139 ๑๓๙
๗๖
หลวงปบู่ อกขอ้ สอบ
ในราวป ี พ .ศ .๒ ๕๒๗-๒ ๕๒๘สมัยท ขี่ ้าพเจา้ ย ังเป็นน ักศ ึกษาอยู่
ท่ีคณะพาณิชย ศาสตรแ์ ละการบัญชีมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์หลวงป่ดู ู่
ท่านเคยบอกข้อสอบให้ข้าพเจ้าทราบล่วงหน้าและช่วยเหลือข้าพเจ้าใน
การท ำข้อสอบเท่าท่ขี า้ พเจ้าจำความได้ถึง๕ วชิ าด้วยก นั
ข้าพเจ้าจะขอเล่าเฉพาะวันที่หลวงปู่บอกข้อสอบ วิชาท่ีอาจารย์
ฉายศ ิลป์เชย่ี วชาญพิพัฒน์เปน็ ผ ู้สอนค อื ว ชิ าแรงงานสัมพันธ์คืนวนั น้ัน
เวลาป ระมาณ๓ ท มุ่ ก อ่ นว นั ส อบ๑ ว นั ข า้ พเจา้ น ง่ั อ า่ นต ำราแ ละท บทวน
ความรู้ที่อาจารย์ได้สอนมาตลอดเทอม ขณะท่ีข้าพเจ้ากำลังมีสมาธิกับ
ตำราที่อยู่เบื้องหน้า ข้าพเจ้ารู้สึกเย็นวาบข้ึนที่ใจพร้อมกับมีเสียงบอก
ข้าพเจ้าว่า“พระธาตุหลวงปู่ทวดเสด็จ” ข้าพเจ้าหันหลังกลับไปมองท่ี
โตะ๊ หมู่บูชาในห ้องท นั ทีและเกดิ ความสงสัยว ่าพระธาตเุสด็จมาแลว้ ท า่ น
อยู่ทีไ่ หนล ่ะ...อยูท่ กี่ ระถางธ ปู เสียงตอบข า้ พเจา้
ข า้ พเจา้ ห ยดุ อ า่ นห นงั สอื เดนิ ต รงม ายงั โตะ๊ ห มบู่ ชู าส ายตาห ยดุ อ ยู่
ที่กระถางธูปใบน้อย...แล้วข้าพเจ้าจะทราบได้อย่างไรล่ะ ว่าอันไหนเป็น
เมด็ กรวดเม็ดทรายอ นั ไหนเปน็ พ ระธ าตุแ ต่แ ลว้ ข้าพเจ้าก ม็ องเหน็ อ งค์
๑๔๐ 140
พระธาตสุ ีน้ำตาลเกอื บดำมีสณั ฐานค่อนข า้ งก ลมขนาดเล็กม ากเหมอื น
ไข่ปลาขา้ พเจ้าจ งึ แยกอ อกมาจากก ระถางธปู เพ่ือน ำมาบชู า
จากน นั้ ข า้ พเจา้ ไดม้ าน ง่ั อ า่ นห นงั สอื ต อ่ ส กั ค รกู่ ม็ คี วามร สู้ กึ เหมอื น
มีคนบอกให้ข้าพเจ้าเขียนจดหมายวิจารณ์การสอนของอาจารย์ผู้สอน
ข้าพเจ้าก เ็ ลยน กึ ส นกุ ข ้ึนมาน ง่ั เขียนจดหมายอยา่ งเอาจริงเอาจังแ ทนท่ี
จะน ง่ั อ า่ นห นงั สอื เขยี นเสรจ็ ก พ็ บั ใสซ่ องต งั้ ใจไวว้ า่ ว นั ร งุ่ ข น้ึ เมอ่ื ส อบเสรจ็
จะน ำไปม อบให้อ าจารยท์ ี่ห ้องพ กั ของทา่ น
วันรุ่งขึ้นเป็นวันสอบ เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นข้อสอบซ่ึงเป็นข้อสอบ
บรรยายเสยี ส ว่ นใหญ่ขา้ พเจา้ ต อ้ งแ ปลกใจท ห่ี นง่ึ ในข อ้ สอบบ รรยายข อ้ ใหญ่
น้ันให้วิจารณ์การเรียนการสอนข องอาจารย์ฯ
ในตอนแรกข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยจะแน่ใจตนเองเท่าใดนัก ว่าเราคิด
เอาเองหรอื เปล่าเปน็ เรื่องบ งั เอิญหรือไม่
เรอ่ื งพ ระธ าตเุ สดจ็ ห ลวงปบู่ อกข อ้ สอบข า้ พเจา้ เชอ่ื ว า่ ห ากเปน็ ค น
อื่นก็คงไม่แน่ใจตนเองเหมือนกัน แต่ในท่ีสุดก็มีเรื่องที่ยืนยันให้ข้าพเจ้า
แนใ่ จว า่ เปน็ เรอ่ื งจ รงิ เพราะเหตกุ ารณเ์ กดิ ซ ำ้ รอยเดมิ ห ากเปน็ เรอ่ื งบ งั เอญิ
คงไม่สามารถเกิดเร่ืองทำนองเดียวกันได้หลายคร้ัง หลวงปู่บอกข้อสอบ
ขา้ พเจา้ อ ีกเปน็ ครง้ั ท่ี ๒ ครง้ั ที่ ๓แ ละค ร้ังที่ ๔ ต่างก รรมต่างว าระก ัน
จนผลก ารส อบข องขา้ พเจา้ ออกม าไดเ้ กรดเอหลายวชิ า
ข้าพเจ้าได้พิจารณาดูแล้ว คิดว่าเรื่องน้ีหลวงปู่ต้องการสอนอะไร
บางอย่างให้แก่ข้าพเจ้า คงมิใช่เพียงแค่การบอกข้อสอบและก็คงมิใช่เอา
141 ๑๔๑
ไวใ้ ห้ข้าพเจ้านำม าเล่าให้หมู่คณะฟ ังเท่านน้ั
ปริศนาธรรมจากนิมิตคร้ังน้ี จะจริงหรือเท็จประการใด พระธาตุ
เสด็จม าจริงห รอื ไม่ หรอื ห ลวงปูบ่ อกข้อสอบจริงหรอื ไม่ สำหรบั ข้าพเจา้
แล้วถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ท่ีหลวงปู่เมตตาให้บทเรียนบทต่อมากับข้าพเจ้า
เป็นบทเรียนท่ีนำไปสู่ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ให้ข้าพเจ้าได้มีความเข้าใจ
ในธ รรมมากข ึ้นและเป็นสมั มาทฏิ ฐิม ากข น้ึ ในเวลาตอ่ มา
๑๔๒ 142
๗ ๗
ต ัวประมาท
หลังจากท่ีหลวงปู่ได้บอกข้อสอบให้ข้าพเจ้าทราบครั้งแรกแล้ว
ท่านก็ไดช้ ว่ ยข้าพเจ้าทำขอ้ สอบอ กี เป็นคร้ังท ่ี ๒ทีท่ ่านช่วยเหลอื ข า้ พเจ้า
คราวนี้เป็นวิชา พบ. ๒๘๓ วิชาการบริหารงานผลิตซ่ึงมีอาจารย์ผู้สอน
หลายท่านข้อสอบมีหลายลักษณะทั้งบรรยายเติมคำ ให้กากบาทหน้า
ขอ้ ทีถ่ ูกต อ้ งท่สี ุดฯ ลฯ
ห ลวงปดู่ ทู่ า่ นเคยส อนว ธิ ที ำข อ้ สอบแ บบป รนยั (ใหก้ ากบาทห นา้ ข อ้
ทถ่ี กู ต อ้ งท สี่ ดุ )ใหข้ า้ พเจา้ ว า่ เวลาท เี่ ราไมแ่ นใ่ จแ ทนทเ่ี ราจ ะเดาส มุ่ ห รอื ท ่ี
เรยี กว า่ ก าส ง่ เดชเราจ ะไมท่ ำอ ยา่ งน น้ั หลวงปทู่ า่ นส อนใหข้ า้ พเจา้ ห ลบั ตา
และนึกถงึ ห ลวงป่ทู วด(หลวงปทู่ วดเหยยี บน ำ้ ท ะเลจ ืด)แ ล้วกราบเรียน
ถามท่าน
ขณะท่ีอยู่ในห้องสอบ เม่ือข้าพเจ้าทำข้อสอบเสร็จ แต่เวลายัง
ไม่หมด และยังมีข้อสอบประเภทกากบาทเหลืออีกประมาณ ๑๐ ข้อที่
ขา้ พเจา้ ไมแ่ นใ่ จข า้ พเจา้ ไมร่ อช า้ น กึ ถงึ ท ห่ี ลวงปสู่ อนท นั ที ค อ่ ยๆ พ จิ ารณา
ทลี ะขอ้ ห ากข ้อใดถกู ต ้องเม่อื ข้าพเจา้ เอาป ากกาจมิ้ ไปท ่ีตัวเลอื กจ ะเกิด
เป็นแ สงสวา่ งข ึน้ ทันทีแต่ถ ้าไม่ถกู ตอ้ งก็จะม ืดแ ละไม่มีแ สงสว่าง
143 ๑๔๓
ขา้ พเจา้ ท ำข อ้ สอบส ว่ นท เ่ี หลอื ด ว้ ยว ธิ นี จี้ นเสรจ็ เรยี บรอ้ ยหลงั จ าก
ประกาศผลสอบอ อกม าข ้าพเจ้าได้เกรดAเชน่ เคยเดอื นต อ่ มาข ้าพเจ้า
ได้มีโอกาสนำเร่ืองนี้ไปเรียนถวายให้หลวงปู่ทราบ ในคร้ังนั้น มีเพื่อน
ของข้าพเจ้าซึ่งเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยอีกแห่งหนึ่งมากราบหลวงปู่ด้วย
เช่นกนั เพ่อื นขา้ พเจา้ คนน้ไี ด้ฟังเรือ่ งทขี่ ้าพเจ้าเลา่ ถวายหลวงปู่ เขาจึงได้
กราบเรยี นถามห ลวงปวู่ ่า
“ผมไดท้ ำข้อสอบก ากบาทแบบน้เี หมือนก ัน ข อ้ สอบม ี ๑ ๐๐ ข อ้
พอเข้าห้องสอบผมก็หลับตานึกถึงหลวงปู่ ขอให้ช่วยทำข้อสอบด้วย
จากน น้ั ก ท็ ำข อ้ สอบโดยใชว้ ธิ หี ลบั ตาเชค็ ท ลี ะข อ้ จ นค รบ๑ ๐๐ข อ้ ผ ลส อบ
ออกมาป รากฏว่าได้ Fคือส อบต กท ำไมเป็นอย่างนค้ี รับหลวงปู่”
หลวงปู่มองหน้าเพื่อนของข้าพเจ้า และเมตตาอบรมเตือนสติ
ทง้ั เพอ่ื นและขา้ พเจา้ ว ่า
“แกไม่พจิ ารณาให้ดี นัน่ แหละตัวประมาท จำไว้ตวั ประมาทน่ี
แหละต วั ตาย”
ตรงก บั พ ระพุทธพจน์ท่ีว า่
ปมาโท มัจจุโน ปทัง ความประมาทเป็นหนทางไปสู่ความตาย
นั่นเอง
๑๔๔ 144 ๗๘
ข องโกหก
มพี ระพุทธพจน์วา่
“บุคคลใดเหน็ สิง่ อนั ไม่เปน็ ส าระว่าเปน็ ส าระแ ละเหน็ ส ง่ิ อนั เปน็
สาระว่าไม่เป็นสาระ บุคคลน้ันมีความดำริผิดประจำใจ ย่อมไม่อาจพบ
สาระได้
ส่วนบคุ คลใดเห็นส่ิงอ นั เปน็ ส าระว่าเป็นสาระส ง่ิ อนั ไมเ่ ปน็ สาระ
ว่าไมเ่ปน็ ส าระบ คุ คลนัน้ ม ีค วามด ำรถิ ูกประจำใจย ่อมส ามารถพ บส่งิ อนั
เปน็ สาระ”
เร่อื งราวเหตุการณ์ บ คุ คลส ัตว์ส ิ่งของต่างๆทผี่ ่านเขา้ มาในช ีวติ
ของเราน้นั
สรรพส ง่ิ ล ว้ นเปลยี่ นแปลงไมค่ งท่ี แ ละไมส่ ามารถค งอ ยตู่ ลอดไป
หากเรารจู้ ักส ังเกต ฝ ึกหดั พ ิจารณาห าเหตุหาผ ล จ นใจคนุ้ เคยก บั
ความเหน็ ตามค วามจ ริง
เราจ ะเหน็ ถ งึ ค วามเปลย่ี นแปลงท ง้ั บ คุ คลและส ง่ิ ของท กุ อ ยา่ งรอบต วั
เราไดไ้มย่ ากน ัก
145 ๑๔๕
๗๙
ถึงวัดห รอื ย งั ?
ธรรมะเปน็ ส งิ่ ท ม่ี อี ยรู่ อบๆ ต วั เราท กุ ๆ ค นเพยี งแ ตว่ า่ เราจ ะส ามารถ
มองเหน็ แ ละนำมาพ จิ ารณาได้แ ค่ไหนอ ย่างไรในสมัยพุทธก าลท า่ นหมอ
ชีวกโกมารภัจจ์ แพทย์ประจำองค์พระพุทธเจ้าของเรา สมัยท่ีศึกษาอยู่
กับอาจารย ์ทิศาป าโมกข์ ก่อนจ ะสำเร็จว ชิ าการแ พทย์ทา่ นให้ถ ือเสยี มไป
เท่ยี วหาดูวา่ ม ีส ิ่งห นึ่งส ่งิ ใดที่ใช้เปน็ ยาไม่ได้ ให้นำมาให้ โดยให้ไปเท่ียวหา
๔ว ันวันละทศิ ทศิ ละ๑ โยชน์รอบเมอื งต กั ศ ลิ าทา่ นห มอช วี ก รับคำส่งั
อาจารย์แล้วถ อื เสียมไปเที่ยวหาตามคำสั่งข องอ าจารย์ ก ็ไมไ่ ดพ้ บเหน็ ส ิ่ง
ใดท่ีไม่ใช่ยาเลย เมื่อกลับมาแล้วเข้าพบอาจารย์ แจ้งความน้ันให้ทราบ
อาจารยจ์ ึงกล่าวว ่า เธอเรียนวิชาแพทย์สำเรจ็ แ ลว้ ค วามรู้เทา่ น พี้ อเพียง
ท่ีเธอจ ะใชเ้ ป็นอาชีพไดแ้ ล้ว
ตน้ ไมท้ กุ ช นดิ ห นิ ดนิ แ รต่ า่ งๆม คี ณุ คา่ สามารถนำม าเทยี บเปน็ ย า
ได้ฉ ันใดบ ุคคลผ ู้ม ีความฉลาดกฉ็ นั นน้ั รอบๆ ตัวเราทุกสงิ่ ท กุ อ ย่างไม่ว า่
คนสตั ว์ ส่ิงของเรื่องร าวเหตุการ ณ์ใดๆก็ตามท เี่กดิ ข้นึ แ ละผ ่านเข้ามา
ในชีวิตประจำวันของเราน้ัน ไม่มีเรื่องใด ที่ไม่สามารถนำมาพิจารณาให้
เป็นธรรมะได้เลย
๑๔๖ 146
พระพทุ ธเจาทานสอนใหเรามีความเขาใจในโลกธรรมทง้ั ๘ อยาง
ไดแ ก
ไดล าภเสอ่ื มล าภ
ไดย ศเสอ่ื มย ศ
ไดร บั ความส ขุ ป ระสบกบั ความท กุ ข
ม คี นส รรเสรญิ และมคี นนนิ ทา
...ถา ใจเปรยี บเหมอื นนำ้ นง่ิ เมอ่ื ใจเราก ระทบกบั โลกธรรม๘ อยา งน ้ี
แลวกระเพ่อื มไหวไปตามอารมณ ก็เปนโลก แตถาพิจารณาอยางมีสติ
จนเทาทันโลกธรรม ๘ อยางแลว ไมซัดสายไปตามอารมณท้งั หมดน้ี
ใจก เ็ ปน ธรรมอยโู ดยต ลอด
ธรรมะแทอ ยทู ่ใี จ มใิ ชท ่วี ดั พระสงฆ หรอื คมั ภรี ใ บลานทล่ี ว นเปน
ศาสนสถาน ศาสนบคุ คล หรอื ศาสนวตั ถุ เทา นน้ั หากเราเขา ใจไดอ ยา งน้ี
ศาสนธรรมอนั เปน สง่ิ สำคญั ทส่ี ดุ กจ็ ะเกดิ ขน้ึ ทต่ี วั เราเมอ่ื นน้ั เรากจ็ ะเขา ใจ
คำวา “พระท ค่ี ลอ งใจ” ม ใิ ช “ พระท ค่ี ลอ งค อ”
หลวงปดู่ ู ทา นส รปุ เรอ่ื งน ใ้ี หข า พเจา ฟง วา
“ ถ งึ แ กม าว ดั แ ตใจย งั มโี กรธโลภหลงไปต าม๘ อยางทว่ี าน ้ี แ ก
ยงั มาไมถ งึ วดั แตถ า แกอยบู า นหรอื ทไ่ี หนๆ แตไมโกรธ ไมโลภ ไมห ลง
ไมม ี ๘อ ยางน ม่ี ากวนใจขา วาแ กมาถ งึ ว ดั แลว ”
147 ๑๔๗
๘ ๐
รางวลั ท ุนภ ูมพิ ล
เม่ือปี พ.ศ.๒๕๒๗ ขณะท่ีข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ มีเหตกุ ารณ์หน่งึ ซ ึ่งห ลวงปู่ทวดได้เมตตาใหค้ วามช ่วยเหลือ
จนขา้ พเจ้าไมม่ ีวนั ทีจ่ ะล มื ไปได้ คอื วันหน่ึงข้าพเจา้ ไดท้ ราบขา่ ววา่ ทาง
มหาวิทยาลัยจัดประกวดการเขียนเรียงความในหัวข้อเร่ือง “พระบาท-
สมเด็จพระเจา้ อ ยหู่ ัวภูมิพ ลอดุลยเดชก ับพ ุทธศาสนาในส งั คมไทย”
ขา้ พเจา้ เกดิ ค วามส นใจท จี่ ะเขยี นเรยี งค วามด งั ก ลา่ วข นึ้ ม าท นั ที แ ต่
ก็ไม่แน่ใจตนเองว่าจะมีความสามารถเขียนได้ดีสักเพียงใด เมื่อข้าพเจ้า
ตดั สนิ ใจแ นน่ อนแ ลว้ ว า่ จ ะเขยี นจ งึ ไดม้ ากราบพ ระระลกึ ถ งึ พ ระคณุ ค รบู า-
อาจารย์ และอาราธนาหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่เพื่อขอความช่วยเหลือ
จากท่านให้งานเขียนช้ินนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ขณะท่ีข้าพเจ้ากำลังนึก
อธษิ ฐานอ ยใู่ นห อ้ งพ ระเพยี งล ำพงั น ี้ ก บ็ งั เกดิ น มิ ติ เปน็ ห ลวงป ทู่ วดท า่ นเดนิ
ออกม าจ ากโตะ๊ ห มบู่ ชู าม าห าข า้ พเจา้ ข า้ พเจา้ แ ลเหน็ ภ าพต วั เองน ง่ั ค กุ เขา่
หมอบตวั ลงแ ละหงายฝา่ มือท ั้งส องยนื่ ไปข้างหนา้ เบ้ืองหน้าข า้ พเจ้าแล
เห็นเป็นภาพหลวงปู่ทวดยืนสวดมนต์ให้พร พร้อมกับเป่าลงท่ีมือท้ังสอง
ของข า้ พเจ้าในนิมติ นั้นขา้ พเจา้ เห็นเปน็ อกั ขระโบราณอ ย่เู ตม็ ส องฝ่ามอื
๑๔๘ 148
ขา้ พเจา้ จ งึ ก ราบเรยี นถ ามห ลวงป ทู่ วดว า่ “ อ ะไรห รอื ข อรบั ”ท า่ นต อบส น้ั ๆ
วา่ “ความร ู้”จ ากนนั้ ท ่านก ห็ ันห ลังเดนิ กลับห ายล บั เข้าไปในโตะ๊ หมบู่ ชู า
ข้าพเจ้าปลื้มปีติมาก และเกิดเป็นกำลังใจอย่างย่ิงในการเขียน
หนงั สอื ครง้ั นน้ั และไดใ้ ชเ้ วลากวา่ สามเดอื น จงึ เขยี นเรยี งความแลว้ เสรจ็
ขณะท่ีเขียนหากติดขัดอะไร เม่ือนึกถึงหลวงปู่ทวด จะเหมือนท่านช่วย
ดลใจใหส้ ามารถเขยี นต อ่ ได้ จ ะค น้ ควา้ ห รอื ห าข อ้ มลู อ า้ งองิ ใดๆ ก ไ็ มต่ ดิ ขดั
เลยเปน็ เรียงค วามเร่อื งย าวข นาดมากก ว่า๓๐ห น้าก ระดาษพ ิมพ์ดีดซ่ึง
นบั เปน็ งานเขียนที่ย าวท ่ีสุดในช วี ติ ข องข ้าพเจา้ เลยทีเดยี ว
เมอ่ื ท างม หาวทิ ยาลยั ป ระกาศผ ลก ารป ระกวดเรยี งค วามงานเขยี น
ของข้าพเจ้าเป็นงานเขียนช้ินเดียวในปีน้ันท่ีได้รับพระราชทานรางวัลทุน
ภูมิพล โดยได้เข้ารับพระราชทานรางวัลเป็นทุนการศึกษาจากพระหัตถ์
ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอ ย่หู วั ฯในว ันพระร าชทานป ริญญาบ ตั ร
จากคนที่ไม่เคยเขียนหนังสือ จากคนท่ีไม่เคยสนใจงานด้านขีดๆ
เขียนๆมากอ่ นจ นม าได้รับพ ระราชทานรางวัลท ุนภ มู พิ ลไมเ่ ป็นท ี่สงสัย
เลยว า่ ข า้ พเจา้ จ ะย นิ ดแี ละด ใี จเพยี งใดข า้ พเจา้ ข อกราบแ ทบเบอ้ื งบ าทข อง
หลวงป ทู่ วดแ ละห ลวงปดู่ ู่ ข อน มสั การด ว้ ยค วามเคารพ...ด ว้ ยเศยี ร...แ ละ
เกลา้ ...ที่ทำฝนั ข องข ้าพเจา้ ใหเ้ ปน็ จ ริง
149 ๑๔๙
๘ ๑
หลวงป ่ทู วดช ว่ ยช ีวิต
ความไมม่ ีโรคเปน็ ลาภอนั ประเสรฐิ เปน็ คำสอนของพระพทุ ธองค์
ท่ีใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย ความทุกข์ของคนเรานั้นมีมากมายหลายเร่ือง
หลายอย่าง การเจ็บป่วยด้วยโรคเร้ือรังที่เพียรพยายามรักษาอย่างไร
ก็ไม่ยอมหายสักที น่ีก็เป็นความทุกข์ที่ทรมานจิตใจมากเรื่องหนึ่งของ
มนษุ ย์เราบทความท ีท่ ่านจ ะได้อา่ นต่อไปนี้เป็นเรื่องข องคุณร ตั น าภ รณ์
อินทรกำแหง ซ่ึงเขียนโดยเบญจะ ชินปัญชนะ จากหนังสือขวัญเรือน
ไดเ้ ลา่ ไว้ดังน้ี
คุณร ัตนาภรณ์อินทรก ำแหงเป็นศิลปนิ ด าราท เี่ด่นด ังในอดตี และ
ยงั มผี ลงานอ ยถู่ งึ ทกุ วนั น ้ี ช วี ติ จ รงิ ข องศลิ ปนิ ทา่ นน ไ้ี ดผ้ า่ นอปุ สรรคม าแลว้
อยา่ งม ากมาย ต ื่นเต้นเร้าใจย่ิงก วา่ ภ าพยนตร์ท่เี ธอแ สดง แ ละเมอ่ื ถ ึงบ ท
เศรา้ แ ลว้ เศรา้ ส ลดจ นต อ้ งฆ า่ ต วั ต ายเมอ่ื ห ลายป กี อ่ นค ณุ รตั น าภ รณไ์ ดเ้ กดิ
ลม้ ป ว่ ยเปน็ อ มั พาตล กุ เดนิ ไมไ่ ด้ ไดไ้ ปรกั ษาต วั ท โ่ี รงพ ยาบาลม ชี อื่ แ หง่ ห นงึ่
หมดเงนิ ไปร ่วม๒ แสนบาทแ ตไ่ ม่หายและไม่ดีขึ้นเลยพอรู้ขา่ ววา่ ท่ีไหน
มหี มอเกง่ จ ะร บี ใหค้ นพ าไปร กั ษาแ ลว้ ก เ็ หมอื นเดมิ ร กั ษาไปจ นท รพั ยส์ นิ
เงินท องเกือบห มด
๑๕๐ 150
โรคร้ายที่ทรมานเพราะลุกเดินไม่ได้ก็ยังทรมานใจอยู่ เป็นเช่นน้ี
อยู่นานถึง๗ เดอื นจนคิดอยากฆา่ ตัวตายคนเราเมื่อหมดห นทาง ไมม่ ี
ทางออกก ม็ กั คดิ ส นั้ ค นท ตี่ อ้ งอ ยใู่ นส ภาพท ชี่ ว่ ยต วั เองไมไ่ ดเ้ ปน็ ระยะเวลา
นานๆ ต้องอยู่แ ตใ่นห้องทีแ่ คบๆจะท ำอะไรก ต็ อ้ งอาศัยผ้อู ื่นมันนา่ เบอื่
หนา่ ยค บั แ คน้ ใจย ง่ิ น กั ต ายซ ะจ ะด กี วา่ ช าตทิ แ่ี ลว้ ค งท ำกรรมไวม้ ากขอย อม
ชดใช้ก รรมแตเ่ พยี งเทา่ นี้
น่ันเป็นคำพูดของคุณรัตนาภรณ์ ท่ีน้อยอกน้อยใจในชะตากรรม
ของต นเองก อ่ นท จี่ ะต ดั สนิ ใจไปต ายเมอื่ ต ดั สนิ ใจแ ลว้ จงึ เดนิ ท างท อ่ งเทยี่ ว
แบบส งั่ ล าอ ยากไปท ไี่ หนก ไ็ ปช อบใจท ไ่ี หนก อ็ ยนู่ านห นอ่ ยเมอ่ื ไปถ งึ ภ เู กต็
เกดิ ค วามเบอ่ื จงึ ห ลบไปช ายหาดท ไ่ี มม่ คี น ส ง่ั บ ตุ รบ ญุ ธ รรม(ค ณุ รตั น าภ รณ์
หรือคุณแดง ไม่มีบุตร) ให้ไปซ้ือข้าวปลาอาหารทานกันท่ีชายหาด เม่ือ
ไมม่ ใี ครอยู่แลว้ ค ณุ แ ดงจึงไดต้ งั้ จ ิตอธษิ ฐานต อ่ ค ุณพ ระศ รีรัตนตรัย โดย
เฉพาะหลวงปู่ทวดท่เี คารพนับถือมากเพราะเคยได้ประจักษ์ในอิทธิฤทธ์ิ
อภนิ หิ ารจ ากก ารรอดต ายม าแ ลว้ (ถ งึ ก บั ไดช้ กั ชวนค ณุ สมบตั ิ เมทะ นี ด ารา
ยอดนิยมในอดีต ช่วยกันสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวดถวายให้วัดช้างให้
ไปรุ่นห นงึ่ )ช ว่ งนน้ั ค ณุ แดงไดต้ ัง้ จิตอ ธิษฐานต ่อองค์ห ลวงป่ทู วดไวว้ ่า
“ข ณะน ้ลี กู ได้ถูกโรครา้ ยเบยี ดเบยี นทนทกุ ข์ทรมานเปน็ เวลานาน
แลว้ ว นั นไ้ี ดต้ ดั สินใจข อล าตาย บ ญุ ใดท ลี่ ูกไดท้ ำมาแ ล้ว ในอดีตช าติก็ด ี
และในช าตนิ กี้ ด็ ี ล กู ข ออ ทุ ศิ บ ญุ น น้ั ใหก้ บั เจา้ ก รรมน ายเวรท ไี่ ดล้ ว่ งเกนิ ก นั
มาจ ะด้วยเจตนาก ็ด ี ไมเ่ จตนาก ็ดีข อใหห้ ลวงปู่ทวดช่วยเป็นสอ่ื ไปบอก
151 ๑๕๑
ใหเ้ จ้ากรรมนายเวรต่างๆม าร ับไปและอโหสกิ รรมให้ลกู ด้วยและถ า้ เม่ือ
ลกู ไดห้ มดก รรมจ รงิ แ ลว้ ข อใหห้ ลวงปทู่ วดไดเ้ มตตาส งเคราะหใ์ หห้ ายจ าก
โรคภยั ในวันนดี้ ว้ ยถ ้าย ังไมห่ ายล กู ขอล าตายในบัดน้”ี
เมอื่ จ บค ำอ ธษิ ฐานแ ลว้ ค ณุ แ ดงก ล็ งมอื ค ลานก ลงิ้ ต วั ล งท ะเลไปเมอื่
เจอค ลน่ื ซ ดั ม าก ก็ ลง้ิ ก ลบั ไปแ ตก่ ย็ งั ก ระเสอื กก ระสนค ลานต อ่ ไปแ ลว้ ก ถ็ กู
คลน่ื ซดั เขา้ ฝ ัง่ อ ีกต อ่ สู้กับคล่ืนเพอ่ื ท ่จี ะไปให้ลึกพ อทจี่ ะจมน ้ำแลว้ หายใจ
ไมอ่ อกเปน็ เชน่ น อ้ี ยคู่ รง่ึ ช ว่ั โมงจ นบ ตุ รบ ญุ ธ รรมก บั ค นใชม้ าพ บเหน็ ช ว่ ย
พยุงตัวขน้ึ ฝ่ังข ณะน นั้ เหน่อื ยจนไมไ่ ด้สติมาตกใจรตู้ วั เพราะเสยี งต ะโกน
ล่ันวา่ “แม่หายแล้ว!แ ม่ห ายแ ลว้ !”
ปาฏหิ ารยิ ์เกิดข ึ้นแล้ว เพราะคุณแ ดงย ืนได้แล้ว เดนิ ไดด้ ้วย หาย
จากโรคร้ายแล้ว เพราะคุณพระรัตนตรัยและหลวงปู่ทวดที่ประทานให้
เนรมิตใหโ้ ดยใชเ้วลาสนั้ ๆ หลงั จากท่ตี อ้ งท นทรมานอยนู่ านถึง๗เดือน
นี้เป็นอีกเรื่องหน่ึงท่ีข้าพเจ้าขอฝากท่านผู้อ่านไว้เป็นเคร่ืองเจริญ
ศรทั ธา
๑๕๒ 152 ๘๒
ทามาก อ็ ตจิ
ทาม าก อ็ ตจ ิ ห รอื เจา้ ส ตั วเ์ ลยี้ งค อมพวิ เตอรท์ แี่ สนจ ะข อี้ อ้ นซ งึ่ ก ำลงั
แพร่ระบาดและเป็นท่ีนิยมเล้ียงกันในหมู่นักเรียนนักศึกษา โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งท่ีญ่ีปุ่นและในบ้านเรา จนทางโรงเรียนต้องห้ามนักเรียนไม่ให้นำ
มาโรงเรยี นเพราะจ ะท ำใหเ้ สยี ก ารเรยี นเนอ่ื งจากต อ้ งค อยด แู ลท าม าก อ็ ต
ยงิ่ กวา่ ไข่ในหินต้องคอยป้อนอ าหารใหท้ านพ าเข้าห ้องนำ้ เจ็บป ่วยตอ้ ง
พาไปห าห มอแ ละอ่นื ๆอ กี จ ิปาถะมฉิ ะนนั้ ...ม นั ก จ็ ะต าย
จากเรอื่ งท าม าก อ็ ตส ตั วเ์ ลยี้ งป ลอมท ำใหข้ า้ พเจา้ ค ดิ ถงึ ว รรณกรรม
ทม่ี ชี อ่ื เรอ่ื งหนง่ึ ในอ ดตี ค อื “ตลง่ิ ส งู ซ งุ ห นกั ”ข องนคิ มร ายยว าก วีซีไรท์
เม่ือหลายปีก่อน ครั้งน้ัน นิคมได้นำเสนอเร่ืองความเป็น ของจริง และ
ของปลอมไดอ้ ยา่ งไพเราะก นิ ใจย งิ่ น กั น คิ มไดใ้ ห้ คำงายต วั เอกข องเรอ่ื ง
เรียนรู้และพบคำถามได้โดยการ “ประสบ” กับคำตอบอันเป็นรูปธรรม
หลายๆ ค รงั้ จนส ามารถโยงเข้าสปู่ รศิ นาในใจได้ คำงายเรม่ิ แ กะชา้ งใหญ่
เทา่ ต วั จ รงิ เขาเรมิ่ ต ง้ั ค ำถามว า่ “ เราเคยเดนิ ท างไกลไดพ้ บเหน็ อ ะไรห ลาย
อยา่ งแต่ตัวเราเองเปน็ ข องใกล้ท่สี ดุ เรากลับไมเ่ คยเหน็ ม นั เลย”จ นเม่ือ
คำงายแ กะชา้ งไดเ้ ป็นตัวเป็นต นแ ล้วแ ต่เขาย ังห าความเป็นช ้างไมไ่ด้
153 ๑๕๓
จนวนั หน่ึงเมือ่ เขาอยบู่ นห ลงั พลายสดุ ยามท พ่ี ลายส ดุ ต กมันเม่อื
เขากุมสตไิ ด้ เขาพ บว า่ สิง่ น ้ีเองท ่ีเราอยากร ู้ เขาค ิดข ณะความอ ุ่นและออ่ น
ละมุนจากตัวช้างแล่นซ า่ นใต้รา่ งเขาม ันม ีอ ารมณ์ม ีเลอื ดเนอ้ื มชี ีวิตและ
วญิ ญาณเขาส มั ผสั ไดถ้ งึ ค วามม ทุ ะลรุ นุ แรงท กี่ ำลงั ท ะยานไปข า้ งห นา้ รสู้ กึ
ถงึ ความหวาดกลวั และหวน่ั ไหวชว่ั ขณะของมนั ความเศรา้ ความเจบ็ ปวด
และค วามต กใจข ณะด น้ิ รนแ ละว ง่ิ พ ลา่ นฟ ดั เหวยี่ งอ ยกู่ บั แ อง่ ท หี่ าท างออก
ไมไ่ ด้ ส ง่ิ ท คี่ ำงายค น้ พ บน ้ี ไมใ่ ชเ่ พยี งแ ตช่ วี ติ แ ละเลอื ดเนอ้ื ข องช า้ งต วั ห นงึ่
เทา่ นนั้ แ ตค่ อื ช วี ติ แ ละเลอื ดเนอ้ื ข องม นษุ ยชาตทิ ขี่ าดห ายไปในโลกป จั จบุ นั
โลกท ผ่ี คู้ นชมชน่ื กบั ช วี ติ ท เ่ี ปน็ “ ซ าก” ม ากกวา่ ชวี ติ ท เ่ี ปน็ “ จรงิ ”
ดังน้ัน คำงายจึงหันกลับมาพิจารณาช้างไม้ของเขา อีกครั้งหนึ่ง
และฉงนฉงายนักว่า “คนเราน่ีแปลกจริงๆ ไม้ใหญ่มันก็ใหญ่ของมันอยู่
แลว้ ใครไมไ่ ดท้ ำใหร้ ปู ช า้ งใหญ่ แ ตท่ อ่ นไมม้ นั ใหญข่ องม นั เองต วั ม นั จ รงิ ๆ
คอื ตน้ ไม้ใหญ่แต่ค นก ลบั ไมเ่ ห็นค วามส วยแ ละม คี ่าของม นั ต อนมรี ่มเงาม ี
ชวี ติ ก ลบั โคน่ ม นั ล ดิ ก งิ่ ใบใหเ้ ปน็ ซ ากไมแ้ ลว้ เอาม าแ กะใหเ้ หมอื นซ ากช า้ ง
ช่นื ชมมันมากก ว่าไดเ้หน็ ช ้างหรอื ต้นไม้ที่มีช วี ติ จ รงิ ๆ เสยี อีกทำไปท ำมา
จะไม่มีข องจ รงิ เลยส ักอย่างไม่วา่ ช้างหรอื ไม้”
เร่ืองของทามาก็อตจิ คำงาย และพลายสุด เป็นตัวอย่างอันดีให้
ข้าพเจ้าได้ความเข้าใจชดั เจนแจม่ แจ้งข ึ้นในเรือ่ งของจ รงิ ของป ลอม
บทสนทนาตอนหนึ่ง ท่ีหลวงปู่ดู่ท่านพูดคุยกับข้าพเจ้าและเพ่ือน
เม่ือคราวที่ได้กราบนมัสการและถวายดอกบัวแก่ท่าน ก่อนท่ีจะถวาย
๑๕๔ 154
ดอกบัว เพื่อนของข้าพเจ้าได้นำดอกบัว มาพับกลีบบัวให้ดูเหมือนเป็น
ดอกกุหลาบ อีกกลุ่มก็เอาดอกบัวมาพับกลีบเข้าไปทีละชั้นจนเห็นเกษร
ดอ กบวั ที่อยู่ดา้ นในห ลวงป่ทู า่ นน ่งั มองด ูอยู่ ในที่สุดท่านไดฝ้ ากข อ้ คดิ ใน
การไปทำบญุ คร้ังน ้นั ให้ข า้ พเจา้ ว า่
“ ดอกบวั ท พ่ี บั ก บั ดอกบวั ทไ่ี มไ่ ดพ้ บั อยา่ งไหนอยไู่ ดน้ านกวา่ ก นั ”
“อ ย่างทีไ่ม่พบั ครบั ” ขา้ พเจ้าตอบ
“เออ้ !ก็เราม ันอยากน่นี าอ ยากให้เป็นอ ย่างน ้นั อ ยากให้เปน็
อยา่ งนี้ ขา้ ฝากแ กไปค ิดดู”
พับกันไปพับกันมา ในท่ีสุดของจริงก็อยู่ได้ทนนานตามธรรมชาติ
กว่าของท่ีถูกพับ และก็ดูจริงๆ แล้วดอกบัวที่ถูกพับเป็นดอกกุหลาบน้ัน
จะดูเปน็ ด อกบวั กไ็ มใ่ ช่ จ ะเปน็ ดอกกุหลาบก็ไมเ่ ชิง
เอาค วามเปน็ ดอกบวั ...ถ วายท่านดีกวา่ ข า้ พเจา้ ต อบกับตัวเอง
155 ๑๕๕
๘๓
ไตรสรณาค มน์
คณุ ห มออ มราม ลลิ าเปน็ ฆ ราวาสผ ปู้ ระพฤตธิ รรมท ขี่ า้ พเจา้ เคารพ
นับถอื และถอื เปน็ แบบอ ยา่ ง วันหนง่ึ ข ้าพเจา้ ได้มโี อกาสสนทนาธ รรมกบั
ทา่ นท ีธ่ รรมส ถานจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย
บทสนทนาว นั น ้นั ไดพ้ ูดก ันถึงพระไตรสร ณาคมน์คุณหมอไดฝ้ าก
ข้อคิดในเร่ืองท่ีกล่าวกันว่าการขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็น
สรณะเป็นท่ีพึ่งจะส ามารถกำจัดภ ยั ได้จ รงิ นน้ั ถ ึงอย่างไรจ งึ ก ำจัดภ ยั ได้
จรงิ คณุ ห มอได้อธบิ ายว ่า
การถ งึ พ ระพทุ ธเพอื่ เปน็ ส รณะน นั้ ห มายถ งึ ก ารเขา้ ใจถ งึ ศ กั ยภาพ
ของจิตแท้ท่ีเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบาน ใครก็ตามท่ีเชื่อเช่นนี้ จน
พากเพียรบากบั่น ฝึกอบรมจิตใจของตนให้เกิดเป็นสัมมาทิฏฐิ ตั้งมั่นใน
มรรคไมย่ ่อหย่อนอ ่อนแอทอ้ แท้ เกียจครา้ นท ่จี ะป ฏบิ ัตใิ หย้ ่งิ ๆ ข้ึนไป
จนในท ส่ี ดุ ใจน ้นั ถงึ พ ร้อมด ้วยส ติส มาธิปัญญาและมีกำลังพอทจี่ ะข ุด
รากถ อนโคนก เิ ลสอ าส วะท งั้ ป วงอ อกไปจ ากจ ติ ใจได้ จ ติ ข องผ นู้ นั้ ก จ็ ะเปน็
อสิ ระจ ากสง่ิ เศร้าหมองค ืออ วชิ ชาตณั หาอ ุปาทานตน่ื เบกิ บ านเป็น
พทุ ธะ ม คี วามบ รสิ ทุ ธเ์ิ ทยี บเทา่ ก บั พ ทุ ธะ ข องพ ระอ รห นั ต ท์ ง้ั ป วงแ ละข อง
๑๕๖ 156
พระพทุ ธเจา้ ทุกพระองค์แตค่ วามส ามารถท างอภิญญาอ าจย ง่ิ ห ยอ่ นกวา่
กันได้
การถึงพ ระธรรมค ือการมีส ติรกั ษาใจให้น้อมเอาเหตุการณต์ า่ งๆ
ทเ่ี กดิ ข นึ้ ในช วี ติ ม าเปน็ ธ รรมะส อนใจแ ทนก ารป ลอ่ ยใหป้ รงุ ค ดิ เตลดิ ไปต าม
สญั ญาอ ารมณ์ เกดิ เปน็ ค วามท กุ ขค์ วามค บั ข อ้ งใจห รอื เมอ่ื ใดใจค ดิ ฟ งุ้ ซ า่ น
กห็ ยดุ ก ำหนดรอู้ ยกู่ บั ป จั จบุ นั ค อื ข ณะเดยี๋ วน ี้ เฉพาะห นา้ แ ตล่ ะข ณะแ ตล่ ะ
ขณะใจท ่ีฝ ึกเช่นน ี้ จะเปรียบเสมอื นม ีธรรมข องพระพทุ ธองค์เทศน์ใหฟ้ งั
อยู่ในใจต ลอดเวลา
เมอ่ื ไมม่ สี ิ่งก ระทบก ร็ ูอ้ ยกู่ บั ป ัจจบุ นั เม่อื มีสงิ่ ก ระทบไม่ว า่ จะเป็น
ผสั สะ จ ากภ ายนอกห รอื อ ารมณข์ องใจเองก จ็ ะห มนุ ใหค้ ดิ เปน็ ม รรคท กุ ครง้ั
จะเปลี่ยนจากความคิดที่เป็นกิเลสให้เป็นมรรค เปล่ียนกิเลสเป็นมรรค
ดังน้เีร่อื ยไปด งั นนั้ ความค ิดค ำพ ดู หรอื การก ระทำดว้ ยก ายทุกอย า่ งๆ
จะเป็นการก ระทำเพ่ือค วามส้ินส ุดแ หง่ ทุกขถ์ ่ายเดียว
การถ งึ พ ระส งฆ์ ค อื ก ารน อ้ มต นใหป้ ฏบิ ตั ดิ งั “ พ ระส งฆ”์ ค อื เปน็ ผู้
ปฏบิ ตั ดิ ี (สปุ ฏปิ นั โน)ปฏบิ ตั ติ รง(อชุ ปุ ฏปิ นั โน)ปฏบิ ตั ถิ กู (ญ ายป ฏปิ นั โน)
ปฏบิ ัติชอบ(สามจี ปิ ฏิปันโน)ต ลอดเวลาท ี่จะร ะลึกได้
ก ารป ฏบิ ตั ดิ งั กล่าวม านคี้ ือก ารถงึ พ ระพทุ ธพ ระธรรมพ ระสงฆ์ท่ี
จะเป็นส รณะท ่ีพ่ึงอ นั แ ทจ้ รงิ สามารถกำจัดทุกข์ก ำจัดภ ยั ไดจ้ ริง
ข้าพเจ้าฟ ังคุณหมออธบิ ายจนจ บไดแ้ ต่อ มยิ้ม
ใบหน้าของหลวงปู่ดู่ลอยเด่นพร้อมกับเสียงของท่านดังข้ึนมาใน
157 ๑๕๗
โสตประสาทของขา้ พเจา้ วา่
“นน่ั แหละพระไตร สรณาค มน์ ใครเชื่อพ ระก็เปน็ พระใครละได้
ก็ไม่ใชค่ น”
๑๕๘ 158 ๘๔
ไม่พอดกี นั
ขา้ พเจา้ เคยไดย้ นิ ผ อู้ ำนวยก ารว ยั ห า้ ส บิ ท า่ นห นง่ึ ในธ นาคารป รารภ
กบั ผู้ใหญอ่ ีกท่านวา่ สมัยหน่มุ ๆมีเรย่ี วแรงด ีแต่เงนิ เดือนน้อยอ ยากไป
เทย่ี วเมอื งน อกก ไ็ ปไมไ่ ด้ เพราะไมม่ สี ตางค์ แ ตท่ กุ ว นั น ม้ี เี งนิ เดอื นม ากอ ายุ
ก็มากขน้ึ ต ามม ามเี งนิ ไปเทย่ี วไดอ้ ย่างสบายแ ต่ไมม่ แี รงไป
ขา้ พเจา้ น กึ ถงึ ค ำคมท่ี อ ดุ มแ ต้พ าน ิชห รอื “โนส้ ”ศลิ ปินต ลกแ ละ
นักเขยี นทโ่ี ด่งดงั ส ุดขดี จากเด่ียวไมโครโฟน แ ละงานเขียนห นังสือทขี่ าย
ดีติดอันดับยอดขายสูงสุดคนหน่ึงในบ้านเราขณะน้ี ได้เล่าไว้ในหนังสือ
NoteBookหนา้ ๑๓๑วา่
มแี รงม เีวลาไมม่ เี งิน
มีแ รงม เี งนิ ไม่มีเวลา
มีเงนิ ม เี วลาไม่มีแรง
น้ีเป็นข อ้ คิดท ี่ดีท เี ดียวท ำใหข้ ้าพเจ้าน ึกถึงคำสอนหลวงปดู่ ู่ทส่ี อน
ข้าพเจ้าให้ตงั้ อ กตัง้ ใจภาวนาต ง้ั แต่อายุไมม่ าก ในเวลาท ี่พอม ีเรย่ี วแรง ม ี
เวลา (จะมเี งนิ หรอื ไม่มเี งินชา่ งม นั !)ว า่
“ข้อสำคญั ท ส่ี ุดของก ารป ฏิบตั ิคอื ต้องไม่ประมาท
159 ๑๕๙
ต้องป ฏบิ ตั ิให้เต็มทต่ี ้งั แ ต่วนั น ี้ใครจ ะร ู้วา่ ค วามต ายจ ะม าถงึ เรา
เมื่อไร?เคยเห็นไหมเพื่อนเราคนท ีเ่ราร จู้ ักท ่ตี ายไปแ ลว้ น น่ั น ะ่ เขา
เตอื นเรา
ถา้ เราป ฏบิ ตั ไิ มเ่ ปน็ เสยี แ ตว่ นั น ้ี เวลาจ ะต ายม นั ก ไ็ มเ่ ปน็ เหมอื นกนั
เหมือนกับค นท เ่ี พ่ิงคดิ หดั ว่ายน ำ้ เวลาใกล้จะจ มนำ้ ตายน น่ั แ หละกจ็ ม
ตายไปเปล่าๆ
แกไมป่ ฏิบัตหิ น่ึงวนั นี่ เสยี หายห ลายแ สนวนั น งึ ก ม็ ีความห มาย
ข้าฝากให้แกไปค ดิ เปน็ การบ า้ น”
๑๖๐ 160
๘ ๕
ธ รรมะจ ากสัตว์
เวลาพ ระพทุ ธเจา้ ต รสั ส อนเหลา่ พ ระส าวกท า่ นม กั จ ะย กส ตั วต์ า่ งๆ
มาแ สดงเปรยี บเทยี บใหไ้ ดแ้ งค่ ดิ ท างธ รรมอ ยเู่ สมอน บั เปน็ ว ธิ สี อนธ รรมท ี่
ทำให้ผ ู้ฟงั เกดิ ค วามเข้าใจและม องเห็นภาพได้อยา่ งช ัดเจนท ีเดียว
ดงั ต ัวอย่างเช่นย กเรอื่ งงพู ษิ เปรียบก ับก ารศกึ ษาเลา่ เรยี นถ้าเรียน
ไมด่ ี เรยี นไมเ่ ปน็ ไดค้ วามรมู้ าผ ดิ ๆ ค วามรนู้ นั้ อ าจจ ะเปน็ อ นั ตรายด จุ เดยี ว
กับงูพษิ ท่ีขนดหางย ่อมถ กู งพู ษิ แ วง้ กัดเอาได้
ยกลงิ โง่อยากลองเอาม ือจับต ังเอาเทา้ ถ บี และใชป้ ากกดั ผลท ่สี ุด
ติดตังด้ินไม่หลุด เปรียบเหมือนคนที่ไม่รู้จักวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องเต็มไป
ด้วยความเห็นผิด ความเข้าใจท่ีผิด ในที่สุดก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่
ลำบาก
ยกเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ได้ยินเสียงอะไรท่ีผิดปกติก็จะหดหัว
เข้าก ระดองปลอดภยั ไวก้ ่อนเปรยี บด ังผ ้ปู ฏบิ ัติท่ีสำรวมอ ินทรีย์(ค อื ต า
หู จมกู ล้นิ ก ายใจ)เห็นอ ะไรไดย้ นิ อ ะไร...ก ม็ สี ติ ไม่ยินดียินร า้ ยไปตาม
เสยี งเรา้ จากภ ายนอกกย็ ่อมปลอดภัยจ ากกิเลสได้
ยกนกเขาที่ร อ้ งเสียงค ู คู เหมือนค นท ต่ี ระหนถ่ี เี่หนยี วห วงแหน
161 ๑๖๑
โภคทรัพย์ ไม่แบ่งปันคนอ่ืน ตัวเองก็ไม่กินไม่ใช้ บุญกุศลก็ไม่ทำ ได้แต่
นอนกอดทรัพยภ์ มู ิใจว ่าทรพั ยข์ องก ูของก ู หลงยดึ ตดิ อ ยู่อยา่ งนัน้
ในบรรดาเรื่องที่ยกตัวอย่างมานี้ เรื่องที่หลวงปู่ดู่นำมาเล่าเป็น
อุทาหรณ์สอนใจให้ศษิ ยไ์ ดฟ้ ังกนั บ่อยๆคือเรือ่ งน กเขาท ี่รอ้ งเสยี งคูคู
ไดฟ้ งั แ ลว้ เหมอื นเปน็ เครอ่ื งเตอื นใจใหศ้ ษิ ยท์ ง้ั ห ลายอ ยา่ ไดป้ ระมาทแ ละ
หม่นั พ ิจารณาอ ยเู่ นอื งๆ ว่า
ตัวเรา...ตัวเขา
ไม่ใช่เรา...ไม่ใชเ่ขา
ของเรา...ข องเขา
ไมใ่ ชข่ องเรา...ไม่ใชข่ องเขา
๑๖๒ 162
๘ ๖
สงั คมว ิปรติ
ในห นงั สอื พ ทุ ธธ รรมก บั ส งั คมซ งึ่ เขยี นโดยศ าสตราจารยน์ ายแ พทย์
ประเวศว ะส ี ไดก้ ลา่ วถ งึ ส งั คมไทยต ง้ั แ ต่ พ .ศ .๒ ๕๒๘ ไวว้ า่ “ป ระเทศไทยมี
วดั ก วา่ ๒ ๕,๐๐๐ว ดั พ ระก วา่ ส องแ สนรปู เณรก วา่ แ สนรปู พ ทุ ธศ าส นกิ ชน
อีกเต็มป ระเทศไฉนเราจ งึ ม ปี ญั หาทางส งั คมมากขนึ้ เรือ่ ยๆ ”
ความเปน็ ค นใจบญุ ส นุ ทานของผู้คนไทยในอ ดีตและการท ี่มวี ัดวา
อารามสร้างอย่ทู ุกมมุ เมืองไม่ได้ช่วยใหป้ ัญหาสังคมลดล งไปในป จั จบุ นั
สภาพเศรษฐกจิ ก ารเมอื งและสังคมถ ึงข น้ั วกิ ฤตผ คู้ นม ีค วามทกุ ข์
ยากก นั มากมายเรามีผู้นำบ ้านเมอื งท ี่ไมส่ ามารถเอาเป็นแ บบอ ย่างที่ดไี ด้
จนสอ่ื มวลชนต่างพ ากนั ขนานนามว ่า เป็นย คุ ร าหูค รองเมืองท ้ังผ นู้ ำแ ละ
คนร อบขา้ งหมดป ัญญาแก้ไขป ัญหาบา้ นเมืองในท างท ถี่ ูกทคี่ วรถ ึงข นาด
ตอ้ งส ะเดาะเคราะหต์ อ่ ช ะตาท ำพ ธิ รี บั ส ง่ ราหู ด ฮู ว งจ ยุ้ ก นั ใหว้ นุ่ ว ายส บั สน
จนเปรอะก นั ไปหมดป ระชาชนเดือดร อ้ นสังคมวิปริตก นั ถว้ นห น้า
ทา่ นพ ระพ รหมค ณุ าภรณ์ (ป .อ .ป ย ตุ โฺ ต)ไดฝ้ ากข อ้ คดิ ห ลกั ธ รรมไว้
ในห นงั สอื ข องท า่ นช อื่ “เมอื งไทยจ ะว กิ ฤตถ า้ ค นไทยม ศี รทั ธาว ปิ รติ ” ซ ง่ึ
ขา้ พเจา้ ขออนญุ าตคดั ล อกม าณ ท น่ี ้ี ส รปุ ความว า่ ค ณุ สมบตั ขิ องช าวพทุ ธ
163 ๑๖๓
ที่ดี หรอื อุบาสกธ รรม๕ ป ระการทีค่ วรป ฏบิ ตั ิคือ
๑.ม ศี รทั ธาเช่ืออ ย่างมเี หตผุ ลมัน่ ในคุณพระรตั นตรยั ไม่งมงาย
๒.ม ศี ลี มคี วามป ระพฤตสิ จุ รติ ด งี าม อ ยา่ งน อ้ ยด ำรงต นไดใ้ นศ ลี ๕
๓. ไม่ตน่ื ข ่าวม งคล เชอื่ กรรม ม ุ่งหวงั ผ ลจ ากก ารกระทำ ม ใิ ชจ่ าก
โชคลางข องขลงั พ ธิ กี รรมส่ิงศกั ดิส์ ิทธิ์
๔.ไมแ่ สวงห าท กั ข ไิ ณยนอกหลกั ค ำสอนขอ งพ ระพทุ ธเจ้า
๕.เอาใจใส่ท ำนุบ ำรุงช ่วยก จิ การพระพทุ ธศาสนา
เรมิ่ ต้นทต่ี ัวเรา...เริม่ ท ี่บ า้ นเรา แล้วเราจะมิใชต่ วั ป ัญหาท่ที ำส งั คม
ใหว้ ปิ รติ แ ตจ่ ะเปน็ ส ว่ นห น่ึงท่ชี ่วยแก้ปญั หาสังคมวิปริตใหเ้ ปน็ ส ว่ นหนง่ึ
ทีล่ ูกศษิ ย์หลวงป่มู อบเป็นข องข วัญถวายแ ด่ในหลวงและมอบถ วายแ ด่...
หลวงปู่ของเรา
๑๖๔ 164 ๘ ๗
เชอื้ ด ้อื ยา
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๕๓๙ หนา้ ๒ ๐ ในค อลมั นเ์ มนขู ้อมูลโดยนายด าตา้ ไดพ้ ดู ถ งึ เร่อื งข อง
หมอกับก ารส ง่ั ย าให้แก่ค นไข้เรือ่ งข องเรอื่ งม วี ่ามคี ำถามจากชาวบา้ นถงึ
นายด าต้าข า้ พเจา้ ข อคัดลอกม าดงั นี้
“ ผ มส งั เกตว า่ เดย๋ี วน ไี้ ปห าห มอแ ลว้ ห มอส ง่ั ย าม าใหม้ ากอ ยา่ งเปน็
หวดั ไปรักษาทีโ่ รงพ ยาบาลเอกชนคา่ รกั ษาคา่ ยา๔๐๐-๕ ๐๐บาท
ทกุ ค รงั้ ท งั้ ท แ่ี ตเ่ ดมิ น นั้ โรคห วดั น กี่ นิ ย าแ ผงไมก่ บ่ี าทก ห็ ายแ ลว้ ทำไมถ งึ เปน็
เช่นนั้น”
จากคำถามข้อสงสัยดังกล่าว นายดาต้าก็ได้ตอบไปในลักษณะที่
ว่า หมอจ่ายยาให้ไปเกินกว่าเหตุ ข้าพเจ้าได้นำเรื่องน้ีไปสอบถามจาก
ญาติซ่ึงเป็นอายุรแพทย์ แพทย์ผู้เช่ียวชาญทางการรักษาด้วยยาซ่ึงก็ได้
ความก ระจา่ งก ลบั ม าว า่ เราค งเคยท ราบก นั ว า่ ม เี ชอ้ื โรคม ากมายม อี าการ
ดอ้ื ยาท ำใหร้ กั ษาห ายไดย้ ากโดยเฉพาะในเมอื งไทยท งั้ น้ี ม สี าเหตทุ ส่ี ำคญั
คือการให้การรักษาท่ีไม่เต็มท่ี ดังเช่น คนไข้ไปซ้ือยามาทานเองจากร้าน
ข ายย าห รอื ไปพ บแ พทยต์ ามค ลนี คิ โรงพ ยาบาลแ พทยส์ ว่ นใหญจ่ ะจ ดั ย า
165 ๑๖๕
ใหค้ นไข้ครบต ามจำนวนวา่ จ ะต อ้ งทานยาก ว่ี ัน๕ว ัน๗วันหรือ๑๐ว ัน
ก็จะจัดยาใหค้ รบเช่นค นไขเ้ ปน็ ห วดั เนื่องจากติดเชื้อแบคทีเรียซ ึ่งค นไข้
จำต อ้ งไดย้ าป ฏชิ วี นะห รอื ย าแ กอ้ กั เสบค นไขท้ เี่ ปน็ ว ณั โรคค นไขท้ เี่ ปน็ โรค
กระเพาะปสั สาวะอกั เสบฯลฯ
เมอื่ ค นไขเ้ หลา่ น ที้ านย าแ ลว้ ม อี าการด ขี น้ึ ห รอื ห ายไปก จ็ ะห ยดุ ย า
ท้งั ๆทเ่ี ชื้อโรคย ังไมห่ ายเมือ่ หยดุ ยาขณะท ่ีเชอื้ โรคบางส ่วนย งั ไม่ตายนน้ั
มนั จะกลบั ฟน้ื ขน้ึ มาใหม่ แพรพ่ นั ธใุ์ หมอ่ อกมาซง่ึ เปน็ พนั ธทุ์ ม่ี วี วิ ฒั นาการ
ใหด้ อ้ื ต อ่ ย าท เ่ี คยใชม้ าก อ่ นแ ตใ่ ชไ้ มค่ รบต ามจ ำนวนจ ากน น้ั ไมน่ านอาการ
เจ็บไข้ก็จะเกิดข้นึ มาใหม่ คราวน้ีจะรักษาให้หายก็จะยากกว่าคร้งั แรก
แนน่ อนต อ้ งใชย้ าท แี่ รงข น้ึ ก วา่ เกา่ ห ากค นไขใ้ ชย้ าผ ดิ ว ธิ ี เชอ้ื ก จ็ ะด อ้ื ยาข น้ึ
มาอีก ทุกวันนี้จึงมีโรคด้ือยาเกิดข้ึนมากมาย เพราะการใช้ยาท่ีไม่ศึกษา
ใหถ้ กู ว ิธี
ในเร่อื งข องก ารศ กึ ษาปฏิบตั ิธรรมก ็เชน่ เดยี วกนั
การใช้ยาไม่ถูกวิธี... ทำให้เชื้อโรคด้ือยาข้ึนฉันใด การศึกษา
ปฏบิ ัติธรรมไมถ่ ูกวิธี...ก ็ทำใหศ้ ิษยด์ ือ้ คำส อนข องค รอู าจารยฉ์ ันน ้ัน
๑๖๖ 166 ๘ ๘
ค ณุ ธ รรม๖ป ระการ
หลวงปดู่ ู่ เคยป รารภธ รรมเกยี่ วก บั เรอื่ งก ารเจรญิ โพชฌงค์ อ นั เปน็
คณุ ธ รรมท ท่ี ำใหบ้ คุ คลผ ปู้ ฏบิ ตั ติ ามไดบ้ รรลมุ รรคผ ลน พิ พานม แี ตค่ วาม
เยน็ ใจในท กุ ที่ท กุ ส ถานในกาลท กุ เมอ่ื เป็นธรรมท เี่ปน็ ประโยชน์อ ย่างย่งิ
อกี ท ง้ั ม คี วามไพเราะท งั้ อ รรถแ ละธ รรมจ งึ ข อฝ ากไวก้ บั ศ ษิ ยห์ ลวงปู่ ใหไ้ ด้
นำไปพ จิ ารณาก ัน
“ด กู อ่ นท า่ นผ เู้ หน็ ภ ยั ในว ฏั ฏส งสารท งั้ ห ลายผ ทู้ เ่ี หน็ ภ ยั ในว ฏั ฏ-
สงสารน น้ั ถ า้ ป ระกอบดว้ ยคณุ ธรรม๖ ป ระการน ้ี ย อ่ มจะไดบ้ รรลมุ รรค
ผล นพิ พานถงึ ค วามเยอื กเยน็ อยา่ งย อดเยย่ี มคณุ ธรรม๖ประการนน้ั
คอื
ขม่ จ ติ ในสมัยทคี่ วรข ่ม
ประคองจ ิตในส มยั ที่ค วรป ระคอง
ยงั จิตให้รา่ เรงิ ในสมัยทคี่ วรรา่ เรงิ
วางเฉยจติ ในสมยั ท ี่ควรว างเฉย
มีจ ติ น้อมไปในมรรคผ ลอันป ระณตี สูงสุด
ยินดีย่ิงในพ ระน พิ พาน”
167 ๑๖๗
ผู้ปฏิบัติที่มีความชาญฉลาด ย่อมจะต้องศึกษาจิตใจและอารมณ์
ของตนให้เข้าใจ และรู้จักวิธีกำหนด ปล่อยวาง หรือควบคุมจิตใจและ
อารมณใ์ หไ้ ด้ เปรยี บเสมอื นเวลาท เี่ ราข บั ร ถยนต์ จ ะต อ้ งศ กึ ษาใหเ้ ขา้ ใจถ งึ
วธิ กี ารข บั ขท่ี ป่ี ลอดภยั บ างครง้ั ควรเรง่ บ างคราวควรผ อ่ นบางทกี ต็ อ้ งห ยดุ
เรง่ ในเวลาท ค่ี วรเรง่
ผ่อนในเวลาที่ควรผ ่อน
หยดุ ในเวลาท ี่ควรห ยดุ
กจ็ ะสามารถถ ึงที่หมายได้อย่างป ลอดภัย
เปรียบเหมือนการปฏิบัติธรรมะน่ีล่ะ ทำนองเดียวกันให้พิจารณา
อย่างน้ี
๑๖๘ 168 ๘๙
ลงิ ต ดิ ตงั
ท่ามกลางกระแสส งั คมทส่ี ับสนวุ่นว ายไมว่ ่าจ ะเป็นก ิจธ ุระส ่วนต วั
กิจธุระเรื่องครอบครัว เรื่องท่ีทำงาน เรื่องของญาติสนิทมิตรสหาย จน
บอ่ ยค รง้ั ท เี่ รารสู้ กึ เหมอื นถ กู พ นั ธนาการด ว้ ยภ าระแ ละห นา้ ทที่ ตี่ อ้ งจ ดั การ
มากมายอยู่ทุก วที่ กุ วนั ท งั้ ต วั เราเองและทั้งผคู้ นรอบขา้ ง
หลวงปู่ได้เคยเปรียบลักษณะเช่นน้ีกับอาการของลิง โดยท่านได้
ถามข า้ พเจ้าวา่ “แกเคยรู้จกั ไหมโลกต ิดตวั เหมือนล ิงตดิ ต ัง”
(“ ต งั ” ต ามค วามห มายในพ จนานกุ รมห มายถ งึ ย างไมท้ ผ่ี สมก บั ส งิ่
อน่ื แ ล้วท ำใหเ้ หนยี วใช้สำหรบั ดกั นก)
เวลาท่ีเขามาดักจับลิง เม่ือลิงมาติดกับที่มีตังติดอยู่ ตังติดมือลิง
ข้างห นึ่งม ันกใ็ช้ม ืออกี ข า้ งม าแ กะอ อกแตแ่ กะไม่ออกกลบั ติดตงั ท้ังส อง
มอื เอาเท้ามาช ่วยถ บี อ อกกไ็ม่ออกอ ีกเอาป ากกัดอ กี ผลที่สุดเลยต ิดต ัง
ไปท้ังต วั ทัง้ ส องม อื สองเทา้ และปากติดตังไปห มดน อนร อใหเ้ขามาจบั
ตวั เอาไปขา้ พเจา้ กม้ ล งดูต วั เองและเหลยี วม องดูรอบตัวไมเ่ หน็ ล ิงแ มแ้ ต่
ตวั เดยี วทีต่ ิดต ังเหน็ แต่ต ัวเองและค นรอบๆขา้ งตดิ ตงั เต็มไปหมด...ไม่มี
ลิงสกั ต ัว ...ใครก ็ได้ ชว่ ยแ กะทเีถอะค รับ!
169 ๑๖๙
๙ ๐
ปรารภธรรมเรอื่ ง“ การเกดิ ”
บ่ายร่มลมเย็นวันหนึ่ง ในอิริยาบถสบายๆ ของหลวงปู่ท่ีกุฏิท่าน
หลวงปู่ได้ปรารภธรรมเกี่ยวกับเร่ือง “การเกิด” ให้กับศิษย์ได้ฉุกคิด
เปน็ การบ า้ น
ทา่ นได้ป รารภไวว้ ่า
“ค นเราเกดิ ม าไมเ่ หน็ ม อี ะไรด ี ม ดี อี ยอู่ ยา่ งเดยี วส วดม นตไ์ หวพ้ ระ
ปฏบิ ตั ภิ าวนา”
ขา้ พเจา้ ห วนรำลกึ ถ งึ ค ำส อนท า่ นพ ทุ ธท าสภ กิ ขจุ ากห นงั สอื “ เลา่ ไว้
เม่ือวัยสนธยา”ซึ่งส มั ภาษณ์โดยพ ระประชาป สันนธ มั โมท ่านพ ุทธท าส
ภิกขุได้พูดถึงเร่ืองท่ีสำคัญที่สุดในชีวิตว่า คนเราเกิดมาควรจะได้อะไร
เกดิ ม าท ำไม
คนส่วนใหญ่สมัยเป็นเด็กๆ ไม่มีทางรู้ว่าเกิดมาทำไม พ่อแม่ก็ไม่
ได้สอนว่าเกิดมาทำไม เพียงแต่ได้รับการดูแลว่า ทำอย่างน้ันทำอย่างน้ี
ทีเ่รียกว ่าด ๆี ให้เรยี นหนงั สอื ใหป้ ระพฤตดิ ีกด็ แี ต่ไม่ร้วู ่าเกิดมาท ำไมจน
กระท่งั เปน็ ห นมุ่ สาวก ็ไม่รวู้ ่าเกดิ มาท ำไมเพ่อื ป ระโยชนอ์ ะไรแตก่ ไ็ ดท้ ำ
ทุกๆ อย่างตามท่ีผู้หลักผู้ใหญ่สอนให้ทำตามขนบธรรมเนียมประเพณี
๑๗๐ 170
ม ใี หท้ ำจงึ ม กี ารศกึ ษาม อี าชีพส ำหรบั ท ำมาห ากนิ มคี วามเปน็ อ ยู่ท ่ดี ีข้ึน
บางคนจนเลยวัยผู้ใหญ่ล่วงถึงวัยชรา ก็ไม่มีโอกาส แม้จะคิดหาคำตอบ
ที่สำคัญที่สุดในชีวิตน้ี ข้าพเจ้าขออนุญาต ขีดเส้นใต้คำว่า ท่ีสำคัญที่สุด
ในชวี ติ นี้
ท่านพทุ ธท าสภิกขุ ได้เฉลยคำตอบน ี้ไวว้ า่ ...
“เกิดมาให้ได้รับสิ่งดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือให้มีชีวิตท่ีเย็น
ท ไี่ มเ่ ปน็ ท กุ ข์เลย”
สรปุ ไดว้ า่ เพือ่ แสวงหาค วามส ุขท ่ไี มก่ ลบั กลายเป็นค วามท ุกข์อีก
มีส ภุ าษติ จนี บ ทหนึง่ ทวี่ ่า...
รู้ก่อนแ ก้กอ่ น
รู้ห ลงั แกห้ ลงั
ไม่รู้ ไม่แก้
รู้แ ลว้ ทำไมไม่แ ก้
นน่ั น ะ่ ซิ รู้แล้ว...ท ำไม(ยงั )ไม่แก้ (วะ)!
ข้าพเจา้ อุทานก ับตัวเอง
171 ๑๗๑
๙๑
เมดอ นิ วดั ส ะแก
ทา่ นทม่ี คี วามสนใจในว ตั ถมุ งคลของห ลวงปดู่ ู่ พ รหมปญั โญ จะพ บ
ว่าพระเคร่ืองพระบูชาของท่านมีมากมายหลายรุ่นหลายแบบ เท่าท่ี
พอจะสืบทราบ หลวงปู่ได้เร่ิมสร้างต้ังแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๔ เร่ือยมา มีท้ัง
ชุดพระบูชาท่ีเป็นพระพุทธรูปและท่ีเป็นรูปหล่อหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่
ครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ เช่น หลวงปู่เกษม เขมโก ท่ีเป็นพระเคร่ืองก็
ไดแ้ ก่ ช ดุ พ ระเหนอื พ รหมช ดุ ช ยั มงคลค าถา(พ าห งุ ฯ )ช ดุ เหรยี ญรปู เหมอื น
หลวงปดู่ ู่ รวมท ง้ั เหรยี ญโลหะอ นื่ ๆ พ ระห ยดน ำ้ รปู ห ลอ่ ล อยอ งคข์ นาดเลก็
พระพิมพ์ตา่ งๆ ตลอดจนลอ็ กเกตและแหวน
เมอ่ื ต น้ ป ี ๒ ๕๔๐ข า้ พเจา้ ไดเ้ หน็ ห นงั สอื พ ระเครอ่ื งเลม่ ห นงึ่ ผ เู้ ขยี น
ไดเ้ล่าถึงขา่ วดังในรอบป ี๒ ๕๓๙แ ละได้จดั อ นั ดับ๑ ๐ข า่ วดงั แ หง่ ว งการ
พระเครื่องในร อบปี ซ ึ่งก ว็ า่ ก ันไปต ามป ระสาค นในว งการพระเคร่อื งแต่
มขี ่าวหน่ึงในบ รรดา๑ ๐ข า่ วดงั นี้ที่สะดดุ ใจขา้ พเจ้าคอื
“ส บั สนทส่ี ดุ ในวงการพ ระเครอ่ื งคอื พ ระเครอ่ื งบชู าของหลวงปดู่ ู่
พรหมปัญโญ วัดสะแก อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สับสน
จนบรรดาเซียนพระไม่กล้าจัดประกวดเพราะไม่สามารถแยกแยะได้ว่า
๑๗๒ 172
อันไหนของจริงอ ันไหนข องป ลอม” ข า้ พเจา้ อ า่ นแ ลว้ อดข ำไมไ่ด้ก็พวก
ท่านท้ังหลาย (บรรดาเซียนพระเครื่อง) เล่นจัดประกวดพระเครื่องด้วย
วัตถุประสงค์ที่จะตีราคาพระเคร่ืองพระบูชาของหลวงปู่ออกมาในเชิง
พาณิชย์ เพื่อนำมาซื้อๆ ขายๆ แสวงหากำรี้กำไรกันในตลาด ซึ่งไม่ใช่
วตั ถปุ ระสงค์ของหลวงปู่
วัตถุประสงค์ของหลวงปู่ ต้องการให้พระเคร่ืองบูชาของท่านเป็น
สอื่ ...ใหเ้ ขา้ ถึงพ ระแ ท้ในจ ติ ใจของผู้ประพฤติปฏบิ ัตติ ามธรรมค ำสอนข อง
ทา่ นต อ้ งการใหพ้ ระน ไ้ี ดถ้ งึ ม อื บ คุ คลท สี่ นใจศ กึ ษาป ฏบิ ตั จิ รงิ ๆ ด งั จ ะเหน็
ไดจ้ ากก ารท มี่ พี ระเครอ่ื งพ ระบ ชู าข องห ลวงปู่ จ ำนวนม ากท ที่ ำเปน็ พ ระผ ง
ผสมป นู ซ เี มนตข์ าวม จี ำนวนม ากมายน บั แ สนอ งค์ จ นบ างค นม คี วามรสู้ กึ ว า่
พระหลวงปดู่ .ู่ ..ไมม่ รี าคาแตข่ า้ พเจา้ กลบั รสู้ กึ ตรงกนั ขา้ มว า่ พ ระห ลวงปดู่ ู่
...เมดอินวัดสะแกน้ี ทว่ี า่ ...ไมม่ รี าคาน ้นั คอื ไม่มรี าคาแ บบที่หาค า่ มไิ ด้
เปน็ Invaluableหรอื PricelessThingสำหรับผ ้รู ู้คณุ คา่ มใิ ช่ส ำหรับ
ผรู้ ู้มูลค่าท ี่นิยมก ารซ้ือข ายแลกเปลี่ยนเป็นเงินท องก ัน
173 ๑๗๓
๙ ๒
พ ุทธนมิ ิต
ก ารต อบค ำถามข องห ลวงปแู่ กศ่ ษิ ยช์ า่ งส งสยั อ ยา่ งข า้ พเจา้ บ างค รง้ั
ท่านไม่ตอบตรงๆ แต่ตอบด้วยการกระทำ การแสดงให้ดู และการตอบ
ของท า่ นก ย็ งั ค วามอ ศั จรรยใ์ หเ้ กดิ ข น้ึ แ กข่ า้ พเจา้ แ ละเพอ่ื นๆเปน็ อ ยา่ งย งิ่
ดงั เหตกุ ารณ์เมื่อค รง้ั ทเ่ี กดิ “พ ุทธน ิมิต” เมื่อคืนว นั ข้ึน๑๔ค่ำเดือน๖
ก่อนว ันวิสาขบ ชู าปี พ .ศ.๒๕๒๘หนง่ึ ค ืนท ี่วัดส ะแก
เหตเุ รมิ่ แ รกเกดิ จ ากเมอ่ื ต อนก ลางวนั ในวนั น นั้ ข า้ พเจา้ และหมเู่ พอื่ น
ไดม้ ากราบน มสั การห ลวงปทู่ ว่ี ดั พ รอ้ มก บั พ กพ าเอาค วามส งสยั ๒ เรอื่ งค อื
เวลาท ห่ี ลวงพอ่ ห ลวงป ทู่ งั้ ห ลายท า่ นจ ะไปช ว่ ยล กู ศ ษิ ยท์ อ่ี ยหู่ า่ งก นั ค นละ
ท่ีในเวลาเดียวกันท ่านไปไดอ้ ยา่ งไรพรอ้ มก บั เรอ่ื งน้ีในว ันน ้นั ข้าพเจา้ ได้
นำรูปปาฏิหาริย์ของครูอาจารย์ท่านอ่ืนๆ ที่ศิษย์ของท่านเหล่านั้นถ่าย
ภาพไดร้ วบรวมม าถ วายใหห้ ลวงปทู่ า่ นด ู ม ภี าพข องพ ระอ าจารยม์ หาป นิ่
หลวงปขู่ าวหลวงป ูค่ รูบาช ยั ยะว งศาฯ แ ละพ ระอาจารย์จวนด ว้ ยค วาม
งวยงงส งสัยข้าพเจ้าจึงถ ามท า่ นว่าภาพเหล่าน้ีถ า่ ยก นั จรงิ หรอื วา่ ทำขนึ้
มาห ลวงปทู่ า่ นพ จิ ารณาด รู ปู เหลา่ น น้ั ท ลี ะใบจ นค รบใชเ้ วลาป ระมาณห นง่ึ
นาที แลว้ ร วบเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั ย กมือไหว้ แลว้ บ อกข า้ พเจา้ ว า่ “ ข า้ โมทนา
๑๗๔ 174
สาธดุ ้วยของจ ริงท ง้ั น น้ั ”ดังน นั้ จ ึงไมม่ คี ำอธบิ ายอน่ื ใดอกี น อกจากน้ี
ครนั้ ตกเวลาก ลางค ืนป ระมาณส องท ุ่มข า้ พเจา้ ก บั เพอ่ื นๆ ม าท กี่ ฏุ ิ
หลวงปู่อกี ครง้ั ม ลี ูกศิษย์มากมายต่างม าสร งน้ำห ลวงปู่ในโอกาสว นั คล้าย
วันเกิดท่าน...วันวิสาขปุรณมี เมื่อคณะที่มาสรงน้ำหลวงปู่เดินทางกลับ
ไปหมด เหลือแต่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ พวกเราขออนุญาตหลวงปู่ถ่ายรูป
กับท่านไว้เป็นท ่ีระลึกข า้ พเจา้ จ ำได้ด วี ่าเมอื่ หลวงปู่อนุญาตแ ลว้ จ ากน ัน้
ทา่ นก็นง่ั น ่ิงไม่ขยบั เขย้อื นไม่เคล่ือนไหวใดๆทงั้ สิ้นศิษย์ตาก ล้องผ ลดั
กันถ่ายภาพได้ประมาณสิบภาพ แล้วทุกคนก็กราบนมัสการท่านอีกครั้ง
บรรยากาศค นื น น้ั ข า้ พเจา้ ม คี วามรสู้ กึ ท แ่ี ปลกไปก วา่ ท กุ ว นั จ ำไดว้ า่ บ รเิ วณ
กฏุ ิหลวงปู่เย็นสบาย...เย็นเข้าไปถ ึงจิตถ ึงใจขา้ พเจา้ อ ย่างย ง่ิ
เมอ่ื น ำฟ ลิ ม์ ท งั้ หมดไปล า้ งป รากฏว า่ ม ภี าพป าฏหิ ารยิ ์ “ พ ทุ ธน มิ ติ ”
เกดิ ขนึ้ สว่ นแรกเปน็ ภาพพ ทุ ธนมิ ติ ค อื เปน็ ภาพพ ระพทุ ธเจา้ ท ีถ่ ่ายไดโ้ดย
ไมม่ ีวตั ถุทเ่ี ป็นพ ระพทุ ธร ูปเหตุอศั จรรยอ์ กี ป ระการห นงึ่ ค ือเปน็ ภ าพทอี่ ยู่
ตน้ ฟ ลิ ม์ ท ม่ี ไิ ดต้ งั้ ใจถ า่ ยเปน็ ภ าพท ผี่ ถู้ า่ ยต อ้ งก ารกดชตั เตอรท์ ง้ิ ส ว่ นท สี่ อง
เปน็ ภ าพหลวงปู่โดยม ีแสงสีเป็นรังสตี า่ งๆรอบๆองค์ท า่ น
สำหรับข้าพเจ้าแล้ว นี่เป็นการตอบคำถามท่ีหลวงปู่เมตตาตอบ
ข้าพเจ้าท่ีได้ถามท่านไว้สองคำถามเม่ือตอนกลางวันภาพ “พุทธนิมิต”
เป็นการตอบคำถามที่ว่า เวลาที่หลวงพ่อหรือหลวงปู่ท้ังหลายท่านจะไป
ช่วยลูกศิษย์ท่ีอยู่ห่างกันคนละที่ในเวลาเดียวกันท่านไปได้อย่างไร ส่วน
ภาพห ลวงปู่ดู่ท่ีมแี สงสเีปน็ รงั สีต่างๆ รอบๆอ งค์ท่านก เ็ ปน็ การตอบต่อ
175 ๑๗๕
คำถามที่ว่าภาพครูอาจารย์องค์ต่างๆ ที่ข้าพเจ้านำมาถวายให้ท่านดูนั้น
“เป็นของจริง” ข้าพเจ้าเช่ือแน่เหลือเกินว่า หลวงปู่คงมิได้ตอบคำถาม
ข้าพเจา้ เพยี งสองคำถามเท่าน้นั จ ึงขอฝ ากทา่ นผูร้ ู้ทไี่ด้เห็นภาพเหล่านใ้ีห้
นำไปพจิ ารณาดว้ ยดี กจ็ ะไดร้ ับประโยชนอ์ กี ม ากทีเดยี ว
หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ี ข้าพเจ้าได้นำภาพเหล่าน้ีมาถวายให้
หลวงปู่ดแู่ ละกราบเรียนขอค ำอ ธิบายจ ากท่าน
ท่านต อบอ ย่างรวบรดั ว า่ “เขาท ำให้เชื่อ”
หลวงปเู่ นน้ เสียงส ีหน้าเกล่อื นย ิ้มด้วยเมตตา
๑๗๖ 176
๙ ๓
กรรมฐ านพาลจิตเพ้ยี น
ห ลายปีกอ่ นมกี ารเสวนาท างวิชาก ารเร่อื ง“ โรคจิตก ับกรรมฐาน”
จดั โดยธ รรมส ถานจ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ในค รง้ั น น้ั ม กี ารเชญิ จ ติ แพทย์
จากโรงพยาบาลศ ิริราชม าเล่าถ ึงปัญหาโรคจิตท ่เี กดิ จ ากก ารนั่งว ปิ ัสสนา
กรรมฐ านว า่ ทจ่ี รงิ แ ลว้ ก ารท ำกรรมฐ านไมไ่ ดเ้ ปน็ ส าเหตขุ องก ารเกดิ โรคจติ
แตป่ ระการใดก ารทค่ี นท ว่ั ไปน ั่งวปิ ัสสนากลับม าแ ลว้ เกดิ อ าการท างจิตท ี่
คนอ ่ืนมองวา่ “ เพย้ี น” หรอื เปน็ โรคประสาทเป็นเพราะท ำไม่ถกู ว ิธี
จิตแพทย์ท่านนั้นได้กล่าวว่า การท่ีมีผู้ไปทำวิปัสสนากลับมาแล้ว
ผิดป กติม ีไมม่ ากน กั แ ต่สิง่ ท ี่นา่ เปน็ หว่ งมากก็คอื ป ัจจุบันม ีสำนกั สอนการ
ปฏบิ ตั ริ วมท งั้ ว ปิ สั สนาเกดิ ข น้ึ อ ยา่ งม ากมายจ นท ำใหค้ นค ดิ ว า่ เปน็ แ ฟชนั่
ท่ีกำลังได้รับความนิยม คาดว่ามีสำนักน้อยใหญ่ทั่วประเทศเป็นพันแห่ง
สาเหตุที่ทำให้คนมุ่งเข้าสู่สำนักกรรมฐานเหล่านี้เนื่องมาจากความทุกข์
ความผ ดิ ห วงั ในชวี ติ ต ้องการท่พี ึ่งทางใจส รปุ ไดว้ ่าคนท เี่พยี้ นจ ากก ารทำ
กรรมฐ านน นั้ ส ว่ นใหญม่ คี วามอ อ่ นแอท างจ ติ ใจอ ยแู่ ลว้ แ ละม าพ บแ นวทาง
ปฏบิ ตั ทิ ผี่ ดิ ๆ เชน่ อ า่ นต ำราแ ลว้ น ำไปต คี วามเองห รอื คดิ คน้ ว ธิ ปี ฏบิ ตั เิ อง
นอกแบบของค รูอาจารย์หรอื ฟงั จากเพ่อื นที่เล่าใหฟ้ ังต ่อๆ กนั มา
177 ๑๗๗
เจ้าสำนักกรรมฐานบางแห่งมักใช้วิธีพิสดารต่างๆ เพื่อสร้างความ
ขลังให้สำนักตนด้วยการฝกึ แ บบแปลกๆ จนท ำให้ค นท ี่ฝ ึกแบบท่ีผดิ ๆ น้ี
เกิดอาการเคร่งเครียด บ้างก็เกิดความกลัวหวาดระแวง เกิดเป็นอาการ
เพี้ยนต า่ งๆต ามมาอ าการเพ้ียนน ้ีมิใชเ่ พง่ิ เกดิ ในสมยั ปจั จบุ นั หากแ ต่ใน
คร้ังพุทธกาลกม็ ีหลักฐ านป รากฏในพระว ินยั ป ิฎกภาคอาทกิ มั มิกะค อื
สมัยหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนกรรมฐานข้อท่ีว่าด้วยการให้
พิจารณาร่างกายดุจเป็นซากศพแก่พระภิกษุ หลังจากน้ันพระพุทธเจ้า
เสดจ็ เขา้ ผ าสกุ ว หิ ารธรรมค อื ท รงพ กั ผอ่ นส ่วนพระองคเ์ป็นเวลา๑ ๕วัน
ในระหว่างน ี้ จ ะไม่เสด็จอ อกบณิ ฑบาตจ ะม แี ต่พระภ ิกษผุ ู้ทำหน้าที่คอย
อปุ ฏั ฐากอยู่ ไมท่ รงรบั แขกแ ละงดการแสดงธรรม
พระภ กิ ษทุ ไ่ี ดฟ้ งั พ ระพทุ ธเจา้ ส อนเรอ่ื งอ สภุ ะ ก รรมฐ านไดน้ ำค ำส อน
ไปปฏิบัติโดยไม่มีครูอาจารย์คอยควบคุมอย่างใกล้ชิดก็เกิดอาการวิปริต
เห็นร่างกายเป็นซากศพ เป็นที่น่าขยะแขยงเป็นทุกข์ จึงจ้างวานคนอื่น
ใหฆ้ า่ ตวั เองบ ้างล งมอื ฆ ่าก ันเองบ า้ งเม่ือพ ระพุทธเจ้าทรงเสร็จจ ากผาสุก
วหิ ารธรรมท รงท ราบเรอื่ งเข้าจงึ ทรงสอนให้ภ กิ ษทุ เ่ีหลืออ ย่ใูหพ้ ิจารณา
กรรมฐานในแ นวใหม่
อกี เรอื่ งห นง่ึ เรอ่ื งพ ระภ กิ ษกุ ลมุ่ ห นง่ึ เรยี นก รรมฐ านจ ากพระพทุ ธเจา้
แล้วกราบทูลลาเข้าป า่ หาที่ส งบป ฏบิ ตั ิกรรมฐ านจนไดบ้ รรลฌุ านแลว้ ไม่
นานก เ็ กดิ ค วามส ำคญั ผ ดิ ค ดิ ว า่ ต นไดส้ ำเรจ็ ข น้ั อ รห นั ต แ์ ลว้ จ งึ ช วนก นั อ อก
จากป่ากลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้บอกความประสงค์เรื่องนี้แก่พระ
๑๗๘ 178
อานนท์ พระอานนท์เข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้าเพื่อขออนุญาตเข้าเฝ้า
พระพทุ ธเจา้ ไมท่ รงอ นญุ าตรบั สง่ั ใหพ้ ระอ านนทไ์ ปบ อกพ ระภ กิ ษเุ หลา่ น น้ั
ใหไ้ ปพ จิ ารณาซ ากศพในป า่ ชา้ ก อ่ นซ ง่ึ ในข ณะน น้ั ในป า่ ชา้ ม คี นท ต่ี ายใหมๆ่
ยงั ไมไ่ ดเ้ ผาพระภ กิ ษเุ หลา่ น น้ั ก ไ็ ดไ้ ปด ศู พในป า่ ชา้ เมอื่ ด ศู พท กี่ ำลงั ข นึ้ อ ดื
ก็บังเกิดค วามเกลยี ด และเมอ่ื ไปดูศ พหญิงสาวท ีเ่ พิ่งต าย แลเหน็ อวยั วะ
ทุกส่วนยังสดอยู่ก็บังเกิดราคะ พระภิกษุเหล่าน้ันจึงทราบว่า พวกตน
ยงั ไมไ่ ดบ้ รรลธุ รรมใดๆก เ็ กดิ ค วามส ลดส งั เวชใจในค วามส ำคญั ผ ดิ ข องต น
หลงั จ ากน นั้ ไดเ้ ขา้ เฝา้ พ ระพทุ ธเจา้ ไดฟ้ งั ธ รรมจ งึ ไดส้ ำเรจ็ เปน็ พ ระอ รห นั ต ์
ในเวลาตอ่ มา
นเี้ ปน็ ห ลกั ฐ านว า่ การป ฏบิ ตั กิ รรมฐ านต ามห ลกั ศ าสนาพ ทุ ธจ ำเปน็
ตอ้ งม คี รอู าจารยค์ อยด แู ลเชน่ ค อยแ นะนำว า่ ภ าพท เี่ หน็ แ ละค วามค ดิ ท เ่ี กดิ
ขึน้ ในขณะท ี่เจริญพระกรรมฐานหรอื เวลาน ัง่ ก รรมฐานต ลอดจ นอารมณ์
ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างน้ันมีความหมายอย่างไร และควรวางอารมณ์
ต่อสิง่ เหลา่ นน้ั อยา่ งไรมฉิ ะนนั้ ผูท้ ำกรรมฐานอ าจเกิดค วามเห็นผดิ แล้ว
พฒั นากลายเปน็ ความว ปิ ริตหรอื ผ ิดเพย้ี นท่ีสดุ แลว้ อาการอ าจร นุ แรงจน
ควบคมุ ไม่ได้ ก ลายเป็นคนว ิกลจริตไปก ม็ ี
ผู้ปฏิบัติจึงควรเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนาด้วยการศึกษาหาความรู้
ทำความเข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจ ก่อนท่ีจะลงมือ
นงั่ สมาธิเจริญภ าวนาเพราะการทำส มาธิแตเ่ พยี งอยา่ งเดยี วกม็ โี ทษม ิใช่
มปี ระโยชน์ด ้านเดียว
179 ๑๗๙
ดงั น นั้ จ งึ ข อฝ ากผ ปู้ ฏบิ ตั ทิ มี่ กั ม นี มิ ติ ภ าวนาไมว่ า่ เปน็ น มิ ติ ป ระเภท
ภาพเสยี งก ล่นิ ห รือส่งิ อ่นื ใดก ็ตามห ลวงปทู่ ่านเคยส อนไว้ว่า
“อย่ายนิ ดียนิ รา้ ยแ ละอ ย่าน้อมใจเชอ่ื ในน มิ ติ ทีเ่กิดข ้นึ ”
ทา่ นส อนไม่ใหป้ ฏิเสธหรือวา่ ไมใ่ หเ้ชื่อน ิมิตทันทีท ี่นิมิตเกิดขึน้ แต่
สอนให้เชอื่ ห รอื ป ฏเิ สธก ็ต่อเมอื่ ความจ ริงปรากฏข ึ้นเทา่ นน้ั
หลวงป ดู่ ลู ย์ อ ต โุ ลท า่ นไดเ้ คยแ นะนำว ธิ ลี ะน มิ ติ ก บั ศ ษิ ยค์ นห นง่ึ ใน
หนังสอื “ หลวงปู่ฝากไว”้ เรียบเรียงโดยพ ระโพธิน ันทม ุนี ว า่
“...นมิ ิตบางอย่างม นั กส็ นุกด ี น ่าเพลิดเพลินอยู่หรอกแ ตถ่ า้ ตดิ อ ยู่
แคน่ น้ั ม นั ก เ็ สยี เวลาเปลา่ ว ธิ ลี ะไดง้ า่ ยๆก ค็ อื อ ยา่ ไปด สู งิ่ ท ถ่ี กู เหน็ เหลา่ น นั้
ใหด้ ผู เู้ ห็นแล้วส่งิ ท ี่ไมอ่ ยากเหน็ น่ันก็จะหายไปเอง”
๑๘๐ 180 ๙ ๔
จ ะไปทางไหน ?
หลวงปู่เคยพูดถึงความรู้สึกห่วงใยของท่านที่มีกับบรรดาศิษย์ว่า
หลายคนก่อนจะมาเกิดน่ี พวกที่อยู่บนสวรรค์ก็ได้ไปร่ำลาพระก่อน พอ
ลงมาแ ล้วก็มาเพลดิ เพลินหลงต ิดอยูก่ ับโลก ค ร้นั เม่อื ต ายไปแล้วก็ไปเกิด
ในทล่ี ำบากในอ บายภ ูมิมนี ร กเปรตอสรุ ก ายสัตว์เดรัจฉานไม่สามารถ
กลบั ขึ้นไปรบั ผลบ ญุ บนสวรรค์ชัน้ พ รหมหรอื ไปนพิ พานได้
พระพทุ ธเจา้ เคยเปรยี บบ คุ คลไว้ ๔จ ำพวกค อื
๑. บ คุ คลทม่ี ืดมาแ ลว้ ม ืดไป เปรยี บได้ก บั บ ุคคลทม่ี าจ ากภ พภูมทิ ี่
ต่ำก วา่ ม นุษย์ไดแ้ ก่ น รกเปรตอ สุรก ายส ตั วเ์ ดรัจฉานครน้ั มาเกดิ แล้ว
ก็ประกอบแต่กรรมชว่ั เมื่อต ายจากโลกมนุษย์ก็กลบั ไปส อู่ บายภ ูมิอ กี
๒.บ คุ คลท ม่ี ดื ม าแ ลว้ ส วา่ งไปเปรยี บไดก้ บั บ คุ คลท มี่ าจ ากภ พภ มู ทิ ่ี
ตำ่ กว่าม นุษย์ไดแ้ ก่น รกเปรตอ สุรก ายส ตั วเ์ ดรัจฉานค ร้นั มาเกิดแล้วก ็
ประกอบแ ตก่ รรมด ี เมอ่ื ต ายจ ากโลกม นษุ ย์ เขาก ส็ ามารถไปส สู่ คุ ตมิ สี วรรค์
พรหมพ ระนิพพานได้
๓.บ คุ คลท สี่ วา่ งม าแ ลว้ ม ดื ไปเปรยี บไดก้ บั บ คุ คลท มี่ าจ ากภ พภ มู ทิ ่ี
สงู ก วา่ ภ มู มิ นษุ ย์ ไดแ้ ก่ สวรรค์ พ รหมค รนั้ ม าเกดิ แ ลว้ ก ป็ ระกอบแ ตก่ รรมช วั่
181 ๑๘๑
เมอ่ื ตายจากโลกม นษุ ยก์ ็ก ลบั ไปส อู่ บายภูมิ
๔. บุคคลท่ีสว่างมาแล้วสว่างไป เปรียบได้กับบุคคลท่ีมาจากภพ
ภูมิที่สูงกว่าภูมิมนุษย์ ได้แก่ สวรรค์ พรหม คร้ันมาเกิดแล้วก็ประกอบ
แตก่ รรมด ี เม่ือต ายจ ากโลกมนุษย์เขาก ส็ ามารถไปส่สู คุ ตมิ สี วรรค์ พรหม
พระน พิ พานได้
จะม ดื มาห รือสวา่ งม าข ้าพเจ้าคดิ ว่าไม่สำคัญเทา่ กับจะม ดื ไปห รอื
สว่างไปเพราะอ ยา่ งไรเสยี เราก ็ได้มาเกิดแ ล้วแตข่ ณะน ้เี รายงั ไมไ่ ด้...ไป
ในประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี แห่งวัดระฆัง-
โฆสิตาราม เมื่อคราวท่ีในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงให้ขุดสระน้ำและปลูก
พระตำหนกั กลางส ระน ำ้ อยา่ งส วยงามท่านได้ตรสั ถามสมเดจ็ โตว า่
“สวยไหมขรัวโต”
สมเด็จโตกราบทูลตอบว่า “สวยมากมหาบพิตร ดุจราชรถอัน
วจิ ติ ร”
เท่าน ีแ้ หละ ในหลวงทรงกรวิ้ ไปหลายวันเพราะท า่ นเปน็ ปราชญ์
เชยี่ วชาญภ าษาบ าลี ค ำก ราบทูลข องส มเดจ็ โตวา่ “ ดจุ ราชร ถอันว ิจติ ร”น ้ี
ตรงกับพทุ ธภาษิตบทหน่งึ ว า่
“ส ทู ง้ั ห ลายจ งม าด โู ลกน ้ี อ นั ต ระการต าด จุ ราชรถอนั ว จิ ติ รท พ่ี วก
คนโงห่ ลงต ดิ อยู่ แตผ่ รู้ หู้ าตดิ ข อ้ งอ ยไู่ ม”่
๑๘๒ 182
๙ ๕
ตเี หล็กรอ้ นๆ
ค รง้ั ห นง่ึ ม เี พอื่ นผ ปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมข องข า้ พเจา้ ไดฝ้ ากเรยี นถ ามห ลวงปู่
วา่ “ ในย คุ ป จั จบุ นั ผ คู้ นก ำลงั ม คี วามท กุ ขก์ นั ม ากมายน อกจากก ารป ฏบิ ตั ิ
ธรรมแ ลว้ ค วรทำอย่างไรอีกครบั ”
ขา้ พเจา้ ได้กราบเรยี นถามห ลวงปู่ ซ งึ่ ทา่ นเมตตาตอบว ่า
“คำถามม นั ม คี ำต อบอ ยใู่ นต วั แ ลว้ น อกจากก ารป ฏบิ ตั ธิ รรมแ ลว้
ไมม่ อี ยา่ งอน่ื เพราะก ารป ฏบิ ตั ธิ รรมค อื ป ฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งทส่ี ำคญั อ ยา่ ง
แรกค อื ต อ้ งท ำความเหน็ เราใหถ้ กู เสยี ก อ่ นว า่ ทว่ี า่ ป ฏบิ ตั ธิ รรมน น้ั ป ฏบิ ตั ิ
อะไรแ ละปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร”
หลวงปทู่ า่ นไดข้ ยายความโดยแ ยกแยะไวเ้ ปน็ ส องน ยั ค อื โลกยี ธรรม
และโลกตุ รธ รรม
โลกียธ รรมคือให้ป ฏิบัตหิ นา้ ท่ขี องเราใหพ้ รอ้ มสมบูรณ์ไม่ว่าจ ะ
เปน็ ห นา้ ทตี่ อ่ พ ่อแ ม่ค รบู าอ าจารย์ห ัวหนา้ ล ูกนอ้ งเพ่อื นๆแ ละหนา้ ท่ี
ต่อตวั เอง
โลกตุ รธ รรมก ใ็ ชท้ กุ ขจ์ ากส ภาพท เี่ ปน็ อ ยนู่ แี้ หละเปน็ เครอ่ื งก ำหนด
รู้ สำหรับผู้มีปัญญาแล้ว ยิ่งเห็นทุกข์มากเท่าใด ก็ย่ิงอยากท่ีจะพ้นทุกข์
183 ๑๘๓
มากเทา่ น้ันโดยอ าศยั ห นทางม รรคทพี่ ระพทุ ธเจ้าสอนเป็นแ นวทางเดิน
เมื่อได้ฟังคำตอบของหลวงปู่ ทำให้ข้าพเจ้าระลึกถึงประวัติของ
สมเดจ็ โตว ดั ระฆงั ฯ อกี ค ร้งั ...
โดยปกติในหลวงรัชกาลที่ ๔ มักนิมนต์สมเด็จโตเข้ามาเทศน์ใน
วังเสมอว ันหนึ่งทที่ ่านน มิ นตส์ มเดจ็ โตมาเทศน์พ อดวี นั น น้ั ท า่ นม กี ิจธ รุ ะ
ที่จะต้องไปทำต่อ เม่ือสมเด็จโตมาเทศน์ ท่านทราบดีว่าในหลวงมีเรื่อง
ร้อนพระทัยอยู่จะรีบไป ท่านก็เทศน์ให้ในหลวงฟังอยู่เสียนานกว่าจะจบ
ลงได้
คร้ังต่อมา ในหลวงนิมนต์สมเด็จโตเข้ามาเทศน์ในวังอีก วันน้ัน
ทา่ นว า่ งจ ากก จิ ธ รุ ะก ารงานด แี ลว้ ต งั้ ใจจ ะฟ งั เทศนส์ มเดจ็ เตม็ ท ี่ ส มเดจ็ โต
แทนท่ีจะเทศน์อะไรใหใ้นหลวงฟ งั วันนนั้ ท่านกลับไม่แสดงธ รรมและไม่
เทศนเ์ ลยเพยี งแตข่ น้ึ ต น้ วา่ “ธรรมใดๆม หาบพติ รกท็ รงท ราบด อี ยแู่ ลว้
เอวงั กม็ ดี ว้ ยประการฉะน”้ี
เรือ่ งน้สี อนให้รวู้ า่ จ ะต เี หล็กใหต้ ีต อนรอ้ นๆในว นั แรกในหลวงท รง
มีเร่ืองกังวลพระทัยจิตใจไม่ปกติ สมเด็จโตท่านจึงต้องเทศน์นานหน่อย
แต่วันต่อมาท่านสบายพระทัย จิตใจเป็นปกติดี ก็ไม่มีเหตุอันใดที่ต้อง
เทศน์สอนอ กี ฉ ันใดการพิจารณาท กุ ขใ์ ห้เขา้ ใจทกุ ข์ใหผ้ า่ นท กุ ขใ์ ห้ได้ก็
ต้องพิจารณาในยามท่ีเผชิญทุกข์มากๆ ยามที่ปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าเช่น
ปัจจบุ ันน ี้ ฉ นั น ัน้
๑๘๔ 184 ๙ ๖
ค รูพกั ล ักจ ำ
คณุ ธ รรมท โ่ี ดดเดน่ ข องห ลวงปดู่ อู่ กี ป ระการห นงึ่ ท ข่ี า้ พเจา้ ย งั จ ดจำ
ได้ดี คือหลวงปู่รู้จักเอาเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ท่ีดูเหมือนไม่สลักสำคัญ
อะไรม าจ ดุ ป ระกายค วามค ดิ แ กศ่ ษิ ย์ ดว้ ยว ธิ คี ดิ แ ละก ศุ โลบายอ นั แ ยบคาย
จนท ำใหเ้ หตกุ ารณเ์ ลก็ ๆ น อ้ ยๆ ก ลบั เปน็ เรอ่ื งราวท มี่ คี า่ ก ลายเปน็ บ ทเรยี น
อนั ทรงค ุณคา่ สำหรับศ ษิ ยใ์ นเวลาต่อม าอ ยา่ งเชน่ เรื่องหนึ่งในส ่ี หลวงปู่
ไดเ้คยปรารภธรรมก บั ข า้ พเจ้าว า่
“ ข้านั่งดูดยา มองดูซองยาแล้วตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เรานี่
ปฏบิ ตั ไิ ดห้ นึง่ ในส ี่ของศ าสนาหรือยงั ถ ้าซ องยาน แี้ บง่ เป็นส ่สี ่วนเราน ่ี
ยงั ไมไ่ ดห้ นงึ่ ในส ่ี ม นั จ วนเจยี นจ ะไดแ้ ลว้ ก ค็ ลายเหมอื นก บั เราม ดั เชอื ก
จนเกอื บจะแนน่ ได้ทแ่ี ลว้ เราป ล่อย ม ันก ็คลายอ อก เรานย่ี งั ไมเ่ชื่อจ รงิ
ถ้าเชื่อจ รงิ น ่ีมนั ตอ้ งได้หน่ึงในส ่ีแลว้ ”
ตอ่ มาภ ายหลังทา่ นไดข้ ยายค วามใหข้ า้ พเจ้าฟังว่า
“ท ว่ี า่ ห นงึ่ ในส นี่ น้ั อ ปุ มาด งั่ ก ารป ฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื ใหบ้ รรลมุ รรคผล
ในพุทธศ าสนาท่านแบ่งไวเ้ ปน็ ข้นั โสดาบ นั ส กิทาคามีอ นาคาม ี และ
อรห ตั ต ผ ลอ ยา่ งน อ้ ยเราเกดิ ม าในช าตนิ ไี้ ดพ้ บพระพ ทุ ธศ าสนาเปรยี บ
185 ๑๘๕
เหมอื นไดพ้ บส มบตั ลิ ำ้ คา่ ห ากไมป่ ฏบิ ตั เิ อาใหไ้ ดอ้ ยา่ งน อ้ ยหน งึ่ ในส ่ี ให้
ถงึ ความเป็นพ ระโสดาบนั ป ิดประตอู บายภ มู ิให้ได้ก ็เทา่ กบั ว า่ เราเป็น
ผปู้ ระมาทอ ยมู่ าก”
ย่งิ ข้าพเจา้ ได้ศ กึ ษาได้เรยี นร้กู ับหลวงปู่ ข้าพเจ้าก็ย ง่ิ บ ังเกดิ ความ
อศั จรรยข์ น้ึ ในจ ติ ใจท า่ นส อนใหเ้ ราไดห้ ลกั แ ละว ธิ คี ดิ ด ว้ ยโยนโิ สม นสกิ าร
ทำใหเ้ ราไดเ้ กดิ ศ รทั ธาแ ละก อ่ ใหเ้ กดิ “ ป ญั ญา” อ นั เปน็ ย อดป รารถนาข อง
ทกุ ค นท ำใหเ้ กดิ ค วามเขา้ ใจแ จม่ ช ดั ในเรอื่ งต วั ต นข องเราแ ละท กุ ช วี ติ ท อี่ ยู่
รอบขา้ ง
หลวงปทู่ า่ นเคยเล่าให้ขา้ พเจ้าฟังว ่า
“คนสมัยก่อนท่ีเขาปฏิบัติกันได้ดี ต้องรู้จักลักสังเกตจดจำสิ่งท่ี
ดีงามข องผอู้ ื่นม าปฏิบัติตาม เพื่อให้เกดิ ให้มีทตี่ ัวเรา เหมอื นท ่ขี ้าส อน
พวกแ กน ่ี ไมใ่ ชส่ ำนกั ป ฏบิ ตั ิไมใ่ ชส่ ำนกั ว ดั ส ะแกถ า้ เปน็ ส ำนกั ก ต็ อ้ งต งั้
แบบใหม่
ที่ขา้ ส อนนไ่ี ม่ใชแ่ บบใหม่แตเ่ ปน็ แ บบของพระพุทธเจ้าขา้ ก ็ลกั
สอนแอบส อนอยนู่ ี่ ใครเชื่อจริงเอาจ รงิ ก็ไดไ้ปชว่ ยๆ กนั ...ช ่วยเหลือ
พระศาสนา”
๑๘๖ 186 ๙ ๗
เห็นแ ลว้ ไม่หัน
ครงั้ แ รกท ด่ี ฉิ ันถ กู เพอื่ นช วนไปว ดั ต า่ งจ งั หวดั แ หง่ ห นง่ึ ด ว้ ยค วามร ู้
เทา่ ไมถ่ งึ ก ารณ์ เริม่ จากด ฉิ ันไดถ้ ามเพอ่ื นว า่ “ วนั เสาร์น้ีว่างไหม”เพ่ือน
ผู้น ้นั ตอบวา่ “ ไม่ว า่ ง”
“ไปไหน”ด ฉิ ันซ ักด ว้ ยความส งสยั
“ไปอ ยธุ ยา”เพ่อื นตอบ
“ไปด้วยคนซิ อยุธยาน่าสนใจดีออก” ดิฉันตอบรับอย่างกระตือ-
รือร้นด้วยความอ ยากเทยี่ ว
“ ไปวดั น ะ” เพอ่ื นยำ้
“วดั อ ะไร”
“วดั ส ะแก”
“ ไปท ำไมวัดส ะแก” ดิฉันส งสัยเพราะไม่เคยได้ยนิ ช ือ่ วัดมาก ่อน
“ไปก ราบห ลวงป่ดู ”ู่
“ไปก ไ็ ป” ด ฉิ นั ต อบต กลงด ว้ ยค วามท อี่ ยากอ อกไปไหนส กั แ หง่ น อก
กรงุ เทพฯ
วนั แรกท ่ไี ปถ งึ วดั สะแกสงั เกตจากภายนอกเป็นว ัดธรรมดาเกา่ ๆ
ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ เม่ือเดินขึ้นกุฏิ ได้พบและกราบหลวงปู่ ท่านกำลัง
187 ๑๘๗
สบู บหุ ร่ีดิฉันน ึกในใจว ่า“ พระส ูบบ หุ รี่ไมเ่ หน็ ช อบเลย”ตอนนั้นใกล้เพล
แลว้ ป ระกอบกบั เปน็ ว นั ท ำงานป กติ จ งึ ม คี นไมม่ ากน กั ด ฉิ นั ไดท้ านอ าหาร
กลางว นั แ บบบ ฟุ เฟต่ ค์ รง้ั แ รกค อื น งั่ ท านอ าหารท หี่ ลวงปฉู่ นั เสรจ็ แ ลว้ โดย
น่ังรวมกันหลายๆ ค นกับพน้ื ไม้กระดานบ รเิ วณหน้ากฏุ ทิ ่าน
ภายห ลงั อ าหารม อื้ น นั้ ด ฉิ นั ห มายม น่ั ป น้ั ม อื เตรยี มค ำถามท อี่ า่ นม า
จากหนังสือแล้วเกิดความสงสัยหาคำตอบไม่ได้ จึงขอนำมาถามหลวงปู่
หลวงปู่ทา่ นอ ยใู่ นอิริยาบถพ ักผ อ่ นแบบส บายๆข องท่าน
“ ห ลวงปเู่ จา้ ค ะก ศุ ลก รรมช กั นำก ศุ ลก รรมอ กศุ ลก รรมช กั นำอกศุ ล-
กรรมนีห่ มายความวา่ อย่างไรเจา้ คะ”
หลวงปู่ทา่ นมองห นา้ ดฉิ นั อ ยู่ครู่หนง่ึ แ ลว้ ย ้ิมอ ยา่ งอารมณ์ดี
“ข ้าไมต่ อบเอง็ ล ่ะเอ็งม องด ูทีก่ ระดานเอาเองก ็แลว้ กัน”
ด ิฉนั ม องห าก ระดานอย่างงงๆ
“คนห นั ไม่เห็นคนเหน็ แลว้ ไม่ห นั ” ดิฉนั อ ่านตามเบาๆในใจ
“หมายความว า่ อ ย่างไรเจ้าค ะ” ด ิฉันถ ามท ่านด้วยความโงซ่ อ่ื
“เอ็งว ่าอ ย่างไรล ่ะ” ห ลวงปูถ่ าม
ด ิฉนั เงยี บจนเพอื่ นต อ้ งส ะกดิ
“ไมท่ ราบเจ้าคะ่ ”
หลวงปูจ่ ึงไดอ้ ธบิ ายให้ฟังว า่
“ถา้ เอง็ ห นั ไปเอ็งกไ็ มเ่ห็นอ ะไร
แตถ่ า้ เอง็ เห็นแลว้ เอ็งก ็ไมต่ อ้ งห ันไปหาอะไร”
๑๘๘ 188
ต้ังแต่วันน้ันเป็นต้นมา ดิฉันได้มาที่วัดสะแกอีกหลายครั้ง เพ่ือที่
จะร้วู า่ ท่ี“เหน็ ”นะ่ เขา“ เห็น” อะไรก นั บ่อยคร้ังในชว่ งเวลาหลายป ีน ั้น
ดฉิ นั มีเร่อื งไม่สบายใจมปี ญั หามากมายจึงเตรียมต วั เตรยี มค ำถามท ่เี ปน็
ปัญหาไปถามหลวงปู่ แต่เป็นที่น่าแปลกว่าเมื่อได้มาพบกับหลวงปู่แล้ว
คำถามต า่ งๆท ลี่ ว้ นเปน็ ป ญั หาห นกั อกท างโลกท เี่ ตรยี มม าถ ามน นั้ ไดม้ อี นั
อนั ตรธานห ายไปห มดน กึ เทา่ ไรก น็ กึ ไมอ่ อกเปน็ เชน่ น อี้ ยบู่ อ่ ยค รง้ั จ นด ฉิ นั
สังเกตได้
มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีปัญหาหนักอกต้ังใจจะไปถามหลวงปู่อีก ตั้งใจไว้
อย่างดีว่าต้องไม่ลืม ต้องถามท่านให้ได้ วันน้ันได้ไปกราบหลวงปู่ โดยมี
เพ่ือนร่วมเดินทางคนเดิม เช่นเคยหลวงปู่นั่งพักผ่อนอิริยาบถภายหลัง
อาหารเพล
เพอ่ื นดิฉันสะกดิ แ ลว้ ว่า
“อ รพนิ ท ์ ม ีอะไรจ ะม าถามหลวงปไู่มใ่ ชห่ รือ?”
ดิฉันนึกถึงคำถามที่เตรียมมาถาม ในใจรู้สึกว่าผ่อนคลายแล้ว
ปญั หาน้ันไม่เหน็ สำคญั ตรงไหนเลย
“ไม่มีแ ลว้ ละ่ ” ดฉิ ันย้ิมและตอบเพอ่ื นไป
เชน่ เดิม เบื้องหนา้ ด ิฉันเปน็ ภาพห ลวงปดู่ ู่น่งั ย้ิมอ ยา่ งมเี มตตาเป็น
ทส่ี ดุ
อรพินท ์