The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

001.ตามรอยธรรม ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ดู่ หรหมปัญโญ

139 ๑๓๙

​๗๖​

​หลวงปบู​่ อก​ขอ้ สอบ​



ใน​ราวป​ ​ี พ​ ​.ศ​ .​​๒​ ๕๒๗​-​​๒​ ๕๒๘​​สมัยท​ ขี​่ ้าพเจา้ ย​ ังเ​ป็นน​ ักศ​ ึกษา​อย่​ู
ท่​ีคณะ​พาณิชย​ ​ศาสตรแ์​ ละ​การ​บัญชี​​มหาวทิ ยาลยั ​ธรรมศาสตร์​​หลวงป่​ดู ​ู่
ท่าน​เคย​บอก​ข้อสอบ​ให้​ข้าพเจ้า​ทราบ​ล่วง​หน้า​และ​ช่วย​เหลือ​ข้าพเจ้า​ใน​
การท​ ำ​ข้อสอบ​เ​ท่า​ท่​ขี า้ พเจ้า​จำ​ความไ​ด้​ถึง​๕​ ​​วชิ า​ด้วยก​ นั ​
​ ข้าพเจ้า​จะ​ขอ​เล่า​เฉพาะ​วัน​ที่​หลวงปู่​บอก​ข้อสอบ​ ​วิชา​ท่ี​อาจารย์​
ฉายศ​ ิลป์​เ​ชย่ี วชาญ​พิพัฒน์​​เปน็ ผ​ ​ู้สอน​ค​ อื ว​ ชิ า​แรงงานสัมพันธ์​​คืน​วนั น้ัน​
เวลาป​ ระมาณ​๓​ ​ท​ มุ่ ​ก​ อ่ นว​ นั ส​ อบ​๑​ ​ว​ นั ​ข​ า้ พเจา้ น​ ง่ั อ​ า่ นต​ ำราแ​ ละท​ บทวน​
ความ​รู้​ที่​อาจารย์​ได้​สอน​มา​ตลอด​เทอม​ ​ขณะ​ท่ี​ข้าพเจ้า​กำลัง​มี​สมาธิ​กับ​
ตำรา​ที่​อยู่​เบื้อง​หน้า​ ​ข้าพเจ้า​รู้สึก​เย็น​วาบ​ข้ึน​ที่​ใจ​พร้อม​กับ​มี​เสียง​บอก​
ข้าพเจ้า​ว่า​“พระ​ธาตุ​หลวง​ปู่ทวด​เสด็จ”​ ​ข้าพเจ้า​หัน​หลัง​กลับ​ไป​มอง​ท่ี​
โตะ๊ ​หม​ู่บูชา​ในห​ ้องท​ นั ท​ีและเ​กดิ ​ความ​สงสัยว​ ่า​พระ​ธาตเุ​สด็จ​มา​​แลว้ ท​ า่ น​
อย​ู่ทีไ่ หนล​ ่ะ​..​.​​อยูท่​ ​กี่ ระถางธ​ ปู ​​เสียง​ตอบข​ า้ พเจา้ ​
ข​ า้ พเจา้ ห​ ยดุ อ​ า่ นห​ นงั สอื ​เ​ดนิ ต​ รงม​ ายงั โ​ตะ๊ ห​ มบ​ู่ ชู า​ส​ ายตาห​ ยดุ อ​ ย​ู่
ที่​กระถาง​ธูป​ใบ​น้อย​.​.​.​แล้ว​ข้าพเจ้า​จะ​ทราบ​ได้​อย่างไร​ล่ะ​ ​ว่า​อัน​ไหน​เป็น​
เมด็ ​กรวด​เ​ม็ด​ทราย​อ​ นั ​ไหนเ​ปน็ พ​ ระธ​ าตุ​แ​ ต่แ​ ลว้ ​ข้าพเจ้าก​ ม็​ องเ​หน็ อ​ งค​์

๑๔๐ 140

พระ​ธาตส​ุ ​ีน้ำตาลเ​กอื บ​ดำ​​มี​สณั ฐาน​ค่อนข​ า้ งก​ ลม​​ขนาด​เล็กม​ ากเ​หมอื น​
ไข่ปลา​​ขา้ พเจ้าจ​ งึ ​แยกอ​ อก​มา​จากก​ ระถาง​ธปู ​เพ่ือน​ ำ​มา​บชู า​
​ จากน​ นั้ ข​ า้ พเจา้ ไ​ดม​้ าน​ ง่ั อ​ า่ นห​ นงั สอื ต​ อ่ ​ส​ กั ค​ รก​ู่ ม​็ ค​ี วามร​ สู้ กึ เ​หมอื น​
มี​คน​บอก​ให้​ข้าพเจ้า​เขียน​จดหมาย​วิจารณ์​การ​สอน​ของ​อาจารย์​ผู้​สอน​
ข้าพเจ้าก​ ​เ็ ลยน​ กึ ส​ นกุ ข​ ้ึน​มา​น​ ง่ั เ​ขียน​จดหมาย​อยา่ งเ​อา​จริงเ​อา​จัง​แ​ ทนท่​ี
จะน​ ง่ั อ​ า่ นห​ นงั สอื ​เ​ขยี นเ​สรจ็ ก​ พ​็ บั ใ​สซ​่ อง​ต​ งั้ ใจไ​วว​้ า่ ว​ นั ร​ งุ่ ข​ น้ึ เ​มอ่ื ส​ อบเ​สรจ็ ​
จะน​ ำไ​ปม​ อบใ​ห้อ​ าจารยท​์ ี่ห​ ้องพ​ กั ​ของ​ทา่ น​
​ วัน​รุ่ง​ขึ้น​เป็น​วัน​สอบ​ ​เมื่อ​ข้าพเจ้า​ได้​เห็น​ข้อสอบ​ซ่ึง​เป็น​ข้อสอบ​
บรรยายเ​สยี ส​ ว่ นใ​หญ​่ขา้ พเจา้ ต​ อ้ งแ​ ปลกใ​จท​ ห​่ี นง่ึ ใ​นข​ อ้ สอบบ​ รรยายข​ อ้ ใ​หญ​่
น้ัน​ให​้วิจารณ์​การ​เรียน​การ​สอนข​ อง​อา​จาร​ย์ฯ​
​ใน​ตอน​แรก​ข้าพเจ้า​ก็​ไม่​ค่อย​จะ​แน่​ใจ​ตนเอง​เท่าใด​นัก ​ว่า​เรา​คิด​
เ​อา​เอง​หรอื ​เปล่า​เ​ปน็ เ​รื่องบ​ งั เอิญ​หรือ​ไม่​
เ​รอ่ื งพ​ ระธ​ าตเ​ุ สดจ็ ​ห​ ลวงปบ​ู่ อกข​ อ้ สอบ​ข​ า้ พเจา้ เ​ชอ่ื ว​ า่ ห​ ากเ​ปน็ ค​ น​
อื่น​ก็​คง​ไม่​แน่ใจ​ตนเอง​เหมือน​กัน​ ​แต่​ใน​ท่ีสุด​ก็​มี​เรื่อง​ที่​ยืนยัน​ให้​ข้าพเจ้า​
แนใ่ จว​ า่ เ​ปน็ เ​รอ่ื งจ​ รงิ ​เ​พราะเ​หตกุ ารณเ​์ กดิ ซ​ ำ้ ร​อยเ​ดมิ ​ห​ ากเ​ปน็ เ​รอ่ื งบ​ งั เอญิ ​
คง​ไม่​สามารถ​เกิด​เร่ือง​ทำนอง​เดียวกัน​ได้​หลาย​คร้ัง​ ​หลวงปู่​บอก​ข้อสอบ​
ขา้ พเจา้ ​อ​ ีก​เปน็ ​ครง้ั ​ท​่ี ๒​ ​​ครง้ั ​ที​่ ​๓​แ​ ละค​ ร้ัง​ท​ี่ ๔​ ​​ต่างก​ รรม​ต่างว​ าระก​ ัน​​
จน​ผลก​ ารส​ อบข​ อง​ขา้ พเจา้ ​ออกม​ าไ​ด​เ้ กรด​เอ​​หลาย​วชิ า​
​ข้าพเจ้า​ได้​พิจารณา​ดู​แล้ว ​คิด​ว่า​เรื่อง​น้ี​หลวงปู่​ต้องการ​สอน​อะไร​
บาง​อย่าง​ให้​แก่​ข้าพเจ้า​ ​คง​มิใช่​เพียง​แค่​การ​บอก​ข้อสอบ​และ​ก็​คง​มิใช่​เอา​

141 ๑๔๑

ไวใ​้ ห้​ข้าพเจ้า​นำม​ า​เล่า​ให​้หมู​่คณะฟ​ ังเ​ท่านน้ั ​
ปริศนา​ธรรม​จาก​นิมิต​คร้ัง​น้ี​ ​จะ​จริง​หรือ​เท็จ​ประการ​ใด ​พระ​ธาตุ​
เสด็จม​ า​จริงห​ รอื ​ไม่​ ​หรอื ห​ ลวงป​ูบ่ อก​ข้อสอบ​จริง​หรอื ​ไม​่ ​สำหรบั ​ข้าพเจา้ ​
แล้ว​ถือว่า​เป็น​ปาฏิหาริย์​ท่ี​หลวงปู่​เมตตา​ให้​บท​เรียน​บท​ต่อ​มา​กับ​ข้าพเจ้า​
เป็น​บท​เรียน​ท่ี​นำ​ไป​สู่​ ​อนุ​สา​สนี​ปาฏิหาริย์​ ​ให้​ข้าพเจ้า​ได้​มี​ความ​เข้าใจ​
​ในธ​ รรม​มากข​ ึ้น​​และ​เป็น​​สมั มา​ทฏิ ฐิ​ม​ ากข​ น้ึ ใ​น​เวลา​ตอ่ ​มา​


๑๔๒ 142

๗​ ๗​

ต​ ัว​ประมาท​

​หลัง​จาก​ท่ี​หลวงปู่​ได้​บอก​ข้อสอบ​ให้​ข้าพเจ้า​ทราบ​ครั้ง​แรก​แล้ว​
ท่าน​ก็ไดช​้ ว่ ย​ข้าพเจ้า​ทำ​ขอ้ สอบอ​ กี ​เป็น​คร้ังท​ ่​ี ​๒​​ท​ีท่ ่าน​ช่วย​เหลอื ข​ า้ พเจ้า​
คราว​นี้​เป็น​วิชา​ ​พบ​.​ ​๒๘๓​ ​วิชา​การ​บริหาร​งาน​ผลิต​ซ่ึง​มี​อาจารย์​ผู้​สอน​
หลาย​ท่าน​​ข้อสอบ​มี​หลาย​ลักษณะ​ทั้ง​บรรยาย​​เติม​คำ​ ​ให้​กากบาท​หน้า​
ขอ้ ​ท​ีถ่ ูกต​ อ้ ง​ท่สี ุด​ฯ​ ลฯ​
ห​ ลวงปด​ู่ ท​ู่ า่ นเ​คยส​ อนว​ ธิ ท​ี ำข​ อ้ สอบแ​ บบป​ รนยั ​(​ใ​หก​้ ากบาทห​ นา้ ข​ อ้ ​
ทถ​่ี กู ต​ อ้ งท​ สี่ ดุ )​​ใ​หข​้ า้ พเจา้ ว​ า่ ​เ​วลาท​ เ​ี่ ราไ​มแ​่ นใ่ จ​แ​ ทนทเ​่ี ราจ​ ะเ​ดาส​ มุ่ ห​ รอื ท​ ​่ี
เรยี กว​ า่ ก​ าส​ ง่ เดช​เ​ราจ​ ะไ​มท​่ ำอ​ ยา่ งน​ น้ั ​ หลวงปท​ู่ า่ นส​ อนใ​หข​้ า้ พเจา้ ห​ ลบั ตา​
และ​นึกถงึ ห​ ลวงป่ท​ู วด​​(​หลวงปท​ู่ วด​เ​หยยี บน​ ำ้ ท​ ะเลจ​ ืด)​​แ​ ล้วก​ราบเ​รียน​
ถาม​ท่าน​
​ ขณะ​ท่ี​อยู่​ใน​ห้อง​สอบ​ ​เม่ือ​ข้าพเจ้า​ทำ​ข้อสอบ​เสร็จ​ ​แต่​เวลา​ยัง​
ไม่​หมด​ ​และ​ยัง​มี​ข้อสอบ​ประเภท​กากบาท​เหลือ​อีก​ประมาณ​ ​๑๐​ ​ข้อ​ที่​
ขา้ พเจา้ ไ​มแ​่ นใ่ จ​ข​ า้ พเจา้ ไ​มร​่ อช​ า้ ​น​ กึ ถงึ ท​ ห​่ี ลวงปส​ู่ อนท​ นั ท​ี ค​ อ่ ยๆ​ ​พ​ จิ ารณา​
ทล​ี ะ​ขอ้ ​ห​ ากข​ ้อใ​ด​ถกู ต​ ้องเ​ม่อื ​ข้าพเจา้ เ​อาป​ ากกา​จมิ้ ​ไปท​ ​่ีตัวเ​ลอื ก​จ​ ะ​เกิด​
เป็นแ​ สง​สวา่ งข​ ึน้ ​ทันที​​แต่ถ​ ้าไ​ม​่ถกู ​ตอ้ ง​​ก็​จะม​ ืดแ​ ละ​ไม่มีแ​ สง​สว่าง​

143 ๑๔๓

​ ขา้ พเจา้ ท​ ำข​ อ้ สอบส​ ว่ นท​ เ​่ี หลอื ด​ ว้ ยว​ ธิ น​ี จ​ี้ นเ​สรจ็ เ​รยี บรอ้ ย​หลงั จ​ าก​
ประกาศ​ผล​สอบอ​ อกม​ า​ข​ ้าพเจ้า​ได​้เกรด​​A​เ​ชน่ เ​คย​เ​ดอื นต​ อ่ ​มา​ข​ ้าพเจ้า​
ได้​มี​โอกาส​นำ​เร่ือง​นี้​ไป​เรียน​ถวาย​ให้​หลวงปู่​ทราบ​ ​ใน​คร้ัง​นั้น ​มี​เพื่อน​
​ของ​ข้าพเจ้า​ซึ่ง​เรียน​อยู่​ใน​มหาวิทยาลัย​อีก​แห่ง​หนึ่ง​มาก​ราบ​หลวงปู่​ด้วย​
เช่น​กนั ​เ​พ่อื น​ขา้ พเจา้ ​คน​น้ไ​ี ด้​ฟัง​เรือ่ ง​ท​ขี่ ้าพเจ้าเ​ลา่ ​ถวาย​หลวงป​ู่ เ​ขา​จึงไ​ด​้
กราบเ​รยี นถามห​ ลวงปว​ู่ ่า​
​ “ผมไ​ดท้​ ำ​ข้อสอบก​ ากบาท​แบบ​น้เ​ี หมือนก​ ัน​ ข​ อ้ สอบม​ ​ี ๑​ ๐๐​ ข​ อ้ ​​
พอ​เข้า​ห้อง​สอบ​ผม​ก็​หลับตา​นึกถึง​หลวงปู่​ ​ขอ​ให้​ช่วย​ทำ​ข้อสอบ​ด้วย​
จากน​ น้ั ก​ ท​็ ำข​ อ้ สอบโ​ดยใ​ชว​้ ธิ ห​ี ลบั ตาเ​ชค็ ท​ ล​ี ะข​ อ้ จ​ นค​ รบ​๑​ ๐๐​ข​ อ้ ​ผ​ ลส​ อบ​
ออก​มาป​ รากฏ​ว่า​ได​้ ​F​​คือ​ส​ อบต​ ก​ท​ ำไมเ​ป็น​อย่าง​นค้ี​ รับ​หลวงปู่”​ ​
​หลวงปู่​มอง​หน้า​เพื่อน​ของ​ข้าพเจ้า ​และ​เมตตา​อบรม​เตือน​สติ​
ทง้ั เ​พอ่ื น​และ​ขา้ พเจา้ ว​ ่า​
​“​แก​ไม่​พจิ ารณา​ให​้ด​ี ​นัน่ ​แหละ​ตัว​ประมาท​ ​จำ​ไว้ตวั ​ประมาท​น่​ี
แหละต​ วั ​ตาย​”​
​ ตรงก​ บั พ​ ระพุทธ​พจน์​ท่ีว​ า่ ​​
ปมา​โท​ ​มัจจุ​โน​ ​ป​ทัง​ ​ความ​ประมาท​เป็น​หนทาง​ไป​สู่​ความ​ตาย​​
นั่นเอง​

๑๔๔ 144 ​๗๘​

​ ข​ อง​โกหก​

ม​พี ระพุทธ​พจน์​วา่ ​
​ “​บุคคล​ใด​​เหน็ ​สิง่ ​อนั ​ไม่​เปน็ ส​ าระ​ว่า​เปน็ ส​ าระ​แ​ ละ​เหน็ ส​ ง่ิ ​อนั เ​ปน็ ​
สาระ​ว่า​ไม่​เป็น​สาระ​ ​บุคคล​น้ัน​มี​ความ​ดำริ​ผิด​ประจำ​ใจ​ ​ย่อม​ไม่​อาจ​พบ​
สาระ​ได้​
​ ส่วน​บคุ คลใ​ด​เ​ห็น​ส่ิงอ​ นั เ​ปน็ ส​ าระ​ว่า​เป็น​สาระ​ส​ ง่ิ ​อนั ​ไมเ​่ ปน็ ​สาระ​
ว่า​ไมเ่​ปน็ ส​ าระ​บ​ คุ คล​นัน้ ม​ ีค​ วามด​ ำรถ​ิ ูก​ประจำ​ใจ​ย​ ่อมส​ ามารถพ​ บ​ส่งิ ​อนั ​
เปน็ ​สาระ​”​
​เร่อื ง​ราว​เ​หตุการณ​์ บ​ คุ คล​ส​ ัตว์​ส​ ิ่งของ​ต่างๆ​​ทผี่​ ่านเ​ขา้ ​มา​ในช​ ีวติ ​
ของ​เรา​น้นั ​​
สรรพส​ ง่ิ ล​ ว้ นเ​ปลยี่ นแปลง​ไ​มค​่ งท​่ี แ​ ละไ​มส​่ ามารถค​ งอ​ ยต​ู่ ลอดไ​ป​ ​
หากเ​รา​รจู้ ักส​ ังเกต​ ฝ​ ึกหดั พ​ ิจารณาห​ าเหตุ​หาผ​ ล​ จ​ น​ใจ​คนุ้ ​เคยก​ บั ​
ความ​เหน็ ​ตามค​ วามจ​ ริง​
เ​ราจ​ ะเ​หน็ ถ​ งึ ค​ วามเ​ปลย่ี นแปลงท​ ง้ั บ​ คุ คลและส​ ง่ิ ของท​ กุ อ​ ยา่ งรอบต​ วั ​
เรา​ไดไ้​ม​ย่ ากน​ ัก​

145 ๑๔๕

​๗๙​

​ถึง​วัดห​ รอื ย​ งั ?​



ธรรมะเ​ปน็ ส​ งิ่ ท​ ม​่ี อ​ี ยร​ู่ อบๆ​ ​ต​ วั เ​ราท​ กุ ๆ​ ​ค​ น​เ​พยี งแ​ ตว​่ า่ เ​ราจ​ ะส​ ามารถ​
มอง​เหน็ แ​ ละ​นำ​มาพ​ จิ ารณาไ​ด้แ​ ค่​ไหนอ​ ย่างไร​ใ​น​สมัย​พุทธก​ าล​ท​ า่ น​หมอ​
ชี​วก​โก​มาร​ภัจจ์​ ​แพทย์​ประจำ​องค์​พระพุทธเจ้า​ของ​เรา​ ​สมัย​ท่ี​ศึกษา​อยู่​
กับ​อา​จารย​ ์​ทิศา​ป​ าโมกข​์ ​ก่อนจ​ ะ​สำเร็จว​ ชิ า​การแ​ พทย์​​ทา่ น​ให้ถ​ ือ​เสยี ม​ไป​
เท่ยี ว​หา​ด​ูวา่ ม​ ีส​ ิ่งห​ นึ่งส​ ่งิ ใ​ด​ที​่ใช​้เปน็ ​ยาไ​ม​่ได​้ ​ให​้นำ​มาใ​ห​้ โ​ดย​ให​้ไปเ​ท่ียว​หา​
๔​ว​ ัน​​วัน​ละ​ทศิ ​​ทศิ ​ละ​๑​ ​​โยชน์​​รอบเ​มอื งต​ กั ศ​ ลิ า​​ทา่ นห​ มอช​ วี ก​ รับ​คำ​ส่งั ​
อาจารย​์แล้วถ​ อื ​เสียมไ​ป​เที่ยว​หา​ตาม​คำ​สั่งข​ องอ​ าจารย​์ ก​ ​็ไมไ​่ ดพ​้ บเหน็ ส​ ิ่ง​
ใด​ท่ี​ไม่ใช่​ยา​เลย​ ​เมื่อ​กลับ​มา​แล้ว​เข้า​พบ​อาจารย์​ ​แจ้ง​ความ​น้ัน​ให้​ทราบ​​
อาจารยจ​์ ึง​กล่าวว​ ่า​ ​เธอ​เรียน​วิชา​แพทย์​สำเรจ็ แ​ ลว้ ​ ค​ วาม​รู​้เทา่ น​ พี้​ อเ​พียง​
ท​่ีเธอจ​ ะ​ใช​เ้ ป็น​อาชีพไ​ด​แ้ ล้ว​
​ตน้ ไมท​้ กุ ช​ นดิ ​ห​ นิ ​​ดนิ ​แ​ ร​ต่ า่ งๆ​ม​ ​คี ณุ คา่ ​​สามารถ​นำม​ าเ​ทยี บเ​ปน็ ย​ า​
ได้ฉ​ ันใด​บ​ ุคคลผ​ ู้ม​ ี​ความ​ฉลาด​ก​ฉ็ นั ​นน้ั ​​รอบๆ​ ​​ตัว​เรา​ทุก​สงิ่ ท​ กุ อ​ ย่างไ​ม่ว​ า่ ​
คน​​สตั ว​์ ​ส่ิงของ​เ​รื่องร​ าว​เหตุ​การ​ ณ์​ใดๆ​​ก็ตามท​ เี่​กดิ ​ข้นึ ​แ​ ละผ​ ่าน​เข้า​มา​
ใน​ชีวิต​ประจำ​วัน​ของ​เรา​น้ัน​ ​ไม่มี​เรื่อง​ใด​ ​ที่​ไม่​สามารถ​นำ​มา​พิจารณา​ให้​
เป็น​ธรรมะไ​ด​้เลย​

๑๔๖ 146

​ ​พระพทุ ธ​เจ​าท​าน​สอน​ให​เรา​ม​ีความ​เข​า​ใจ​ใน​โลก​ธรรม​ทง้ั ​ ​๘​ ​อย​าง​
​ไดแ​ ก​
​ ​ ไ​ดล​ าภ​​เ​สอ่ื มล​ าภ​
​ ​ ไ​ดย​ ศ​​​เสอ่ื มย​ ศ​
​ ​ ไ​ด​ร บั ​ความส​ ขุ ​​ป​ ระสบ​กบั ​ความท​ กุ ข​
​ ​ ม​ ​คี นส​ รรเสรญิ ​​​และ​ม​คี น​นนิ ทา​
​ .​.​​.​ถา​ ​ใจเ​ปรยี บเ​หมอื น​นำ้ ​นง่ิ ​เ​มอ่ื ใ​จเ​ราก​ ระทบ​กบั ​โลก​ธรรม​๘​ ​​อย​า งน​ ้​ี
​แล​วก​ระ​เพ่อื ​ม​ไหว​ไป​ตาม​อา​รมณ​ ​ก็เป​น​โลก​ ​แต​ถ​า​พิจารณา​อย​า​งมี​สติ​
​จน​เท​า​ทัน​โลก​ธรรม​ ​๘​ ​อย​าง​แล​ว​ ​ไม​ซัด​ส​าย​ไป​ตาม​อา​รมณ​ท้งั หมด​น้ี​
​ใจก​ เ็ ปน​ ธรรม​อยโ​ู ดยต​ ลอด​
​ ​ธรรมะ​แท​อ ย​ทู ​่ใี จ​ ​มใิ ช​ท ​่วี ดั ​ ​พระ​สงฆ​ ​หรอื ​คมั ภรี ​ใ บ​ลา​นทล่​ี ​ว นเป​น ​
ศาสน​สถาน​ ​ศาสน​บคุ คล​ ​หรอื ​ศาสน​วตั ถ​ุ ​เท​า ​นน้ั ​ ​หาก​เรา​เข​า ​ใจ​ได​อ ย​า ง​น้​ี ​
ศาสน​ธรรม​อนั ​เป​น ​สง่ิ ​สำคญั ​ทส่ี ดุ ​ก​จ็ ะ​เกดิ ​ขน้ึ ​ท​ต่ี วั ​เรา​​เมอ่ื ​นน้ั ​​เรา​ก​จ็ ะ​เข​า ​ใจ​
คำว​า ​​“พระท​ ค​่ี ล​อ งใ​จ​” ม​ ใิ ช​ “​ พระท​ ​ค่ี ลอ​ งค​ อ”​
​ ​หลวง​ปดู่ ​ู ​ท​า นส​ รปุ ​เรอ่ื งน​ ใ้ี ห​ข ​า พ​เจ​า ฟ​ง ว​า ​
​ “​ ถ​ งึ แ​ กม​ าว​ ดั ​แ​ ตใ​​จย​ งั ​มโ​ี กรธ​โ​ลภ​​หลง​ไ​ปต​ าม​​๘ อยา​​ง​ทว​่ี า​​น​ ​้ี แ​ ก​
ยงั ​มาไมถ​​ งึ ​วดั ​ ​แตถ​​ า​​ ​แกอย​บู​ า​​ น​หรอื ​ท​ไ่ี หน​ๆ​ ​แตไ​​มโ​​กรธ​ ​ไมโ​​ลภ​ ​ไมห​​ ลง​
ไมม​​ ​ี ​๘​อ​ ยา​​งน​ ม​่ี าก​วนใ​จ​​ขา​​ วา​​แ​ ก​มาถ​ งึ ว​ ดั ​แลว​​ ”​

147 ๑๔๗

๘​​ ๐​

​รางวลั ท​ ุนภ​ ูมพิ ล​



เม่ือ​ปี​ ​พ​.​ศ​.​๒๕๒๗​ ​ขณะ​ท่ี​ข้าพเจ้า​กำลัง​ศึกษา​อยู่​ที่​มหาวิทยาลัย​
ธรรมศาสตร​์ ​ม​ีเหตกุ ารณ​์หน่งึ ซ​ ึ่งห​ ลวง​ปู่ทวด​ได้​เมตตา​ใหค​้ วามช​ ่วย​เหลือ​
จน​ขา้ พเจ้า​ไมม่ ​ีวนั ​ที​จ่ ะล​ มื ​ไป​ได​้ ​คอื ​วัน​หน่ึง​ข้าพเจา้ ​ไดท​้ ราบ​ขา่ ว​วา่ ​​ทาง​
มหาวิทยาลัย​จัด​ประกวด​การ​เขียน​เรียง​ความ​ใน​หัวข้อ​เร่ือง​ “​พระบาท-​
สมเด็จ​พระเจา้ อ​ ย​หู่ ัว​ภูมิพ​ ลอ​ดุลยเ​ดชก​ ับพ​ ุทธ​ศาสนา​ในส​ งั คมไ​ทย”​ ​
​ ขา้ พเจา้ เ​กดิ ค​ วามส​ นใจท​ จ​ี่ ะเ​ขยี นเ​รยี งค​ วามด​ งั ก​ ลา่ วข​ นึ้ ม​ าท​ นั ท​ี แ​ ต​่
ก็​ไม่​แน่ใจ​ตนเอง​ว่า​จะ​มี​ความ​สามารถ​เขียน​ได้​ดี​สัก​เพียง​ใด​ ​เมื่อ​ข้าพเจ้า​
ตดั สนิ ใ​จแ​ นน่ อนแ​ ลว้ ว​ า่ จ​ ะเ​ขยี น​จ​ งึ ไ​ดม​้ ากร​าบพ​ ระ​ร​ะลกึ ถ​ งึ พ​ ระคณุ ค​ รบู า-​
อาจารย์​ ​และ​อาราธนา​หลวง​ปู่ทวด​และ​หลวงปู่​ดู่​เพื่อ​ขอ​ความ​ช่วย​เหลือ​
จาก​ท่าน​ให้​งาน​เขียน​ช้ิน​นี้​สำเร็จ​ลุล่วง​ไป​ด้วย​ดี​ ​ขณะ​ท่ี​ข้าพเจ้า​กำลัง​นึก​
อธษิ ฐานอ​ ยใ​ู่ นห​ อ้ งพ​ ระเ​พยี งล​ ำพงั น​ ​ี้ ก​ บ​็ งั เกดิ น​ มิ ติ เ​ปน็ ห​ ลวงป​ ทู่ วดท​ า่ นเ​ดนิ ​
ออกม​ าจ​ ากโ​ตะ๊ ห​ มบ​ู่ ชู าม​ าห​ าข​ า้ พเจา้ ​ข​ า้ พเจา้ แ​ ลเ​หน็ ภ​ าพต​ วั เ​องน​ ง่ั ค​ กุ เขา่ ​
หมอบ​ตวั ​ลง​แ​ ละ​หงาย​ฝา่ มือท​ ั้งส​ อง​ยนื่ ​ไป​ข้าง​หนา้ ​เบ้ือง​หน้า​ข​ า้ พเจ้า​แล​
เห็น​เป็น​ภาพ​หลวง​ปู่ทวด​ยืน​สวด​มนต์​ให้​พร​ ​พร้อม​กับ​เป่า​ลง​ท่ี​มือ​ท้ัง​สอง​
ของข​ า้ พเจ้า​ใ​น​นิมติ ​นั้น​​ขา้ พเจา้ ​เห็นเ​ปน็ ​อกั ขระโ​บราณอ​ ย​่เู ตม็ ส​ อง​ฝ่ามอื ​

๑๔๘ 148

ขา้ พเจา้ จ​ งึ ก​ ราบเ​รยี นถ​ ามห​ ลวงป​ ทู่ วดว​ า่ ​“​ อ​ ะไรห​ รอื ข​ อรบั ”​ท​ า่ นต​ อบส​ น้ั ๆ​
วา่ ​​“​ความร​ ​ู้”​จ​ าก​นนั้ ท​ ่านก​ ห​็ ันห​ ลัง​เดนิ ​กลับห​ ายล​ บั เ​ข้าไป​ใน​โตะ๊ ​หมบู่​ ชู า​
​ ข้าพเจ้า​ปลื้ม​ปีติ​มาก​ ​และ​เกิด​เป็น​กำลัง​ใจ​อย่าง​ย่ิง​ใน​การ​เขียน​
หนงั สอื ​ครง้ั ​นน้ั ​ ​และ​ได​ใ้ ช​เ้ วลา​กวา่ ​สาม​เดอื น​ ​จงึ ​เขยี น​เรยี ง​ความ​แลว้ ​เสรจ็ ​
ขณะ​ท่ี​เขียน​หาก​ติดขัด​อะไร​ ​เม่ือ​นึกถึง​หลวง​ปู่ทวด​ ​จะ​เหมือน​ท่าน​ช่วย​
ดลใจใ​หส​้ ามารถเ​ขยี นต​ อ่ ไ​ด​้ จ​ ะค​ น้ ควา้ ห​ รอื ห​ าข​ อ้ มลู อ​ า้ งองิ ใ​ดๆ​ ​ก​ ไ​็ มต​่ ดิ ขดั ​
เลย​เ​ปน็ ​เรียงค​ วาม​เร่อื งย​ าวข​ นาด​มากก​ ว่า​​๓๐​ห​ น้าก​ ระดาษพ​ ิมพ์​ดีด​​ซ่ึง​
นบั เ​ปน็ ง​าน​เขียน​ที่ย​ าวท​ ่ีสุดใ​นช​ วี ติ ข​ องข​ ้าพเจา้ เ​ลย​ทีเ​ดยี ว​​
เมอ่ื ท​ างม​ หาวทิ ยาลยั ป​ ระกาศผ​ ลก​ ารป​ ระกวดเ​รยี งค​ วาม​ง​านเ​ขยี น​
ของ​ข้าพเจ้า​เป็น​งาน​เขียน​ช้ิน​เดียว​ใน​ปี​น้ัน​ท่ี​ได้​รับ​พระราชทาน​รางวัล​ทุน​
ภูมิพล​ ​โดย​ได้​เข้า​รับ​พระราชทาน​รางวัล​เป็น​ทุน​การ​ศึกษา​จาก​พระหัตถ์​
ของ​พระบาท​สมเดจ็ ​พระเจ้าอ​ ย่​หู วั ฯ​ใ​นว​ ันพระร​ าช​ทานป​ ริญญาบ​ ตั ร​
​ จาก​คน​ที่​ไม่​เคย​เขียน​หนังสือ​ ​จาก​คน​ท่ี​ไม่​เคย​สนใจ​งาน​ด้าน​ขีด​ๆ​​
เขียน​ๆ​​มา​กอ่ น​จ​ นม​ า​ได​้รับพ​ ระราชทาน​รางวัล​ท​ ุนภ​ มู พิ ล​ไ​ม​เ่ ป็นท​ ี่​สงสัย​
เลยว​ า่ ข​ า้ พเจา้ จ​ ะย​ นิ ดแ​ี ละด​ ใี จเ​พยี งใ​ด​ข​ า้ พเจา้ ข​ อกร​าบแ​ ทบเ​บอ้ื งบ​ าทข​ อง​
หลวงป​ ทู่ วดแ​ ละห​ ลวงปด​ู่ ​ู่ ข​ อน​ มสั การด​ ว้ ยค​ วามเ​คารพ.​.​.​ด​ ว้ ยเ​ศยี ร.​.​.​​แ​ ละ​
เกลา้ .​​.​.​ที่​ทำ​ฝนั ข​ องข​ ้าพเจา้ ใ​ห​เ้ ปน็ จ​ ริง​


149 ๑๔๙

๘​ ๑​

​หลวงป​ ่ทู วดช​ ว่ ยช​ ีวิต​



ความ​ไมม่ ​ีโรค​เปน็ ​ลาภ​อนั ​ประเสรฐิ ​ ​เปน็ ​คำ​สอน​ของ​พระพทุ ธ​องค์​
ท่ี​ใช้ได้​ทุก​ยุค​ทุก​สมัย​ ​ความ​ทุกข์​ของ​คน​เรา​นั้น​มี​มากมาย​หลาย​เร่ือง​
หลาย​อย่าง​ ​การ​เจ็บ​ป่วย​ด้วย​โรค​เร้ือรัง​ที่​เพียร​พยายาม​รักษา​อย่างไร​
​ก็​ไม่​ยอม​หาย​สัก​ที​ ​น่ี​ก็​เป็น​ความ​ทุกข์​ที่​ทรมาน​จิตใจ​มาก​เรื่อง​หนึ่ง​ของ​
มนษุ ย​์เรา​​บทความท​ ี​ท่ ่านจ​ ะไ​ด้​อา่ น​ต่อ​ไป​นี้​​เป็น​เรื่องข​ อง​คุณร​ ตั น​ าภ​ รณ​์ ​
อินทร​กำแหง​ ​ซ่ึง​เขียน​โดย​เบญจ​ะ​ ​ชิน​ปัญ​ชนะ​ ​จาก​หนังสือ​ขวัญ​เรือน​​
​ไดเ​้ ลา่ ​ไว้​ดังน​้ี
​ คุณร​ ัต​นา​ภรณ์​​อินทรก​ ำแหง​เ​ป็น​ศิลปนิ ด​ าราท​ เี่​ด่นด​ ัง​ใน​อดตี ​และ​
ยงั ​มผ​ี ล​งานอ​ ย​ถู่ งึ ​ทกุ ​วนั น​ ​้ี ช​ วี ติ จ​ รงิ ข​ อง​ศลิ ปนิ ​ทา่ นน​ ไ​้ี ด​ผ้ า่ น​อปุ สรรคม​ า​แลว้ ​
อยา่ งม​ ากมาย​ ต​ ื่นเ​ต้น​เร้าใจ​ย่ิงก​ วา่ ภ​ าพยนตร​์ท่​เี ธอแ​ สดง​ แ​ ละเ​มอ่ื ถ​ ึงบ​ ท​
เศรา้ แ​ ลว้ ​เ​ศรา้ ส​ ลดจ​ นต​ อ้ งฆ​ า่ ต​ วั ต​ าย​เ​มอ่ื ห​ ลายป​ ก​ี อ่ นค​ ณุ ร​ตั น​ าภ​ รณไ​์ ดเ้ กดิ ​
ลม้ ป​ ว่ ยเ​ปน็ อ​ มั พาต​ล​ กุ เ​ดนิ ไ​มไ​่ ด​้ ไ​ดไ​้ ปร​กั ษาต​ วั ท​ โ​่ี รงพ​ ยาบาลม​ ชี อื่ แ​ หง่ ห​ นงึ่ ​
หมด​เงนิ ​ไปร​ ่วม​๒​ ​​แสน​บาท​แ​ ต​ไ่ ม​่หาย​​และไ​ม​่ดี​ขึ้นเ​ลย​​พอ​รู้​ขา่ ว​วา่ ท่​ีไหน​
มห​ี มอเ​กง่ ​จ​ ะร​ บี ใ​หค​้ นพ​ าไ​ป​ร​ กั ษาแ​ ลว้ ก​ เ​็ หมอื นเ​ดมิ ​ร​ กั ษาไ​ปจ​ นท​ รพั ยส​์ นิ ​
เงินท​ อง​เกือบห​ มด​​

๑๕๐ 150

โรค​ร้าย​ที่​ทรมาน​เพราะ​ลุก​เดิน​ไม่​ได้​ก็​ยัง​ทรมาน​ใจ​อยู่​ ​เป็น​เช่น​น้ี​
อย่​ูนาน​ถึง​๗​ ​​เดอื น​จนคิดอยากฆา่ ​ตัว​ตาย​​คนเ​รา​เมื่อ​หมดห​ นทาง ​ไมม่ ี​
ทางออกก​ ม็ กั คดิ ส​ นั้ ​ค​ นท​ ต​ี่ อ้ งอ​ ยใ​ู่ นส​ ภาพท​ ช​ี่ ว่ ยต​ วั เ​องไ​มไ​่ ดเ​้ ปน็ ร​ะยะเ​วลา​
นานๆ​ ​​ต้อง​อยู่แ​ ตใ่​น​ห้อง​ที​แ่ คบ​ๆ​​จะท​ ำ​อะไรก​ ​ต็ อ้ ง​อาศัย​ผ้​อู ื่น​มัน​นา่ ​เบอื่ ​
หนา่ ยค​ บั แ​ คน้ ใ​จย​ ง่ิ น​ กั ​ต​ ายซ​ ะจ​ ะด​ ก​ี วา่ ​ช​ าตท​ิ แ​่ี ลว้ ค​ งท​ ำกรรมไ​วม​้ าก​ขอย​ อม​
ชดใช้ก​ รรม​แต​เ่ พยี ง​เทา่ ​นี​้
​ น่ัน​เป็น​คำ​พูด​ของ​คุณ​รัต​นา​ภรณ์​ ​ท่ี​น้อย​อก​น้อยใจ​ใน​ชะตา​กรรม​
ของต​ นเอง​ก​ อ่ นท​ จ​ี่ ะต​ ดั สนิ ใ​จไ​ปต​ าย​เ​มอื่ ต​ ดั สนิ ใ​จแ​ ลว้ จงึ เ​ดนิ ท​ างท​ อ่ งเทยี่ ว​
แบบส​ งั่ ล​ า​อ​ ยากไ​ปท​ ไี่ หนก​ ไ​็ ป​ช​ อบใจท​ ไ่ี หนก​ อ​็ ยน​ู่ านห​ นอ่ ย​เ​มอ่ื ไ​ปถ​ งึ ภ​ เู กต็ ​
เกดิ ค​ วามเ​บอ่ื ​จงึ ห​ ลบไ​ปช​ ายหาดท​ ไ​่ี มม่ ค​ี น ส​ ง่ั บ​ ตุ รบ​ ญุ ธ​ รรม​(​ค​ ณุ ร​ตั น​ าภ​ รณ​์
หรือ​คุณ​แดง​ ​ไม่มี​บุตร​)​ ​ให้​ไป​ซ้ือ​ข้าว​ปลา​อาหาร​ทาน​กัน​ท่ี​ชายหาด​ เม่ือ​
ไมม่ ​ใี คร​อย​ู่แลว้ ​ ค​ ณุ แ​ ดง​จึงไ​ดต้​ งั้ จ​ ิต​อธษิ ฐานต​ อ่ ค​ ุณพ​ ระศ​ รี​รัตนตรัย​ โ​ดย​
เฉพาะ​หลวงป่​ูทวด​ท่​เี คารพ​นับถือ​มาก​​เพราะ​เคย​ได​้ประจักษ์​ใน​อิทธิ​ฤทธ์​ิ
อภนิ หิ ารจ​ ากก​ ารร​อดต​ ายม​ าแ​ ลว้ ​(​ถ​ งึ ก​ บั ไ​ดช​้ กั ชวนค​ ณุ สมบตั ​ิ เ​มทะ​ น​ี ด​ ารา​
ยอด​นิยม​ใน​อดีต​ ​ช่วย​กัน​สร้าง​พระ​เครื่อง​หลวงปู่​ทวด​​ถวาย​ให้​วัด​ช้าง​ให​้
ไป​รุ่นห​ นงึ่ ​)​ช​ ว่ ง​นน้ั ค​ ณุ ​แดง​ไดต​้ ัง้ ​จิตอ​ ธิษฐานต​ ่อ​องค์ห​ ลวงป่​ทู วด​ไวว​้ ่า​
​ “ข​ ณะน​ ้ล​ี กู ​ได้​ถูก​โรค​รา้ ยเ​บยี ดเบยี น​​ทน​ทกุ ข์​ทรมานเ​ปน็ เ​วลา​นาน​
แลว้ ​ ว​ นั ​นไ้​ี ดต​้ ดั สินใ​จข​ อล​ าตาย​ บ​ ญุ ใ​ดท​ ลี​่ ูก​ไดท​้ ำ​มาแ​ ล้ว​ ใ​น​อดีตช​ าติ​ก็ด​ ี​​
และใ​นช​ าตน​ิ ก​ี้ ด​็ ​ี ล​ กู ข​ ออ​ ทุ ศิ บ​ ญุ น​ น้ั ใ​หก​้ บั เ​จา้ ก​ รรมน​ ายเวรท​ ไ​ี่ ดล​้ ว่ งเ​กนิ ก​ นั ​
มา​จ​ ะ​ด้วย​เจตนาก​ ็ด​ ​ี ไ​มเ​่ จตนาก​ ็​ดี​ข​ อ​ใหห้​ ลวงปู่​ทวด​​ช่วยเ​ป็น​สอ่ื ​ไป​บอก​

151 ๑๕๑

ใหเ​้ จ้า​กรรม​นายเวร​ต่าง​ๆ​ม​ าร​ ับ​ไป​และ​อโหสกิ รรมใ​ห้​ลกู ​ด้วย​​และถ​ า้ เ​ม่ือ​
ลกู ไ​ดห​้ มดก​ รรมจ​ รงิ แ​ ลว้ ​ข​ อใ​หห​้ ลวงปท​ู่ วดไ​ดเ​้ มตตาส​ งเคราะหใ​์ หห​้ ายจ​ าก​
โรค​ภยั ใ​น​วัน​นดี้​ ว้ ย​ถ​ ้าย​ ังไ​มห​่ าย​ล​ กู ​ขอล​ าตาย​ใน​บัดน้”ี​ ​
​ เมอื่ จ​ บค​ ำอ​ ธษิ ฐานแ​ ลว้ ​ค​ ณุ แ​ ดงก​ ล​็ งมอื ค​ ลานก​ ลงิ้ ต​ วั ล​ งท​ ะเลไ​ป​เ​มอื่ ​
เจอค​ ลน่ื ซ​ ดั ม​ า​ก​ ก​็ ลง้ิ ก​ ลบั ไ​ป​แ​ ตก​่ ย​็ งั ก​ ระเสอื กก​ ระสนค​ ลานต​ อ่ ไ​ป​แ​ ลว้ ก​ ถ​็ กู ​
คลน่ื ​ซดั ​เขา้ ฝ​ ัง่ อ​ ีก​ต​ อ่ สู้​กับ​คล่ืน​เพอ่ื ท​ ่​จี ะไ​ปใ​ห​้ลึกพ​ อทจ​ี่ ะ​จมน​ ้ำ​แลว้ ​หายใจ​
ไมอ​่ อก​เ​ปน็ เ​ชน่ น​ อ​้ี ยค​ู่ รง่ึ ช​ ว่ั โมง​จ​ นบ​ ตุ รบ​ ญุ ธ​ รรมก​ บั ค​ นใชม​้ าพ​ บเหน็ ​ช​ ว่ ย​
พยุง​ตัว​ขน้ึ ​ฝ่ัง​ข​ ณะน​ นั้ เ​หน่อื ย​จน​ไมไ​่ ด้สติ​​มา​ตกใจ​รตู้ วั เ​พราะเ​สยี งต​ ะโกน​
ล่ัน​วา่ ​​“แม่​หาย​แล้ว​!​​แ​ ม่ห​ ายแ​ ลว้ ​​!”​ ​​
ปาฏหิ ารยิ ​์เกิดข​ ึ้น​แล้ว​ เ​พราะ​คุณแ​ ดงย​ ืนไ​ด​้แล้ว​ เ​ดนิ ไ​ดด​้ ้วย​ ​หาย​
จาก​โรค​ร้าย​แล้ว​ ​เพราะ​คุณ​พระ​รัตนตรัย​และ​หลวงปู่​ทวด​ที่​ประทาน​ให้​
เนรมิตใ​หโ​้ ดย​ใชเ้​วลา​สนั้ ๆ​ ​​หลงั จาก​ท่ต​ี อ้ งท​ น​ทรมาน​อยน​ู่ าน​ถึง​​๗​​เดือน​
​ นี้​เป็น​อีก​เรื่อง​หน่ึง​ท่ี​ข้าพเจ้า​ขอ​ฝาก​ท่าน​ผู้​อ่าน​ไว้​​เป็น​เคร่ือง​เจริญ​
ศรทั ธา​


๑๕๒ 152 ​๘๒​

​ ​ทา​มาก​ อ็ ต​จิ​

ทาม​ าก​ อ็ ตจ​ ​ิ ห​ รอื เ​จา้ ส​ ตั วเ​์ ลยี้ งค​ อมพวิ เตอรท​์ แ​ี่ สนจ​ ะข​ อ​ี้ อ้ น​ซ​ งึ่ ก​ ำลงั ​
แพร่​ระบาด​และ​เป็น​ท่ี​นิยม​เล้ียง​กัน​ใน​หมู่​นักเรียน​นัก​ศึกษา​ ​โดย​เฉพาะ​
อย่าง​ยิ่ง​ท่ี​ญ่ีปุ่น​และ​ใน​บ้าน​เรา​ ​จน​ทาง​โรงเรียน​ต้อง​ห้าม​นักเรียน​ไม่​ให้​นำ​
มาโ​รงเรยี น​เ​พราะจ​ ะท​ ำใหเ​้ สยี ก​ ารเ​รยี น​เ​นอ่ื งจากต​ อ้ งค​ อยด​ แู ลท​ าม​ าก​ อ็ ต​
ยงิ่ ​กวา่ ไ​ข่ใ​น​หิน​​ต้อง​คอย​ป้อนอ​ าหาร​ให​ท้ าน​พ​ า​เข้าห​ ้องนำ้ ​​เจ็บป​ ่วย​ตอ้ ง​
พาไ​ป​ห​ าห​ มอแ​ ละ​อ่นื ​ๆ​อ​ กี จ​ ิปาถะ​​ม​ฉิ ะนนั้ ​.​.​.​ม​ นั ก​ ​จ็ ะต​ าย​
​ จากเ​รอื่ งท​ าม​ าก​ อ็ ตส​ ตั วเ​์ ลยี้ งป​ ลอม​ท​ ำใหข​้ า้ พเจา้ ค​ ดิ ถงึ ว​ รรณกรรม​
ทม​่ี ชี อ่ื เ​รอ่ื ง​หนง่ึ ใ​นอ​ ดตี ค​ อื ​“​ตลง่ิ ส​ งู ​ซ​ งุ ห​ นกั ”​ข​ อง​นคิ ม​ร​ ายยว​ า​ก​ วี​ซี​ไรท์​
เม่ือ​หลาย​ปี​ก่อน​ ​ครั้ง​น้ัน​ ​นิคม​ได้​นำ​เสนอ​เร่ือง​ความ​เป็น​ ​ของ​จริง​ ​และ​​
ของปลอม​ไ​ดอ​้ ยา่ งไ​พเราะก​ นิ ใ​จย​ งิ่ น​ กั ​น​ คิ ม​ไ​ดใ​้ ห​้ ​คำง​าย​ต​ วั เอกข​ องเรอ่ื ง​
เรียน​รู้​และ​พบ​คำถาม​ได้​โดย​การ​ ​“​ประสบ​”​ ​กับ​คำ​ตอบ​อัน​เป็น​รูป​ธรรม​
หลายๆ​ ​ ค​ รงั้ ​จนส​ ามารถโ​ยง​เข้า​สป​ู่ รศิ นาใ​นใ​จไ​ด​้ คำง​าย​เรม่ิ แ​ กะ​ชา้ งใ​หญ​่
เทา่ ต​ วั จ​ รงิ ​เ​ขาเ​รมิ่ ต​ ง้ั ค​ ำถามว​ า่ ​“​ เ​ราเ​คยเดนิ ท​ างไ​กล​ไ​ดพ​้ บเหน็ อ​ ะไรห​ ลาย​
อยา่ ง​​แต่​ตัว​เรา​เอง​เปน็ ข​ องใ​กล​้ท่สี ดุ ​เ​รา​กลับ​ไมเ​่ คยเ​หน็ ม​ นั เ​ลย​”​จ​ นเ​ม่ือ​
คำง​ายแ​ กะ​ชา้ ง​ได​เ้ ป็น​ตัว​เป็นต​ นแ​ ล้ว​แ​ ต่​เขาย​ ังห​ าความ​เป็นช​ ้าง​ไมไ่​ด้​

153 ๑๕๓

​ จน​วนั ​หน่ึง​​เมือ่ เ​ขา​อยบู่​ นห​ ลงั ​พลาย​สดุ ​​ยามท​ ​พ่ี ลายส​ ดุ ต​ กมัน​เ​ม่อื ​
เขา​กุม​สตไ​ิ ด้ เ​ขาพ​ บว​ า่ ​สิง่ น​ ​้ีเองท​ ่ีเ​รา​อยากร​ ​ู้ เ​ขาค​ ิดข​ ณะ​ความอ​ ุ่น​และออ่ น​
ละมุน​จาก​ตัว​ช้าง​แล่นซ​ า่ นใ​ต​้รา่ ง​เขา​ม​ ันม​ ีอ​ ารมณ์​ม​ ี​เลอื ด​เนอ้ื ​​ม​ชี ีวิต​และ​
วญิ ญาณ​เ​ขาส​ มั ผสั ไ​ดถ​้ งึ ค​ วามม​ ทุ ะลร​ุ นุ แรงท​ ก​ี่ ำลงั ท​ ะยานไ​ปข​ า้ งห​ นา้ รสู้ กึ ​
ถงึ ​ความ​หวาด​กลวั ​และ​หวน่ั ​ไหว​ชว่ั ​ขณะ​ของ​มนั ​​ความ​เศรา้ ​​ความเจบ็ ​ปวด​​
และค​ วามต​ กใจ​ข​ ณะด​ น้ิ รนแ​ ละว​ ง่ิ พ​ ลา่ นฟ​ ดั เ​หวยี่ งอ​ ยก​ู่ บั แ​ อง่ ท​ ห​ี่ าท​ างออก​
ไมไ​่ ด​้ ส​ ง่ิ ท​ ค​ี่ ำง​ายค​ น้ พ​ บน​ ​้ี ไ​มใ่ ชเ​่ พยี งแ​ ตช​่ วี ติ แ​ ละเ​ลอื ดเ​นอ้ื ข​ องช​ า้ งต​ วั ห​ นงึ่ ​
เทา่ นนั้ ​แ​ ตค​่ อื ช​ วี ติ แ​ ละเ​ลอื ดเ​นอ้ื ข​ องม​ นษุ ยชาตท​ิ ข​ี่ าดห​ ายไ​ปใ​นโ​ลกป​ จั จบุ นั ​
โลกท​ ​ผ่ี คู้ น​ชมชน่ื ​กบั ช​ วี ติ ท​ ​เ่ี ปน็ ​“​ ซ​ าก”​ ​ม​ าก​กวา่ ​ชวี ติ ท​ ​เ่ี ปน็ “​ ​จรงิ ​”​
​ ดัง​น้ัน​ ​คำ​งาย​จึง​หัน​กลับ​มา​พิจารณา​ช้าง​ไม้​ของ​เขา​ ​อีก​ครั้ง​หนึ่ง​​
และ​ฉงน​ฉงาย​นัก​ว่า​ ​“​คน​เรา​น่ี​แปลก​จริง​ๆ​ ​ไม้​ใหญ่​มัน​ก็​ใหญ่​ของ​มัน​อยู่​
แลว้ ใ​ครไ​มไ​่ ดท​้ ำใหร​้ ปู ช​ า้ งใ​หญ​่ แ​ ตท​่ อ่ นไ​มม​้ นั ใ​หญข​่ องม​ นั เ​อง​ต​ วั ม​ นั จ​ รงิ ๆ​
คอื ​ตน้ ไม้ใ​หญ่​​แต่ค​ นก​ ลบั ​ไมเ​่ ห็นค​ วามส​ วยแ​ ละม​ ค​ี ่า​ของม​ นั ต​ อน​มร​ี ่ม​เงาม​ ี​
ชวี ติ ​ก​ ลบั โ​คน่ ม​ นั ล​ ดิ ก​ งิ่ ใ​บใ​หเ​้ ปน็ ซ​ ากไ​มแ​้ ลว้ เ​อาม​ าแ​ กะใ​หเ​้ หมอื นซ​ ากช​ า้ ง​
ช่นื ชม​มัน​มากก​ ว่าไ​ดเ้​หน็ ช​ ้าง​หรอื ​ต้นไม้​ที่​มีช​ วี​ ติ จ​ รงิ ๆ​ ​​เสยี ​อีก​​ทำไ​ปท​ ำ​มา​
จะ​ไม่มีข​ องจ​ รงิ เ​ลยส​ ัก​อย่าง​ไ​ม่​วา่ ​ช้าง​หรอื ​ไม​้”​
​เร่ือง​ของ​ทา​มา​ก็อต​จิ​ ​คำ​งาย​ ​และ​พลาย​สุด​ ​เป็น​ตัวอย่าง​อัน​ดี​ให้​
ข้าพเจ้าไ​ด​้ความเ​ข้าใจ​ชดั เจน​แจม่ ​แจ้งข​ ึ้น​ใน​เรือ่ ง​​ของจ​ รงิ ​​ของป​ ลอม​
​ บท​สนทนา​ตอน​หนึ่ง​ ​ท่ี​หลวงปู่​ดู่​ท่าน​พูด​คุย​กับ​ข้าพเจ้า​และ​เพ่ือน​
เม่ือ​คราว​ที่​ได้​กราบ​นมัสการ​และ​ถวาย​ดอกบัว​แก่​ท่าน​ ​ก่อน​ท่ี​จะ​ถวาย​

๑๕๔ 154

ดอกบัว​ ​เพื่อน​ของ​ข้าพเจ้า​ได้​นำ​ดอกบัว​ ​มา​พับ​กลีบ​บัว​ให้​ดู​เหมือน​เป็น​
ดอก​กุหลาบ​ ​อีก​กลุ่ม​ก็​เอา​ดอกบัว​มา​พับ​กลีบ​เข้าไป​ที​ละ​ชั้น​จน​เห็น​เกษ​ร
ดอ​ ก​บวั ​ที่​อย่​ูดา้ น​ใน​ห​ ลวงป​่ทู า่ นน​ ่งั ​มองด​ ​ูอย่​ู ​ใน​ที่สุด​ท่าน​ได​ฝ้ ากข​ อ้ คดิ ​ใ​น​
การ​ไป​ทำบญุ ​คร้ังน​ ้นั ใ​ห้ข​ า้ พเจา้ ว​ า่ ​
“​ ​ดอกบวั ท​ พ​่ี บั ก​ บั ​ดอกบวั ​ทไ​่ี มไ​่ ดพ​้ บั ​​อยา่ ง​ไหน​อย​ไู่ ด​น้ าน​กวา่ ก​ นั ”​
​“อ​ ย่าง​ทีไ่​ม่​พบั ​ครบั ”​ ​​ขา้ พเจ้า​ตอบ​
​ “​เออ้ ​!​​​ก็เ​ราม​ ัน​อยาก​น่​นี า​อ​ ยากใ​ห​้เป็นอ​ ย่างน​ ้นั ​อ​ ยากใ​ห​้เปน็ ​
อยา่ ง​น​ี้ ​ขา้ ​ฝากแ​ ก​ไปค​ ิด​ด​ู”​
​ พับ​กัน​ไป​พับ​กัน​มา​ ​ใน​ท่ีสุด​ของ​จริง​ก็​อยู่​ได้​ทน​นาน​ตาม​ธรรมชาติ​
กว่า​ของ​ท่ี​ถูก​พับ​ ​และ​ก็​ดู​จริง​ๆ​ ​แล้ว​ดอกบัว​ที่​ถูก​พับ​เป็น​ดอก​กุหลาบ​น้ัน​
จะ​ดูเ​ปน็ ด​ อกบวั ​ก​ไ็ มใ่ ช​่ จ​ ะ​เปน็ ​ดอก​กุหลาบ​ก​็ไม​เ่ ชิง​
​ เอาค​ วามเ​ปน็ ​ดอกบวั ​.​.​.ถ​ วาย​ท่าน​ด​ีกวา่ ​ข​ า้ พเจา้ ต​ อบ​กับ​ตัว​เอง​


155 ๑๕๕

​๘๓​

​ไต​รส​รณาค​ มน​์



คณุ ห​ มออ​ มรา​ม​ ลล​ิ า​เ​ปน็ ฆ​ ราวาสผ​ ป​ู้ ระพฤตธ​ิ รรมท​ ข​ี่ า้ พเจา้ เ​คารพ​
นับถอื ​และ​ถอื ​เปน็ ​แบบอ​ ยา่ ง​ ​วัน​หนง่ึ ข​ ้าพเจา้ ไ​ด​้มโ​ี อกาส​สนทนาธ​ รรม​กบั ​
ทา่ นท​ ีธ​่ รรมส​ ถาน​​จฬุ าลงกรณม​์ หาวทิ ยาลัย​
​ บท​สนทนาว​ นั น​ ้นั ​ไ​ดพ​้ ูดก​ ัน​ถึง​พระ​ไต​รสร​ ณา​คมน์​​คุณ​หมอ​ไดฝ้​ าก​
ข้อคิด​ใน​เร่ือง​ท่ี​กล่าว​กัน​ว่าการ​ขอ​ถึง​พระพุทธ​ ​พระ​ธรรม​ ​พระ​สงฆ์​ ​เป็น​
สรณะ​​เป็น​ท่ี​พึ่ง​​จะส​ ามารถ​กำจัดภ​ ยั ไ​ด้จ​ รงิ ​นน้ั ​ถ​ ึง​อย่างไร​จ​ งึ ก​ ำจัดภ​ ยั ไ​ด​้
จรงิ ​​คณุ ห​ มอ​ได้​อธบิ ายว​ ่า​
​ การถ​ งึ พ​ ระพทุ ธ​เ​พอื่ เ​ปน็ ส​ รณะน​ นั้ ​ห​ มายถ​ งึ ​ก​ ารเ​ขา้ ใจถ​ งึ ศ​ กั ยภาพ​
ของ​จิต​แท้​ท่ี​เป็น​พุทธ​ะ​ ​ผู้​รู้​ ​ผู้​ต่ืน​ ​ผู้​เบิก​บาน​ ​ใคร​ก็ตาม​ท่ี​เชื่อ​เช่น​นี้​ ​จน​
พากเพียร​บาก​บั่น​ ​ฝึก​อบรม​จิตใจ​ของ​ตน​ให้​เกิด​เป็น​สัมมา​ทิฏฐิ​ ​ตั้ง​มั่น​ใน​
มรรค​​ไม​ย่ ่อ​หย่อน​อ​ ่อนแอ​​ทอ้ แท​้ ​เกียจครา้ น​ท​ ่​จี ะป​ ฏบิ ัต​ใิ หย​้ ่งิ ๆ​ ​​ข้ึนไ​ป​
จน​ในท​ ส่ี ดุ ​ใ​จน​ ้นั ​ถงึ พ​ ร้อมด​ ้วยส​ ติ​ส​ มาธิ​​ปัญญา​​และ​มี​กำลัง​พอท​จี่ ะข​ ุด​
รากถ​ อนโ​คนก​ เิ ลสอ​ าส​ วะท​ งั้ ป​ วงอ​ อกไ​ปจ​ ากจ​ ติ ใจไ​ด​้ จ​ ติ ข​ องผ​ น​ู้ นั้ ​ก​ จ​็ ะเ​ปน็ ​
อสิ ระจ​ าก​สง่ิ เ​ศร้า​หมอง​ค​ ือ​อ​ วชิ ชา​​ตณั หา​อ​ ุปาทาน​​ตน่ื ​​เบกิ บ​ าน​เ​ป็น​
พทุ ธะ​ ​ม​ ค​ี วามบ​ รสิ ทุ ธเ​์ิ ทยี บเ​ทา่ ก​ บั พ​ ทุ ธะ​ ข​ องพ​ ระอ​ รห​ นั ต​ ท​์ ง้ั ป​ วง​แ​ ละข​ อง​

๑๕๖ 156

พระพทุ ธเจา้ ​ทุก​พระองค์​​แตค​่ วามส​ ามารถท​ าง​อภิญญาอ​ าจย​ ง่ิ ห​ ยอ่ น​กวา่ ​
กันไ​ด้​
​ การ​ถึงพ​ ระ​ธรรม​ค​ ือ​​การ​มีส​ ต​ิรกั ษา​ใจ​ให​้น้อมเ​อาเ​หตุการณ​ต์ า่ งๆ​
ทเ​่ี กดิ ข​ นึ้ ใ​นช​ วี ติ ม​ าเ​ปน็ ธ​ รรมะส​ อนใ​จแ​ ทนก​ ารป​ ลอ่ ยใ​หป​้ รงุ ค​ ดิ เ​ตลดิ ไ​ปต​ าม​
สญั ญาอ​ ารมณ​์ เกดิ เ​ปน็ ค​ วามท​ กุ ขค​์ วามค​ บั ข​ อ้ งใจ​ห​ รอื เ​มอ่ื ใ​ดใ​จค​ ดิ ฟ​ งุ้ ซ​ า่ น​
กห​็ ยดุ ก​ ำหนดร​อ​ู้ ยก​ู่ บั ป​ จั จบุ นั ค​ อื ข​ ณะเ​ดยี๋ วน​ ​ี้ เ​ฉพาะห​ นา้ แ​ ตล่ ะข​ ณะ​แ​ ตล่ ะ​
ขณะ​​ใจท​ ่ีฝ​ ึกเ​ช่นน​ ี​้ ​จะ​เปรียบ​เสมอื นม​ ​ีธรรมข​ อง​พระพทุ ธ​องค์​เทศน​์ใหฟ​้ งั ​
อยู่​ในใ​จต​ ลอดเ​วลา​
​เมอ่ื ​ไมม่ สี​ ิ่งก​ ระทบก​ ร็​ ู​อ้ ยก​ู่ บั ป​ ัจจบุ นั ​​เม่อื ​ม​ีสงิ่ ก​ ระทบ​ไ​ม่ว​ า่ ​จะ​เป็น​
ผสั สะ​ จ​ ากภ​ ายนอกห​ รอื อ​ ารมณข​์ องใ​จเ​อง​ก​ จ​็ ะห​ มนุ ใ​หค​้ ดิ เ​ปน็ ม​ รรคท​ กุ ครง้ั ​
จะ​เปลี่ยน​จาก​ความ​คิด​ที่​เป็น​กิเลส​ให้​เป็น​มรรค ​เปล่ียน​กิเลส​เป็น​มรรค​​
ดังน้เี​ร่อื ย​ไป​ด​ งั ​นนั้ ​​ความค​ ิด​ค​ ำพ​ ดู ​​หรอื ​การก​ ระทำ​ดว้ ยก​ าย​ทุ​กอย​ า่ งๆ​ ​​
จะ​เป็นการก​ ระทำ​เพ่ือค​ วาม​ส้ินส​ ุดแ​ หง่ ​ทุกขถ​์ ่ายเ​ดียว​
​ การถ​ งึ พ​ ระส​ งฆ​์ ค​ อื ​ก​ ารน​ อ้ มต​ นใ​หป​้ ฏบิ ตั ด​ิ งั “​ พ​ ระส​ งฆ”​์ ​ค​ อื ​เ​ปน็ ผ​ู้
ปฏบิ ตั ​ดิ ​ี (​​ส​ปุ ฏปิ นั ​โน​)​​ปฏบิ ตั ​ติ รง​​(​อชุ ป​ุ ฏปิ นั ​โน​)​​ปฏบิ ตั ถ​ิ กู ​(​ญ​ ายป​ ฏปิ นั โ​น​)​
ปฏบิ ัต​ิชอบ​(​​สามจี​ ป​ิ ฏิปันโ​น​)​ต​ ลอด​เวลาท​ ี​่จะร​ ะลึก​ได้​​
ก​ ารป​ ฏบิ ตั ด​ิ งั ​กล่าวม​ า​นคี​้ ือ​ก​ าร​ถงึ พ​ ระพทุ ธ​พ​ ระ​ธรรม​พ​ ระ​สงฆ์​​ท่​ี
จะ​เป็นส​ รณะท​ ่ี​พ่ึงอ​ นั แ​ ทจ้ รงิ ​​สามารถ​กำจัด​ทุกข์​ก​ ำจัดภ​ ยั ​ไดจ​้ ริง​
​ ข้าพเจ้าฟ​ ัง​คุณ​หมอ​อธบิ าย​จนจ​ บไ​ดแ้​ ต่อ​ มยิ้ม​
​ ใบหน้า​ของ​หลวงปู่​ดู่​ลอย​เด่น​พร้อม​กับ​เสียง​ของ​ท่าน​ดัง​ข้ึน​มา​ใน​

157 ๑๕๗

โสต​ประสาท​ของ​ขา้ พเจา้ ​วา่ ​
​“​นน่ั ​แหละ​​พระไ​ตร​ ส​รณาค​ มน​์ ใ​ครเ​ชื่อพ​ ระ​ก็​เปน็ ​พระ​​ใคร​ละไ​ด้​
ก็​ไม่ใชค่​ น”​ ​

๑๕๘ 158 ​​๘๔​

​ ​ไม​่พอดกี​ นั ​

ขา้ พเจา้ เ​คยไ​ดย้ นิ ผ​ อ​ู้ ำนวยก​ ารว​ ยั ห​ า้ ส​ บิ ท​ า่ นห​ นง่ึ ใ​นธ​ นาคารป​ รารภ​
กบั ​ผู้ใหญอ่​ ีก​ท่าน​วา่ ​สมัย​หน่มุ ​ๆ​​ม​ีเรย่ี วแรงด​ ี​​แต่​เงนิ ​เดือน​น้อย​อ​ ยาก​ไป​
เทย่ี วเ​มอื งน​ อกก​ ไ​็ ปไ​มไ​่ ด​้ เ​พราะไ​มม่ ส​ี ตางค​์ แ​ ตท​่ กุ ว​ นั น​ ม​้ี เ​ี งนิ เ​ดอื นม​ าก​อ​ าย​ุ
ก็​มาก​ขน้ึ ต​ ามม​ า​​ม​เี งนิ ​ไป​เทย่ี ว​ไดอ​้ ย่าง​สบาย​แ​ ต่​ไมม่ แ​ี รง​ไป​
​ ขา้ พเจา้ น​ กึ ถงึ ค​ ำคม​ท​่ี อ​ ดุ ม​แ​ ต้พ​ าน​ ิช​ห​ รอื ​​“โ​นส้ ​”​​ศลิ ปินต​ ลกแ​ ละ​
นักเ​ขยี น​ท​โ่ี ด่ง​ดงั ส​ ุดขดี ​จาก​เด่ียว​ไมโครโฟน ​ แ​ ละ​งานเ​ขียนห​ นังสือ​ทขี่​ าย​
ดี​ติด​อันดับ​ยอด​ขาย​สูงสุด​คน​หน่ึง​ใน​บ้าน​เรา​ขณะ​น้ี​ ​ ได้​เล่า​ไว้​ใน​หนังสือ​​
Note​​Book​​หนา้ ​​๑๓๑​​วา่ ​
​ มแ​ี รง​ม​ เี​วลา​​ไมม่ ​เี งิน​
​ มีแ​ รง​ม​ ​เี งนิ ​​ไม่ม​ีเวลา​
​ ม​ีเงนิ ​ม​ ​เี วลา​ไ​ม่มี​แรง​
​ น​้ีเป็นข​ อ้ คิดท​ ี​่ดีท​ เ​ี ดียว​ท​ ำใหข​้ ้าพเจ้าน​ ึกถึง​คำ​สอน​หลวงปด​ู่ ู่​ทส​่ี อน​
ข้าพเจ้าใ​ห้​ตงั้ อ​ กตัง้ ​ใจ​ภาวนาต​ ง้ั ​แต​่อายุไ​มม​่ าก​ ใ​น​เวลาท​ ​ี่พอม​ ​ีเรย่ี วแรง​ ม​ ​ี
เวลา (​​จะ​ม​เี งนิ ​หรอื ​ไม่ม​เี งิน​​ชา่ งม​ นั ​​!​)​ว​ า่ ​
​ “​ข้อ​สำคญั ท​ ส่ี ุด​ของก​ ารป​ ฏิบตั ​ิคอื ​​ต้องไ​ม​่ประมาท​

159 ๑๕๙

​ ต้องป​ ฏบิ ตั ิ​ให้​เต็ม​ทต่ี​ ้งั แ​ ต่​วนั น​ ี้​​ใครจ​ ะร​ ​ู้วา่ ค​ วามต​ ายจ​ ะม​ า​ถงึ ​เรา​
เมื่อไร​?​​เคย​เห็น​ไหม​เ​พื่อนเ​รา​​คนท​ ีเ่​ราร​ จู้ ักท​ ่​ตี ายไ​ปแ​ ลว้ ​น​ น่ั น​ ะ่ ​เ​ขา​
เตอื น​เรา​
​ ถา้ เ​ราป​ ฏบิ ตั ไ​ิ มเ​่ ปน็ เ​สยี แ​ ตว​่ นั น​ ​้ี เวลาจ​ ะต​ ายม​ นั ก​ ไ​็ มเ​่ ปน็ เ​หมอื นกนั
​เหมือน​กับค​ นท​ เ่​ี พ่ิง​คดิ ​หดั ​ว่ายน​ ำ้ ​เวลาใ​กล​้จะจ​ ม​นำ้ ตายน​ น่ั แ​ หละ​​กจ​็ ม​
ตาย​ไปเ​ปล่า​ๆ​ ​
​ แก​ไม​ป่ ฏิบัตห​ิ น่ึง​วนั ​นี​่ เ​สยี ​หายห​ ลายแ​ สน​วนั น​ งึ ก​ ม​็ ี​ความห​ มาย​
ข้า​ฝาก​ให้​แกไ​ปค​ ดิ ​เปน็ การบ​ า้ น​”​

๑๖๐ 160

๘​ ๕​

ธ​ รรมะจ​ าก​สัตว​์

เ​วลาพ​ ระพทุ ธเจา้ ต​ รสั ส​ อนเ​หลา่ พ​ ระส​ าวก​ท​ า่ นม​ กั จ​ ะย​ กส​ ตั วต​์ า่ งๆ​ ​
มาแ​ สดงเ​ปรยี บเ​ทยี บใ​หไ​้ ดแ​้ งค​่ ดิ ท​ างธ​ รรมอ​ ยเ​ู่ สมอ​น​ บั เ​ปน็ ว​ ธิ ส​ี อนธ​ รรมท​ ​ี่
ทำให้ผ​ ​ู้ฟงั เ​กดิ ค​ วามเ​ข้าใจ​​และม​ อง​เห็น​ภาพ​ได​้อยา่ งช​ ัดเจนท​ ี​เดียว​
​ ดงั ต​ ัวอย่าง​เช่น​ย​ กเ​รอื่ ง​งพ​ู ษิ ​เปรียบก​ ับก​ าร​ศกึ ษา​เลา่ ​เรยี น​​ถ้า​เรียน​
ไมด​่ ​ี เ​รยี นไ​มเ​่ ปน็ ​ไ​ดค​้ วามร​ม​ู้ าผ​ ดิ ๆ​ ​ค​ วามร​น​ู้ นั้ อ​ าจจ​ ะเ​ปน็ อ​ นั ตรายด​ จุ เ​ดยี ว​
กับ​งู​พษิ ​ท​่ีขนด​หาง​ย​ ่อมถ​ กู ​งพ​ู ษิ แ​ วง้ ​กัด​เอา​ได้​
​ ยก​ลงิ โ​ง่​อยาก​ลองเ​อาม​ ือ​จับต​ ัง​เ​อาเ​ทา้ ถ​ บี ​และ​ใชป้​ าก​กดั ​​ผลท​ ่สี ุด​
ติด​ตัง​ด้ิน​ไม่​หลุด​ ​เปรียบ​เหมือน​คน​ที่​ไม่รู้​จัก​วิธี​แก้​ปัญหา​ที่​ถูก​ต้อง​เต็ม​ไป​
ด้วย​ความ​เห็น​ผิด​ ​ความ​เข้าใจ​ท่ี​ผิด​ ​ใน​ที่สุด​ก็​จะ​ตก​อยู่​ใน​สถานการณ์​ที่​
ลำบาก​
​ ยก​เต่า​หด​หัว​อยู่​ใน​กระดอง​ ​ได้ยิน​เสียง​อะไร​ท่ี​ผิด​ปกติ​ก็​จะ​หด​หัว​
เข้าก​ ระดอง​ปลอดภยั ไ​ว​ก้ ่อน​​เปรยี บด​ ังผ​ ้​ปู ฏบิ ัติ​ท่ี​สำรวมอ​ ินทรีย์​(​ค​ อื ​ต​ า​
ห​ู ​จมกู ​​ล้นิ ​ก​ าย​​ใจ​)​เ​ห็นอ​ ะไร​​ไดย้ นิ อ​ ะไร.​​..​ก​ ม็​ ส​ี ต​ิ ไ​ม​่ยินดี​​ยินร​ า้ ยไ​ป​ตาม​
เสยี ง​เรา้ ​จากภ​ ายนอก​​กย​็ ่อม​ปลอดภัยจ​ าก​กิเลส​ได้​
​ ยก​นกเขา​​ที่ร​ อ้ ง​เสียง​ค​ ​ู ​ค​ู ​เหมือนค​ นท​ ต่ี​ ระหนถ​่ี เี่​หนยี วห​ วงแหน​

161 ๑๖๑

โภคทรัพย์​ ​ไม่​แบ่ง​ปัน​คน​อ่ืน​ ​ตัว​เอง​ก็​ไม่​กิน​ไม่​ใช้​ ​บุญ​กุศล​ก็​ไม่​ทำ​ ​ได้​แต่​
นอน​กอด​ทรัพยภ​์ มู ิใจว​ ่า​ทรพั ย​ข์ องก​ ู​​ของก​ ​ู หลง​ยดึ ​ตดิ อ​ ย​ู่อยา่ ง​นัน้ ​
​ ใน​บรรดา​เรื่อง​ที่​ยก​ตัวอย่าง​มา​นี้​ ​เรื่อง​ที่​หลวงปู่​ดู่​นำ​มา​เล่า​เป็น​
อุทาหรณ​์สอนใ​จ​ให​้ศษิ ยไ​์ ดฟ้​ ัง​กนั ​บ่อย​ๆ​​คือ​เ​รือ่ งน​ กเขา​ท​ ​ี่รอ้ ง​เสยี ง​​คู​​ค​ู
ไดฟ​้ งั แ​ ลว้ เ​หมอื นเ​ปน็ เ​ครอ่ื งเ​ตอื นใ​จ​ใ​หศ​้ ษิ ยท​์ ง้ั ห​ ลายอ​ ยา่ ไ​ดป​้ ระมาท​แ​ ละ​
หม่นั พ​ ิจารณาอ​ ยเู​่ นอื งๆ​ ​​ว่า​
​ ตัว​เรา​.​.​.​ตัวเ​ขา​
​ ไม่ใช​่เรา.​.​.​​ไม่ใชเ่​ขา​
​ของเ​รา​.​.​.ข​ องเ​ขา​
ไ​มใ่ ช​ข่ องเ​รา​.​..​​ไม่ใชข​่ องเ​ขา​

๑๖๒ 162

๘​ ๖​

​สงั คมว​ ิปรติ ​

ใ​นห​ นงั สอื พ​ ทุ ธธ​ รรมก​ บั ส​ งั คมซ​ งึ่ เ​ขยี นโ​ดย​ศ​ าสตราจารยน​์ ายแ​ พทย​์
ประเวศ​ว​ ะส​ ​ี ไ​ดก​้ ลา่ วถ​ งึ ส​ งั คมไ​ทยต​ ง้ั แ​ ต​่ พ​ .​ศ​ .​​๒​ ๕๒๘ ไวว​้ า่ ​“ป​ ระเทศไทยม​ี
วดั ก​ วา่ ​๒​ ๕,๐๐๐​ว​ ดั ​พ​ ระก​ วา่ ส​ องแ​ สนร​ปู ​เ​ณรก​ วา่ แ​ สนร​ปู ​พ​ ทุ ธศ​ าส​ นกิ ชน​
อีก​เต็มป​ ระเทศ​​ไฉน​เราจ​ งึ ม​ ปี​ ญั หา​ทางส​ งั คม​มาก​ขนึ้ ​เรือ่ ยๆ​ ”​ ​
​ ความ​เปน็ ค​ น​ใจบญุ ส​ น​ุ ทา​นข​อง​ผู้คนไ​ทยใ​นอ​ ดีต​​และ​การท​ ​ี่มวี​ ัดวา​
อาราม​สร้าง​อย่​ทู ุก​มมุ เ​มือง​ไ​ม่ไ​ด้​ช่วย​ใหป้​ ัญหา​สังคม​ลดล​ งไ​ป​ในป​ จั จบุ นั ​
​ สภาพ​เศรษฐกจิ ​ก​ ารเมอื ง​และ​สังคมถ​ ึงข​ น้ั ​วกิ ฤต​ผ​ คู้ นม​ ีค​ วาม​ทกุ ข​์
ยากก​ นั ​มากมาย​เ​รา​ม​ีผู้นำบ​ ้านเ​มอื งท​ ี่​ไมส่​ ามารถ​เอา​เป็นแ​ บบอ​ ย่าง​ที่​ดไ​ี ด้​
จน​สอ่ื มวลชน​ต่างพ​ า​กนั ​ขนาน​นามว​ ่า ​เป็นย​ คุ ร​ าหูค​ รอง​เมือง​ท​ ้ังผ​ นู้ ำแ​ ละ​
คนร​ อบ​ขา้ ง​หมดป​ ัญญา​แก้ไขป​ ัญหา​บา้ นเ​มือง​ในท​ างท​ ถ​ี่ ูก​ทคี​่ วร​ถ​ ึงข​ นาด​
ตอ้ งส​ ะเดาะเ​คราะหต​์ อ่ ช​ ะตา​ท​ ำพ​ ธิ ร​ี บั ส​ ง่ ร​าห​ู ด​ ฮ​ู ว​ งจ​ ยุ้ ก​ นั ใ​หว​้ นุ่ ว​ ายส​ บั สน​
จนเ​ปรอะก​ นั ไ​ป​หมด​ป​ ระชาชนเ​ดือดร​ อ้ น​​สังคม​วิปริตก​ นั ​ถว้ นห​ น้า​
ทา่ นพ​ ระพ​ รหมค​ ณุ าภรณ​์ (​ป​ .​อ​ .​​ป​ ย​ ตุ โ​ฺ ต)​​ไ​ดฝ​้ ากข​ อ้ คดิ ห​ ลกั ธ​ รรมไ​ว​้
ในห​ นงั สอื ข​ องท​ า่ น​ช​ อื่ ​​“เ​มอื งไ​ทยจ​ ะว​ กิ ฤต​ถ​ า้ ค​ นไ​ทยม​ ศ​ี รทั ธาว​ ปิ รติ ”​ ​ซ​ ง่ึ ​
ขา้ พเจา้ ​ขอ​อนญุ าต​คดั ล​ อกม​ า​ณ​ ​ท​ น​่ี ​้ี ส​ รปุ ​ความว​ า่ ​ค​ ณุ สมบตั ​ขิ องช​ าว​พทุ ธ​

163 ๑๖๓

ท​ี่ด​ี ​หรอื ​อุบาสกธ​ รรม​๕​ ​ป​ ระการ​​ทีค่​ วรป​ ฏบิ ตั ิ​คือ​
​ ๑​.​ม​ ศ​ี รทั ธา​เ​ช่ืออ​ ย่าง​ม​เี หตผุ ล​​มัน่ ​ใน​คุณ​พระ​รตั นตรยั ​ไม่​งมงาย​
​๒​.​ม​ ศ​ี ลี ​​มค​ี วามป​ ระพฤตส​ิ จุ รติ ด​ ​งี าม อ​ ยา่ งน​ อ้ ยด​ ำรงต​ น​ได​ใ้ นศ​ ลี ๕​
​ ๓​.​ ​ไม​่ตน่ื ข​ ่าวม​ งคล​ ​เชอื่ ​กรรม​ ม​ ุ่ง​หวงั ผ​ ลจ​ ากก​ าร​กระทำ​ ม​ ใิ ชจ่​ าก​
โชคลางข​ อง​ขลงั ​พ​ ธิ กี รรม​​ส่ิง​ศกั ดิส​์ ิทธ​ิ์
​ ๔.​​​ไมแ่​ สวงห​ าท​ กั ข​ ไิ ณย​นอก​หลกั ค​ ำสอ​นขอ​ งพ​ ระพทุ ธเจ้า​
​ ๕​.​​เอาใจ​ใส่​ท​ ำนุบ​ ำรุงช​ ่วยก​ จิ การ​พระพทุ ธ​ศาสนา​
​ เรมิ่ ​ต้น​ทต่​ี ัว​เรา.​.​​.เ​ริม่ ท​ ี่บ​ า้ น​เรา​ ​แล้ว​เรา​จะ​มิใชต​่ วั ป​ ัญหา​ท่ที​ ำส​ งั คม​
ใหว​้ ปิ รติ ​แ​ ตจ​่ ะเ​ปน็ ส​ ว่ นห​ น่ึง​ท่​ชี ่วย​แก้​ปญั หา​สังคม​วิปริต​​ใหเ​้ ปน็ ส​ ว่ น​หนง่ึ ​
ทีล​่ ูก​ศษิ ย์​หลวงป่​มู อบ​เป็นข​ องข​ วัญ​ถวายแ​ ด่​ในหลวง​​และ​มอบถ​ วายแ​ ด่.​​..​​
หลวงปู่​ของ​เรา​


๑๖๔ 164 ๘​ ๗​

​ ​เชอื้ ด​ ้อื ยา​

หนังสือพิมพ์​มติ​ชน​ราย​วัน​ ​ฉบับ​วัน​อังคาร​ที่​ ​๗​ ​พฤษภาคม​ ​พ​.​ศ​.​​
๒๕๓๙​ ​หนา้ ​ ๒​ ๐​ ใ​นค​ อลมั นเ​์ มน​ขู ้อมูล​โดย​นายด​ าตา้ ​ ​ได​พ้ ดู ถ​ งึ เ​ร่อื งข​ อง​
หมอ​กับก​ ารส​ ง่ั ย​ าใ​ห​้แก่ค​ นไข้​เ​รือ่ งข​ อง​เรอื่ งม​ ​วี ่า​​มคี​ ำถาม​จาก​ชาว​บา้ น​ถงึ ​
นายด​ าต้า​ข​ า้ พเจา้ ข​ อ​คัด​ลอกม​ า​ดงั น​ี้
“​ ผ​ มส​ งั เกตว​ า่ เ​ดย๋ี วน​ ไ​ี้ ปห​ าห​ มอ​แ​ ลว้ ห​ มอส​ ง่ั ย​ าม​ าใ​หม​้ าก​อ​ ยา่ งเ​ปน็ ​
หวดั ไ​ป​รักษา​ที​โ่ รงพ​ ยาบาล​เอกชน​​คา่ ​รกั ษา​​คา่ ​ยา​​๔๐๐​-​​๕​ ๐๐​​บาท​
ทกุ ค​ รงั้ ​ท​ งั้ ท​ แ​่ี ตเ​่ ดมิ น​ นั้ โ​รคห​ วดั น​ ก​ี่ นิ ย​ าแ​ ผงไ​มก​่ บ​่ี าทก​ ห​็ ายแ​ ลว้ ​ทำไมถ​ งึ เ​ปน็ ​
เ​ช่น​นั้น​”​
​ จาก​คำถาม​ข้อ​สงสัย​ดัง​กล่าว​ ​นาย​ดาต้า​ก็ได้​ตอบ​ไป​ใน​ลักษณะ​ที่​
ว่า​ ​หมอ​จ่าย​ยา​ให้​ไป​เกิน​กว่า​เหตุ​ ​ข้าพเจ้า​ได้​นำ​เรื่อง​น้ี​ไป​สอบถาม​จาก​
ญาติ​ซ่ึง​เป็น​อายุรแพทย์​ ​แพทย์​ผู้​เช่ียวชาญ​ทางการ​รักษา​ด้วย​ยา​ซ่ึง​ก็ได้​
ความก​ ระจา่ งก​ ลบั ม​ าว​ า่ ​เ​ราค​ งเ​คยท​ ราบก​ นั ว​ า่ ม​ เ​ี ชอ้ื โ​รคม​ ากมายม​ อ​ี าการ​
ดอ้ื ยา​ท​ ำใหร​้ กั ษาห​ ายไ​ดย​้ ากโ​ดยเ​ฉพาะใ​นเ​มอื งไ​ทย​ท​ งั้ น​้ี ม​ ส​ี าเหตท​ุ ส​่ี ำคญั ​
คือ​การ​ให้การ​รักษา​ท่ี​ไม่​เต็ม​ท่ี​ ​ดัง​เช่น​ ​คนไข้​ไป​ซ้ือ​ยา​มา​ทาน​เอง​จาก​ร้าน
ข​ ายย​ า​ห​ รอื ไ​ปพ​ บแ​ พทยต​์ ามค​ ลน​ี คิ ​โ​รงพ​ ยาบาล​แ​ พทยส​์ ว่ นใ​หญจ​่ ะจ​ ดั ย​ า​

165 ๑๖๕

ใหค​้ นไข้​ครบต​ าม​จำนวน​วา่ จ​ ะต​ อ้ ง​ทาน​ยาก​ ว​่ี ัน​​๕​ว​ ัน​​๗​​วัน​​หรือ​​๑๐​ว​ ัน​
ก็​จะ​จัด​ยา​ใหค้​ รบ​เ​ช่น​ค​ นไข​เ้ ปน็ ห​ วดั เ​นื่องจาก​ติดเ​ชื้อ​แบคทีเรีย​ซ​ ึ่งค​ นไข้​
จำต​ อ้ งไ​ดย​้ าป​ ฏชิ วี นะห​ รอื ย​ าแ​ กอ​้ กั เสบ​ค​ นไขท​้ เ​ี่ ปน็ ว​ ณั โรค​ค​ นไขท​้ เ​ี่ ปน็ โ​รค​
กระเพาะ​ปสั สาวะ​อกั เสบ​​ฯลฯ​
​ เมอื่ ค​ นไขเ​้ หลา่ น​ ท​ี้ านย​ าแ​ ลว้ ม​ อ​ี าการด​ ข​ี น้ึ ​ห​ รอื ​ห​ ายไ​ปก​ จ​็ ะห​ ยดุ ย​ า​
ท้งั ​ๆ​​ทเ​่ี ชื้อโ​รคย​ ังไ​มห​่ าย​เ​มือ่ ​หยดุ ​ยา​​ขณะท​ ่ีเ​ชอื้ โ​รค​บางส​ ่วนย​ งั ​ไม่​ตายนน้ั ​
มนั ​จะ​กลบั ​ฟน้ื ​ขน้ึ ​มา​ใหม​่ ​แพร​พ่ นั ธ​ใุ์ หม​อ่ อก​มา​ซง่ึ ​เปน็ ​พนั ธ​ทุ์ ​ม่ี วี ​วิ ฒั นา​การ​
ใ​หด​้ อ้ื ต​ อ่ ย​ าท​ เ​่ี คยใ​ชม​้ าก​ อ่ นแ​ ตใ​่ ชไ​้ มค​่ รบต​ ามจ​ ำนวน​จ​ ากน​ น้ั ไ​มน​่ าน​อาการ​
เจ็บ​ไข้​ก็​จะ​เกิด​ข้นึ ​มา​ใหม่​ ​คราว​น้​ีจะ​รักษา​ให้​หาย​ก็​จะ​ยาก​กว่า​คร้งั ​แรก​​
แนน่ อนต​ อ้ งใ​ชย​้ าท​ แ​ี่ รงข​ น้ึ ก​ วา่ เ​กา่ ​ห​ ากค​ นไขใ​้ ชย​้ าผ​ ดิ ว​ ธิ ​ี เ​ชอ้ื ก​ จ​็ ะด​ อ้ื ยาข​ น้ึ ​
มา​อีก​ ​ทุก​วัน​นี้​จึง​มี​โรค​ด้ือยา​เกิด​ข้ึน​มากมาย​ ​เพราะ​การ​ใช้​ยา​ท่ี​ไม่​ศึกษา​
ให​ถ้ กู ว​ ิธี​
ใ​นเ​ร่อื งข​ องก​ ารศ​ กึ ษา​ปฏิบตั ​ิธรรมก​ ็​เชน่ เ​ดยี วกนั ​
​ การ​ใช้​ยา​ไม่​ถูก​วิธี​.​.​.​ ​ทำให้​เชื้อ​โรค​ด้ือยา​ข้ึน​ฉันใด​ ​การ​ศึกษา​
ปฏบิ ัติ​ธรรมไ​มถ​่ ูก​วิธี​.​..​ก​ ​็ทำใหศ้​ ิษยด์​ ือ้ ​คำส​ อนข​ องค​ รอู​ าจารยฉ์​ ันน​ ้ัน​

๑๖๖ 166 ๘​ ๘​

​ ค​ ณุ ธ​ รรม​​๖​ป​ ระการ​

หลวงปด​ู่ ​ู่ เ​คยป​ รารภธ​ รรมเ​กยี่ วก​ บั เ​รอื่ งก​ ารเ​จรญิ โ​พชฌงค​์ อ​ นั เ​ปน็ ​

คณุ ธ​ รรมท​ ท​่ี ำใหบ​้ คุ คลผ​ ป​ู้ ฏบิ ตั ต​ิ ามไ​ดบ​้ รรลม​ุ รรค​ผ​ ล​น​ พิ พาน​ม​ แ​ี ตค​่ วาม​

เยน็ ใจใ​นท​ กุ ​ที่ท​ กุ ส​ ถาน​​ใน​กาลท​ กุ เ​มอ่ื ​​เป็น​ธรรมท​ เี่​ปน็ ​ประโยชน์อ​ ย่าง​ย่งิ ​

อกี ท​ ง้ั ม​ ค​ี วามไ​พเราะท​ งั้ อ​ รรถแ​ ละธ​ รรม​จ​ งึ ข​ อฝ​ ากไ​วก​้ บั ศ​ ษิ ยห​์ ลวงป​ู่ ใหไ​้ ด​้

นำไ​ปพ​ จิ ารณาก​ ัน​
​ “ด​ ก​ู อ่ นท​ า่ นผ​ เ​ู้ หน็ ภ​ ยั ใ​นว​ ฏั ฏส​ งสารท​ งั้ ห​ ลาย​ผ​ ท​ู้ เ​่ี หน็ ภ​ ยั ใ​นว​ ฏั ฏ-​
สงสารน​ น้ั ​ถ​ า้ ป​ ระกอบ​ดว้ ย​คณุ ​ธรรม​๖​ ​ป​ ระการน​ ​้ี ย​ อ่ ม​จะ​ไดบ​้ รรล​มุ รรค​
ผล ​นพิ พาน​ถงึ ค​ วาม​เยอื ก​เยน็ ​อยา่ งย​ อดเ​ยย่ี ม​​คณุ ​ธรรม​​๖​​ประการ​นน้ั ​
คอื ​
​ ขม่ จ​ ติ ​ใน​สมัย​ทคี่​ วรข​ ่ม​
​ ประคองจ​ ิต​ในส​ มยั ​ที่ค​ วรป​ ระคอง​
​ยงั ​จิตใ​ห้​รา่ เรงิ ใ​น​สมัย​ทค​ี่ วร​รา่ เรงิ ​
​วาง​เฉย​จติ ​ใน​สมยั ท​ ​ี่ควรว​ างเ​ฉย​
​ มีจ​ ติ ​น้อมไ​ป​ใน​มรรค​ผ​ ล​​อันป​ ระณตี ​สูงสุด​
​ ยินดี​ย่ิงใ​นพ​ ระน​ พิ พาน​”​

167 ๑๖๗

ผู้​ปฏิบัติ​ที่​มี​ความ​ชาญ​ฉลาด​ ​ย่อม​จะ​ต้อง​ศึกษา​จิตใจ​และ​อารมณ์​
ของ​ตน​ให้​เข้าใจ​ ​และ​รู้จัก​วิธี​กำหนด​ ​ปล่อย​วาง​ ​หรือ​ควบคุม​จิตใจ​และ​
อารมณใ​์ หไ​้ ด​้ เ​ปรยี บเ​สมอื นเ​วลาท​ เ​ี่ ราข​ บั ร​ ถยนต​์ จ​ ะต​ อ้ งศ​ กึ ษาใ​หเ​้ ขา้ ใจถ​ งึ ​
วธิ ก​ี ารข​ บั ขท​่ี ป​่ี ลอดภยั ​บ​ าง​ครง้ั ​ควรเ​รง่ ​บ​ าง​คราว​ควรผ​ อ่ น​​บางทก​ี ​ต็ อ้ งห​ ยดุ ​
​เรง่ ใ​นเ​วลาท​ ค​่ี วรเ​รง่ ​
​ผ่อนใ​น​เวลา​ที​่ควรผ​ ่อน​
​ หยดุ ​ในเ​วลาท​ ี​่ควรห​ ยดุ ​
​ ก​จ็ ะ​สามารถถ​ ึงที่​หมายไ​ด้​อย่างป​ ลอดภัย​
​เปรียบ​เหมือน​การ​ปฏิบัติ​ธรรมะ​น่ี​ล่ะ​ ​ทำนอง​เดียวกัน​ให้​พิจารณา​
อย่าง​น้​ี

๑๖๘ 168 ​๘๙​

​ ​ลงิ ต​ ดิ ​ตงั ​

ท่ามกลาง​กระแสส​ งั คม​ทส​่ี ับสน​วุ่นว​ าย​​ไมว่​ ่าจ​ ะเ​ป็นก​ ิจธ​ ุระส​ ่วนต​ วั ​
กิจ​ธุระ​เรื่อง​ครอบครัว​ ​เรื่อง​ท่ี​ทำงาน​ ​เรื่อง​ของ​ญาติ​สนิท​มิตร​สหาย​ ​จน​
บอ่ ยค​ รง้ั ท​ เ​ี่ ราร​สู้ กึ เ​หมอื นถ​ กู พ​ นั ธนาการด​ ว้ ยภ​ าระแ​ ละห​ นา้ ทท​ี่ ต​ี่ อ้ งจ​ ดั การ​
มากมาย​อยู่​ทุก​ ว​ที่ กุ ​วนั ​ท​ งั้ ต​ วั ​เรา​เอง​และ​ทั้ง​ผคู้ น​รอบ​ขา้ ง​
​ หลวงปู่​ได้​เคย​เปรียบ​ลักษณะ​เช่น​น้ี​กับ​อาการ​ของ​ลิง​ ​โดย​ท่าน​ได้​
ถามข​ า้ พเจ้า​วา่ ​“​แกเ​คย​รู้จกั ไ​หม​​โลกต​ ิดตวั เ​หมือนล​ ิง​ตดิ ต​ ัง​”​
(​“​ ต​ งั ”​ ​ต​ ามค​ วามห​ มายใ​นพ​ จนานกุ รมห​ มายถ​ งึ ​ย​ างไ​มท​้ ผ​่ี สมก​ บั ส​ งิ่ ​
อน่ื แ​ ล้ว​ท​ ำใหเ​้ หนยี ว​ใช​้สำหรบั ​ดกั ​นก​)​
​เวลา​ท่ี​เขา​มา​ดัก​จับ​ลิง​ ​เม่ือ​ลิง​มา​ติด​กับ​ที่​มี​ตังติด​อยู่​ ​ตังติด​มือลิง​
ข้างห​ นึ่ง​ม​ ัน​กใ็​ช้ม​ ือ​อกี ข​ า้ งม​ าแ​ กะอ​ อก​​แตแ​่ กะไ​ม่​ออก​​กลบั ​ติด​ตงั ​ท้ังส​ อง​
มอื ​เ​อาเ​ท้า​มาช​ ่วยถ​ บี อ​ อก​​กไ็​ม​่ออกอ​ ีก​เ​อาป​ าก​กัดอ​ กี ​​ผล​ที่สุดเ​ลยต​ ิดต​ ัง​
ไป​ท้ังต​ วั ​​ทัง้ ส​ องม​ อื ​​สอง​เทา้ ​​และ​ปาก​​ติด​ตังไ​ปห​ มด​น​ อนร​ อใ​หเ้​ขา​มา​จบั ​
ตวั ​เอา​ไป​ขา้ พเจา้ ​กม้ ล​ ง​ดูต​ วั เ​อง​​และเ​หลยี วม​ อง​ด​ูรอบ​ตัว​​ไม​เ่ หน็ ล​ ิงแ​ มแ้ ต​่
ตวั ​เดยี ว​ท​ีต่ ิดต​ ัง​เ​หน็ ​แต่ต​ ัวเ​อง​และค​ น​รอบ​ๆ​​ขา้ ง​​ตดิ ​ตงั เ​ต็ม​ไป​หมด​.​..​​​ไม่ม​ี
ลิง​สกั ต​ ัว ...ใครก​ ็ได​้ ​ชว่ ยแ​ กะ​ทเี​ถอะค​ รับ​​!​

169 ๑๖๙

๙​ ๐​

​ปรารภ​ธรรมเ​รอื่ ง​“​ ​การ​เกดิ ”​ ​



บ่าย​ร่ม​ลม​เย็น​วัน​หนึ่ง​ ​ใน​อิริยาบถ​สบาย​ๆ​ ​ของ​หลวงปู่​ท่ี​กุฏิ​ท่าน​​
หลวงปู่​ได้​ปรารภ​ธรรม​เกี่ยว​กับ​เร่ือง​ ​“​การ​เกิด​”​ ​ให้​กับ​ศิษย์​ได้​ฉุกคิด​
เปน็ การบ​ า้ น​
​ทา่ นไ​ด้ป​ รารภไ​วว​้ ่า​
​ “ค​ นเ​ราเ​กดิ ม​ าไ​มเ​่ หน็ ม​ อ​ี ะไรด​ ​ี ม​ ด​ี อ​ี ยอ​ู่ ยา่ งเ​ดยี ว​ส​ วดม​ นตไ​์ หวพ​้ ระ​
ปฏบิ ตั ​ภิ าวนา”​ ​
​ ขา้ พเจา้ ห​ วนร​ำลกึ ถ​ งึ ค​ ำส​ อนท​ า่ นพ​ ทุ ธท​ าสภ​ กิ ขจ​ุ ากห​ นงั สอื ​“​ เ​ลา่ ไว​้
เม่ือ​วัย​สนธยา​”​​ซึ่งส​ มั ภาษณ์โ​ดยพ​ ระ​ประชา​ป​ สันนธ​ มั โม​ท​ ่านพ​ ุทธท​ าส​
ภิกขุ​ได้​พูด​ถึง​เร่ือง​ท่ี​สำคัญ​ที่สุด​ใน​ชีวิต​ว่า​ ​คนเราเกิด​มา​ควร​จะ​ได้​อะไร​
เ​กดิ ม​ าท​ ำไม​
​ คน​ส่วน​ใหญ่​สมัย​เป็น​เด็ก​ๆ​ ​ไม่มี​ทาง​รู้​ว่า​เกิด​มา​ทำไม​ ​พ่อ​แม่​ก็​ไม่​
ได้​สอน​ว่า​เกิด​มา​ทำไม​ ​เพียง​แต่​ได้​รับ​การ​ดูแล​ว่า ​ทำ​อย่าง​น้ัน​ทำ​อย่าง​น้ี​​
ทีเ่​รียกว​ ่าด​ ๆี ​​ให​้เรยี น​หนงั สอื ​​ใหป้​ ระพฤต​ดิ ี​​กด​็ แี​ ต​่ไม่ร​้วู ่า​เกิด​มาท​ ำไม​​จน​
กระท่งั ​เปน็ ห​ นมุ่ ​สาว​ก​ ​็ไม่ร​วู้ ่า​เกดิ ​มาท​ ำไม​​เพ่อื ป​ ระโยชนอ​์ ะไร​​แตก่​ ไ็ ดท​้ ำ​
ทุก​ๆ​ ​อย่าง​ตาม​ท่ี​ผู้​หลัก​ผู้ใหญ่​สอน​ให้​ทำ​ตาม​ขนบธรรมเนียม​ประเพณี​

๑๗๐ 170

ม​ ​ใี หท​้ ำ​​จงึ ม​ ก​ี าร​ศกึ ษา​ม​ อ​ี าชีพส​ ำหรบั ท​ ำ​มาห​ ากนิ ​​ม​คี วามเ​ปน็ อ​ ยู่ท​ ่ด​ี ี​ข้ึน​
บาง​คนจน​เลย​วัย​ผู้ใหญ่​ล่วง​ถึง​วัย​ชรา​ ​ก็​ไม่มี​โอกาส​ ​แม้​จะ​คิด​หา​คำ​ตอบ​
ที่​สำคัญ​ที่สุด​ใน​ชีวิต​น้ี​ ​ข้าพเจ้า​ขอ​อนุญาต​ ​ขีด​เส้น​ใต้​คำ​ว่า​ ​ท่ี​สำคัญ​ที่สุด​
ใน​ชวี ติ ​น​ี้
​ ท่าน​พทุ ธท​ าส​ภิกข​ุ ไ​ด้​เฉลย​คำ​ตอบน​ ี้​ไวว้​ า่ .​​..​​
​“​เกิด​มา​ให้​ได้​รับ​สิ่ง​ดี​ที่สุด​ที่​มนุษย์​ควร​จะ​ได้​ ​คือ​ให้​มี​ชีวิต​ท่ี​เย็น​​
ท​ ไี​่ มเ​่ ปน็ ท​ กุ ข​์เลย​”​
​ สรปุ ไ​ดว​้ า่ ​​เพือ่ ​แสวงหาค​ วามส​ ุขท​ ่ไ​ี ม​ก่ ลบั ​กลาย​เป็นค​ วามท​ ุกข์​อีก​
​มีส​ ภ​ุ าษติ ​จนี บ​ ท​หนึง่ ​ทวี่​ ่า.​​..​​
​ ร​ู้ก่อน​แ​ ก้​กอ่ น​
​รู้ห​ ลงั ​​แกห​้ ลงั ​
ไ​ม่ร​ู้ ไ​ม​่แก้​
​ รู้แ​ ลว้ ​​ทำไม​ไม่แ​ ก้​
​ นน่ั น​ ะ่ ​ซ​ิ ​ร​ู้แล้ว​..​.​ท​ ำไม​(​​ยงั )​​​ไม่​แก​้ ​(​วะ)​​​!​
​ ข้าพเจา้ ​อุทานก​ ับ​ตัวเ​อง​

171 ๑๗๑

​๙๑​

เ​มด​อ​ นิ ​​วดั ส​ ะแก​



ทา่ น​ทม​่ี ค​ี วาม​สนใจใ​นว​ ตั ถมุ งคลของห​ ลวงปด​ู่ ​ู่ พ​ รหมปญั โญ จะพ​ บ
​ว่า​พระ​เคร่ือง​พระ​บูชา​ของ​ท่าน​มี​มากมาย​หลาย​รุ่น​หลาย​แบบ​ ​เท่าท่ี​
พอ​จะ​สืบ​ทราบ​ ​หลวงปู่​ได้​เร่ิม​สร้าง​ต้ัง​แต่​ปี​ ​พ​.​ศ​.​๒๔๘๔​ ​เร่ือย​มา มี​ท้ัง​
ชุด​พระ​บูชา​ท่ี​เป็น​พระพุทธ​รูป​และ​ท่ี​เป็น​รูป​หล่อ​หลวง​ปู่ทวด​ ​หลวงปู่​ดู่​​
ครูบา​อาจารย์​องค์​อื่น​ๆ​ ​เช่น​ ​หลวงปู่​เกษม​ ​เขม​โก​ ​ท่ี​เป็น​พระเคร่ืองก็
ไดแ​้ ก​่ ช​ ดุ พ​ ระเ​หนอื พ​ รหม​ช​ ดุ ช​ ยั มงคลค​ าถา​(​พ​ าห​ งุ ฯ​ )​​ช​ ดุ เ​หรยี ญรปู เ​หมอื น​
หลวงปด​ู่ ​ู่ ร​วมท​ ง้ั เ​หรยี ญโ​ลหะอ​ นื่ ๆ​ ​พ​ ระห​ ยดน​ ำ้ ​ร​ปู ห​ ลอ่ ล​ อยอ​ งคข​์ นาดเ​ลก็ ​
พระ​พิมพ​์ตา่ งๆ​ ​​ตลอดจนลอ็ กเกต​​และ​แหวน​
เ​มอ่ื ต​ น้ ป​ ​ี ๒​ ๕๔๐​ข​ า้ พเจา้ ไ​ดเ​้ หน็ ห​ นงั สอื พ​ ระเ​ครอ่ื งเ​ลม่ ห​ นงึ่ ​ผ​ เ​ู้ ขยี น​
ไดเ้​ล่า​ถึง​ขา่ ว​ดัง​ใน​รอบป​ ี​๒​ ๕๓๙​แ​ ละไ​ด​้จดั อ​ นั ดับ​๑​ ๐​ข​ า่ ว​ดงั แ​ หง่ ว​ งการ​
พระ​เครื่องใ​นร​ อบ​ป​ี ซ​ ึ่งก​ ​ว็ า่ ก​ ันไ​ปต​ ามป​ ระสาค​ นในว​ งการ​พระ​เคร่อื ง​​แต่​
มข​ี ่าว​หน่ึง​ในบ​ รรดา​๑​ ๐​ข​ า่ ว​ดงั นี​้ที่​สะดดุ ​ใจ​ขา้ พเจ้า​​คอื ​
​ “ส​ บั สน​ทส่ี ดุ ​​ใน​วงการพ​ ระเ​ครอ่ื ง​คอื ​พ​ ระ​เครอ่ื ง​บชู า​ของ​หลวง​ปดู่ ​ู่
พรหม​ปัญโญ​ ​วัด​สะแก​ ​อำเภอ​อุทัย​ ​จังหวัด​พระนครศรีอยุธยา​ ​สับสน​
จน​บรรดา​เซียน​พระ​ไม่​กล้า​จัด​ประกวด​เพราะ​ไม่​สามารถ​แยกแยะ​ได้​ว่า​

๑๗๒ 172

อัน​ไหน​ของ​จริง​อ​ ัน​ไหนข​ องป​ ลอม”​ ​ข​ า้ พเจา้ อ​ า่ นแ​ ลว้ ​อดข​ ำไ​มไ่​ด้​​ก​็พวก​
ท่าน​ท้ัง​หลาย​ ​(​บรรดา​เซียน​พระ​เครื่อง​)​ ​เล่น​จัด​ประกวด​พระ​เครื่อง​ด้วย​
วัตถุประสงค์​ที่​จะ​ตี​ราคา​พระ​เคร่ือง​พระ​บูชา​ของ​หลวงปู่​ออก​มา​ใน​เชิง​
พาณิชย์​ ​เพื่อ​นำ​มา​ซื้อ​ๆ​ ​ขาย​ๆ​ ​แสวงหา​กำ​รี้​กำไร​กัน​ใน​ตลาด ​ซึ่ง​ไม่ใช่​
วตั ถปุ ระสงค์​ของ​หลวงป​ู่
​วัตถุประสงค์​ของ​หลวงปู่​ ​ต้องการ​ให้​พระ​เคร่ือง​บูชา​ของ​ท่าน​เป็น​
สอื่ ​.​..​ให​เ้ ขา้ ​ถึงพ​ ระแ​ ท้ใ​นจ​ ติ ใจ​ของ​ผ​ู้ประพฤต​ิปฏบิ ัต​ติ าม​ธรรมค​ ำ​สอนข​ อง​
ทา่ น​ต​ อ้ งการใ​หพ​้ ระน​ ไ​้ี ดถ​้ งึ ม​ อื บ​ คุ คลท​ ส​ี่ นใจศ​ กึ ษาป​ ฏบิ ตั จ​ิ รงิ ๆ​ ​ด​ งั จ​ ะเ​หน็ ​
ไดจ​้ ากก​ ารท​ ม​ี่ พ​ี ระเ​ครอ่ื งพ​ ระบ​ ชู าข​ องห​ ลวงป​ู่ จ​ ำนวนม​ ากท​ ท​ี่ ำเ​ปน็ พ​ ระผ​ ง​
ผสมป​ นู ซ​ เี มนตข​์ าวม​ จ​ี ำนวนม​ ากมายน​ บั แ​ สนอ​ งค​์ จ​ นบ​ างค​ นม​ ค​ี วามร​สู้ กึ ว​ า่ ​
พระ​หลวงป​ดู่ ​.ู่ ​.​.ไ​มม่ ร​ี าคา​​แตข​่ า้ พเจา้ ​กลบั ​รสู้ กึ ​ตรง​กนั ​ขา้ มว​ า่ ​พ​ ระห​ ลวงป​ดู่ ​ู่
.​.​.​​เมด​​อิน​​วัด​สะแก​น้​ี ทว​่ี า่ .​.​.​ไ​มม่ ​รี าคาน​ ้นั ​​คอื ​ไ​ม่มรี​ าคาแ​ บบ​ท​ี่หาค​ า่ ​มไิ ด​้
เปน็ ​I​nvaluable​​หรอื ​​Priceless​​Thing​​สำหรับผ​ ​้รู ู้​คณุ คา่ ​​มใิ ช่ส​ ำหรับ​
ผ​รู้ ู้​มูลค่า​ท​ ี่​นิยมก​ าร​ซ้ือข​ าย​แลก​เปลี่ยนเ​ป็นเ​งินท​ องก​ ัน​

173 ๑๗๓

๙​ ๒​

พ​ ุทธ​นมิ ิต​

ก​ ารต​ อบค​ ำถามข​ องห​ ลวงปแ​ู่ กศ​่ ษิ ยช​์ า่ งส​ งสยั อ​ ยา่ งข​ า้ พเจา้ ​บ​ างค​ รง้ั ​
ท่าน​ไม่​ตอบ​ตรง​ๆ​ ​แต่​ตอบ​ด้วย​การ​กระทำ​ ​การ​แสดง​ให้​ดู​ ​และ​การ​ตอบ​
ของท​ า่ นก​ ย​็ งั ค​ วามอ​ ศั จรรยใ​์ หเ​้ กดิ ข​ น้ึ แ​ กข​่ า้ พเจา้ แ​ ละเ​พอ่ื นๆ​เ​ปน็ อ​ ยา่ งย​ งิ่ ​
ดงั ​เหตกุ ารณ์เ​มื่อค​ รง้ั ​ทเ​่ี กดิ ​​“พ​ ุทธน​ ิมิต”​ ​​เมื่อ​คืนว​ นั ​ข้ึน​​๑๔​​ค่ำ​เดือน​​๖​
ก่อนว​ ัน​วิสาขบ​ ชู า​ป​ี พ​ ​.​ศ.​​๒๕๒๘​​หนง่ึ ค​ ืนท​ ี่​วัดส​ ะแก​
เ​หตเ​ุ รมิ่ แ​ รกเ​กดิ จ​ ากเ​มอ่ื ต​ อนก​ ลางว​นั ใ​นว​นั น​ นั้ ​ข​ า้ พเจา้ และหมเู่ พอื่ น​
ไดม​้ ากร​าบน​ มสั การห​ ลวงปท​ู่ ว​่ี ดั ​พ​ รอ้ มก​ บั พ​ กพ​ าเ​อาค​ วามส​ งสยั ​๒​ ​เ​รอื่ ง​ค​ อื ​
เวลาท​ ห​่ี ลวงพอ่ ห​ ลวงป​ ท​ู่ งั้ ห​ ลาย​ท​ า่ นจ​ ะไ​ปช​ ว่ ยล​ กู ศ​ ษิ ยท​์ อ​่ี ยห​ู่ า่ งก​ นั ค​ นละ​
ท่ีใ​น​เวลา​เดียวกัน​ท​ ่านไ​ป​ไดอ้​ ยา่ งไร​พรอ้ มก​ บั เ​รอ่ื ง​น้ี​ใ​นว​ ันน​ ้นั ​ข้าพเจา้ ได​้
นำ​รูป​ปาฏิหาริย์​ของ​ครู​อาจารย์​ท่าน​อ่ืน​ๆ​ ​ที่​ศิษย์​ของ​ท่าน​เหล่า​นั้น​ถ่าย​
ภาพ​ไ​ดร​้ วบรวมม​ าถ​ วายใ​หห​้ ลวงปท​ู่ า่ นด​ ​ู ม​ ภ​ี าพข​ องพ​ ระอ​ าจารยม​์ หาป​ นิ่ ​
หลวง​ป​ขู่ าว​​หลวงป​ ูค่ รู​บาช​ ยั ​ยะว​ งศาฯ​ ​แ​ ละพ​ ระ​อาจารย์​จวน​ด​ ว้ ยค​ วาม​
งวยงงส​ งสัย​​ข้าพเจ้า​จึงถ​ ามท​ า่ น​ว่า​ภาพเ​หล่า​น้ีถ​ า่ ยก​ นั ​จรงิ ​​หรอื ​วา่ ​ทำ​ขนึ้ ​
มา​ห​ ลวงปท​ู่ า่ นพ​ จิ ารณาด​ ร​ู ปู เ​หลา่ น​ น้ั ท​ ล​ี ะใ​บจ​ นค​ รบ​ใ​ชเ​้ วลาป​ ระมาณห​ นง่ึ ​
นาท​ี ​แลว้ ร​ วบเ​ขา้ ไ​ว​ด้ ว้ ย​กนั ​ย​ กมือ​ไหว​้ ​แลว้ บ​ อกข​ า้ พเจา้ ว​ า่ ​“​ ข​ า้ โ​ม​ทนา​

๑๗๔ 174

สาธ​ดุ ้วย​​ของจ​ ริงท​ ง้ั น​ น้ั ​”​​ดังน​ นั้ ​จ​ ึง​ไมม่ ค​ี ำ​อธบิ าย​อน่ื ใ​ด​อกี น​ อกจาก​น้​ี
​ ครนั้ ​ตกเ​วลาก​ ลางค​ ืนป​ ระมาณส​ องท​ ุ่ม​ข​ า้ พเจา้ ก​ บั เ​พอ่ื นๆ​ ​ม​ าท​ ​กี่ ฏุ ​ิ
หลวงป่​ูอกี ​ครง้ั ​ม​ ​ลี ูก​ศิษย​์มากมาย​ต่างม​ าสร​ ง​น้ำห​ ลวงปู่​ใน​โอกาสว​ นั ​คล้าย​
วัน​เกิด​ท่าน​.​.​.​วัน​วิ​สาข​ปุร​ณ​มี​ ​เมื่อ​คณะ​ที่มา​สรง​น้ำ​หลวงปู่​เดิน​ทาง​กลับ​
ไป​หมด​ ​เหลือ​แต่​ข้าพเจ้า​และ​เพื่อน​ๆ​ ​พวก​เรา​ขอ​อนุญาต​หลวงปู่​ถ่าย​รูป​
กับ​ท่าน​ไว้​เป็นท​ ​่ีระลึก​ข​ า้ พเจา้ จ​ ำ​ได้ด​ วี​ ่า​เมอื่ ​หลวงป​ู่อนุญาตแ​ ลว้ ​จ​ ากน​ ัน้ ​
ทา่ น​ก็​นง่ั น​ ่ิง​ไ​ม​่ขยบั เขย้อื น​​ไม่เ​คล่ือน​ไหวใ​ดๆ​​ทงั้ ​สิ้น​​ศิษย​์ตาก​ ล้องผ​ ลดั ​
กัน​ถ่าย​ภาพ​ได้​ประมาณ​สิบ​ภาพ​ ​แล้ว​ทุก​คน​ก็​กราบ​นมัสการ​ท่าน​อีก​ครั้ง​
บรรยากาศค​ นื น​ น้ั ​ข​ า้ พเจา้ ม​ ค​ี วามร​สู้ กึ ท​ แ​่ี ปลกไ​ปก​ วา่ ท​ กุ ว​ นั ​จ​ ำไ​ดว​้ า่ บ​ รเิ วณ​
กฏุ ​ิหลวงป่​ูเย็น​สบาย.​​.​.​เ​ย็นเ​ข้าไปถ​ ึง​จิตถ​ ึงใจ​ขา้ พเจา้ อ​ ย่างย​ ง่ิ ​
​ เมอ่ื น​ ำฟ​ ลิ ม์ ท​ งั้ หมดไ​ปล​ า้ ง​ป​ รากฏว​ า่ ม​ ภ​ี าพป​ าฏหิ ารยิ ​์ “​ พ​ ทุ ธน​ มิ ติ ”​
เกดิ ​ขนึ้ ​​สว่ น​แรกเ​ปน็ ​ภาพพ​ ทุ ธ​นมิ ติ ​ค​ อื เ​ปน็ ​ภาพพ​ ระพทุ ธเจา้ ท​ ี​ถ่ ่ายไ​ดโ้​ดย​
ไมม่ ​ีวตั ถ​ุทเ​่ี ป็นพ​ ระพทุ ธร​ ูป​​เหต​ุอศั จรรย​อ์ กี ป​ ระการห​ นงึ่ ค​ ือ​เปน็ ภ​ าพ​ทอี่​ ย​ู่
ตน้ ฟ​ ลิ ม์ ท​ ม​่ี ไิ ดต​้ งั้ ใจถ​ า่ ย​เ​ปน็ ภ​ าพท​ ผ​ี่ ถ​ู้ า่ ยต​ อ้ งก​ าร​กดชตั เ​ตอรท​์ ง้ิ ​ส​ ว่ นท​ ส​ี่ อง​
เปน็ ภ​ าพ​หลวงป่​ูโดยม​ ​ีแสง​สี​เป็น​รังสตี​ า่ งๆ​​รอบ​ๆ​​องค์ท​ า่ น​
​ สำหรับ​ข้าพเจ้า​แล้ว​ ​นี่​เป็นการ​ตอบ​คำถาม​ท่ี​หลวงปู่​เมตตา​ตอบ​
ข้าพเจ้า​ท่ี​ได้​ถาม​ท่าน​ไว้​สอง​คำถาม​เม่ือ​ตอน​กลาง​วัน​ภาพ​ ​“​พุทธ​นิมิต​”​​
เป็นการ​ตอบ​คำถาม​ที่​ว่า​ เวลา​ที่​หลวงพ่อ​หรือ​หลวง​ปู่​ท้ัง​หลาย​ท่าน​จะ​ไป​
ช่วย​ลูก​ศิษย์​ท่ี​อยู่​ห่าง​กัน​คนละ​ที่​ใน​เวลา​เดียวกัน​​ท่าน​ไป​ได้​อย่างไร​ ​ส่วน​
ภาพห​ ลวงปู​่ด่​ูท่​ีม​แี สง​สเี​ปน็ ​รงั ส​ีต่างๆ​ ​​รอบ​ๆ​อ​ งค​์ท่าน​ก​ ​เ็ ปน็ การ​ตอบ​ต่อ​

175 ๑๗๕

คำถาม​ที่​ว่า​ภาพ​ครู​อาจารย์​องค์​ต่างๆ​ ​ที่​ข้าพเจ้า​นำ​มา​ถวาย​ให้​ท่าน​ดู​นั้น​​
“​เป็น​ของ​จริง​”​ ​ข้าพเจ้า​เช่ือ​แน่​เหลือ​เกิน​ว่า​ ​หลวงปู่​คง​มิได้​ตอบ​คำถาม​
ข้าพเจา้ เ​พยี ง​สอง​คำถามเ​ท่าน้นั ​จ​ ึง​ขอฝ​ าก​ทา่ น​ผู​ร้ ้​ูทไี่​ด้เ​ห็น​ภาพ​เหล่า​นใ้ี​ห้​
นำ​ไป​พจิ ารณา​ดว้ ย​ด​ี ​ก​จ็ ะ​ได​ร้ ับ​ประโยชนอ​์ กี ม​ าก​ที​เดยี ว​
​ หลัง​จาก​เกิด​เหตุการณ์​น้ี​ ​ข้าพเจ้า​ได้​นำ​ภาพ​เหล่า​น้ี​มา​ถวาย​ให้​
หลวงปู่​ด​แู่ ละ​กราบ​เรียน​ขอค​ ำอ​ ธิบายจ​ าก​ท่าน​
​ ท่านต​ อบอ​ ย่าง​รวบรดั ว​ า่ ​​“เ​ขาท​ ำให้เ​ชื่อ”​ ​
​ หลวงปเ่​ู นน้ เ​สียง​ส​ ีหน้า​เกล่อื นย​ ิ้ม​ด้วยเ​มตตา​


๑๗๖ 176

๙​ ๓​

​กรรมฐ​ าน​พาล​จิตเ​พ้ยี น​

ห​ ลาย​ป​ีกอ่ น​ม​กี ารเ​สวนาท​ าง​วิชาก​ าร​เร่อื ง​“​ ​โรคจิตก​ ับ​กรรม​ฐาน”​
จดั โ​ดยธ​ รรมส​ ถานจ​ ฬุ าลงกรณม​์ หาวทิ ยาลยั ​ใ​นค​ รง้ั น​ น้ั ม​ ก​ี ารเ​ชญิ จ​ ติ แพทย​์
จาก​โรง​พยาบาลศ​ ิริราช​ม​ า​เล่าถ​ ึง​ปัญหา​โรคจิตท​ ่​เี กดิ จ​ ากก​ าร​นั่งว​ ปิ ัสสนา​
กรรมฐ​ านว​ า่ ทจ​่ี รงิ แ​ ลว้ ก​ ารท​ ำกรรมฐ​ านไ​มไ​่ ดเ​้ ปน็ ส​ าเหตข​ุ องก​ ารเ​กดิ โ​รคจติ
​แตป​่ ระการใ​ด​ก​ าร​ทค่​ี นท​ ว่ั ไปน​ ั่ง​วปิ ัสสนา​กลับม​ าแ​ ลว้ เ​กดิ อ​ าการท​ าง​จิตท​ ​ี่
คนอ​ ่ืน​มอง​วา่ ​“​ ​เพย้ี น”​ ​​หรอื เ​ปน็ โ​รคประสาท​เ​ป็น​เพราะท​ ำไ​ม่​ถกู ว​ ิธ​ี
​ จิตแพทย์​ท่าน​นั้น​ได้​กล่าว​ว่า​ ​การ​ท่ี​มี​ผู้​ไป​ทำ​วิปัสสนา​กลับ​มา​แล้ว​
ผิดป​ กติม​ ี​ไมม​่ ากน​ กั ​แ​ ต่​สิง่ ท​ ี่​นา่ ​เปน็ ​หว่ ง​มาก​ก​็คอื ป​ ัจจุบันม​ ี​สำนกั ​สอน​การ​
ปฏบิ ตั ร​ิ วมท​ งั้ ว​ ปิ สั สนาเ​กดิ ข​ น้ึ อ​ ยา่ งม​ ากมาย​จ​ นท​ ำใหค​้ นค​ ดิ ว​ า่ เปน็ แ​ ฟชนั่ ​
ท่ี​กำลัง​ได้​รับ​ความ​นิยม​ ​คาด​ว่า​มี​สำนัก​น้อย​ใหญ่​ทั่ว​ประเทศ​เป็นพัน​แห่ง​​
สาเหตุ​ที่​ทำให้​คน​มุ่ง​เข้า​สู่​สำนัก​กรรม​ฐาน​เหล่า​นี้​เนื่อง​มา​จาก​ความทุกข์​​
ความผ​ ดิ ห​ วงั ​ใน​ชวี ติ ​ต​ ้องการท​่พี ึ่ง​ทางใ​จ​ส​ รปุ ไ​ด​ว้ ่า​คนท​ เี่​พยี้ นจ​ ากก​ ารทำ
กรรมฐ​ านน​ นั้ ส​ ว่ นใ​หญม​่ ค​ี วามอ​ อ่ นแอท​ างจ​ ติ ใจอ​ ยแ​ู่ ลว้ ​แ​ ละม​ าพ​ บแ​ นวทาง​
ปฏบิ ตั ทิ ผ​ี่ ดิ ๆ​ ​เ​ชน่ ​อ​ า่ นต​ ำราแ​ ลว้ น​ ำไ​ปต​ คี วามเ​อง​ห​ รอื คดิ คน้ ว​ ธิ ป​ี ฏบิ ตั เ​ิ อง​
นอก​แบบ​ของค​ รู​อาจารย์​หรอื ​ฟงั ​จาก​เพ่อื น​ที่​เล่าใ​หฟ้​ ังต​ ่อ​ๆ ​กนั ​มา​

177 ๑๗๗

​ เจ้า​สำนัก​กรรม​ฐาน​บาง​แห่ง​มัก​ใช้​วิธี​พิสดาร​ต่างๆ​ ​เพื่อ​สร้าง​ความ​
ขลัง​ให​้สำนัก​ตน​ด้วย​การ​ฝกึ แ​ บบ​แปลกๆ​ ​จนท​ ำให้ค​ นท​ ี่ฝ​ ึก​แบบ​ท่ี​ผดิ ​ๆ​ ​น้ี​
เกิด​อาการ​เคร่งเครียด​ ​บ้าง​ก็​เกิด​ความ​กลัว​หวาดระแวง​ ​เกิด​เป็น​อาการ​
เพี้ยนต​ า่ งๆ​ต​ าม​มา​อ​ าการ​เพ้ียนน​ ้​ีมิใชเ​่ พง่ิ ​เกดิ ใ​น​สมยั ​ปจั จบุ นั ​​หากแ​ ต่ใ​น​
คร้ัง​พุทธ​กาล​กม​็ ี​หลักฐ​ านป​ รากฏใ​น​พระว​ ินยั ป​ ิฎก​ภาค​อาทกิ​ มั มิกะ​ค​ อื ​
​ สมัย​หนึ่ง​ที่​พระพุทธเจ้า​ทรง​สอน​กรรม​ฐาน​ข้อ​ท่ี​ว่า​ด้วย​การ​ให้​
พิจารณา​ร่างกาย​ดุจ​เป็น​ซากศพ​แก่​พระ​ภิกษุ​ ​หลัง​จาก​น้ัน​พระพุทธเจ้า​
เสดจ็ ​เขา้ ผ​ าสกุ ว​ หิ าร​ธรรม​ค​ อื ท​ รงพ​ กั ​ผอ่ นส​ ่วน​พระองคเ์​ป็นเ​วลา​๑​ ๕​​วัน​
ใน​ระหว่างน​ ​ี้ จ​ ะ​ไม่​เสด็จอ​ อก​บณิ ฑบาต​จ​ ะม​ ​แี ต​่พระภ​ ิกษผุ​ ​ู้ทำ​หน้าที​่คอย​
อปุ ฏั ฐาก​อยู​่ ​ไมท่​ รง​รบั แขกแ​ ละง​ด​การ​แสดง​ธรรม​
​ พระภ​ กิ ษท​ุ ไ​่ี ดฟ​้ งั พ​ ระพทุ ธเจา้ ส​ อนเ​รอ่ื ง​อ​ สภุ ะ​ ก​ รรมฐ​ าน​ไดน​้ ำค​ ำส​ อน​
ไป​ปฏิบัติ​โดย​ไม่มี​ครู​อาจารย์​คอย​ควบคุม​อย่าง​ใกล้​ชิด​ก็​เกิด​อาการ​วิปริต​​
เห็น​ร่างกาย​เป็น​ซากศพ​ ​เป็น​ที่​น่า​ขยะแขยง​เป็น​ทุกข์​ ​จึง​จ้าง​วาน​คน​อื่น​
ใหฆ้​ า่ ​ตวั ​เองบ​ ้าง​ล​ งมอื ฆ​ ่าก​ ันเองบ​ า้ ง​เม่ือพ​ ระพุทธเจ้า​ทรงเ​สร็จจ​ าก​ผาสุก​
วหิ าร​ธรรม​ท​ รงท​ ราบ​เรอื่ งเ​ข้า​จงึ ​ทรง​สอนใ​ห้ภ​ กิ ษ​ทุ เ่ี​หลืออ​ ย่ใู​ห​พ้ ิจารณา​
กรรม​ฐานใ​นแ​ นวใ​หม​่
​ อกี เ​รอื่ งห​ นง่ึ ​เ​รอ่ื งพ​ ระภ​ กิ ษก​ุ ลมุ่ ห​ นง่ึ เ​รยี นก​ รรมฐ​ านจ​ ากพระพทุ ธเจา้ ​
แล้วก​ราบ​ทูล​ลาเ​ข้าป​ า่ ​หา​ที่ส​ งบป​ ฏบิ ตั ิ​กรรมฐ​ าน​จน​ไดบ​้ รรลฌ​ุ าน​แลว้ ​ไ​ม​่
นานก​ เ​็ กดิ ค​ วามส​ ำคญั ผ​ ดิ ค​ ดิ ว​ า่ ต​ นไ​ดส​้ ำเรจ็ ข​ น้ั อ​ รห​ นั ต​ แ​์ ลว้ ​จ​ งึ ช​ วนก​ นั อ​ อก​
จาก​ป่า​กลับ​มา​เฝ้า​พระพุทธเจ้า​ ​และ​ได้​บอก​ความ​ประสงค์​เรื่อง​นี้​แก่​พระ​

๑๗๘ 178

อานนท์​ ​พระ​อานนท์​เข้าไป​กราบทูล​พระพุทธเจ้า​เพื่อ​ขอ​อนุญาต​เข้า​เฝ้า​
พระพทุ ธเจา้ ไ​มท​่ รงอ​ นญุ าต​ร​บั สง่ั ใ​หพ​้ ระอ​ านนทไ​์ ปบ​ อกพ​ ระภ​ กิ ษเ​ุ หลา่ น​ น้ั ​
ใหไ​้ ปพ​ จิ ารณาซ​ ากศพใ​นป​ า่ ชา้ ก​ อ่ น​ซ​ ง่ึ ใ​นข​ ณะน​ น้ั ใ​นป​ า่ ชา้ ม​ ค​ี นท​ ต​่ี ายใ​หมๆ่ ​
ยงั ไ​มไ​่ ดเ​้ ผา​พระภ​ กิ ษเ​ุ หลา่ น​ น้ั ก​ ไ็ ดไ​้ ปด​ ศ​ู พใ​นป​ า่ ชา้ ​เ​มอื่ ด​ ศ​ู พท​ ก​ี่ ำลงั ข​ นึ้ อ​ ดื ​
ก็​บังเกิดค​ วามเ​กลยี ด​ ​และ​เมอ่ื ​ไป​ดูศ​ พ​หญิง​สาวท​ ​ีเ่ พิ่งต​ าย​ ​แล​เหน็ ​อวยั วะ
ทุก​ส่วน​ยัง​สด​อยู่​ก็​บังเกิด​ราคะ​ ​พระ​ภิกษุ​เหล่า​น้ัน​จึง​ทราบ​ว่า ​พวก​ตน​
ยงั ไ​มไ​่ ดบ​้ รรลธ​ุ รรมใ​ดๆ​ก​ เ​็ กดิ ค​ วามส​ ลดส​ งั เวชใ​จใ​นค​ วามส​ ำคญั ผ​ ดิ ข​ องต​ น​
หลงั จ​ ากน​ นั้ ไ​ดเ​้ ขา้ เ​ฝา้ พ​ ระพทุ ธเจา้ ​ไ​ดฟ​้ งั ธ​ รรมจ​ งึ ไ​ดส​้ ำเรจ็ เ​ปน็ พ​ ระอ​ รห​ นั ต​ ​์
ใน​เวลา​ตอ่ ​มา​
​ นเ​ี้ ปน็ ห​ ลกั ฐ​ านว​ า่ การป​ ฏบิ ตั ก​ิ รรมฐ​ านต​ ามห​ ลกั ศ​ าสนาพ​ ทุ ธ​จ​ ำเปน็ ​
ตอ้ งม​ ค​ี รอ​ู าจารยค​์ อยด​ แู ล​เ​ชน่ ค​ อยแ​ นะนำว​ า่ ภ​ าพท​ เ​ี่ หน็ แ​ ละค​ วามค​ ดิ ท​ เ​่ี กดิ ​
ขึน้ ใ​น​ขณะท​ ​ี่เจริญ​พระกร​รม​ฐาน​หรอื ​เวลาน​ ัง่ ก​ รรม​ฐาน​ต​ ลอดจ​ น​อารมณ์​
ต่างๆ​ ​ที่​เกิด​ขึ้น​ใน​ระหว่าง​น้ัน​มี​ความ​หมาย​อย่างไร ​และ​ควร​วาง​อารมณ์​
ต่อ​สิง่ เ​หลา่ นน้ั ​อยา่ งไร​​ม​ฉิ ะนนั้ ​​ผูท้​ ำกรรม​ฐานอ​ าจ​เกิดค​ วาม​เห็น​ผดิ ​​แล้ว​
พฒั นา​กลาย​เปน็ ​ความว​ ปิ ริต​หรอื ผ​ ิด​เพย้ี น​​ท่ีสดุ ​แลว้ ​อาการอ​ าจร​ นุ แรง​จน​
ควบคมุ ​ไม่ไ​ด​้ ก​ ลายเ​ป็น​คนว​ ิกลจริต​ไปก​ ม็​ ​ี
​ ผู้​ปฏิบัติ​จึง​ควร​เริ่ม​ต้น​ศึกษา​พุทธ​ศาสนา​ด้วย​การ​ศึกษา​หาความรู้​
ทำความ​เข้าใจ​ใน​หลัก​คำ​สอน​ของ​พระพุทธเจ้า​ให้​เข้าใจ ​ก่อน​ท่ี​จะ​ลงมือ​
​นงั่ ​สมาธิ​เจริญภ​ าวนา​​เพราะ​การ​ทำส​ มาธิ​แตเ​่ พยี ง​อยา่ ง​เดยี ว​กม็​ โ​ี ทษ​ม​ ิใช​่
มป​ี ระโยชน์ด​ ้าน​เดียว​

179 ๑๗๙

​ ดงั น​ นั้ ​จ​ งึ ข​ อฝ​ ากผ​ ป​ู้ ฏบิ ตั ท​ิ ม​ี่ กั ม​ น​ี มิ ติ ภ​ าวนา​ไ​มว​่ า่ เ​ปน็ น​ มิ ติ ป​ ระเภท​
ภาพ​​เสยี ง​ก​ ล่นิ ​ห​ รือ​ส่งิ ​อ่นื ใ​ดก​ ็ตาม​ห​ ลวงปท​ู่ ่านเ​คยส​ อนไ​ว​้ว่า​​
“​อย่า​ยนิ ดี​ยนิ ​รา้ ย​แ​ ละอ​ ย่า​น้อมใ​จเ​ชอ่ื ​ในน​ มิ ติ ​ทีเ่​กิดข​ ้นึ ”​ ​​
ทา่ นส​ อนไ​ม​่ให​ป้ ฏิเสธ​​หรือ​วา่ ไ​ม​ใ่ หเ้​ชื่อน​ ิมิต​ทันทีท​ ​ี่นิมิต​เกิด​ขึน้ ​​แต่​
สอน​ให้​เชอื่ ห​ รอื ป​ ฏเ​ิ สธก​ ็​ต่อเ​มอื่ ​​ความจ​ ริง​​ปรากฏข​ ึ้น​เทา่ นน้ั ​​
หลวงป​ ด​ู่ ลู ย​์ อ​ ต​ โุ ล​ท​ า่ นไ​ดเ​้ คยแ​ นะนำว​ ธิ ล​ี ะน​ มิ ติ ก​ บั ศ​ ษิ ยค​์ นห​ นง่ึ ใ​น​
หนังสอื ​“​ ​หลวง​ปู่​ฝาก​ไว”​้ ​​เรียบเ​รียงโ​ดยพ​ ระ​โพธิน​ ันทม​ ุน​ี ว​ า่ ​
​ “​.​.​.​นมิ ิต​บาง​อย่างม​ นั ​กส​็ นุกด​ ​ี น​ ่าเ​พลิดเพลิน​อย่​ูหรอก​แ​ ตถ​่ า้ ​ตดิ อ​ ย​ู่
แคน​่ น้ั ม​ นั ก​ เ​็ สยี เ​วลาเ​ปลา่ ​ว​ ธิ ล​ี ะไ​ดง​้ า่ ยๆ​ก​ ค​็ อื อ​ ยา่ ไ​ปด​ ส​ู งิ่ ท​ ถ​่ี กู เ​หน็ เ​หลา่ น​ นั้ ​
ให​ด้ ผู​ เ้​ู ห็น​​แล้ว​ส่งิ ท​ ี่​ไมอ่​ ยากเ​หน็ ​น่ัน​ก็​จะ​หาย​ไป​เอง”​ ​



๑๘๐ 180 ๙​ ๔​

​ จ​ ะไ​ป​ทาง​ไหน ?​

หลวงปู่​เคย​พูด​ถึง​ความ​รู้สึก​ห่วงใย​ของ​ท่าน​ที่​มี​กับ​บรรดา​ศิษย์​ว่า​​
หลาย​คน​ก่อน​จะ​มา​เกิด​น่ี​ ​พวก​ที่​อยู่​บน​สวรรค์​ก็ได้​ไป​ร่ำ​ลา​พระ​ก่อน​ ​พอ​
ลง​มาแ​ ล้ว​ก​็มาเ​พลดิ เพลิน​หลงต​ ิด​อยูก่​ ับ​โลก​ ค​ ร้นั ​เม่อื ต​ าย​ไป​แล้ว​ก​็ไป​เกิด​
ใน​ทล่ี​ ำบาก​​ในอ​ บายภ​ ูมิ​​มนี ร​ ก​​เปรต​​อสรุ ก​ าย​​สัตว์​เดรัจฉาน​​ไม่​สามารถ​
กลบั ​ขึ้น​ไป​รบั ​ผลบ​ ญุ ​บน​สวรรค์​ชัน้ พ​ รหม​​หรอื ​ไป​นพิ พานไ​ด้​
​ พระพทุ ธเจา้ เ​คยเ​ปรยี บบ​ คุ คล​ไว​้ ​๔​จ​ ำพวก​ค​ อื ​
​ ๑​.​ บ​ คุ คล​ทม่ี​ ืด​มาแ​ ลว้ ม​ ืดไ​ป​ เ​ปรยี บไ​ด้ก​ บั บ​ ุคคล​ทม่ี าจ​ ากภ​ พ​ภูมท​ิ ี่​
ต่ำก​ วา่ ม​ นุษย์​​ไดแ้ ก​่ น​ รก​เ​ปรต​อ​ สุรก​ าย​ส​ ตั วเ​์ ดรัจฉาน​​ครน้ั ​มา​เกดิ ​แล้ว​
ก็​ประกอบ​แต​่กรรม​ชว่ั ​เ​มื่อต​ าย​จาก​โลก​มนุษย์​ก็​กลบั ​ไปส​ อ​ู่ บายภ​ ูมิอ​ กี ​
​ ๒.​​บ​ คุ คลท​ ม​่ี ดื ม​ าแ​ ลว้ ส​ วา่ งไ​ป​เ​ปรยี บไ​ดก​้ บั บ​ คุ คลท​ มี่ าจ​ ากภ​ พภ​ มู ท​ิ ​่ี
ตำ่ ​กว่าม​ นุษย์​ไ​ดแ้ ก่​น​ รก​เปรต​อ​ สุรก​ าย​ส​ ตั วเ​์ ดรัจฉาน​ค​ ร้นั ​มา​เกิด​แล้วก​ ​็
ประกอบแ​ ตก​่ รรมด​ ​ี เ​มอ่ื ต​ ายจ​ ากโ​ลกม​ นษุ ย​์ เ​ขาก​ ส​็ ามารถไ​ปส​ ส​ู่ คุ ตม​ิ ส​ี วรรค​์
พรหม​พ​ ระ​นิพพานไ​ด​้
๓.​​บ​ คุ คลท​ ส​ี่ วา่ งม​ าแ​ ลว้ ม​ ดื ไ​ป​เ​ปรยี บไ​ดก​้ บั บ​ คุ คลท​ มี่ าจ​ ากภ​ พภ​ มู ท​ิ ​่ี
สงู ก​ วา่ ภ​ มู ม​ิ นษุ ย​์ ไ​ดแ้ ก​่ สวรรค​์ พ​ รหม​ค​ รนั้ ม​ าเ​กดิ แ​ ลว้ ก​ ป​็ ระกอบแ​ ตก​่ รรมช​ วั่ ​

181 ๑๘๑

​เมอ่ื ​ตาย​จาก​โลกม​ นษุ ย​ก์ ็ก​ ลบั ​ไปส​ ​อู่ บาย​ภูมิ​
​ ๔​.​ ​บุคคล​ท่ี​สว่าง​มา​แล้ว​สว่าง​ไป​ ​เปรียบ​ได้​กับ​บุคคล​ท่ีมา​จาก​ภพ​
ภูมิ​ที่​สูง​กว่า​ภูมิ​มนุษย์​ ​ได้แก่​ ​สวรรค์​ ​พรหม​ ​คร้ัน​มา​เกิด​แล้ว​ก็​ประกอบ​
แตก​่ รรมด​ ​ี เ​ม่ือต​ ายจ​ าก​โลก​มนุษย์​เ​ขาก​ ส็​ ามารถ​ไป​ส่ส​ู คุ ตมิ​ ​สี วรรค​์ พรหม​
พระน​ พิ พานไ​ด​้
​ จะม​ ดื ​มาห​ รือ​สวา่ งม​ า​ข​ ้าพเจ้า​คดิ ​ว่า​ไม่​สำคัญ​เทา่ กับ​จะม​ ดื ​ไปห​ รอื ​
สว่างไ​ป​เ​พราะอ​ ยา่ งไรเ​สยี ​​เราก​ ็ได​้มา​เกิดแ​ ล้ว​​แตข​่ ณะน​ ้​เี รา​ยงั ​ไม​ไ่ ด​้..​​.​ไป​
​ ใน​ประวัติ​ของ​สมเด็จ​พระ​พุฒ​า​จาร​ย์​โต​ ​พรหม​รังสี​ ​แห่ง​วัด​ระฆัง​-​
โฆ​สิ​ตา​ราม​ ​เมื่อ​คราว​ท่ี​ในหลวง​รัชกาล​ที่​ ​๔​ ​ทรง​ให้​ขุด​สระ​น้ำ​และ​ปลูก​
​พระ​ตำหนกั ​กลางส​ ระน​ ำ้ ​อยา่ งส​ วยงาม​​ท่าน​ได้​ตรสั ​ถาม​สมเดจ็ ​โตว​ า่ ​​
“​สวย​ไหม​​ขรัวโ​ต​”​
​สมเด็จ​โตก​ราบ​ทูล​ตอบ​ว่า​ ​“​สวย​มาก​มหาบพิตร​ ​ดุจ​ราช​รถ​อัน​
วจิ ติ ร​”​
​ เท่าน​ ี​แ้ หละ​ ​ในหลวง​ทรง​กรวิ้ ไ​ป​หลาย​วัน​เ​พราะท​ า่ น​เปน็ ​ปราชญ​์
เชยี่ วชาญภ​ าษาบ​ าล​ี ค​ ำก​ ราบทูลข​ องส​ มเดจ็ ​โต​วา่ “​ ​ดจุ ​ราชร​ ถ​อันว​ ิจติ ร​”​น​ ้ี​
ตรง​กับ​พทุ ธ​ภาษิต​บท​หน่งึ ว​ า่ ​
​ “ส​ ท​ู ง้ั ห​ ลายจ​ งม​ าด​ โ​ู ลกน​ ​้ี อ​ นั ต​ ระการต​ าด​ จุ ร​าชร​ถอนั ว​ จิ ติ ร​ท​ พ​่ี วก​
คนโ​ง​ห่ ลงต​ ดิ ​อย​ู่ ​แตผ​่ ​รู้ ​หู้ า​ตดิ ข​ อ้ งอ​ ย​ไู่ ม”​่ ​

๑๘๒ 182

๙​ ๕​

​ต​เี หล็ก​รอ้ นๆ​

ค​ รง้ั ห​ นง่ึ ​ม​ เ​ี พอื่ นผ​ ป​ู้ ฏบิ ตั ธ​ิ รรมข​ องข​ า้ พเจา้ ไ​ดฝ​้ ากเ​รยี นถ​ ามห​ ลวงป​ู่
วา่ ​“​ ในย​ คุ ป​ จั จบุ นั ​ผ​ คู้ นก​ ำลงั ม​ ค​ี วามท​ กุ ขก​์ นั ม​ ากมาย​น​ อกจากก​ ารป​ ฏบิ ตั ​ิ
ธรรมแ​ ลว้ ​ค​ วร​ทำ​อย่างไร​อีกครบั ”​
​ขา้ พเจา้ ไ​ด​้กราบเ​รยี น​ถามห​ ลวงป​ู่ ซ​ งึ่ ​ทา่ นเ​มตตา​ตอบว​ ่า​​
“คำถามม​ นั ม​ ค​ี ำต​ อบอ​ ยใ​ู่ นต​ วั แ​ ลว้ ​น​ อกจากก​ ารป​ ฏบิ ตั ธ​ิ รรมแ​ ลว้ ​
ไมม่ ​อี ยา่ ง​อน่ื ​เ​พราะก​ ารป​ ฏบิ ตั ​ธิ รรมค​ อื ป​ ฏบิ ตั ​ใิ หถ​้ กู ​ตอ้ ง​​ทส​่ี ำคญั อ​ ยา่ ง​
แรกค​ อื ต​ อ้ งท​ ำความเ​หน็ เ​ราใ​หถ​้ กู เ​สยี ก​ อ่ นว​ า่ ทว​่ี า่ ป​ ฏบิ ตั ธ​ิ รรมน​​ น้ั ​ป​ ฏบิ ตั ​ิ
อะไร​​แ​ ละ​ปฏบิ ตั อ​ิ ยา่ งไร​”​​
หลวงปทู่ า่ นไ​ดข้ ยายความโดยแ​ ยกแยะไ​วเ​้ ปน็ ส​ องน​ ยั ค​ อื ​โ​ลกยี ธรรม​

และโ​ลก​ตุ รธ​ รรม​
​ โลกียธ​ รรม​​คือ​​ให้ป​ ฏิบัตห​ิ นา้ ท​่ขี อง​เรา​ใหพ​้ รอ้ ม​สมบูรณ์​ไ​ม​่ว่าจ​ ะ​
เปน็ ห​ นา้ ทตี่​ อ่ พ​ ่อแ​ ม่​ค​ รบู าอ​ าจารย์​ห​ ัวหนา้ ​ล​ ูก​นอ้ ง​​เพ่อื น​ๆ​แ​ ละ​หนา้ ท่ี​

ต่อ​ตวั ​เอง​
โ​ลกต​ุ รธ​ รรม​ก​ ใ​็ ชท​้ กุ ขจ​์ ากส​ ภาพท​ เ​ี่ ปน็ อ​ ยน​ู่ แ​ี้ หละเ​ปน็ เ​ครอ่ื งก​ ำหนด​
รู้​ ​สำหรับ​ผู้​มี​ปัญญา​แล้ว​ ​ยิ่ง​เห็น​ทุกข์​มาก​เท่าใด​ ​ก็​ย่ิง​อยาก​ท่ี​จะ​พ้น​ทุกข์​

183 ๑๘๓

มากเ​ทา่ น้ัน​​โดยอ​ าศยั ห​ นทางม​ รรค​ทพี่​ ระพทุ ธเจ้า​สอน​เป็นแ​ นวทางเ​ดิน​
​ เมื่อได้​ฟัง​คำ​ตอบ​ของ​หลวงปู่​ ​ทำให้​ข้าพเจ้า​ระลึก​ถึง​ประวัติ​ของ​
สมเดจ็ โ​ต​ว​ ดั ​ระฆงั ฯ​ ​​อกี ค​ ร้งั ...
​โดย​ปกติ​ในหลวง​รัชกาล​ที่​ ​๔​ ​มัก​นิมนต์​สมเด็จ​โต​เข้า​มา​เทศน์​ใน​
วัง​เสมอ​ว​ ัน​หนึ่ง​ทท​ี่ ่านน​ มิ นตส์​ มเดจ็ ​โต​มาเ​ทศน์​พ​ อดวี​ นั น​ น้ั ท​ า่ นม​ ​กี ิจธ​ รุ ะ​
ที่​จะ​ต้อง​ไป​ทำ​ต่อ​ ​เม่ือ​สมเด็จ​โต​มา​เทศน์​ ​ท่าน​ทราบ​ดี​ว่า​ในหลวง​มี​เรื่อง​
ร้อน​พระทัย​อยู่​จะ​รีบ​ไป​ ​ท่าน​ก็​เทศน์​ให้​ในหลวง​ฟัง​อยู่​เสีย​นาน​กว่า​จะ​จบ​
ลง​ได้​
​ คร้ัง​ต่อ​มา​ ​ในหลวง​นิมนต์​สมเด็จ​โต​เข้า​มา​เทศน์​ใน​วัง​อีก​ ​วัน​น้ัน​
ทา่ นว​ า่ งจ​ ากก​ จิ ธ​ รุ ะก​ ารง​านด​ แี ลว้ ​ต​ งั้ ใจจ​ ะฟ​ งั เ​ทศนส​์ มเดจ็ เ​ตม็ ท​ ​ี่ ส​ มเดจ็ โ​ต​
แทนท​่ีจะ​เทศน​์อะไร​ใหใ้​นหลวงฟ​ งั ​​วัน​นนั้ ​​ท่าน​กลับ​ไม่​แสดงธ​ รรม​และ​ไม​่
เทศนเ​์ ลย​เ​พยี ง​แต​ข่ น้ึ ต​ น้ ​วา่ ​“ธรรมใ​ดๆ​ม​ หาบพติ ร​ก​ท็ รงท​ ราบด​ ​อี ยแ​ู่ ลว้ ​
เอวงั ​ก​ม็ ​ดี ว้ ย​ประการ​​ฉะน​”้ี
​เรือ่ ง​น้ส​ี อน​ให​้รว​ู้ า่ จ​ ะต​ ​เี หล็ก​ให​ต้ ีต​ อน​รอ้ นๆ​​ในว​ นั ​แรกใ​นหลวงท​ รง​
มี​เร่ือง​กังวล​พระทัย​จิตใจ​ไม่​ปกติ​ ​สมเด็จ​โต​ท่าน​จึง​ต้อง​เทศน์​นาน​หน่อย​​
แต่​วัน​ต่อ​มา​ท่าน​สบาย​พระทัย​ ​จิตใจ​เป็น​ปกติ​ดี​ ​ก็​ไม่มี​เหตุ​อัน​ใด​ที่​ต้อง​
เทศน์​สอนอ​ กี ​ฉ​ ันใด​​การ​พิจารณาท​ กุ ข​ใ์ ห​้เขา้ ใจ​ทกุ ข์​ใ​หผ​้ า่ นท​ กุ ข​ใ์ ห้​ได้​​ก็​
ต้อง​พิจารณา​ใน​ยาม​ท่ี​เผชิญ​ทุกข์​มากๆ​ ​ยาม​ที่​ปัญหา​เศรษฐกิจ​รุม​เร้า​เช่น​
ปัจจบุ ันน​ ี​้ ฉ​ นั น​ ัน้ ​

๑๘๔ 184 ๙​ ๖​

​ ค​ รู​พกั ล​ ักจ​ ำ​

คณุ ธ​ รรมท​ โ​่ี ดดเ​ดน่ ข​ องห​ ลวงปด​ู่ อ​ู่ กี ป​ ระการห​ นงึ่ ท​ ข​่ี า้ พเจา้ ย​ งั จ​ ดจำ​
ได้​ดี​ ​คือ​หลวงปู่​รู้จัก​เอา​เหตุ​กา​รณ์​เล็ก​ๆ​ ​น้อย​ๆ​ ​ท่ี​ดู​เหมือน​ไม่​สลัก​สำคัญ​
อะไร​ม​ าจ​ ดุ ป​ ระกายค​ วามค​ ดิ แ​ กศ​่ ษิ ย​์ ดว้ ยว​ ธิ ค​ี ดิ แ​ ละก​ ศุ โลบายอ​ นั แ​ ยบคาย​
จนท​ ำใหเ​้ หตก​ุ าร​ณเ​์ ลก็ ๆ​ ​น​ อ้ ยๆ​ ​ก​ ลบั เ​ปน็ เ​รอ่ื งร​าวท​ ม​ี่ ค​ี า่ ​ก​ ลายเ​ปน็ บ​ ทเ​รยี น​
อนั ​ทรงค​ ุณคา่ สำหรับศ​ ษิ ยใ​์ น​เวลา​ต่อม​ า​อ​ ยา่ งเ​ชน่ ​เ​รื่อง​หนึ่ง​ในส​ ​่ี ​หลวงป​ู่
ไดเ้​คย​ปรารภ​ธรรมก​ บั ข​ า้ พเจ้าว​ า่ ​
​ “​ ​ข้า​นั่ง​ดูด​ยา​ ​มอง​ดู​ซอง​ยา​แล้ว​ตั้ง​ปัญหา​ถาม​ตัว​เอง​ว่า​ ​เรา​นี่​
ปฏบิ ตั ไ​ิ ดห​้ นึง่ ใ​นส​ ี่​ของศ​ าสนา​หรือ​ยงั ​ถ​ ้าซ​ อง​ยาน​ แี้​ บง่ ​เป็นส​ ่สี​ ่วน​​เราน​ ​่ี
ยงั ไ​มไ​่ ดห้​ นงึ่ ใ​นส​ ​่ี ม​ นั จ​ วนเ​จยี นจ​ ะไ​ดแ้​ ลว้ ก​ ค​็ ลาย​เ​หมอื นก​ บั เ​ราม​ ดั เ​ชอื ก​
จน​เกอื บ​จะ​แนน่ ​ได้ทแ่​ี ลว้ เ​ราป​ ล่อย​ ม​ ันก​ ็​คลายอ​ อก​ ​เรา​นย่​ี งั ​ไมเ่​ชื่อจ​ รงิ ​​
ถ้าเ​ชื่อจ​ รงิ น​ ่​ีมนั ​ตอ้ งไ​ด​้หน่ึง​ในส​ ่ี​แลว้ ”​ ​
​ ตอ่ ​มาภ​ าย​หลัง​ทา่ นไ​ด​ข้ ยายค​ วาม​ใหข​้ า้ พเจ้า​ฟัง​ว่า​
​ “ท​ ว​่ี า่ ห​ นงึ่ ใ​นส​ น​ี่ น้ั ​อ​ ปุ มาด​ งั่ ก​ ารป​ ฏบิ ตั ธ​ิ รรมเ​พอ่ื ใ​หบ​้ รรลม​ุ รรคผล​
ใน​พุทธศ​ าสนา​​ท่าน​แบ่งไ​วเ​้ ปน็ ​ข้นั โ​สดาบ​ นั ส​ กิ​ทา​คามี​อ​ ​นาคาม​ ​ี ​และ​
อรห​ ตั ต​ ผ​ ล​อ​ ยา่ งน​ อ้ ยเ​ราเ​กดิ ม​ าใ​นช​ าตน​ิ ไ​ี้ ​ดพ​้ บพระพ​ ทุ ธศ​ าสนา​เ​ปรยี บ​

185 ๑๘๕

เหมอื นไ​ดพ​้ บส​ มบตั ล​ิ ำ้ คา่ ​ห​ ากไ​มป​่ ฏบิ ตั เ​ิ อาใ​หไ​้ ดอ​้ ยา่ งน​ อ้ ยหน​ งึ่ ใ​นส​ ​่ี ใ​ห​้
ถงึ ​ความเ​ป็นพ​ ระโ​สดา​บนั ​ป​ ิด​ประตอ​ู บายภ​ มู ิ​ให​้ได้​ก​ ​็เทา่ กบั ว​ า่ ​เราเ​ป็น​
ผปู้​ ระมาทอ​ ยมู่​ าก”​ ​
ย่งิ ข้าพเจา้ ​ได้ศ​ กึ ษา​ไ​ด้เ​รยี น​ร้ก​ู ับ​หลวงป​ู่ ​ข้าพเจ้า​ก็ย​ ง่ิ บ​ ังเกดิ ​ความ​
อศั จรรยข​์ น้ึ ใ​นจ​ ติ ใจ​ท​ า่ นส​ อนใ​หเ​้ ราไ​ดห​้ ลกั แ​ ละว​ ธิ ค​ี ดิ ด​ ว้ ยโ​ยนโิ สม​ นสกิ าร​
ทำใหเ​้ ราไ​ดเ​้ กดิ ศ​ รทั ธาแ​ ละก​ อ่ ใ​หเ​้ กดิ ​“​ ป​ ญั ญา”​ ​อ​ นั เ​ปน็ ย​ อดป​ รารถนาข​ อง​
ทกุ ค​ น​ท​ ำใหเ​้ กดิ ค​ วามเ​ขา้ ใจแ​ จม่ ช​ ดั ใ​นเ​รอื่ งต​ วั ต​ นข​ องเ​ราแ​ ละท​ กุ ช​ วี ติ ท​ อ​ี่ ย​ู่
รอบ​ขา้ ง​
​ หลวงปท​ู่ า่ นเ​คย​เล่า​ให​้ขา้ พเจ้า​ฟังว​ ่า​
​ “​คน​สมัย​ก่อน​ท่ี​เขา​ปฏิบัติ​กัน​ได้​ดี​ ​ต้อง​รู้จัก​ลัก​สังเกต​จดจำ​สิ่ง​ท่ี​
ดี​งามข​ อง​ผอู​้ ื่นม​ า​ปฏิบัติ​ตาม เ​พื่อ​ให้เ​กดิ ใ​ห​้ม​ีทต​ี่ ัว​เรา ​เหมอื นท​ ่ขี​ ้าส​ อน​
พวกแ​ กน​ ​่ี ไ​มใ่ ชส่​ ำนกั ป​ ฏบิ ตั ิ​ไ​มใ่ ชส่​ ำนกั ว​ ดั ส​ ะแก​ถ​ า้ เ​ปน็ ส​ ำนกั ก​ ต​็ อ้ งต​ งั้ ​
แบบใ​หม​่
​ ที่​ขา้ ส​ อน​นไ​่ี ม่ใช​แ่ บบใ​หม่​​แตเ​่ ปน็ แ​ บบ​ของ​พระพุทธเจ้า​​ขา้ ก​ ​็ลกั ​
สอน​แอบส​ อน​อยนู​่ ี​่ ​ใครเ​ชื่อ​จริงเ​อาจ​ รงิ ​ก็ไดไ้​ป​​ชว่ ยๆ​ ​​กนั ​.​.​.​ช​ ่วยเ​หลือ​
พระ​ศาสนา”​ ​

๑๘๖ 186 ๙​ ๗​

​ เห็นแ​ ลว้ ​ไม่​หัน​

ครงั้ แ​ รกท​ ด​่ี ฉิ ันถ​ กู เ​พอื่ นช​ วนไ​ปว​ ดั ต​ า่ งจ​ งั หวดั แ​ หง่ ห​ นง่ึ ​ด​ ว้ ยค​ วามร​ ​ู้
เทา่ ​ไม​ถ่ งึ ก​ ารณ​์ เริม่ ​จากด​ ฉิ ันไ​ด​ถ้ ามเ​พอ่ื นว​ า่ ​“​ ​วนั ​เสาร​์น้ี​ว่าง​ไหม​”​​เพ่ือน​
ผู้น​ ้นั ​ตอบ​วา่ ​“​ ​ไม่ว​ า่ ง”​ ​
​ “​ไป​ไหน​”​ด​ ฉิ ันซ​ ักด​ ว้ ย​ความส​ งสยั ​
​ “​ไปอ​ ยธุ ยา​”​เ​พ่อื น​ตอบ​
​ “​ไป​ด้วย​คน​ซิ​ ​อยุธยา​น่า​สนใจ​ดี​ออก​”​ ​ดิฉัน​ตอบ​รับ​อย่าง​กระ​ตือ-​
รือร้น​ด้วย​ความอ​ ยาก​เทยี่ ว​
“​ ไ​ป​วดั น​ ะ”​ ​เ​พอ่ื น​ยำ้ ​
​ “​วดั อ​ ะไร”​ ​
​ “​วดั ส​ ะแก”​ ​
“​ ไ​ปท​ ำไม​​วัดส​ ะแก”​ ​​ดิฉันส​ งสัยเ​พราะไ​ม่เ​คยไ​ด้ยนิ ช​ ือ่ ​วัด​มาก​ ่อน​
​ “​ไปก​ ราบห​ ลวงป่​ดู ”​ู่ ​
​ “ไ​ปก​ ไ​็ ป”​ ​ด​ ฉิ นั ต​ อบต​ กลงด​ ว้ ยค​ วามท​ อ​ี่ ยากอ​ อกไ​ปไ​หนส​ กั แ​ หง่ น​ อก​
กรงุ เทพฯ​

​ วนั ​แรกท​ ่​ไี ปถ​ งึ ​วดั ​สะแก​​สงั เกต​จาก​ภายนอกเ​ป็นว​ ัด​ธรรมดา​เ​กา่ ๆ​ ​

​ไม่มี​อะไร​ที่​น่า​สนใจ​ ​เม่ือ​เดิน​ขึ้น​กุฏิ​ ​ได้​พบ​และ​กราบ​หลวงปู่​ ​ท่าน​กำลัง ​

187 ๑๘๗

สบู ​บหุ ร่ี​​ดิฉันน​ ึก​ในใ​จว​ ่า“​ ​พระส​ ูบบ​ หุ รี่​ไมเ​่ หน็ ช​ อบ​เลย​”​ตอนนั้นใ​กล้เ​พล​
แลว้ ​ป​ ระกอบกบั เ​ปน็ ว​ นั ท​ ำงานป​ กต​ิ จ​ งึ ม​ คี นไ​มม​่ ากน​ กั ​ด​ ฉิ นั ไ​ดท​้ านอ​ าหาร​
กลางว​ นั แ​ บบบ​ ฟุ เฟต่ ค​์ รง้ั แ​ รกค​ อื ​น​ งั่ ท​ านอ​ าหารท​ ห​ี่ ลวงปฉ​ู่ นั เ​สรจ็ แ​ ลว้ ​โ​ดย​
น่ัง​รวม​กัน​หลายๆ​ ​ค​ น​​กับ​พน้ื ไ​ม​้กระดานบ​ รเิ วณ​หน้า​กฏุ ทิ​ ่าน​
​ ภายห​ ลงั อ​ าหารม​ อื้ น​ นั้ ​ด​ ฉิ นั ห​ มายม​ น่ั ป​ น้ั ม​ อื เ​ตรยี มค​ ำถามท​ อ​ี่ า่ นม​ า​
จาก​หนังสือ​แล้ว​เกิด​ความ​สงสัย​หา​คำ​ตอบ​ไม่​ได้​ ​จึง​ขอ​นำ​มา​ถาม​หลวงปู่​​
หลวงป่​ูทา่ นอ​ ย​ใู่ น​อิริยาบถพ​ ักผ​ อ่ น​แบบส​ บาย​ๆ​ข​ อง​ท่าน​
“​ ห​ ลวงปเ​ู่ จา้ ค​ ะ​ก​ ศุ ลก​ รรมช​ กั นำก​ ศุ ลก​ รรม​อ​ กศุ ลก​ รรมช​ กั นำอกศุ ล-​
กรรม​​นี​ห่ มายความ​วา่ ​อย่าง​ไร​เจา้ ​คะ​”​
​ หลวงปู่​ทา่ น​มองห​ นา้ ​ดฉิ นั อ​ ย​ู่คร่​ูหนง่ึ ​แ​ ลว้ ย​ ้ิมอ​ ยา่ ง​อารมณ​์ด​ี
​“ข​ ้าไ​มต​่ อบ​เอง็ ล​ ่ะ​​เอ็งม​ องด​ ู​ทีก​่ ระดานเ​อาเ​องก​ ​็แลว้ ​กัน”​ ​
ด​ ิฉนั ​ม​ องห​ าก​ ระดาน​อย่างง​งๆ​ ​
​ “​คนห​ นั ไ​ม่​เห็น​​คนเ​หน็ ​แลว้ ไ​ม่ห​ นั ”​ ​​ดิฉนั อ​ ่าน​ตามเ​บาๆ​​ในใ​จ​​
“​หมายความว​ า่ อ​ ย่างไ​รเ​จ้าค​ ะ”​ ​ด​ ิฉันถ​ ามท​ ่าน​ด้วย​ความโ​งซ​่ อ่ื ​
​“​เอ็งว​ ่าอ​ ย่างไรล​ ่ะ”​ ​ห​ ลวงป​ูถ่ าม​
ด​ ิฉนั ​เงยี บ​จน​เพอื่ นต​ อ้ งส​ ะกดิ ​
​ “​ไม​ท่ ราบ​เจ้าคะ่ ​”​
​ หลวงปูจ่​ ึง​ไดอ​้ ธบิ าย​ให​้ฟังว​ า่ ​
​ “​ถา้ ​เอง็ ห​ นั ​ไป​เ​อ็ง​กไ​็ มเ่​ห็นอ​ ะไร​
​แตถ​่ า้ ​เอง็ เ​ห็น​แลว้ ​เ​อ็งก​ ​็ไมต่​ อ้ งห​ ันไ​ป​หา​อะไร”​ ​

๑๘๘ 188

​ต้ัง​แต่​วัน​น้ัน​เป็นต้น​มา​ ​ดิฉัน​ได้​มา​ที่​วัด​สะแก​อีก​หลาย​ครั้ง​ ​เพ่ือ​ที่​
จะ​ร​้วู า่ ท่ี​​“เ​หน็ ​”​​นะ่ ​เ​ขา“​ ​เห็น”​ ​​อะไรก​ นั ​​บ่อย​คร้ัง​ใน​ชว่ ง​เวลา​หลายป​ ีน​ ั้น​
ดฉิ นั ​มีเ​ร่อื ง​ไม่​สบายใจ​​มปี​ ญั หา​มากมาย​​จึง​เตรียมต​ วั ​เตรยี มค​ ำถามท​ ่​เี ปน็ ​
ปัญหา​ไป​ถาม​หลวงปู่​ ​แต่​เป็น​ที่​น่า​แปลก​ว่า​เมื่อ​ได้​มา​พบ​กับ​หลวงปู่​แล้ว​
คำถามต​ า่ งๆ​ท​ ล​ี่ ว้ นเ​ปน็ ป​ ญั หาห​ นกั อกท​ างโ​ลกท​ เ​ี่ ตรยี มม​ าถ​ ามน​ นั้ ไ​ดม​้ อ​ี นั ​
อนั ตรธานห​ ายไ​ปห​ มด​น​ กึ เ​ทา่ ไรก​ น​็ กึ ไ​มอ​่ อก​เ​ปน็ เ​ชน่ น​ อ​ี้ ยบ​ู่ อ่ ยค​ รง้ั จ​ นด​ ฉิ นั ​
สังเกต​ได้​
​ มี​อยู่​ครั้ง​หนึ่ง​ ​มี​ปัญหา​หนักอก​ต้ังใจ​จะ​ไป​ถาม​หลวงปู่​อีก​ ​ตั้งใจ​ไว้​
อย่าง​ดี​ว่า​ต้อง​ไม่​ลืม​ ​ต้อง​ถาม​ท่าน​ให้​ได้​ ​วัน​น้ัน​ได้​ไป​กราบ​หลวงปู่​ ​โดย​มี​
เพ่ือน​ร่วม​เดิน​ทาง​คน​เดิม​ เช่น​เคย​หลวงปู่​นั่ง​พัก​ผ่อน​อิริยาบถ​ภาย​หลัง​
อาหาร​เพล​
​ เพอ่ื น​ดิฉัน​สะกดิ แ​ ลว้ ​ว่า​​
“อ​ รพนิ ท​ ​์ ม​ ี​อะไรจ​ ะม​ า​ถาม​หลวงปไู่​มใ่ ชห​่ รือ​?​”​ ​
​ ดิฉัน​นึกถึง​คำถาม​ที่​เตรียม​มา​ถาม​ ​ใน​ใจ​รู้สึก​ว่า​ผ่อน​คลาย​แล้ว​​
ปญั หา​น้ันไ​ม่​เหน็ ​สำคญั ​ตรงไ​หน​เลย​
​ “​ไม่มีแ​ ลว้ ​ละ่ ”​ ​​ดฉิ ัน​ย้ิม​และ​ตอบเ​พอ่ื น​ไป​
​ เชน่ ​เดิม​ ​เบื้อง​หนา้ ด​ ิฉัน​เปน็ ​ภาพห​ ลวงปดู่​ ​ู่น่งั ​ย้ิมอ​ ยา่ ง​ม​เี มตตา​เป็น​
ทส่ี ดุ ​
​ อรพินท​ ์​


Click to View FlipBook Version