The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1 (ปรับปรุงเดือนธ.ค.64)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by panuwitpadee, 2022-09-12 12:56:09

คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1 (ปรับปรุงเดือนธ.ค.64)

คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.3 เล่ม 1 (ปรับปรุงเดือนธ.ค.64)

คูมอื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรยี นรสู ่งิ ตาง ๆ รอบตัว

เมือ่ เวลาผา นไป สีของลกู อมทีอ่ ยใู นนํ้าจะแผขยายพน้ื ท่เี พ่ิมขน้ึ เรอื่ ย ๆ การ
สังเกตและบอกความสัมพันธข องการครอบครองพนื้ ท่ีสีของลูกอมกบั เวลา
เปนการหาความสมั พันธระหวา งสเปซกับเวลา

สิ่งตา ง ๆ มีการครอบครองพ้ืนท่เี ปลย่ี นไปเมอ่ื เวลาผานไป ความสามารถใน
การพจิ ารณาถึงความสัมพนั ธระหวา งการครอบครองพน้ื ทข่ี องวตั ถุกับเวลา
จดั เปน ทักษะการหาความสัมพนั ธร ะหวา งสเปซกบั เวลา

คําถามของนกั เรียนทีต่ ้ังตามความอยากรูของตนเอง

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 63

คูมือครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรยี นรูสง่ิ ตา ง ๆ รอบตวั

แนวการประเมินการเรียนรู

การประเมนิ การเรียนรขู องนักเรียนทาํ ได ดงั น้ี
1. ประเมนิ ความรูเ ดิมจากการอภิปรายในช้นั เรียน
2. ประเมินการเรียนรจู ากคําตอบของนักเรียนระหวางการจดั การเรยี นรแู ละจากแบบบันทึกกจิ กรรม
3. ประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ ละทกั ษะแหง ศตวรรษที่ 21 จากการทาํ กจิ กรรมของนักเรยี น

การประเมนิ จากการทาํ กิจกรรมท่ี 2.2
ความสมั พันธระหวางสเปซกับเวลาเปนอยางไร

รหสั สงิ่ ท่ปี ระเมนิ ระดับ
คะแนน
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
S1 การสงั เกต
S5 การหาความสมั พนั ธร ะหวางสเปซกบั เวลา
S8 การลงความเห็นจากขอ มลู
S13 การตคี วามหมายขอ มูลและลงขอสรุป
ทักษะแหงศตวรรษท่ี 21
C4 การสอ่ื สาร
C5 ความรวมมอื

รวมคะแนน

64 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรียนรูสิง่ ตา ง ๆ รอบตัว

ตาราง การประเมินและรายการประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร

ทักษะ เกณฑการประเมนิ
กระบวนการทาง รายการประเมิน
วทิ ยาศาสตร ดี (3) พอใช (2) ควรปรับปรุง (1)

S1 การสังเกต การสังเกตการเปลย่ี น สามารถบอกการเปลยี่ น สามารถบอกการเปลย่ี น สามารถบอกการ

แปลงสีของนํา้ เมื่อวาง แปลงสีของนาํ้ เม่ือวางลูก แปลงสีของนํ้าเมื่อวางลกู เปลีย่ นแปลงสขี องนา้ํ
ลูกอมในน้ําตง้ั แต เมือ่ วางลูกอมในน้าํ
เร่มิ ตนจนครบ 5 นาที อมในนา้ํ ตั้งแตเ ริ่มตนจน อมในนํ้าต้ังแตเ ริ่มตนจน ต้ังแตเ รมิ่ ตน จนครบ
5 นาทีไดถกู ตอง
ครบ 5 นาทีไดถกู ตอง ครบ 5 นาทไี ดถกู ตอง

ดว ยตนเอง จากการชี้แนะของครู

หรอื ผูอ นื่ บางสวน

S5 การหาความ การบอกความสัมพันธ สามารถบอกความ สามารถบอกความ สามารถบอกความ

สมั พนั ธร ะหวา ง ระหวางการเปล่ยี น สัมพนั ธระหวางการ สมั พันธระหวา งการ สัมพนั ธร ะหวา งการ
สเปซกับเวลา แปลงของพน้ื ท่ีที่มสี ีใน เปลี่ยนแปลงของพืน้ ที่ท่ี เปลยี่ นแปลงของพน้ื ท่ีท่มี ี เปลีย่ นแปลงของ
น้ําเมือ่ วางลกู อมกับ มสี ใี นน้ําเม่ือวางลูกอม สใี นน้าํ เมือ่ วางลูกอมกบั พน้ื ท่ที ี่มีสีในน้าํ เมื่อ
เวลาทผ่ี านไป กบั เวลาท่ผี านไปได เวลาทีผ่ า นไปไดว าพ้นื ท่ี วางลูกอมกบั เวลาท่ี
ถูกตองดวยตนเองวา ของนํา้ ทมี่ สี ขี องลกู อมจะ ผานไปไดวา พ้ืนทข่ี อง

พ้ืนท่ขี องนํา้ ที่มสี ีของ เพ่ิมข้ึนเมือ่ เวลาผา นไป นํ้าทมี่ ีสเี ปลย่ี นแปลง

ลกู อมจะเพิ่มขึ้นเมือ่ เวลา จากการชีแ้ นะของครู แตไมส ามารถบอก

ผา นไป หรอื ผอู ่นื ความสมั พนั ธข อง

พน้ื ที่ของนํ้าที่มีสีกับ

เวลาแมจะไดรับการ

ชแ้ี นะจากครหู รือ

ผอู ่นื

S8 การลง การลงความเหน็ สามารถลงความเหน็ จาก สามารถลงความเห็นจาก สามารถลงความเหน็

ความเหน็ จาก เก่ยี วกบั การ ขอ มลู ไดอ ยางถูกตอง ขอมลู ไดอยางถูกตอ ง จากขอมลู ไดถกู ตอง

ขอ มลู เปลี่ยนแปลงสีของน้าํ ดวยตนเองวา บริเวณท่ีมี จากการชี้แนะของครู เพียงบางสวน จาก

กับพนื้ ที่ที่มสี ีของลูกอม การเปลย่ี นแปลงสีของ หรือผอู ื่นวาบรเิ วณท่ีมี การชีแ้ นะของครหู รือ

ทีเ่ วลาตาง ๆ ลกู อมท่เี วลาตา ง ๆ คือ การเปลี่ยนแปลงสขี อง ผูอ่ืนวาบริเวณทมี่ ีการ

สเปซของสีของลูกอม ณ ลูกอมท่ีเวลาตาง ๆ คือ เปล่ยี นแปลงสีของ

เวลานนั้ ๆ สเปซของสีของลูกอม ณ ลกู อมทเี่ วลาตา ง ๆ

เวลาน้นั ๆ คอื สเปซของสีของ

ลกู อม ณ เวลานน้ั ๆ

สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 65

คมู อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรยี นรสู งิ่ ตาง ๆ รอบตัว

ทักษะ รายการประเมิน ดี (3) เกณฑก ารประเมนิ ควรปรับปรงุ (1)
กระบวนการทาง การตีความหมายขอมูล สามารถตีความหมาย สามารถตีความหมาย
จากการสังเกตการ ขอมลู จากการสังเกต พอใช (2) ขอมลู จากการสังเกต
วทิ ยาศาสตร เปล่ียนแปลงของนํ้า เก่ียวกับเปลีย่ นแปลงของ สามารถตีความหมาย เกี่ยวกับการ
S13 การตีความ เมอ่ื วางลกู อมในนาํ้ นํ้าเม่ือวางลูกอมในนํ้า ขอมูลจากการสังเกต เปลย่ี นแปลงของน้าํ เมอื่
หมายขอ มูลและ และลงขอสรุปเก่ียวกับ และลงขอสรุปไดด วย เก่ียวกับเปล่ียนแปลงของ วางลูกอมในนาํ้ และลง
ลงขอสรุป ทักษะการหา ตนเองวา ทักษะการหา นํ้าเม่ือวางลูกอมในนํ้า ขอสรปุ ไดบางสวนวา
ความสัมพนั ธระหวาง ความสัมพันธร ะหวา ง และลงขอสรุปไดจ าก ทกั ษะการหา
สเปซกบั เวลา สเปซกับเวลาเปน การชี้แนะของครหู รือผูอ่ืน ความสัมพนั ธระหวา ง
ความสามารถในการ วาทักษะการหา สเปซกับเวลาเปน
พิจารณาความสัมพันธ ความสัมพนั ธร ะหวา ง ความสามารถในการ
ระหวางขนาดหรือพื้นท่ี สเปซกับเวลาเปน พิจารณาความสัมพันธ
ของสง่ิ ตาง ๆ กับเวลา ความสามารถในการ ระหวางขนาดหรือพ้ืนที่
พิจารณาความสัมพันธ ของสงิ่ ตา ง ๆ กบั เวลา
ระหวา งขนาดหรือพ้นื ท่ี แมว าจะไดรบั การ
ของสง่ิ ตาง ๆ กับเวลา ชีแ้ นะจากครูหรือผอู ่ืน

ตาราง รายการประเมนิ และเกณฑการประเมินทักษะแหง ศตวรรษที่ 21

ทักษะแหง รายการประเมนิ ดี (3) เกณฑก ารประเมนิ ควรปรับปรุง (1)
ศตวรรษท่ี 21 พอใช (2)
C4 การส่อื สาร การนาํ เสนอผลการ สามารถวาดภาพแสดง สามารถวาดภาพแสดง สามารถวาดภาพแสดง
สังเกตลกั ษณะพน้ื ที่ ลักษณะของพืน้ ทที่ ี่มสี ี ลักษณะของพ้นื ที่ที่มีสี ลกั ษณะของพื้นทีท่ ่ีมสี ีของ
C5 ความรวมมือ ที่มสี ีของลกู อมเม่ือ ของลกู อมเมอ่ื เวลา ของลกู อมเมอื่ เวลาผาน ลูกอมเมอ่ื เวลาผานไปได
เวลาผานไปโดยการ ผา นไปไดอยางถูกตอง ไปไดอยางถูกตองจาก อยางถูกตองเพยี งบางสวน
วาดภาพ ดวยตนเอง การชแ้ี นะของครหู รือ แมว า จะไดรับการชีแ้ นะ
ผูอ่ืน จากครูหรือผูอื่น
การทาํ งานรวมกับ สามารถทาํ งานรว มกับ สามารถทาํ งานรว มกบั สามารถทํางานรว มกบั ผูอืน่
ผอู น่ื ในการทาํ ผูอ่นื ในการทํากิจกรรม ผอู ่ืนในการทํากิจกรรม ในการทาํ กจิ กรรม รวมทั้ง
กจิ กรรมรวมทั้ง รวมทัง้ ยอมรบั ความ รวมทัง้ ยอมรับความ ยอมรบั ความคดิ เห็นของ
ยอมรับความคิดเห็น คดิ เหน็ ของผูอนื่ ต้ังแต คดิ เห็นของผอู ื่นในบาง ผูอ่นื บางชวงเวลาทที่ ํา
ของผูอื่น เร่ิมตนจนสาํ เรจ็ ชวงเวลาทท่ี าํ กจิ กรรม กจิ กรรม ทั้งนี้ตองอาศัย
การกระตุนจากครูหรือ
ผอู ื่น

66 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรียนรูส งิ่ ตา ง ๆ รอบตัว

กิจกรรมที่ 2.3 สรางแบบจําลองอธิบายกระบอกปริศนาไดอยา งไร

กิจกรรมน้ีนักเรียนจะไดฝกและอธิบายทักษะการ
สรางแบบจําลองซ่ึงเปนการสราง ใช ประเมินและปรับปรุง
แบบจาํ ลองเพือ่ อธบิ ายส่ิงตา ง ๆ

เวลา 2 ชวั่ โมง

จุดประสงคการเรียนรู

ฝกและอธิบายทกั ษะการสรางแบบจําลอง

วัสดุ อปุ กรณส ําหรับทํากจิ กรรม 1 อนั ส่อื การเรียนรูและแหลงเรียนรู
1 กระบอก
สงิ่ ที่ครูตอ งเตรยี ม/กลุม 1 อนั 1. หนงั สือเรียน ป.3 เลม 1 หนา 25-27
1. แกนของมวนกระดาษเยื่อ 2 เสน
1 วง 2. แบบบันทึกกิจกรรม ป.3 เลม 1 หนา 25-28
2. กระบอกปริศนา 1 อนั
3. กรรไกร

4. เชอื ก

5. ยางรดั ของ
6. วัสดุอนื่ ๆ เชน หลอดดดู

ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร

S1 การสังเกต

S8 การลงความเหน็ จากขอ มูล
S13 การตคี วามหมายขอมูลและลงขอสรปุ

S14 การสรางแบบจาํ ลอง

ทักษะแหงศตวรรษท่ี 21

C1 การสรางสรรค

C2 การคิดอยางมีวิจารณญาณ

C4 การส่อื สาร
C5 ความรว มมือ

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 67

คมู ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรียนรูส่งิ ตาง ๆ รอบตัว

แนวการจัดการเรียนรู ในการตรวจสอบความรูเดิม
ครูรับฟงเหตุผลของนักเรียนเปน
1. ครูทบทวนความรูพ้ืนฐานของนักเรียนเก่ียวกับแบบจําลองโดยใช สําคัญ ครูยังไมเฉลยคําตอบใด ๆ
คาํ ถามดังตอไปนี้ แตชักชวนใหหาคําตอบที่ถูกตอง
1.1 แบบจําลองคืออะไร (แบบจําลองคือสิ่งท่ีใชแทนวัตถุหรือ จากการทํากิจกรรม
ปรากฏการณต าง ๆ ที่เกดิ ขึน้ จรงิ )
1.2 ภาพวาดเปนแบบจําลองไดเพราะเหตุใด (ภาพวาดเปน
แ บ บ จํ า ล อ ง เ พ ร า ะ เ ป น สิ่ ง ท่ี ส ร า ง ข้ึ น เ พ่ื อ แ ท น วั ต ถุ ห รื อ
ปรากฏการณต าง ๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ จริง)

2. ครูตรวจสอบความรูเดิมของนักเรียนเก่ียวกับการสรางแบบจําลองโดย

ใชค าํ ถามตอ ไปน้ี

2.1 แบบจําลองสามารถเปล่ียนแปลงไดหรือไม (นักเรียนตอบตาม
ความเขาใจของตนเอง)

2.2 เราใชแบบจําลองเพื่อจุดประสงคใด (นักเรียนตอบตามความ
เขา ใจของตนเอง)

ครูเช่ือมโยงความรูของนักเรียนเขาสูกิจกรรมที่ 2.3 กิจกรรมนี้นักเรียน

จะไดเรียนเก่ยี วกับการสรา งแบบจาํ ลองเพอ่ื อธิบายกระบอกปริศนา

3. นักเรียนอานช่ือกิจกรรม และทําเปนคิดเปน จากนั้นรวมกันอภิปราย
เพอื่ ตรวจสอบความเขาใจเกีย่ วกับจุดประสงคในการทาํ กจิ กรรม โดยใช

คําถาม ดงั นี้

3.1 กิจกรรมน้ีนักเรียนจะไดเรียนเรื่องอะไร (ทักษะการสราง

แบบจําลอง)

3.2 นกั เรียนจะไดเ รยี นรเู ร่อื งน้ดี ว ยวิธีใด (การสงั เกตและฝกทักษะ)

3.3 เม่ือเรียนแลวนักเรียนจะทําอะไรได (อธิบายทักษะการสราง

แบบจาํ ลองได)

4. นกั เรียนบันทกึ จุดประสงคลงในแบบบันทกึ กิจกรรม หนา 25 และอาน
ส่งิ ท่ีตอ งใชใ นการทาํ กจิ กรรม จากนัน้ ครนู ํากระบอกปริศนามาแสดงให
นักเรียนสังเกต

5. นักเรียนอานทําอยางไร ทีละขอ โดยครูใชวิธีฝกทักษะการอานที่
เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน จากน้ันครูตรวจสอบความ
เขาใจเก่ียวกับวิธีการทํากิจกรรม จนนักเรียนเขาใจลําดับการทํา
กิจกรรม โดยใชคาํ ถามดังน้ี

68 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรียนรูส่งิ ตาง ๆ รอบตัว

5.1 นักเรียนตองสังเกตอะไร (สังเกตการเปล่ียนแปลงเมื่อดึงปลาย ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
เชือกทกี่ ระบอกปริศนา) และทักษะแหงศตวรรษที่ 21 ท่ี

5.2 หลังจากดึงปลายเชือกที่กระบอกปริศนาแลว นักเรียนตองทํา นกั เรียนจะไดฝกจากการทํากจิ กรรม
อยางไร (อภิปรายเกี่ยวกับการรอยเชือกในกระบอกปริศนาวามี
ลกั ษณะการรอ ยเชอื กเปนอยา งไร พรอมทัง้ วาดรปู แสดงลกั ษณะ S1 สังเกตส่ิงที่เกิดข้ึนเม่ือดึงเชือก
การรอ ยเชือกและระบุชื่ออุปกรณท ่ใี ชภายในกระบอกปริศนา) ของกระบอกปรศิ นา

5.3 หลังจากการอภิปรายลักษณะการรอยเชือกภายในกระบอก S8 ลงความเห็นเกี่ยวกับลักษณะ
ปริศนาแลวนักเรียนตองทําอยางไรตอไป (สรางแบบจําลองตาม การรอยเชือกภายในกระบอก
รูปท่ีวาดไวโ ดยใชว ัสดอุ ุปกรณท ี่กําหนดให) ปริศนา

5.4 หลังจากสรางแบบจําลองตามรูปท่ีวาดไวแลว นักเรียนตองทํา S14 การสราง การใช และการ
อยางไร (ทดสอบและปรับปรุงแบบจําลองที่สรางข้ึนให ปรับปรุงแบบจําลองกระบอก
เหมือนกับกระบอกปรศิ นา) ปรศิ นา

5.5 นักเรยี นจะทดสอบแบบจําลองอยางไร (ทดสอบโดยการดึงเชือก C1 สรางแบบจําลองท่ีอธิบาย
และสังเกตส่ิงที่เกิดขึ้น ซ่ึงควรไดผลเหมือนการดึงเชือกท่ี ลักษณะการรอยเชือกภายใน
กระบอกปริศนาในขอ 1) กระบอกปรศิ นา

5.6 นักเรียนจะปรับปรุงแบบจําลองเม่ือใด (เมื่อผลการทดสอบ C2 การนําขอมูลท่ีไดจากการ
ไมสอดคลอ งกับการดงึ เชอื กที่กระบอกปรศิ นาในขอ 1) สังเกตมาสรางและปรับปรุง
แบบจาํ ลองกระบอกปริศนา
5.7 หลังจากปรับปรุงแบบจําลองแลว นักเรียนตองทําอะไรตอไป
(นําเสนอแบบจําลองลักษณะการรอยเชือกท่ีอยูดานในกระบอก C4 นําเสนอแบบจําลองกระบอก
ปริศนา และบันทึกผลโดยการวาดรูป) ปริศนาใหผูอื่นเขาใจ

6. เม่ือนักเรียนเขาใจวิธีการทํากิจกรรมในทําอยางไร แลว ใหนักเรียนรับ C5 รวมมอื กันสราง ใช และ
อุปกรณและเรมิ่ ปฏบิ ัตติ ามขน้ั ตอนการทํากิจกรรม ปรบั ปรุงแบบจาํ ลองกระบอก
ปรศิ นา
7. หลังจากทํากิจกรรมแลว นักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม
โดยใชแ นวคาํ ถามดังนี้ หากนักเรียนไมสามารถตอบ
7.1 ปลายเชือกทีก่ ระบอกปริศนามกี ่เี สน (4 เสน) คําถามหรืออภิปรายไดตามแนว
7.2 เม่ือดึงปลายเชือกเสนใดเสนหน่ึงจะเกิดอะไรข้ึน (เมื่อดึงปลาย คําตอบ ครูควรใหเวลานักเรียนคิด
เชือกเสนใดเสนหนึ่งจะรูสึกเหมือนมีอะไรร้ังมือไว ทําใหดึงเชือก อยางเหมาะสม รอคอยอยางอดทน
ใหยาวขึ้นไดแตก็มีอะไรดึงใหเชือกหดกลับเขาไป เม่ือดึงปลาย แ ล ะ รั บ ฟ ง แ น ว ค ว า ม คิ ด ข อ ง
เชือกไปสักพักจะดึงปลายเชือกใหยาวข้ึนได และปลายเชือก นักเรยี น
ที่เหลืออีก 3 เสนจะสั้นลง และเมื่อดึงปลายเชือกหลาย ๆ คร้ัง

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 69

คมู อื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรยี นรูสง่ิ ตาง ๆ รอบตัว

จะเห็นการหดสั้นท่ีเปล่ียนแปลงไมเหมือนเดิม ไมมีทิศทางท่ี ถ า ค รู พ บ ว า นั ก เ รี ย น ยั ง มี
แนน อน) แนวคิดคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ
7.3 ภาพวาดแสดงการรอยเชือกภายในกระบอกปริศนาเปน ทั ก ษ ะ ก า ร ส ร า ง แ บ บ จํ า ล อ ง
แบบจําลองหรือไม เพราะเหตุใด (เปนแบบจําลองเพราะเปน ใหรวมกันอภิปรายจนนักเรียนมี
สิ่งทส่ี รางขนึ้ เพอื่ ใชอธิบายลักษณะการรอยเชือกภายในกระบอก แนวคิดทถ่ี กู ตอง
ปรศิ นา)
7.4 เราวาดภาพเพื่อจุดประสงคอะไร (เพอ่ื แสดงถึงความคิดเกี่ยวกับ
ลกั ษณะการรอ ยเชือกภายในกระบอกปรศิ นาซึ่งเรามองไมเ ห็น)
7.5 ภาพวาดแสดงการรอยเชือกภายในกระบอกปริศนาของ
แตละคนหรือแตละกลุมเหมือนหรือแตกตางกันหรือไม เพราะ
เหตุใด (คําตอบข้ึนอยูกับภาพวาดของนักเรียนแตละคนหรือแต
ละกลุม เชน เหมือนกัน เพราะคิดวาการรอยเชือกภายใน
กระบอกปริศนาและวัสดุในกระบอกปริศนามีลักษณะเดียวกัน
หรือ แตกตางกัน เพราะลักษณะการรอยเชือกและวัสดุใน
กระบอกปริศนาตามความคิดของแตละคนและแตละกลุม
แตกตางกนั )
7.6 การทดสอบแบบจําลองกระบอกปริศนามีจุดประสงคใด (เพื่อ
รวบรวมขอมูลวาแบบจําลองท่ีสรางขึ้นสอดคลองกับลักษณะ
การรอยเชือกและวัสดุท่ีอยูภายในกระบอกปริศนาหรือไมและ
นําขอ มูลท่ไี ดม าใชในการปรบั ปรุงแบบจําลอง)
7.7 เหตุใดจึงตองปรับปรุงแบบจําลอง (เพื่อใหแบบจําลองที่
ส ร า ง ข้ึ น มี ลั ก ษ ณ ะ ก า ร ร อ ย เ ชื อ ก แ ล ะ วั ส ดุ ที่ อ ยู ภ า ย ใ น
เชนเดียวกับกระบอกปรศิ นา)
7.8 หลังจากปรับปรุงแบบจําลองแลวนํามาทดสอบ ผลการทดสอบ
เปนอยางไร (คําตอบขึ้นอยูกับผลการทดสอบของนักเรียน เชน
เมื่อดึงปลายเชือกเสนใดเสน หนงึ่ ปลายเชือกอีก 3 เสนจะส้ันลง
หรือเม่ือดึงปลายเชือกหลาย ๆ คร้ังจะเห็นการหดส้ันท่ี
ไมเหมือนเดิม ไมมีทิศทางท่ีแนนอน ซ่ึงเหมือนกับผลที่ไดจาก
การดงึ เชือกในกระบอกปริศนา)

70 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูมอื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยที่ 1 การเรียนรสู ิ่งตาง ๆ รอบตัว

7.9 ในกิจกรรมนี้อะไรบางจัดเปนแบบจําลอง (ภาพวาดแสดง
ลักษณะการรอยเชือกในกระบอกปริศนาและกระบอกปริศนา
ท่สี รางขน้ึ )

7.10 แบบจําลองท่ีเปนภาพวาดแสดงลักษณะการรอยเชือกใน
กระบอกปริศนาจําเปนตองเหมือนกันหรือไม เพราะเหตุใด
(ไมจําเปนตองเหมือนกัน เพราะข้ึนอยูกับความคิดหรือ
จินตนาการเกี่ยวกับลักษณะการรอยเชือกภายในกระบอก
ปริศนาของแตล ะคนหรือแตล ะกลมุ )

7.11 ท้ังแบบจําลองท่ีเปนภาพวาดและแบบจําลองกระบอกปริศนา
ของแตละคนหรือแตละกลุมที่สรางข้ึนมีจุดประสงคอะไร (มี
จุดประสงคเพื่ออธิบายลักษณะการรอยเชือกภายในกระบอก
ปรศิ นาซึ่งเรามองไมเหน็ )
ครูใหความรูเพิ่มเติมวาแบบจําลองท่ีนักเรียนสรางขึ้นน้ีเปน
ตัวแทนของกระบอกปริศนาและใชเพ่ือพยายามอธิบายส่ิงที่เรา
ไมทราบน่ันคือลักษณะการรอยเชือกในกระบอกปริศนาวาเปน
อยางไรและมีวัสดุอะไรบาง เราจึงตองสรางแบบจําลอง
ข้ึนมาแลวทดสอบแบบจําลองเพื่อใหไดขอมูลเพิ่มเติมเพื่อนําไป
ปรับปรุงแบบจาํ ลองใหส ามารถนํามาใชอธิบายส่ิงที่ไมทราบและ
แบบจําลองของแตละคนหรอื แตละกลุมอาจจะไมเ หมือนกนั

7.12 กิจกรรมน้ีไดฝกทักษะการสรางแบบจําลองอะไรบาง (ไดสราง
แบบจําลอง ใชแบบจาํ ลอง และไดปรบั ปรุงแบบจําลอง)

8. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนตอบหรือซักถามในส่ิงที่อยากรูเพิ่มเติม
เกี่ยวกับทักษะการสรางแบบจําลอง จากนั้นรวมกันอภิปรายและ
ลงขอ สรปุ วาการสรางแบบจําลองเปนการสรางส่ิงใดสิ่งหนึง่ ขึน้ มาเพ่ือ
แทนวัตถุหรือปรากฏการณตาง ๆ การสรางแบบจําลอง การใช
แบบจําลอง การปรับปรุงแบบจําลอง จัดเปนกระบวนการในทักษะ
การสรางแบบจําลอง (S13)

9. นักเรียนรวมกันอภิปรายและตอบคําถามใน ฉันรูอะไร โดยครูอาจใช
คําถามเพม่ิ เติมในการอภปิ รายเพือ่ ใหไดแนวคําตอบทถี่ ูกตอง

10. นักเรยี นอาน ส่งิ ท่ไี ดเ รียนรู และเปรยี บเทยี บกับขอสรปุ ของตนเอง

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 71

คมู อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรยี นรูส ่ิงตา ง ๆ รอบตวั
11. ครูกระตุนใหนักเรียนฝกต้ังคําถามเกี่ยวกับเรื่องท่ีสงสัยหรืออยากรู

เพิ่มเติมใน อยากรูอีกวา จากน้ันครูอาจสุมนักเรียน 2-3 คน นําเสนอ
คําถามของตนเองหนาชั้นเรียน จากนั้นนักเรียนรวมกันอภิปราย
เก่ยี วกบั คาํ ถามท่ีนาํ เสนอ
12. ครูนําอภิปรายเพื่อใหนักเรียนทบทวนวาไดฝกทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรแ ละทักษะแหงศตวรรษท่ี 21 อะไรบางและในขัน้ ตอนใด
13. นกั เรียนรว มกันอานรอู ะไรในเรื่องน้ี ในหนงั สือเรยี น หนา 28-29 ครนู ํา
อภิปรายเพื่อนําไปสูขอสรุปเก่ียวกับสิ่งท่ีไดเรียนรูในเรื่องน้ี จากน้ันครู
กระตุนใหนักเรียนตอบคําถามในชวงทายของเนื้อเร่ืองวา หลักฐาน
ตาง ๆ ที่ใชตอบคําถามไดมาอยางไร และเราจะมีวิธีส่ือสารคําตอบให
นาเช่ือถือไดอยางไร โดยใหนักเรียนรวมกันอภิปรายแนวทางการตอบ
คําถาม ซึ่งครูควรเนนใหนักเรียนตอบคําถามพรอมอธิบายเหตุผล
ประกอบและชักชวนใหนักเรียนไปหาคําตอบรวมกันจากการเรียนเร่อื ง
ตอไป

72 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูม อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรยี นรสู ิ่งตา ง ๆ รอบตัว

แนวคําตอบในแบบบันทกึ กิจกรรม

ฝกและอธบิ ายทักษะการสรางแบบจาํ ลอง

การวาดรูปลักษณะการรอยเชือกดานในกระบอกปรศิ นา และการระบชุ ่ือวัสดุ
หรืออุปกรณในกระบอกปริศนาข้นึ อยกู บั ความคดิ ของนักเรียน

สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 73

คมู ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรยี นรสู ง่ิ ตา ง ๆ รอบตวั

การวาดรูปลกั ษณะการรอยเชอื กในกระบอกปรศิ นาและการระบุช่ือ
วสั ดหุ รืออปุ กรณในแบบจําลองข้ึนอยกู บั ความคิดของนักเรียน
ซึ่งรปู ท่ีวาดตามความคิดนีต้ องใชขอมูลทรี่ วบรวมไดจากการสังเกต
เมือ่ ดงึ ปลายเชือกทั้งกอ นและหลงั ปรบั ปรุงแบบจําลองแลว ดวย

74 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรียนรูสงิ่ ตา ง ๆ รอบตัว

ภาพวาดและกระบอกปริศนาที่สรา งข้นึ เปนแบบจําลอง เพราะ
เปนสิ่งทสี่ รางขน้ึ เพ่ืออธิบายการรอ ยเชือกภายในกระบอกปริศนา

ภาพวาดและกระบอกปริศนาท่สี รา งขน้ึ ใชอ ธบิ ายลกั ษณะการรอยเชือก
ภายในกระบอกปรศิ นาซึ่งมองไมเ ห็น

การสรา งแบบจาํ ลอง

การอธบิ ายลักษณะการรอยเชอื กในกระบอกปริศนาสามารถแสดงไดโดย
การวาดภาพ การสรางช้ินงาน และการทดสอบลักษณะการรอ ยเชอื กโดย
การสรางแบบจาํ ลองและปรับปรงุ แบบจําลองจนผลการทดสอบสอดคลอง
กับลักษณะการรอยเชือกในกระบอกปรศิ นา

สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 75

คมู ือครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรียนรสู ง่ิ ตา ง ๆ รอบตวั

การสรา งแบบจําลองสามารถทําไดโ ดยวิธกี ารตาง ๆ ทั้งวาดภาพและสราง
ช้นิ งาน ความสามารถในการสราง และใชแ บบจาํ ลองเพื่ออธบิ ายวตั ถุหรือ
ปรากฏการณตาง ๆ รวมทงั้ ปรับปรุงแบบจาํ ลองหากแบบจําลอง
ไมสอดคลอ งกับลักษณะของวตั ถุหรอื ปรากฏการณทีเ่ กิดขึน้ นนั้ จัดเปน
ทกั ษะการสรา งแบบจําลอง

คําถามของนักเรียนทตี่ ้ังตามความอยากรูข องตนเอง

76 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรียนรูส ่งิ ตา ง ๆ รอบตัว

แนวการประเมนิ การเรยี นรู

การประเมินการเรยี นรูของนักเรียนทาํ ได ดงั น้ี
1. ประเมนิ ความรูเ ดิมจากการอภิปรายในช้ันเรยี น
2. ประเมนิ การเรยี นรูจากคําตอบของนกั เรยี นระหวา งการจัดการเรียนรูและจากแบบบันทึกกจิ กรรม
3. ประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ ละทักษะแหง ศตวรรษที่ 21 จากการทํากิจกรรมของนกั เรยี น

การประเมนิ จากการทาํ กิจกรรมที่ 2.3

สรางแบบจาํ ลองอธบิ ายกระบอกปริศนาไดอ ยา งไร

รหัส ส่งิ ทป่ี ระเมนิ ระดบั
คะแนน

ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร

S1 การสงั เกต

S8 การลงความเหน็ จากขอ มูล

S13 การตคี วามหมายขอมูลและลงขอสรุป

S14 การสรา งแบบจาํ ลอง

ทกั ษะแหงศตวรรษท่ี 21

C1 กคาารไสฟรฟา งาสรรค
C2 การคดิ อยางมีวิจารณญาณ

C4 การสื่อสาร

C5 ความรวมมอื

รวมคะแนน

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 77

คมู ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยที่ 1 การเรยี นรูสง่ิ ตา ง ๆ รอบตวั

ตาราง รายการประเมนิ และเกณฑการประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร

ทักษะ เกณฑก ารประเมนิ
กระบวนการทาง รายการประเมิน
วทิ ยาศาสตร ดี (3) พอใช (2) ควรปรบั ปรุง (1)

S1 การสงั เกต การสังเกตสง่ิ ทเี่ กดิ ข้นึ สามารถบอกการ สามารถบอกการ สามารถบอกการ

เม่อื ดึงเชือกท่ี เปลยี่ นแปลงเม่อื ดึงเชอื ก เปลีย่ นแปลงเมอ่ื ดึงเชือก เปล่ยี นแปลงไดไม
กระบอกปริศนา
ทกี่ ระบอกปรศิ นาได ท่ีกระบอกปรศิ นาได ชัดเจนเมอ่ื ดงึ เชือกที่

ถูกตองดวยตนเอง ถกู ตองจากการช้ีแนะ กระบอกปริศนา

ของครหู รอื ผูอ ่ืน

S8 การลง การลงความเห็นจาก สามารถนาํ ขอมลู ท่ีได สามารถนําขอมลู ท่ีได สามารถนําขอมูลที่ได

ความเหน็ จาก ขอ มลู เมือ่ ดงึ เชือกเพื่อ จากการดงึ เชือกมาบอก จากการดงึ เชือกมาบอก จากการดงึ เชือกมาบอก

ขอมูล บอกลกั ษณะการรอย ลักษณะการรอยเชือกใน ลกั ษณะการรอยเชอื กใน ลกั ษณะการรอยเชอื ก

เชอื กในกระบอก กระบอกปริศนาไดอยาง กระบอกปริศนาไดอยาง ในกระบอกปริศนาได

ปรศิ นา สมเหตสุ มผลดวยตนเอง สมเหตุสมผลจากการ แตไ มสมเหตุสมผล

ชแ้ี นะของครูหรือผอู นื่ แมจะไดร ับการชแ้ี นะ

จากครหู รอื ผูอื่น

S13 การ การตีความหมาย สามารถตีความหมาย สามารถตคี วามหมาย สามารถตีความหมาย

ตีความหมาย ขอ มลู จากการสราง ขอมูลจากการสรา งและ ขอ มลู จากการสรางและ ขอ มูลจากการสราง

ขอมูลและลง และใชแบบจาํ ลอง ใชแบบจําลอง และลง ใชแบบจาํ ลอง และลง และใชแ บบจําลองได

ขอ สรุป และลงขอสรปุ ขอ สรปุ ไดถูกตองดวย ขอ สรปุ ไดถกู ตองจาก ถกู ตองเพยี งบางสวน

เกย่ี วกบั ทักษะ ตนเองวา ทักษะการสราง การชแี้ นะของครหู รอื และลงขอสรปุ ไดแ มจ ะ

การสรางแบบจําลอง แบบจาํ ลองเปน ผูอ ่ืนวาทักษะการสราง ไดรับการชีแ้ นะจากครู

เพือ่ อธบิ ายวตั ถหุ รอื ความสามารถในการ แบบจําลองเปน หรอื ผูอน่ื ไมชัดเจนวา

ปรากฏการณตา งๆ สรา งบางสิง่ บางอยา ง ความสามารถในการ ทกั ษะการสราง

ขึน้ มาเพอื่ แทนวัตถหุ รอื สรางบางสิง่ บางอยา ง แบบจําลองเปน

ปรากฏการณต า ง ๆ และ ขน้ึ มาเพ่ือแทนวัตถหุ รือ ความสามารถในการ

ใชสิง่ ทส่ี รางขนึ้ มาน้นั ปรากฏการณตา ง ๆ สรางบางสงิ่ บางอยาง

เพอ่ื อธิบายแนวคดิ และใชส ิง่ ที่สรา งขนึ้ มา ขึ้นมาเพ่ือแทนวตั ถหุ รือ

เกย่ี วกบั วตั ถหุ รือ เพอ่ื อธิบายแนวคดิ ปรากฏการณตา ง ๆ

ปรากฏการณต า ง ๆ เกีย่ วกับวัตถุหรอื และใชส ิง่ ทส่ี รางขนึ้ มา

ปรากฏการณตาง ๆ เพ่อื อธิบายแนวคดิ

เก่ยี วกบั วัตถหุ รือ

ปรากฏการณตางๆ

78 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูมือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรยี นรูสิ่งตาง ๆ รอบตัว

ทักษะ เกณฑการประเมนิ
กระบวนการทาง รายการประเมนิ
ดี (3) พอใช (2) ควรปรบั ปรุง (1)
วิทยาศาสตร
สามารถสรางและ สามารถสรา งและ สามารถสรา งและ
S14 ก า ร ส ร า ง การสรา ง ใช และ
ปรบั ปรงุ แบบจําลองได ปรบั ปรงุ แบบจาํ ลองได ปรบั ปรงุ แบบจําลองได
แบบจาํ ลอง ปรบั ปรงุ แบบจําลอง
สอดคลอ งกับลกั ษณะ สอดคลอ งกับลกั ษณะ สอดคลอ งกบั ลกั ษณะ
กระบอกปริศนา

ของกระบอกปริศนาและ ของกระบอกปริศนาและ ของกระบอกปริศนา

ใชแ บบจําลองเพ่อื ใชแ บบจาํ ลองเพ่อื และใชแ บบจาํ ลองเพื่อ

อธบิ ายแนวคดิ เกีย่ วกับ อธบิ ายแนวคดิ เกย่ี วกบั อธบิ ายแนวคิดเก่ียวกบั

ลักษณะการรอยเชือก ลกั ษณะการรอยเชอื ก ลักษณะการรอยเชอื ก

ของกระบอกปริศนาได ของกระบอกปริศนาได ของกระบอกปริศนาได

อยางสมเหตุสมผลดว ย อยา งสมเหตุสมผลจาก แตไมสมเหตสุ มผลแม

ตนเอง การชีแ้ นะของครหู รอื จะไดรบั การช้ีแนะจาก

ผูอนื่ ครูหรือผอู ่ืน

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 79

คมู ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรยี นรสู ิง่ ตา ง ๆ รอบตัว

ตาราง รายการประเมินและเกณฑการประเมินทักษะแหง ศตวรรษท่ี 21

ทกั ษะแหง รายการประเมนิ ดี (3) เกณฑก ารประเมิน ควรปรบั ปรุง (1)
ศตวรรษที่ 21 พอใช (2)

C1 การสรา งสรรค การระบสุ ิง่ ที่ตอง สามารถระบสุ ่งิ ทีต่ อ ง สามารถระบุสิ่งทีต่ อง สามารถระบสุ ่งิ ท่ีตองสรา ง

สรา ง การนําขอมลู ที่ สรา งและวิเคราะห สรางและวิเคราะห และวิเคราะหความสัมพนั ธ

รวบรวมไดม า ความสมั พนั ธของ ความสัมพนั ธข องขอมูล ของขอ มูลเพ่ือสรางแบบ

วเิ คราะห ขอมูลเพื่อสรา งแบบ เพือ่ สรา งแบบจําลองที่ จําลองท่ีสอดคลอ งกับ

ความสัมพันธเ พื่อ จาํ ลองท่ีสอดคลองกับ สอดคลอ งกบั ขอมูลที่ ขอ มลู ทรี่ วบรวมไดแ ตมี

สรางแบบจาํ ลอง ขอ มลู ทรี่ วบรวมได รวบรวมไดโดยตอ งอาศัย ลกั ษณะท่ียงั ไมส มบูรณ

ดวยตนเอง การชแี้ นะจากครหู รือ แมวา จะไดร บั คําชแ้ี นะจาก

ผอู ื่น ครหู รือผอู ื่น

C2 การคิดอยา งมี การใชหลกั ฐานเชงิ สามารถใชห ลกั ฐาน สามารถใชหลกั ฐานเชิง สามารถใชห ลักฐานเชงิ

วิจารณญาณ ประจกั ษมา เชงิ ประจักษมา ประจกั ษมาสนบั สนุน ประจกั ษมาสนบั สนุน

สนบั สนนุ การสราง สนับสนนุ การสรา ง การสรา งและปรบั ปรุง การสรา งและปรบั ปรุง

และปรบั ปรงุ และปรบั ปรงุ แบบ แบบจําลองใหสอดคลอง แบบจาํ ลองใหส อดคลอง

แบบจําลองให จําลองใหสอดคลอ ง กบั กระบอกปริศนาได กบั กระบอกปริศนาแตยัง

สอดคลองกบั กบั กระบอกปรศิ นาได ถูกตองจากการชี้แนะ ไมเ รยี บรอยสมบูรณแ มวา

กระบอกปริศนา ดว ยตนเอง ของครหู รอื ผูอื่น จะไดรับการชี้แนะจากครู

หรือผอู นื่

C4 การสื่อสาร การนําเสนอ สามารถนําเสนอ สามารถนาํ เสนอ สามารถนาํ เสนแบบ

แบบจําลองใหผ ูอ่ืน แบบจาํ ลองใหผูอนื่ แบบจาํ ลองใหผ ูอ่นื เขา ใจ จําลองใหผอู ืน่ เขา ใจได

เขา ใจ เขา ใจไดถูกตอง ดวย ไดถ ูกตอง จากการช้ีแนะ เพยี งบางสว น แมว า จะ

ตนเอง ของครูหรือผูอนื่ ไดร ับการช้ีแนะจากครหู รือ

ผูอื่น

C5 ความรวมมือ การทํางานรวมกบั สามารถทาํ งานรวมกับ สามารถทํางานรว มกับ สามารถทํางานรวมกับผูอ นื่

ผอู นื่ ในการอภปิ ราย ผอู ่นื ในการอภิปราย ผูอืน่ ในการอภปิ ราย การ ในการอภิปราย การสรา ง

และการสราง ใชและ การสราง ใช และ สราง ใช และปรบั ปรงุ ใช และปรบั ปรุงแบบจําลอง

ปรับปรุงแบบจาํ ลอง ปรับปรุงแบบจาํ ลอง แบบจําลอง รวมทั้ง รวมทง้ั ยอมรบั ความคิดเหน็

รวมทัง้ ยอมรบั ความ รวมทั้งยอมรับความ ยอมรบั ความคิดเห็นของ ของผูอน่ื บางชวงเวลาท่ที าํ

คดิ เหน็ ของผอู ื่น คดิ เห็นของผอู นื่ ตั้งแต ผอู ่ืนในบางชวงเวลาท่ที าํ กิจกรรม ทง้ั นี้ตอ งอาศยั

เริ่มตน จนสําเรจ็ กิจกรรม การกระตนุ จากครูหรือ

ผอู ืน่

80 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรยี นรสู ิง่ ตา ง ๆ รอบตัว

เร่ืองที่ 3 หลกั ฐานกบั การส่ือสารทางวิทยาศาสตร

ในเรื่องนี้นักเรียนจะไดเรียนรูเก่ียวกับการใช สื่อการเรยี นรแู ละแหลงเรียนรู
หลักฐานมาสนับสนุนขอสรุป และการสื่อสารทาง
วิทยาศาสตรใหมีความนาเช่ือถือโดยการเชื่อมโยงคําตอบ 1. หนงั สอื เรียน ป.3 เลม 1 หนา 30-36
กบั หลกั ฐานอยางสมเหตสุ มผล
2. แบบบนั ทึกกิจกรรม ป.3 เลม 1หนา 29-33
จุดประสงคการเรียนรู

1. อธิบายความสําคัญของหลักฐานในการสื่อสาร
ทางวิทยาศาสตร

2. วิเคราะหขอมูลและหาหลักฐานที่ทําใหคําตอบมี
ความนาเชื่อถอื

เวลา 3 ช่ัวโมง

วสั ดุ อปุ กรณส ําหรับทาํ กจิ กรรม

-

สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 81

คูมอื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยที่ 1 การเรียนรสู ง่ิ ตาง ๆ รอบตัว

แนวการจัดการเรียนรู (60 นาที) ใ น ก า ร ต ร ว จ ส อ บ ค ว า ม รู เ ดิ ม
ครูเพียงรับฟงเหตุผลของนักเรียน
ขั้นตรวจสอบความรู (10 นาท)ี และยังไมเฉลยคําตอบใด ๆ แต
ชักชวนใหนักเรียนไปหาคําตอบ
1. ครูตรวจสอบความรูเดิมของนักเรียนเก่ียวกับหลักฐานกับการสื่อสาร ดวยตนเองจากการอานเนือ้ เรอื่ ง
ทางวทิ ยาศาสตร โดยอาจใชส ถานการณ ดังน้ี
“ถ้ําแหงหนึ่งมีภาพวาดบนผนังถํ้า และมีการขุดพบถวยชามดินเผา
โบราณท่ฝี งอยูบ รเิ วณนี้” จากนนั้ ใชค าํ ถามเพอื่ รว มกันอภปิ ราย ดังน้ี
1.1 นักเรียนคิดวาถํ้านี้เคยมีคนอาศัยอยูหรือไม (นักเรียนตอบตาม
ความเขาใจของตนเอง เชน มีหรอื ไมม )ี
1.2 สิ่งที่จะชวยยืนยันคําตอบของนักเรียนคืออะไร (นักเรียนตอบ
ตามความเขา ใจของตนเอง เชน หลักฐาน สิง่ ของตา ง ๆ ท่พี บใน
ถํ้า)
1.3 นักเรียนรูจักคําวา “หลักฐาน” หรือไม หลักฐานคืออะไร
(นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง เชน รูจักหรือไมรูจัก
หลกั ฐานคอื สงิ่ ที่นํามาสนบั สนนุ คาํ ตอบ)
1.4 หลักฐานมีประโยชนอยางไร (นักเรียนตอบตามความเขาใจของ
ตนเอง เชน ใชใ นการสนบั สนุนคาํ ตอบ ใชในการหาคาํ ตอบ)
1.5 หลักฐานไดมาอยางไร (นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง
เชน การสงั เกต การบันทึกภาพเหตุการณ การอัดเสียง)
1.6 ถาเราตองการสื่อสารหรือบอกบางส่ิงบางอยางใหคนอื่นเขาใจ
และเช่อื ถือในส่ิงทเี่ ราบอก เราควรทาํ อยางไร (นักเรียนตอบตาม
ความเขาใจของตนเอง เชน นําหลักฐานมาใหดู ใหฟงเสียงท่ี
บนั ทกึ ไว นํารูปมาใหด ู)

2. ครูเช่ือมโยงความรูเดิมของนักเรียนสูการเรียนเรื่องหลักฐานกับการ
สื่อสารทางวิทยาศาสตร โดยใชคําถามวา นักเรียนรูหรือไมวาหลักฐาน
คอื อะไร และมีความสําคัญอยางไร

ข้ันฝก ทักษะจากการอาน (40 นาท)ี

3. นักเรียนอานช่ือเร่ืองและคําถามในคิดกอนอาน ในหนังสือเรียน หนา
30 แลวรวมกันอภิปรายเพื่อหาแนวคําตอบและนําเสนอ ครูบันทึก

คําตอบของนักเรียนบนกระดานเพื่อใชเปรียบเทียบคําตอบหลังจาก

อานเนือ้ เรอื่ ง

82 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูม ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรียนรูสง่ิ ตา ง ๆ รอบตัว

4. นักเรียนอานคําสําคัญ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หากนักเรียน หากนักเรียนไมสามารถตอบ
อานไมได ครูควรสอนอานใหถูกตอง จากนั้นครูชักชวนใหนักเรียน คําถามหรืออภิปรายไดตามแนว
อธิบายความหมายของคาํ สาํ คัญตามความเขาใจของตนเอง คําตอบ ครูควรใหเวลานักเรียนคิด
อยางเหมาะสม รอคอยอยางอดทน
5. นกั เรยี นอา นเนือ้ เรอื่ งในหนงั สือเรียน หนา 30 โดยครฝู กทักษะการอาน แ ล ะ รั บ ฟ ง แ น ว ค ว า ม คิ ด ข อ ง
ตามวิธีการอานท่ีเหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน จากนั้นครูใช นักเรียน
คาํ ถามเพอื่ ตรวจสอบความเขา ใจจากการอา น โดยใชค าํ ถามดงั น้ี
5.1 รางวัลท่ีขาวตูไดรับเน่ืองมาจากผลของการตั้งใจเรียนตลอด
ภาคเรียนที่ผา นมาคอื อะไร (การไดร ับอนญุ าตใหเ ล้ียงลกู สนุ ัข)
5.2 ขา วตตู องการทาํ อะไรใหลูกสนุ ัข (สรา งบานใหลกู สุนขั )
5.3 กอนจะสรางบานใหลูกสุนัข ขาวตูและพอมีขอสงสัยอะไรบาง
(ควรสรา งบานของสนุ ขั ไวบ ริเวณใด)
5.4 ขา วตูทาํ อยา งไรเพ่ือตอบคาํ ถามที่สงสัย (หาขอ มูลเก่ยี วกับความ
ตองการของสุนัขจากคนที่เคยเล้ียงสุนัข และสํารวจบริเวณท่ีจะ
สรา งบานใหส ุนัข)
5.5 ขอมูลท่ีขาวตูรวบรวมไดมีอะไรบาง (ขอมูลเกี่ยวกับความ
ตองการของสุนัขที่ขาวตูรวบรวมจากการสอบถามคนที่เคยเลย้ี ง
สุนัข สวนขอมูลที่ไดจากการสํารวจพื้นท่ีในบริเวณบานพบวามี
บริเวณที่อาจใชสรางบานสุนัข ไดแก บริเวณหนาบานซ่ึงเปน
พ้ืนท่ีจอดรถ มีแสงแดดสองเกือบท้ังวัน และบริเวณขางบานที่
คอนขางโลง มีแสงแดดสองเฉพาะชวงเชา และมีตนไมใหญให
รม เงา)
5.6 คําตอบของขาวตูในการเลือกพน้ื ทส่ี รา งบานใหสุนัขคือบริเวณใด
(พื้นทที่ ีจ่ ะใชส รางบานใหส ุนัข คอื บรเิ วณขางบาน)
5.7 หลักฐานที่ขาวตูใชในการสนับสนุนคําตอบคืออะไร (พื้นที่
บริเวณขางบานเปนพื้นที่โลง เพียงพอที่จะสรางบานใหสุนัข
และยังมีตนไมใหรมเงาจึงไมรอน สวนหนาบานซ่ึงเปนโรงรถมี
พื้นที่จํากัดไมเพียงพอสําหรบั สรางบานสุนขั นอกจากนั้นยังรอน
เนอ่ื งจากมีแสงแดดสองเกอื บทง้ั วัน)
5.8 หลักฐานที่ขาวตูนํามาใช ไดมาอยางไร (ไดมาจากการรวบรวม
ขอมูลโดยการสอบถามผูที่เคยเล้ียงสุนัขและจากการสํารวจ
บรเิ วณบาน จากน้ันกน็ าํ ขอมลู น้นั มาวเิ คราะหเพื่อเลอื กบริเวณที่
เหมาะสมในการสรางบานใหส นุ ัข)

สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 83

คมู อื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรียนรูสง่ิ ตา ง ๆ รอบตัว
ขน้ั สรปุ จากการอา น (10 นาที)
6. นักเรียนรวมกันสรุปเร่ืองท่ีอานซ่ึงควรสรปุ ไดวา หลักฐานไดมาจากการ

รวบรวมขอมูลและนําขอมูลน้ันมาวิเคราะหเพ่ือนํามาใชในการ
สนับสนนุ คาํ ตอบ
7. นักเรยี นตอบคําถามในรูห รือยัง ในแบบบันทกึ กิจกรรม หนา 29
8. ครแู ละนักเรยี นรวมกนั อภปิ รายเพื่อเปรยี บเทียบคําตอบของนักเรียนใน
รหู รือยงั กบั คาํ ตอบท่ีเคยตอบและบันทกึ ไวใ นคดิ กอนอาน
9. ครูใหนักเรียนอานคําถามในยอหนาสดุ ทายของเร่ืองท่ีอาน และรวมกนั
อภิปรายเพ่ือตอบคําถาม ดังน้ี หลักฐานมีความสําคัญอยางไร (นกั เรียน
ตอบตามความเขา ใจของตนเอง)

ครูยังไมเฉลยคําตอบแตชักชวนใหนักเรียนหาคําตอบจากการทํา
กจิ กรรม

84 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยที่ 1 การเรียนรูสง่ิ ตาง ๆ รอบตัว

แนวคาํ ตอบในแบบบันทกึ กจิ กรรม

หลักฐานไดม าจากการรวบรวมขอมลู จากน้ันนาํ ขอ มูลที่ได
มาวเิ คราะห

สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 85

คมู อื ครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรียนรสู ่งิ ตาง ๆ รอบตวั

กิจกรรมท่ี 3 คาํ ตอบทน่ี าเช่อื ถือเปนอยา งไร

กิจกรรมน้ีนักเรียนจะไดอานนิทาน จากน้ันรวบรวม
ขอมูลและวิเคราะหขอมูลเพื่อนํามาเปนหลักฐานในการ
สนับสนนุ คําตอบ เพือ่ ใหไ ดค ําตอบทม่ี ีความนาเช่ือถือ

เวลา 2 ชวั่ โมง ส่อื การเรียนรูและแหลง เรียนรู

จุดประสงคก ารเรยี นรู 1. หนังสือเรียน ป.3 เลม 1 หนา 32-35

วเิ คราะหข อมูลและหาหลักฐานท่ีทาํ ใหค ําตอบมีความ 2. แบบบนั ทกึ กิจกรรม ป.3 เลม 1 หนา 30-33
นา เช่ือถือ

วสั ดุ อปุ กรณสําหรบั ทํากจิ กรรม

ส่งิ ทค่ี รูตอ งเตรียม/กลุม
-

ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร

S8 การลงความเหน็ จากขอ มลู
S13 การตีความหมายขอมูลและลงขอ สรปุ

ทกั ษะแหงศตวรรษที่ 21

C2 การคดิ อยางมีวิจารณญาณ
C4 การสอื่ สาร
C5 ความรวมมือ

86 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรยี นรสู ิง่ ตาง ๆ รอบตัว

แนวการจัดการเรียนรู ในการตรวจสอบความรูเดิม
ครูรับฟงเหตุผลของนักเรียนเปน
1. ครูตรวจสอบความรูเดิมของนักเรียนเก่ียวกับคําตอบท่ีนาเชื่อถือ โดยอาจ สําคัญ ครูยังไมเฉลยคําตอบใด ๆ
เลาขาว หรือสถานการณที่เกิดขึ้นในปจจุบัน จากนั้นใหนักเรียนรวมกัน แตชักชวนใหหาคําตอบท่ีถูกตอง
วิเคราะหเร่ืองราว เชน เหตุการณตอไปนี้ “มีรายงานวามีผูพบวัตถุลึกลับ จากการทํากิจกรรม
คลายเปนส่ิงมีชีวิตตกลงมาจากฟา จึงเดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบ
ชาวบานจํานวนมากพากันมุงดูวัตถุลึกลับดังกลาว เจาของบานเลาวา เม่ือ
คืนท่ีผานมาฝนตกหนัก ขณะน้ันเห็นวัตถุลึกลับพุงตรงมาตกท่ีขางบาน แต
ตนกไ็ มไ ดสนใจ เพราะคิดวา นา จะเปน ลูกเห็บตก กระทงั่ รุงเชาตนต่นื ขึ้นมา
ก็พบวัตถุดังกลาว มีลักษณะคลายตัวหนอนเปนปลอง ขางในลําตัวมี
ลักษณะสีขาวขุน คลายเปนแกนนํ้าแข็ง มีจุดเล็ก ๆ 2 จุดคลายตา และมี
ติ่งยื่นออกมาคลายใบหู มีขนาดเทาฝามือ ตนก็ไมรูวาเปนตัวอะไร แตจะ
เก็บไวบูชา เพราะเช่ือวาวัตถุน้ันนาจะใหโชคลาภ ภายหลังขาวพบวัตถุน้ี
แพรออกไป ไดมีชาวบานหลั่งไหลกันมาขอดูไมขาดระยะ ซึ่งจะติดตอให
เจา หนา ที่ท่เี กีย่ วของมาตรวจสอบตอไปวา วตั ถุน้ีคืออะไรกันแน”
หลงั จากนักเรียนฟงขา วจบ ครอู าจใชค ําถามวา นักเรียนคิดวาวัตถุน้ีคือ

อะไร เพราะเหตุใดนักเรียนจึงคิดเชนนั้น และนักเรียนมีหลักฐานอะไรที่ใช
สนับสนุนความคิดของนักเรียน (นักเรียนตอบตามความคิดของตนเอง เชน
เปนสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก เพราะมีลักษณะคลายหนอน มีจุดคลายตา มีต่ิง
ย่ืนออกมาคลายหู และตกลงมาจากฟา นาจะมาจากนอกโลก หรืออาจเปน
อุกกาบาตจากนอกโลก เพราะมแี สงคลา ยผีพงุ ไต และตกลงมาจากฟา )

ครคู วรกระตุนใหนกั เรียนแสดงความคิดเห็นรวมกนั โดยอาจใหนักเรียน
คุยกันเปน กลุมหรือจับคูกันอภปิ ราย ทัง้ นี้หากพบวานักเรียนตอบคําถามโดย
ไมมีหลักฐานประกอบ ครูอาจใชคําถามเพ่ิมเติมเพ่ือตรวจสอบหลักฐานจาก
นักเรียน
2. ครูเชื่อมโยงความรูเดิมของนักเรียนเขาสูกิจกรรมท่ี 3 โดยใชคําถามวา

นักเรียนรูหรือไมวา การทําใหคําตอบมีความนาเชื่อถือหรอื ทําใหผูฟ งเช่ือ
ในเร่ืองราวท่ีเรากําลังส่ือสาร สามารถทําไดอยางไร จากน้ันชักชวน
นกั เรยี นรวมกนั หาคาํ ตอบในกิจกรรมที่จะทาํ ตอไป
3. นักเรียนอานชื่อกิจกรรม และทําเปนคิดเปน จากน้ันรวมกันอภิปราย
เพ่ือตรวจสอบความเขาใจเกี่ยวกับจุดประสงคในการทํากิจกรรม โดยใช
คาํ ถาม ดังน้ี

สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 87

คมู ือครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรียนรสู ง่ิ ตาง ๆ รอบตัว

3.1 กิจกรรมนี้นักเรียนจะไดเรียนเรื่องอะไร (การทําใหคําตอบมีความ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
และทกั ษะแหง ศตวรรษที่ 21 ที่
นา เชื่อถอื )
นกั เรยี นจะไดฝ กจากการทํากจิ กรรม
3.2 นักเรียนจะไดเรียนรูเรื่องนี้ดวยวิธีใด (วิเคราะหขอมูลและหา
S8 ลงความเห็นเกี่ยวกับคําตอบท่ี
หลกั ฐาน) นาเชื่อถือที่สุดโดยวิเคราะห
ขอ มลู ทีไ่ ดจากการอา นนทิ าน
3.3 เม่ือเรียนแลวนักเรียนจะทําอะไรได (ไดหลักฐานที่ทําใหคําตอบ
C2 การวิเคราะหขอมูลท่ีรวบรวม
มีความนา เชื่อถือ) ไดเพ่ือนํามาเปนหลักฐานใน
การสนับสนุนขอสรุปอยางมี
4. นักเรยี นบนั ทกึ จุดประสงคล งในแบบบันทกึ กิจกรรม หนา 32 เ ห ตุ ผ ล แ ล ะ ตั ด สิ น ใ จ เ ลื อ ก
5. นักเรียนอานทําอยางไร ทีละขอ โดยครูใชวิธีฝกทักษะการอานที่ คําตอบทีน่ าเชื่อถอื ทสี่ ดุ

เหมาะสมกับความสามารถของนักเรยี น จากนนั้ ครูตรวจสอบความเขาใจ C4 นําเสนอคาํ ตอบและหลักฐาน
เก่ียวกับวิธีการทํากิจกรรม จนนักเรียนเขาใจลําดับการทํากิจกรรม โดย เชื่อมโยงกนั อยา งเปน เหตุเปน
ใชคาํ ถามดังน้ี ผลเพื่อใหผ ูอื่นเขาใจ
5.1 หลังจากอานนิทานเรื่องหอยทาก เตา และหมูปาแลว นักเรียนตอง
C5 รวมกันอภิปรายและ
ทําอะไร (อภิปรายเกี่ยวกับเร่ืองที่อานแลวระบุวาตัวละครในนิทาน เปรยี บเทยี บคาํ ตอบกับเพ่ือน
ในกลุม
สงสัยเกย่ี วกบั เรื่องอะไร)

5.2 ขอมูลอะไรบางที่นักเรียนตองวิเคราะหเพ่ือตอบคําถามท่ีสงสัย

(ลักษณะและการเคลื่อนที่ของสัตวในนิทาน เสนทางท่ีสัตวทั้งสาม

ใชใ นการเดินทาง เวลาทีใ่ ช และขอ มูลอ่นื ๆ )

5.3 หลังจากวิเคราะหขอมูลเรียบรอยแลว นักเรียนตองทําอะไรตอ

(อภิปรายและเปรียบเทียบคําตอบกับเพื่อน จากน้ันลงความเห็นวา

คาํ ตอบใดนาเชื่อถือทสี่ ุด พรอมใหเหตุผลประกอบ)

6. เม่ือนักเรียนเขาใจวิธีการทํากิจกรรมในทําอยางไรแลว ใหนักเรียนเริ่ม
ปฏิบัตติ ามข้นั ตอนการทาํ กจิ กรรม

7. หลังจากทํากิจกรรมแลว นักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม
ตามแนวคาํ ถามดงั นี้
7.1 จากนิทาน ตัวละครในนิทานสงสัยเก่ียวกับเร่ืองอะไร และนักเรียน

คิดวาคําตอบคืออะไร (ส่ิงท่ีตัวละครสงสัย คือ หอยทาก เตา และ

หมูปา ใครจะว่ิงไดเร็วกวากัน โดยนักเรียนตอบตามความคิดของ

ตนเอง)

7.2 นักเรียนใชวิธีใดในการตัดสินใจเลือกวาคําตอบของเพื่อนคนใด

มีความนาเชื่อถือ (เลือกคําตอบท่ีมีหลักฐานที่สมเหตุสมผลมา

สนับสนนุ )

88 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมอื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรยี นรูสง่ิ ตา ง ๆ รอบตัว

7.3 ขณะท่ีอภิปรายกับเพื่อน นักเรียนมีวิธีการชักชวนใหเพื่อนเชื่อใน หากนักเรียนไมสามารถตอบ
คําตอบของนักเรียนอยางไร (ส่ือสารคําตอบใหเพื่อนเขาใจ โดยมี คําถามหรืออภิปรายไดตามแนว
หลักฐานมาสนับสนุน นอกจากน้ีคําตอบและหลักฐานมีการ คําตอบ ครูควรใหเวลานักเรียนคิด
เช่อื มโยงกันอยา งสมเหตสุ มผล) อยางเหมาะสม รอคอยอยางอดทน
แ ล ะ รั บ ฟ ง แ น ว ค ว า ม คิ ด ข อ ง
7.4 เปนไปไดหรือไมท่ีนักเรียนกับเพ่ือนจะมีคําตอบที่แตกตางกันแมจะ นกั เรยี น
อานนิทานเรื่องเดียวกัน เพราะเหตุใดจึงเปนเชนนั้น (เปนไปได
เพราะแมจะอานนิทานเรื่องเดียวกัน ขอมูลเดียวกัน แตนักเรียน
แตละคนก็อาจมีความคิดท่ีแตกตางกันเน่ืองจากหลักฐานที่นักเรียน
เลือกนํามาใชสนับสนุนอาจแตกตางกันจึงทําใหขอสรุปหรือคําตอบ
ท่ีไดแตกตา งกนั )

7.5 เมื่อเกิดความคิดเห็นหรือมีคําตอบท่ีแตกตางกัน นักเรียนจะทํา
อยางไรเพ่ือหาขอสรุปหรือเพื่อใหไดคําตอบท่ีนาเชื่อถือมากท่ีสุด
(รวมกันอภิปรายเปรียบเทียบคําตอบกับเพ่ือน โดยใชการส่ือสาร
และโตแยงดวยเหตุผล มีการใชหลักฐานมาสนับสนุนคําตอบ
จากนั้นจึงพิจารณาเลือกคําตอบท่ีมีความนาเชื่อถือ สมเหตุสมผล
ท่ีสุด)
ในขณะท่ีอภิปรายหรือนําเสนอขอมูล ครูอาจพบวานักเรียนบางคน

อาจมีความคิดเห็นหรือใชเกณฑท่ีแตกตางกันในการตัดสินเปรียบเทียบ
ความเร็วในการว่ิงของสัตวแตละชนิด โดยนักเรียนอาจตอบวาหมูปาวิ่งเร็ว
ท่ีสุดเพราะมีรูปรางที่เหมาะแกการวิ่งมากที่สุด ซึ่งเปนการใชประสบการณ
ของตนเองในการตดั สนิ หรือนักเรยี นอาจตอบวา หอยทากเปน สตั วท ี่วิ่งไดเร็ว
ที่สุดเพราะใชเวลานอยที่สุดในการวิ่ง ซึ่งแสดงวานักเรียนอาจยังไมเขาใจ
เกยี่ วกับวิธีการเปรยี บเทียบความเร็ว ดังน้ันครูอาจถามคําถามเพื่อกระตุนให
นักเรียนคิดหรือรวบรวมขอมูลเพิ่มเติมวาจะมีวิธีการอยางไรในการตัดสินวา
ใครวิง่ ไดเรว็ หรอื ชากวา กนั ดังน้ี

- นักเรียนเคยดูการว่ิงแขงในงานกีฬาสี ซีเกมส หรือโอลิมปก หรือไม
ในการแขงขันนั้น ๆ มีวิธีการตัดสินอยางไรวาใครว่ิงไดเร็วกวากัน
(นกั เรยี นตอบตามประสบการณข องตนเอง)

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 89

คูม ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรียนรสู ิ่งตาง ๆ รอบตัว

ครูใหนักเรียนรวบรวมขอมูลเพ่ิมเติมเกี่ยวกับวธิ ีการตัดสินการแขงขนั ภาพตวั อยางการแขงขันว่งิ
ว่ิงและครูอาจนําภาพหรือคลิปการแขงขันวิ่งมาใหนักเรียนรวมกันอภิปราย ตัวอยางแผนภาพแสดงการเดนิ ทางของสัตวแตละชนดิ
เพื่อใหไดแนวคิดเกี่ยวกับวิธีการตัดสินการแขงขันวิ่งที่ใชกันทั่วไปเปนสากล
เชน ในการแขงขันจะมีการกําหนดจุดเริ่มตนและเสนชัย ใหผูเขาแขงขันวิ่ง
อยางตอเนื่องไปบนเสนทางเดียวกัน ใชระยะทางเทากัน คนที่ชนะคือคนท่ี
เขาเสนชัยกอน โดยเปนผูท่ีใชเวลานอยที่สุดในการวิ่งในระยะทางท่ีเทากัน
นอกจากนี้ครูยังอาจกระตุนใหนักเรียนรวบรวมขอมูลเพิ่มเติมในประเด็น
อื่นๆ ที่นักเรียนนํามาอภิปราย เชน ลักษณะหรือความยาวขาของสัตวกับ
ความเร็วในการเคลื่อนที่เพื่อตอบคําถามวาสัตวท่ีขายาวจะว่ิงเร็วกวาสัตวท่ี
ขาส้ันเสมอไปหรือไม ซึ่งจากการรวบรวมขอมูลนักเรียนอาจพบวามีสัตว
หลาย ๆ ชนิดที่ขาสั้นแตวง่ิ เร็วเชนกัน เชน หนู กระตาย แตอาจไมพบขอมูล
ยืนยนั วา สตั วชนดิ ไหนว่งิ เรว็ กวา กนั เนอื่ งจากยงั ไมเคยมีใครนําสตั วทงั้ หมดมา
ลองแขงขัน จากขอมูลในนิทาน นักเรียนจะเห็นไดวา แมในการแขงขัน
สัตวทั้งสามจะเรม่ิ ตนและส้ินสุดทีจ่ ุดเดียวกนั แตสตั วทงั้ สามมีการใชเสนทาง
ที่แตกตางกันเพ่ือเขาสูเสนชัย นักเรียนจะแสดงเสนทางที่แตกตางกันน้ีได
อยางไร (นักเรียนวาดแผนภาพแสดงการเดินทางของสัตวแตละชนิดตาม
ความเขาใจของตนเอง)

ครูอาจใหนักเรียนนําแผนภาพแสดงเสนทางการเดินทางไปยังเสนชัย
ของสัตวทั้งสามท่ีวาดตามความเขาใจมาอภิปรายรวมกัน โดยใหนักเรียน
อภิปรายเปรียบเทียบขอมูลในแผนภาพกับขอมูลที่ไดจากการอภิปรายเร่ือง
วิธีการตัดสินการแขงขันวิ่ง โดยครูช้ีแนะใหนักเรียนเห็นวาสัตวทั้งสามมี
ลักษณะการเคล่ือนท่ีและใชเสน ทางที่แตกตางกนั ซึ่งเปนไปไดวาระยะทางท่ี
สัตวทง้ั สามเดินทางน้นั กจ็ ะแตกตา งกนั ดวย จึงทําใหไ มส ามารถใชเ กณฑเรื่อง
เวลาในการตัดสินเปรียบเทียบความเร็วท่ีสัตวทั้งสามใชในการแขงขันคร้ังน้ี
ได)

หลังจากนักเรียนไดรวบรวมขอมูลเพิ่มเติมเก่ียวกับวิธีการตัดสินการ
แขงขันว่ิง ครูใหนักเรียนแตละคนไดสะทอนความคิดของตนเองวาคําตอบ
ของตนเปล่ียนไปหรือไม อยางไร หลังจากไดหาขอมูลและอภิปรายเพิ่มเติม
กบั ผอู นื่ โดยครูอาจใชแนวคําถาม ดังน้ี

- หลังจากท่ีไดรวบรวมขอมูลและอภิปรายเพิ่มเติมกับผูอ่ืน คําตอบของ
นักเรียนเปลี่ยนไปหรือไม อยางไร (นักเรียนตอบตามความคิดของ
ตนเอง เชน เปล่ียนไป โดยจากเดิมคิดวาหมูปาเปนสัตวที่ขายาวจึง
นาจะวิ่งไดเร็วที่สุดแตเน่ืองจากไมมีหลักฐานใด ๆ มายืนยันวาสัตวที่

90 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมือครูรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรยี นรสู ิง่ ตา ง ๆ รอบตัว

ขายาวจะเปนสัตวที่วิ่งไดเร็วกวาสัตวที่ขาส้ันเสมอ หรือจากเดิมเคย ขอเสนอแนะเพิ่มเตมิ
คิดวาหอยทากใชเวลานอยท่ีสุดจะเปนสัตวที่วิ่งไดเร็วที่สุด แต
หลังจากหาขอมูลเพ่ิมเติมเกี่ยวกับวิธีการตัดสินความเร็วในการ บางคร้ังเราอาจพบวาขอมูลท่ีนํามาใช
แขงขันวิ่ง คําตอบจึงเปล่ียนเปนไมสามารถตัดสินไดวาสัตวชนิดใดว่ิง ใ น ก า ร ตั ด สิ น สิ่ ง ต า ง ๆ ใ น แ ต ล ะ
เ ร็ ว ที่ สุ ด เ พ ร า ะ ห ลั ก ฐ า น ไ ม เ พี ย ง พ อ เ น่ื อ ง จ า ก ใ น ก า ร แ ข ง ขั น สถานการณอาจไมเพียงพอ เชน การ
สัตวท้ังสามไมไดใชเสนทางเดียวกันซึ่งทําใหระยะทางท่ีใชในการ ตัดสินวาใครว่ิงไดเร็วกวากันนั้นตองมีการ
แขงขนั อาจแตกตางกัน และสตั วบางชนดิ กไ็ มไดว ง่ิ อยางตอ เนือ่ ง) กําหนดระยะทางท่ีเทากันแลวตัดสินดวย
ในการอภิปรายสวนน้ี นักเรียนอาจยืนยันคําตอบเดิมหรือเปล่ียน เวลา โดยใครที่ใชเวลาในการแขงขันนอย
ที่สุดจะถือวาว่ิงไดเร็วที่สุด ดังนั้นครูควร
ความคิดครูควรใหเวลานกั เรียนในการแสดงความคดิ เหน็ โดยเนนไปท่ีการให ใหเวลานักเรียนในการวิเคราะหขอมูล
และสื่อสารคําตอบ โดยนักเรียนจะได
เหตุผลและนําหลักฐานมาสนบั สนุนคาํ ตอบของตนเอง เ รี ย น รู ว า คํ า ต อ บ ท่ี น า เ ช่ื อ ถื อ จ ะ เ ป น
คําตอบที่มีหลักฐานที่สมเหตุสมผลมา
- ถานักเรียนจะจัดการแขงขันใหมเพื่อตัดสินวาระหวางสัตวทั้งสาม สนับสนุนและมีการสื่อสารอยางเปนเหตุ
สัตวชนิดใดว่ิงไดเร็วกวากัน นักเรียนจะทําไดอยางไร (นักเรียนตอบ เปนผล ซึ่งเปนการฝกทักษะการคิดและ
ตามความคิดโดยใชขอมูลท่ีไดรวบรวมมา เชน ในการตัดสินการ การส่ือสารทางวิทยาศาสตร
แขงขันว่ิง เราจะตองใหสัตวทั้งสามเร่ิมตนและหยุดการแขงขันที่จุด
เดียวกัน โดยตองเปนการวิ่งอยางตอเนื่องและใชระยะทางเทากัน จึง ถ า ค รู พ บ ว า นั ก เ รี ย น ยั ง มี
จะสามารถตดั สินไดวา สตั วต วั น้นั วิ่งไดเ รว็ ทีส่ ุด) แนวคิดคลาดเคล่ือนเก่ียวกับ
ครูอาจเสริมวานอกจากการกําหนดระยะทางในการแขงขันใหเทากัน ห ลั ก ฐ า น กั บ ก า ร สื่ อ ส า ร ท า ง
วิทยาศาสตร ครูควรดําเนินการ
แลว อีกวิธีที่จะสามารถตัดสินไดวาสัตวชนิดใดวิ่งไดเร็วที่สุดอาจทําไดโดย โดยใหนักเรียนรวมกันอภิปราย
จนกระท่ังนักเรียนมีแนวคิดที่
การกาํ หนดเวลาในการแขงขันใหเทากัน แลว ตัดสนิ จากระยะทางทีส่ ตั วว่ิงได ถกู ตอ ง

ซ่ึงกรณีสถานการณในนิทานเรื่องนี้ ไมไดมีการกําหนดทั้งระยะทางและเวลา

ในการแขงขันใหเทากัน จึงไมสามารถเปรียบเทียบความเร็วในการว่ิงของ

สตั วทงั้ สามได

ครูเช่ือมโยงสิ่งท่ีไดเรียนกับการตอบคําถามในชีวิตประจําวันหรือ

คําถามทางวิทยาศาสตรวาหลักฐานท่ีนํามาสนับสนุนคําตอบน้ันควรไดมา

จากขอมูลท่ีรวบรวมโดยอาจไดมาจากการใชประสาทสัมผัสตาง ๆ ในการ

สังเกต หรืออาจรวบรวมมาจากแหลง ขอมูลที่นาเชื่อถือท่ีมีความเกย่ี วของกับ

เรือ่ งนนั้ ๆ จากนั้นจึงนาํ ขอ มลู ท้ังหมดมาวเิ คราะหแ ลวสอื่ สารโดยการอธิบาย

ประกอบกับคําตอบใหผอู ่ืนเขาใจอยางสอดคลอ งและเปนเหตุเปนผลกนั

8. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามในสิ่งท่ีอยากรูเพ่ิมเติมเก่ียวกับคําตอบที่
นาเช่ือถือ จากน้ันรวมกันอภิปรายและลงขอสรุปวาคําตอบที่นาเชื่อถือ
เปน คาํ ตอบทม่ี หี ลักฐานท่ีไดมาจากการนําขอมลู ท่ีรวบรวมไดม าวเิ คราะห

สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 91

คูมือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรยี นรสู ่งิ ตาง ๆ รอบตวั
แลวนําหลักฐานน้ันมาสนับสนุนคําตอบ และมีการสื่อสารใหผูอ่ืนเขาใจ
โดยมกี ารเชือ่ มโยงคาํ ตอบกบั หลกั ฐานอยา งเปนเหตุเปน ผลกัน (S13)
9. นักเรียนรวมกันอภิปรายเพ่ือตอบคําถามใน ฉันรูอะไร โดยครูอาจใช
คาํ ถามเพมิ่ เติมในการอภิปรายเพ่ือใหไ ดแนวคาํ ตอบทถี่ ูกตอ ง
10. นกั เรยี นอา น สิ่งที่ไดเ รียนรู และเปรียบเทียบกับขอ สรปุ ของตนเอง
11. ครูกระตุนใหนักเรียนฝกต้ังคําถามเก่ียวกับเร่ืองท่ีสงสัยหรืออยากรู
เพ่ิมเติมใน อยากรูอีกวา จากนั้นครูอาจสุมนักเรียน 2-3 คน นําเสนอ
คําถามของตนเองหนาช้ันเรียน จากนั้นนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ
คาํ ถามทน่ี ําเสนอ
12. ครูนําอภิปรายเพ่ือใหนักเรียนทบทวนวาไดฝกทักษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตรและทักษะแหง ศตวรรษท่ี 21 อะไรบา งและในขน้ั ตอนใด
13. นักเรียนรวมกันอานรูอะไรในเร่ืองนี้ ในหนังสือเรียน หนา 36 ครูนํา
อภิปรายเพ่ือนําไปสูขอสรุปเก่ียวกับส่ิงที่ไดเรียนรูในเรื่องน้ี จากนั้นครู
กระตุนใหนักเรียนตอบคําถามในชวงทายของเนื้อเร่ืองวา การใชทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตรทําใหเราคนพบคําตอบที่นาเชื่อถือ เราจะ
ใชทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรในการสืบเสาะหาความรู
ไดอยางไรบาง ซ่ึงครูควรเนนใหนักเรียนตอบคําถามพรอมอธิบายเหตุผล
ประกอบและชักชวนใหนักเรียนไปหาคําตอบรวมกันจากการเรียนหนวย
ตอไป

92 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมอื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรียนรูสิ่งตา ง ๆ รอบตัว

แนวคําตอบในแบบบนั ทกึ กิจกรรม

วิเคราะหขอมูลและหาหลักฐานที่ทําใหคําตอบมีความ
นา เช่อื ถอื

ระหวางหอยทาก เตา และหมูปา สตั วชนิดใดจะวิ่งไดเ รว็ กวา กัน

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 93

คมู ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรียนรูส ่งิ ตา ง ๆ รอบตัว

ไมม ขี า ตรงเขาไปในปา 5 ชว่ั โมง บนั ทกึ ขอมลู อ่นื ๆ
เคลอื่ นที่ชา ๆ
ท่นี กั เรยี นพบ เชน

เคลื่อนท่อี ยา ง
ตอเนอื่ ง

มขี าสนั้ ลดั เลาะไปตาม 7 ช่ัวโมง บนั ทกึ ขอมลู อน่ื ๆ

เคลื่อนที่โดย ริมแมนํา้ ท่นี กั เรียนพบ เชน
การคลานอยาง เคลอ่ื นท่ีอยาง

ชา ๆ ตอ เนอ่ื ง

มีขายาว ว่ิงเร็ว ตรงเขา ไปในปา 8 ช่ัวโมง บันทกึ ขอ มลู อืน่ ๆ
ที่นักเรยี นพบ เชน

ไมไดเ คล่อื นท่อี ยา ง

ตอ เนื่อง มกี ารแวะ
พักระหวางทาง

นกั เรียนตอบตามความคิดของตนเองโดยวิเคราะหจ ากขอมลู ในตาราง

94 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมอื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรียนรูส่ิงตา ง ๆ รอบตัว

นักเรียนตอบตามหลักฐานที่นํามาสนับสนุนคําตอบ เชน ถาคําตอบของนักเรียน คือ หมูปา
หลักฐานท่ีนักเรียนอาจนํามาสนับสนุนคําตอบ เชน หมูปาเปนสัตวที่มีขายาว ถาคําตอบของ
นักเรียน คือ หอยทาก หลักฐานทนี่ ักเรียนอาจนํามาสนับสนุนคําตอบ เชน หอยทากใชเวลานอ ย
ที่สุดในการแขงขัน ถาคําตอบของนักเรียน คือ เตา หลักฐานที่นักเรียนอาจนํามาสนับสนุน
คาํ ตอบ เชน เตา ลัดเลาะไปตามรมิ แมน ้ํา ซ่งึ นาจะเปนเสนทางที่เขา สเู สน ชยั ไดเร็วทส่ี ดุ

นักเรียนลงความเห็นตามความคิดเห็นของตนเองวา
คาํ ตอบของเพ่ือนคนใดมคี วามนา เชือ่ ถอื
นักเรยี นใหเหตผุ ลวาเพราะเหตุใดคําตอบของเพ่ือนคนนั้นจึงเปน คาํ ตอบทมี่ ีความ
นาเช่ือถือ เชน การตัดสินวาสัตวชนิดใดวิ่งไดเร็วทส่ี ุด ควรตัดสินจากเวลาที่สัตว
แตละตัวใชในการแขงขัน หรือการตัดสินวาสตั วชนิดใดวิ่งไดเ ร็วที่สุด ควรตัดสิน
จากลกั ษณะของสตั ว เปนตน

นักเรียนตอบตามผลการเปรียบเทียบคําตอบกับเพื่อน เชน เหมือนกัน เพราะทุกคนอาน
นิทานเรื่องเดียวกันทําใหไดคําตอบเหมือนกัน หรือตางกัน เพราะทุกคนมีความคิดตางกัน
และอาจพจิ ารณาเลอื กหลักฐานทีน่ าํ มาสนบั สนุนคําตอบตา งกัน ดงั น้ันคําตอบจึงแตกตา งกนั

นักเรียนตอบตามผลการเปรียบเทียบคําตอบกับเพื่อน เชน ไมเปลี่ยนแปลง เพราะ
คําตอบของตนเองมหี ลักฐานทีน่ าเชอ่ื ถอื มาสนบั สนุน หรอื เปลี่ยนแปลง เพราะคําตอบ
ของเพ่อื นนา เชื่อถอื และสมเหตุสมผลมากกวา

สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 95

คมู ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรยี นรสู งิ่ ตา ง ๆ รอบตัว

หลักฐานเปนส่ิงที่นํามาใชเพ่ือสนับสนุนคําตอบจึงทําใหการสื่อสารทาง
วทิ ยาศาสตรมีความนา เชื่อถอื มากยง่ิ ขึน้
คําตอบที่นาเชื่อถือวาสัตวชนิดใดในนิทานวิ่งไดเร็วกวากัน ไดมาจากการ
นําขอมูลท่ีรวบรวมไดมาวิเคราะห เปรียบเทียบ เพื่อใชเปนหลักฐานในการ
สนบั สนุนคําตอบน้ัน ๆ อยา งมีเหตุมผี ล
การตอบคาํ ถามหรือการส่ือสารเพ่ือใหผูอื่นยอมรับ คาํ ตอบนัน้ ตอ งมีความ
นาเช่ือถือโดยมีหลักฐานท่ีไดจากการวิเคราะหขอมูลมาสนับสนุนอยาง
มีเหตมุ ีผล

คําถามของนักเรียนทต่ี ง้ั ตามความอยากรูของตนเอง

96 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูมอื ครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรียนรูสง่ิ ตาง ๆ รอบตัว

แนวการประเมินการเรียนรู

การประเมินการเรียนรูข องนกั เรยี นทําได ดงั น้ี
1. ประเมนิ ความรเู ดิมจากการอภิปรายในชั้นเรียน
2. ประเมนิ การเรยี นรจู ากคําตอบของนักเรยี นระหวา งการจดั การเรียนรแู ละจากแบบบนั ทึกกจิ กรรม
3. ประเมินทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรและทกั ษะแหงศตวรรษที่ 21 จากการทาํ กิจกรรมของนักเรยี น

การประเมนิ จากการทาํ กิจกรรมที่ 3 คาํ ตอบที่นาเชื่อถอื เปน อยางไร

รหสั สง่ิ ทป่ี ระเมนิ คะแนน

ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
S8 การลงความเห็นจากขอมูล
S13 การตคี วามหมายขอมูลและลงขอสรปุ
ทกั ษะแหงศตวรรษท่ี 21
C2 การคิดอยา งมวี ิจารณญาณ
C4 การสอ่ื สาร
C5 ความรวมมอื

รวมคะแนน

สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 97

คูมอื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยที่ 1 การเรยี นรูส ิ่งตาง ๆ รอบตัว

ตาราง รายการประเมินและเกณฑการประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร

ทกั ษะ เกณฑการประเมนิ
กระบวนการทาง รายการประเมนิ
วิทยาศาสตร ดี (3) พอใช (2) ควรปรบั ปรงุ (1)

S8 การลง การลงความเห็นจาก สามารถลงความเหน็ จาก สามารถลงความเห็น สามารถลงความเห็น

ความเห็นจาก ขอมลู โดยพจิ ารณาได ขอมูลไดถูกตอ งดวย จากขอมูลไดถกู ตอง จากขอมลู ไดถกู ตอง

ขอ มูล วา คาํ ตอบใดมคี วาม ตนเองวา คําตอบใดมี จากการชแี้ นะจากครู เพียงบางสว นวาคาํ ตอบ

นาเช่ือถอื และ ความนาเชือ่ ถือมากท่ีสุด หรอื ผอู ื่นวา คาํ ตอบใดมี ใดมคี วามนา เชื่อถือมาก

สมเหตสุ มผลมากท่สี ุด โดยพิจารณาจากความ ความนาเชอ่ื ถือมาก ทสี่ ุดโดยยงั ขาดการ

สมเหตุสมผลของขอมลู ท่สี ุดโดยพิจารณาจาก พิจารณาถึงความ

ความสมเหตุสมผลของ สมเหตุสมผลของขอมลู

ขอมลู

S13 การ การตคี วามหมายขอมลู สามารถตคี วามหมาย สามารถตีความหมาย สามารถตีความหมาย

ตีความหมาย จากการทํากิจกรรม ขอมูลจากการทาํ ขอมูลจากการทํา ขอ มูลจากการทาํ

ขอ มลู และ และลงขอสรุปไดว า กิจกรรม และลงขอสรุป กจิ กรรม และ กจิ กรรม และ

ลงขอ สรุป คาํ ตอบที่นาเช่ือถอื คือ ไดวาคําตอบท่ีนาเชื่อถือ ลงขอสรปุ ไดว าคําตอบ ลงขอ สรุปไดว าคําตอบ

คําตอบที่มหี ลกั ฐานท่ี คือ คําตอบที่มีหลักฐาน ที่นา เชอ่ื ถือ คือ ที่นา เชอื่ ถือ คือ คําตอบ

ไดมาจากการวเิ คราะห ทีไ่ ดมาจากการวเิ คราะห คําตอบทมี่ ีหลักฐานท่ี ทม่ี หี ลกั ฐานที่ไดมาจาก

ขอมลู มาสนับสนุน ขอ มูลมาสนับสนุน และ ไดม าจากการวิเคราะห การวเิ คราะหขอ มูลมา

และมีการส่ือสาร มีการสอ่ื สารคําตอบและ ขอ มูลมาสนบั สนนุ สนับสนนุ แตไม

คาํ ตอบและหลักฐาน หลกั ฐานนัน้ เช่ือมโยงกนั และมีการสอื่ สาร สามารถสือ่ สารคําตอบ

นนั้ เชอื่ มโยงกนั อยาง อยางเปนเหตุเปน ผลได คําตอบและหลกั ฐาน และหลักฐานนน้ั

เปน เหตุเปน ผล ถกู ตองดวยตนเอง นนั้ เชื่อมโยงกันอยา ง เชอ่ื มโยงกันอยา งเปน

เปนเหตุเปน ผลได เหตุเปนผล แมว า จะ

ถูกตอง จากการช้แี นะ ไดร บั การชีแ้ นะจากครู

ของครูหรอื ผอู นื่ หรอื ผูอนื่

98 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูม อื ครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรยี นรสู งิ่ ตาง ๆ รอบตัว

ตาราง รายการประเมินและเกณฑการประเมนิ ทักษะแหง ศตวรรษที่ 21

ทักษะแหง รายการประเมนิ เกณฑก ารประเมนิ
ศตวรรษที่ 21
C2 การคิดอยา งมี ดี (3) พอใช (2) ควรปรบั ปรุง (1)
วิจารณญาณ
การวิเคราะหขอมูลท่ี สามารถวเิ คราะหขอมลู สามารถวิเคราะหข อมลู ท่ี สามารถวเิ คราะหข อมูล
C4 การสื่อสาร
รวบรวมไดอยา งมี ทีร่ วบรวมไดอยา งมี รวบรวมไดอยางมเี หตผุ ล ที่รวบรวมไดอ ยา งมี
C5 ความรว มมือ
เหตผุ ลเพือ่ นํามาเปน เหตผุ ลเพอ่ื นํามาเปน เพ่ือนํามาเปนหลักฐาน เหตผุ ลเพื่อนาํ มาเปน

หลักฐานและ หลกั ฐานและตดั สินใจ และตัดสนิ ใจเลือกคําตอบ หลักฐานไดเพียง

ตัดสนิ ใจเลอื ก เลือกคาํ ตอบที่นา เชอ่ื ถือ ท่นี า เชอ่ื ถือท่สี ดุ จากการ บางสว น แตไมอาจ

คําตอบท่ีนา เชือ่ ถอื ท่สี ุดไดดวยตนเอง ช้แี นะของครูหรือผอู น่ื ตัดสนิ ใจเลือกคาํ ตอบท่ี

ที่สดุ นา เชือ่ ถอื ท่ีสุดไดดว ย

ตนเอง แมวาจะไดร ับคํา

ชีแ้ นะจากครหู รือผอู น่ื

การนาํ เสนอคําตอบ สามารถนาํ เสนอคาํ ตอบ สามารถนาํ เสนอคาํ ตอบ สามารถนําเสนอคาํ ตอบ

และหลกั ฐาน และหลักฐานเชอ่ื มโยง และหลักฐานเชอ่ื มโยงกนั และหลกั ฐานเชอ่ื มโยง

เช่ือมโยงกนั อยาง กนั อยา งเปนเหตเุ ปน อยา งเปน เหตเุ ปน ผล จาก กัน แตไมเปน เหตเุ ปน

เปน เหตุเปน ผลให ผลไดดวยตนเอง การชี้แนะของครูหรอื ผูอน่ื ผล แมวาจะไดร ับการ

ผูอ่ืนเขาใจ ช้ีแนะจากครหู รือผอู นื่

การทํางานรวมกับ สามารถทาํ งานรว มกบั สามารถทํางานรวมกับ สามารถทํางานรว มกับ

ผูอ่นื ในการอภิปราย ผอู ่ืนในการอภปิ ราย ผอู นื่ ในการอภปิ ราย และ ผอู นื่ ในการอภิปราย

และเปรียบเทยี บ และเปรยี บเทียบคําตอบ เปรียบเทยี บคาํ ตอบ และเปรยี บเทียบคาํ ตอบ

คาํ ตอบ รวมทั้ง รวมทัง้ ยอมรับความ รวมทั้งยอมรับความ รวมทัง้ ยอมรับความ

ยอมรับความคดิ เหน็ คิดเห็นของผอู น่ื ต้ังแต คิดเหน็ ของผูอ่ืนในบาง คิดเห็นของผูอื่นบาง

ของผูอน่ื เรม่ิ ตนจนสําเรจ็ ชว งเวลาท่ที ํากิจกรรม ชวงเวลาท่ีทํากิจกรรม

ทง้ั นตี้ องอาศยั การ

กระตุนจากครหู รือผูอื่น

สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 99

คมู ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรียนรูส่งิ ตาง ๆ รอบตัว

กิจกรรมทา ยบทท่ี 1 เรยี นรแู บบนกั วทิ ยาศาสตร (1 ชวั่ โมง)

1. นักเรียนวาดรูปหรือเขียนสรุปสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทน้ี ในแบบบันทึก
กจิ กรรม หนา 34

2. นักเรียนตรวจสอบการสรุปส่ิงท่ีไดเรียนรูของตนเองโดยเปรียบเทียบกับ
แผนภาพในหัวขอ รูอะไรในบทน้ี ในหนงั สอื เรยี น หนา 37

3. นักเรียนกลับไปตรวจสอบคําตอบของตนเองในสํารวจความรูกอนเรียน
ในแบบบันทึกกิจกรรม หนา 2-6 อีกครั้ง ถาคําตอบของนักเรียน
ไมถูกตองใหขีดเสนทับขอความเหลานั้นแลวแกไขใหถูกตอง นอกจากน้ี
ครูอาจนําคําถามในรูปนําบทในหนังสือเรียน หนา 2 มารวมกันอภิปราย
คําตอบอีกคร้ัง ดังนี้
1. รูหรือไมวากอนท่ีจะมาเปนแผนภาพหรือตาราง ผูท่ีจัดทํา
รวบรวมขอมูลมาโดยวิธีใด และตองทําอยางไรจึงจะนําเสนอ
ขอมูลน้ันใหผูอ่ืนเขาใจได (ผูจัดทําตองวัดและบันทึกขอมูลเวลา
ที่ดวงอาทิตยข้ึนของแตละจังหวัดไว แลวนํามาจัดทําเปนตาราง
และแผนภาพ)
2. ถาเราตองเปนผูนําเสนอขอมูลตาง ๆ ในเรื่องท่ีเราสืบเสาะ
หาความรูมา เราจะมีวิธีการนําเสนอขอมูลน้ันใหมีความ
นาเชอ่ื ถือและทําใหผ อู ืน่ เขาใจไดอยางไร (เราตองหาหลักฐานมา
สนับสนนุ ขอ มลู ความรูน ้ัน และนําขอ มูลท่ีมีหลักฐานท่ีนา เชื่อถือ
มาจัดกระทําและส่ือความหมายในรูปแบบท่ีเขาใจไดงาย
ถกู ตอง และรวดเรว็ )

4. นักเรียนทําแบบฝกหัดทายบทที่ 1 เรียนรูแบบนักวิทยาศาสตร ใน
แบบบันทึกกิจกรรม หนา 35-41 จากน้ันนําเสนอคําตอบหนาชั้นเรียน
ถาคําตอบยังมีความคลาดเคล่ือนไมถูกตองครูควรนําอภิปรายหรือให
สถานการณเ พิม่ เตมิ เพอื่ แกไขแนวคดิ คลาดเคลอ่ื นใหถ ูกตอง

5. นักเรียนรวมกันทํากิจกรรมรวมคิด รวมทํา โดยใหสํารวจหองเรียนแลว
รวมกนั วเิ คราะหว าควรปรบั ปรุงหองเรยี นอยา งไรเพ่ือใหเ ปนระเบียบและ
สวยงาม จากน้ันออกแบบหองเรียนจากผลการวิเคราะหโดยสรางเปน

100 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยที่ 1 การเรยี นรสู ่งิ ตาง ๆ รอบตัว

แบบจําลอง และนําเสนอแบบจําลองเพ่ือใหนักเรียนทุกคนในหองเขาใจ

ตรงกัน
6. นักเรียนอานและอภิปรายเน้ือเรื่องในหัวขอวิทยใกลตัว ในหนังสือเรียน

หนา 42 โดยครกู ระตุนใหน ักเรียนเหน็ ความสาํ คัญของความรจู ากส่ิงที่ได
เรียนรูในหนวยนี้ วาสามารถนําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวันได

อยางไร เชน ความสําคัญของทักษะการหาความสัมพันธระหวางสเปซ

กับสเปซและสเปซกับเวลา และทักษะการสรางแบบจําลองที่สามารถ

นํามาประยุกตใชในชีวิตประจําวันได เชน ในงานออกแบบ การสราง

แบบจําลองของส่ิงที่จะกอสราง ไมวาจะเปนบานเรือน อาคารพิพิธภัณฑ

สวนสตั ว สนามเดก็ เลน
7. นักเรียนรวมกนั ตอบคาํ ถามสาํ คญั ประจาํ หนวยอีกครง้ั ดังนี้

- จัดกระทําขอมูลและนําเสนอความรูทางวิทยาศาสตรอยา งมีหลักฐานท่ี
นาเชื่อถือไดอยางไร (ตองเก็บรวบรวบขอมูลโดยวิธีท่ีถูกตอง เลือก
ขอมลู ท่ีมหี ลกั ฐานท่ีนา เชื่อถือมาจัดกระทําและส่ือความหมายขอมูลใน
รูปแบบตาง ๆ ที่ทําใหผูอ่ืนเขาใจไดงาย ถูกตอง และรวดเร็ว รวมทั้ง
อธิบายความรูที่ไดจากขอมูลเหลานั้นอยางเปนเหตุเปนผลสอดคลอง
กับหลักฐานทมี่ )ี
ถาคําตอบยังไมถูกตอง ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพื่อใหไดคําตอบที่
ถกู ตอง

สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 101

คูมอื ครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรียนรูสง่ิ ตาง ๆ รอบตัว

สรปุ ผลการเรยี นรูของตนเอง

รปู หรอื ขอ ความสรปุ สง่ิ ท่ีไดเรียนรจู ากบทนต้ี ามความเขา ใจของนกั เรียน

102 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมอื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรียนรูส งตาง ๆ รอบตัว

แนวคาํ ตอบในแบบฝกหดั ทา ยบท

5 นาที 103
2 นาที
6 นาที
1 นาที
3 นาที

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยที่ 1 การเรยี นรูสง่ิ ตา ง ๆ รอบตัว
นักเรียนสามารถจัดกระทําและสื่อความหมาย
ขอ มลู ไดตามรูปแบบทีต่ นเองเขาใจ เชน

หากจัดกระทาํ ขอมูลในรูปแบบตาราง ทําใหสามารถรไู ดงา ยและรวดเร็ววา
นักกีฬาแตละคนใชเวลาเลนเกมคนละก่ีนาที และถาหากจัดกระทําขอมูล
ในรปู แบบแผนภูมริ ูปภาพ ทาํ ใหสามารถรูไดง ายและรวดเรว็ วา ใครใชเวลา
ในการเลนเกมนอ ยทสี่ ดุ ซึ่งจะสามารถนาํ มาจัดอันดับไดง าย

104 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูมอื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยท่ี 1 การเรยี นรูสงตาง ๆ รอบตัว

นกกระจอกเทศ
เสอื กวาง

ทกั ษะการหาความสัมพันธร ะหวา งสเปซกับสเปซ

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 105

คมู อื ครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรียนรูส่ิงตา ง ๆ รอบตัว

ทกั ษะการหาความสัมพนั ธร ะหวางสเปซกับเวลา
การวาดภาพแสดงสวนตา ง ๆ ของรางกาย
การปน แสดงสวนตา ง ๆ ของรา งกาย

106 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรียนรสู งตา ง ๆ รอบตัว

คาํ ตอบขึ้นอยูก บั นักเรยี น เชน

การสรา งแบบจําลอง 107

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมอื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรียนรูสงิ่ ตาง ๆ รอบตวั

นักเรียนตอบ สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
ตามความคิด
ของตนเอง

108

คมู ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรียนรูส งตาง ๆ รอบตัว

นักเรียนบอกเหตุผลที่ทําใหตนคิดวาคําอธิบายของใครมีความนาเชื่อถือ เชน ขาวหอมเคยเห็น
ตน ไมทถี่ ูกฟา ผา จนกง่ิ หัก ดังนัน้ จงึ มีความเปน ไปไดท ี่ก่ิงมะมวงจะถูกฟา ผา ใบเตยเหน็ บนั ไดพาด
กับตนมะมวงและเห็นรอยรองเทา จึงมีความเปนไปไดท่ีจะมีคนหลายคนปนตนมะมวงจนกิ่ง
มะมวงหัก ภูมิไดยินชาวบา นบอกวาเม่ือคืนฝนตกและลมแรง จึงมีความเปนไปไดวาแรงจากลม
จะเปน สาเหตทุ าํ ใหกง่ิ มะมว งหกั

**นักเรียนอาจมีคําตอบและเหตุผลท่ีเลือกคําตอบนั้นแตกตางกัน ครูควรกระตุนให
นักเรียนไดแสดงความคิดเห็นและอาจถามเพิ่มเติมวาถาตองการใหคําตอบนั้น ๆ มีความ
นาเชื่อถือมากยิ่งขึ้น นักเรียนตองทําอยางไร โดยนักเรียนอาจตอบวาตองมีการสืบคนขอมูล
เพมิ่ เตมิ เชน หากกิง่ ไมหักเพราะแรงจากลม อาจจะตองมีการสํารวจตน ไมอ่นื ๆ บรเิ วณนัน้ ดว ย
วามีความเสียหายลักษณะเดียวกันหรือไม ถามีเพียงตนมะมวงตนนี้ตนเดียว แรงจากลมอาจ
ไมใ ชสาเหตทุ ท่ี ําใหก งิ่ มะมว งหกั

สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 109

หนวยท่ี 2 อากาศและชวี ติ ของสตั วคมู ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนวยที่ 2 อากาศและชีวติ ของสตั ว

ภาพรวมการจดั การเรยี นรูประจําหนว ยท่ี 2 อากาศและชวี ิตของสัตว

บท เรื่อง กิจกรรม ลาํ ดบั แนวคดิ ตอ เนอ่ื ง ตัวชีว้ ดั

บทที่ 1 อากาศ เร่อื งท่ี 1 อากาศ กจิ กรรมที่ 1.1 อากาศ  อากาศโดยทั่วไปไมมีสี ไมมีกล่ิน ว 3.2
และความสาํ คัญ มสี วนประกอบ
ตอส่งิ มีชีวติ อะไรบาง ประกอบดวยแกส ตา ง ๆ ป.3/1 ระบสุ ว นประกอบของ

กิจกรรมท่ี 1.2 ลด  อากาศมีสว นประกอบหลายอยาง ไดแก อากาศ บรรยาย
มลพิษทางอากาศ
ไดอ ยางไร แก สไนโตรเจน แก สออกซิ เจน ความสําคญั ของอากาศ

แกสคารบอนไดออกไซดและแกสอื่น ๆ และผลกระทบของ

รวมท้งั ไอนํ้า มลพษิ ทางอากาศตอ

 อากาศโดยทั่วไปเปนอากาศท่ีมีไอน้ํา สิง่ มีชีวติ จากขอ มูลท่ี

และมคี วามสําคัญตอ ส่ิงมชี วี ิต รวบรวมได

 ในอากาศมีฝุนละอองปริมาณมาก ป.3/2 ตระหนกั ถึงความสําคัญ
ของอากาศ โดยนําเสนอ
หรือนอยขึ้นอยูกบั สภาพแวดลอ ม
แนวทางการปฏบิ ตั ติ น
 อากาศที่มีปริมาณของสวนประกอบ ในการลดมลพิษทาง
ตาง ๆ ไมเหมาะสมทําใหเกิดมลพิษ อากาศ
ทางอากาศ

 ทกุ คนควรปฏบิ ตั ิตนเพื่อชวยลดมลพิษ

ทางอากาศ

กิจกรรมที่ 1.3 ลม  ความแตกตางของอุณหภูมิของ ป.3/3 อธิบายการเกดิ ลมจาก
เกิดขนึ้ ไดอ ยางไร อากาศสองบริเวณท่ีอยูใกลเคียงกัน
หลักฐานเชิงประจักษ
รวมคดิ รวมทาํ จะทําใหม ีการเคลื่อนท่ขี องอากาศ

 อากาศที่เคล่ือนท่ี เรียกวา ลม ป.3/4 บรรยายประโยชนแ ละ
ซ่ึ ง เ ค ล่ื อ น ที่ ไ ด ทั้ ง แ น ว น อ น แ ล ะ
โทษของลมจากขอมลู
แนวตง้ั ท่ีรวบรวมได
 ลมมีทัง้ ประโยชนและโทษตอมนุษย

สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 111

คูมอื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยที่ 2 อากาศและชวี ิตของสตั ว

บท เรือ่ ง กิจกรรม ลําดบั แนวคิดตอเนอ่ื ง ตวั ช้วี ดั

บทที่ 2 การ เรอื่ งที่ 1 สง่ิ ท่ี กิจกรรมที่ 1.1 สตั ว  มนุษยและสัตวตองการอาหาร น้ํา ว 1.2
ดาํ รงชวี ติ ของ จําเปน ตอ การ ตอ งการสิ่งใดในการ
สัตว เจรญิ เติบโตและ เจรญิ เตบิ โตและการ และอากาศเพ่ือการดํารงชีวิตและ ป.3/1 บรรยายสิ่งทีจ่ าํ เปน
การดาํ รงชวี ติ ดํารงชวี ิต
ของสัตว การเจรญิ เติบโต ตอการดํารงชวี ติ

กิจกรรมท่ี 1.2 มนุษย  อาหารชวยใหรางกายแข็งแรงและ และการเจริญเติบโต
ตอ งการส่งิ ใดในการ
เจริญเตบิ โตและการ เจริญเติบโต น้ําชวยใหรางกาย ของมนุษยและสตั ว
ดาํ รงชีวติ
ทํางานไดอยางปกติ และอากาศใช โดยใชขอ มลู ท่ี

ในการหายใจ รวบรวมได

ป.3/2 ตระหนักถึงประโยชน

ของอาหาร นํ้า และ

อากาศ โดยการดูแล

ตนเองและสตั วใ ห

ไดร ับสิ่งเหลานอ้ี ยาง

เหมาะสม

เรือ่ งท่ี 2 วฏั จกั ร กิจกรรมที่ 2 วัฏจักรชวี ิต  สตั วเ ม่อื เปน ตัวเต็มวัยจะสืบพนั ธุและ ป.3/3 สรา งแบบจาํ ลองที่
ชีวติ ของสัตว ของสตั วเปนอยางไร มีลูก เมื่อลูกเจริญเติบโตเปนตัว
บรรยายวัฏจกั รชีวติ
เต็มวัยก็จะสืบพันธุและมีลูกตอไปได
ของสัตวและ
อีก หมุนเวียนตอเน่ืองเปนวัฏจักร
เปรียบเทยี บวัฏจักร
ชีวิตของสตั ว
ชีวิตของสัตวบ างชนิด

 เราไมควรทําใหวัฏจักรชีวิตของสัตว ป.3/4 ตระหนกั ถึงคุณคา

ตา ง ๆ เปล่ียนแปลง ของชีวิตสตั ว โดยไม

ทําใหว ัฏจกั รชีวติ ของ

รวมคิด รวมทํา สตั วเปลย่ี นแปลง

สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 111

คมู อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 1 | หนว ยท่ี 2 อากาศและชีวติ ของสัตว

บทที่ 1 อากาศและความสําคญั ตอ สง่ิ มชี วี ติ

จุดประสงคการเรียนรปู ระจําบท

เมอื่ เรียนจบบทนี้ นักเรียนสามารถ
1. ระบุสวนประกอบของอากาศ
2. บรรยายความสาํ คัญของอากาศ และผลกระทบของ
มลพิษทางอากาศตอสง่ิ มีชวี ติ
3. นาํ เสนอแนวทางการปฏบิ ตั ติ นในการลดมลพิษทาง
อากาศ
4. อธบิ ายการเกิดลม
5. บรรยายประโยชนและโทษของลม

เวลา 13 ช่ัวโมง บทนม้ี อี ะไร

แนวคิดสําคัญ เร่ืองท่ี 1 อากาศ
กจิ กรรมที่ 1.1 อากาศมสี วนประกอบอะไรบาง
อากาศไมมีสี ไมมีกลิ่น ประกอบดวยแกสตาง ๆ กิจกรรมที่ 1.2 ลดมลพษิ ทางอากาศไดอยา งไร
และเปนสิ่งจําเปนในการดํารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต มลพิษ กิจกรรมท่ี 1.3 ลมเกดิ ข้นึ ไดอยางไร
ทางอากาศเกิดจากการท่ีอากาศมีสารเจือปนในปริมาณ
ที่ทําใหเกิดอันตรายตอสิ่งมีชีวิต เมื่ออากาศที่อยูบริเวณ
ใกลกันมีอุณหภูมิแตกตางกันจะทําใหเกิดลม ซึ่งลมมีท้ัง
ประโยชนแ ละโทษตอสิ่งมชี วี ิต

สอื่ การเรยี นรแู ละแหลงเรียนรู หนา 44-73
หนา 42-69
1. หนงั สอื เรยี น ป.3 เลม 1
2. แบบบนั ทกึ กจิ กรรม ป.3 เลม 1

112 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี


Click to View FlipBook Version