The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

339 ๓๓๙

๑​ ๕๑​

​การต​ ั้งจ​ ิต​



​ ใน​ฐานะ​ที่​ลูก​ศิษย์​ของ​หลวง​ปู่​คือ​ผู้​ที่มา​ฝึกหัด​ปฏิบัติ​กรรม​ฐาน​ ​
ดัง​น้นั ​ใ​น​การต​ ั้งจ​ ติ ​ไ​ม​ว่ ่า​จะเ​ปน็ การจ​ บ​ของ​ทำบุญ​ ​ หรือก​ ารอ​ ธษิ ฐาน​
ต่าง​ๆ​ ​หลวง​ปู่​จะ​ให้​ต้ัง​จิต​ให้​สว่าง​เสีย​ก่อน​ ​ การ​ต้ัง​จิต​ให้​สว่าง​ทุก​คร้ัง​​
เป็น​ท้ัง​อุบาย​สร้าง​ความ​ชำนาญ​ใน​การ​ทำกรรม​ฐาน ​ ​และ​ยัง​ช่วย​ให้​กา​ร
อธษิ ​ฐาน​สมั ​ฤทธ​์ิผลอย​ า่ ง​เตม็ ท​ ี่อ​ ีกด​ ว้ ย​
​ พูด​ถึง​ตรง​นี้​ ​ อาจ​มคี​ ำถาม​ว่า​รู​้ไดอ้​ ย่างไรว​ า่ ​ “​ ​สว่าง​”​ การ​เหน็ ​
แสง​สว่าง​หรือ​การเ​หน็ ​นมิ ิต​ใด​ๆ​​น้นั ​​ครูบา​อาจารย์​ทา่ นใ​หเ้​ริ่ม​สร้างค​ วาม​
ชำนาญ​จาก​ ​“​การ​เห็น​โดย​ความ​รู้สึก​”​ ​เสีย​ก่อน​ ​เม่ือ​จิต​ละเอียด​ขึ้น​ก็​
จะ​พฒั นา​สกู่​ าร​เหน็ ​ท่ี​เรียก​ว่าเ​ห็น​นมิ ติ อ​ กี ช​ ้ัน​หน่งึ ​
​อัน​ท่ี​จริง​ ​หาก​เป็นการ​อธิษฐาน​บาง​กรณี​ ​เช่น​ ​ให้​แคล้วคลาด​
ปลอดภยั ​​หลวงป​ ่​จู ะใ​หอ้​ ธิษฐานต​ อน​ที​ต่ งั้ ​จิตใ​หเ​้ ปน็ ส​ มาธ​ิ ​ โดยม​ ​ปี ตี เ​ิ ปน็ ​
สง่ิ บ​ อก​ ​เปน็ ตน้ ว​ า่ ​ ค​ วามส​ วา่ ง ​ข​ นลกุ ท​ ว่ั ต​ วั ​ เ​บาก​ ายเ​บาใจ​ น​ ำ้ ต​ าไ​หลฯ​ ​
แล้ว​จึง​ค่อย​ตั้ง​เจตนา​อธิษฐาน​ออก​ไป ​ ​ท่าน​ว่า​อธิษฐาน​บน​จิต​ที่​มี​สมาธ ิ​
จะ​ม​ีผล​มากก​ วา่ ​ ​เพราะท​ ำด​ ว้ ย​จติ ​ที่​มี​กำลงั ​ ​ ยงิ่ ​หาก​ต้องการ​แผ่เ​มตตา​
ด้วย​แล้ว​ ​ยิ่ง​จำเป็น​ต้อง​ตั้ง​จิต​ให้​สว่าง​ ​เพราะ​นี่​เหมือน​กับ​การ​หาเงิน ​

๓๔๐ 340

มา​ให้​มาก​พอ​ก่อน​ที่​จะ​ใช้​จ่าย​เงิน​ออก​ไป​ ​หาก​ไม่มี​เงิน​แล้ว​จะ​เอา​เงิน​
ทไ่ี หน​ไป​ใช้​
​ การแ​ ผบ​่ ญุ ​ ใ​นท​ างจ​ ติ ภ​ าวนา​ ก​ ค​็ อื ก​ ารแ​ ผแ​่ สงส​ วา่ งอ​ อกไ​ปพ​ รอ้ มๆ​ ​
กับ​กระแส​แห่ง​ความ​ปรารถนา​ดี​ที่​ต้องการ​ให้​สรรพ​ชีวิตปราศ​จากทุกข์​
และ​มีค​ วาม​สขุ ​ยิ่งๆ​ ​​ขึ้นไ​ป​
​ หากเ​ราฝ​ กึ ​ต้งั จ​ ิตใ​หส​้ ว่างห​ รือ​ใหเ้​กดิ ป​ ีต​อิ ยา่ ง​ใดอ​ ยา่ ง​หน่ึง​บอ่ ยๆ​ ​ก​็
เท่ากับ​ว่า​เรา​กำลัง​สร้าง​ความ​ชำนาญ​ใน​การ​เข้า​สมาธิ​ ​หลวง​ปู่​ท่าน​แบ่ง​
ข้นั ​ความ​ชำนาญ​ใน​การท​ ำกรรม​ฐาน​ไว​้ ​๔ ​ ข​ ้นั ​ ​คือ ​​รู้​​เห็น​ ​เป็น​ ไ​ด้​
และเพื่อความชัดเจน จึงขออนุญาตขยาย​ความ​จากความ​เห็น​ส่วน​ตัว​
เพ่ิมเติม ดังน้ี ​
​ ร​ู้ ​ ค​ ือ​ร​ ้​ูโดยค​ วามร​ ู้สึก​เ​ชน่ ​ ม​ ​ีอะไร​ อ​ ยู่ต​ รงไ​หน ​ ​แตย่​ ังไ​ม่
ถ​ ึง​ขนั้ ก​ าร​เหน็ ​
​เหน็ ​​ ​คือ​​การ​เห็นด​ ว้ ยต​ า​ใจ​ ร​ ับร​ ​ู้รับ​ทราบด​ ้วยญ​ าณ​ทศั นะ​
​เปน็ ​​ ​คอื ​ ค​ รบ​ท้ังร​ ู้แ​ ละเ​หน็ ​ ​มี​ความ​ชำนาญ​ในก​ ารก​ ำหนดจ​ ติ ​ให​ ้
เป็นส​ มาธ​ิได​ด้ ัง่ ​ใจ​
​ได​้ ​ ค​ อื ​ผ​ ล​การป​ ฏิบตั ขิ​ นั้ ส​ ดุ ทา้ ย​ท​ ไ่ี​ม​ต่ ้อง​ตัง้ ท​ า่ ​ห​ รอื ​ใชค​้ วาม ​
พยายาม​ในก​ ารร​ วม​จติ ​​ทำ​สมาธิ​อกี ​
​ ทงั้ หมดน​ ​ี้ ต​ อ้ งไ​มล​่ มื ว​ า่ ​เ​ปา้ ห​ มายส​ ดุ ทา้ ยม​ ใิ ชจ​่ บท​ ต​่ี วั ส​ มาธท​ิ ม​ี่ ค​ี วาม​
ชำนิ​ชำนาญ​อย่าง​ยิ่ง ​ ​หาก​แต่​อยู่​ท่ี​การนำ​อานิสงส์​แห่ง​จิต​ท่ี​มี​สมาธิ​ไป​ใช้​
เจรญิ ป​ ญั ญา ​ เ​พราะจ​ ติ ท​ เ​ี่ ปน็ ส​ มาธ ​ิ ย​ อ่ มเ​ปน็ จ​ ติ ท​ อ​ี่ อ่ นโ​ยน ​ ค​ วรแ​ กก​่ ารง​าน​

341 ๓๔๑

จะน​ อ้ มไ​ปพ​ จิ ารณาเ​รอ่ื งใ​ด​ก​ แ​็ จม่ แ​ จง้ โ​ดยต​ ลอด​ด​ งั ท​ ห​ี่ ลวงป​ ท​ู่ า่ นเ​นน้ ม​ าก​
ใน​เร่ือง​ของ​การ​พิจารณา​ทุก​อย่าง​เพื่อ​ให้​เกิด​ความ​ชัดเจน​ใน​สภาวะ​แห่ง​
อนจิ ​จงั ​​ทุกข​ ัง​​และ​อนัตตา​​

​“​พอ”​




๓๔๒ 342 ​๑๕๒​

​ ​ผลข​ องก​ าร​ปฏบิ ตั ​ิ

​ การ​ปฏิบัติ​กรรม​ฐาน​ตาม​ที่​หลวง​ปู่​สอน​นั้น​ ​ท่าน​ได้​ให้​ข้อ​สังเกต​
ถงึ ค​ วามก​ ้าวหนา้ ​โดย​แบง่ ​ไว​เ้ ป็น​๓​ ​ข​ ั้น ​ ​คอื ​ ​ถงึ ​ เ​ปน็ ​ ไ​ด​้ ​หรอื บ​ างค​ ร้ัง ​
ท่าน​เรียก​ว่า ​ ​ตรี​ ​โท​ เ​อก​​ซง่ึ ​ม​คี วามห​ มาย ​​ดงั นี​้
​ ถงึ ​ ​คือ​​จิตเ​ข้าถ​ ึง​ธรรม​​จิตเ​หน็ ค​ ุณ​ของ​พระ​ไต​รสร​ ณาค​ มน์​​
ซ่งึ ​เป็นเ​หต​ุจาก​ภายนอก​
​ เป็น​​ ​คอื ​จ​ ิตเ​ป็นธ​ รรม​​จติ น​ ้อมไ​ป​ตาม​อรยิ ​มรรค​ซ​ งึ่ เ​ป็นเ​หตุ​
จากภ​ ายใน​ตน​
ไ​ด​้ ​ ค​ อื ​​จติ ​ได​้ธรรม​​จติ ​ไดร​้ ับ​อริยผล​อ​ นั ​เกดิ ​จากก​ าร​ปฏิบัต​ิ
ตาม​อรยิ ม​ รรค​
​ ผภ​ู้ าวนาท​ อ​่ี ยใ​ู่ นร​ ะดบั ท​ ท​่ี า่ นเ​รยี กว​ า่ ​ “​ ถ​ งึ ”​ ​​นนั้ ​ ห​ ากท​ ำจ​ ติ ใ​หเ​้ ปน็ ​
สมาธ ิ ​จ​ ะร​ไ​ู้ ดถ​้ งึ ค​ วามส​ วา่ งใ​นต​ น​​พดู ง​า่ ยๆ​ค​ อื ​ ห​ ากน​ ง่ั ส​ มาธใ​ิ นห​ อ้ งพ​ ระ​
หรอื ​ทใ​่ี ดๆ ​ ​ก็ตาม ​ ​ท​่ีปิดไ​ฟ​ให้ม​ ืด​ แ​ ม​ผ้ น้​ู น้ั ห​ ลบั ตาอ​ ย​ู่ ​ก​จ็ ะเ​ห็นแ​ สง​สว่าง​
ปรากฏ​อย​ู่เบื้อง​หน้าห​ รอื ​รอบก​ าย​น่นั เอง​​
​ หาก​ผู้​นั้น​หม่ัน​เจริญ​ภาวนา​เป็น​ประจำ​ ​ จิต​จะ​ยก​ระดับ​จาก​การ​
เข้าถ​ งึ ​​เปลีย่ นแปลงเ​ปน็ ธ​ รรม​ ซ​ ึ่งค​ วาม​สว่างท​ ​่เี กิดใ​น​ตนก​ จ็​ ะม​ ีเ​พมิ่ ข​ ึ้น​

343 ๓๔๓

เป็น​ลำดับ​ ​ใน​ขั้น​น้ี​ ​ผู้​ภาวนา​สามารถ​อุทิศ​บุญ​กุศล​ไป​ยัง​ผู้​อ่ืน​ได้​ทั้งผู้​ที่​
ลว่ งล​ บั ไ​ปแ​ ลว้ ​หรอื ผ​ ท​ู้ ย​่ี งั ม​ ช​ี วี ติ อ​ ย ​ู่ โ​ดยบ​ ญุ ก​ ศุ ลอ​ นั เ​กดิ จ​ ากจ​ ติ ท​ เ​ี่ ปน็ ธ​ รรม​
เปรียบเ​สมอื นท​ รพั ยท​์ ่​ีสามารถเ​ผอ่ื ​แผ​ไ่ ป​ยัง​ผอ​ู้ ืน่ ​ได้​
ส​ ดุ ทา้ ยแ​ ลว้ ​ผ​ ภ​ู้ าวนาม​ ค​ี วามเ​พยี รป​ ฏบิ ตั อ​ิ ยา่ งต​ อ่ เ​นอื่ งต​ ามแ​ นวทาง​
มรรค​ทงั้ ​แปด​จ​ าก​จติ ท​ ่ี​เปน็ ​ธรรม​ก็จ​ ะก​ ลายเ​ป็น​จ​ ติ ไ​ดธ​้ รรม​และ​เข้าถ​ ึง​
​ผล​อัน​เป็น​ท่ีสุด​แห่ง​ทุกข์​โดย​ลำดับ​ซ่ึง​ผู้​ภาวนา​จะ​รู้​เห็น​เป็น​พยาน​
ได​้ดว้ ย​ตนเองใ​นท​ ีส่ ดุ ​


๓๔๔ 344 ๑​ ๕๓​

​ กำลัง​ใจ​

​ เคยบ​ า้ งไ​หมท​ เ​่ี ราไ​ดอ​้ าศยั ห​ ลวงป​ เ​ู่ ปน็ ก​ ำลงั ใ​จใ​หช​้ วี ติ น​ นั้ ม​ ช​ี วี าข​ นึ้ ม​ า​
​ ศ​ ษิ ยบ​์ างค​ นเ​มอื่ ป​ ระสบท​ กุ ข​์ ​ไมร่ จ​ู้ ะห​ าท​ างออกท​ างไ​หน ​ บางค​ รงั้ ​
ถงึ ข​ นาดน​ งั่ ร​อ้ งไหอ​้ ยค​ู่ นเ​ดยี ว ​ พ​ ลนั น​ กึ ถงึ ห​ ลวงป​ ​ู่ ต​ ห​ี นงึ่ ต​ ส​ี องเ​อาซ​ ด​ี ห​ี ลวง​
ปู​่ให้พ​ รม​ าเ​ปดิ ​ ​นั่ง​พนมม​ อื ​รบั ​พรอ​ ย​คู่ นเ​ดียว ​ ​ป​ตี ิเกิดจ​ นน​ ้ำตาร​ ่วง​ค​ วาม​
ทกุ ข์ท​ ี่​แบก​ไว​ใ้ นใ​จ​บรรเทา​เบาบาง​ลง​ฉบั พ​ ลนั ​
​ ​ศิษย์​บาง​คน​ประสบ​เหตุ​อันตราย ​ ​เรือ​บรรทุก​น้ำมัน​ท่ี​ตน​กำลัง​
ปฏิบัติ​หน้าท่ี​ดูแล​อยู่​เกิด​เพลิง​ไหม้​ ​ แต่​ทำไม​เรือ​ไม่​ยอม​ไหม้​ทั้ง​ๆ​ ​ที่​ราว​
เหล็ก​ร้อน​จน​เป็น​สี​แดง​ ​ดับ​ไฟ​แล้ว​ก็​ยัง​ไม่รู้​ว่า​น้ำมัน​ร่ัว​ที่​ตรง​ไหน​ ​ ต้ัง​
สติ​​เอาห​ ลวงป​ ู่​เปน็ ก​ ำลังใ​จ​​ระลึกถ​ งึ ​หลวงป​ ู​่ ​ท่านก​ ็น​ ิมติ ด​ ลใจใ​ห​้รว​ู้ า่ ​มี​
รู​ร่ัว​เท่า​รู​เข็ม​อยู่​ตรง​ตำแหน่ง​ท่ี​ใคร​ๆ​ ​ยาก​จะ​คาด​เดา​ได้​ ​น่ี​ถ้า​ไม่ใช่​บารมี​
หลวง​ป่แู​ ลว้ ​จะร​ อดพน้ ม​ า​ได้​อย่างไร​
​ ​ศิษย์​บาง​คน​ต้อง​ไป​ปฏิบัติ​หน้าที่​ลาด​ตระเวน​ภูเขา​ใกล้​บริเวณ​ท่ี​
ในหลวง​จะ​เสด็จ​ที่​จังหวัด​ชายแดน​ทาง​ใต้​ ​ โดน​ผู้​ก่อการ​ร้าย​กระ​หน่ำ​ยิง​
กร​็ อดม​ าไ​ดเ​้ พราะบ​ ารมท​ี ห​่ี ลวงป​ เ​ู่ มตตาค​ รอบว​ มิ านแ​ กว้ ใ​ห ​้ ร​วมท​ งั้ ต​ ะก​ รด​ุ ​
​ทท​ี่ ่าน​มอบ​ให้​กอ่ นเ​ดิน​ทาง ​ ท​ ำใหม้​ ี​กำลัง​ใจ​ปฏบิ ัติห​ น้าท​ต่ี ่อ​ไป​

345 ๓๔๕

​ ​ศิษย์​มือ​ใหม่​บาง​คน​ลอง​ไป​ปฏิบัติ​ใน​ป่า​ตาม​ลำพัง​ ​กลัว​ก็​กลัว​ ​
แต่​หลวง​ปู่ก​ ็ตามไปใ​ห้​กำลงั ใ​จ​ และ​ความอ​ บอุ่น​ผ่าน​เสยี งจ​ ้ิงจกท​ ด​ี่ งั ​ต้ัง​แต​่
หวั คำ่ ย​ ันร​ ุ่ง​
​ ​บาง​คน​ตาม​เพื่อน​ไป​กราบ​หุ่น​ข้ี​ผึ้ง​หลวง​ปู่​ ​ก็​อธิษฐาน​เลิก​เหล้า​
ขึ้น​มา​เอง​ ​ถาม​ว่า​ทำไม​ทำได้​ ​ เขา​บอก​ว่า​พอก​ราบ​หลวง​ปู่​แล้ว ​ ​ก็​เกิด ​
อยาก​เป็น​คน​ดี​ ​เลย​อธิษฐาน​ต่อ​หน้า​หุ่น​ข้ี​ผึ้ง​หลวง​ปู่​ว่า​จะ​ละ​เลิก​สิ่ง​ไม่​ดี​​
กลบั ไ​ป​บ้านภ​ รรยาแ​ ละล​ ูก​ๆ​​พาก​ ันด​ ีใจเ​ป็นการใ​หญ​่
​ ​หลาย​ๆ​ ​คน​ ​มี​ทุกข์​ที่​ตน​คิด​ว่า​เท่า​ช้าง​ ​พอได้​เห็น​ใบหน้า​หลวง​ปู่​​
หลวง​ป่รู​ นิ น​ ำ้ ช​ า​ใหด​้ ืม่ ​​ทกุ ข์​น้นั ​ก​พ็ ลันล​ ด​ขนาดล​ งเ​หลือเ​ทา่ ​มด​
​ ​จะบัน​ทึก​เร่ือง​ราว​อย่างไร​ๆ​ ​ก็​ไม่รู้​จบ​ส้ิน​ ​เพราะ​หลวง​ปู่​ท่าน​เป็น​
ดุจพ​ อ่ ​ ​ดุจแ​ ม่​​ดจุ ​ครอู​ าจารย​์ ​ทา่ น​คือ​“​ ​พระผ​ ้จ​ู ุด​ประทีปใ​นด​ วงใจ​”​

​“พ​ อ​”



๓๔๖ 346 ๑​ ๕๔​

​ เดนิ ต​ ามใ​นหลวง​

ใ​นม​ หาม​ งคลท​ ่ีใ​นหลวงท​ รง​ครองส​ ิริร​ าชส​ มบัตค​ิ รบ ​ ๖​ ๐​​ป​ี ​เม่ือ​
วนั ​ที่​​๙​ม​ ถิ ุนายน​พ.ศ. ​๒๕๔๙​
​ พระองค์​ท่าน​ได้​เสด็จ​ออก​มหา​สมาคม​ทรง​รับ​การ​ถวาย​พระพร​
ชัยมงคล​ ​ณ​ ​สีห​บัญชร​ ​พระที่น่ัง​อนันต​สมาคม​ ​คน​ไทย​ต่าง​พร้อมใจ​กัน​
เ​ปลง่ เ​สยี ง​“​ ท​ รงพ​ ระเ​จรญิ ”​ ​อ​ ยา่ งก​ กึ ก​ อ้ ง​เ​ปน็ ภ​ าพท​ ป​ี่ ระทบั ใ​จ​และก​ อ่ ใ​ห​้
เกดิ ​ความต​ ้นื ต​ นั ​ใจ​จน​หลาย​คนอ​ ดก​ ลั้น​นำ้ ตาไ​วไ​้ ม่​อยู​่ ​
​ ภาพ​ท่ี​พระองค์​ทรง​โบก​พระหัตถ์​กับ​เหล่า​พสก​นิกร​ ​ยัง​ตรา​ตรึง​
อยใ​ู่ นห​ วั ใจข​ องค​ นไ​ทยท​ งั้ ช​ าต​ิ หากแ​ ตพ​่ ระร​าชด​ ำรสั ท​ ท​ี่ า่ นพ​ ระราชทานใ​น​
วนั ​น้นั ​​หลาย​คน​อาจลืม​เลอื นไ​ปจ​ งึ ​ขอ​นำ​มา​รวม​ไว​้เป็น​เป็นเ​ครือ่ งเ​ตือน​ใจ​
​ดงั ​ความต​ อน​หนึ่งวา่ ​.​..​​
“..​.​นำ้ ใจไ​มตรข​ี องป​ ระชาชนช​ าวไ​ทยท​ ร​่ี ว่ มก​ นั แ​ สดงออกท​ ว่ั ป​ ระเทศ​
รวมท​ ง้ั ท​ พ​ี่ รอ้ มเ​พรยี งก​ นั ม​ าใ​นว​ นั น​ ​้ี น​ า่ ป​ ลาบปลมื้ ใ​จม​ าก ​ เ​พราะแ​ ตล่ ะค​ น​
​ได้​แสดงออก​และ​ต้ังใจ​มา​ด้วย​ความ​หวัง​ดี​จาก​ใจ​จริง​ ​จึง​ขอ​ขอบ​ใจ​
ทุก​ๆ​ค​ น​
จ​ ติ ใจท​ เ​ี่ ปย่ี มด​ ว้ ยค​ วามป​ รารถนาด​ ​ี และค​ วามเ​ปน็ อ​ นั ห​ นงึ่ อ​ นั เ​ดยี ว​
กัน​ของ​ทุก​คน​ทุก​ฝ่าย​นี้​ ​ ทำให้​ข้าพเจ้า​เห็น​แล้ว​มี​กำลัง​ใจ​มาก​ข้ึน​ ​นึกถึง​

347 ๓๔๗

คณุ ธ​ รรมซ​ งึ่ เ​ปน็ ท​ ต​่ี ง้ั ข​ องค​ วามร​กั ​ค​ วามส​ ามคั คท​ี ท​ี่ ำใหค​้ นไ​ทยเ​ราส​ ามารถ​
รว่ มม​ อื ร​ ว่ มใจก​ นั ร​ กั ษาแ​ ละพ​ ฒั นาช​ าตบ​ิ า้ นเ​มอื งใ​หเ​้ จรญิ ร​ งุ่ เรอื งส​ บื ต​ อ่ ก​ นั ​
ไป​ไดต​้ ลอดร​ อดฝ​ ั่ง
​ประการ​แรก​ ​คือ​ ​การ​ที่​ทุก​คน​คิด​ ​พูด​ ​ทำ​ ​ด้วย​ความ​เมตตา​
ม่งุ ​ดี​ม​ ุ่งเ​จริญต​ อ่ ​กนั ​
​ ประการ​ท่ี​สอง​ ​คือ​ ​การ​ท่ี​แต่ละ​คน​ต่าง​ช่วย​เหลือ​เกื้อกูล​กัน ​ ​
ประสานง​าน ​ ป​ ระสานป​ ระโยชนก​์ นั ใ​หง​้ านท​ ท​ี่ ำส​ ำเรจ็ ผ​ ล​ท​ ง้ั แ​ กต​่ นแ​ กผ​่ อ​ู้ นื่ ​
​และ​แก​่ประเทศ​ชาติ​
​ ประการ​ที่​สาม​ ​คือ​ ​การ​ที่​ทุก​คน​ประพฤติ​ปฏิบัติ​ตน​อยู่​ใน​ความ​
สจุ ริต​​ในก​ ฎ​กตกิ า​และ​ใน​ระเบยี บ​​แบบแผน​​โดยเ​ทา่ เ​ทียมเ​สมอ​กนั ​​
ป​ ระการท​ ส​ี่ ​่ี ​คอื ​ ก​ ารท​ ต​ี่ า่ งค​ นต​ า่ งพ​ ยายามท​ ำความค​ ดิ ​ ค​ วามเ​หน็ ​
ของต​ นใ​หถ​้ กู ต​ อ้ ง ​ เ​ทยี่ งต​ รงแ​ ละม​ นั่ คงอ​ ยใ​ู่ นเ​หตใ​ุ นผ​ ล​ ห​ ากค​ วามค​ ดิ ​จ​ ติ ใจ​
และค​ วามป​ ระพฤตป​ิ ฏบิ ตั ท​ิ ล​ี่ งร​อยเ​ดยี วกนั ใ​นท​ างท​ ด​่ี ท​ี เ​่ี จรญิ น​ ​ี้ ​ยงั ม​ พ​ี รอ้ ม​
​อยู่​ใน​กาย​ใน​ใจ​ของ​คน​ไทย​ ​ ก็​มั่นใจ​ได้​ว่า​ประเทศ​ชาติ​ไทย​จะ​ดำรง​มั่นคง​
อย​ู่ตลอด​ไปไ​ด​้
​จึง​ขอ​ให้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ใน​มหา​สมาคม​นี้​ ​ ทั้ง​ประชาชน​ชาว​ไทย​
ทกุ ห​ มเ​ู่ หลา่ ​ ไ​ดร​้ กั ษาจ​ ติ ใจแ​ ละค​ ณุ ธ​ รรมน​ ไ​ี้ วใ​้ หเ​้ หนยี วแ​ นน่ ​ แ​ ละถ​ า่ ยทอด​
ความค​ ดิ จ​ ติ ใจน​ ก​้ี นั ต​ อ่ ไ​ปอ​ ยา่ ใ​หข​้ าดส​ าย ​ เ​พอื่ ใ​หป​้ ระเทศช​ าตข​ิ องเ​ราด​ ำรง​
ยืนยง​อย​ู่ด้วย​ความร​ ่มเยน็ ​เปน็ สุข​​ทง้ั ใ​นป​ จั จบุ ัน​และ​ใน​ภายห​ นา้ ​
ข​ ออ​ ำนาจค​ ณุ พ​ ระศ​ รร​ี ตั นตรยั แ​ ละส​ ง่ิ ศ​ กั ดส​ิ์ ทิ ธใ​ิ์ นส​ ากล​ จ​ งค​ มุ้ ครอง​

๓๔๘ 348

รักษา​ประเทศ​ชาติ​ไทย​ให้​ปลอด​พ้น​จาก​ภัย​อันตราย​ทุก​ส่ิง​ ​และ​อำนวย​
ความส​ ขุ ​​ความ​เจริญ​​สวัสดี​ให้​เกิดม​ แ​ี ก่ป​ ระชาชนช​ าว​ไทยท​ ัว่ ​กัน​

​ หลวง​ป่ด​ู ู่​ได​เ้ คย​เมตตาส​ อนศ​ ษิ ย์​ไว​ว้ ่า​.​..​​
“ให้​ดใู​นหลวงเ​ปน็ ​แบบอ​ ยา่ ง​
​ใหเ้​ดินต​ าม​ทท่​ี ่าน​สอน​
​ เดนิ ​ตามร​ อยท​ า่ น​​
ท​ ่านท​ ำ​ไวเ​้ ยอะ​ต​ รองด​ ใ​ู ห้​ด​เี ถอะ​
​มี​เป็น​ร้อย​เปน็ ​พนั ​
​ เรอื่ ง​ดีด​ ท​ี ั้งน​ น้ั ​..​.​​”
​​

349 ๓๔๙

๑๕๕​

รบู​้ ้าง​ไหม ?​​

​​​

​ มใ​ี ครร​บ​ู้ า้ งไ​หมว​า่ ​ใ​นข​ ณะท​ ม​่ี ผ​ี คู้ นม​ าถ​ วายป​ จั จยั ส​ งั ฆทานแ​ กห​่ ลวงป​ ​ู่
จำนวนนบั ห​ มนื่ บ​ าทใ​นแ​ ตล่ ะว​นั ​พ​ อถ​ งึ ต​ อนเ​ยน็ ท​ า่ นก​ จ​็ ะใ​หล​้ กู ศ​ ษิ ยร​์ วบรวม​
​ไป​ถวาย​เจา้ ​อาวาส​ทงั้ หมด​​ไม่​เกบ็ ​ไว้เ​ปน็ ​สมบัต​ิส่วนต​ ัวเ​ลย​​
​ มใ​ี ครร​บ​ู้ า้ งไ​หม​ว​า่ ย​ ามบ​ า่ ยๆ​ท​ ป​่ี ลอดผ​ คู้ น​ห​ ลวงป​ จ​ู่ ะเ​ดนิ เ​กบ็ ห​ นงั ย​ าง​
ท​ ห​่ี ลน่ อ​ ยต​ู่ ามพ​ น้ื ข​ น้ึ ม​ าแ​ ขวนร​ วมไ​วท​้ ต​่ี ะปข​ู า้ งก​ ฏุ เ​ิ พอื่ ใ​หโ​้ ยมท​ มี่ าว​ ดั ไ​ดน​้ ำ​
ไปใ​ชก้​ ัน​
​ ​ ​มีใ​คร​ร​้บู า้ งไ​หมว​ ่า​ห​ ลวง​ปส​ู่ รง​นำ้ โ​ดย​ไม่ใ​ช​ส้ บ​่เู ลย​​
​ มี​ใคร​ร้​บู า้ ง​ไหม​วา่ ​ห​ ลวง​ปไู่​ม่​เปลี่ยนอ​ ัฏฐ​บรขิ ารง​า่ ยๆ​ท​ ง้ั ​ๆ​​ทม่​ี ี​คน​
มาถ​ วายข​ องใ​หมใ​่ หใ​้ ชอ​้ ยเ​ู่ สม​ อๆ​บ​ างค​ รงั้ เ​ปน็ ข​ องใช​้ เ​ชน่ ​อ​ าส​ นะน​ มุ่ ๆ​ ​ท​ า่ น​
กจ​็ ะเ​อาม​ าน​ งั่ ฉ​ ลองใ​หผ​้ ถ​ู้ วายอ​ ม่ิ ใจ​ห​ ลงั จ​ ากน​ นั้ ไ​มก​่ ว​่ี นั ท​ า่ นก​ จ​็ ะเ​อาไ​ปร​วม​
เปน็ ข​ องส​ งฆเ​์ พอ่ื ร​ อก​ ารจ​ ดั สรรต​ อ่ ​แ​ ลว้ ท​ า่ นก​ ก​็ ลบั ม​ าน​ งั่ บ​ นก​ ระด​ านแ​ ขง็ ๆ​
อกี ​ตามเ​ดิม​
​ ​ ม​ ใ​ี ครร​บ​ู้ า้ งไ​หมว​ า่ ​ห​ ลวงป​ ฉ​ู่ นั ม​ อ้ื ห​ นงึ่ ๆ​ ​เ​พยี งไ​มก​่ ค​ี่ ำ​ท​ า่ นฉ​ นั ม​ อื้ เ​พล​
ก​็เพียง​เพ่อื จ​ ะส​ งเคราะห์ค​ นท​ อ​ี่ ย​ไู่ กล​ๆ​​ทีม่ าไ​ม่ทนั ​ตอนเ​ชา้ ​​ให​ไ้ ด​้มีโ​อกาส​
ทำบญุ ​

๓๕๐ 350

​ ​ มใ​ี ครร​บ​ู้ า้ งไ​หมว​ า่ ​ท​ นี่ อนจ​ ำวดั ข​ องห​ ลวงป​ น​ู่ นั้ เ​ลก็ ข​ นาดแ​ ทบไ​มม่ ท​ี ​่ี
พลกิ ต​ วั ​​แถมท​ า่ นย​ งั ​เมตตา​อนญุ าต​ให้​ศษิ ย์ใ​ช​ห้ ้องจ​ ำวดั ข​ อง​ท่าน​เป็นท​ น​่ี ั่ง​
ปฏบิ ตั ​ิกรรม​ฐาน​ใน​สมยั ท​ ีว​่ ดั ยงั ​ไมม่ ีส​ ถานท​ ี​น่ ่งั ภ​ าวนา​
​ มใ​ี คร​ร​ู้บ้าง​ไหม​วา่ ท​ ่าน​พยายาม​​สอนด​ ้วยก​ าร​ทำให​้ด​ู ​


​“พ​ อ​”​



351 ๓๕๑

​๑๕๖​

ความ​เห็น​กับ​ความ​จรงิ ​

​ ครูบา​อาจารย์​โดย​มาก​มัก​ต้อง​พบ​กับ​ญาติโยม​ท่ี​รู้มาก​ ​ดัง​เช่น​
​หลวง​พ่อ​ชา​ ​ท่ี​มี​โยม​ที่​ศึกษา​ธรรมะ​มา​มาก​ ​โดย​เฉพาะ​อย่าง​ย่ิง​อภิ​ธรรม​
มา​เทศน์​ให้​ท่าน​ฟัง​อยู่​เป็น​ชั่วโมง​ๆ​ ​ท่าน​ก็​น่ัง​ฟัง​เฉย​อยู่​ ​จน​พระ​อุปัฏฐาก​
รู้สึก​หงุดหงิด​ใจ​ ​ใน​ตอน​ท้าย​ท่าน​พูด​เพียง​แค่​ ​“​การ​จะ​ศึกษา​ราก​แก้ว​นั้น​​
ไม​่จำเป็นต​ ้องเ​สียเ​วลา​มา​น่ังน​ ับร​ ากฝอยก​ ็ได้”​ ​
​ข้าพเจ้า​ก็​เป็น​อีก​คน​หนึ่ง​ท่ี​เข้าหา​ครูบา​อาจารย์​อย่าง​คน​ที่​คิด​ว่า​
รู้มาก​เ​พราะ​อา่ น​มา​มาก​​ฟังม​ า​มาก​​แลว้ ​เลยเ​ผลอ​คิดไ​ป​ว่า​​นัน่ ค​ ือ​ความ​รู้​
จริง​​ท้งั ท​ ี่​จรงิ แ​ ล้ว​ค​ วามร​ ู​น้ ั้น​เปน็ เ​พียง​ความร​ ้​ูจำ​​เพราะ​อะไร​? เ​พราะเมอ่ื ​
เจอส​ งิ่ ก​ ระทบแ​ ลว้ ใ​จเ​ราย​ งั ห​ วนั่ ไ​หว​ต​ าก​ ระทบร​ปู ​ห​ ก​ู ระทบเ​สยี ง​ฯ​ ลฯ​แ​ ลว้ ​
ยัง​เกดิ ค​ วามย​ ินดี​ยินร​ า้ ย​จ​ ติ ใจย​ งั ​อรอ่ ย​และส​ นุกก​ ับก​ าร​ปรุงแ​ ต่ง​
​ การ​ปฏิบัติ​น้ัน​มี​ข้ัน​มี​ตอน​ของ​มัน​ ​ไม่มีคำว่า “ทางลัด”​ ​แต่​คน​
ปัจจุบนั ​จะเ​อา​โลก​ไป​ใส่​ธรรม​น​ กั ป​ ฏบิ ัตพ​ิ ยายาม​จะห​ า​ทางล​ ัด​เ​พราะต​ ิด​
นิสัย​โลก​ๆ​ ไ​ม่​วา่ อ​ าหาร​จาน​ดว่ น​ ถ​ ่ายร​ ปู ​ด่วน​ ​เงินสด​ทนั ใจ​ ​ฯลฯ​ ​พอ​ไป​
อ่าน​หรือ​ฟัง​เร่ือง​ราว​ของ​ผู้​บรรลุ​ง่าย​ๆ​ ก็จะเอาอย่าง จับแต่ตอนปลาย​
โดย​มิได้​ศึกษา​ต่อว่า​เบื้อง​หลัง​ของ​ท่าน​เหล่า​น้ัน​มี​ความ​เป็น​มา​อย่างไร ?​​

๓๕๒ 352

ความพ​ ากเพยี รช​ นิด​ภาวนาใ​ห้ต​ าย​กัน​ไปข​ า้ งห​ นงึ่ ​ก​็ไมเ่​คยร​ ับ​ทราบ​จ​ ะ​มา​
จับย​ อดเ​ลย​​หลวงป​ ​่ดู ​ู่เคยใ​ห้​โอวาท​กับข​ า้ พเจ้า​ว่า​​“เ​บือ้ ง​ต้น​ก​ ็​จะข​ ึ้นย​ อด​
ตาล​​มหี​ วงั ต​ กลง​มาต​ าย​​หรอื ​แขง้ ข​ าห​ ักเ​ทา่ นั้น”​ ​
​ บาง​คน​พูด​ใน​สิ่ง​ที่​ถูก​ ​แต่​มัน​ก็​ผิด​ตรง​ที่​ไม่​ถูก​จังหวะ​หรือ​ขั้น​ตอน​
ของ​การ​ปฏิบัติ​ ​เช่น​พูด​ว่า​ ​“​ทุก​อย่าง​สำคัญ​ที่​ใจ​ ​เรา​จะ​ปฏิบัติ​ที่ไหน​ก็ได้​
ไมจ​่ ำเปน็ ต​ อ้ งไ​ปป​ ฏบิ ตั ท​ิ ว​ี่ ดั ห​ รอก”​ ​ล​ กู ศ​ ษิ ยห​์ ลวงป​ ค​ู่ นห​ นงึ่ ร​ สู้ กึ ล​ งั เลใ​จว​ า่ ​
คำพ​ ดู น​ ถ​ี้ กู ห​ รอื ไ​ม​่ ม​ ากร​าบเ​รยี นถ​ วายห​ ลวงป​ ​ู่ ห​ ลวงป​ จ​ู่ งึ ใ​หไ​้ ปน​ งั่ ก​ รรมฐ​ าน​
​อยใู​่ น​ท​่ที ่​ที า่ นจ​ ดั ไ​ว​้ พ​ อศ​ ิษย์ค​ นน​ น้ั ​เดนิ อ​ อกม​ า​​ท่าน​ถามว​ า่ เ​ปน็ ​อยา่ งไร ?​​
​เขา​ก​เ็ รยี นท​ ่านว​ า่ “เ​ขา้ ใจ​แลว้ ค​ ะ่ ​ ​ไมเ​่ หมือนก​ ัน​จริงๆ​ ​” ​ท่าน​ก​็ย้ิม​เป็นเ​ชงิ ​
รับรอง​
​ บางค​ นไ​มจ​่ ดั ข​ ้าวข​ องใ​ห​้สะอาด​เรียบรอ้ ย​ใ​คร​ถามก​ ็​วา่ ​ทกุ อ​ ย่าง​มนั ​
อนิจจ​ งั ​​(​ใชศ้​ พั ท​พ์ ระ​ด้วย​นะ)​​​จดั แ​ ล้ว​เดีย๋ วม​ นั ​กร็​ ก​อกี ​​พระองค​์หนง่ึ ​ทา่ น​
เลยบ​ อกโ​ยมว​ า่ ​“​ โ​ยม.​.​ท​ หี ลงั ก​ นิ ข​ า้ วแ​ ลว้ ไ​มต​่ อ้ งล​ า้ งจ​ านน​ ะ​ใ​หเ​้ อาจ​ านเ​กา่ ​
​มา​ใช้​กิน​ข้าว​อีก​ ​เพราะ​ล้าง​แล้ว​เดี๋ยว​มัน​ก็​เลอะ​อีก​”​ ​ทำเอา​โยม​คน​น้ัน​
หน้า​บ้งึ ​ไมพ​่ ดู ​ไม​่จา​
บ​ างค​ นบ​ อกว​ า่ ไ​มต​่ อ้ งไ​ปป​ ฏบิ ตั ก​ิ รรมฐ​ านน​ ง่ั ห​ ลบั ตาห​ รอื เ​ดนิ จ​ งกรม​
ก็ได้​ด​ ูจ​ ติ อ​ ยา่ งเ​ดยี วก​ ​็พอ​เ​พราะ​“​ ​นัก​ปฏิบัต​ติ ้อง​ทำให​้ได​้ในท​ กุ อ​ ริ ยิ าบถ​​
โดย​เฉพาะ​กิจกรรมตา่ งๆ ในชีวิต​ประจำว​ ัน”​ ​​ซึง่ ค​ ำพ​ ดู ​ดัง​กล่าวจ​ ดั ว​ า่ เ​ปน็ ​
คำพ​ ดู ท​ ถ​ี่ กู ​​แ​ ตจ​่ ะถ​ กู ต​ อ้ งย​ ง่ิ ข​ นึ้ ควรพ​ ดู ว​ า่ ​“​ ใ​นย​ ามท​ ป​ี่ ลอดภ​ ารกจิ ก​ ารง​าน​
​ต่าง​ๆ​ ​นัก​ปฏิบัติ​ควร​ฝึกหัด​กรรม​ฐาน​ ​น่ัง​สมาธิ​ ​เดิน​จงกรม​ ​เพราะ​จะ​

353 ๓๕๓

เป็นการ​ฝึก​จิต​ได้​อย่าง​เต็ม​เม็ด​เต็ม​หน่วย​ ​เมื่อ​เสร็จ​จาก​การ​นั่ง​กรรม​ฐาน​
หรือ​เดนิ จ​ งกรม​ไ​ปท​ ำก​ ิจ​อนั ​ใดก​ ​ใ็ ห​้เฝ้าด​ ูก​ าย​ดใู จไ​ปใ​ห​้ได้​ทงั้ ​วัน”​​
กล่าว​คือ​ท่าน​สอน​ให้​ทำ​ทั้ง​สอง​อย่าง​ตาม​กาล​อัน​เหมาะ​สม​ ​มิใช่​
จะ​ให้​เลือก​ทำ​อย่าง​ใด​อย่าง​หน่ึง​เพียง​อย่าง​เดียว​ ​เพราะ​มัน​จะ​ไม่​สมบูรณ์​
เช่น​นี้​แล้ว​จึง​เรียก​ว่า เป็นการ​ปรารภ​ความ​เพียร​ท่ี​อุปมา​เหมือน​การ​สี​ไม​ ้
ใหต​้ ่อ​เนอ่ื งก​ ระทง่ั เ​กิด​ไฟ​


“​ พ​ อ”​ ​

๓๕๔ 354

๑​ ๕๗​

ปาฏิหาริย​์เหนอื ​ปาฏหิ าริย​์ ​

​ เป็น​เรื่อง​ปรกติ​ธรรมดา​ท่ี​อาจ​มี​บาง​ท่าน​ท่ี​เร่ิม​สนใจ​​หรือ​มี​ศรัทธา​
ในหลวง​ปู่ครู​บา​อาจารย์​ทั้ง​หลาย​จาก​เร่ือง​ราว​ปาฏิหาริย์​หรือ​วัตถุ​มงคล​
ต่างๆ​ แต่​ปัจจัยเครื่อง​อาศัย​ก็ยังคงเป็นปัจจัยเคร่ือง​อาศัยหรือเคร่ืองมือ​
เทา่ นั้น​ม​ ใิ ช่เ​ป้า​หมาย​เ​ปรยี บเหมือน​เปน็ ​บนั ได​ให​เ้ ราก​ า้ วไ​ปส​ สู่​ ิ่ง​ทส​่ี ูงก​ ว่า​
มิ​เชน่ น​ ั้นต​ ัวบันไดก็จ​ ะก​ ลบั ​เป็นต​ วั อ​ ปุ สรรคเ​สียเ​อง​
ม​ ใ​ี ครค​ ดิ พ​ จิ ารณาบ​ า้ งว​ า่ ค​ นท​ ม​่ี ฤ​ี ทธใ​์ิ นย​ คุ ป​ จั จบุ นั ​จ​ ะมใ​ี ครท​ เ​ี่ หาะไ​ด​้
อย่าง​พระ​เทว​ทัต​ผู้​สำเร็จ​อภิญญา​ ​๕​ ​กระท่ัง​พระ​เจ้า​อชา​ต​ศัตรู​มี​ศรัทธา​
ยอมเ​ชอื่ ฟ​ งั ใ​หไ​้ ปท​ ำป​ ติ ฆ​ุ าต​ฆ​ า่ ไ​ดแ​้ มก​้ ระทง่ั พ​ อ่ บ​ งั เกดิ เ​กลา้ ​ด​ เ​ู อาเ​ถดิ ​ผ​ ม​ู้ ฤ​ี ทธ​์ิ
มากมายถ​ งึ เ​พยี ง​น้ัน​ก​็ยงั ​เหาะไ​ม​่พน้ น​ รก​เลย​​
​ เคยม​ ค​ี รบู าอ​ าจารยท​์ า่ นห​ นงึ่ ก​ ลา่ วไ​วอ​้ ยา่ งน​ า่ ป​ ระทบั ใ​จว​ า่ ​“​ อ​ าตมา​
ไม่​เห็น​ว่า​ผู้​ที่​เหาะ​เหิน​เดิน​อากาศ​ได้​ ​จะ​น่าอัศจรรย์​ย่ิง​ไป​กว่า​คน​ธรรมดา​
ผเ​ู้ ดนิ ด​ ินอ​ ย่าง​ม​สี ต​”ิ ​
​​ ค​ นท​ ไ​ี่ ปป​ ฏบิ ตั ก​ิ บั ห​ ลวงป​ ใ​ู่ นช​ ว่ งท​ ท​่ี า่ นย​ งั ม​ ช​ี วี ติ อ​ ย​ู่ ย​ อ่ มจ​ ะร​บั ท​ ราบ​
ได้​ใน​ข้อ​น้ี​ ​ไม่​ว่า​จะ​ชอบ​เรื่อง​ราว​ปาฏิหาริย์​หรือ​ความ​ศักดิ์​สิทธ์ิ​ของ​วัตถุ​
มงคล​ต่างๆ​ ​มาก​เพียง​ไร ​หลวง​ปู่​ก็​จะ​ปรับ​เข้าหา​การ​ปฏิบัติ​ธรรม​ท้ัง​ส้ิน​​

355 ๓๕๕

โ​ดยเ​ฉพาะอ​ ยา่ งย​ ง่ิ ก​ ารห​ าพ​ ระเ​กา่ พ​ ระแ​ ทใ​้ นต​ วั เ​อง​เ​พอ่ื ก​ ารท​ ำใหภ​้ พช​ าต​ิ
ส้นั เ​ขา้ ย​ ิ่งน​ ่า​อศั จรรยก​์ ว่า​
​​ ​มา​ใน​สมัย​ท่ี​หลวง​ปู่​ละ​สังขาร​แล้ว​ ​อาจ​ไม่มี​ผู้​บอก​กล่าว​เล่า​ขาน​
ให้ทราบถงึ ​ปฏิปทา​ของ​หลวงป​ ่​ซู ง่ึ ​เปน็ พ​ ระผ​ ้​สู ง่ ​เสรมิ ก​ ารป​ ฏิบัต​ิเพื่อเ​ขา้ ​ถงึ ​
ธรรมอ​ ยา่ งแ​ ท้จริง​​หาใ​ช่​“​ พ​ ระเกจ”​ิ ​​ไม่​ขา้ พเจา้ จงึ ขอบันทกึ เรอื่ งราวนี้ไว้
เปน็ สว่ นหนงึ่ ของ “ตามรอยธรรม ยำ้ รอยครู หลวงปดู่ ู่ พรหมปญั โญ”


​“​พอ”​ ​

๓๕๖ 356

​๑๕๘​

ตามร​ อย​พระพุทธเจา้ ​​



ในต​ อนแ​ รกๆ​ ​​ทท​่ี ราบว​ า่ ห​ ลวงป​ เ​ู่ มอื่ ค​ รงั้ ท​ ท​ี่ า่ นบ​ วชใ​หมๆ​่ ​น​ น้ั ​ท​ า่ น​
สนใจศ​ กึ ษาใ​นพ​ ระพทุ ธป​ ระวตั อ​ิ ยา่ งม​ าก ​ข​ า้ พเจา้ ฟ​ งั แ​ ลว้ ก​ ย​็ งั ม​ ไิ ดร​้ สู้ กึ ใ​คร​่
ศกึ ษา​อยา่ งท​ า่ นเ​ทา่ ใด​นกั ​​เพราะ​คิดว​ ่าเ​ราห​ รือ​ใคร​ๆ ​ ก​ ็​เคย​ศกึ ษา​กนั ม​ า​
แล้ว​ใน​สมยั ​ท่เี​รยี นห​ นงั สือช​ ้นั ​ประถม​และ​มัธยม​​
แ​ ตม​่ าบ​ ดั น​้ี ​ขา้ พเจา้ ร​แ​ู้ ลว้ ว​า่ ข​ า้ พเจา้ ค​ ดิ ผ​ ดิ อ​ ยา่ งม​ าก ​ เ​พราะภ​ ายห​ ลงั ​
ท​ ไ​ี่ ดม​้ โ​ี อกาสอ​ า่ นพ​ ระพทุ ธป​ ระวตั โ​ิ ดยเ​ฉพาะอ​ ยา่ งย​ งิ่ พ​ ระพทุ ธป​ ระวตั จ​ิ าก​
พระโอษฐ​์ ​ทท​ี่ า่ นพ​ ทุ ธท​ าสภ​ กิ ขเ​ุ รยี บเ​รยี งจ​ ากพ​ ระไ​ตรป​ ฎิ กเ​ฉพาะใ​นส​ ว่ น​
ที่​เปน็ ​พระพุทธพ​ จนต​์ รัสเ​ลา่ ​ประวตั ิ​ของพ​ ระพทุ ธ​องค​์เอง​​ข​ า้ พเจ้า​ร้สู ึกว​ ่า​
เราเ​ปน็ ช​ าว​พุทธ​แท้ๆ​ ​ ​แตห​่ ลาย​เรือ่ ง​ราวใ​นพ​ ระพทุ ธ​ประวตั ก​ิ ลบั ​เปน็ เ​ร่ือง​
ทข​ี่ า้ พเจา้ ไ​มเ​่ คยไ​ดย้ นิ ไ​ดฟ​้ งั ม​ าก​ อ่ น​เ​มอื่ อ​ า่ นแ​ ลว้ ก​ ท​็ ำใหเ​้ กดิ ค​ วามเ​ลอ่ื มใ​ส​
​ศรัทธา​ใน​พระพุทธ​องค์​เป็น​อย่าง​มาก​ ​ข้าพเจ้า​จึง​ตัดสิน​ใจ​ถ่ายทอด​
บาง​เรื่อง​ราว​ใน​พระพุทธ​ประวัติ​ใน​ฐานะ​ท่ี​หลวง​ปู่​เอง​ก็​เคย​ได้​รับความ​รู้​
ความเ​ขา้ ใจใ​นห​ ลกั ธ​ รรม​ร​ วมท​ งั้ ก​ ำลงั ใ​จใ​นก​ ารป​ ฏบิ ตั ธ​ิ รรมผ​ า่ นก​ ารศ​ กึ ษา​
พระพุทธ​ประวัติ​มา​กอ่ น ​ ​ดัง​จะ​ขอ​ยกม​ า​เล่าบ​ าง​ส่วน​​ดังนี้​

357 ๓๕๗

​ ๑.​​เ​ม่อื ​ครง้ั ท​ ี่พระพทุ ธองคท​์ รงปรารภความ​เพยี ร​
​ เมอ่ื ค​ รง้ั ท​ พ​ี่ ระพทุ ธอ​ งคท​์ รงห​ นอ​ี อกจ​ ากพ​ ระราชวงั ​ม​ าบ​ ำเพญ็ เ​พยี ร​
เพอื่ แ​ สวงห​ าโ​มกข​ ธ​ รรมอ​ ยเ​ู่ พยี งล​ ำพงั ใ​นป​ า่ น​ น้ั ​​ในส​ มยั น​ น้ั ​​พระองคย​์ งั ไ​ม​่
ทราบห​ นทางอ​ นั ป​ ระเสรฐิ ค​ อื อ​ รยิ ม​ รรคม​ อ​ี งคแ​์ ปด​​พระองคท​์ รงป​ ระพฤต​ิ
อตั ต​ กล​ิ มถ​ านโ​ุ ยค ​ (​ท​ รมานต​ น)​​​จนแ​ ทบจ​ ะเ​อาช​ วี ติ ม​ าท​ ง้ิ อ​ ยใ​ู่ นป​ า่ เ​ขา​ท​ งั้ น​ี้
กเ​็ พอื่ ป​ รารถนาก​ ารบ​ รรลพ​ุ ระโ​พธญ​ิ าณเ​พอื่ จ​ ะส​ งเคราะหส​์ ตั วโ​์ ลกท​ งั้ ห​ ลาย​
ให​พ้ น้ จ​ าก​ทุกข์ค​ อื ค​ วาม​แก​่ ​ความเ​จ็บ​​และ​ความต​ าย​ ​ดังค​ ำต​ รัสเ​ล่า​ของ​
พระองค์​ว​ ่า​
​ “ส​ าร​บ​ี ตุ ร​เ​ราแ​ ลเ​ขา้ ไปส​ ช​ู่ ฏั ป​ า่ น​ า่ พ​ งึ ก​ ลวั แ​ หง่ ใ​ดแ​ หง่ ห​ นง่ึ แ​ ลว้ แ​ ลอ​ ย​ู่
เพราะ​ชัฏ​แห่ง​ป่า​น้ัน​กระทำ​ซ่ึง​ความ​กลัว​เป็น​เหตุ​ ​ผู้​ที่​มี​สันดาน​ยัง​ไม่​
ปราศจ​ ากร​าคะ​เ​ขา้ ไปส​ ช​ู่ ฏั ป​ า่ น​ น้ั แ​ ลว้ ​โ​ลมช​ าตย​ิ อ่ มช​ ช​ู นั โ​ดยม​ าก​ส​ าร​บ​ี ตุ ร​
เรา​น้ัน​ ​ใน​ราตรี​ทั้ง​หลาย​อัน​มี​ใน​ฤดู​หนาว​ระหว่าง​แปด​วัน​ ​เป็น​สมัย​ท่ี​ตก​
แห่งห​ มิ ะ​อนั ​เยอื ก​เย็น​ ก​ ลางค​ นื เ​รา​อยู่​ท​่ีกลางแ​ จ้ง​ ก​ ลาง​วนั ​เรา​อย​ู่ใน​ท่ีช​ ฏั ​
แหง่ ป​ า่ ​​ค​ รงั้ ถ​ งึ เ​ดอื นส​ ดุ ทา้ ยแ​ หง่ ฤ​ ดร​ู อ้ น​ก​ ลางว​ นั เ​ราอ​ ยใ​ู่ นท​ แ​่ี จง้ ​ก​ ลางค​ นื ​
เราอ​ ย​ู่ในป​ า่ ​​ส​ า​ร​ีบตุ ร​ค​ าถา​นา่ เ​ศร้า​น้​ี อ​ นั เ​ราไ​ม​่เคย​ฟงั ม​ าแ​ ต​ก่ อ่ น​​มาแ​ จง้ ​
แก่เ​ราว​ า่ ​
​ เราน​ น้ั แ​ หง้ ​(​ร​อ้ น)​​แ​ ลว้ ผ​ เ​ู้ ดยี ว​​เ​ปยี กแ​ ลว้ ผ​ เ​ู้ ดยี ว​​อ​ ยใ​ู่ นป​ า่ น​ า่ พ​ งึ ก​ ลวั ​
แ​ ตผ​่ เ​ู้ ดยี ว​​เ​ปน็ ผ​ ม​ู้ ก​ี ายอ​ นั เ​ปลอื ยเ​ปลา่ ​ไ​มผ​่ งิ ไ​ฟ​เ​ปน็ ม​ นุ ข​ี วนขวายแ​ สวงหา​
ความบ​ ริสุทธ์​ิ
​ สา​รี​บุตร​ ​เรา​น้ัน​นอน​ใน​ป่าช้า​ ​ทับ​กระดูก​แห่ง​ซากศพ​ทั้ง​หลาย​

๓๕๘ 358

ฝงู เ​ด็กเ​ลยี้ งโ​คเ​ข้าม​ าใ​กล้เ​รา​โ​ห่​รอ้ ง​ใส​่หูเ​รา​บ้าง​ถ​ ่ายม​ ตู ร​รด​เราบ​ ้าง​​ซัดฝ​ ุน่ ​
ใสบ​่ า้ ง​เ​อาไ​มแ​้ หลมๆ​ ​ท​ ม่ิ ช​ อ่ งห​ บ​ู า้ ง​​ส​ าร​บ​ี ตุ ร​เ​ราไ​มร่ ส​ู้ กึ ซ​ งึ่ จ​ ติ อ​ นั เ​ปน็ บ​ าป​
ต่อ​เด็ก​เล้ียง​โค​ทั้ง​หลาย​เหล่า​นั้น ​แม้​ด้วย​การ​ทำความ​คิด​นึก​ให้​เกิด​ขึ้น​​
ส​ าร​ ​บี ุตร​​นี้เ​ปน็ ว​ ัตร​ใน​การอ​ ยู่อ​ ุเบกขา​ของ​เรา​.​..​”​ ​
​ นอกจาก​น้ี​ ​ยัง​มี​ข้อ​วัตร​ใน​การ​ทรมาน​ตน​อีก​สารพัด​อย่าง​อัน​
พระองคไ​์ ดพ​้ สิ จู นแ​์ ลว้ ว​ า่ ค​ งไ​มม่ ใ​ี ครท​ ำไดอ​้ ยา่ งพ​ ระองคอ​์ กี แ​ ลว้ ​โ​ดยเ​ฉพาะ​
อย่าง​ยิ่ง​การ​ผ่อน​อาหาร​จน​กระทั่ง​พระ​สรีระ​ของ​พระองค์​เส่ือมโทรม​ลง​
อย่างม​ าก​​ดงั ​ที่​พระองค์​ตรสั เ​ล่าว​ า่ ​
​“​.​.​.​สา​รี​บุตร​ ​กลอน​แห่ง​ศาลา​ท่ี​คร่ำ​คร่า​เกะกะ​ ​มี​สัณฐาน​เช่น​ไร​​
ซ่ีโครง​ของ​เรา​ก็​เกะกะ​มี​สัณฐาน​เช่น​นั้น​ ​เพราะ​ความ​เป็น​ผู้​มี​อาหาร​น้อย​​
ดวงดาว​ที่​ปรากฏ​ใน​น้ำ​ใน​บ่อน้ำ​อัน​ลึก​ ​ปรากฏ​อยู่​ลึก​ฉันใด​ ​ดวงดาว​คือ​
ลูก​ตา​ของ​เรา​ ​ปรากฏ​อยู่​ลึก​ใน​เบ้าตา​ฉัน​นั้น​ ​น้ำ​เต้า​ที่​เขา​ตัด​แต่​ยัง​อ่อน​​
ครั้น​ถูก​ลม​และ​แดด​ ​ย่อม​เห่ียว​ยู่ย่ี​ ​มี​สัณฐาน​เช่น​ไร​ ​หนัง​ศีรษะ​แห่ง​เรา​ก็​
เหี่ยว​ยู่​มี​สัณฐาน​เช่น​นั้น​ ​สา​รี​บุตร​ ​เรา​ต้ังใจ​ว่า​จะ​ลูบ​ท้อง​ก็​ลูบ​ถูก​กระดูก​
สนั ​หลังด​ ว้ ย​​ต้งั ใจ​วา่ จ​ ะ​ลูบ​กระดูก​สนั ​หลงั ​ก​็ลูบถ​ กู ​ทอ้ ง​ดว้ ย​​​สาร​ ​บี ตุ ร​ห​ นงั ​
ทอ้ งก​ บั ก​ ระดกู ส​ นั ห​ ลงั ข​ องเ​ราช​ ดิ ก​ นั ส​ นทิ ​เ​พราะค​ วามเ​ปน็ ผ​ ม​ู้ อ​ี าหารน​ อ้ ย​
​สา​รี​บุตร​ ​เรา​คิด​ว่า​จัก​ถ่าย​อุจจาระ​ปัสสาวะ​ก็​ล้ม​พับ​อยู่​ตรง​น้ัน​
สา​รี​บุตร​ ​เรา​ ​เมื่อ​จะ​บรรเทา​ซึ่ง​กาย​น้ัน​ให้​มี​ความ​สุข​บ้าง​ ​จึง​ลูบตัว​ด้วย​
ฝา่ มอื ​เ​มอื่ เ​ราล​ บู ตวั ด​ ว้ ยฝ​ า่ มอื ​ข​ นท​ ม​่ี ร​ี ากเ​นา่ แ​ ลว้ ไ​ดห​้ ลดุ อ​ อกจ​ ากก​ ายร​ว่ ง​
ไป​เ​พราะ​ความ​เปน็ ผ​ ู​ม้ อี​ าหาร​น้อย”​ ​

359 ๓๕๙

​ ๒​.​ท​ รง​ทำลาย​ความข​ ลาด​กอ่ นต​ รัสรู​้
​ คนเ​รา​โดยม​ ากเ​มอ่ื ค​ วามข​ ลาดก​ ลัว​เกดิ ข​ ้ึน​ ​ก​ม็ กั ​จะแ​ ก้​ดว้ ยก​ าร​หน​ี ​
ผล​ก็​คือ​ความ​ขลาด​กลัว​จะ​ยัง​คง​อยู่​ใน​จิตใจ​ตลอด​ไป​ ​เพราะ​ความ​ขลาด​
กลวั น​ นั้ อ​ ยท​ู่ ใ​่ี จเ​จา้ ของ​ม​ ไิ ดอ​้ ยท​ู่ ส​ี่ ถานท​ ​ี่ ส​ ว่ นพ​ ระพทุ ธอ​ งคท​์ า่ นท​ รงแ​ กจ​้ ติ ​
ตนเอง​โดย​การต​ อ่ ส​ู้ในท​ ุก​อริ ยิ าบถ​ด​ งั ​ท่คี​ ำต​ รสั ​เล่าว​ า่ ​
​ “​พราหมณ์​ ​ครั้ง​ก่อน​แต่​การ​ตรัสรู้​ ​เม่ือ​เรา​ยัง​ไม่​ได้​ตรัสรู้​ ​ยัง​เป็น​
โพธิ​สัตว์​อยู่​ ​มี​ความ​รู้สึก​ว่า​ ​เสนา​สนะ​อัน​สงัด​คือ​ป่า​และ​ป่า​เปล่ียว​ ​เป็น​
เสนาส​ นะย​ ากท​ จ​ี่ ะเ​สพ​ได​้ ​ความส​ งัด​ยากท​ ่​ีจะท​ ำได้​ ​ยาก​ที​่จะ​ยนิ ด​ีในก​ าร​
อยู่​ผู้​เดียว​ ​ป่า​ทั้ง​หลาย​เป็น​ประ​หน่ึง​ว่า​นำ​เรา​ไป​เสีย​แล้ว​ซ่ึง​ใจ​แห่ง​ภิกษุ​
ผู​้ยงั ​ไม่ไ​ดส้​ มาธ​ิ
​ ..​.​พ​ ราหมณ​์ เ​มอื่ เ​ราอ​ ยใ​ู่ นเ​สนาส​ นะเ​ชน่ น​ น้ั ​ส​ ตั วป​์ า่ แ​ อบเ​ขา้ ม​ า​ห​ รอื ​
ว่า​นก​ยูง​ทำก​ ิ่ง​ไม​้แห้ง​ให​้ตกลงม​ า​​หรือว​ า่ ​ลมพ​ ัด​หย​ ากเ​ย่อื ​ใบไม​ใ้ ห​้ตกลงม​ า​
ความ​ตกใจ​กลัว​ได้​เกิด​แก่​เรา​ว่า​ ​น่ัน​ความ​กลัว​และ​ความ​ขลาด​มา​หา​เรา​
เปน็ แ​ น​่ ค​ วามค​ ดิ คน้ ไ​ดม​้ แ​ี กเ​่ ราว​ า่ ​ท​ ำไมห​ นอ​เ​ราจ​ งึ เ​ปน็ ผ​ พ​ู้ ะวงแ​ ตใ​่ นค​ วาม​
หวาดก​ ลวั ​ถ​ า้ อ​ ยา่ งไร​เ​ราจ​ ะห​ กั ห​ า้ มค​ วามข​ ลาดก​ ลวั น​ นั้ ๆ​ ​เ​สยี ​โ​ดยอ​ ริ ยิ าบถ​
ทคี​่ วามข​ ลาด​กลัวน​ น้ั ​ๆ​​มาส​ ู่เ​รา​
​ พราหมณ์​ ​เมื่อ​เรา​จงกรม​อยู่​ ​ความ​กลัว​เกิด​มี​มา​ ​เรา​ก็​ขืน​จงกรม​
แ​ ก​้ความ​ขลาดน​ ้ัน​​ตลอด​เวลา​นั้น​​เรา​ไมย​่ นื ​ไ​มน่​ ่ัง​​ไม่​นอน​​​
​ เม่ือ​เรา​ยืน​อยู่​ ​ความ​กลัว​เกิด​มี​มา​ ​เรา​ก็​ขืน​ยืน​แก้​ความ​ขลาด​นั้น​​
ตลอดเ​วลาน​ น้ั ​​เรา​ไมจ่​ งกรม​​ไม​น่ ่งั ​ไ​ม​น่ อน​​

๓๖๐ 360

​ เม่ือ​เรา​น่ัง​อยู่​ ​ความ​กลัว​เกิด​มี​มา​ ​เรา​ก็​ขืน​นั่ง​แก้​ความ​ขลาด​นั้น​​
ตลอด​เวลา​นน้ั ​​เรา​ไม่​จงกรม​ไ​มย่​ นื ​​ไม่​นอน​
​ เมอ่ื เ​ราน​ อนอ​ ย​ู่ ค​ วามข​ ลาดเ​กดิ ม​ ม​ี า​เ​ราก​ ข​็ นื น​ อนแ​ กค​้ วามข​ ลาดน​ นั้ ​
ต​ ลอดเ​วลา​นัน้ ​เ​ราไ​มจ่​ งกรม​​ไมย​่ นื ​​ไมน่​ ่งั เ​ลย”​ ​
​๓.​​​สขุ ท​ ​ีส่ ัตว์​โลก​ควรก​ ลวั ​​และ​ไม่​ควร​กลวั ​
​เป็น​เร่ือง​ท่ี​น่า​ขบคิด​พิจารณา​ว่า​ ​ทั้ง​ๆ​ ​ที่​ส่ิง​สำคัญ​ยิ่ง​ท่ี​ทุก​ชีวิต​
ตอ้ งการน​ น้ั ก​ ค​็ อื ค​ วามส​ ขุ ​แ​ ตค​่ นเ​ราโ​ดยม​ ากก​ ลบั ไ​มค​่ อ่ ยไ​ดข​้ วนขวายศ​ กึ ษา​
ใหเ​้ ขา้ ใจใ​นเ​รอ่ื งค​ วามส​ ขุ ​โ​ดยเ​ฉพาะอ​ ยา่ งย​ งิ่ ก​ ารส​ รา้ งค​ วามส​ ามารถใ​นก​ าร​
มค​ี วาม​สุข​ ​ขา้ พเจ้าเ​คย​ได้ยินค​ น​เข้าว​ ดั ​จำนวน​ไม​่นอ้ ย​กลา่ วว​ า่ ​ “​ ร​ ะวงั น​ ะ​​
หาก​ไปน​ ัง่ ส​ มาธแิ​ ล้วจ​ ะต​ ดิ ​สขุ ​​บ้างก​ ​็ใหร้​ ะวัง​จะ​ไปต​ ิด​นิมติ ​​เช่น​​แสงส​ วา่ ง​
เป็นตน้ ​”​ซ​ ่ึงใ​น​เร่ือง​น้​ี ​หลวง​ปู่​กเ​็ คยใ​ห้โ​อวาทว​ า่ ​“​ ​ให้ท​ ำ​ไป​เถอะ​ม​ ​ีให​้ตดิ ​
ยัง​ดีก​ ว่า​ไมม่ ีใ​หต​้ ดิ ​”​​​
​ใน​ฐานะ​ที่​เรา​ได้​ช่ือ​ว่า​เป็น​พุทธ​ศา​สนิก​ชน​ ​จึง​น่า​จะ​ลอง​ฟัง​
พระพุทธเจ้า​ว่า​พระองค์​ทรง​วินิจฉัย​เร่ือง​ความ​สุข​ไว้​อย่างไร​ ​จาก​คำ​ตรัส​
ของ​พระองค์​ทว​ี่ า่ ​
“​ ​บุคคล​ควร​รู้จกั ​การว​ นิ ิจฉัย​ใน​ความส​ ุข​เ​มือ่ ​รูจ้ ักก​ ารว​ ินจิ ฉัย​ความ​
สุข​แล้ว​ ​ควร​ประกอบ​ความ​สุข​ชนิด​ที่​เป็น​ภายใน​ ​ข้อ​นั้น​เรา​กล่าว​เพราะ​
อาศยั เ​หตผุ ลอ​ ะไรเ​ลา่ ​ภ​ กิ ษท​ุ ง้ั ห​ ลาย​ก​ ามคณุ ม​ ห​ี า้ อ​ ยา่ งเ​หลา่ น​ ​ี้ ห​ า้ อ​ ยา่ งน​ นั้ ​
อ​ ะไรเ​ลา่ ​ห​ า้ อ​ ยา่ งค​ อื ​ร​ ปู ท​ เ​ี่ หน็ ด​ ว้ ยต​ า​เ​สยี งท​ ฟ​่ี งั ด​ ว้ ยห​ ​ู ก​ ลน่ิ ท​ ด​ี่ มด​ ว้ ยจ​ มกู ​
รส​ท่ี​ลิ้ม​ด้วย​ลิ้น​ ​และ​โผฏฐัพพะ​ท่ี​สัมผัส​ด้วย​กาย​ ​เป็น​ส่ิง​ที่​น่า​ปรารถนา​

361 ๓๖๑

น่า​รัก​ใคร่​ ​น่า​พอใจ​ ​เป็น​สิ่ง​ท่ี​ยวน​ตาย​วน​ใจ​ให้​รัก​ ​เป็น​ที่​เข้าไป​ตั้ง​อาศัย​
ซ่ึงค​ วาม​ใคร​่ เ​ป็น​ท​่ตี ้งั ​แหง่ ​ความ​กำหนดั ​ย้อมใจ​ภ​ ิกษ​ทุ ้ัง​หลาย​ส​ ขุ โ​สมนสั ​
อัน​ใด​เกิด​ข้ึน​เพราะ​อาศัย​กามคุณ​ห้า​เหล่า​น้ี​ ​สุข​โสมนัส​นั้น​เรา​เรียก​ว่า​
กามส​ ขุ ​อ​ นั เ​ปน็ ข​ องป​ ถุ ชุ น​เ​ปน็ สขุ ท​ างเ​มถนุ ​ไ​มใ่ ชส​่ ขุ อ​ นั ป​ ระเสรฐิ ​เ​ราก​ ลา่ ว​
วา่ ส​ ุข​นน้ั บ​ ุคคลไ​มค​่ วร​เสพ​​ไมค่​ วร​เจริญ​ไ​มค่​ วรท​ ำให​้มาก​​ควร​กลัว​
​ ภิกษุ​ท้ัง​หลาย​ ​ภิกษุ​ใน​ธรรม​วินัย​นี้​ ​เข้า​ถึง​ปฐมฌาน​.​.​.​ทุติย​ฌาน​.​.​.​
ตตยิ ฌ​ าน.​.​.​จ​ ตตุ ถฌ​ าน.​.​.​แ​ ลว้ แ​ ลอ​ ย​ู่ น​ เ​ี้ ราเ​รยี กว​ า่ ส​ ขุ อ​ าศยั เ​นกขมั ม​ ะ​(​ค​ วาม​
หลีก​ออก​จาก​กาม​)​ ​เป็นสุข​เกิด​แต่​ความ​สงัด​เงียบ​ ​สุข​เกิด​แต่​ความ​เข้าไป​
สงบ​รำงับ​ ​สุข​เกิด​แต่​ความ​รู้​พร้อม​ ​เรา​กล่าว​ว่า​สุข​น้ัน​ ​บุคคล​ควร​เสพ​ให​้
ทัว่ ถ​ ึง​ค​ วร​ทำให้​เจริญ​ค​ วรท​ ำให​้มาก​​ไม่​ควร​กลวั ”​ ​
​ จึง​เป็น​อันว่า​การ​ที่​หลวง​ปู่​สอน​ให้​ลูก​ศิษย์​หม่ัน​น่ัง​สมาธิ​ภาวนา​น้ัน​​
สอดคล้อง​กับ​พระพุทธ​ดำรัส​ข้าง​ต้น​ ​ทั้งนี้​ ​ก็​เพื่อ​จะ​พัฒนา​ความ​สามารถ​
​ใน​การ​มี​ความ​สุข​จาก​สุข​แบบ​เสี่ยง​ๆ​ ​กล่าว​คือ​ความ​สุข​ที่​ต้อง​ข้ึน​กับ​วัตถุ​
หรือ​สิ่ง​เสพ​ภายนอก​ ​มา​เป็นสุข​ภายใน​หรือ​สุข​จาก​สมาธิ​ ​ซ่ึง​เป็นสุข​
ชนิด​ท่ี​ไม่​ขึ้น​กับ​วัตถุ​หรือ​ส่ิง​เสพ​ภายนอก​ ​เพ่ือ​ให้​จิตใจ​ของ​เรา​มี​ความ​อ่ิม​
ความพ​ อ​ไ​มโ​่ หยห​ าอ​ ารมณห​์ รอื ส​ ง่ิ เ​สพ​ก​ อ่ นจ​ ะพ​ ฒั นาค​ วามส​ ขุ ใ​หป​้ ระณตี ​
ยิง่ ข​ นึ้ ​ไป​ส​ู่บรม​สุข​คือ​สุข​จากก​ าร​ท​่ีไม่ม​กี เิ ลสม​ าเ​สยี ดแ​ ทงจ​ ติ ใจ​​
​ อย่างไร​ก็​ดี​ ​เน่ือง​ด้วย​มนุษย์​เรา​เสพ​คุ้น​กับ​ความ​สุข​ใน​กามคุณ​
​มา​เน่ิน​นาน​ ​พอ​จะ​พัฒนา​ไป​สู่​ความ​สุข​ท่ี​ประณีต​ข้ึน​ ​บ่อย​ครั้ง​จิต​นั้น​ก็​
อด​ไม่​ได้ที่​จะ​กลับ​ไป​หาความ​สุข​อย่าง​เก่า​ ​ซ่ึง​กรณี​เช่น​น้ี​ก็​เคย​เกิด​ขึ้น​แล้ว​

๓๖๒ 362

กับ​พระพุทธ​องค์​ ​แต่​ใน​ที่สุด​พระองค์​ก็​ทราบ​ชัด​ใน​สาเหตุ​ของ​ปัญหา​น้ัน​​
ดงั ​ท​ีไ่ ดต​้ รัสเ​ล่า​ไว้​วา่ ​
​​ “​อานนท์​ ​ครั้ง​ก่อน​แต่​การ​ตรัสรู้​ ​เมื่อ​เรา​ยัง​ไม่​ได้​ตรัสรู้​ ​ยัง​เป็น​
​โพธิ​สัตว์​อยู่​ ​ความ​รู้​ได้​เกิด​ขึ้น​แก่​เรา​ว่า​ ​เนกขัม​มะ​ ​(​ความ​หลีก​ออก​จาก​
ก​ าม​)​​เปน็ ​ทาง​แห่ง​ความส​ ำเร็จ​ป​ ริ​เวก​(​ค​ วาม​อยู​่สงัดจ​ ากก​ าม)​​​เป็น​ทาง​
แห่ง​ความส​ ำเรจ็ ​ด​ งั น​้ี แ​ ต​แ่ มก้​ ระนนั้ ​​จิตข​ องเ​รา​กย็​ ัง​ไมแ​่ ลน่ ​ไป​​ไม่​เล่ือม​ใส​
ไม​่ตัง้ ​อย​ู่ได้​​ไมห​่ ลุดอ​ อก​ไปใ​น​เนกขมั ม​ ะ​ท​ ั้ง​ทเ่​ี รา​เหน็ ​อย่​ูว่า​นัน่ ​สงบ​
​ อานนท์​ค​ วาม​คิดไ​ด้​เกดิ ​ขนึ้ แ​ กเ่​ราส​ บื ไปว​ ่า​อ​ ะไรห​ นอเ​ปน็ เ​หต​ุเปน็ ​
ปัจจัย​ที่​ทำให้​จิต​ของ​เรา​เป็น​เช่น​นั้น​ ​อานนท์​ ​ความ​รู้สึก​ได้​เกิด​ขึ้น​แก่​เรา​
วา่ ​​เพราะ​ว่าโ​ทษใ​นก​ าม​ทั้ง​หลาย​เปน็ ​สง่ิ ท​ ี่​เราย​ ังม​ องไ​มเ​่ หน็ ​​ยัง​ไม​่ได้น​ ำม​ า​
ทำการค​ ดิ น​ กึ ใ​หม​้ าก​แ​ ละท​ งั้ อ​ านสิ งสแ​์ หง่ ก​ ารอ​ อกจ​ ากก​ าม​เ​ราก​ ย​็ งั ไ​มเ​่ คย​
ไดร​้ ับเ​ลย​ย​ ังไ​มเ​่ คยร​ ​รู้ ส​เลย​​จติ ข​ อง​เรา​จึง​เปน็ ​เชน่ น​ ัน้ ”​ ​
​ อานิสงส์​แห่ง​สมาธิ​นั้น​ ​มิได้​มี​เพียง​แค่​ความ​สุข​ชนิด​ใหม่​ท่ี​ประณีต​
กว่า​กาม​สุข​ ​ดัง​ที่​เรียก​กัน​ว่า​วิหาร​ธรรม​ภายใน​เท่านั้น​ ​หาก​แต่​สมาธิ​นั้น​
มี​เป้าประสงค์​เพื่อ​จะ​เป็น​บาท​ฐาน​ของ​การ​เจริญ​ปัญญา​เป็น​สำคัญ​ ​นั่น​ก็​
คือ​การ​ยัง​จิต​ให้​แจ่ม​แจ้ง​ใน​สภาวะ​แห่ง​อนิจ​จัง​ ​ทุก​ขัง​ ​และ​อนัตตา​ ​ดัง​ที่​
พระพุทธ​องค์​ตรัส​ว่า​จิต​ที่​เป็น​สมาธิ​ย่อม​เป็น​ปัจจัย​ให้​เห็น​สิ่ง​ต่าง​ๆ​ ​ตาม​
ความเ​ปน็ จ​ รงิ ​​
​ อยา่ งไรก​ ด​็ ี​​สมาธท​ิ ี​ไ่ มม่ ี​ศลี เ​ปน็ ​ฐาน​แ​ ละ​ไมม่ ปี​ ัญญา​เปน็ ​ตวั ​ต่อยอ​ ด​
หรอื ​หากว่า​โดย​สภาวะ​จ​ ติ ​ท​ไ่ี ม่​อยใ​ู่ นภ​ าวะแ​ หง่ ​ความ​รู้​ต​ นื่ ​​เบิกบ​ าน​เ​ราก​ ​็

363 ๓๖๓

ไม​่อาจเ​รยี กส​ มาธิน​ ้นั ว​ ่าเ​ป็น​สัมมา​สมาธ​ขิ องพ​ ระพทุ ธอ​ งค​์
​ ๔.​​ท​ รง​อธษิ ฐานค​ วามเ​พยี ร​กอ่ นต​ รัสรู้​
​ พระพุทธ​องค์​ทรง​สอน​ให้​เรา​สันโดษ​ใน​ปัจจัย​สี่​ ​เพื่อ​ว่า​เรา​จะ​ได้​มี​
เวลา​มาก​ขึ้น​ใน​การ​ไป​ประกอบ​ความ​เพียร​หรือ​ทำความ​ดี​อย่าง​ชนิด​ไม่รู้​
จัก​อิ่ม​จัก​พอ​ ​ด้วย​ความ​ไม่​ประมาท​ ​นั่น​ก็​หมายความ​ว่า​ใน​อีก​ด้าน​หน่ึง​
พระองค​์กำลงั ​สอนไ​ม่​ให้เ​รา​สันโดษ​ใน​กศุ ลธ​ รรม​ท้ังห​ ลาย​ ​ดงั ​ท​่ีไดต้​ รสั เ​ล่า​
ไว้​ใน​คราว​ท​่ีปรารภค​ วาม​เพยี ร​ชนดิ เ​อา​ชวี ติ เ​ปน็ เ​ดมิ พ​ ันว​ ่า​
​ “ภ​ กิ ษ​ทุ งั้ ​หลาย​เ​รา​ไดร้​ ้​ูถึง​ธรรม​๒​ ​อ​ ย่าง​ค​ อื ​​ความ​ไมร่ ้​จู กั ​พอ​ใน​
กุศล​ธรรม​ทัง้ ​หลาย​​และค​ วาม​เปน็ ​ผไู้​ม่ถ​ อยห​ ลัง​ใน​การต​ ั้ง​ความเ​พียร​
​ เรา​ตั้ง​ความ​เพียร​คือ​ความ​ไม่​ถอย​หลัง​ว่า​ ​“​หลัง​ ​เอ็น​ ​กระดูก​​
จ​ กั เ​หลอื อ​ ย​ู่ เ​นอื้ แ​ ละเ​ลอื ดใ​นส​ รรี ะจ​ กั เ​หอื ดแหง้ ไ​ปก​ ต็ ามท​ ​ี เ​มอื่ ย​ งั ไ​มบ​่ รรล​ุ
ถงึ ป​ ระโยชนอ​์ นั บ​ คุ คลจ​ ะล​ ไ​ุ ดด​้ ว้ ยก​ ำลงั ข​ องบ​ รุ ษุ ​ด​ ว้ ยค​ วามเ​พยี รข​ องบ​ รุ ษุ ​
ด้วย​ความ​บาก​บั่น​ของ​บุรุษ​แล้ว​ ​จัก​หยุด​ความ​เพียร​นั้น​เสีย​เป็น​ไม่มี​เลย​​
ดังนี้​​
​ ภิกษุ​ท้ัง​หลาย​ เ​ราน​ ั้นไ​ด้บ​ รรลุค​ วามต​ รัสร​้เู พราะค​ วาม​ไมป่​ ระมาท​
ไดบ​้ รรลโ​ุ ยค​ กั เ​ขมธ​ รรมอ​ นั ไ​มม่ อ​ี น่ื ย​ ง่ิ ไ​ปก​ วา่ ​ เ​พราะค​ วามไ​มป​่ ระมาทแลว้ ”​ ​
​๕.​​ก​ ารต​ รัสรคู้​ อื ก​ าร​ทบั ร​ อย​แห่งพ​ ระพทุ ธเจา้ ใ​นอ​ ดีต​
​ พระพุทธอ​ งค์​นนั้ ส​ ม​แล้วท​ ีเ​่ ป็น​ศาสดา​เอกแ​ หง่ โ​ลก​​เพราะพ​ ระองค์​
เป็น​ผู้​ทำ​ดี​อย่าง​ถึงท่ี​สุด​ ​แต่​พระองค์​ก็​มิได้​ยึด​ติด​แม้​กระทั่ง​ความ​ดี​น้ัน​​
พระองค์​จึง​กล้า​บอก​กล่าว​ว่า​ไม่​ว่า​พระองค์​จะ​บังเกิด​ข้ึน​หรือ​ไม่​ก็ตาม​

๓๖๔ 364

ความจ​ รงิ ใ​นโ​ลกก​ จ​็ ะย​ งั ค​ งด​ ำเนนิ ไ​ปอ​ ยอ​ู่ ยา่ งน​ นั้ ​พ​ ระองคเ​์ ปน็ เ​พยี งผ​ ค​ู้ น้ พ​ บ​
​ความ​จริง​แล้ว​นำ​มาบ​อก​กล่าว​ ​พระองค์​เป็น​เพียง​ผู้​ชี้​ทาง​ ​และ​พระองค์​
ยัง​ได้​ตรัส​ยืนยัน​ว่า​พระองค์​มิใช่​บุคคล​แรก​ที่​พบ​หนทาง​อัน​ประเสริฐ​น้ี​​
​ดงั ​คำ​ตรัส​เลา่ ว​ า่ ​
​ “​ภกิ ษท​ุ ัง้ ห​ ลาย​.​​.​.​เรา​ได​เ้ ห็น​แลว้ ซ​ ่ึง​รอยท​ างเ​ก่า​​ทเ่​ี คยเ​ป็น​หนทาง​
เก่า​อัน​พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ใน​กาล​ก่อน​เคย​ทรง​ดำเนิน​แล้ว​​
ภิกษุ​ทั้ง​หลาย​ ​ก็​รอย​ทาง​เก่า​ที่​เคย​เป็น​หนทาง​เก่า​อัน​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​
ท้ัง​หลาย​ใน​การ​ก่อน​เคย​ทรง​ดำเนิน​แล้ว​นั้น​ ​เป็น​อย่างไร​เล่า​ ​นั่น​คือ​
อรย​ิ อฏั ฐงั ค​ กิ ม​ รรคน​ น​้ี นั่ เ​ทยี ว​ไ​ดแ้ กส​่ ง่ิ เ​หลา่ น​ ค​ี้ อื ​ส​ มั มาท​ ฏิ ฐ​ิ ส​ มั มาส​ งั กปั ปะ​
สัมมา​วาจา​ ​สัมมา​กัม​มัน​ตะ​ ​สัมมา​อาชีวะ​ ​ ​สัมมา​สติ​ ​ ​สัมมา​วายามะ​​
​สัมมา​สมาธิ​ ​ภิกษุ​ทั้ง​หลาย​ ​น้ี​แล​ ​รอย​ทาง​เก่า​ที่​เคย​เป็น​หนทาง​เก่า​อัน​
สมั มาส​ มั พ​ ทุ ธเ​จา้ ท​ งั้ ห​ ลายใ​นก​ ารก​ อ่ นเ​คยท​ รงด​ ำเนนิ แ​ ลว้ ​เ​ราน​ น้ั ไ​ดด​้ ำเนนิ ​
ไปต​ ามท​ างแ​ ลว้ ซ​ งึ่ ห​ นทางน​ นั้ ​เ​มอ่ื ด​ ำเนนิ ไ​ปต​ ามซ​ ง่ึ ห​ นทางน​ น้ั อ​ ย​ู่ เ​ราไ​ดร​้ ย​ู้ ง่ิ ​
เฉพาะ​ซึ่ง​ชรา​มรณะ​ ​ซึ่ง​เหตุ​ให้​เกิด​แห่ง​ชรา​มรณะ​ ​ซึ่ง​ความ​ดับ​ไม่​เหลือ​
แห่ง​ชรา​มรณะ ​ซ่ึง​ข้อ​ปฏิบัติ​เครื่อง​ทำให้​สัตว์​ให้​ลุ​ถึง​ความ​ดับ​ไม่​เหลือ​
​แห่ง​ชราม​ รณะ​​ฯลฯ​”​
​ ๖.​​ส​ ิ่ง​ท่​ีทรงต​ รัสรแู​้ ต​ไ่ ม​่ทรงน​ ำ​มา​สอน​ ​
เปน็ เ​รอ่ื งน​ า่ พ​ จิ ารณาว​ า่ ​ภ​ ายห​ นา้ ห​ ากจ​ ะม​ ผ​ี บ​ู้ ญั ญตั ค​ิ ำส​ อนแ​ ปลกๆ​ ​
โ​ดยก​ ลา่ วว​ า่ เ​ปน็ ธ​ รรมะน​ อกพ​ ระไ​ตรป​ ฎิ ก​พ​ ระพทุ ธด​ ำรสั ต​ อ่ ไ​ปน​ ​้ี จ​ ะช​ ว่ ยใ​ห​้
เรา​วนิ จิ ฉยั ​ไดว​้ า่ ​ผใ​ู้ ฝธ​่ รรม​ควร​ใหค​้ วามส​ นใจต​ อ่ ​ธรรม​เหลา่ น​ น้ั ​หรอื ​ไม​อ่ ยา่ งไร​

365 ๓๖๕

​พระ​ผู้​มี​พระ​ภาค​เจ้า​ทรง​กำ​ใบ​ไม้​สี​ส​ปา​ที่​ร่วง​อยู่​ตาม​พื้น​ดิน​ขึ้น​มา​
หนอ่ ยห​ นงึ่ ​แ​ ลว้ ต​ รสั แ​ กภ​่ กิ ษท​ุ งั้ ห​ ลายว​ า่ ​“​ ภ​ กิ ษท​ุ งั้ ห​ ลาย​เ​ธอท​ ง้ั ห​ ลายเ​ขา้ ใจ​
วา่ อ​ ยา่ งไร​ใ​บไ​มส​้ ส​ี ป​ าท​ เ​ี่ ราก​ ำข​ นึ้ ห​ นอ่ ยห​ นงึ่ น​ ม​ี้ าก​ห​ รอื ว​ า่ ใ​บไ​มส​้ ส​ี ป​ าท​ ย​่ี งั ​
อยบ​ู่ นต​ น้ เ​หลา่ น​ นั้ ม​ าก”​ ​ภ​ กิ ษท​ุ ง้ั ห​ ลายก​ ราบทลู ว​ า่ ​“​ ข​ า้ แ​ ตพ​่ ระองคผ​์ เ​ู้ จรญิ ​
ใบไมท​้ พ​่ี ระผ​ ม​ู้ พ​ี ระภ​ าคท​ รงก​ ำข​ นึ้ ห​ นอ่ ยห​ นง่ึ น​ นั้ เ​ปน็ ข​ องน​ อ้ ย​ส​ ว่ นใ​บไมท​้ ​่ี
ยงั อ​ ยู่​บนต​ น้ ​สสี​ ป​ า​เหล่าน​ นั้ ย​ อ่ มม​ ​มี าก​”​
​ “ภ​ กิ ษท​ุ ง้ั ห​ ลาย​ฉ​ นั ใดก​ ฉ​็ นั น​ นั้ ​ธ​ รรมะส​ ว่ นท​ เ​่ี ราร​ย​ู้ ง่ิ ด​ ว้ ยป​ ญั ญาอ​ นั ย​ งิ่ ​
แลว้ ไ​มก​่ ลา่ วส​ อนน​ นั้ ม​ ม​ี ากก​ วา่ ส​ ว่ นท​ น​ี่ ำม​ าก​ ลา่ วส​ อน​ภ​ กิ ษท​ุ ง้ั ห​ ลาย​เ​หตใ​ุ ด​
เลา่ ​เ​ราจ​ งึ ไ​มก​่ ลา่ วส​ อนธ​ รรมะส​ ว่ นน​ นั้ ๆ​ ​ภ​ กิ ษท​ุ ง้ั ห​ ลาย​เ​พราะเ​หตว​ุ า่ ​ธ​ รรมะ​
ส่วน​นั้น​ๆ​ ​ไม่​ประกอบ​อยู่​ด้วย​ประโยชน์​ท่ี​เป็น​เง่ือน​ต้น​แห่ง​พรหม​จรรย์​
ไมเ​่ ปน็ ไ​ปเ​พอ่ื ค​ วามห​ นา่ ย​ไ​มเ​่ ปน็ ไ​ปเ​พอ่ื ค​ วามค​ ลายก​ ำหนดั ​ไ​มเ​่ ปน็ ไ​ปเ​พอ่ื ​
ความด​ ับ​​ไม​เ่ ปน็ ​ไป​เพื่อค​ วาม​สงบ​​ไม​เ่ ป็นไ​ป​เพื่อค​ วาม​ร​ู้ย่งิ ​ไ​ม่เ​ปน็ ไ​ป​เพ่อื ​
ความร​ ​พู้ รอ้ ม​ไ​ม​่เป็น​ไป​เพอ่ื ​นิพพาน​​ฉะน้ัน​เ​รา​จึง​ไมก​่ ลา่ ว​สอน”​ ​​​​
​ คำ​สอน​ทั้งหมด​ทั้ง​มวล​ของ​พระพุทธ​องค์​น้ัน​ ​พระองค์​กล่าว​สรุป​
ไว​้วา่ ​
​ “ภ​ กิ ษท​ุ งั้ ห​ ลาย​ใ​นก​ าลก​ อ่ นก​ ต็ าม​ใ​นบ​ ดั นก​้ี ต็ าม​เ​ราบ​ ญั ญตั ข​ิ น้ึ ส​ อน​
แต​เ่ ร่อื ง​ความ​ทกุ ข​์ ​และ​ความด​ ับส​ นิทไ​มม่ ี​เหลือ​ของ​ความท​ ุกขเ์​ทา่ นั้น”​ ​
​ นอกจาก​นี้​ ​หาก​มี​ผู้​ศึกษา​ธรรม​คำ​สอน​ของ​พระพุทธ​องค์​แล้ว​
​เกิด​ความ​ลังเล​สงสัย​ว่า​คำ​สอน​ของ​พระองค์​อาจ​ขัด​แย้ง​กันเอง​ได้​หรือ​ไม่​
ใน​ประเดน็ ​น้​ี พ​ ระพุทธ​องค์ไ​ด​ต้ รสั ร​ ับรอง​ไวว​้ ่า​​

๓๖๖ 366

​ “​ภิกษุ​ทั้ง​หลาย​ ​นับ​ตั้ง​แต่​ราตรี​ที่​ตถาคต​ได้​ตรัส​รู้​อนุ​ตต​รสัม​มา​
สม​ั โ​พธญ​ิ าณ​จ​ นก​ ระทง่ั ร​าตรท​ี ต​่ี ถาคตป​ รนิ พิ พานด​ ว้ ยอ​ นป​ุ าทเ​ิ สส​ นพิ พ​ าน​
ธาตุ​​ตลอด​เวลาร​ ะหว่าง​นน้ั ​ต​ ถาคตไ​ด้​กล่าว​สอน​​พร่ำส​ อน​แ​ สดงออกซ​ ึง่ ​
ถอ้ ยคำใ​ด​ถ​ อ้ ยคำน​ น้ั ท​ ง้ั หมดย​ อ่ มเ​ขา้ ก​ นั ไ​ดโ​้ ดยป​ ระการเ​ดยี วท​ งั้ ส​ น้ิ ​ไ​มแ​่ ยง้ ​
กนั ​เป็นป​ ระการอ​ ื่นเ​ลย​”​
​ ๗​.​​ทรงร​ บั รองภ​ กิ ษ​แุ ตบ​่ าง​รปู ​ว่าเ​ปน็ ​คนข​ องพ​ ระองค์​
​ “ภ​ กิ ษท​ุ ง้ั ห​ ลาย​ภ​ กิ ษเ​ุ หลา่ ใ​ดเ​ปน็ ค​ นห​ ลอกล​ วง​ก​ ระดา้ ง​​พ​ ดู พ​ ลา่ ม​
ยกต​ วั ​จ​ องหอง​ใ​จฟ​ งุ้ เ​ฟอ้ ​ภ​ กิ ษเ​ุ หลา่ น​ นั้ ไ​มใ่ ชเ​่ ปน็ ค​ นข​ องเ​รา​ภ​ กิ ษเ​ุ หลา่ น​ น้ั ​
ได้​ออก​ไป​นอก​ธรรม​วินัย​น้ี​เสีย​แล้ว​ ​ย่อม​ไม่​ถึง​ความ​เจริญ​งอก​งาม​ไพบูลย์​
ใน​ธรรม​วินยั ​นไ้ี​ดเ​้ ลย​
​ภิกษุ​ท้ัง​หลาย​ ​ภิกษุ​เหล่า​ใด​ไม่​เป็น​คน​หลอก​ลวง​ ​ไม่​พูด​พล่าม​ ​มี​
ปัญญา​เป็น​เครื่อง​ทรงตัว​ ​ไม่​กระด้าง​ ​ใจคอ​ม่ันคง​ดี​ ​ภิกษุ​เหล่า​น้ัน​ช่ือ​ว่า​
เป็น​คน​ของ​เรา​​ภกิ ษ​ุทง้ั ห​ ลาย​​ภกิ ษุเ​หล่า​นั้นไ​มไ่​ดอ​้ อก​ไป​นอกธ​ รรมว​ นิ ัยน​ ี้​
และ​ยอ่ ม​เจรญิ ​งอกง​าม​ไพบลู ยใ​์ นธ​ รรมว​ ินัย​น​ี้”​
​ ๘​.​​ทรงฉ​ ัน​อาหาร​วันห​ นึง่ ​หน​เดียว​
​ บาง​ครั้ง​อาจ​มี​ผู้​สงสัย​ว่า​พระพุทธ​องค์​ทรง​ฉัน​อาหาร​วัน​ละ​ก่ี​หน​
ซงึ่ ​พระองค​์ได​ต้ รสั ​เลา่ ​ไวว้​ า่ ​
​ “​ภิกษุ​ทั้ง​หลาย​ ​เรา​ย่อม​ฉัน​โภชนะ​แต่​ใน​ท่ี​น่ัง​แห่ง​เดียว​ ​(​คือ​ฉัน​
หนเ​ดยี ว​​ลกุ ข​ ึ้น​แล้ว​ไม​่ฉัน​อกี ใ​น​วันน​ ั้น)​​​ภิกษทุ​ ั้ง​หลาย​​เม่ือ​เราฉ​ นั ​โภชนะ​
แตใ​่ นท​ น​ี่ ง่ั แ​ หง่ เ​ดยี วอ​ ย​ู่ ย​ อ่ มร​สู้ กึ ว​ า่ เ​ปน็ ผ​ ม​ู้ อ​ี าพาธน​ อ้ ย​ม​ ท​ี กุ ขน​์ อ้ ย​ม​ ค​ี วาม​

367 ๓๖๗

​กะ​ปรกี้ ะ​เปรา่ ​​ม​ีกำลัง​และค​ วาม​ผาสกุ ​ด้วย​
​ ภิกษุ​ทั้ง​หลาย​ ​มา​เถิด​ ​แม้​พวก​เธอ​ท้ัง​หลาย​ ​ก็​จง​ฉัน​โภชนะ​แต่​ใน​
ที่​นั่ง​แห่ง​เดียว​ ​ภิกษุ​ท้ัง​หลาย​ ​พวก​เธอ​ทั้ง​หลาย​เม่ือ​ฉัน​อยู่​แต่​ใน​ที่​น่ัง​แห่ง​
เดียว​ ​จัก​รู้สึก​ความ​ที่​เป็น​ผู้​มี​อาพาธ​น้อย​ ​มี​ทุกข์​น้อย​ ​มี​ความ​เบา​กาย​
กะ​ปร้กี ะ​เปร่า​ม​ ก​ี ำลงั แ​ ละ​มีค​ วามผ​ าสกุ ด​ ว้ ย​แล​”​
​ ๙​.​​พรหม​จรรยน​์ ้ี​​มใิ ชม​่ ี​ลาภ​เป็น​อานสิ งส์​
​ บาง​ครั้ง​นัก​ปฏิบัติ​ ​หาก​ไม่​ศึกษา​พุทธ​โอวาท​ให้​เข้าใจ​ก็​อาจ​หลง​
ยึดใ​น​ศีลท​ ี่​ตนม​ ี​บ้าง​ ห​ รือห​ ลงย​ ึดใ​นส​ มาธิ​ ห​ รือป​ ัญญา​ที่​ตนม​ ี​บ้าง​ ฯ​ ลฯ​
ใน​เรื่อง​นี้​ พระพุทธ​องค์​ได้​ตรัส​เตือน​เอา​ไว้​ เพื่อ​ไม่​ให้​ผู้​ปฏิบัติ​หลง​ยึด​
เครื่อง​มือ​ว่า​เป็น​เป้า​หมาย​หรือ​อานิสงส์​ ดัง​คำ​ตรัส​สอน​เพื่อ​ไม่​ให้​ลืม
​เป้า​หมายส​ ุดท้ายท​ ี่ว​ ่า​
​ “ภ​ กิ ษท​ุ งั้ ห​ ลาย​พ​ รหมจ​ รรยน​์ ​้ี ม​ ใิ ชม​่ ล​ี าภส​ กั ก​ าระ​ แ​ ละเ​สยี งส​ รรเสรญิ ​
เป็น​อานิสงส์​ ​พรหม​จรรย์​น้ี​ ​มิใช่​มี​ความ​ถึง​พร้อม​แห่ง​ศีล​เป็น​อานิสงส์​​
พรหมจ​ รรย์​นี้​ ม​ ิใช่​ม​คี วามถ​ ึงพ​ ร้อม​แหง่ ส​ มาธ​ิเป็นอ​ านิสงส​์ ​พรหม​จรรยน์​ ี้​​
มใิ ช่ม​ คี​ วามถ​ ึงพ​ รอ้ มแ​ หง่ ​ญาณทัสส​ นะเ​ป็นอ​ านสิ งส​์ ​
​ ภิกษุ​ทั้ง​หลาย​ ​ก็​เจ​โต​วิมุตติ​ ​(​ความ​หลุด​พ้น​แห่ง​จิต​ ​หรือ​การ​ที่​จิต​
หลุด​พ้น​จาก​กิเลส​)​ ​อัน​ไม่​กำเริบ​อัน​ใด​มี​อยู่​ ​พรหม​จรรย์​น้ี ​มี​เจ​โต​วิมุตติ​
นั้น​แห​ละ​เป็น​ประโยชน์​ท่ี​มุ่ง​หมาย​ ​เจ​โต​วิมุตติ​น่ัน​แห​ละ​ ​เป็น​แก่น​สาร​
เปน็ ​ผลส​ ดุ ท้าย​ของพ​ รหมจ​ รรย์​”​

๓๖๘ 368

​ ๑๐​.​พ​ ระพุทธโ​อวาทก​ อ่ น​ปรินิพพาน​
​ “อ​ านนท์​​ภกิ ษุส​ งฆ์จ​ กั ​ยัง​หวัง​อะไร​ในเ​ราอ​ กี ​เลา่ ​​ธรรม​เ​ราไ​ดแ้​ สดง​
แลว้ ไ​มข​่ าดร​ะยะ​ไ​มม่ อ​ี กี น​ อกจากท​ แ​ี่ สดงแ​ ลว้ ​ไ​มม่ ก​ี ำม​ อื ใ​นธ​ รรม​(​ค​ อื ธ​ รรม​
ที่​ยังก​ ำไ​ว้​ไ​ม่เ​ปิดเ​ผย​)​​.​..​​อานนท​์ ​บดั นีเ​้ ราแ​ ก​่เฒ่า​เป็นผ​ ใู้ หญ่​​ล่วงก​ าลผ​ า่ น​
วยั น​ านโ​ดยล​ ำดบั ​ว​ ยั ข​ องเ​ราเ​ปน็ ม​ าไ​ด​้ ๘​ ๐​ป​ แ​ี ลว้ ​อ​ านนท​์ ก​ ายข​ องต​ ถาคต​
คร่ำ​คร่า​แล้ว​ ​เปรียบ​เหมือน​เกวียน​คร่ำ​คร่า​ที่​เขา​ซ่อมแซม​ปะทะ​ปะ​ทัง​
​ไว้​ด้วย​ไม​้ใผ”่​ ​
​ “ภ​ กิ ษท​ุ ง้ั ห​ ลาย​ธ​ รรมเ​หลา่ ใ​ดท​ เ​ี่ ราแ​ สดงแ​ ลว้ ด​ ว้ ยป​ ญั ญาอ​ นั ย​ ง่ิ ​ธ​ รรม​
เหล่าน​ ้ัน​พ​ วก​เธอพ​ งึ ​เรยี นเ​อา​ใหด้​ ​ี พ​ งึ ​เสพ​ให​้ท่ัว​พ​ ึง​เจรญิ ​ท​ ำให​้มาก​โ​ดย​
อาการท​ พ​ี่ รหมจ​ รรย์​​(​คอื ​ศาสนา​)​​น้​จี ัก​มัน่ คง​ต​ ้ังอ​ ย​ูไ่ ด้​ตลอดก​ าล​นาน”​ ​
​ “อ​ านนท​์ต​ ถาคตบ​ อกแ​ ลว้ ม​ ใิ ชห​่ รอื ​ว​า่ ส​ ตั วจ​์ ะต​ อ้ งพ​ ลดั พ​ รากจ​ ากข​ อง​
รกั ข​ องช​ อบใจท​ ง้ั ส​ น้ิ ​ส​ ตั วจ​์ ะไ​ดต​้ ามป​ รารถนาใ​นส​ งั ขารน​ แ​้ี ตท​่ ไี่ หนเ​ลา่ ​ข​ อ้ ท​ ​ี่
สัตว​์จะ​หวงั ​เอา​สิง่ ​ทเ​่ี กดิ แ​ ล้ว​เ​ป็น​แล้ว​​ม​ปี ัจจยั ​ปรงุ แ​ ตง่ แ​ ลว้ ​​มก​ี าร​แตกดบั ​
เป็น​ธรรมดา​ ​ว่า​ส่ิง​นี้​อย่า​ฉิบหาย​ ​ดังนี้​ ​ย่อม​ไม่​เป็น​ฐานะ​ท่ี​มี​ได้​เป็น​ได้​”​
​ “อ​ านนท​์ ​อยา่ ร​ ้องไห้​ไปเ​ลย​​ทกุ ๆ​ ​ส​ ่งิ ​ซง่ึ ม​ ค​ี วามเ​กิดไ​ดเ​้ ปน็ ธ​ รรมดา​
กย​็ อ่ มม​ ค​ี วามด​ บั ไ​ดเ​้ ปน็ ธ​ รรมดา​จ​ งพ​ จิ ารณาต​ วั เ​อง​ส​ งั ขารท​ งั้ ห​ ลายไ​มเ​่ ทยี่ ง​
ดงั ​นัน้ ​จ​ งย​ ัง​ตน​ใหถ้​ ึง​พรอ้ ม​ด้วย​ความ​ไม​ป่ ระมาทเ​ถดิ ​”​​​
​ “​ธรรม​และ​วินัย​ที่​เรา​ได้​แสดง​แล้ว​ ​บัญญัติ​แล้ว​ ​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​​
ธรรม​และ​วนิ ยั ​น้ัน​จะ​เป็น​ศาสดา​ของท​ ่าน​ท้งั ​หลาย​เมือ่ ​เรา​ล่วงล​ บั ​ไป​”​
​​ “​ภกิ ษ​ทุ ้ัง​หลาย​​บัดน​้ีเรา​จกั เ​ตอื น​ท่าน​ทง้ั ​หลายว​ า่ ​​สงั ขารท​ ้ัง​หลาย​

369 ๓๖๙

มี​ความ​เส่ือม​เป็น​ธรรมดา​ ​พวก​เธอ​จง​ยัง​ประโยชน์​ตน​ ​ประโยชน์​ท่าน​​
ใ​ห​ถ้ ึง​พรอ้ ม​ด้วย​ความไ​ม่​ประมาทเ​ถดิ ”​ ​

“พอ”






370

ภาคผ​ นวก

372

373 ๓๗๓

​คาถาบ​ ชู าพ​ ระ​

​นะโม​พุทธ​า​ยะ​พ​ ระ​พทุ ธะ​ ไ​ตรร​ ตั นะ​ญาณ​
​มณ​ีนพร​ ัตน​์ ส​ สี ะห​ ัส​สะ​ส​ ธุ​ ัมม​ า​
พ​ ทุ โธ​ธ​ มั โม​​สงั โฆ​​ยะธา​พท​ุ โมนะ​ ​
​พุทธ​ะบ​ ชู า​​ธมั มะบ​ ชู า​​สังฆ​ะ​บชู า​
อ​ ัคคที​ านัง​​วะ​รังค​ นั ธงั​​
ส​ ​ีวล​ี ​จะ​​มหา​เถร​ัง​
​อะหงั ​วันทาม​ ิ​ท​ รู ะ​ โ​ต​
​อะหงั ​วนั ทา​มิ​​ธาตุโ​ย​
อ​ ะหงั ​วันทาม​ ิ​ส​ พั ​พะโส​
​พุทธะ​ ​​ธมั มะ​​สงั ฆ​ะ​​ปูเช​มิ​

374

พระพุทธเจ้าปางผจญมาร
(ภาพเขียนโดยจิตรกรท่านหนงึ่ เมอื่ ราว พ.ศ. ๒๔๗๐)

375 ๓๗๕

​คำ​สมาทานพ​ ระกร​รม​ฐาน​

​บทบ​ ชู าพ​ ระ​
​ นะโม​ต​ สั ​สะ​​ภะคะ​วะ​โต​อ​ ะระ​หะ​โต​​สมั มาส​ มั ​พทุ ธัส​ ​สะ​
​(​๓​​จบ​)​
​ พทุ ธัง​​​ช​วี ต​ิ งั ​เ​ม​ป​ เู ช​มิ​
​ ธัมมงั ​​ช​วี ติ​ ัง​​เม​​ปเู ช​มิ​
​ สังฆัง​​ช​ ​ีวติ​ ัง​​เม​ป​ เู ชม​ ​ิ
ก​ ราบพ​ ระ​๖​ ​​ครั้ง​
​ พทุ ธั​ง​ว​ ันทาม​ ​ิ
​ธมั มงั ​ว​ ันทาม​ ​ิ
​ สงั ฆั​ง​ว​ นั ทาม​ ิ​
​ อปุ ั​ชฌายอ์​ า​จา​รยิ ค​ ณุ งั​​ว​ นั ทา​ม​ิ (​​​ชาย​)​​
​ คณุ ครบ​ู าอ​ าจารย​์ ว​ ันทาม​ ​ิ ​(​​หญงิ ​)​​
​ มาตาป​ ิตุ​คณุ งั​​ว​ ันทาม​ ิ​
​พระ​ไตร​สิกขา​คุณัง​ว​ ันทาม​ ิ​

สมาทานศ​ ีล​๕​ ​
​ นะโม​ต​ สั ส​ ะ​ภ​ ะคะ​วะ​โต​​อะระห​ ะ​โต​​สมั มาส​ มั ​พุทธสั​ ​สะ​
(​๓​​จบ)​​

๓๗๖ 376

​ •​พ​ ทุ ธงั​​ส​ รณั​ง​ค​ จั ฉา​มิ​
​ ธัมมงั ​ส​ รณง​ั ​ค​ จั ฉาม​ ิ​
​ สงั ฆงั​​​สรณงั​​​คจั ฉา​ม​ิ
​ •​ท​ ุต​ ิยัมป​ิ ​พทุ ธั​ง​​สรณ​ัง​ค​ ัจฉา​มิ​
​ ท​ุตยิ ัมปิ​ธ​ มั มัง​​สรณั​ง​ค​ ัจฉาม​ ิ​
​ ทุต​ ิยัมปิ​​สงั ฆ​งั ​ส​ รณ​ัง​ค​ ัจฉาม​ ​ิ
​ •​ต​ ะ​ตยิ ัมป​ิ ​พุทธัง​​ส​ รณงั​​ค​ ัจฉา​มิ​
​ตะ​ตยิ ัมป​ิ ธ​ มั มัง​ส​ รณ​งั ​ค​ ัจฉา​ม​ิ
​ ตะ​ติยัมปิ​ส​ ังฆงั​​​สรณ​งั ​ค​ จั ฉาม​ ิ​

ป​ าณาต​ ิปาต​ า​เ​วระ​ ม​ ะณ​ี ส​ ิกขา​​ปะ​ทัง​ส​ ะม​ าทิย​ า​มิ​
​อทินนาทานา​​​เวระ​ ​มะณ​ี ส​ กิ ขา​ปะท​ ัง​​สะม​ าท​ิยาม​ ​ิ
ก​ าเมสมุ ิจฉาจารา​​เ​วระ​ ม​ ะณ​ี ส​ กิ ขา​ปะท​ ัง​ส​ ะ​มาท​ยิ าม​ ิ​
ม​ ุสา​วาท​ า​เ​วร​ะม​ ะณี​ส​ กิ ขาป​ ะ​ทัง​​สะ​มาท​ิยา​ม​ิ
​สุร​ า​เมรย​ะ​ม​ ัชช​ ะป​ ะม​ าทั​ฏ​ฐานา​​​เวร​ะ​มะณี​ส​ ิกขา​ปะท​ งั ​
​ สะ​มาท​ิยา​มิ​

อ​ ิ​มาน​ ​ิ ป​ ัญจะ​ ​สิกขา​ป​ ะ​ทา​น​ิ ​สะ​มาทิ​ยาม​ ิ​(​​​๓​​คร้ัง​​)​
​ สี​เลน​ะ​ส​ คุ ะต​ งิ ​ย​ นั ​ติ​ส​ ​ีเลน​ะ​โ​ภค​ะสัม​ปะ​ทา​
​ สเ​ี ลนะ​ ​น​ พิ พ​ ​ตุ ​ตงิ ​ย​ นั ต​ ิ​ต​ ัสม​ า​​ส​ลี ัง​ว​ ิโส​​ธะเย​

๓๗๗

​คำอ​ าราธนา​พระ​
​ พุทธ​ัง​​อาร​ าธะนัง​​กะ​โรมิ​
​ ธมั มงั ​อ​ าร​ าธะนงั ​ก​ ะโ​รม​ิ
สังฆงั อาราธะนัง กะโรมิ
นอ มระลึกถงึ หลวงปูทวด แลววา
นะโม โพธิสัตโต อาคนั ตมิ ายะ อติ ภิ ะคะวา ( ๓ ครง้ั )
นอมระลกึ ถึงหลวงพอ ดู โดยวาคาถาดังน้ี
นะโม พรหมปญ โญ ( ๓ ครง้ั )

คำอนุโมทนาบุญทผ่ี ูอน่ื กระทำไวด แี ลว
สทั ธา ทานัง อนุโมทามิ ( ๓ ครง้ั )

คำขอขมาพระรัตนตรัย
โยโทโส โมหะจติ เต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา
ขะมะถะเม กะตงั โทสัง สัพพะปาปง วนิ สั สนั ตุ
โยโทโส โมหะจิตเต นะธมั มสั มิง ปาปะกะโต มะยา
ขะมะถะเม กะตงั โทสัง สพั พะปาปง วินัสสนั ตุ
โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมงิ ปาปะกะโต มะยา
ขะมะถะเม กะตงั โทสงั สัพพะปาปง วินสั สันตุ

๓๗๘

คำอธษิ ฐานแผเมตตา
ใหต งั้ ใจเจริญพรหมวหิ าร ๔ แลวกลาวคำอธิษฐานวา

“พทุ ธงั อนนั ตงั
ธมั มงั จักรวาลงั
สงั ฆงั นิพพานะ ปจจะโยโหตุ ”

ค​ ำ​อธิษฐาน​พระ​เข้าต​ ัว​
สัพเพพทุ ธา สพั เพธมั มา สัพเพสังฆา
พะลปั ปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พะลงั
อะระหนั ตานญั จะ เตเชนะ รักขงั พันธามิ สัพพะโส
พุทธงั อธิษฐาม ิ
ธมั มัง อธษิ ฐาม ิ
สงั ฆงั อธษิ ฐามิ ฯ.


Click to View FlipBook Version