม 100 ผสมอาหารทั้งหมดในเครื่องผสมอาหารประมาณ 8-10 นาที ผสมน้ าเย็น 30 % โดย น้ าหนักแล้วขย าปั้นเป็นก้อนให้ลูกปลากิน การค านวณสูตรอาหารปลา (Fish feed formulation) ผู้เลี้ยงปลาในเชิงธุรกิจสามารถที่จะท าการสร้างสูตรอาหารและผสมสูตรอาหารที่จะใช้ในการ เลี้ยงปลาขึ้นมาได้เอง อาจจะใช้วัตถุดิบอาหารที่มีอยู่ในท้องถิ่นและมีคุณภาพดี เพื่อเป็นการลดต้น การผลิตด้านอาหาร โดยในการค านวณสูตรอาหารจะต้องให้มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนตามชนิด และระยะของปลาที่ท าการเลี้ยง ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลตอบแทนในการผลิตและการลงทุนสูงสุด วิธีการ ค านวณสูตรอาหารปลาที่ต้องการให้มีปริมาณโปรตีนตามที่ต้องการที่นิยมใช้กันอยู่ มีดังนี้(เกรียง ศักดิ์ , 2547) 1. วิธีลองผิดลองถูก (Trial method) วิธีนี้จ าเป็นต้องเดาว่าในอาหารผสม 100 ส่วน ควรจะมีวัตถุดิบอาหารสัตว์อย่างละเท่าใด แล้วจึงตรวจสอบดูว่าสูตรอาหารดังกล่าวมีธาตุอาหารเพียงพอความต้องการของปลาหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ พอดีก็จ าเป็นต้องปรับสูตรอาหารใหม่ โดยการลดหรือเพิ่มวัตถุดิบอาหารสัตว์ แล้วตรวจสอบอีกครั้ง หนึ่ง วิธีลองผิดลองถูกอาจแบ่งย่อยได้ 2 กรณี คือ


202 1.1 ในกรณีที่ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ 2 ชนิด การผลิตอาหารปลาที่ใช้วัตถุดิบ 2 ชนิดมาผสมกัน ส่วนใหญ่จะใช้ปลาเป็ดหรือปลาป่น เป็นหลัก แล้วน าวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ได้จากพืชมาผสม ดังเช่น การใช้ปลาเป็ดผสมร า หรือปลาเป็ด ผสมปลายข้าวในการอนุบาล และการเลี้ยงปลาบู่หรือปลาช่อน หรืออาจเป็นการใช้ปลาป่นผสมร า หรือปลาป่นผสมปลายข้าวในการอนุบาลและการเลี้ยงปลาดุก ปลาสวายและปลากินพืชบางชนิด เช่น ปลานิล ปลาตะเพียนขาว เป็นต้น ตัวอย่างที่ 1 จงค านวณสูตรอาหารปลาดุก ซึ่งต้องการผลิตให้มีโปรตีน 30 % จ านวน 100 กิโลกรัม โดยใช้ปลาป่นและร าเป็นส่วนผสม ก าหนดให้ปลาป่นและร ามีโปรตีน 60 % และ 12 % ตามล าดับ วิธีการค านวณ ขั้นตอนที่ 1 ทดลองเดาสัดส่วนของปลาป่นและร าควรเป็นเท่าใด โดยใช้หลักสังเกตง่ายๆว่า เนื่องจากปลาป่นมีโปรตีนสูงมาก แต่ร ามีโปรตีนต่ าดังนั้นจึงควรเดาให้ร ามีมากกว่าปลาป่น สมมุติเดาว่าควรจะให้ ปลาป่น 40 กิโลกรัม ร า 60 กิโลกรัม รวม 100 กิโลกรัม ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบดูว่าสูตรอาหารดังกล่าว มีโปรตีนครบ 30 % หรือไม่ ปลาป่นจ านวน 40 กิโลกรัม มีปริมาณโปรตีน 40 x 60 = 24 กิโลกรัม 100 ร าจ านวน 60 กิโลกรัม มีปริมาณโปรตีน 60 x 12 = 7.2 กิโลกรัม 100 ดังนั้น ในสูตรอาหาร 100 กิโลกรัม จะมีโปรตีนอยู่ 31.2 กิโลกรัมหรืออาจกล่าวได้ว่ามี โปรตีนอยู่ 31.2 % แต่ที่เราต้องการจริงๆเพียง 30 % เท่านั้น ดังนั้นต้องลดเปอร์เซ็นต์โปรตีนใน สูตรอาหารดังกล่าวข้างต้นอีก เท่ากับ 31.2 – 30 = 1.2 % ขั้นตอนที่ 3 ปรับสูตรอาหารให้มีเปอร์เซ็นต์โปรตีนตามที่ต้องการ โดยการลดใช้ปลาป่น แล้วแทนที่ด้วยร าจ านวนเท่าๆกัน เพื่อให้สูตรอาหารยังคงมีน้ าหนักรวมเป็น 100 กิโลกรัม การลดปลาป่น 1 กิโลกรัม ท าให้ปริมาณโปรตีนลดลง 1 x 60 = 0.6 กิโลกรัม 100 การเพิ่มร า 1 กิโลกรัม ท าให้ปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้น 1 x 12 = 0.12 กิโลกรัม 100


203 นั้นคือ การลดปลาป่นออกจากสูตรอาหาร 1 กิโลกรัม แล้วเพิ่มร า 1 กิโลกรัม จะท าให้ ปริมาณโปรตีนทั้งหมดในสูตรอาหารลดลง 0.6 – 0.12 = 0.48 กิโลกรัม แต่เนื่องจากต้องการลด โปรตีนทั้งหมดลงเท่ากับ 1.2 กิโลกรัม ดังนั้น จึงต้องลดปลาป่นเท่ากับ 1.2 ÷ 0.48 = 2.5 กิโลกรัม แล้วเพิ่มร าเข้าไป 2.5 กิโลกรัม ก็จะได้สูตรอาหารที่ถูกต้องดังนี้ ชนิดวัตถุดิบอาหารสัตว์ จ านวน (กิโลกรัม) ปริมาณโปรตีน (กิโลกรัม) ปลาป่น 40 – 2.5 = 37.5 37.5 x 60 = 22.5 100 ร า 60 + 2.5 = 62.5 62.5 x 12 = 7.5 100 รวม 100 30 1.2 ในกรณีที่ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์มากกว่า 2 ชนิด การค านวณโดยวิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์จ านวน มากชนิดมาผสมรวมกัน จะช่วยให้มีการทดแทนธาตุอาหารซึ่งกันและกันโดยเฉพาะกับวัตถุดิบอาหาร สัตว์บางชนิดที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่ครบถ้วน ซึ่งท าให้มั่นใจได้ว่าสูตรอาหารที่ผลิตขึ้นมา จะมี ธาตุอาหารครบถ้วนสมบูรณ์ ปัญหาที่มักประสบของการค านวณโดยวิธีนี้ก็คือจะเลือกใช้วัตถุดิบ อาหารสัตว์ 3 ชนิด หรือ 4 ชนิด หรือมากกว่านั้นและถ้าจะใช้ควรจะใช้ในปริมาณเท่าใดในสูตร อาหารซึ่งในเรื่องดังกล่าวควรพิจารณาประเด็นต่างๆ ดังนี้ กล่าวคือการเลือกใช้จ านวนชนิดของ วัตถุดิบอาหารสัตว์นั้นควรพิจารณาถึงคุณภาพ ราคาและความสะดวกในการจัดหาวัตถุดิบเหล่านั้น มาประกอบการตัดสินใจ ส าหรับปริมาณวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ใช้ในสูตรอาหารควรพิจารณาถึงชนิด ของปลาที่เลี้ยง และคุณสมบัติของวัตถุดิบอาหารสัตว์มาประกอบการตัดสินใจว่า สามารถใส่ได้มาก ที่สุดไม่ควรเกินเท่าใด เช่น การใช้มันเส้นผสมในสูตรอาหารปลากินพืชประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ มี ความเป็นไปได้แต่ถ้าจะใช้ในสูตรอาหารปลากินเนื้อ ก็ไม่ควรเกิน 15 – 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น


204 ตัวอย่างที่ 2 จงค านวณสูตรอาหารปลานิล ซึ่งต้องการผลิตให้มีโปรตีน 20 % จ านวน 100 กิโลกรัม โดยใช้ปลาป่น กากถั่วลิสง ร า มันเส้น และพรีมิกซ์เป็นส่วนผสม ก าหนดให้ปริมาณ โปรตีนของปลาป่น กากถั่วลิสง ร า มันเส้น และพรีมิกซ์มีค่าเป็น 60 , 45 ,12 , และ 2 % ตามล าดับ และใช้พรีมิกซ์ 2 % ในสูตรอาหาร วิธีการค านวณ ขั้นตอนที่ 1 ทดลองเดาสัดส่วนของปลาป่น กากถั่วลิสง ร า และมันเส้น โดยใช้หลัก สังเกตว่า เนื่องจากปลานิลเป็นปลากินพืชจึงควรลดการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ประเภทโปรตีนสูง เพื่อ ลดต้นทุนอาหารและปริมาณร า และมันเส้น ไม่ควรเกิน 40 % ในสูตรอาหาร สมมติเดาว่าควรจะใช้ ปลาป่น 10 กิโลกรัม กากถั่วลิสง 15 กิโลกรัม ร า 33 กิโลกรัม มันเส้น 40 กิโลกรัม พรีมิกซ์ 2 กิโลกรัม รวม 100 กิโลกรัม ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบดูสูตรอาหาร มีโปรตีนครบ 20 % หรือไม่ ปลาป่นจ านวน 10 กิโลกรัม มีปริมาณโปรตีน 10 x 60 = 6 กิโลกรัม 100 กากถั่วลิสงจ านวน 15 กิโลกรัม มีปริมาณโปรตีน 15 x 45 = 6.75 กิโลกรัม 100 ร าจ านวน 33 กิโลกรัม มีปริมาณโปรตีน 33 x 12 = 3.96 กิโลกรัม 100 มันเส้นจ านวน 40 กิโลกรัม มีปริมาณโปรตีน 40 x 2 = 0.8 กิโลกรัม 100 ดังนั้นในสูตรอาหาร 100 กิโลกรัม จะมีโปรตีนอยู่รวม 17.51 กิโลกรัมหรืออาจกล่าวได้ ว่ามีโปรตีนอยู่ 17.51 % แต่เนื่องจากต้องการสูตรอาหารที่มีโปรตีน 20 % ดังนั้นต้องเพิ่ม เปอร์เซ็นต์โปรตีนในสูตรอาหารดังกล่าวข้างต้นอีก เท่ากับ 20 – 17.51 = 2.49 %


205 ขั้นตอนที่ 3 ปรับสูตรอาหารให้มีโปรตีนตามที่ต้องการ โดยเพิ่มวัตถุดิบที่มีโปรตีนสูงสุด คือ ปลาป่น แล้วลดวัตถุดิบที่มีโปรตีนต่ าสุดในจ านวนเท่าๆ กัน เพื่อให้สูตรอาหารยังคงมีน้ าหนัก รวมเป็น 100 กิโลกรัม การเพิ่มปลาป่น 1 กิโลกรัม ท าให้ปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้น 1 x 60 = 0.6 กิโลกรัม 100 การลดมันเส้น 1 กิโลกรัม ท าให้ปริมาณโปรตีนลดลง 1 x 2 = 0.02 กิโลกรัม 100 นั่นคือ การเพิ่มปลาป่นเข้าไปในสูตรอาหาร 1 กิโลกรัม แล้วลดมันเส้น 1 กิโลกรัม จะท าให้ ปริมาณโปรตีนทั้งหมดในสูตรอาหารเพิ่มขึ้น 0.6 – 0.02 = 0.58 กิโลกรัม แต่เนื่องจากต้องการเพิ่ม โปรตีนในสูตรอาหารอีก 2.49 กิโลกรัม ดังนั้นจึงต้องเพิ่มปลาป่นเท่ากับ 2.49 ÷ 0.58 = 4.29 กิโลกรัม พร้อมทั้งลดมันเส้น 4.29 กิโลกรัม ก็จะได้สูตรอาหารที่ถูกต้องดังนี้ ชนิดของวัตถุดิบอาหารสัตว์ จ านวน (กิโลกรัม) ปริมาณโปรตีน (กิโลกรัม) ปลาป่น 10 + 4.29 = 14.29 14.29 x 60 = 8.57 100 กากถั่วลิสง 15 15 x 45 = 6.75 100 ร า 33 33 x 12 = 3.96 100 มันเส้น 40 – 4.29 = 35.71 35.71 x 2 = 0.72 100 พรีมิกซ์ 2 - รวม 100 20 หมายเหตุ เนื่องจากวิธีลองผิดลองถูกใช้หลักการเดาสัดส่วนของวัตถุดิบอาหารสัตว์ใน สูตรอาหาร ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าผู้เลี้ยงหรือเจ้าของฟาร์มอาจผลิตอาหารที่มีปริมาณโปรตีนเท่ากันได้ มากกว่า 1 สูตร ซึ่งอาจมีต้นทุนอาหารและระดับธาตุอาหารชนิดอื่นๆ แตกต่างกันไป ดังเช่น จาก ตัวอย่างที่ 2 สมมุติเดาว่าสัดส่วนในสูตรอาหารมีดังนี้


206 ขั้นตอนที่ 1 ปลาป่น 10 กิโลกรัม กากถั่วลิสง 15 กิโลกรัม ร า 35 กิโลกรัม มันเส้น 38 กิโลกรัม พรีมิกซ์ 2 กิโลกรัม รวม 100 กิโลกรัม ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบเปอร์เซ็นต์โปรตีน ปลาป่น 10 กิโลกรัม มีปริมาณโปรตีน 10 x 60 = 6 กิโลกรัม 100 กากถั่วลิสง 15 กิโลกรัม มีปริมาณโปรตีน 15 x 45 = 6.75 กิโลกรัม 100 ร า 35 กิโลกรัม มีปริมาณโปรตีน 35 x 12 = 4.2 กิโลกรัม 100 มันเส้น 38 กิโลกรัม มีปริมาณโปรตีน 38 x 2 = 0.76 กิโลกรัม 100 ดังนั้น จึงมีโปรตีนอยู่รวม 17.71 กิโลกรัม หรือมีโปรตีน 17.71 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องการ ผลิตอาหารที่มีโปรตีน 20 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องเพิ่มเปอร์เซ็นต์โปรตีนอีกเท่ากับ 20 – 17.71 = 2.29 เปอร์เซ็นต์ ขั้นตอนที่ 3 ปรับสูตรอาหาร การเพิ่มปลาป่น 1 กิโลกรัม ท าให้ปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้น 1 x 60 = 0.6 กิโลกรัม 100 การลดมันเส้น 1 กิโลกรัม ท าให้ปริมาณโปรตีนลดลง 1 x 2 = 0.02 กิโลกรัม 100 นั่นคือการเพิ่มปลาป่น 1 กิโลกรัม แล้วลดมันเส้น 1 กิโลกรัม ท าให้โปรตีนเพิ่มขึ้น 0.6 - 0.02 = 0.58 กิโลกรัม แต่เนื่องจากต้องการเพิ่มโปรตีนในสูตรอาหารอีก 2.29 กิโลกรัม ดังนั้น จึงต้องเพิ่มปลาป่นเท่ากับ 2.29 ÷ 0.58 = 3.95 กิโลกรัม พร้อมทั้งลดมันเส้น 3.95 กิโลกรัม ก็จะได้สูตรอาหารที่ถูกต้อง ดังนี้


207 ชนิดของวัตถุดิบอาหารสัตว์ จ านวน (กิโลกรัม) ปริมาณโปรตีน (กิโลกรัม) ปลาป่น 10 + 3.95 = 13.95 13.95 x 60 = 8.37 100 กากถั่วลิสง 15 15 x 45 = 6.75 100 ร า 35 35 x 12 = 4.20 100 มันเส้น 38 – 3.95 = 34.05 34.05 x 2 = 0.68 100 พรีมิกซ์ 2 - รวม 100 20 2. วิธีเขียนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส (Pearson ' s square method) วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้มากเหมือนกับวิธีลองผิดลองถูก โดยจะมีหลักการที่ส าคัญดังนี้ คือ ต้อง แบ่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ วัตถุดิบที่มีโปรตีนสูง และวัตถุดิบที่มีโปรตีนต่ า แล้ว เขียนค่าเปอร์เซ็นต์โปรตีนไว้ที่มุมซ้ายของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยเขียนเปอร์เซ็นต์โปรตีนของวัตถุดิบที่มี โปรตีนสูงไว้มุมซ้ายล่าง และเปอร์เซ็นต์โปรตีนของวัตถุดิบที่มีโปรตีนต่ าไว้มุมซ้ายบนจากนั้นจึงน าค่า เหล่านั้นมาหักลบกับเปอร์เซ็นต์โปรตีนที่ต้องการให้มีในสูตรอาหาร ซึ่งเขียนไว้ตรงกลางสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วจึงน าค่าที่หักลบแล้วมาค านวณสูตรอาหาร วิธีเขียนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสอาจแบ่งย่อยได้ 2 กรณี คือ (เกรียงศักดิ์ , 2547) 2.1 ในกรณีที่ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ 2 ชนิด การผลิตอาหารปลาที่ใช้วัตถุดิบ 2 ชนิด มาผสมกันนี้ส่วนใหญ่จะใช้ปลาเป็ดหรือปลาป่น เป็นหลัก แล้วน าวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ได้จากพืชมาผสม


208 ตัวอย่างที่ 3 จงค านวณสูตรอาหารปลาดุก ซึ่งต้องการผลิตให้มีโปรตีน 35 % จ านวน 100 กิโลกรัมโดยใช้ปลาเป็ด และกากถั่วเหลืองเป็นส่วนผสม ก าหนดให้ปลาเป็ดและกากถั่วเหลืองมี โปรตีน 20 และ 45 % ตามล าดับ วิธีการค านวณ ขั้นตอนที่ 1 เขียนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและใส่เปอร์เซ็นต์โปรตีนที่ต้องการให้มีลงตรงกลาง 35 ขั้นตอนที่ 2 ใส่เปอร์เซ็นต์โปรตีนของกากถั่วเหลือง ซึ่งมีโปรตีนสูงไว้มุมซ้ายล่างและ เปอร์เซ็นต์โปรตีนของปลาเป็ด ซึ่งมีโปรตีนต่ าไว้มุมซ้ายบน แล้วหักลบค่าเหล่านั้นกับเปอร์เซ็นต์ โปรตีนที่ต้องการให้มีไว้ที่มุมตรงข้ามของวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปลาเป็ด 20 10 35 กากถั่วเหลือง 45 15 ดังนั้น สัดส่วนของปลาเป็ดและกากถั่วเหลืองในอาหารผสมมีรวม 10 + 15 = 25 ส่วน ขั้นตอนที่ 3 ค านวณปริมาณปลาเป็ด และกากถั่วเหลืองในสูตรอาหาร 100 กิโลกรัม ได้ ดังนี้ อาหารผสม 25 กิโลกรัม ต้องมีปลาเป็ด 10 กิโลกรัม อาหารผสม 100 กิโลกรัม ต้องมีปลาเป็ด 10 x 100 = 40 กิโลกรัม 25 อาหารผสม 25 กิโลกรัม ต้องมีกากถั่วเหลือง 15 กิโลกรัม อาหารผสม 100 กิโลกรัม ต้องมีกากถั่วเหลือง 15 x 100 = 60 กิโลกรัม 25


209 ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบเปอร์เซ็นต์โปรตีนในสูตรอาหารดังกล่าว ชนิดของวัตถุดิบอาหารสัตว์ จ านวน (กิโลกรัม) ปริมาณโปรตีน (กิโลกรัม) ปลาเป็ด 40 40 x 20 = 8 100 กากถั่วลิสง 60 60 x 45 = 27 100 รวม 100 35 ตัวอย่างที่ 4 จากตัวอย่างที่ 1 จงค านวณสูตรอาหารปลาดุก ซึ่งต้องการผลิตให้มีโปรตีน 30 เปอร์เซ็นต์ โดยวิธีการเขียนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส วิธีการค านวณ ขั้นตอนที่ 1 เขียนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและใส่เปอร์เซ็นต์โปรตีนที่ต้องการให้มีลงตรงกลาง 30 ขั้นตอนที่ 2 ใส่เปอร์เซ็นต์โปรตีนของปลาป่น ซึ่งมีโปรตีนสูงไว้มุมซ้ายล่าง และเปอร์เซ็นต์ โปรตีนของร าซึ่งมีโปรตีนต่ าไว้มุมซ้ายบน แล้วหักลบค่าเหล่านี้กับเปอร์เซ็นต์โปรตีนที่ต้องการให้มีไว้ ที่มุมตรงข้ามของวัตถุดิบ ร า 12 30 30 ปลาป่น 60 18 ดังนั้น สัดส่วนของร าและปลาป่นในอาหารมีรวม 30 + 18 = 48 ส่วน


210 ขั้นตอนที่ 3 ค านวณปริมาณร า และปลาป่นในสูตรอาหาร 100 กิโลกรัม ได้ดังนี้ อาหารผสม 48 กิโลกรัม ต้องมีร า 30 กิโลกรัม อาหารผสม 100 กิโลกรัม ต้องมีร า 30 x 100 = 62.5 กิโลกรัม 48 อาหารผสม 48 กิโลกรัม ต้องมีปลาป่น 18 กิโลกรัม อาหารผสม 100 กิโลกรัม ต้องมีปลาป่น 18 x 100 = 37.5 กิโลกรัม 48 ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบเปอร์เซ็นต์โปรตีนในสูตรอาหารดังกล่าว ชนิดของวัตถุดิบอาหารสัตว์ จ านวน (กิโลกรัม) ปริมาณโปรตีน (กิโลกรัม) ร า 62.5 62.5 x 12 = 7.5 100 ปลาป่น 37.5 37.5 x 60 = 22.5 100 รวม 100 30 2.2 ในกรณีที่ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์มากกว่า 2 ชนิด วิธีนี้จะต้องหาค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์โปรตีนของวัตถุดิบที่มีโปรตีนสูง และค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์ โปรตีนของวัตถุดิบที่มีโปรตีนต่ า แล้วจึงน ามาค านวณเช่นเดียวกับเมื่อใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ 2 ชนิด ตัวอย่างที่ 5 จงค านวณสูตรอาหารปลาดุก ซึ่งต้องการผลิตให้มีโปรตีน 35 % จ านวน 100 กิโลกรัม โดยใช้ปลาป่น กากถั่วเหลือง เมล็ดข้าวโพดบด ร า และมันเส้นเป็นส่วนผสม ก าหนดให้ปริมาณโปรตีนของปลาป่น กากถั่วเหลือง เมล็ดข้าวโพด ร า และมันเส้น มีค่าเป็น 60 , 45 , 7 , 12 , และ 2 % ตามล าดับ วิธีการค านวณ ขั้นตอนที่ 1 เขียนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและใส่เปอร์เซ็นต์โปรตีนที่ต้องการให้มีลงตรงกลาง 35


211 ขั้นตอนที่ 2 แบ่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ออกเป็นกลุ่มที่มีโปรตีนสูงและโปรตีนต่ าโดยใช้เกณฑ์ แบ่งที่ 20 เปอร์เซ็นต์แล้วหาค่าเฉลี่ยได้โดยใช้วิธีค านวณดังนี้ 1. อาหารกลุ่มที่มีโปรตีนสูง (ปลาป่น + กากถั่วเหลือง) มีโปรตีนเฉลี่ย = (60 + 45) = 105 ÷ 2 = 52.5 เปอร์เซ็นต์ 2. อาหารกลุ่มที่มีโปรตีนต่ า (เมล็ดข้าวโพด + ร า + มันเส้น) มีโปรตีนเฉลี่ย = (7+ 12 + 2) = 21 ÷ 3 = 7 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นใส่เปอร์เซ็นต์โปรตีนของอาหารกลุ่มที่มีโปรตีนสูงไว้มุมซ้ายล่าง และเปอร์เซ็นต์ โปรตีนของอาหารกลุ่มที่มีโปรตีนต่ าไว้มุมซ้ายบน แล้วหักลบค่าเหล่านั้นกับเปอร์เซ็นต์ที่ต้องการให้มี ไว้ที่มุมตรงข้ามของวัตถุดิบอาหารสัตว์ เมล็ดข้าวโพดบด + ร า + มันเส้น 7 17.5 35 ปลาป่น + กากถั่วเหลือง 52.5 28 ดังนั้น สัดส่วนของวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีโปรตีนสูงและโปรตีนต่ า มีรวม 17.5 + 28 = 45.5 ส่วน ขั้นตอนที่ 3 ค านวณสัดส่วนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีโปรตีนสูงและโปรตีนต่ าในสูตรอาหาร 100 กิโลกรัม ได้ดังนี้ อาหารผสม 45.5 กิโลกรัม ต้องมีเมล็ดข้าวโพดบด ร าและมันเส้น รวม 17.5 กิโลกรัม อาหารผสม 100 กิโลกรัมต้องมีเมล็ดข้าวโพดบด ร าและมันเส้น รวม 17.5 x 100 45.5 = 38.46กิโลกรัม ฉะนั้นจึงมีเมล็ดข้าวโพดบด ร าและมันเส้นอย่างละเท่าๆกันคือ 38.46 = 12.82 กิโลกรัม 3 อาหารผสม 45.5 กิโลกรัม ต้องมีปลาป่นและกากถั่วเหลือง รวม 28 กิโลกรัม อาหารผสม 100 กิโลกรัมต้องมีปลาป่นและกากถั่วเหลืองรวม 28 x100 = 61.54 กิโลกรัม 45.5


212 ฉะนั้น จึงมีปลาป่นและกากถั่วเหลืองอย่างละเท่าๆกันคือ 61.54 = 30.77 กิโลกรัม 2 ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบเปอร์เซ็นต์โปรตีนในสูตรอาหารดังกล่าว ชนิดของวัตถุดิบอาหารสัตว์ จ านวน (กิโลกรัม) ปริมาณโปรตีน (กิโลกรัม) ปลาป่น 30.77 30.77 x 60 = 18.46 100 กากถั่วเหลือง 30.77 30.77 x 45 = 13.85 100 เมล็ดข้าวโพด 12.82 12.82 x 7 = 0.90 100 ร า 12.82 12.82 x 12 = 1.54 100 มันเส้น 12.82 12.82 x 2 = 0.25 100 รวม 100 35 ตัวอย่างที่ 6 จงค านวณสูตรอาหารปลาดุก ซึ่งต้องการผลิตให้มีโปรตีน 25 % จ านวน 100 กิโลกรัม โดยใช้ปลาป่น กากถั่วเหลือง ร า ปลายข้าวและพรีมิกซ์ เป็นส่วนผสมโดยใช้ปลา ป่นและกากถั่วเหลืองอย่างละเท่าๆกัน และร าเป็น 2 เท่าของปลายข้าว พร้อมทั้งใช้พรีมิกซ์ 2 % ก าหนดให้ปริมาณโปรตีนของปลาป่น กากถั่วเหลือง ร า และปลายข้าว มีค่าเป็น 60 , 44 ,12 , และ 12 % ตามล าดับ วิธีการค านวณ เนื่องจากสูตรอาหารมีพรีมิกซ์ ซึ่งไม่มีโปรตีนอยู่ด้วย 2 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นปริมาณอาหารที่ น ามาค านวณในการเตรียมอาหารจึงเหลือเพียง 100 – 2 = 98 กิโลกรัม อาหาร 98 กิโลกรัม ต้องมีโปรตีน 25 กิโลกรัม อาหาร 100 กิโลกรัม ต้องมีโปรตีน 25.5 กิโลกรัม ขั้นตอนที่ 1 เขียนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและเปอร์เซ็นต์โปรตีนที่ต้องการลงตรงกลาง 25.5


213 ขั้นตอนที่ 2 แบ่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ อาหารกลุ่มที่มีโปรตีนสูง (ปลาป่น + กากถั่วเหลือง) มีโปรตีนเฉลี่ย (1 x 60) + (1 x 44) = 52 กิโลกรัม 2 อาหารกลุ่มที่มีโปรตีนต่ า (ร า + ปลายข้าว) มีโปรตีนเฉลี่ย (2 x 12) + (1 x 12) = 12 กิโลกรัม 3 จากนั้นใส่เปอร์เซ็นต์โปรตีนของอาหารที่มีโปรตีนสูงไว้มุมซ้ายล่าง และเปอร์เซ็นต์โปรตีน ของอาหารที่มีโปรตีนต่ าไว้มุมซ้ายบน แล้วหักลบค่าเหล่านั้นกับเปอร์เซ็นต์โปรตีนที่ต้องการให้มีไว้ที่ มุมตรงข้ามของวัตถุดิบอาหารสัตว์ ร า + ปลายข้าว 12 26.5 25.5 ปลาป่น + กากถั่วเหลือง 52 13.5 ดังนั้น สัดส่วนของวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีโปรตีนสูงและโปรตีนต่ ามีรวม 26.5 + 13.5 = 40 ส่วน ขั้นตอนที่ 3 ค านวณสัดส่วนวัตถุดิบอาหารสัตว์ในสูตรอาหาร 98 กิโลกรัม ได้ดังนี้ อาหารผสม 40 กิโลกรัม ต้องมีร าและปลายข้าว รวม 26.5 กิโลกรัม อาหารผสม 98 กิโลกรัม ต้องมีร าและปลายข้าว รวม 26.5 x 98 = 64.92 กิโลกรัม 40 ฉะนั้นมีร าอยู่ 2 x 64.92 = 43.28 กิโลกรัม 3 มีปลายข้าวอยู่ 1 x 64.92 = 21.64 กิโลกรัม 3 อาหารผสม 40 กิโลกรัม ต้องมีปลาป่นและกากถั่วเหลือง รวม 13.5 กิโลกรัม อาหารผสม 98 กิโลกรัมต้องมีปลาป่นและกากถั่วเหลืองรวม 13.5 x 98 = 33.08 กิโลกรัม 40 ฉะนั้น มีปลาป่นอยู่ 1 x 33.08 = 16.54 กิโลกรัม 2


214 มีกากถั่วเหลืองอยู่ 1 x 33.08 = 16.54 กิโลกรัม 2 ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบเปอร์เซ็นต์โปรตีนในสูตรอาหารดังกล่าว ชนิดของวัตถุดิบอาหาร จ านวน (กิโลกรัม) ปริมาณโปรตีน (กิโลกรัม) ปลาป่น 16.54 16.54 x 60 = 9.92 100 กากถั่วเหลือง 16.54 16.54 x 44 = 7.28 100 ร า 43.28 43.28 x 12 = 5.19 100 ปลายข้าว 21.64 21.64 x 12 = 2.60 100 พรีมิกซ์ 2 - รวม 100 24.99 การค านวณอัตราการให้อาหารปลา ปริมาณอาหารที่ให้ปลาแต่ละช่วงเวลาการเลี้ยงไม่เท่ากัน มักจะบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ของ น้ าหนักตัว เช่น เปอร์เซ็นต์อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาดุก ดังแสดงในตาราง ระยะเวลาที่เลี้ยง (วัน) อาหารต่อน้ าหนักตัว (%) 1-20 21-40 41-60 61-80 81-120 121-150 10 8-10 6-8 4-6 5 3 ตารางที่ 17 อัตราการให้อาหารปลาดุกด้านในระยะต่างๆ กัน ที่มา : กรมประมง , 2550


215 ขั้นตอนการค านวณปริมาณการให้อาหารปลามีดังนี้ 1. ค านวณหาน้ าหนักปลาในบ่อโดยการสุ่มจับปลา ปริมาณ 5-10 ตัว มาหาน้ าหนักเฉลี่ย ของปลาที่จับได้ แล้วเอาน้ าหนักเฉลี่ยที่ได้คูณกับจ านวนปลาทั้งหมดที่ปล่อย ท าให้สามารถทราบ น้ าหนักของปลาทั้งหมดในบ่อ 2. ต้องการทราบเปอร์เซ็นต์การให้อาหารในช่วงเวลานั้นๆ ดังแสดงตัวอย่างในตารางข้างบน 3. ค านวณโดยวิธีเทียบบัญญัติไตรยางค์ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ตัวอย่าง นายเมธา เลี้ยงปลาดุกไว้ในบ่อ ทราบว่าปล่อยปลาไป 20,000 ตัว เมื่อดูอัตรา การให้อาหารพบว่าเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ าหนักตัว นายเมธาจะต้องให้อาหารเท่าใด วิธีท า น้ าหนักเฉลี่ยของปลาอายุ 10 วัน = 10 กรัม น้ าหนักปลารวมในบ่อ = 10 x 20,000 = 200,000 กรัม ให้อาหาร 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ าหนักตัว หมายความว่า ปลา 100 กรัม จะต้องให้อาหาร = 10 กรัม ปลา 200,000 กรัม จะต้องให้อาหาร = 10 x 20,000 กรัม 100 ดังนั้นนายเมธา จะต้องให้อาหารปลาประมาณ = 2,000 กรัม วิธีการให้อาหารโดยการค านวณนี้สะดวกต่อการประมาณอาหารที่ให้แต่ละวัน และ อาหารที่ให้จะต้องเป็นอาหารที่มีคุณภาพสม่ าเสมอ มีระดับโภชนาการใกล้เคียงกันตั้งแต่เริ่มเลี้ยง จนถึงขั้นเก็บเกี่ยวผลผลิต วิธีการให้อาหารปลา 1. อาหารที่ลอยน้ า ได้แก่ ร า ผัก กากมะพร้าว หญ้า กากถั่ว อาหารผสมแห้งและปลวก ฯลฯ เราให้โดยวิธีโปรยลงบนผิวน้ าและถ้าจะป้องกันการสูญเสียของอาหารประเภทนี้ มักจะใช้วิธีท า เป็นคอก (Bamboo flames) แล้วโปรยอาหารเหล่านี้ลงไปในคอกเพื่อเลี้ยงปลาดังกล่าว 2. อาหารพวกที่จมน้ า ได้แก่ อาหารจ าพวกเนื้อเป็นส่วนมาก หรืออาหารที่ต้มแล้วปั้นเป็นก้อน เช่น ปลายข้าวสารต้มผสมผัก แล้วคลุกกับร าดิบ เป็นต้น อาหารประเภทนี้เพื่อเป็นการป้องกัน


216 การสูญหายจมลงก้นบ่ออันจะก่อให้สิ้นเปลืองและน้ าเน่าเสียแล้ว ควรจะจัดท าแป้นใส่อาหารไว้ให้ ปลากินด้วย 3. อาหารประเภทไรน้ า (Water fleas) หรือแพลงก์ตอนที่อาศัยอยู่ในน้ านั้น เมื่อหามา ได้ก็เทลงไปให้กินเลย แต่ในกรณีการเลี้ยงปลาในภาชนะแคบๆควรจะท าความสะอาดเสียก่อน ข้อปฏิบัติในการให้อาหารปลา 1. ให้ปลากินอาหารเป็นเวลา และให้ในเวลากลางวัน 2. ต าแหน่งที่ให้อาหารนั้น ทุกครั้งควรเป็นสถานที่เดิม 3. มีแป้นหรือภาชนะรองรับอาหารเป็นที่ๆในบ่อนั้น 4. ให้ในปริมาณที่เพียงพอกับขนาดและจ านวนของปลา 5. ก่อนให้อาหารควรให้สัญญาณ เช่น การใช้มือ หรือไม้ตีน้ าให้กระเพื่อม 6. ควรสังเกตการกินอาหารของปลาและปรับปริมาณอาหารที่ให้ทุก 1-2 สัปดาห์ ภาพที่ 34 แสดงการให้อาหารปลาในกระชัง ที่มา : http://www.ultrathaicenter.com


217 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกินอาหารของปลา 1. อุณหภูมิของน้ า ในบ่อเลี้ยงปลาจะมีผลกระทบมากในเรื่องการกินอาหารของปลา เช่น ปลาดุก และปลานิล เมื่ออุณหภูมิของน้ าต่ าถึง 18 องศาเซลเซียส ปลาจะกินอาหารน้อยลง แต่ ถ้าอุณหภูมิสูงกว่า 24 องศาเซลเซียส ปลาจะกินอาหารดี 2. ขนาดของปลา ปลาที่มีขนาดเล็กกินอาหารคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับน้ าหนักตัว แล้ว มากว่าปลาที่มีขนาดโตในปลาชนิดเดียวกัน เช่น ปลาดุกเมื่อมีขนาดเล็กจะกินอาหาร 6-8 เปอร์เซ็นต์ของน้ าหนักตัวปลา และจะลดลงเหลือเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปลามีขนาดโตตามที่ตลาด ต้องการ ดังนั้นปลาที่มีขนาดเล็กจะโตเร็วกว่าปลาขนาดโต 3. คุณสมบัติของน้ า มีผลต่อการกินอาหารของปลาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะออกซิเจนถ้ามีอยู่ ในระดับสูงกว่า 3 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) ปลาจะกินอาหารอย่างปกติ และจะกินอาหารน้อยลง เมื่ออกซิเจนน้อยกว่านี้ 4. ความแข็งของอาหาร อาหารที่มีความแข็งมากจะมีผลท าให้ปลากินอาหารน้อยลง ทั้งนี้ปลากินอาหารแบบกลืนเข้าไป อาหารที่แข็งเกินไปควรมีความชื้นในระดับ 8-10 เปอร์เซ็นต์ จะท าให้การย่อยอาหารนี้เป็นไปอย่างปกติ 5. กลิ่นของอาหาร เป็นสื่อชักจูงท าให้ปลาได้พบอาหารมีอิทธิพลต่อความอยากกิน อาหาร และน้ าย่อยที่ขับออกมาในทางเดินอาหารของปลา 6. รสชาติของอาหาร มีอิทธิพลต่อความอยากกินอาหาร น้ าย่อยที่ขับออกมาในทางเดิน อาหารของปลาและปริมาณอาหารที่ปลากิน 7. จ านวนครั้งในการให้อาหาร การให้อาหารจ านวนหลายครั้งในบ่อต่อ 1 วัน จะมีผลท า ให้ปลากินอาหารมากขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วปลาจะหยุดกินอาหารเมื่อได้อาหารตามที่ต้องการ และจะ เริ่มกินใหม่เมื่ออาหารในกระเพาะถูกย่อยไปแล้วประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ 8. ความหนาแน่นของปลา ปลาที่อยู่รวมกันอย่างหนาแน่นมีโอกาสจะได้รับอาหารไม่ทั่ว ถึงท าให้เกิดการแก่งแย่งอาหารกัน ปลาที่มีขนาดเล็กหรือมีร่างกายอ่อนแอย่อมมีโอกาสกินอาหารได้ น้อยลง 9. สุขภาพของปลา ปลาที่มีสุขภาพดีย่อมจะกินอาหารได้ดี ปลาที่มีสุขภาพไม่ดี เช่น ปลาเป็นโรคปลาที่มีปรสิตจ านวนมากเกาะอยู่ตามล าตัว เหงือกหรือครีบจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ดีมี ผลท าให้ปลาเกิดการเบื่ออาหาร กินอาหารไม่ได้หรือกินอาหารได้น้อยลงกว่าปกติ 10. ชนิดของปลา ปลาบางชนิดมีนิสัยกินอาหารรวดเร็ว กินอาหารเก่ง เจริญเติบโตเร็ว เช่น ปลาดุกด้าน ปลาตะเพียนขาว แต่ปลาบางชนิดมีนิสัยกินอาหารเชื่องช้าชอบอยู่นิ่ง เช่น ปลาบู่ทราย 11. แสงและเวลากลางวัน ความเข้มของแสงและช่วงเวลาของวันมีความส าคัญต่อการ


218 กินอาหารของปลา คือปลาบางชนิดจะหาอาหารกินในเวลากลางคืนซึ่งจ าเป็นต้องอาศัยการดมกลิ่น และลิ้มรส ปลาบางชนิดชอบหาอาหารกินในเวลากลางวันซึ่งต้องอาศัยสายตาสีสันของอาหารจะช่วย ให้ปลาพบอาหารได้ง่ายขึ้น อัตราแลกเนื้อ (Feed Conversion Ratio , FCR) อัตราแลกเนื้อ หมายถึง อัตราส่วนของน้ าหนักอาหารแห้ง (Dry weight) ที่ปลาบริโภคเข้า ไปต่อน้ าหนักสด (Wet weight) ของปลาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในการเลี้ยงปลานั้นอาจจะให้ความหมายอย่าง ง่าย ๆ คือ Feed Conversion Ratio ฉะนั้นโดยทั่วไปจึงนิยมเรียกค่านี้ว่า เอฟซีอาร์ (FCR) อัตรา แลกเนื้อเป็นค่าที่ถูกค านวณขึ้นมาเพื่อหาประสิทธิภาพในการใช้อาหารเพื่อแลกเป็นเนื้อ ซึ่งจะมี ประสิทธิภาพดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพอาหารและปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น ขนาด อายุ สุขภาพปลา วิธีการให้อาหาร อุณหภูมิและคุณภาพน้ า เป็นต้น อัตราแลกเนื้อของปลามีหนวดมีค่า อยู่ระหว่าง 1.5 ถึง 4 จะเห็นได้ว่า เอฟซีอาร์ควรเป็นตัวเลขน้อย ๆ เพราะยิ่งตัวเลขน้อยจะ หมายถึงการใช้น้ าหนักอาหารน้อยนั่นเอง อัตราแลกเนื้อสามารถหาได้จากสูตรน้ าหนักอาหารหาร ด้วยน้ าหนักของปลาที่เพิ่มขึ้น การค านวณควรค านวณจากน้ าหนักอาหารที่ปลากินหมดในแต่ละบ่อ น้ าหนักปลาที่อาจสูญเสียไประหว่างการเลี้ยงและน้ าหนักปลาที่เพิ่มขึ้นจากการสุ่มตัวอย่างหรือ น้ าหนักปลาทั้งหมดที่ได้จากการเก็บเกี่ยวผลผลิต (โชคชัย , 2548) อัตราแลกเนื้อ (FCR) = น้ าหนักอาหาร น้ าหนักของปลาที่เพิ่มขึ้น อัตราแลกเนื้อ (FCR) = น้ าหนักอาหารที่ปลากินทั้งหมด น้ าหนักของปลาครั้งล่าสุด-น้ าหนักของปลาครั้งแรก ตัวอย่าง มีลูกปลานิ้วอยู่ในบ่ออนุบาล 67,500 ตัว น้ าหนักเริ่มต้น 25 กิโลกรัมต่อลูกปลา 1,000 ตัว หลังจากอนุบาลด้วยอาหารไปทั้งหมด 10,000 กิโลกรัม น้ าหนักปลาที่ได้จากการสุ่มครั้งสุดท้าย เท่ากับ 125 กิโลกรัมต่อปลา 1,000 ตัว สังเกตไม่มีการตาย จงหาเอฟซีอาร์ วิธีท า น้ าหนักลูกปลานิ้วเริ่มต้น 25 x 67,500 = 1,687.5 กิโลกรัม 1,000 น้ าหนักปลาครั้งสุดท้าย 125 x 67,500 = 8,437.5 กิโลกรัม 1,000


219 อัตราแลกเนื้อ (FCR) = น้ าหนักอาหาร น้ าหนักของปลาที่เพิ่มขึ้น = 10,000 = 10,000 8,437.5 - 1,687.5 6,750 = 1.48 กิโลกรัม หมายความว่า ในระหว่างการอนุบาลนั้นปลาจะต้องใช้อาหารเฉลี่ย 1.48 กิโลกรัม จึงจะ ได้ผลผลิตเนื้อปลา 1 กิโลกรัม อาหารปลายุคไฮเทค เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการปฏิวัติการผลิตอาหารส าหรับเลี้ยงปลาให้อยู่ในรูปแค็ปซูลขนาดเล็ก (Microcapsule) โดยภายในแค็ปซูลขนาดจิ๋วนี้จะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าครบตามหลัก โภชนาการที่ปลาต้องการ เมื่อปลากินเข้าไปเพียงเม็ดเดียวก็อิ่มได้นาน เหมาะส าหรับปลาที่หิวเก่ง และเหมาะส าหรับผู้ที่เลี้ยงปลาเป็นจ านวนมาก และไม่มีเวลาให้อาหารบ่อยหรือคนให้อาหารไม่พอก็ จะประหยัดเวลาไปได้นาน คาดว่าอาหารแค็ปซูลจิ๋วนี้คงจะเป็นที่นิยมต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะใน วงการเพาะเลี้ยงปลาใช้เลี้ยงลูกปลาวัยอ่อน เป็นต้น (สุภาพร , 2550) สรุป อาหารปลามีบทบาทส าคัญในการสร้างความเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตของปลาที่เลี้ยง ผู้เลี้ยงปลาจึงควรเลือกใช้ชนิดของอาหาร และเลือกวิธีในการให้อาหารอย่างเหมาะสมกับชนิดและวัย ของปลาที่เลี้ยง โดยจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในด้านคุณภาพและปริมาณของอาหารเป็นหลัก และพยายามหาแนวทางในการลดต้นทุนค่าอาหารปลา โดยการสร้างสูตรอาหารขึ้นมาแล้วผสมอาหาร ขึ้นใช้เอง จากวัตถุดิบอาหารที่มีอยู่ในท้องถิ่น


ค าถามท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 จงตอบค าถามต่อไปนี้ 1. จงบอกนิสัยการกินอาหารของปลา ? 2. จงอธิบายการแบ่งแยกประเภทของอาหารปลา ? 3. จงบอกถึงองค์ประกอบของธาตุอาหารปลาที่ส าคัญ ? 4. จงบอกถึงรูปแบบของอาหารปลา ? 5. จงอธิบายถึงวิธีการให้อาหารปลาประเภทต่างๆ ? 6. จงอธิบายถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกินอาหารของปลา ? 7. จงบอกสูตรการค านวณหาอัตราการแลกเนื้อของปลาที่เลี้ยง ?


กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ใบงานที่ 9 ชื่อใบงาน การสร้างสูตรอาหารเพื่อเลี้ยงปลาน้ าจืด จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถท าการค านวณสูตรอาหารเพื่อใช้เลี้ยงปลาน้ าจืดได้ 2. นักเรียนสามารถสร้างสูตรอาหารในการเลี้ยงปลาน้ าจืดได้ เครื่อง / อุปกรณ์ 1. กระดาษเอ 4 2. เครื่องคิดเลข 3. ถังส าหรับผสมอาหาร 4. ตาชั่ง 5. ถังพลาสติก 6. ร าละเอียด 7. ปลายข้าว 8. ปลาป่น 9. แหนแดง 10. ผักบุ้ง 11. แหนเป็ด ขั้นตอนการปฏิบัติ แบ่งนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่มตามกลุ่มการเลี้ยงปลาเดิม และปฏิบัติงานต่อไปนี้ 1. ให้นักเรียนร่วมกันคิดค านวณสูตรอาหารที่จะใช้เลี้ยงปลานิลโดยให้มีโปรตีนอยู่ในอาหาร 25 เปอร์เซ็นต์ โดยให้ใช้วัตถุดิบอาหารจากที่ก าหนดให้ 2. น าวัตถุดิบอาหารจากที่ค านวณได้มาผสมเป็นอาหารส าหรับเลี้ยงปลา การวัดและประเมินผล 1. จากการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน 2. จากรายงานผลการปฏิบัติงาน


222 ใบงานที่ 10 ชื่อใบงาน การเพาะเลี้ยงไรแดงเพื่อเป็นแหล่งอาหารปลา จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการเพาะพันธุ์ไรแดงได้ 2. นักเรียนสามารถท าการเพาะพันธุ์ไรแดงได้ เครื่องมือ / อุปกรณ์ 1. บ่อคอนกรีตหรือภาชนะที่สามารถบรรจุความลึกของน้ าได้30 เซ็นติเมตร 2. สวิงตาถี่ 3. อุปกรณ์วัดความโปร่งแสง 4. ตาชั่ง 5. เครื่องเพิ่มออกซิเจน 6. เครื่องวัดความเป็นกรด-ด่าง วัสดุ 1. เชื้อไรแดง 2. ปุ๋ยสูตร 16 – 20 –0 3. ปูนขาว 4. ร าละเอียด 5. วัสดุอื่น ๆ ที่ใช้เป็นอาหารในการเพาะไรแดง ล าดับขั้นการปฏิบัติงาน 1. ชั่งปุ๋ยสูตร 19 –20 – 0 , ร าละเอียด , ปูนขาว , อย่างละ 100 กรัม/น้ า 1 ลูกบาศก์เมตร 2. ใส่ปุ๋ยลงในบ่อที่มีระดับความสูงของน้ า 30 เซ็นติเมตร 3. ทิ้งไว้ 2 –3 วัน โดยคนน้ าทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง 4. สังเกตสีของน้ า พร้อมวัดความโปร่งใส จดบันทึก 5. ใส่เชื้อไรแดงในอัตรา 70 กรัมต่อปริมาณน้ า 1 ลูกบาศก์เมตร 6. สังเกตสีน้ า บันทึกผล 7. การเก็บเกี่ยวผลผลิต ประมาณ วันที่ 7 ของการเพาะ การวัดผลประเมินผล 1. ประเมินผลจากการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของนักเรียน 2. ประเมินผลจากรายงานผลการปฏิบัติงาน


223 แบบบันทึกผลการเรียนรู้ เรื่อง การเพาะไรแดงเพื่อเป็นแหล่งอาหารปลา 1. จงอธิบายขั้นตอนในการเพาะพันธุ์ไรแดง ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ผลการศึกษาการเพาะพันธุ์ไรแดง 2.1 ตารางบันทึกความโปร่งใสของน้ าในบ่อเพาะพันธุ์ไรแดง วันที่/เวลา ความโปร่งแสง 08.00 น. 10.00 น. 12.00 น. 14.00 น. 16.00 น. 1 2 3 4 5 6 7 2.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเพาะพันธุ์ไรแดง ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปัญหาและอุปสรรคในการเพาะพันธุ์ไรแดง .................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………


แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง อาหารและการให้อาหารปลา ค าแนะน า ให้นักเรียนอ่านค าถามแล้วกากะบาด (X) ทับข้อค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค าตอบเดียว ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. ปลาชนิดใดจัดว่าเป็นปลาที่กินอาหารระดับพื้นก้นแหล่งน้ า ? ก. ปลาไน ปลาดุก ข. ปลาสวาย ปลาหมอไทย ค. ปลาแรด ปลาช่อน ง. ปลาสลิด ปลาตะเพียนขาว 2. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของปลาที่กินพืชเป็นอาหาร ? ก. กระเพาะจะบาง ข. เยื่อบุช่องท้องจะมีสีด า ค. จะมีล าไส้สั้นตรง ง. มีซี่เหงือกเล็กเรียงยาว 3. ปลาที่กินสัตว์เป็นอาหารต้องการปริมาณโปรตีนอยู่ในช่วงใด ? ก. 18-25 % ข. 25-32 % ค. 30-35 % ง. 35-42 % 4. ปลาขาดวิตามินใดที่จะท าให้มีลักษณะล าตัวคดงอ ? ก. วิตามิ เอ ข. วิตามิน ดี ค. วิตามิน ซี ง. วิตามิน เค 5. ปัจจัยข้อใดที่มีอิทธิพลต่อการกินอาหารของปลามากที่สุด ? ก. อุณหภูมิของน้ า ข. คุณสมบัติของน้ า ค. กลิ่นของอาหาร ง. ความหนาแน่นของปลา


225 6. ปกติปลาจะเริ่มกินอาหารใหม่เมื่ออาหารในกระเพาะถูกย่อยไปแล้วประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ ? ก. 30 % ข. 40 % ค. 50 % ง. 60 % 7. พืชน้ าชนิดใดที่มีเปอร์เซ็นต์โปรตีนอยู่สูง ? ก. แหนเป็ด ข. แหนแดง ค. จอกหูหนู ง. สาหร่ายหางกระรอก 8. ข้อใดไม่ใช่ข้อปฏิบัติในการให้อาหารปลา ? ก. ให้ปลากินอาหารเป็นเวลา ข. ให้อาหารในต าแหน่งเดิมทุกครั้ง ค. ให้อาหารมากๆปลาจะได้โตเร็ว ง. ก่อนให้อาหารควรให้สัญญาณ เช่น ใช้ไม้ตีน้ า 9. ปลาจะกินอาหารน้อยลงเมื่อออกซิเจนในน้ าต่ ากว่าข้อใด ? ก. 5 ppm. ข. 4 ppm. ค. 3 ppm. ง. 2 ppm. 10. ปลาชนิดใดที่มีนิสัยการกินอาหารเชื่องช้า ชอบอยู่นิ่งๆ ? ก. ปลาบู่ทราย ข. ปลาดุก ค. ปลาช่อน ง. ปลาแรด


226 แผนการจัดการเรียนรู้ประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 10 เรื่อง การจัดการดูแลปลาระหว่างการเลี้ยง 1. สาระส าคัญ : ตลอดช่วงระยะเวลาในการเลี้ยงปลา ผู้เลี้ยงปลาจะต้องมีการดูแลเอาใจใส่ในด้านต่างๆอย่าง ใกล้ชิด เพื่อให้ปลาที่เลี้ยงมีสุขภาพที่สมบูรณ์ มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี มีอัตราการรอดตายสูง และได้ผลผลิตจากการเลี้ยงต่อรุ่นมาก การศึกษาถึงวิธีการดูแลจัดการปลาในระหว่างการเลี้ยงใน ระยะต่างๆ จะท าให้ผู้เรียนสามารถน าไปประยุกต์ใช้ในการดูแลจัดการปลาในระหว่างการเลี้ยงได้ อย่างเหมาะสม 2. สมรรถนะประจ าหน่วยการเรียนรู้: 1. มีความรู้ในด้านการจัดการดูแลปลาในระหว่างการเลี้ยง 2. สามารถปฏิบัติการดูแลจัดการปลาในระหว่างการเลี้ยง 3. มีกิจนิสัยในการท างานอย่างเป็นระบบด้วยความรับผิดชอบ ขยัน อดทน 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง : 1. สามารถอธิบายวิธีการจัดการดูแลปลาในระหว่างการเลี้ยงได้อย่างถูกต้อง 2. สามารถปฏิบัติการดูแลปลาในระหว่างการเลี้ยงได้อย่างถูกต้อง 3. เกิดทัศนคติที่ดีต่อการเลี้ยงปลา 4. ความรู้ที่ต้องได้รับ : 1. การเตรียมพันธุ์ปลา 2. การล าเลียงลูกปลา 3. การปล่อยปลาลงเลี้ยง 4. อัตราการปล่อยปลาลงเลี้ยง 5. การค านวณอัตราการปล่อยปลา 6. การดูแลน้ าในบ่อเลี้ยงปลา 7. การป้องกันปลาหนีออกจากบ่อ 8. การใส่ปุ๋ยในบ่อปลา 9. การใส่ปูนขาว


227 10. การแก้ไขน้ าขุ่นเค็ม 11. ระยะเวลาเลี้ยงและผลผลิต 5. ทักษะทางปัญญาที่ต้องการพัฒนา : สามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีทักษะทางการวิเคราะห์ สังเคราะห์ 6. คุณธรรมจริยธรรมที่ต้องการ : 1. มีใจรักและศรัทธาในวิชาชีพ 2. มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร 3. มีความซื่อสัตย์ 4. มีความสนใจใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 7. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องการ : 1. มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลา 2. มีมนุษย์สัมพันธ์ 3. การรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถท างานร่วมกับผู้อื่น 5. การบริการสังคมและชุมชน 6. ความปลอดภัย 8. กิจกรรมการเรียนการสอน : 1. ศึกษาเนื้อหาในหัวเรื่องที่ 1-11 2. การท าแบบทดสอบก่อนการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 10 3. การใช้เทคนิคการสอนโดยกระบวนการสอนแบบทักษะกระบวนการ 9 ขั้น 4. การแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อท ากิจกรรมวิเคราะห์ปัญหาและระดมความคิด ผ่านเทคนิคแผนภูมิพาเรโท 5. การแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อฝึกปฏิบัติการดูแลจัดการปลาที่เลี้ยงตามกลุ่มที่ได้รับ มอบหมาย 6. การท าแบบทดสอบหลังการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 10 7. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 10 8. การจัดท าบันทึกการเรียนรู้


228 9. การเก็บรวบรวมผลงานการเรียนรู้เพื่อจัดท าแฟ้มสะสมผลงาน 9. จ านวนชั่วโมงที่สอน : จ านวน 9 ชั่วโมง 10. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ : 1. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 10 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 10 3. แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 10 4. เอกสารใบงานเรื่อง การจัดการดูแลปลาระหว่างเลี้ยง 5. วัสดุเพื่อการน าเสนอผลงาน เช่น ฟิวเจอร์บอร์ด กระดาษปรุ๊ฟ ปากกาสี 6. แบบบันทึกการเรียนรู้ 11. วิธีการประเมินผล : 1. การวัดความสามารถด้านพุทธิพิสัย : โดยการท าแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน แบบทดสอบ ก่อน-หลังเรียน การร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น และการน าเสนองาน 2. การวัดความสามารถด้านทักษะพิสัย : โดยการสังเกตพฤติกรรมในการท างานร่วมกัน การ วางแผนในการท างานร่วมกัน และความสามารถในการท างานส าเร็จอย่างมีคุณภาพตามเวลาที่ มอบหมาย 3. การวัดความสามารถด้านจิตพิสัย : โดยการสังเกตจากพฤติกรรมในขณะด าเนินกิจกรรม การเรียนการสอนว่า ให้ความสนใจในการเรียนรู้ การมีวินัย การตรงต่อเวลา การมีส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน


หน่วยการเรียนรู้ที่ 10 การจัดการดูแลปลาระหว่างการเลี้ยง ในการเลี้ยงปลาให้ได้ผลตอบแทนในการเลี้ยงที่ดีคุ้มค่ากับเวลาและงบประมาณในการเลี้ยงนั้น ผู้เลี้ยงจ าเป็นที่จะต้องมีการจัดการในด้านต่าง ๆ ที่ดีตลอดช่วงของการเลี้ยง ซึ่งสิ่งที่ผู้เลี้ยงจะต้องมี การจัดการดูแลที่ส าคัญ ๆ มีดังต่อไปนี้(ชาติชาย , 2543) การเตรียมพันธุ์ปลา การเลี้ยงปลาให้มีประสิทธิภาพควรจะต้องมีการเตรียมและจัดหาพันธุ์ปลาตามชนิด จ านวน และขนาดที่เหมาะสมต่อสภาพของบ่อเลี้ยงที่ได้เตรียมการไว้ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1. ควรเป็นปลาที่มีขนาดความยาวตั้งแต่ 3-5 เซนติเมตร ขึ้นไปและมีขนาดไล่เลี่ยกัน หรือขนาดโตเท่ากัน 2. ลูกปลาที่น ามาเลี้ยงควรมีลักษณะแข็งแรง ล าตัวมีรูปร่างปกติ มีสีสดใส ไม่มี บาดแผลหรือโรคมารบกวน การล าเลียงลูกปลา การล าเลียงลูกปลาส่วนใหญ่นิยมใช้ถุงพลาสติกขนาดบรรจุ 20-40 ลิตร โดยใช้น้ า 3-10 ลิตร บรรจุลูกปลาขนาดเล็ก 500-2,000 ตัว แล้วแต่ขนาดของลูกปลา ลูกปลาขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร ควรบรรจุให้น้อยกว่านี้ บรรจุปลาแล้วจึงอัดอากาศโดยใช้แกสออกซิเจนบรรจุเต็มถุง มัด ปากถุงให้แน่นโดยวิธีหักคอถุง แล้วบรรจุในกล่องกระดาษลูกฟูกอีกชั้นหนึ่ง ถ้าลดอุณหภูมิใน ระหว่างการเดินทางได้ก็จะเป็นผลดีต่อการล าเลียงขนส่ง การลดอุณหภูมิกระท าโดยใช้ขนส่งด้วย รถยนต์ที่มีเครื่องปรับอากาศ หรือท าลังไม้ใช้โฟมกรุให้รอบ และใช้น้ าแข็งช่วย น้ าแข็งหนัก 1 กรัม สามารถจะลดอุณหภูมิของน้ าหนัก 80 กรัม ได้ 1 องศาเซลเซียส โฟมที่กรุจะช่วยลด ระยะเวลารักษาอุณหภูมิต่ าได้นานขึ้น การปล่อยปลาลงเลี้ยง เมื่อขนส่งลูกปลาหรือพันธุ์ปลาถึงสถานที่ใช้เลี้ยงปลาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปล่อยปลาลง ในบ่อ เวลาที่เหมาะสมที่สุดส าหรับการปล่อยปลาควรเป็นเวลาเช้าหรือเวลาเย็น ซึ่งอุณหภูมิที่ผิวน้ า ไม่ร้อนระอุ อุณหภูมิของน้ าที่แตกต่างกันเพียง 5 องศาเซลเซียส อาจท าให้ปลาช็อคตายได้ ดังนั้น ก่อนการปล่อยลงในที่ใดๆก็ตาม ควรเอาน้ าในบ่อที่ปลาจะอยู่ใหม่ปนในถุง หรือภาชนะที่ล าเลียงปลา ค่อยๆใส่ให้ปลาคุ้นกับน้ าที่จะอยู่ใหม่เสียก่อน แล้วจึงจุ่มภาชนะที่บรรจุปลาลงสู่บ่อที่ปลาจะอยู่ใหม่ให้ ปลาค่อยๆว่ายออกเองช้าๆ ถ้าเป็นเวลาที่อากาศร้อนจัดควรเอามือตีกวนน้ าในบ่อปลาที่ปลาจะอยู่ใหม่ ให้ความร้อนของ ผิวหน้าน้ าไม่ต่างจากระดับลึก ในขณะเดียวกันก็เอาถุงหรือภาชนะที่ล าเลียงปลานั้นแช่ลงในบ่อน้ าที่


230 ปลาจะอยู่ใหม่สัก 5-6 นาทีเป็นอย่างน้อย เพื่อปรับให้อุณหภูมิของน้ าในบ่อกับในภาชนะที่ล าเลียง ใกล้เคียงกันมากที่สุด จึงค่อยๆเปิดถุงหรือภาชนะให้ปลาว่ายออก การล าเลียงปลาในรถปรับอากาศ หรือโดยทางเครื่องบินซึ่งควบคุมอุณหภูมินั้น จะต้องระมัดระวังในการปล่อยปลาให้มาก อย่าให้ อุณหภูมิต่างกันถึง 5 องศาเซลเซียสเป็นอันขาด (ชาติชาย , 2543) ภาพที่ 35 แสดงการน าถุงปลาแช่ในบ่อเพื่อปรับอุณหภูมิของน้ า ที่มา http://www.rakbankerd.com อัตราการปล่อยปลาลงเลี้ยง การเลี้ยงปลาทุกชนิดถ้าหากปล่อยปลาแน่นเกินไป จะมีผลท าให้ปลาที่เลี้ยงไม่ค่อยเติบโต เท่าที่ควรแต่ถ้าปลาน้อยเกินไปก็ไม่คุ้มกับการลงทุน ดังนั้นผู้เลี้ยงต้องพิจารณาถึงปัจจัยความอุดม สมบูรณ์ของอาหารธรรมชาติตามบ่อ วิธีการเลี้ยง ประเภทของการเลี้ยง และชนิดของปลาที่เลี้ยงด้วย ชนิดปลา ขนาด อัตราการปล่อย (ตัว/ไร่) ปลาไน ปลาตะเพียน ปลานิล ปลาสลิด ปลายี่สก ปลาดุก ปลาสวาย ปลาจีน 3-5 ซม. 3-5 ซม. 3-5 ซม. 3-5 ซม. 3-5 ซม. 3-5 ซม. 3-5 ซม. 5-7 ซม. 2,000-4,000 3,000-50,000 2,000-4,000 8,000-16,000 800-1,000 8,000-16,000 4,000-5,000 200-300 ที่มา : ชาติชาย , 2543 ตารางที่ 18 อัตราการปล่อยปลาลงเลี้ยงแต่ละชนิด


231 การค านวณอัตราการปล่อยปลา ในการเลี้ยงปลาแต่ละชนิดจ าเป็นที่จะต้องมีการพิจารณาในเรื่องของอัตราการปล่อยพันธุ์ ปลาลงเลี้ยงให้เหมาะสมต่อหน่วยพื้นที่ ซึ่งการที่จะปล่อยพันธุ์ปลาแต่ละชนิดลงเลี้ยงหนาแน่นมาก น้อยเท่าใดนั้นก็จะขึ้นอยู่กับลักษณะวิธีในการเลี้ยงดู ชนิดของปลาที่เลี้ยง ความเหมาะสมของท าเล พื้นที่ และลักษณะของการจัดการ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุดคุ้มค่ากับระยะเวลาและเงินทุน ที่ลงไป ดังนั้นจึงควรมีการค านวณอัตราในการปล่อยพันธุ์ปลาลงเลี้ยงที่ถูกต้อง ตัวอย่าง ต้องการเลี้ยงปลานิลในบ่อดินขนาดพื้นที่ 1 ไร่ โดยซื้อลูกพันธุ์ปลาที่มีอายุ 1 เดือนมาปล่อยลงเลี้ยงในอัตราความหนาแน่น 5 ตัว / พื้นที่ 1 ตารางเมตร อยากทราบว่า 1. จะต้องปล่อยปลาลงเลี้ยงเป็นจ านวนเท่าไร 2. ถ้าต้องปล่อยเผื่อหายเผื่อตายเพิ่มอีก 10 % จะต้องปล่อยลูกปลาเพิ่มอีกเท่าไร 3. จะต้องปล่อยลูกปลาลงเลี้ยงจริงๆทั้งสิ้นจ านวนเท่าไร 4. ถ้าต้องซื้อลูกพันธุ์ปลานิลในราคาตัวละ .50 บาท จะต้องจ่ายค่าพันธุ์ปลาเป็นจ านวน เงินเท่าไร วิธีท า พื้นที่ 1 งาน มี = 400 ตารางเมตร มีบ่อพื้นที่ 1 ไร่ คิดเป็นตารางเมตรได้ = 400 x 4 = 1,600 ตารางเมตร ต้องการปล่อยปลาในอัตราความหนาแน่น 5 ตัว / พื้นที่ 1 ตารางเมตร = 1,600 x 5 ตอบข้อที่ 1 จะต้องปล่อยปลาลงเลี้ยงเป็นจ านวน = 8,000 ตัว ต้องการปล่อยปลาไว้เผื่อหายเผื่อตายเพิ่มอีก = 10 % = 8,000 x 10 100 ตอบข้อที่ 2 จะต้องปล่อยปลาเพิ่มอีก = 800 ตัว จ านวนพันธุ์ปลาที่จะต้องปล่อยลงเลี้ยงจริง = 8,000 + 800 ตอบข้อที่ 3 จ านวนพันธุ์ปลาที่จะต้องปล่อยลงเลี้ยงจริง = 8,800 ตัว ซื้อพันธุ์ปลามาเลี้ยงในราคาตัวละ = .50 บาท = 8,800 x .50 บาท ตอบข้อที่ 4 จะต้องจ่ายค่าพันธุ์ปลาเป็นเงิน = 4,400 บาท


232 การดูแลน้ าในบ่อเลี้ยงปลา ระดับน้ าในบ่อและการระบายน้ า น้ าในบ่อปลาควรรักษาให้อยู่ในระดับสม่ าเสมอตลอดเวลา การรั่วซึมของน้ าในบ่อเลี้ยงปลาท าให้ระดับน้ าน้อยเกินไป จะเป็นอันตรายต่อปลาได้ หากไม่รั่วซึมก็ อาจระเหยเร็วเกินไป จ าเป็นที่จะต้องเก็บน้ าในบ่อให้คงระดับเสมอ บ่อที่เลี้ยงปลาประเภทกินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาดุก มีความจ าเป็นจะต้องเปลี่ยนน้ า ถ่ายเทน้ าบ่อยๆ เพราะอาหารที่ให้มีส่วนผสมของโปรตีนสูง เศษเหลือของอาหารที่ตกหล่น หรือจาก การขับถ่ายมีก๊าซแอมโมเนีย และไนไตรท์สูง ส่วนที่บูดเน่าจากเศษอาหารมีก๊าซไข่เน่าเป็นพิษต่อ ปลา ดังนั้นจึงจ าเป็นต้องถ่ายและเปลี่ยนน้ าประมาณ ครึ่งบ่อทุก 3 วัน บ่อที่เลี้ยงปลาประเภทกินอาหารไม่เลือก กินพืชและกินแพลงก์ตอน ควรเติมน้ าให้ได้ ระดับ 1-1.50 เมตรอยู่เสมอ และหากสังเกตว่าปลาลอยหัวหรือกินอาหารได้น้อยลงกว่าปกติ ก็ควรถ่ายเทน้ าเปลี่ยนน้ าอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง การสังเกตว่าเมื่อใดควรเปลี่ยนน้ า ให้สังเกต จากสีของน้ าและ การลอยหัวของปลา การระบายน้ าออกจากบ่อควรระบายน้ าส่วนล่างของก้นบ่อซึ่ง จะเป็นส่วนที่มีความเน่าเสียมากกว่าน้ าผิวบน ในกรณีที่บ่อปลาไม่สามารถระบายน้ าได้เลย จะต้องให้ความระมัดระวัง เช่น ปล่อยปลา จ านวนน้อย และให้อาหารในปริมาณที่พอเหมาะน้ าจะได้ไม่เน่าเสียเร็ว และในบางครั้งควรจะใส่เกลือ แกงลงไปเพื่อช่วยปรับสภาพของน้ าในอัตราประมาณ 200-300 กิโลกรัม/ไร่ รวมทั้งการใส่ปูนขาว จะช่วยยืดอายุและระยะเวลาในการถ่ายเทน้ าออกไป (ชาติชาย , 2543) การป้องกันปลาหนีออกจากบ่อ ในฤดูน้ าท่วมหรือฤดูน้ าหลาก หรือเมื่อพายุหอบน้ าฝนตก ควรใช้ตาข่ายป้องกันไว้รอบๆ บ่อ เพื่อป้องกันปลาหนี ในการเลี้ยงปลาบางชนิด เช่น ปลาช่อน ปลาหมอไทย ปลาดุกอุย ปลาดุก ด้าน ปลาเหล่านี้มีนิสัยปีนป่ายขอบบ่อเพื่อไปสู่น้ าใหม่ๆ ก็ต้องใช้ตาข่ายป้องกันไว้รอบๆบ่อ เช่นเดียวกัน ในฤดูฝนถ้าหากไม่แน่ใจว่าจะสามารถป้องกันปลาหนีได้ก็ควรท ากระชังปิดฝาไว้ แขวนลอยไว้ในบ่อ แล้วจับปลาขังไว้เป็นการชั่วคราว การใส่ปุ๋ยในบ่อปลา การใส่ปุ๋ยในบ่อปลามีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับการใส่ปุ๋ยให้พืชบนบก เพื่อเป็นการเพิ่มธาตุ อาหารให้แก่พืชน้ าในการเจริญเติบโต เพิ่มธาตุอาหารพวกแพลงก์ตอนพืช ช่วยปรับสภาพของน้ า เช่น ความขุ่นใส และความเป็นกรดด่าง นอกจากนี้ปุ๋ยบางประเภทยังใช้เป็นอาหารปลาโดยตรงอีกด้วย หลังการใส่ปุ๋ยลงในบ่อปลาครั้งแรก เพื่อช่วยให้เกิดอาหารธรรมชาติแล้วจ าเป็นต้องใส่ปุ๋ยอีก ทั้งนี้เพราะความอุดมสมบูรณ์ของอาหารธรรมชาติลดลง เนื่องจากปลาได้ประโยชน์ไป ปุ๋ยที่ใช้ใส่บ่อ ปลามี 4 ประเภทคือ 1. ปุ๋ยคอก ได้แก่ มูลสัตว์ต่างๆ เช่น มูลวัว มูลควาย มูลไก่ มูลเป็ด เป็นต้น


233 2. ปุ๋ยพืชสด ได้แก่ ส่วนของพืชผัก และวัชพืชต่างๆ ที่มีเยื่อใยน้อยสามารถย่อยสลายได้ง่าย 3. ปุ๋ยหมัก ได้แก่ ปุ๋ยที่เกิดจากการหมักหมมเศษพืชผสมกับมูลสัตว์ และแบคทีเรีย ตาม กรรมวิธีของท าปุ๋ยหมัก 4. ปุ๋ยเคมี ได้แก่ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตรต่างๆ ที่มีขายในท้องตลาด โดยประกอบด้วยอาหาร หลักคือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม (N : P : K) อัตราการใช้ปุ๋ย ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด และปุ๋ยหมัก สามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่น ปุ๋ยคอกที่ ได้จากมูลสัตว์ต่างๆต้องตากแห้งเสียก่อน ถ้าเป็นปุ๋ยสดจะท าให้มีก๊าซพวกแอมโมเนียละลายอยู่ในน้ า มากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อปลา การใส่ปุ๋ยคอกในบ่อใช้วิธีโยนให้กระจายไปทั่วๆบ่อ ถ้าเป็นปุ๋ยพืชสดหรือปุ๋ยหมักควรกองสุม ไว้ตามมุมบ่อภายในคอกไม้ไผ่ที่ล้อมเป็นกรอบไว้ เพื่อไม่ให้ปุ๋ยคอกกระจัดกระจายไป เนื่องจากสภาพ ที่แตกต่างกันไป อัตราการใช้ปุ๋ยจะต้องต่างกันด้วย หากต้องการอัตราส่วนที่แน่ชัด จะต้องท าการ วิเคราะห์คุณภาพน้ าและดินก่อน แต่โดยทั่วไปปุ๋ยคอกใช้ในอัตราไม่เกิน 200-250 กิโลกรัมต่อไร่ต่อ เดือน ปุ๋ยพืชสดไม่เกิน 1,200-1,500 กิโลกรัมต่อไร่ และปุ๋ยหมัก 600-700 กิโลกรัมต่อไร่ ส าหรับ ปุ๋ยเคมีมีปฏิกิริยาค่อนข้างเร็ว ดังนั้นการใช้ต้องท าด้วยความระมัดระวัง และใช้ปริมาณน้อย คือไม่ ควรเกิน 3-5 กิโลกรัมต่อไร่/เดือน และควรจะใส่หลังจากได้ใส่ปูนขาวแล้ว ปริมาณปุ๋ยที่ใส่พอดีสังเกตได้จากสีของน้ าในบ่อจะต้องเป็นสีเขียว ซึ่งจะมีอาหารจ าพวกพืช เล็กๆมาก แต่ต้องไม่เขียวเข้มหรือออกสีน้ าตาลเข้ม แสดงว่าใส่ปุ๋ยคอกมากเกินไปควรเพิ่มน้ าเข้าบ่อ ถ้าเป็นสีค่อนข้างคล้ ามักจะมีอาหารพวกไรน้ ามาก ถ้าเป็นสีขาวขุ่นหรือใสแสดงว่าอาหารที่เกิดตาม ธรรมชาติน้อย และหากปรากฏว่าในตอนเช้ามืดมีปลาลอยหัวขึ้นมาแสดงว่าน้ ามีออกซิเจนไม่พอ จะต้องเพิ่มหรือเจือจางน้ าหรือช่วยเพิ่มอากาศ (ชาติชาย , 2543) การใส่ปูนขาว ปูนขาวจะช่วยปรับสภาพความเป็นกรดด่างให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงปลา ระหว่าง 6.5 - 8.5 ช่วยก าจัดเชื้อโรคและศัตรูปลา เมื่อใส่ในขณะที่น้ าในบ่อมีระดับต่ าสุดหรือจวน แห้ง ช่วยลดความขุ่นของน้ า และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ยที่ใส่ในบ่อปลา ปูนขาวที่มีขายใน ท้องตลาดทั่วไปมีอยู่หลายประเภท เช่น ปูนเผา หรือเรียกว่าปูนขาว ปูนเปียก หรือเรียกว่า น้ า ปูน หินปูนและปูนมาร์ล ซึ่งประสิทธิภาพของปูนประเภทต่างๆ นี้เรียงล าดับจากมากไปหาน้อย โดย ปูนขาวจะมีประสิทธิภาพสูงสุด การใช้ปูนขาวในขณะที่มีปลาอยู่ในบ่อ ควรใช้วิธีละลายปูนในถังน้ าที่ละน้อยแล้วสาดให้ทั่ว ไม่ควรใช้เป็นผงเทลงในน้ า กรณีเกิดโรคปลาใช้ในอัตราประมาณ 50 กิโลกรัมต่อไร่


234 ที่มา : กรมประมง , 2551 ตารางที่ 19 แสดงปริมาณการใช้ปูนขาวเพื่อแก้ความเป็นกรดเป็นด่างในบ่อเลี้ยงปลา การแก้ไขน้ าขุ่นเค็ม โดยทั่วไปบ่อปลาที่ขุดใหม่ มักจะประสบปัญหาเกิดน้ าขุ่นเนื่องจากตะกอนดินที่ถูกพัดพามา หรือภายในบ่อปลาเอง น้ าที่มีความขุ่นจะท าให้ปลาเจริญเติบโตช้า เพราะอาหารธรรมชาติมีไม่พอและ ในระดับน้ าที่ขุ่นมากอาจท าอันตรายต่อปลาโดยตรงได้ โดยตะกอนดินจะไปท าให้เหงือกอุดตัน การ หายใจจึงติดขัด นอกจากนี้น้ าที่ขุ่นมากจะมีอุณหภูมิที่ผิวน้ าสูงกว่าระดับปกติ การแก้ไขความขุ่นของน้ า อาจท าได้ ดังนี้ 1. ใช้สารเคมี เช่น สารส้มหรือสารอื่นๆ แต่วิธีการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการแก้ไขชั่วคราว เท่านั้นและมักจะมีปัญหาเรื่องคุณภาพน้ าตามมา เช่น น้ ามีสภาพเป็นกรดเพิ่มมากขึ้น 2. การใช้ปุ๋ยเคมี เช่น ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต ในอัตราประมาณ 2-5 กิโลกรัม ต่อไร่ต่อ เดือนใส่ติดต่อกันประมาณ 3-4 ครั้ง จะช่วยให้เกิดแพลงก์ตอนพืช ซึ่งจะท าให้สารแขวนลอยจับตัว และตกตะกอนในที่สุด 3. ใช้ปุ๋ยพืชสด ในอัตราประมาณ 1,200-1,500 กิโลกรัม ต่อไร่ โดยกองไว้ในบ่อที่ ระดับน้ าท่วมถึงการสลายตัวของปุ๋ยพืชสดจะช่วยท าให้เกิดการตกตะกอนขึ้น ส าหรับการแก้ไขปัญหาน้ าเค็มนั้น หลักการคงจะแก้ไขและปรับปรุงที่ดินโดยป้องกันไม่ให้ อนุภาคของเกลือลอยตัวขึ้นมา ซึ่งท าได้โดยการใช้วัสดุ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ แกลบและขี้เลื่อย ปกคลุม ผิวหน้าดินให้ทั่ว โดยมีความหนาแน่นประมาณ 5-10 เซนติเมตร


235 ระยะเวลาเลี้ยงและผลผลิต ปลาทุกชนิดจะมีการเจริญเติบโตที่ไม่มีขีดจ ากัด (Fish growth indeterminate) ถ้าในบ่อมี สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และมีอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกายตามชนิดของปลานั้นๆ ในการเลี้ยงปลาโดยทั่วไปเมื่อถึงจุดๆหนึ่งก็ต้องจับปลาขึ้นมาขาย เนื่องจากว่าการเจริญเติบโตของปลา ในช่วงระยะหลังๆจะมีการเจริญเติบโตเพิ่มน้ าหนักในอัตราที่ต่ า จึงไม่คุ้มค่ากับค่าอาหารหรือ ระยะเวลาที่จะเลี้ยงต่อไป ซึ่งถ้ามองการเจริญเติบโตของประชากรปลาในด้านผลผลิตรวม (Biomass yield) จะพบว่าในสภาพแวดล้อมใดๆผลผลิตรวมของประชากรของปลาจะมีขีดสูงสุดจุดหนึ่ง (Carrying capacity) ดังนั้นจึงต้องท าการจับปลาออกเมื่อมีการเจริญถึงจุดนี้และการเจริญเติบโตของ ปลาจะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมมากกว่าอายุ (Stronger influenced of environment on growth) จึงควรจัดสภาพแวดล้อมในบ่อเลี้ยงให้มีความเหมาะสมอยู่เสมอ เช่น ท าการปรับปรุงคุณสมบัติของ น้ าให้เหมาะสม การเพิ่มอาหารธรรมชาติภายในบ่อ ใสปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ให้อาหารพวกธัญพืชต่างๆ และอาหารเม็ดที่มีโปรตีนอยู่พอเพียง 6 Carrying capacity (จุดที่จับ ปลาขาย) 5 ช้า 4 3 เร็ว 2 ช้า 1 2 3 4 5 6 7 ระยะเวลาในการเลี้ยง (เดือน) ภาพที่ 36 แสดงจุดสูงสุดที่จะต้องจับปลาขาย ระยะเวลาการเลี้ยงปลาในบ่อนั้นจะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับชนิดของปลา และขนาดของปลาที่ ปล่อยลงเลี้ยงในครั้งแรก แต่ส่วนใหญ่จะใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 8-12 เดือน หรือในรอบ 1 ปี ถ้า น ้ำหนักรวมของปลำ (กิโลกรัม)


236 เป็นปลาที่กินเนื้อและให้อาหารถูกต้องเหมาะสม จะใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 4-6 เดือนก็สามารถจับ จ าหน่ายได้ ส าหรับผลผลิตเฉลี่ยโดยทั่วๆไป มีดังนี้(ชาติชาย , 2543) ชนิดของปลา ผลผลิตเฉลี่ย (กิโลกรัมต่อไร่) ระยะเวลาการเลี้ยง (เดือน) ปลานิล ตะเพียนขาว สวาย ยี่สกเทศ นวลจันทร์เทศ ดุกด้าน ,ดุกอุย เฉา ,ลิ่น ,ซ่ง,ไน* 600-1,000 600-1,000 4,000-5,000 300-500 300-500 4,000-7,000 300-400 6-8 8 12 12 12 6 12 * เลี้ยงรวมแบบให้หญ้าและปุ๋ยเป็นหลัก และถ้าให้อาหารผสมจ าพวกร า ปลายข้าว พืชผักต่างๆ จะได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอัตราประมาณ 1 เท่า ตารางที่ 20 แสดงผลผลิตและระยะเวลาในการเลี้ยงปลา สรุป การเลี้ยงปลาเพื่อให้ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดี ผู้เลี้ยงจะต้องมีการดูแลเอาใจใส่และมีการ จัดการที่ดีตั้งแต่การเตรียมพันธุ์ปลา การล าเลียงลูกปลา การค านวณอัตราการปล่อยปลา การดูแล น้ าในบ่อเลี้ยงปลา การป้องกันปลาหนีออกจากบ่อ การใส่ปุ๋ยในบ่อปลา การใส่ปูนขาว การแก้ไข น้ าขุ่นเค็ม ซึ่งถ้ามีการดูแลจัดการในสิ่งต่างๆที่กล่าวมาเป็นอย่างดีแล้ว จะส่งผลให้ผู้เลี้ยงประสบ ความส าเร็จในการเลี้ยงปลาได้


237 ค าถามท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 10 จงตอบค าถามต่อไปนี้ 1. จงบอกถึงวิธีในการเตรียมพันธุ์ปลาที่จะเลี้ยง ? 2. จงบอกถึงวิธีในการล าเลียงลูกปลา ? 3. จงอธิบายถึงวิธีการปล่อยปลาลงบ่อเลี้ยง ? 4. จงบอกถึงอัตราการปล่อยปลาลงบ่อเลี้ยง ? 5. จงบอกถึงวิธีการดูแลน้ าในบ่อเลี้ยงปลา ? 6. จงบอกถึงวิธีการป้องกันปลาหนีออกจากบ่อ ? 7. จงบอกถึงวิธีการใส่ปุ๋ยในบ่อเลี้ยงปลา ? 8. จงบอกถึงวิธีการใส่ปูนขาวในบ่อเลี้ยงปลา ? 9. จงอธิบายวิธีการแก้ไขน้ าขุ่นเค็ม ? 10. จงอธิบายถึงระยะเวลาเลี้ยงปลาและผลผลิต ?


238 กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ใบงานที่ 11 ชื่อใบงาน การจัดการดูแลปลาระหว่างการเลี้ยง จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. เพื่อให้นักเรียนมีความรู้และทักษะในการดูแลจัดการปลาระหว่างการเลี้ยง เครื่องมือ / อุปกรณ์ 1. จอบ 2. สวิงจับปลา 3. ถังน้ า 4. อาหารปลา 5. คราดเหล็ก 6. ปุ๋ยคอก 7. กระสอบ 8. สารเคมีที่รักษาโรคปลา 9. สายยาง ล าดับขั้นการปฏิบัติงาน 1. แบ่งกลุ่มนักเรียนออกตามกลุ่มที่ปฏิบัติงานในการเลี้ยงปลา 2. ให้นักเรียนไปจัดการดูแลปลาที่เลี้ยงในด้านต่างๆ 3. บันทึกผลในการปฏิบัติงาน การวัดผลและประเมินผล 3. ประเมินผลจากรายงานผลการปฏิบัติงานของนักเรียน 4. ประเมินผลจากการมีส่วนร่วมในการท างาน


239 แบบบันทึกผลการปฏิบัติงานการจัดการดูแลปลาระหว่างการเลี้ยง งานที่ทางกลุ่มได้ไปปฏิบัติมีดังต่อไปนี้ 1…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… 2…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… 3…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… 4…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… 5…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… สิ่งที่ควรปรับปรุง .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................ ความรู้ที่ได้รับ .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................... ปัญหาและอุปสรรคในการท างาน 1............................................................................................................................................... .............. ................................................................................................................................................ 2................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3 ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………......................................................................................


แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 10 วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง การจัดการดูแลปลาระหว่างเลี้ยง ค าแนะน า ให้นักเรียนอ่านค าถามแล้วกากะบาด( X )ทับข้อค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค าตอบเดียว ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. อุณหภูมิของน้ าที่แตกต่างกันเท่าไรที่ท าให้ปลาช็อคตายได้ ? ก. 3 องศาเซลเซียส ข. 5 องศาเซลเซียส ค. 7 องศาเซลเซียส ง. 9 องศาเซลเซียส 2. อัตราการปล่อยพันธุ์ปลาไนขนาด 3-5 เซนติเมตร ในบ่อดินควรเป็นข้อใด ? ก. 2,000-4,000 ตัว/ไร่ ข. 3,000-50,000 ตัว/ไร่ ค. 8,000-16,000 ตัว/ไร่ ง. 800-1,000 ตัว/ไร่ 3. ในการปล่อยพันธุ์ปลาลงเลี้ยงจะต้องปล่อยเผื่อหายเผื่อตายกี่เปอร์เซ็นต์ของอัตราที่ต้องการจะ ปล่อย ? ก. 5 % ข. 10 % ค. 15 % ง. 20 % 4. ปลาชนิดใดที่มีระยะเวลาในการเลี้ยงสั้นที่สุด ? ก. ปลายี่สก ข. ปลาสวาย ค. ปลาซ่ง ง. ปลานิล 5. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องในเรื่องการเจริญเติบโตของปลา ? ก. ปลาทุกชนิดจะมีการเจริญเติบโตที่ไม่มีขีดจ ากัด ข. การเจริญเติบโตของปลาระยะหลังๆจะมีอัตราที่ต่ า ค. การเจริญเติบโตของปลาจะขึ้นอยู่กับอายุมากกว่าสิ่งแวดล้อม ง. ในสภาพแวดล้อมใดๆผลผลิตรวมของประชากรปลาจะมีขีดสูงสุดจุดหนึ่ง


241 6. ข้อใดไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาความขุ่นของน้ า ? ก. ใส่สารส้ม ข. ใส่ปุ๋ยเคมี ค. ใส่ปุ๋ยพืชสด ง. ใส่เกลือแกง 7. ปลาชนิดใดที่มีนิสัยชอบปีนป่ายบ่อเพื่อไปสู่น้ าใหม่ ? ก. ปลาช่อน ปลาหมอไทย ข. ปลานิล ปลาหมอเทศ ค. ปลาไน ปลาตะเพียนขาว ง. ปลาเสือตอ ปลาหมอตาล 8. ควรท าอย่างไรเพื่อรักษาสภาพน้ าในบ่อเลี้ยงปลาที่ไม่สามารถระบายน้ าได้ ? ก. ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักลงไป ข. ใส่เกลือแกง และปูนขาวลงไป ค. ใส่พืชน้ าลงไป ง. ใส่ด่างทับทิมลงไป 9. ประโยชน์ของการใส่ปุ๋ยลงในบ่อเลี้ยงปลาคือข้อใด ? ก. เพิ่มธาตุอาหารแก่แพลงก์ตอนพืช ข. ช่วยปรับสภาพของน้ า ค. ใช้เป็นอาหารของปลาโดยตรง ง. ถูกทุกข้อ 10. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องการปล่อยปลา ? ก. ควรปล่อยปลาในช่วงเวลาเช้าหรือเวลาเย็น ข. เมื่อล าเลียงพันธุ์ปลามาถึงบ่อเลี้ยงควรรีบปล่อยปลาลงบ่อทันที ค. ถ้าอุณหภูมิของน้ าต่างกันเกิน 5 องศาเซลเซียสปลาจะช็อคตาย ง. ควรไปปล่อยปลาในระดับกลางบ่อน้ าจะไม่ร้อน


แผนการจัดการเรียนรู้ประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 11 เรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา 1. สาระส าคัญ : การเลี้ยงปลามีปัจจัยหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา ทั้งปัจจัยภายในตัว ปลาและปัจจัยภายนอกตัวปลา การเรียนรู้ถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาจะท าให้ ผู้เรียนสามารถน าไปใช้ในการดูแลจัดการ การเลี้ยงปลาเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีได้ 2. สมรรถนะประจ าหน่วยการเรียนรู้: 1. มีความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา 2. สามารถปฏิบัติการควบคุมดูแลปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา 3. มีกิจนิสัยการท างานอย่างเป็นระบบด้วยความรับผิดชอบ ขยัน อดทน 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง : 1. สามารถอธิบายปัจจัยที่อิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาด้านการจัดการได้ถูกต้อง 2. สามารถอธิบายปัจจัยที่อิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาด้านสภาพแวดล้อมได้ถูกต้อง 3. สามารถอธิบายปัจจัยที่อิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาด้านความอุดมสมบูรณ์ของบ่อ เลี้ยงปลาได้ถูกต้อง 4. สามารถปฏิบัติการควบคุมดูแลปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาได้ 4. ความรู้ที่ต้องได้รับ : ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา 1. ปัจจัยที่เกิดจากการจัดการ 2. ปัจจัยที่เกิดจากสภาพแวดล้อม 3. ปัจจัยที่เกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของบ่อเลี้ยงปลา 4. ปัจจัยที่เกิดจากตัวปลา 5. ปัจจัยที่เกิดจากอาหาร 6. ปัจจัยที่เกิดจากโรคปลาและศัตรูปลา 5. ทักษะทางปัญญาที่ต้องการพัฒนา : ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีทักษะทางการวิเคราะห์ สังเคราะห์ 6. คุณธรรมจริยธรรมที่ต้องการ : 1. มีใจรักและศรัทธาในวิชาชีพ 2. มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร 3. มีความซื่อสัตย์


243 4. มีความสนใจใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 7. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องการ : 1. มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลา 2. มีมนุษย์สัมพันธ์ 3. การรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถท างานร่วมกับผู้อื่น 5. การบริการสังคมและชุมชน 6. ความปลอดภัย 8. กิจกรรมการเรียนการสอน : 1. ศึกษาเนื้อหาในหัวเรื่องที่ 1-6 2. การท าแบบทดสอบก่อนการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 11 3. การบรรยายประกอบการยกตัวอย่าง 4. การฝึกปฏิบัติการค้นหาความรู้ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา 5. การสรุปแผนที่ความคิดปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา 6. การท าแบบทดสอบหลังการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 11 7. การท าแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 11 8. การจัดท าบันทึกการเรียนรู้ 9. การเก็บรวบรวมผลงานการเรียนรู้เพื่อจัดท าแฟ้มสะสมผลงาน 9. จ านวนชั่วโมงที่สอน : จ านวน 6 ชั่วโมง 10. สื่อการเรียนรู้ : 1. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 11 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 11 3. แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 11 4. เอกสารใบงานเรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา 5. คอมพิวเตอร์ที่มีระบบอินเตอร์เน็ต 6. แบบบันทึกการเรียนรู้ 11. วิธีการประเมินผล : 1. การวัดความสามารถด้านพุทธิพิสัย : โดยการท าแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน แบบทดสอบก่อน-หลัง เรียน การร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น และการน าเสนองาน 2. การวัดความสามารถด้านทักษะพิสัย : โดยการสังเกตพฤติกรรมในการท างานร่วมกัน การวางแผน ในการท างานร่วมกัน และความสามารถในการท างานส าเร็จอย่างมีคุณภาพตามเวลาที่มอบหมาย


244 3. การวัดความสามารถด้านจิตพิสัย : โดยการสังเกตจากพฤติกรรมในขณะด าเนินกิจกรรมการเรียน การสอนว่า ให้ความสนใจในการเรียนรู้ การมีวินัย การตรงต่อเวลา การมีส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน


หน่วยการเรียนรู้ที่ 11 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา การเลี้ยงปลาในแต่ละช่วงระยะเวลา จะมีปัจจัยต่างๆที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา ซึ่งมีผลต่อการเลี้ยงปลาให้ประสบความส าเร็จมีก าไร หรือล้มเหลว ขาดทุนได้ ดังนั้นการควบคุมดูแล ปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องจึงมีความส าคัญอย่างยิ่ง ส าหรับปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของปลา มีดังต่อไปนี้ (เกรียงศักดิ์, 2547) 1. ปัจจัยที่เกิดจากการจัดการ 1.1 อัตราการปล่อยลงเลี้ยง ขนาดและน้ าหนักของปลาเต็มวัยแต่ละชนิดแตกต่างกันไป เช่น ปลาสวายเมื่อโต เต็มวัยจะมีน้ าหนัก 5-10 กิโลกรัม/ตัว ปลาที่มีขนาดโตและน้ าหนักมากย่อมต้องการพื้นที่น้ าต่อ จ านวนปลามาก เป็นผลให้อัตราการปล่อยเป็นจ านวนตัวน้อยเมื่อเทียบกับปลาที่มีขนาดเล็ก เช่น อัตราการปล่อยปลาสวายในบ่อเลี้ยงเพื่อเป็นปลาเนื้อใช้อัตรา 1 ตัวต่อพื้นที่ผิวน้ า 1 ตารางเมตร ถ้า หากปล่อยมากกว่านี้จะท าให้ปลาแน่นมากเกินไป ท าให้โตช้า ถ้าปล่อยน้อยกว่านี้จะท าให้การใช้พื้นที่ ไม่คุ้มค่า ในขณะเดียวกันอัตราการปล่อยปลาตะเพียนลงเลี้ยงในบ่อเลี้ยงเพื่อเป็นปลาเนื้อใช้อัตรา 5- 10 ตัวต่อพื้นที่ผิวน้ า 1 ตารางเมตร ถ้าปล่อยน้อยกว่านี้จะเป็นการใช้ประโยชน์จากบ่อไม่คุ้มค่า แต่ จะต้องค านึงถึงขนาดของปลาด้วย ดังนั้นอัตราการปล่อยต่อพื้นที่ผิวน้ าจึงเป็นสิ่งจ าเป็นในการเลี้ยง ปลา 1.2 ขนาดของปลาที่ปล่อยลงเลี้ยง ควรเป็นปลาที่มีขนาดและน้ าหนักที่ใกล้เคียงกันในปลาบางชนิด เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ถ้าขนาดของลูกปลาที่ปล่อยลงเลี้ยงตัวโตที่สุดมีความยาวมากกว่าตัวเล็กที่สุดเกิน 1 เท่า ตัวโตก็จะกินปลาตัวเล็ก หรือปลาบางชนิดแม้ว่าปลาตัวใหญ่จะไม่กินปลาตัวเล็ก แต่ปลาตัวเล็กแย่ง อาหารสู้ปลาตัวใหญ่กว่าไม่ได้ เช่น ปลาตะเพียน ดังนั้นจึงปล่อยลูกปลาที่มีขนาดความยาวให้เท่ากัน หรือใกล้เคียงกันมากที่สุดลงเลี้ยงในบ่อเดียวกัน 1.3 พันธุ์ปลาที่ปล่อยลงเลี้ยง พันธุ์ปลาที่เลี้ยงควรศึกษาดูว่าชนิดปลาที่ปล่อยเป็นปลาที่กินอาหารชนิดใด เช่น ปลากินพืชมีลักษณะที่สังเกตได้ง่าย คือ ปากเล็ก ฟันละเอียด ซี่เหงือก ซี่กรองในช่องลมถี่ ส่วน ปลากินเนื้อปากจะกว้าง ฟันแหลมคม ซี่กรองในช่องคอห่าง ไม่ควรเอาปลากินพืชและปลากินเนื้อ มาเลี้ยงรวมกัน เพราะปลากินเนื้อจะกินปลากินพืช ยกเว้นในกรณีที่เราต้องการควบคุมปลากินพืช ไม่ให้แพร่พันธุ์มากเกินไป เช่น ปลานิล จึงเลี้ยงร่วมกับปลาช่อน เป็นต้น 2. ปัจจัยที่เกิดจากสภาพแวดล้อม


246 สภาพความเป็นกรดเป็นด่างของน้ า (pH) คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน แอมโมเนีย สารพิษต่างๆในน้ า อุณหภูมิและความเค็มของน้ า ปัจจัยสภาพแวดล้อมเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการ ด ารงชีวิตของปลาทั้งสิ้น จึงควรมีการดูแลจัดการอย่างเหมาะสม 3. ปัจจัยที่เกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของบ่อเลี้ยงปลา ความอุดมสมบูรณ์ของบ่อเลี้ยงปลาเกิดจากสภาพของดินและน้ าในบ่อเลี้ยงมีแร่ธาตุ เช่น N,P,K ที่เป็นอาหารของพืชเจือปนมาก ท าให้เกิดพืชน้ าเล็กๆที่ปลาสามารถกินเป็นอาหารได้ 3.1 แพลงก์ตอนพืช (Phytoplankton) เป็นพืชชั้นต่ าขน าดเล็ก เคลื่อนไห วไปม าได้โดยอ าศัยลมและกระแสน้ า แพร่กระจายอยู่ตามแนวราบของผิวน้ าอาศัยแสงแดดในการสังเคราะห์แสงเช่นเดียวกับพืชทั่ว ๆ ไป ได้แก่ สาหร่ายสีเขียว (Green algae) เช่น สาหร่ายคลอเรลล่า (Chlorella) สาหร่ายสีเขียวแกมน้ า เงิน (Blue green algae) 3.2 แพลงก์ตอนสัตว์ (Zooplankton) เป็นสัตว์ชั้นต่ าขนาดเล็ก เคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง อาศัยการกระจายและเคลื่อน ตัวในแนวดิ่งกินแพลงก์ตอนพืชและแบคทีเรียเป็นอาหาร ได้แก่ ตัวอ่อนของกุ้ง ไรน้ าชนิดต่างๆ เช่น ไรแดง ไรสีน้ าตาล โรติเฟอร์ การเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของบ่อเลี้ยงปลาสามารถท าได้โดย การเตรียมบ่อที่ดี ใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในบ่อเลี้ยงปลา 4. ปัจจัยที่เกิดจากตัวปลา 4.1 เพศ ปลาบางชนิด เช่น ปลานิลเพศผู้จะเจริญเติบโตได้ดีและเร็วกว่าเพศเมีย จึงท าให้มี การแปลงเพศลูกปลานิลเพศเมียให้กลายเป็นเพศผู้เพื่อให้การเจริญเติบโตดีขึ้น 4.2 อายุ ปลาที่อายุต่างกันจะมีการเจริญเติบโตเร็วหรือช้าแตกต่างกันไปจนถึงระดับการ เจริญเติบโตสูงสุด กล่าวคืออัตราการเจริญเติบโตของปลาจะมีมากเมื่อยังเป็นลูกปลา และอัตราการ เจริญเติบโตจะลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น ถ้าเขียนเป็นกราฟแสดงการเจริญเติบโตจะเป็นรูปตัว S - shaped หรือเรียกว่า Sigmoid curve


247 ระยะเวลาการเลี้ยง (เดือน) ภาพที่ 37 แสดงการเจริญเติบโตแบบ S – shaped ที่มา : http://www.nos.org/bio12/Image520.gif 4.3 พันธุกรรม ได้แก่ลักษณะการเจริญเติบโตของปลาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ใน ปลาชนิดเดียวกัน วัยเดียวกัน กินอาหารและอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันอาจจะมีการเจริญเติบโตที่ ไม่เท่ากันได้ เนื่องจากได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน 5. ปัจจัยที่เกิดจากอาหาร อาหารมีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของปลา สามารถแบ่งตามแหล่งน้ าที่ได้รับ คือ อาหารธรรมชาติ ได้แก่อาหารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยอาศัยความสมบูรณ์ของบ่อ ถ้าหากไม่มี การเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของบ่อโดยการเตรียมบ่อ หรือใส่ปุ๋ยอาหารธรรมชาติในบ่อ ซึ่งได้แก่ แพ ลงก์ตอนชนิดต่างๆ พืชน้ าบางชนิด ไรน้ า ฯลฯ ก็จะเกิดน้อยหรือไม่เกิดเลยมีผลท าให้ปลาโตช้า อาหารสมทบ ได้แก่ อาหารที่ผู้เลี้ยงน ามาให้ปลากินเป็นอาหาร เช่น ร า เศษผัก อาหารผสมสูตร ต่างๆ ปลาป่น เนื้อปลาสด ฯลฯ ในการให้อาหารปลาจึงควรค านึงถึงสิ่งต่อไปนี้ คือ ลักษณะของ อาหารตรงกับความต้องการ เช่น ปลากินพืชต้องการโปรตีน 16-25 % ปลากินเนื้อต้องการโปรตีน 30 % ขึ้นไป ลูกปลาขนาดเล็กต้องการอาหารผง ปลาขนาดใหญ่ต้องการอาหารเม็ด ซึ่งขึ้นอยู่กับ ขนาดของปากปลา ควรเหมาะสมกับขนาดของอาหาร ฯลฯ และอาหารที่ให้ควรมีปริมาณเพียงพอ ต่อความต้องการของปลา ถ้าให้มากเกินไปปลากินไม่หมดท าให้น้ าเน่าเสียได้ น้อยเกินไปปลากินไม่ กำรเจริญเติบโตช้ำ กำรเจริญเติบโตเร็ว กำรเจริญเติบโตช้ำ น ้ำหนัก (กรัม)


248 พอต่อการเจริญเติบโต อาหารต้องมีคุณภาพดี ไม่เป็นอาหารที่บูดเสียหรือเสื่อมคุณภาพ เพราะจะมี ผลต่อการเจริญเติบโตของปลา 6. ปัจจัยที่เกิดจากโรคปลาและศัตรูปลา ปัจจัยที่เกิดจากโรคปลาและศัตรูปลามีผลท าให้การเจริญเติบโตของปลาไม่ดี หรืออาจท าให้ ปลาตายได้ มีดังนี้ 6.1 โรคที่เกิดจากแบคทีเรียชนิดต่างๆ เช่น โรคแผลเน่าเปื่อย โรคหนวดกุด โรค ท้องบวมในปลาดุก 6.2 โรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่น Saprolegnia 6.3 โรคที่เกิดจากปรสิตภายใน เช่น พยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวจี๊ด 6.4 โรคที่เกิดจากปรสิตภายนอก เช่น เห็บปลา หนอนสมอ ปลิงใส ฯลฯ 6.5 ศัตรูปลาชนิดต่างๆ เช่น งู กบ นก แมว ฯลฯ สรุป ในการเลี้ยงปลาที่จะให้ได้ผลผลิตที่ดี ผู้เลี้ยงจ าเป็นที่จะต้องทราบถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ การเจริญเติบโตของปลาในแต่ละด้าน และมีการดูแลจัดการปัจจัยในด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องให้ เหมาะสมกับความต้องการของปลาในแต่ละชนิด จะช่วยท าให้ปลาที่เลี้ยงไว้มีอัตราการรอดตายสูง มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี และได้ผลผลิตจากการเลี้ยงเป็นไปตามเป้าหมายคุ้มค่าแก่การลงทุน ค าถามท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 11 จงตอบค าถามต่อไปนี้ 1. จงอธิบายถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาในด้านการจัดการ ? 2. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาในด้านใดส าคัญที่สุดตามความคิดเห็นของ นักเรียน จงอธิบายและให้เหตุผลประกอบ ?


249 กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ใบงานที่ 12 ชื่อใบงาน ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. เพื่อให้นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลา 2. เพื่อให้นักเรียนสามารถค้นหาความรู้ด้วยตนเองทางระบบอินเตอร์เน็ต เครื่องมือ / อุปกรณ์ 1. กระดาษบันทึก 2. คอมพิวเตอร์ที่มีระบบอินเตอร์เน็ต ล าดับขั้นการปฏิบัติงาน 1. ให้นักเรียนเข้าไปในห้องอินเตอร์เน็ตของวิทยาลัยฯ เพื่อค้นหาความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มี อิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาในด้านต่างๆโดยละเอียด 2. ให้นักเรียนน าข้อมูลที่ได้มาสรุปเป็นผังความคิด 3. ให้นักเรียนน าเสนอผังความคิด 4. ให้นักเรียนเก็บสะสมในแฟ้มสะสมงาน การวัดผลประเมินผล 1. ประเมินผลจากการน าเสนอผลงาน 2. ประเมินผลจากรายงานผลการปฏิบัติงานของนักเรียน


250 แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 11 วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโต ของปลา ค าแนะน า ให้นักเรียนอ่านค าถามแล้วกากะบาด (X) ทับข้อค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค าตอบเดียว ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาในด้านการจัดการ ? ก. อัตราการปล่อยปลาลงเลี้ยง ข. ขนาดของปลาที่ปล่อยลงเลี้ยง ค. พันธุ์ปลาที่ปล่อยลงเลี้ยง ง. เพศของปลา 2. การปล่อยพันธุ์ปลาสวายอายุ 1 เดือนลงเลี้ยงในบ่อดินควรใช้อัตราการปล่อยในข้อใด ? ก. 1 ตัว/ตรม. ข. 2 ตัว/ตรม. ค. 3 ตัว/ตรม. ง. 4 ตัว/ตรม. 3. การปล่อยพันธุ์ปลาตะเพียนขาวลงเลี้ยงในบ่อควรใช้อัตราการปล่อยในข้อใด ? ก. 1-5 ตัว/ตรม. ข. 5-10 ตัว/ตรม. ค. 10-15 ตัว/ตรม. ง. 15-20 ตัว/ตรม. 4. ปลาชนิดใดที่นิยมแปลงเพศให้กลายเป็นเพศผู้เพื่อให้การเจริญเติบโตดีขึ้น ? ก. ปลาตะเพียนขาว ข. ปลาปลาไน ค. ปลานิล ง. ปลาหมอไทย 5. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของปลาที่เกิดจากตัวปลา ? ก. เพศ ข. อายุ ค. พันธุกรรม


Click to View FlipBook Version