คมู่ อื รายวชิ าพน้ื ฐาน
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
เลม่ ๑
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี
ตามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชว้ี ดั
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
คู่มือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยี
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๓ เล่ม ๑
ตามมาตรฐานการเรยี นร้แู ละตวั ชี้วดั กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี
(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
จัดทาโดย
สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธกิ าร
คาชีแ้ จง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้จัดทาตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้
แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเน้นเพ่ือต้องการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้
ความสามารถท่ีทัดเทียมกับนานาชาติ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีเช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการในการ
สืบเสาะหาความรู้และการแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย มีการทากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ซ่ึงในปีการศึกษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไปนี้
โรงเรียนจะต้องใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
สสวท. จึงได้จัดทาหนังสือเรียนท่ีเป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชวี้ ดั ของหลักสูตรเพ่ือให้โรงเรียนไดใ้ ช้
สาหรับจดั การเรยี นการสอนในชนั้ เรยี น
คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๓ เล่ม ๑ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเล่มน้ี สสวท. ได้พัฒนาข้ึน เพื่อนาไปใช้ประกอบหนังสือเรียนรายวิชา
พน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๓ เลม่ ๑ โดยภายในคู่มอื ครปู ระกอบดว้ ยผงั มโนทัศน์
ตัวชี้วัด ข้อแนะนาการใช้คู่มือครู ตารางแสดงความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาและกิจกรรมในหนังสือเรียนกับ
ม า ต ร ฐ า น ก า ร เ รี ย น รู้ แ ล ะ ตั ว ช้ี วั ด ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รี ย น รู้ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ตลอดจนแนว
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะรอบด้าน ทั้งการอ่าน การสารวจตรวจสอบ การฝึกปฏิบตั ิ
การปฏิบัติการทดลอง การสืบค้นข้อมูล และการอภิปราย โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนพัฒนาทั้งด้านความรู้
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ จิตวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
ทักษะการคิด การอ่าน การส่ือสาร การแก้ปัญหา ตลอดจนการนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวันอย่างมี
คุณธรรมและค่านิยมที่เหมาะสม สามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษท่ี ๒๑ อย่างมี
ความสุข ในการจัดทาคู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๓ เล่ม ๑
กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเล่มนี้ ได้รบั ความร่วมมืออยา่ งดยี ิง่ จากคณาจารย์ ผูท้ รงคุณวุฒิ
นักวิชาการ และครูผสู้ อน จากสถาบันการศึกษาตา่ ง ๆ จงึ ขอขอบคุณไว้ ณ ท่นี ี้
สสวท. หวังเป็นอย่างย่ิงว่าคู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๓
เล่ม ๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเล่มน้ี จะเป็นประโยชน์แก่ครูและผู้เก่ียวข้องทุกฝ่าย
ท่ีจะช่วยให้การจัดการศึกษาด้านวทิ ยาศาสตร์มีประสิทธิภาพและประสิทธผิ ล หากมีข้อเสนอแนะใดที่จะทาให้
ค่มู อื ครเู ลม่ นี้สมบูรณย์ ิ่งข้นึ โปรดแจง้ สสวท. ทราบด้วย จักขอบคุณยง่ิ
(ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปจิ านงค)์
ผู้อานวยการสถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สารบัญกระทรวงศึกษาธิการ
คาชี้แจง หน้า
เป้าหมายของการจัดการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์
คณุ ภาพของผเู้ รียนวิทยาศาสตร์ เม่อื จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก
ทักษะทส่ี าคัญในการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ข
ผังมโนทัศน์ (concept map) รายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 เล่ม 1 ค
ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ช
ข้อแนะนาการใช้คู่มือครู ซ
การจดั การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ในระดับประถมศึกษา ญ
การจัดการเรยี นการสอนที่เน้นการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ น
การจัดการเรียนการสอนท่ีสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ น
และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ป
การวดั ผลและประเมินผลการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
ตารางแสดงความสอดคล้องระหว่างเนอ้ื หาและกจิ กรรม ระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่ม 1 ฝ
กับตวั ชว้ี ัดกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ตาม ภ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
รายการวัสดอุ ุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ป.3 เล่ม 1 ร
1
หน่วยท่ี 1 การเรียนรสู้ ิ่งต่าง ๆ รอบตัว 1
3
ภาพรวมการจดั การเรียนร้ปู ระจาหน่วยที่ 1 การเรยี นรู้สง่ิ ต่าง ๆ รอบตัว 6
บทที่ 1 เรียนรู้แบบนกั วทิ ยาศาสตร์ 15
บทนีเ้ รม่ิ ต้นอย่างไร 20
เรื่องที่ 1 ทกั ษะการจัดกระทาและสือ่ ความหมายข้อมลู
37
กิจกรรมที่ 1 จดั กระทาและสอ่ื ความหมายข้อมูลได้อย่างไร 43
เรื่องที่ 2 ทักษะการหาความสัมพันธร์ ะหวา่ งสเปซกบั สเปซและสเปซกับเวลา และทกั ษะ 56
การสรา้ งแบบจาลอง 67
81
กจิ กรรมที่ 2.1 ความสัมพันธ์ระหวา่ งสเปซกบั สเปซเป็นอย่างไร 86
กิจกรรมท่ี 2.2 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสเปซกับเวลาเป็นอยา่ งไร
กิจกรรมที่ 2.3 สร้างแบบจาลองอธบิ ายกระบอกปริศนาได้อย่างไร
เร่อื งท่ี 3 หลักฐานกบั การสื่อสารทางวทิ ยาศาสตร์
กิจกรรมท่ี 3 คาตอบที่น่าเชื่อถือเปน็ อยา่ งไร
สารบัญ
กิจกรรมท้ายบทท่ี 1 เรยี นรแู้ บบนักวิทยาศาสตร์ หนา้
แนวคาตอบในแบบฝึกหัดทา้ ยบท 100
103
หนว่ ยที่ 2 อากาศและชีวติ ของสตั ว์ 110
110
ภาพรวมการจดั การเรยี นรปู้ ระจาหน่วยที่ 2 อากาศและชีวิตของสัตว์ 112
บทท่ี 1 อากาศและความสาคัญต่อสิ่งมีชีวติ 115
บทนเี้ รมิ่ ตน้ อย่างไร 120
เรื่องที่ 1 อากาศ 124
139
กจิ กรรมท่ี 1.1 อากาศมีสว่ นประกอบอะไรบ้าง 159
กจิ กรรมท่ี 1.2 ลดมลพิษทางอากาศได้อยา่ งไร 182
กจิ กรรมท่ี 1.3 ลมเกิดขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร 184
กิจกรรมทา้ ยบทที่ 1 อากาศและความสาคญั ต่อส่งิ มีชีวิต 187
แนวคาตอบในแบบฝกึ หัดท้ายบท 190
บทท่ี 2 การดารงชีวิตของสัตว์ 198
บทน้เี รม่ิ ตน้ อย่างไร 203
เร่ืองท่ี 1 ส่งิ ท่ีจาเปน็ ตอ่ การเจริญเติบโตและการดารงชวี ิตของสัตว์และมนุษย์ 217
กิจกรรมท่ี 1.1 สัตวต์ ้องการสิ่งใดในการเจริญเตบิ โตและการดารงชีวติ 230
กจิ กรรมที่ 1.2 มนุษย์ตอ้ งการส่งิ ใดในการเจริญเติบโตและการดารงชวี ติ 235
เรื่องที่ 2 วัฏจกั รชีวิตของสตั ว์ 260
กิจกรรมที่ 2 วฏั จกั รชีวิตของสตั ว์เป็นอย่างไร 263
กจิ กรรมทา้ ยบทที่ 2 การดารงชีวติ ของสัตว์ 266
แนวคาตอบในแบบฝกึ หัดทา้ ยบท 284
แนวคาตอบในแบบทดสอบทา้ ยเล่ม 286
บรรณานกุ รม
คณะทางาน
ก คู่มือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1
เปา้ หมายของการจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เก่ียวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สารวจ
ตรวจสอบ และการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแล้วนาผลท่ีได้มาจัดระบบหลักการ แนวคิด
และทฤษฎี ดังนั้นการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากท่ีสดุ
นั่นคอื ใหเ้ กดิ การเรียนรู้ทั้งกระบวนการและองคค์ วามรู้
การจดั การเรียนร้วู ทิ ยาศาสตรใ์ นสถานศึกษามีเป้าหมายสาคัญ ดงั นี้
1. เพื่อให้เขา้ ใจแนวคดิ หลกั การ ทฤษฎี กฎและความรู้พน้ื ฐานของวิทยาศาสตร์
2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขตธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ และข้อจากดั ของวทิ ยาศาสตร์
3. เพื่อให้มที ักษะที่สาคญั ในการสืบเสาะหาความรู้และพฒั นาเทคโนโลยี
4. เพ่ือให้ตระหนักถึงการมีผลกระทบซึ่งกันและกันระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ
ส่งิ แวดล้อม
5. เพ่ือนาความรู้ แนวคิดและทักษะต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ
สังคมและการดารงชวี ิต
6. เพ่ือพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการ ทักษะ
ในการส่อื สาร และความสามารถในการประเมนิ และตดั สนิ ใจ
7. เพอ่ื ใหเ้ ป็นผู้ท่ีมีจติ วิทยาศาสตร์ มีคณุ ธรรม จริยธรรม และคา่ นิยมในการใชว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อย่างสรา้ งสรรค์
สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ค่มู ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ข
คุณภาพของผเู้ รียนวทิ ยาศาสตร์ เมอื่ จบช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 3
นักเรียนที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ควรมีความรู้ ความคิด ทักษะกระบวนการ และจิตวิทยาศาสตร์
ดงั นี้
1. เข้าใจลักษณะทวั่ ไปของสงิ่ มชี วี ติ และการดารงชวี ติ ของส่งิ มชี ีวติ รอบตวั
2. เข้าใจลักษณะท่ีปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทาวัตถแุ ละการเปลีย่ นแปลงของวัสดุ
รอบตวั
3. เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงที่มีต่อการเปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีของวัตถุ
พลังงานไฟฟ้า และการผลติ ไฟฟ้า การเกิดเสียง แสงและการมองเห็น
4. เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์ข้ึนและตกของดวงอาทิตย์
การเกิดกลางวันกลางคืน การกาหนดทิศ ลักษณะของหิน การจาแนกชนิดดิน และการใช้ประโยชน์
ลักษณะและความสาคญั ของอากาศ การเกดิ ลม ประโยชนแ์ ละโทษของลม
5. ต้งั คาถามหรอื กาหนดปัญหาเก่ยี วกับสิ่งทีจ่ ะเรยี นรู้ตามที่กาหนดใหห้ รือตามความสนใจ สงั เกต สารวจ
ตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสารวจตรวจสอบด้วย
การเขียนหรือวาดภาพ และส่ือสารสิ่งท่ีเรียนรู้ด้วยการเล่าเรื่อง หรือด้วยการแสดงท่าทางเพื่อให้ผู้อ่ืน
เขา้ ใจ
6. แก้ปญั หาอยา่ งงา่ ยโดยใชข้ ้ันตอนการแกป้ ัญหา มีทักษะในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร
เบ้อื งตน้ รักษาข้อมูลส่วนตัว
7. แสดงความกระตือรือร้น สนใจท่ีจะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามที่
กาหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็ และยอมรับฟงั ความคดิ เหน็ ผู้อนื่
8. แสดงความรับผิดชอบด้วยการทางานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด ซ่ือสัตย์
จนงานลุล่วงเปน็ ผลสาเรจ็ และทางานรว่ มกบั ผู้อ่ืนอย่างมีความสขุ
9. ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดารงชีวิต ศึกษา
หาความรู้เพมิ่ เติม ทาโครงงานหรอื สร้างชน้ิ งานตามท่กี าหนดให้หรือตามความสนใจ
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ค คมู่ อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1
ทกั ษะทสี่ าคญั ในการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
ทักษะสาคัญที่ครูผู้สอนจาเป็นต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนเมื่อมีการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เชน่ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Science Process Skills)
การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์จาเป็นต้องใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อนาไปสู่
การสืบเสาะค้นหาผ่านการสังเกต ทดลอง สร้างแบบจาลอง และวิธีการอื่น ๆ เพื่อนาข้อมูล สารสนเทศและ
หลักฐานเชิงประจักษ์มาสร้างคาอธิบายเก่ียวกับแนวคิดหรือองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย
ทักษะการสังเกต (Observing) เป็นความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหน่ึงหรอื
หลายอย่างสารวจวัตถุหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติหรือจากการทดลอง โดยไม่ลงความคิดเห็นของ
ผู้สงั เกต ประสาทสมั ผัสทงั้ 5 ไดแ้ ก่ การดู การฟังเสียง การดมกล่นิ การชิมรส และการสัมผัส
ทักษะการวัด (Measuring) เป็นความสามารถในการเลือกใช้เคร่ืองมือในการวัดปริมาณต่าง ๆ
ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงความสามารถในการหาปริมาณของสิ่งต่าง ๆ จากเครื่องมือที่เลือกใช้ออกมาเป็น
ตวั เลขได้ถกู ต้องและรวดเร็ว พร้อมระบหุ นว่ ยของการวดั ไดอ้ ย่างถูกต้อง
ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) เป็นความสามารถในการคาดการณ์อย่างมี
หลักการเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ โดยใช้ข้อมูล (Data) หรือสารสนเทศ (Information) ท่ีเคย
เก็บรวบรวมไวใ้ นอดีต
ทกั ษะการจาแนกประเภท (Classifying) เป็นความสามารถในการแยกแยะ จดั พวกหรือจัดกลุ่ม
ส่ิงต่าง ๆ ที่สนใจ เช่น วัตถุ สิ่งมีชีวิต ดาว และเทหวัตถุต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ท่ีต้องการศึกษาออกเป็น
หมวดหมู่ นอกจากน้ียังหมายถึงความสามารถในการเลือกและระบุเกณฑ์หรือลักษณะร่วมลักษณะใด
ลักษณะหนงึ่ ของสง่ิ ต่าง ๆ ท่ีตอ้ งการจาแนก
ทักษะการหาความสัมพันธ์ของสเปซกับเวลา (Relationship of Space and Time) สเปซ
คือ พื้นท่ีท่ีวัตถุครอบครอง ในท่ีนี้อาจเป็นตาแหน่ง รูปร่าง รูปทรงของวัตถุ สิ่งเหล่านี้อาจมีความสัมพันธ์กัน
ดังน้ี
การหาความสมั พันธร์ ะหวา่ งสเปซกบั สเปซ เป็นความสามารถในการหาความเกี่ยวข้อง
สัมพันธ์กันระหว่างพื้นที่ท่ีวัตถุต่าง ๆ
(Relationship between Space and Space) ครอบครอง
การหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างสเปซกบั เวลา เป็นความสามารถในการหาความเก่ียวข้อง
สัมพันธ์กันระหว่างพ้ืนท่ีท่ีวัตถุครอบครอง
(Relationship between Space and Time) เมือ่ เวลาผา่ นไป
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ค่มู ือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1 ง
ทักษะการใชจ้ านวน (Using Number) เปน็ ความสามารถในการใช้ความร้สู กึ เชิงจานวนและการ
คานวณเพอ่ื บรรยายหรอื ระบรุ ายละเอยี ดเชิงปริมาณของสิ่งทสี่ ังเกตหรือทดลอง
ทักษะการจัดกระทาและสื่อความหมายข้อมูล (Organizing and Communicating Data)
เป็นความสามารถในการนาผลการสงั เกต การวดั การทดลอง จากแหล่งต่าง ๆ มาจัดกระทาให้อยู่ในรูปแบบท่ี
มีความหมายหรือมคี วามสมั พนั ธ์กันมากขน้ึ จนงา่ ยต่อการทาความเขา้ ใจหรอื เหน็ แบบรูปของข้อมลู นอกจากนี้
ยังรวมถึงความสามารถในการนาข้อมูลมาจัดทาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ
สมการ การเขียนบรรยาย เพ่อื ส่อื สารให้ผ้อู น่ื เขา้ ใจความหมายของข้อมูลมากขนึ้
ทักษะการพยากรณ์ (Predicting) เป็นความสามารถในบอกผลลัพธ์ของปรากฏการณ์ สถานการณ์
การสังเกต การทดลองที่ได้จากการสังเกตแบบรูปของหลักฐาน (Pattern of Evidence) การพยากรณ์ที่
แม่นยาจึงเป็นผลมาจากการสังเกตที่รอบคอบ การวัดท่ีถูกต้อง การบันทึก และการจัดกระทากับข้อมูลอย่าง
เหมาะสม
ทักษะการต้ังสมมติฐาน (Formulating Hypotheses) เป็นความสามารถในการคิดหาคาตอบ
ล่วงหน้าก่อนดาเนินการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐานคาตอบที่คิด
ล่วงหน้าท่ียังไม่รู้มาก่อน หรือยังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือ ทฤษฎีมาก่อน การตั้งสมมติฐานหรือคาตอบท่ีคิดไว้
ล่วงหน้ามักกล่าวไว้เป็นข้อความที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม ซึ่งอาจเป็นไปตามท่ี
คาดการณ์ไวห้ รอื ไมก่ ไ็ ด้
ทักษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally) เป็นความสามารถในการ
กาหนดความหมายและขอบเขตของสิ่งต่าง ๆ ที่อยใู่ นสมมติฐานของการทดลอง หรอื ที่เก่ยี วข้องกับการทดลอง
ใหเ้ ขา้ ใจตรงกัน และสามารถสังเกตหรอื วัดได้
ทักษะการกาหนดและควบคุมตัวแปร (Controlling Variables) เป็นความสามารถในการ
กาหนดตัวแปรต่าง ๆ ทั้งตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรท่ีต้องควบคุมให้คงที่ ให้สอดคล้องกับสมมติฐาน
ของการทดลอง รวมถึงความสามารถในการระบุและควบคุมตัวแปรอ่ืน ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้น ซ่ึงอาจ
ส่งผลต่อผลการทดลอง หากไม่ควบคุมให้เหมือนกันหรือเท่ากัน ตัวแปรที่เก่ียวข้องกับการทดลอง ได้แก่
ตวั แปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรทตี่ อ้ งควบคมุ ให้คงท่ี ซงึ่ ล้วนเปน็ ปัจจัยที่เกีย่ วขอ้ งกับการทดลอง ดงั น้ี
ตวั แปรต้น (Independent Variable) หมายถึง สงิ่ ท่เี ป็นต้นเหตทุ าใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลง จงึ ต้อง
จดั สถานการณ์ให้มสี ง่ิ นี้แตกต่างกัน
ตัวแปรตาม (Dependent Variable) หมายถึง สิ่งที่เป็นผลจากการจัดสถานการณ์บางอย่างให้
แตกต่างกนั และเราตอ้ งสงั เกต วดั หรอื ติดตามดู
ตัวแปรท่ีต้องควบคุมให้คงที่ (Controlled Variable) หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อการจัด
สถานการณ์ จึงต้องจัดส่ิงเหล่าน้ีให้เหมือนกันหรือเท่ากัน เพื่อให้มั่นใจว่าผลจากการจัดสถานการณ์เกิดจาก
ตวั แปรตน้ เทา่ นน้ั
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
จ คู่มอื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1
ทกั ษะการทดลอง (Experimenting) การทดลองประกอบดว้ ย 3 ข้ันตอน คอื การออกแบบ การ
ทดลอง การปฏิบัติการทดลอง และการบันทึกผลการทดลอง ทักษะการทดลองจึงเป็นความสามารถในการ
ออกแบบและวางแผนการทดลองได้อย่างรอบคอบ และสอดคล้องกับคาถามการทดลองและสมมติฐาน
รวมถึงความสามารถในการดาเนินการทดลองได้ตามแผน และความสามารถในการบันทึกผลการทดลองได้
ละเอยี ด ครบถ้วน และเทย่ี งตรง
ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (Interpreting and Making Conclusion) เป็น
ความสามารถในการแปลความหมาย หรือการบรรยาย ลักษณะและสมบัติของข้อมูลท่ีมีอยู่ ตลอดจน
ความสามารถในการสรปุ ความสัมพนั ธ์ของขอ้ มูลทั้งหมด
ทักษะการสรา้ งแบบจาลอง (Formulating Models) เป็นความสามารถในการสร้างและใช้สิ่งที่
ทาข้ึนมาเพื่อเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณ์ท่ีศึกษาหรือสนใจ เช่น กราฟ สมการ แผนภูมิ รูปภาพ
ภาพเคลื่อนไหว สามารถประเมินแบบจาลอง และปรับปรุงแบบจาลองท่ีสร้างขึ้น รวมถึงความสามารถในการ
นาเสนอขอ้ มูล แนวคดิ ความคดิ รวบยอดเพ่อื ให้ผอู้ ื่นเขา้ ใจในรปู ของแบบจาลองแบบตา่ ง ๆ
ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills)
ราชบัณฑิตยสถานได้ระบุทักษะที่จาเป็นแห่งศตวรรษท่ี 21 ซึ่งสอดคล้องกับสมรรถนะที่ควรมีในพลเมือง
ยุคใหม่รวม 7 ด้าน (สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2558; ราชบัณฑิตยสถาน, 2557)
ในระดับประถมศกึ ษาจะเนน้ ใหค้ รูผ้สู อนสง่ เสริมให้นักเรียนมที ักษะ ดังต่อไปนี้
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) หมายถึง การคิดโดยใช้เหตุผลท่ีหลากหลาย
เหมาะสมกับสถานการณ์ มีการคิดอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ ประเมินหลักฐานและข้อคิดเห็นด้วยมุมมอง
ท่ีหลากหลาย สังเคราะห์ แปลความหมาย และจัดทาข้อสรุป สะท้อนความคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้
ประสบการณ์และกระบวนการเรยี นรู้
การแก้ปัญหา (Problem Solving) หมายถึง ความสามารถในการแก้ปัญหาท่ีไม่คุ้นเคย หรือ
ปัญหาใหม่ โดยอาจใช้ความรู้ ทักษะ วิธีการ และประสบการณ์ท่ีเคยรู้มาแล้ว หรือการสืบเสาะหาความรู้
วิธีการใหม่มาใช้แก้ปัญหา นอกจากน้ียังรวมถึงการซักถามเพื่อทาความเข้าใจมุมมองที่แตกต่าง หลากหลาย
เพื่อใหไ้ ดว้ ธิ แี ก้ปัญหาทดี่ ีย่ิงขึน้
การสื่อสาร (Communication) หมายถึง ความสามารถในการส่ือสารได้อย่างชัดเจน เช่ือมโยง
เรียบเรียงความคิดและมุมมองต่าง ๆ แล้วส่ือสารโดยการใช้คาพูด หรือการเขียน เพ่ือให้ผู้อื่นเข้าใจได้
หลากหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการฟังอย่างมีประสิทธิภาพเพ่ือให้เข้าใจ
ความหมายของผสู้ ง่ สาร
ความร่วมมือ (Collaboration) หมายถึง ความสามารถในการทางานร่วมกับคนกลุ่มต่าง ๆ ท่ี
หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพและให้เกียรติ มีความยืดหยุ่นและยินดีท่ีจะประนีประนอม เพ่ือให้บรรลุ
เป้าหมายการทางาน พร้อมทั้งยอมรบั และแสดงความรับผิดชอบต่องานที่ทารว่ มกัน และเห็นคณุ คา่ ของผลงาน
ทพ่ี ัฒนาขน้ึ จากสมาชิกแต่ละคนในทีม
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คู่มือครูรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ฉ
การสร้างสรรค์ (Creativity) หมายถึง การใช้เทคนิคท่ีหลากหลายในการสร้างสรรค์แนวคิด เช่น
การระดมพลังสมอง รวมถึงความสามารถในการพัฒนาต่อยอดแนวคิดเดิม หรือได้แนวคิดใหม่ และ
ความสามารถในการกลั่นกรอง ทบทวน วิเคราะห์ และประเมินแนวคิด เพ่อื ปรบั ปรุงให้ได้แนวคดิ ทีจ่ ะส่งผลให้
ความพยายามอยา่ งสรา้ งสรรคน์ ้เี ป็นไปได้มากท่ีสุด
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Information and Communication Technology
(ICT)) หมายถึง ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเพื่อเป็นเครื่องมือสืบค้น จัดกระทา
ประเมนิ และสอ่ื สารขอ้ มลู ความรูต้ ลอดจนรู้เทา่ ทันสอ่ื โดยการใชส้ ือ่ ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม มีประสิทธภิ าพ
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ช คมู่ ือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1
ผงั มโนทศั น์ (concept map)
รายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 เลม่ 1
ประกอบด้วย
ไดแ้ ก่ ไดแ้ ก่
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คูม่ ือครูรายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1 ซ
ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1
ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ว1.2 ป.3/1 มนษุ ย์และสัตว์ต้องการอาหาร นา้ และอากาศ เพ่ือการ
บรรยายส่ิงท่ีจาเป็นต่อการดารงชีวติ และการ ดารงชวี ิตและการเจริญเติบโต
เจริญเติบโตของมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ข้อมูล
ท่ีรวบรวมได้
ว1.2 ป.3/2 อาหารช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและเจริญเติบโต น้าช่วย
ตระหนักถึงประโยชน์ของอาหาร น้า และ ใหร้ า่ งกายทางานได้อย่างปกติ อากาศใช้ในการหายใจ
อากาศ โดยการดูแลตนเองและสัตว์ให้ได้รับ
สงิ่ เหล่านอ้ี ยา่ งเหมาะสม
ว1.2 ป.3/3 สัตว์เม่ือเป็นตัวเต็มวัยจะสืบพันธุ์มีลูก เม่ือลูก
สร้างแบบจาลองท่ีบรรยายวัฏจักรชีวิตของ เจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยก็สืบพันธ์ุมีลูกต่อไปได้อีก
สัตว์ และเปรียบเทียบวัฏจักรชีวิตของสัตว์ หมุนเวียนต่อเนื่องเป็นวัฏจักรชีวิตของสัตว์ ซึ่งสัตว์
บางชนดิ
แต่ละชนิด เช่น ผีเสื้อ กบ ไก่ มนุษย์จะมีวัฏจักรชีวิตท่ี
ว1.2 ป.3/4
เฉพาะ และแตกต่างกัน
ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์ โดยไม่ทา
ให้วัฏจกั รชีวิตของสตั วเ์ ปล่ียนแปลง
ว3.2 ป.3/1 อากาศโดยทั่วไปไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ประกอบด้วย แก๊ส
ระบุส่วนประกอบของอากาศ บรรยาย ไนโตรเจน แก๊สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ความสาคัญของอากาศ และผลกระทบของ แก๊สอ่ืน ๆ รวมท้ังไอน้า และฝุ่นละออง อากาศมี
มลพิษทางอากาศต่อส่ิงมีชีวิต จากข้อมูลท่ี ความสาคัญต่อสิ่งมีชีวิต หากส่วนประกอบของ
รวบรวมได้
อากาศไม่เหมาะสม เนื่องจากมีแก๊สบางชนิดหรือฝุ่น
ว3.2 ป.3/2
ละอองในปริมาณมาก อาจทาให้เป็นอันตรายต่อ
ตระหนักถึงความสาคัญของอากาศ โดย สงิ่ มชี ีวติ ชนดิ ตา่ ง ๆ จัดเป็นมลพษิ ทางอากาศ
นาเสนอแนวทางการปฏิบัติตนในการลดการ แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อลดมลพิษทางอากาศ เช่น
เกิดมลพษิ ทางอากาศ
ใช้พาหนะร่วมกัน หรือเลือกใช้เทคโนโลยีท่ีลดมลพษิ
ทางอากาศ
สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ฌ คูม่ ือครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1
ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ว3.2 ป.3/3 ลม คืออากาศที่เคลื่อนที่ เกิดจากความแตกต่างกันของ
อธิบายการเกิดลมจากหลักฐานเชิงประจักษ์ อุณหภูมิอากาศบริเวณท่ีอยู่ใกล้กัน โดยอากาศบริเวณ
ท่ีมีอุณหภูมิสูงจะลอยตัวสูงข้ึน และอากาศบริเวณท่ีมี
อณุ หภมู ติ า่ กวา่ จะเคลื่อนเข้าไปแทนที่
ว3.2 ป.3/4 ลมสามารถนามาใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนในการ
บรรยายประโยชน์และโทษของลมจาก ผลิตไฟฟ้า และนาไปใช้ประโยชน์ในการทากิจกรรม
ข้อมูลทีร่ วบรวมได้ ต่าง ๆ ของมนุษย์ หากลมเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
อาจทาให้เกิดอันตรายและความเสียหายต่อชีวิตและ
ทรัพย์สนิ ได้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คู่มอื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ญ
ข้อแนะนาการใช้คู่มือครู
คู่มือครูเล่มนี้จัดทาขึ้นเพ่ือใช้เป็นแนวทางการจัดกิจกรรมสาหรับครู ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้
นักเรยี นจะได้ฝึกทักษะจากการทากิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการสงั เกต การสารวจ การทดลอง การสืบค้นขอ้ มูล การ
อภิปราย การทางานร่วมกัน ซ่ึงเป็นการฝึกให้นักเรียนช่างสังเกต รู้จักต้ังคาถาม รู้จักคิดหาเหตุผล เพื่อตอบ
ปญั หาต่าง ๆ ไดด้ ้วยตนเอง ท้งั น้ีโดยมเี ปา้ หมายเพ่ือให้นักเรียนได้เรยี นรู้และค้นพบด้วยตนเองมากทส่ี ุด ดงั นั้น
ในการจัดการเรียนรู้ ครูจึงเปน็ ผู้ชว่ ยเหลอื สง่ เสรมิ และสนบั สนุนนกั เรียนให้รจู้ ักสืบเสาะหาความรูจ้ ากสื่อและ
แหลง่ การเรียนรู้ต่าง ๆ และเพมิ่ เติมข้อมูลที่ถูกต้องแก่นักเรียน เพ่ือใหน้ กั เรยี นมีทกั ษะจากการศึกษาหาความรู้
ด้วยตนเอง
เพ่ือให้เกิดประโยชน์จากคู่มือครูเล่มน้ีมากท่ีสุด ครูควรทาความเข้าใจในรายละเอียดของแต่ละ
หัวข้อ และข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดงั นี้
1. สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
สาระการเรียนรู้แกนกลางเป็นสาระการเรียนรู้เฉพาะกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และ
เทคโนโลยีที่ปรากฏในมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ ได้กาหนดไว้เฉพาะส่วนท่ีจาเป็น
สาหรับเป็นพื้นฐานเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวัน และเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อในระดับท่ีสูงขึ้น โดย
สอดคล้องกับสาระและความสามารถ ความถนัดและความสนใจของนักเรียน ในทุกกิจกรรมจะมี
สาระสาคัญ ซึ่งเป็นเนื้อหาสาระท่ีปรากฏอยู่ตามสาระการเรียนรู้โดยสถานศึกษาสามารถพัฒนาเพิ่มเติม
ได้ตามความเหมาะสม
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ฯ (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้เพ่ิมสาระเทคโนโลยีซ่ึง
ประกอบด้วยการออกแบบและเทคโนโลยี และวิทยาการคานวณ ทั้งน้ีเพ่ือเอื้อต่อการจัดการเรียนรู้
บูรณาการสาระทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กับกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ตาม
แนวคดิ สะเตม็ ศึกษา
2. ภาพรวมการจัดการเรยี นรปู้ ระจาหน่วย
ภาพรวมการจดั การเรียนรปู้ ระจาหนว่ ยมีไวเ้ พื่อเชื่อมโยงเนื้อหาสาระกับมาตรฐานการเรียนร้แู ละ
ตัวช้ีวัดท่ีจะได้เรียนในแตล่ ะกิจกรรมของหน่วยนั้น ๆ และเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนนาไปปรบั ปรงุ และ
เพม่ิ เติมตามความเหมาะสม
3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
แต่ละหน่วยการเรียนรู้ นักเรียนจะได้ทากิจกรรมอย่างหลากหลาย ในแต่ละส่วนของหนังสือเรียน
ทง้ั ส่วนนาบท นาเร่ือง และกิจกรรมมจี ุดประสงค์การเรียนรทู้ ี่สอดคล้องกับตัวช้วี ัดชั้นปีเพื่อให้นักเรียนเกิด
การเรียนรู้ โดยยึดหลักให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ สืบเสาะหาความรู้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
กระบวนการแก้ปัญหา การสื่อสาร และความสามารถในการตัดสินใจ การนาความรู้ไปใช้ในชีวิตและ
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ฎ คูม่ อื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1
ในสถานการณ์ใหม่ มีทักษะในการใช้เทคโนโลยี มีเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม
สามารถอยใู่ นสังคมไทยได้อย่างมีความสุข
4. บทนี้มีอะไร
ส่วนที่บอกรายละเอียดในบทนั้น ๆ ซึ่งประกอบด้วยช่ือเร่ือง คาสาคัญ และชื่อกิจกรรม เพ่ือครู
จะได้ทราบองคป์ ระกอบโดยรวมของแต่ละบท
5. สือ่ การเรยี นรู้และแหล่งเรยี นรู้
ส่วนท่ีบอกรายละเอียดส่ือการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ที่ต้องใช้สาหรับการเรียนในบท เรื่อง และ
กิจกรรมน้ัน ๆ โดยสื่อการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ประกอบด้วยหน้าหนังสือเรียนและแบบบันทึกกิจกรรม
และอาจมีโปรแกรมประยุกต์ เว็บไซต์ ส่ือส่ิงพิมพ์ ส่ือโสตทัศนูปกรณ์หรือตัวอย่างวีดิทัศน์ปฏิบัติการ
ทางวิทยาศาสตร์เพื่อเสรมิ สร้างความมั่นใจในการสอนปฏบิ ัตกิ ารวทิ ยาศาสตร์สาหรับครู
6. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21
ทักษะที่นักเรียนจะได้ฝึกปฏิบัติในแต่ละกิจกรรม โดยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็น
ทักษะท่ีนักวิทยาศาสตร์นามาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ในการสืบเสาะหาความรู้ ส่วนทักษะแห่ง
ศตวรรษที่ 21 เป็นทักษะท่ีช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ
เพื่อให้ทนั ต่อการเปลีย่ นแปลงของโลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คูม่ ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1 ฏ
วดี ทิ ศั น์ตัวอยา่ งปฏบิ ัติการวิทยาศาสตร์สาหรับครูเพื่อฝกึ ฝนทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรต์ ่าง ๆ
มีดังน้ี
รายการ ทกั ษะกระบวนการทาง Short link QR code
วิทยาศาสตร์
วีดทิ ัศน์ การสงั เกตและการ การสงั เกตและการลงความเห็น http://ipst.me/8115
ลงความเห็นจากข้อมูล จากข้อมลู
ทาไดอ้ ยา่ งไร
วดี ิทศั น์ การวดั ทาได้อยา่ งไร การวดั http://ipst.me/8116
วีดทิ ศั น์ การใชต้ วั เลขทาได้ การใชจ้ านวน http://ipst.me/8117
อยา่ งไร
วีดิทศั น์ การจาแนกประเภท การจาแนกประเภท http://ipst.me/8118
ทาได้อยา่ งไร
วีดิทศั น์ การหาความสัมพนั ธ์ การหาความสัมพันธ์ระหว่าง http://ipst.me/8119
ระหว่างสเปซกบั สเปซ สเปซกบั สเปซ
ทาได้อยา่ งไร
วดี ทิ ัศน์ การหาความสมั พันธ์ การหาความสัมพันธร์ ะหวา่ ง http://ipst.me/8120
ระหว่างสเปซกับเวลา สเปซกับเวลา
ทาได้อยา่ งไร
วดี ิทศั น์ การจัดกระทาและส่ือ การจดั กระทาและสื่อความหมาย http://ipst.me/8121
ความหมายข้อมูล ข้อมูล
ทาได้อย่างไร
วีดิทัศน์ การพยากรณ์ทาได้ การพยากรณ์ http://ipst.me/8122
อย่างไร
สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฐ คมู่ อื ครรู ายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1
รายการ ทักษะกระบวนการทาง Short link QR code
วิทยาศาสตร์ http://ipst.me/8123
วีดิทัศน์ ทาการทดลองได้
อยา่ งไร การทดลอง
วีดทิ ัศน์ การตั้งสมมติฐาน การต้งั สมมติฐาน http://ipst.me/8124
ทาได้อยา่ งไร
วีดทิ ศั น์ การกาหนดและ การกาหนดและควบคุมตวั แปร http://ipst.me/8125
ควบคุมตัวแปรและ และการกาหนดนยิ าม
การกาหนดนยิ ามเชิง เชงิ ปฏบิ ัติการ http://ipst.me/8126
ปฏิบตั กิ ารทาได้ http://ipst.me/8127
อย่างไร การตคี วามหมายข้อมูลและ
ลงข้อสรุป
วีดทิ ศั น์ การตีความหมาย
ข้อมูลและลงข้อสรปุ
ทาได้อย่างไร
วีดทิ ัศน์ การสรา้ งแบบจาลอง การสร้างแบบจาลอง
ทาได้อย่างไร
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คมู่ ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ฑ
7. แนวคดิ คลาดเคลอ่ื น
ความเชื่อ ความรู้ หรือความเข้าใจที่ผิดหรือคลาดเคล่ือนซึ่งเกิดขึ้นกับนักเรียน เน่ืองจาก
ประสบการณ์ในการเรียนรู้ท่ีรบั มาผิดหรือนาความรู้ท่ไี ด้รับมาสรุปตามความเข้าใจของตนเองผดิ แล้ว
ไม่สามารถอธิบายความเข้าใจน้ันได้ ดังน้ันเมื่อเรียนจบบทนี้แลว้ ครูควรแก้ไขแนวคิดคลาดเคล่ือนของ
นักเรยี นใหเ้ ป็นแนวคิดทีถ่ ูกตอ้ ง
8. บทนเี้ ร่ิมต้นอยา่ งไร
แนวทางสาหรับครูในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพ่ือส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคิดด้วยตนเอง
รู้จักค้นคว้าหาเหตุผล ครูควรกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจในบทเรียนน้ัน ๆ โดยให้นักเรียนตอบ
คาถามสารวจความรู้ก่อนเรียน จากน้ันครูสังเกตการตอบคาถามของนักเรียนและยังไม่เฉลยคาตอบที่
ถกู ตอ้ ง เพื่อให้นกั เรียนไปหาคาตอบจากเร่อื งและกิจกรรมต่าง ๆ ในบทนั้น
9. เวลาทใี่ ช้
การเสนอแนะเวลาท่ีใช้ในการจัดการเรียนการสอนว่าควรใช้ประมาณกี่ชั่วโมง เพื่อช่วยให้
ครูผสู้ อนไดจ้ ัดทาแผนการจัดการเรียนรูไ้ ดอ้ ย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามครูอาจปรบั เปลี่ยนเวลาได้ตาม
สถานการณ์และความสามารถของนกั เรยี น
10. วัสดุอปุ กรณ์
รายการวัสดุอุปกรณท์ ัง้ หมดสาหรบั การจัดกจิ กรรม โดยอาจมีทง้ั วัสดสุ ้นิ เปลือง อุปกรณ์สาเร็จรูป
อปุ กรณพ์ ืน้ ฐาน หรอื อน่ื ๆ
11. การเตรยี มตวั ล่วงหน้าสาหรบั ครเู พือ่ จดั การเรยี นรู้ในคร้งั ถดั ไป
การเตรียมตัวล่วงหน้าสาหรับการจัดการเรียนรู้ในคร้ังถัดไป เพ่ือครูจะได้เตรียมส่ือ อุปกรณ์
เคร่ืองมือต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในกิจกรรมให้อยู่ในสภาพท่ีใช้การได้ดีและมีจานวนเพียงพอกับนักเรียน โดย
อาจมีบางกิจกรรมตอ้ งทาลว่ งหน้าหลายวนั เชน่ การเล้ียงปลา
ข้อเสนอแนะเพมิ่ เตมิ
นักเรียนในระดับช้นั ประถมศึกษา มีกระบวนการคิดที่เปน็ รูปธรรม ครจู ึงควรจดั การเรยี นการสอนท่ี
มุ่งเน้นให้นักเรียนได้ปฏิบัติหรือทาการทดลองด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่นักเรียนจะได้มีประสบการณ์ตรง
ดงั นน้ั ครผู ูส้ อนจึงต้องเตรยี มตวั เองในเรื่องตอ่ ไปน้ี
11.1 บทบาทของครู ครูจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ช้ีนาหรือผู้ถ่ายทอดความรู้ เป็น
ผู้ช่วยเหลือ โดยส่งเสริมและสนับสนุนนักเรียนในการแสวงหาความรู้จากสื่อและแหล่ง
เรียนรู้ต่าง ๆ และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่นักเรียน เพ่ือให้นักเรียนได้นาข้อมูลเหล่านั้นไปใช้
สรา้ งสรรคค์ วามรขู้ องตนเอง
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฒ คู่มอื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1
11.2 การเตรียมตัวของครูและนักเรียน ครูควรเตรียมนักเรียนให้มีความพร้อมในการทา
กิจกรรมต่าง ๆ แต่บางครั้งนักเรียนไม่เข้าใจและอาจจะทากิจกรรมไม่ถูกต้อง ดังนั้นครูจึง
ต้องเตรียมตัวเอง โดยทาความเข้าใจในเร่ืองตอ่ ไปน้ี
การสืบค้นข้อมูลหรือการค้นคว้าด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น สอบถามจากผู้รู้ในท้องถ่ิน
ดูจากรูปภาพแผนภูมิ อ่านหนังสือหรือเอกสารเท่าท่ีหาได้ นั่นคือการให้นักเรียนเป็นผู้หา
ความรู้และพบความรหู้ รือขอ้ มลู ด้วยตนเอง ซง่ึ เป็นการเรียนรู้ด้วยวิธีสืบเสาะหาความรู้
การนาเสนอมีหลายวิธี เช่น ให้นักเรียนหรือตัวแทนกลุ่มออกมาเล่าเรื่องที่ได้รับ
มอบหมายให้ไปสารวจ สังเกต หรอื ทดลอง หรอื อาจใหเ้ ขยี นเป็นคาหรือเปน็ ประโยคลงใน
แบบบันทึกกิจกรรมหรือสมุดอ่ืนตามความเหมาะสม นอกจากนี้อาจให้วาดรูป หรือตัด
ขอ้ ความจากหนังสือพิมพ์ แล้วนามาตดิ ไว้ในหอ้ ง เปน็ ต้น
การสารวจ ทดลอง สืบค้นข้อมูล สร้างแบบจาลองหรืออื่น ๆ เพื่อสร้างองค์ความรู้เป็น
สง่ิ สาคัญอย่างย่ิงต่อการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ครผู สู้ อนสามารถใหน้ ักเรยี นทากิจกรรมได้ท้ัง
ในห้องเรียน นอกห้องเรียน หรือที่บ้าน โดยไม่จาเป็นต้องใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ราคา
แพง อาจใช้อุปกรณ์ท่ีดัดแปลงจากส่ิงของเหลือใช้ หรือใช้วัสดุธรรมชาติ ข้อสาคัญ คือ
ครผู ้สู อนต้องใหน้ ักเรียนทราบว่า ทาไมจงึ ต้องทากจิ กรรมนน้ั และจะตอ้ งทาอะไร อย่างไร
ผลจากการทากิจกรรมจะสรุปผลอย่างไร ซึ่งจะทาให้นักเรียนได้ความรู้ ความคิด และ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์พร้อมกับเกิดค่านิยม คุณธรรม เจตคติทาง
วทิ ยาศาสตร์ดว้ ย
12. แนวการจดั การเรยี นรู้
แนวทางสาหรับครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มุ่งส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคิดด้วย
ตนเอง รู้จักค้นคว้าหาเหตุผลและสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการนาเอาวิธีการต่าง ๆ ของกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ไปใช้ วิธีการจดั การเรยี นรู้ที่ สสวท. เห็นว่าเหมาะสมท่ีจะนานักเรียนไปส่เู ป้าหมายที่กาหนด
ไว้ก็คือ วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ซ่ึงมีองค์ประกอบท่ีสาคัญ คือ การมองเห็นปัญหา การสารวจ
ตรวจสอบ และอภิปรายซกั ถามระหวา่ งครูกับนักเรียนเพ่ือนาไปสู่ขอ้ สรปุ
ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติม
นอกจากครูจะจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามคู่มือครูนี้ ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามความ
เหมาะสมเพอื่ ใหบ้ รรลุจดุ มงุ่ หมาย โดยจะคานงึ ถึงเรอ่ื งต่าง ๆ ดังต่อไปน้ี
12.1 นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ครูควรให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมในกิจกรรม
การเรียนรู้ตลอดเวลาด้วยการกระตุ้นให้นักเรียนลงมือทากิจกรรมและอภิปรายผล โดยครู
อาจใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การใช้คาถาม การเสริมแรงมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อให้การ
เรยี นการสอนน่าสนใจและมีชวี ิตชวี า
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คู่มือครรู ายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ณ
12.2 การใชค้ าถาม เพอ่ื นานักเรยี นเขา้ ส่บู ทเรยี นและลงข้อสรุป โดยไมใ่ ชเ้ วลานานเกินไป ทง้ั นี้ครู
ต้องวางแผนการใช้คาถามอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลือกใช้คาถามท่ีมีความยากง่าย
พอเหมาะกบั ความสามารถของนักเรียน
12.3 การสารวจตรวจสอบซ้า เป็นส่ิงจาเป็นเพ่ือให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ดังน้ันในการจัดการเรียนรู้
ครูควรเน้นย้าให้นกั เรียนไดส้ ารวจตรวจสอบซา้ เพอ่ื นาไปสขู่ อ้ สรปุ ทถี่ กู ต้องและเชอื่ ถอื ได้
13. ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เติม
ข้อเสนอแนะสาหรับครูท่ีอาจเป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ เช่น ตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์ท่ี
เหมาะสมหรือใช้แทน ขอ้ ควรระวงั วิธกี ารใช้อปุ กรณ์ให้เหมาะสมและปลอดภัย วิธีการทากิจกรรมเพื่อ
ลดข้อผิดพลาด ตวั อยา่ งตาราง และเสนอแหลง่ เรยี นรู้เพอื่ การคน้ ควา้ เพม่ิ เติม
14. ความรเู้ พม่ิ เติมสาหรบั ครู
ความรู้เพิ่มเติมในเนื้อหาท่ีสอนซ่ึงจะมีรายละเอียดท่ีลึกข้ึน เพ่ือเพิ่มความรู้และความมั่นใจ
ในเรื่องที่จะสอนและแนะนานักเรียนที่มีความสามารถสูง แต่ครูต้องไม่นาไปสอนนักเรียนในชั้นเรียน
เพราะไมเ่ หมาะสมกับวัยและระดบั ชั้น
15. อยา่ ลืมนะ
ส่วนที่เตือนไม่ให้ครูเฉลยคาตอบท่ีถูกต้อง ก่อนท่ีจะได้รับฟังความคิดและเหตุผลของนักเรียน
เพื่อให้นักเรียนได้คิดด้วยตนเองและครูจะได้ทราบว่านักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้น
อย่างไรบ้าง โดยครูควรให้คาแนะนาเพ่ือให้นักเรียนหาคาตอบได้ด้วยตนเอง นอกจากน้ันครูควรให้
ความสนใจตอ่ คาตอบของนักเรยี นทกุ คนด้วย
16. แนวการประเมนิ การเรยี นรู้
การประเมินการเรียนรู้ของนักเรียนท่ีได้จากการอภิปรายในช้ันเรียน คาตอบของนักเรียนระหว่าง
การจัดการเรียนรู้และในแบบบันทึกกิจกรรม รวมทั้งการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
และทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ทไ่ี ด้จากการทากจิ กรรมของนักเรยี น
17. กิจกรรมทา้ ยบท
ส่วนทใี่ หน้ กั เรยี นได้สรปุ ความรู้ ความเขา้ ใจ ในบทเรียน และได้ตรวจสอบความรู้ในเน้ือหาทเี่ รยี น
มาท้งั บท หรืออาจตอ่ ยอดความรู้ในเร่ืองน้นั ๆ
ขอ้ แนะนาเพ่ิมเตมิ
1. การสอนอ่าน
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของคาว่า “อ่าน” หมายถึง ว่าตาม
ตัวหนังสือ ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ หรืออีกความหมาย
ของคาว่า “อ่าน” หมายถึง สังเกตหรือพิจารณาดูเพื่อให้เข้าใจ เช่น อ่านสีหน้า อ่านริมฝีปาก อ่านใจ ตีความ
เชน่ อ่านรหสั อา่ นลายแทง
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ด คมู่ ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1
กรมวิชาการ (2546) ได้เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมเพ่ือให้นักเรียนเกิดลักษณะอันพึงประสงค์
ที่หลากหลาย เช่น รักการอ่านและรกั การค้นคว้า เมื่อเรียนจบการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน นักเรียนควรจะสามารถใช้
กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาและสร้างวิสัยทัศน์ในการดาเนินชวี ิตและมี
นสิ ยั รกั การอา่ น จะเห็นไดว้ า่ การอา่ นเปน็ ทกั ษะทสี่ าคญั จาเป็นตอ้ งเน้นและฝกึ ฝนให้แกน่ ักเรยี นเปน็ อยา่ งมาก
ทั้งน้ีนักเรียนแต่ละคนอาจมีทักษะในการอ่านท่ีแตกต่างกัน ขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ประสบการณ์
เดิมของนักเรียน ความสามารถด้านภาษา หรือความสนใจเร่ืองที่อ่าน ครูควรสังเกตนักเรียนว่านักเรียน
แต่ละคนมีความสามารถในการอ่านอยู่ในระดับใด ซ่ึงครูจะต้องพิจารณาท้ังหลักการอ่าน และความเข้าใจใน
การอ่านของนกั เรียน
การรู้เร่ืองการอ่าน (Reading literacy) หมายถึง การเข้าใจข้อมูล เนื้อหาสาระของสิ่งที่อ่าน การใช้
ประเมิน และสะท้อนมุมมองของตนเองเก่ียวกับส่ิงที่อ่านอย่างต้ังใจเพ่ือบรรลุเป้าหมายส่วนตัวของตนเองหรอื
เพ่ือพัฒนาความรู้และศักยภาพของตนเองและนาความรู้และศักยภาพน้ันมาใช้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน
สังคม (OECD, 2017)
กรอบการประเมินผลนกั เรยี นเพือ่ ใหม้ สี มรรถนะการอา่ นในศตวรรษท่ี 21 ตามแนวทางของ PISA สามารถ
สรุปได้ดงั แผนภาพด้านล่าง
จากกรอบการประเมินดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การรู้เรื่องการอ่านเป็นสมรรถนะที่สาคัญท่ีครูควรส่งเสริมให้
นักเรียนมีความสามารถให้ครอบคลุม ตั้งแต่การค้นหาข้อมูลในส่ิงท่ีอ่าน เข้าใจเน้ือหาสาระท่ีอ่านไปจนถึง
ประเมินค่าเน้ือหาสาระท่ีอ่านได้ การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จาเป็นต้องอาศัยการอ่านเพ่ือหาข้อมูล
ทาความเข้าใจเนื้อหาสาระของส่ิงที่อ่าน รวมทั้งประเมินส่ิงที่อ่านและนาเสนอมุมมองของตนเองเกี่ยวกับส่ิงท่ี
อ่าน นักเรยี นควรได้รับการสง่ เสริมการอา่ นดงั ตอ่ ไปนี้
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คมู่ ือครรู ายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ต
1. นกั เรยี นควรไดร้ ับการฝึกการอ่านข้อความแบบต่อเนื่อง จาแนกข้อความแบบตา่ ง ๆ กัน เชน่ การบอก
การพรรณนา การโต้แย้ง รวมไปถึงการอ่านข้อเขียนท่ีไม่ใช่ข้อความต่อเนื่อง ได้แก่ การอ่านรายการ
ตาราง แบบฟอร์ม กราฟ และแผนผัง เป็นต้น ซ่ึงข้อความเหล่านี้เป็นส่ิงท่ีนักเรียนได้พบเห็นใน
โรงเรียน และจะต้องใช้ในชีวิตจรงิ เม่อื โตเปน็ ผู้ใหญ่ ซ่ึงในคมู่ อื ครูเล่มนตี้ ่อไปจะใช้คาแทนขอ้ ความทั้งที่
เปน็ ขอ้ ความแบบต่อเนื่องและขอ้ ความที่ไม่ใช่ข้อความต่อเน่ืองวา่ ส่ิงท่ีอ่าน (Text)
2. นักเรียนควรได้รับการฝึกฝนให้มีความสามารถในการประเมินสิ่งท่ีอ่านว่ามีความเหมาะสมสอดคล้อง
กับลักษณะของข้อเขียนมากน้อยเพียงใด เช่น ใช้นวนิยาย จดหมาย หรือชีวประวัติเพื่อประโยชน์
ส่วนตัว ใช้เอกสารราชการหรือประกาศแจ้งความเพื่อสาธารณประโยชน์ ใช้รายงานหรือคู่มือต่าง ๆ
เพ่อื การทางานอาชพี ใช้ตาราหรือหนังสอื เรียน เพ่ือการศึกษา เป็นต้น
3. นกั เรยี นควรไดร้ บั การฝกึ ฝนใหม้ สี มรรถนะการอ่านเพื่อเรียนรู้ ในดา้ นตา่ ง ๆ ต่อไปน้ี
3.1 ความสามารถที่จะค้นหาเนือ้ หาสาระของสงิ่ ที่อา่ น (Retrieving information)
3.2 ความสามารถทีจ่ ะเข้าใจเนื้อหาสาระของสิ่งท่ีอ่าน (Forming a broad understanding)
3.3 ความสามารถในการแปลความของส่งิ ทอ่ี ่าน (Interpretation)
3.4 ความสามารถในการประเมินและสามารถสะท้อนความคิดเห็นหรือโต้แย้งจากมุมมองของตน
เกย่ี วกับเน่ือหาสาระของสงิ่ ทอ่ี ่าน (Reflection and Evaluation the content of a text)
3.5 ความสามารถในการประเมินและสามารถสะท้อนความคิดเห็นหรือโต้แย้งจากมุมมองของตน
เกย่ี วกับรูปแบบของส่ิงท่อี ่าน (Reflection and Evaluation the form of a text)
ทง้ั น้ี สสวท. ขอเสนอแนะวิธกี ารสอนแบบตา่ ง ๆ เพื่อเปน็ การฝกึ ทกั ษะการอ่านของนกั เรยี น ดังน้ี
เทคนคิ การสอนแบบ DR-TA (The directed reading-thinking activity)
การสอนอ่านท่ีมุ่งเน้นให้นักเรียนได้ฝึกกระบวนการคิด กลั่นกรองและตรวจสอบข้อมูลท่ีได้จากการอ่าน
ด้วยตนเอง โดยให้นักเรียนคาดคะเนเนื้อหาหรือคาตอบล่วงหน้าจากประสบการณ์เดิมของนักเรียน โดยมี
ขัน้ ตอนการจัดการเรียนการสอน ดงั นี้
1. ครจู ัดแบ่งเนอื้ เรอ่ื งที่จะอ่านออกเป็นสว่ นย่อย และวางแผนการสอนอา่ นของเนอ้ื เร่ืองทัง้ หมด
2. นาเขา้ สบู่ ทเรียนโดยชักชวนให้นักเรียนคิดว่านกั เรยี นรู้อะไรเกี่ยวกับเรือ่ งทีจ่ ะอ่านบา้ ง
3. ครใู หน้ ักเรียนสังเกตรปู ภาพ หัวขอ้ หรอื อนื่ ๆ ทเี่ กีย่ วกบั เนื้อหาที่จะเรียน
4. ครูตั้งคาถามให้นักเรียนคาดคะเนเน้ือหาของเรื่องท่ีกาลังจะอ่าน ซ่ึงอาจให้นักเรียนคิดว่าจะได้เรียน
เกยี่ วกบั อะไร โดยครูพยายามกระตุน้ ให้นักเรยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ หรอื คาดคะเนเน้ือหา
5. ครูอาจให้นักเรียนเขียนสิ่งท่ีตนเองคาดคะเนไว้ โดยจะทาเป็นรายคนหรือเป็นคู่ก็ได้ หรือครูนา
อภปิ รายแลว้ เขียนแนวคดิ ของนักเรยี นแตล่ ะคนไว้บนกระดาน
6. นักเรียนอ่านเนื้อเรื่อง จากน้ันประเมินหรือตรวจสอบ และอภิปรายว่าการคาดคะเนของตนเองตรง
กับเนื้อเร่ืองที่อ่านหรือไม่ ถ้านักเรียนประเมินว่าเรื่องท่ีอ่านมีเน้ือหาตรงกับท่ีคาดคะเนไว้ใหน้ ักเรยี น
แสดงข้อความท่ีสนับสนุนการคาดคะเนของตนเองจากเน้ือเรือ่ ง
สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ถ คมู่ ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1
7. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูวิเคราะห์ว่านักเรียนแต่ละคนสามารถใช้การคาดคะเนด้วย
ตนเองอยา่ งไรบา้ ง
8. ทาซ้าข้ันตอนเดิมในการอ่านเนื้อเรื่องส่วนอื่น ๆ เมื่อจบทั้งเรื่องแล้ว ครูปิดเร่ืองโดยการทบทวน
เนอ้ื หาและอภิปรายถงึ วิธีการคาดคะเนของนักเรียนท่ีควรใช้สาหรับการอา่ นเรื่องอนื่ ๆ
เทคนิคการสอนแบบ KWL (Know – Want to know – Learned)
การสอนอ่านท่ีมุ่งเน้นให้นักเรียนได้เชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่อย่างเป็นรูปธรรม
และเปน็ ระบบ โดยผ่านตาราง 3 ชอ่ ง คือ K-W-L (นกั เรยี นรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเร่ืองทจ่ี ะอา่ น นักเรยี นต้องการรู้
อะไรเกี่ยวกับเรื่องท่ีจะอ่าน นักเรียนได้เรียนร้อู ะไรบ้างจากเรื่องท่ีอ่าน) โดยมีข้ันตอนการจดั การเรียนการสอน
ดงั น้ี
1. นาเข้าสู่บทเรียนด้วยการกระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยการใช้คาถาม การนาด้วยรูปภาพหรือ
วีดทิ ัศน์ทีเ่ ก่ียวกบั เน้อื เร่ือง เพ่อื เช่อื มโยงเขา้ ส่เู รอื่ งทจ่ี ะอ่าน
2. ครูทาตารางแสดง K-W-L และอธิบายขั้นตอนการทากิจกรรมโดยใช้เทคนิค K-W-L ว่ามีขั้นตอน
ดงั นี้
ข้ันที่ 1 กิจกรรมก่อนการอ่าน เรียกว่า ข้ัน K มาจาก know (What we know) เป็นขั้นตอนท่ีให้
นักเรียนระดมสมองแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเรื่องท่ีจะอ่าน แล้วบันทึกส่ิงท่ีตนเองรู้ลงใน
ตารางช่อง K ข้ันตอนนี้ช่วยให้นักเรียนรู้ว่าตนเองรู้อะไรแล้วต้องอ่านอะไร โดยครูพยายาม
ตัง้ คาถามกระตุ้นให้นักเรยี นได้แสดงความคดิ เห็น
ขั้นท่ี 2 กจิ กรรมระหวา่ งการอ่าน เรยี กว่า ขัน้ W มาจาก want to know (What we want to know)
เป็นข้ันตอนท่ีให้นักเรียนตั้งคาถามเกี่ยวกับสิ่งท่ีต้องการรู้เกี่ยวกับเรื่องที่กาลังจะอ่าน โดยครู
และนกั เรียนร่วมกันกาหนดคาถาม แล้วบนั ทึกส่ิงที่ตอ้ งการรู้ลงในตารางช่อง W
ขัน้ ท่ี 3 กิจกรรมหลังการอ่าน เรียกว่า ข้ัน L มาจาก learned (What we have learned) เป็น
ข้ันตอนที่สารวจว่าตนเองได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการอ่าน โดยหลังจากอ่านเน้ือเรื่อง นักเรียน
หาข้อความมาตอบคาถามที่กาหนดไว้ในตารางช่อง W จากน้ันนาข้อมูลท่ีได้จากการอ่านมา
จดั ลาดบั ความสาคญั ของข้อมูลและสรุปเน้ือหาสาคัญลงในตารางช่อง L
3. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันสรุปเน้ือหา โดยการอภิปรายหรอื ตรวจสอบคาตอบในตาราง K-W-L
4. ครูและนักเรยี นอาจรว่ มกันอภิปรายเกย่ี วกบั การใช้ตาราง K-W-L มาช่วยในการเรียนการสอนการอ่าน
เทคนคิ การสอนแบบ QAR (Question-answer relationship)
การสอนอา่ นท่ีมุ่งเน้นใหน้ ักเรยี นมีความเข้าใจในการจดั หมวดหมู่ของคาถามและต้ังคาถาม เพอื่ ให้ได้มา
ซ่ึงแนวทางในการหาคาตอบ ซึ่งนักเรียนจะได้พิจารณาจากข้อมูลในเน้ือเร่ืองที่จะเรียนและประสบการณ์เดิม
ของนักเรยี น โดยมีขน้ั ตอนการจัดการเรียนการสอน ดงั น้ี
1. ครูจัดทาชดุ คาถามตามแบบ QAR จากเร่อื งทน่ี กั เรียนควรรู้หรอื เรื่องใกลต้ ัวนักเรยี น เพือ่ ช่วยใหน้ กั เรียน
เข้าใจถึงการจัดหมวดหมู่ของคาถามตามแบบ QAR และควรเชอ่ื มโยงกบั เร่ืองทจ่ี ะอ่านต่อไป
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คู่มือครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ท
2. ครูแนะนาและอธิบายการสอนแบบ QAR โดยครูควรชี้แจงนักเรียนเก่ียวกับการอ่านและการต้ังคาถาม
ตามหมวดหมู่ ได้แก่ คาถามที่ตอบโดยใช้เน้ือหาจากเร่ืองท่ีอ่าน คาถามที่ต้องคิดและค้นคว้า คาถามท่ี
ไม่มคี าตอบโดยตรง ซง่ึ จะตอ้ งใชค้ วามรเู้ ดมิ และส่ิงทีผ่ เู้ ขียนเขียนไว้
3. นกั เรยี นอ่านเนอ้ื เร่อื ง ตงั้ คาถามและตอบคาถามตามหมวดหมู่ และรว่ มกันอภปิ รายเพื่อสรปุ คาตอบ
4. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายเก่ยี วกบั การใชเ้ ทคนิคนี้ดว้ ยตนเองได้อย่างไร
5. ครูและนกั เรียนอาจรว่ มกนั อภิปรายเก่ยี วกบั การใช้ตาราง K-W-L มาช่วยในการเรยี นการสอนการอ่าน
2. การใชง้ านสือ่ QR Code
QR Code เป็นรหัสหรือภาษาที่ต้องใช้โปรแกรมอ่านหรือสแกนข้อมูลออกมา ซึ่งต้องใช้งานผ่าน
โทรศัพท์เคลื่อนท่ีหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ท่ีติดตั้งกล้องไว้ แล้วอ่าน QR Code ผ่านโปรแกรมต่าง ๆ เช่น
LINE (สาหรับโทรศัพท์เคลื่อนท่ี) Code Two QR Code Reader (สาหรับคอมพิวเตอร์) Camera (สาหรับ
ผลติ ภัณฑข์ อง Apple Inc.)
ขัน้ ตอนการใชง้ าน
1. เปิดโปรแกรมสาหรบั อ่าน QR Code
2. เล่ือนอปุ กรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศพั ท์เคลอื่ นท่ี แท็บเล็ต เพ่อื ส่องรปู QR Code ไดท้ ้งั รูป
3. เปิดไฟลห์ รอื ลงิ ก์ที่ข้นึ มาหลงั จากโปรแกรมไดอ้ ่าน QR Code
**หมายเหตุ อปุ กรณ์ที่ใช้อา่ น QR Code ต้องเปิด Internet ไว้เพอ่ื ดึงขอ้ มูล
3. การใช้งานโปรแกรมประยุกต์ความจรงิ เสริม (ภาพเคล่ือนไหว 3 มิติ)
เทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) เป็นโปรแกรมท่ีสร้างขึ้นเพ่ือเป็นสื่อเสริมช่วยให้นักเรียนเข้าใจ
เน้ือหาสาระของบทเรียนอย่างเป็นรูปธรรมมากข้ึน โดยใช้งานผ่านโปรแกรมประยุกต์ “AR สสวท. วิทย์
ประถม” ซึ่งสามารถดาวนโ์ หลดไดท้ าง Play Store หรอื App Store
**หมายเหตุ เนื่องจากโปรแกรมมีขนาดไฟล์ท่ีใหญ่ เพ่ือการใช้งานท่ีดีควรมีพ้ืนที่ว่างในเครื่องไม่ต่ากว่า 2 GB
หากพน้ื ที่จดั เกบ็ ไม่เพยี งพออาจตอ้ งลบข้อมูลบางอย่างออกก่อนตดิ ต้ังโปรแกรม
ขั้นตอนการติดตง้ั โปรแกรม
1. เข้าไปท่ี Play Store ( ) หรอื App Store ( )
2. ค้นหาคาว่า “AR สสวท. วทิ ย์ประถม”
3. กดเขา้ ไปท่ีโปรแกรมประยุกตท์ ่ี สสวท. พฒั นา
4. กด “ตดิ ตง้ั ” และรอจนติดตง้ั เรียบรอ้ ย
5. เข้าสูโ่ ปรแกรมจะปรากฏหนา้ แรก จากนนั้ กด “วิธีการใช้งาน” เพ่ือศึกษาการใชง้ านโปรแกรม
เบ้อื งตน้ ด้วยตนเอง
สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ธ คมู่ ือครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1
6. หลังจากศกึ ษาวธิ ีการใชง้ านดว้ ยตนเองแลว้ กด “สแกน AR”
7. กดดาวนโ์ หลดทร่ี ะดับชน้ั ป. 3
8. เปิดหน้าหนังสือเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ท่ีมีสัญลักษณ์ AR
แล้วส่องรูปที่อยู่บริเวณสัญลักษณ์ AR โดยมีระยะห่างประมาณ
10 เซนตเิ มตร และเลอื กดภู าพในมุมมองตา่ ง ๆ ตามความสนใจ
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ อื ครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1 น
การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในระดับประถมศกึ ษา
นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-ป.3) ตามธรรมชาติแล้วมีความอยากรู้อยากเห็น
เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และเรียนรู้ได้ดีท่ีสุดด้วยการค้นพบ จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองโดยอาศัย
ประสาทสัมผัสท้ังห้า ดังน้ันการจัดการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาตอนต้น จึงควรให้โอกาสนักเรียนมี
ส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติ การสารวจตรวจสอบ การค้นพบ การต้ังคาถามเพ่ือนาไปสู่การอภิปราย การ
แลกเปลี่ยนผลการทดลองด้วยคาพูด หรือภาพวาด การอภิปรายเพ่ือสรุปผลร่วมกัน สาหรับนักเรียนใน
ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-ป.6) มีพัฒนาการทางสติปัญญาจากขั้นการคิดแบบรูปธรรมไปสู่ข้ันการ
คิดแบบนามธรรม มีความสนใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และสนใจว่าสิ่งต่าง ๆ ถูกประกอบเข้าด้วยกันอย่างไร
และทางานอย่างไร นักเรียนในช่วงวัยน้ีต้องการโอกาสท่ีจะมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมกลุ่มโดยการทางาน
แบบร่วมมือ ดังน้ันจึงควรส่งเสริมให้นักเรียนทาโครงงานวิทยาศาสตร์ร่วมกันซ่ึงจะเป็นการสร้างความสามัคคี
และประสานสมั พันธ์ระหว่างนกั เรียนในระดับนดี้ ว้ ย
การจัดการเรียนการสอนทเี่ น้นการสืบเสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์
การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หมายถึงวิธีการท่ีนักวิทยาศาสตร์ใช้เพื่อศึกษาสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
อย่างเป็นระบบ และเสนอคาอธิบายเกี่ยวกับสิ่งท่ีศึกษาด้วยข้อมูลท่ีได้จากการทางานทางวิทยาศาสตร์ มีวิธีการอยู่
หลากหลาย เชน่ การสารวจ การสืบคน้ การทดลอง การสร้างแบบจาลอง
นักเรียนทุกระดับช้ันควรได้รับโอกาสในการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาความสามารถ
ในการคิดและแสดงออกด้วยวิธีการที่เชื่อมโยงกับการสืบเสาะหาความรู้ซ่ึงรวมท้ังการต้ังคาถาม การวางแผนและ
ดาเนินการสืบเสาะหาความรู้ การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการรวบรวมข้อมูล การคิดอย่างมี
วิจารณญาณและมีเหตุผลเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างพยานหลักฐานและการอธิบาย การสร้างและวิเคราะห์
คาอธบิ ายที่หลากหลาย และการส่ือสารข้อโต้แย้งทางวทิ ยาศาสตร์
การจดั การเรียนการสอนท่ีเนน้ การสืบเสาะหาความรู้ ควรมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีความตอ่ เน่ืองกัน
จากทีเ่ นน้ ครเู ปน็ สาคญั ไปจนถงึ เนน้ นักเรียนเป็นสาคญั โดยแบง่ ได้ดังนี้
การสืบเสาะหาความรู้แบบครูเป็นผู้กาหนดแนวทาง (Structured Inquiry) ครูเป็นผู้ต้ังคาถามและบอก
วธิ ีการให้นกั เรยี นค้นหาคาตอบ ครชู ้แี นะนกั เรียนทุกขนั้ ตอนโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
การสืบเสาะหาความรู้แบบทั้งครูและนักเรียนเป็นผู้กาหนดแนวทาง (Guided Inquiry) ครูเป็นผู้ต้ังคาถาม
และจัดหาวัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ในการสารวจตรวจสอบให้กับนักเรียน นักเรียนจะเป็นผู้ออกแบบการทดลอง
ด้วยตวั เอง
การสืบเสาะหาความรู้แบบนักเรียนเป็นผู้กาหนดแนวทาง (Open Inquiry) นักเรียนทากิจกรรมตามท่ีครู
กาหนด นักเรียนพัฒนาวิธี ดาเนินการสารวจ ตรวจสอบจากคาถามที่ครูตั้งขึ้น นักเรียนตั้งคาถามในหัวข้อที่
ครเู ลือก พรอ้ มทง้ั ออกแบบการสารวจตรวจสอบดว้ ยตนเอง
สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
บ คมู่ ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1
การสืบเสาะหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ในห้องเรียน
เราสามารถจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในห้องเรียนโดยจัดโอกาสให้นักเรียนได้ สืบเสาะหาความรู้
ทางวิทยาศาสตร์ตามท่ีหลักสูตรกาหนด ด้วยกระบวนการแบบเดียวกันกับที่นกั วิทยาศาสตร์สืบเสาะ แต่อาจมี
รูปแบบทีห่ ลากหลายตามบรบิ ทและความพรอ้ มของครแู ละนกั เรียน เช่น การสืบเสาะหาความรูแ้ บบปลายเปิด
(Open Inquiry) ท่นี กั เรยี นเปน็ ผู้ควบคมุ การสืบเสาะหาความรู้ของตนเองตั้งแต่การสรา้ งประเด็นคาถาม การ
สารวจตรวจสอบ (Investigation) และอธิบายส่ิงท่ีศึกษาโดยใชข้ ้อมลู (Data) หรอื หลกั ฐาน (Evidence) ทไ่ี ด้
จากการสารวจตรวจสอบ การประเมินและเช่ือมโยงความรู้ท่ีเก่ียวข้องหรือคาอธิบายอ่ืนเพ่ือปรับปรุง
คาอธบิ ายของตนและนาเสนอต่อผู้อื่น นอกจากนี้ ครูอาจใช้การสืบเสาะหาความรู้ท่ีตนเองเป็นผู้กาหนดแนวใน
การทากิจกรรม (Structured Inquiry) โดยครสู ามารถแนะนานกั เรยี นได้ตามความเหมาะสม
การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ครูสามารถออกแบบการสอนให้มีลักษณะ
สาคัญของการสบื เสาะ ดังนี้
ภาพ วัฏจกั รการสบื เสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ในหอ้ งเรยี น
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ ือครรู ายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ป
การจดั การเรียนการสอนทส่ี อดคลอ้ งกับธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์
และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เป็นลักษณะเฉพาะตัวของวิทยาศาสตร์ที่มีความแตกต่างจากศาสตร์อ่ืน ๆ
เป็นค่านิยม ข้อสรุป แนวคิด หรือคาอธิบายท่ีบอกว่า วิทยาศาสตร์คืออะไร มีการทางานอย่างไร
นักวิทยาศาสตร์คือใคร ทางานอย่างไร และงานด้านวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์อย่างไรกับสังคม ค่านิยม
ขอ้ สรปุ แนวคดิ หรอื คาอธบิ ายเหลา่ น้จี ะผสมกลมกลืนอยู่ในตัววิทยาศาสตร์ ความรทู้ างวิทยาศาสตร์ และการ
พัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนต้น ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติ
ของวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขึ้นอยู่กับระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรี ยนและ
ประสบการณ์ท่ีครูจัดให้แกน่ ักเรียน ความสามารถในการสังเกตและการสื่อความหมายของนักเรียนในระดับน้ี
ค่อย ๆ พัฒนาขึ้น ครูควรอานวยความสะดวกในการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และแนวคิด
ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน นักเรียนในระดับน้ีเริ่มท่ีจะเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร วิทยาศาสตร์ทางาน
อย่างไร และนักวิทยาศาสตร์ทางานกันอย่างไรโดยผ่านการทากิจกรรมในห้องเรียน จากเร่ืองราวเก่ียวกับ
นกั วิทยาศาสตร์ และจากการอภิปรายในหอ้ งเรียน
นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนปลายซ่ึงกาลังพัฒนาฐานความรู้โดยใช้การสังเกตมากข้ึน
สามารถนาความรู้มาใช้เพื่อก่อให้เกิดความคาดหวังเก่ียวกับส่ิงต่าง ๆ รอบตัว โอกาสการเรียนรู้สาหรับนักเรียน
ในระดับนี้ ควรเน้นไปที่ทักษะการตั้งคาถามเชิงวิทยาศาสตร์ การสร้างคาอธิบายท่ีมีเหตุผลโดยอาศัย
พยานหลักฐานท่ปี รากฏ และการสอื่ ความหมายเกีย่ วกับความคิดและการสารวจตรวจสอบของตนเองและของ
นักเรียนคนอื่น ๆ นอกจากน้ีเรื่องราวทางประวัติศาสตรส์ ามารถเพิม่ ความตระหนักถงึ ความหลากหลายของคน
ในชุมชนวิทยาศาสตร์ นักเรียนในระดับน้ีควรมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ีช่วยให้เขาคิดอย่างมีวิจารณญาณ
เกี่ยวกบั พยานหลักฐานและความสมั พันธร์ ะหว่างพยานหลักฐานกับการอธบิ าย
การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรียนแตล่ ะระดับชัน้ มพี ัฒนาการเป็นลาดบั ดงั นี้
ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 1 สามารถ ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 2 สามารถ
ตัง้ คาถาม บรรยายคาถาม เขียนเกย่ี วกบั ออกแบบและดาเนนิ การสารวจตรวจสอบเพื่อ
คาถาม ตอบคาถามทีไ่ ดต้ ั้งไว้
บนั ทึกข้อมูลจากประสบการณ์ สารวจ ส่ือความหมายความคิดของเขาจากส่ิงท่สี งั เกต
อา่ นและการอภิปรายเร่อื งราวต่าง ๆ เกีย่ วกบั
ตรวจสอบช้ันเรียน
อภปิ รายแลกเปลยี่ นหลกั ฐานและความคิด วทิ ยาศาสตร์
เรยี นร้วู ่าทุกคนสามารถเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
ได้
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ผ คู่มือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1
ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3 สามารถ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 สามารถ
ทาการทดลองอย่างง่าย ๆ
ตั้งคาถามท่ีสามารถตอบได้โดยการใช้ ให้เหตุผลเกยี่ วกบั การสังเกต
ฐานความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์และการสงั เกต
การสื่อความหมาย
ทางานในกลมุ่ แบบรว่ มมือเพ่ือสารวจ ลงมอื ปฏิบัติการทดลองและการอภปิ ราย
ตรวจสอบ คน้ หาแหลง่ ข้อมูลทเ่ี ช่ือถือได้และบูรณาการ
คน้ หาขอ้ มลู และการส่อื ความหมายคาตอบ ขอ้ มลู เหลา่ น้ันกบั การสังเกตของตนเอง
ศกึ ษาประวตั ิการทางานของนักวทิ ยาศาสตร์
สร้างคาบรรยายและคาอธิบายจากส่งิ ท่ี
สังเกต
นาเสนอประวัติการทางานของ
นกั วทิ ยาศาสตร์
ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 สามารถ ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 สามารถ
สารวจตรวจสอบ สารวจตรวจสอบท่ีเนน้ การใช้ทักษะทาง
วทิ ยาศาสตร์
ตั้งคาถามทางวิทยาศาสตร์
รวบรวมขอ้ มูลที่เกี่ยวขอ้ ง การมองหา
ตีความหมายข้อมูลและคิดอย่างมี แบบแผนของข้อมลู การสื่อความหมาย
วิจารณญาณโดยมีหลักฐานสนบั สนุน และการแลกเปล่ยี นเรียนรู้
คาอธบิ าย
เขา้ ใจความแตกต่างระหวา่ งวิทยาศาสตร์
เขา้ ใจธรรมชาติวิทยาศาสตร์จากประวัติการ และเทคโนโลยี
ทางานของนักวิทยาศาสตร์ที่มคี วามมานะ
อตุ สาหะ เข้าใจการทางานทางวิทยาศาสตร์ผ่าน
ประวตั ิศาสตรข์ องนักวิทยาศาสตร์ทุกเพศ
ท่มี หี ลายเชอ้ื ชาติ วัฒนธรรม
สามารถอ่านข้อมูลเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการสืบเสาะหาความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์และการจดั การเรียนรู้ท่สี อดคล้องกบั ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จากคมู่ อื การใช้หลกั สูตร
http://ipst.me/8922
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ฝ
การวัดผลและประเมนิ ผลการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
แนวคิดสาคัญของการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542
และทแี่ ก้ไขเพิ่มเติม (ฉบบั ที่ 2) พทุ ธศกั ราช 2545 ที่เนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ คือ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ท่ีเปิด
โอกาสให้ผู้เรียนคิดและลงมือปฏิบัติด้วยกระบวนการท่ีหลากหลาย เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
เต็มตามศักยภาพ การวัดและประเมินผลจึงมีความสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิงต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ในห้องเรียน เพราะสามารถทาให้ผสู้ อนประเมินระดบั พัฒนาการการเรยี นรขู้ องผเู้ รียนได้
กิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนมีหลากหลาย เช่น กิจกรรมสารวจภาคสนาม กิจกรรมการสารวจ
ตรวจสอบ การทดลอง กิจกรรมศึกษาค้นคว้า กิจกรรมศึกษาปัญหาพิเศษ หรือโครงงานวิทยาศาสตร์ อย่างไร
ก็ตามในการทากิจกรรมเหล่าน้ีต้องคานึงว่านักเรียนแต่ละคนมีศักยภาพแตกต่างกัน นักเรียนจึงอาจทางาน
ช้ินเดียวกันได้สาเร็จในเวลาท่แี ตกตา่ งกัน และผลงานทไี่ ดก้ ็อาจแตกตา่ งกันด้วย เมือ่ นกั เรียนทากิจกรรมเหล่านี้
แล้วก็ต้องเก็บรวบรวมผลงาน เช่น รายงาน ชิ้นงาน บันทึก และรวมถึงทักษะปฏิบัติต่าง ๆ เจตคติทาง
วิทยาศาสตร์ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ความรัก ความซาบซ้ึง กิจกรรมท่ีนักเรียนได้ทาและผลงานเหลา่ น้ีต้องใช้
วิธีประเมินท่ีมีความเหมาะสมและแตกต่างกันเพื่อช่วยให้สามารถประเมินความรู้ความสามารถและความรู้สึก
นกึ คิดท่ีแท้จรงิ ของนักเรยี นได้ การวัดผลและประเมินผลจะมีประสิทธภิ าพก็ต่อเมือ่ มีการประเมินหลาย ๆ ด้าน
หลากหลายวธิ ี ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่สอดคลอ้ งกับชวี ิตจรงิ และต้องประเมินอย่างต่อเนื่อง เพอ่ื จะได้ข้อมูลท่ี
มากพอที่จะสะทอ้ นความสามารถท่แี ท้จริงของนกั เรียนได้
จดุ มงุ่ หมายหลกั ของการวดั ผลและประเมนิ ผล
1. เพื่อค้นหาและวินิจฉัยวา่ นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเน้ือหาวทิ ยาศาสตร์ มีทักษะความชานาญ
ในการสารวจตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์อย่างไรและในระดับใด เพื่อเป็น
แนวทางให้ครูสามารถวางแผนการจัดการเรยี นการสอนได้อย่างเหมาะสมเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของนกั เรียนได้
อยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ
2. เพ่ือใช้เป็นข้อมลู ยอ้ นกลับสาหรบั นักเรยี นวา่ มกี ารเรียนรอู้ ยา่ งไร
3. เพ่อื ใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ในการสรปุ ผลการเรียน และเปรียบเทียบระดบั พัฒนาการดา้ นการเรียนรขู้ องนักเรยี น
แตล่ ะคน
การประเมินการเรียนรู้ของนักเรยี น มี 3 แบบ คือ การประเมินเพื่อคน้ หาและวินจิ ฉยั การประเมิน
เพอื่ ปรบั ปรุงการเรียนการสอน และการประเมนิ เพ่อื ตัดสนิ ผลการเรยี นการสอน
การประเมินเพื่อค้นหาและวินิจฉัย เป็นการประเมินเพ่ือบ่งช้ีก่อนการเรียนการสอนว่า นักเรียนมี
พ้ืนฐานความรู้ ประสบการณ์ ทักษะ เจตคติ และแนวคิดท่ีคลาดเคล่ือนอะไรบ้าง การประเมินแบบน้ีสามารถ
บง่ ช้ีไดว้ า่ นกั เรยี นคนใดต้องการความชว่ ยเหลือเปน็ พิเศษในเร่ืองที่ขาดหายไป หรอื เป็นการประเมินเพื่อพัฒนา
ทักษะท่ีจาเป็นก่อนท่ีจะเรียนเรื่องต่อไป การประเมินแบบนี้ยังช่วยบ่งช้ีทักษะหรือแนวคิดท่ีมีอยู่แล้วของ
นักเรียนอีกด้วย การประเมินเพ่ือปรับปรุงการเรียนการสอน เป็นการประเมินในระหว่างช่วงที่มีการเรียน
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
พ คู่มือครูรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1
การสอน การประเมินแบบน้ีจะช่วยบ่งชี้ระดับที่นักเรียนกาลังเรียนอยู่ในเร่ืองท่ีได้สอนไปแล้ว หรือบ่งชี้ความรู้
ของนกั เรียนตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ที่ได้วางแผนไว้ เป็นการประเมินทีใ่ ห้ข้อมลู ย้อนกลับกับนักเรียนและกับ
ครูว่าเป็นไปตามแผนการทีว่ างไวห้ รอื ไม่ ขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการประเมินแบบน้ีไมใ่ ช่เพ่ือเป้าประสงคใ์ นการให้ระดับ
คะแนน แตเ่ พ่ือช่วยครใู นการปรับปรงุ การสอน และเพือ่ วางแผนประสบการณ์ต่าง ๆ ทจี่ ะใหก้ ับนักเรียนต่อไป
การประเมนิ เพือ่ ตัดสนิ ผลการเรียนการสอน เกดิ ข้นึ เมอื่ ส้ินสดุ การเรียนการสอนแล้ว สว่ นมากเป็น
“การสอบ” เพ่ือใหร้ ะดับคะแนนแกน่ ักเรยี น หรอื เพื่อให้ตาแหน่งความสามารถของนักเรยี น หรอื เพ่ือเป็นการบ่งชี้
ความก้าวหน้าในการเรียน การประเมินแบบนี้ถือว่ามีความสาคัญในความคิดของผู้ปกครอง นักเรียน ครู
ผู้บริหาร อาจารย์แนะแนว ฯลฯ แต่ก็ไม่ใช่เป็นการประเมินภาพรวมท้ังหมดของความสามารถของนักเรียน
ครูต้องระมัดระวังเม่ือประเมินผลรวมเพื่อตัดสินผลการเรียนของนักเรียน ทั้งน้ีเพื่อให้เกิดความสมดุล
ความยตุ ธิ รรม และเกดิ ความเทยี่ งตรง
การตัดสินผลการเรียนของนักเรียนมักจะมีการเปรียบเทียบกับส่ิงอ้างอิง ส่วนมากการประเมิน
มักจะอ้างอิงกลุ่ม (norm reference) คือเป็นการเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนโดยเปรยี บเทียบกับกลุ่ม
หรือคะแนนของนักเรียนคนอ่ืนๆ การประเมินแบบกลุ่มนี้จะมี “ผู้ชนะ” และ “ผู้แพ้” อย่างไรก็ตามการประเมิน
แบบอิงกลุ่มนี้จะมีนักเรียนครึ่งหน่ึงที่อยู่ต่ากว่าระดับคะแนนเฉล่ียของกลุ่ม นอกจากน้ียังมีการประเมินแบบ
อิงเกณฑ์ (criterion reference) ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนกับเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้โดยไม่
คานึงถึงคะแนนของนักเรียนคนอื่นๆ ฉะน้ันจุดมุ่งหมายในการเรียนการสอนจะต้องชัดเจนและมีเกณฑ์ที่บอกให้
ทราบว่าความสามารถระดับใดจึงจะเรียกว่าบรรลุถึงระดับ “รอบรู้” โดยท่ีนักเรียนแต่ละคน หรือช้ันเรียน
แต่ละชั้น หรือโรงเรียนแต่ละโรงจะได้รับการตัดสินว่าประสบผลสาเร็จก็ต่อเม่ือ นักเรียนแต่ละคน หรือชั้นเรียน
แตล่ ะชั้น หรือโรงเรียนแต่ละโรงได้สาธิตผลสาเร็จ หรอื สาธติ ความรอบรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือตามเกณฑ์
ทตี่ ัง้ ไว้ ข้อมูลท่ใี ช้สาหรับการประเมนิ เพ่ือวินจิ ฉัย หรอื เพ่ือปรับปรุงการเรียนการสอน หรือเพื่อตัดสินผลการเรียน
การสอนสามารถใช้การประเมินแบบอิงกลุ่มหรืออิงเกณฑ์ เท่าท่ีผ่านมาการประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียน
การสอนจะใชก้ ารประเมินแบบองิ กลุ่ม
แนวทางการวดั ผลและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
การเรียนรจู้ ะบรรลุตามเปา้ หมายของการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ท่ีวางไว้ ควรมแี นวทางดังต่อไปนี้
1. วัดและประเมินผลท้ังความรู้ความคิด ความสามารถ ทักษะกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม
คา่ นยิ มดา้ นวทิ ยาศาสตร์ รวมท้ังโอกาสในการเรยี นรู้ของนักเรยี น
2. วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผลต้องสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนร้ทู ี่กาหนดไว้
3. เก็บขอ้ มูลจากการวดั และประเมินผลอย่างตรงไปตรงมา และต้องประเมินผลภายใตข้ ้อมลู ท่ีมีอยู่
4. ผลของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนต้องนาไปส่กู ารแปลผลและลงข้อสรุปท่ีสมเหตสุ มผล
5. การวัดและประเมินผลต้องมีความเที่ยงตรงและเป็นธรรม ท้ังในด้านของวิธีการวัดและโอกาสของการ
ประเมนิ
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คู่มอื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ฟ
วธิ กี ารและแหลง่ ข้อมูลทใี่ ชใ้ นการวดั ผลและประเมนิ ผล
เพอ่ื ใหก้ ารวดั ผลและประเมินผลได้สะท้อนความสามารถที่แทจ้ ริงของนักเรียน ผลการประเมินอาจ
ได้มาจากแหล่งข้อมูลและวธิ กี ารตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. สังเกตการแสดงออกเปน็ รายบคุ คลหรอื รายกล่มุ
2. ชิน้ งาน ผลงาน รายงาน
3. การสมั ภาษณท์ ้ังแบบเปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ
4. บันทกึ ของนักเรยี น
5. การประชุมปรึกษาหารอื รว่ มกนั ระหวา่ งนักเรียนและครู
6. การวดั และประเมินผลภาคปฏิบัติ
7. การวดั และประเมินผลด้านความสามารถ
8. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรโู้ ดยใชแ้ ฟ้มผลงาน
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ภ ค่มู ือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1
ตารางแสดงความสอดคลอ้ งระหว่างเนื้อหาและกิจกรรม ระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 เลม่ 1
กับตัวช้วี ัด กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
หน่วยการ ชือ่ กจิ กรรม เวลา ตัวชวี้ ัด
เรยี นรู้ (ช่ัวโมง)
-
หนว่ ยที่ 1 บทที่ 1 เรยี นรู้แบบนักวิทยาศาสตร์ 1
การเรยี นรสู้ งิ่ ว 3.2 ป.3/1
ตา่ ง ๆ เรือ่ งที่ 1 ทกั ษะการจดั กระทาและ 1 ระบุส่วนประกอบของอากาศ
รอบตวั บ ร ร ย า ย ค ว า ม ส า คั ญ ข อ ง
สอ่ื ความหมายข้อมลู อากาศ และผลกระทบของ
หนว่ ยท่ี 2 มลพิษทางอากาศต่อสิ่งมีชีวิต
อากาศและ กจิ กรรมท่ี 1 จัดกระทาและ 2 จากขอ้ มลู ท่รี วบรวมได้
ชวี ิตของสัตว์
สอ่ื ความหมายขอ้ มลู ได้อย่างไร
เร่อื งที่ 2 ทกั ษะการหาความสัมพนั ธ์ระหว่าง 1
สเปซกบั สเปซและสเปซกบั เวลา และ
ทกั ษะการสรา้ งแบบจาลอง
กจิ กรรมที่ 2.1 ความสมั พันธ์ระหวา่ ง 2
สเปซกบั สเปซเปน็ อย่างไร
กจิ กรรมที่ 2.2 ความสมั พันธ์ระหวา่ ง 2
สเปซกับเวลาเปน็ อย่างไร
กจิ กรรมที่ 2.3 สรา้ งแบบจาลอง 2
อธิบายกระบอกปริศนาได้อย่างไร
เร่อื งที่ 3 หลักฐานกบั การสื่อสารทาง 1
วทิ ยาศาสตร์
กจิ กรรมที่ 3 คาตอบที่นา่ เชอื่ ถอื เป็น 2
อย่างไร
กิจกรรมท้ายบทที่ 1 เรยี นร้แู บบนกั วทิ ยาศาสตร์ 1
บทที่ 1 อากาศและความสาคญั ตอ่ สิ่งมีชีวิต 1
เรื่องที่ 1 อากาศ 1
กจิ กรรมท่ี 1.1 อากาศมสี ว่ นประกอบ 3
อะไรบา้ ง
กิจกรรมที่ 1.2 ลดมลพิษทางอากาศได้ 3
อยา่ งไร
กิจกรรมท่ี 1.3 ลมเกิดข้นึ ได้อยา่ งไร 4
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คูม่ ือครรู ายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1 ม
หน่วยการ ชอ่ื กจิ กรรม เวลา ตวั ชวี้ ัด
เรยี นรู้ กจิ กรรมท้ายบทที่ 1 อากาศและความสาคญั ต่อ (ชั่วโมง)
ส่งิ มชี วี ติ
1 ว 3.2 ป.3/2
บทท่ี 2 การดารงชีวิตของสัตว์
เรื่องที่ 1 ส่ิงทีจ่ าเป็นตอ่ การเจรญิ เตบิ โตและ ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ค ว า ม ส า คั ญ
การดารงชวี ติ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ ของอากาศ โดยนาเสนอ
กิจกรรมท่ี 1.1 สตั วต์ ้องการส่ิงใดใน
การเจรญิ เติบโตและการดารงชวี ิต แนวทางการปฏิบัติตนในการ
กิจกรรมท่ี 1.2 มนุษย์ตอ้ งการสิง่ ใดใน
การเจรญิ เตบิ โตและการดารงชีวติ ลดการเกิดมลพิษทางอากาศ
เรื่องท่ี 2 วัฏจกั รชวี ติ ของสัตว์
กิจกรรมที่ 2 วัฏจกั รชีวติ ของสตั ว์เป็น ว 3.2 ป.3/3
อยา่ งไร
กิจกรรมท้ายบทที่ 2 การดารงชีวิตของสตั ว์ อ ธิ บ า ย ก า ร เ กิ ด ล ม จ า ก
หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์
ว 3.2 ป.3/4
บรรยายประโยชน์และโทษ
ของลมจากข้อมูลท่ีรวบรวม
ได้
1 ว1.2 ป.3/1
1 บรรยายสิ่งท่ีจาเป็นต่อการ
ด า ร ง ชี วิ ต แ ล ะ ก า ร
3 เจริญเติบโตของมนุษย์และ
สัตว์ โดยใช้ข้อมูลท่ีรวบรวม
2 ได้
ว1.2 ป.3/2
1 ตระหนักถึงประโยชน์ของ
2 อาหาร น้า และอากาศ โดย
การดูแลตนเองและสัตว์ให้
1 ไ ด้ รั บ ส่ิ ง เ ห ล่ า น้ี อ ย่ า ง
เหมาะสม
ว1.2 ป.3/3
ส ร้ า ง แ บ บ จ า ล อ ง ท่ี
บรรยายวัฏจักรชีวิตของสัตว์
และเปรียบเทียบวัฏจักรชีวิต
ของสตั ว์บางชนิด
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ย คมู่ อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1
หน่วยการ ชื่อกจิ กรรม เวลา ตวั ชี้วัด
เรียนรู้ (ช่วั โมง)
ว1.2 ป.3/4
ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต
สัตว์ โดยไม่ทาให้วัฏจักรชีวิต
ของสตั วเ์ ปลย่ี นแปลง
แบบทดสอบท้ายเลม่ 1-
รวมจานวนชั่วโมง 40
หมายเหต:ุ กจิ กรรม เวลาท่ใี ช้ และสิ่งท่ีต้องเตรยี มลว่ งหนา้ นัน้ ครสู ามารถปรบั เปลยี่ นเพิ่มเติมไดต้ าม
ความเหมาะสมของสภาพท้องถน่ิ
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คู่มอื ครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เลม่ 1 ร
รายการวสั ดอุ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ ป.3 เล่ม 1
ลาดบั ท่ี รายการ จานวน/กลุ่ม จานวน/หอ้ ง จานวน/คน
หนว่ ยที่ 1 การเรยี นร้สู งิ่ ตา่ ง ๆ รอบตัว
1 ใบแจง้ ค่าไฟฟ้า 1 ชุด (6 ใบ)
1 แผน่
2 กระดานสาหรบั ต่อตัวตอ่ 1 ชดุ
1 เม็ด
3 ตวั ต่อ 1 ใบ
4 ลูกอมเคลือบสี
5 จานพลาสตกิ สขี าว
6 น้า
7 นาฬิกาจับเวลา 1 เครื่อง
1 อัน
8 แกนของม้วนกระดาษเยอ่ื 1 ชุด
1 เล่ม
9 กระบอกปริศนา 2 เสน้
1 เสน้
10 กรรไกร
11 เชือก
12 ยางรัดของ
หนว่ ยที่ 2 อากาศและชีวิตของสตั ว์
1 กระติกนา้ แข็ง 1-2 ใบ
2 กิโลกรัม
2 น้าแข็ง
3 ถงุ พลาสติก 1 ใบ
1 เส้น
4 ยางรัดของ 1 ผนื /แผ่น
1 มว้ น
5 ผ้าสะอาดหรือกระดาษเยื่อ 1 ม้วน
1 เล่ม
6 เทปใส 1 อัน
7 เชือก
8 กรรไกร
9 ไมบ้ รรทดั
10 กระดาษเทาขาวเจาะชอ่ ง 2 แผ่น
11 เทอรม์ อมิเตอร์ 2 อัน
1 แผ่น
12 กระดาษ
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ล ค่มู ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1
ลาดับที่ รายการ จานวน/กลุ่ม จานวน/ห้อง จานวน/คน
13 ธูป 1 ดอก 1 เล่ม
14 ไมข้ ดี ไฟ 1 กลัก 1 เรอื่ ง
15 กระป๋องทราย 1 ใบ 1 ถงุ
16 เทียนไข 1 เลม่ 1 เครือ่ ง
17 ฝาขวดน้า 1 อัน 1 เครื่อง
18 ขวดน้าพลาสตกิ ใบใหญ่ 1 ใบ
19 ขวดน้าพลาสติกใบเลก็ 1 ใบ
20 วดี ิทัศน์เกี่ยวกบั การเจรญิ เติบโตและการดารงชีวติ ของ
สัตวช์ นิดตา่ ง ๆ 1 ถงั
21 นา้ 1 ใบ
22 ภาชนะสาหรับเลี้ยงปลา
23 สาลี 3 ใบ
24 จานกระดาษ 1 อนั
25 กระชอนตักปลา 3 ตวั
26 ลกู ปลา 1 ถงุ
27 อาหารปลา
28 ทีว่ ัดส่วนสูง 1 ชดุ
29 เครอื่ งชัง่ น้าหนัก 1 ชุด
30 สมุดรายงานสุขภาพประจาปี
31 บัตรภาพแสดงการเจรญิ เติบโตในระยะต่าง ๆ ของมนุษย์
ไก่ และผีเส้ือไหม
32 บตั รคา
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หนว ยท่ี 1 การเรียนรสู ง่ิ ตาง ๆ รอบตัวคูม ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรียนรสู งิ่ ตาง ๆ รอบตวั
ภาพรวมการจัดการเรยี นรปู ระจาํ หนว ยที่ 1 การเรยี นรสู ิ่งตา ง ๆ รอบตัว
บท เร่อื ง กจิ กรรม ลาํ ดับแนวคิดตอ เนือ่ ง ตวั ชี้วดั
-
บทที่ 1 เรียนรูแบบ เรอ่ื งท่ี 1 ทักษะการจัด กิจกรรมท่ี 1 จดั กระทาํ การจัดกระทําและส่ือความหมายขอมูล
นักวิทยาศาสตร กระทาํ และส่ือ และสอื่ ความหมายขอมลู เปนการนําขอมูลท่ีเก็บรวบรวมไดจาก
ไดอยางไร การสืบเสาะหาความรูทางวิทยาศาสตร
ความหมายขอมูล มาจัดกระทําใหมใหอยูในรูปแบบตาง ๆ
กจิ กรรมท่ี 2.1 เพ่ือส่ือความหมายของขอมูลใหเขาใจได
เรื่องที่ 2 ทักษะการหา ความสัมพนั ธระหวา ง งาย ถกู ตอ ง และรวดเรว็
ความสัมพันธระหวาง สเปซกับสเปซเปน อยางไร
สเปซกับสเปซ ทักษะการหาความสัมพันธระหวางสเปซ
และสเปซกบั เวลา และ กิจกรรมที่ 2.2 กับสเปซเปนความสามารถในการหา
ทักษะการสรา ง ความสัมพนั ธระหวา ง ความสมั พันธร ะหวางขนาดของวัตถุกับที่
แบบจาํ ลอง สเปซกบั เวลาเปนอยา งไร วา งที่วตั ถุนัน้ จะเขาไปอยหู รือครอบครอง
เรื่องท่ี 3 หลักฐานกับ กิจกรรมที่ 2.3 สราง ทักษะการหาความสัมพันธระหวางสเปซ
การส่ือสารทาง แบบจาํ ลองอธิบาย กับเวลาเปนความสามารถในการหา
วิทยาศาสตร กระบอกปริศนาไดอยา งไร ความสัมพันธของพ้ืนที่หรือตําแหนงที่
วัตถุครอบครองท่ีเปล่ียนแปลงไปเม่ือ
กจิ กรรมที่ 3 คาํ ตอบที่ เวลาผานไป
นาเชอ่ื ถอื เปนอยางไร
ทั กษะการสร างแบบจํ าลองเป น
ความสามารถในการสรางหรื อใช
แ บ บ จํ า ล อ ง เ พื่ อ สื่ อ ส า ร ห รื อ อ ธิ บ า ย
แนวคิดหรือปรากฏการณ โดยทําเปน
รปู ภาพ งานปน แผนภาพ หรอื อ่นื ๆ
คําตอบที่นาเช่ือถือคือคําตอบที่มี
หลักฐานท่ีไดจากการวิเคราะหขอมูลมา
สนับสนุนคําตอบ และมีการส่ือสารให
ผูอ่ืนเขาใจโดยมีการเช่ือมโยงคําตอบกับ
หลักฐานอยางเปน เหตุเปน ผล
รวมคิด รว มทํา 1
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรยี นรูสง่ิ ตาง ๆ รอบตัว
2 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรียนรูส่ิงตาง ๆ รอบตวั
บทที่ 1 เรยี นรูแบบนกั วิทยาศาสตร
จุดประสงคก ารเรยี นรูประจาํ บท
เมอื่ เรยี นจบบทน้ี นักเรยี นสามารถ
1. ใชทักษะการจัดกระทําและส่ือความหมายขอมูล
ทักษะการหาความสัมพันธระหวางสเปซกับสเปซ
แ ล ะ ส เ ป ซ กั บ เ ว ล า แ ล ะ ทั ก ษ ะ ก า ร ส ร า ง
แบบจําลองในการสืบเสาะและอธิบายความรูทาง
วทิ ยาศาสตร
2. ใชห ลักฐานท่ีนา เช่ือถือมาประกอบการอธบิ าย
ความรทู างวิทยาศาสตร
เวลา 15 ชั่วโมง
แนวคิดสําคญั บทน้ีมีอะไร
ทักษะการหาความสัมพันธระหวางสเปซของวัตถุ เรอื่ งที่ 1 ทกั ษะการจดั กระทําและส่ือ
ทกั ษะการจดั กระทําและสื่อความหมายขอมูล และทักษะ ความหมายขอมูล
การสรางแบบจําลอง เปนทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรที่นักวิทยาศาสตรสามารถนําไปใชใน กิจกรรมที่ 1 จดั กระทําและสื่อความหมายขอมูล
กระบวนการสืบเสาะหาความรูทางวิทยาศาสตรเพ่ือใหได
หลักฐ านท่ีนาเชื่อถื อ มาส นั บส นุ นคํ าต อบ อ ย า ง ไดอ ยางไร
สมเหตสุ มผล
เร่ืองที่ 2 ทกั ษะการหาความสัมพันธร ะหวา ง
ส่อื การเรยี นรแู ละแหลงเรียนรู หนา 1-42 สเปซกบั สเปซและสเปซกบั เวลา
หนา 1-43 และทกั ษะการสรา งแบบจาํ ลอง
1. หนังสือเรียน ป.3 เลม 1
2. แบบบันทกึ กจิ กรรม ป.3 เลม 1 กจิ กรรมที่ 2.1 ความสมั พนั ธร ะหวางสเปซกับสเปซ
เปนอยางไร
กจิ กรรมที่ 2.2 ความสมั พนั ธร ะหวางสเปซกับเวลา
เปน อยา งไร
กจิ กรรมท่ี 2.3 สรางแบบจําลองอธิบายกระบอก
ปรศิ นาไดอยา งไร
เรื่องที่ 3 หลักฐานกบั การส่ือสารทาง
วิทยาศาสตร
กจิ กรรมท่ี 3 คาํ ตอบที่นาเชอ่ื ถือเปน อยางไร
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 3
คูมอื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยที่ 1 การเรยี นรูส่ิงตา ง ๆ รอบตัว
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรและทกั ษะแหงศตวรรษท่ี 21
รหสั ทักษะ กจิ กรรมท่ี
1 2.1 2.2 2.3 3
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
S1 การสงั เกต
S2 การวัด
S3 การใชจ าํ นวน
S4 การจําแนกประเภท
S5 การหาความสมั พนั ธร ะหวาง
สเปซกับสเปซ
สเปซกับเวลา
S6 การจัดกระทาํ และสอ่ื ความหมายขอมลู
S7 การพยากรณ
S8 การลงความเหน็ จากขอมูล
S9 การตั้งสมมตฐิ าน
S10 การกาํ หนดนยิ ามเชงิ ปฏิบัติการ
S11 การกาํ หนดและควบคุมตัวแปร
S12 การทดลอง
S13 การตีความหมายขอมลู และลงขอ สรปุ
S14 การสรางแบบจําลอง
ทักษะแหงศตวรรษที่ 21
C1 การสรา งสรรค
C2 การคิดอยางมวี จิ ารณญาณ
C3 การแกปญหา
C4 การส่อื สาร
C5 ความรวมมือ
C6 การใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
หมายเหตุ : รหสั ทักษะทีป่ รากฏน้ี ใชเฉพาะหนงั สือคมู อื ครเู ลมน้ี
4 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยที่ 1 การเรยี นรูส ิ่งตา ง ๆ รอบตัว
แนวคิดคลาดเคลอ่ื น
แนวคิดคลาดเคลื่อนที่อาจพบและแนวคิดที่ถกู ตอ งในบทท่ี 1 เรยี นรูแ บบนกั วิทยาศาสตร มีดังตอไปนี้
แนวคิดคลาดเคลื่อน แนวคดิ ทถ่ี กู ตอ ง
แบบจําลองท่ีสรางข้ึนตองเหมือนของจริงมากท่ีสุด แบบจําลองไมจําเปนตองเหมือนของจริงมากที่สุด เน่ืองจาก
(ลฎาภา ลดาชาติ และลอื ชา ลดาชาติ, 2560) แบบจําลองเปนการเลือกเปาหมายบางอยางจากของจรงิ นน้ั ๆ
เพื่อสื่อสารหรืออธิบายเทานั้น ดังน้ันลักษณะบางอยางของ
ของจริงอาจไมไดแสดงใหเห็นในแบบจําลองที่สรางข้ึน
(ลฎาภา ลดาชาติ และลอื ชา ลดาชาต,ิ 2560)
แบบจําลองตองเปน วตั ถหุ รือสิ่งของทีเ่ ปนรปู ธรรมเทา นัน้ แบบจําลองไมจําเปนตอ งเปนวัตถุ หรือสิ่งของท่ีเปนรปู ธรรม
(ภรทิพย สุภัทรชัยวงศ, ชาตรี ฝายคําตา, และพจนารถ เชน รูปปน แผนภาพ แบบจําลองอาจเปนนามธรรม เชน
สวุ รรณรจุ ิ, 2557) คําพูด สูตร หรือสมการตาง ๆ ก็ได (ภรทิพย สุภัทรชัยวงศ,
ชาตรี ฝายคําตา, และพจนารถ สวุ รรณรจุ ิ, 2557)
ถาครพู บวามีแนวคิดคลาดเคลอ่ื นใดทยี่ งั ไมไดแ กไ ขจากการทํากจิ กรรมการเรียนรู ครูควรจัดการเรยี นรเู พิ่มเตมิ เพ่อื
แกไขตอไปได
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 5
คมู อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรียนรสู ่งิ ตาง ๆ รอบตัว
บทน้ีเร่มิ ตนอยางไร (1 ชั่วโมง) ในการทบทวนความรูพ้ืนฐาน
ครูควรใหเวลานักเรียนคิดอยาง
1. ครูทบทวนความรูพื้นฐานเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร เหมาะสม รอคอยอยางอดทน
ที่นักเรียนไดเรียนมาแลวในช้ันประถมศึกษาปที่ 1 และ 2 โดยอาจใช นักเรียนตองตอบคําถามเหลาน้ีได
คําถามวา นักเรียนไดฝกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรทักษะใด ถูกตอง หากตอบไมไดหรือลืม
มาแลวบาง แตละทักษะมีประโยชนและสามารถนําไปใชสืบเสาะหา ครูตองใหความรทู ถ่ี กู ตองทนั ที
ความรูทางวิทยาศาสตรไดอยางไร (นักเรียนตอบตามความเขาใจของ
ตนเองจากที่เคยเรียนรูมา เชน ทักษะการสังเกตเปนการใชประสาท ในการตรวจสอบความรูเดิม
สัมผัสในการเก็บขอมูล การจําแนกประเภทเปนการจัดกลุมสิ่งตาง ๆ ครูรับฟงเหตุผลของนักเรียนเปน
ตามเกณฑท่ีกําหนดไว หากครูคนพบวานักเรียนยังมีความเขาใจ สําคัญ ครูยังไมเฉลยคําตอบใด ๆ
คลาดเคล่ือนในประเด็นใด ครูอาจใชเวลาในการอภิปรายกับนักเรียน แตชักชวนใหหาคําตอบที่ถูกตอง
เพม่ิ เตมิ เพื่อแกไขความเขา ใจคลาดเคลือ่ นน้ัน ๆ) จากกิจกรรมตา ง ๆ ในบทเรยี นน้ี
2. ครูตรวจสอบความรูเดิมของนักเรียนเก่ียวกับทักษะการจัดกระทําและ ขอเสนอแนะเพมิ่ เตมิ
ส่ือความหมายขอมูล ทักษะการสรางแบบจําลอง และหลักฐานกับ
การส่ือสารทางวิทยาศาสตร โดยนําภาพแมว 2 ตัว ตัวละภาพ มาให ครูสามารถดาวนโหลดภาพแมว
นกั เรียนสงั เกต โดยแมวท้งั สองตัว มีขนาดแตกตางกนั และในภาพแมว จากเวบ็ ไซตท ีอ่ นุญาตใหใ ชไ ดฟ รี เชน
ทตี่ ัวมีขนาดใหญก วามีชามอาหารวางอยูดวย จากนัน้ ใชค ําถาม ดงั นี้
2.1 จากการสังเกตแมวในภาพ นักเรียนไดขอมูลอะไรบาง (ขอมูล 1. แมวที่มีขนาดใหญ จาก
ลกั ษณะของสวนตา ง ๆ ของรางกาย ขนาดของรา งกาย) shorturl.at/dqM17,
2.2 จากการสังเกตแมวท้ังสองตัวมีขอมูลใดบางท่ีเหมือนกัน และมี shorturl.at/yHIY2,
ขอมูลใดบางท่ีแตกตางกัน (นักเรียนตอบตามสิ่งท่ีสังเกตได เชน https://bit.ly/2PaBi0a
ขอมูลท่ีเหมือนกัน ไดแก มีขา 4 ขา มีหัว หู หาง ตีน ขอมูลท่ี
แตกตางกนั ไดแ ก ขนาดรางกาย สีขน สีตา) 2. แมวทีม่ ีขนาดเล็ก จาก
2.3 ถาตองการบอกเลาขอมูลท่ีไดจากการสังเกตภาพแมวทั้ง 2 ตัว https://bit.ly/2HFgN7K ,
ใหกับคนท่ีไมเคยเห็นภาพแมวน้ี นักเรียนจะทําไดอยางไรบาง https://bit.ly/39P7Qot
(นักเรียนตอบตามความเขาใจ เชน เลาลักษณะของแมวจาก
ความจําใหคนอื่นฟง วาดภาพและช้ีสวนตาง ๆ ของแมวแลว
นาํ ไปใหผ ูอ ่ืนดู หรือถา ยภาพแมวแลวนาํ ไปใหผ อู ื่นดู)
2.4 ระหวางรูปวาดแลวชี้สวนตาง ๆ ของรางกายกับภาพถาย
นักเรียนคิดวาอะไรจัดเปนแบบจําลอง เพราะเหตุใด (นักเรียน
ตอบตามความเขาใจ ซ่ึงคําตอบท่ีครูควรรูคือ รูปวาดจัดเปน
แบบจําลอง เพราะเปน สง่ิ ทส่ี รา งขนึ้ มาเพื่อแทนสง่ิ ทม่ี ีอยูจรงิ )
6 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรียนรสู ิ่งตาง ๆ รอบตัว
2.5 จากภาพของแมว นักเรียนคิดวาแมวมีขนาดแตกตางกัน
เพราะเหตุใด (นักเรียนตอบตามความเขาใจ เชน แมวมีขนาด
แตกตางกันเพราะมีอายุไมเทากัน แมวท่ีอายุมากกวามีขนาด
ลําตัวใหญกวาแมวที่อายุนอย หรือแมวมีขนาดแตกตางกัน
เพราะมีอาหารกินไมเทากัน แมวในภาพที่มีชามอาหารวางอยูมี
ขนาดลําตวั ใหญก วาแสดงวา มอี าหารกินมากกวา )
2.6 จากคําตอบทั้งหมด นักเรียนคิดวาคําตอบของเพื่อนคนใด
นาเช่ือถือกวากัน เพราะเหตุใด (นักเรียนตอบตามความเขาใจ
ของตนเองพรอมบอกเหตุผลประกอบ เชน ตอบวาแมวมีขนาด
แตกตางกันเพราะมีอาหารกินไมเทากัน เพราะในภาพเห็นวา
แมวที่มีขนาดลําตัวใหญกวากําลังกินอาหารแสดงวามีอาหารกิน
มากกวา )
3. ครูชักชวนนักเรียนศึกษาเรื่องการเรียนรูสิ่งตาง ๆ รอบตัว โดยใหอาน
ชอื่ หนวย และอา นคาํ ถามสําคญั ประจาํ หนว ยที่ 1 ดังน้ี จดั กระทําขอมูล
และนําเสนอความรูทางวิทยาศาสตรอยางมีหลักฐานท่ีนาเช่ือถือ
ไดอยางไร
นักเรียนตอบคําถาม โดยครูยังไมตองเฉลยคําตอบ แตจะใหนักเรียน
ยอนกลับมาตอบอีกครั้งหลังจากเรยี นจบหนว ยนแ้ี ลว
4. ครูใหนักเรียนอานชื่อบท และจุดประสงคการเรียนรูประจําบท ใน
หนงั สือเรียน หนา 1 จากนัน้ ครใู ชค ําถามเพือ่ ตรวจสอบความเขา ใจ ดังน้ี
4.1 บทนีจ้ ะไดเ รยี นเร่ืองอะไร (เรื่องการเรยี นรแู บบนกั วิทยาศาสตร)
4.2 จากจุดประสงคการเรียนรูเมื่อเรียนจบบทนี้นักเรียนสามารถทํา
อะไรไดบาง (สามารถใชทักษะการจัดกระทําและสือ่ ความหมาย
ขอมูล ทักษะการหาความสัมพันธระหวางสเปซกับสเปซ
และสเปซกับเวลา และทักษะการสรางแบบจําลองในการ
สืบเสาะและอธิบายความรูทางวิทยาศาสตร รวมท้ังสามารถใช
ห ลั ก ฐ า น ท่ี น า เ ชื่ อ ถื อ ม า ป ร ะ ก อ บ ก า ร อ ธิ บ า ย ค ว า ม รู ท า ง
วทิ ยาศาสตร)
5. นักเรียนอานช่ือบทและแนวคิดสําคัญ ในหนังสือเรียน หนา 2 จากนั้น
ครูใชคําถามดังนี้ จากการอานแนวคิดสําคัญ นักเรียนคิดวาจะไดเรียน
เกี่ยวกับเร่ืองอะไรบาง (เรียนเรื่องทักษะการหาความสัมพันธระหวางสเปซ
ของวัตถุ ทักษะการจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูลทักษะ การสราง
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 7
คมู ือครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรยี นรูส ่งิ ตาง ๆ รอบตัว
แบบจําลอง และการใชหลักฐานที่นาเชื่อถือมาสนับสนุนคําตอบอยาง หากนักเรียนไมสามารถตอบ
สมเหตสุ มผล) คําถามหรืออภิปรายไดตามแนว
6. ครูชักชวนใหนักเรียนสังเกตรูปแผนท่ีและตาราง และอานเน้ือเรื่องใน คําตอบ ครูควรใหเวลานักเรียนคิด
หนังสือเรียน หนา 2 โดยครูฝกทักษะการอานตามวิธีการอานที่ อยางเหมาะสม รอคอยอยางอดทน
เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน ครูตรวจสอบความเขาใจจาก แ ล ะ รั บ ฟ ง แ น ว ค ว า ม คิ ด ข อ ง
การอาน โดยใชค าํ ถามดงั นี้ นักเรยี น
6.1 ในหนังสือเรียนหนา 2 นี้มีการนําเสนอขอมูลเร่ืองอะไร (ขอมูล
เวลาท่ีคนในจังหวัดตาง ๆ เห็นดวงอาทิตยขึ้น ในวันที่ 22
พฤษภาคม พ.ศ. 2562)
6.2 การนําเสนอขอมูลเวลาทค่ี นในจังหวัดตาง ๆ เหน็ ดวงอาทิตยขึ้น
สามารถนําเสนอในรูปแบบใดบาง (นําเสนอในรูปแบบแผนภาพ
และตาราง) ในกรณีท่ีนักเรียนไมไดตอบวาแผนภาพ ครูสามารถ
อธิบายเพ่ิมเติมไดวาภาพที่เขียนหรือสรางขึ้นซึ่งอาจมีขอความ
หรือสัญลักษณประกอบเพ่ืออธิบายเร่ืองตาง ๆ ใหชัดเจนข้ึน
เรยี กวา แผนภาพ
6.3 จากขอมูลท่ีแสดงในแผนภาพและในตารางนักเรียนสามารถ
ลงความเห็นไดวาอยางไร (ในวันท่ี 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
คนในแตล ะจังหวัดเห็นดวงอาทติ ยข ้ึนไมพ รอมกนั )
6.4 การนาํ เสนอขอมูลในรูปแบบแผนภาพและตาราง นักเรยี นคิดวา
การจัดกระทําขอมูลในรูปแบบใดที่ชวยใหเปรียบเทียบขอมูลได
งายวาจังหวัดใดเห็นดวงอาทิตยขึ้นกอนและหลัง เพราะเหตุใด
(นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง เชน ตาราง เพราะ
ขอ มลู เวลาจัดไวอ ยางเปนระเบียบอยใู นแถวเดียวกันทําใหดูเวลา
ไดงาย และเปรียบเทียบเวลาของแตล ะจังหวดั ไดง า ย)
6.5 การนาํ เสนอขอมูลในรูปแบบแผนภาพและตาราง นกั เรียนคิดวา
แบบใดที่สามารถบอกไดเร็วกวากันวาคนในภาคใดของประเทศ
ไทยจะเห็นดวงอาทิตยข้ึนกอนภาคอนื่ ๆ เพราะเหตใุ ด (นกั เรียน
ตอบตามความเขาใจของตนเอง เชน การนําเสนอขอมูลใน
รูปแบบแผนภาพทําใหบอกไดเร็วกวา เน่ืองจากเราสามารถเห็น
ไดชัดเจนและรวดเร็ววาแตละจังหวัดอยูในตําแหนงใดของ
แผนภาพและตาํ แหนงนั้นเปนภาคใด พรอมทัง้ มขี อมูลเวลาท่ีคน
ในจงั หวัดนั้นเหน็ ดวงอาทิตยข ึ้นประกอบอยดู ว ย จึงทําใหบ อกได
อ ย า ง ร ว ด เ ร็ ว ว า ค น ใ น ภ า ค ต ะ วั น อ อ ก เ ฉี ย ง เ ห นื อ จ ะ เ ห็ น
8 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรยี นรสู ่งิ ตาง ๆ รอบตัว
ดวงอาทิตยขึ้นกอนภาคอื่น ๆ เพราะจังหวัดอุบลราชธานีท่ีอยู
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดวงอาทิตยข้ึนเวลา 05:30 น. กอน
จังหวดั อ่นื ๆ ทีอ่ ยใู นภาคอน่ื ๆ)
6.6 ถานักเรียนมีขอมูลบางอยาง และตองการนําเสนอใหผูอ่ืนเขาใจ
และมีความนาเชื่อถือ นักเรียนจะตองทําอยางไรบาง (นักเรียน
ตอบตามความเขาใจ เชน ตอ งเปนขอมลู ท่มี ีหลกั ฐานทนี่ า เชื่อถือ
มาสนับสนุนอยา งสมเหตุสมผล และนําขอมูลนนั้ มาจัดกระทําให
เขาใจไดงาย)
7. ครูชักชวนนักเรียนตอบคําถามเก่ียวกับการเรียนรูแบบนักวิทยาศาสตร
ในสาํ รวจความรกู อ นเรยี น
8. นักเรียนทําสํารวจความรูกอนเรียน ในแบบบันทึกกิจกรรม หนา 2-6
โดยนักเรียนอานขอมูลที่กําหนดให และอานคําถามแตละขอ
ครูตรวจสอบความเขา ใจของนกั เรียน จนแนใ จวานักเรียนสามารถทําได
ดวยตนเอง จึงใหนักเรียนตอบคําถาม คําตอบของแตละคนอาจ
แตกตา งกนั และคาํ ตอบอาจถูกหรือผดิ กไ็ ด
9. ครูสังเกตการตอบคําถามของนักเรียนเพื่อตรวจสอบวานักเรียนมี
แนวคิดเก่ียวกับการเรียนรูแบบนักวิทยาศาสตรอยางไร โดยอาจสุมให
นักเรียน 2-3 คน นําเสนอคําตอบของตนเอง ครูยังไมตองเฉลยคําตอบ
แตจะใหนักเรียนยอนกลับมาตรวจสอบอีกครั้งหลังจากเรียนจบบทน้ี
แลว ทั้งนี้ครูควรบันทึกแนวคิดคลาดเคล่ือนหรือแนวคิดท่ีนาสนใจของ
นักเรียน แลวนํามาใชในการออกแบบการจัดการเรียนรูเพื่อแกไข
แนวคิดคลาดเคล่ือนใหถูกตอง และตอยอดแนวคิดท่ีนาสนใจของ
นักเรียนตอ ไป
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 9
คมู อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรยี นรูสง่ิ ตา ง ๆ รอบตัว
แนวคําตอบในแบบบันทกึ กิจกรรม
การสาํ รวจความรูกอนเรียน นกั เรียนอาจตอบคําถามถูกหรือผดิ ก็ไดขนึ้ อยกู บั ความรูเ ดิมของนักเรียน
แตเมอ่ื เรยี นจบบทเรียนแลว ใหน กั เรียนกลับมาตรวจสอบคําตอบอีกครั้งและแกไขใหถูกตอง ดงั ตวั อยาง
10 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรยี นรสู ิง่ ตา ง ๆ รอบตัว
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 11
คมู ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรยี นรสู งิ่ ตา ง ๆ รอบตัว
ทักษะการจดั กระทําและส่ือความหมายขอมลู
นักเรยี นตอบตามความเขาใจของตนเองและใหเ หตุผลท่ีสอดคลอ งกับคาํ ตอบ เชน
ตาราง หรอื แผนภมู ิรูปภาพ
- ตารางแสดงคาของอุณหภูมิไดช ดั เจน ทําใหเ ขา ใจไดรวดเร็ว
- แผนภูมิรปู ภาพนา สนใจ และสามารถเปรยี บเทียบคา อุณหภมู ไิ ดเรว็ วา จงั หวดั ใดมอี ณุ หภูมสิ ูง
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
12