289 ๒๘๙
ที่วงการถ ือว่าเปน็ พระปลอมอีก๑ องค์แ ล้วก ็เม็ดอมกมิ จ๊อหอ่ กระดาษ
อกี ๑ช นิ้ ท ้งั หมดถ กู บรรจใุ นกระดาษ ห่อมิดชดิ เพ่อื ไม่ให้เหน็ ด ้านใน
แลว้ นำม าบรรจุในกลอ่ งเหมอื นๆก ันอ ีกช นั้ ห นึ่ง
จากน นั้ เราก ท็ ำการว างส ลบั ไปส ลบั ม าจ นเราท งั้ ๒ ค นเองก ไ็ มท่ ราบ
ว่ากล่องใดที่เป็นกล่องซึ่งบรรจุเหรียญท่ีแม่เลือกให้ ปรากฏว่าคุณแม่
สามารถเลอื กก ล่องท บ่ี รรจุเหรยี ญห ลวงป ู่ไดอ้ ย่างถ ูกต ้อง สว่ นกลอ่ งที่
บรรจเุ มด็ ล กู อ มก มิ จอ๊ ถ กู โยนท งิ้ ถ งั ข ยะไปโดยไมล่ งั เล ท ำเอาผ เู้ ขยี นต กใจ
ตอ้ งไปห ยบิ อ อกม าแ กะด ใู หแ้ นใ่ จ เหตกุ ารณค์ รงั้ น น้ั ท ำใหผ้ เู้ ขยี นก บั พ ชี่ าย
เริ่มเช่ืออย่างสนิทใจว่ามารดาของเราสามารถตรวจสอบพระพุทธคุณได้
และพ ระพทุ ธค ณุ ม จี รงิ มารดาข องผ เู้ ขยี นไดต้ รวจพ ระเครอ่ื งรนุ่ ต า่ งๆ ข อง
หลวงปู่ในภายหลังและได้ยืนยันหลายครั้งว่า พระเครื่องทุกรุ่นท่ีหลวงปู่
อธิษฐานจิตให้ลว้ นแ ลว้ แ ตม่ พี ระพุทธคณุ เท่าเทียมกนั ท ุกร ่นุ
จากความสนใจและยึดติดในเรื่องวัตถุมงคลในคราวนั้น ทำให้ผู้
เขยี นได้รู้จกั หลวงป ดู่ ู่ พ รหมปัญโญ ซ่งึ เป็นป ัจจัยส ำคญั อย่างยิง่ ท ่ีทำให้
เกดิ ศรทั ธาในก ารศกึ ษาค ำสอนข องพระพทุ ธอ งค ์ ก ระท่งั ได้มาป ฏบิ ัตสิ ่งิ
ท่เี ปน็ ม งคลส ูงสดุ แ ก่ช วี ิต นน่ั ก ค็ ือ การป ระพฤตธิ รรม
“ช าญชยั ”
๒๙๐ 290 ๑๓๐
สองน้ำมนต์
ป ระมาณป ี พ .ศ .๒ ๕๓๑ห ลวงป ดู่ ู่ ไดใ้ หโ้ ยมอ ปุ ฏั ฐาก(เฮยี อ ู๋ พ รอ้ ม
ดว้ ยภ รรยา)นำพ ระพทุ ธรปู พ รอ้ มด ว้ ยน ำ้ มนตข์ องห ลวงป ดู่ อู่ กี ๑ ถ งั ใหญ่
ขนาด ๒๐ แกลลอน ไปถ วายหลวงปู่เกษม เขมโก ท่ีสสุ านไตรลกั ษณ์
อ .เมอื งจ.ลำปางโดยท ่านม ไิ ด้บอกว ่าเมอ่ื นำของท ง้ั หมดไปแล้วจ ะต ้อง
ทำอย่างไรต่อ อีกท้ังคณะศิษย์ท่ีนำของไปก็ลืมถามถึงขั้นตอนพิธีต่างๆ
เรียกว่าเดินทางไปอย่างไม่สู้มั่นใจนักว่า ไปถึงแล้วจะต้องทำอย่างไร
ต่อเพราะไมร่ ้จู กั ใครท ี่สสุ านไตรล ักษณ์
เฮียอู๋และภรรยาขับรถไปถึงสุสานไตรลักษณ์ประมาณบ่าย
๒ โมง พอดับเคร่ืองยนต์เสร็จก็เปิดท้ายรถยนต์เตรียมท่ีจะทยอยนำ
พระพุทธรูปและน้ำมนต์ออกจากท้ายรถ แต่ยังไม่ทันยกพระสักองค์
ลูกศษิ ย์ข องหลวงปเู่กษมก ็ว่ิงล งมาจากกุฏิทา่ นแ ล้วบ อกว่าหลวงป ู่เกษม
ตอ้ งการน ำ้ มนตท์ น่ี ำมา
แม้ว่าจะรู้สึกงงๆอ ยวู่ ่าห ลวงปู่เกษมทา่ นท ราบไดอ้ ย่างไร ?เฮยี อ ู๋
และภรรยาก็มอบพระพุทธรูปพร้อมด้วยแกลลอนน้ำมนต์ส่งให้ลูกศิษย์
ของหลวงปูเ่ กษมยกเขา้ ไปในก ุฏิ สักครู่หนงึ่ ลูกศษิ ยข์ องห ลวงป ู่เกษม
291 ๒๙๑
กน็ ำน ำ้ มนตม์ าค นื ให้ แ ลว้ เลา่ ใหฟ้ งั ว า่ ห ลวงป เู่ กษมท า่ นไดใ้ ชป้ ากจ อ่ ป าก
แกลลอนแล้วเป่าพ้วงลงไปในน้ำมนต์ ก่อนส่ังให้นำน้ำมนต์ท้ังหมดมา
สง่ ค ืนวัดส ะแก
เม่ือเฮียอู๋พร้อมด้วยภรรยาเดินทางกลับมาถึงวัดสะแก ก็ได้กราบ
เรยี นเลา่ ถวายหลวงป ู่ดถู่ ึงเหตุการณท์ ี่นา่ แ ปลกใจค รงั้ น ี้ หลวงป ูด่ ู่ทา่ น
ย้มิ แล้วพ ูดวา่
“ข ้าได้อธิษฐานจิตบ อกหลวงพ อ่ เกษมไวเ้รียบร้อยแลว้ ตั้งแ ต่
ก่อนแกจ ะไปลำปาง”
น่าอัศจรรย์จริงหนอ....ดังนั้น ท่ีเคยมีผู้กล่าวว่าหลวงปู่ดู่และ
หลวงปู่เกษม ท่านคุยกันอยู่เสมอๆ ในทางจิตน้ัน จึงไม่ใช่เร่ืองท่ีกล่าว
เกนิ เลยผ ลจ ากเหตกุ ารณใ์ นค รง้ั น น้ั ทำใหศ้ ษิ ยานศุ ษิ ยข์ องห ลวงป ไู่ ดร้ บั
น้ำพระพุทธมนต์อันวิเศษสุด ซึ่งหลวงปู่ดู่และหลวงปู่เกษมท่านเมตตา
อธิษฐานจิตไว้เป็นหัวเชื้อในแทงค์น้ำมนต์วัดสะแกให้ได้ดื่มกินเป็น
มงคลแก่ตวั อ ยูจ่ นตราบเทา่ ทุกวันน้ี แ ละส ามารถพดู ไดเ้ ตม็ ปากว ่าน ำ้
พระพทุ ธมนตท์ ่ไี ด้รับม าน้ี ค ือ “ น ้ำมนต์สองพระอ รยิ สงฆ์”
“ พอ”
๒๙๒ 292 ๑ ๓๑
ขี้เกยี จ
ภรรยาของโยมอุปัฏฐากคนหน่ึงของหลวงปู่ดู่ เล่าให้ฟังว่า
โดยปรกติแล้วพวกเขาจะจัดเตรียมอาหารและส่ิงของสำหรับไปถวาย
ภตั ต าห ารเพลแ ละถ วายส งั ฆทานก บั ห ลวงป ดู่ เู่ ปน็ ป ระจำท กุ ว นั โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในเรอื่ งข องกบั ข้าวนั้น เขาจ ะต้ังใจท ำอ ยา่ งประณตี ท กุ คร้ัง แต่ม ี
อยู่วนั หนึง่ ก ิเลสต วั ข ้ีเกียจมกี ำลงั มาก ประกอบก บั วันน ั้นนอนตืน่ สาย
เขาจ ึงได้เตรียมอาหารแบบลวกๆโดยท ำก ับข้าวเปน็ ส ะเดานำ้ ปลาห วาน
แต่ครั้งน้ี ไมใ่ ช่น ำ้ ปลาห วานทรงเคร่อื งอย่างท ุกคราว หากแต่เป็นน ำ้ ปลา
ผสมกับน ำ้ ม ะขามเปยี กแลว้ ซ อยห อมแดง ใส่พรกิ ข้ีหนสู ดล งไปท ้ังเม็ด
โดยไมไ่ ดท้ อดไมไ่ด้หน่ั จ ากนน้ั ก็รบี เรง่ เดนิ ทางไปวดั สะแก
เมอ่ื ไปถ งึ ว ดั ส ะแกก ไ็ ดท้ ราบจ ากค ณุ ล งุ ผ ทู้ มี่ หี นา้ ท ค่ี อยน ำก ลา่ วค ำ
ถวายภตั ต าหารและส ังฆทาน บ อกว่าท กุ อ ยา่ งพร้อมแลว้ แต่ห ลวงป ู่
บอกว่า “ใหร้ อตาอกู๋ อ่ น”แ ละเมอื่ พ วกเขาก ราบหลวงปเู่รยี บรอ้ ยแลว้
ก็รีบนำอาหารถวายท่านโดยวางป่ินโตซ้อนปิ่นโตของผู้อ่ืนไว้ด้านหน้า
เน่ืองจากว่ามีผู้นำภัตตาหารมาถวายท่านมากมายจนเต็มพื้นท่ีคร้ันถวาย
เสร็จก็ถอยออกมา คุณลุงท่านนั้น ก็ทำท่าจะหยิบปิ่นโตดังกล่าวออกไป
วางไว้ทางอื่น แต่หลวงปู่ท่านใช้ช้อนกดปิ่นโตไว้ คุณลุงจึงไม่กล้าย้ายที่
293 ๒๙๓
หลังจากบรรดาผ ู้ที่มาถ วายภ ัตตาห ารได้กลา่ วค ำถ วายส งั ฆทาน
แลว้ หลวงป ู่ทา่ นร ับสังฆทานเรยี บร้อยแล้วจ งึ ลงมอื ฉนั ภัตตาห าร พวก
เขาสังเกตว่าท่านเมตตาฉันสะเดาน้ำปลาหวานท่ีพวกเขาจัดเตรียมไป
ถวาย(ด้วยค วามข เี้ กยี จ)น้ันด้วยพลันก ็น กึ เสยี ใจมาก ข นาดว่าท ำ
ดว้ ยความข้ีเกียจทำแบบลวกๆ ท่านก ย็ งั เมตตาฉ นั ให้ศษิ ยไ์ ด้ปลม้ื ใจ
ต้ังแ ต่นน้ั เปน็ ต้นมาพวกเขาจงึ บ อกกับตวั เองว ่าต่อแ ต่น ไ้ี ปศ ิษย์
จะไมเ่ ป็นค นมักง่ายหรอื ข ้ีเกียจอกี พวกเขาไดแ้ ต่ระลึกถ ึงความเมตตา
ท่ีท่านมีต่อลูกศิษย์ลูกหาของท่านอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ตราบจน
ทกุ วนั นี้
“พ อ”
๒๙๔ 294 ๑ ๓๒
อ ธษิ ฐานต ามกนั
คนเราในย ามทีร่ ักกนั มาก ก็มกั พากนั ไปทำบุญอธษิ ฐานข อให้ได้
อยู่ร่วมคู่กันไปท ุกภ พทกุ ช าติ ซ่งึ แ ทท้ จ่ี รงิ แลว้ เปน็ การอ ธษิ ฐานท่ีมไิ ด้
อยู่บนส มั มาท ฏิ ฐ ิ เป็นการไม่ยอมรบั ความจ รงิ ข องค วามไม่เทีย่ งและไม่
เป็นไปเพอ่ื การจ างคลายจากความย ึดม ั่นถอื ม นั่
สมัยก่อนข้าพเจ้าเคยสงสัยหญิงสาวข้างบ้านคนหนึ่งว่าทำไมจึง
ตอ้ งทนให้ส ามีขีเ้ หลา้ ทำร้ายรา่ งกายอ ยทู่ ุกเมอ่ื เชอ่ื วนั ท ั้งๆ ที่สาวเจ้าค น
นกี้ เ็ ป็นคนหาร ายได้อยู่เพยี งคนเดยี วแ ตพ่ อได้ม าศกึ ษาธรรมะ จึงทำให้
พอสันนษิ ฐานได้ว่า เหตุปจั จยั ส ่วนหนง่ึ คงม าจ ากการอ ธิษฐานข อให้ได้
มาอยู่ร่วมชวี ติ ก นั ก็เปน็ ได้
ในเรื่องการอธิษฐานทำนองนี้ หลวงปู่ดู่ท่านส่ังห้าม ท่านว่ากาล
เวลาผ่านไป แต่ละคนก็มีการสั่งสมหรือพัฒนาการต่างๆ กันไป เรียกว่า
ธรรมไมเ่สมอกัน
มีสามีภรรยาคู่หน่ึงมาทำบุญกับหลวงปู่ เมื่อทำบุญเสร็จแล้ว
กพ็ ากันต ้ังจ ิตอธิษฐานอ ะไรอ ยใู่ นใจขณะน ัน้ ห ลวงปกู่ ็ทักข้ึนวา่
“ส ามภี รรยาไมต่ อ้ งอ ธษิ ฐานต ามก นั เพราะจ ะด งึ ก นั อ กี ค นไปได้
อีกค นไปไมไ่ ด้ ...มนั จ ะด ึงกนั ”
295 ๒๙๕
เร่ืองนี้ จึงสอนให้ระมัดระวังไม่ให้ไปเที่ยวอธิษฐานตามคนรัก
หรือใครๆ เพราะวิบากกรรมอันเกิดจากการอธิษฐานที่ไม่กอปรด้วย
สัมมาทิฏฐิ ก็อาจกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมในวันข้าง
หน้าได้...นี่แหละหนาที่ว่าความรักทำให้คนตาบอด และแทนท่ีจะเป็น
บพุ เพสนั นิวาสกอ็ าจกลับกลายเปน็ บ พุ เพอ าละวาด!
“ พ อ”
๒๙๖ 296 ๑๓๓
หลวงป ู่ชว่ ยเดก็
ในปี พ.ศ.๒๕๒๙ โยมลูกศิษย์หลวงปู่คนหน่ึงซ่ึงตั้งครรภ์ได้
ประมาณ ๖ เดือนเริ่มไม่แข็งแรงเพราะต้องทำงานมากเนื่องจาก
ค้าขายดี ต่อมาสุขภาพทรุดลงถึงขนาดต้องไปนอนพักที่โรงพยาบาล
ถึง ๒ คร้ังๆ ละ ๑๕ วัน และคุณหมอได้สั่งให้หยุดงานเพราะลูกไม ่
แขง็ แรง
เมื่อเธอต้ังครรภ์ได้ประมาณ ๘ เดือน ก็เกิดอุบัติเหตุหกล้ม
เขา้ อกี ผ ่านไปได้๒ วนั ท อ้ งมีอาการบ วม แ ละเธอรสู้ ึกเจ็บมาก ไม่
สามารถข ยบั เขยอื้ นไปไหนได้ แ ละพ ลนั น กึ ข นึ้ ไดว้ า่ ล กู ไมด่ นิ้ ม า๒ ว นั แ ลว้
สามขี องเธอร ะลกึ ถ งึ ห ลวงป ดู่ ู่ ห วงั ใหท้ า่ นเปน็ ท พี่ ง่ึ จงึ ร บี ข บั ร ถยนตต์ รง
ไปว ดั สะแกทนั ที ถงึ ว ัดประมาณ ๔ โมงเยน็ ซ ึง่ เวลาน น้ั มแี ตห่ ลวงปู่
ดู่อยู่เพยี งองคเ์ ดียวเขาได้กราบเรยี นใหท้ า่ นฟังถึงเร่อื งทภ่ี รรยาเจ็บท อ้ ง
ไม่สบายมากแ ละล ูกในท้องไม่ดน้ิ แลว้
ตลอดเวลาท่ีเขากราบเรียนท่าน เขาสังเกตเห็นว่าหลวงปู่ดู่
ท่านไม่ได้มองหน้าเขาเลย ท่านกลับมองตรงออกไปเบ้ืองหน้าโดยไม่
กะพริบตาเลย จนกระท่ังเขาเล่าเร่ืองจบ ท่านก็น่ังนิ่งไปอีกประมาณ
๔-๕ วินาที แล้วท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรให้เอาขวดน้ำมาให้ท่านทำ
297 ๒๙๗
น้ำมนต์ให้ หลวงปู่ได้เมตตาอธิษฐานค่อนข้างนาน เม่ือเสร็จเรียบร้อย
ก็ส่ังให้ข้าพเจ้ารีบนำน้ำมนต์ไปให้ภรรยาด่ืมและกำชับว่าห้ามแวะท่ีไหน
เดด็ ข าด
เม่ือเขากลับไปถึงบ้านตอนประมาณ ๖ โมงเย็น เธอซ่ึงนอน
ภาวนาอยู่ตลอดเวลาได้เล่าว่า ช่วงเวลาท่ีสามีเธอไปถึงวัดสะแก ก็รู้สึก
ว่าในทอ้ งมเีสยี งตอดดังตุบ๊ ขึ้นมาแล้วล ูกก เ็ ร่ิมด ิ้นจากน ั้นมา ค รรภ์ข อง
เธอก เ็ ปน็ ป รกติ ก ระทง่ั ใหก้ ำเนดิ ท ารกเพศห ญงิ ซงึ่ ป จั จบุ นั ก ำลงั ศ กึ ษาอ ยู่
ในร ะดับปริญญาตรี ท้งั น้ี ก็ดว้ ยเมตตาอ ันหาป ระมาณมิไดข้ องหลวงป ู่
ซึ่งครอบครัวน้ยี งั คงร ะลึกถงึ พระคณุ ของห ลวงปู่อยา่ งมิร้ลู มื
“พอ”
๒๙๘ 298
๑๓๔
เรอ่ื งผ ีผี
วันหนึ่งในปี พ.ศ.๒๕๓๒ ศิษย์คนหนึ่งได้ไปถวายภัตตาหารเพล
และส งั ฆทานกับหลวงปู่ดู่ เมอื่ ทา่ นฉ ันภตั ต าห ารเสรจ็ แ ละใหพ้ รเรียบ
ร้อยแลว้ พวกล กู ศ ษิ ย์ก็จ ะลอ้ มวงร ับป ระทานอ าหารร่วมก นั คร้ัน
ทานข้าวและทำกิจธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็จะให้ไปทำงาน
ความหมายก ็ค ือใหไ้ปนง่ั ส มาธใิ นหอส วดม นต์ เนื่องจากศ ิษยผ์ ้นู ีช้ อบท ่ี
จะอยู่ใกล้ชิดเพื่อจะฟังท่านสนทนาธรรมกับผู้อ่ืนมากกว่า จึงยังมิได้
ไปน่ังส มาธิและเธอสังเกตเหน็ หลวงปู่ทา่ นเพง่ ม องไปย ังฝ ั่งต รงขา้ มซ ึ่ง
มีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ ท่านมองแล้วก็พูดข้ึนว่า
“คุยก นั แต่เรือ่ งผ ผี ี”
เธอรู้สึกตกใจ และนึกในใจว่า พวกเขาเหล่านั้นมาทำบุญ
กับหลวงปู่ แล้วเหตุใดหลวงปู่จึงกล่าวตำหนิพวกเขาว่าคุยแต่เร่ืองผีผี
และเรอื่ งน้ีกเ็ ปน็ เร่อื งท ่ีติดค้างอ ย่ใูนใจไมเ่ข้าใจอ ยู่นานจนกระท่งั ท า่ นล ะ
สงั ขารต อ่ ม าก ระทงั่ ป จั จบุ นั เมอื่ ม าว ดั ส ะแกแ ลว้ น กึ ย อ้ นไปถ งึ เหตกุ ารณ์
คร้ังน้นั ปัญญาถึงไดเ้กดิ ว า่ เรือ่ งผผี ที ่หี ลวงป ่ตู ติ งิ นั้นก็คอื ผ ีโลภ ผ โี กรธ
ผีหลงนน่ั เองเพราะค นเราโดยม ากก ม็ กั จ ะค ยุ ก นั แตใ่ นเรอ่ื งโลกๆ เร่ือง
299 ๒๙๙
ชอบนั่นไมช่ อบน ่ี ล ้วนแ ล้วแ ตเ่ปน็ เร่ืองท ่พี าให้หลงเพลนิ หลงป ระมาท
ทงั้ ส ิน้ สว่ นว ่าจ ะห นั ม าค ุยกันในเรอ่ื งท่ีชวนใหไ้ม่ประมาทในช ีวิตนนั้ น อ้ ย
เหลือเกินมิน่าเล่าห ลวงปถู่ ึงพูดบ่อยๆว า่ “พดู มากก ็ผ ดิ มาก พูดน ้อย
กผ็ ิดน ้อย” เวลาท่ีควรม าดูจิตดูใจต ัวเองกก็ ลบั ไปใช้ในทางคุยฟ ุ้งเสีย
“พอ”
๓๐๐ 300 ๑๓๕
หลวงปู่ด่หู รอื ห ลวงปทู่ วด ?
ศ ิษย์ค นหน่ึงเลา่ ให้ฟ ังว า่ เม่ือตอนท ่เี ขาไปก ราบหลวงปู่ด ่ใู นร ะยะ
แรกๆ น้ัน ท่านได้เมตตาสอนเขา โดยเน้นหนักในเร่ืองของการปฏิบัติ
ภาวนา และมีอยู่คร้ังหน่ึงเม่ือเขากลับมาจากวัดสะแกในตอนกลางคืน
แลว้ ป ฏบิ ตั สิ มาธติ อ่ ท บ่ี า้ นขณะท นี่ ง่ั อ ยนู่ น้ั ไดเ้ หน็ ห ลวงป ดู่ มู่ าห าในท า่ ย นื
เขารู้สึกดีใจมาก ตามประสาคนที่ปฏิบัติใหม่ๆ แล้วเกิดมีมงคลนิมิตที่
หลวงปู่เคยบอกว่ามีไว้ให้เชื่อให้เลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย เพื่อ
เป็นเคร่ืองจ งู ใจในการป ฏบิ ัตพิ จิ ารณาในท างป ัญญาตอ่ ไป เม่ืออ อกจ าก
สมาธิแล้ว เขาก็รีบเข้านอน โดยท่ีใจน้ันนึกอยากจะให้ถึงตอนเช้าเร็วๆ
เพอื่ จะไดไ้ปเลา่ ถ วายห ลวงป ู่
พ อร่งุ เช้าเขากร็ บี ข ับรถยนต์จากกรุงเทพฯ ตรงไปว ดั ส ะแกไป
กราบห ลวงปดู่ ้วยจ ิตใจทีม่ ีป ีติมาก เมื่อไปถ ึงกเ็ ลา่ ใหท้ ่านฟัง ท า่ นฟังจบ
แล้วก็มองหนา้ เขาแลว้ ถ ามด ้วยค วามเมตตาว่า“ใช่ขา้ ห รือเปน็ หลวงป ู่
ทวดม ้ัง” สักค รู่ท ่านก็ก ล่าวต ่อวา่ “แ กจ ำไวน้ ะว ่าถ้าเป็นข้าจะต อ้ งม ี
ผเี ส้อื อ ยู่ที่หลังม อื ”
ส ดุ ทา้ ย ห ลวงป กู่ ลา่ วอ ยา่ งอ ารมณด์ วี า่ “ บ า้ นแ กจ ง้ิ จกเยอะน กั ”
301 ๓๐๑
ข้าพเจ้าจึงยิ้มด้วยความดีใจเป็นท่ีสุด เพราะม่ันใจว่าหลวงปู่ไปท่ีบ้าน
จริงๆ มิเช่นน้ัน หลวงปู่จะรู้ได้อย่างไรว่าท่ีบ้านเขามีจ้ิงจกเยอะมาก
ซ่งึ ก ็เป็นเชน่ น้ันจริงๆ
เขาก้มกราบหลวงปู่ด้วยความซาบซึ้งในความเมตตาและเอ็นดู
ศิษย์ผู้ยังต้องอาศัยกำลังใจจากครูบาอาจารย์ ซึ่งในเรื่องน้ี นับว่าท่าน
กรุณาส่ังสอนให้เขาเป็นคนละเอียด เพื่อให้เป็นก้าวแรกๆ ในการใช้
ความส ขุ ุมแยบคายในการปฏิบัติธรรมให้ยง่ิ ๆ ข ึ้นไปทกุ ว นั น้ี เขาได้แต่
ระลึกถึงความเมตตาของท่าน สำนึกอยู่ว่าตัวเขาได้ทำอะไรเพื่อถวาย
ให้ท่านบ้าง เขายังจำได้ดีว่าท่านได้เมตตาสอนว่า “ท่ีแกทำทุกวันนี้
เพอ่ื ต วั แกเองไม่ใชเ่พอื่ ข า้ ” แล้วทำไมล ะ่ เขาย งั จ ะขเี้กียจ ไม่ปฏิบตั ิ
ให้จริงจังเพ่ือน้อมถวายบูชาหลวงปู่ดู่ให้สมกับท่ีท่านได้เมตตาอบรม
ส่งั สอนเขา
“พอ”
๓๐๒ 302 ๑๓๖
สัมมาทิฏฐิ
นอกเหนือจากการปลูกศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใสในพระ
รัตนตรัยแล้ว การปลูกฝังสัมมาทิฏฐิเป็นเร่ืองที่สำคัญท่ีสุดอีกเร่ืองหนึ่ง
ท่ีหลวงปู่เมตตาอบรมสั่งสอนสานุศิษย์ตลอดมาจวบจนวาระสุดท้าย
แห่งส งั ขารขันธ์ของท า่ น
ท า่ นพ รำ่ เนน้ ว า่ การจ ะไดจ้ ะถ งึ น น้ั ข น้ึ อ ยกู่ บั ค วามเพยี รข องแ ตล่ ะคน
แม้พระพุทธองค์และตัวท่านก็เป็นเพียงผู้ช้ีทางเท่านั้น ท่านอยู่ในฐานะ
ของผู้บอกทาง รวมท้ังเป็นผู้คอยให้กำลังใจ และผู้ส่งเสริมสนับสนุน
ห ากเราไมเ่ ดนิ ท ่านก ช็ ว่ ยอ ะไรไมไ่ ด้ การชอบอธษิ ฐานในทางอ้อนวอนข อ
ความส ำเรจ็ น น้ั ไมจ่ ดั เปน็ ส มั มาท ฏิ ฐิ ทถี่ กู ค อื ต อ้ งอ ธษิ ฐานเพอื่ ท จี่ ะ “ท ำ”
การอ ธษิ ฐานเปน็ การต อกยำ้ ห นกั แ นน่ ล งไปว า่ จ ะใชค้ วามเพยี รท ำสงิ่ นน้ั ๆ
ใหส้ ำเร็จใหจ้ งได้
เสียงจิ้งจกเวลาลูกศิษย์ปฏิบัตินั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการให้
กำลงั ใจและก ารส นับสนนุ จากห ลวงปู่ บ างค รงั้ เราเผลอปลอ่ ยจิตป ล่อยใจ
ให้ฟุ้งปรุงแต่งไปจนกู่ไม่กลับ เสียงจ้ิงจกท่ีดุดันก็ดังข้ึน เรียกสติเราให้
กลับมาอยู่กับเนอื้ กับตวั คำสอนเก่ียวกบั อนจิ จังทุกขังอ นตั ตาจ ะค อย
303 ๓๐๓
กอ้ งก งั วาน เป็นกรอบในการค ิดพิจารณาธรรมข องสานศุ ษิ ยท์ งั้ ห ลาย
ท กุ เชา้ เวลาท า่ นเปดิ ป ระตกู ฏุ กิ า้ วเดนิ อ อกม า ท า่ นก ม็ กั จ ะเอย่ ข น้ึ ว า่
“...เกิดแก่ เจ็บต าย” เพื่อให้คนท ่นี ง่ั เฝา้ ร อท่านทดี่ า้ นหนา้ กุฏิไดฉ้ ุกคดิ
ถ งึ ภัยในส ังสารว ฏั ที่จักม มี าถ งึ ต ัวเราอยา่ งแ นน่ อนแ มพ้ ระพุทธองค์ก็เคย
ต รสั ว ่า หากโลกน ี้ไมม่ ที ุกข์ ค อื ความแก่ความเจบ็ ความต ายแลว้ ไซร้
โลกน กี้ ไ็ มจ่ ำเปน็ ต อ้ งม กี ารอ บุ ตั ขิ น้ึ ข องพ ระพทุ ธเจา้ หรอื พ ระพทุ ธศ าสนา
ห ลวงป พู่ ยายามช ใ้ี หเ้ หน็ ว า่ ไมม่ ปี าฏหิ ารยิ อ์ นั ใดจ ะอ ศั จรรยเ์ ทา่ กบั
การฝึกหัดอบรมพัฒนาตัวเราเองจากปุถุชนไปสู่อริยชน ท่านพูดเสมอๆ
ว า่ เราแ ตล่ ะค นๆ ต อ้ งเพยี รป ฏบิ ตั ไิ ปใหถ้ งึ ห วั ส ะพาน ห รอื ท ำใหถ้ งึ ห นง่ึ ในส ่ี
จึงจะปลอดภัย เป็นท่ีแน่นอนว่าจะไม่กลับไปสู่อบายภูมิ และเท่ียงแท้
แนน่ อนวา่ จะส ามารถข า้ มไปยงั ฝ ง่ั แหง่ พ ระนพิ พานอนั เปน็ ทส่ี ดุ แหง่ ท กุ ขไ์ ด้
แม้กระน้ัน ศิษย์จำนวนไม่น้อยก็ยังฝักใฝ่ต่อการขอบารมีหลวงปู่
หรอื ห วงั พ ง่ึ ท า่ นใหเ้ ปน็ ผ สู้ ง่ เขาไปย งั ส คุ ตภิ มู โิ ดยไมข่ วนขวายพ ง่ึ พาต นเอง
จนท ่านดุบ อ่ ยคร้ังว่า “แกจ ะมาหวงั ให้ข้าค อยส ่งพวกแกไม่ได้ แกต้อง
สง่ ตวั แ กเอง”
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งกรรมและความเพียร ไม่ใช่ศาสนา
แห่งกรรมเก่าหรือพรหมลิขิต พระพุทธองค์เมื่อแรกประสูติก็ได้เปล่ง
อาสภิวาจาว่า “เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นพี่ใหญ่แห่งโลก เราเป็น
ผูป้ ระเสริฐสุดแห่งโลก ก ารเกิดของเราน้ีเปน็ ค ร้ังส ุดทา้ ย ภ พใหม่ต่อไป
ไม่มี” พระพุทธองค์ประกาศในท่ามกลางสภาพแวดล้อมแห่งความเชื่อ
๓๐๔ 304
อยา่ งฝ งั ใจช นท ง้ั ห ลายวา่ ม นษุ ยไ์ มอ่ าจพ ฒั นาต นเองได ้ เพราะท กุ ค นเกดิ ม า
เปน็ อ ยา่ งไรก เ็ ปน็ อ ยา่ งน น้ั ไปจ นต ายท กุ ช วี ติ ล ว้ นพ รหมล ขิ ติ ม าแ ลว้ ด งั น น้ั
การเปล่งว าจาอ ยา่ งอาจหาญข องพ ระองค์ จึงเปน็ การป ระกาศอิสรภาพ
ว่ามนุษย์เดินดินธรรมดานี้แหละ หากฝึกฝนอบรมตนดีแล้ว อย่าว่า
แต่มนุษย์ด้วยกันเลย แม้แต่เทวดาและพรหมก็ยังต้องมานอบน้อม
สกั การบ ชู าพระองคจ์ งึ อ ยใู่ นฐ านะพ ใ่ี หญส่ ดุ เปรยี บด งั ล กู น กต วั แ รกท เี่ อา
จะงอยป ากเจาะเปลอื กไข่ (ค กุ แ หง่ ส งั ส ารว ฏั )อ อกม าไดก้ อ่ นล กู น กต วั อ นื่ ๆ
เป็นระยะเวลายาวนานท่ีหลวงปู่ดู่พร่ำสอนให้ศิษย์ท้ังหลายต้ังอยู่
ในส มั มาท ฏิ ฐติ ามค ำส่งั สอนของพ ระพุทธองค์ แลว้ เราละ่ เป็นผู้ป ระพฤติ
ธรรมส มควรแ กธ่ รรมห รอื ไม่ เราย งั ใหค้ วามส ำคญั ก บั ใบไมน้ อกก ำม อื ของ
พระพุทธองค์ หรือมัวเสียเวลาแสวงหาทางลัด หรือปรุงแต่งวิชาแปลก
ประหลาดพ สิ ดารอ นื่ ใดอ ยอู่ กี ห รอื ไม่ ท งั้ ท พี่ ระพทุ ธอ งคต์ รสั แ กพ่ ระอ านนท์
ในช ว่ งท้ายใกลต้ อนจ ะป รนิ ิพพานว ่า
“ ดูก ่อนอ านนท์ ภกิ ษุส งฆย์ งั ม าหวังอ ะไรในต ถาคตอ กี เลา่ ธ รรมท ่ี
ตถาคตแ สดงแ ลว้ ท งั้ ป วง ต ถาคตแ สดงโดยเปดิ เผย ไมม่ ภี ายในภายนอก
ไม่มีการปกปิดซอ่ นความสำคญั ในธรรมใดๆเลย...อ านนท ์ ต ถาคตเป็น
ศาสดาของเทพดาและมนุษย์ท้ังหลาย โดยจิตบริสุทธิ์ พ้นจากตัณหา
มานะ ท ฏิ ฐินิสยั ด ้วยป ระการท ้งั ปวงข้อซ ่งึ ล ี้ลบั จะปกปิดซอ่ นบงั ไว้
โดยแ สดงเฉพาะแ กส่ าวกบ างรปู บ างเหลา่ ไมท่ ว่ั ไปก ด็ ี หรอื จ ะเกบ็ ไวแ้ สดง
ต ่ออวสานก าลสุดทา้ ยก็ด ี ข้อน ัน้ มิไดม้ แี ก่ตถาคตเลย”
305 ๓๐๕
หากมีทางล ดั ต รงกวา่ ศ ลี ส มาธิ ปญั ญา และก ารพิจารณาด กู าย
เวทนาจ ติ ธรรมอ ยจู่ รงิ จ ะม หี รอื ท พ่ี ระพทุ ธอ งคผ์ ทู้ รงเปย่ี มด ว้ ยพ ระเมตตา
และพ ระก รณุ าอ นั ห าป ระมาณม ไิ ด้ จ ะไมท่ รงบ อกก ลา่ วแ กเ่ วไนยส ตั วท์ ง้ั ห ลาย
พระองคส์ ละชวี ติ มานับภ พนับช าติไมถ่ ว้ น มิใช่เพ่ือก ารบอกท างเดินแ ก่
สตั ว์โลกดอกหรือ
ห ลวงป กู่ เ็ ชน่ ก นั ท า่ นไดใ้ หโ้ อวาทธ รรมต ามแ นวทางท พ่ี ระพทุ ธองค์
วางไวท้ งั้ ห ลกั ศ ลี สมาธ ิ แ ละป ญั ญา แ กส่ านศุ ษิ ยท์ งั้ ห ลาย อ ยา่ งม ไิ ดป้ ดิ บงั ใดๆ
ซ่ึงเพียงพอแก่พวกเราจะน้อมนำไปปฏิบัติโดยไม่มีความจำเป็นอันใดท่ี
จะไปสร้างเสริมเพ่ิมเติมให้เกินเลยจากคำสอนของหลวงปู่หรือพระพุทธ
องค์ พระพุทธองค์คัดสรรธรรมที่จำเป็นและเพียงพอลงในใบไม้ในกำมือ
แลว้ ดงั น น้ั ใบไมน้ อกก ำม อื จ งึ ไมใ่ ชท่ างข องผ ทู้ ป่ี ระกาศต นเปน็ พ ทุ ธบ ตุ ร
ทง้ั ห ลายจะไปเสยี เวลา
หลวงปกู่ ล่าวเตือนไว้แลว้ ว่า
“เวลาเหลอื อีกไมม่ ากแลว้ ใหร้ บี พาก ันป ฏิบัติ”
“พ อ”
๓๐๖ 306 ๑๓๗
อวดอ ตุ ริมนสุ ธ รรม
ธรรมดาแล้ว หากพระภิกษุสงฆ์ไปแสดงตัวว่าตนมีฤทธ์ิเดช หรือ
รู้เห็นส่ิงที่คนอ่ืนยากจะรู้เห็นได้ ฯลฯ ก็อาจเข้าข่ายผิดวินัยข้อท่ีว่า
อวดอ ุตรมิ นสุ ธรรม
ตอนเข้าวัดสะแกและรู้จักหลวงปู่ใหม่ๆ ก็สงสัยว่าทำไมหนอ
เวลาหลวงปู่จะสงเคราะห์ใคร ทำไมต้องหาลูกศิษย์สักคนหนึ่งในท่ีนั้น
มาเป็นตัวแทนในการขอบารมีหลวงปู่ทวด เพ่ือสงเคราะห์คนป่วยบ้าง
คนถ กู ค ณุ ไสยบา้ งฯ ลฯ ค ดิ อ ยใู่ นใจบ อ่ ยค รงั้ ว า่ ก ท็ ำไมหลวงป ไู่ มพ่ ดู บ อก
ออกมาโดยตรงเลยล่ะ เพราะบางคร้ังลูกศิษย์ก็มีสภาวะจิตท่ีไม่แจ่มใส
เทา่ ห ลวงป่ ู
ดงั คร้งั หนึ่ง ม ผี ้ถู ูกของม าขอหลวงป ู่สงเคราะห ์ ท า่ นกใ็ หล้ กู ศิษย์
คนห น่ึงม านัง่ ส มาธิขา้ งห นา้ ท า่ น แล้วท า่ นก บ็ อกให้ขอบารมหี ลวงป ่ทู วด
กำหนดจิตเอาไม้เท้าหลวงปู่ทวดจี้ลงไป ไล่ไปตามกระดูก ไล่จุดดำๆ
ออกไปใหห้ มดส กั ค รทู่ า่ นก ถ็ ามล กู ศ ษิ ยค์ นน น้ั วา่ จ ดุ ด ำห มดห รอื ย งั ลกู ศษิ ย ์
บอกวา่ ห มดแ ลว้ ค รบั แ ตห่ ลวงป กู่ ลบั บ อกวา่ เอา้ ด ใู หม่ข อบ ารมหี ลวงป ทู่ วด
ให้ตามเห็นไม่มีท่ีปกปิด จากนั้น เขาจึงเห็นว่ามีจุดดำๆ หนีไปซ่อนด้าน
หลังก ระดูกแ ละหลังจ ากไล่จนส ว่างไปทง้ั ร่างแล้ว ห ลวงปูก่ ็ใหข้ อบารมี
307 ๓๐๗
หลวงปู่ทวดแผ่ให้กับวิญญาณ และเจ้ากรรมนายเวรท้ังหลายของเขา
เปน็ อันเสร็จ คราวน น้ั ท ำให้ข ้าพเจ้าสงั เกตไดว้ ่าค ำวา่ “ ถกู ข อง” นน้ั
คงต้องมีเรื่องข องว ญิ ญาณมาก ำกับดว้ ยก ระมัง
มาบดั น ้ี ข ้าพเจ้าพ อเข้าใจในกศุ โลบายของหลวงป ู่ท ีจ่ ะสงเคราะห์
คนโดยทท่ี า่ นไมเ่ สยี ในเรอ่ื งก ารรกั ษาข อ้ วนิ ยั อ กี ท ง้ั ย งั เปน็ แ บบอ ยา่ ง เพอ่ื
ไม่ให้ผ ู้ท ่ีเปน็ ครอู าจารยเ์ กดิ ค วามหลงต วั วา่ ตนเป็นผ วู้ ิเศษ แล้วไปย ึดใน
ลาภสกั ก าระ จากส่ิงเหลา่ น ้ี ความล ะเอียดลออของหลวงป นู่ ัน้ มีมากเหลือ
เกินจะกนิ จะด่ืมจะประกอบก ารงานใดๆ ท า่ นกฝ็ ึกให้เราม ีสต ิ มีกริ ยิ า
งดงามเรยี บรอ้ ยไม่พูดไม่ค ยุ ใหเ้ ปลอื งล มห ายใจไปเปล่าๆ ใครมาหลอก
ถามถึงคุณวิเศษของหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็จะว่าตัวท่านนั้นยังมืดอยู่เลย
ดังน้นั แ ลว้ จ งึ ค วรร ักษาปฏปิ ทาอันดีงามนี้ไว้ ว่าผู้ปฏบิ ัติทม่ี งุ่
ละกิเลส จะต้องเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน การรู้เห็นภายในก็ให้เป็นเร่ือง
ภายใน มิใช่สิ่งที่จะมาพูดอวดพูดคุย ไม่อย่างนั้นก็อาจ “ดีแตก” อย่าง
ที่หลวงปู่เคยเตือนไว้หลายคร้ังหลายหน เพราะมันอาจเป็นกับดักตัวโต
สำหรับนกั ปฏบิ ัติ แ ละไม่ควรลมื ห ลกั ท ี่ว่าการปฏิบัตนิ ัน้ เพ่อื ค วามไม่เป็น
อะไรเลยคอื ส ุญญตาหรอื นพิ พานน น่ั เองการม ีก ารเป็นกใ็ห้เป็นเรอ่ื ง
ของสมมุติที่คนเขาเรียกกันเฉยๆ ปล่อยให้เป็นสภาวะธรรมชาติล้วนๆ
ไม่ตอ้ งมี “ต ัวเรา” เขา้ ไปย ดึ เพราะทใี่ดม ี“ต ัว”ท ี่น้ันย ่อมม ี“ส ังขาร”
ท่ีใดมี “ส ังขาร” ท ี่นนั้ ย อ่ มมี “ท ุกข์”
“ พ อ”
๓๐๘ 308 ๑๓๘
อ าหาร
หากใครมีโอกาสถวายภัตตาหารแก่หลวงปู่ จะพบว่าหลวงปู่
ทา่ นฉ นั น้อยมากฉันเพยี งไม่ก ่ีคำ แ ตล่ ะคำก ใ็ช้เวลาเค้ียวค่อนข า้ งนาน
และก็ไม่เคยได้ยินว่าท่านเอ่ยปากกับญาติโยมคนไหนว่าท่านประสงค์
จะฉนั กบั ขา้ วอ ะไรเปน็ พเิ ศษแ ต่อยา่ งใดเลย
หลวงปู่ท่านสอนด้วยการทำให้ดูว่า อาหาร...มันก็แค่ปัจจัย
เครื่องอาศัยให้ร่างกายของเราต้ังอยู่ เพ่ือประกอบการบำเพ็ญเพียรทาง
จิตได้ แน่นอนวา่ อ าหารเป็นเร่ืองสำคัญมใิ ช่นอ้ ย จนทางพ ระท า่ นก็ให้
สงั เกตว า่ อ ะไรท ถี่ กู ห รอื ไมถ่ กู ธ าตขุ นั ธ์ แตม่ ใิ ชว่ า่ อ ะไรอ รอ่ ยห รอื ไมอ่ รอ่ ย
อาหารมิใช่ส่ิงท่ีเราจะเสียเวลาไปกับมัน หรือมัวเมาไปกับมันมากเกินไป
สมัยน ้ี ถึงข นาดร ับป ระทานอ าหารตามหม่เู ลอื ดรวมทัง้ กำหนดเง่ือนไข
มากมายเกี่ยวก ับก ารร บั ป ระทานอ าหาร จ นอาจท ำให้ลมื ไปว่าแ ม้เราจะ
บำรุงด ูแลสงั ขารรา่ งกายดีเพียงใด มนั ก ไ็ มพ่ ้นอนจิ จังไปได้ สิง่ ทคี่ วรให้
ความส ำคญั สงู สดุ ค ือทางจติ ม ากก วา่
แตใ่ นบางกรณีครบู าอ าจารย์บ างท ่าน โดยเฉพาะท อ่ี ยูแ่ ต่ในป ่า
ในเขาในถิ่นทุรกันดาร ก็อาจอัตคัดเร่ืองอาหารไม่น้อย ซึ่งองค์ท่านเอง
309 ๓๐๙
คงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความลำบากอะไร แต่ผู้เป็นลูกศิษย์มักรู้สึก
ว า่ ครูบาอาจารยน์ า่ จ ะไดข้ บฉนั อาหารที่ประณตี กวา่ น ี้บ ้าง
ขา้ พเจ้าเคยได้มีโอกาสสนทนากบั หลวงป เู่ จยี๊ ะจุนโท ซึง่ ท่านเคย
ทำหน้าที่อุปัฏฐากหลวงปู่ม่ัน หลวงปู่เจ๊ียะได้เล่าอย่างเปิดเผยว่าเวลาท่ี
ท่านฉันอาหารอันประณีตและมีมากมายเหลือเฟือท่ีญาติโยมนำมาถวาย
บ่อยครั้งที่ท่านอดไม่ได้ท่ีจะคิดถึงหลวงปู่ม่ันว่าพระกรรมฐานปัจจุบัน
ไดร้ บั ลาภสกั ก าระ อยา่ งมาก กเ็ปน็ เพราะคุณงามความด ขี องหลวงป่มู ั่น
พระลูกศิษย์ หลานศิษย์ สมัยหลังล้วนได้รับอานิสงส์จากหลวงปู่มั่น
แตต่ ลอดชวี ติ ห ลวงปมู่ น่ั ท่านไม่เคยไดฉ้ นั อ าหารด ีๆสกั ม ื้อเลยบ างครง้ั
กไ็ มค่ อ่ ยพ อฉ นั ห ลวงป เู่ จยี๊ ะเลา่ ไปใจท า่ นค งเกดิ ธ รรมส งั เวชเพราะน ำ้ ตา
ท่านค ลอเบา้
พิจารณาดูเอาเถอะ ในเวลาที่เรากำลังมัวเมากับรูป รส กลิ่น
เสียง สัมผัส อยู่นั้น นักปฏิบัติทั้งหลายกำลังปฏิบัติเพ่ือความไม่เป็น
ทาสแ ห่งรปู ร สก ล่นิ เสยี งสัมผัสฯลฯ
“พอ”
๓๑๐ 310 ๑ ๓๙
ประสทิ ธิพระ
ในสมัยที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่นั้น บรรดาผู้ที่เช่าวัตถุมงคลของทาง
ว ดั ส ะแกโดยม ากแ ลว้ ก ม็ กั จ ะน ำว ตั ถมุ งคลเหลา่ น น้ั ไปใหห้ ลวงป อู่ ธษิ ฐาน
ซ้ำอีกคร้ัง เพ่ือเพ่ิมกำลังใจและความเชื่อมั่นในวัตถุมงคลที่จะนำไป
บูชา และทั้งผู้ท่ีเช่าวัตถุมงคลและผู้ท่ีอยู่ตรงบริเวณน้ันก็จะคุ้นกับบท
ประสิทธิพระของหลวงปู่ แต่ก็อาจจำไม่ได้ตลอดทุกตัวอักษร ดังนั้น
ผู้เขียนจ งึ ขอนำบทประสิทธพิ ระของห ลวงป ู่มาให้ร บั ท ราบก ัน ดังนี้
เตส งั ฑฆี ายกุ าม หาเตช ามหาปญั ญาม หาโภคาม หายะส า
ปัญจะวีสติ ภ ะยญั จะทวตั ต งิ สะโสฬสั ส ะอ ันตรายญั จ ะตี ติ
ช ะยะส ทิ ธิธะนังล าภังโสตถิ ภาคะย ังสขุ งั พะลงั
ส ิริอายุ จะว ัณโณจะโภคงั ว ุฑฒีจ ะยะสะว า
สะตะวัสส าจ ะอ ายูจ ะชวี ะส ิทธี ภะว นั ต ุ เต
พุทธังสิทธิ ธ มั ม ังสิทธิส ังฆงั ส ิทธิส ัพพะส ิทธิ ภ ะว นั ต ุ เต.
ผ เู้ ขยี นม คี วามเหน็ ส ว่ นต วั ว า่ หากเราเชอ่ื ม นั่ อ งคห์ ลวงป ู่ เราก อ็ าจ
นำพ ระเครอ่ื งพ ระบ ชู าท ยี่ งั ม ไิ ดผ้ า่ นพ ธิ พี ทุ ธาภเิ ษกไปข อบ ารมขี องห ลวงป ู่
โดยก ารน อ้ มใจว า่ หลวงป กู่ ำลงั ป ระสิทธพิ ระเครือ่ งเหลา่ นัน้ ด้วยคาถา
311 ๓๑๑
ขา้ งต้น ในขณะนน้ั ตวั เราก ็ทำส มาธิภาวนาให้จ ติ สว่างไปดว้ ย ก น็ า่
จะให้ผลอย่างเดียวกันกับการผ่านพิธีพุทธาภิเษก ท้ังน้ี ไม่ว่าจะทำท่ี
หนา้ ห่นุ ข ผ้ี ง้ึ ท า่ นท ว่ี ดั สะแกห รอื จ ะเปน็ ท่หี ้องพ ระทบ่ี ้านต นเองก็ตาม
“พอ”
๓๑๒ 312 ๑๔๐
ไม่ใหแ้ ปล
คร้ังหน่ึง เคยกราบเรยี นถ ามหลวงป่วู า่ บทสวดบชู าพ ระ “ นะโม
พทุ ธาย ะ พระพทุ ธไตรรตั นญาณ ฯ”ท ห่ี ลวงป ู่ให้ส วดนัน้ มาจากไหน
หลวงป บู่ อกว า่ ไดม้ าสม ยั เมอ่ื ศ กึ ษาเลา่ เรยี นจ ากว ดั ป ระดทู่ รงธรรมท า่ นวา่
“คาถานี้ดี สมัยก่อนเขาจะหวงคาถาดีๆ ไม่เอามาบอกต่อง่ายๆ นะ
ใครห มน่ั สวดแ ล้วจ ะไม่จน”
แต่พอถามว่ามีความหมายว่าอย่างไร ท่านบอกว่า “เรื่องคาถา
เขาไม่ให้แปล” ข้าพเจ้าเอาไปขบคิด ประกอบกับผ่านกาลเวลาและ
ประสบการณ์ต่างๆ จึงพอเข้าใจว่า เร่ืองคาถานั้น ไม่ได้มีเจตนาจะสอน
ธรรมอย่างบทสวดในพระส ูตรอาท ิ ธ มั ม จักกัปปวัตนส ูตร ท ีส่ อนเรื่อง
ทางสายกลาง ฯลฯ เร่ืองของคาถาน้ันท่านมุ่งเอาสมาธิจิตของผู้สวด
เป็นสำคญั ดงั นนั้ จึงต้องมีความแ น่วแ น่ หากจ ะม วั ไปตคี วามห มายของ
คาถาแ ตล่ ะคำ แ ตล่ ะพยางค์จ ิตม นั ก็จะมีการปรงุ แตง่ ไม่ร วมเป็นส มาธิ
ได้โดยงา่ ยการอ ธิษฐานกไ็ ม่มกี ำลัง
การทำความเข้าใจในความหมายก็เอาไว้ศึกษาทีหลัง แต่ขณะท่ี
สวดไม่ตอ้ งไปนึกแปลค วามหมาย
313 ๓๑๓
ส่วนวา่ ส วดคาถาแล้วจะไมจ่ นก็อาจมนี ยั ห ลายร ะดับเช่นเมื่อได้
สมาธิพร้อมด ้วยศรัทธาแล้ว ก ช็ อื่ ว า่ ไดอ้ รยิ ท รพั ย์ คอื ทรัพยภ์ ายใน
ทจ่ี ะเอาไปต อ่ ยอ ดต า่ งๆ ไดอ้ กี น บั ไมถ่ ว้ นแ ละอ าจห มายถ งึ ท รพั ยภ์ ายนอก
จริงๆ อันเกิดจากความศักดิ์สิทธ์ิของผู้ที่อธิษฐานผูกคาถาด้วยสัจวาจา
เหมอื นด ง่ั ค าถาข องพ ระอ งคลุ มี าล ท ใ่ี ชส้ จั ว าจาอ า้ งค ณุ ค วามด ที ไี่ ดบ้ ำเพญ็
มาช่วยใหห้ ญงิ ต งั้ ค รรภค์ ลอดงา่ ยซงึ่ ทกุ ว นั นี้ ครูบาอาจารยก์ น็ ยิ มส วด
อธษิ ฐานทำน ้ำมนตใ์ หห้ ญงิ ม คี รรภใ์กล้คลอดด่มื
“พอ”
๓๑๔ 314 ๑ ๔๑
อ าราธนาพ ระเขา้ ตวั
การอ าราธนาพ ระเข้าตวั โดยการวา่ บท สัพเพพ ทุ ธาส พั เพธมั มา
สัพเพสังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพะลัง อะระหัน ตานัญ
จะเต เชนะ รกั ขัง พันธามสิ ัพพ ะโสพุทธงั อธิษฐาม ิ ธัมมงั อธษิ ฐามิ
สังฆงั อ ธิษฐาม ิน ้ัน
เปรียบได้กับการที่เราปีนเขา แล้วเราก็ปักหมุดเอาไว้ เพ่ือว่าการ
ไตเ่ ขาค ร้งั ต่อๆไป จ ะได้อ าศยั หมุดน นั้ นอกจากน ี้ หมดุ ท ่ปี ักเอาไวย้ งั
เปน็ เครอ่ื งหมายใหร้ วู้ า่ เปน็ เสน้ ท างท เ่ี คยเดนิ ผ า่ นม าแ ลว้ รวมท ง้ั ใชอ้ าศยั
ยดึ เกาะใหไ้ต่เขาไดโ้ ดยสะดวกรวดเรว็
ฉนั ใดก ฉ็ นั น นั้ เมอื่ เราป ฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนาเวลาจ ติ ส งบด ี ท า่ นก ใ็ ห้
อาราธนาพ ระเข้าต วั ห รือต ั้งองคพ์ ระไว้ทจี่ ิต ซงึ่ ส ง่ิ น้ีจะเปน็ เสมือนหมดุ
เพื่อให้การปฏิบัติครั้งหน้า จะเป็นไปโดยสะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้
ยังจะช่วยให้เราเกิดความสำรวมระวังว่าบัดน้ี จิตของเราเป็นพระอยู่
จงอย่าคิดไม่ดี พูดไม่ดี หรือทำไม่ดี ท่ีสำคัญเราต้องปฏิบัติตามท่ี
หลวงปู่แนะนำค ือก ารเกล่ยี จ ติ ต ะลอ่ มจ ิตใหไ้ดท้ กุ อิริยาบถอกี นัยหนงึ่
ก็คือการประคองนิมิตองค์พระไม่ให้เลือนหายไปไหน ซึ่งก็เท่ากับการ
พยายามทรงอารมณ์สมาธิให้ได้ตลอดต่อเนื่องทั้งวัน พอมีจังหวะหรือ
315 ๓๑๕
โอกาสนั่งกรรมฐาน จิตก็พร้อมจะเป็นสมาธิได้โดยง่าย อย่างหลวงปู่
ในช ว่ งท ท่ี า่ นช ราภาพ แ ละธาตขุ นั ธข์ องท า่ นไมส่ ดู้ ี บางวนั ข ณะท า่ นใหพ้ ร
ป รากฏว า่ ท า่ นเขา้ สมาธเิ งยี บไปน าน ท า่ นเขา้ ส มาธไิ ดโ้ ดยรวดเรว็ เพราะ
ความชำนาญในเรื่องสมาบัติของท่าน เม่ือสังขารท่านต้องการการพัก
ท่านก็เข้าพ ักไดโ้ ดยอัตโนมตั ิ จิตทฝี่ กึ หดั ด ีแล้ว จ ึงม อี ำนาจมาก
“ พอ”
๓๑๖ 316 ๑๔๒
ไม่ต้องบร กิ รรม
เรื่องน้ี แม้เป็นประเด็นปลีกย่อย แต่หากไม่ถ่ายทอดก็เกรงจะ
สูญหายไป
ครงั้ ห นง่ึ ห ลวงป เู่ คยบ อกว า่ “ขณะท กี่ ำลงั อ จุ จาระป สั สาวะน นั้
ให้งดบ ริกรรมภาวนาไตรส รณค มน์”
ตอนน้ัน ในใจก็คิดแย้งหลวงปู่ ว่าเราควรภาวนาให้ได้ตลอด
ทกุ อิริยาบถจ ึงจ ะถ ูก เพราะเราไมร่ วู้ ่าเราจ ะตายเมอ่ื ไหร่อยใู่ นห้องนำ้
กอ็ าจตายได้น่นี า
ท่านก็ขยายความให้ฟัง (โดยเราไม่ได้เอ่ยปากถาม) ว่าเวลาเรา
บริกรรมไตรสรณคมณ์อยู่น้ัน เทวดาเขาจะตามมารักษา (อันนี้ก็เป็นท่ี
เข้าใจเองไดว้ ่าเราจะเชญิ เทวดาเขาม าส ัมผัสสิง่ ป ฏิกลู ด้วยทำไม)ส ว่ นวา่
จะต้องหยดุ ภาวนาน ้นั ก ไ็ ม่จริง เพราะท ่านใหห้ ยุดบ ร กิ รรม แ ตม่ ิไดใ้ห้
หยุดภาวนา เรายังมีรูปแบบการภาวนาอีกสารพัดวิธี เป็นต้นว่าการ
พจิ ารณาอสภุ ะหรอื การทำความร ู้สกึ ต ัวในอ ริ ยิ าบถต า่ งๆ เป็นต้น
พอย อ้ นพ จิ ารณาต วั เองในภ ายห ลงั ก ช็ า่ งน า่ ข นั แ กมส งั เวชใจเจา้ ของ
ว่าที่นึกค้านหลวงปู่นั้น ทำราวกับว่าตัวเองบริกรรมภาวนาได้ตลอด
317 ๓๑๗
ทกุ อริ ิยาบถอ ย่างน ั้นแ หละ ท ่ีท หี่ ลวงป ู่ห ้าม กจ็ ะมาแ สร้งท ำข ยนั เชียว
แคจ่ ะระลกึ ถงึ ค วามต ายใหไ้ ดบ้ อ่ ยครั้ง กย็ ังหลงๆลืมๆ ระลกึ ไดบ้ ้าง
ระลกึ ไม่ไดบ้ ้าง
“ พ อ”
๓๑๘ 318 ๑ ๔๓
ติดต ำรา
ความรใู้ ดท ม่ี อี ยู่ แ ตไ่ มช่ ว่ ยใหเ้ ราไมก่ ระเทอื น เวลาม สี ง่ิ ม าก ระทบ
นั่นแหละ เขาเรียกว ่าค วามรู้จำ เขาไมใ่ ห้ความนบั ถือก โ็ กรธเขา เขา
นนิ ทาว่าร ้ายก ็อ าฆาตเขา ได้รบั อาหารอร่อยๆ ได้เห็นร ปู ท น่ี า่ เพลินใจ
กห็ ลงย ินดีไปน่นั กเ็ รียกว า่ ก ระเทอื นเพราะส ิ่งกระทบอกี เชน่ ก ัน
หากห มนั่ ต รวจส อบต วั เองก จ็ ะรไู้ ดว้ า่ ความรทู้ อ่ี ยกู่ บั ต วั เราน นั้ เปน็
ความร ้จู ำเสยี ส่วนมาก เมอื่ รแู้ ล้วจะไดไ้ ม่หลงในความร จู้ ำว า่ เป็นปญั ญา
อกี เพอื่ จ ะไดบ้ ำเพญ็ เพยี รส รา้ งป ญั ญาใหเ้ กดิ ใหม้ ี ห รอื ใหย้ งิ่ ๆ ข น้ึ ไปอ กี
ด้วยความไมป่ ระมาท
มีหลกั อ ันหนึง่ ท ด่ี ีมาก เปน็ ห ลักของพระกรรมฐ านทเี่ปน็ ล ูกศษิ ย์
ลกู ห าในส ายข องห ลวงพ อ่ ช าส ภุ ทั โทว ดั ห นองป า่ พ งจ งั หวดั อบุ ลราชธานี
คอื ทา่ นให้ระลกึ หรืออ าจใช้เปน็ ค ำบริก รรมภ าวนาว า่
“ไม่มีอะไรไมไ่ดอ้ ะไรไม่เป็นอะไร”
หลวงปเู่ องกเ็คยใหห้ ลักว ่า
“จงปฏบิ ตั อิ ย่างค นโง่ อ ยา่ ปฏิบตั อิ ย่างค นรมู้ าก”
เพราะเราค วรม เี ปา้ ห มายก ารป ฏบิ ตั เิ พอื่ ค วามว า่ งค อื ว า่ งจ ากก เิ ลส
319 ๓๑๙
วา่ งจ ากค วามย ดึ ม น่ั ห มายม นั่ ต า่ งๆ เพอื่ ค วามเบาส บายค วามป ลอดโปรง่
และไมต่ ้องแ บก... แ มก้ ระทง่ั ความดี
“พ อ”
๓๒๐ 320 ๑ ๔๔
นกั เช็คพระ
เป็นธรรมดาที่คนปฏิบัติกรรมฐานย่อมอาจสัมผัสถึงพุทธคุณท ่ี
อยู่ในพ ระเครอื่ งพ ระบชู า ซ ่งึ ในสมัยท ่หี ลวงปูย่ งั มีช วี ิตอยู่ทา่ นก ็เคยให้
ลกู ศ ษิ ยเ์ อาพ ระม าก ำแ ลว้ อ ธษิ ฐานข อช มบ ารมใี นอ งคพ์ ระ เวลาป ตี เิ กดิ ข น้ึ
ท่ีผ ู้กำพ ระหลวงปกู่ ็จะท ราบได้ทา่ นจะบ อกเลยว ่าขณะน ้ปี ตี ิข้นึ ม าตาม
แขนแลว้ น ะข้ึนม าท ห่ี ลงั ท่คี อกระท่ังถงึ ศ ีรษะฯ ลฯ ทา่ นทราบชัดก ว่า
เจา้ ต วั เสยี อ กี ส ดุ ทา้ ยท า่ นก ส็ รปุ ว า่ การขอชมบารมใี นองคพ์ ระนน้ั ท ำเพอ่ื
ใหเ้ กิดค วามเชื่อค วามเล่ือมใสในค ุณพระวา่ ม ีอยจู่ ริง (ท ่านไม่เคยบอกว ่า
เก่งห รือดเี พราะการเช็คพระ เพราะจ ะเกง่ จะดไีด ้ ก ด็ ้วยจ ิตทีเ่ ล่ือมใสใน
คุณพระรตั นตรัยต่างห าก)
การข อช มบ ารมใี นองค พ์ ระในส มยั น นั้ โดยม ากม กั ท ำต อ่ ห นา้ ห ลวงป ู่
และหลวงปู่เป็นผู้พาทำ เพราะถ้าทำไม่ถูกต้อง มันอาจสุ่มเสี่ยงต่อ
การปรามาสพระ เช่น แทนท่ีจะเป็นการขอชมบารมีเพื่อสร้างความ
เลื่อมใสศรัทธา กลับกลายเป็นการเปรียบเทียบพลังในองค์พระว่าองค์
ไหนเหนือกวา่ องค์ไหน น่ีหากวา่ พ ระสงฆ์องค์ทท่ี ่านประสทิ ธพิ ระนน้ั เป็น
ผู้ม คี ณุ ธรรมสงู ผ ้ทู ่ีปรามาสกอ็ าจม ีบาปกรรมต ิดตวั โดยไมจ่ ำเป็นทง้ั ๆท ี่
321 ๓๒๑
การข อช มบ ารมนี น้ั แ ตเ่ ดมิ เราต อ้ งอ าศยั บ ารมหี ลวงป ชู่ ว่ ยเปดิ ให้ แตท่ นี ้ี
เกิดการอวดเก่งจะกระทำเอง ก็เลยพลาดเพราะความท่ีจิตเจ้าของยังไม่
พน้ จ ากส ิ่งท เี่รยี กว า่ อ คติ ดังต ัวอยา่ งต อ่ ไปน ี้
มีศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ท่านหนึ่ง มีความสนุกเพลินกับการ
เช็คพระท้ังของตัวเอง รวมไปถึงของพรรคพวกเพื่อนฝูง กระทั่งวันหนึ่ง
เพื่อนสนิทคนหน่ึงนึกอยากลองของ จึงเอาพระเครื่อง ๒ องค์ท่ีม่ันใจ
ในพุทธคณุ กบั ก ้อนพ ลาสติกอ ีก ๑ ช น้ิ ท้งั หมดร วมเป็น๓ช้ินห ่อ
กระดาษแยกกันไว้ แลว้ ส ่งใหน้ กั เชค็ พระ เช็คท ีล ะอ งค์โดยไม่อาจทราบ
ไดว้ า่ ขา้ งในเป็นอะไร
นักเช็คคนนั้นเมื่อจับเอาองค์พระองค์ที่ ๑ และ ๒ ก็เกิดปีติ
ไปตามล ำดบั ก ลา่ วรบั รองวา่ ด ๆี พ อถ งึ ช น้ิ ท ่ี ๓ ซงึ่ เปน็ กอ้ นพลาสตกิ ทอี่ ยใู่ น
หอ่ กระดาษเมอ่ื กำแ ล้วก ย็ ังกลา่ ววา่ ป ีตแิ รงเหลือเกนิ ดีจรงิ ๆ แลว้ ขอให้
เพื่อนช่วยเปิดห่อกระดาษออกมาให้ชมหน่อยว่าเป็นพระเครื่องวัดไหน
เพอ่ื นส นทิ เจา้ ของก อ้ นพ ลาสตกิ น นั้ ก ไ็ มอ่ ยากใหเ้ พอื่ นเสยี ห นา้ จ งึ บ า่ ยเบยี่ ง
แต่เม่ือถูกรบเร้ามากเข้าก็เลยจำต้องเปิดออกให้ดู ผลจะเป็นอย่างไร
ค งไมต่ ้องอธิบายต ่อ
นี่แหละ การจะทำอะไรไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม เราต้องมี
เปา้ ห มายท ช่ี ดั เจน แ ละค วรเปน็ เปา้ ห มายท ถี่ กู ท คี่ วรเปน็ อ นั ดบั แ รก ดงั น น้ั
การส มั ผสั พลงั พ ระเพ่อื จ ะเชค็ คณุ ธรรมทา่ น จึงถ ือวา่ ผดิ ต้งั แ ตแ่ รกแลว้
รวมท้ังโอกาสท่ีสัมผัสไม่ตรงตามความเป็นจริงก็มีสูง เพราะจิตของเรา
๓๒๒ 322
ไม่เป็นกลาง(คอื ม ีอคติ)อันอ าจเกิดจ ากปีตทิ ี่ตอ่ เน่อื งกนั ม าแ ล้วเจา้ ต วั
ไมส่ ามารถจ ะป ลอ่ ยว างใหจ้ ติ ก ลบั ไปส ภู่ าวะท เ่ี ปน็ กลางได ้ กอ่ นก ารเรม่ิ ต น้
ข อช มบ ารมใี หม ่ ห รอื ไมก่ เ็ พราะจ ติ ค ดิ เลยอ งคพ์ ระท อี่ ยใู่ นก ำม อื ออกไป
ถงึ หลวงพ่อหลวงปู่ทเี่ ราคิดว่าเปน็ ผ ู้เสก เมอื่ เลยไปถงึ องค์จ ริงท า่ นดังน ้ัน
แล้ว ทำไมป ีติจะไมเ่ กดิ ล่ะ หากแ ต่เป็นปีตอิ นั เกดิ จากก ารร ะลกึ ถ งึ องค์
หลวงพ ่อหลวงป ู่ม ใิ ช่จากวตั ถุมงคลในกำม ือเรา
“ พ อ”
323 ๓๒๓
๑๔๕
ไม่ตอ้ งมาก
ตลอดระยะเวลาห ลายป ที มี่ โี อกาสไดไ้ ปก ราบน มสั การแ ละฟ งั ธ รรม
จากห ลวงป ู่ สง่ิ ท ไี่ ดเ้ รยี นรอู้ ยา่ งห นงึ่ ก ค็ อื ทา่ นม ไิ ดม้ งุ่ ห วงั ใหศ้ ษิ ยข์ องท า่ น
ไปศึกษาเล่าเรียนอะไรมากๆย่งิ ไปก วา่ ภาคปฏบิ ตั ิทำนองว า่ รู้นอ้ ยแ ต่
ทำใหไ้ ด้ผ ลดกี ว่าร ู้มาก แ ตล่ ้วนเป็นค วามรจู้ ำท ั้งหมดจะห าความรจู้ รงิ
ก ็แทบไมม่ เี ลย อย่างนี้ทา่ นไมย่ กย่อง
อ ปุ มาเหมอื นท พ่ี ระพทุ ธเจา้ ก ลา่ วไวว้ า่ จ งท ำตวั เหมอื นอ ยา่ งเจา้ ของ
โคท มี่ สี ทิ ธจ์ิ ะด ม่ื ก นิ น ำ้ นมโคข องต น จ งอ ยา่ เปน็ ด งั่ ค นงานเลยี้ งโค ท ไี่ มม่ ี
สทิ ธิ์จะด่มื นำ้ นมโคท ่ีต นเลี้ยง...เราป ฏบิ ตั ิธรรมแมไ้ มม่ าก แต่หากได้
ล้มิ รสผลแหง่ ธรรมน้นั ก ็ไดช้ ือ่ วา่ สำเร็จประโยชน์แลว้ ไมม่ ากกน็ อ้ ย
“พ อ”
๓๒๔ 324 ๑๔๖
หลวงพ่อกัสสป มุนี
ในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๐มีคณะม ากร าบนมสั การหลวงปู่ หลวงปู่
ท่านถ ามวา่ “น ่งั สมาธหิ รือภาวนาห รือเปล่า” เขาตอบว ่า“ผ มน ่งั สมาธิ
กับหลวงพ่อกัสสป มุนี จ งั หวดั ร ะยองค รบั ”
หลวงปู่ท่านให้เขาเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อกัสสปมุนีสอนอย่างไร
หลวงป ทู่ า่ นฟงั แลว้ กร็ บั รองวา่ “ด ”ี พ รอ้ มก บั บ อกวา่ “ห ลวงพ อ่ ก สั สป มนุ ี
ท่านเก่ง ทา่ นเหาะเหินเดนิ อากาศได้” เขาถามต่อไปถงึ หลวงพอ่ พ รหม
และหลวงปูช่ น้ื ว่าเป็นอ ย่างไร ท ่านกร็ บั รองว า่ “ด ”ี แ ล้วทา่ นก บ็ อกเอง
เลยว่า“ห ลวงพ ่อเกษมพอ่ ท า่ นคลา้ ยวดั ส วนขันธ์ เปน็ พ ระอรห นั ต์
และท ปี่ ราจีนบรุ กี ม็ พี ระอ รห ันตอ์ ีก๓ องค์”
หลงั จ ากน น้ั เขาไดไ้ ปก ราบห ลวงพ อ่ ก สั สป มนุ ที บ่ี า้ นศ าลาแดง ทท่ี า่ น
มาพำนกั เวลาม าโปรดศ ิษย์ในกรงุ เทพฯเขาไดเ้ ล่าใหห้ ลวงพอ่ ก สั สป มนุ ี
ฟังว่าไปกราบหลวงปู่ดู่และท่านพูดถึงองค์หลวงพ่อว่าอย่างไร ท่านก็ย้ิม
เขากเ็ ลยถามท ่านว ่า “หลวงพ ่อร จู้ ักหลวงปู่ดูไ่ หมครบั ”ท่านกต็ อบว า่
“ร ูจ้ ัก”เขาถามต ่อว่า “แล้วหลวงพ่อเคยเจอก ับห ลวงป ดู่ ู่ไหมค รับ”ท า่ น
กลบั ต อบวา่ “ ไมเ่ คยเจอ” เขาจ งึ เขา้ ใจเอาเองวา่ ท า่ นค งพ บเจอก นั ในท างจ ติ
325 ๓๒๕
เขาไดเ้ ลา่ ถ วายห ลวงพ อ่ ไปอ กี วา่ “ห ลวงป ดู่ ชู่ ว่ งน ไี้ มค่ อ่ ยส บายครบั ”
ตอนห ลงั ไปก ราบท า่ นอ กี ท ี กท็ ราบวา่ ห ลวงพ อ่ ท า่ นไปเยย่ี มหลวงป ดู่ มู่ าแ ลว้
น เี้ ปน็ เรอื่ งร าวเพอื่ ใหไ้ ดร้ บั ท ราบว า่ ค รบู าอ าจารยอ์ งคส์ ำคญั ๆ นน้ั
ท่านถึงกันอย่างไร ท่านล้วนแล้วแต่เป็นแบบอย่างของผู้ไม่มีทิฏฐิมานะ
ไมเ่ หมอื นอ ยา่ งท างโลกๆ ท เ่ี มอ่ื โดง่ ด งั แ ลว้ ก ม็ กั ม กี ารส งวนท า่ ทกี นั อ ยา่ ง
เตม็ ท ่ี โลกก บั ธ รรมจึงส วนท างก ันอ ยา่ งน้ี
“พอ”
๓๒๖ 326 ๑๔๗
บ ารมธี รรม
การจะสร้างศรัทธาในทางธรรมน้ัน บางครั้งก็ต้องรอกาลเวลา
บางครั้งก็ต้องอาศัยเหตุจากภายนอกน้อมเข้ามาหาภายใน อย่างกรณี
ของโยมมารดาของพระสารีบุตร ซึ่งเป็นพราหมณ์ท่ีเคร่งครัด มิได้
มีศรัทธาในพระลูกชายหรือพระพุทธเจ้าเลยจนกระท่ังใกล้จะถึงวันท่ี
พระสาร บี ุตรจ ะป รินพิ พาน
พระส ารบี ตุ รไดเ้ ดนิ ท างไปโปรดโยมม ารดาก อ่ นห นา้ จ ะป รนิ พิ พาน
เพียงวันเดียว ในคืนที่เดินทางไปถึงน้ัน โยมมารดาท่านสังเกตเห็น
แสงส วา่ งรอบแ ลว้ รอบเลา่ ในห อ้ งข องพ ระล กู ชาย เมอื่ ใกลร้ งุ่ จ งึ ไดถ้ ามพ ระ
ลกู ชายว า่ แ สงน นั่ ค อื อ ะไร พระส าร บี ตุ รจ งึ เลา่ ใหฟ้ งั ว า่ แ สงส วา่ งในต อน
แรกน นั้ คือแ สงแห่งท้าวจ ตโุ ลกบาลท ่มี าเยยี่ มดอู าการอ าพาธของท่าน
จากนั้นก็เป็นแสงสว่างจากพระอินทร์ แล้วก็แสงสว่างจากพระพรหม
พอพูดถึงพระพรหม โยมมารดาก็ตะลึงว่าขนาดพระพรหมที่เป็น
เทพเจา้ ส งู สดุ ท โ่ี ยมม ารดานบั ถอื ก ย็ งั ม าส กั ก าระ พ ระล กู ชายข องเราเชยี ว
หรือช่างน า่ อัศจรรยย์ ิ่งนกั
พระสารีบุตรเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงปรารภถึงคุณวิเศษแห่ง
327 ๓๒๗
พระบรมศาสดา และได้แสดงธรรมโปรดโยมมารดาจนกระทั่งได้บรรลุ
โสดาปัตติผล เช้าวันรุ่งข้ึน พระสารีบุตรก็ได้ละสังขาร โดยได้ทันโปรด
โยมมารดาให้ไดด้ วงตาเหน็ ธ รรมสมความป รารถนาข องท่าน
ทวี่ ัดสะแก จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยาแ หง่ น ้ี ผ้คู นม ากมายทัง้ ใน
อยธุ ยาแ ละจากจ ังหวดั อ นื่ ๆ โดยเฉพาะอ ยา่ งย ิง่ ทางก รุงเทพฯ พ ากนั
มากราบนมัสการห ลวงป ู่ดู่ แต่ถ งึ ก ระนัน้ ก ็มผี ู้คนบริเวณใกลเ้ คยี งท ่ีมไิ ดม้ ี
ศรัทธาเขา้ ล ักษณะท หี่ ลวงปู่กล่าวว า่ “ใกลเ้กลือต ีนด ่าง” ค อื น อกจาก
ไม่ศรัทธาแ ลว้ ย ังปรามาสท่านอีกด้วยเรียกว่าเหยียบกันเลย
ขา้ พเจา้ อดไม่ไดท้ ่จี ะระลกึ ถงึ ความยง่ิ ใหญใ่ นบารมธี รรมของหลวงปู่
จากเหตุการ ณ์ที่ค รูบาอาจารย์ช ้ันผใู้ หญ่มากร าบเยยี่ มท า่ นทงั้ ๆ ทที่ า่ น
ไมเ่ คยอ อกไปน อกว ดั โดยเฉพาะอ ยา่ งย ง่ิ ห ลวงป บู่ ดุ ด าผ ทู้ เ่ี ปน็ ท เ่ี คารพรกั
ของพระกรร มฐานส ายหลวงป ู่มน่ั หลายร ปู เช่นหลวงป เู่ ทสก์ หลวงปสู่ ิม
หลวงพอ่ พธุ ฯลฯเป็นตน้ ก็ล้วนแ ต่เดนิ ทางไปกราบเย่ยี มหลวงป ู่บ ุดดา
ดว้ ยก นั ท งั้ ส นิ้ และก ถ็ อื เปน็ เมตตาต อ่ ล กู ศ ษิ ยข์ องห ลวงป ดู่ อู่ ยา่ งเหลอื ล น้
ทหี่ ลวงป บู่ ดุ ด าซ ง่ึ ข ณะน นั้ ม อี ายใุ กลร้ อ้ ยป ี ไดเ้ มตตาม าเยยี่ มแ ละส นทนา
กบั ห ลวงปู่ด ู่ทวี่ ัดส ะแก ถ งึ ส องครง้ั หลวงป ดู่ ่ซู ึง่ มพี รรษาน้อยก วา่ ได้
ใหก้ ารปฏสิ นั ถารอย่างออ่ นน้อมถ ่อมต นเปน็ ท่สี ดุ
ผ ทู้ ยี่ งั ไมร่ จู้ กั ห ลวงป ดู่ ู่ พอไดท้ ราบเรอ่ื งราวห รอื เหน็ รปู ห ลวงป บู่ ดุ ด า
ท่ีมาน่ังสนทนาอยู่กับหลวงปู่ด้วยอาการท่ีต่างฝ่ายต่างอ่อนน้อมเช่นนั้น
ก็ย อ่ มรบั ร ไู้ด้ถ ึงบ ารมีธรรมของทา่ นทั้งส องและยังศรัทธาท ีย่ ังไม่มใีห้เกิด
๓๒๘ 328
ขนึ้ ได้ จงึ ว า่ การส รา้ งศ รทั ธาใหเ้ กดิ ข น้ึ ในค นใกลต้ วั น น้ั บ างค รง้ั ก ต็ อ้ งอ าศยั
ปัจจัยขา้ งนอกน ้อมเข้าหาขา้ งในเหมอื นก ัน
“พอ”
329 ๓๒๙
๑ ๔๘
สมถะ-ว ปิ สั สนา
เม่ือย้อนระลึกถึงคำสอนของหลวงปู่เก่ียวกับสมถะและวิปัสสนา
กไ็มพ่ บว ่าทา่ นพดู แบ่งแ ยกใหเ้ ห็นเทา่ ใดนักประกอบก บั เมอ่ื ไดย้ ินได้ฟงั
คำส อนข องห ลวงป ชู่ าวา่ “อ ยา่ แ ยกใหห้ า่ งก นั น กั เลยเรอ่ื งสมถะวปิ สั สนา”
ท ำใหเ้ ขา้ ใจไดว้ า่ ส มถะวปิ สั สนาในท างต ำรบั ต ำราท า่ นแ ยกเอาไว้
ให้เหน็ หน้าที่หรอื บ ทบาทข องสตใิ นแ ตล่ ะขนั้ แต่ละตอน แ ต่แทจ้ ริงแ ลว้
พอถ งึ ข น้ั ป ฏบิ ตั หิ รอื ภ าคส นามแ ลว้ เราไมค่ วรไปแ บง่ แ ยกม นั เพราะม นั
ต้องควบค่กู ันไป
เหมือนคนจะเดินทางไกล ก็จำเป็นต้องอาศัยการพักผ่อน รับ
ประทานอาหาร แล้วก็อาศัยการเดินทาง เดินอย่างเดียวก็ไปไม่รอด
พกั ผอ่ นกินข้าวแล้วไมเ่ดนิ ก็ไปไม่ถึง
ในท างป ฏบิ ตั ิ เราต อ้ งอ าศยั ค วามส งบเพอื่ ท ำใหอ้ ะไรๆ ม นั ก ระจา่ ง
ชดั ทำใหค้ วามค ดิ น กึ เปน็ ภ าพท เ่ี ชอ่ื งช า้ อ ยใู่ นจ ติ เรา เพอื่ ใหส้ ตเิ ราท นั ม นั
แล้วก็เพียรมองเห็นมันให้แจ้งในความเป็นก้อนอนิจจังก้อนทุกขัง ก้อน
อนัตตาก้อนข ้างนอกเป็นอยา่ งไร ก อ้ นส ังขารร ่างกายเราก ็ไมต่ า่ งก ัน
สมัยน้ี เขานิยมแบ่งแยกสมถะ วิปัสสนา กันมากเหลือเกิน
๓๓๐ 330
เหมือนจะไมฟ่ ังค ำเตือนของค รบู าอาจารย ์ เราจ ะส ังเกตว ่า ในท างตำรา
เขาแ บง่ แ ยกเพอ่ื ป ระโยชนใ์ นท างการศ กึ ษา แตผ่ ศู้ กึ ษาไมน่ อ้ ยย ดึ ต ดิ ต ำรา
มากเกนิ ไป จ นบ างค รงั้ ค ดิ ว า่ ค วามรจู้ ำเปน็ ค วามรจู้ รงิ เทยี่ วค อ่ นขอดว า่
“ นน่ั แ นวพ ทุ โธฯลฯโอย๊ ... แ นวส มถะพวกก ดข ม่ ก เิ ลสตอ้ งวปิ สั สนาส ิ จงึ จ ะ
ละกิเลสได”้ แตข่ ณะท ี่พูดกม็ ิไดร้ ะลึกร้ตู วั ว่าก ำลังพดู ด้วยค วามห ลง (ด)ี
หรอื ไม่
มิน่าเล่า หลวงปู่จึงไม่สงเสริมให้ลูกศิษย์อ่านตำรับตำรามาก
ท่านคงกลัวลูกศิษย์ไปติดตำรับตำราจนแยกไม่ออกว่าความรู้ที่มีอยู่นั้น
เปน็ ความรจู้ ำ (ค วามรโู้ ดยส ญั ญา) ห รอื ค วามรจู้ รงิ (ค วามรจู้ ากก ารภ าวนา
ท่ีเรียกว ่าปัญญา)
“พ อ”
331 ๓๓๑
๑๔๙
หลวงป ู่ทวดชว่ ยเด็ก
เมอ่ื ย สี่ บิ ก วา่ ป มี าแ ลว้ ไดม้ อี บุ ตั เิ หตรุ ถบ รรทกุ ช นรถส องแ ถวรบั ส ง่
นกั เรยี นซ งึ่ ก ำลงั เดนิ ท างจากจ งั หวดั ล พบรุ กี ลบั บ า้ นท สี่ ระบรุ ี เดก็ น กั เรยี น
เสียชีวิตถึงสิบกว่าคนและหน่ึงในนั้นเพิ่งได้มีโอกาสตามญาติผู้ใหญ่ไป
กราบนมสั การหลวงป ดู่ เู่ป็นค รั้งแ รกและค รง้ั ส ดุ ทา้ ย
ค ำถามท คี่ า้ งค าใจในเวลาน น้ั ค อื ท ำไมห นอห ลวงป จู่ งึ ไมเ่ มตตาช ว่ ย
ให้เดก็ น อ้ ยอ นั เปน็ แก้วตาด วงใจของผู้เป็นพ ่อและแ ม่ใหแ้ คล้วคลาดจาก
ภยนั ตรายท ง้ั ๆ ท เี่ ดก็ น อ้ ยผ นู้ น้ั ก แ็ ขวนพ ระ ซงึ่ เปน็ ว ตั ถมุ งคลข องห ลวงป ู่
ตดิ ตวั อ ยู่ แ ลว้ ท ำไมก บั ศ ษิ ยบ์ างค น ห ลวงป จู่ งึ ส งเคราะหใ์ หเ้ ขาแ คลว้ คลาด
หรือช่วยต่ออายุให้
คำถามน้ีค่อยๆ คล่ีคลายลง เมื่อได้ยินเร่ืองราวว่า วิญญาณของ
เด็กหญงิ ค นน ี้ ไดไ้ปปรากฏต ัวโดยม ีหลวงป ทู่ วดยนื อ ย่ขู ้างๆ ให้ลูกศ ิษย์
ของหลวงปู่ที่อยู่กรุงเทพฯ ซ่ึงเป็นญาติกันได้เห็น ในเย็นวันเกิดเหตุ
ขณะไหว้พระอยู่ในห้องพระท่ีบ้าน โดยท่ีในเวลานั้น ทางพ่อแม่ของเด็ก
กย็ งั ไมไ่ ดส้ ง่ ข า่ วค ราวใหท้ ราบแ ตอ่ ยา่ งใดเดก็ น น้ั ไดฝ้ ากค ำพ ดู ผ า่ นล กู ศ ษิ ย์
หลวงปผู่ ูน้ น้ั ว ่า
๓๓๒ 332
“ ฝากบอกแม่ห นดู ว้ ยว่าหนูออกม าแลว้ ไมเ่ จ็บเลย หนูจะก ลับ
มาเกิดเป็นล กู แ มอ่ ีก”
ในช ว่ งค ำ่ ว นั เดยี วกนั ท างญ าตขิ องเดก็ น อ้ ยน จ้ี งึ ไดส้ ง่ ข า่ วใหล้ กู ศ ษิ ย์
หลวงปูผ่ นู้ น้ั ได้ทราบว า่ เด็กไดเ้ สยี ช วี ติ แลว้ !
เดือนต่อมาภายหลังเสร็จสิ้นงาน พ่อแม่ของน้องได้พากันไป
ทำบุญอุทิศส่วนกุศลกับหลวงน้าสายหยุด และได้มีโอกาสนั่งภาวนา
ในกุฏิท่าน ภายหลังการภาวนา หลวงน้าได้บอกกับโยมทั้งสองว่า
หลวงปู่ทวดท่านฝากบอกว่าโยมไม่ต้องเป็นห่วงลูกสาว เด็กคนนี้ฉัน
รับอุปการะเอง ซ่ึงก็ตรงกันกับนิมิตท่ีปรากฏให้ลูกศิษย์ผู้น้ันได้เห็น
หลวงปู่ทวดม าหาพ รอ้ มเดก็ ค นน้ี
บางคร้ังแม้เหตุปัจจัยจะไม่เอื้อให้หลวงปู่สงเคราะห์ให้เขารอด
ตายได้แตท่ ่านกจ็ ะส งเคราะหด์ ้วยการอ ุปการะด วงจิตของผตู้ ายใหไ้ ปสู่
ภพภูมิท่ีดี ซึ่งก็อาจจะดีเสียกว่ามาเสียชีวิตภายหลังแต่จากไปสู่ภพภูมิ
ทไ่ี ม่ดี
เม่ือเวลาผ่านไปประกอบกับประสบการณ์ต่างๆ ท่ีได้พบเห็น
ทำให้ได้ข้อสังเกตว่าบุคคลที่หลวงปู่จะสงเคราะห์ต่ออายุให้ได้ มักเป็น
ผู้ปฏิบัติธรรม หรือผู้ที่จะทำประโยชน์ไว้กับส่วนรวมหรือพระพุทธ
ศาสนาน น่ั คอื อาศัยบุญบ ารมีและก ศุ ลเจตนาของตวั ผนู้ ัน้ เองด้วยว ่าหาก
ได้มีชีวิตอยู่ต่อ เขาจะมีโอกาสทำความดี ส่ังสมบุญกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
เรื่องหลวงปู่ทวดช่วยเด็กหญิงคนน้ี จึงเป็นข้อเตือนใจที่ดีว่าบางครั้งท่ี
333 ๓๓๓
พระท่านช ว่ ยน น้ั ม ไิ ด้ช่วยให้คนจะตาย ไมต่ ายเสมอไป หากแ ตก่ ารช ว่ ย
ในลักษณะท ไี่ ดเ้ ล่าส กู่ นั ฟังนี้กม็ ี
๓๓๔ 334 ๑ ๕๐
แบบปฏิบตั เิบือ้ งต้น
สำหรับผู้ท่ีศรัทธาในหลวงปู่ดู่ และสนใจใคร่จะฝึกหัดกรรมฐาน
ตามแ นวทางท ท่ี า่ นส อน แ ตย่ งั ไมร่ วู้ า่ จ ะเรมิ่ อ ยา่ งไรด ี ผ เู้ ขยี นก ข็ ออ นญุ าต
ยกต วั อย่างไว้พอเปน็ แนวทางดงั นี้
๑.เริ่มต้นดว้ ยการกล่าวค ำบูชาพ ระ สมาทานศ ีล (เปลี่ยนศลี ข อ้
กาเมสมุ จิ ฉาจาร เป็น อพรัหมจ รยิ าฯ เพื่อเตรยี มจติ กอ่ นอธษิ ฐานบวช
จติ ) จากน ัน้ ก ก็ ลา่ วค ำอาราธนากรรมฐานโดยวา่ ...พุทธังอาราธะนงั
กะโรมิ ธัมมัง อาร าธะนังกะโรมิ สังฆัง อาราธะนงั กะโรมินะโม
โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา ( ๓ ครั้ง ) นะโม พรหมปัญโญ
(๓ ครง้ั )เปน็ ต้น
๒.ในเบื้องตน้ ย ังไม่ตอ้ งร บี ร้อนบรกิ รรมภาวนาห รือน ึกนมิ ติ ใดๆ
หากแต่ให้ปรับท่านั่งให้เป็นที่สบาย สูดลมหายใจลึกๆ สักสองสามครั้ง
พร้อมกับทำจิตใจของเราให้ปลอดโปร่งโล่งว่าง สร้างฉันทะท่ีจะปฏิบัต ิ
กรรมฐาน ระลึกว่าเรากำลังใช้เวลาที่มีคุณค่าแก่ชีวิตซ่ึงจะเป็นสิ่งติดตัว
เราไปทุกภ พทกุ ช าติ
๓. กล่าวอาราธนาขอให้พระพุทธเจ้า หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่
หลวงปู่เกษม ได้โปรดมาเป็นผู้นำและอุปการะจิตในการปฏิบัติธรรม
335 ๓๓๕
ครั้งน้ี จากน้ัน ก็น้อมจิตกราบพระ ว่า...พ ุทธังวันทามิ ธัมมังวันทามิ
สงั ฆังว ันทามิ
๔.ส ำรวจอ ารมณ์ที่ค ้างค าอยู่ในใจเรา แลว้ ช ำระม ันออกไป ท ง้ั
เร่ืองน่าสนุกเพลิดเพลิน หรือเรื่องชวนให้ขุ่นมัวต่างๆ ตลอดถึงความ
ง่วงเหงาหาวนอน และความฟุ้งซ่านรำคาญใจ รวมทั้งปล่อยวางความ
ลงั เลส งสยั ต า่ งๆ
๕. เมื่อชำระนิวรณ์อันเป็นอุปสรรคของการเจริญสมาธิออกไป
ในระดับหน่ึงแล้ว กระท่ังรู้สึกปลอดโปร่งโล่งว่างตามสมควร จึงค่อย
บริกรรมภาวนาในใจว่า“ พทุ ธัง ส รณงั คัจฉามิ ธมั มังสรณังคัจฉามิ
สงั ฆัง สรณัง คัจฉาม ”ิ
๖. มีหลักอยู่ว่าต้องบริกรรมภาวนาด้วยใจท่ีสบายๆ (ย้ิมน้อยๆ
ในดวงใจ) ไม่เครง่ เครียดหรอื จจ้ี ้องบังคับใจจ นเกินไป
๗. ทำความรู้สึกว่าร่างกายของเราโปร่ง กระทั่งว่าลมที่พัดผ่าน
ร่างกายเราคลา้ ยๆ ก บั ว่าจะทะลุผา่ นร ่างข องเราอ อกไปได้
๘. ให้มีจิตยินดีในทุกๆ คำบริกรรมภาวนา ว่าทุกๆ คำบริกรรม
ภาวนาจ ะกลน่ั จ ิตข องเราให้ใสสวา่ งข น้ึ ๆ
๙. เอาจิตท่ีเป็นสมาธินี้มาพิจารณาร่างกายว่ามันเป็นก้อนทุกข์
ยามจ ะแ ก่ จะเจบ็ จะต าย เราก ไ็ มอ่ าจบ งั คบั บ ญั ชาห รอื ห า้ มป รามม นั ได ้
ถงึ แม้วา่ เราจะดูแลม ันดอี ย่างไรม นั กจ็ ะท รยศเรามันจะไม่เช่อื ฟ งั เรา
ให้พิจารณาให้ละเอียดลงไปซ้ำๆ จนกว่าจิตจะเห็นความจริง
๓๓๖ 336
และยอมรบั เมอ่ื จิตยอมรบั จิตกจ็ ะคลายจากค วามยึดม ัน่ ถือมนั่ ว่าก ายนี้
เปน็ เราห รือเปน็ ข องเรา (การปฏบิ ัติกรรมฐ านค รงั้ ต อ่ ไปกอ็ าจเปล่ยี น
เปน็ การพ จิ ารณาอ ยา่ งอ น่ื เปน็ ตน้ ว า่ รา่ งกายเราห รอื ค นอ น่ื ก ส็ กั แ ตว่ า่ เปน็
โครงก ระดูก แ ม้ภายนอกจะดแู ตกต ่างมที ัง้ ทผ่ี ิวพรรณงาม ห รือท ราม
อยา่ งไรแตเ่บ้ืองลกึ ภ ายในก ็ไมแ่ ตกต ่างก นั ในความเปน็ กระดกู ท ี่ไมน่ า่ ดู
นา่ ช มเสมอก นั ห มดใหพ้ จิ ารณาใหจ้ ติ ย อมรบั ค วามจ รงิ เพอ่ื ใหค้ ลายค วาม
หลงย ึดในร ่างกายฯ ลฯ)
๑๐. เม่ือรู้สึกว่าจิตเริ่มขาดกำลังหรือความแจ่มชัด ก็ให้หันกลับ
มาบริกรรมภาวนาเพ่ือส ร้างสมาธขิ น้ึ อีก
๑๑.ในบางค รัง้ ทจ่ี ิตข าดก ำลงั หรือข าดศรทั ธา กใ็ห้เรานกึ น ิมิต
(น อกเหนอื จ ากค ำบ รกิ รรมภ าวนา) เชน่ น กึ น มิ ติ ห ลวงป ดู่ ู่ อ ยเู่ บอื้ งห นา้ เรา
น กึ งา่ ยๆ ส บายๆ ใหค้ ำบ รกิ รรมด งั ก อ้ งก งั วานม าจ ากอ งคน์ มิ ติ น น้ั ท ำไป
เร่ือยๆ เวลาเผลอสติไปคิดนึกเรื่องอื่น ก็พยายามมีสติระลึกรู้เท่าทัน
ดึงจ ิตกลับมาอ ยู่ในองค์บร กิ รรมภาวนาด งั เดิม
๑๒.เมอ่ื จ ติ ม ีกำลงั หรือรู้สึกถงึ ป ีตแิ ละความสว่างก็ใหพ้ ิจารณา
ทบทวนในเร่อื งกาย ห รอื เรอ่ื งความต าย ห รอื เรอ่ื งความพ ลัดพรากฯ ลฯ
หรือเรื่องอ่ืนใด โดยมีหลักว่าต้องอยู่ในกรอบของเรื่องความไม่เที่ยง
ความเป็นท กุ ข์และค วามทไี่ม่ใชต่ วั ไม่ใชต่ นท เ่ีทย่ี งแ ทแ้ นน่ อน(อ นตั ตา)
๑๓.กอ่ นจ ะเลกิ (หากจิตยงั ไม่รวมห รือไม่โปรง่ เบาหรือไมส่ วา่ ง
ก็ควรเพียรรวมจิตอีกคร้ัง เพราะหลวงปู่แนะให้เลิกตอนท่ีจิตดีท่ีสุด)
337 ๓๓๗
จากนั้นก็ให้อาราธนาพระเข้าตัวโดยว่า...สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา
สพั เพสังฆาพะลปั ปตั ต า ปจั เจกานัญ จ ะย ังพะลงั อะระห นั ตานญั
จะเต เชนะรกั ข งั พนั ธามสิ ัพพ ะโสพทุ ธัง อ ธษิ ฐาม ิ ธัมมงั อธษิ ฐามิ
สังฆัง อธิษฐามิ โดยน้อมอาราธนาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
มาไว้ทจี่ ิตเราห รอื อ าจจะนึกเปน็ น มิ ติ อ งค์พระมาต ้งั ไวท้ ี่ในต วั เรา
๑๔. สุดท้าย ให้นึกแผ่เมตตา โดยนึกเป็นแสงสว่างออกจากใจ
เราพรอ้ มๆ กบั วา่ ...พ ุทธังอ นนั ตังธัมมงั จกั รวาลงั ส ังฆงั น พิ พานะ
ปจ จ ะโยโหต ุ โดยน อ้ มน กึ ถงึ บ ญุ อ นั ม ากมายไมม่ ปี ระมาณข องพ ระพทุ ธเจา้
และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกท้ังบุญกุศลที่เราส่ังสมมาดีแล้ว รวมท้ัง
บุญจากการภาวนาในครั้งนี้ ไปให้กับเทพผู้ปกปักรักษาเรา ให้กับ
เจ้ากรรมนายเวร ให้กบั บ ดิ าม ารดาครบู าอาจารย์แ ละญาติท้ังหลาย
ตลอดจนผเี หยา้ ผ เี รอื น พ ระภ มู เิ จา้ ท ่ี เทพพ รหมท งั้ ห ลายแ ละส รรพส ตั ว์
ท้ังหลายไม่มีประมาณ ท่านท้ังหลายท่ียังมีความทุกข์ ขอจงพ้นทุกข์
ทา่ นทง้ั หลายท ่ีม ีความสขุ อ ย่แู ล้วข อจ งม คี วามส ุขยง่ิ ๆข น้ึ ไป
ข ้อค วรทราบเพ่ิมเตมิ
๑.น ีเ้ปน็ แค่ตัวอยา่ งวธิ ีป ฏบิ ตั ิเพราะจริงๆ แล้วไมม่ แี บบปฏบิ ัตทิ ี่
เปน็ ส ตู รส ำเรจ็ ประกอบกบั ห ลวงป่ทู ่านได้วางกรอบเอาไวก้ ว้างๆ ด ังนัน้
ในรายล ะเอียดปลกี ย่อยจงึ ไม่แ ปลกท่ีจะปฏิบตั แิ ตกตา่ งก นั อ อกไปบ า้ ง
๒. การอาราธนาพระเข้าตัว (บทสัพเพฯ) ก็เพื่อว่าเม่ือเวลาเลิก
๓๓๘ 338
นงั่ ส มาธไิ ปแ ลว้ จ ะไดร้ ะมดั ระวงั รกั ษาอ งคพ์ ระในต วั โดยก ารส ำรวมระวงั
รักษาก าย ว าจาใจตลอดว ันไปกระทง่ั ถ งึ เวลาน ่งั ส มาธิในครงั้ ต อ่ ไป
๓ .ห ากผ ปู้ ฏบิ ตั มิ พี ระส มเดจ็ ฯ ข องห ลวงป ดู่ ทู่ ใี่ ชส้ ำหรบั ก ำน งั่ ส มาธิ
ก็ใหน้ ำมาไว้ในกระพ ุม่ ม ือพนมไว้ท ห่ี นา้ อกในต อนท่อี าราธนากรรมฐาน
จากน ้ันก ็นำม ากำไว้ในม ือขวา โดยให้เศียรพ ระหันไปท างนว้ิ โปง้ เอาม อื
ขวาทบั ม ือซ้ายนวิ้ โปง้ ท ั้งส องจรดกนั
๔.เมอื่ ป ฏบิ ตั จิ นจติ เริ่มปลอดโปร่งห ลวงป ูเ่ คยแนะนำให้ผูป้ ฏิบัติ
อธษิ ฐานบ วชจ ติ โดยต ง้ั ค วามป รารถนาข น้ึ ในใจว า่ ข า้ พเจา้ ข อถ อื เอาอ งค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์แห่งข้าพเจ้า ขอถือเอา
พระธรรมเจ้าเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ขอถือเอาพระอริยสังฆเจ้าเป็น
พ ระอ นุสาวนาจารย์ข อจงสำเร็จการบวชจ ติ ณก าลบดั นเี้ ทอญจ ากน ั้นก ็
ใหส้ รา้ งส มณส ญั ญาว า่ ข ณะน ้ี ตวั ข องเราน งุ่ ห ม่ ผ า้ ก าส าวพ สั ตร ์ ผ ชู้ ายบ วช
เปน็ ภกิ ษุผ ู้หญิงบ วชเปน็ ภกิ ษุณ ี แล้วสำรวมจ ิตแ ละป ฏบิ ตั ภิ าวนาต่อไป
“พ อ”