The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

289 ๒๘๙

ท​ี่วงการถ​ ือว่าเ​ปน็ ​พระ​ปลอม​อีก​๑​ ​​องค์​แ​ ล้วก​ ็เ​ม็ด​อม​กมิ จ๊อ​หอ่ ​กระดาษ​
อกี ​​๑​ช​ นิ้ ​ ท​ ้งั หมดถ​ กู ​บรรจ​ใุ น​กระดาษ ​ห่อ​มิดชดิ ​เพ่อื ​ไม่ใ​ห้​เหน็ ด​ ้านใน​
แลว้ ​นำม​ า​บรรจุใ​น​กลอ่ ง​เหมอื น​ๆ​ก​ ันอ​ ีกช​ นั้ ห​ นึ่ง​​
​ จากน​ นั้ เ​ราก​ ท​็ ำการว​ างส​ ลบั ไ​ปส​ ลบั ม​ าจ​ นเ​ราท​ งั้ ​๒​ ​ค​ นเ​องก​ ไ​็ มท​่ ราบ​
​ว่า​กล่อง​ใด​ที่​เป็นก​ล่อง​ซึ่ง​บรรจุ​เหรียญ​ท่ี​แม่​เลือก​ให้​ ​ ปรากฏ​ว่า​คุณ​แม่​
สามารถ​เลอื กก​ ล่องท​ บ่​ี รรจ​ุเหรยี ญห​ ลวงป​ ู​่ได​อ้ ย่างถ​ ูกต​ ้อง​ ​ สว่ น​กลอ่ ง​ที่​
บรรจเ​ุ มด็ ล​ กู อ​ มก​ มิ จอ๊ ถ​ กู โ​ยนท​ งิ้ ถ​ งั ข​ ยะไ​ปโ​ดยไ​มล​่ งั เล ​ท​ ำเอาผ​ เ​ู้ ขยี นต​ กใจ​
ตอ้ งไ​ปห​ ยบิ อ​ อกม​ าแ​ กะด​ ใ​ู หแ​้ นใ่ จ ​ เ​หตกุ ารณค​์ รงั้ น​ น้ั ท​ ำใหผ​้ เ​ู้ ขยี นก​ บั พ​ ช​ี่ าย​
เริ่ม​เช่ือ​อย่าง​สนิท​ใจ​ว่า​มารดา​ของ​เรา​สามารถ​ตรวจ​สอบ​พระพุทธ​คุณ​ได้​
และพ​ ระพทุ ธค​ ณุ ม​ จ​ี รงิ ​ ​ มารดาข​ องผ​ เ​ู้ ขยี นไ​ดต​้ รวจพ​ ระเ​ครอ่ื งร​นุ่ ต​ า่ งๆ​ ​ข​ อง​
​หลวง​ปู่​ใน​ภาย​หลัง​และ​ได้​ยืนยัน​หลาย​ครั้ง​ว่า​ พระ​เครื่อง​ทุก​รุ่น​ท่ี​หลวง​ปู่​
อธิษฐาน​จิตใ​ห้​​ลว้ นแ​ ลว้ แ​ ตม​่ พี​ ระพุทธ​คณุ เ​ท่าเ​ทียม​กนั ท​ ุกร​ ่นุ ​​
​จาก​ความ​สนใจ​และ​ยึด​ติด​ใน​เรื่อง​วัตถุ​มงคล​ใน​คราว​นั้น​ ​ ทำให้​ผู้​
เขยี น​ได้​รู้จกั ​หลวงป​ ด​ู่ ​ู่ พ​ รหม​ปัญโญ​ ​ซ่งึ ​เป็นป​ ัจจัยส​ ำคญั ​อย่าง​ยิง่ ท​ ​่ีทำให​้
เกดิ ​ศรทั ธา​ในก​ าร​ศกึ ษาค​ ำ​สอนข​ อง​พระพทุ ธอ​ งค ์​ ก​ ระท่งั ​ได้​มาป​ ฏบิ ัตสิ​ ่งิ ​
ท่​เี ปน็ ม​ งคลส​ ูงสดุ แ​ ก่ช​ วี ิต​ ​นน่ั ก​ ค็​ ือ ​ ​การป​ ระพฤต​ธิ รรม​​

“ช​ าญชยั ”​

๒๙๐ 290 ๑๓๐​

​ สองน้ำมนต​์

​​​​​​ ป​ ระมาณป​ ​ี พ​ .​ศ​ .​​๒​ ๕๓๑​​ห​ ลวงป​ ด​ู่ ​ู่ ไ​ดใ​้ หโ​้ ยมอ​ ปุ ฏั ฐาก​(​เ​ฮยี อ​ ​ู๋ พ​ รอ้ ม​
ดว้ ยภ​ รรยา)​​นำพ​ ระพทุ ธร​ปู ​พ​ รอ้ มด​ ว้ ยน​ ำ้ มนตข​์ องห​ ลวงป​ ด​ู่ อ​ู่ กี ​๑​ ​ถ​ งั ใ​หญ​่
ขนาด​ ​๒๐​ ​แกลลอน​ ​ไปถ​ วาย​หลวง​ปู​่เกษม​ ​ เ​ขม​โก​ ​ท่ี​สสุ านไ​ตร​ลกั ษณ​์
อ​ ​.​เมอื ง​​​จ​.​ลำปาง​​โดยท​ ่านม​ ไิ ด้​บอกว​ ่าเ​มอ่ื ​นำ​ของท​ ง้ั หมดไ​ป​แล้ว​จ​ ะต​ ้อง​
ทำ​อย่างไร​ต่อ​ ​อีก​ท้ัง​คณะ​ศิษย์​ท่ี​นำ​ของ​ไป​ก็​ลืม​ถาม​ถึง​ขั้น​ตอน​พิธี​ต่าง​ๆ​
​เรียก​ว่า​เดิน​ทาง​ไป​อย่าง​ไม่สู้​มั่นใจ​นัก​ว่า ​ไป​ถึง​แล้ว​จะ​ต้อง​ทำ​อย่างไร​
ต่อ​เ​พราะ​ไมร่ ้จู​ กั ใ​ครท​ ี่​สสุ านไ​ตรล​ ักษณ์​
​เฮีย​อู๋​และ​ภรรยา​ขับ​รถ​ไป​ถึง​สุสาน​ไตร​ลักษณ์​ประมาณ​บ่าย​​
๒​ ​โมง​ ​พอ​ดับ​เคร่ืองยนต์​เสร็จ​ก็​เปิด​ท้าย​รถยนต์​เตรียม​ท่ี​จะ​ทยอย​นำ ​
พระพุทธ​รูป​และ​น้ำมนต์​ออก​จาก​ท้าย​รถ​ ​แต่​ยัง​ไม่ทัน​ยก​พระ​สัก​องค์​
ลูก​ศษิ ย์ข​ อง​หลวง​ปเู่​กษมก​ ​็ว่ิงล​ ง​มา​จาก​กุฏิ​ทา่ นแ​ ล้วบ​ อก​ว่า​​หลวงป​ ู่​เกษม​
ตอ้ งการน​ ำ้ มนตท์​ ​น่ี ำ​มา​
​แม้ว่า​จะ​รู้สึก​งง​ๆ​อ​ ยวู​่ ่าห​ ลวง​ป​ู่เกษม​ทา่ นท​ ราบ​ไดอ​้ ย่างไร ?​เ​ฮยี อ​ ​ู๋
และ​ภรรยา​ก็​มอบ​พระพุทธ​รูป​พร้อม​ด้วย​แกลลอน​น้ำมนต์​ส่ง​ให้​ลูก​ศิษย์​
ของ​หลวง​ปูเ​่ กษม​ยก​เขา้ ไปใ​นก​ ุฏ​ิ ​​สัก​ครู่​หนงึ่ ​​ ลูก​ศษิ ย​ข์ องห​ ลวงป​ ู่​เกษม​

291 ๒๙๑

กน​็ ำน​ ำ้ มนตม​์ าค​ นื ให​้ แ​ ลว้ เ​ลา่ ใ​หฟ​้ งั ว​ า่ ห​ ลวงป​ เ​ู่ กษมท​ า่ นไ​ดใ​้ ชป​้ ากจ​ อ่ ป​ าก​
แกลลอน​แล้ว​เป่าพ้​วง​ลง​ไป​ใน​น้ำมนต์​ ​ก่อน​ส่ัง​ให้​นำ​น้ำมนต์​ท้ังหมด​มา
สง่ ค​ ืน​วัดส​ ะแก​​
​เม่ือ​เฮีย​อู๋พร้อม​ด้วย​ภรรยา​เดิน​ทาง​กลับ​มา​ถึง​วัด​สะแก​ ​ก็ได้​กราบ​
เรยี นเ​ลา่ ​ถวาย​หลวงป​ ​ู่ด​ถู่ ึงเ​หตุการณท​์ ี่​นา่ แ​ ปลก​ใจค​ รงั้ น​ ี​้ ​ ​ หลวงป​ ​ูด่ ​ู่ทา่ น​
ย้มิ ​แล้วพ​ ูด​วา่ ​
​ ​“ข​ ้าไ​ด​้อธิษฐาน​จิตบ​ อก​หลวงพ​ อ่ เกษม​ไวเ้​รียบร้อย​แลว้ ​ ​ ​ตั้งแ​ ต่​
ก่อน​แกจ​ ะ​ไป​ลำปาง​”​
​ ​น่า​อัศจรรย์​จริง​หนอ​.​.​.​.​ดัง​นั้น​ ​ ​ท่ี​เคย​มี​ผู้​กล่าว​ว่า​หลวง​ปู่​ดู่​และ​
หลวง​ปู่​เกษม​ ​ท่าน​คุย​กัน​อยู่​เสมอ​ๆ​ ​ใน​ทาง​จิต​น้ัน​ ​จึง​ไม่ใช่​เร่ือง​ท่ี​กล่าว​
เ​กนิ เ​ลย​ผ​ ลจ​ ากเ​หตกุ ารณใ​์ นค​ รง้ั น​ น้ั ​ ​ ทำใหศ​้ ษิ ยานศุ ษิ ยข​์ องห​ ลวงป​ ไ​ู่ ดร​้ บั ​
น้ำ​พระพุทธ​มนต์​อัน​วิเศษ​สุด​ ​ ​ซึ่ง​หลวง​ปู่​ดู่​และ​หลวง​ปู่​เกษม​ท่าน​เมตตา​
อธิษฐาน​จิต​ไว้​เป็น​หัว​เชื้อ​ใน​แทง​ค์​น้ำมนต์​วัด​สะแก​ให้​ได้​ดื่ม​กิน​เป็น​
มงคล​แก​่ตวั อ​ ยูจ่​ น​ตราบ​เทา่ ​ทุก​วัน​น​้ี ​แ​ ละส​ ามารถ​พดู ​ได​เ้ ตม็ ​ปากว​ ่า​​น​ ำ้ ​
พระพทุ ธ​มนตท​์ ่​ไี ด้​รับม​ า​น้​ี ค​ ือ​ “​ น​ ้ำมนต​์สองพระอ​ รยิ สงฆ์”​ ​
​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​

“​ ​พอ”​ ​



๒๙๒ 292 ๑​ ๓๑​

​ ขี้​เกยี จ​​

​​​​​​ ​ภรรยา​ของ​โยม​อุปัฏฐาก​คน​หน่ึง​ของ​หลวง​ปู่​ดู่​ ​เล่า​ให้​ฟัง​ว่า ​ ​
โดย​ปรกติ​แล้ว​พวก​เขา​จะ​จัด​เตรียม​อาหาร​และ​ส่ิงของ​สำหรับ​ไป​ถวาย​
ภตั ต​ าห​ ารเ​พลแ​ ละถ​ วายส​ งั ฆทานก​ บั ห​ ลวงป​ ด​ู่ เ​ู่ ปน็ ป​ ระจำท​ กุ ว​ นั ​ โ​ดยเ​ฉพาะ​
อย่าง​ยิ่ง​ในเ​รอื่ งข​ อง​กบั ข้าว​นั้น​ ​เขาจ​ ะ​ต้ังใจท​ ำอ​ ยา่ ง​ประณตี ท​ กุ ​คร้ัง​ ​แต่ม​ ​ี
อยู่​วนั ​หนึง่ ​ ก​ ิเลสต​ วั ข​ ้ีเ​กียจ​มกี​ ำลงั ​มาก ​ ​ประกอบก​ บั ​วันน​ ั้น​นอน​ตืน่ ​สาย​
เขาจ​ ึงไ​ด้เ​ตรียม​อาหาร​แบบ​ลวก​ๆ​​โดยท​ ำก​ ับข้าว​เปน็ ส​ ะเดา​นำ้ ปลาห​ วาน​
แต่​ครั้ง​น้​ี ไ​มใ่ ช่น​ ำ้ ปลาห​ วาน​ทรงเ​คร่อื ง​อย่างท​ ุก​คราว ​ ​หาก​แต่​เป็นน​ ำ้ ปลา​
ผสม​กับน​ ำ้ ม​ ะขามเ​ปยี ก​​แลว้ ซ​ อยห​ อมแดง ​ ​ใส​่พรกิ ​ข้ีหนส​ู ดล​ ง​ไปท​ ้ังเ​ม็ด​
โดย​ไม​ไ่ ด​ท้ อด​ไ​มไ่​ด​้หน่ั ​​จ​ าก​นน้ั ​​ก็​รบี ​เรง่ ​เดนิ ​ทาง​ไป​วดั ​สะแก​
​ เมอ่ื ไ​ปถ​ งึ ว​ ดั ส​ ะแกก​ ไ็ ดท​้ ราบจ​ ากค​ ณุ ล​ งุ ผ​ ท​ู้ ม​ี่ หี นา้ ท​ ค​่ี อยน​ ำก​ ลา่ วค​ ำ​
ถวาย​ภตั ต​ า​หาร​และส​ ังฆทาน​ บ​ อก​ว่าท​ กุ อ​ ยา่ ง​พร้อม​แลว้ ​ ​ แต่ห​ ลวงป​ ​ู่
บอก​ว่า​​ ​“ใ​ห​ร้ อ​ตา​อก​ู๋ อ่ น​”​​​แ​ ละเ​มอื่ พ​ วกเ​ขาก​ ราบ​หลวง​ปเู่​รยี บรอ้ ยแลว้ ​
​ก็​รีบ​นำ​อาหาร​ถวาย​ท่าน​โดย​วาง​ป่ินโต​ซ้อน​ปิ่นโตของ​ผู้​อ่ืน​ไว้​ด้าน​หน้า​​
เน่ืองจาก​ว่า​มี​ผู้นำ​ภัต​ตา​หาร​มา​ถวาย​ท่าน​มากมาย​จน​เต็ม​พื้นท่ี​คร้ัน​ถวาย​
เสร็จ​ก็​ถอย​ออก​มา​ ​คุณ​ลุง​ท่าน​นั้น​ ​ก็​ทำท่า​จะ​หยิบ​ปิ่นโต​ดัง​กล่าว​ออก​ไป​
วาง​ไว้​ทาง​อื่น​ ​แต่​หลวง​ปู่​ท่าน​ใช้​ช้อน​กด​ปิ่นโต​ไว้​ ​คุณ​ลุง​จึง​ไม่​กล้า​ย้าย​ที่​

293 ๒๙๓

​หลัง​จาก​​บรรดาผ​ ​ู้ที่มาถ​ วายภ​ ัต​ตาห​ ารไ​ด​้กลา่ วค​ ำถ​ วายส​ งั ฆทาน​
แลว้ ​​หลวงป​ ู่​ทา่ นร​ ับ​สังฆทานเ​รยี บร้อยแล้วจ​ งึ ​ลงมอื ​ฉนั ​ภัต​ตาห​ าร ​ ​พวก​
เขา​สังเกต​ว่า​ท่าน​เมตตา​ฉัน​สะเดา​น้ำปลา​หวาน​ท่ี​พวก​เขา​จัด​เตรียม​ไป ​
ถวาย​​(​ด้วยค​ วามข​ เี​้ กยี จ)​​​น้ัน​ด้วย​​พลันก​ ็น​ กึ เ​สยี ใจ​มาก​ ข​ นาด​ว่าท​ ำ​
ดว้ ย​ความ​ข​้ีเกียจ​​ทำ​แบบ​ลวกๆ​ ​​​ท่านก​ ย็​ งั ​เมตตาฉ​ นั ​ให​้ศษิ ยไ​์ ด้​ปลม้ื ​ใจ​​​
​ ต้ังแ​ ต​่นน้ั ​เปน็ ต้น​มา​​พวก​เขา​จงึ บ​ อก​กับ​ตวั ​เองว​ ่า​​ต่อแ​ ต่น​ ​ไ้ี ป​ศ​ ิษย​์
จะ​ไมเ​่ ป็นค​ น​มักง​่าย​​หรอื ข​ ้ีเ​กียจ​อกี ​​พวก​เขา​ไดแ​้ ต​่ระลึกถ​ ึง​ความ​เมตตา​
ท่ี​ท่าน​มี​ต่อ​ลูก​ศิษย์​ลูก​หา​ของ​ท่าน​อย่าง​เสมอ​ต้น​เสมอ​ปลาย​ ​ตราบ​จน ​
ทกุ ​วนั ​นี้​​
​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​

​“พ​ อ​”​


๒๙๔ 294 ๑​ ๓๒​

​ ​อ​ ธษิ ฐานต​ าม​กนั ​

​ คน​เราใ​นย​ าม​ทีร่ ัก​กนั ​มาก​ ​ ก​็มกั ​พา​กนั ไ​ป​ทำบุญ​อธษิ ฐานข​ อ​ให​้ได​้
อยู่​ร่วม​คู่​กัน​ไปท​ ุกภ​ พ​ทกุ ช​ าต​ิ ​ ซ่งึ แ​ ทท้​ จ่ี​ รงิ ​แลว้ ​ ​เปน็ การอ​ ธษิ ฐาน​ท่​ีมไิ ด้​
อย​ู่บนส​ มั มาท​ ฏิ ฐ ​ิ เ​ป็นการ​ไม่​ยอมรบั ​ความจ​ รงิ ข​ องค​ วาม​ไม่​เทีย่ ง​​และไ​ม​่
เป็นไ​ป​เพอ่ื ​การจ​ าง​คลาย​จาก​ความย​ ึดม​ ั่น​ถอื ม​ นั่ ​
​ สมัย​ก่อน​ข้าพเจ้า​เคย​สงสัย​หญิง​สาว​ข้าง​บ้าน​คน​หนึ่ง​ว่า​ทำไม​จึง​
ตอ้ ง​ทน​ให้ส​ ามี​ขี​เ้ หลา้ ​ทำร้าย​รา่ งกายอ​ ยทู่​ ุก​เมอ่ื เ​ชอ่ื ​วนั ​ท​ ั้งๆ​ ​ ​ที​่สาว​เจ้าค​ น​
น​กี้ ​เ็ ป็น​คน​หาร​ าย​ได​้อยู่​เพยี ง​คน​เดยี ว​แ​ ต​พ่ อได้ม​ า​ศกึ ษา​ธรรมะ​​ จึง​ทำให้​
พอ​สันนษิ ฐาน​ได​้ว่า ​ เ​หตุ​ปจั จยั ส​ ่วน​หนง่ึ ​คงม​ าจ​ าก​การอ​ ธิษฐานข​ อใ​ห้​ได​้
มา​อยู่​ร่วม​ชวี ติ ก​ นั ​ก​็เปน็ ไ​ด้​
​ใน​เรื่อง​การ​อธิษฐาน​ทำนอง​นี้​ ​หลวง​ปู่​ดู่​ท่าน​ส่ัง​ห้าม​ ​ท่าน​ว่า​กาล​
เวลา​ผ่าน​ไป​ ​แต่ละ​คน​ก็​มี​การ​สั่งสม​หรือ​พัฒนาการ​ต่าง​ๆ​ ​กัน​ไป​ ​เรียก​ว่า​
ธรรม​ไมเ่​สมอ​กัน​​
​ มี​สามี​ภรรยา​คู่​หน่ึง​มา​ทำบุญ​กับ​หลวง​ปู่​ ​เมื่อ​ทำบุญ​เสร็จ​แล้ว ​
ก​พ็ า​กันต​ ้ังจ​ ิต​อธิษฐานอ​ ะไรอ​ ยใ่​ู นใ​จ​​ขณะน​ ัน้ ​ห​ ลวง​ปก​ู่ ​็ทัก​ข้ึน​วา่ ​​​
​ “ส​ ามภ​ี รรยาไ​มต​่ อ้ งอ​ ธษิ ฐานต​ ามก​ นั เ​พราะจ​ ะด​ งึ ก​ นั ​อ​ กี ค​ นไ​ปไ​ด​้
อีกค​ นไ​ปไ​มไ​่ ด​้ ​..​​.​มนั จ​ ะด​ ึง​กนั ”​ ​​​

295 ๒๙๕

​ เร่ือง​นี้​ ​จึง​สอน​ให้​ระมัดระวัง​ไม่​ให้​ไป​เที่ยว​อธิษฐาน​ตาม​คน​รัก​
หรือ​ใคร​ๆ​ ​เพราะ​วิบาก​กรรม​อัน​เกิด​จาก​การ​อธิษฐาน​ที่​ไม่​กอปร​ด้วย ​ ​
สัมมา​ทิฏฐิ​ ก็​อาจ​กลับ​กลาย​เป็น​อุปสรรค​ต่อ​การ​ปฏิบัติ​ธรรม​ใน​วัน​ข้าง​
หน้า​ได้​.​.​.​นี่​แห​ละ​หนา​ที่​ว่า​ความ​รัก​ทำให้​คน​ตาบอด​ ​และ​แทนท่ี​จะ​เป็น​
บพุ เพสนั นิวาส​​ก​อ็ าจ​กลับ​กลายเ​ปน็ บ​ พุ ​เพอ​ า​ละวาด​!​​​
​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​

“​ พ​ อ”​ ​

​​​





๒๙๖ 296 ​๑๓๓​

​ หลวงป​ ่​ูชว่ ยเ​ดก็ ​​

​ใน​ปี​ ​พ​.​ศ​.​๒๕๒๙​ ​ โยม​ลูก​ศิษย์​หลวง​ปู่​คน​หน่ึง​ซ่ึง​ตั้ง​ครรภ์​ได้​
ประมาณ​ ​๖​ ​เดือน​เริ่ม​ไม่​แข็ง​แรง​เพราะ​ต้อง​ทำงาน​มาก​เนื่องจาก​
ค้าขาย​ดี​ ​ ​ต่อ​มา​สุขภาพ​ทรุด​ลง​ถึง​ขนาด​ต้อง​ไป​นอน​พัก​ที่​โรง​พยาบาล​
​ถึง​ ​๒​ คร้ัง​ๆ​ ​ละ​ ​๑๕​ ​วัน​ ​และ​คุณ​หมอ​ได้​สั่ง​ให้​หยุด​งาน​เพราะ​ลูก​ไม ่​
แขง็ ​แรง​​
​เมื่อ​เธอ​ต้ัง​ครรภ์​ได้​ประมาณ​ ​๘​ ​เดือน​ ​ก็​เกิด​อุบัติเหตุ​หกล้ม​
เขา้ ​อกี ​ผ​ ่านไ​ปไ​ด้​๒​ ​​วนั ​ ท​ อ้ ง​ม​ีอาการบ​ วม ​แ​ ละเ​ธอ​รสู้ ึกเ​จ็บ​มาก​ ​ไม​่
สามารถข​ ยบั เขยอื้ นไ​ปไ​หนไ​ด​้ แ​ ละพ​ ลนั น​ กึ ข​ นึ้ ไ​ดว​้ า่ ล​ กู ไ​มด​่ นิ้ ม​ า​๒​ ​ว​ นั แ​ ลว้ ​ ​
สามข​ี องเ​ธอร​ ะลกึ ถ​ งึ ห​ ลวงป​ ด​ู่ ​ู่ ห​ วงั ใ​หท​้ า่ นเ​ปน็ ท​ พ​ี่ ง่ึ ​ ​ จงึ ร​ บี ข​ บั ร​ ถยนตต​์ รง​
ไปว​ ดั ​สะแก​ทนั ท​ี ​ถงึ ว​ ัด​ประมาณ ​​๔ ​ ​โมงเ​ยน็ ​ ซ​ ึง่ เ​วลาน​ น้ั ​ ​มแี​ ต​ห่ ลวง​ป​ู่
ด​ู่อย่​ูเพยี ง​องค​เ์ ดียว​​​​เขา​ได้​กราบ​เรยี น​ให​ท้ า่ น​ฟัง​ถึงเ​ร่อื ง​ทภ​่ี รรยาเ​จ็บท​ อ้ ง​
ไม่​สบาย​มากแ​ ละล​ ูก​ใน​ท้อง​ไม​่ดน้ิ ​แลว้ ​​
​​​​​ ​ตลอด​เวลา​ท่ี​เขา​กราบ​เรียน​ท่าน​ ​เขา​สังเกต​เห็น​ว่า​หลวง​ปู่​ดู่ ​ ​
ท่าน​ไม่​ได้​มอง​หน้า​เขา​เลย​ ​ ​ท่าน​กลับ​มอง​ตรง​ออก​ไป​เบ้ือง​หน้า​โดย​ไม่​
กะ​พริบ​ตา​เลย​ ​ ​จน​กระท่ัง​เขา​เล่า​เร่ือง​จบ​ ​ท่าน​ก็​น่ัง​นิ่ง​ไป​อีก​ประมาณ ​
​๔​-​๕​ ​วินาที​ ​แล้ว​ท่าน​ก็​บอก​ว่า​ไม่​เป็นไร​ให้​เอา​ขวด​น้ำ​มา​ให้​ท่าน​ทำ​

297 ๒๙๗

น้ำมนต์​ให้​ ​หลวง​ปู่​ได้​เมตตา​อธิษฐาน​ค่อน​ข้าง​นาน​ ​เม่ือ​เสร็จ​เรียบร้อย​
ก็​ส่ัง​ให้​ข้าพเจ้า​รีบ​นำ​น้ำมนต์​ไป​ให้​ภรรยา​ด่ืม​และ​กำชับ​ว่า​ห้าม​แวะ​ท่ีไหน ​
เดด็ ข​ าด​​
​​​​​ ​ ​เม่ือ​เขา​กลับ​ไป​ถึง​บ้าน​ตอน​ประมาณ​ ​๖​ ​ ​โมง​เย็น​ ​ ​เธอ​ซ่ึง​นอน​
ภาวนา​อยู่​ตลอด​เวลา​ได้​เล่า​ว่า​ ​ช่วง​เวลา​ท่ี​สามี​เธอ​ไป​ถึง​วัด​สะแก ​ ​ก็​รู้สึก​
ว่าใ​น​ทอ้ ง​มเี​สยี ง​ตอด​ดัง​ตุ​บ๊ ​ขึ้น​มา​​แล้วล​ ูกก​ เ​็ ร่ิมด​ ิ้น​​จากน​ ั้น​มา​ ค​ รรภ์ข​ อง​
เธอก​ เ​็ ปน็ ป​ รกต​ิ ก​ ระทง่ั ใ​หก​้ ำเนดิ ท​ ารกเ​พศห​ ญงิ ​​ซงึ่ ป​ จั จบุ นั ก​ ำลงั ศ​ กึ ษาอ​ ย​ู่
ในร​ ะดับ​ปริญญา​ตรี​​ ท้งั น้​ี ​ก็​ดว้ ย​เมตตาอ​ ัน​หาป​ ระมาณ​มิไดข​้ อง​หลวง​ป​ ู่
ซึ่ง​ครอบครัว​น้​ยี งั ​คงร​ ะลึก​ถงึ ​พระคณุ ​ของห​ ลวง​ปู่​อยา่ ง​มิ​ร​้ลู มื ​
​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​

​“​พอ”​ ​







๒๙๘ 298

​๑๓๔​

เรอ่ื งผ​ ​ีผี​



​​​​​ ​วัน​หนึ่ง​ใน​ปี​ ​พ​.​ศ​.​๒๕๓๒​ ​ศิษย์​คน​หนึ่ง​ได้​ไป​ถวาย​ภัต​ตา​หาร​เพล ​
และส​ งั ฆทาน​กับ​หลวง​ป​ู่ดู​่ ​ เมอื่ ​ทา่ นฉ​ ัน​ภตั ต​ าห​ ารเ​สรจ็ แ​ ละใ​ห​พ้ รเ​รียบ
ร้อย​แลว้ ​ ​พวกล​ กู ศ​ ษิ ย์​ก็จ​ ะ​ลอ้ มวงร​ ับป​ ระทานอ​ าหาร​ร่วมก​ นั ​ ​ ​คร้ัน​
ทาน​ข้าว​และ​ทำ​กิจ​ธุระ​ส่วน​ตัว​เรียบร้อย​แล้ว​ ​หลวง​ปู่​ก็​จะ​ให้​ไป​ทำงาน​​
ความ​หมายก​ ็ค​ ือใ​หไ้​ป​นง่ั ส​ มาธ​ใิ น​หอส​ วดม​ นต์​​ เนื่องจากศ​ ิษยผ​์ ้​นู ​ีช้ อบท​ ​่ี
จะ​อยู่​ใกล้​ชิด​เพื่อ​จะ​ฟัง​ท่าน​สนทนา​ธรรม​กับ​ผู้​อ่ืน​มาก​กว่า​ ​จึง​ยัง​มิได้​
ไป​น่ังส​ มาธิ​​และเ​ธอ​สังเกตเ​หน็ ​หลวง​ป่​ูทา่ นเ​พง่ ม​ องไ​ปย​ ังฝ​ ั่งต​ รง​ขา้ ม​​ซ​ ึ่ง​
มี​ลูก​ศิษย์​กลุ่ม​หนึ่ง​กำลัง​จับ​กลุ่ม​คุย​กัน​อยู่​ ​ ​ท่าน​มอง​แล้ว​ก็​พูด​ข้ึน​ว่า​
“​คุยก​ นั ​แต​่เรือ่ งผ​ ผ​ี ​ี”​​
​​​​​ ​ ​เธอ​รู้สึก​ตกใจ​ ​และ​นึก​ใน​ใจ​ว่า​ ​พวก​เขา​เหล่า​นั้น​มา​ทำบุญ​
กับ​หลวง​ปู่​ ​แล้ว​เหตุ​ใด​หลวง​ปู่​จึง​กล่าว​ตำหนิ​พวก​เขา​ว่า​คุย​แต่​เร่ือง​ผี​ผี​ ​
และ​เรอื่ ง​น​้ีกเ​็ ปน็ เ​ร่อื งท​ ่​ีติด​ค้างอ​ ย่ใู​น​ใจ​ไมเ่​ข้าใจอ​ ยู่​นาน​​จน​กระท่งั ท​ า่ นล​ ะ​
สงั ขาร​ต​ อ่ ม​ าก​ ระทงั่ ป​ จั จบุ นั ​ เ​มอื่ ม​ าว​ ดั ส​ ะแกแ​ ลว้ น​ กึ ย​ อ้ นไ​ปถ​ งึ เ​หตกุ ารณ​์
คร้ัง​น้นั ​​ ปัญญา​ถึง​ไดเ้​กดิ ว​ า่ ​เรือ่ ง​ผผ​ี ที​ ่หี​ ลวงป​ ่​ตู ต​ิ งิ ​นั้น​ก​็คอื ​ ผ​ ี​โลภ ​ผ​ ​โี กรธ​
ผ​ีหลง​​นน่ั เอง​​เ​พราะค​ นเ​รา​โดยม​ าก​ก​ ม​็ กั จ​ ะค​ ยุ ก​ นั ​แตใ​่ น​เรอ่ื งโ​ลกๆ​ ​เ​ร่ือง​

299 ๒๙๙

ชอบ​นั่น​​ไมช​่ อบน​ ่​ี ล​ ้วนแ​ ล้วแ​ ตเ่​ปน็ เ​ร่ืองท​ ่​พี าใ​ห้​หลงเ​พลนิ ​​หลงป​ ระมาท​
ทงั้ ส​ ิน้ ​ ​สว่ นว​ ่าจ​ ะห​ นั ม​ าค​ ุย​กันใ​น​เรอ่ื ง​ท่ี​ชวนใ​หไ้​ม​่ประมาทใ​นช​ ีวิต​นนั้ น​ อ้ ย​
เหลือ​เกิน​​มิน่า​เล่าห​ ลวง​ปถู​่ ึง​พูด​บ่อย​ๆ​ว​ า่ ​​“​พดู ​มากก​ ็ผ​ ดิ ​มาก​ ​พูดน​ ้อย​
กผ​็ ิดน​ ้อย”​ ​​เวลา​ท​่ีควรม​ า​ด​ูจิต​ดูใจต​ ัว​เอง​​กก​็ ลบั ไ​ป​ใช้​ใน​ทาง​คุยฟ​ ุ้ง​เสีย​
​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​

​“​พอ”​ ​



๓๐๐ 300 ​๑๓๕​

​ หลวง​ป​ู่ด่ห​ู รอื ห​ ลวง​ปทู่ วด ?​

​​​​​​ ศ​ ิษย์ค​ น​หน่ึง​เลา่ ​ให้ฟ​ ังว​ า่ ​​เม่ือ​ตอนท​ ่เ​ี ขาไ​ปก​ ราบ​หลวง​ปู่ด​ ่ใ​ู นร​ ะยะ​
แรก​ๆ​ ​น้ัน​ ​ท่าน​ได้​เมตตา​สอน​เขา​ โดย​เน้น​หนัก​ใน​เร่ือง​ขอ​งการปฏิบัติ​
ภาวนา​ ​ ​และ​มี​อยู่​คร้ัง​หน่ึง​เม่ือ​เขา​กลับ​มา​จาก​วัด​สะแก​ใน​ตอน​กลาง​คืน​
แลว้ ป​ ฏบิ ตั ส​ิ มาธต​ิ อ่ ท​ บ​่ี า้ น​ขณะท​ น​ี่ ง่ั อ​ ยน​ู่ น้ั ไ​ดเ​้ หน็ ห​ ลวงป​ ด​ู่ ม​ู่ าห​ าใ​นท​ า่ ย​ นื
​เขา​รู้สึก​ดีใจ​มาก​ ​ ตาม​ประสา​คน​ที่​ปฏิบัติ​ใหม่​ๆ​ ​แล้ว​เกิด​มี​มงคล​นิมิต​ที่​
หลวง​ปู่​เคย​บอก​ว่า​มี​ไว้​ให้​เชื่อ​ให้​เลื่อม​ใส​ใน​คุณ​พระ​รัตนตรัย​ เพื่อ ​
เป็น​เคร่ืองจ​ งู ใจ​ใน​การป​ ฏบิ ัตพิ​ จิ ารณา​ในท​ างป​ ัญญา​ตอ่ ไ​ป​ ​เม่ืออ​ อกจ​ าก​
สมาธิ​แล้ว​ ​เขา​ก็​รีบ​เข้า​นอน​ ​โดยท่ี​ใจ​น้ัน​นึก​อยาก​จะ​ให้​ถึง​ตอน​เช้า​เร็ว​ๆ​
เพอื่ ​จะ​ไดไ้​ป​เลา่ ถ​ วายห​ ลวงป​ ่​ู
​​​​​​ พ​ อ​ร่งุ เ​ช้า​​เขา​กร​็ บี ข​ ับ​รถยนต์​จาก​กรุงเทพฯ ​ ​ตรงไ​ปว​ ดั ส​ ะแก​​ไป​
กราบห​ ลวง​ปด​ู่ ้วยจ​ ิตใจ​ทีม่​ ีป​ ีติ​มาก​ เ​มื่อไ​ปถ​ ึง​กเ​็ ลา่ ใ​หท้​ ่าน​ฟัง​ ท​ า่ น​ฟัง​จบ​
แล้ว​ก็​มอง​หนา้ เ​ขา​แลว้ ถ​ ามด​ ้วยค​ วาม​เมตตา​ว่า​​“ใ​ช​่ขา้ ห​ รือ​เ​ปน็ ​หลวงป​ ู่​
ทวดม​ ้ัง​” ​ ​สักค​ รู่ท​ ่าน​ก็ก​ ล่าวต​ ่อวา่ ​ ​“แ​ กจ​ ำ​ไวน​้ ะว​ ่า​ถ้าเ​ป็น​ข้า​​จะต​ อ้ งม​ ี​
ผเ​ี ส้อื อ​ ย​ู่ที่​หลังม​ อื ”​ ​
​​​​​ ​ ส​ ดุ ทา้ ย ​ ห​ ลวงป​ ก​ู่ ลา่ วอ​ ยา่ งอ​ ารมณด​์ ว​ี า่ ​ “​ บ​ า้ นแ​ กจ​ ง้ิ จกเ​ยอะน​ กั ”​ ​

301 ๓๐๑

ข้าพเจ้า​จึง​ยิ้ม​ด้วย​ความ​ดีใจ​เป็น​ท่ีสุด​ ​เพราะ​ม่ันใจ​ว่า​หลวง​ปู่​ไป​ท่ี​บ้าน​
จริง​ๆ​ ​มิ​เช่น​น้ัน​ ​หลวง​ปู่​จะ​รู้​ได้​อย่างไร​ว่าท่ี​บ้าน​เขา​มี​จ้ิงจก​เยอะ​มาก​
ซ่งึ ก​ ็เ​ป็น​เชน่ ​น้ัน​จริง​ๆ​​
​ ​เขา​ก้ม​กราบ​หลวง​ปู่​ด้วย​ความ​ซาบซึ้ง​ใน​ความ​เมตตา​และ​เอ็นดู
​ศิษย์​ผู้​ยัง​ต้อง​อาศัย​กำลัง​ใจ​จาก​ครูบา​อาจารย์​ ​ซึ่ง​ใน​เรื่อง​น้ี​ ​นับ​ว่า​ท่าน​
กรุณา​ส่ัง​สอน​ให้​เขา​เป็น​คนละ​เอียด​ ​เพื่อ​ให้​เป็น​ก้าว​แรก​ๆ​ ​ใน​การ​ใช้​
ความส​ ขุ ุม​แยบคาย​ใน​การ​ปฏิบัติ​ธรรมใ​ห้​ยง่ิ ๆ​ ​ข​ ึ้น​ไป​​ทกุ ว​ นั ​น้​ี ​เขา​ได้​แต่​
ระลึก​ถึง​ความ​เมตตา​ของ​ท่าน​ ​ สำนึก​อยู่​ว่า​ตัว​เขา​ได้​ทำ​อะไร​เพื่อ​ถวาย​
ให้​ท่าน​บ้าง​ ​ ​เขา​ยัง​จำ​ได้​ดี​ว่า​ท่าน​ได้​เมตตา​สอน​ว่า​ ​ “​ท่ี​แก​ทำ​ทุก​วัน​นี้​
​เพอ่ื ต​ วั ​แกเ​อง​​ไม่ใชเ่​พอื่ ข​ า้ ​” ​ ​แล้ว​ทำไมล​ ะ่ ​ ​เขาย​ งั จ​ ะ​ขเี้​กียจ​ ​ไม​่ปฏิบตั ิ​
ให้​จริงจัง​เพ่ือ​น้อม​ถวาย​บูชา​หลวง​ปู่​ดู่​ให้​สม​กับ​ท่ี​ท่าน​ได้​เมตตา​อบรม
​ส่งั ​สอน​เขา​
​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​

​“​พอ”​ ​




๓๐๒ 302 ๑๓๖​

​ ​สัมมา​ทิฏฐิ​

​ นอก​เหนือ​จาก​การ​ปลูก​ศรัทธา​ความ​เชื่อ​ความ​เลื่อม​ใส​ในพระ​
รัตนตรัย​แล้ว​ ​ ​การ​ปลูก​ฝัง​สัมมา​ทิฏฐิ​เป็น​เร่ือง​ที่​สำคัญ​ท่ีสุด​อีก​เร่ือง​หนึ่ง​
ท่ี​หลวง​ปู่​เมตตา​อบรม​สั่ง​สอน​สานุ​ศิษย์​ตลอด​มา​จวบ​จน​วาระ​สุดท้าย ​
แห่งส​ งั ขาร​ขันธ​์ของท​ า่ น​
​ ท​ า่ นพ​ รำ่ เ​นน้ ว​ า่ การจ​ ะไ​ดจ​้ ะถ​ งึ น​ น้ั ข​ น้ึ อ​ ยก​ู่ บั ค​ วามเ​พยี รข​ องแ​ ตล่ ะคน​
แม้​พระพุทธ​องค์​และ​ตัว​ท่าน​ก็​เป็น​เพียง​ผู้​ช้ี​ทาง​เท่านั้น​ ​ท่าน​อยู่​ใน​ฐานะ​
ของ​ผู้​บอก​ทาง​ ​รวม​ท้ัง​เป็น​ผู้​คอย​ให้​กำลัง​ใจ​ ​ และ​ผู้​ส่ง​เสริม​สนับสนุน​
ห​ าก​เราไ​ม​เ่ ดนิ ​ท​ ่านก​ ช็​ ว่ ยอ​ ะไร​ไม​ไ่ ด​้ ​การ​ชอบ​อธษิ ฐาน​ใน​ทาง​อ้อนวอนข​ อ​
ความส​ ำเรจ็ น​ น้ั ​ ไ​มจ​่ ดั เ​ปน็ ส​ มั มาท​ ฏิ ฐ​ิ ​ทถ​ี่ กู ค​ อื ต​ อ้ งอ​ ธษิ ฐานเ​พอื่ ท​ จ​ี่ ะ “ท​ ำ”​
การอ​ ธษิ ฐานเ​ปน็ การต​ อกยำ้ ห​ นกั แ​ นน่ ล​ งไ​ปว​ า่ จ​ ะใ​ชค​้ วามเ​พยี รท​ ำสงิ่ นน้ั ๆ​
ใหส้​ ำเร็จ​ใหจ้​ ง​ได​้
​ ​เสียง​จิ้งจก​เวลา​ลูก​ศิษย์​ปฏิบัติ​นั้น​เป็น​อีก​รูป​แบบ​หนึ่ง​ของ​การ​ให้​
กำลงั ใ​จ​และก​ ารส​ นับสนนุ ​จากห​ ลวง​ป​ู่ บ​ างค​ รงั้ เ​ราเ​ผลอ​ปลอ่ ย​จิตป​ ล่อยใจ ​
ให้​ฟุ้ง​ปรุง​แต่ง​ไป​จน​กู่​ไม่​กลับ ​ ​เสียง​จ้ิงจก​ท่ี​ดุดัน​ก็​ดัง​ข้ึน ​ ​เรียก​สติ​เรา​ให้​
กลับ​มา​อย​ู่กับ​เนอื้ ​กับ​ตวั ​​คำ​สอน​เก่ียว​กบั ​อนจิ ​จัง​​ทุก​ขัง​อ​ นตั ตา​จ​ ะค​ อย​

303 ๓๐๓

กอ้ งก​ งั วาน​ ​เป็นก​รอบ​ใน​การค​ ิด​พิจารณา​ธรรมข​ อง​สานศุ​ ษิ ยท์​ งั้ ห​ ลาย​​
​ ท​ กุ เ​ชา้ เ​วลาท​ า่ นเ​ปดิ ป​ ระตก​ู ฏุ ก​ิ า้ วเ​ดนิ อ​ อกม​ า ​ ท​ า่ นก​ ม​็ กั จ​ ะเ​อย่ ข​ น้ึ ว​ า่ ​
“​.​..​​เกิด​​แก​่ เ​จ็บ​ต​ าย”​ ​ ​เพื่อใ​ห​้คนท​ ่น​ี ง่ั ​เฝา้ ร​ อ​ท่าน​ทดี่​ า้ น​หนา้ ​กุฏ​ิไดฉ้​ ุกคดิ
ถ​ งึ ​ภัยใ​นส​ ังสารว​ ฏั ​ท​ี่จักม​ ม​ี าถ​ งึ ต​ ัวเ​รา​อยา่ งแ​ นน่ อน​แ​ ม​พ้ ระพุทธ​องค​์ก็​เคย
ต​ รสั ว​ ่า​ ​หากโ​ลกน​ ี้​ไมม่ ที​ ุกข์ ​ ค​ อื ​ ​ความ​แก่​​ความ​เจบ็ ​​ความต​ าย​แลว้ ​ไซร​้
โลกน​ ก​ี้ ไ​็ มจ​่ ำเปน็ ต​ อ้ งม​ ก​ี ารอ​ บุ ตั ข​ิ น้ึ ข​ องพ​ ระพทุ ธเจา้ ​หรอื พ​ ระพทุ ธศ​ าสนา​
​ ห​ ลวงป​ พ​ู่ ยายามช​ ใ​้ี หเ​้ หน็ ว​ า่ ไ​มม่ ป​ี าฏหิ ารยิ อ​์ นั ใ​ดจ​ ะอ​ ศั จรรยเ​์ ทา่ กบั ​
การ​ฝึกหัด​อบรม​พัฒนา​ตัว​เรา​เอง​จาก​ปุถุชน​ไป​สู่​อริยชน​ ​ท่าน​พูด​เสมอ​ๆ​​
ว​ า่ เ​ราแ​ ตล่ ะค​ นๆ​ ​ ต​ อ้ งเ​พยี รป​ ฏบิ ตั ไ​ิ ปใ​หถ​้ งึ ห​ วั ส​ ะพาน ​ ห​ รอื ท​ ำใหถ​้ งึ ห​ นง่ึ ใ​นส​ ​่ี
จึง​จะ​ปลอดภัย​ ​เป็น​ท่ี​แน่นอน​ว่า​จะ​ไม่​กลับ​ไป​สู่​อบาย​ภูมิ​ ​และ​เท่ียง​แท้​
แนน่ อน​วา่ ​จะส​ ามารถข​ า้ ม​ไป​ยงั ฝ​ ง่ั ​แหง่ พ​ ระ​นพิ พาน​อนั เ​ปน็ ​ทส่ี ดุ แหง่ ท​ กุ ขไ​์ ด​้
​ ​แม้​กระน้ัน​ ​ศิษย์​จำนวน​ไม่​น้อย​ก็​ยัง​ฝักใฝ่​ต่อ​การ​ขอ​บารมี​หลวง​ปู่​​
หรอื ห​ วงั พ​ ง่ึ ท​ า่ นใ​หเ​้ ปน็ ผ​ ส​ู้ ง่ เ​ขาไ​ปย​ งั ส​ คุ ตภ​ิ มู โ​ิ ดยไ​มข​่ วนขวายพ​ ง่ึ พาต​ นเอง​
จนท​ ่าน​ดุบ​ อ่ ย​คร้ัง​ว่า​ ​“​แกจ​ ะ​มา​หวงั ​ให​้ข้าค​ อยส​ ่ง​พวก​แก​ไม่​ได​้ ​แก​ต้อง​
สง่ ตวั แ​ กเ​อง”​ ​
​ ศาสนา​พุทธ​เป็น​ศาสนา​แห่ง​กรรม​และ​ความ​เพียร ​ ​ไม่ใช่​ศาสนา​
แห่ง​กรรม​เก่า​หรือ​พรหม​ลิขิต​ ​พระพุทธ​องค์​เมื่อ​แรก​ประสูติ​ก็ได้​เปล่ง​
อาสภิ​วาจา​ว่า​ ​“​เรา​เป็น​ผู้​เลิศ​แห่ง​โลก​ ​เรา​เป็น​พี่​ใหญ่​แห่ง​โลก​ ​เรา​เป็น​
ผูป้​ ระเสริฐ​สุด​แห่ง​โลก​ ก​ าร​เกิด​ของ​เรา​น​้ีเปน็ ค​ ร้ังส​ ุดทา้ ย​ ภ​ พ​ใหม่​ต่อไป ​
ไม่มี​”​ ​ พระพุทธ​องค์​ประกาศ​ใน​ท่ามกลาง​สภาพ​แวดล้อม​แห่ง​ความ​เชื่อ​

๓๐๔ 304

อยา่ งฝ​ งั ใจช​ นท​ ง้ั ห​ ลายว​า่ ม​ นษุ ยไ​์ มอ​่ าจพ​ ฒั นาต​ นเองไ​ด ​้ เ​พราะท​ กุ ค​ นเ​กดิ ม​ า​
เปน็ อ​ ยา่ งไรก​ เ​็ ปน็ อ​ ยา่ งน​ น้ั ไ​ปจ​ นต​ าย​ท​ กุ ช​ วี ติ ล​ ว้ นพ​ รหมล​ ขิ ติ ม​ าแ​ ลว้ ​ด​ งั น​ น้ั ​
การเ​ปล่งว​ าจาอ​ ยา่ ง​อาจหาญข​ องพ​ ระองค​์ ​จึง​เปน็ การป​ ระกาศ​อิสรภาพ​
ว่า​มนุษย์​เดิน​ดิน​ธรรมดา​นี้​แห​ละ​ ​หาก​ฝึกฝน​อบรม​ตน​ดีแล้ว​ ​อย่า​ว่า​
แต่​มนุษย์​ด้วย​กัน​เลย​ ​แม้แต่​เทวดา​และ​พรหม​ก็​ยัง​ต้อง​มาน​อบ​น้อม​
สกั การบ​ ชู า​​พระองคจ​์ งึ อ​ ยใ​ู่ นฐ​ านะพ​ ใ​่ี หญส​่ ดุ ​ เ​ปรยี บด​ งั ล​ กู น​ กต​ วั แ​ รกท​ เ​ี่ อา​
จะงอยป​ ากเ​จาะเ​ปลอื กไ​ข​่ (​ค​ กุ แ​ หง่ ส​ งั ส​ ารว​ ฏั )​​อ​ อกม​ าไ​ดก​้ อ่ นล​ กู น​ กต​ วั อ​ นื่ ๆ​ ​
​ เป็น​ระยะ​เวลา​ยาวนาน​ท่ี​หลวง​ปู่​ดู่​พร่ำ​สอน​ให้​ศิษย์​ท้ัง​หลาย​ต้ัง​อยู่​
ในส​ มั มาท​ ฏิ ฐติ​ ามค​ ำ​ส่งั ​สอน​ของพ​ ระพุทธ​องค​์ ​แลว้ เ​รา​ละ่ ​เ​ป็น​ผู้ป​ ระพฤติ​
ธรรมส​ มควรแ​ กธ​่ รรมห​ รอื ไ​ม​่ ​เ​ราย​ งั ใ​หค​้ วามส​ ำคญั ก​ บั ใ​บไมน​้ อกก​ ำม​ อื ของ
​พระพุทธ​องค์​ หรือ​มัว​เสีย​เวลา​แสวงหา​ทาง​ลัด ​หรือ​ปรุง​แต่ง​วิชา​แปลก​
ประหลาดพ​ สิ ดารอ​ นื่ ใ​ดอ​ ยอ​ู่ กี ห​ รอื ไ​ม​่ ​ท​ งั้ ท​ พ​ี่ ระพทุ ธอ​ งคต​์ รสั แ​ กพ​่ ระอ​ านนท​์
ในช​ ว่ ง​ท้าย​ใกลต​้ อนจ​ ะป​ รนิ ิพพานว​ ่า​​
“​ ​ดูก​ ่อนอ​ านนท​์ ​ภกิ ษุส​ งฆย​์ งั ม​ า​หวังอ​ ะไร​ในต​ ถาคตอ​ กี ​เลา่ ​ธ​ รรมท​ ่ี​
ตถาคตแ​ สดงแ​ ลว้ ท​ งั้ ป​ วง​ ต​ ถาคตแ​ สดงโ​ดยเ​ปดิ เ​ผย​ ไ​มม่ ภ​ี ายใน​ภายนอก​
ไม่ม​ีการ​ปกปิด​ซอ่ น​ความ​สำคญั ใ​น​ธรรมใ​ด​ๆ​เ​ลย​.​.​.​อ​ านนท ์​ ต​ ถาคตเ​ป็น​
ศาสดา​ของ​เทพดา​และ​มนุษย์​ท้ัง​หลาย​ ​โดย​จิต​บริสุทธิ์​ ​ พ้น​จาก​ตัณหา​​
มานะ ​ท​ ฏิ ฐิ​​นิสยั ​ ด​ ้วยป​ ระการท​ ้งั ​ปวง​​ข้อซ​ ่งึ ล​ ี้ลบั ​​จะ​ปกปิด​ซอ่ น​บงั ไ​ว้​
โดยแ​ สดงเ​ฉพาะแ​ กส​่ าวกบ​ างร​ปู บ​ างเ​หลา่ ไ​มท​่ ว่ั ไปก​ ด​็ ​ี ​หรอื จ​ ะเ​กบ็ ไ​วแ้ สดง
ต​ ่อ​อวสานก​ าล​สุดทา้ ย​ก็ด​ ​ี ข้อน​ ัน้ ​มิได​ม้ แ​ี ก่​ตถาคตเ​ลย”​ ​

305 ๓๐๕

​ ​ ​หาก​ม​ีทางล​ ดั ต​ รง​กวา่ ศ​ ลี ​ ส​ มาธิ​ ​ปญั ญา ​​และก​ าร​พิจารณาด​ ก​ู าย​
เวทนา​จ​ ติ ​ธ​รรม​อ​ ยจ​ู่ รงิ ​จ​ ะม​ ห​ี รอื ท​ พ​่ี ระพทุ ธอ​ งคผ​์ ทู้ รงเ​ปย่ี มด​ ว้ ยพ​ ระเ​มตตา​
และพ​ ระก​ รณุ าอ​ นั ห​ าป​ ระมาณม​ ไิ ด​้ จ​ ะไ​มท​่ รงบ​ อกก​ ลา่ วแ​ กเ​่ วไนยส​ ตั วท​์ ง้ั ห​ ลาย​
พระองค​ส์ ละ​ชวี ติ ​มา​นับภ​ พ​นับช​ าต​ิไมถ​่ ว้ น​ ​มิใช​่เพ่ือก​ าร​บอกท​ าง​เดินแ​ ก่​
สตั ว์​โลก​ดอก​หรือ​​
​ ​ ห​ ลวงป​ ก​ู่ เ​็ ชน่ ก​ นั ​ท​ า่ นไ​ดใ​้ หโ​้ อวาทธ​ รรมต​ ามแ​ นวทางท​ พ​่ี ระพทุ ธองค​์
วางไ​วท​้ งั้ ห​ ลกั ศ​ ลี ​ สมาธ ​ิ แ​ ละป​ ญั ญา แ​ กส​่ านศ​ุ ษิ ยท​์ งั้ ห​ ลาย ​ อ​ ยา่ งม​ ไิ ดป้ ดิ บงั ใ​ดๆ​ ​
ซ่ึง​เพียง​พอ​แก่​พวก​เรา​จะ​น้อมนำ​ไป​ปฏิบัติ​โดย​ไม่มี​ความ​จำเป็น​อัน​ใด​ท่ี​
จะ​ไป​สร้าง​เสริม​เพ่ิม​เติม​ให้​เกิน​เลย​จาก​คำ​สอน​ของ​หลวง​ปู่​หรือ​พระพุทธ​
องค์​ ​พระพุทธ​องค์​คัด​สรร​ธรรม​ที่​จำเป็น​และ​เพียง​พอ​ลง​ใน​ใบไม้​ใน​กำ​มือ​
แลว้ ​ ​ ดงั น​ น้ั ​ใ​บไมน​้ อกก​ ำม​ อื จ​ งึ ไ​มใ่ ชท​่ างข​ องผ​ ท​ู้ ป​่ี ระกาศต​ นเ​ปน็ พ​ ทุ ธบ​ ตุ ร​
ทง้ั ห​ ลาย​จะ​ไป​เสยี เ​วลา​ ​
หลวง​ปกู่​ ล่าว​เตือน​ไว​้แลว้ ​ว่า​​
​ “​เวลาเ​หลอื ​อีก​ไมม่​ าก​แลว้ ​​ใหร้​ บี ​พาก​ ันป​ ฏิบัต​ิ”​​​


“พ​ อ​”

๓๐๖ 306 ​๑๓๗​

​ อวดอ​ ตุ ร​ิมนส​ุ ธ​ รรม​

​ ธรรมดา​แล้ว​ ​หาก​พระ​ภิกษุ​สงฆ์​ไป​แสดง​ตัว​ว่า​ตน​มี​ฤทธ์ิ​เดช​ ​หรือ​
รู้​เห็น​ส่ิง​ที่​คน​อ่ืน​ยาก​จะ​รู้​เห็น​ได้​ ​ฯลฯ​ ​ก็​อาจ​เข้า​ข่าย​ผิด​วินัย​ข้อ​ท่ี​ว่า ​
อวดอ​ ุตร​มิ น​สุ ​ธรรม​
​ ตอน​เข้า​วัด​สะแก​และ​รู้จัก​หลวง​ปู่​ใหม่​ๆ​ ​ ก็​สงสัย​ว่า​ทำไม​หนอ​ ​
เวลา​หลวง​ปู่​จะ​สงเคราะห์​ใคร​ ​ทำไม​ต้องหา​ลูก​ศิษย์​สัก​คน​หนึ่ง​ใน​ท่ี​นั้น​ ​
มา​เป็น​ตัวแทน​ในการขอ​บารมี​หลวง​ปู่ทวด​ ​เพ่ือ​สงเคราะห์​คน​ป่วย​บ้าง​ ​
คนถ​ กู ค​ ณุ ไ​สยบา้ ง​ฯ​ ลฯ ​ ค​ ดิ อ​ ยใ​ู่ นใ​จบ​ อ่ ยค​ รงั้ ว​ า่ ก​ ท​็ ำไมหลวงป​ ไ​ู่ มพ​่ ดู บ​ อก​
ออกมาโดยตรง​เลย​ล่ะ​ ​ เพราะ​บาง​คร้ัง​ลูก​ศิษย์​ก็​มี​สภาวะ​จิต​ท่ี​ไม่​แจ่มใส​
เทา่ ห​ ลวง​ป​่ ู ​
ดงั ​คร้งั ​หนึ่ง​ ม​ ผี​ ​้ถู ูก​ของม​ า​ขอ​หลวงป​ ู่​สงเคราะห ์​ ท​ า่ น​กใ​็ ห​ล้ กู ศิษย​์
คนห​ น่ึงม​ า​นัง่ ส​ มาธ​ิขา้ งห​ นา้ ท​ า่ น ​แล้วท​ า่ นก​ บ็​ อก​ให้​ขอ​บารมห​ี ลวงป​ ่ทู วด​
กำหนด​จิต​เอา​ไม้​เท้า​หลวง​ปู่ทวด​จี้​ลง​ไป​ ​ไล่​ไป​ตาม​กระดูก​ ไล่​จุด​ดำๆ ​
ออกไ​ปใ​หห​้ มด​ส​ กั ค​ รท​ู่ า่ นก​ ถ​็ ามล​ กู ศ​ ษิ ยค​์ นน​ น้ั ว​า่ ​ จ​ ดุ ด​ ำห​ มดห​ รอื ย​ งั ​ลกู ศษิ ย​ ์
บอกว​า่ ​ห​ มดแ​ ลว้ ค​ รบั ​แ​ ตห​่ ลวงป​ ก​ู่ ลบั บ​ อกว​า่ ​เ​อา​้ ​ด​ ใ​ู หม​่ข​ อบ​ ารมห​ี ลวงป​ ทู่ วด​
ให้​ตาม​เห็น​ไม่มี​ท่ี​ปกปิด​ ​จาก​นั้น​ ​เขา​จึง​เห็น​ว่า​มี​จุด​ดำ​ๆ​ ​หนี​ไป​ซ่อน​ด้าน​
หลังก​ ระดูก​แ​ ละ​หลังจ​ าก​ไล​่จนส​ ว่างไ​ป​ทง้ั ​ร่าง​แล้ว​ ห​ ลวง​ปูก​่ ​็ใหข้​ อ​บารม​ี

307 ๓๐๗

หลวง​ปู่ทวด​แผ่​ให้​กับ​วิญญาณ ​และ​เจ้า​กรรม​นายเวร​ท้ัง​หลาย​ของ​เขา ​ ​
เปน็ ​อัน​เสร็จ ​ คราวน​ น้ั ​ท​ ำให้ข​ ้าพเจ้า​สงั เกตได​ว้ ่า​ค​ ำ​วา่ ​“​ ​ถกู ข​ อง”​ ​​นน้ั ​
คง​ต้อง​มีเ​รื่องข​ องว​ ญิ ญาณ​มาก​ ำกับ​ดว้ ยก​ ระมัง​
​ มา​บดั น ​้ี ข​ ้าพเจ้าพ​ อเ​ข้าใจ​ใน​กศุ โลบาย​ของ​หลวงป​ ู่ท​ ี​จ่ ะ​สงเคราะห​์
คนโ​ดยทท​่ี า่ นไ​มเ​่ สยี ใ​นเ​รอ่ื งก​ ารร​กั ษาข​ อ้ ว​นิ ยั ​อ​ กี ท​ ง้ั ย​ งั เ​ปน็ แ​ บบอ​ ยา่ ง​ ​ เพอ่ื ​
ไม่​ให้ผ​ ู้ท​ ่ีเ​ปน็ ​ครอ​ู าจารยเ​์ กดิ ค​ วาม​หลงต​ วั ​วา่ ​ตน​เป็นผ​ ว​ู้ ิเศษ​ ​แล้วไปย​ ึดใ​น​
ลาภ​สกั ก​ าระ​ ​จาก​ส่ิง​เหลา่ น​ ้​ี ความล​ ะเอียด​ลออ​ของ​หลวงป​ นู​่ ัน้ ​มี​มากเ​หลือ​
เกิน​​จะ​กนิ ​จะ​ด่ืม​จะ​ประกอบก​ าร​งานใ​ดๆ​ ​ ท​ า่ น​กฝ็​ ึก​ให​้เราม​ ​ีสต ​ิ ​ม​ีกริ ยิ า​
งดงาม​เรยี บรอ้ ย​​ไม่​พูดไ​ม่ค​ ยุ ใ​ห​เ้ ปลอื งล​ มห​ ายใจไ​ป​เปล่า​ๆ ​ ​ใคร​มา​หลอก​
ถาม​ถึง​คุณ​วิเศษ​ของ​หลวง​ปู่​ ​หลวง​ปู่​ท่าน​ก็​จะ​ว่า​ตัว​ท่าน​นั้น​ยัง​มืด​อยู่​เลย​
​ ดัง​น้นั แ​ ลว้ ​ จ​ งึ ค​ วรร​ ักษา​ปฏปิ ทา​อัน​ด​ีงาม​นี​้ไว้​ ว่า​ผ​ู้ปฏบิ ัต​ิทม่​ี งุ่ ​
ละ​กิเลส​ ​จะ​ต้อง​เป็น​ผู้​อ่อนน้อม​ถ่อม​ตน​ ​การ​รู้​เห็น​ภายใน​ก็​ให้​เป็น​เร่ือง​
ภายใน​ ​มิใช่​สิ่ง​ที่​จะ​มา​พูด​อวด​พูด​คุย​ ​ไม่​อย่าง​นั้น​ก็​อาจ​ ​“​ดีแตก​”​ ​อย่าง​
ที่​หลวง​ปู่​เคย​เตือน​ไว้​หลาย​คร้ัง​หลาย​หน​ ​เพราะ​มัน​อาจ​เป็น​กับ​ดัก​ตัว​โต​
สำหรับ​นกั ​ปฏบิ ัต​ิ แ​ ละไ​ม่​ควร​ลมื ห​ ลกั ท​ ี​่ว่าการ​ปฏิบัต​นิ ัน้ ​​เพ่อื ค​ วามไ​ม​่เป็น​
อะไร​เลย​​คอื ​ส​ ุญ​ญ​ตา​​หรอื ​​นพิ พานน​ น่ั เอง​​การม​ ีก​ ารเ​ป็น​กใ็​ห้​เป็นเ​รอ่ื ง​
ของ​สม​มุติ​ที่​คน​เขา​เรียก​กัน​เฉย​ๆ ​ ​ปล่อย​ให้​เป็น​สภาวะ​ธรรมชาติ​ล้วน​ๆ​ ​
ไม​่ตอ้ ง​ม​ี ​“ต​ ัวเ​รา”​ ​เ​ขา้ ไปย​ ดึ ​​เพราะ​​ทใี่​ดม​ ี​​“ต​ ัว​”​ท​ ​ี่น้ันย​ ่อมม​ ี​​“ส​ ังขาร”​ ​
ท่ี​ใด​ม​ี ​“ส​ ังขาร”​ ​ท​ ี่​นนั้ ย​ อ่ ม​ม​ี ​“ท​ ุกข​์”​​

“​ พ​ อ​”

๓๐๘ 308 ๑๓๘​

​ อ​ าหาร​

​หาก​ใคร​มี​โอกาส​ถวาย​ภัต​ตา​หาร​แก่​หลวง​ปู่​ ​จะ​พบ​ว่า​หลวง​ปู่​
ทา่ นฉ​ นั ​น้อย​มาก​​ฉันเ​พยี ง​ไม่ก​ ่​ีคำ​ แ​ ตล่ ะ​คำก​ ใ็​ช​้เวลา​เค้ียว​ค่อนข​ า้ ง​นาน​
และ​ก็​ไม่​เคย​ได้ยิน​ว่า​ท่าน​เอ่ย​ปาก​กับ​ญาติโยม​คน​ไหน​ว่า​ท่าน​ประสงค์​
จะ​ฉนั ​กบั ขา้ วอ​ ะไรเ​ปน็ ​พเิ ศษแ​ ต​่อยา่ งใ​ด​เลย​
​ หลวง​ปู่​ท่าน​สอน​ด้วย​การ​ทำให้​ดู​ว่า​ ​ อาหาร​.​.​.​มัน​ก็​แค่​ปัจจัย​
เครื่อง​อาศัย​ให้​ร่างกาย​ของ​เรา​ต้ัง​อยู่​ ​เพ่ือ​ประกอบ​การ​บำเพ็ญ​เพียร​ทาง​
จิตไ​ด​้ ​แน่นอน​วา่ อ​ าหารเ​ป็นเ​ร่ือง​สำคัญ​มใิ ช่​นอ้ ย​ ​จน​ทางพ​ ระท​ า่ น​ก​็ให้​
สงั เกตว​ า่ อ​ ะไรท​ ถ​ี่ กู ห​ รอื ไ​มถ​่ กู ธ​ าตข​ุ นั ธ​์ ​ แตม​่ ใิ ชว​่ า่ อ​ ะไรอ​ รอ่ ยห​ รอื ไ​มอ​่ รอ่ ย​
อาหาร​มิใช่​ส่ิง​ท่ี​เรา​จะ​เสีย​เวลา​ไป​กับ​มัน​ ​หรือ​มัวเมา​ไป​กับ​มัน​มาก​เกิน​ไป​​
สมัยน​ ้​ี ​ถึงข​ นาดร​ ับป​ ระทานอ​ าหาร​ตาม​หม่เ​ู ลอื ด​​รวม​ทัง้ ​กำหนดเ​ง่ือนไข​
มากมายเ​กี่ยวก​ ับก​ ารร​ บั ป​ ระทานอ​ าหาร​ จ​ น​อาจท​ ำให้​ลมื ​ไป​ว่าแ​ ม​้เรา​จะ​
บำรุงด​ ูแล​สงั ขาร​รา่ งกาย​ดี​เพียงใ​ด​ ​มนั ก​ ไ​็ มพ่​ ้น​อนจิ ​จังไ​ปไ​ด​้ ​ สิง่ ​ท​คี่ วร​ให้​
ความส​ ำคญั ​สงู สดุ ค​ ือ​ทาง​จติ ม​ ากก​ วา่ ​
​ แตใ​่ น​บาง​กรณ​ีครบู าอ​ าจารย์บ​ างท​ ่าน​ โ​ดย​เฉพาะท​ อ่ี​ ยูแ​่ ต่​ในป​ ่า ​
​ใน​เขา​ใน​ถิ่น​ทุรกันดาร ​ ​ก็​อาจ​อัตคัด​เร่ือง​อาหาร​ไม่​น้อย​ ​ซึ่ง​องค์​ท่าน​เอง​

309 ๓๐๙

คง​ไม่​ได้​รู้สึก​ว่า​เป็น​ความ​ลำบาก​อะไร​ ​แต่​ผู้​เป็น​ลูก​ศิษย์​มัก​รู้สึก​
ว​ า่ ​ครูบา​อาจารยน​์ า่ จ​ ะ​ไดข้​ บฉนั ​อาหาร​ที​่ประณตี ​กวา่ น​ ี้บ​ ้าง​​
​ขา้ พเจ้าเ​คยไ​ด​้ม​ีโอกาส​สนทนา​กบั ​หลวงป​ ​เู่ จ​ยี๊ ะ​จุนโท ​ซึง่ ​ท่านเ​คย​
ทำหน้าที่อุปัฏฐาก​หลวง​ปู่​ม่ัน​ หลวง​ปู่​เจ๊ี​ยะได้​เล่า​อย่าง​เปิด​เผย​ว่า​เวลา​ท่ี​
ท่าน​ฉัน​อาหาร​อัน​ประณีต​และ​มี​มากมาย​เหลือเฟือ​ท่ี​ญาติโยม​นำ​มา​ถวาย​
บ่อย​ครั้ง​ที่​ท่าน​อด​ไม่​ได้ท่ี​จะ​คิดถึง​หลวง​ปู่​ม่ัน​ว่าพระกร​รม​ฐาน​ปัจจุบัน​
​ไดร้​ บั ​ลาภ​สกั ก​ าระ​ ​อยา่ ง​มาก​ ​กเ็​ปน็ เ​พราะ​คุณ​งาม​ความด​ ข​ี อง​หลวง​ป่​มู ั่น​
​พระ​ลูก​ศิษย์​ ​หลาน​ศิษย์​ ​สมัย​หลัง​ล้วน​ได้​รับ​อานิสงส์​จาก​หลวง​ปู่​มั่น ​ ​
​แตต่​ ลอด​ชวี ติ ห​ ลวง​ปม​ู่ น่ั ​ ​ท่านไ​ม่​เคย​ได​ฉ้ นั อ​ าหารด​ ​ีๆ​สกั ม​ ื้อ​เลย​บ​ าง​ครง้ั ​
กไ​็ มค​่ อ่ ยพ​ อฉ​ นั ​ห​ ลวงป​ เ​ู่ จย​ี๊ ะเ​ลา่ ไ​ป​ใ​จท​ า่ นค​ งเ​กดิ ธ​ รรมส​ งั เวช​เ​พราะน​ ำ้ ตา​
ท่านค​ ลอเ​บา้ ​
​ พิจารณา​ดู​เอา​เถอะ​ ​ ใน​เวลา​ที่​เรา​กำลัง​มัวเมา​กับ​รูป​ ​รส​ ​กลิ่น ​ ​
เสียง​ ​สัมผัส​ ​อยู่​นั้น​ ​นัก​ปฏิบัติ​ทั้ง​หลาย​กำลัง​ปฏิบัติ​เพ่ือ​ความ​ไม่​เป็น ​
ทาสแ​ ห่ง​รปู ​ร​ ส​ก​ ล่นิ ​เ​สยี ง​​สัมผัส​​ฯลฯ​

​“​พอ”​

๓๑๐ 310 ๑​ ๓๙​

​ ​ประ​สทิ ธ​ิพระ​

​ ใน​สมัย​ที่​หลวง​ปู่​มี​ชีวิต​อยู่​นั้น​ ​บรรดา​ผู้​ที่​เช่า​วัตถุ​มงคล​ของ​ทาง​

ว​ ดั ส​ ะแกโ​ดยม​ ากแ​ ลว้ ก​ ม​็ กั จ​ ะน​ ำว​ ตั ถม​ุ งคลเ​หลา่ น​ น้ั ​​ไปใ​หห​้ ลวงป​ อ​ู่ ธษิ ฐาน​

ซ้ำ​อีก​คร้ัง​ ​เพ่ือ​เพ่ิม​กำลัง​ใจ​และ​ความ​เชื่อ​มั่น​ใน​วัตถุ​มงคล​ที่​จะ​นำ​ไป ​

บูชา​ และ​ทั้ง​ผู้​ท่ี​เช่า​วัตถุ​มงคล​และ​ผู้​ท่ี​อยู่​ตรง​บริเวณ​น้ัน​ก็​จะ​คุ้น​กับ​บท​

ประ​สิทธิ​พระ​ของ​หลวง​ปู่​ ​ แต่​ก็​อาจ​จำ​ไม่​ได้​ตลอด​ทุก​ตัว​อักษร​ ​ดัง​นั้น​

​ผู้​เขียนจ​ งึ ​ขอ​นำ​บท​ประ​สิทธพิ​ ระ​ของห​ ลวงป​ ู่​มาใ​ห้ร​ บั ท​ ราบก​ ัน ​ ​ดังนี​้ ​
​ เตส​ งั ​​ฑฆี า​ยก​ุ า​ม​ หาเ​ตช​ า​​มหา​ปญั ญา​ม​ หาโ​ภค​า​ม​ หา​ยะส​ า​
​ ปัญจ​ะ​วี​สต​ิ ภ​ ะ​ยญั ​จะ​​ท​วตั ต​ งิ ​สะ​โ​สฬสั ส​ ะ​อ​ ันตรา​ยญั จ​ ะ​​ต​ี ​ต​ิ
ช​ ะ​ยะส​ ทิ ธิ​​ธะนัง​ล​ าภั​ง​​โสตถ​ิ ​ภาค​ะย​ ัง​​สข​ุ งั ​​พะ​ลงั ​
ส​ ิร​ิอาย​ุ ​จะ​ว​ ัณ​โณ​​จะ​โ​ภคง​ั ​ว​ ุฑฒี​จ​ ะ​​ยะ​สะว​ า​
​ สะ​ตะ​วัสส​ า​จ​ ะ​อ​ า​ยู​จ​ ะ​​ชวี​ ะส​ ิทธ​ี ​ภะว​ นั ต​ ​ุ เ​ต​
​ พุทธ​ัง​สิทธ​ิ ​ธ​ มั ม​ ังส​ิทธิ​​ส​ ังฆง​ั ส​ ิทธิ​​ส​ ัพ​พะส​ ิทธ​ิ ​ภ​ ะว​ นั ต​ ​ุ เ​ต.​​

ผ​ เ​ู้ ขยี นม​ ค​ี วามเ​หน็ ส​ ว่ นต​ วั ว​ า่ ​ ​ หากเ​ราเ​ชอ่ื ม​ นั่ อ​ งคห​์ ลวงป​ ​ู่ ​เราก​ อ​็ าจ​

นำพ​ ระเ​ครอ่ื งพ​ ระบ​ ชู าท​ ย​ี่ งั ม​ ไิ ดผ​้ า่ นพ​ ธิ พ​ี ทุ ธา​ภเิ ษกไ​ปข​ อบ​ ารมข​ี องห​ ลวงป​ ​ู่

โดยก​ ารน​ อ้ ม​ใจว​ า่ ​หลวงป​ กู​่ ำลงั ป​ ระ​สิทธพ​ิ ระเ​ครือ่ ง​เหลา่ ​นัน้ ​ ​ ด้วย​คาถา​

311 ๓๑๑

ขา้ ง​ต้น ​ ​ใน​ขณะ​นน้ั ​ ​ตวั ​เราก​ ็​ทำส​ มาธิ​ภาวนาใ​ห้จ​ ติ ​สว่างไ​ป​ดว้ ย​ ก​ น​็ า่ ​
จะ​ให้​ผลอ​ย่าง​เดียวกัน​กับ​การ​ผ่าน​พิธี​พุทธ​าภิเษก​ ​ท้ังน้ี​ ​ ไม่​ว่า​จะ​ทำ​ท่ี​
หนา้ ​ห่นุ ข​ ผ​้ี ง้ึ ท​ า่ นท​ ว​่ี ดั ​สะแก​ห​ รอื จ​ ะ​เปน็ ​ท​่หี ้องพ​ ระ​ทบ่ี​ ้านต​ นเอง​ก็ตาม​


​“​พอ”​

๓๑๒ 312 ​๑๔๐​

​ ไม​่ใหแ้​ ปล​

​ คร้ัง​หน่ึง​ ​เคย​กราบเ​รยี นถ​ าม​หลวง​ป​่วู า่ ​ ​บท​สวด​บชู าพ​ ระ​ “​ ​นะโม​
พทุ ธ​าย​ ะ พระพทุ ธไตรรตั นญาณ ฯ”​ท​ ​ห่ี ลวงป​ ​ู่ให้ส​ วด​นัน้ ​ ​มา​จาก​ไหน​ ​
หลวงป​ บ​ู่ อกว​ า่ ไ​ดม​้ าสม​ ยั เ​มอ่ื ศ​ กึ ษาเ​ลา่ เ​รยี นจ​ ากว​ ดั ป​ ระดท​ู่ รงธรรม​ท​ า่ นวา่ ​
“​คาถา​นี้​ดี​ ​สมัย​ก่อน​เขา​จะ​หวง​คาถา​ดี​ๆ​ ​ไม่​เอา​มาบ​อก​ต่อ​ง่าย​ๆ​ ​ ​นะ​​
ใครห​ มน่ั ​สวดแ​ ล้วจ​ ะ​ไม่​จน​”​
​ แต่​พอ​ถาม​ว่า​มี​ความ​หมาย​ว่า​อย่างไร​ ​ท่าน​บอก​ว่า​ ​“​เรื่อง​คาถา​
เขา​ไม่​ให้​แปล​”​ ​ข้าพเจ้า​เอา​ไป​ขบคิด​ ​ประกอบ​กับผ่าน​กาล​เวลา​และ
ประสบการณ์​ต่าง​ๆ​ ​จึง​พอ​เข้าใจ​ว่า​ ​เร่ือง​คาถา​นั้น​ ​ไม่​ได้​มี​เจตนา​จะ​สอน​
ธรรม​อย่าง​บท​สวดใ​น​พระส​ ูตร​อาท ิ​ ธ​ มั ม​ จัก​กัป​ปวัตนส​ ูตร ​ท​ ีส่​ อนเ​รื่อง​
​ทาง​สาย​กลาง​ ​ฯลฯ​ ​ เร่ืองของคาถา​น้ันท่านมุ่ง​เอา​สมาธิ​จิต​ของ​ผู้สวด
เป็นสำคญั ​​ดงั นนั้ ​จึง​ต้อง​มี​ความแ​ น่วแ​ น​่ ​ หากจ​ ะม​ วั ไ​ป​ตคี วามห​ มาย​ของ​
คาถาแ​ ตล่ ะ​คำ แ​ ตล่ ะ​พยางค์​จ​ ิตม​ นั ​ก​็จะ​มี​การ​ปรงุ ​แตง่ ​ ​ไม่ร​ วมเ​ป็นส​ มาธ​ิ
ได​้โดยง​า่ ย​​การอ​ ธิษฐาน​กไ็ ม่มก​ี ำลัง​
​ การ​ทำความ​เข้าใจ​ใน​ความ​หมาย​ก็​เอา​ไว้​ศึกษา​ทีหลัง​ ​แต่​ขณะ​ท่ี​
สวด​ไ​ม​่ตอ้ ง​ไป​นึก​แปลค​ วาม​หมาย​

313 ๓๑๓

​ ส่วน​วา่ ส​ วด​คาถา​แล้ว​จะไ​ม​จ่ น​​ก็​อาจ​มน​ี ยั ห​ ลายร​ ะดับ​​เช่น​เ​มื่อไ​ด้​
สมาธิ​​พร้อมด​ ้วย​ศรัทธา​แล้ว ​ก​ ช​็ อื่ ว​ า่ ไ​ดอ​้ รยิ ท​ รพั ย์​​ คอื ​ ​ ทรัพย​ภ์ ายใน ​
ทจ​่ี ะเ​อาไ​ปต​ อ่ ยอ​ ดต​ า่ งๆ​ ​ ไ​ดอ​้ กี น​ บั ไ​มถ​่ ว้ น​แ​ ละอ​ าจห​ มายถ​ งึ ท​ รพั ยภ​์ ายนอก​
จริง​ๆ​ ​อัน​เกิด​จาก​ความ​ศักดิ์​สิทธ์ิ​ของ​ผู้​ที่​อธิษฐาน​ผูก​คาถา​ด้วย​สัจ​วาจา​
เหมอื นด​ ง่ั ค​ าถาข​ องพ​ ระอ​ งคลุ ม​ี าล​ ท​ ใ​่ี ชส​้ จั ว​ าจาอ​ า้ งค​ ณุ ค​ วามด​ ท​ี ไ​ี่ ดบ​้ ำเพญ็ ​
มา​​ช่วย​ให​ห้ ญงิ ต​ งั้ ค​ รรภ​ค์ ลอดง​า่ ย​​ซงึ่ ​ทกุ ว​ นั ​น​ี้ ​ครูบา​อาจารยก​์ ​น็ ยิ มส​ วด​
อธษิ ฐาน​ทำน​ ้ำมนตใ​์ หห​้ ญงิ ม​ คี รรภใ์​กล้คลอดด่มื ​


​“​พอ​”

๓๑๔ 314 ๑​ ๔๑​

​ อ​​ าราธนาพ​ ระเ​ขา้ ​ตวั ​

​การอ​ าราธนาพ​ ระ​เข้า​ตวั ​​โดยการวา่ ​บท ​สัพ​เพพ​ ทุ ธ​า​ส​ พั ​เพ​ธมั มา​
สัพ​เพ​สังฆ​า​ ​พะลัปปัต​ตา​ ​ปัจเจก​านัญ​ ​จะ​ยัง​พะ​ลัง​ ​อะระ​หัน​ ​ตานั​ญ​
จะ​เต​ เ​ชนะ​ ​รกั ​ขัง​ ​พันธ​า​มสิ​ ัพพ​ ะโส​​พุทธ​งั ​​อธิ​ษฐาม​ ​ิ ​ธัมมงั ​อธษิ​ ฐามิ​
สังฆ​งั ​อ​ ธ​ิษฐาม​ ิ​น​ ้ัน​​
​ เปรียบ​ได้​กับ​การ​ที่​เรา​ปีน​เขา​ ​แล้ว​เรา​ก็​ปัก​หมุด​เอา​ไว้​ ​เพ่ือ​ว่าการ​
ไตเ​่ ขาค​ ร้งั ​ต่อ​ๆ​​ไป ​ จ​ ะไ​ด้อ​ าศยั ​หมุดน​ นั้ ​ ​นอกจาก​น ี้​ ​หมดุ ท​ ​่ปี ัก​เอาไ​วย​้ งั ​
เปน็ เ​ครอ่ื งหมายใ​หร​้ ว​ู้ า่ เ​ปน็ เ​สน้ ท​ างท​ เ​่ี คยเ​ดนิ ผ​ า่ นม​ าแ​ ลว้ ​ ​ รวมท​ ง้ั ใ​ชอ​้ าศยั ​
ยดึ ​เกาะ​ใหไ้​ต​่เขา​ได​โ้ ดย​สะดวก​รวดเรว็ ​
​ ฉนั ใดก​ ฉ​็ นั น​ นั้ ​ เ​มอื่ เ​ราป​ ฏบิ ตั ส​ิ มาธภ​ิ าวนา​เ​วลาจ​ ติ ส​ งบด​ ​ี ท​ า่ นก​ ใ็ ห​้
อาราธนาพ​ ระ​เข้าต​ วั ​ ห​ รือต​ ั้ง​องค​พ์ ระ​ไว้​ทจ​ี่ ิต​ ​ ​ซงึ่ ส​ ง่ิ ​น้ี​จะเ​ปน็ เ​สมือนหมดุ ​
​เพื่อ​ให้การ​ปฏิบัติ​ครั้ง​หน้า​ ​จะ​เป็น​ไป​โดย​สะดวก​รวดเร็ว​ ​ ​นอกจาก​นี้​
ยัง​จะ​ช่วย​ให้​เรา​เกิด​ความ​สำรวม​ระวัง​ว่า​บัดน้ี​ ​จิต​ของ​เรา​เป็น​พระ​อยู่​
​จง​อย่า​คิด​ไม่​ดี​ ​พูด​ไม่​ดี​ ​หรือ​ทำ​ไม่​ดี​ ​ท่ี​สำคัญ​เรา​ต้อง​ปฏิบัติ​ตาม​ท่ี​
หลวง​ปู่​แนะนำ​ค​ ือ​ก​ าร​เกล่ยี จ​ ติ ​ต​ ะลอ่ มจ​ ิต​ใหไ้​ดท้​ กุ ​อิริยาบถ​​อกี ​นัย​หนงึ่ ​
ก็​คือ​การ​ประคอง​นิมิต​องค์​พระ​ไม่​ให้​เลือน​หาย​ไป​ไหน​ ​ซึ่ง​ก็​เท่ากับ​การ​
พยายาม​ทรง​อารมณ์​สมาธิ​ให้​ได้​ตลอด​ต่อ​เนื่อง​ทั้ง​วัน​ ​พอ​มี​จังหวะ​หรือ​

315 ๓๑๕

โอกาส​นั่ง​กรรม​ฐาน​ ​จิต​ก็​พร้อม​จะ​เป็น​สมาธิ​ได้​โดย​ง่าย​ ​อย่าง​หลวง​ปู่​​
ในช​ ว่ งท​ ท​่ี า่ นช​ ราภาพ ​ แ​ ละธ​าตข​ุ นั ธข​์ องท​ า่ นไ​มส่ ด​ู้ ​ี ​บางว​นั ​ ข​ ณะท​ า่ นใ​หพ​้ ร​
ป​ รากฏว​ า่ ท​ า่ นเขา้ สมาธเ​ิ งยี บไ​ปน​ าน ​ ท​ า่ นเ​ขา้ ส​ มาธไ​ิ ดโ​้ ดยร​วดเรว็ ​ เ​พราะ​
ความ​ชำนาญ​ใน​เรื่อง​ส​มาบ​ัติ​ของ​ท่าน​ ​เม่ือ​สังขาร​ท่าน​ต้องการ​การ​พัก​
ท่าน​ก็​เข้าพ​ ัก​ได​โ้ ดย​อัตโนมตั ิ​ ​จิต​ทฝี่​ กึ หดั ด​ ีแล้ว​ จ​ ึงม​ ​อี ำนาจ​มาก​

“​ ​พอ​”

๓๑๖ 316 ​๑๔๒​

​ ไ​​ม่​ต้อง​บร​ ​กิ รรม​

​ เรื่อง​น้ี​ ​แม้​เป็น​ประเด็น​ปลีก​ย่อย​ ​แต่​หาก​ไม่​ถ่ายทอด​ก็​เกรง​จะ​
สูญหาย​ไป​
​ ครงั้ ห​ นง่ึ ​ห​ ลวงป​ เ​ู่ คยบ​ อกว​ า่ ​“ขณะท​ ก​ี่ ​ ำลงั อ​ จุ จาระ​ป​ สั สาวะน​ นั้ ​
ให​้งดบ​ ร​ิกรรม​ภาวนา​ไตรส​ รณค​ มน์”
​ ตอน​น้ัน​ ​ใน​ใจ​ก็​คิดแย้ง​หลวง​ปู่​ ​ว่า​เรา​ควร​ภาวนา​ให้​ได้​ตลอด​
ทกุ ​อิริยาบถจ​ ึงจ​ ะถ​ ูก ​ ​เพราะเ​ราไ​มร่ ​วู้ ่าเ​ราจ​ ะ​ตาย​เมอ่ื ​ไหร่​​อย​ใู่ น​ห้องนำ้ ​
ก​อ็ าจ​ตายไ​ด​้น่นี​ า​
​ ท่าน​ก็​ขยาย​ความ​ให้​ฟัง​ ​(​โดย​เรา​ไม่​ได้​เอ่ย​ปาก​ถาม​)​ ​ว่า​เว​ลา​เรา​
บริ​กรรม​ไตร​สรณ​คมณ์​อยู่​น้ัน​ ​เทวดา​เขา​จะ​ตาม​มา​รักษา​ ​(​อัน​นี้​ก็​เป็น​ท่ี​
เข้าใจ​เอง​ได​ว้ ่า​เ​รา​จะ​เชญิ ​เทวดา​เขาม​ าส​ ัมผัส​สิง่ ป​ ฏิกลู ​ด้วย​ทำไม)​​ส​ ว่ น​วา่ ​
จะ​ต้อง​หยดุ ​ภาวนาน​ ้นั ก​ ​ไ็ ม​่จริง​ ​เพราะท​ ่าน​ใหห​้ ยุดบ​ ร​ ก​ิ รรม​ แ​ ตม​่ ิไดใ้​ห้​
หยุด​ภาวนา​ ​เรา​ยัง​มี​รูป​แบบ​การ​ภาวนา​อีก​สารพัด​วิธี​ ​เป็นต้น​ว่าการ​
พจิ ารณาอ​สภุ ​ะ​หรอื ​การ​ทำความร​ ู้สกึ ต​ ัว​ในอ​ ริ ยิ าบถต​ า่ งๆ​ ​เ​ป็นต้น​​
​ พอย​ อ้ นพ​ จิ ารณาต​ วั เ​องใ​นภ​ ายห​ ลงั ก​ ช​็ า่ งน​ า่ ข​ นั แ​ กมส​ งั เวชใ​จเ​จา้ ของ​
ว่าที่​นึก​ค้าน​หลวง​ปู่​นั้น​ ​ทำ​ราวกับ​ว่า​ตัว​เอ​งบ​ริ​กรรม​ภาวนา​ได้​ตลอด ​

317 ๓๑๗

ทกุ ​อริ ิยาบถอ​ ย่างน​ ั้นแ​ ห​ละ ​ท​ ่ีท​ หี่​ ลวงป​ ู่ห​ ้าม ​​กจ​็ ะ​มาแ​ สร้งท​ ำข​ ยนั ​เชียว​​
แคจ​่ ะ​ระลกึ ถงึ ค​ วามต​ าย​ใหไ​้ ด​บ้ อ่ ย​ครั้ง ​ ​กย​็ ัง​หลง​ๆ​​ลืมๆ​ ​​ระลกึ ไ​ดบ​้ ้าง ​ ​
ระลกึ ไ​ม่​ได​บ้ ้าง​


“​ พ​ อ​”​

๓๑๘ 318 ๑​ ๔๓​

​ ​ติดต​ ำรา​

​ ความร​ใ​ู้ ดท​ ม​่ี อ​ี ย​ู่ แ​ ตไ​่ มช​่ ว่ ยใ​หเ​้ ราไ​มก​่ ระเทอื น​ เ​วลาม​ ส​ี ง่ิ ม​ าก​ ระทบ​
นั่น​แห​ละ ​ เ​ขาเ​รียกว​ ่าค​ วาม​ร้​ูจำ​ ​ เขา​ไม​ใ่ ห​้ความ​นบั ถือก​ ​โ็ กรธเ​ขา ​ เ​ขา​
นนิ ทา​ว่าร​ ้ายก​ ็อ​ าฆาตเ​ขา​ ไ​ด้​รบั ​อาหาร​อร่อย​ๆ​ ไ​ด้​เห็นร​ ปู ท​ ​น่ี า่ เ​พลินใ​จ​​
กห็​ ลงย​ ินดีไ​ป​​น่นั ​ก​เ็ รียกว​ า่ ก​ ระเทอื นเ​พราะส​ ิ่ง​กระทบ​อกี เ​ชน่ ก​ ัน​​
​ หากห​ มนั่ ต​ รวจส​ อบต​ วั เ​องก​ จ​็ ะร​ไ​ู้ ดว​้ า่ ​ ​ ความร​ท​ู้ อ​่ี ยก​ู่ บั ต​ วั เ​ราน​ นั้ เ​ปน็ ​
ความร​ ้จ​ู ำ​เสยี ​ส่วน​มาก​ ​เมอื่ ​ร​แู้ ล้ว​​จะไ​ด​ไ้ ม​่หลง​ใน​ความร​ จ​ู้ ำว​ า่ ​เป็น​ปญั ญา​
อกี ​ เ​พอื่ จ​ ะไ​ดบ​้ ำเพญ็ เ​พยี รส​ รา้ งป​ ญั ญาใ​หเ​้ กดิ ใ​หม​้ ​ี ห​ รอื ใ​หย​้ งิ่ ๆ​ ​ ข​ น้ึ ไ​ปอ​ กี ​
ด้วย​ความไ​มป​่ ระมาท​
​ ม​ีหลกั อ​ ัน​หนึง่ ท​ ด่ี​ ​ีมาก​ เ​ปน็ ห​ ลัก​ของ​พระกร​รมฐ​ าน​ทเี่​ปน็ ล​ ูก​ศษิ ย​์
ลกู ห​ าใ​นส​ ายข​ องห​ ลวงพ​ อ่ ช​ า​ส​ ภุ ทั​ โ​ท​ว​ ดั ห​ นองป​ า่ พ​ ง​จ​ งั หวดั อบุ ลราชธานี​
คอื ​​ทา่ น​ให้​ระลกึ ​​หรืออ​ าจใ​ช้​เปน็ ค​ ำ​บริก​ รรมภ​ าวนาว​ า่ ​
​“ไ​ม่มี​อะไร​​ไมไ่​ด​อ้ ะไร​ไ​ม​่เป็น​อะไร”​ ​​
​หลวง​ป​เู่ อง​กเ็​คยใ​หห​้ ลักว​ ่า​​
“​จง​ปฏบิ ตั ​อิ ย่างค​ นโ​ง่​ อ​ ยา่ ​ปฏิบตั อิ​ ย่างค​ น​รมู้ าก​”​
​​ เ​พราะเ​ราค​ วรม​ เ​ี ปา้ ห​ มายก​ ารป​ ฏบิ ตั เ​ิ พอื่ ค​ วามว​ า่ ง​ค​ อื ว​ า่ งจ​ ากก​ เิ ลส​

319 ๓๑๙

วา่ งจ​ ากค​ วามย​ ดึ ม​ น่ั ห​ มายม​ นั่ ต​ า่ งๆ​ ​​เพอื่ ค​ วามเ​บาส​ บาย​ค​ วามป​ ลอดโ​ปรง่ ​
​และไ​ม​ต่ ้องแ​ บก.​.​​. ​ แ​ ม​ก้ ระทง่ั ​ความ​ดี​


​“พ​ อ”​



๓๒๐ 320 ๑​ ๔๔​​

​ นกั เ​ช็ค​พระ​​

​เป็น​ธรรมดา​ที่​คน​ปฏิบัติ​กรรม​ฐาน​ย่อม​อาจ​สัมผัส​ถึง​พุทธ​คุณ​ท ่ี​
อยู​่ในพ​ ระ​เครอื่ งพ​ ระ​บชู า ​ซ​ ่งึ ใ​น​สมัยท​ ​่หี ลวง​ป​ูย่ งั ​มีช​ วี ิต​อยู่​​ทา่ นก​ ็เ​คย​ให​้
ลกู ศ​ ษิ ยเ​์ อาพ​ ระม​ าก​ ำแ​ ลว้ อ​ ธษิ ฐานข​ อช​ มบ​ ารมใ​ี นอ​ งคพ​์ ระ​ เ​วลาป​ ตี เ​ิ กดิ ข​ น้ึ ​
ท่ีผ​ ​ู้กำพ​ ระ​​หลวง​ปก​ู่ ​็จะท​ ราบ​ได้​​ทา่ น​จะบ​ อกเ​ลยว​ ่า​ขณะน​ ​้ปี ตี ​ิข้นึ ม​ า​ตาม​
แขน​แลว้ น​ ะ​​ข้ึนม​ าท​ ​ห่ี ลงั ​ท่คี​ อ​​กระท่ัง​ถงึ ศ​ ีรษะ​ฯ​ ลฯ ​​ทา่ น​ทราบ​ชัดก​ ว่า​
เ​จา้ ต​ วั เ​สยี อ​ กี ​ ส​ ดุ ทา้ ยท​ า่ นก​ ส​็ รปุ ว​ า่ การขอชมบารมใี นองคพ์ ระนน้ั ท​ ำเ​พอ่ื ​
ใหเ​้ กิดค​ วาม​เชื่อค​ วามเ​ล่ือม​ใส​ในค​ ุณ​พระ​วา่ ม​ ​ีอยจู่​ ริง ​ ​(ท​ ่านไ​ม่​เคย​บอกว​ ่า​
เก่งห​ รือ​ดเ​ี พราะ​การเ​ช็ค​พระ​ ​เพราะจ​ ะ​เกง่ ​จะ​ดไี​ด ​้ ก​ ด​็ ้วยจ​ ิต​ทีเ​่ ล่ือม​ใสใ​น​
คุณ​พระ​รตั นตรัย​ต่างห​ าก)​​
​ การข​ อช​ มบ​ าร​มใี นองค​ พ​์ ระใ​นส​ มยั น​ นั้ ​โ​ดยม​ ากม​ กั ท​ ำต​ อ่ ห​ นา้ ห​ ลวงป​ ​ู่
และ​หลวง​ปู่​เป็น​ผู้​พา​ทำ​ ​เพราะ​ถ้า​ทำ​ไม่​ถูก​ต้อง​ ​มัน​อาจ​สุ่ม​เสี่ยง​ต่อ​
การ​ปรามาส​พระ​ ​เช่น​ ​แทนท่ี​จะ​เป็นการ​ขอ​ชม​บารมี​เพื่อ​สร้าง​ความ​
เลื่อม​ใส​ศรัทธา​ ​กลับ​กลาย​เป็นการ​เปรียบ​เทียบ​พลัง​ใน​องค์​พระ​ว่า​องค์​
ไหนเหนือกวา่ องค์ไหน น่​ีหากวา่ พ​ ระสงฆ์องค์​ทท่ี ่านประสทิ ธพิ ระนน้ั เ​ป็น​
ผู้ม​ ​คี ณุ ​ธรรม​สงู ​ผ​ ้ทู​ ​่ีปรามาส​กอ​็ าจม​ ี​บาปกรรมต​ ิดตวั โ​ดย​ไม​จ่ ำเป็น​​ทง้ั ​ๆ​ท​ ี่​

321 ๓๒๑

การข​ อช​ มบ​ ารมน​ี น้ั ​ แ​ ตเ​่ ดมิ เ​ราต​ อ้ งอ​ าศยั บ​ ารมห​ี ลวงป​ ช​ู่ ว่ ยเ​ปดิ ใ​ห​้ ​แตท​่ นี ​้ี
เกิด​การ​อวด​เก่ง​จะ​กระทำ​เอง​ ​ก็​เลย​พลาด​เพราะ​ความ​ท่ี​จิต​เจ้าของ​ยัง​ไม่​
พน้ จ​ ากส​ ิ่งท​ เี่​รยี กว​ า่ อ​ คต​ิ ​ดังต​ ัวอยา่ งต​ อ่ ​ไปน​ ี้​
​มี​ศิษย์​อาวุโส​ของ​หลวง​ปู่​ท่าน​หนึ่ง​ ​มี​ความ​สนุก​เพลิน​กับ​การ​
เช็ค​พระ​ท้ัง​ของ​ตัว​เอง​ ​รวม​ไป​ถึง​ของ​พรรค​พวก​เพื่อน​ฝูง​ ​กระทั่ง​วันหนึ่ง ​ ​
เพื่อน​สนิท​คน​หน่ึง​นึก​อยาก​ลอง​ของ​ ​จึง​เอา​พระ​เครื่อง​ ​๒​ ​องค์​ท่ี​ม่ันใจ ​
ใน​พุทธ​คณุ ​ ​กบั ก​ ้อนพ​ ลาสติกอ​ ีก ​ ๑​ ​ ช​ น้ิ ​​ ท้งั หมดร​ วมเ​ป็น​​๓​​ช้ิน​ห​ ่อ​
กระดาษแยก​กันไ​ว้​ ​แลว้ ส​ ่งใ​ห​น้ กั เ​ชค็ ​พระ​ ​เช็คท​ ีล​ ะอ​ งค์​โดย​ไม​่อาจ​ทราบ​
ได​ว้ า่ ​ขา้ งใ​น​เป็น​อะไร​
​ นัก​เช็ค​คน​นั้น​เมื่อ​จับ​เอา​องค์​พระองค์​ที่​ ​๑​ ​และ​ ​๒​ ​ก็​เกิด​ปีติ​
ไปตามล​ ำดบั ​ก​ ลา่ วร​บั รองว​า่ ด​ ๆ​ี ​พ​ อถ​ งึ ช​ น้ิ ท​ ​่ี ๓​ ​​ซงึ่ เ​ปน็ กอ้ นพลาสตกิ ทอี่ ยใู่ น​
หอ่ กระดาษ​​เมอ่ื ​กำแ​ ล้วก​ ​ย็ ัง​กลา่ ว​วา่ ป​ ีต​แิ รงเหลือ​เกนิ ​ดี​จรงิ ๆ​ ​​แลว้ ขอให​้
เพื่อนช่วย​เปิดห่อกระดาษ​ออก​มา​ให้​ชม​หน่อย​ว่า​เป็น​พระ​เครื่อง​วัด​ไหน​ ​
เพอ่ื นส​ นทิ เ​จา้ ของก​ อ้ นพ​ ลาสตกิ น​ นั้ ก​ ไ​็ มอ​่ ยากใ​หเ​้ พอื่ นเ​สยี ห​ นา้ จ​ งึ บ​ า่ ยเ​บยี่ ง​
แต่​เม่ือ​ถูก​รบเร้า​มาก​เข้า​ก็​เลยจำ​ต้อง​เปิด​ออก​ให้​ดู ​ ​ผล​จะ​เป็น​อย่างไร​
ค​ ง​ไม​ต่ ้อง​อธิบายต​ ่อ​
​ นี่​แห​ละ​ ​การ​จะ​ทำ​อะไร​ไม่​ว่า​ทาง​โลก​หรือ​ทาง​ธรรม​ ​เรา​ต้อง​มี​
เปา้ ห​ มายท​ ช​่ี ดั เจน ​ แ​ ละค​ วรเ​ปน็ เ​ปา้ ห​ มายท​ ถ​ี่ กู ท​ ค​ี่ วรเ​ปน็ อ​ นั ดบั แ​ รก ​ ดงั น​ น้ั ​
การส​ มั ผสั ​พลงั พ​ ระเ​พ่อื จ​ ะเ​ชค็ ​คณุ ​ธรรม​ทา่ น ​ ​จึงถ​ ือวา่ ​ผดิ ​ต้งั แ​ ตแ​่ รก​แลว้ ​​
รวม​ท้ัง​โอกาส​ท่ี​สัมผัส​ไม่​ตรง​ตาม​ความ​เป็น​จริง​ก็​มี​สูง​ ​เพราะ​จิต​ของ​เรา​

๓๒๒ 322

ไ​ม่เ​ป็นก​ลาง​(​​คอื ม​ ​ีอคติ​)​​อันอ​ าจ​เกิดจ​ าก​ปีต​ทิ ี่​ตอ่ เ​น่อื ง​กนั ม​ า​แ​ ล้วเ​จา้ ต​ วั ​
ไ​มส​่ ามารถจ​ ะป​ ลอ่ ยว​ างใ​หจ​้ ติ ก​ ลบั ไ​ปส​ ภ​ู่ าวะท​ เ่ี ปน็ กลางไ​ด​ ้ กอ่ นก​ ารเ​รม่ิ ต​ น้ ​
ข​ อช​ มบ​ ารมใ​ี หม ​่ ห​ รอื ไ​มก​่ เ​็ พราะจ​ ติ ค​ ดิ เ​ลยอ​ งคพ​์ ระท​ อ​ี่ ยใ​ู่ นก​ ำม​ อื ​​ออกไ​ป​
ถงึ ​หลวง​พ่อ​หลวง​ป​ู่ทเี​่ รา​คิด​ว่า​เปน็ ผ​ ​ู้เสก ​ ​เมอื่ เ​ลยไ​ป​ถงึ ​องค์จ​ ริงท​ า่ น​ดังน​ ้ัน​
แล้ว ​ ​ทำไมป​ ีต​ิจะ​ไม​เ่ กดิ ​ล่ะ​​ หากแ​ ต่​เป็น​ปีต​อิ นั เ​กดิ ​จากก​ ารร​ ะลกึ ถ​ งึ ​องค์​
หลวงพ​ ่อ​หลวงป​ ู่​ม​ ใิ ช่​จาก​วตั ถุ​มงคลใ​น​กำม​ ือ​เรา​

“​ พ​ อ”​

323 ๓๒๓

​๑๔๕​

ไ​ม​่ตอ้ ง​มาก​



​ ตลอดร​ะยะเ​วลาห​ ลายป​ ท​ี ม​ี่ โ​ี อกาสไ​ดไ​้ ปก​ ราบน​ มสั การแ​ ละฟ​ งั ธ​ รรม​
จากห​ ลวงป​ ​ู่ ​ สง่ิ ท​ ไ​ี่ ดเ​้ รยี นร​อ​ู้ ยา่ งห​ นงึ่ ก​ ค​็ อื ​​ทา่ นม​ ไิ ดม​้ งุ่ ห​ วงั ใ​หศ​้ ษิ ยข​์ องท​ า่ น​
ไป​ศึกษาเ​ล่า​เรียน​อะไร​มาก​ๆ​​ย่งิ ไ​ปก​ วา่ ​ภาค​ปฏบิ ตั ิ​​ทำนองว​ า่ ​​รู้​นอ้ ยแ​ ต​่
ทำใหไ​้ ด้ผ​ ล​​ดก​ี ว่าร​ ู้มาก​ แ​ ตล​่ ้วน​เป็นค​ วาม​รจ​ู้ ำท​ ั้งหมด​​จะห​ าความ​รจู​้ รงิ ​
ก​ ็​แทบ​ไมม่ เ​ี ลย ​ ​อย่าง​นี้​ทา่ น​ไมย​่ กย่อง​
อ​ ปุ มาเ​หมอื นท​ พ​่ี ระพทุ ธเจา้ ก​ ลา่ วไ​วว​้ า่ ​จ​ งท​ ำตวั เ​หมอื นอ​ ยา่ งเ​จา้ ของ​
โคท​ ม​ี่ ส​ี ทิ ธจ​์ิ ะด​ ม่ื ก​ นิ น​ ำ้ นมโ​คข​ องต​ น​ จ​ งอ​ ยา่ เ​ปน็ ด​ งั่ ค​ นง​านเ​ลยี้ งโ​ค​ ท​ ไ​ี่ มม่ ​ี
สทิ ธ​ิ์จะ​ด่มื ​นำ้ นม​โคท​ ่ีต​ น​เลี้ยง​​​.​.​.เ​ราป​ ฏบิ ตั ​ิธรรม​​แม​ไ้ มม​่ าก​​ แต​่หาก​ได้​
ล้มิ ​รส​ผล​แหง่ ​ธรรม​น้นั ​ ก​ ็ไดช้​ ือ่ ​วา่ ​สำเร็จ​ประโยชน​์แลว้ ไ​มม​่ าก​ก​น็ อ้ ย​
​​

​“พ​ อ”​



๓๒๔ 324 ​๑๔๖​

​ หลวง​พ่อ​กัสสป​ มุน​ี

​ ใน​ราว​ป​ี พ.ศ. ​๒๕๓๐​​มี​คณะม​ ากร​ าบนมสั การ​หลวง​ปู่​​ หลวง​ปู่​
ท่านถ​ าม​วา่ ​​“น​ ่งั ​สมาธหิ​ รือ​ภาวนาห​ รือเ​ปล่า”​ ​เ​ขา​ตอบว​ ่า​​“ผ​ มน​ ่งั ​สมาธ​ิ
กับ​หลวง​พ่อ​กัสสป​ มุน​ี จ​ งั หวดั ร​ ะยองค​ รบั ”​ ​
​ หลวง​ปู่​ท่าน​ให้​เขา​เล่า​ให้​ฟัง​ว่า​หลวง​พ่อ​กัสส​ปมุนี​สอน​อย่างไร​
หลวงป​ ท​ู่ า่ นฟงั แลว้ กร​็ บั รองว​า่ ​​“ด​ ”​ี ​ พ​ รอ้ มก​ บั บ​ อกว​า่ ​​“ห​ ลวงพ​ อ่ ก​ สั สป​ มนุ ​ี
ท่าน​เก่ง​ ​ทา่ นเ​หาะเ​หิน​เดนิ ​อากาศ​ได้​”​ ​เขา​ถาม​ต่อไ​ป​ถงึ ​หลวง​พอ่ พ​ รหม ​
และ​หลวง​ป​ูช่ น้ื ​ว่า​เป็นอ​ ย่างไร ​ ท​ ่าน​กร​็ บั รองว​ า่ ​​“ด​ ”​ี ​แ​ ล้ว​ทา่ นก​ บ​็ อกเ​อง​
เลย​ว่า​​“ห​ ลวงพ​ ่อ​เกษม​​พอ่ ท​ า่ น​คลา้ ย​​วดั ส​ วน​ขันธ์​ เ​ปน็ พ​ ระ​อรห​ นั ​ต​์
และท​ ปี​่ ราจีนบรุ ก​ี ม็​ ​พี ระอ​ รห​ ัน​ต​อ์ ีก​​๓​ ​องค์”​ ​​
​ หลงั จ​ ากน​ น้ั ​เ​ขาไ​ดไ​้ ปก​ ราบห​ ลวงพ​ อ่ ก​ สั สป​ มนุ ท​ี บ​่ี า้ นศ​ าลาแดง ทท​่ี า่ น​
มา​พำนกั ​เวลาม​ าโปรดศ​ ิษย​์ใน​กรงุ เทพ​ฯ​​เขาไ​ดเ​้ ล่าใ​หห้​ ลวง​พอ่ ก​ สั สป​ มนุ ​ี
ฟัง​ว่า​ไป​กราบ​หลวง​ปู่​ดู่​และ​ท่าน​พูด​ถึง​องค์​หลวง​พ่อ​ว่า​อย่างไร​ ​ท่าน​ก็​ย้ิม​ ​
เขา​ก​เ็ ลย​ถามท​ ่านว​ ่า ​ ​“​หลวงพ​ ่อร​ จู้ ัก​หลวง​ปู่​ดูไ​่ หม​ครบั ​”​​ท่าน​กต็​ อบว​ า่ ​ ​
“ร​ ูจ้ ัก​”​​เขา​ถามต​ ่อว่า​ ​“​แล้ว​หลวง​พ่อ​เคยเ​จอก​ ับห​ ลวงป​ ด​ู่ ู​่ไหมค​ รับ”​ท​ า่ น​
กลบั ต​ อบว​า่ ​“​ ไ​มเ​่ คยเ​จอ”​ ​เ​ขาจ​ งึ เ​ขา้ ใจเ​อาเ​องว​า่ ​ท​ า่ นค​ งพ​ บเ​จอก​ นั ใ​นท​ างจ​ ติ ​

325 ๓๒๕

​ ​ เ​ขาไ​ดเ​้ ลา่ ถ​ วายห​ ลวงพ​ อ่ ไ​ปอ​ กี ว​า่ ​​“ห​ ลวงป​ ด​ู่ ช​ู่ ว่ งน​ ไ​ี้ มค​่ อ่ ยส​ บายครบั ”​ ​
ตอนห​ ลงั ไ​ปก​ ราบท​ า่ นอ​ กี ท​ ​ี กท​็ ราบว​า่ ห​ ลวงพ​ อ่ ท​ า่ นไ​ปเ​ยย่ี มหลวงป​ ด​ู่ ม​ู่ าแ​ ลว้ ​
น​ เ​ี้ ปน็ เ​รอื่ งร​ าวเ​พอื่ ใ​หไ​้ ดร​้ บั ท​ ราบว​ า่ ค​ รบู าอ​ าจารยอ​์ งคส​์ ำคญั ๆ​ ​ นน้ั ​
ท่าน​ถึงกันอย่างไร​ ​ ท่าน​ล้วน​แล้ว​แต่​เป็น​แบบ​อย่าง​ของ​ผู้​ไม่มี​ทิฏฐิ​มานะ​
ไมเ​่ หมอื นอ​ ยา่ งท​ างโ​ลกๆ​ ​ ท​ เ​่ี มอ่ื โ​ดง่ ด​ งั แ​ ลว้ ​ ก​ ม​็ กั ม​ ก​ี ารส​ งวนท​ า่ ทก​ี นั อ​ ยา่ ง​
เตม็ ท​ ่​ี ​โลกก​ บั ธ​ รรม​จึงส​ วนท​ างก​ ันอ​ ยา่ ง​น้ี​
​​

​“​พอ”​



๓๒๖ 326 ​๑๔๗​

​ บ​ ารมธ​ี รรม​

​ การ​จะ​สร้าง​ศรัทธา​ใน​ทาง​ธรรม​น้ัน​ ​ บาง​ครั้ง​ก็​ต้อง​รอ​กาล​เวลา​
บาง​ครั้ง​ก็​ต้อง​อาศัย​เหตุ​จาก​ภายนอก​น้อม​เข้า​มา​หา​ภายใน​ ​ อย่าง​กรณี​
ของ​โยม​มารดา​ของ​พระ​สา​รี​บุตร​ ​ ซึ่ง​เป็น​พราหมณ์​ท่ี​เคร่งครัด​ ​ มิได้​
มี​ศรัทธา​ใน​พระ​ลูกชาย​หรือ​พระพุทธเจ้า​เลย​จน​กระท่ัง​ใกล้​จะ​ถึง​วัน​ท่ี​
พระ​สาร​ ​บี ุตรจ​ ะป​ รินพิ พาน​​
​ พระส​ าร​บ​ี ตุ รไ​ดเ​้ ดนิ ท​ างไ​ปโ​ปรดโ​ยมม​ ารดาก​ อ่ นห​ นา้ จ​ ะป​ รนิ พิ พาน​
เพียง​วัน​เดียว ​ ​ใน​คืน​ที่​เดิน​ทาง​ไป​ถึง​น้ัน​ ​โยม​มารดา​ท่าน​สังเกต​เห็น ​
แสงส​ วา่ งร​อบแ​ ลว้ ร​อบเ​ลา่ ใ​นห​ อ้ งข​ องพ​ ระล​ กู ชาย ​เ​มอื่ ใ​กลร​้ งุ่ จ​ งึ ไ​ดถ​้ ามพ​ ระ​
ลกู ชายว​ า่ แ​ สงน​ นั่ ค​ อื อ​ ะไร​ ​ พระส​ าร​ บ​ี ตุ รจ​ งึ เ​ลา่ ใ​หฟ​้ งั ว​ า่ ​ แ​ สงส​ วา่ งใ​นต​ อน​
แรกน​ นั้ ​ ​คือแ​ สง​แห่ง​ท้าวจ​ ต​โุ ลกบาลท​ ่มี าเ​ยยี่ ม​ด​อู าการอ​ าพาธ​ของ​ท่าน​ ​
​จาก​นั้น​ก็​เป็น​แสง​สว่าง​จาก​พระอินทร์​ ​แล้ว​ก็​แสง​สว่าง​จาก​พระพรหม​
พอพูด​ถึงพระ​พรหม​ ​โยม​มารดา​ก็​ตะลึง​ว่า​ขนาด​พระ​พรหม​ที่​เป็น
เ​ทพเ​จา้ ส​ งู สดุ ท​ โ​่ี ยมม​ ารดานบั ถอื ​ ก​ ย​็ งั ม​ าส​ กั ก​ าระ​ พ​ ระล​ กู ชายข​ องเ​ราเ​ชยี ว​
หรือ​​ช่างน​ า่ ​อัศจรรยย​์ ิ่ง​นกั ​​
พระ​สา​รี​บุตร​เห็น​เป็น​โอกาส​เหมาะ​จึง​ปรารภ​ถึง​คุณ​วิเศษ​แห่ง​

327 ๓๒๗

พระบรม​ศาสดา​ ​และ​ได้​แสดง​ธรรม​โปรดโยม​มารดา​จน​กระทั่ง​ได้​บรรลุ​
โสดา​ปัตติ​ผล​ ​ ​เช้า​วัน​รุ่ง​ข้ึน​ ​พระ​สา​รี​บุตร​ก็ได้​ละ​สังขาร​ ​โดย​ได้​ทัน​โปรด​
โยม​มารดาใ​ห​้ไดด​้ วงตา​เหน็ ธ​ รรม​​สม​ความป​ รารถนาข​ อง​ท่าน​
​ ท​วี่ ัด​สะแก​ จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยาแ​ หง่ น​ ้ี​ ​ ผ้คู นม​ ากมาย​ทัง้ ​ใน​
อยธุ ยาแ​ ละ​จากจ​ ังหวดั อ​ นื่ ๆ​ ​ ​โดย​เฉพาะอ​ ยา่ งย​ ิง่ ทางก​ รุงเทพฯ ​ พ​ า​กนั ​
​มาก​ราบ​นมัสการห​ ลวงป​ ู่​ด่​ู ​แต่ถ​ งึ ก​ ระนัน้ ​ก​ ็​มผี​ ู้คน​บริเวณ​ใกล​เ้ คยี งท​ ่ี​มไิ ดม้​ ี​
ศรัทธา​เ​ขา้ ล​ ักษณะท​ ห​ี่ ลวง​ป่​ูกล่าวว​ า่ ​​“ใ​กลเ้​กลือต​ ีนด​ ่าง”​ ​ค​ อื ​น​ อกจาก​
ไม่​ศรัทธาแ​ ลว้ ​ย​ ัง​ปรามาส​ท่าน​อีก​ด้วย​เ​รียกว่าเหยียบกันเลย
​ ขา้ พเจา้ ​อด​ไม​่ไดท้ ​่จี ะ​ระลกึ ​ถงึ ​ความ​ยง่ิ ​ใหญ​ใ่ น​บารม​ธี รรม​ของ​หลวง​ป่​ู
​จาก​เหตุ​การ​ ณ​์ที่ค​ รูบา​อาจารย์ช​ ้ัน​ผใู้ หญ่​มากร​ าบเ​ยยี่ มท​ า่ น​​ทงั้ ​ๆ​ ​ ทที​่ า่ น​
ไมเ​่ คยอ​ อกไ​ปน​ อกว​ ดั ​โ​ดยเ​ฉพาะอ​ ยา่ งย​ ง่ิ ห​ ลวงป​ บ​ู่ ดุ ด​ า​ผ​ ท​ู้ เ​่ี ปน็ ท​ เ​่ี คารพร​กั ​
ของ​พระกรร​ ม​ฐานส​ าย​หลวงป​ ​ู่มน่ั ​หลายร​ ปู ​​เช่น​​หลวงป​ เ​ู่ ท​สก​์ ​หลวง​ปส​ู่ ิม​
หลวง​พอ่ ​พธุ ​​ฯลฯ​​เป็นตน้ ​ ​ก​็ล้วนแ​ ต่​เดนิ ​ทางไ​ป​กราบเ​ย่ยี ม​หลวงป​ ู่บ​ ุด​ดา​
ดว้ ยก​ นั ท​ งั้ ส​ นิ้ ​​และก​ ถ​็ อื เ​ปน็ เ​มตตาต​ อ่ ล​ กู ศ​ ษิ ยข​์ องห​ ลวงป​ ด​ู่ อ​ู่ ยา่ งเ​หลอื ล​ น้ ​
ทห​ี่ ลวงป​ บ​ู่ ดุ ด​ าซ​ ง่ึ ข​ ณะน​ นั้ ม​ อี ายใ​ุ กลร​้ อ้ ยป​ ​ี ไ​ดเ​้ มตตาม​ าเ​ยยี่ มแ​ ละส​ นทนา​
กบั ห​ ลวง​ปู่ด​ ู่​ท​วี่ ัดส​ ะแก​ ถ​ งึ ส​ อง​ครง้ั ​ ​หลวงป​ ด่​ู ่​ซู ึง่ ​มพ​ี รรษา​น้อยก​ วา่ ​ ไ​ด​้
ใหก้ าร​ปฏสิ นั ถาร​อย่าง​ออ่ นน้อมถ​ ่อมต​ นเ​ปน็ ท่สี ดุ
ผ​ ท​ู้ ย​ี่ งั ไ​มร่ จ​ู้ กั ห​ ลวงป​ ด​ู่ ​ู่ ​ พอไดท​้ ราบเ​รอ่ื งร​าวห​ รอื เ​หน็ ร​ปู ห​ ลวงป​ บ​ู่ ดุ ด​ า​
​ท่ีมา​น่ัง​สนทนา​อยู่​กับ​หลวง​ปู่​ด้วย​อาการ​ท่ี​ต่าง​ฝ่าย​ต่าง​อ่อนน้อมเช่น​นั้น ​
ก็ย​ อ่ ม​รบั ร​ ไู้​ด้ถ​ ึงบ​ ารมี​ธรรม​ของ​ทา่ น​ทั้งส​ อง​​และ​ยัง​ศรัทธาท​ ี​ย่ ังไ​ม่มใี​ห้​เกิด​

๓๒๘ 328

ขนึ้ ไ​ด​้ ​จงึ ว​ า่ การส​ รา้ งศ​ รทั ธาใ​หเ​้ กดิ ข​ น้ึ ใ​นค​ นใ​กลต​้ วั น​ น้ั ​ บ​ างค​ รง้ั ก​ ต​็ อ้ งอ​ าศยั ​
​ปัจจัย​ขา้ งนอกน​ ้อม​เข้าหา​ขา้ ง​ในเ​หมอื นก​ ัน​

​“​พอ”​

329 ๓๒๙

๑​ ๔๘​

​สมถะ​-ว​ ปิ สั สนา​​



​เม่ือ​ย้อน​ระลึก​ถึง​คำ​สอน​ของ​หลวง​ปู่​เก่ียว​กับ​สมถะและวิปัสสนา ​ ​
กไ็​ม​พ่ บว​ ่า​ทา่ น​พดู ​แบ่งแ​ ยกใ​หเ​้ ห็นเ​ทา่ ใด​นัก​​ประกอบก​ บั เ​มอ่ื ไ​ดย้ ินไ​ด้​ฟงั ​
คำส​ อนข​ องห​ ลวงป​ ช​ู่ าว​า่ ​ “อ​ ยา่ แ​ ยกใ​หห​้ า่ งก​ นั น​ กั เ​ลย​เ​รอ่ื ง​สมถะ​ว​ปิ สั สนา”​ ​
ท​ ำใหเ​้ ขา้ ใจไ​ดว​้ า่ ​ ส​ มถะ​​วปิ สั สนา​​ในท​ างต​ ำรบั ต​ ำราท​ า่ นแ​ ยกเ​อาไ​ว​้
ให​้เหน็ ​หน้าที่​หรอื บ​ ทบาทข​ อง​สตใ​ิ นแ​ ตล่ ะ​ขนั้ ​แต่ละ​ตอน​ แ​ ต่​แทจ้ ริงแ​ ลว้ ​ ​
พอถ​ งึ ข​ น้ั ป​ ฏบิ ตั ห​ิ รอื ภ​ าคส​ นามแ​ ลว้ ​ เ​ราไ​มค​่ วรไ​ปแ​ บง่ แ​ ยกม​ นั ​ เ​พราะม​ นั ​
​ต้อง​ควบค่ก​ู ัน​ไป​
​ ​เหมือน​คน​จะ​เดิน​ทาง​ไกล​ ​ก็​จำเป็น​ต้อง​อาศัย​การ​พัก​ผ่อน​ ​รับ​
ประทาน​อาหาร​ ​แล้ว​ก็​อาศัย​การ​เดิน​ทาง​ ​เดิน​อย่าง​เดียว​ก็​ไป​ไม่​รอด​
พกั ​ผอ่ น​กิน​ข้าว​แล้วไ​มเ่​ดนิ ​​ก็​ไปไ​ม่​ถึง​
​ ใ​นท​ างป​ ฏบิ ตั ​ิ ​ เราต​ อ้ งอ​ าศยั ค​ วามส​ งบเ​พอื่ ท​ ำใหอ​้ ะไรๆ​ ​ ม​ นั ก​ ระจา่ ง​
ชดั ​​ทำใหค​้ วามค​ ดิ น​ กึ เ​ปน็ ภ​ าพท​ เ​่ี ชอ่ื งช​ า้ อ​ ยใ​ู่ นจ​ ติ เ​รา ​ เ​พอื่ ใ​หส​้ ตเ​ิ ราท​ นั ม​ นั ​
​แล้ว​ก็​เพียร​มอง​เห็น​มัน​ให้​แจ้ง​ใน​ความ​เป็น​ก้อน​อนิจ​จัง​​ก้อ​นทุกขัง​ ​ก้อน​
อนัตตา​ก้อนข​ ้าง​นอกเ​ป็น​อยา่ งไร ​ ก​ อ้ นส​ ังขารร​ ่างกาย​เราก​ ​็ไมต่​ า่ งก​ ัน​
​ ​สมัย​น้ี​ ​ เขา​นิยม​แบ่ง​แยก​สมถะ ​ ​วิปัสสนา​ ​กัน​มาก​เหลือ​เกิน ​ ​

๓๓๐ 330

เหมือน​จะ​ไมฟ​่ ังค​ ำเ​ตือน​ของค​ รบู า​อาจารย ์​ ​เราจ​ ะส​ ังเกตว​ ่า​ ​ในท​ าง​ตำรา​
เขาแ​ บง่ แ​ ยกเ​พอ่ื ป​ ระโยชนใ​์ นท​ างการศ​ กึ ษา​ ​ แตผ​่ ศ​ู้ กึ ษาไ​มน​่ อ้ ยย​ ดึ ต​ ดิ ต​ ำรา​
มากเ​กนิ ไ​ป ​ จ​ นบ​ างค​ รงั้ ค​ ดิ ว​ า่ ​ ค​ วามร​จ​ู้ ำเ​ปน็ ค​ วามร​จ​ู้ รงิ ​ เ​ทยี่ วค​ อ่ นขอดว​ า่ ​
“​ นน่ั แ​ นวพ​ ทุ โธ​ฯลฯ​โอย๊ ... ​ แ​ นวส​ มถะ​พวกก​ ดข​ ม่ ก​ เิ ลส​ตอ้ งว​ปิ สั สนาส​ ​ิ จงึ จ​ ะ​
ละ​กิเลสไ​ด​”้ แตข่​ ณะท​ ี่​พูด​กม​็ ิไดร​้ ะลึก​ร้ตู วั ​ว่าก​ ำลัง​พดู ​ด้วยค​ วามห​ ลง​ ​(​ด)​ี ​
หรอื ​ไม่​​
​ ​มิน่า​เล่า​ ​ หลวง​ปู่​จึง​ไม่​สง​เสริม​ให้​ลูก​ศิษย์​อ่าน​ตำรับ​ตำรา​มาก ​ ​
ท่าน​คง​กลัว​ลูก​ศิษย์​ไป​ติด​ตำรับ​ตำรา​จน​แยก​ไม่​ออก​ว่า​ความ​รู้​ที่​มี​อยู่​นั้น
เปน็ ความร​จ​ู้ ำ ​ (​ค​ วามร​โ​ู้ ดยส​ ญั ญา)​ ​ ห​ รอื ค​ วามร​จ​ู้ รงิ (ค​ วามร​จ​ู้ ากก​ ารภ​ าวนา​
ท่ี​เรียกว​ ่า​​ปัญญา​)​


​“พ​ อ​”



331 ๓๓๑

​๑๔๙​

หลวงป​ ู่ทวด​ชว่ ยเ​ด็ก​​



​ เมอ่ื ย​ สี่ บิ ก​ วา่ ป​ ม​ี าแ​ ลว้ ​ ​ ไดม​้ อ​ี บุ ตั เิ หตร​ุ ถบ​ รรทกุ ช​ นร​ถส​ องแ​ ถวร​บั ส​ ง่ ​
นกั เรยี นซ​ งึ่ ก​ ำลงั เ​ดนิ ท​ างจากจ​ งั หวดั ล​ พบรุ ก​ี ลบั บ​ า้ นท​ ส​ี่ ระบรุ ​ี เดก็ น​ กั เรยี น​
เสีย​ชีวิต​ถึง​สิบ​กว่า​คน​และ​หน่ึง​ใน​นั้น​เพิ่ง​ได้​มี​โอกาส​ตาม​ญาติ​ผู้ใหญ่​ไป​
กราบ​นมสั การ​หลวงป​ ด่​ู เู่​ป็นค​ รั้งแ​ รก​และค​ รง้ั ส​ ดุ ทา้ ย​
ค​ ำถามท​ ค​ี่ า้ งค​ าใ​จใ​นเ​วลาน​ น้ั ค​ อื ท​ ำไมห​ นอ​ห​ ลวงป​ จ​ู่ งึ ไ​มเ​่ มตตาช​ ว่ ย​
ให​้เดก็ น​ อ้ ยอ​ นั เ​ปน็ ​แก้วตาด​ วงใจ​ของ​ผู​้เป็นพ​ ่อ​และแ​ ม่​​ใหแ​้ คล้วคลาด​จาก​
ภยนั ตราย​ท​ ง้ั ๆ​ ​ท​ เ​ี่ ดก็ น​ อ้ ยผ​ น​ู้ น้ั ก​ แ​็ ขวนพ​ ระ ​ ซงึ่ เ​ปน็ ว​ ตั ถม​ุ งคลข​ องห​ ลวงป​ ​ู่
ตดิ ตวั อ​ ย​ู่ แ​ ลว้ ท​ ำไมก​ บั ศ​ ษิ ยบ​์ างค​ น ​ห​ ลวงป​ จ​ู่ งึ ส​ งเคราะหใ​์ หเ​้ ขาแ​ คลว้ คลาด​
หรือ​ช่วย​ต่อ​อายุ​ให​้
​ คำถาม​น้ี​ค่อย​ๆ​ ​คล่ีคลาย​ลง​ ​เมื่อ​ได้ยิน​เร่ือง​ราว​ว่า​ ​วิญญาณ​ของ​
เด็ก​หญงิ ค​ นน​ ี​้ ไ​ดไ้​ป​ปรากฏต​ ัว​​โดยม​ ​ีหลวงป​ ทู่ วด​ยนื อ​ ย่​ขู ้างๆ​ ​ใ​ห​้ลูกศ​ ิษย์​
ของ​หลวง​ปู่​ที่​อยู่​กรุงเทพฯ​ ​ซ่ึง​เป็น​ญาติ​กัน​ได้​เห็น​ ​ใน​เย็น​วัน​เกิด​เหตุ​
ขณะ​ไหว้​พระ​อยู่​ใน​ห้อง​พระ​ท่ี​บ้าน​ ​โดยท่ี​ใน​เวลา​นั้น​ ​ทาง​พ่อ​แม่​ของ​เด็ก ​
กย​็ งั ไ​มไ​่ ดส​้ ง่ ข​ า่ วค​ ราวใ​หท​้ ราบแ​ ตอ​่ ยา่ งใ​ด​เ​ดก็ น​ น้ั ไ​ดฝ​้ ากค​ ำพ​ ดู ผ​ า่ นล​ กู ศ​ ษิ ย​์
หลวง​ปผ​ู่ ​ูน้ น้ั ว​ ่า​

๓๓๒ 332

“​ ​ฝาก​บอก​แม่ห​ น​ดู ว้ ย​ว่า​​หนู​ออกม​ า​แลว้ ​ ​ไม​เ่ จ็บเ​ลย ​ ​หน​ูจะก​ ลับ​
มา​เกิด​เป็นล​ กู แ​ ม​อ่ ีก”​ ​
ใ​นช​ ว่ งค​ ำ่ ว​ นั เ​ดยี วกนั ​ ท​ างญ​ าตข​ิ องเ​ดก็ น​ อ้ ยน​ จ​้ี งึ ไ​ดส​้ ง่ ข​ า่ วใ​หล​้ กู ศ​ ษิ ย​์
หลวง​ป​ูผ่ นู้​ น้ั ไ​ด​้ทราบว​ า่ ​​เด็กไ​ดเ​้ สยี ช​ วี ติ ​แลว้ !​​
​ ​เดือน​ต่อ​มา​ภาย​หลัง​เสร็จ​สิ้น​งาน ​ ​พ่อ​แม่​ของ​น้อง​ได้​พา​กัน​ไป​
ทำบุญ​อุทิศ​ส่วน​กุศล​กับ​หลวง​น้า​สาย​หยุด​ ​และ​ได้​มี​โอกาส​นั่ง​ภาวนา​
ใน​กุฏิ​ท่าน​ ​ภาย​หลัง​การ​ภาวนา ​ ​หลวง​น้า​ได้​บอก​กับ​โยม​ทั้ง​สอง​ว่า​
​หลวง​ปู่ทวด​ท่าน​ฝาก​บอก​ว่า​โยม​ไม่​ต้อง​เป็น​ห่วง​ลูกสาว​ ​เด็ก​คน​นี้​ฉัน​
รับ​อุปการะ​เอง​ ​ซ่ึง​ก็​ตรง​กัน​กับ​นิมิต​ท่ี​ปรากฏ​ให้​ลูก​ศิษย์​ผู้​น้ัน​ได้​เห็น​
​หลวง​ปู่ทวดม​ า​หาพ​ รอ้ มเ​ดก็ ค​ น​น​้ี
​ ​บาง​คร้ัง​แม้​เหตุ​ปัจจัย​จะ​ไม่​เอื้อ​ให้​หลวง​ปู่​สงเคราะห์​ให้​เขา​รอด​
ตายไ​ด้​​แตท​่ ่าน​กจ็​ ะส​ งเคราะห​ด์ ้วย​การอ​ ุปการะด​ วง​จิต​ของ​ผ​ตู้ าย​ให​ไ้ ป​ส​ู่
ภพ​ภูมิ​ท่ี​ดี​ ​ ซึ่ง​ก็​อาจ​จะ​ดี​เสีย​กว่า​มา​เสีย​ชีวิต​ภาย​หลัง​แต่​จาก​ไป​สู่​ภพ​ภูมิ
​ทไ​่ี ม​่ดี​
​ ​เม่ือ​เวลา​ผ่าน​ไป​ประกอบ​กับ​ประสบการณ์​ต่าง​ๆ​ ​ท่ี​ได้​พบเห็น​ ​
ทำให้​ได้​ข้อ​สังเกต​ว่า​บุคคล​ที่​หลวง​ปู่​จะ​สงเคราะห์​ต่อ​อายุ​ให้​ได้​ ​มัก​เป็น ​
ผู้​ปฏิบัติ​ธรรม​ ​ หรือ​ผู้​ที่​จะ​ทำ​ประโยชน์​ไว้​กับ​ส่วน​รวม​หรือ​พระพุทธ​
ศาสนา​น​ น่ั ​คอื ​อาศัย​บุญบ​ ารม​ีและก​ ศุ ล​เจตนา​ของ​ตวั ผนู​้ ัน้ เ​อง​ด้วยว​ ่า​หาก​
ได้​มี​ชีวิต​อยู่​ต่อ​ ​เขา​จะ​มี​โอกาส​ทำความ​ดี​ ​ส่ังสม​บุญ​กุศล​ให้​ยิ่ง​ๆ​ ​ขึ้น​ไป​
เรื่อง​หลวง​ปู่ทวด​ช่วย​เด็ก​หญิง​คน​น้ี​ จึง​เป็น​ข้อ​เตือน​ใจ​ที่​ดี​ว่า​บาง​ครั้ง​ท่ี​

333 ๓๓๓

พระ​ท่านช​ ว่ ยน​ น้ั ​ม​ ไิ ด้​ช่วยใ​ห​้คน​จะ​ตาย ​ ไ​ม​ต่ ายเ​สมอไ​ป ​ หากแ​ ต​ก่ ารช​ ว่ ย​
ใน​ลักษณะท​ ​ไี่ ด​เ้ ล่าส​ ​กู่ นั ​ฟัง​นี้​กม็​ ​ี ​






๓๓๔ 334 ๑​ ๕๐​

​ แบบ​ปฏิบตั เิ​บือ้ ง​ต้น​

​ สำหรับ​ผู้​ท่ี​ศรัทธา​ในหลวง​ปู่​ดู่​ ​ และ​สนใจ​ใคร่​จะ​ฝึกหัด​กรรม​ฐาน​
ตามแ​ นวทางท​ ท​่ี า่ นส​ อน ​ แ​ ตย​่ งั ไ​มร่ ว​ู้ า่ จ​ ะเ​รมิ่ อ​ ยา่ งไรด​ ​ี ผ​ เ​ู้ ขยี นก​ ข​็ ออ​ นญุ าต​
ยกต​ วั อย่าง​ไว้​พอ​เปน็ ​แนวทาง​​ดงั นี​้ ​
​ ๑​.​เ​ริ่ม​ต้น​ดว้ ย​การ​กล่าวค​ ำ​บูชาพ​ ระ ​ ​สมาทานศ​ ีล ​​(เ​ปลี่ยน​ศลี ข​ อ้ ​
กาเมสมุ จิ ฉาจาร ​เ​ป็น ​ ​อ​พรัหมจ​ รยิ า​ฯ​ เ​พื่อ​เตรยี ม​จติ ​กอ่ น​อธษิ ฐาน​บวช​
จติ )​​ ​จากน​ ัน้ ​ ก​ ​ก็ ลา่ วค​ ำ​อาราธนา​กรรม​ฐานโดยวา่ .​​..​​พุทธ​ัง​​อา​ราธะนงั ​
กะ​โรม​ิ ​ธัมมัง ​ ​อาร​ าธะนัง​​กะ​โรมิ​ ​สังฆัง​ ​ อา​ราธะนงั ​​กะ​โรมิ​​นะโม​
โพธิ​สัต​โต​ ​อา​คัน​ติ​มา​ยะ​ ​อิ​ติภะคะ​วา​ ​(​ ​๓​ ​ครั้ง​ ​)​ ​นะโม​ ​พรหม​ปัญโญ​
(​๓​ ​​ครง้ั ​​)​เปน็ ต้น
​๒​.​ใ​นเบื้อง​ตน้ ​ ย​ ังไ​ม​่ตอ้ งร​ บี ​ร้อน​บรกิ​ รรม​ภาวนา​ห​ รือน​ ึก​นมิ ติ ​ใด​ๆ​
​หาก​แต่​ให้​ปรับ​ท่า​นั่ง​ให้​เป็นที่สบาย ​สูด​ลม​หายใจ​ลึก​ๆ​ ​สัก​สอง​สาม​ครั้ง​​
พร้อม​กับ​ทำ​จิตใจ​ของ​เรา​ให้​ปลอด​โปร่ง​โล่ง​ว่าง ​ ​สร้าง​ฉันทะ​ท่ี​จะ​ปฏิบัต ิ​
กรรม​ฐาน​ ​ระลึก​ว่า​เรา​กำลัง​ใช้​เวลา​ที่​มี​คุณค่า​แก่​ชีวิต​​ซ่ึง​จะ​เป็น​สิ่ง​ติดตัว​
เราไ​ป​ทุกภ​ พ​ทกุ ช​ าต​ิ
​ ๓​.​ ​กล่าว​อาราธนา​ขอ​ให้​พระพุทธเจ้า​ ​หลวง​ปู่ทวด​ ​หลวง​ปู่​ดู่ ​
หลวง​ปู่​เกษม​ ​ได้​โปรด​มา​เป็น​ผู้นำ​และ​อุปการะ​จิต​ใน​การ​ปฏิบัติ​ธรรม ​

335 ๓๓๕

ครั้ง​น้ี​ ​จาก​น้ัน​ ​ก็​น้อม​จิต​กราบ​พระ​ ​ว่า​.​.​.พ​ ุทธั​ง​วันทา​มิ​ ​ธัมมัง​วันทา​มิ​
สงั ฆัง​ว​ ันทา​มิ​
​๔​.​ส​ ำรวจอ​ ารมณ์​ที่ค​ ้างค​ า​อยู่​ใน​ใจเ​รา ​​แลว้ ช​ ำระม​ ัน​ออกไ​ป ​ ท​ ง้ั ​
เร่ือง​น่า​สนุก​เพลิดเพลิน​ ​หรือ​เรื่อง​ชวน​ให้​ขุ่น​มัว​ต่าง​ๆ​ ​ตลอด​ถึง​ความ​
ง่วงเหงา​หาวนอน​ ​และ​ความ​ฟุ้ง​ซ่าน​รำคาญ​ใจ​ ​รวม​ทั้ง​ปล่อย​วาง​ความ​
ลงั เลส​ งสยั ต​ า่ งๆ​
​ ๕​.​ ​เมื่อ​ชำระ​นิวรณ์​อัน​เป็น​อุปสรรค​ของ​การ​เจริญ​สมาธิ​ออก​ไป​
ใน​ระดับ​หน่ึง​แล้ว​ ​ กระท่ัง​รู้สึก​ปลอด​โปร่ง​โล่ง​ว่าง​ตาม​สมควร ​ ​จึง​ค่อย​
บริ​กรรม​ภาวนา​ใน​ใจ​ว่า​“​ ​พทุ ธั​ง​ ส​ รณง​ั ​ ​คัจ​ฉา​ม​ิ ​ธมั มัง​​สรณัง​​​คัจฉา​ม​ิ ​
สงั ฆ​ัง ​ ​สรณั​ง ​ ​คัจฉาม​ ​”ิ ​
​๖​.​ ​มี​หลัก​อยู่​ว่า​ต้อ​งบ​ริ​กรรม​ภาวนา​ด้วย​ใจ​ท่ี​สบาย​ๆ​ ​(​ย้ิม​น้อย​ๆ​
ใน​ดวงใจ​) ​​ไม​่เครง่ เครียด​​หรอื ​จจ​้ี ้อง​บังคับ​ใจจ​ นเ​กิน​ไป​​
​ ๗​.​ ​ทำความ​รู้สึก​ว่า​ร่างกาย​ของ​เรา​โปร่ง​ ​กระทั่ง​ว่า​ลม​ที่​พัด​ผ่าน​
ร่างกาย​เรา​​คลา้ ย​ๆ​ ก​ บั ​ว่า​จะ​ทะล​ุผา่ นร​ ่างข​ องเ​ราอ​ อก​ไป​ได​้
​ ​๘​.​ ​ให้​มี​จิต​ยินดี​ใน​ทุก​ๆ​ ​คำ​บริ​กรรม​ภาวนา​ ​ว่า​ทุก​ๆ​ ​คำ​บริ​กรรม​
ภาวนาจ​ ะ​กลน่ั จ​ ิตข​ องเ​รา​ให้ใ​ส​สวา่ งข​ น้ึ ​ๆ​
​ ๙​.​ ​เอา​จิต​ท่ี​เป็น​สมาธิ​นี้​มา​พิจารณา​ร่างกาย​ว่า​มัน​เป็น​ก้อน​ทุกข์​ ​
ยามจ​ ะแ​ ก​่ ​จะเ​จบ็ ​​จะต​ าย ​ เ​ราก​ ไ​็ มอ​่ าจบ​ งั คบั บ​ ญั ชา​ห​ รอื ห​ า้ มป​ รามม​ นั ไ​ด ​้
ถงึ ​แม้วา่ เ​รา​จะ​ดูแลม​ ันดอี​ ย่างไร​ม​ นั ​กจ็​ ะท​ รยศ​เรา​​มัน​จะไ​ม​่เช่อื ฟ​ งั ​เรา​​
​ให้​พิจารณา​ให้​ละเอียด​ลง​ไป​ซ้ำ​ๆ​ ​ จนกว่า​จิต​จะ​เห็น​ความ​จริง​

๓๓๖ 336

และ​ยอมรบั ​​เมอ่ื ​จิต​ยอมรบั ​จิต​กจ​็ ะ​คลาย​จากค​ วาม​ยึดม​ ัน่ ​ถือ​มนั่ ​ว่าก​ าย​นี​้
เปน็ ​เราห​ รือ​เปน็ ข​ อง​เรา ​ ​(​การ​ปฏบิ ัต​ิกรรมฐ​ านค​ รงั้ ต​ อ่ ไ​ป​​กอ็​ าจเ​ปล่ยี น​
เปน็ การพ​ จิ ารณาอ​ ยา่ งอ​ น่ื ​ เ​ปน็ ตน้ ว​ า่ ร​า่ งกายเ​ราห​ รอื ค​ นอ​ น่ื ก​ ส​็ กั แ​ ตว​่ า่ เ​ปน็ ​
โครงก​ ระดูก​ แ​ ม​้ภายนอก​จะ​ดแู​ ตกต​ ่าง​​มที​ ัง้ ​ทผ่​ี ิว​พรรณ​งาม​ ห​ รือท​ ราม​
อยา่ งไร​​แตเ่​บ้ือง​ลกึ ภ​ ายในก​ ​็ไมแ​่ ตกต​ ่างก​ นั ​ใน​ความ​เปน็ ​กระดกู ​ ท​ ี่​ไม​น่ า่ ​ดู​
นา่ ช​ ม​เ​สมอก​ นั ห​ มด​ใ​หพ​้ จิ ารณาใ​หจ​้ ติ ย​ อมรบั ค​ วามจ​ รงิ ​เ​พอ่ื ใ​หค​้ ลายค​ วาม​
หลงย​ ึด​ในร​ ่างกาย​ฯ​ ลฯ​)​
​ ๑๐​.​ ​เม่ือ​รู้สึก​ว่า​จิต​เริ่ม​ขาด​กำลัง​หรือ​ความ​แจ่ม​ชัด​ ​ก็​ให้​หัน​กลับ​
มาบ​ร​ิกรรม​ภาวนา​เพ่ือส​ ร้าง​สมาธขิ​ น้ึ ​อีก​​
​ ๑๑​.​​ใน​บางค​ รัง้ ​ท​จ่ี ิตข​ าดก​ ำลงั ​ ​หรือข​ าด​ศรทั ธา​ ​กใ็​ห้เ​รานกึ น​ ิมิต ​
(น​ อกเ​หนอื จ​ ากค​ ำบ​ รก​ิ รรมภ​ าวนา)​ ​ เ​ชน่ ​ น​ กึ น​ มิ ติ ห​ ลวงป​ ด​ู่ ​ู่ อ​ ยเ​ู่ บอื้ งห​ นา้ เ​รา​
น​ กึ ง​า่ ยๆ​ ​ ส​ บายๆ​ ​​ใหค​้ ำบ​ รก​ิ รรมด​ งั ก​ อ้ งก​ งั วานม​ าจ​ ากอ​ งคน​์ มิ ติ น​ น้ั ​ท​ ำไ​ป​
เร่ือย​ๆ​ ​เวลา​เผลอ​สติ​ไป​คิด​นึก​เรื่อง​อื่น​ ​ก็​พยายาม​มี​สติ​ระลึก​รู้​เท่า​ทัน​ ​
​ดึงจ​ ิต​กลับ​มาอ​ ยู​่ใน​องค์​บร​ ก​ิ รรม​ภาวนาด​ งั ​เดิม​
​ ๑๒​.​เ​มอ่ื จ​ ติ ม​ ี​กำลงั ​​หรือ​รู้สึก​ถงึ ป​ ีตแ​ิ ละ​ความ​สว่าง​​ก​็ใหพ้​ ิจารณา​
ทบทวน​ในเ​ร่อื ง​กาย​ ห​ รอื เ​รอ่ื ง​ความต​ าย​ ห​ รอื เ​รอ่ื ง​ความพ​ ลัด​พราก​ฯ​ ลฯ​
​หรือ​เรื่อง​อ่ืน​ใด​ ​โดย​มี​หลัก​ว่า​ต้อง​อยู่​ใน​กรอบ​ของ​เรื่อง​ความ​ไม่​เที่ยง​
ความ​เป็นท​ กุ ข์​​และค​ วาม​ทไี่​ม่ใช​ต่ วั ​ไม่ใชต​่ นท​ เ่ี​ทย่ี งแ​ ทแ้​ นน่ อน​(อ​ นตั ตา​)​
​ ๑๓​.​​กอ่ นจ​ ะ​เลกิ ​ (​​หาก​จิต​ยงั ไ​ม​่รวม​ห​ รือ​ไม​่โปรง่ เ​บา​​หรือไ​ม​ส่ วา่ ง​
ก็​ควร​เพียร​รวม​จิต​อีก​คร้ัง​ ​เพราะ​หลวง​ปู่​แนะ​ให้​เลิก​ตอน​ท่ี​จิต​ดี​ท่ีสุด​) ​ ​

337 ๓๓๗

จาก​นั้น​ก็​ให้​อาราธนา​พระ​เข้า​ตัวโดย​ว่า​.​.​.​สัพ​เพ​พุทธ​า​ ​ สัพ​เพ​ธัม​มา​
สพั ​เพ​สังฆา​​​พะลปั ปตั ต​ า​ ​ปจั เจก​านัญ​ จ​ ะย​ ัง​พะ​ลงั ​ ​อะระห​ นั ​ตาน​ญั ​
จะ​เต ​ ​เชน​ะ​รกั ข​ งั ​​พนั ธา​​มส​ิ ัพพ​ ะโส​​พทุ ธ​ัง ​ อ​ ธษิ​ ฐาม​ ​ิ ​ธัมมงั ​อธษิ​ ฐา​มิ​
สังฆ​ัง​ ​อธิ​ษฐา​มิ ​โดย​น้อม​อาราธนา​คุณ​พระพุทธ​ ​พระ​ธรรม​ ​พระ​สงฆ์​
มาไ​ว​้ทจ​ี่ ิต​เรา​ห​ รอื อ​ าจ​จะ​นึกเ​ปน็ น​ มิ ติ อ​ งค์​พระ​มาต​ ้งั ไ​วท​้ ี่​ในต​ วั เ​รา​​
​ ๑๔​.​ ​สุดท้าย​ ​ให้​นึก​แผ่​เมตตา​ ​ โดย​นึก​เป็น​แสง​สว่าง​ออก​จาก​ใจ​
เรา​พรอ้ ม​ๆ​ ​กบั ​วา่ ​..​​.​พ​ ุทธ​ัง​อ​ นนั ต​ัง​​ธัมมงั ​ ​จกั ร​วา​ลงั ​ส​ ังฆง​ั ​ น​ พิ พานะ​ ​
ปจ​ จ​ ะโ​ยโหต​ ​ุ โ​ดยน​ อ้ มน​ กึ ถงึ บ​ ญุ อ​ นั ม​ ากมายไ​มม่ ป​ี ระมาณข​ องพ​ ระพทุ ธเจา้ ​
และ​พระ​อริย​สงฆ์​ทั้ง​หลาย​ ​อีก​ท้ัง​บุญ​กุศล​ที่​เรา​ส่ังสม​มา​ดีแล้ว​ ​รวม​ท้ัง​
บุญ​จาก​การ​ภาวนา​ใน​ครั้ง​นี้​ ​ไป​ให้​กับ​เทพ​ผู้​ปก​ปัก​รักษา​เรา​ ​ให้​กับ​
เจ้า​กรรม​นายเวร​ ​ให้​กบั บ​ ดิ าม​ ารดา​​ครบู า​อาจารย์​แ​ ละญาติท้ังหลาย
ตลอดจนผเ​ี หยา้ ผ​ เ​ี รอื น​ พ​ ระภ​ มู เ​ิ จา้ ท​ ​่ี เ​ทพ​พ​ รหม​ท​ งั้ ห​ ลาย​แ​ ละส​ รรพส​ ตั ว​์
ท้ัง​หลาย​ไม่มี​ประมาณ​ ​ท่าน​ท้ัง​หลาย​ท่ี​ยังมีความ​ทุกข์​ ​ขอ​จง​พ้น​ทุกข์​
ทา่ น​ทง้ั ​หลายท​ ่ีม​ ​ีความ​สขุ อ​ ย่แ​ู ล้ว​ข​ อจ​ งม​ คี​ วามส​ ุข​ยง่ิ ​ๆ​ข​ น้ึ ไ​ป​​

ข​ ้อค​ วร​ทราบ​เพ่ิมเ​ตมิ ​
​ ๑​.​น​ ีเ้​ปน็ ​แค่​ตัวอยา่ ง​วธิ ีป​ ฏบิ ตั ิ​เ​พราะ​จริงๆ​ ​​แล้ว​ไมม่ แี​ บบ​ปฏบิ ัตทิ​ ี​่
เปน็ ส​ ตู รส​ ำเรจ็ ​​ประกอบ​กบั ห​ ลวง​ป่ทู​ ่านไ​ด้วางกรอบ​เอาไ​วก้ ว้างๆ ด​ ัง​นัน้ ​​
ใน​รายล​ ะเอียด​ปลกี ​ย่อย​จงึ ​ไม่แ​ ปลก​ท่ี​จะ​ปฏิบตั แ​ิ ตก​ตา่ งก​ นั อ​ อกไ​ปบ​ า้ ง​
​ ๒​.​ ​การ​อาราธนา​พระ​เข้า​ตัว​ ​(​บท​สัพ​เพฯ​)​ ​ก็​เพื่อ​ว่า​เม่ือ​เวลา​เลิก ​

๓๓๘ 338

นงั่ ส​ มาธไ​ิ ปแ​ ลว้ ​จ​ ะไ​ดร​้ ะมดั ระวงั ร​กั ษาอ​ งคพ​์ ระใ​นต​ วั ​โ​ดยก​ ารส​ ำรวมร​ะวงั ​
รักษาก​ าย​ ว​ าจา​​ใจ​​ตลอดว​ ันไ​ป​กระทง่ั ถ​ งึ ​เวลาน​ ่งั ส​ มาธิใ​น​ครงั้ ต​ อ่ ​ไป​
๓​ .​​ห​ ากผ​ ป​ู้ ฏบิ ตั ม​ิ พ​ี ระส​ มเ​ดจ็ ฯ​ ​ ข​ องห​ ลวงป​ ด​ู่ ท​ู่ ใ​ี่ ชส​้ ำหรบั ก​ ำน​ งั่ ส​ มาธ​ิ
ก็​ใหน้​ ำ​มาไ​ว้​ใน​กระพ​ ุม่ ม​ ือ​​พนม​ไว้ท​ ห่​ี นา้ อกใ​นต​ อน​ท่​อี าราธนา​กรรม​ฐาน​
จากน​ ้ันก​ ็​นำม​ ากำไ​ว​้ในม​ ือขวา​ ​โดยใ​ห​้เศียรพ​ ระ​หัน​ไปท​ าง​นว้ิ โ​ปง้ ​เ​อาม​ อื ​
ขวา​ทบั ม​ ือ​ซ้าย​​นวิ้ โ​ปง้ ท​ ั้งส​ อง​จรด​กนั ​​​
​ ๔​.​​เมอื่ ป​ ฏบิ ตั จ​ิ น​จติ เ​ริ่ม​ปลอดโ​ปร่ง​ห​ ลวงป​ ู​เ่ คย​แนะนำใ​ห้​ผู​ป้ ฏิบัต​ิ
อธษิ ฐานบ​ วชจ​ ติ ​ โ​ดยต​ ง้ั ค​ วามป​ รารถนาข​ น้ึ ใ​นใ​จว​ า่ ข​ า้ พเจา้ ข​ อถ​ อื เ​อาอ​ งค​์
สมเด็จ​พระ​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​เป็น​พระ​อุป​ัชฌาย์​แห่ง​ข้าพเจ้า​ ​ ขอ​ถือ​เอา​
พระ​ธรรม​เจ้า​เป็น​พระกร​รม​วา​จา​จาร​ย์​ ​ขอ​ถือ​เอา​พระ​อริย​สังฆ​เจ้า​เป็น​
พ​ ระอ​ นุ​สาว​นา​จาร​ย์​ข​ อ​จง​สำเร็จ​การ​บวชจ​ ติ ​​ณ​ก​ าล​บดั น​เี้ ทอญ​จ​ ากน​ ั้นก​ ็​
ใหส​้ รา้ งส​ มณส​ ญั ญาว​ า่ ข​ ณะน​ ​้ี ​ ตวั ข​ องเ​ราน​ งุ่ ห​ ม่ ผ​ า้ ก​ าส​ าวพ​ สั ตร ์ ผ​ ชู้ ายบ​ วช​
เปน็ ​ภกิ ษุ​ผ​ ​ู้หญิงบ​ วชเ​ปน็ ​ภกิ ษุ​ณ​ ี แล้วสำรวมจ​ ิตแ​ ละป​ ฏบิ ตั ​ภิ าวนา​ต่อ​ไป​

​“พ​ อ​”


Click to View FlipBook Version