339 ๓๓๙
๑ ๕๑
การต ั้งจ ิต
ในฐานะที่ลูกศิษย์ของหลวงปู่คือผู้ที่มาฝึกหัดปฏิบัติกรรมฐาน
ดังน้นั ในการต ั้งจ ติ ไมว่ ่าจะเปน็ การจ บของทำบุญ หรือก ารอ ธษิ ฐาน
ต่างๆ หลวงปู่จะให้ต้ังจิตให้สว่างเสียก่อน การต้ังจิตให้สว่างทุกคร้ัง
เป็นท้ังอุบายสร้างความชำนาญในการทำกรรมฐาน และยังช่วยให้การ
อธษิ ฐานสมั ฤทธ์ิผลอย า่ งเตม็ ท ี่อ ีกด ว้ ย
พูดถึงตรงนี้ อาจมคี ำถามว่ารู้ไดอ้ ย่างไรว า่ “ สว่าง” การเหน็
แสงสว่างหรือการเหน็ นมิ ิตใดๆน้นั ครูบาอาจารย์ทา่ นใหเ้ริ่มสร้างค วาม
ชำนาญจาก “การเห็นโดยความรู้สึก” เสียก่อน เม่ือจิตละเอียดขึ้นก็
จะพฒั นาสกู่ ารเหน็ ท่ีเรียกว่าเห็นนมิ ติ อ กี ช ้ันหน่งึ
อันท่ีจริง หากเป็นการอธิษฐานบางกรณี เช่น ให้แคล้วคลาด
ปลอดภยั หลวงป ่จู ะใหอ้ ธิษฐานต อนทีต่ งั้ จิตใหเ้ ปน็ ส มาธิ โดยม ปี ตี เิ ปน็
สง่ิ บ อก เปน็ ตน้ ว า่ ค วามส วา่ ง ข นลกุ ท ว่ั ต วั เบาก ายเบาใจ น ำ้ ต าไหลฯ
แล้วจึงค่อยตั้งเจตนาอธิษฐานออกไป ท่านว่าอธิษฐานบนจิตที่มีสมาธ ิ
จะมีผลมากก วา่ เพราะท ำด ว้ ยจติ ที่มีกำลงั ยงิ่ หากต้องการแผ่เมตตา
ด้วยแล้ว ยิ่งจำเป็นต้องตั้งจิตให้สว่าง เพราะนี่เหมือนกับการหาเงิน
๓๔๐ 340
มาให้มากพอก่อนที่จะใช้จ่ายเงินออกไป หากไม่มีเงินแล้วจะเอาเงิน
ทไ่ี หนไปใช้
การแ ผบ่ ญุ ในท างจ ติ ภ าวนา ก ค็ อื ก ารแ ผแ่ สงส วา่ งอ อกไปพ รอ้ มๆ
กับกระแสแห่งความปรารถนาดีที่ต้องการให้สรรพชีวิตปราศจากทุกข์
และมีค วามสขุ ยิ่งๆ ขึ้นไป
หากเราฝ กึ ต้งั จ ิตใหส้ ว่างห รือใหเ้กดิ ป ีตอิ ยา่ งใดอ ยา่ งหน่ึงบอ่ ยๆ ก็
เท่ากับว่าเรากำลังสร้างความชำนาญในการเข้าสมาธิ หลวงปู่ท่านแบ่ง
ข้นั ความชำนาญในการท ำกรรมฐานไว้ ๔ ข ้นั คือ รู้เห็น เป็น ได้
และเพื่อความชัดเจน จึงขออนุญาตขยายความจากความเห็นส่วนตัว
เพ่ิมเติม ดังน้ี
รู้ ค ือร ู้โดยค วามร ู้สึกเชน่ ม ีอะไร อ ยู่ต รงไหน แตย่ ังไม่
ถ ึงขนั้ ก ารเหน็
เหน็ คือการเห็นด ว้ ยต าใจ ร ับร ู้รับทราบด ้วยญ าณทศั นะ
เปน็ คอื ค รบท้ังร ู้แ ละเหน็ มีความชำนาญในก ารก ำหนดจ ติ ให ้
เป็นส มาธิไดด้ ัง่ ใจ
ได้ ค อื ผ ลการป ฏิบตั ขิ นั้ ส ดุ ทา้ ยท ไ่ีมต่ ้องตัง้ ท า่ ห รอื ใชค้ วาม
พยายามในก ารร วมจติ ทำสมาธิอกี
ทงั้ หมดน ี้ ต อ้ งไมล่ มื ว า่ เปา้ ห มายส ดุ ทา้ ยม ใิ ชจ่ บท ต่ี วั ส มาธทิ มี่ คี วาม
ชำนิชำนาญอย่างยิ่ง หากแต่อยู่ท่ีการนำอานิสงส์แห่งจิตท่ีมีสมาธิไปใช้
เจรญิ ป ญั ญา เพราะจ ติ ท เี่ ปน็ ส มาธ ิ ย อ่ มเปน็ จ ติ ท อี่ อ่ นโยน ค วรแ กก่ ารงาน
341 ๓๔๑
จะน อ้ มไปพ จิ ารณาเรอ่ื งใดก แ็ จม่ แ จง้ โดยต ลอดด งั ท หี่ ลวงป ทู่ า่ นเนน้ ม าก
ในเร่ืองของการพิจารณาทุกอย่างเพื่อให้เกิดความชัดเจนในสภาวะแห่ง
อนจิ จงั ทุกข ังและอนัตตา
“พอ”
๓๔๒ 342 ๑๕๒
ผลข องก ารปฏบิ ตั ิ
การปฏิบัติกรรมฐานตามที่หลวงปู่สอนนั้น ท่านได้ให้ข้อสังเกต
ถงึ ค วามก ้าวหนา้ โดยแบง่ ไวเ้ ป็น๓ ข ั้น คอื ถงึ เปน็ ได้ หรอื บ างค ร้ัง
ท่านเรียกว่า ตรี โท เอกซง่ึ มคี วามห มาย ดงั นี้
ถงึ คือจิตเข้าถ ึงธรรมจิตเหน็ ค ุณของพระไตรสร ณาค มน์
ซ่งึ เป็นเหตุจากภายนอก
เป็น คอื จ ิตเป็นธ รรมจติ น ้อมไปตามอรยิ มรรคซ งึ่ เป็นเหตุ
จากภ ายในตน
ได้ ค อื จติ ได้ธรรมจติ ไดร้ ับอริยผลอ นั เกดิ จากก ารปฏิบัติ
ตามอรยิ ม รรค
ผภู้ าวนาท อ่ี ยใู่ นร ะดบั ท ท่ี า่ นเรยี กว า่ “ ถ งึ ” นนั้ ห ากท ำจ ติ ใหเ้ ปน็
สมาธ ิ จ ะรไู้ ดถ้ งึ ค วามส วา่ งในต นพดู งา่ ยๆค อื ห ากน ง่ั ส มาธใิ นห อ้ งพ ระ
หรอื ทใ่ี ดๆ ก็ตาม ท่ีปิดไฟให้ม ืด แ มผ้ นู้ น้ั ห ลบั ตาอ ยู่ กจ็ ะเห็นแ สงสว่าง
ปรากฏอยู่เบื้องหน้าห รอื รอบก ายน่นั เอง
หากผู้นั้นหม่ันเจริญภาวนาเป็นประจำ จิตจะยกระดับจากการ
เข้าถ งึ เปลีย่ นแปลงเปน็ ธ รรม ซ ึ่งค วามสว่างท ่เี กิดในตนก จ็ ะม ีเพมิ่ ข ึ้น
343 ๓๔๓
เป็นลำดับ ในขั้นน้ี ผู้ภาวนาสามารถอุทิศบุญกุศลไปยังผู้อ่ืนได้ทั้งผู้ที่
ลว่ งล บั ไปแ ลว้ หรอื ผ ทู้ ย่ี งั ม ชี วี ติ อ ย ู่ โดยบ ญุ ก ศุ ลอ นั เกดิ จ ากจ ติ ท เี่ ปน็ ธ รรม
เปรียบเสมอื นท รพั ยท์ ่ีสามารถเผอ่ื แผไ่ ปยังผอู้ ืน่ ได้
ส ดุ ทา้ ยแ ลว้ ผ ภู้ าวนาม คี วามเพยี รป ฏบิ ตั อิ ยา่ งต อ่ เนอื่ งต ามแ นวทาง
มรรคทงั้ แปดจ ากจติ ท ่ีเปน็ ธรรมก็จ ะก ลายเป็นจ ติ ไดธ้ รรมและเข้าถ ึง
ผลอันเป็นท่ีสุดแห่งทุกข์โดยลำดับซ่ึงผู้ภาวนาจะรู้เห็นเป็นพยาน
ได้ดว้ ยตนเองในท ีส่ ดุ
๓๔๔ 344 ๑ ๕๓
กำลังใจ
เคยบ า้ งไหมท เ่ี ราไดอ้ าศยั ห ลวงป เู่ ปน็ ก ำลงั ใจใหช้ วี ติ น นั้ ม ชี วี าข นึ้ ม า
ศ ษิ ยบ์ างค นเมอื่ ป ระสบท กุ ข์ ไมร่ จู้ ะห าท างออกท างไหน บางค รงั้
ถงึ ข นาดน งั่ รอ้ งไหอ้ ยคู่ นเดยี ว พ ลนั น กึ ถงึ ห ลวงป ู่ ต หี นงึ่ ต สี องเอาซ ดี หี ลวง
ปู่ให้พ รม าเปดิ นั่งพนมม อื รบั พรอ ยคู่ นเดียว ปตี ิเกิดจ นน ้ำตาร ่วงค วาม
ทกุ ข์ท ี่แบกไวใ้ นใจบรรเทาเบาบางลงฉบั พ ลนั
ศิษย์บางคนประสบเหตุอันตราย เรือบรรทุกน้ำมันท่ีตนกำลัง
ปฏิบัติหน้าท่ีดูแลอยู่เกิดเพลิงไหม้ แต่ทำไมเรือไม่ยอมไหม้ทั้งๆ ที่ราว
เหล็กร้อนจนเป็นสีแดง ดับไฟแล้วก็ยังไม่รู้ว่าน้ำมันร่ัวที่ตรงไหน ต้ัง
สติเอาห ลวงป ู่เปน็ ก ำลังใจระลึกถ งึ หลวงป ู่ ท่านก ็น ิมติ ด ลใจให้รวู้ า่ มี
รูร่ัวเท่ารูเข็มอยู่ตรงตำแหน่งท่ีใครๆ ยากจะคาดเดาได้ น่ีถ้าไม่ใช่บารมี
หลวงป่แู ลว้ จะร อดพน้ ม าได้อย่างไร
ศิษย์บางคนต้องไปปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนภูเขาใกล้บริเวณท่ี
ในหลวงจะเสด็จที่จังหวัดชายแดนทางใต้ โดนผู้ก่อการร้ายกระหน่ำยิง
กร็ อดม าไดเ้ พราะบ ารมที ห่ี ลวงป เู่ มตตาค รอบว มิ านแ กว้ ให ้ รวมท งั้ ต ะก รดุ
ทที่ ่านมอบให้กอ่ นเดินทาง ท ำใหม้ ีกำลังใจปฏบิ ัติห น้าทต่ี ่อไป
345 ๓๔๕
ศิษย์มือใหม่บางคนลองไปปฏิบัติในป่าตามลำพัง กลัวก็กลัว
แต่หลวงปู่ก ็ตามไปให้กำลงั ใจ และความอ บอุ่นผ่านเสยี งจ ้ิงจกท ดี่ งั ต้ังแต่
หวั คำ่ ย ันร ุ่ง
บางคนตามเพื่อนไปกราบหุ่นข้ีผึ้งหลวงปู่ ก็อธิษฐานเลิกเหล้า
ขึ้นมาเอง ถามว่าทำไมทำได้ เขาบอกว่าพอกราบหลวงปู่แล้ว ก็เกิด
อยากเป็นคนดี เลยอธิษฐานต่อหน้าหุ่นข้ีผึ้งหลวงปู่ว่าจะละเลิกสิ่งไม่ดี
กลบั ไปบ้านภ รรยาแ ละล ูกๆพาก ันด ีใจเป็นการใหญ่
หลายๆ คน มีทุกข์ที่ตนคิดว่าเท่าช้าง พอได้เห็นใบหน้าหลวงปู่
หลวงป่รู นิ น ำ้ ช าใหด้ ืม่ ทกุ ข์น้นั กพ็ ลันล ดขนาดล งเหลือเทา่ มด
จะบันทึกเร่ืองราวอย่างไรๆ ก็ไม่รู้จบส้ิน เพราะหลวงปู่ท่านเป็น
ดุจพ อ่ ดุจแ ม่ดจุ ครอู าจารย์ ทา่ นคือ“ พระผ ้จู ุดประทีปในด วงใจ”
“พ อ”
๓๔๖ 346 ๑ ๕๔
เดนิ ต ามในหลวง
ในม หาม งคลท ่ีในหลวงท รงครองส ิริร าชส มบัตคิ รบ ๖ ๐ปี เม่ือ
วนั ที่๙ม ถิ ุนายนพ.ศ. ๒๕๔๙
พระองค์ท่านได้เสด็จออกมหาสมาคมทรงรับการถวายพระพร
ชัยมงคล ณ สีหบัญชร พระที่น่ังอนันตสมาคม คนไทยต่างพร้อมใจกัน
เปลง่ เสยี ง“ ท รงพ ระเจรญิ ” อ ยา่ งก กึ ก อ้ งเปน็ ภ าพท ปี่ ระทบั ใจและก อ่ ให้
เกดิ ความต ้นื ต นั ใจจนหลายคนอ ดก ลั้นนำ้ ตาไวไ้ ม่อยู่
ภาพท่ีพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์กับเหล่าพสกนิกร ยังตราตรึง
อยใู่ นห วั ใจข องค นไทยท งั้ ช าติ หากแ ตพ่ ระราชด ำรสั ท ที่ า่ นพ ระราชทานใน
วนั น้นั หลายคนอาจลืมเลอื นไปจ งึ ขอนำมารวมไว้เป็นเป็นเครือ่ งเตือนใจ
ดงั ความต อนหนึ่งวา่ ...
“...นำ้ ใจไมตรขี องป ระชาชนช าวไทยท ร่ี ว่ มก นั แ สดงออกท ว่ั ป ระเทศ
รวมท ง้ั ท พี่ รอ้ มเพรยี งก นั ม าในว นั น ้ี น า่ ป ลาบปลมื้ ใจม าก เพราะแ ตล่ ะค น
ได้แสดงออกและต้ังใจมาด้วยความหวังดีจากใจจริง จึงขอขอบใจ
ทุกๆค น
จ ติ ใจท เี่ ปย่ี มด ว้ ยค วามป รารถนาด ี และค วามเปน็ อ นั ห นงึ่ อ นั เดยี ว
กันของทุกคนทุกฝ่ายนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเห็นแล้วมีกำลังใจมากข้ึน นึกถึง
347 ๓๔๗
คณุ ธ รรมซ งึ่ เปน็ ท ต่ี ง้ั ข องค วามรกั ค วามส ามคั คที ที่ ำใหค้ นไทยเราส ามารถ
รว่ มม อื ร ว่ มใจก นั ร กั ษาแ ละพ ฒั นาช าตบิ า้ นเมอื งใหเ้ จรญิ ร งุ่ เรอื งส บื ต อ่ ก นั
ไปไดต้ ลอดร อดฝ ั่ง
ประการแรก คือ การที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา
ม่งุ ดีม ุ่งเจริญต อ่ กนั
ประการท่ีสอง คือ การท่ีแต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ประสานงาน ป ระสานป ระโยชนก์ นั ใหง้ านท ที่ ำส ำเรจ็ ผ ลท ง้ั แ กต่ นแ กผ่ อู้ นื่
และแก่ประเทศชาติ
ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความ
สจุ ริตในก ฎกตกิ าและในระเบยี บแบบแผนโดยเทา่ เทียมเสมอกนั
ป ระการท สี่ ่ี คอื ก ารท ตี่ า่ งค นต า่ งพ ยายามท ำความค ดิ ค วามเหน็
ของต นใหถ้ กู ต อ้ ง เทยี่ งต รงแ ละม นั่ คงอ ยใู่ นเหตใุ นผ ล ห ากค วามค ดิ จ ติ ใจ
และค วามป ระพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ลี่ งรอยเดยี วกนั ในท างท ด่ี ที เ่ี จรญิ น ี้ ยงั ม พี รอ้ ม
อยู่ในกายในใจของคนไทย ก็มั่นใจได้ว่าประเทศชาติไทยจะดำรงมั่นคง
อยู่ตลอดไปได้
จึงขอให้ท่านทั้งหลายในมหาสมาคมนี้ ทั้งประชาชนชาวไทย
ทกุ ห มเู่ หลา่ ไดร้ กั ษาจ ติ ใจแ ละค ณุ ธ รรมน ไี้ วใ้ หเ้ หนยี วแ นน่ แ ละถ า่ ยทอด
ความค ดิ จ ติ ใจน ก้ี นั ต อ่ ไปอ ยา่ ใหข้ าดส าย เพอื่ ใหป้ ระเทศช าตขิ องเราด ำรง
ยืนยงอยู่ด้วยความร ่มเยน็ เปน็ สุขทง้ั ในป จั จบุ ันและในภายห นา้
ข ออ ำนาจค ณุ พ ระศ รรี ตั นตรยั แ ละส ง่ิ ศ กั ดสิ์ ทิ ธใิ์ นส ากล จ งค มุ้ ครอง
๓๔๘ 348
รักษาประเทศชาติไทยให้ปลอดพ้นจากภัยอันตรายทุกส่ิง และอำนวย
ความส ขุ ความเจริญสวัสดีให้เกิดม แี ก่ป ระชาชนช าวไทยท ัว่ กัน
หลวงป่ดู ู่ไดเ้ คยเมตตาส อนศ ษิ ย์ไวว้ ่า...
“ให้ดใูนหลวงเปน็ แบบอ ยา่ ง
ใหเ้ดินต ามทท่ี ่านสอน
เดนิ ตามร อยท า่ น
ท ่านท ำไวเ้ ยอะต รองด ใู ห้ดเี ถอะ
มีเป็นร้อยเปน็ พนั
เรอื่ งดีด ที ั้งน น้ั ...”
349 ๓๔๙
๑๕๕
รบู้ ้างไหม ?
มใี ครรบู้ า้ งไหมวา่ ในข ณะท ม่ี ผี คู้ นม าถ วายป จั จยั ส งั ฆทานแ กห่ ลวงป ู่
จำนวนนบั ห มนื่ บ าทในแ ตล่ ะวนั พ อถ งึ ต อนเยน็ ท า่ นก จ็ ะใหล้ กู ศ ษิ ยร์ วบรวม
ไปถวายเจา้ อาวาสทงั้ หมดไม่เกบ็ ไว้เปน็ สมบัติส่วนต ัวเลย
มใี ครรบู้ า้ งไหมวา่ ย ามบ า่ ยๆท ป่ี ลอดผ คู้ นห ลวงป จู่ ะเดนิ เกบ็ ห นงั ย าง
ท ห่ี ลน่ อ ยตู่ ามพ น้ื ข น้ึ ม าแ ขวนร วมไวท้ ต่ี ะปขู า้ งก ฏุ เิ พอื่ ใหโ้ ยมท มี่ าว ดั ไดน้ ำ
ไปใชก้ ัน
มีใครร้บู า้ งไหมว ่าห ลวงปสู่ รงนำ้ โดยไม่ใชส้ บ่เู ลย
มีใครร้บู า้ งไหมวา่ ห ลวงปไู่ม่เปลี่ยนอ ัฏฐบรขิ ารงา่ ยๆท ง้ั ๆทม่ี ีคน
มาถ วายข องใหมใ่ หใ้ ชอ้ ยเู่ สม อๆบ างค รงั้ เปน็ ข องใช้ เชน่ อ าส นะน มุ่ ๆ ท า่ น
กจ็ ะเอาม าน งั่ ฉ ลองใหผ้ ถู้ วายอ ม่ิ ใจห ลงั จ ากน นั้ ไมก่ ว่ี นั ท า่ นก จ็ ะเอาไปรวม
เปน็ ข องส งฆเ์ พอ่ื ร อก ารจ ดั สรรต อ่ แ ลว้ ท า่ นก ก็ ลบั ม าน งั่ บ นก ระด านแ ขง็ ๆ
อกี ตามเดิม
ม ใี ครรบู้ า้ งไหมว า่ ห ลวงป ฉู่ นั ม อ้ื ห นงึ่ ๆ เพยี งไมก่ คี่ ำท า่ นฉ นั ม อื้ เพล
ก็เพียงเพ่อื จ ะส งเคราะห์ค นท อี่ ยไู่ กลๆทีม่ าไม่ทนั ตอนเชา้ ใหไ้ ด้มีโอกาส
ทำบญุ
๓๕๐ 350
มใี ครรบู้ า้ งไหมว า่ ท นี่ อนจ ำวดั ข องห ลวงป นู่ นั้ เลก็ ข นาดแ ทบไมม่ ที ่ี
พลกิ ต วั แถมท า่ นย งั เมตตาอนญุ าตให้ศษิ ย์ใชห้ ้องจ ำวดั ข องท่านเป็นท น่ี ั่ง
ปฏบิ ตั ิกรรมฐานในสมยั ท ีว่ ดั ยงั ไมม่ ีส ถานท ีน่ ่งั ภ าวนา
มใี ครรู้บ้างไหมวา่ ท ่านพยายามสอนด ้วยก ารทำให้ดู
“พ อ”
351 ๓๕๑
๑๕๖
ความเห็นกับความจรงิ
ครูบาอาจารย์โดยมากมักต้องพบกับญาติโยมท่ีรู้มาก ดังเช่น
หลวงพ่อชา ท่ีมีโยมที่ศึกษาธรรมะมามาก โดยเฉพาะอย่างย่ิงอภิธรรม
มาเทศน์ให้ท่านฟังอยู่เป็นชั่วโมงๆ ท่านก็น่ังฟังเฉยอยู่ จนพระอุปัฏฐาก
รู้สึกหงุดหงิดใจ ในตอนท้ายท่านพูดเพียงแค่ “การจะศึกษารากแก้วนั้น
ไม่จำเป็นต ้องเสียเวลามาน่ังน ับร ากฝอยก ็ได้”
ข้าพเจ้าก็เป็นอีกคนหนึ่งท่ีเข้าหาครูบาอาจารย์อย่างคนที่คิดว่า
รู้มากเพราะอา่ นมามากฟังม ามากแลว้ เลยเผลอคิดไปว่านัน่ ค ือความรู้
จริงท้งั ท ี่จรงิ แ ล้วค วามร ูน้ ั้นเปน็ เพียงความร ู้จำเพราะอะไร? เพราะเมอ่ื
เจอส งิ่ ก ระทบแ ลว้ ใจเราย งั ห วนั่ ไหวต าก ระทบรปู ห กู ระทบเสยี งฯ ลฯแ ลว้
ยังเกดิ ค วามย ินดียินร า้ ยจ ติ ใจย งั อรอ่ ยและส นุกก ับก ารปรุงแ ต่ง
การปฏิบัติน้ันมีข้ันมีตอนของมัน ไม่มีคำว่า “ทางลัด” แต่คน
ปัจจุบนั จะเอาโลกไปใส่ธรรมน กั ป ฏบิ ัตพิ ยายามจะห าทางล ัดเพราะต ิด
นิสัยโลกๆ ไม่วา่ อ าหารจานดว่ น ถ ่ายร ปู ด่วน เงินสดทนั ใจ ฯลฯ พอไป
อ่านหรือฟังเร่ืองราวของผู้บรรลุง่ายๆ ก็จะเอาอย่าง จับแต่ตอนปลาย
โดยมิได้ศึกษาต่อว่าเบื้องหลังของท่านเหล่าน้ันมีความเป็นมาอย่างไร ?
๓๕๒ 352
ความพ ากเพยี รช นิดภาวนาให้ต ายกันไปข า้ งห นงึ่ ก็ไมเ่คยร ับทราบจ ะมา
จับย อดเลยหลวงป ่ดู ู่เคยให้โอวาทกับข า้ พเจ้าว่า“เบือ้ งต้นก ็จะข ึ้นย อด
ตาลมหี วงั ต กลงมาต ายหรอื แขง้ ข าห ักเทา่ นั้น”
บางคนพูดในสิ่งที่ถูก แต่มันก็ผิดตรงที่ไม่ถูกจังหวะหรือขั้นตอน
ของการปฏิบัติ เช่นพูดว่า “ทุกอย่างสำคัญที่ใจ เราจะปฏิบัติที่ไหนก็ได้
ไมจ่ ำเปน็ ต อ้ งไปป ฏบิ ตั ทิ วี่ ดั ห รอก” ล กู ศ ษิ ยห์ ลวงป คู่ นห นงึ่ ร สู้ กึ ล งั เลใจว า่
คำพ ดู น ถี้ กู ห รอื ไม่ ม ากราบเรยี นถ วายห ลวงป ู่ ห ลวงป จู่ งึ ใหไ้ ปน งั่ ก รรมฐ าน
อยใู่ นท่ที ่ที า่ นจ ดั ไว้ พ อศ ิษย์ค นน น้ั เดนิ อ อกม าท่านถามว า่ เปน็ อยา่ งไร ?
เขากเ็ รยี นท ่านว า่ “เขา้ ใจแลว้ ค ะ่ ไมเ่ หมือนก ันจริงๆ ” ท่านก็ย้ิมเป็นเชงิ
รับรอง
บางค นไมจ่ ดั ข ้าวข องให้สะอาดเรียบรอ้ ยใครถามก ็วา่ ทกุ อ ย่างมนั
อนิจจ งั (ใชศ้ พั ทพ์ ระด้วยนะ)จดั แ ล้วเดีย๋ วม นั กร็ กอกี พระองค์หนง่ึ ทา่ น
เลยบ อกโยมว า่ “ โยม..ท หี ลงั ก นิ ข า้ วแ ลว้ ไมต่ อ้ งล า้ งจ านน ะใหเ้ อาจ านเกา่
มาใช้กินข้าวอีก เพราะล้างแล้วเดี๋ยวมันก็เลอะอีก” ทำเอาโยมคนน้ัน
หน้าบ้งึ ไมพ่ ดู ไม่จา
บ างค นบ อกว า่ ไมต่ อ้ งไปป ฏบิ ตั กิ รรมฐ านน ง่ั ห ลบั ตาห รอื เดนิ จ งกรม
ก็ได้ด ูจ ติ อ ยา่ งเดยี วก ็พอเพราะ“ นักปฏิบัตติ ้องทำให้ได้ในท กุ อ ริ ยิ าบถ
โดยเฉพาะกิจกรรมตา่ งๆ ในชีวิตประจำว ัน” ซึง่ ค ำพ ดู ดังกล่าวจ ดั ว า่ เปน็
คำพ ดู ท ถี่ กู แ ตจ่ ะถ กู ต อ้ งย ง่ิ ข นึ้ ควรพ ดู ว า่ “ ในย ามท ปี่ ลอดภ ารกจิ ก ารงาน
ต่างๆ นักปฏิบัติควรฝึกหัดกรรมฐาน น่ังสมาธิ เดินจงกรม เพราะจะ
353 ๓๕๓
เป็นการฝึกจิตได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อเสร็จจากการนั่งกรรมฐาน
หรือเดนิ จ งกรมไปท ำก ิจอนั ใดก ใ็ ห้เฝ้าด ูก ายดใู จไปให้ได้ทงั้ วัน”
กล่าวคือท่านสอนให้ทำทั้งสองอย่างตามกาลอันเหมาะสม มิใช่
จะให้เลือกทำอย่างใดอย่างหน่ึงเพียงอย่างเดียว เพราะมันจะไม่สมบูรณ์
เช่นนี้แล้วจึงเรียกว่า เป็นการปรารภความเพียรท่ีอุปมาเหมือนการสีไม ้
ใหต้ ่อเนอ่ื งก ระทง่ั เกิดไฟ
“ พ อ”
๓๕๔ 354
๑ ๕๗
ปาฏิหาริย์เหนอื ปาฏหิ าริย์
เป็นเรื่องปรกติธรรมดาท่ีอาจมีบางท่านท่ีเร่ิมสนใจหรือมีศรัทธา
ในหลวงปู่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจากเร่ืองราวปาฏิหาริย์หรือวัตถุมงคล
ต่างๆ แต่ปัจจัยเครื่องอาศัยก็ยังคงเป็นปัจจัยเคร่ืองอาศัยหรือเคร่ืองมือ
เทา่ นั้นม ใิ ช่เป้าหมายเปรยี บเหมือนเปน็ บนั ไดใหเ้ ราก า้ วไปส สู่ ิ่งทส่ี ูงก ว่า
มิเชน่ น ั้นต ัวบันไดก็จ ะก ลบั เป็นต วั อ ปุ สรรคเสียเอง
ม ใี ครค ดิ พ จิ ารณาบ า้ งว า่ ค นท ม่ี ฤี ทธใ์ิ นย คุ ป จั จบุ นั จ ะมใี ครท เี่ หาะได้
อย่างพระเทวทัตผู้สำเร็จอภิญญา ๕ กระท่ังพระเจ้าอชาตศัตรูมีศรัทธา
ยอมเชอื่ ฟ งั ใหไ้ ปท ำป ติ ฆุ าตฆ า่ ไดแ้ มก้ ระทง่ั พ อ่ บ งั เกดิ เกลา้ ด เู อาเถดิ ผ มู้ ฤี ทธ์ิ
มากมายถ งึ เพยี งน้ันก็ยงั เหาะไม่พน้ น รกเลย
เคยม คี รบู าอ าจารยท์ า่ นห นงึ่ ก ลา่ วไวอ้ ยา่ งน า่ ป ระทบั ใจว า่ “ อ าตมา
ไม่เห็นว่าผู้ที่เหาะเหินเดินอากาศได้ จะน่าอัศจรรย์ย่ิงไปกว่าคนธรรมดา
ผเู้ ดนิ ด ินอ ย่างมสี ต”ิ
ค นท ไี่ ปป ฏบิ ตั กิ บั ห ลวงป ใู่ นช ว่ งท ท่ี า่ นย งั ม ชี วี ติ อ ยู่ ย อ่ มจ ะรบั ท ราบ
ได้ในข้อน้ี ไม่ว่าจะชอบเรื่องราวปาฏิหาริย์หรือความศักดิ์สิทธ์ิของวัตถุ
มงคลต่างๆ มากเพียงไร หลวงปู่ก็จะปรับเข้าหาการปฏิบัติธรรมท้ังส้ิน
355 ๓๕๕
โดยเฉพาะอ ยา่ งย ง่ิ ก ารห าพ ระเกา่ พ ระแ ทใ้ นต วั เองเพอ่ื ก ารท ำใหภ้ พช าติ
ส้นั เขา้ ย ิ่งน ่าอศั จรรยก์ ว่า
มาในสมัยท่ีหลวงปู่ละสังขารแล้ว อาจไม่มีผู้บอกกล่าวเล่าขาน
ให้ทราบถงึ ปฏิปทาของหลวงป ่ซู ง่ึ เปน็ พ ระผ ้สู ง่ เสรมิ ก ารป ฏิบัติเพื่อเขา้ ถงึ
ธรรมอ ยา่ งแ ท้จริงหาใช่“ พ ระเกจ”ิ ไม่ขา้ พเจา้ จงึ ขอบันทกึ เรอื่ งราวนี้ไว้
เปน็ สว่ นหนงึ่ ของ “ตามรอยธรรม ยำ้ รอยครู หลวงปดู่ ู่ พรหมปญั โญ”
“พอ”
๓๕๖ 356
๑๕๘
ตามร อยพระพุทธเจา้
ในต อนแ รกๆ ทท่ี ราบว า่ ห ลวงป เู่ มอื่ ค รงั้ ท ที่ า่ นบ วชใหมๆ่ น น้ั ท า่ น
สนใจศ กึ ษาในพ ระพทุ ธป ระวตั อิ ยา่ งม าก ข า้ พเจา้ ฟ งั แ ลว้ ก ย็ งั ม ไิ ดร้ สู้ กึ ใคร่
ศกึ ษาอยา่ งท า่ นเทา่ ใดนกั เพราะคิดว ่าเราห รือใครๆ ก ็เคยศกึ ษากนั ม า
แล้วในสมยั ท่เีรยี นห นงั สือช ้นั ประถมและมัธยม
แ ตม่ าบ ดั น้ี ขา้ พเจา้ รแู้ ลว้ วา่ ข า้ พเจา้ ค ดิ ผ ดิ อ ยา่ งม าก เพราะภ ายห ลงั
ท ไี่ ดม้ โี อกาสอ า่ นพ ระพทุ ธป ระวตั โิ ดยเฉพาะอ ยา่ งย งิ่ พ ระพทุ ธป ระวตั จิ าก
พระโอษฐ์ ทที่ า่ นพ ทุ ธท าสภ กิ ขเุ รยี บเรยี งจ ากพ ระไตรป ฎิ กเฉพาะในส ว่ น
ที่เปน็ พระพุทธพ จนต์ รัสเลา่ ประวตั ิของพ ระพทุ ธองค์เองข า้ พเจ้าร้สู ึกว ่า
เราเปน็ ช าวพุทธแท้ๆ แตห่ ลายเรือ่ งราวในพ ระพทุ ธประวตั กิ ลบั เปน็ เร่ือง
ทขี่ า้ พเจา้ ไมเ่ คยไดย้ นิ ไดฟ้ งั ม าก อ่ นเมอื่ อ า่ นแ ลว้ ก ท็ ำใหเ้ กดิ ค วามเลอ่ื มใส
ศรัทธาในพระพุทธองค์เป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจถ่ายทอด
บางเรื่องราวในพระพุทธประวัติในฐานะท่ีหลวงปู่เองก็เคยได้รับความรู้
ความเขา้ ใจในห ลกั ธ รรมร วมท งั้ ก ำลงั ใจในก ารป ฏบิ ตั ธิ รรมผ า่ นก ารศ กึ ษา
พระพุทธประวัติมากอ่ น ดังจะขอยกม าเล่าบ างส่วนดังนี้
357 ๓๕๗
๑.เม่อื ครง้ั ท ี่พระพทุ ธองคท์ รงปรารภความเพยี ร
เมอ่ื ค รง้ั ท พี่ ระพทุ ธอ งคท์ รงห นอี อกจ ากพ ระราชวงั ม าบ ำเพญ็ เพยี ร
เพอื่ แ สวงห าโมกข ธ รรมอ ยเู่ พยี งล ำพงั ในป า่ น น้ั ในส มยั น น้ั พระองคย์ งั ไม่
ทราบห นทางอ นั ป ระเสรฐิ ค อื อ รยิ ม รรคม อี งคแ์ ปดพระองคท์ รงป ระพฤติ
อตั ต กลิ มถ านโุ ยค (ท รมานต น)จนแ ทบจ ะเอาช วี ติ ม าท ง้ิ อ ยใู่ นป า่ เขาท งั้ นี้
กเ็ พอื่ ป รารถนาก ารบ รรลพุ ระโพธญิ าณเพอื่ จ ะส งเคราะหส์ ตั วโ์ ลกท งั้ ห ลาย
ใหพ้ น้ จ ากทุกข์ค อื ค วามแก่ ความเจ็บและความต าย ดังค ำต รัสเล่าของ
พระองค์ว ่า
“ส ารบี ตุ รเราแ ลเขา้ ไปส ชู่ ฏั ป า่ น า่ พ งึ ก ลวั แ หง่ ใดแ หง่ ห นง่ึ แ ลว้ แ ลอ ยู่
เพราะชัฏแห่งป่าน้ันกระทำซ่ึงความกลัวเป็นเหตุ ผู้ที่มีสันดานยังไม่
ปราศจ ากราคะเขา้ ไปส ชู่ ฏั ป า่ น น้ั แ ลว้ โลมช าตยิ อ่ มช ชู นั โดยม ากส ารบี ตุ ร
เราน้ัน ในราตรีทั้งหลายอันมีในฤดูหนาวระหว่างแปดวัน เป็นสมัยท่ีตก
แห่งห มิ ะอนั เยอื กเย็น ก ลางค นื เราอยู่ท่ีกลางแ จ้ง ก ลางวนั เราอยู่ในท่ีช ฏั
แหง่ ป า่ ค รงั้ ถ งึ เดอื นส ดุ ทา้ ยแ หง่ ฤ ดรู อ้ นก ลางว นั เราอ ยใู่ นท แ่ี จง้ ก ลางค นื
เราอ ยู่ในป า่ ส ารีบตุ รค าถานา่ เศร้าน้ี อ นั เราไม่เคยฟงั ม าแ ตก่ อ่ นมาแ จง้
แก่เราว า่
เราน น้ั แ หง้ (รอ้ น)แ ลว้ ผ เู้ ดยี วเปยี กแ ลว้ ผ เู้ ดยี วอ ยใู่ นป า่ น า่ พ งึ ก ลวั
แ ตผ่ เู้ ดยี วเปน็ ผ มู้ กี ายอ นั เปลอื ยเปลา่ ไมผ่ งิ ไฟเปน็ ม นุ ขี วนขวายแ สวงหา
ความบ ริสุทธ์ิ
สารีบุตร เราน้ันนอนในป่าช้า ทับกระดูกแห่งซากศพทั้งหลาย
๓๕๘ 358
ฝงู เด็กเลยี้ งโคเข้าม าใกล้เราโห่รอ้ งใส่หูเราบ้างถ ่ายม ตู รรดเราบ ้างซัดฝ ุน่
ใสบ่ า้ งเอาไมแ้ หลมๆ ท ม่ิ ช อ่ งห บู า้ งส ารบี ตุ รเราไมร่ สู้ กึ ซ งึ่ จ ติ อ นั เปน็ บ าป
ต่อเด็กเล้ียงโคทั้งหลายเหล่านั้น แม้ด้วยการทำความคิดนึกให้เกิดขึ้น
ส าร บี ุตรนี้เปน็ ว ัตรในการอ ยู่อ ุเบกขาของเรา...”
นอกจากน้ี ยังมีข้อวัตรในการทรมานตนอีกสารพัดอย่างอัน
พระองคไ์ ดพ้ สิ จู นแ์ ลว้ ว า่ ค งไมม่ ใี ครท ำไดอ้ ยา่ งพ ระองคอ์ กี แ ลว้ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งการผ่อนอาหารจนกระทั่งพระสรีระของพระองค์เส่ือมโทรมลง
อย่างม ากดงั ที่พระองค์ตรสั เล่าว า่
“...สารีบุตร กลอนแห่งศาลาท่ีคร่ำคร่าเกะกะ มีสัณฐานเช่นไร
ซ่ีโครงของเราก็เกะกะมีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย
ดวงดาวที่ปรากฏในน้ำในบ่อน้ำอันลึก ปรากฏอยู่ลึกฉันใด ดวงดาวคือ
ลูกตาของเรา ปรากฏอยู่ลึกในเบ้าตาฉันนั้น น้ำเต้าที่เขาตัดแต่ยังอ่อน
ครั้นถูกลมและแดด ย่อมเห่ียวยู่ย่ี มีสัณฐานเช่นไร หนังศีรษะแห่งเราก็
เหี่ยวยู่มีสัณฐานเช่นนั้น สารีบุตร เราต้ังใจว่าจะลูบท้องก็ลูบถูกกระดูก
สนั หลังด ว้ ยต้งั ใจวา่ จ ะลูบกระดูกสนั หลงั ก็ลูบถ กู ทอ้ งดว้ ยสาร บี ตุ รห นงั
ทอ้ งก บั ก ระดกู ส นั ห ลงั ข องเราช ดิ ก นั ส นทิ เพราะค วามเปน็ ผ มู้ อี าหารน อ้ ย
สารีบุตร เราคิดว่าจักถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ล้มพับอยู่ตรงน้ัน
สารีบุตร เรา เมื่อจะบรรเทาซึ่งกายน้ันให้มีความสุขบ้าง จึงลูบตัวด้วย
ฝา่ มอื เมอื่ เราล บู ตวั ด ว้ ยฝ า่ มอื ข นท ม่ี รี ากเนา่ แ ลว้ ไดห้ ลดุ อ อกจ ากก ายรว่ ง
ไปเพราะความเปน็ ผ ูม้ อี าหารน้อย”
359 ๓๕๙
๒.ท รงทำลายความข ลาดกอ่ นต รัสรู้
คนเราโดยม ากเมอ่ื ค วามข ลาดก ลัวเกดิ ข ้ึน กม็ กั จะแ ก้ดว้ ยก ารหนี
ผลก็คือความขลาดกลัวจะยังคงอยู่ในจิตใจตลอดไป เพราะความขลาด
กลวั น นั้ อ ยทู่ ใ่ี จเจา้ ของม ไิ ดอ้ ยทู่ สี่ ถานท ี่ ส ว่ นพ ระพทุ ธอ งคท์ า่ นท รงแ กจ้ ติ
ตนเองโดยการต อ่ สู้ในท ุกอริ ยิ าบถด งั ท่คี ำต รสั เล่าว า่
“พราหมณ์ ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เม่ือเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็น
โพธิสัตว์อยู่ มีความรู้สึกว่า เสนาสนะอันสงัดคือป่าและป่าเปล่ียว เป็น
เสนาส นะย ากท จี่ ะเสพได้ ความส งัดยากท ่ีจะท ำได้ ยากที่จะยนิ ดีในก าร
อยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลายเป็นประหน่ึงว่านำเราไปเสียแล้วซ่ึงใจแห่งภิกษุ
ผู้ยงั ไม่ไดส้ มาธิ
...พ ราหมณ์ เมอื่ เราอ ยใู่ นเสนาส นะเชน่ น น้ั ส ตั วป์ า่ แ อบเขา้ ม าห รอื
ว่านกยูงทำก ิ่งไม้แห้งให้ตกลงม าหรือว า่ ลมพ ัดหย ากเย่อื ใบไมใ้ ห้ตกลงม า
ความตกใจกลัวได้เกิดแก่เราว่า น่ันความกลัวและความขลาดมาหาเรา
เปน็ แ น่ ค วามค ดิ คน้ ไดม้ แี กเ่ ราว า่ ท ำไมห นอเราจ งึ เปน็ ผ พู้ ะวงแ ตใ่ นค วาม
หวาดก ลวั ถ า้ อ ยา่ งไรเราจ ะห กั ห า้ มค วามข ลาดก ลวั น นั้ ๆ เสยี โดยอ ริ ยิ าบถ
ทคี่ วามข ลาดกลัวน น้ั ๆมาส ู่เรา
พราหมณ์ เมื่อเราจงกรมอยู่ ความกลัวเกิดมีมา เราก็ขืนจงกรม
แ ก้ความขลาดน ้ันตลอดเวลานั้นเราไมย่ นื ไมน่ ่ังไม่นอน
เม่ือเรายืนอยู่ ความกลัวเกิดมีมา เราก็ขืนยืนแก้ความขลาดนั้น
ตลอดเวลาน น้ั เราไมจ่ งกรมไมน่ ่งั ไมน่ อน
๓๖๐ 360
เม่ือเราน่ังอยู่ ความกลัวเกิดมีมา เราก็ขืนนั่งแก้ความขลาดนั้น
ตลอดเวลานน้ั เราไม่จงกรมไมย่ นื ไม่นอน
เมอ่ื เราน อนอ ยู่ ค วามข ลาดเกดิ ม มี าเราก ข็ นื น อนแ กค้ วามข ลาดน นั้
ต ลอดเวลานัน้ เราไมจ่ งกรมไมย่ นื ไมน่ ่งั เลย”
๓.สขุ ท ีส่ ัตว์โลกควรก ลวั และไม่ควรกลวั
เป็นเร่ืองท่ีน่าขบคิดพิจารณาว่า ทั้งๆ ที่ส่ิงสำคัญยิ่งท่ีทุกชีวิต
ตอ้ งการน น้ั ก ค็ อื ค วามส ขุ แ ตค่ นเราโดยม ากก ลบั ไมค่ อ่ ยไดข้ วนขวายศ กึ ษา
ใหเ้ ขา้ ใจในเรอ่ื งค วามส ขุ โดยเฉพาะอ ยา่ งย งิ่ ก ารส รา้ งค วามส ามารถในก าร
มคี วามสุข ขา้ พเจ้าเคยได้ยินค นเข้าว ดั จำนวนไม่นอ้ ยกลา่ วว า่ “ ร ะวงั น ะ
หากไปน ัง่ ส มาธแิ ล้วจ ะต ดิ สขุ บ้างก ็ใหร้ ะวังจะไปต ิดนิมติ เช่นแสงส วา่ ง
เป็นตน้ ”ซ ่ึงในเร่ืองน้ี หลวงปู่กเ็ คยให้โอวาทว า่ “ ให้ท ำไปเถอะม ีให้ตดิ
ยังดีก ว่าไมม่ ีใหต้ ดิ ”
ในฐานะที่เราได้ช่ือว่าเป็นพุทธศาสนิกชน จึงน่าจะลองฟัง
พระพุทธเจ้าว่าพระองค์ทรงวินิจฉัยเร่ืองความสุขไว้อย่างไร จากคำตรัส
ของพระองค์ทวี่ า่
“ บุคคลควรรู้จกั การว นิ ิจฉัยในความส ุขเมือ่ รูจ้ ักก ารว ินจิ ฉัยความ
สุขแล้ว ควรประกอบความสุขชนิดที่เป็นภายใน ข้อนั้นเรากล่าวเพราะ
อาศยั เหตผุ ลอ ะไรเลา่ ภ กิ ษทุ ง้ั ห ลายก ามคณุ ม หี า้ อ ยา่ งเหลา่ น ี้ ห า้ อ ยา่ งน นั้
อ ะไรเลา่ ห า้ อ ยา่ งค อื ร ปู ท เี่ หน็ ด ว้ ยต าเสยี งท ฟ่ี งั ด ว้ ยห ู ก ลน่ิ ท ดี่ มด ว้ ยจ มกู
รสท่ีลิ้มด้วยลิ้น และโผฏฐัพพะท่ีสัมผัสด้วยกาย เป็นส่ิงที่น่าปรารถนา
361 ๓๖๑
น่ารักใคร่ น่าพอใจ เป็นสิ่งท่ียวนตายวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัย
ซ่ึงค วามใคร่ เป็นท่ตี ้งั แหง่ ความกำหนดั ย้อมใจภ ิกษทุ ้ังหลายส ขุ โสมนสั
อันใดเกิดข้ึนเพราะอาศัยกามคุณห้าเหล่าน้ี สุขโสมนัสนั้นเราเรียกว่า
กามส ขุ อ นั เปน็ ข องป ถุ ชุ นเปน็ สขุ ท างเมถนุ ไมใ่ ชส่ ขุ อ นั ป ระเสรฐิ เราก ลา่ ว
วา่ ส ุขนน้ั บ ุคคลไมค่ วรเสพไมค่ วรเจริญไมค่ วรท ำให้มากควรกลัว
ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าถึงปฐมฌาน...ทุติยฌาน...
ตตยิ ฌ าน...จ ตตุ ถฌ าน...แ ลว้ แ ลอ ยู่ น เี้ ราเรยี กว า่ ส ขุ อ าศยั เนกขมั ม ะ(ค วาม
หลีกออกจากกาม) เป็นสุขเกิดแต่ความสงัดเงียบ สุขเกิดแต่ความเข้าไป
สงบรำงับ สุขเกิดแต่ความรู้พร้อม เรากล่าวว่าสุขน้ัน บุคคลควรเสพให้
ทัว่ ถ ึงค วรทำให้เจริญค วรท ำให้มากไม่ควรกลวั ”
จึงเป็นอันว่าการที่หลวงปู่สอนให้ลูกศิษย์หม่ันน่ังสมาธิภาวนาน้ัน
สอดคล้องกับพระพุทธดำรัสข้างต้น ทั้งนี้ ก็เพื่อจะพัฒนาความสามารถ
ในการมีความสุขจากสุขแบบเสี่ยงๆ กล่าวคือความสุขที่ต้องข้ึนกับวัตถุ
หรือสิ่งเสพภายนอก มาเป็นสุขภายในหรือสุขจากสมาธิ ซ่ึงเป็นสุข
ชนิดท่ีไม่ขึ้นกับวัตถุหรือส่ิงเสพภายนอก เพ่ือให้จิตใจของเรามีความอ่ิม
ความพ อไมโ่ หยห าอ ารมณห์ รอื ส ง่ิ เสพก อ่ นจ ะพ ฒั นาค วามส ขุ ใหป้ ระณตี
ยิง่ ข นึ้ ไปสู่บรมสุขคือสุขจากก ารท่ีไม่มกี เิ ลสม าเสยี ดแ ทงจ ติ ใจ
อย่างไรก็ดี เน่ืองด้วยมนุษย์เราเสพคุ้นกับความสุขในกามคุณ
มาเน่ินนาน พอจะพัฒนาไปสู่ความสุขท่ีประณีตข้ึน บ่อยครั้งจิตนั้นก็
อดไม่ได้ที่จะกลับไปหาความสุขอย่างเก่า ซ่ึงกรณีเช่นน้ีก็เคยเกิดขึ้นแล้ว
๓๖๒ 362
กับพระพุทธองค์ แต่ในที่สุดพระองค์ก็ทราบชัดในสาเหตุของปัญหาน้ัน
ดงั ทีไ่ ดต้ รัสเล่าไว้วา่
“อานนท์ ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็น
โพธิสัตว์อยู่ ความรู้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เนกขัมมะ (ความหลีกออกจาก
ก าม)เปน็ ทางแห่งความส ำเร็จป ริเวก(ค วามอยู่สงัดจ ากก าม)เป็นทาง
แห่งความส ำเรจ็ ด งั น้ี แ ตแ่ มก้ ระนนั้ จิตข องเรากย็ ังไมแ่ ลน่ ไปไม่เล่ือมใส
ไม่ตัง้ อยู่ได้ไมห่ ลุดอ อกไปในเนกขมั ม ะท ั้งทเ่ี ราเหน็ อยู่ว่านัน่ สงบ
อานนท์ค วามคิดได้เกดิ ขนึ้ แ กเ่ราส บื ไปว ่าอ ะไรห นอเปน็ เหตุเปน็
ปัจจัยที่ทำให้จิตของเราเป็นเช่นนั้น อานนท์ ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เรา
วา่ เพราะว่าโทษในก ามทั้งหลายเปน็ สง่ิ ท ี่เราย ังม องไมเ่ หน็ ยังไม่ได้น ำม า
ทำการค ดิ น กึ ใหม้ ากแ ละท งั้ อ านสิ งสแ์ หง่ ก ารอ อกจ ากก ามเราก ย็ งั ไมเ่ คย
ไดร้ ับเลยย ังไมเ่ คยร รู้ สเลยจติ ข องเราจึงเปน็ เชน่ น ัน้ ”
อานิสงส์แห่งสมาธินั้น มิได้มีเพียงแค่ความสุขชนิดใหม่ท่ีประณีต
กว่ากามสุข ดังที่เรียกกันว่าวิหารธรรมภายในเท่านั้น หากแต่สมาธินั้น
มีเป้าประสงค์เพื่อจะเป็นบาทฐานของการเจริญปัญญาเป็นสำคัญ นั่นก็
คือการยังจิตให้แจ่มแจ้งในสภาวะแห่งอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ดังที่
พระพุทธองค์ตรัสว่าจิตที่เป็นสมาธิย่อมเป็นปัจจัยให้เห็นสิ่งต่างๆ ตาม
ความเปน็ จ รงิ
อยา่ งไรก ด็ ีสมาธทิ ีไ่ มม่ ีศลี เปน็ ฐานแ ละไมม่ ปี ัญญาเปน็ ตวั ต่อยอ ด
หรอื หากว่าโดยสภาวะจ ติ ทไ่ี ม่อยใู่ นภ าวะแ หง่ ความรู้ต นื่ เบิกบ านเราก ็
363 ๓๖๓
ไม่อาจเรยี กส มาธิน ้นั ว ่าเป็นสัมมาสมาธขิ องพ ระพทุ ธอ งค์
๔.ท รงอธษิ ฐานค วามเพยี รกอ่ นต รัสรู้
พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราสันโดษในปัจจัยสี่ เพื่อว่าเราจะได้มี
เวลามากขึ้นในการไปประกอบความเพียรหรือทำความดีอย่างชนิดไม่รู้
จักอิ่มจักพอ ด้วยความไม่ประมาท นั่นก็หมายความว่าในอีกด้านหน่ึง
พระองค์กำลงั สอนไม่ให้เราสันโดษในกศุ ลธ รรมท้ังห ลาย ดงั ท่ีไดต้ รสั เล่า
ไว้ในคราวท่ีปรารภค วามเพยี รชนดิ เอาชวี ติ เปน็ เดมิ พ ันว ่า
“ภ กิ ษทุ งั้ หลายเราไดร้ ู้ถึงธรรม๒ อ ย่างค อื ความไมร่ ้จู กั พอใน
กุศลธรรมทัง้ หลายและค วามเปน็ ผไู้ม่ถ อยห ลังในการต ั้งความเพียร
เราตั้งความเพียรคือความไม่ถอยหลังว่า “หลัง เอ็น กระดูก
จ กั เหลอื อ ยู่ เนอื้ แ ละเลอื ดในส รรี ะจ กั เหอื ดแหง้ ไปก ต็ ามท ี เมอื่ ย งั ไมบ่ รรลุ
ถงึ ป ระโยชนอ์ นั บ คุ คลจ ะล ไุ ดด้ ว้ ยก ำลงั ข องบ รุ ษุ ด ว้ ยค วามเพยี รข องบ รุ ษุ
ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักหยุดความเพียรนั้นเสียเป็นไม่มีเลย
ดังนี้
ภิกษุท้ังหลาย เราน ั้นได้บ รรลุค วามต รัสร้เู พราะค วามไมป่ ระมาท
ไดบ้ รรลโุ ยค กั เขมธ รรมอ นั ไมม่ อี น่ื ย ง่ิ ไปก วา่ เพราะค วามไมป่ ระมาทแลว้ ”
๕.ก ารต รัสรคู้ อื ก ารทบั ร อยแห่งพ ระพทุ ธเจา้ ในอ ดีต
พระพุทธอ งค์นนั้ ส มแล้วท ีเ่ ป็นศาสดาเอกแ หง่ โลกเพราะพ ระองค์
เป็นผู้ทำดีอย่างถึงท่ีสุด แต่พระองค์ก็มิได้ยึดติดแม้กระทั่งความดีน้ัน
พระองค์จึงกล้าบอกกล่าวว่าไม่ว่าพระองค์จะบังเกิดข้ึนหรือไม่ก็ตาม
๓๖๔ 364
ความจ รงิ ในโลกก จ็ ะย งั ค งด ำเนนิ ไปอ ยอู่ ยา่ งน นั้ พ ระองคเ์ ปน็ เพยี งผ คู้ น้ พ บ
ความจริงแล้วนำมาบอกกล่าว พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้ทาง และพระองค์
ยังได้ตรัสยืนยันว่าพระองค์มิใช่บุคคลแรกที่พบหนทางอันประเสริฐน้ี
ดงั คำตรัสเลา่ ว า่
“ภกิ ษทุ ัง้ ห ลาย...เราไดเ้ ห็นแลว้ ซ ่ึงรอยท างเก่าทเ่ี คยเป็นหนทาง
เก่าอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนเคยทรงดำเนินแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย ก็รอยทางเก่าที่เคยเป็นหนทางเก่าอันสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท้ังหลายในการก่อนเคยทรงดำเนินแล้วนั้น เป็นอย่างไรเล่า นั่นคือ
อรยิ อฏั ฐงั ค กิ ม รรคน น้ี นั่ เทยี วไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น คี้ อื ส มั มาท ฏิ ฐิ ส มั มาส งั กปั ปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาสติ สัมมาวายามะ
สัมมาสมาธิ ภิกษุทั้งหลาย น้ีแล รอยทางเก่าที่เคยเป็นหนทางเก่าอัน
สมั มาส มั พ ทุ ธเจา้ ท งั้ ห ลายในก ารก อ่ นเคยท รงด ำเนนิ แ ลว้ เราน น้ั ไดด้ ำเนนิ
ไปต ามท างแ ลว้ ซ งึ่ ห นทางน นั้ เมอ่ื ด ำเนนิ ไปต ามซ ง่ึ ห นทางน น้ั อ ยู่ เราไดร้ ยู้ ง่ิ
เฉพาะซึ่งชรามรณะ ซึ่งเหตุให้เกิดแห่งชรามรณะ ซึ่งความดับไม่เหลือ
แห่งชรามรณะ ซ่ึงข้อปฏิบัติเครื่องทำให้สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือ
แห่งชราม รณะฯลฯ”
๖.ส ิ่งท่ีทรงต รัสรแู้ ตไ่ ม่ทรงน ำมาสอน
เปน็ เรอ่ื งน า่ พ จิ ารณาว า่ ภ ายห นา้ ห ากจ ะม ผี บู้ ญั ญตั คิ ำส อนแ ปลกๆ
โดยก ลา่ วว า่ เปน็ ธ รรมะน อกพ ระไตรป ฎิ กพ ระพทุ ธด ำรสั ต อ่ ไปน ้ี จ ะช ว่ ยให้
เราวนิ จิ ฉยั ไดว้ า่ ผใู้ ฝธ่ รรมควรใหค้ วามส นใจต อ่ ธรรมเหลา่ น น้ั หรอื ไมอ่ ยา่ งไร
365 ๓๖๕
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำใบไม้สีสปาที่ร่วงอยู่ตามพื้นดินขึ้นมา
หนอ่ ยห นงึ่ แ ลว้ ต รสั แ กภ่ กิ ษทุ งั้ ห ลายว า่ “ ภ กิ ษทุ งั้ ห ลายเธอท ง้ั ห ลายเขา้ ใจ
วา่ อ ยา่ งไรใบไมส้ สี ป าท เี่ ราก ำข นึ้ ห นอ่ ยห นงึ่ น มี้ ากห รอื ว า่ ใบไมส้ สี ป าท ย่ี งั
อยบู่ นต น้ เหลา่ น นั้ ม าก” ภ กิ ษทุ ง้ั ห ลายก ราบทลู ว า่ “ ข า้ แ ตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ
ใบไมท้ พ่ี ระผ มู้ พี ระภ าคท รงก ำข นึ้ ห นอ่ ยห นง่ึ น นั้ เปน็ ข องน อ้ ยส ว่ นใบไมท้ ่ี
ยงั อ ยู่บนต น้ สสี ป าเหล่าน นั้ ย อ่ มม มี าก”
“ภ กิ ษทุ ง้ั ห ลายฉ นั ใดก ฉ็ นั น นั้ ธ รรมะส ว่ นท เ่ี รารยู้ ง่ิ ด ว้ ยป ญั ญาอ นั ย งิ่
แลว้ ไมก่ ลา่ วส อนน นั้ ม มี ากก วา่ ส ว่ นท นี่ ำม าก ลา่ วส อนภ กิ ษทุ ง้ั ห ลายเหตใุ ด
เลา่ เราจ งึ ไมก่ ลา่ วส อนธ รรมะส ว่ นน นั้ ๆ ภ กิ ษทุ ง้ั ห ลายเพราะเหตวุ า่ ธ รรมะ
ส่วนนั้นๆ ไม่ประกอบอยู่ด้วยประโยชน์ท่ีเป็นเง่ือนต้นแห่งพรหมจรรย์
ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ค วามห นา่ ยไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ค วามค ลายก ำหนดั ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื
ความด ับไมเ่ ปน็ ไปเพื่อค วามสงบไมเ่ ป็นไปเพื่อค วามรู้ย่งิ ไม่เปน็ ไปเพ่อื
ความร พู้ รอ้ มไม่เป็นไปเพอ่ื นิพพานฉะน้ันเราจึงไมก่ ลา่ วสอน”
คำสอนทั้งหมดทั้งมวลของพระพุทธองค์น้ัน พระองค์กล่าวสรุป
ไว้วา่
“ภ กิ ษทุ งั้ ห ลายในก าลก อ่ นก ต็ ามในบ ดั นก้ี ต็ ามเราบ ญั ญตั ขิ น้ึ ส อน
แตเ่ ร่อื งความทกุ ข์ และความด ับส นิทไมม่ ีเหลือของความท ุกขเ์ทา่ นั้น”
นอกจากนี้ หากมีผู้ศึกษาธรรมคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว
เกิดความลังเลสงสัยว่าคำสอนของพระองค์อาจขัดแย้งกันเองได้หรือไม่
ในประเดน็ น้ี พ ระพุทธองค์ไดต้ รสั ร ับรองไวว้ ่า
๓๖๖ 366
“ภิกษุทั้งหลาย นับตั้งแต่ราตรีที่ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมา
สมั โพธญิ าณจ นก ระทง่ั ราตรที ต่ี ถาคตป รนิ พิ พานด ว้ ยอ นปุ าทเิ สส นพิ พ าน
ธาตุตลอดเวลาร ะหว่างนน้ั ต ถาคตได้กล่าวสอนพร่ำส อนแ สดงออกซ ึง่
ถอ้ ยคำใดถ อ้ ยคำน น้ั ท ง้ั หมดย อ่ มเขา้ ก นั ไดโ้ ดยป ระการเดยี วท งั้ ส น้ิ ไมแ่ ยง้
กนั เป็นป ระการอ ื่นเลย”
๗.ทรงร บั รองภ กิ ษแุ ตบ่ างรปู ว่าเปน็ คนข องพ ระองค์
“ภ กิ ษทุ ง้ั ห ลายภ กิ ษเุ หลา่ ใดเปน็ ค นห ลอกล วงก ระดา้ งพ ดู พ ลา่ ม
ยกต วั จ องหองใจฟ งุ้ เฟอ้ ภ กิ ษเุ หลา่ น นั้ ไมใ่ ชเ่ ปน็ ค นข องเราภ กิ ษเุ หลา่ น น้ั
ได้ออกไปนอกธรรมวินัยน้ีเสียแล้ว ย่อมไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์
ในธรรมวินยั นไ้ีดเ้ ลย
ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุเหล่าใดไม่เป็นคนหลอกลวง ไม่พูดพล่าม มี
ปัญญาเป็นเครื่องทรงตัว ไม่กระด้าง ใจคอม่ันคงดี ภิกษุเหล่าน้ันช่ือว่า
เป็นคนของเราภกิ ษุทง้ั ห ลายภกิ ษุเหล่านั้นไมไ่ดอ้ อกไปนอกธ รรมว นิ ัยน ี้
และยอ่ มเจรญิ งอกงามไพบลู ยใ์ นธ รรมว ินัยนี้”
๘.ทรงฉ ันอาหารวันห นึง่ หนเดียว
บางครั้งอาจมีผู้สงสัยว่าพระพุทธองค์ทรงฉันอาหารวันละก่ีหน
ซงึ่ พระองค์ไดต้ รสั เลา่ ไวว้ า่
“ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมฉันโภชนะแต่ในท่ีน่ังแห่งเดียว (คือฉัน
หนเดยี วลกุ ข ึ้นแล้วไม่ฉันอกี ในวันน ั้น)ภิกษทุ ั้งหลายเม่ือเราฉ นั โภชนะ
แตใ่ นท นี่ ง่ั แ หง่ เดยี วอ ยู่ ย อ่ มรสู้ กึ ว า่ เปน็ ผ มู้ อี าพาธน อ้ ยม ที กุ ขน์ อ้ ยม คี วาม
367 ๓๖๗
กะปรกี้ ะเปรา่ มีกำลังและค วามผาสกุ ด้วย
ภิกษุทั้งหลาย มาเถิด แม้พวกเธอท้ังหลาย ก็จงฉันโภชนะแต่ใน
ที่นั่งแห่งเดียว ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอทั้งหลายเม่ือฉันอยู่แต่ในที่น่ังแห่ง
เดียว จักรู้สึกความที่เป็นผู้มีอาพาธน้อย มีทุกข์น้อย มีความเบากาย
กะปร้กี ะเปร่าม กี ำลงั แ ละมีค วามผ าสกุ ด ว้ ยแล”
๙.พรหมจรรยน์ ้ีมใิ ชม่ ีลาภเป็นอานสิ งส์
บางครั้งนักปฏิบัติ หากไม่ศึกษาพุทธโอวาทให้เข้าใจก็อาจหลง
ยึดในศีลท ี่ตนม ีบ้าง ห รือห ลงย ึดในส มาธิ ห รือป ัญญาที่ตนม ีบ้าง ฯ ลฯ
ในเรื่องนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสเตือนเอาไว้ เพื่อไม่ให้ผู้ปฏิบัติหลงยึด
เครื่องมือว่าเป็นเป้าหมายหรืออานิสงส์ ดังคำตรัสสอนเพื่อไม่ให้ลืม
เป้าหมายส ุดท้ายท ี่ว ่า
“ภ กิ ษทุ งั้ ห ลายพ รหมจ รรยน์ ้ี ม ใิ ชม่ ลี าภส กั ก าระ แ ละเสยี งส รรเสรญิ
เป็นอานิสงส์ พรหมจรรย์น้ี มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์
พรหมจ รรย์นี้ ม ิใช่มคี วามถ ึงพ ร้อมแหง่ ส มาธิเป็นอ านิสงส์ พรหมจรรยน์ ี้
มใิ ช่ม คี วามถ ึงพ รอ้ มแ หง่ ญาณทัสส นะเป็นอ านสิ งส์
ภิกษุทั้งหลาย ก็เจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นแห่งจิต หรือการที่จิต
หลุดพ้นจากกิเลส) อันไม่กำเริบอันใดมีอยู่ พรหมจรรย์น้ี มีเจโตวิมุตติ
นั้นแหละเป็นประโยชน์ท่ีมุ่งหมาย เจโตวิมุตติน่ันแหละ เป็นแก่นสาร
เปน็ ผลส ดุ ท้ายของพ รหมจ รรย์”
๓๖๘ 368
๑๐.พ ระพุทธโอวาทก อ่ นปรินิพพาน
“อ านนท์ภกิ ษุส งฆ์จ กั ยังหวังอะไรในเราอ กี เลา่ ธรรมเราไดแ้ สดง
แลว้ ไมข่ าดระยะไมม่ อี กี น อกจากท แี่ สดงแ ลว้ ไมม่ กี ำม อื ในธ รรม(ค อื ธ รรม
ที่ยังก ำไว้ไม่เปิดเผย)...อานนท์ บดั นีเ้ ราแ ก่เฒ่าเป็นผ ใู้ หญ่ล่วงก าลผ า่ น
วยั น านโดยล ำดบั ว ยั ข องเราเปน็ ม าได้ ๘ ๐ป แี ลว้ อ านนท์ ก ายข องต ถาคต
คร่ำคร่าแล้ว เปรียบเหมือนเกวียนคร่ำคร่าที่เขาซ่อมแซมปะทะปะทัง
ไว้ด้วยไม้ใผ”่
“ภ กิ ษทุ ง้ั ห ลายธ รรมเหลา่ ใดท เี่ ราแ สดงแ ลว้ ด ว้ ยป ญั ญาอ นั ย ง่ิ ธ รรม
เหล่าน ้ันพ วกเธอพ งึ เรยี นเอาใหด้ ี พ งึ เสพให้ท่ัวพ ึงเจรญิ ท ำให้มากโดย
อาการท พี่ รหมจ รรย์(คอื ศาสนา)น้จี ักมัน่ คงต ้ังอ ยูไ่ ด้ตลอดก าลนาน”
“อ านนท์ต ถาคตบ อกแ ลว้ ม ใิ ชห่ รอื วา่ ส ตั วจ์ ะต อ้ งพ ลดั พ รากจ ากข อง
รกั ข องช อบใจท ง้ั ส น้ิ ส ตั วจ์ ะไดต้ ามป รารถนาในส งั ขารน แ้ี ตท่ ไี่ หนเลา่ ข อ้ ท ี่
สัตว์จะหวงั เอาสิง่ ทเ่ี กดิ แ ล้วเป็นแล้วมปี ัจจยั ปรงุ แ ตง่ แ ลว้ มกี ารแตกดบั
เป็นธรรมดา ว่าส่ิงนี้อย่าฉิบหาย ดังนี้ ย่อมไม่เป็นฐานะท่ีมีได้เป็นได้”
“อ านนท์ อยา่ ร ้องไห้ไปเลยทกุ ๆ ส ่งิ ซง่ึ ม คี วามเกิดไดเ้ ปน็ ธ รรมดา
กย็ อ่ มม คี วามด บั ไดเ้ ปน็ ธ รรมดาจ งพ จิ ารณาต วั เองส งั ขารท งั้ ห ลายไมเ่ ทยี่ ง
ดงั นัน้ จ งย ังตนใหถ้ ึงพรอ้ มด้วยความไมป่ ระมาทเถดิ ”
“ธรรมและวินัยที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่ท่านทั้งหลาย
ธรรมและวนิ ยั น้ันจะเป็นศาสดาของท ่านท้งั หลายเมือ่ เราล่วงล บั ไป”
“ภกิ ษทุ ้ังหลายบัดน้ีเราจกั เตอื นท่านทง้ั หลายว า่ สงั ขารท ้ังหลาย
369 ๓๖๙
มีความเส่ือมเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน
ใหถ้ ึงพรอ้ มด้วยความไม่ประมาทเถดิ ”
“พอ”
370
ภาคผ นวก
372
373 ๓๗๓
คาถาบ ชู าพ ระ
นะโมพุทธายะพ ระพทุ ธะ ไตรร ตั นะญาณ
มณีนพร ัตน์ ส สี ะห ัสสะส ธุ ัมม า
พ ทุ โธธ มั โมสงั โฆยะธาพทุ โมนะ
พุทธะบ ชู าธมั มะบ ชู าสังฆะบชู า
อ ัคคที านังวะรังค นั ธงั
ส ีวลี จะมหาเถรัง
อะหงั วันทาม ิท รู ะ โต
อะหงั วนั ทามิธาตุโย
อ ะหงั วันทาม ิส พั พะโส
พุทธะ ธมั มะสงั ฆะปูเชมิ
374
พระพุทธเจ้าปางผจญมาร
(ภาพเขียนโดยจิตรกรท่านหนงึ่ เมอื่ ราว พ.ศ. ๒๔๗๐)
375 ๓๗๕
คำสมาทานพ ระกรรมฐาน
บทบ ชู าพ ระ
นะโมต สั สะภะคะวะโตอ ะระหะโตสมั มาส มั พทุ ธัส สะ
(๓จบ)
พทุ ธังชวี ติ งั เมป เู ชมิ
ธัมมงั ชวี ติ ังเมปเู ชมิ
สังฆังช ีวติ ังเมป เู ชม ิ
ก ราบพ ระ๖ ครั้ง
พทุ ธังว ันทาม ิ
ธมั มงั ว ันทาม ิ
สงั ฆังว นั ทาม ิ
อปุ ัชฌายอ์ าจารยิ ค ณุ งัว นั ทามิ (ชาย)
คณุ ครบู าอ าจารย์ ว ันทาม ิ (หญงิ )
มาตาป ิตุคณุ งัว ันทาม ิ
พระไตรสิกขาคุณังว ันทาม ิ
สมาทานศ ีล๕
นะโมต สั ส ะภ ะคะวะโตอะระห ะโตสมั มาส มั พุทธสั สะ
(๓จบ)
๓๗๖ 376
•พ ทุ ธงัส รณังค จั ฉามิ
ธัมมงั ส รณงั ค จั ฉาม ิ
สงั ฆงัสรณงัคจั ฉามิ
•ท ุต ิยัมปิ พทุ ธังสรณังค ัจฉามิ
ทุตยิ ัมปิธ มั มังสรณังค ัจฉาม ิ
ทุต ิยัมปิสงั ฆงั ส รณังค ัจฉาม ิ
•ต ะตยิ ัมปิ พุทธังส รณงัค ัจฉามิ
ตะตยิ ัมปิ ธ มั มังส รณงั ค ัจฉามิ
ตะติยัมปิส ังฆงัสรณงั ค จั ฉาม ิ
ป าณาต ิปาต าเวระ ม ะณี ส ิกขาปะทังส ะม าทิย ามิ
อทินนาทานาเวระ มะณี ส กิ ขาปะท ังสะม าทิยาม ิ
ก าเมสมุ ิจฉาจาราเวระ ม ะณี ส กิ ขาปะท ังส ะมาทยิ าม ิ
ม ุสาวาท าเวระม ะณีส กิ ขาป ะทังสะมาทิยามิ
สุร าเมรยะม ัชช ะป ะม าทัฏฐานาเวระมะณีส ิกขาปะท งั
สะมาทิยามิ
อ ิมาน ิ ป ัญจะ สิกขาป ะทานิ สะมาทิยาม ิ(๓คร้ัง)
สีเลนะส คุ ะต งิ ย นั ติส ีเลนะโภคะสัมปะทา
สเี ลนะ น พิ พ ตุ ตงิ ย นั ต ิต ัสม าสลี ังว ิโสธะเย
๓๗๗
คำอ าราธนาพระ
พุทธังอาร าธะนังกะโรมิ
ธมั มงั อ าร าธะนงั ก ะโรมิ
สังฆงั อาราธะนัง กะโรมิ
นอ มระลึกถงึ หลวงปูทวด แลววา
นะโม โพธิสัตโต อาคนั ตมิ ายะ อติ ภิ ะคะวา ( ๓ ครง้ั )
นอมระลกึ ถึงหลวงพอ ดู โดยวาคาถาดังน้ี
นะโม พรหมปญ โญ ( ๓ ครง้ั )
คำอนุโมทนาบุญทผ่ี ูอน่ื กระทำไวด แี ลว
สทั ธา ทานัง อนุโมทามิ ( ๓ ครง้ั )
คำขอขมาพระรัตนตรัย
โยโทโส โมหะจติ เต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา
ขะมะถะเม กะตงั โทสัง สัพพะปาปง วนิ สั สนั ตุ
โยโทโส โมหะจิตเต นะธมั มสั มิง ปาปะกะโต มะยา
ขะมะถะเม กะตงั โทสัง สพั พะปาปง วินัสสนั ตุ
โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมงิ ปาปะกะโต มะยา
ขะมะถะเม กะตงั โทสงั สัพพะปาปง วินสั สันตุ
๓๗๘
คำอธษิ ฐานแผเมตตา
ใหต งั้ ใจเจริญพรหมวหิ าร ๔ แลวกลาวคำอธิษฐานวา
“พทุ ธงั อนนั ตงั
ธมั มงั จักรวาลงั
สงั ฆงั นิพพานะ ปจจะโยโหตุ ”
ค ำอธิษฐานพระเข้าต ัว
สัพเพพทุ ธา สพั เพธมั มา สัพเพสังฆา
พะลปั ปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พะลงั
อะระหนั ตานญั จะ เตเชนะ รักขงั พันธามิ สัพพะโส
พุทธงั อธิษฐาม ิ
ธมั มัง อธษิ ฐาม ิ
สงั ฆงั อธษิ ฐามิ ฯ.