The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

89 ๘๙

ขา้ พเจา้ ก​ ลบั ม​ าน​ งั่ ค​ ดิ ท​ บทวนอ​ ยห​ู่ ลายค​ รง้ั ​ค​ วามช​ ดั เจนใ​นค​ ำต​ อบ​
ของ​หลวงป​จู่ ึง​คอ่ ย​ๆ​ก​ ระจา่ งข​ ึ้นเ​ป็นล​ ำดบั ​​เสียงส​ วดม​ นต​ท์ ำวัตร​แวว่ ​มา​
แตไ่​กล​​
.​.​.​.​โย​ ​ธัมมัง​ ​เท​เส​สิ​ ​อาทิ​กัล​ยาณัง​ ​มัช​เฌ​กัลยาณ​ัง​ ​ปริ​โย​สา​นะ​
กัลยาณ​งั ​​สาต​ถัง​ส​ ะพ​ ​ยัญช​ ะน​ ัง​​เก​วะ​ละป​ ะร​ ิป​ณุ ณงั ​​ปะ​ร​ิสุทธัง​​พ​ รัหมะ​
จะ​ริ​ยงั ​ป​ ะก​ า​เส​ส​ิ ​
แปล​ไดค​้ วาม​ว่า​​
....พระ​ผู้​มี​พระ​ภาค​เจ้า​ ​พระองค์​ใด​ ​ทรง​แสดง​ธรรม​แล้ว​ ​มี​ความ​
ไพเราะง​ดงามใ​นเ​บอ้ื งต​ น้ ​ไ​พเราะง​ดงามใ​นท​ า่ มกลาง​ไ​พเราะง​ดงามใ​นท​ สี่ ดุ ​
ทรง​ประกาศ​พรหม​จรรย์​คือ​ ​แบบ​แห่ง​การ​ปฏิบัติ​อัน​ประเสริฐ​ ​บริสุทธิ์​​
บรบิ ูรณ​์โดยส​ ิน้ เ​ชงิ ​​พร้อมท​ ้ังอ​ รร​ ถะ​​พรอ้ ม​ท้ัง​พยญั ชนะ​
​ สาธ​ุ ถ​ กู ข​ องห​ ลวงปแ​ู่ ละจ​ รงิ เ​ปน็ ท​ ส่ี ดุ ​พ​ ระพทุ ธเจา้ ท​ รงว​ างแ​ บบแผน​
การป​ ฏบิ ตั ไ​ิ วอ​้ ยา่ งด​ ย​ี งิ่ ​เ​ปน็ ข​ น้ั เ​ปน็ ต​ อนแ​ ละส​ มบรู ณแ​์ บบท​ ส่ี ดุ ​ไ​มต​่ อ้ งการ​
ผูใ​้ ด​มา​แต่ง​มา​เติม​อีก​ก​ ุญแจ​คำต​ อบส​ ำหรบั เ​ร่ืองน​ ไ้ี​ด​เ้ ฉลยแ​ ลว้ ​
​ ตะ​มะ​หัง​ภ​ ะคะว​ ันต​ ัง​​อะภิ​ป​ูชะ​ยา​มิ​
​ ตะ​มะห​ ัง​ภ​ ะคะว​ นั ต​ ัง​​สริ ะ​สา​น​ ะ​มาม​ ิ​
​ ขา้ พเจ้า​ขอ​บูชา​อยา่ ง​ย่ิง​เฉพาะ​พระ​ผู้​มพี​ ระ​ภาค​เจ้าพ​ ระองค์​น้ัน​
​ ขา้ พเจา้ ข​ อน​อบ​น้อมพ​ ระผ​ ู้ม​ ​ีพระ​ภาคเ​จา้ ​พระองค์​นนั้ ​
ดว้ ย​เศียร​เกล้า​

๙๐ 90

๕​ ๕​

​บทเ​รยี น​บทแ​ รก​

​หาก​ย้อน​ระลึก​ถึง​หลวงปู่​ดู่​ ​พรหม​ปัญโญ​ ​ใน​ความ​ทรง​จำ​ของ​
ข้าพเจ้า​นั้น​ ​ข้าพเจ้า​ได้​มาก​ราบ​นมัสการ​หลวงปู่​เป็น​ครั้ง​แรก​เมื่อ​ ​พ​.​ศ​.​​
๒๕๒๖​ ด​ ้วย​การ​ชกั ชวน​ของ​เพอื่ นก​ ัลยาณมิตร​ จาก​น้ันไ​ม่น​ าน​ ​บท​เรยี น​
บท​แรก​ที่​หลวงปู่​ได้​เมตตา​สอน​ลูก​ศิษย์​ขี้​สงสัย​ก็ได้​เร่ิม​ขึ้น​ ​เหมือน​เป็น​
ปฐม​บทแ​ หง่ ​การ​เรม่ิ ต​ น้ ​ท​่ีทา่ นร​ บั ​ขา้ พเจา้ ​ไว​เ้ ปน็ ​ลกู ​ศิษย์​
​ มี​เหตุการณ์​ที่​ประทับ​ใจ​ข้าพเจ้า​ใน​ช่วง​แรก​จาก​การ​ได้​มาก​ราบ​
หลวงปู่​ ​อัน​เป็น​จุด​เริ่ม​ต้น​แห่ง​ศรัทธา​ ​ซ่ึง​ต่อ​มา​ภาย​หลัง​ได้​กลาย​เป็น​​
อจล​ศรัทธา​ ​ศรัทธา​ที่​แน่ว​แน่​ม่ันคง​ต่อ​องค์​หลวงปู่​ของ​ข้าพเจ้า​ ​คือ​​
ขา้ พเจา้ ไ​ดบ​้ ชู าพ​ ระพทุ ธร​ ปู แ​ กว้ ใ​สป​ างส​ มาธจ​ิ ากต​ ลาดพ​ ระท​ ว​่ี ดั ร​ าชน​ ดั ดา​
กรุงเทพฯ​ ​มา​หน่ึง​องค์​ ​และ​ได้​นำ​มา​ที่​วัด​สะแก​เพื่อขอ​ให้​หลวงปู่​ช่วย​แผ่​
เมตตา​อธิษฐานจ​ ิตเ​พ่อื น​ ำ​ไปส​ กั ​การะ​ ​บชู า​เปน็ พ​ ระพุทธ​รูปป​ ระจำ​บา้ น​
​ หลวงปด​ู่ ท​ู่ า่ นป​ ระนมม​ อื ไ​หวพ​้ ระแ​ ละย​ กพ​ ระพทุ ธร​ปู ข​ น้ึ ม​ า​จ​ บั อ​ งค​์
พระ​ของ​ขา้ พเจ้าแ​ ล้วห​ ลบั ตา​นง่ิ ส​ กั ​คร่​ูหนง่ึ จ​ ึง​ลมื ตา​ข้ึนม​ า​​
ท่าน​บอก​ให้​ข้าพเจ้า​นำ​สอง​มือ​มา​จับ​ท่ี​ฐาน​ของ​พระพุทธ​รูป​ซ่ึง​ปิด​
ทองคำ​เปลว​โดย​รอบ​ ​ท่าน​ให้​ข้าพเจ้า​หลับตา​ ​สัก​ครู่​ท่าน​ถาม​ข้าพเจ้า​ว่า​

91 ๙๑

เหน็ อ​ ะไรไ​หม​ข​ า้ พเจา้ เ​หน็ พ​ ระพทุ ธร​ ปู อ​ ยเ​ู่ บอ้ื งห​ นา้ ​แ​ ตข​่ า้ พเจา้ น​ ง่ิ ไ​มต​่ อบ​
อะไร​ท่าน ​เน่ืองจาก​ต้ัง​แต่​ข้าพเจ้า​เกิด​มา​ใน​ชีวิต​ ​ยัง​ไม่​เคย​พบ​เหตุการณ์​
เช่น​น้​ี จึง​ไมท​่ ราบ​ว่า“​ เ​หน็ ​”​ใ​นค​ วามห​ มาย​ของห​ ลวงปู่​นั้น​หมาย​ถึง​“​ ​เห็น​
อย่างไร”​ ​แ​ ละช​ ัดเจนข​ นาดไ​หน​ที่​เรยี กว​ า่ “​ เ​ห็น​”​​ของท​ า่ น​
​ สัก​ครู่​ท่าน​จึง​พูด​ย้ำ​กับ​ข้าพเจ้า​ว่า​ ​“​แก​เห็น​พระพุทธ​รูป​แล้ว​น่ี​
ดู​เสีย​ท่ี​น่ี​ ​จะ​ได้​หาย​สงสัย​ว่า​ข้า​ให้​อะไร​แก​ ​กลับ​บ้าน​แก​จะ​ได้​ไม่​สงสัย​​
เป็นพ​ ระยนื ​​เดนิ ​​นงั่ ​ห​ รือว​ า่ น​ อน​”​
​ “​ยนื ​ครบั ”​ ​​ข้าพเจา้ ต​ อบท​ า่ น​
​ “เ​ออ​!​ข​ ้าโ​ม​ทนา​สาธุ​ดว้ ย​​ท​ข่ี ้า​ใหเ้​ป็น​พระ​ประจำว​ นั ​เกิดข​ องแ​ ก​
เอา​ไปบ​ ูชาใ​ห้​ด”ี​ ​ท​ า่ นต​ อบ​
​ต้ัง​แต่​วัน​นั้น​เป็นต้น​มา​ ​ศิษย์​ขี้​สงสัย​อย่าง​ข้าพเจ้า​มี​หรือ​จะ​ไม่​อด​
ท​ี่จะ​สงสัยต​ ่อ​ ​ยาม​วา่ งท​ ั้งใ​น​เวลา​กลาง​วนั ห​ รอื ​กลางค​ นื ​ขา้ พเจา้ จ​ ะ​มา​น่ัง​
มอง​ดู​พระพุทธ​รูป​ ​เอา​สอง​มือ​ประคอง​จับ​ท่ี​ฐาน​ของ​องค์​พระ​.​.​.​หลับตา​.​.​
ทำ​สมาธิ​.​.​.​ด้วย​ความ​อยาก​ดู​.​.​.​อยาก​รู้​อยาก​เห็น​องค์​พระ​อย่าง​ท่ี​ท่าน​เคย​
ทำให​้ขา้ พเจา้ เ​ห็น​
​วัน​แลว้ ว​ นั ​เลา่ ​​คร้ัง​แลว้ ค​ รง้ั เ​ลา่ ​​.​.​.​อนจิ จา​.​..​​เวลา​ผา่ น​ไป​๑​ ​ส​ ัปดาห์​
..​​.​๑​​เดือน​.​.​.​๒​เ​ดอื น​.​..​๓​ ​เ​ดอื น​กแ็​ ล้ว​​ยงั ​ไมม่ ีว​ ่แี ววท​ ี่​ข้าพเจา้ ​จะ​ได้เ​หน็ ​องค​์
พระ​ท​่ที ่านท​ ำให​ข้ ้าพเจา้ ​ด​ูท่วี​ ัดส​ ะแกเ​ช่นว​ นั ​นัน้ อ​ ีก​เลย​
​ จวบ​จน​กระท่ัง​หลาย​เดือน​ต่อ​มา​ ​ข้าพเจ้า​ได้​มี​โอกาส​มาก​ราบ​
นมัสการ​หลวงปอ​ู่ ีก​​จึงไ​ด้เ​รียน​ถาม​ทา่ นว​ ่า ท​ ำไมเ​มือ่ ​ขา้ พเจ้า​กลับไ​ป​บา้ น​

๙๒ 92

แล้ว​ลอง​จับ​พระ​อีก​ ​จับ​จน​ทองคำ​เปลว​ท่ี​ปิด​ฐาน​ของ​องค์​พระ​ซีด​เป็น​
รอยม​ ือ​​ข้าพเจา้ ก​ ย​็ ัง​ไมเ​่ หน็ ​องค​์พระแ​ ม​้สักค​ ร้ังเ​ดียว​ห​ ลวงปู่ย​ ้ิมก​ ่อน​ตอบ​
ข้าพเจ้า​ด้วย​ความ​เมตตา​ว่า​ ​“​ทำ​จน​หาย​อยาก​แหละ​แก​ ​ข้า​ทำ​มา​ก่อน​
แล้ว”​ ​
​ ขา้ พเจา้ ก​ ลบั ม​ าน​ ง่ั ค​ ดิ ท​ บทวนอ​ ยห​ู่ ลายค​ รง้ั ​ค​ วามช​ ดั เจนใ​นค​ ำต​ อบ​
ของห​ ลวงปจ​ู่ งึ ค​ อ่ ยๆ​ ​ก​ ระจา่ งข​ นึ้ เ​ปน็ ล​ ำดบั .​.​.​ต​ อ้ งเ​รมิ่ ท​ ค​ี่ วามอ​ ยากเ​สยี ก​ อ่ น​
จงึ ค​ ดิ ท​ จ​่ี ะท​ ำ​แ​ ตถ​่ า้ ท​ ำด​ ว้ ยค​ วามอ​ ยาก​ก​ จ​็ ะไ​มส​่ ำเรจ็ ​เ​มอ่ื ค​ วามอ​ ยากห​ มด​
ไป​เมือ่ ไร​​เม่ือ​นั้นจ​ ึงจ​ ะพ​ บข​ องจ​ ริง​
​ กุญแจ​คำ​ตอบ​สำหรับ​.​.​.​บท​เรียน​บท​แรก​ของ​การ​เรียน​ธรรมะ​จาก​
หลวงปู่​ ​ทำให้​ข้าพเจ้า​เข้าใจ​ได้​ว่า​ ท่าน​ได้​ใช้​กุศโลบาย​ให้​ข้าพเจ้า​จดจำ​
รปู พ​ รรณ​สณั ฐานข​ องอ​ งค์พ​ ระพุทธร​ ูป​ให​้ได้​ห​ ลงั จ​ าก​ที​่ได​้ใชเ​้ วลา บ​ วกก​ ับ​
ความอ​ ยาก​อยู่เ​ป็น​เวลา​หลาย​เดอื น ​ขา้ พเจ้าจ​ งึ ​เรม่ิ ​ได​้ พทุ ธ​าน​สุ ต​ิ ธ​ มั ม​ า-​
นุ​สติ​ ​และ​ สังฆานุสติ​ ​จาก​การ​เพ่ง​มอง​องค์​พระ​จน​เกิด​เป็น​ภาพ​ติดตา​.​.​.​
ติดใจ​ ​ใน​ท่ีสุด​ ​เป็นการ​สอน​การ​ภาวนา​ใน​ภาค​สมถ​ธรรม​ ​พร้อม​กับ​แนะ​
วิธี​วาง​อารมณ์​พระกร​รม​ฐาน​ของ​หลวงปู่​สำหรับ​ข้าพเจ้า​อย่าง​เยี่ยม​ยอด​
ท​ีเดยี ว​

93 ๙๓

๕​ ๖​

ห​ น่ึง​ในส​ ​่ี ​(อ​ กี ค​ รั้ง​)​



หลายป​ ก​ี อ่ นห​ ลวงปไ​ู่ ดป​้ รารภธ​ รรมก​ บั ข​ า้ พเจา้ ใ​นเ​รอ่ื งข​ องเปา้ ห​ มาย​
ชีวิต​ที่​แต่ละ​คน​เกิด​มา​อย่าง​น้อย​ก็​ควร​ให้​เข้า​ถึง​ความ​เป็น​พระ​โสดา​บัน​​
ทา่ น​ได้​ปรารภ​ไว​ว้ า่ ​
​ “​ข้า​น่ัง​ดูด​ยา​ ​มอง​ดู​ซอง​ยา​แล้ว​ต้ัง​ปัญหา​ถาม​ตัว​เอง​ว่า​ ​เรา​นี่​
ปฏิบัติ​ได้​หนึ่ง​ใน​สี่​ของ​พระพุทธ​ศาสนา​แล้ว​หรือ​ยัง​?​ ​ถ้า​ซอง​ยา​น้ี​แบ่ง​
ออก​เป็น​ส่ี​ส่วน​ ​เรา​น่ี​ยัง​ไม่​ได้​หนึ่ง​ใน​สี่​ ​มัน​จวน​เจียน​จะ​ได้​แล้ว​ก็​คลาย​​
เหมือน​เรา​มัด​เชือก​จน​เกือบ​จะ​แน่น​ได้ที่​แล้ว​เรา​ปล่อย​ ​มัน​ก็​คลาย​ออก​​
เรา​นยี่​ งั ​ไมเ่​ช่ือ​จริง​ถ​ ้า​เช่ือจ​ ริงต​ อ้ งไ​ด​ห้ นึ่งใ​นส​ แี​่ ลว้ ​”​
​ อีก​ครั้ง​หนึ่ง​หลวงปู่​ได้​ปรารภ​กับ​ข้าพเจ้า​อีก​ใน​เร่ือง​เดียวกัน​ ​แต่​
คราว​น้​ีท่าน​บอกว​ า่ ​​
“​ข้า​นั่ง​มอง​ดู​กระจก​หน้าต่าง​ท่ี​หอ​สวด​มนต์​ ​กระจก​มัน​มี​ส่ี​มุม​​
เปรยี บก​ าร​ปฏบิ ัต​ขิ องเ​ราน​ ​่ี ถ​ า้ ​มนั ไ​ดส​้ ักม​ มุ ​หนึง่ ก​ ็​เห็นจะด​ ​”ี ​​
หลวงปู่​ได้​เฉลย​ปริศนา​ธรรม​เร่ือง​นี้​ให้​ข้าพเจ้า​ฟัง​ว่า​ ​ท่ี​ว่า​หนึ่ง​ใน​สี่​
นั้น​ห​ มายถ​ ึง​การ​ปฏิบัตธ​ิ รรม​เพ่ือ​ให​้บรรลุม​ รรคผล​ในพ​ ระพทุ ธศ​ าสนา​ซ​ ง่ึ ​
แบ่ง​เป็น​

๙๔ 94

​ โสดาป​ ัตต​ิมรรค​ ​ โสดาป​ ัตต​ิผล​
​ สกิ​ทาค​ าม​ ​มิ รรค​ ​สกทิ​ า​คาม​ ​ผิ ล​
​ อ​นาคา​มมิ​ รรค​​ อน​ าคาม​ ​ิผล​
อ​ ร​หตั ​ตมรรค​​ อรห​ ตั ต​ ​ผล​
​ อย่างน​ ้อยเ​รา​เกดิ ​มา​ชาติ​น​ี้ได้​พบพ​ ุทธศ​ าสนา​เปรียบเ​หมือน​สมบัต​ิ
ลำ้ คา่ แ​ ลว้ ​ก​ ค​็ วรป​ ฏบิ ตั ต​ิ ามค​ ำส​ อนท​ า่ นใ​หเ​้ ขา้ ถ​ งึ ค​ วามพ​ น้ ท​ กุ ข​์ อยา่ งน​ อ้ ย​
ที่สุดค​ ือ​โสดาป​ ัตต​ิผล​​เพราะ​คน​ทเ่ี​ข้าถ​ งึ ค​ วามเ​ป็น​พระ​โสดาบ​ นั ​แลว้ ​​หาก​
ยัง​ไม่​บรรลุ​พระ​นิพพาน​ใน​ชาติ​นี้​ชาติ​ต่อ​ไป​ก็​จะ​ไม่​เกิด​ใน​ภพ​ภูมิ​ท่ี​ต่ำ​กว่า​
มนุษย​์อนั ​ได้แก่​ส​ ตั วน​์ รก​เ​ปรต​​อสุรก​ าย​​สัตว​เ์ ดรจั ฉาน​อกี ​
​ ข้าพเจ้า​เชื่อ​ว่าการ​ที่​หลวงปู่​เปรียบ​ธรรม​ใน​เรื่อง​น้ี​กับ​ซอง​บุหร่ี​บ้าง​​
หรือ​แผ่น​กระจก​บ้าง​เพราะ​ต้องการ​ให้​เรา​หม่ัน​นึกคิด​พิจารณา​ใน​เรื่อง​น้ี​
บอ่ ยๆ​ ​ว​ ตั ถร​ุ ปู ท​ รงส​ เี่ หลย่ี มเ​ปน็ ร​ปู ท​ รงว​ ตั ถท​ุ เ​ี่ ราส​ ามารถพ​ บไ​ดบ​้ อ่ ยท​ ส่ี ดุ ใ​น​
ชวี ติ ป​ ระจำว​ นั ​ม​ อ​ี ยร​ู่ อบต​ วั เ​ราต​ ลอดเ​วลาต​ งั้ แ​ ตว​่ นั เ​กดิ ก​ ระทงั่ ว​ นั ต​ าย​ม​ อ​ี ย​ู่
ทั่วไป​ได้แก่​​เตียง​นอน​น​ าฬิกา​ปลกุ ​​หนงั สือ​ร​ ปู ภาพ​ร​ ถยนต​์ ​โต๊ะท​ ำงาน​
โทรทศั น์​​หนา้ ต่าง​ประตู​​และ​อนื่ ๆ​ ​อ​ ีก​มากมาย​​จน​กระท่งั ส​ ่งิ ​สุดท้าย​ท​อี่ ยู​่
ใกล้​ตัว​เรา​คือ​โลงศ​ พ​
​ หากผ​ ใ​ู้ ดเ​หน็ ว​ า่ ธ​ รรมเ​รอื่ งห​ นง่ึ ใ​นส​ ข​่ี องห​ ลวงปเ​ู่ ปน็ ธ​ รรมส​ ำคญั แ​ ลว้ ​
ขา้ พเจา้ เ​ชอ่ื เ​หลอื เ​กนิ ว​ า่ ​ผน​ู้ น้ั จ​ ะเ​ปน็ ผ​ ไ​ู้ มม่ ก​ี เิ ลสใ​นไ​มช​่ า้ น​ ​ี้ จ​ งึ ข​ อฝ​ ากธ​ รรมะ​
จาก​หลวงป​ู่ให้เ​ราน​ ำไ​ป​พจิ ารณาด​ ้วย​

95 ๙๕

​๕​ ๗​

ว​ ิธคี​ ลายก​ ลมุ้ ​

ค​ วามก​ ลมุ้ เ​ปน็ บ​ อ่ เ​กดิ ข​ องค​ วามเครยี ด​ค​ วามเครยี ดก​ เ​็ ปน็ ท​ ม่ี าข​ อง​
ความ​กลุ้ม​เช่น​กัน​ หลาย​คน​คง​เห็น​ด้วย​กับ​ข้าพเจ้า​ว่า​ ​เมือง​ไทย​นี้​ดี​กว่า​
เมอื งฝ​ รงั่ ​เ​วลาท​ เ​ี่ ราม​ เ​ี รอ่ื งก​ ลมุ้ อ​ กก​ ลมุ้ ใ​จ​ใ​นต​ า่ งป​ ระเทศ​ส​ งิ่ ท​ น​่ี ยิ มก​ นั ม​ าก​
คือ​ไ​ปห​ า​หมอร​ กั ษา​โรคจิต​​กลมุ้ ​ใจท​ ีก​ ็​ไป​เอา​กลุ้ม​ออกโ​ดยน​ ัง่ ร​ ะบายค​ วาม​
ทกุ ข์​ร​ ะบาย​ปัญหาใ​หจ้​ ติ แพทย์​ฟัง​เ​สร็จ​แล้วจ​ า่ ยเ​งนิ ​ใหห​้ มอเ​ป็น​คา่ ​น่งั ฟ​ งั ​
เฮ้อ​!​ ​คน​เรา​น​ก่ี ​แ็ ปลก​ด​นี ะ ​​เอา​กลมุ้ ​ออก​อยา่ ง​เดยี ว​ไม​พ่ อ​​เงนิ ​ใน​กระเปา๋
​ออก​ไปด​ ว้ ย​
​เท่า​ท่ี​สังเกต​ดู​ ​ฝร่ัง​ไป​หา​จิตแพทย์​กัน​เป็น​เร่ือง​ปกติ​ ​แต่​ระยะ​หลัง​
ใน​เมอื ง​ไทยเ​รา​​คนไข​้โรคจิต​นับ​วนั จ​ ะม​ ม​ี ากข​ ้ึนท​ กุ ท​ี คนไ​ทย​ไม่น​ ิยม​ไป​หา​
จติ แพทยเ​์ หมอื นฝ​ รง่ั ​แ​ ตจ​่ ะไ​ปห​ าจ​ ติ แพทยก​์ ต​็ อ่ เ​มอ่ื ท​ นไ​มไ​่ หวแ​ ลว้ จ​ รงิ ๆ​ ​ค​ อื ​
ใกลจ​้ ะบ​ า้ แ​ ลว้ น​ น่ั เอง​ค​ นไ​ทยโ​ชคด​ ก​ี วา่ ฝ​ รงั่ ต​ รงท​ ม​ี่ ว​ี ดั แ​ ทนค​ ลน​ี คิ จ​ ติ แพทย​์ ม​ ​ี
พระน​ ล​ี่ ะ่ ด​ ก​ี วา่ ด​ ว้ ยเ​พราะไ​มต​่ อ้ งเ​สยี ต​ งั ค​์ แ​ ถมไ​ปห​ าห​ ลวงปไ​ู่ ดท​้ ำบญุ ​ไ​ดฟ​้ งั ​
ธรรมะจ​ ากท​ า่ น​ก​ ลางว​ นั ย​ งั ไ​ดท​้ านอ​ าห​ าร​บฟุ เฟต่ ห​์ ลงั จ​ ากห​ ลวงปฉ​ู่ นั เ​สรจ็ ​
​บาง​คร้ัง​สมยั ​ท​ี่ขา้ พเจา้ ย​ ัง​เรยี นห​ นังสอื อ​ ย​ู่ ห​ ากเ​ดนิ ​ทางม​ า​ถึง​วัด​ตอนเ​ยน็ ​
ท่าน​จะ​มี​ขนม​ฝอยทอง​ ​ทอง​หยิบ​ ​ทอง​หยอด​ ​ผล​ไม้​ประเภท​ส้ม​ ​กล้วย​​

๙๖ 96

บางทีโ​ชคด​ ​ีก​ม็ ี​แอปเ​ป้ลิ ​ให​้ไดท้​ าน​อิม่ ท​ ้องด​ ว้ ย​
​ มเ​ี รือ่ งเ​ล่าว​ า่ ​ ​มโ​ี ยม​คน​หน่ึงเ​กดิ ​กลมุ้ ​อกก​ ล้มุ ใ​จใ​นช​ วี ติ ท​ ​่ีแสน​สบั สน​​
วุ่น​วาย​ของ​ตน​โดย​ไม่รู้​ว่า​จะ​แก้ไข​อย่างไร​ ​จึง​ได้​ไป​กราบ​ขอ​ให้​หลวงพ่อ​
พ​ ทุ ธ​ทาสช​ ว่ ยค​ ลาย​ทุกขใ​์ ห​้
​ หลวงพ่อถาม​วา่ ​“​ ​มนั ก​ ล้มุ ​มากห​ รือ​โยม”​ ​
​“ม​ าก​ครับท​ า่ น​ส​ มองแ​ ทบ​จะร​ ะเบดิ เ​ลย​​แน่นอ​ ยู่ใ​นอ​ กไ​ป​หมด​”​
​ “​เอา​งี้​ ​โยม​ออก​ไป​ยืน​ที่​กลาง​แจ้ง​ ​สูด​ลม​หายใจ​เข้า​ปอด​แรงๆ​​
สาม​ครง้ั แ​ ล้วต​ ะโกนใ​ห​้ดัง​ทีส่ ุด​ว่า​ก​ ​ูกลุ้มจ​ รงิ ​โว้ย ​กกู​ ล้มุ ​จรงิ โ​ว้ย​​กู​กลุม้ ​
จรงิ โ​วย้ ​”​
​โยม​ผู้​นั้น​ออก​ไป​ทำ​ตาม​ที่​หลวงพ่อ​แนะนำ​แล้วก​ลับ​เข้า​มา​หา​ท่าน​
ด้วย​ใบหน้า​ท​่ีผอ่ น​คลาย​
​ “​เปน็ ​ไง​”​​หลวงพ่อถ​ าม​
​ “ร​ ้สู ึก​สบาย​ขึ้น​แลว้ ค​ รบั ​”​​เขาต​ อบ​
​“​เออ​เ​อา​กลมุ้ ​ออก​แลว้ น​ ​ี่”​ท​ า่ น​กล่าว​ยิ้มๆ​ ​​แล้ว​ไม​่พดู ​อะไร​อกี ​
​ข้าพเจ้า​เคย​เห็น​คน​ท่ี​ไป​หา​หลวงปู่​ดู่​หลาย​ราย​มี​ความ​กลุ้ม​ ​มี​
ความเครียด​ ​เสร็จ​แล้ว​เม่ือ​มา​ถึง​วัด​ ​น่ัง​อยู่​ต่อ​หน้า​ท่าน​ หลาย​คน​เล่า​ให้​
ขา้ พเจา้ ​ฟัง​วา่ ​ไม่ร​ู้ว่า​ไอ​้เจา้ ต​ ัว​กลุ้ม​ตัว​เครยี ดม​ ัน​พา​กัน​หาย​ไปไ​หน​หมด​​ม​ี
แตค่​ วามเ​บา​สบายก​ าย​​สบายใจ​อ​ ยากอ​ ยต​ู่ รง​หน้าห​ ลวงปู่น​ านๆ​ ​​บาง​คน​
ขอ​เพียง​ได้​นัง่ ​เฉย​ๆ​ก​ ม​็ ี​
​ ทุก​วัน​นี้​ หลวงปู่​จาก​พวก​เรา​ไป​แล้ว​ ​แต่​เป็นการ​จาก​เพียง​รูป​กาย​​

97 ๙๗

ธรรม​ท่ี​ท่าน​เคย​สอน​ไว้​มิได้​สูญหาย​ไป​ด้วย​เลย​ ​หาก​เรา​มี​ความ​กลุ้ม​อก​
กลมุ้ ใ​จไ​มว​่ า่ เ​รอื่ งใ​ด​โ​ดยเ​ฉพาะเ​รอื่ งป​ ญั หาเ​ศรษฐกจิ ย​ คุ ป​ จั จบุ นั ​ป​ ญั หาเ​รอ่ื ง​
สขุ ภาพ​ป​ ัญหา​เรื่อง​ครอบครัว ​ปัญหาเ​รือ่ ง​งาน​​ปญั หา​อะไรก​ แ็​ ลว้ ​แต่​
​ ข้าพเจ้าข​ อแ​ นะนำ​วิธ​ีคลาย​เครียดท​ ด​่ี ี​ทีส่ ุดว​ ธิ ​ีหนง่ึ ​คอื ​ให้หา​มุม​สงบ​
ในบ​ ้านข​ อง​ท่าน ​หรือ​จะเ​ปน็ ห​ ้อง​พระ​ก็ย​ ง่ิ ด​ ​ี ข​ อใ​ห​ท้ ่าน​นั่งท​ ่ห​ี นา้ ​พระพุทธ​
รปู ​หรอื ​รปู ห​ ลวงปดู่​ ่​ู จ​ ะ​ลมื ตาห​ ลบั ตา​กต็ าม​แต​อ่ ธั ยาศัย​ครับ​​สดู ​ลม​หายใ​จ​
​ลึก​ๆ​ ​พอ​สบาย​ดีแล้ว​ก็​พูด​ระบาย​ความ​ใน​ใจ​ให้​ท่าน​ฟัง​​ความ​กลุ้ม​​ความ
เครยี ดจ​ ะ​ลด​ลง​ได้​
​เหมือน​คน​ท่ี​ทาน​อาหาร​มาก​เกิน​ไป​จน​มี​แก๊ส​อยู่​เต็ม​ท้อง​ ​อึดอัด​
ไป​หมด​ ​หาก​ได้​ด่ืม​น้ำ​ขิง​ร้อน​หรือ​ทาน​ยา​ขับ​ลมเสีย​บ้าง​คงจะ​ดี​ ​เมื่อ​กาย​
สบายใจ​สบาย​ ​สมอง​ก็​จะ​ปลอด​โปร่ง​แจ่มใส​สบาย​กาย​สบายใจ​ ​และ​
สามารถ​มองเ​ห็นห​ นทางแ​ กไ้ ขป​ ญั หาไ​ด​้ด​ขี นึ้ ​
​ เราเ​คยร​ ู้สกึ อ​ ย่าง​นี้ก​ ัน​บา้ ง​ไหม​​ถ้า​ถาม​ข้าพเจา้ ก​ ต​็ อ้ ง​ขอ​ตอบอ​ ย่าง​
ม่ันใจ​ว่า​
​ “​เคย​ครับ​”​
​ ข​ า้ พเจา้ เ​ชอ่ื ว​ า่ ห​ ลวงปท​ู่ า่ นเ​มตตาค​ อยเ​ปน็ ก​ ำลงั ใ​จแ​ ละใ​หค​้ วามช​ ว่ ย​
เหลอื ​เราเ​สมอ​​ขอใ​หเ้​รา​ต้ังใจแ​ ก​ป้ ัญหา​ด้วยส​ จุ ริตว​ ธิ ี​
​ ไมม่ ป​ี ัญหาใ​ดใ​น​โลก ​ท่​มี น​ุษยก์ ่อ​ขน้ึ ​แลว้ ม​ นุษยจ​์ ะ​ไมส่​ ามารถ​แกไ้ ข​
ได​้ ​ขา้ พเจ้าเ​ชอ่ื อ​ ย่างน​ ้​ีจรงิ ๆ​ ​

๙๘ 98 ​๕๘​

​ อ​ ะไร​ได​้ อ​ ะไร​เสยี ​

คง​ไม่ม​ีใครป​ ฏเิ สธไ​ดว้​ า่ ​ใน​ชวี ติ ​คนเ​ราน​ ้นั ​ต​ ้อง​ประสบค​ วามส​ ญู เ​สีย​
ทกุ ​คน​​บางค​ น​สูญ​เสยี คน​รัก​พ​ ่อ​​แม​่ ​ลูก​​เมีย​ญ​ าติ​เ​พอ่ื น​​อัน​เปน็ ​เหต​แุ ห่ง​
ความก​ ระทบ​กระเทือนท​ าง​จิตใจท​ ส​ี่ ำคญั ​ยิ่ง​​การ​สญู เ​สยี เ​งิน​ทอง​​ขา้ ว​ของ​
ทรพั ยส​์ มบตั ​ิ ก​ เ​็ ปน็ ตน้ เ​หตห​ุ นง่ึ ข​ องค​ วามท​ กุ ขโ​์ ทมนสั อ​ นั ใ​หญห​่ ลวงข​ องอ​ กี ​
ห​ลาย​ๆ​​คน​​ของ​ท่ี​เคยม​ ีเ​คยไ​ด​้ ก​ ลบั เ​ป็น​ของ​ทไี่​มม่ ไี​ม​่ได​้ ค​ น​ที​่เคย​รกั ​ต้อง​
พลัด​พรากจ​ าก​ไกลก​ ัน​​การ​คา้ ​ทเ​่ี คย​ม​ีกำไร​กลับก​ ลายเ​ป็นข​ าดทนุ เ​สียห​ าย​
จน​ทำใจ​ให้​ยอมรบั ​ได​้ยาก​
​ หาก​ยัง​จำ​กัน​ได้​ ​พระ​ราช​ดำรัส​ของ​พระบาท​สมเด็จ​พระเจ้า​อยู่​หัว​
ท่ี​พระราชทาน​เน่ือง​ใน​โอกาสว​ ันเ​ฉลมิ ​พระชนมพรรษา​ เ​มื่อ​ป​ี ๒​ ๕๓๔​ ม​ ​ี
ความต​ อน​หนึ่งว​ า่ ​
“​ ก​ าร​ขาดทนุ ข​ อง​เรา​​เปน็ การ​ไดก​้ ำไรข​ องเ​รา​(​O​ ur​​loss​i​s​​our​​
gain.​​)​”​​ซึง่ ​ท่านไ​ด​้อธิบายว​ า่ ​“​ ​ถา้ เ​ราท​ ำ​อะไร​ท​ี่เป็นการ​กระทำ​แ​ ล้ว​เรา​ก​็
เสีย​​แตใ่​นท​ ี่สดุ ​ก​ ็ไ​อ​้ทเี่​รา​เสีย​นั้นม​ ันเ​ปน็ การไ​ด้เ​พราะว​ ่า​ทาง​ออ้ มไ​ด​”้ ​
เ​ป็นพ​ ระร​ าช​ดำรัส​ท่ีม​ ค​ี วาม​ไพเราะ​ล​ ึก​ซึ้ง​ก​ ิน​ใจย​ ิ่งน​ ัก​
​ สำหรบั น​ กั ป​ ฏบิ ตั แ​ิ ลว้ ​ถ​ า้ เ​ราพ​ รอ้ มท​ จ​่ี ะเ​รยี นร​​ู้ ท​ กุ ส​ งิ่ ท​ กุ อ​ ยา่ งท​ ผ​ี่ า่ น​

99 ๙๙

เขา้ ม​ าใ​นช​ วี ติ ก​ จ​็ ะเ​ปน็ ค​ รข​ู องเ​รา ไ​มว​่ า่ จ​ ะเ​ปน็ การก​ ระทำท​ ถ​่ี กู ต​ อ้ ง​ห​ รอื ก​ าร​
กระทำท​ ี่​ผิดพ​ ลาด​ส​ ่งิ ท​ ​่ีได​ม้ า​​สิง่ ​ท่​ีเสีย​ไป ​ความ​ทรงจ​ ำอ​ นั ​สวยงามห​ รอื ​ไม​่
งาม​​สง่ิ ท​ ี่​ยัง​มชี​ ีวติ ​อยูห่​ รอื ส​ ิน้ ​ไป​แลว้ ​ก็ตาม​
​ เสยี งข​ อง​หลวงปแ​ู่ วว่ ม​ าใ​น​ความค​ ดิ ค​ ำนงึ ​ของข​ า้ พเจา้ ​ทนั ท​ี ​“ถ​ กู ​เปน็
ค​ ร​ู ผ​ ดิ ก​ เ​็ ปน็ ค​ ร”​ู ​แ​ ตผ​่ ดิ เ​ปน็ ค​ รท​ู ด​่ี ก​ี วา่ เ​พราะท​ ำใหเ​้ ราไ​มป​่ ระมาท​ใหผ​้ ดิ ว​ นั ​
นี้​ ​เป็น​ถกู ข​ อง​วัน​หนา้ ​​ให้​สิ่งท​ ​เี่ สียไ​ป​​คอื ​สิง่ ท​ ไ​่ี ด​้มา​​อย่างท​ ี่​ในหลวง​ทา่ น*.​.​​.​
​ได​ม้ อบ​ไว้​ใหพ​้ วก​เรา​


* จากพระราชดำรสั ท่ีพระราชทานแกค่ ณะบคุ คลตา่ งๆ ที่เข้าเฝา้ ฯ ถวายพระพรชยั มงคล ในโอกาส
วนั เฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสดิ าลยั ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔

๑๐๐ 100 ๕๙​

​ ​ความ​สำเรจ็ ​

“​.​.​.​เมือ่ ​ประสบค​ วาม​สำเร็จ​ส​ ิ่ง​แรก​ก​ค็ อื ​​ดใี จจ​ นล​ ืมตัวแ​ ละ​โงล่​ งใ​น​
บาง​อย่าง​​สำหรบั จ​ ะป​ ระมาท​ห​ รอื ​สะเพรา่ ใ​นอ​ นาคต​ค​ วาม​สำเร็จ​เป็นค​ ร​ู
ที่​ดี​น้อย​กว่า​ความ​ไม่​สำเร็จ​ ​แต่​มี​เสน่ห์​จน​คน​ทั่วไป​เกลียด​ความ​ไม่​สำเร็จ​
เมอื่ ไ​มป​่ ระสบค​ วามส​ ำเรจ็ ​เ​ราจ​ ะไ​ดอ​้ ะไรท​ ม​่ี ค​ี า่ ม​ ากก​ วา่ ​เ​มอ่ื ป​ ระสบค​ วาม​
สำเรจ็ ไ​ปเ​สยี อ​ กี ​แ​ ตค​่ นท​ ว่ั ไปม​ องใ​นแ​ งล​่ บ​เ​หน็ เ​ปน็ ค​ วามเ​สยี ห​ าย​แ​ ละเ​กดิ ​
ทกุ ข​์ใหมเ​่ พ่มิ ข​ ้ึน​อีก​​เป็น​โชค​รา้ ยไ​ปเ​สียโ​น่น​
​ ถา้ ต​ อ้ นรบั ค​ วามไ​มส​่ ำเรจ็ อ​ ยา่ งถ​ กู ต​ อ้ ง​ม​ นั จ​ ะม​ อบค​ วามร​ท​ู้ จ​ี่ ะท​ ำให​้
ประสบ​ความส​ ำเร็จถ​ งึ ท่ส​ี ุด​ในก​ าล​ขา้ ง​หน้า​จ​ น​กลายเ​ป็นผ​ ู้​ทำ​อะไรส​ ำเร็จ​
ไป​หมด​.​.​.​”​
​ สว่ นห​ นง่ึ ข​ องข​ อ้ เ​ขยี นป​ ชู นยี บ​ คุ คล​“​ ท​ า่ นพ​ ทุ ธท​ าส”​ ​ซ​ ง่ึ แ​ สดงไ​วใ​้ น​

หอ้ งน​ ทิ รรศการเ​กยี่ วก​ บั ​“​ ช​ วี ติ ผ​ ลง​านท​ า่ นพ​ ทุ ธท​ าส”​ ​ณ​ ​อ​ าคารค​ ณะธ​ รรม​

ทาน​ท​ ต​่ี ง้ั อ​ ยห​ู่ นา้ ป​ ระตด​ู า้ นท​ ศิ ใ​ตข​้ องวดั ธ​ ารน​ ำ้ ไ​หล​ห​ รอื เ​ปน็ ท​ ร​่ี จู้ กั ม​ กั ค​ นุ้ ​

ใน​นาม​​“ส​ วนโ​มก​ข​พลา​ราม”​ ​แ​ ห่ง​ ต​ ำบลพ​ ุม​เรยี ง​อ​ ำเภอ​ไชยา​​จงั หวัด​

สรุ าษฎร์ธานี​

101 ๑๐๑

​ ม​ พ​ี ระส​ ตู รท​ พ​ี่ ระพทุ ธเจา้ แ​ สดงแ​ กอ​่ นาถบ​ ณิ ฑกิ​ เ​ศรษฐใ​ี นเ​รอ่ื งค​ วาม​
ปรารถนา​ของม​ นษุ ย​ท์ ่​ีจะท​ ำให​้สำเร็จ​สมหวงั ​ได​้ยาก​๔​ ​ป​ ระการ​ค​ อื ​
​ ขอ​ใหส้​ มบตั ​ิจงเ​กดิ ​ม​ีแก​่เราใ​น​ทางท​ ​ชี่ อบ​
​ ขอ​ยศ​จง​ม​แี กเ่​รา​และญ​ าติ​พ่นี​ อ้ ง​
​ ขอ​ให​้เรา​เป็นผ​ ู้ม​ อี าย​ยุ ืนนาน​
​ เมื่อต​ ายจ​ าก​โลก​นไ​ี้ ป​ข​ อใ​ห้​เรา​ได้ไ​ป​เกิดใ​น​สวรรค​์
​ ความป​ รารถนาท​ งั้ ​๔​ ​ข​ อ้ ท​ ก​ี่ ลา่ วม​ าน​ ​ี้ จ​ ะส​ มหวงั ไ​ดม​้ ใิ ชด​่ ว้ ยเ​หตเ​ุ พยี ง​
ปรารถนา​อ้อนวอน​มิได้​ทำ​อะไร​เลย​หรือ​ทำ​อะไร​ท่ี​ไม่​ตรง​เหตุ​ ​ผล​ย่อม​ไม่​
บังเกิด​​ความส​ ำเรจ็ ​ใน​ชีวิต​ย่อม​เกดิ ​จาก​การว​ างแผนท​ ​่ดี ี​​มิใช​ท่ ำเหตุ​เพยี ง​
เลก็ ​น้อย​แต​ห่ วงั ​ผลไ​วส​้ วย​หรู​
​ ถ้า​เข้าใจ​ว่า​ ​ไม่มี​อะไร​ที่​มี​ค่า​แล้ว​ได้​มา​ง่าย​ๆ​ ​ก็​จะ​ไม่​หมด​กำลัง​ใจ​​
อยาก​ได้​ผลอ​ย่าง​ไร​ ​ควร​สร้าง​เหตุ​ให้​เกิด​ผลอ​ย่าง​น้ัน​ด้วย​ความ​อุตสาห​ะ​
พยายามอ​ ยา่ งเ​ต็มท​ ่​ี
​ในโ​ลกน​ ​้ี.​.​.​ไมม่ อ​ี ะไร​ฟร​ีครบั ​!​​

๑๐๒ 102

​๖๐​

อ​ ารมณข์​ นั ​ของ​หลวงปู่​

​ญาติโยม​คณะ​หน่งึ ​ ​เป็นก​ล่มุ ​ท่​ีชอบ​แสวงหา​พระ​หา​เจ้า​ ​หลวง​ปู่​
หลวงพอ่ องค​ไ์ หนท​ ว​่ี า่ ​ดงั ว​า่ ​ด​ี ม​ ค​ี น​ขน้ึ ​กนั ม​ าก​​โยมค​ ณะน​ ​จ้ี ะพ​ า​กนั ไ​ปก​ ราบ​
ไหว​้ ไ​ป​ทำบญุ ​กนั ​​และ​ก​เ็ ปน็ ​ธรรมดา​​ทห​่ี ลายค​ น​ทน​่ี บั ถอื ห​ ลวงป​ดู่ ​ู่ ใ​น​ฐานะท​ ​่ี
เปน็ ​เกจ​อิ าจารย​ด์ งั ​ค​ ดิ ว​า่ ท​ า่ นค​ ง​ให​ห้ วย​เบอรเ​์ หมอื น​อยา่ ง​อาจารยบ​์ างอ​ งค์​
เ​มอื่ ส​ บโ​อกาส​โ​ยมค​ นห​ นง่ึ ก​ เ​็ ขา้ ม​ ากร​าบเ​รยี นข​ อห​ วยจ​ ากห​ ลวงป​ู่ ใ​น​
วนั ​นัน้ ​เผอิญ​ขา้ พเจ้าไ​ดม​้ ี​โอกาส​มา​กราบน​ มสั การห​ ลวงปู่อ​ ยดู่​ ้วย​​หลวงป​ู่
มอง​หน้า​โยม​คน​น้ัน​ ​พร้อม​กับ​ช้ี​มือ​ไป​ท่ี​ปฏิทิน​ราย​เดือน​ที่​มี​รูป​ในหลวง​
แบบท​ ธ​ี่ นาคารท​ ง้ั ห​ ลายช​ อบแ​ จก​ซ​ ง่ึ ต​ ดิ อ​ ยข​ู่ า้ งฝ​ าท​ ด​ี่ า้ นห​ ลงั ท​ า่ น​แ​ ลว้ ท​ า่ น​
ก​ว็ า่ ​“น​ น่ั ​แหละ​​แก​ไป​สลบั ​เลขเ​อา​เอง​​ม​ีเลข​รางวัลค​ รบ​ทกุ ต​ ัว​ข​ ้าใ​ห​้ต้ัง​
แตร​่ างวัลท​ ่​ีหนง่ึ ​ย​ นั ​เลข​ทา้ ย​สอง​ตวั เ​ลย​​ถ้า​ไมถ​่ กู ​​ให้​มาด​ า่ ​ขา้ ไ​ด”​้ ​
​ข้าพเจ้า​ขำ​จน​แทบ​กล้ิง​ ​แต่​โยม​ที่​ขอ​หวย​จาก​หลวงปู่​คง​ขำ​ไม่​ออก​
และค​ ง​เข็ด​ไ​มก​่ ล้าข​ อห​ วยจ​ าก​หลวงปู​่ไป​อกี ​นาน​
​หลัง​จาก​ท่ี​โยม​คน​นั้น​กลับ​ไป​แล้ว​ ​หลวงปู่​ได้​ให้​โอวาท​กับ​ศิษย์​ท่ี​
เหลือ​และข​ า้ พเจ้า​วา่ ​
​ “ค​ น​เรา​นี​่ก​็แปลก​ใ​หธ้​ รรมะข​ องดไ​ี ม่​เอา​​จะเ​อาแตห​่ วยเ​บอร​์..​”

103 ๑๐๓

๖​ ๑​

ข​ องห​ าย​ าก​

​เมื่อ​วนั ​ที่​๘​ ​พ​ ฤศจกิ ายน​พ​ ​.​ศ.​​๒​ ๕๓๐​ม​ ีเ​รอื่ ง​ประทบั ใ​จ​ท​ขี่ า้ พเจา้ ​
ต้อง​บันทึก​ไว้​เรื่อง​หนึ่ง​ ​คือ​วัน​ที่​ข้าพเจ้า​ได้​รับ​ตะกรุด​ของ​หลวงปู่​ ​หรือ​ท่ี​
เรยี กก​ ันใ​นห​ มลู่​ กู ​ศิษย์​ของท​ ่านว​ ่า​“​ ต​ ะกรดุ ​มหาจักร​พรร​ ดิ์​”​​เร่อื งม​ ี​อยู่​ว่า​
​ วนั น​ นั้ ม​ ค​ี นม​ ากร​าบน​ มสั การห​ ลวงปจ​ู่ ำนวนม​ าก​ห​ ลงั จ​ ากท​ ข​่ี า้ พเจา้ ​
ไดก​้ ราบห​ ลวงปแ​ู่ ละข​ อโ​อกาสห​ ลกี ม​ าน​ งั่ ภ​ าวนาท​ ห​ี่ อส​ วดม​ นต​์ ส​ กั ค​ รใ​ู่ หญ​่
กอ่ นท​ จ​่ี ะเ​ลกิ ภ​ าวนา​จๆู่ ​ก​ ม​็ น​ี มิ ติ เ​ปน็ อ​ งคห​์ ลวงปด​ู่ ล​ู่ อยเ​ดน่ ​พ​ รอ้ มร​ ศั มก​ี าย​
สวา่ งไสวอ​ ยเ​ู่ บอ้ื ง​หนา้ ข​ า้ พเจา้ ​​และ​ม​เี สยี งท​ า่ น​บอกข​ า้ พเจา้ ว​ า่ ​“​ ​ขา้ ใ​หแ​้ ก”​
​ ใน​ขณะ​นัน้ ​ข้าพเจา้ ​ไมไ​่ ด​น้ กึ ​แปล​ความห​ มาย​นิมิตเ​ปน็ อ​ นื่ ​ใด​เ​ขา้ ใจ​
เพียง​ว่า​ท่าน​คง​ให้​ธรรมะ​กับ​เรา​ ข้าพเจ้า​บังเกิด​ความ​ปีติ​มาก​ ​หลัง​จาก​
เลกิ ภ​ าวนาแ​ ลว้ ข​ า้ พเจา้ ไ​ดเ​้ ดนิ ไ​ปห​ ลงั ว​ ดั เ​พอื่ ไ​ปน​ มสั การห​ ลวงน​ า้ ส​ ายห​ ยดุ ​
ระหวา่ งท​ างผ​ า่ นก​ ฏุ ข​ิ องห​ ลวงพ​ อ​ี่ งคห​์ นง่ึ ซ​ งึ่ เปน็ พ​ ระภ​ กิ ษท​ุ ข​่ี า้ พเจา้ เ​คยเ​หน็ ​
ท่าน​อยู่​ท่ี​วัด​สะแก​หลาย​ปี​ ​แต่​ไม่​เคย​ได้​สนทนา​อะไร​เป็น​กิจจะลักษณะ​
กับ​ท่าน​มา​ก่อน​เลย​ประการ​หน่ึง​ ​และ​ไม่​เคย​เอ่ย​ปากขอ​อะไร​จาก​ท่าน​
อีก​ประการ​หนึ่ง​ ​แต่​วัน​น้ัน​นับ​เป็น​เหตุการณ์​ประหลาด​อัศจรรย์​สำหรับ​
ข้าพเจ้า​ท​ ่ี​หลวง​พ่ีเ​กดิ ​นึก​เมตตา​ข้าพเจ้า​อยา่ งก​ ะทนั หนั ​​ทา่ นบ​ อก​ขา้ พเจา้ ​

๑๐๔ 104

ว่า​ เด๋ียว​ก่อน​ ​จาก​น้ัน​ท่าน​กลับ​เข้าไป​ใน​กุฏิ​ชั่ว​อึดใจ​ ท่าน​ออก​มา​พร้อม​
กับ​พระ​ผง​แบบ​หยดน​ ้ำร​ ูปพ​ ระพทุ ธเจา้ แ​ ละร​ ปู ​หลวงปู่ด​ ู​่ ๒-๓ ​องค​์ แ​ ละ​
ตะกรุด​ขนาด​เล็ก​กระ​ทัด​รัด​ของ​หลวงปู่​ยื่น​ให้​ข้าพเจ้า​และ​บอก​ว่า​ ​“​ของ​
หลวง​ป​ู่ เ​กบ็ เ​อาไ​วใ​้ ช​้”​
​ เป็น​ที่​แปลก​ใจ​ยิ่ง​สำหรับ​ข้าพเจ้า​ที่​เหตุการณ์​เกิด​ข้ึน​ภาย​หลัง​จาก​
ทข​่ี า้ พเจ้า​ได​้นิมติ ว​ า่ ​ได้ร​ บั ​“​ ​อะไร”​ ​​จาก​หลวงปู่เ​มื่อ​ห้าน​ าทีท​ ผ​่ี ่านม​ า​
ข​ ้าพเจา้ ​ได​ม้ าเ​รยี นเ​รอื่ ง​นถี​้ วาย​ให้​หลวงปฟ​ู่ ัง​
​ ท่าน​ยงั ​ได​้ใหโ​้ อวาทข​ า้ พเจ้า​อกี ​ว่า​.​..​​
​ “​..​​.​ทว​ี่ า่ ​​ขา้ ใ​ห้​แกน​ น้ั ​ข​ ้า​ให้​พุทธ​งั ​​ธมั มัง​​สงั ฆงั​​ส​ ่วนเครอ่ื งราง​
ของ​ขลัง​ภายนอก​น้ัน​หาไม่​ยาก​ ​พระ​พุทธ​ัง​ ​ธัมมัง​ ​สังฆ​ัง​ ​หา​ยาก​กว่า​
​แกไ​ปต​ รอง​ด​ูให้ด​ ​เี ถอะ​”​ ​


105 ๑๐๕

​๖๒​

ค​ นห​ า​ยาก​

​ ​ในพ​ ระพทุ ธ​ศาสนาไ​ด​พดู ​ถึงบ​ คุ คล​หาไ​ดย​ ากใ​นโ​ลกน​ ้ม​ี ​ี ​๒​ป​ ระเภท​
คือ​บ​ ุพการี​​และบ​ คุ คลผ​ ม​ู ก​ี ตัญ​ ู​กตเวที​
​ บ​ พุ การ​ี ห​ มายถ​ งึ บ​ คุ คลผ​ ท​ู ำอ​ ปุ ก​ าระ​ กอ​ นห​ รอื ค​ อื ผ​ ม​ู พ​ี ระคณุ น​ นั่ เอง​
ไดแ​ ก​​พระพุทธเ​จ​า​ค​ ร​อู าจ​ าร​ย​​มารดา​บดิ า​แ​ ละ​พระม​ หาก​ ษตั รยิ​ ​ทที่​ รง​
​ทศ​พ​ิธราช​ ธ​ รรม​ใ​นท​ ​ี่นจ​้ี ะ​ขอ​พูด​ถงึ พ​อแมข​ องเ​รา​
​ ใน​มงคล​สูตร​ได​กล​าว​ไว​ตอน​ห​นึ่ง​ว​า​ ​มา​ตาป​ตุ​อุป​ฏ​ฐานั​ง​ ​เอตัมมัง​
คะ​ละม​ ตุ ​ตะมงั ​ก​ ารบ​ ำรงุ ม​ ารดาแ​ ละ​บด​ิ าเปน​ มงคล​สงู สดุ ใ​น​ช​วี ​ติ อย​า ง​หนง่ึ ​
ม​ ผี ก​ู ลา​ ววา​ ​“​ ว​ นั แ​ ม”​ ​ส​ ำหรบั ล​ กู ห​ ลายๆ​ ​ค​ นม​ ว​ี นั เ​ดยี วใ​นห​ นง่ึ ป​ ​ แ​ ต​
สำหรับ​แม​แ ล​ว​“​ ​วันล​ ูก​”​​มอี ย​ทู ุกว​ นั ​
​ ความ​ข​อ​น้ี​เป​น​จริง​อย​าง​ท่ี​ไม​มี​ใคร​อาจ​ปฏิเสธ​ได​ ​โดย​ทั่วไป​แล​ว​​
ความ​รักท​ ีแ​่ ม​มตี ​อล​ ูก​น้ัน​​ยอ​ มม​ ม​ี าก​ กว​า​ความ​รกั ​ท่​ีลกู ม​ ีตอ​ แม​ ใ​น​บท​สวด​
เทว​ตาทิสสท​ กั ข​ ณิ ​านุโม​ทนา ​ได​ก ล​า วเ​ปรียบ​ไว​ว​า​​
“...ม​ าต​ าป​ ตุ ​ตงั ​​วะ​โ​อระสงั ​เ​ทว​ ะ​ตาน​กุ มั ป​โต.​.​.​​”​
​คำ​แปล​ตอนห​ น่ึงข​ องบ​ ทส​ วด​ม​คี วาม​ว่า​
​“​.​.​.​บัณฑิต​ชาติ​อยู่​ใน​สถาน​ที่​ใด​ ​พึง​เชิญ​ท่าน​ท่ี​มี​ศีล​สำรวม​ระวัง​​

๑๐๖ 106

ประพฤตพ​ิ รหมจ​ รรยใ​์ นท​ น​่ี น้ั ​เ​ทวดาเ​หลา่ ใ​ดม​ ใ​ี นท​ น​่ี น้ั ​ควรอ​ ทุ ศิ ท​ กั ษณิ าทาน​
เพ่อื ​ท่านเ​หล่า​นัน้ ด​ ้วย​ ​เทวดา​ท​ไี่ ดบ​้ ชู า​แล้วน​ บั ถือ​แลว้ ​ ท​ ่านย​ อ่ ม​บูชาบ​ า้ ง​​
ย่อม​นบั ถือ​บา้ ง​ท​ ่าน​ย่อมอ​ นเุ คราะห​์เขาป​ ระ​หนึง่ ​ม​ ารดาอ​ นุเคราะห​์บตุ ร​
ผู้​เกิด​จาก​อก​ ​ผู้​ที่​ได้​อาศัย​เทวดา​อนุเคราะห์​แล้ว​ ​ย่อม​มี​แต่​ความ​เจริญ​
​ทกุ ​เม่ือ​”​
​ มารดา​บิดา​เป็น​พระ​พรหม​ของ​ลูก​ ​เป็น​ครู​อาจารย์​คน​แรก​ของ​ลูก​​
และ​เป็น​เทวดา​องค​์แรกข​ อง​ลกู ​จ​ งึ เ​ป็นผ​ ​ู้ควร​รับ​การ​สกั ​การะ​ ​บูชาจ​ ากล​ ูก​
​ พระพทุ ธเจ้า​ไดส​้ อนไ​ว้ใ​น​“​ ม​ าตา​ปิตค​ุ ณุ ส​ ูตร​”​ว​ ่า​
​ บตุ รไ​มอ​่ าจต​ อบแทนค​ ณุ แ​ กม​่ ารดาบ​ ดิ าน​ นั้ ​ใ​หส​้ น้ิ ส​ ดุ ไ​ดโ​้ ดยป​ ระการ​
ใดๆ​ ​ด​ ้วย​อปุ การะ​อนั เ​ป็น​โลกีย​ะ​​แม้​จะท​ ำให้​ทา่ นท​ ัง้ ส​ อง​นง่ั อ​ ย่​ูบนบ​ ่าข​ วา​
บน​บ่า​ซ้าย​ของ​ลูก​ ​ลูก​ปรนนิบัติ​ดูแล​ท่าน​ตลอด​หน่ึง​ร้อย​ปี​ ​ก็​ไม่​สามารถ​
ตอบแทน​บุญ​คุณ​ท่าน​ได้​ ส่วน​บุตร​คน​ใด​ทำให้​มารดา​บิดา​ผู้​ไม่มี​ศรัทธา​
ใหต้​ ้งั ​อยู​่ในศ​ รทั ธา​​ทำให​้มารดา​บดิ าผ​ ู้​ไมม่ ศี​ ีลใ​ห้​ตง้ั ​อย่ใ​ู น​ศลี ​​ทำให้ม​ ารดา​
บิดาผ​ ม​ู้ คี​ วาม​ตระหนถ่ี​ ​ีเ่ หนียวใ​หต​้ ั้งอ​ ย​ใู่ น​จาคะ​ท​ ำให้​มารดา​บิดา​ผมู้​ ​ีความ​
หลงใ​หต​้ ง้ั อ​ ยใ​ู่ นป​ ญั ญาส​ มั มาท​ ฏิ ฐ​ิ บ​ ตุ รน​ น้ั จ​ งึ จ​ ะไ​ดช​้ อ่ื ว​ า่ ไ​ดท​้ ำการต​ อบแทน​
บุญ​คุณ​ของ​มารดา​บิดา​อย่างเ​ตม็ ​ท​ี่
​ ลกู ท​ ไ​ี่ มม่ ค​ี วามฉ​ ลาดย​ อ่ มไ​มเ​่ หน็ ค​ ณุ คา่ ค​ วามร​กั ข​ องพ​ อ่ แ​ มท​่ ม​่ี ต​ี อ่ ล​ กู ​
ลูกท​ ี​่มค​ี วามฉ​ ลาดย​ ่อมเ​ห็นค​ ุณคา่ ​ของ​สิง่ เ​หล่า​น้ตี​ ้ัง​แต่​พ่อแ​ มย​่ งั ​ม​ชี วี ติ ​อยู​่
วัน​น.​้ี ​..​เ​ราไ​ด​้ทำ​สิ่งด​ ๆี​ ​ใ​ห้พ​ ่อก​ ับแ​ ม.่​​.​.​แลว้ ​หรอื ย​ ัง​

107 ๑๐๗

​๖๓​

​ดว้ ย​รกั ​จาก​ศิษย​์

​.​.​.​หลวงปู่​ครับ​ ​ถ้า​หาก​หมุน​เข็ม​นาฬิกา​ให้​เดิน​ย้อน​กลับ​ได้​ ​ผม​ขอ​
หมนุ ก​ ลบั ไ​ปเ​ปน็ ป​ ​ี พ​ .​ศ​ .​​๒​ ๕๒๕​ป​ ท​ี พ​่ี วกเ​ราไ​ดเ​้ รมิ่ ม​ ากร​ าบห​ ลวงป​ู่ ร​ อยย​ มิ้ ​
และ​ภาพ​อากัปกิริยา​ของ​หลวงปู่​เม่ือ​คราว​ที่​สอน​พวก​เรา​ ​หลวงปู่​หัวเราะ​
และเ​อาม​ อื ต​ บท​ ห​ี่ นา้ ต​ กั พ​ วกเ​ราย​ งั จ​ ำไ​ดด​้ ​ี พ​ วกเ​ราย​ งั จ​ ำไ​ด​้ แ​ ละจ​ ะพ​ ยายาม​
ทำ​ตามท​ ห​ี่ ลวงปูส่​ อน​ไ​ม​่ให​้ถอยห​ ลงั ​​ไม่​ใหห​้ ลวงป​ู่ต้อง​ผดิ ​หวังค​ รับ​
.​.​.​ห​ ลวงปข​ู่ า​ห​ ลวงปเ​ู่ คยบ​ อกว​ า่ ป​ ฏบิ ตั ม​ิ ากๆ​เ​ถอะจ​ ะด​ ​ี ส​ มบตั น​ิ อก​
กายไ​มจ่​ รี ัง​​กนิ ​เข้าไปเ​ดยี๋ ว​ก็​ขี้อ​ อกม​ า​เ​สื้อผา้ ​สวย​ๆ​ห​ า​มาแ​ ต่ง​เ​ดีย๋ ว​ก​็ต้อง​
ทง้ิ ​เ​งนิ ต​ อนต​ ายญ​ าตเ​ิ อาใ​สป​่ ากส​ ปั เหรอ่ ก​ เ​็ อาไ​ปซ​ อื้ เ​หลา้ ​เ​สอ้ื ผา้ ก​ ถ​็ อดอ​ อก​
เหลอื ​แตต​่ ัวเ​ปล่า​ให้​เขา​เอา​ไปเ​ผา​.​.​​.​ที่แท​เ้ ราไ​ม่มี​อะไร​สกั อ​ ย่าง​
​ ..​.​ห​ ลวงปเ​ู่ จา้ ค​ ะ​ห​ นร​ู ตู้ ว​ั ด​ ว​ี า่ ใ​จต​ วั เ​องถ​ า้ เ​ผลอ​ม​ นั ก​ จ​็ ะล​ งต​ ำ่ อ​ ยร​ู่ ำ่ ไป​
ถ้า​ไม่มี​หลวงปู่​คอย​เปน็ ​กำลัง​ใจ​ ​ขอ​หลวงป​ู่อยู่​เป็น​กำลังใ​จ​ให้​หนู​ตลอด​ไป​
นะคะ​
.​.​.​ห​ ลวงป​ ค​ู่ รบั ​ไ​ดเ​้ จอะเ​จอห​ ลวงป​ ใ​ู่ นช​ วี ติ น​ ผ​้ี มถ​ อื เ​ปน็ บ​ ญุ ห​ ลาย​พ​ ระ​
ทา่ นว​ า่ ​ป​ ชู า​จ​ ะ​ป​ ช​ู นย​ี านงั​ เ​อตมั มงั คะล​ ะม​ ตุ ต​ ะมงั ​​ก​ ารบ​ ชู าบ​ คุ คลท​ ค​ี่ วร​
บชู า​​เป็นม​ งคลส​ งู สดุ ​ของ​ชวี ติ ​

๑๐๘ 108

​.​.​.​ได​ม้ าเ​จอ​หลวง​ปู่​ผ​ มถ​ อื วา่ ​ไม่​เสยี ​ชาติเ​กดิ แ​ ลว้ ​ครับ​
​ หลวงปค​ู่ รบั .​.​.​ใ​ครจ​ ะค​ ดิ ว​ า่ ห​ ลวงปด​ู่ ก​ู่ บั ห​ ลวงป​ ทู่ วดเ​ปน็ อ​ งคเ​์ ดยี วกนั ​
หรือ​ไม​่ ​ผม​ไม่ส​ นใจ​หรอก​ครบั ​
​หากห​ ลวงป​ู่เปน็ ​หลวง​ปทู่ วดจ​ รงิ ​ๆ​ผ​ ม​ถือวา่ พ​ วกเ​รา​โชคด​ ีท​ ่สี ุด​ครับ​
ความท​ ห​่ี ลวงป.​ู่ .​.​เ​ปน็ ห​ ลวงปด​ู่ …​ู่ อ​ ยา่ งเ​ดยี ว​ก​ ท​็ ำใหผ​้ มร​กั แ​ ละเ​คารพห​ ลวงป​ู่
จน​เต็ม​ลน้ ​หัวใจไ​มม่ อ​ี ะไรจ​ ะ​ทำให้​เต็มไ​ปก​ ว่าน​ ี้​อีกแ​ ล้ว​ครับ​

109 ๑๐๙

​๖๔​

ด​ ว้ ย​รกั ​จากห​ ลวงป​ู่



เมอ่ื ค​ รง้ั ท​ ห​่ี ลวงปอ​ู่ าพาธใ​นช​ ว่ ง​๒​ ​-​​๓​ ​ป​ ​ี ก​ อ่ นท​ ท​่ี า่ นจ​ ะจ​ ากพ​ วกเราไ​ป​
คุณ​ธรรม​อัน​โดด​เด่น​คือ ​ความ​อดทน​และ​ความ​เมตตา​ของ​ท่าน​ยิ่ง​ชัดเจน​
ใน​ความ​รสู้ ึกข​ อง​ข้าพเจา้ ​
​ บ่อย​ครั้ง​ท่ี​ศิษย์​จอม​ขี้แย​อย่าง​ข้าพเจ้า​ ​ไม่​สามารถ​ท่ี​จะ​กล้ัน​น้ำตา​
ไวไ​้ ดใ​้ นค​ วามค​ ดิ ค​ ำนงึ ว​ า่ ไ​อค​้ วามข​ เ​้ี กยี จ​ค​ วามไ​มเ​่ อาไ​หนไ​มเ​่ อาถ​ า่ นข​ องเ​รา​
ทำให้​ท่าน​ต้อง​ทน​นั่ง​แบก​ธาตุ​ขันธ์​ที่​เจ็บ​ป่วย​สอน​ศิษย์​โง่​ๆ​ ​อย่าง​เรา​ ​ทั้ง​
อบรม​กแ็​ ลว้ ​​พร่ำ​สอนก​ ็แ​ ลว้ ​​ว่า​กล่าวต​ กั ​เตือนก​ ​แ็ ลว้ ​​ศษิ ยจ​์ อม​ขี​้เกยี จก​ ็​ยงั ​
ไม่ส​ ามารถเ​อา​ตวั เ​อง​เป็น​ที่พ​ งึ่ ​ได้​
​ สรรี ะข​ องห​ ลวงป​ู่เปลี่ยนแปลง​​ผา่ ยผ​ อม ​และ​ซบู ซีด​ลง​​แตต​่ รง​กนั ​
ขา้ มก​ บั ก​ ำลงั ใ​จข​ องท​ า่ นท​ เ​ี่ ออ่ ล​ น้ ด​ ว้ ยค​ วามร​ กั แ​ ละห​ ว่ งใยศ​ ษิ ย​์ ทก​ี่ ลบั เ​พมิ่ ​
ทวคี ูณ​ขนึ้ ใ​นห​ วั ใจ​ของ​ท่าน​จ​ น​ยาก​ที่​ศิษย์​ทุก​ชีวติ จ​ ะ​ปฏิเสธไ​ด​้ในค​ วาม​รกั ​
และ​ปรารถนาด​ ข​ี อง​ท่าน​
​ใน​โลก​ของ​ข้าพเจ้า​ ​ความ​รัก​ของ​หลวงปู่​ยิ่ง​ใหญ่​อย่าง​ย่ิง​ ​แต่​ส่ิง​ท่ี​
สำคญั ​ยง่ิ ​กว่า​คอื ​ท​ า่ น​สอน​ให​ศ้ ษิ ย์​ทงั้ ห​ ลายร​ ู้จกั ​วธิ ี​ท่​ีจะห​ ยิบย​ ื่นค​ วาม​รัก.​.​.​​
ความ​ปรารถนา​ด​.ี ​.​.ใ​ห​ก้ ับค​ น​รอบ​ข้าง​ด​ ัง​ทที่​ ่าน​ได​้ปฏบิ ัติเ​ปน็ ​แบบอ​ ยา่ ง​ได​้

๑๑๐ 110

อย่าง​เหมาะ​สม​และ​กลมกลนื ...​อ​ ยา่ ง​สม่ำเสมอ​และย​ าวนาน​​และย​ ืนยนั ​
คำ​พูด​ของ​ท่านท​ ี่​วา่ .​.​​.​
​ “แ​ กค​ ิดถึงข​ ้า​​ขา้ ​ก​ค็ ดิ ถึง​แก​
​ แกไ​มค่​ ดิ ถึง​ข้า​​ขา้ ก​ ็​ยงั ค​ ิดถึง​แก​”​​

111 ๑๑๑

๖​ ๕​

​จง้ิ จก​ทกั ​

​พูด​ถึง​เร่ือง​ลาง​สังหรณ์​แล้ว​ ​คน​โบราณ​เช่ือ​ปรากฏการณ์​ต่างๆ​ ​ที่​
ผิดไ​ป​จากช​ ีวติ ​ประจำว​ นั ​​อยา่ ง​เชน่ ​ก​ ารเ​ขม่นต​ า​​อาการก​ ระตุก​ที​เ่ ปลอื ก​
ตา​ก​ าร​จาม​ห​ รือก​ ารท​ ่จี​ ้ิงจกต​ กใ​ส่​ม​ งี​​หู รอื ส​ ตั วบ​์ าง​อยา่ งเ​ข้า​บ้าน​ถือ​เป็น​
ส่ิง​บอก​เหตุ​เช่น​กัน ​ ​คน​สมัย​ก่อน​เช่ือ​เร่ือง​จ้ิงจก​ทัก​อยู่​มาก​ ​เวลา​สั่ง​สอน​
หรือ​ห้าม​ปราม​ใคร​ไม่​ฟัง​แล้ว​มัก​พูด​ว่า​ ​แม้​จิ้งจก​ทัก​โบราณ​ยัง​เชื่อ​ ​คน​ทัก​
ทำไม​ไม่​เชอ่ื ​
ห​ ลวงปู่เ​คย​บอกใ​ห้​ศษิ ยฟ​์ ังว​ ่า​ถ​ า้ ​ขา้ ไ​ปห​ าพ​ วก​แก​​ให​้ฟังเ​สยี งจ​ ิง้ จก​
ใหด​้ ี มศี​ ิษยผ​์ ห​ู้ นึ่ง​ถาม​ว่า​ท​ ำไมต​ อ้ ง​เปน็ จ​ ิ้งจก​คะ​​ทา่ นต​ อบ​วา่ ​
​ลองน​ ึกดวู​ า่ ​​หากแ​ กส​ วด​มนตไ์​หวพ​้ ระ​อยู่​ที่​บ้าน​จ​ ูๆ่ ​​ข้าก​ ม​็ าที่บ​ ้าน​
แก​​จะ​เป็นย​ ังไ​ง​
​ ก​็ช็อค​ซเิ​จา้ ​คะ​​ศิษย์​ตอบ​
​ ก​็นน่ั ​น่ะซ​ ิ​​หลวงปต​ู่ อบแ​ ละย​ ม้ิ เกลอ่ื นด​ ้วยเ​มตตา ​เป็น​บทส​ รปุ แ​ ทน​
คำต​ อบ​
​ ผู้​หลัก​ผู้ใหญ่​ที่​มี​ประสบการณ์​ผ่าน​ร้อน​ผ่าน​หนาว​ ​ท่าน​มัก​มี​ความ​
ปรารถนา​ดี​เมื่อ​เห็น​ผู้​น้อย​จะ​คิด​ ​จะ​พูด​ ​จะ​ทำ​ใน​ส่ิง​ท่ี​ไม่​ควร​ ท่าน​จึง​

๑๑๒ 112

เตือน​หรือ​ปราม​ไว​้ลว่ ง​หนา้ ​ ​เปน็ ​ทำนอง​กนั ​ไว​้ด​ีกวา่ ​แก​้ ​หลาย​คน​ท​่ยี งั ​ไมม่ ี​
ประสบการณ์​ท่​ีเกิด​ข้นึ ​กับ​ตนเอง​ ​บาง​คร้งั ​อาจ​ไม่​แน่ใจ​ว่า​เสียง​จ้งิ จก​น้​ีใช่​
หลวงป​เู่ ตอื น​หรอื ​ไม​่ ​หาก​ยงั ​ม​คี วาม​ตง้ั ใจ​ท​จ่ี ะ​ทำ​ด​จี รงิ ​ก​จ็ ะ​พบ​วา่ ​หลวงป​จู่ ะ​
เตอื นผ​ า่ นจ​ ง้ิ จก​ซำ้ แ​ ลว้ ​ซำ้ ​อกี ​จน​ผ​นู้ น้ั เ​กดิ ​ความ​มน่ั ใจ​ดว้ ยต​ นเอง​ม​ ​ติ อ้ งไ​ป​ซกั ​
ถามผ​ ใ​ู้ ด​เ​สยี งจ​ ง้ิ จกม​ ห​ี ลายล​ กั ษณะแ​ ตกต​ า่ งก​ นั ​เ​ชน่ ​เ​สยี ง​ดงั ๆ​ส​ น้ั ๆ​ ​เ​สยี งพ​ อ​
ใหไ​้ ดย้ นิ ​ให​ร้ ตู้ วั ​​หรอื ​เสยี งท​ กั ​ใหไ​้ ดย้ นิ ​พรอ้ ม​กนั ห​ ลายค​ น​ ​ความ​หมายก​ ​แ็ ตก​
ตา่ ง​กนั ​ไป​เ​ชน่ ​​เปน็ การ​ด​ุ เ​ปน็ การบ​ อก​กลา่ ว​หรอื ​เปน็ การเ​ตอื นใ​หร​้ ะวงั ​ตวั ​
​เร่ือง​ท่ี​ข้าพเจ้า​ประสบ​กับ​ตัว​เอง​คือ​ ​คร้ัง​หน่ึง​ที่​ข้าพเจ้า​ขับ​รถยนต์​
จะเ​ดนิ ท​ างไ​ปต​ า่ งจ​ งั หวดั ​ข​ ณะจ​ ะอ​ อกจ​ ากบ​ า้ น​ก​ ไ็ ดย​้ นิ เ​สยี งจ​ ง้ิ จกท​ กั ​แ​ ละ​
เหตกุ ารณใ​์ นว​ นั น​ นั้ ค​ อื ม​ ร​ี ถม​ อเตอรไ์ ซคม​์ าเ​ฉย่ี วช​ นร​ ถ​เ​รอื่ งร​ าวท​ ศ​ี่ ษิ ยผ​์ อ​ู้ น่ื ​
เลา่ ใ​หฟ​้ งั ก​ ม​็ ​ี เ​ชน่ ​เ​กอื บท​ กุ ค​ รงั้ ท​ ส​่ี วดม​ นตห​์ นา้ ห​ งิ้ พ​ ระก​ อ่ นอ​ อกจ​ ากบ​ า้ นไ​ป​
ทำงาน​​ก็จ​ ะ​ไดย้ นิ ​เสียง​จิ้งจกท​ กั ​ออก​มาจ​ าก​หิ้ง​พระ​ซ​ งึ่ ​ศษิ ยท​์ ่านน​ ้ันก​ ็ร​ สู้ กึ ​
อนุ่ ใ​จเ​หมอื นท​ า่ นร​บั ร​ด​ู้ ว้ ยท​ กุ ค​ รงั้ ​ศ​ ษิ ยอ​์ กี ท​ า่ นเ​ลา่ ว​ า่ ใ​นย​ ามค​ บั ขนั ข​ องช​ วี ติ ​
ครง้ั ห​ นง่ึ ไ​ดน​้ กึ ถงึ ห​ ลวงปแ​ู่ ละข​ อใ​หท​้ า่ นช​ ว่ ยเ​หลอื ​จ​ ากน​ นั้ เ​ขาก​ ไ็ ดย​้ นิ เ​สยี ง​
จงิ้ จก​ทักโ​ดยที​บ่ ริเวณ​นั้นไ​ม​่เหน็ ต​ ัว​จ้งิ จกเ​ลย​​สุดท้าย​ปัญหาแ​ ละ​อปุ สรรค​
ของเ​ขาก​ ส​็ ามารถผ​ า่ นไ​ปไ​ดด​้ ว้ ยด​ ​ี ห​ ลวงปเ​ู่ คยฝ​ ากข​ อ้ คดิ แ​ กข​่ า้ พเจา้ ใ​นเ​รอื่ ง​
นไ​ี้ วว​้ า่ ​ค​ นโ​บราณเ​ขาว​ า่ ห​ ากจ​ ง้ิ จกท​ กั ​จ​ ะไ​ปไ​หนม​ าไ​หนก​ ต​็ อ้ งเตร​ย​ี มเ​ครอื่ ง​
ใหค​้ รบ​​หาก​ไมร​่ บก​ ​็อาจต​ อ้ งส​ ​ู้ แ​ ก​วา่ จ​ รงิ ไ​หม​
​ จาก​นี้ไ​ป​เ​รา​คงจะ​เงี่ยห​ ฟู​ งั เ​สียง​จ้ิงจกทกั ก​ ันม​ าก​ขนึ้ แ​ ล้ว​ล่ะ​​จ​.ุ๊ .​​.จ​ ุ​.๊ ​..​
จ.​ุ๊ ​.​.​

113 ๑๑๓

​๖๖​

​หลวงป​ู่กบั ​ศษิ ย์​ใหม่​

ห​ ลวงปด​ู่ ​ู่ พ​ รหมป​ ญั โญ​ท​ า่ นเ​ปน็ พ​ ระท​ ม​่ี ค​ี วามเ​มตตาเ​ปน็ ห​ ว่ งเ​ปน็ ใ​ย​
แกศ​่ ษิ ยแ​์ ละผ​ ท​ู้ ร​ี่ ะลกึ ถ​ งึ ท​ า่ นท​ กุ ค​ นอ​ ยา่ งท​ ไ​ี่ มต​่ อ้ งส​ งสยั ​ม​ เ​ี รอื่ งเ​ลา่ ม​ ากมาย​
เก่ียว​กับ​ความ​รัก​ความ​เมตตา​อาทร​ของ​ท่าน​ท่ี​มี​ต่อ​ศิษย์​ ​หนึ่ง​ใน​หลาย​ๆ​​
เหตุการณ์น​ ้ัน​ก็ค​ อื ​เร่ือง​ของ​พระ​เพื่อน​สห​ธรรมกิ ​ของข​ า้ พเจ้า​
​ใน​ป​ี ​พ.​ศ​ ​.​​๒๕๓๒​​ระหว่างช​ ว่ งเ​ทศกาลเ​ข้าพ​ รรษา​พ​ ระ​นวกะจ​ าก​
วดั บ​ วรน​ เิ วศว​ หิ าร​จ​ ำนวน​๓​ ​ร​ปู ​ไ​ดเ​้ ดนิ ท​ างจ​ ากก​ รงุ เทพฯ​เ​พอ่ื ม​ าน​ มสั การ​
หลวงปู่​ดู​่ ​ที​ว่ ัดส​ ะแก​ท​ ั้งส​ าม​องค์​ตา่ ง​ม​ีความต​ ง้ั ใจต​ รงก​ นั ว​ า่ ​จะน​ ำด​ อกไม​้ ​
ธูป​เทียน​ ​มา​ถวาย​ตัว​เป็น​ศิษย์​ของ​หลวงปู่​เพื่อ​กราบ​นมัสการ​ ​และ​ถวาย​
ตัว​เป็นศ​ ิษย์​เพื่อ​ขอ​เรียน​พระกรร​ มฐ​ าน​
​ครั้น​กำหนด​วัน​ได้​เรียบร้อย​ตรง​กัน​ดีแล้ว​ ​ก็​ออก​เดิน​ทาง​โดย​ไม่มี​
โอกาส​ได้​กราบ​เรียน​ให้​หลวงปู่​ทราบ​ล่วง​หน้า​ก่อน​ ​เมื่อ​เดิน​ทาง​มา​ถึง​
ท่ี​หมาย​คือ​วัด​สะแก​ก็​เป็น​ช่วง​เวลา​ใกล้​เพล​แล้ว​ที่​บริเวณ​ปาก​ทาง​เข้า​วัด​
ต่าง​องค์​ต่าง​ปรึกษา​หารือ​กัน​ว่า ​จะ​ไป​กราบ​หลวงปู่​ก่อน​ดี​หรือ​จะ​แวะ​ฉัน​
เพลก​ อ่ น​ดี​​ถ้าห​ าก​แวะ​ฉนั เ​พล​ก่อน​กจ​็ ะต​ ดิ เ​วลา​ทห​ี่ ลวงป​ู่พกั ​หลงั เ​วลาเ​พล​
จะ​ทำให้ห​ ลวงปูม​่ ีเ​วลา​พักผ​ อ่ นน​ อ้ ย​ลง​ต​ อ้ ง​เสียเ​วลาม​ าน​ งั่ ​รบั แขก​แ​ ต่​หาก​

๑๑๔ 114

ไปก​ ราบน​ มสั การท​ า่ นเ​ลย​ท​ งั้ ส​ ามอ​ งคต​์ า่ งก​ ม​็ ก​ี งั วลว​ า่ แ​ ลว้ จ​ ะไ​ดฉ​้ นั เ​พลก​ นั ​
หรือไ​ม่​
ใ​นท​ ส่ี ดุ ก​ ต​็ ดั สนิ ใ​จว​ า่ ไ​มไ​่ ดฉ​้ นั ก​ ไ​็ มเ​่ ปน็ ไร​ไ​ปก​ ราบห​ ลวงปใ​ู่ หส​้ มค​ วาม​
ตงั้ ใจก​ อ่ นด​ ก​ี วา่ ​ค​ รนั้ พ​ อเ​ดนิ เ​ขา้ ป​ ระตว​ู ดั ไ​ดป​้ ระมาณส​ กั ร​ อ้ ยเ​มตร​ก​ ม​็ ศ​ี ษิ ย​์
ฆราวาสข​ องห​ ลวงปค​ู่ นห​ นงึ่ ต​ รงเ​ขา้ ม​ าห​ าแ​ ลว้ บ​ อกว​ า่ ​“​ ห​ ลวงปน​ู่ มิ นตใ​์ หฉ​้ นั ​
เพล​ที่​นี​่ ท​ ่าน​ไม​่ตอ้ ง​กังวล​​หลวงป​ใู่ ห​เ้ ด็ก​จดั อ​ าหาร​ใหแ้​ ลว้ ”​ ​
​ ทุก​องค์​ต่าง​แปลก​ใจ​ ​เหมือน​กับ​หลวงปู่​จะ​รู้​ล่วง​หน้า​ว่า​ จะ​มี​พระ​
เดิน​ทางม​ าห​ า​จงึ ใ​ห้ล​ ูก​ศิษยจ์​ ัดเ​ตรียม​อาหารไ​ว​ถ้ วายพ​ ระ​ด้วย​
​ จาก​น้ัน​พระ​ทั้ง​สาม​องค์​ได้​ขึ้น​มา​ท่ี​หอ​สวด​มนต์​บริเวณ​ตรง​ข้าม​กุฏิ​
ของ​หลวงปู่​กม้ ล​ งก​ ราบ​พระ​๓​ ​ค​ ร้งั ​​แล้วห​ นั ​มาท​ างหลวงปู่​ย​ กมอื ​ไหวท้​ ่าน​
จากร​ ะยะไ​กล​ก​ อ่ นท​ จ​ี่ ะเ​ขา้ ม​ ากร​ าบท​ า่ น​แ​ ตจ​่ ะน​ งั่ พ​ บั เ​พยี บก​ ย​็ งั ไ​มก​่ ลา้ น​ ง่ั ​
ไดแ​้ ตน​่ ่งั ค​ กุ เข่าอ​ ย่​ู ต​ า่ งอ​ งคต์​ ่างก​ ็​ยงั น​ ง่ั ก​ ระ​สับก​ ระ​ส่ายด​ ้วย​คดิ ​กงั วลก​ นั ว​ า่ ​
คงต​ อ้ งอ​ าบตั ห​ิ ากต​ อ้ งน​ งั่ ฉ​ นั โ​ดยไ​มม่ อ​ี าสนะใ​นท​ เ​่ี ดยี วก​ บั ท​ น​่ี ง่ั ข​ องฆ​ ราวาส​
เพราะ​ตาม​พระ​วินัย​แล้ว​ ​ภิกษุ​จะ​ไม่​นั่ง​เสมอ​หรือ​ร่วม​อาสนะ​เดียว​กับ​
อนป​ุ สมั บ​ นั ​ซ​ ง่ึ ห​ มายถ​ งึ ​ผ​ ท​ู้ ย​ี่ งั ไ​มไ​่ ดอ​้ ปุ สมบท​ไ​ดแ้ ก​่ ค​ ฤหสั ถ​์ และส​ ามเณร​
หรอื ​ผูท​้ ​่ีไมใ่ ช่​ภิกษ​หุ รือ​ภกิ ษุณ​ ​ี
​ สักค​ รู่​หนึ่ง​​ฆราวาส​คน​เดิมก​ ​เ็ ข้า​มาบ​อก​ว่า​
“​ ห​ ลวงป​ูท่ ่านถ​ าม​ว่า​​ธรรม​ยตุ น​ิ ​้ีต้องม​ ​อี าสนะใ​ช่​หรอื ไ​ม​่ ทา่ น​ให้​จดั ​
เตรยี มอ​ าสนะ​มา​ใหแ​้ ล้ว”​ ​
​ ทั้ง​สาม​องค์​จึง​ได้​อาสนะ​มา​ปู​น่ัง​ฉัน​จน​เรียบร้อย​ ​ไม่​ต้อง​อาบัติ​​

115 ๑๑๕

​น้ี​เป็น​อัศจรรย์​เหมือน​หลวงป่​ูสามารถ​ร้​ูวาระ​จิต​ของ​พระ​ท้ัง​สาม​เป็น​คร้งั ​
ทส​่ี อง​เ​มอ่ื ฉ​ นั เ​สรจ็ จ​ งึ ไ​ดม​้ ากร​ าบน​ มสั การท​ า่ น​ไ​ดแ​้ ตน​่ งั่ ข​ า้ งล​ า่ ง​ไ​มก​่ ลา้ น​ งั่ ​
เสมอก​ บั ​ท่าน​ห​ ลวงป​ู่ทา่ นไ​ด​เ้ มตตาเ​ป็น​ท่สี ุด​โ​ดย​เรยี ก​ให้พ​ ระ​ใหม่น​ ัง่ ข​ า้ ง​
บนเ​สมอ​กับ​ท่านแ​ ละ​บอก​ว่า​​“เ​ราล​ กู ​พระพทุ ธเจ้าเ​หมือน​กัน”​ ​
​ จาก​น้ัน​ทั้ง​สาม​องค์​ต่าง​ถวาย​ตัว​เป็น​ศิษย์​ ​หลวงปู่ท่าน​กล่าว​
อนโุ มทนาแ​ ลว้ แ​ นะนำใ​หไ​้ ปเ​รยี นพ​ ระกรร​ มฐ​ านก​ บั พ​ ระส​ ายห​ ยดุ ​ภ​ รู ท​ิ ตั โต​
ท​่ีกุฏหิ​ ลงั ว​ ดั ​


๑๑๖ 116 ​๖๗​

​ ค​ าถา​ของห​ ลวงปู่​

ท่าน​ที่​เคย​มี​โอกาส​ไป​เยือน​เจดีย์​พิพิธภัณฑ์​ท่าน​พระ​อาจารย์​จวน​​
กุล​เชฎโฐ​ ​ณ​ ​วัด​เจ​ติ​ยาค​ิรี​วิหาร​ ​จังหวัด​หนองคาย​ ​จะ​สังเกต​บาน​ประตู​
ไม้​ประดู่​แผ่น​เดียว​ ​แกะ​สลัก​ด้วย​ลาย​ท่ี​เรียบ​ง่าย​ปิด​ทอง​และ​กระจก​สี​
เพ่ือ​รกั ษา​เน้ือไ​ม​้ ก​ ลางป​ ระต​ดู ้านใ​น​สลกั เ​ปน็ ร​ ปู น​ กย​ งู ​ ​ซง่ึ ​เปน็ ส​ ัญล​ กั ษณ​์
หมายถ​ ึง​​คาถา​ยงู ​ทองข​ องท​ า่ น​พระอ​ าจารยม​์ ั่น​​ภรู ิ​ทตั ​ตมห​ าเ​ถระ​​ท​ศ่ี ษิ ย​์
ของ​ท่าน​ทุก​องค์​ต่าง​ให้​ความ​เคารพ​และ​ระลึก​ถึง​โดย​สวด​สาธยาย​เป็น​
ประจำว​ ่า​“.​​..​น​ ะโม​​วิ​มตุ ต​ านัง​​นะโม​ว​ มิ ุตตยิ​ า”​ ​
​ คืน​วัน​หน่ึง​ข้าพเจ้า​ได้​มี​โอกาส​กราบ​นมัสการ​เรียน​ถาม​หลวงปู่​ดู่​ว่า​​
“​ลูก​ศิษย์​ท่าน​พระ​อาจารย์​มั่น​ ​มี​คาถา​ยูง​ทอง​เป็น​เคร่ือง​ระลึก​ถึง​ครูบา-​
อาจารย์​ ​แล้ว​ลูก​ศิษย์​ของ​หลวงปู่​ควร​ใช้​คาถา​บท​ใด​เป็น​เครื่อง​ระลึก​ถึง​
พระคุณ​ของ​ครบู า​อาจารย​์บา้ ง​”​
​ หลวงปไ​ู่ ดว​้ สิ ชั นาโ​ดยใ​หข​้ า้ พเจา้ ไ​ปเ​ปดิ ด​ ​ู “อณุ หสิ​ สะ​ วชิ ะยะส​ ตู ร” ใ​น​
หนงั สอื ​มตุ โ​ตทยั ​ซ​ งึ่ เ​ปน็ ค​ ำส​ อนข​ องท​ า่ นพ​ ระอ​ าจารยม​์ นั่ ​ภ​ รู ท​ิ ตั ต​ มห​ าเ​ถระ​
(​​รวบรวมแ​ ละเ​รียบ​เรียง​โดย​พระอ​ าจารย​์ว​ิริย​ ังค​ ​์ ส​ ร​ิ ินธ​ โร​ว​ ดั ธ​ รรมมงคล​)​
อณุ หิส​สะ​​​ค​ ือ​ค​ วามร​ ้อนอ​ ันเ​กิด​แก​ต่ น​​มท​ี ้งั ​ภายใน​และ​ภายนอก​
ภายนอก​มเี​สือ​สาง​คางแ​ ดง​ภ​ ูตผีป​ ศี าจ​เป็นตน้ ​ภ​ ายใน​คอื ก​ เิ ลส​

117 ๑๑๗

​ วิชะยะ​ ​คือ​​ความ​ชนะ​ ​ผู้​ที่มา​น้อม​เอา​สรณะ​ท้ัง​สาม​น้ี​เป็น​ท่ี​
พึ่ง​แล้ว​ย่อม​จะ​ชนะ​ความ​ร้อน​เหล่า​นั้น​ไป​ได้​หมด​ทุก​อย่าง​ ​ที่​เรียก​ว่า​
อุณหิส​ สะ​วิชัย
พ​ ระส​ ตู รน​ ม​ี้ ค​ี วามไ​พเราะท​ ง้ั อ​ รรถแ​ ละพ​ ยญั ชนะท​ ค​่ี วรศ​ กึ ษา​จ​ ดจำ​
และ​ทำความ​เข้าใจ​ให้​แยบคาย​โดย​ยิ่ง​ ​ท่าน​ได้​กล่าว​ไว้​ว่า​ ​“​ผู้​ใด​มา​ถึง​
พระพทุ ธเจ้า​​พระธ​ รรม​​พระ​สงฆ​์ ​เป็น​สรณะท​ ​ี่พึ่งแ​ ลว้ ​ผ​ ู้​นัน้ ย​ ่อม​ชนะไ​ด้​
ซ่ึง​ความร​ อ้ น​”​ดังความเดิมในพระบาลที ว่ี า่
“​อตั ​ถ​ิ ​อ​ ณุ ณะหสิ ​สะว​ ชิ ​ชะ​โย​​ธ​ ัมโม​​​โล​เก​​อ​ ะน​ ุต​ตะโร​​ส​ ัพ​พะ​
สัต​ตะ​หิตัต​ ถ​ า​ยะ​​ต​ งั ​​ต​ ​วุ ัง​​ค​ ณั ​หาหิ​​​เ​ทวะ​เต​​​ปะร​ ว​ิ ชั ​เช​​​รา​ชะ​ทณั เฑ​
อะม​ ะนสุ ​เสห​ิ ​ป​ าว​ ะเ​ก​​พ​ ะยคั เฆ​​​นาเค​​ว​ ิ​เส​ภ​เู ต​​อ​ ะ​กาล​ ะ​เรเณน​ ะ​​ว​ า​​
สพั ​พัสส​ ะ​มา​มะระ​ณาม​ ตุ โ​ต​​ฐ​ ะ​เปต​วุ า​​​กาล​ ะมา​ริต​ งั ​​​ตัสเ​สว​ ะ​​อ​ านภ​ุ า​
เวน​ะ​​โ​ห​ต​ุ ​เ​ท​โว​​​สุข​ี ​​สะ​ทา​​ส​ ุทธะ​ ส​ ลี​ งั ​​ส​ ะ​มะท​ า​ยะ​​​ธมั ​มังส​จุ ริตต​ งั ​
จะเร​​​ตัสเ​สว​ ะ​​อ​ านภ​ุ าเ​วน​ะ​​โ​หต​ ุ​​เ​ท​โว​​ส​ ุขี​​​สะท​ า​​​ลกิ ขิต​ตงั ​​ป​ ูช​ งั ​​
ธาระ​ ณัง​​ว​ า​จะ​นัง​​ค​ ะรุ​ปะเ​รสงั ​สุตตะ​วา​​​ตัสส​ ะ​​อ​ า​ยปุ​ ะวฑั ฒะ​ต​ีต​ิ ​ฯ.​”​
เ​ทวเ​ต​​ดกู รเ​ทวดาท​ งั้ ห​ ลาย​พ​ ระธ​ รรมน​ ช​ี้ อ่ื ว​ า่ อ​ ณุ หสิ ส​ ว​ ชิ ยั ​เ​ปน็ ย​ อด​
แหง่ พ​ ระธ​ รรมท​ งั้ ห​ ลาย​เ​ปน็ ป​ ระโยชนแ​์ กส​่ ตั วท​์ ง้ั ม​ วล​ท​ า่ นจ​ งเ​อาพ​ ระธ​ รรม​
น้ี​เป็น​ที่​พึ่ง​ ​อุตสาห์​สวด​บ่น​สาธยาย​ทุก​เช้า​ค่ำ​ ​ย่อม​ห้าม​เสีย​ซึ่ง​ภัย​ทั้ง​ปวง​​
อัน​จะ​เกดิ ข​ ้ึนจ​ าก​ผ​ปี ศี าจ​ ​หม​พู่ ยคั ฆ​์ ง​ใู​หญน​่ ้อย​ แ​ ละ​พญา​เสนาอ​ ำมาตย​์
ท้ัง​หลาย​จะ​ไม่​ตาย​ ​ผู้​ใด​ได้​เขียน​ไว้​ก็​ดี​ ​ได้​ฟัง​ก็​ดี​ ​ได้​สวด​มนต์​ภาวนา​อยู่​
ทกุ ​วนั ​ก​ด็ ​ี ​จะ​มอี ายุย​ นื ​​

๑๑๘ 118

​​​​​เ​ทว​เต​​ดกู ร​เทวดา​ทั้ง​หลาย​ท​ ่านจ​ งม​ ​คี วามส​ ขุ ​เถดิ ​​อ​ น่ึงบ​ ุคคล​ผู้​ใด​
บชู า​แก้ว​ทัง้ ​๓​ ​​คอื ​พ​ ระพุทธ​พ​ ระ​ธรรม​​พระ​สงฆ์​น​ ี้​เป็นย​ า​อนั อ​ ุดม​​ย่อม​
คมุ้ ครองผ​ น​ู้ น้ั ใ​หพ​้ น้ จ​ ากท​ กุ ขภ​์ ยั พ​ ยาธท​ิ ง้ั ป​ วง​ด​ ว้ ยอ​ ำนาจพ​ ระอ​ ณุ หสิ ส​ ว​ ชิ ยั ​
นี้​​จะ​รักษาค​ มุ้ ครอง​ให้​ชวี ติ ​ของ​ทา่ นเ​จรญิ ​สบื ต​ ่อไ​ป​​ท่านจ​ ง​รักษาไ​ว้​ให้​ม่นั ​
อยา่ ​ใหข​้ าดเ​ถดิ ​​ฯ​
​หลวงปู่และครูบาอาจารย์ท้ังหลายต่างกล่าวรับรองว่า สรณะ​
ท​ ั้ง​​๓​​คอื ​พระพุทธ​พ​ ระ​ธรรม​พ​ ระ​สงฆ​์ ม​ ิไดเ้​สอ่ื มส​ ญู ​​อันตรธาน​ไปไ​หน​
ยงั ป​ รากฏอ​ ยแ​ู่ กผ​่ ป​ู้ ฏบิ ตั เ​ิ ขา้ ถ​ งึ อ​ ยเ​ู่ สมอ​ผ​ ใ​ู้ ดม​ าย​ ดึ ถอื เ​ปน็ ท​ พ​่ี งึ่ ข​ องต​ นแ​ ลว้ ​
ผู้​น้ัน​จะ​อยู่​ใน​กลาง​ป่า​หรือ​เรือน​ว่าง​ก็ตาม​ ​สรณะ​ท้ัง​สาม​ปรากฏ​แก่​เขา​
อยท​ู่ กุ เ​มอื่ ​จ​ งึ ว​ า่ เ​ปน็ ท​ พ​ี่ งึ่ แ​ กบ​่ คุ คลจ​ รงิ ​เ​มอ่ื ป​ ฏบิ ตั ต​ิ ามส​ รณะท​ ง้ั ส​ ามจ​ ร​ งิ ๆ​
แล้ว​​จะ​คลาด​แคล้วจ​ ากภ​ ยั ​ทัง้ ​หลาย​​อนั ก​ ่อ​ให้​เกิด​ความร​ อ้ นอ​ ก​รอ้ น​ใจ​ได้​
แนน่ อน​ทีเ​ดียว​ส​ ม​ดังท​ ี่​หลวงปดู​่ ​ู่ท่านพ​ ร่ำย​ ำ้ เ​ตือนศ​ ิษย์อ​ ยู่เ​สมอ​วา่ ​
​ “​พทุ ธั​ง​ธ​ ัมมัง​ส​ ังฆ​งั ​​ใ​ครเ​ช่อื ​จรงิ ​​ทำจ​ ริง​​กจ​็ ะเ​จอข​ อง​จรงิ ​”​

119 ๑๑๙

​๖๘​

อ​ ยา่ ​ให้​ใจ​เหมือน​.​.​.​



ใ​นห​ นงั สอื ง​านพ​ ระราชทานเ​พลงิ ศ​ พข​ องห​ ลวงป​ ข​ู่ าว​อ​ น​ าลโ​ย​แ​ หง่ ​
วัด​ถ้ำ​กลอง​เพล​ ​จังหวัด​อุดรธานี​ ​ซ่ึง​เขียน​โดย​ท่าน​พระ​อาจารย์​มหา​บัว​​
ญาณ​สัม​ปัน​โน​ ​ได้​เล่า​ถึง​คราว​ท่ี​หลวง​ปู่​ขาว​เกิด​ความ​สงสัย​ใน​การ​ปฏิบัติ​
และ​ได้เ​รยี น​ถาม​หลวงป​ ม​ู่ นั่ ​วา่ ​
“​ ใ​นค​ รงั้ พ​ ทุ ธก​ าล​ต​ ามป​ ระวตั ว​ิ า่ ม​ ผ​ี ส​ู้ ำเรจ็ ม​ รรคผลน​ พิ พานม​ ากแ​ ละ​
รวดเรว็ ก​ วา่ ส​ มยั น​ ​ี้ ซ​ ง่ึ ไ​มค​่ อ่ ยม​ ผ​ี ใ​ู้ ดส​ ำเรจ็ ก​ นั ​แ​ มไ​้ มม​่ ากเ​หมอื นค​ รงั้ โ​นน้ ​ห​ าก​
มี​การส​ ำเร็จ​ได้​ก​ ร็​ สู้ ึกจ​ ะช​ า้ ก​ วา่ ​กนั ​มาก​”​
​หลวงป​ ​มู่ ัน่ ​ทา่ น​ตอบว​ า่ ​“ก​ เิ ลสข​ องค​ นใน​พทุ ธ​สมยั ​มค​ี วามเ​บาบาง​
มากก​ วา่ ใ​นส​ มยั ป​ จั จบุ นั ​แ​ มก​้ ารอ​ บรมก​ ง​็ า่ ย​ผ​ ดิ ก​ บั ส​ มยั น​ อ​ี้ ยม​ู่ าก​ป​ ระกอบ​
กบั ผ​ ส​ู้ งั่ ส​ อนใ​นส​ มยั น​ นั้ ก​ เ​็ ปน็ ผ​ ร​ู้ ย​ู้ งิ่ เ​หน็ จ​ รงิ เ​ปน็ ส​ ว่ นม​ าก​ม​ พ​ี ระศ​ าสดาเ​ปน็ ​
พระ​ประมุข​ประธาน​แห่ง​พระ​สาวก​ ใน​การ​ประกาศ​สอน​ธรรม​แก่​หมู่​ชน​
การ​สอน​จึง​ไม่​ค่อย​ผิด​พลาด​คลาด​เคลื่อน​จาก​ความ​จริง​ ​ทรง​ถอด​ออก​มา​
จาก​พระทัย​ท่ี​บริสุทธ์ิ​ล้วนๆ​ ​หยิบ​ยื่น​ให้​ผู้​ฟัง​อย่าง​สดๆ​ ​ร้อน​ๆ​ ​ไม่มี​ธรรม​
แปลก​ปลอมเ​คลอื บแ​ ฝงอ​ อกม​ า​ดว้ ยเ​ลย​
​ ​ผู้​ฟัง​ก็​เป็น​ผู้​มุ่ง​ต่อ​ความ​จริง​อย่าง​เต็มใจ​ซึ่ง​เป็น​ความ​เหมาะ​สม​ทั้ง​

๑๒๐ 120

สอง​ฝ่าย​ ​ผล​ท่ี​ปรากฏ​เป็น​ข้ัน​ๆ​ ​ตาม​ความ​คาด​หมาย​ของ​ผู้​มุ่ง​ความ​จริง​​
จงึ ไ​มม่ ป​ี ญั หาท​ ค​ี่ วรข​ ดั แ​ ยง้ ไ​ดว​้ า่ ​สมยั น​ นั้ ค​ นส​ ำเรจ็ ม​ รรคผลก​ นั ท​ ล​ี ะม​ ากๆ​
จาก​การ​แสดงธ​ รรมแ​ ต่ละ​คร้งั ​ของพ​ ระ​ศาสดาแ​ ละ​พระส​ าวก​
​ ส่วนส​ มัย​นี​ไ้ มค​่ ่อยม​ ใี​คร​สำเร็จ​ได้​ ค​ ลา้ ยก​ บั ค​ นไ​ม่ใช่​คน​ ​ธรรม​ไมใ่ ช่​
ธรรม​​ผล​จงึ ไ​มม่ ี​​ความจ​ รงิ ค​ น​กค​็ อื ​คน​​ธรรม​กค​็ ือ​ธรรม​อยนู่​ ่ันเอง​​แต่ค​ น​
ไม​่สนใจธ​ รรม​ ธ​ รรมก​ ็​เข้าไ​ม่​ถงึ ใจ​ ​จงึ ​กลายเ​ป็นว​ า่ ​ ค​ น​กส็​ ักวา่ ค​ น​ ​ธรรม​ก​็
สักว่า​ธรรม​ ​ไม่​อาจ​ยัง​ประโยชน์​ให้​สำเร็จ​ได้​ ​แม้​คน​จะ​มี​จำนวน​มาก​และ​
แสดง​ใหฟ้​ ัง​ทงั้ ​พระ​ไตร​ปิฎก​จ​ ึง​เป็นเ​หมอื นเ​ทน​ ้ำใ​ส่ห​ ลังห​ มา​​มนั ​สลดั อ​ อก​
เกลี้ยง​ไม่มี​เหลือ​ ​ธรรม​จึง​ไม่มี​ความ​หมาย​ใน​ใจ​ของ​คน ​เหมือน​น้ำ​ไม่มี ​
ความ​หมายบ​ นห​ ลังห​ มา ฉ​ ะน้นั ​”​
​ ขา้ พเจ้าอ​ ด​นึก​ถาม​ตวั เ​องไ​ม​ไ่ ด​้วา่ .​.​.​​
​ “​แล้ว​เราล​ ะ่ ​เ​วลาน​ ้ี​​ใจเ​ราเ​ป็น​เหมือนห​ ลังห​ มา​หรอื ​เปล่า​”​

121 ๑๒๑

​๖๙​

ว​ ัตถ​สุ มบัติ​​ธรรม​สมบัติ​



ท่ามกลาง​ความ​หลาก​หลาย​ของ​อารมณ์​ ​ความ​รู้สึก​นึกคิด​ ​และ​
กระแสแ​ หง่ ค​ วามแ​ สวงหา​ใ​จท​ กุ ด​ วงท​ ม​่ี ค​ี วามเ​รา่ รอ้ นว​นุ่ ว​ายส​ บั สน​เ​ปา้ หมาย​
คอื เ​พอื่ ใ​หไ​้ ดส​้ งิ่ ท​ ต​ี่ อ้ งการม​ า​แ​ ตเ​่ มอื่ ไ​ดส​้ ง่ิ ท​ ค​่ี ดิ ว​ า่ ต​ อ้ งการม​ าแ​ ลว้ ​ก​ ด​็ เ​ู หมอื น​
ว่า​ยิ่ง​แสวงหา​ ​ก็​ย่ิง​ต้อง​ด้ินรน​มาก​ขึ้น​ ​สิ่ง​ที่​ได้​มา​นั้น​มี​สุข​น้อย​มี​ทุกข์​มาก​​
หากจ​ ะม​ ส​ี ขุ บ​ า้ งก​ เ​็ ปน็ เ​พยี งส​ ขุ เ​ลก็ น​ อ้ ยใ​นเ​บอื้ งต​ น้ ​แ​ ตใ​่ นท​ สี่ ดุ ก​ ก​็ ลบั ก​ ลาย​
เป็น​ทกุ ขอ​์ ีก​​เป็นอ​ ยา่ ง​น​ซ้ี ้ำ​แลว้ ​ซ้ำ​เลา่ ​อารมณต​์ ่างๆ​​เหล่าน​ ้​ี ​ไม่​เพียง​พอที​่
จะใ​หเ​้ กดิ ค​ วามช​ มุ่ ฉ​ ำ่ เ​ยน็ ใจอ​ บอนุ่ ไ​ดย​้ าวนาน​ห​ ากแ​ ตเ​่ ปน็ อ​ ารมณท​์ ค​่ี า้ งใ​จ​
อยต​ู่ ลอดเ​วลาท​ ำใหอ​้ ยากด​ นิ้ รนแ​ สวงหาส​ งิ่ ใ​หมม​่ าท​ ดแทนอ​ ยเ​ู่ สมอ​น​ เ​ี้ ปน็ ​
ธรรมดา​ของ​.​..​ว​ ตั ถส​ุ มบัต​ิ
​ ส่วน​.​.​.​ธรรม​สมบัติ​ ​นั้น​ ​จะ​ยัง​ความ​ชุ่ม​ชื่น​ ​เพียง​พอ​ให้​เกิด​ข้ึน​แก่​
จิตใจ​ได้​ม​ ​ีลกั ษณะ​เปน็ ​ความส​ ขุ ​ที​ไ่ ม่​กลับก​ ลาย​มาเ​ป็นค​ วาม​ทกุ ข์​อีก​ว​ ตั ถุ​
สมบัติ​ย่ิง​ใช้​นับ​วัน​ยิ่ง​หมด​ไป​ ​ต้อง​ขวนขวาย​แสวงหา​เพ่ิม​เติม​ด้วย​ความ​
กังวล​ใจ​ ​ธรรม​สมบัติ​ย่ิง​ใช้​นับ​วัน​ยิ่ง​เจริญ​งอกงาม​ข้ึน​ ​ก่อ​ให้​เกิด​ความ​สุข​​
สงบ​เ​ยน็ ใจ​แก​่ตน​และ​คน​รอบข​ ้าง​
​ คงไ​มม่ ใี​คร​ที​ไ่ ด​ร้ ้จู กั ห​ ลวงป่ปู​ ฏเิ สธว​ ่า​ห​ ลวงปทู​่ ่าน​เป็นแ​ บบ​อย่าง​ท่​ี

๑๒๒ 122

ดี​ของ​บุคคล​ที่​ใช้​ธรรม​สมบัติ​ ​ยัง​ความ​สงบ​เย็น​ให้​แก่​ใจ​ทุก​ดวง​ท่ี​ได้​เข้า​มา​
ใกล้​ชดิ ท​ ่าน​ไม​เ่ ฉพาะค​ น​หรือ​สัตว​์ ​แตร​่ วม​ไป​ถงึ เ​หล่า​เทพยดาแ​ ละอ​ มนษุ ย์​
ทงั้ ห​ ลายท​ ศ​่ี ษิ ยข​์ องห​ ลวงปห​ู่ ลายค​ น​ต​ า่ งม​ ป​ี ระสบการณอ​์ นั เ​ปน็ ​ป​ จั จตั ต​ งั ​
และส​ ามารถเ​ป็น​ประจกั ษพ์​ ยานไ​ด้อ​ ย่างด​ ​ี
​ หลวงป่เู​คย​บอกข​ า้ พเจา้ ​ว่า​
“​ ค​ น​ทำ​(​​ภาวนา​)​เ​ป็น​น​ี่ ​ใครๆ​ ​​ก​็รกั ​
​ ไม่​เฉพาะ​คน​​หรอื ​สตั วท​์ รี่ ัก​
​ แม้แตเ่​ทวดาเ​ขาก​ ็​อนโุ มทนา​ดว้ ย”​ ​

123 ๑๒๓

​๗๐​

​ทำไม​หลวงป่​ู ?



สมัย​ที่​พระพุทธเจ้า​ประทับ​อยู่​ใน​วัดพระ​เชต​วันฯ​ ​ทรง​ปลง​อายุ​
สงั ขารแ​ ล้วน​ น้ั ​ไ​ดท้​ รง​ปรารภ​เรื่องพ​ ระ​ติส​สะ​เถระ​ในค​ ราว​ท่พ​ี ระองค​จ์ วน​
จะ​ปรนิ พิ พาน​​ม​คี วามต​ อน​หนง่ึ ท​ ​ท่ี า่ นพ​ ระ​อาจารยม​์ หาบ​ วั ​​ญาณ​สมั ป​ นั โน​
ไดน​้ ำม​ าถ​ า่ ยทอดอ​ บรม​ศ​ ษิ ยไ​์ วใ​้ นห​ นงั สอื “​ ค​ วามร​กั เ​สมอต​ นไ​มม่ ”​ี ​ค​ วามว​ า่ ​
​ “​ก่อน​จะ​ปรินิพพาน ​จาก​วัน​ปลง​พระชนม์​ไป​ถึง​วันเพ็ญเดือน​หก​
​พระ​สงฆ์​ยุ่ง​กัน​ใหญ่​ ​พอ​ปลง​พระชนม์​ว่า​จะ​ปรินิพพาน​ ​ยุ่ง​กัน​ เกาะ​กัน​
เป็น​ฝูง​ๆ​ ​ว่า​ง้ัน​เลย​ ​อย่า​ว่า​เป็น​คณะ​ๆ​ ​เลย​ ​เป็น​ฝูง​ๆ​ ​คือ​จิตใจ​มัน​ยุ่ง​
แต่​ภายนอก​ มี​พระ​ติส​สะ​องค์​เดียว​ไม่​ยุ่ง​กับ​ใคร​ ​เข้า​อยู่​ใน​ป่า​ตลอด​ทั้ง​
วัน​ท้ัง​คืน​ ​แล้ว​พระ​บ้า​เหล่า​นี้​หา​ว่า​พระ​ติส​สะ​ไม่มี​ความ​จงรัก​ภักดี​ต่อ​
พระพทุ ธเจา้ ​พ​ ระพทุ ธเจา้ จ​ ะป​ รนิ พิ พาน​พ​ ระต​ สิ ส​ ะไ​มเ​่ หน็ ม​ าป​ รารภอ​ ะไร​
เลย​อ​ ยแ​ู่ ตใ​่ นป​ า่ ​จ​ งึ พ​ าก​ นั เ​ขา้ ฟ​ อ้ งพ​ ระพทุ ธเจา้ ว​ า่ พ​ ระต​ สิ ส​ ะไ​มม่ ค​ี วามห​ วงั ด​ ​ี
ใน​พระพุทธเจา้ ​​ไม่ม​คี วามเ​ยอ่ื ​ใย​ใน​พระพุทธเจ้า​ห​ ลกี ​ไปอ​ ย​่แู ต​อ่ งค​์เดียว​
​พระองค์​เป็น​ผู้ทรง​เหตุผล​อยู่​แล้ว จึง​รับส่ัง​เรียกพระ​ติส​สะ​มา
เข้าเฝ้า​ท่ามกลาง​สงฆ​์ ​ไหน​วา่ ​อยา่ งไร​พระ​ตสิ ​สะ​ เวลา​น​้พี วก​บา้ ​น​้ี ​ถา้ ​เปน็ ​
หลวง​ตา​บัว​จะ​พูด​อย่างน้นั ​ ​เวลา​น้​ีพวก​บ้า​น่นั ​ว่า​เธอ​ไม่มี​ความ​จงรัก​ภักดี​

๑๒๔ 124

ตอ่ ​เราตถาคต​​เธอไป​แอบ​อยค​ู่ นเ​ดยี วท​ ง้ั ​วนั ท​ ง้ั ค​ นื ​​ไม​เ่ ขา้ ​มา​เกย่ี วขอ้ งม​ ว่ั สมุ ​
กบั ห​ ม​เู่ พอ่ื นเ​ลย​ว​ า่ ​อยา่ งไร​พระ​ตสิ ส​ ะ​
​ “ขา้ พ​ ระองคม​์ ค​ี วามจ​ งรกั ภ​ กั ดต​ี อ่ พ​ ระองคส​์ ดุ ห​ วั ใจ”​น​ นั่ เ​วลาต​ อบ​
“ที่​ข้า​พระองค์​ไม่​ได้​มา​เก่ียวข้อง​กับ​หมู่​เพื่อน​ ​ก็​เพราะ​เห็น​ว่า​เวลา​ของ​
พระองค์​นั้น​กำหนด​ไว้​เรียบร้อย​แล้ว​ ​จากวัน​น้ี​ถึง​วัน​นั้น​จะ​ปรินิพพาน​​
ข้าพระองค์จึง​รีบ​เร่ง​ขวนขวาย​ให้ได้​บรรลุ​ธรรม​ใน​เวลา​ท่ี​พระองค์​ยัง​ทรง​
พระชนมอ​์ ย​ู่ ข​ า้ พ​ ระองคต​์ อ้ งร​บี เ​รง่ ข​ วนขวายท​ างด​ า้ นจ​ ติ ใจ​ไ​มไ​่ ดเ​้ กย่ี วขอ้ ง​
กบั ใ​คร​เลย​ท้ังว​ ัน​ทงั้ ค​ นื ”​​
พระพทุ ธองค์ ตรัสว่า เอ้อ​ถ​ กู ​ตอ้ งแ​ ลว้ ​ตสิ ​สะ​ส​ าธ​ุๆ​​ถูกต​ ้อง​แล้ว​​
จากน​ น้ั ​ก็​ยกข​ ้ึนเ​ปน็ ภ​ าษิตว​ ่า​​
“ผ​ ใ​ู้ ดป​ ฏบิ ตั ธ​ิ รรมส​ มควรแ​ กธ​่ รรม​ผน​ู้ น้ั ช​ อ่ื ว​ า่ บ​ ชู าเ​ราต​ ถาคต.​.​.​”​ ​
​คำ​ว่า​ปฏิบัติ​ธรรม​สมควร​แก่​ธรรม​น้ี ​ทำให้​ข้าพเจ้า​นึกถึง​คร้ัง​ท่ี​มี​เพื่อน
​ผู้​หน่ึง​มา​ปรารภ​ให้​ฟัง​เก่ียว​กับ​การ​ภาวนา​ของ​ตน​ว่า​ ​“​ไม่​ก้าวหน้าเลย​
ทำไมห​ ลวงปู่​ไม​ม่ า​สอน​ผม​ท​ ำไมห​ ลวงป​ไู่ มช่​ ่วย​ท​ ำไมห​ ลวงป​.ู่ ​.​.​”​
​ หลวงป​ดู่ ​ไู่ ดเ​้ คยใ​ห​ก้ ำลงั ​ใจใ​นก​ ารป​ ฏบิ ตั แ​ิ กข​่ า้ พเจา้ ​วา่ ​“​ ​หมน่ั ​ทำเ​ขา้ ​
ไว​้ พ​ ระ​ทา่ นค​ อยจ​ ะ​ชว่ ย​เราอ​ ย​แู่ ลว้ ​เ​ราไ​ดช​้ ว่ ย​เหลอื ต​ วั เ​อง​กอ่ น​หรอื ย​ งั ​”​
ขา้ พเจา้ จ​ งึ ต​ อบเ​พอ่ื นผ​ น​ู้ นั้ ก​ ลบั ไ​ปว​ า่ ​อ​ ยา่ ม​ วั แ​ ตถ​่ ามว​ า่ ท​ ำไมห​ ลวงป​ู่
.​.​.​​ทำไม​หลวงป่.ู​​..​แ​ ตค่​ วรถ​ ามต​ ัวเ​รา​เอง​วา่ ​
“​ ​ทำไม​เรา​ไม​ท่ ำตวั ใ​ห​ส้ มก​ บั ท​ ี่​ท่านส​ อน​ล่ะ​
​เราป​ ฏิบัต​ิธรรม​สมควร​แก่​ธรรม​แลว้ ห​ รอื ย​ งั ​”​

125 ๑๒๕

​ ถ้า​เรา​ปฏิบตั ​ธิ รรมส​ มควรแ​ ก​่ธรรมแ​ ล้ว​ ​ได้​เตรยี ม​ใจข​ องเ​รา​ให​เ้ ป็น​
ภาชนะ​อย่าง​ดี​สำหรับ​รองรับ​ธรรม​ ​สามารถ​เก็บ​รักษา​ธรรม​มิ​ให้​ตกหล่น​​
สูญหาย​ไปไ​ด​้ ข​ ้าพเจา้ เ​ชอื่ เ​หลือ​เกนิ ​วา่ ​..​.​​
​ พระพุทธเจ้าแ​ ละ​หลวงป่ไ​ู ม​่ทิง้ ​เรา​แนน่ อน​

๑๒๖ 126

​๗๑​

​“​งาน”​ ​​ของ​หลวงป​ู่


ทุก​ชีวิต​ย่อม​มี​งาน​ ​เพราะ​งาน​เป็น​ส่วน​หน่ึง​ของ​ชีวิต ​บางที​เรา​อาจ​ลืม​ไป​
ว่า​ง​านข​ อง​ชีวิตท​ ี​เ่ รา​ทำอ​ ย่ดู แ​ี ล้วพ​ อแล้ว​​แตย​่ งั ม​ ี​งาน​อนื่ ​ท่​นี อก​เหนอื ​จาก​
หนา้ ทก​่ี ารง​านห​ รอื ง​านป​ ระจำท​ เ​่ี ราท​ ำอ​ ย​ู่ ท​ า่ นพ​ ทุ ธท​ าสภ​ กิ ขเ​ุ คยใ​หโ​้ อวาท​
ตอน​หนึง่ ว​ า่ ​
​“​.​.​.​.​.​ให้​เอางาน​ใน​ความ​หมาย​ของ​คน​ทั่วไป​เป็น​งาน​อดิเรก​​
เอางานค​ อื ก​ ารป​ ฏบิ ตั ธ​ิ รรมเ​ปน็ ง​านห​ ลกั ข​ องช​ วี ติ เ​ปน็ การง​านท​ แี่ ทจ​้ รงิ ​
ของ​ชีวติ ”​ ​
​ ถ้า​เรา​เข้าใจ​ใน​ความ​หมาย​น้ี​ ​ชีวิต​จะ​สดใส​ขึ้น​ ​ปลอด​โปร่ง​ใจ​ขึ้น​​
ความ​กังวล​ความ​กลัดกลุ้ม​จะ​ลด​ลง​ ​ความ​โลภ​ความ​โกรธ​ความ​หลง​จะ​
ลด​ลง​​หาก​ได​้ฝึกส​ งั เกต​ความค​ ิด​และ​ความร​ ้สู กึ ข​ องต​ นเอง​​นเี่​ปน็ ​งาน​ของ​
ชวี ิต​อีก​ระดับ​หน่งึ ท​ ค​่ี วร​ทำความ​เข้าใจแ​ ละป​ ฏิบตั ​ิให​ถ้ ูก​ตอ้ ง​​หลวงปูด่​ มู​่ ัก​
จะใ​ชค​้ ำศ​ พั ทท​์ ว​่ี า่ ใ​หไ​้ ป“​ ท​ ำงาน”​ ​ก​ บั ล​ กู ศ​ ษิ ย​์ ซ​ งึ่ ห​ มายถ​ งึ ​ใ​หไ​้ ป​“​ ภ​ าวนา”​
หรือ​อีก​นัย​หนึ่ง​ ​“​งาน​”​ ​ใน​ความ​หมาย​ของ​ท่าน​ ​ก็​คือ​ ​“​งาน​ร้ือวัฏฏะ​”​​
น่นั เอง​
ท่านเ​คย​บอก​ขา้ พเจ้าว​ า่ ​

127 ๑๒๗

​ “​ทุก​อย่าง​ท่ี​เรา​ทำ​วัน​นี้​ ​เพื่อ​เอา​ไว้​กิน​วัน​ข้าง​หน้า​ ​พอ​ตาย​แล้ว​​
โลกเ​ขา​ขนเ​อาบ​ าป​กนั ไ​ป​แ​ ต​เ่ รา​จะข​ นเ​อาบ​ ุญ​เ​อาน​ พิ พาน​ไป”​ ​
ใ​นค​ รง้ั พ​ ทุ ธก​ าล​พ​ ระพทุ ธเจา้ ไ​ดต​้ รสั ก​ บั พ​ ระอ​ านนทแ​์ ละพ​ ระอ​ รห​ นั ต​ ​์
ทั้ง​หลายว​ ่า​
​ “ด​ ก​ู อ่ นภ​ กิ ษท​ุ ง้ั ห​ ลาย​บ​ คุ คลผ​ จ​ู้ ะไ​ปส​ ส​ู่ คุ ตไ​ิ ดน​้ นั้ น​ อ้ ยม​ าก​เ​ทา่ กบั ​
โคส​ องเ​ขาเ​ทา่ นนั้ ​ผ​ ท​ู้ จ​่ี ะต​ กอ​ ยใ​ู่ นห​ ว้ งข​ องอ​ บายภ​ มู น​ิ นั้ ม​ เ​ี ทา่ ก​ นั ก​ บั ข​ นโ​ค​
ทง้ั ​ตัว”​ ​
​ อันท​ ​ี่จริง​มนุษย​์แต่ละ​คน​อย​ใู่ น​โลก​นชี้​ ่วั ร​ ะยะ​เวลาส​ ้นั เ​หลือ​เกนิ ​​ถ้า​
เทยี บ​กบั ​อาย​ุของ​โลกห​ รือ​อายุ​ของจ​ ักรวาล​
​ ถูกข​ อง​หลวงป​ูเ่ ป็นท​ ่ีสุด​.​.​.​
เ​วลาไ​มก​่ ป​ี่ บ​ี นโ​ลกใ​บน​ ​ี้ เ​ราย​ งั เ​ตรยี มอ​ ะไรก​ นั ต​ งั้ ม​ ากมาย​ข​ วนขวาย​
หาซ​ อ้ื บ​ า้ น​ซ​ อ้ื ท​ ดี่ นิ ​ซ​ อื้ ร​ถยนต​์ ห​ าเงนิ เ​กบ็ เ​งนิ ฝ​ ากธ​ นาคาร​แ​ สวงหาส​ มบตั ​ิ
พสั ถาน​จปิ าถะ​แ​ ละย​ งั ต​ อ้ งแ​ สวงห​ าไ​วเ​้ ผอื่ ล​ กู เ​มยี ​บ​ างค​ นถ​ งึ ร​ นุ่ ห​ ลานก​ ย​็ งั ​
กนิ ​ไม่​หมด​เลยท​ ีเ​ดียว​ท​ กุ ช​ วี ติ ​สนิ้ ​สดุ ท​ ​่ี “​ ตาย”​ค​ ำเ​ดยี ว​เสมอ​กัน​หมด​​เรา​
พรอ้ ม​สำหรับว​ ันน​ ้นั ​หรอื ย​ งั ​
​มา​ทำงาน​ถวายห​ ลวงป่​ูกันเ​ถอะ​


๑๒๘ 128

๗​ ๒​

ข​ อเ​พียง​ความร​ ้สู ึก​

​นัก​ปฏิบัติ​ภาวนา​หลาย​ท่าน​ชอบ​ติด​อยู่​กับ​การ​ทำ​สมาธิ​แบบ​สงบ ​
ไม่​ชอบ​ท่ี​จะ​ใช้​ปัญญา​พิจารณา​เรื่อง​ราว​ต่างๆ​ ​ให้​เห็น​เหตุ​และ​ผล​ ​ให้​ลง​
หลักค​ วาม​จรงิ ​ห​ ากจ​ ะถ​ ามว​ า่ ​พิจารณา​อย่างไร?​​
​ คร้ัง​หน่ึง​ ​หลวงปู่​เคย​ยก​ตัวอย่าง​ให้​ข้าพเจ้า​ฟัง​ว่า​ ​หาก​ใจ​เรา​ว่าง​
จาก​การ​พิจารณา​เรื่อง​เกี่ยว​กับ​ความ​จริง​ของ​ชีวิต​แล้ว​ ​เร่ือง​ที่​ควร​สนใจ​
ศกึ ษาน​ อ้ มนำม​ าพ​ จิ ารณาใ​หม​้ ากอ​ กี เ​รอ่ื งห​ นง่ึ ​ค​ อื ​พ​ ทุ ธป​ ระวตั ​ิ ป​ ระวตั ข​ิ อง​
ครูบา​อาจารย์​องค์​ต่างๆ​ ​ได้แก่​ ​ท่าน​พระ​อาจารย์​มั่น​ ​ภูริ​ทัต​โต​ ​ท่าน​
พระ​อาจารย​์มหาบ​ วั ​ญ​ าณส​ ัม​ปัน​โน​เ​ปน็ ต้น​​
​ การพ​ ิจารณาน​ ้ัน​​ขอใ​ห้​เทียบ​เคียงค​ วามร​ ้สู กึ ว​ ่า​เ​ราม​ คี​ วามร​ ​ูค้ วาม​
เข้าใจ​ใน​เร่ือง​ที่​ศึกษา​มาก​ข้ึน​เพียง​ใด​ ​เช่น​ ​ใน​ช่วง​ปี​แรก​ที่​เรา​ได้​รู้จัก​ท่าน​
พระ​อาจารย์​มหา​บัว​ ​ญาณ​สัม​ปัน​โน​ ​เรา​มี​ความ​รู้สึก​เคารพ​เลื่อม​ใส​ท่าน​
อยา่ งไร​ต​ อ่ ม​ าเ​ราไ​ดไ​้ ปอ​ ยป​ู่ ฏบิ ตั ภ​ิ าวนาท​ ว​ี่ ดั ข​ องท​ า่ น​ไ​ดเ​้ หน็ ข​ อ้ ว​ ตั รป​ ฏบิ ตั ​ิ
ตา่ งๆ​​ของ​ท่าน​ไ​ด้​เห็นส​ าธารณประโยชน์​หลายอ​ ยา่ ง​ท่​ที ่านพ​ า​ทำ​ค​ วาม​
รู้สึก​เคารพ​เลื่อม​ใส​ศรัทธา​ของ​เรา​ย่อม​มี​มาก​ขึ้น​ฉันใด​ ​การ​ศึกษา​พุทธ-​
ประวัติก​ ฉ็​ นั ​นั้น​

129 ๑๒๙

ใ​นร​ะยะแ​ รกข​ องก​ ารศ​ กึ ษา.​.​.​เ​ราอ​ าจจ​ ะย​ งั ไ​มม่ ค​ี วามเ​คารพเ​ลอื่ มใ​ส​
ในพ​ ระพทุ ธเจา้ ม​ ากน​ กั ​แ​ ตเ​่ มอื่ เ​ราไ​ดป​้ ฏบิ ตั ภ​ิ าวนาม​ ากข​ นึ้ ​ไ​ดพ​้ จิ ารณาม​ าก​
ขน้ึ ​ก​ ารไ​ดอ​้ า่ นเ​รอื่ งข​ องเ​จา้ ช​ ายส​ ทิ ธตั ถ​ ะ​จ​ ะไ​มเ​่ ปน็ เ​พยี งก​ ารอ​ า่ นเ​รอ่ื งร​ าว​
ของ​เจ้าช​ ายท​ ล่​ี ะทิ้ง​ปราสาทร​ าชวงั ​ท​ งิ้ พ​ ระ​ชายา​พ​ ระโ​อรส​​เหมือนส​ มัย​
เรา​เป็น​เด็ก​ที่​เพ่ิง​เร่ิม​ศึกษา​พุทธ​ประวัติ​หาก​แต่​เรา​จะ​สามารถ​เข้าใจ​ความ​
รู้สึก​ของ​เจ้า​ชาย​สิทธัต​ถะ​ ​ใน​แต่ละ​เหตุการณ์​ของ​พุทธ​ประวัติ​ได้​อย่าง​ดี​​
จาก​ศรัทธา​ธรรมดา​ท่ี​เคย​มี​ใน​ใจ​ ​จะ​เริ่ม​ก่อ​ตัว​มั่นคง​ยิ่ง​ขึ้น​ ​จน​กลาย​เป็น​​
ตถาคต​โพธ​ิสทั ธา​​คือ​​ความ​เช่ือ​ใน​ปัญญาต​ รัสร​ู้ของ​พระพทุ ธเจ้า​เ​มอื่ น​ ้นั ​
ความ​ปีติ​ ​อิ่ม​เอิบ​ ​และ​สงบ​เย็น​จะ​ปรากฏ​ข้ึน​ใน​ใจ​ ​ใจ​กับ​ธรรม​ที่​เคย​แยก​
เป็น​คนละ​ส่วน​กัน​ ​จะ​กลาย​เป็นใจ​กับ​ธรรม​ที่​ผสม​ผสาน​เป็น​อัน​หน่ึง​อัน​
เดียวกนั ​
​ การ​ฟัง​เทศน์​จาก​ครู​อาจารย์​ท่ี​เคย​ฟัง​ผ่าน​เพียง​โสต​วิญญาณ​ ​จะ​
กลายเ​ปน็ การฟ​ งั ธ​ รรมท​ ก​่ี ารฟ​ งั น​ น้ั ส​ มั ผสั ล​ งส​ ม​ู่ โนว​ ญิ ญาณ​ส​ ามารถเ​ขา้ ถ​ งึ ​
ความร​ ู้สกึ ​ของใ​จ​อย่างแ​ ท้จรงิ ​

๑๓๐ 130 ๗​​ ๓​

​ ​ปาฏิหารยิ ์​

ขา้ พเจา้ ข​ ออ​ นญุ าตเ​ขยี นเ​รอ่ื งน​ ​ี้ เ​พอื่ ท​ ท​ี่ า่ นผ​ อ​ู้ า่ นจ​ ะไ​ดม​้ ค​ี วามเ​ขา้ ใจ​
ใน​วิธี​การ​สอน​ของ​หลวงปู่​ดู่​มาก​ยิ่ง​ข้ึน​ ​โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​ใน​เร่ือง​ของ​​
​“​ปาฏิหาริย์​”​ ​ที่​คน​ส่วน​ใหญ่​เข้าใจ​กัน​แต่​เพียง​ความ​หมาย​ของ​ ​“​อิทธิ-​
ปาฏิหาริย์​”​ ​และ​เหมา​รวม​ว่า​เป็น​สิ่ง​เดียวกัน ​ซึ่ง​เป็น​ความ​เข้าใจ​ที่​ไม่ ​
ถูก​ต้อง​ ​เท่า​ท่ี​ข้าพเจ้า​ได้ยิน​ได้​ฟัง​จาก​เพื่อน​หมู่​คณะ​และ​ที่​ประสบ​ด้วย​
ตนเอง​ ​จึง​เชื่อ​เหลือ​เกิน​ว่า​ศิษย์​หลวงปู่​หลาย​ๆ​ ​ท่าน​เคย​มี​ประสบการณ์​
และเ​หน็ ช​ ดั ด​ ว้ ยต​ นเองม​ าแ​ ลว้ ​ในพ​ ระพทุ ธศ​ าสนาน​ ​ี้ พ​ ระพทุ ธเจา้ ท​ า่ นส​ อน​
เร่ือง​ปาฏิหาริยไ​์ ว้ม​ ​ี ๓​ ​​อยา่ ง​ค​ อื ​
​ ๑.​​อ​ ทิ ธป​ิ าฏหิ ารยิ ​์ ค​ อื ​ป​ าฏหิ ารยิ ใ​์ นเ​รอ่ื งก​ ารแ​ สดงฤ​ ทธ​์ิ แ​ สดงค​ วาม​
​เป็น​ผวู้​ ิเศษ​​ดล​บันดาลส​ ิ่ง​ตา่ งๆ​ ​เ​หาะเ​หนิ ​เ​ดินอ​ ากาศ​​นิรมิต​กาย​ให้​เปน็ ​
หลาย​คน​ได้​​มห​ี ท​ู ิพย​์ ต​ า​ทิพย์​​เป็นต้น​
​๒​.​อ​ าเทศ​นา​ปาฏหิ ารยิ ์​ค​ อื ​​การท​ ายใ​จ​​ทาย​ความ​รู้สกึ ​ในใ​จ​​ทาย​
ความค​ ิดข​ องผ​ ู้ถ​ กู ​สอน​ได​้
๓​.​อ​ นส​ุ า​สน​ีปาฏหิ ารยิ ์​ค​ อื ​​คำ​สอน​ท่ีแ​ สดง​ความ​จรงิ ใ​ห​ผ้ ฟ​ู้ งั ร​ ​แู้ ละ​
เข้าใจ​​มอง​เหน็ ค​ วาม​เปน็ จ​ ริงข​ อง​โลก​ใ​ห้ผ​ ูฟ้​ งั ได​้ปฏบิ ตั ิต​ าม​อย่างน​ ี​้ ​ละเวน้ ​

131 ๑๓๑

การป​ ฏบิ ตั อ​ิ ยา่ งน​ นั้ ​แ​ ละย​ งั ส​ ามารถน​ ำไ​ปป​ ระพฤตป​ิ ฏบิ ตั ต​ิ าม​จ​ นร​เ​ู้ หน็ ไ​ด​้
ผล​จริงด​ ้วย​ตนเอง​
​ ปาฏิหาริย์​ท้ัง​ ​๓​ ​อย่าง​น้ี​ ​พระพุทธเจ้า​ไม่​ทรง​สรรเสริญ​ ​๒​ ​อย่าง​
แรก​ค​ ือ​​อิทธิ​ปาฏหิ ารยิ ์​แ​ ละอ​ าเทศน​ าป​ าฏิหารยิ ์​​หากแ​ สดง​เพียง​อย่าง​
ใดอ​ ยา่ งห​ นงึ่ แ​ ละไ​มน​่ ำไ​ปส​ อ​ู่ นส​ุ าสนป​ี าฏหิ ารยิ ซ​์ ง่ึ เ​ปน็ ป​ าฏห​ิ าร​ยิ ท​์ พ​่ี ระองค​์
ทรง​สรรเสริญ​มาก​ทส่ี ุด​
​ ใน เก​วฏั ฏ​สตู ร ​ได้​เลา่ ถ​ งึ ​ครง้ั พ​ ทุ ธ​กาล​​ม​ชี าวบ​ ้าน​ท​เ่ี มอื งน​ า​ลันทา​
ช่ือ​ เก​วัฏฏะ​ ​ได้​กราบทูล​พระพุทธเจ้า​ ​ขอ​อนุญาต​ให้​พระ​ภิกษุ​รูป​หนึ่ง​
กระทำ​อิทธิ​ปาฏิหาริย์​ ​เพื่อ​ให้​ชาว​เมือง​นา​ลัน​ทา​เล่ือม​ใส​ใน​พระพุทธเจ้า​​
พระพุทธเจ้า​ทรง​ตอบ​เกวัฏฏะ​สรุป​ได้​ความ​ว่า​ ​ทรง​รังเกียจ​ปาฏิหาริย์​
ประเภท​ฤทธิ​์ ​เน่ืองจาก​ปาฏหิ าริยป​์ ระเภท​ฤทธ​ิ์ ​แม้จ​ ะ​ม​ีฤทธ​มิ์ ากมาย​แ​ ต่​
ก็​ไม่​อาจ​ทำให้​ผู้​ถูก​สอน​รู้​ความ​จริง​ใน​สิ่ง​ทั้ง​หลาย​ ​ไม่​สามารถ​แก้​ข้อ​สงสัย​
ใน​ใจ​ตน​ได้​ ​เมื่อ​แสดง​แล้ว​ผู้​ได้​พบเห็น​หรือ​ได้ยิน​ได้​ฟัง​ก็​จะ​งง​ ​ดู​เหมือน​
ผท​ู้ แ​ี่ สดงจะเ​กง่ ฝา่ ยเดยี ว ในขณะทผ​่ี ถ​ู้ กู ส​ อนก​ ย​็ งั ม​ ค​ี วามไ​มร่ อ​ู้ ยเ​ู่ หมอื นเ​ดมิ ​
สว่ นอนส​ุ าสนป​ี าฏหิ ารยิ ์นน้ั จ​ ะท​ ำใหผ​้ ​ฟู้ งั เ​กิดป​ ญั ญา​ไ​ดร้​ ค​ู้ วามจ​ รงิ ​ไ​มต​่ อ้ ง​
มัว​พึ่งพาผ​ ทู​้ แ่​ี สดง​ปาฏิหาริย​์ แ​ ต​่จะ​สามารถ​พ่งึ พาต​ นเอง​ได​้
​ เหตุผล​อีก​ประการ​หน่ึง​ ​คือ​หาก​ชาว​พุทธ​มัว​แต่​ยกย่อง​ผู้​มี​อิทธิ-​
ปาฏิหาริย์​แล้ว​อาจ​ทำให้​เสีย​หลัก​ศาสนา​ได้​ ​เน่ืองจาก​พระ​สงฆ์​ผู้​ปฏิบัติ​ดี​
​ปฏิบัติ​ชอบ​ ​แต่​ไม่มี​อิทธิ​ปาฏิหาริย์​ซ่ึง​มี​อยู่​เป็น​จำนวน​มาก​ ​จะ​ไม่​ได้​รับ​
การ​บำรุง​จาก​ชาว​บ้าน​ ​แต่​ผู้​ที่​ไม่มี​คุณ​ธรรม​เป็น​สาระ​แก่น​สาร​ ​หาก​แต่​ม​ี

๑๓๒ 132

อทิ ธปิ​ าฏหิ าริย​์ ​จะ​มีผ​ ู้คนศ​ รัทธาใ​ห​้ความเ​คารพน​ ับถอื แ​ ทน​
​ อย่างไร​ก็ตาม​พระพุทธเจ้า​ก็​มิได้​ทรง​ละ​การ​ทำ​ฤทธิ์​และ​ดัก​ทาย​ใจ​
ถ้า​เรา​ได้​ศึกษา​พุทธ​ประวัติ​ใน​บท​สวด​พา​หุง​ฯ ​จะ​พบ​ว่า​พระองค์​ทรง​ใช้​
ฤทธ​ิ์ปราบ​​เชน่ ​เ​ร่ือง​พระอ​ ง​คุ​ลิ​มาล​ห​ รอื ​​ทรงใ​ช้ฤ​ ทธ์ิ​ปราบ​ฤทธิ​์ เ​ช่น​เ​รือ่ ง​
ปราบ​พญานาค​ท​ช่ี ่อื ​นนั โ​ทป​ นนั ท​ ะ​ห​ รือ​เรอื่ ง​ปราบท​ ิฏฐิ​ทา้ วพ​ กาพ​ รหม​
เม่ือ​ปราบ​เสร็จ​ก็​เข้า​สู่​อนุ​ศาสน​ีปาฏิหาริย์​ ​คือ​ ​ทรง​แสดง​คำ​สอน​ท่ี​ทำให้​
เห็น​หลัก​ความ​เป็น​จริง​ซ่ึง​เม่ือ​ผู้​ใด​ปฏิบัติ​ตาม​ก็​ย่อม​จะ​พบ​ความ​จริง​แห่ง​
ความ​พน้ ท​ กุ ข์​
​ หลวงปด​ู่ ท​ู่ า่ นก​ ไ็ ดด​้ ำเนนิ ต​ ามพ​ ทุ ธว​ ธิ ก​ี ารส​ อนน​ เ​้ี ชน่ ก​ นั ​ข​ า้ พเจา้ แ​ ละ​
เพ่อื นห​ มูค​่ ณะ​หลาย​ท่านข​ อเ​ป็นป​ ระจักษ์พ​ ยาน​​ใน​ระยะ​แรกท​ ข่ี​ า้ พเจา้ ไ​ด​้
มาว​ ดั ส​ ะแกแ​ ละพ​ บก​ บั เ​หตกุ ารณต​์ า่ งๆ​ท​ เ​่ี รยี กก​ นั ว​ า่ ​“​ ป​ าฏหิ ารยิ ”​์ ​อ​ นั เ​กยี่ ว​
เน่ือง​กับ​หลวงปู่​ดู่​น้ี​ ​ข้าพเจ้า​รู้สึก​แปลก​ใจ​และ​งุนงง​กับ​เรื่อง​ราว​ท่ี​เกิด​ข้ึน​
ต่อ​มา​เม่ือ​ได้​ศึกษา​คำ​สอน​ของ​ครูบา​อาจารย์​มาก​ข้ึน​ ​จึง​เร่ิม​มี​ความ​เข้าใจ​
ท​ถ่ี กู ​แ​ ละ​เริม่ ​รู​้ว่า​หลวงป​ู่ต้องการจ​ ะ​สอน​อะไรก​ ับ​เรา​
​ การเ​รียน​ธรรมะ​ก​ ารฟ​ งั ​ธรรมะ​ของ​ผเ​ู้ รม่ิ ​สนใจศ​ ึกษาห​ ล​ าย​ๆ​ท​ ่าน​
เปรยี บเ​สมอื นก​ ารก​ นิ ย​ าข​ ม​ห​ ลวงปจ​ู่ งึ ไ​ดใ​้ ชก​้ ศุ โลบายน​ ำเ​อา​“​ ป​ าฏหิ ารยิ ”์ ​
ท้ัง​สาม​อยา่ งม​ า​ใช้​กับศ​ ษิ ย​์ประกอบก​ นั ​จึงส​ ำเร็จ​ประโยชน​ด์ ้วยด​ ​ี
เ​หมอื นก​ บั ท​ า่ นใ​หเ​้ ราท​ านย​ าข​ มท​ เ​ี่ คลอื บด​ ว้ ยข​ นมห​ วานเ​อาไ​ว​้ เ​มอ่ื ​
ทกุ ค​ นต​ ระหนกั แ​ ละเ​ขา้ ใจใ​นค​ ณุ ป​ ระโยชนข​์ องย​ าข​ มด​ แี ลว้ ​ข​ นมห​ วานน​ น้ั ​
ก​็จะ​หมดค​ วามห​ มาย​ไป

133 ๑๓๓

​๗๔​

​เรื่อง​บงั เอิญ​ท่​ไี ม​บ่ ังเอิญ​

ใ​นช​ วี ติ ข​ องเ​ราท​ กุ ๆ​ ​ค​ น​ค​ งเ​คยไ​ดผ​้ า่ นเ​หตกุ ารณต​์ า่ งๆ​ห​ ลากห​ ลาย​
รส​แ​ ละใ​นบ​ รรดาเ​หตกุ ารณห​์ ลายเ​รอื่ งท​ ผ​่ี า่ นไ​ปน​ นั้ ​ค​ งม​ บ​ี างเ​รอ่ื งท​ เ​ี่ ราเ​คย​
มค​ี วามร​ สู้ ึกว​ ่า​.​.​.ช​ า่ งบ​ งั เอญิ เ​สยี จ​ ริงๆ​ ​
​ คำว​ ่า​​“บ​ ังเอิญ”​ ​​นี​้สำหรับน​ ัก​ปฏบิ ตั ภิ​ าวนาแ​ ลว้ ด​ เู​หมือนจ​ ะข​ ัด​กบั ​
“​หลกั ​ความ​จริง​”​​ตามค​ ำส​ อนข​ องพ​ ระพทุ ธเจา้ ข​ องเ​รา​ด​ งั ​เรอื่ ง​ทีข่​ ้าพเจ้า​
ขอ​ยก​มาเ​ปน็ ​ตัวอย่างน​ ​ี้
​ ภาย​หลัง​ที่​พระพุทธเจ้า​ตรัสรู้​ ​และ​ได้​แสดง​ธรรม​โปรด​ฤๅษี​ท้ัง​ ​๕​​
หรอื ​ปญั จว​ คั คยี ​์ ​จนไ​ดบ​้ รรล​ธุ รรมเปน็ พ​ ระอ​ รห​ นั ​ตแ​์ ลว้ ว​ นั ห​ นง่ึ ​พ​ ระอ​ สั ส​ ช​ ิ​
หนึ่ง​ใน​ปัญจ​วัคคีย์​ได้​เข้าไป​บิณฑบาต​ใน​เมือง​ ​ยัง​มี​ปริ​พา​ชก​หรือ​นักบวช​
นอก​พุทธ​ศาสนาร​ ปู ห​ นึง่ ช​ ่ือ​อ​ ปุ ​ตสิ ​สะ​เ​ดินม​ าพ​ บ​พระ​อัสส​ ช​ เิ​ข้า​ไ​ด้แ​ ล​เห็น​
ทา่ ทาง​อนั ​สงบ​น่าเ​ลือ่ ม​ใส​​จึงเ​ขา้ ไป​ถามท​ ่านว​ า่ ​
​“ใ​คร​เป็น​ศาสดาข​ องท​ ่าน​ศ​ าสดาข​ อง​ทา่ น​สอน​วา่ อ​ ยา่ งไร”​ ​
​ พระ​อัส​สช​ ติ อ​ บว​ า่ ​
​ ​ “เ​ย​ธ​ มั ม​ า​เ​หต​ ปุ ปั ภะว​ า​เ​ตสงั ​เ​หตงุ ​ต​ ถ​ าคะ​ โต​เ​ตสญั จ​ ะ​โ​ย​น​ โ​ิ รโธจะ​ ​
​เอวงั ​​วาท​ี ​มหา​สะมะโณ​”​

๑๓๔ 134

​ แปล​ได​้ความว​ า่ ​“​ ธ​ รรมท​ งั้ ห​ ลายเ​กดิ ​จาก​เหต​ุ ​ถ้า​ตอ้ งการด​ บั ​​ตอ้ ง​
ดับ​เหตก​ุ อ่ น​พ​ ระพทุ ธอ​ งคท​์ รง​สอน​อย่างน​ ”​ี้ ​
​ อปุ ​ติสส​ ะ​เม่อื ​ไดย้ ินค​ ำต​ อบ​ก​เ็ กดิ ​ความแ​ จง้ ใ​น​จติ ​ ​จน​ได้​บรรลธ​ุ รรม​
เบ้ือง​ต้น​ใน​ท่ี​นั้น​เอง​ และ​ขอ​เข้า​บวช​กับ​พระพุทธเจ้า​​ต่อ​มา​ท่าน​ได้​บรรลุ​
ธรรมเ​ปน็ พ​ ระอ​ รห​ นั ต​ ​์ เ​ปน็ พ​ ระอ​ คั รส​ าวกเ​บอ้ื งข​ วาท​ เ​่ี ราร​จู้ กั ก​ นั ใ​นน​ ามของ​
พระ​สาร​ ี​บตุ ร​น​ นั่ เอง​
​ พระพทุ ธศ​ าสนาเ​ปน็ ศ​ าสนาท​ ว​ี่ า่ ด​ ว้ ยเ​หตก​ุ บั ผ​ ล​ผ​ ลย​ อ่ มเ​กดิ แ​ ตเ​่ หต​ุ
เทา่ น้นั ​​จะ​เกิด​ขึ้น​ลอยๆ​​ไม่ไ​ด​้
​หลวงป​เู่ คย​บอก​ขา้ พเจ้าว​ า่ ​
​“​ถ้า​เรา​มี​ญาณ​หยั่ง​รู้​ ​ทุก​ส่ิง​ทุก​อย่าง​ที่​เกิด​ใน​ชีวิต​เรา​ ไม่มี​เรื่อง​
บงั เอิญ​เลย”​ ​
​ ผู้​ปฏิบัติ​ภาวนา​ต้อง​ให้​ความ​สำคัญ​ท่ี​เหตุ​ ​มาก​กว่า​ให้​ความ​สำคัญ​
ที่​ผล​​จึง​ขอ​ใหต​้ ้งั ใจส​ ร้าง​แต่​เหต​ทุ ่ดี​ ีๆ​​เพ่อื ผ​ ล​ทด่​ี ีใ​นว​ นั ​พรุง่ น​ ี​้ ​และ​ตอ่ ​ๆ​​ไป​

135 ๑๓๕

​๗๕​

ค​ ลน่ื ก​ ระทบฝ​ ่ัง​

​ข้าพเจ้า​ขอ​เล่า​เหตุการณ์​หน่ึง​ซึ่ง​เกิด​ข้ึน​เม่ือ​ต้นปี​ ​๒๕๔๐​ ​มา​น้ี​
​ที่​ข้าพเจ้า​เชื่อ​ว่า​หลวงปู่​ดู่​ท่าน​เมตตา​มาโปรด​ ​โดย​เฉลย​ปัญหา​ข้อ​ขัดข้อง​
ใจใ​นก​ าร​ปฏิบัต​ธิ รรมข​ อง​ขา้ พเจ้า​
เ​รือ่ งม​ ี​อยู่ว​ ่าใ​นร​ ะหวา่ งน​ ้นั ​ข​ ้าพเจา้ ม​ ​ขี อ้ ข​ ดั ขอ้ ง​ในก​ ารป​ ฏิบตั ​ิว่า​จะ​
มี​อุบาย​วิธี​อย่างไร​จึง​จะ​สามารถ​ควบคุม​อารมณ์​ ​ควบคุม​จิตใจ​ของ​เรา​ให้​
เป็น​ไปใ​น​ทาง​ที่เ​ราต​ ้องการ​ได​้ ใ​น​คืน​นน้ั ​ขณะท​ ​ข่ี ้าพเจ้า​เดนิ จ​ งกรมภ​ าวนา​
เมื่อ​ใจ​เกิด​ความ​สงบ​ดีแล้ว​ ​ข้าพเจ้า​รู้สึก​เหมือน​ได้ยิน​เสียง​หลวงปู่​ดู่​บอก​
ข้าพเจ้า​ว่า​ ​คำ​ตอบ​ท่ี​ข้าพเจ้า​ต้องการ​น้ัน​อยู่​ใน​หนังสือ​ ​“​อุป​ลมณี​”​ ​ซึ่ง​
เปน็ ห​ นงั สอื เ​รอ่ื งร​าวช​ วี ติ แ​ ละก​ ารป​ ฏบิ ตั ธ​ิ รรม​ต​ ลอดจ​ นร​วมธ​ รรมะ​ คำส​ อน​
ของ​ทา่ นพ​ ระ​โพธ​ิญาณเ​ถร​หรอื ห​ ลวงปู่​ชา​ส​ ภุ ​ทั โ​ท​ว​ ัด​หนอง​ป่า​พง​​อำเภอ​
วารินชำราบ​จ​ งั หวัดอ​ ุบลราชธาน​ี ขา้ พเจา้ จ​ งึ ​เดนิ ไ​ปท​ ต่ี​ หู​้ นงั สอื ​แ​ ละ​หยิบ​
เอา​หนังสือ​อุป​ลมณี​มา​พลิกดู​ ​เป็น​ที่​อัศจรรย์​สำหรับ​ข้าพเจ้า​ว่า​ ​หนังสือ​
อุป​ลมณี​​ซ่งึ เ​ป็น​หนังสอื เ​ลม่ โ​ต​ม​ คี​ วามห​ นาถ​ ึง​๕​ ๘๕​ห​ นา้ ​ข​ า้ พเจา้ ​พลิก​
ดเู​พียงส​ องส​ าม​หนา้ ก​ บ็​ งั เกดิ ​ความป​ ตี ​ขิ นลกุ ข​ น​ชนั ​เนอ่ื งจากไ​ดพ​้ บก​ บั ​เรอ่ื ง​ท่​ี
ตอ้ งการใน​หน้า​๒​ ๗๖​​ม​ใี จความว​ ่า​

๑๓๖ 136

​ “ธรรม​อุปมา”​
​การ​อุปมา​เป็น​วิธี​การ​สอน​ธรรมะ​ที่​ดู​เหมือน​หลวงปู่​ชอบ​มาก​ท่ีสุด​​
และเ​ปน็ ว​ ธิ ท​ี ท​ี่ า่ นถ​ นดั ม​ ากท​ ส่ี ดุ ด​ ว้ ย​ท​ า่ นย​ กเ​อาธ​ รรมชาตร​ิ อบด​ า้ นเ​ขา้ ก​ บั ​
สภาวะ​เ​ขา้ ก​ บั ป​ ญั หาถ​ กู ก​ บั จ​ รติ น​ สิ ยั ข​ องค​ นน​ น้ั ​อ​ ปุ มาอ​ ปุ ไมยป​ ระกอบก​ าร​
สอนธ​ รรมะ​จ​ งึ ท​ ำใหผ​้ ฟ​ู้ งั เ​กดิ ภ​ าพพจนต​์ ามไ​ปด​ ว้ ย​ท​ ำใหผ​้ ฟ​ู้ งั ส​ ามารถม​ อง​
ปัญหา​ได้​อย่าง​ทะลุ​ปรุโปร่ง​ ​หมด​ความ​สงสัย​ใน​หลัก​ธรรม​ท่ี​นำ​มา​แสดง​
ตัวอยา่ งก​ ารอ​ ุปมาข​ อง​หลวงปู่​​ได้แก​่
​ “​การ​ทำกรรม​ฐาน​ ​ทำ​เหมือน​ระฆัง​ใบ​น้ี​ ​ระฆัง​นี้​ตั้ง​ไว้​เฉยๆ​ ​เสียง​
ไม่มี​นะ​ ​สงบ​ ​สงบ​จาก​เสียง​ ​เม่ือ​มี​เหตุ​กระทบ​ขึ้น​มา​ ​(​หลวงปู่​ตี​ระฆัง​ดัง​
๑ ท)ี​​​เหน็ ไ​หมเ​สยี งม​ ันเ​กดิ ข​ น้ึ ม​ า​น​ กั ​ปฏิบตั ิ​เป็น​คนม​ กั ​นอ้ ยอ​ ย่าง​นนั้ ​​เม่อื ​
มี​ปัญหา​เกดิ ข​ ึน้ ม​ า​แ​ กไ้ ขท​ นั ​ทว่ งที​​เลย​ชนะด​ ้วย​ปัญญา​ของ​เรา​แ​ กป​้ ัญหา​
แลว้ ​กส​็ งบ​ตัว​ของเ​รา​เหมือนร​ ะฆงั น​ ​้ี”​
“​ เ​หมอื นก​ บั ค​ ลน่ื ใ​นท​ ะเลท​ ก​่ี ระทบฝ​ ง่ั ​เ​มอ่ื ข​ น้ึ ม​ าถ​ งึ แ​ คฝ​่ ง่ั ม​ นั ก​ ส​็ ลาย​
เท่าน้ัน​ ​คลื่น​ใหม่​มา​ก็​ต่อ​ไป​อีก​ ​มัน​จะ​เลย​ฝั่ง​ไป​ไม่​ได้​ ​อารมณ์​มันจะ​เลย​
ความ​รู้​ของ​เรา​ไป​ไม่​ได้​เหมือน​กัน​​เรื่อง​​อนิจ​จัง​​ทุก​ขัง​​อนัตตา​ ​จะ​พบกัน​
ที่​ตรง​น้ัน​ ​มัน​จะ​แตก​ร้าว​อยู่​ที่​ตรง​นั้น​ ​มัน​จะ​หาย​ก็​อยู่​ตรง​น้ัน​ ​เห็น​ว่า​
อนิจ​จัง​ ​ทุก​ขัง​ ​อนัตตา​ ​คือ​ ​ฝั่ง​ทะเล​อารมณ์​ทั้ง​หลาย​ผ่าน​เข้า​มา​เหมือน​
คลน่ื ท​ ะเล​”​
ขณะน​ นั้ เ​ปน็ เ​วลาด​ กึ ม​ ากแ​ ลว้ ​ข​ า้ พเจา้ ค​ ดิ ว​ า่ ส​ มควรแ​ กเ​่ วลาพ​ กั ผ​ อ่ น​
จงึ ​ได​ข้ น้ึ ​มา​ท​ห่ี อ้ ง​นอน​​ท​ต่ี ​หู้ วั ​เตยี งม​ ห​ี นงั สอื อ​ ย​หู่ ลายเ​ลม่ ​แ​ ตเ​่ หมอื นม​ ​สี ง่ิ ​ใด​

137 ๑๓๗

ดลใจใ​หข​้ า้ พเจา้ ห​ ยบิ ห​ นงั สอื เ​ลม่ ​หนง่ึ ข​ น้ึ ม​ า​ชอ่ื “​ พ​ ทุ ธท​ าส​ส​ วนโ​มกข​ พ​ ลาร​าม​
กำลงั แ​ หง่ ก​ ารห​ ลดุ พ​ น้ ”​ ​​เปน็ ​หนงั สือข​ นาด​พอๆ​ก​ ับ​อุปล​ มณี​ซ​ ่ึงร​ วมค​ ำ​สอน​
ของ​ท่านพ​ ทุ ธท​ าสภ​ กิ ขไ​ุ วม้​ ี​เนอ้ื หา​​๓๕๖​ห​ น้า​​และม​ ีค​ วามห​ นา​ถงึ ​หนง่ึ น​ ิว้ ​
ข้าพเจ้าเ​ปิดห​ นงั สอื ​​พลกิ ​ด​ู ๒​ -​​๓​​หนา้ ​​ก​บ็ ังเกดิ ​ความป​ ีติจ​ นข​ นลกุ ​ขนช​ ัน​
อกี ค​ รงั้ ​เ​นอื่ งจากไ​ดพ​้ บก​ บั ธ​ รรมอ​ ปุ มาใ​นเ​รอ่ื ง​ค​ ลน่ื ก​ ระทบฝ​ ง่ั ​ซ​ งึ่ เ​ปน็ เ​รอื่ ง​
เดียวกนั ​อกี ​​คดั ล​ อกจ​ าก​เทป​บันทกึ ​เสยี งท​ ่านพ​ ทุ ธ​ทาสภ​ กิ ข​ุ ​ซง่ึ อ​ ยู่ใ​นห​ นา้ ​
๑๔๖​​มใี​จความ​ว่า​
“​หลัก​ปฏบิ ัตเิ​กย่ี วก​ บั ​พลงั งานท​ างเ​พศ”​
​ มัน​เป็น​ไป​โดย​อัตโนมัติ​ ​ไม่​ได้​มี​แผนการ​คือ​ ​เรา​ทำงาน​ท่ี​เรา​ชอบ​
หามร​ ุง่ ​หามค​ ่ำ​​แล้ว​พลงั งานท​ ี​่เหลอื ​ทร่ี​ ุนแรงท​ าง​นน้ั ม​ นั ​กล​็ ด​ม​ นั ​ก​ห็ มด​ไป​
แรง​กระตุ้น​อยาก​มีชื่อ​เสียง​ ​อยาก​ให้​มี​ประโยชน์​แก่​ผู้​อ่ืน​ท่ี​เขา​คอย​รอ​ผล​
งาน​ของ​เรา​​อันน​ ีม​้ ัน​มมี​ ากก​ ว่า​​น่​ีก​เ็ ลยท​ ำเ​สียจ​ น​หมดแ​ รง​​พอเ​พลีย​ก​็หลับ​
ไป​​พอ​ต่ืน​ขนึ้ ม​ าก​ ​ท็ ำอ​ ีก​ไ​มม่ โี​อกาสใ​ช้​แรง​ไป​ทางเ​พศต​ รงก​ นั ข​ า้ ม​​เรา​ไม่​ได้​
เจตนา​โดยตรง​ม​ ันเ​ปน็ ไ​ป​เอง เ​หตุการณ์​มนั ​บงั คบั ​ให​้เป็นไ​ปเ​อง​​คือเ​ราห​ า​
อะไร​ทำใหม้​ ันง​่วน​อยกู่​ ับง​าน​ ​พอใจ​ในง​าน​ ​เปน็ สุขใ​น​งาน​มนั ก​ ซ​็ ับ​บล​ ​เี มท​​
(​sublimate​ ​หมาย​ถึง​ ​กล่ัน​กรอง​ ​ทำให้​บริสุทธ์ิ​ ​-​ ​ผู้​เขียน​)​ ​ของ​มัน​เอง​​
เอา​แรง​ทาง​เพศ​มา​ใช้​ทาง​สติ​ปัญญา​ ​เอา​แรงงาน​กิเลส​มา​ใช้​เป็น​เร่ือง​ของ​
สตป​ิ ัญญา​ต​ อ้ งม​ ง​ี าน​อันห​ น่ึงซ​ ึง่ ​พอใจ​ห​ ลงใหล​ขนาดเ​ป็น​นางฟา้ ​​เหมือน​
กบั เ​รยี นพ​ ระ​ไตร​ปิฎก​​ตอ้ ง​หลงใหล​ขนาด​นางฟา้ ​ค​ วาม​ร้สู ึกท​ าง​เพศ​มันก​ ็​
ตอ้ ง​เกิด​​แตว่​ า่ ​ความร​ ู้สกึ ​ทาง​นี​้ ​(​ความค​ ดิ ​ที​จ่ ะ​เปน็ ป​ ระโยชน​์แกส่​ ว่ น​รวม​)​

๑๓๘ 138

เหมอื นก​ บั ส​ งิ่ ต​ า้ นทาน​เ​ชน่ ว​ า่ ​ค​ ลนื่ ก​ บั ฝ​ ง่ั ​ค​ ลน่ื ม​ นั ก​ แ​็ รงเ​หมอื นก​ นั ​แ​ ตว​่ า่ ​
ฝัง่ ​มนั ​แขง็ ​แรงพ​ อจ​ ะร​ บั ​​(ห​ ัวเราะ​)​
​ ถาม -​​​วิกฤต​แบบจ​ วน​เจยี นจ​ ะไ​ปไ​มไ​่ ป​​ตดั สินใ​จ​อย่างไร​
​ น่ัน​มัน​เร่ือง​คิด​ฝัน​ ​เวลา​มัน​ช่วย​ได้​หรือ​ว่า​ไม่รู้​ไม่​ชี้​ ​(​หัวเราะ​)​ ​มัน​
ช่วย​ได้​​มัน​เหมือนก​ บั ​​คลื่นก​ ระทบ​ฝ่งั ​พ​ อพ​ น้ ​สมยั ​พ​ น้ ​เวลา​ม​ นั ​ก็​ไม่ร​ู้หาย​
ไปไ​หน​แ​ ต่ส​ รปุ ​แล้วม​ นั ​ต้องท​ ำงาน​พ​ อ​ถงึ เ​วลาเ​ขา้ ​ม​ ัน​ต้อง​ทำงาน​​มันร​ ัก​
งานอ​ ยู่​​ไป​ทำงาน​เสีย​ค​ วามค​ ดิ ​ฝนั ​น่ัน​ก็ค​ อ่ ยๆ​ ​ซ​ าไ​ปๆ​ม​ นั ​ไป​สนกุ ใ​น​งาน​
​ ข้าพเจ้า​ได้​มา​พิจารณา​แล้ว​ เห็น​ว่า​เรื่อง​นี้​เป็น​อุปมา​ธรรม​ท่ี​มี​
ประโยชน์​มาก​ห​ าก​ไม่​บนั ทกึ ​ไว​เ้ ป็นห​ ลัก​ฐาน​ก็​เกรงว​ า่ ​ตนเอง​จะ​หลงลมื ใ​น​
ภายห​ ลงั ​​และ​จะไ​ม​่เกดิ ป​ ระโยชน์​อะไร​ห​ ากไ​มน​่ ้อมนำม​ า​พจิ ารณา​บ่อยๆ​
เรื่อง​ค​ ล่ืนก​ ระทบฝ​ ัง่ ​น้ี​​จึง​กลายเ​ปน็ ​เ​รื่อง​บงั เอญิ ​ที่​ไมบ่​ งั เอญิ ​ท​ ​่ีขา้ พเจา้ ​ได​้
“ป​ ระสบ”​ ​อ​ กี เ​ร่ือง​หน่งึ ​


Click to View FlipBook Version