89 ๘๙
ขา้ พเจา้ ก ลบั ม าน งั่ ค ดิ ท บทวนอ ยหู่ ลายค รง้ั ค วามช ดั เจนในค ำต อบ
ของหลวงปจู่ ึงคอ่ ยๆก ระจา่ งข ึ้นเป็นล ำดบั เสียงส วดม นตท์ ำวัตรแวว่ มา
แตไ่กล
....โย ธัมมัง เทเสสิ อาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปริโยสานะ
กัลยาณงั สาตถังส ะพ ยัญช ะน ังเกวะละป ะร ิปณุ ณงั ปะริสุทธังพ รัหมะ
จะริยงั ป ะก าเสสิ
แปลไดค้ วามว่า
....พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใด ทรงแสดงธรรมแล้ว มีความ
ไพเราะงดงามในเบอ้ื งต น้ ไพเราะงดงามในท า่ มกลางไพเราะงดงามในท สี่ ดุ
ทรงประกาศพรหมจรรย์คือ แบบแห่งการปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ์
บรบิ ูรณ์โดยส ิน้ เชงิ พร้อมท ้ังอ รร ถะพรอ้ มท้ังพยญั ชนะ
สาธุ ถ กู ข องห ลวงปแู่ ละจ รงิ เปน็ ท ส่ี ดุ พ ระพทุ ธเจา้ ท รงว างแ บบแผน
การป ฏบิ ตั ไิ วอ้ ยา่ งด ยี งิ่ เปน็ ข น้ั เปน็ ต อนแ ละส มบรู ณแ์ บบท ส่ี ดุ ไมต่ อ้ งการ
ผูใ้ ดมาแต่งมาเติมอีกก ุญแจคำต อบส ำหรบั เร่ืองน ไ้ีดเ้ ฉลยแ ลว้
ตะมะหังภ ะคะว ันต ังอะภิปูชะยามิ
ตะมะห ังภ ะคะว นั ต ังสริ ะสาน ะมาม ิ
ขา้ พเจ้าขอบูชาอยา่ งย่ิงเฉพาะพระผู้มพี ระภาคเจ้าพ ระองค์น้ัน
ขา้ พเจา้ ข อนอบน้อมพ ระผ ู้ม ีพระภาคเจา้ พระองค์นนั้
ดว้ ยเศียรเกล้า
๙๐ 90
๕ ๕
บทเรยี นบทแ รก
หากย้อนระลึกถึงหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ในความทรงจำของ
ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้มากราบนมัสการหลวงปู่เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.
๒๕๒๖ ด ้วยการชกั ชวนของเพอื่ นก ัลยาณมิตร จากน้ันไม่น าน บทเรยี น
บทแรกที่หลวงปู่ได้เมตตาสอนลูกศิษย์ขี้สงสัยก็ได้เร่ิมขึ้น เหมือนเป็น
ปฐมบทแ หง่ การเรม่ิ ต น้ ท่ีทา่ นร บั ขา้ พเจา้ ไวเ้ ปน็ ลกู ศิษย์
มีเหตุการณ์ที่ประทับใจข้าพเจ้าในช่วงแรกจากการได้มากราบ
หลวงปู่ อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งศรัทธา ซ่ึงต่อมาภายหลังได้กลายเป็น
อจลศรัทธา ศรัทธาที่แน่วแน่ม่ันคงต่อองค์หลวงปู่ของข้าพเจ้า คือ
ขา้ พเจา้ ไดบ้ ชู าพ ระพทุ ธร ปู แ กว้ ใสป างส มาธจิ ากต ลาดพ ระท ว่ี ดั ร าชน ดั ดา
กรุงเทพฯ มาหน่ึงองค์ และได้นำมาที่วัดสะแกเพื่อขอให้หลวงปู่ช่วยแผ่
เมตตาอธิษฐานจ ิตเพ่อื น ำไปส กั การะ บชู าเปน็ พ ระพุทธรูปป ระจำบา้ น
หลวงปดู่ ทู่ า่ นป ระนมม อื ไหวพ้ ระแ ละย กพ ระพทุ ธรปู ข น้ึ ม าจ บั อ งค์
พระของขา้ พเจ้าแ ล้วห ลบั ตานง่ิ ส กั ครู่หนง่ึ จ ึงลมื ตาข้ึนม า
ท่านบอกให้ข้าพเจ้านำสองมือมาจับท่ีฐานของพระพุทธรูปซ่ึงปิด
ทองคำเปลวโดยรอบ ท่านให้ข้าพเจ้าหลับตา สักครู่ท่านถามข้าพเจ้าว่า
91 ๙๑
เหน็ อ ะไรไหมข า้ พเจา้ เหน็ พ ระพทุ ธร ปู อ ยเู่ บอ้ื งห นา้ แ ตข่ า้ พเจา้ น ง่ิ ไมต่ อบ
อะไรท่าน เน่ืองจากต้ังแต่ข้าพเจ้าเกิดมาในชีวิต ยังไม่เคยพบเหตุการณ์
เช่นน้ี จึงไมท่ ราบว่า“ เหน็ ”ในค วามห มายของห ลวงปู่นั้นหมายถึง“ เห็น
อย่างไร” แ ละช ัดเจนข นาดไหนที่เรยี กว า่ “ เห็น”ของท า่ น
สักครู่ท่านจึงพูดย้ำกับข้าพเจ้าว่า “แกเห็นพระพุทธรูปแล้วน่ี
ดูเสียท่ีน่ี จะได้หายสงสัยว่าข้าให้อะไรแก กลับบ้านแกจะได้ไม่สงสัย
เป็นพ ระยนื เดนิ นงั่ ห รือว า่ น อน”
“ยนื ครบั ” ข้าพเจา้ ต อบท า่ น
“เออ!ข ้าโมทนาสาธุดว้ ยทข่ี ้าใหเ้ป็นพระประจำว นั เกิดข องแ ก
เอาไปบ ูชาให้ด”ี ท า่ นต อบ
ต้ังแต่วันนั้นเป็นต้นมา ศิษย์ขี้สงสัยอย่างข้าพเจ้ามีหรือจะไม่อด
ที่จะสงสัยต ่อ ยามวา่ งท ั้งในเวลากลางวนั ห รอื กลางค นื ขา้ พเจา้ จ ะมาน่ัง
มองดูพระพุทธรูป เอาสองมือประคองจับท่ีฐานขององค์พระ...หลับตา..
ทำสมาธิ...ด้วยความอยากดู...อยากรู้อยากเห็นองค์พระอย่างท่ีท่านเคย
ทำให้ขา้ พเจา้ เห็น
วันแลว้ ว นั เลา่ คร้ังแลว้ ค รง้ั เลา่ ...อนจิ จา...เวลาผา่ นไป๑ ส ัปดาห์
...๑เดือน...๒เดอื น...๓ เดอื นกแ็ ล้วยงั ไมม่ ีว ่แี ววท ี่ข้าพเจา้ จะได้เหน็ องค์
พระท่ที ่านท ำใหข้ ้าพเจา้ ดูท่วี ัดส ะแกเช่นว นั นัน้ อ ีกเลย
จวบจนกระท่ังหลายเดือนต่อมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมากราบ
นมัสการหลวงปอู่ ีกจึงได้เรียนถามทา่ นว ่า ท ำไมเมือ่ ขา้ พเจ้ากลับไปบา้ น
๙๒ 92
แล้วลองจับพระอีก จับจนทองคำเปลวท่ีปิดฐานขององค์พระซีดเป็น
รอยม ือข้าพเจา้ ก ย็ ังไมเ่ หน็ องค์พระแ ม้สักค ร้ังเดียวห ลวงปู่ย ้ิมก ่อนตอบ
ข้าพเจ้าด้วยความเมตตาว่า “ทำจนหายอยากแหละแก ข้าทำมาก่อน
แล้ว”
ขา้ พเจา้ ก ลบั ม าน ง่ั ค ดิ ท บทวนอ ยหู่ ลายค รง้ั ค วามช ดั เจนในค ำต อบ
ของห ลวงปจู่ งึ ค อ่ ยๆ ก ระจา่ งข นึ้ เปน็ ล ำดบั ...ต อ้ งเรมิ่ ท คี่ วามอ ยากเสยี ก อ่ น
จงึ ค ดิ ท จ่ี ะท ำแ ตถ่ า้ ท ำด ว้ ยค วามอ ยากก จ็ ะไมส่ ำเรจ็ เมอ่ื ค วามอ ยากห มด
ไปเมือ่ ไรเม่ือนั้นจ ึงจ ะพ บข องจ ริง
กุญแจคำตอบสำหรับ...บทเรียนบทแรกของการเรียนธรรมะจาก
หลวงปู่ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้ว่า ท่านได้ใช้กุศโลบายให้ข้าพเจ้าจดจำ
รปู พ รรณสณั ฐานข องอ งค์พ ระพุทธร ูปให้ได้ห ลงั จ ากที่ได้ใชเ้ วลา บ วกก ับ
ความอ ยากอยู่เป็นเวลาหลายเดอื น ขา้ พเจ้าจ งึ เรม่ิ ได้ พทุ ธานสุ ติ ธ มั ม า-
นุสติ และ สังฆานุสติ จากการเพ่งมององค์พระจนเกิดเป็นภาพติดตา...
ติดใจ ในท่ีสุด เป็นการสอนการภาวนาในภาคสมถธรรม พร้อมกับแนะ
วิธีวางอารมณ์พระกรรมฐานของหลวงปู่สำหรับข้าพเจ้าอย่างเยี่ยมยอด
ทีเดยี ว
93 ๙๓
๕ ๖
ห น่ึงในส ่ี (อ กี ค รั้ง)
หลายป กี อ่ นห ลวงปไู่ ดป้ รารภธ รรมก บั ข า้ พเจา้ ในเรอ่ื งข องเปา้ ห มาย
ชีวิตที่แต่ละคนเกิดมาอย่างน้อยก็ควรให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน
ทา่ นได้ปรารภไวว้ า่
“ข้าน่ังดูดยา มองดูซองยาแล้วต้ังปัญหาถามตัวเองว่า เรานี่
ปฏิบัติได้หนึ่งในสี่ของพระพุทธศาสนาแล้วหรือยัง? ถ้าซองยาน้ีแบ่ง
ออกเป็นส่ีส่วน เราน่ียังไม่ได้หนึ่งในสี่ มันจวนเจียนจะได้แล้วก็คลาย
เหมือนเรามัดเชือกจนเกือบจะแน่นได้ที่แล้วเราปล่อย มันก็คลายออก
เรานยี่ งั ไมเ่ช่ือจริงถ ้าเช่ือจ ริงต อ้ งไดห้ นึ่งในส แี่ ลว้ ”
อีกครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้ปรารภกับข้าพเจ้าอีกในเร่ืองเดียวกัน แต่
คราวน้ีท่านบอกว า่
“ข้านั่งมองดูกระจกหน้าต่างท่ีหอสวดมนต์ กระจกมันมีส่ีมุม
เปรยี บก ารปฏบิ ัตขิ องเราน ่ี ถ า้ มนั ไดส้ ักม มุ หนึง่ ก ็เห็นจะด ”ี
หลวงปู่ได้เฉลยปริศนาธรรมเร่ืองนี้ให้ข้าพเจ้าฟังว่า ท่ีว่าหนึ่งในสี่
นั้นห มายถ ึงการปฏิบัตธิ รรมเพ่ือให้บรรลุม รรคผลในพ ระพทุ ธศ าสนาซ ง่ึ
แบ่งเป็น
๙๔ 94
โสดาป ัตติมรรค โสดาป ัตติผล
สกิทาค าม มิ รรค สกทิ าคาม ผิ ล
อนาคามมิ รรค อน าคาม ิผล
อ รหตั ตมรรค อรห ตั ต ผล
อย่างน ้อยเราเกดิ มาชาตินี้ได้พบพ ุทธศ าสนาเปรียบเหมือนสมบัติ
ลำ้ คา่ แ ลว้ ก ค็ วรป ฏบิ ตั ติ ามค ำส อนท า่ นใหเ้ ขา้ ถ งึ ค วามพ น้ ท กุ ข์ อยา่ งน อ้ ย
ที่สุดค ือโสดาป ัตติผลเพราะคนทเ่ีข้าถ งึ ค วามเป็นพระโสดาบ นั แลว้ หาก
ยังไม่บรรลุพระนิพพานในชาตินี้ชาติต่อไปก็จะไม่เกิดในภพภูมิท่ีต่ำกว่า
มนุษย์อนั ได้แก่ส ตั วน์ รกเปรตอสุรก ายสัตวเ์ ดรจั ฉานอกี
ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่หลวงปู่เปรียบธรรมในเรื่องน้ีกับซองบุหร่ีบ้าง
หรือแผ่นกระจกบ้างเพราะต้องการให้เราหม่ันนึกคิดพิจารณาในเรื่องน้ี
บอ่ ยๆ ว ตั ถรุ ปู ท รงส เี่ หลย่ี มเปน็ รปู ท รงว ตั ถทุ เี่ ราส ามารถพ บไดบ้ อ่ ยท ส่ี ดุ ใน
ชวี ติ ป ระจำว นั ม อี ยรู่ อบต วั เราต ลอดเวลาต งั้ แ ตว่ นั เกดิ ก ระทงั่ ว นั ต ายม อี ยู่
ทั่วไปได้แก่เตียงนอนน าฬิกาปลกุ หนงั สือร ปู ภาพร ถยนต์ โต๊ะท ำงาน
โทรทศั น์หนา้ ต่างประตูและอนื่ ๆ อ ีกมากมายจนกระท่งั ส ่งิ สุดท้ายทอี่ ยู่
ใกล้ตัวเราคือโลงศ พ
หากผ ใู้ ดเหน็ ว า่ ธ รรมเรอื่ งห นง่ึ ในส ข่ี องห ลวงปเู่ ปน็ ธ รรมส ำคญั แ ลว้
ขา้ พเจา้ เชอ่ื เหลอื เกนิ ว า่ ผนู้ น้ั จ ะเปน็ ผ ไู้ มม่ กี เิ ลสในไมช่ า้ น ี้ จ งึ ข อฝ ากธ รรมะ
จากหลวงปู่ให้เราน ำไปพจิ ารณาด ้วย
95 ๙๕
๕ ๗
ว ิธคี ลายก ลมุ้
ค วามก ลมุ้ เปน็ บ อ่ เกดิ ข องค วามเครยี ดค วามเครยี ดก เ็ ปน็ ท ม่ี าข อง
ความกลุ้มเช่นกัน หลายคนคงเห็นด้วยกับข้าพเจ้าว่า เมืองไทยนี้ดีกว่า
เมอื งฝ รงั่ เวลาท เี่ ราม เี รอ่ื งก ลมุ้ อ กก ลมุ้ ใจในต า่ งป ระเทศส งิ่ ท น่ี ยิ มก นั ม าก
คือไปห าหมอร กั ษาโรคจิตกลมุ้ ใจท ีก ็ไปเอากลุ้มออกโดยน ัง่ ร ะบายค วาม
ทกุ ข์ร ะบายปัญหาใหจ้ ติ แพทย์ฟังเสร็จแล้วจ า่ ยเงนิ ใหห้ มอเป็นคา่ น่งั ฟ งั
เฮ้อ! คนเรานก่ี แ็ ปลกดนี ะ เอากลมุ้ ออกอยา่ งเดยี วไมพ่ อเงนิ ในกระเปา๋
ออกไปด ว้ ย
เท่าท่ีสังเกตดู ฝร่ังไปหาจิตแพทย์กันเป็นเร่ืองปกติ แต่ระยะหลัง
ในเมอื งไทยเราคนไข้โรคจิตนับวนั จ ะม มี ากข ้ึนท กุ ที คนไทยไม่น ิยมไปหา
จติ แพทยเ์ หมอื นฝ รง่ั แ ตจ่ ะไปห าจ ติ แพทยก์ ต็ อ่ เมอ่ื ท นไมไ่ หวแ ลว้ จ รงิ ๆ ค อื
ใกลจ้ ะบ า้ แ ลว้ น น่ั เองค นไทยโชคด กี วา่ ฝ รงั่ ต รงท มี่ วี ดั แ ทนค ลนี คิ จ ติ แพทย์ ม ี
พระน ลี่ ะ่ ด กี วา่ ด ว้ ยเพราะไมต่ อ้ งเสยี ต งั ค์ แ ถมไปห าห ลวงปไู่ ดท้ ำบญุ ไดฟ้ งั
ธรรมะจ ากท า่ นก ลางว นั ย งั ไดท้ านอ าห ารบฟุ เฟต่ ห์ ลงั จ ากห ลวงปฉู่ นั เสรจ็
บางคร้ังสมยั ที่ขา้ พเจา้ ย ังเรยี นห นังสอื อ ยู่ ห ากเดนิ ทางม าถึงวัดตอนเยน็
ท่านจะมีขนมฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด ผลไม้ประเภทส้ม กล้วย
๙๖ 96
บางทีโชคด ีกม็ ีแอปเป้ลิ ให้ไดท้ านอิม่ ท ้องด ว้ ย
มเี รือ่ งเล่าว า่ มโี ยมคนหน่ึงเกดิ กลมุ้ อกก ล้มุ ใจในช วี ติ ท ่ีแสนสบั สน
วุ่นวายของตนโดยไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร จึงได้ไปกราบขอให้หลวงพ่อ
พ ทุ ธทาสช ว่ ยค ลายทุกขใ์ ห้
หลวงพ่อถามวา่ “ มนั ก ล้มุ มากห รือโยม”
“ม ากครับท า่ นส มองแ ทบจะร ะเบดิ เลยแน่นอ ยู่ในอ กไปหมด”
“เอางี้ โยมออกไปยืนที่กลางแจ้ง สูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ
สามครง้ั แ ล้วต ะโกนให้ดังทีส่ ุดว่าก ูกลุ้มจ รงิ โว้ย กกู ล้มุ จรงิ โว้ยกูกลุม้
จรงิ โวย้ ”
โยมผู้นั้นออกไปทำตามที่หลวงพ่อแนะนำแล้วกลับเข้ามาหาท่าน
ด้วยใบหน้าท่ีผอ่ นคลาย
“เปน็ ไง”หลวงพ่อถ าม
“ร ้สู ึกสบายขึ้นแลว้ ค รบั ”เขาต อบ
“เออเอากลมุ้ ออกแลว้ น ี่”ท า่ นกล่าวยิ้มๆ แล้วไม่พดู อะไรอกี
ข้าพเจ้าเคยเห็นคนท่ีไปหาหลวงปู่ดู่หลายรายมีความกลุ้ม มี
ความเครียด เสร็จแล้วเม่ือมาถึงวัด น่ังอยู่ต่อหน้าท่าน หลายคนเล่าให้
ขา้ พเจา้ ฟังวา่ ไม่รู้ว่าไอ้เจา้ ต ัวกลุ้มตัวเครยี ดม ันพากันหายไปไหนหมดมี
แตค่ วามเบาสบายก ายสบายใจอ ยากอ ยตู่ รงหน้าห ลวงปู่น านๆ บางคน
ขอเพียงได้นัง่ เฉยๆก ม็ ี
ทุกวันนี้ หลวงปู่จากพวกเราไปแล้ว แต่เป็นการจากเพียงรูปกาย
97 ๙๗
ธรรมท่ีท่านเคยสอนไว้มิได้สูญหายไปด้วยเลย หากเรามีความกลุ้มอก
กลมุ้ ใจไมว่ า่ เรอื่ งใดโดยเฉพาะเรอื่ งป ญั หาเศรษฐกจิ ย คุ ป จั จบุ นั ป ญั หาเรอ่ื ง
สขุ ภาพป ัญหาเรื่องครอบครัว ปัญหาเรือ่ งงานปญั หาอะไรก แ็ ลว้ แต่
ข้าพเจ้าข อแ นะนำวิธีคลายเครียดท ด่ี ีทีส่ ุดว ธิ ีหนง่ึ คอื ให้หามุมสงบ
ในบ ้านข องท่าน หรือจะเปน็ ห ้องพระก็ย ง่ิ ด ี ข อใหท้ ่านนั่งท ่หี นา้ พระพุทธ
รปู หรอื รปู ห ลวงปดู่ ู่ จ ะลมื ตาห ลบั ตากต็ ามแตอ่ ธั ยาศัยครับสดู ลมหายใจ
ลึกๆ พอสบายดีแล้วก็พูดระบายความในใจให้ท่านฟังความกลุ้มความ
เครยี ดจ ะลดลงได้
เหมือนคนท่ีทานอาหารมากเกินไปจนมีแก๊สอยู่เต็มท้อง อึดอัด
ไปหมด หากได้ด่ืมน้ำขิงร้อนหรือทานยาขับลมเสียบ้างคงจะดี เมื่อกาย
สบายใจสบาย สมองก็จะปลอดโปร่งแจ่มใสสบายกายสบายใจ และ
สามารถมองเห็นห นทางแ กไ้ ขป ญั หาได้ดขี นึ้
เราเคยร ู้สกึ อ ย่างนี้ก ันบา้ งไหมถ้าถามข้าพเจา้ ก ต็ อ้ งขอตอบอ ย่าง
ม่ันใจว่า
“เคยครับ”
ข า้ พเจา้ เชอ่ื ว า่ ห ลวงปทู่ า่ นเมตตาค อยเปน็ ก ำลงั ใจแ ละใหค้ วามช ว่ ย
เหลอื เราเสมอขอใหเ้ราต้ังใจแ กป้ ัญหาด้วยส จุ ริตว ธิ ี
ไมม่ ปี ัญหาใดในโลก ท่มี นุษยก์ ่อขน้ึ แลว้ ม นุษยจ์ ะไมส่ ามารถแกไ้ ข
ได้ ขา้ พเจ้าเชอ่ื อ ย่างน ้ีจรงิ ๆ
๙๘ 98 ๕๘
อ ะไรได้ อ ะไรเสยี
คงไม่มีใครป ฏเิ สธไดว้ า่ ในชวี ติ คนเราน ้นั ต ้องประสบค วามส ญู เสีย
ทกุ คนบางค นสูญเสยี คนรักพ ่อแม่ ลูกเมียญ าติเพอ่ื นอันเปน็ เหตแุ ห่ง
ความก ระทบกระเทือนท างจิตใจท สี่ ำคญั ยิ่งการสญู เสยี เงินทองขา้ วของ
ทรพั ยส์ มบตั ิ ก เ็ ปน็ ตน้ เหตหุ นง่ึ ข องค วามท กุ ขโ์ ทมนสั อ นั ใหญห่ ลวงข องอ กี
หลายๆคนของท่ีเคยม ีเคยได้ ก ลบั เป็นของทไี่มม่ ไีม่ได้ ค นที่เคยรกั ต้อง
พลัดพรากจ ากไกลก ันการคา้ ทเ่ี คยมีกำไรกลับก ลายเป็นข าดทนุ เสียห าย
จนทำใจให้ยอมรบั ได้ยาก
หากยังจำกันได้ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ท่ีพระราชทานเน่ืองในโอกาสว ันเฉลมิ พระชนมพรรษา เมื่อปี ๒ ๕๓๔ ม ี
ความต อนหนึ่งว า่
“ ก ารขาดทนุ ข องเราเปน็ การไดก้ ำไรข องเรา(O urlossisour
gain.)”ซึง่ ท่านได้อธิบายว า่ “ ถา้ เราท ำอะไรที่เป็นการกระทำแ ล้วเราก็
เสียแตใ่นท ี่สดุ ก ็ไอ้ทเี่ราเสียนั้นม ันเปน็ การได้เพราะว ่าทางออ้ มได”้
เป็นพ ระร าชดำรัสท่ีม คี วามไพเราะล ึกซึ้งก ินใจย ิ่งน ัก
สำหรบั น กั ป ฏบิ ตั แิ ลว้ ถ า้ เราพ รอ้ มท จ่ี ะเรยี นรู้ ท กุ ส งิ่ ท กุ อ ยา่ งท ผี่ า่ น
99 ๙๙
เขา้ ม าในช วี ติ ก จ็ ะเปน็ ค รขู องเรา ไมว่ า่ จ ะเปน็ การก ระทำท ถ่ี กู ต อ้ งห รอื ก าร
กระทำท ี่ผิดพ ลาดส ่งิ ท ่ีไดม้ าสิง่ ท่ีเสียไป ความทรงจ ำอ นั สวยงามห รอื ไม่
งามสง่ิ ท ี่ยังมชี ีวติ อยูห่ รอื ส ิน้ ไปแลว้ ก็ตาม
เสยี งข องหลวงปแู่ วว่ ม าในความค ดิ ค ำนงึ ของข า้ พเจา้ ทนั ที “ถ กู เปน็
ค รู ผ ดิ ก เ็ ปน็ ค ร”ู แ ตผ่ ดิ เปน็ ค รทู ด่ี กี วา่ เพราะท ำใหเ้ ราไมป่ ระมาทใหผ้ ดิ ว นั
นี้ เป็นถกู ข องวันหนา้ ให้สิ่งท เี่ สียไปคอื สิง่ ท ไ่ี ด้มาอย่างท ี่ในหลวงทา่ น*...
ไดม้ อบไว้ใหพ้ วกเรา
* จากพระราชดำรสั ท่ีพระราชทานแกค่ ณะบคุ คลตา่ งๆ ที่เข้าเฝา้ ฯ ถวายพระพรชยั มงคล ในโอกาส
วนั เฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสดิ าลยั ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔
๑๐๐ 100 ๕๙
ความสำเรจ็
“...เมือ่ ประสบค วามสำเร็จส ิ่งแรกกค็ อื ดใี จจ นล ืมตัวแ ละโงล่ งใน
บางอย่างสำหรบั จ ะป ระมาทห รอื สะเพรา่ ในอ นาคตค วามสำเร็จเป็นค รู
ที่ดีน้อยกว่าความไม่สำเร็จ แต่มีเสน่ห์จนคนทั่วไปเกลียดความไม่สำเร็จ
เมอื่ ไมป่ ระสบค วามส ำเรจ็ เราจ ะไดอ้ ะไรท ม่ี คี า่ ม ากก วา่ เมอ่ื ป ระสบค วาม
สำเรจ็ ไปเสยี อ กี แ ตค่ นท ว่ั ไปม องในแ งล่ บเหน็ เปน็ ค วามเสยี ห ายแ ละเกดิ
ทกุ ข์ใหมเ่ พ่มิ ข ้ึนอีกเป็นโชครา้ ยไปเสียโน่น
ถา้ ต อ้ นรบั ค วามไมส่ ำเรจ็ อ ยา่ งถ กู ต อ้ งม นั จ ะม อบค วามรทู้ จี่ ะท ำให้
ประสบความส ำเร็จถ งึ ท่สี ุดในก าลขา้ งหน้าจ นกลายเป็นผ ู้ทำอะไรส ำเร็จ
ไปหมด...”
สว่ นห นง่ึ ข องข อ้ เขยี นป ชู นยี บ คุ คล“ ท า่ นพ ทุ ธท าส” ซ ง่ึ แ สดงไวใ้ น
หอ้ งน ทิ รรศการเกยี่ วก บั “ ช วี ติ ผ ลงานท า่ นพ ทุ ธท าส” ณ อ าคารค ณะธ รรม
ทานท ต่ี ง้ั อ ยหู่ นา้ ป ระตดู า้ นท ศิ ใตข้ องวดั ธ ารน ำ้ ไหลห รอื เปน็ ท ร่ี จู้ กั ม กั ค นุ้
ในนาม“ส วนโมกขพลาราม” แ ห่ง ต ำบลพ ุมเรยี งอ ำเภอไชยาจงั หวัด
สรุ าษฎร์ธานี
101 ๑๐๑
ม พี ระส ตู รท พี่ ระพทุ ธเจา้ แ สดงแ กอ่ นาถบ ณิ ฑกิ เศรษฐใี นเรอ่ื งค วาม
ปรารถนาของม นษุ ยท์ ่ีจะท ำให้สำเร็จสมหวงั ได้ยาก๔ ป ระการค อื
ขอใหส้ มบตั ิจงเกดิ มีแก่เราในทางท ชี่ อบ
ขอยศจงมแี กเ่ราและญ าติพ่นี อ้ ง
ขอให้เราเป็นผ ู้ม อี ายยุ ืนนาน
เมื่อต ายจ ากโลกนไี้ ปข อให้เราได้ไปเกิดในสวรรค์
ความป รารถนาท งั้ ๔ ข อ้ ท กี่ ลา่ วม าน ี้ จ ะส มหวงั ไดม้ ใิ ชด่ ว้ ยเหตเุ พยี ง
ปรารถนาอ้อนวอนมิได้ทำอะไรเลยหรือทำอะไรท่ีไม่ตรงเหตุ ผลย่อมไม่
บังเกิดความส ำเรจ็ ในชีวิตย่อมเกดิ จากการว างแผนท ่ดี ีมิใชท่ ำเหตุเพยี ง
เลก็ น้อยแตห่ วงั ผลไวส้ วยหรู
ถ้าเข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่มีค่าแล้วได้มาง่ายๆ ก็จะไม่หมดกำลังใจ
อยากได้ผลอย่างไร ควรสร้างเหตุให้เกิดผลอย่างน้ันด้วยความอุตสาหะ
พยายามอ ยา่ งเต็มท ่ี
ในโลกน ้ี...ไมม่ อี ะไรฟรีครบั !
๑๐๒ 102
๖๐
อ ารมณข์ นั ของหลวงปู่
ญาติโยมคณะหน่งึ เป็นกล่มุ ท่ีชอบแสวงหาพระหาเจ้า หลวงปู่
หลวงพอ่ องคไ์ หนท ว่ี า่ ดงั วา่ ดี ม คี นขน้ึ กนั ม ากโยมค ณะน จ้ี ะพ ากนั ไปก ราบ
ไหว้ ไปทำบญุ กนั และกเ็ ปน็ ธรรมดาทห่ี ลายค นทน่ี บั ถอื ห ลวงปดู่ ู่ ในฐานะท ่ี
เปน็ เกจอิ าจารยด์ งั ค ดิ วา่ ท า่ นค งใหห้ วยเบอรเ์ หมอื นอยา่ งอาจารยบ์ างอ งค์
เมอื่ ส บโอกาสโยมค นห นง่ึ ก เ็ ขา้ ม ากราบเรยี นข อห วยจ ากห ลวงปู่ ใน
วนั นัน้ เผอิญขา้ พเจ้าไดม้ ีโอกาสมากราบน มสั การห ลวงปู่อ ยดู่ ้วยหลวงปู่
มองหน้าโยมคนน้ัน พร้อมกับช้ีมือไปท่ีปฏิทินรายเดือนที่มีรูปในหลวง
แบบท ธี่ นาคารท ง้ั ห ลายช อบแ จกซ ง่ึ ต ดิ อ ยขู่ า้ งฝ าท ดี่ า้ นห ลงั ท า่ นแ ลว้ ท า่ น
กว็ า่ “น น่ั แหละแกไปสลบั เลขเอาเองมีเลขรางวัลค รบทกุ ต ัวข ้าให้ต้ัง
แตร่ างวัลท ่ีหนง่ึ ย นั เลขทา้ ยสองตวั เลยถ้าไมถ่ กู ให้มาด า่ ขา้ ได”้
ข้าพเจ้าขำจนแทบกล้ิง แต่โยมที่ขอหวยจากหลวงปู่คงขำไม่ออก
และค งเข็ดไมก่ ล้าข อห วยจ ากหลวงปู่ไปอกี นาน
หลังจากท่ีโยมคนนั้นกลับไปแล้ว หลวงปู่ได้ให้โอวาทกับศิษย์ท่ี
เหลือและข า้ พเจ้าวา่
“ค นเรานี่ก็แปลกใหธ้ รรมะข องดไี ม่เอาจะเอาแตห่ วยเบอร์..”
103 ๑๐๓
๖ ๑
ข องห าย าก
เมื่อวนั ที่๘ พ ฤศจกิ ายนพ .ศ.๒ ๕๓๐ม ีเรอื่ งประทบั ใจทขี่ า้ พเจา้
ต้องบันทึกไว้เรื่องหนึ่ง คือวันที่ข้าพเจ้าได้รับตะกรุดของหลวงปู่ หรือท่ี
เรยี กก ันในห มลู่ กู ศิษย์ของท ่านว ่า“ ต ะกรดุ มหาจักรพรร ดิ์”เร่อื งม ีอยู่ว่า
วนั น นั้ ม คี นม ากราบน มสั การห ลวงปจู่ ำนวนม ากห ลงั จ ากท ข่ี า้ พเจา้
ไดก้ ราบห ลวงปแู่ ละข อโอกาสห ลกี ม าน งั่ ภ าวนาท หี่ อส วดม นต์ ส กั ค รใู่ หญ่
กอ่ นท จ่ี ะเลกิ ภ าวนาจๆู่ ก ม็ นี มิ ติ เปน็ อ งคห์ ลวงปดู่ ลู่ อยเดน่ พ รอ้ มร ศั มกี าย
สวา่ งไสวอ ยเู่ บอ้ื งหนา้ ข า้ พเจา้ และมเี สยี งท า่ นบอกข า้ พเจา้ ว า่ “ ขา้ ใหแ้ ก”
ในขณะนัน้ ข้าพเจา้ ไมไ่ ดน้ กึ แปลความห มายนิมิตเปน็ อ นื่ ใดเขา้ ใจ
เพียงว่าท่านคงให้ธรรมะกับเรา ข้าพเจ้าบังเกิดความปีติมาก หลังจาก
เลกิ ภ าวนาแ ลว้ ข า้ พเจา้ ไดเ้ ดนิ ไปห ลงั ว ดั เพอื่ ไปน มสั การห ลวงน า้ ส ายห ยดุ
ระหวา่ งท างผ า่ นก ฏุ ขิ องห ลวงพ อี่ งคห์ นง่ึ ซ งึ่ เปน็ พ ระภ กิ ษทุ ข่ี า้ พเจา้ เคยเหน็
ท่านอยู่ท่ีวัดสะแกหลายปี แต่ไม่เคยได้สนทนาอะไรเป็นกิจจะลักษณะ
กับท่านมาก่อนเลยประการหน่ึง และไม่เคยเอ่ยปากขออะไรจากท่าน
อีกประการหนึ่ง แต่วันน้ันนับเป็นเหตุการณ์ประหลาดอัศจรรย์สำหรับ
ข้าพเจ้าท ่ีหลวงพ่ีเกดิ นึกเมตตาข้าพเจ้าอยา่ งก ะทนั หนั ทา่ นบ อกขา้ พเจา้
๑๐๔ 104
ว่า เด๋ียวก่อน จากน้ันท่านกลับเข้าไปในกุฏิชั่วอึดใจ ท่านออกมาพร้อม
กับพระผงแบบหยดน ้ำร ูปพ ระพทุ ธเจา้ แ ละร ปู หลวงปู่ด ู่ ๒-๓ องค์ แ ละ
ตะกรุดขนาดเล็กกระทัดรัดของหลวงปู่ยื่นให้ข้าพเจ้าและบอกว่า “ของ
หลวงปู่ เกบ็ เอาไวใ้ ช้”
เป็นที่แปลกใจยิ่งสำหรับข้าพเจ้าที่เหตุการณ์เกิดข้ึนภายหลังจาก
ทข่ี า้ พเจ้าได้นิมติ ว า่ ได้ร บั “ อะไร” จากหลวงปู่เมื่อห้าน าทีท ผ่ี ่านม า
ข ้าพเจา้ ไดม้ าเรยี นเรอื่ งนถี้ วายให้หลวงปฟู่ ัง
ท่านยงั ได้ใหโ้ อวาทข า้ พเจ้าอกี ว่า...
“...ทวี่ า่ ขา้ ให้แกน น้ั ข ้าให้พุทธงั ธมั มังสงั ฆงัส ่วนเครอ่ื งราง
ของขลังภายนอกน้ันหาไม่ยาก พระพุทธัง ธัมมัง สังฆัง หายากกว่า
แกไปต รองดูให้ด เี ถอะ”
105 ๑๐๕
๖๒
ค นห ายาก
ในพ ระพทุ ธศาสนาไดพดู ถึงบ คุ คลหาไดย ากในโลกน ้มี ี ๒ป ระเภท
คือบ ุพการีและบ คุ คลผ มู กี ตัญ ูกตเวที
บ พุ การี ห มายถ งึ บ คุ คลผ ทู ำอ ปุ ก าระ กอ นห รอื ค อื ผ มู พี ระคณุ น นั่ เอง
ไดแ กพระพุทธเจาค รอู าจ ารยมารดาบดิ าแ ละพระม หาก ษตั รยิ ทที่ รง
ทศพิธราช ธ รรมในท ี่นจ้ี ะขอพูดถงึ พอแมข องเรา
ในมงคลสูตรไดกลาวไวตอนหนึ่งวา มาตาปตุอุปฏฐานัง เอตัมมัง
คะละม ตุ ตะมงั ก ารบ ำรงุ ม ารดาแ ละบดิ าเปน มงคลสงู สดุ ในชวี ติ อยา งหนง่ึ
ม ผี กู ลา ววา “ ว นั แ ม” ส ำหรบั ล กู ห ลายๆ ค นม วี นั เดยี วในห นง่ึ ป แ ต
สำหรับแมแ ลว“ วันล ูก”มอี ยทู ุกว นั
ความขอน้ีเปนจริงอยางท่ีไมมีใครอาจปฏิเสธได โดยทั่วไปแลว
ความรักท ีแ่ มมตี อล ูกน้ันยอ มม มี าก กวาความรกั ท่ีลกู ม ีตอ แม ในบทสวด
เทวตาทิสสท กั ข ณิ านุโมทนา ไดก ลา วเปรียบไววา
“...ม าต าป ตุ ตงั วะโอระสงั เทว ะตานกุ มั ปโต...”
คำแปลตอนห น่ึงข องบ ทส วดมคี วามว่า
“...บัณฑิตชาติอยู่ในสถานที่ใด พึงเชิญท่านท่ีมีศีลสำรวมระวัง
๑๐๖ 106
ประพฤตพิ รหมจ รรยใ์ นท น่ี น้ั เทวดาเหลา่ ใดม ใี นท น่ี น้ั ควรอ ทุ ศิ ท กั ษณิ าทาน
เพ่อื ท่านเหล่านัน้ ด ้วย เทวดาทไี่ ดบ้ ชู าแล้วน บั ถือแลว้ ท ่านย อ่ มบูชาบ า้ ง
ย่อมนบั ถือบา้ งท ่านย่อมอ นเุ คราะห์เขาป ระหนึง่ ม ารดาอ นุเคราะห์บตุ ร
ผู้เกิดจากอก ผู้ที่ได้อาศัยเทวดาอนุเคราะห์แล้ว ย่อมมีแต่ความเจริญ
ทกุ เม่ือ”
มารดาบิดาเป็นพระพรหมของลูก เป็นครูอาจารย์คนแรกของลูก
และเป็นเทวดาองค์แรกข องลกู จ งึ เป็นผ ู้ควรรับการสกั การะ บูชาจ ากล ูก
พระพทุ ธเจ้าไดส้ อนไว้ใน“ ม าตาปิตคุ ณุ ส ูตร”ว ่า
บตุ รไมอ่ าจต อบแทนค ณุ แ กม่ ารดาบ ดิ าน นั้ ใหส้ น้ิ ส ดุ ไดโ้ ดยป ระการ
ใดๆ ด ้วยอปุ การะอนั เป็นโลกียะแม้จะท ำให้ทา่ นท ัง้ ส องนง่ั อ ยู่บนบ ่าข วา
บนบ่าซ้ายของลูก ลูกปรนนิบัติดูแลท่านตลอดหน่ึงร้อยปี ก็ไม่สามารถ
ตอบแทนบุญคุณท่านได้ ส่วนบุตรคนใดทำให้มารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา
ใหต้ ้งั อยู่ในศ รทั ธาทำให้มารดาบดิ าผ ู้ไมม่ ศี ีลให้ตง้ั อย่ใู นศลี ทำให้ม ารดา
บิดาผ มู้ คี วามตระหนถ่ี ีเ่ หนียวใหต้ ั้งอ ยใู่ นจาคะท ำให้มารดาบิดาผมู้ ีความ
หลงใหต้ ง้ั อ ยใู่ นป ญั ญาส มั มาท ฏิ ฐิ บ ตุ รน น้ั จ งึ จ ะไดช้ อ่ื ว า่ ไดท้ ำการต อบแทน
บุญคุณของมารดาบิดาอย่างเตม็ ที่
ลกู ท ไี่ มม่ คี วามฉ ลาดย อ่ มไมเ่ หน็ ค ณุ คา่ ค วามรกั ข องพ อ่ แ มท่ ม่ี ตี อ่ ล กู
ลูกท ี่มคี วามฉ ลาดย ่อมเห็นค ุณคา่ ของสิง่ เหล่าน้ตี ้ังแต่พ่อแ มย่ งั มชี วี ติ อยู่
วันน.้ี ..เราได้ทำสิ่งด ๆี ให้พ ่อก ับแ ม.่..แลว้ หรอื ย ัง
107 ๑๐๗
๖๓
ดว้ ยรกั จากศิษย์
...หลวงปู่ครับ ถ้าหากหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินย้อนกลับได้ ผมขอ
หมนุ ก ลบั ไปเปน็ ป ี พ .ศ .๒ ๕๒๕ป ที พ่ี วกเราไดเ้ รมิ่ ม ากร าบห ลวงปู่ ร อยย มิ้
และภาพอากัปกิริยาของหลวงปู่เม่ือคราวที่สอนพวกเรา หลวงปู่หัวเราะ
และเอาม อื ต บท หี่ นา้ ต กั พ วกเราย งั จ ำไดด้ ี พ วกเราย งั จ ำได้ แ ละจ ะพ ยายาม
ทำตามท หี่ ลวงปูส่ อนไม่ให้ถอยห ลงั ไม่ใหห้ ลวงปู่ต้องผดิ หวังค รับ
...ห ลวงปขู่ าห ลวงปเู่ คยบ อกว า่ ป ฏบิ ตั มิ ากๆเถอะจ ะด ี ส มบตั นิ อก
กายไมจ่ รี ังกนิ เข้าไปเดยี๋ วก็ขี้อ อกม าเสื้อผา้ สวยๆห ามาแ ต่งเดีย๋ วก็ต้อง
ทง้ิ เงนิ ต อนต ายญ าตเิ อาใสป่ ากส ปั เหรอ่ ก เ็ อาไปซ อื้ เหลา้ เสอ้ื ผา้ ก ถ็ อดอ อก
เหลอื แตต่ ัวเปล่าให้เขาเอาไปเผา...ที่แทเ้ ราไม่มีอะไรสกั อ ย่าง
...ห ลวงปเู่ จา้ ค ะห นรู ตู้ วั ด วี า่ ใจต วั เองถ า้ เผลอม นั ก จ็ ะล งต ำ่ อ ยรู่ ำ่ ไป
ถ้าไม่มีหลวงปู่คอยเปน็ กำลังใจ ขอหลวงปู่อยู่เป็นกำลังใจให้หนูตลอดไป
นะคะ
...ห ลวงป คู่ รบั ไดเ้ จอะเจอห ลวงป ใู่ นช วี ติ น ผ้ี มถ อื เปน็ บ ญุ ห ลายพ ระ
ทา่ นว า่ ป ชู าจ ะป ชู นยี านงั เอตมั มงั คะล ะม ตุ ต ะมงั ก ารบ ชู าบ คุ คลท คี่ วร
บชู าเป็นม งคลส งู สดุ ของชวี ติ
๑๐๘ 108
...ไดม้ าเจอหลวงปู่ผ มถ อื วา่ ไม่เสยี ชาติเกดิ แ ลว้ ครับ
หลวงปคู่ รบั ...ใครจ ะค ดิ ว า่ ห ลวงปดู่ กู่ บั ห ลวงป ทู่ วดเปน็ อ งคเ์ ดยี วกนั
หรือไม่ ผมไม่ส นใจหรอกครบั
หากห ลวงปู่เปน็ หลวงปทู่ วดจ รงิ ๆผ มถือวา่ พ วกเราโชคด ีท ่สี ุดครับ
ความท ห่ี ลวงป.ู่ ..เปน็ ห ลวงปดู่ …ู่ อ ยา่ งเดยี วก ท็ ำใหผ้ มรกั แ ละเคารพห ลวงปู่
จนเต็มลน้ หัวใจไมม่ อี ะไรจ ะทำให้เต็มไปก ว่าน ี้อีกแ ล้วครับ
109 ๑๐๙
๖๔
ด ว้ ยรกั จากห ลวงปู่
เมอ่ื ค รง้ั ท ห่ี ลวงปอู่ าพาธในช ว่ ง๒ -๓ ป ี ก อ่ นท ท่ี า่ นจ ะจ ากพ วกเราไป
คุณธรรมอันโดดเด่นคือ ความอดทนและความเมตตาของท่านยิ่งชัดเจน
ในความรสู้ ึกข องข้าพเจา้
บ่อยครั้งท่ีศิษย์จอมขี้แยอย่างข้าพเจ้า ไม่สามารถท่ีจะกล้ันน้ำตา
ไวไ้ ดใ้ นค วามค ดิ ค ำนงึ ว า่ ไอค้ วามข เ้ี กยี จค วามไมเ่ อาไหนไมเ่ อาถ า่ นข องเรา
ทำให้ท่านต้องทนนั่งแบกธาตุขันธ์ที่เจ็บป่วยสอนศิษย์โง่ๆ อย่างเรา ทั้ง
อบรมกแ็ ลว้ พร่ำสอนก ็แ ลว้ ว่ากล่าวต กั เตือนก แ็ ลว้ ศษิ ยจ์ อมขี้เกยี จก ็ยงั
ไม่ส ามารถเอาตวั เองเป็นที่พ งึ่ ได้
สรรี ะข องห ลวงปู่เปลี่ยนแปลงผา่ ยผ อม และซบู ซีดลงแตต่ รงกนั
ขา้ มก บั ก ำลงั ใจข องท า่ นท เี่ ออ่ ล น้ ด ว้ ยค วามร กั แ ละห ว่ งใยศ ษิ ย์ ทกี่ ลบั เพมิ่
ทวคี ูณขนึ้ ในห วั ใจของท่านจ นยากที่ศิษย์ทุกชีวติ จ ะปฏิเสธได้ในค วามรกั
และปรารถนาด ขี องท่าน
ในโลกของข้าพเจ้า ความรักของหลวงปู่ยิ่งใหญ่อย่างย่ิง แต่ส่ิงท่ี
สำคญั ยง่ิ กว่าคอื ท า่ นสอนใหศ้ ษิ ย์ทงั้ ห ลายร ู้จกั วธิ ีท่ีจะห ยิบย ื่นค วามรัก...
ความปรารถนาด.ี ..ใหก้ ับค นรอบข้างด ังทที่ ่านได้ปฏบิ ัติเปน็ แบบอ ยา่ งได้
๑๑๐ 110
อย่างเหมาะสมและกลมกลนื ...อ ยา่ งสม่ำเสมอและย าวนานและย ืนยนั
คำพูดของท่านท ี่วา่ ...
“แ กค ิดถึงข ้าขา้ กค็ ดิ ถึงแก
แกไมค่ ดิ ถึงข้าขา้ ก ็ยงั ค ิดถึงแก”
111 ๑๑๑
๖ ๕
จง้ิ จกทกั
พูดถึงเร่ืองลางสังหรณ์แล้ว คนโบราณเช่ือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่
ผิดไปจากช ีวติ ประจำว นั อยา่ งเชน่ ก ารเขม่นต าอาการก ระตุกทีเ่ ปลอื ก
ตาก ารจามห รือก ารท ่จี ้ิงจกต กใส่ม งีหู รอื ส ตั วบ์ างอยา่ งเข้าบ้านถือเป็น
ส่ิงบอกเหตุเช่นกัน คนสมัยก่อนเช่ือเร่ืองจ้ิงจกทักอยู่มาก เวลาสั่งสอน
หรือห้ามปรามใครไม่ฟังแล้วมักพูดว่า แม้จิ้งจกทักโบราณยังเชื่อ คนทัก
ทำไมไม่เชอ่ื
ห ลวงปู่เคยบอกให้ศษิ ยฟ์ ังว ่าถ า้ ขา้ ไปห าพ วกแกให้ฟังเสยี งจ ิง้ จก
ใหด้ ี มศี ิษยผ์ หู้ นึ่งถามว่าท ำไมต อ้ งเปน็ จ ิ้งจกคะทา่ นต อบวา่
ลองน ึกดวู า่ หากแ กส วดมนตไ์หวพ้ ระอยู่ที่บ้านจ ูๆ่ ข้าก ม็ าที่บ ้าน
แกจะเป็นย ังไง
ก็ช็อคซเิจา้ คะศิษย์ตอบ
ก็นน่ั น่ะซ ิหลวงปตู่ อบแ ละย ม้ิ เกลอ่ื นด ้วยเมตตา เป็นบทส รปุ แ ทน
คำต อบ
ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาว ท่านมักมีความ
ปรารถนาดีเมื่อเห็นผู้น้อยจะคิด จะพูด จะทำในส่ิงท่ีไม่ควร ท่านจึง
๑๑๒ 112
เตือนหรือปรามไว้ลว่ งหนา้ เปน็ ทำนองกนั ไว้ดีกวา่ แก้ หลายคนท่ยี งั ไมม่ ี
ประสบการณ์ท่ีเกิดข้นึ กับตนเอง บางคร้งั อาจไม่แน่ใจว่าเสียงจ้งิ จกน้ีใช่
หลวงปเู่ ตอื นหรอื ไม่ หากยงั มคี วามตง้ั ใจทจ่ี ะทำดจี รงิ กจ็ ะพบวา่ หลวงปจู่ ะ
เตอื นผ า่ นจ ง้ิ จกซำ้ แ ลว้ ซำ้ อกี จนผนู้ น้ั เกดิ ความมน่ั ใจดว้ ยต นเองม ติ อ้ งไปซกั
ถามผ ใู้ ดเสยี งจ ง้ิ จกม หี ลายล กั ษณะแ ตกต า่ งก นั เชน่ เสยี งดงั ๆส น้ั ๆ เสยี งพ อ
ใหไ้ ดย้ นิ ใหร้ ตู้ วั หรอื เสยี งท กั ใหไ้ ดย้ นิ พรอ้ มกนั ห ลายค น ความหมายก แ็ ตก
ตา่ งกนั ไปเชน่ เปน็ การดุ เปน็ การบ อกกลา่ วหรอื เปน็ การเตอื นใหร้ ะวงั ตวั
เร่ืองท่ีข้าพเจ้าประสบกับตัวเองคือ คร้ังหน่ึงที่ข้าพเจ้าขับรถยนต์
จะเดนิ ท างไปต า่ งจ งั หวดั ข ณะจ ะอ อกจ ากบ า้ นก ไ็ ดย้ นิ เสยี งจ ง้ิ จกท กั แ ละ
เหตกุ ารณใ์ นว นั น นั้ ค อื ม รี ถม อเตอรไ์ ซคม์ าเฉย่ี วช นร ถเรอื่ งร าวท ศี่ ษิ ยผ์ อู้ น่ื
เลา่ ใหฟ้ งั ก ม็ ี เชน่ เกอื บท กุ ค รงั้ ท ส่ี วดม นตห์ นา้ ห งิ้ พ ระก อ่ นอ อกจ ากบ า้ นไป
ทำงานก็จ ะไดย้ นิ เสียงจิ้งจกท กั ออกมาจ ากหิ้งพระซ งึ่ ศษิ ยท์ ่านน ้ันก ็ร สู้ กึ
อนุ่ ใจเหมอื นท า่ นรบั รดู้ ว้ ยท กุ ค รงั้ ศ ษิ ยอ์ กี ท า่ นเลา่ ว า่ ในย ามค บั ขนั ข องช วี ติ
ครง้ั ห นง่ึ ไดน้ กึ ถงึ ห ลวงปแู่ ละข อใหท้ า่ นช ว่ ยเหลอื จ ากน นั้ เขาก ไ็ ดย้ นิ เสยี ง
จงิ้ จกทักโดยทีบ่ ริเวณนั้นไม่เหน็ ต ัวจ้งิ จกเลยสุดท้ายปัญหาแ ละอปุ สรรค
ของเขาก ส็ ามารถผ า่ นไปไดด้ ว้ ยด ี ห ลวงปเู่ คยฝ ากข อ้ คดิ แ กข่ า้ พเจา้ ในเรอื่ ง
นไี้ วว้ า่ ค นโบราณเขาว า่ ห ากจ ง้ิ จกท กั จ ะไปไหนม าไหนก ต็ อ้ งเตรยี มเครอื่ ง
ใหค้ รบหากไมร่ บก ็อาจต อ้ งส ู้ แ กวา่ จ รงิ ไหม
จากนี้ไปเราคงจะเงี่ยห ฟู งั เสียงจ้ิงจกทกั ก ันม ากขนึ้ แ ล้วล่ะจ.ุ๊ ..จ ุ.๊ ..
จ.ุ๊ ..
113 ๑๑๓
๖๖
หลวงปู่กบั ศษิ ย์ใหม่
ห ลวงปดู่ ู่ พ รหมป ญั โญท า่ นเปน็ พ ระท ม่ี คี วามเมตตาเปน็ ห ว่ งเปน็ ใย
แกศ่ ษิ ยแ์ ละผ ทู้ รี่ ะลกึ ถ งึ ท า่ นท กุ ค นอ ยา่ งท ไี่ มต่ อ้ งส งสยั ม เี รอื่ งเลา่ ม ากมาย
เก่ียวกับความรักความเมตตาอาทรของท่านท่ีมีต่อศิษย์ หนึ่งในหลายๆ
เหตุการณ์น ้ันก็ค อื เร่ืองของพระเพื่อนสหธรรมกิ ของข า้ พเจ้า
ในปี พ.ศ .๒๕๓๒ระหว่างช ว่ งเทศกาลเข้าพ รรษาพ ระนวกะจ าก
วดั บ วรน เิ วศว หิ ารจ ำนวน๓ รปู ไดเ้ ดนิ ท างจ ากก รงุ เทพฯเพอ่ื ม าน มสั การ
หลวงปู่ดู่ ทีว่ ัดส ะแกท ั้งส ามองค์ตา่ งมีความต ง้ั ใจต รงก นั ว า่ จะน ำด อกไม้
ธูปเทียน มาถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่เพื่อกราบนมัสการ และถวาย
ตัวเป็นศ ิษย์เพื่อขอเรียนพระกรร มฐ าน
ครั้นกำหนดวันได้เรียบร้อยตรงกันดีแล้ว ก็ออกเดินทางโดยไม่มี
โอกาสได้กราบเรียนให้หลวงปู่ทราบล่วงหน้าก่อน เมื่อเดินทางมาถึง
ท่ีหมายคือวัดสะแกก็เป็นช่วงเวลาใกล้เพลแล้วที่บริเวณปากทางเข้าวัด
ต่างองค์ต่างปรึกษาหารือกันว่า จะไปกราบหลวงปู่ก่อนดีหรือจะแวะฉัน
เพลก อ่ นดีถ้าห ากแวะฉนั เพลก่อนกจ็ ะต ดิ เวลาทหี่ ลวงปู่พกั หลงั เวลาเพล
จะทำให้ห ลวงปูม่ ีเวลาพักผ อ่ นน อ้ ยลงต อ้ งเสียเวลาม าน งั่ รบั แขกแ ต่หาก
๑๑๔ 114
ไปก ราบน มสั การท า่ นเลยท งั้ ส ามอ งคต์ า่ งก ม็ กี งั วลว า่ แ ลว้ จ ะไดฉ้ นั เพลก นั
หรือไม่
ในท ส่ี ดุ ก ต็ ดั สนิ ใจว า่ ไมไ่ ดฉ้ นั ก ไ็ มเ่ ปน็ ไรไปก ราบห ลวงปใู่ หส้ มค วาม
ตงั้ ใจก อ่ นด กี วา่ ค รนั้ พ อเดนิ เขา้ ป ระตวู ดั ไดป้ ระมาณส กั ร อ้ ยเมตรก ม็ ศี ษิ ย์
ฆราวาสข องห ลวงปคู่ นห นงึ่ ต รงเขา้ ม าห าแ ลว้ บ อกว า่ “ ห ลวงปนู่ มิ นตใ์ หฉ้ นั
เพลที่นี่ ท ่านไม่ตอ้ งกังวลหลวงปใู่ หเ้ ด็กจดั อ าหารใหแ้ ลว้ ”
ทุกองค์ต่างแปลกใจ เหมือนกับหลวงปู่จะรู้ล่วงหน้าว่า จะมีพระ
เดินทางม าห าจงึ ให้ล ูกศิษยจ์ ัดเตรียมอาหารไวถ้ วายพ ระด้วย
จากน้ันพระทั้งสามองค์ได้ขึ้นมาท่ีหอสวดมนต์บริเวณตรงข้ามกุฏิ
ของหลวงปู่กม้ ล งก ราบพระ๓ ค ร้งั แล้วห นั มาท างหลวงปู่ย กมอื ไหวท้ ่าน
จากร ะยะไกลก อ่ นท จี่ ะเขา้ ม ากร าบท า่ นแ ตจ่ ะน งั่ พ บั เพยี บก ย็ งั ไมก่ ลา้ น ง่ั
ไดแ้ ตน่ ่งั ค กุ เข่าอ ยู่ ต า่ งอ งคต์ ่างก ็ยงั น ง่ั ก ระสับก ระส่ายด ้วยคดิ กงั วลก นั ว า่
คงต อ้ งอ าบตั หิ ากต อ้ งน งั่ ฉ นั โดยไมม่ อี าสนะในท เ่ี ดยี วก บั ท น่ี ง่ั ข องฆ ราวาส
เพราะตามพระวินัยแล้ว ภิกษุจะไม่นั่งเสมอหรือร่วมอาสนะเดียวกับ
อนปุ สมั บ นั ซ ง่ึ ห มายถ งึ ผ ทู้ ยี่ งั ไมไ่ ดอ้ ปุ สมบทไดแ้ ก่ ค ฤหสั ถ์ และส ามเณร
หรอื ผูท้ ่ีไมใ่ ช่ภิกษหุ รือภกิ ษุณ ี
สักค รู่หนึ่งฆราวาสคนเดิมก เ็ ข้ามาบอกว่า
“ ห ลวงปูท่ ่านถ ามว่าธรรมยตุ นิ ้ีต้องม อี าสนะใช่หรอื ไม่ ทา่ นให้จดั
เตรยี มอ าสนะมาใหแ้ ล้ว”
ทั้งสามองค์จึงได้อาสนะมาปูน่ังฉันจนเรียบร้อย ไม่ต้องอาบัติ
115 ๑๑๕
น้ีเป็นอัศจรรย์เหมือนหลวงปู่สามารถรู้วาระจิตของพระท้ังสามเป็นคร้งั
ทส่ี องเมอ่ื ฉ นั เสรจ็ จ งึ ไดม้ ากร าบน มสั การท า่ นไดแ้ ตน่ งั่ ข า้ งล า่ งไมก่ ลา้ น งั่
เสมอก บั ท่านห ลวงปู่ทา่ นไดเ้ มตตาเป็นท่สี ุดโดยเรยี กให้พ ระใหม่น ัง่ ข า้ ง
บนเสมอกับท่านแ ละบอกว่า“เราล กู พระพทุ ธเจ้าเหมือนกัน”
จากน้ันทั้งสามองค์ต่างถวายตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่ท่านกล่าว
อนโุ มทนาแ ลว้ แ นะนำใหไ้ ปเรยี นพ ระกรร มฐ านก บั พ ระส ายห ยดุ ภ รู ทิ ตั โต
ท่ีกุฏหิ ลงั ว ดั
๑๑๖ 116 ๖๗
ค าถาของห ลวงปู่
ท่านที่เคยมีโอกาสไปเยือนเจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์จวน
กุลเชฎโฐ ณ วัดเจติยาคิรีวิหาร จังหวัดหนองคาย จะสังเกตบานประตู
ไม้ประดู่แผ่นเดียว แกะสลักด้วยลายท่ีเรียบง่ายปิดทองและกระจกสี
เพ่ือรกั ษาเน้ือไม้ ก ลางป ระตดู ้านในสลกั เปน็ ร ปู น กย งู ซง่ึ เปน็ ส ัญล กั ษณ์
หมายถ ึงคาถายงู ทองข องท า่ นพระอ าจารยม์ ั่นภรู ิทตั ตมห าเถระทศ่ี ษิ ย์
ของท่านทุกองค์ต่างให้ความเคารพและระลึกถึงโดยสวดสาธยายเป็น
ประจำว ่า“...น ะโมวิมตุ ต านังนะโมว มิ ุตตยิ า”
คืนวันหน่ึงข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบนมัสการเรียนถามหลวงปู่ดู่ว่า
“ลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น มีคาถายูงทองเป็นเคร่ืองระลึกถึงครูบา-
อาจารย์ แล้วลูกศิษย์ของหลวงปู่ควรใช้คาถาบทใดเป็นเครื่องระลึกถึง
พระคุณของครบู าอาจารย์บา้ ง”
หลวงปไู่ ดว้ สิ ชั นาโดยใหข้ า้ พเจา้ ไปเปดิ ด ู “อณุ หสิ สะ วชิ ะยะส ตู ร” ใน
หนงั สอื มตุ โตทยั ซ งึ่ เปน็ ค ำส อนข องท า่ นพ ระอ าจารยม์ นั่ ภ รู ทิ ตั ต มห าเถระ
(รวบรวมแ ละเรียบเรียงโดยพระอ าจารย์วิริย ังค ์ ส ริ ินธ โรว ดั ธ รรมมงคล)
อณุ หิสสะค ือค วามร ้อนอ ันเกิดแกต่ นมที ้งั ภายในและภายนอก
ภายนอกมเีสือสางคางแ ดงภ ูตผีป ศี าจเป็นตน้ ภ ายในคอื ก เิ ลส
117 ๑๑๗
วิชะยะ คือความชนะ ผู้ที่มาน้อมเอาสรณะท้ังสามน้ีเป็นท่ี
พึ่งแล้วย่อมจะชนะความร้อนเหล่านั้นไปได้หมดทุกอย่าง ที่เรียกว่า
อุณหิส สะวิชัย
พ ระส ตู รน มี้ คี วามไพเราะท ง้ั อ รรถแ ละพ ยญั ชนะท ค่ี วรศ กึ ษาจ ดจำ
และทำความเข้าใจให้แยบคายโดยยิ่ง ท่านได้กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดมาถึง
พระพทุ ธเจ้าพระธ รรมพระสงฆ์ เป็นสรณะท ี่พึ่งแ ลว้ ผ ู้นัน้ ย ่อมชนะได้
ซ่ึงความร อ้ น”ดังความเดิมในพระบาลที ว่ี า่
“อตั ถิ อ ณุ ณะหสิ สะว ชิ ชะโยธ ัมโมโลเกอ ะน ุตตะโรส ัพพะ
สัตตะหิตัต ถ ายะต งั ต วุ ังค ณั หาหิเทวะเตปะร วิ ชั เชราชะทณั เฑ
อะม ะนสุ เสหิ ป าว ะเกพ ะยคั เฆนาเคว ิเสภเู ตอ ะกาล ะเรเณน ะว า
สพั พัสส ะมามะระณาม ตุ โตฐ ะเปตวุ ากาล ะมาริต งั ตัสเสว ะอ านภุ า
เวนะโหตุ เทโวสุขี สะทาส ุทธะ ส ลี งั ส ะมะท ายะธมั มังสจุ ริตต งั
จะเรตัสเสว ะอ านภุ าเวนะโหต ุเทโวส ุขีสะท าลกิ ขิตตงั ป ูช งั
ธาระ ณังว าจะนังค ะรุปะเรสงั สุตตะวาตัสส ะอ ายปุ ะวฑั ฒะตีติ ฯ.”
เทวเตดกู รเทวดาท งั้ ห ลายพ ระธ รรมน ชี้ อ่ื ว า่ อ ณุ หสิ ส ว ชิ ยั เปน็ ย อด
แหง่ พ ระธ รรมท งั้ ห ลายเปน็ ป ระโยชนแ์ กส่ ตั วท์ ง้ั ม วลท า่ นจ งเอาพ ระธ รรม
น้ีเป็นที่พึ่ง อุตสาห์สวดบ่นสาธยายทุกเช้าค่ำ ย่อมห้ามเสียซึ่งภัยทั้งปวง
อันจะเกดิ ข ้ึนจ ากผปี ศี าจ หมพู่ ยคั ฆ์ งใูหญน่ ้อย แ ละพญาเสนาอ ำมาตย์
ท้ังหลายจะไม่ตาย ผู้ใดได้เขียนไว้ก็ดี ได้ฟังก็ดี ได้สวดมนต์ภาวนาอยู่
ทกุ วนั กด็ ี จะมอี ายุย นื
๑๑๘ 118
เทวเตดกู รเทวดาทั้งหลายท ่านจ งม คี วามส ขุ เถดิ อ น่ึงบ ุคคลผู้ใด
บชู าแก้วทัง้ ๓ คอื พ ระพุทธพ ระธรรมพระสงฆ์น ี้เป็นย าอนั อ ุดมย่อม
คมุ้ ครองผ นู้ น้ั ใหพ้ น้ จ ากท กุ ขภ์ ยั พ ยาธทิ ง้ั ป วงด ว้ ยอ ำนาจพ ระอ ณุ หสิ ส ว ชิ ยั
นี้จะรักษาค มุ้ ครองให้ชวี ติ ของทา่ นเจรญิ สบื ต ่อไปท่านจ งรักษาไว้ให้ม่นั
อยา่ ใหข้ าดเถดิ ฯ
หลวงปู่และครูบาอาจารย์ท้ังหลายต่างกล่าวรับรองว่า สรณะ
ท ั้ง๓คอื พระพุทธพ ระธรรมพ ระสงฆ์ ม ิไดเ้สอ่ื มส ญู อันตรธานไปไหน
ยงั ป รากฏอ ยแู่ กผ่ ปู้ ฏบิ ตั เิ ขา้ ถ งึ อ ยเู่ สมอผ ใู้ ดม าย ดึ ถอื เปน็ ท พ่ี งึ่ ข องต นแ ลว้
ผู้น้ันจะอยู่ในกลางป่าหรือเรือนว่างก็ตาม สรณะท้ังสามปรากฏแก่เขา
อยทู่ กุ เมอื่ จ งึ ว า่ เปน็ ท พี่ งึ่ แ กบ่ คุ คลจ รงิ เมอ่ื ป ฏบิ ตั ติ ามส รณะท ง้ั ส ามจ ร งิ ๆ
แล้วจะคลาดแคล้วจ ากภ ยั ทัง้ หลายอนั ก ่อให้เกิดความร อ้ นอ กรอ้ นใจได้
แนน่ อนทีเดียวส มดังท ี่หลวงปดู่ ู่ท่านพ ร่ำย ำ้ เตือนศ ิษย์อ ยู่เสมอวา่
“พทุ ธังธ ัมมังส ังฆงั ใครเช่อื จรงิ ทำจ ริงกจ็ ะเจอข องจรงิ ”
119 ๑๑๙
๖๘
อ ยา่ ให้ใจเหมือน...
ในห นงั สอื งานพ ระราชทานเพลงิ ศ พข องห ลวงป ขู่ าวอ น าลโยแ หง่
วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี ซ่ึงเขียนโดยท่านพระอาจารย์มหาบัว
ญาณสัมปันโน ได้เล่าถึงคราวท่ีหลวงปู่ขาวเกิดความสงสัยในการปฏิบัติ
และได้เรยี นถามหลวงป มู่ นั่ วา่
“ ในค รงั้ พ ทุ ธก าลต ามป ระวตั วิ า่ ม ผี สู้ ำเรจ็ ม รรคผลน พิ พานม ากแ ละ
รวดเรว็ ก วา่ ส มยั น ี้ ซ ง่ึ ไมค่ อ่ ยม ผี ใู้ ดส ำเรจ็ ก นั แ มไ้ มม่ ากเหมอื นค รงั้ โนน้ ห าก
มีการส ำเร็จได้ก ร็ สู้ ึกจ ะช า้ ก วา่ กนั มาก”
หลวงป มู่ ัน่ ทา่ นตอบว า่ “ก เิ ลสข องค นในพทุ ธสมยั มคี วามเบาบาง
มากก วา่ ในส มยั ป จั จบุ นั แ มก้ ารอ บรมก ง็ า่ ยผ ดิ ก บั ส มยั น อี้ ยมู่ ากป ระกอบ
กบั ผ สู้ งั่ ส อนในส มยั น นั้ ก เ็ ปน็ ผ รู้ ยู้ งิ่ เหน็ จ รงิ เปน็ ส ว่ นม ากม พี ระศ าสดาเปน็
พระประมุขประธานแห่งพระสาวก ในการประกาศสอนธรรมแก่หมู่ชน
การสอนจึงไม่ค่อยผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความจริง ทรงถอดออกมา
จากพระทัยท่ีบริสุทธ์ิล้วนๆ หยิบยื่นให้ผู้ฟังอย่างสดๆ ร้อนๆ ไม่มีธรรม
แปลกปลอมเคลอื บแ ฝงอ อกม าดว้ ยเลย
ผู้ฟังก็เป็นผู้มุ่งต่อความจริงอย่างเต็มใจซึ่งเป็นความเหมาะสมทั้ง
๑๒๐ 120
สองฝ่าย ผลท่ีปรากฏเป็นข้ันๆ ตามความคาดหมายของผู้มุ่งความจริง
จงึ ไมม่ ปี ญั หาท คี่ วรข ดั แ ยง้ ไดว้ า่ สมยั น นั้ ค นส ำเรจ็ ม รรคผลก นั ท ลี ะม ากๆ
จากการแสดงธ รรมแ ต่ละคร้งั ของพ ระศาสดาแ ละพระส าวก
ส่วนส มัยนีไ้ มค่ ่อยม ใีครสำเร็จได้ ค ลา้ ยก บั ค นไม่ใช่คน ธรรมไมใ่ ช่
ธรรมผลจงึ ไมม่ ีความจ รงิ ค นกค็ อื คนธรรมกค็ ือธรรมอยนู่ ่ันเองแต่ค น
ไม่สนใจธ รรม ธ รรมก ็เข้าไม่ถงึ ใจ จงึ กลายเป็นว า่ ค นกส็ ักวา่ ค น ธรรมก็
สักว่าธรรม ไม่อาจยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ แม้คนจะมีจำนวนมากและ
แสดงใหฟ้ ังทงั้ พระไตรปิฎกจ ึงเป็นเหมอื นเทน ้ำใส่ห ลังห มามนั สลดั อ อก
เกลี้ยงไม่มีเหลือ ธรรมจึงไม่มีความหมายในใจของคน เหมือนน้ำไม่มี
ความหมายบ นห ลังห มา ฉ ะน้นั ”
ขา้ พเจ้าอ ดนึกถามตวั เองไมไ่ ด้วา่ ...
“แล้วเราล ะ่ เวลาน ้ีใจเราเป็นเหมือนห ลังห มาหรอื เปล่า”
121 ๑๒๑
๖๙
ว ัตถสุ มบัติธรรมสมบัติ
ท่ามกลางความหลากหลายของอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และ
กระแสแ หง่ ค วามแ สวงหาใจท กุ ด วงท ม่ี คี วามเรา่ รอ้ นวนุ่ วายส บั สนเปา้ หมาย
คอื เพอื่ ใหไ้ ดส้ งิ่ ท ตี่ อ้ งการม าแ ตเ่ มอื่ ไดส้ ง่ิ ท ค่ี ดิ ว า่ ต อ้ งการม าแ ลว้ ก ด็ เู หมอื น
ว่ายิ่งแสวงหา ก็ย่ิงต้องด้ินรนมากขึ้น สิ่งที่ได้มานั้นมีสุขน้อยมีทุกข์มาก
หากจ ะม สี ขุ บ า้ งก เ็ ปน็ เพยี งส ขุ เลก็ น อ้ ยในเบอื้ งต น้ แ ตใ่ นท สี่ ดุ ก ก็ ลบั ก ลาย
เป็นทกุ ขอ์ ีกเป็นอ ยา่ งนซ้ี ้ำแลว้ ซ้ำเลา่ อารมณต์ ่างๆเหล่าน ้ี ไม่เพียงพอที่
จะใหเ้ กดิ ค วามช มุ่ ฉ ำ่ เยน็ ใจอ บอนุ่ ไดย้ าวนานห ากแ ตเ่ ปน็ อ ารมณท์ ค่ี า้ งใจ
อยตู่ ลอดเวลาท ำใหอ้ ยากด นิ้ รนแ สวงหาส งิ่ ใหมม่ าท ดแทนอ ยเู่ สมอน เี้ ปน็
ธรรมดาของ...ว ตั ถสุ มบัติ
ส่วน...ธรรมสมบัติ นั้น จะยังความชุ่มชื่น เพียงพอให้เกิดข้ึนแก่
จิตใจได้ม ีลกั ษณะเปน็ ความส ขุ ทีไ่ ม่กลับก ลายมาเป็นค วามทกุ ข์อีกว ตั ถุ
สมบัติย่ิงใช้นับวันยิ่งหมดไป ต้องขวนขวายแสวงหาเพ่ิมเติมด้วยความ
กังวลใจ ธรรมสมบัติย่ิงใช้นับวันยิ่งเจริญงอกงามข้ึน ก่อให้เกิดความสุข
สงบเยน็ ใจแก่ตนและคนรอบข ้าง
คงไมม่ ใีครทีไ่ ดร้ ้จู กั ห ลวงป่ปู ฏเิ สธว ่าห ลวงปทู่ ่านเป็นแ บบอย่างท่ี
๑๒๒ 122
ดีของบุคคลที่ใช้ธรรมสมบัติ ยังความสงบเย็นให้แก่ใจทุกดวงท่ีได้เข้ามา
ใกล้ชดิ ท ่านไมเ่ ฉพาะค นหรือสัตว์ แตร่ วมไปถงึ เหล่าเทพยดาแ ละอ มนษุ ย์
ทงั้ ห ลายท ศ่ี ษิ ยข์ องห ลวงปหู่ ลายค นต า่ งม ปี ระสบการณอ์ นั เปน็ ป จั จตั ต งั
และส ามารถเป็นประจกั ษพ์ ยานได้อ ย่างด ี
หลวงป่เูคยบอกข า้ พเจา้ ว่า
“ ค นทำ(ภาวนา)เป็นนี่ ใครๆ ก็รกั
ไม่เฉพาะคนหรอื สตั วท์ รี่ ัก
แม้แตเ่ทวดาเขาก ็อนโุ มทนาดว้ ย”
123 ๑๒๓
๗๐
ทำไมหลวงปู่ ?
สมัยที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในวัดพระเชตวันฯ ทรงปลงอายุ
สงั ขารแ ล้วน น้ั ไดท้ รงปรารภเรื่องพ ระติสสะเถระในค ราวท่พี ระองคจ์ วน
จะปรนิ พิ พานมคี วามต อนหนง่ึ ท ท่ี า่ นพ ระอาจารยม์ หาบ วั ญาณสมั ป นั โน
ไดน้ ำม าถ า่ ยทอดอ บรมศ ษิ ยไ์ วใ้ นห นงั สอื “ ค วามรกั เสมอต นไมม่ ”ี ค วามว า่
“ก่อนจะปรินิพพาน จากวันปลงพระชนม์ไปถึงวันเพ็ญเดือนหก
พระสงฆ์ยุ่งกันใหญ่ พอปลงพระชนม์ว่าจะปรินิพพาน ยุ่งกัน เกาะกัน
เป็นฝูงๆ ว่าง้ันเลย อย่าว่าเป็นคณะๆ เลย เป็นฝูงๆ คือจิตใจมันยุ่ง
แต่ภายนอก มีพระติสสะองค์เดียวไม่ยุ่งกับใคร เข้าอยู่ในป่าตลอดทั้ง
วันท้ังคืน แล้วพระบ้าเหล่านี้หาว่าพระติสสะไม่มีความจงรักภักดีต่อ
พระพทุ ธเจา้ พ ระพทุ ธเจา้ จ ะป รนิ พิ พานพ ระต สิ ส ะไมเ่ หน็ ม าป รารภอ ะไร
เลยอ ยแู่ ตใ่ นป า่ จ งึ พ าก นั เขา้ ฟ อ้ งพ ระพทุ ธเจา้ ว า่ พ ระต สิ ส ะไมม่ คี วามห วงั ด ี
ในพระพุทธเจา้ ไม่มคี วามเยอ่ื ใยในพระพุทธเจ้าห ลกี ไปอ ย่แู ตอ่ งค์เดียว
พระองค์เป็นผู้ทรงเหตุผลอยู่แล้ว จึงรับส่ังเรียกพระติสสะมา
เข้าเฝ้าท่ามกลางสงฆ์ ไหนวา่ อยา่ งไรพระตสิ สะ เวลาน้พี วกบา้ น้ี ถา้ เปน็
หลวงตาบัวจะพูดอย่างน้นั เวลาน้ีพวกบ้าน่นั ว่าเธอไม่มีความจงรักภักดี
๑๒๔ 124
ตอ่ เราตถาคตเธอไปแอบอยคู่ นเดยี วท ง้ั วนั ท ง้ั ค นื ไมเ่ ขา้ มาเกย่ี วขอ้ งม ว่ั สมุ
กบั ห มเู่ พอ่ื นเลยว า่ อยา่ งไรพระตสิ ส ะ
“ขา้ พ ระองคม์ คี วามจ งรกั ภ กั ดตี อ่ พ ระองคส์ ดุ ห วั ใจ”น นั่ เวลาต อบ
“ที่ข้าพระองค์ไม่ได้มาเก่ียวข้องกับหมู่เพื่อน ก็เพราะเห็นว่าเวลาของ
พระองค์นั้นกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว จากวันน้ีถึงวันนั้นจะปรินิพพาน
ข้าพระองค์จึงรีบเร่งขวนขวายให้ได้บรรลุธรรมในเวลาท่ีพระองค์ยังทรง
พระชนมอ์ ยู่ ข า้ พ ระองคต์ อ้ งรบี เรง่ ข วนขวายท างด า้ นจ ติ ใจไมไ่ ดเ้ กย่ี วขอ้ ง
กบั ใครเลยท้ังว ันทงั้ ค นื ”
พระพทุ ธองค์ ตรัสว่า เอ้อถ กู ตอ้ งแ ลว้ ตสิ สะส าธุๆถูกต ้องแล้ว
จากน น้ั ก็ยกข ้ึนเปน็ ภ าษิตว ่า
“ผ ใู้ ดป ฏบิ ตั ธิ รรมส มควรแ กธ่ รรมผนู้ น้ั ช อ่ื ว า่ บ ชู าเราต ถาคต...”
คำว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมน้ี ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคร้ังท่ีมีเพื่อน
ผู้หน่ึงมาปรารภให้ฟังเก่ียวกับการภาวนาของตนว่า “ไม่ก้าวหน้าเลย
ทำไมห ลวงปู่ไมม่ าสอนผมท ำไมห ลวงปไู่ มช่ ่วยท ำไมห ลวงป.ู่ ..”
หลวงปดู่ ไู่ ดเ้ คยใหก้ ำลงั ใจในก ารป ฏบิ ตั แิ กข่ า้ พเจา้ วา่ “ หมน่ั ทำเขา้
ไว้ พ ระทา่ นค อยจ ะชว่ ยเราอ ยแู่ ลว้ เราไดช้ ว่ ยเหลอื ต วั เองกอ่ นหรอื ย งั ”
ขา้ พเจา้ จ งึ ต อบเพอ่ื นผ นู้ นั้ ก ลบั ไปว า่ อ ยา่ ม วั แ ตถ่ ามว า่ ท ำไมห ลวงปู่
...ทำไมหลวงป่.ู..แ ตค่ วรถ ามต ัวเราเองวา่
“ ทำไมเราไมท่ ำตวั ใหส้ มก บั ท ี่ท่านส อนล่ะ
เราป ฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแลว้ ห รอื ย งั ”
125 ๑๒๕
ถ้าเราปฏิบตั ธิ รรมส มควรแ ก่ธรรมแ ล้ว ได้เตรยี มใจข องเราใหเ้ ป็น
ภาชนะอย่างดีสำหรับรองรับธรรม สามารถเก็บรักษาธรรมมิให้ตกหล่น
สูญหายไปได้ ข ้าพเจา้ เชอื่ เหลือเกนิ วา่ ...
พระพุทธเจ้าแ ละหลวงป่ไู ม่ทิง้ เราแนน่ อน
๑๒๖ 126
๗๑
“งาน” ของหลวงปู่
ทุกชีวิตย่อมมีงาน เพราะงานเป็นส่วนหน่ึงของชีวิต บางทีเราอาจลืมไป
ว่างานข องชีวิตท ีเ่ ราทำอ ย่ดู แี ล้วพ อแล้วแตย่ งั ม ีงานอนื่ ท่นี อกเหนอื จาก
หนา้ ทก่ี ารงานห รอื งานป ระจำท เ่ี ราท ำอ ยู่ ท า่ นพ ทุ ธท าสภ กิ ขเุ คยใหโ้ อวาท
ตอนหนึง่ ว า่
“.....ให้เอางานในความหมายของคนทั่วไปเป็นงานอดิเรก
เอางานค อื ก ารป ฏบิ ตั ธิ รรมเปน็ งานห ลกั ข องช วี ติ เปน็ การงานท แี่ ทจ้ รงิ
ของชีวติ ”
ถ้าเราเข้าใจในความหมายน้ี ชีวิตจะสดใสขึ้น ปลอดโปร่งใจขึ้น
ความกังวลความกลัดกลุ้มจะลดลง ความโลภความโกรธความหลงจะ
ลดลงหากได้ฝึกส งั เกตความค ิดและความร ้สู กึ ข องต นเองนเี่ปน็ งานของ
ชวี ิตอีกระดับหน่งึ ท ค่ี วรทำความเข้าใจแ ละป ฏิบตั ิใหถ้ ูกตอ้ งหลวงปูด่ มู่ ัก
จะใชค้ ำศ พั ทท์ ว่ี า่ ใหไ้ ป“ ท ำงาน” ก บั ล กู ศ ษิ ย์ ซ งึ่ ห มายถ งึ ใหไ้ ป“ ภ าวนา”
หรืออีกนัยหนึ่ง “งาน” ในความหมายของท่าน ก็คือ “งานร้ือวัฏฏะ”
น่นั เอง
ท่านเคยบอกขา้ พเจ้าว า่
127 ๑๒๗
“ทุกอย่างท่ีเราทำวันนี้ เพื่อเอาไว้กินวันข้างหน้า พอตายแล้ว
โลกเขาขนเอาบ าปกนั ไปแ ตเ่ ราจะข นเอาบ ุญเอาน พิ พานไป”
ในค รง้ั พ ทุ ธก าลพ ระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ก บั พ ระอ านนทแ์ ละพ ระอ รห นั ต ์
ทั้งหลายว ่า
“ด กู อ่ นภ กิ ษทุ ง้ั ห ลายบ คุ คลผ จู้ ะไปส สู่ คุ ตไิ ดน้ นั้ น อ้ ยม ากเทา่ กบั
โคส องเขาเทา่ นนั้ ผ ทู้ จ่ี ะต กอ ยใู่ นห ว้ งข องอ บายภ มู นิ นั้ ม เี ทา่ ก นั ก บั ข นโค
ทง้ั ตัว”
อันท ี่จริงมนุษย์แต่ละคนอยใู่ นโลกนชี้ ่วั ร ะยะเวลาส ้นั เหลือเกนิ ถ้า
เทยี บกบั อายุของโลกห รืออายุของจ ักรวาล
ถูกข องหลวงปูเ่ ป็นท ่ีสุด...
เวลาไมก่ ปี่ บี นโลกใบน ี้ เราย งั เตรยี มอ ะไรก นั ต งั้ ม ากมายข วนขวาย
หาซ อ้ื บ า้ นซ อ้ื ท ดี่ นิ ซ อื้ รถยนต์ ห าเงนิ เกบ็ เงนิ ฝ ากธ นาคารแ สวงหาส มบตั ิ
พสั ถานจปิ าถะแ ละย งั ต อ้ งแ สวงห าไวเ้ ผอื่ ล กู เมยี บ างค นถ งึ ร นุ่ ห ลานก ย็ งั
กนิ ไม่หมดเลยท ีเดียวท กุ ช วี ติ สนิ้ สดุ ท ่ี “ ตาย”ค ำเดยี วเสมอกันหมดเรา
พรอ้ มสำหรับว ันน ้นั หรอื ย งั
มาทำงานถวายห ลวงปู่กันเถอะ
๑๒๘ 128
๗ ๒
ข อเพียงความร ้สู ึก
นักปฏิบัติภาวนาหลายท่านชอบติดอยู่กับการทำสมาธิแบบสงบ
ไม่ชอบท่ีจะใช้ปัญญาพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ให้เห็นเหตุและผล ให้ลง
หลักค วามจรงิ ห ากจ ะถ ามว า่ พิจารณาอย่างไร?
คร้ังหน่ึง หลวงปู่เคยยกตัวอย่างให้ข้าพเจ้าฟังว่า หากใจเราว่าง
จากการพิจารณาเรื่องเกี่ยวกับความจริงของชีวิตแล้ว เร่ืองที่ควรสนใจ
ศกึ ษาน อ้ มนำม าพ จิ ารณาใหม้ ากอ กี เรอ่ื งห นง่ึ ค อื พ ทุ ธป ระวตั ิ ป ระวตั ขิ อง
ครูบาอาจารย์องค์ต่างๆ ได้แก่ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่าน
พระอาจารย์มหาบ วั ญ าณส ัมปันโนเปน็ ต้น
การพ ิจารณาน ้ันขอให้เทียบเคียงค วามร ้สู กึ ว ่าเราม คี วามร ูค้ วาม
เข้าใจในเร่ืองที่ศึกษามากข้ึนเพียงใด เช่น ในช่วงปีแรกที่เราได้รู้จักท่าน
พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน เรามีความรู้สึกเคารพเลื่อมใสท่าน
อยา่ งไรต อ่ ม าเราไดไ้ ปอ ยปู่ ฏบิ ตั ภิ าวนาท วี่ ดั ข องท า่ นไดเ้ หน็ ข อ้ ว ตั รป ฏบิ ตั ิ
ตา่ งๆของท่านได้เห็นส าธารณประโยชน์หลายอ ยา่ งท่ที ่านพ าทำค วาม
รู้สึกเคารพเลื่อมใสศรัทธาของเราย่อมมีมากขึ้นฉันใด การศึกษาพุทธ-
ประวัติก ฉ็ นั นั้น
129 ๑๒๙
ในระยะแ รกข องก ารศ กึ ษา...เราอ าจจ ะย งั ไมม่ คี วามเคารพเลอื่ มใส
ในพ ระพทุ ธเจา้ ม ากน กั แ ตเ่ มอื่ เราไดป้ ฏบิ ตั ภิ าวนาม ากข นึ้ ไดพ้ จิ ารณาม าก
ขน้ึ ก ารไดอ้ า่ นเรอื่ งข องเจา้ ช ายส ทิ ธตั ถ ะจ ะไมเ่ ปน็ เพยี งก ารอ า่ นเรอ่ื งร าว
ของเจ้าช ายท ล่ี ะทิ้งปราสาทร าชวงั ท งิ้ พ ระชายาพ ระโอรสเหมือนส มัย
เราเป็นเด็กที่เพ่ิงเร่ิมศึกษาพุทธประวัติหากแต่เราจะสามารถเข้าใจความ
รู้สึกของเจ้าชายสิทธัตถะ ในแต่ละเหตุการณ์ของพุทธประวัติได้อย่างดี
จากศรัทธาธรรมดาท่ีเคยมีในใจ จะเริ่มก่อตัวมั่นคงยิ่งขึ้น จนกลายเป็น
ตถาคตโพธิสทั ธาคือความเช่ือในปัญญาต รัสรู้ของพระพทุ ธเจ้าเมอื่ น ้นั
ความปีติ อิ่มเอิบ และสงบเย็นจะปรากฏข้ึนในใจ ใจกับธรรมที่เคยแยก
เป็นคนละส่วนกัน จะกลายเป็นใจกับธรรมที่ผสมผสานเป็นอันหน่ึงอัน
เดียวกนั
การฟังเทศน์จากครูอาจารย์ท่ีเคยฟังผ่านเพียงโสตวิญญาณ จะ
กลายเปน็ การฟ งั ธ รรมท ก่ี ารฟ งั น น้ั ส มั ผสั ล งส มู่ โนว ญิ ญาณส ามารถเขา้ ถ งึ
ความร ู้สกึ ของใจอย่างแ ท้จรงิ
๑๓๐ 130 ๗ ๓
ปาฏิหารยิ ์
ขา้ พเจา้ ข ออ นญุ าตเขยี นเรอ่ื งน ี้ เพอื่ ท ที่ า่ นผ อู้ า่ นจ ะไดม้ คี วามเขา้ ใจ
ในวิธีการสอนของหลวงปู่ดู่มากยิ่งข้ึน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเร่ืองของ
“ปาฏิหาริย์” ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันแต่เพียงความหมายของ “อิทธิ-
ปาฏิหาริย์” และเหมารวมว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่
ถูกต้อง เท่าท่ีข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังจากเพื่อนหมู่คณะและที่ประสบด้วย
ตนเอง จึงเชื่อเหลือเกินว่าศิษย์หลวงปู่หลายๆ ท่านเคยมีประสบการณ์
และเหน็ ช ดั ด ว้ ยต นเองม าแ ลว้ ในพ ระพทุ ธศ าสนาน ี้ พ ระพทุ ธเจา้ ท า่ นส อน
เร่ืองปาฏิหาริยไ์ ว้ม ี ๓ อยา่ งค อื
๑.อ ทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ์ ค อื ป าฏหิ ารยิ ใ์ นเรอ่ื งก ารแ สดงฤ ทธ์ิ แ สดงค วาม
เป็นผวู้ ิเศษดลบันดาลส ิ่งตา่ งๆ เหาะเหนิ เดินอ ากาศนิรมิตกายให้เปน็
หลายคนได้มหี ทู ิพย์ ต าทิพย์เป็นต้น
๒.อ าเทศนาปาฏหิ ารยิ ์ค อื การท ายใจทายความรู้สกึ ในใจทาย
ความค ิดข องผ ู้ถ กู สอนได้
๓.อ นสุ าสนีปาฏหิ ารยิ ์ค อื คำสอนท่ีแ สดงความจรงิ ใหผ้ ฟู้ งั ร แู้ ละ
เข้าใจมองเหน็ ค วามเปน็ จ ริงข องโลกให้ผ ูฟ้ งั ได้ปฏบิ ตั ิต ามอย่างน ี้ ละเวน้
131 ๑๓๑
การป ฏบิ ตั อิ ยา่ งน นั้ แ ละย งั ส ามารถน ำไปป ระพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามจ นรเู้ หน็ ได้
ผลจริงด ้วยตนเอง
ปาฏิหาริย์ท้ัง ๓ อย่างน้ี พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ ๒ อย่าง
แรกค ืออิทธิปาฏหิ ารยิ ์แ ละอ าเทศน าป าฏิหารยิ ์หากแ สดงเพียงอย่าง
ใดอ ยา่ งห นงึ่ แ ละไมน่ ำไปส อู่ นสุ าสนปี าฏหิ ารยิ ซ์ ง่ึ เปน็ ป าฏหิ ารยิ ท์ พ่ี ระองค์
ทรงสรรเสริญมากทส่ี ุด
ใน เกวฏั ฏสตู ร ได้เลา่ ถ งึ ครง้ั พ ทุ ธกาลมชี าวบ ้านทเ่ี มอื งน าลันทา
ช่ือ เกวัฏฏะ ได้กราบทูลพระพุทธเจ้า ขออนุญาตให้พระภิกษุรูปหนึ่ง
กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ เพื่อให้ชาวเมืองนาลันทาเล่ือมใสในพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงตอบเกวัฏฏะสรุปได้ความว่า ทรงรังเกียจปาฏิหาริย์
ประเภทฤทธิ์ เน่ืองจากปาฏหิ าริยป์ ระเภทฤทธิ์ แม้จ ะมีฤทธมิ์ ากมายแ ต่
ก็ไม่อาจทำให้ผู้ถูกสอนรู้ความจริงในสิ่งทั้งหลาย ไม่สามารถแก้ข้อสงสัย
ในใจตนได้ เมื่อแสดงแล้วผู้ได้พบเห็นหรือได้ยินได้ฟังก็จะงง ดูเหมือน
ผทู้ แี่ สดงจะเกง่ ฝา่ ยเดยี ว ในขณะทผ่ี ถู้ กู ส อนก ย็ งั ม คี วามไมร่ อู้ ยเู่ หมอื นเดมิ
สว่ นอนสุ าสนปี าฏหิ ารยิ ์นน้ั จ ะท ำใหผ้ ฟู้ งั เกิดป ญั ญาไดร้ คู้ วามจ รงิ ไมต่ อ้ ง
มัวพึ่งพาผ ทู้ แ่ี สดงปาฏิหาริย์ แ ต่จะสามารถพ่งึ พาต นเองได้
เหตุผลอีกประการหน่ึง คือหากชาวพุทธมัวแต่ยกย่องผู้มีอิทธิ-
ปาฏิหาริย์แล้วอาจทำให้เสียหลักศาสนาได้ เน่ืองจากพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ แต่ไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์ซ่ึงมีอยู่เป็นจำนวนมาก จะไม่ได้รับ
การบำรุงจากชาวบ้าน แต่ผู้ที่ไม่มีคุณธรรมเป็นสาระแก่นสาร หากแต่มี
๑๓๒ 132
อทิ ธปิ าฏหิ าริย์ จะมีผ ู้คนศ รัทธาให้ความเคารพน ับถอื แ ทน
อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าก็มิได้ทรงละการทำฤทธิ์และดักทายใจ
ถ้าเราได้ศึกษาพุทธประวัติในบทสวดพาหุงฯ จะพบว่าพระองค์ทรงใช้
ฤทธิ์ปราบเชน่ เร่ืองพระอ งคุลิมาลห รอื ทรงใช้ฤ ทธ์ิปราบฤทธิ์ เช่นเรือ่ ง
ปราบพญานาคทช่ี ่อื นนั โทป นนั ท ะห รือเรอื่ งปราบท ิฏฐิทา้ วพ กาพ รหม
เม่ือปราบเสร็จก็เข้าสู่อนุศาสนีปาฏิหาริย์ คือ ทรงแสดงคำสอนท่ีทำให้
เห็นหลักความเป็นจริงซ่ึงเม่ือผู้ใดปฏิบัติตามก็ย่อมจะพบความจริงแห่ง
ความพน้ ท กุ ข์
หลวงปดู่ ทู่ า่ นก ไ็ ดด้ ำเนนิ ต ามพ ทุ ธว ธิ กี ารส อนน เ้ี ชน่ ก นั ข า้ พเจา้ แ ละ
เพ่อื นห มูค่ ณะหลายท่านข อเป็นป ระจักษ์พ ยานในระยะแรกท ข่ี า้ พเจา้ ได้
มาว ดั ส ะแกแ ละพ บก บั เหตกุ ารณต์ า่ งๆท เ่ี รยี กก นั ว า่ “ ป าฏหิ ารยิ ”์ อ นั เกยี่ ว
เน่ืองกับหลวงปู่ดู่น้ี ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจและงุนงงกับเรื่องราวท่ีเกิดข้ึน
ต่อมาเม่ือได้ศึกษาคำสอนของครูบาอาจารย์มากข้ึน จึงเร่ิมมีความเข้าใจ
ทถ่ี กู แ ละเริม่ รู้ว่าหลวงปู่ต้องการจ ะสอนอะไรก ับเรา
การเรียนธรรมะก ารฟ งั ธรรมะของผเู้ รม่ิ สนใจศ ึกษาห ล ายๆท ่าน
เปรยี บเสมอื นก ารก นิ ย าข มห ลวงปจู่ งึ ไดใ้ ชก้ ศุ โลบายน ำเอา“ ป าฏหิ ารยิ ”์
ท้ังสามอยา่ งม าใช้กับศ ษิ ย์ประกอบก นั จึงส ำเร็จประโยชนด์ ้วยด ี
เหมอื นก บั ท า่ นใหเ้ ราท านย าข มท เี่ คลอื บด ว้ ยข นมห วานเอาไว้ เมอ่ื
ทกุ ค นต ระหนกั แ ละเขา้ ใจในค ณุ ป ระโยชนข์ องย าข มด แี ลว้ ข นมห วานน น้ั
ก็จะหมดค วามห มายไป
133 ๑๓๓
๗๔
เรื่องบงั เอิญท่ไี มบ่ ังเอิญ
ในช วี ติ ข องเราท กุ ๆ ค นค งเคยไดผ้ า่ นเหตกุ ารณต์ า่ งๆห ลากห ลาย
รสแ ละในบ รรดาเหตกุ ารณห์ ลายเรอื่ งท ผ่ี า่ นไปน นั้ ค งม บี างเรอ่ื งท เี่ ราเคย
มคี วามร สู้ ึกว ่า...ช า่ งบ งั เอญิ เสยี จ ริงๆ
คำว ่า“บ ังเอิญ” นี้สำหรับน ักปฏบิ ตั ภิ าวนาแ ลว้ ด เูหมือนจ ะข ัดกบั
“หลกั ความจริง”ตามค ำส อนข องพ ระพทุ ธเจา้ ข องเราด งั เรอื่ งทีข่ ้าพเจ้า
ขอยกมาเปน็ ตัวอย่างน ี้
ภายหลังที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และได้แสดงธรรมโปรดฤๅษีท้ัง ๕
หรอื ปญั จว คั คยี ์ จนไดบ้ รรลธุ รรมเปน็ พ ระอ รห นั ตแ์ ลว้ ว นั ห นง่ึ พ ระอ สั ส ช ิ
หนึ่งในปัญจวัคคีย์ได้เข้าไปบิณฑบาตในเมือง ยังมีปริพาชกหรือนักบวช
นอกพุทธศาสนาร ปู ห นึง่ ช ่ืออ ปุ ตสิ สะเดินม าพ บพระอัสส ช เิข้าได้แ ลเห็น
ทา่ ทางอนั สงบน่าเลือ่ มใสจึงเขา้ ไปถามท ่านว า่
“ใครเป็นศาสดาข องท ่านศ าสดาข องทา่ นสอนวา่ อ ยา่ งไร”
พระอัสสช ติ อ บว า่
“เยธ มั ม าเหต ปุ ปั ภะว าเตสงั เหตงุ ต ถ าคะ โตเตสญั จ ะโยน โิ รโธจะ
เอวงั วาที มหาสะมะโณ”
๑๓๔ 134
แปลได้ความว า่ “ ธ รรมท งั้ ห ลายเกดิ จากเหตุ ถ้าตอ้ งการด บั ตอ้ ง
ดับเหตกุ อ่ นพ ระพทุ ธอ งคท์ รงสอนอย่างน ”ี้
อปุ ติสส ะเม่อื ไดย้ ินค ำต อบกเ็ กดิ ความแ จง้ ในจติ จนได้บรรลธุ รรม
เบ้ืองต้นในท่ีนั้นเอง และขอเข้าบวชกับพระพุทธเจ้าต่อมาท่านได้บรรลุ
ธรรมเปน็ พ ระอ รห นั ต ์ เปน็ พ ระอ คั รส าวกเบอ้ื งข วาท เ่ี รารจู้ กั ก นั ในน ามของ
พระสาร ีบตุ รน นั่ เอง
พระพทุ ธศ าสนาเปน็ ศ าสนาท วี่ า่ ด ว้ ยเหตกุ บั ผ ลผ ลย อ่ มเกดิ แ ตเ่ หตุ
เทา่ น้นั จะเกิดขึ้นลอยๆไม่ได้
หลวงปเู่ คยบอกขา้ พเจ้าว า่
“ถ้าเรามีญาณหยั่งรู้ ทุกส่ิงทุกอย่างที่เกิดในชีวิตเรา ไม่มีเรื่อง
บงั เอิญเลย”
ผู้ปฏิบัติภาวนาต้องให้ความสำคัญท่ีเหตุ มากกว่าให้ความสำคัญ
ที่ผลจึงขอใหต้ ้งั ใจส ร้างแต่เหตทุ ่ดี ีๆเพ่อื ผ ลทด่ี ีในว นั พรุง่ น ี้ และตอ่ ๆไป
135 ๑๓๕
๗๕
ค ลน่ื ก ระทบฝ ่ัง
ข้าพเจ้าขอเล่าเหตุการณ์หน่ึงซึ่งเกิดข้ึนเม่ือต้นปี ๒๕๔๐ มาน้ี
ที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลวงปู่ดู่ท่านเมตตามาโปรด โดยเฉลยปัญหาข้อขัดข้อง
ใจในก ารปฏิบัตธิ รรมข องขา้ พเจ้า
เรือ่ งม ีอยู่ว ่าในร ะหวา่ งน ้นั ข ้าพเจา้ ม ขี อ้ ข ดั ขอ้ งในก ารป ฏิบตั ิว่าจะ
มีอุบายวิธีอย่างไรจึงจะสามารถควบคุมอารมณ์ ควบคุมจิตใจของเราให้
เป็นไปในทางที่เราต ้องการได้ ในคืนนน้ั ขณะท ข่ี ้าพเจ้าเดนิ จ งกรมภ าวนา
เมื่อใจเกิดความสงบดีแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหลวงปู่ดู่บอก
ข้าพเจ้าว่า คำตอบท่ีข้าพเจ้าต้องการน้ันอยู่ในหนังสือ “อุปลมณี” ซึ่ง
เปน็ ห นงั สอื เรอ่ื งราวช วี ติ แ ละก ารป ฏบิ ตั ธิ รรมต ลอดจ นรวมธ รรมะ คำส อน
ของทา่ นพ ระโพธิญาณเถรหรอื ห ลวงปู่ชาส ภุ ทั โทว ัดหนองป่าพงอำเภอ
วารินชำราบจ งั หวัดอ ุบลราชธานี ขา้ พเจา้ จ งึ เดนิ ไปท ต่ี หู้ นงั สอื แ ละหยิบ
เอาหนังสืออุปลมณีมาพลิกดู เป็นที่อัศจรรย์สำหรับข้าพเจ้าว่า หนังสือ
อุปลมณีซ่งึ เป็นหนังสอื เลม่ โตม คี วามห นาถ ึง๕ ๘๕ห นา้ ข า้ พเจา้ พลิก
ดเูพียงส องส ามหนา้ ก บ็ งั เกดิ ความป ตี ขิ นลกุ ข นชนั เนอ่ื งจากไดพ้ บก บั เรอ่ื งท่ี
ตอ้ งการในหน้า๒ ๗๖มใี จความว ่า
๑๓๖ 136
“ธรรมอุปมา”
การอุปมาเป็นวิธีการสอนธรรมะที่ดูเหมือนหลวงปู่ชอบมากท่ีสุด
และเปน็ ว ธิ ที ที่ า่ นถ นดั ม ากท ส่ี ดุ ด ว้ ยท า่ นย กเอาธ รรมชาตริ อบด า้ นเขา้ ก บั
สภาวะเขา้ ก บั ป ญั หาถ กู ก บั จ รติ น สิ ยั ข องค นน น้ั อ ปุ มาอ ปุ ไมยป ระกอบก าร
สอนธ รรมะจ งึ ท ำใหผ้ ฟู้ งั เกดิ ภ าพพจนต์ ามไปด ว้ ยท ำใหผ้ ฟู้ งั ส ามารถม อง
ปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หมดความสงสัยในหลักธรรมท่ีนำมาแสดง
ตัวอยา่ งก ารอ ุปมาข องหลวงปู่ได้แก่
“การทำกรรมฐาน ทำเหมือนระฆังใบน้ี ระฆังนี้ตั้งไว้เฉยๆ เสียง
ไม่มีนะ สงบ สงบจากเสียง เม่ือมีเหตุกระทบขึ้นมา (หลวงปู่ตีระฆังดัง
๑ ท)ีเหน็ ไหมเสยี งม ันเกดิ ข น้ึ ม าน กั ปฏิบตั ิเป็นคนม กั นอ้ ยอ ย่างนนั้ เม่อื
มีปัญหาเกดิ ข ึน้ ม าแ กไ้ ขท นั ทว่ งทีเลยชนะด ้วยปัญญาของเราแ กป้ ัญหา
แลว้ กส็ งบตัวของเราเหมือนร ะฆงั น ้ี”
“ เหมอื นก บั ค ลน่ื ในท ะเลท ก่ี ระทบฝ ง่ั เมอ่ื ข น้ึ ม าถ งึ แ คฝ่ ง่ั ม นั ก ส็ ลาย
เท่าน้ัน คลื่นใหม่มาก็ต่อไปอีก มันจะเลยฝั่งไปไม่ได้ อารมณ์มันจะเลย
ความรู้ของเราไปไม่ได้เหมือนกันเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา จะพบกัน
ที่ตรงน้ัน มันจะแตกร้าวอยู่ที่ตรงนั้น มันจะหายก็อยู่ตรงน้ัน เห็นว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ฝั่งทะเลอารมณ์ทั้งหลายผ่านเข้ามาเหมือน
คลน่ื ท ะเล”
ขณะน นั้ เปน็ เวลาด กึ ม ากแ ลว้ ข า้ พเจา้ ค ดิ ว า่ ส มควรแ กเ่ วลาพ กั ผ อ่ น
จงึ ไดข้ น้ึ มาทห่ี อ้ งนอนทต่ี หู้ วั เตยี งม หี นงั สอื อ ยหู่ ลายเลม่ แ ตเ่ หมอื นม สี ง่ิ ใด
137 ๑๓๗
ดลใจใหข้ า้ พเจา้ ห ยบิ ห นงั สอื เลม่ หนง่ึ ข น้ึ ม าชอ่ื “ พ ทุ ธท าสส วนโมกข พ ลาราม
กำลงั แ หง่ ก ารห ลดุ พ น้ ” เปน็ หนงั สือข นาดพอๆก ับอุปล มณีซ ่ึงร วมค ำสอน
ของท่านพ ทุ ธท าสภ กิ ขไุ วม้ ีเนอ้ื หา๓๕๖ห น้าและม ีค วามห นาถงึ หนง่ึ น ิว้
ข้าพเจ้าเปิดห นงั สอื พลกิ ดู ๒ -๓หนา้ กบ็ ังเกดิ ความป ีติจ นข นลกุ ขนช ัน
อกี ค รงั้ เนอื่ งจากไดพ้ บก บั ธ รรมอ ปุ มาในเรอ่ื งค ลน่ื ก ระทบฝ ง่ั ซ งึ่ เปน็ เรอื่ ง
เดียวกนั อกี คดั ล อกจ ากเทปบันทกึ เสยี งท ่านพ ทุ ธทาสภ กิ ขุ ซง่ึ อ ยู่ในห นา้
๑๔๖มใีจความว่า
“หลักปฏบิ ัตเิกย่ี วก บั พลงั งานท างเพศ”
มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่ได้มีแผนการคือ เราทำงานท่ีเราชอบ
หามร ุง่ หามค ่ำแล้วพลงั งานท ี่เหลอื ทร่ี ุนแรงท างนน้ั ม นั กล็ ดม นั กห็ มดไป
แรงกระตุ้นอยากมีชื่อเสียง อยากให้มีประโยชน์แก่ผู้อ่ืนท่ีเขาคอยรอผล
งานของเราอันน ีม้ ันมมี ากก ว่าน่ีกเ็ ลยท ำเสียจ นหมดแ รงพอเพลียก็หลับ
ไปพอต่ืนขนึ้ ม าก ท็ ำอ ีกไมม่ โีอกาสใช้แรงไปทางเพศต รงก นั ข า้ มเราไม่ได้
เจตนาโดยตรงม ันเปน็ ไปเอง เหตุการณ์มนั บงั คบั ให้เป็นไปเองคือเราห า
อะไรทำใหม้ ันง่วนอยกู่ ับงาน พอใจในงาน เปน็ สุขในงานมนั ก ซ็ ับบล เี มท
(sublimate หมายถึง กล่ันกรอง ทำให้บริสุทธ์ิ - ผู้เขียน) ของมันเอง
เอาแรงทางเพศมาใช้ทางสติปัญญา เอาแรงงานกิเลสมาใช้เป็นเร่ืองของ
สตปิ ัญญาต อ้ งม งี านอันห น่ึงซ ึง่ พอใจห ลงใหลขนาดเป็นนางฟา้ เหมือน
กบั เรยี นพ ระไตรปิฎกตอ้ งหลงใหลขนาดนางฟา้ ค วามร้สู ึกท างเพศมันก ็
ตอ้ งเกิดแตว่ า่ ความร ู้สกึ ทางนี้ (ความค ดิ ทีจ่ ะเปน็ ป ระโยชน์แกส่ ว่ นรวม)
๑๓๘ 138
เหมอื นก บั ส งิ่ ต า้ นทานเชน่ ว า่ ค ลนื่ ก บั ฝ ง่ั ค ลน่ื ม นั ก แ็ รงเหมอื นก นั แ ตว่ า่
ฝัง่ มนั แขง็ แรงพ อจ ะร บั (ห ัวเราะ)
ถาม -วิกฤตแบบจ วนเจยี นจ ะไปไมไ่ ปตดั สินใจอย่างไร
น่ันมันเร่ืองคิดฝัน เวลามันช่วยได้หรือว่าไม่รู้ไม่ชี้ (หัวเราะ) มัน
ช่วยได้มันเหมือนก บั คลื่นก ระทบฝ่งั พ อพ น้ สมยั พ น้ เวลาม นั ก็ไม่รู้หาย
ไปไหนแ ต่ส รปุ แล้วม นั ต้องท ำงานพ อถงึ เวลาเขา้ ม ันต้องทำงานมันร ัก
งานอ ยู่ไปทำงานเสียค วามค ดิ ฝนั น่ันก็ค อ่ ยๆ ซ าไปๆม นั ไปสนกุ ในงาน
ข้าพเจ้าได้มาพิจารณาแล้ว เห็นว่าเรื่องนี้เป็นอุปมาธรรมท่ีมี
ประโยชน์มากห ากไม่บนั ทกึ ไวเ้ ป็นห ลักฐานก็เกรงว า่ ตนเองจะหลงลมื ใน
ภายห ลงั และจะไม่เกดิ ป ระโยชน์อะไรห ากไมน่ ้อมนำม าพจิ ารณาบ่อยๆ
เรื่องค ล่ืนก ระทบฝ ัง่ น้ีจึงกลายเปน็ เรื่องบงั เอญิ ที่ไมบ่ งั เอญิ ท ่ีขา้ พเจา้ ได้
“ป ระสบ” อ กี เร่ืองหน่งึ