The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวบรวมโดย
นายเชิดศักดิ์ หิรัญสิริสมบัติ
อัยการอาวุโส
สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายบริหารจัดการความรู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kmcenter.ago1, 2021-08-02 21:21:21

รวมแนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด พ.ศ. 2542-2563 เรื่อง สัญญาทางปกครอง

รวบรวมโดย
นายเชิดศักดิ์ หิรัญสิริสมบัติ
อัยการอาวุโส
สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายบริหารจัดการความรู้

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๘๓

คูํมือดังกลําวไมํถูกต๎อง ผ๎ูฟูองคดีก็ไมํจําต๎องปฏิบัติตามแนวทางในคํูมือดังกลําวได๎ การที่สํานักงาน
หลักประกันสุขภาพแหํงชาติได๎ออกคูํมือดังกลําว จึงมิได๎กระทบตํอสิทธิและหน๎าท่ีของผ๎ูฟูองคดีแตํ
อยํางใด ดังนั้น ผู๎ฟูองคดีจึงมิใชํผู๎ได๎รับความเดือดร๎อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร๎อนหรือ
เสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได๎ หรือมีข๎อโต๎แย๎งเก่ียวกับสัญญาทางปกครองท่ีจะมีสิทธิฟูองคดีนี้ตํอ
ศาลปกครอง (คําส่ังศาลปกครอง สูงสุดที่ ๕๐๗/๒๕๕๔)

กรณีผ๎ูฟูองคดีซ่ึงได๎ทําสัญญาเป็นผ๎ูรับสัมปทานเก็บรังนกอีแอํน ฟูองวํา คําสั่งของ
คณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอํนจังหวัดกระบี่และผู๎วําราชการจังหวัดก ระบี่ท่ีให๎ผ๎ู
ฟูองคดีชําระเงินสํวนแบํงกําไรสุทธิจากการดําเนินกิจการในรอบปีภาษีตลอดอายุสัญญาสัมปทาน
และเงินเพิ่มจากสํวนแบํงกําไรท่ีต๎องชําระ ไมํชอบด๎วยกฎหมาย ขอให๎ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง
เพิกถอนคําส่งั ดงั กลําว น้นั คําสงั่ ดังกลําวเป็นการใช๎สทิ ธิเรียกร๎องตามสัญญาโดยมีมูลหน้ีจากสัญญา
หากผู๎ฟูองคดีเห็นด๎วยก็ปฏิบัติตามข๎อเรียกร๎อง หรือหากไมํเห็นด๎วยก็ชอบที่จะปฏิเสธข๎อเรียกร๎อง
หรือเพิกเฉย และเป็นหน๎าท่ีของจังหวัดกระบ่ีและผ๎ูวําราชการจังหวัดกระบี่ท่ีจะใช๎สิทธิฟูองคดีตํอ
ศาลเพ่ือบังคับให๎ผ๎ูฟูองคดีปฏิบัติตามสัญญา และหากตํอมาจังหวัดกระบ่ีและผู๎วําราชการจังหวัด
กระบ่ีบอกเลิกสัญญาและรบิ หลกั ประกัน การปฏบิ ตั ิตามสญั ญาทําให๎ผ๎ูฟอู งคดเี สยี เปรียบ ผฟ๎ู ูองคดีก็
ชอบที่จะใช๎สิทธิฟูองร๎องเม่ือเกิดกรณี ดังกลําว แตํขณะฟูองคดีนี้ยังมิได๎เกิดข๎อโต๎แย๎ง จึงไมํอาจถือ
ได๎วาํ ผฟู๎ ูองคดีเปน็ ผูเ๎ ดอื ดรอ๎ นหรอื เสยี หายหรืออาจจะเดือดร๎อนหรือเสียหายจากการกระทาํ ดังกลาํ ว
แตํอยํางใด (คําส่งั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ๕๖๓/๒๕๕๔)

กรณีฟอู งวาํ ได๎รับความเดือดรอ๎ นหรือเสียหายจากการท่ีองค์การบริหารสํวนตําบล
หนองขมารได๎มีหนังสือแจ๎งการสิ้นสดุ สญั ญาจ๎างผ๎ูฟอู งคดีเป็นพนักงานจ๎างท่ัวไปขององค์การบริหาร
สวํ นตาํ บลฯ ให๎ผูฟ๎ อู งคดีทราบ เนอ่ื งจากผู๎ฟูองคดีไมํผํานการประเมินผลการปฏิบัติงานรวมสองคร้ัง
ซ่ึงผ๎ูฟูองคดีเห็นวําการประเมินผลการปฏิบัติงานท้ังสองครั้งไมํชอบด๎วยกฎหมายและมีผลทําให๎
องค์การบริหารสํวนตําบลฯ ไมํตํอสัญญาจ๎างกับผู๎ฟูองคดี จึงนําคดีมาฟูองขอให๎ศาลมีคําพิพากษา
หรือคําสั่งให๎องค์การบริหารสํวนตําบลฯ ยกเลิกคําส่ังแจ๎งผลการสิ้นสุดสัญญาจ๎างตามหนังสือ
ดังกลําวและให๎ตํอสัญญาจ๎างพนักงานจ๎างกับผ๎ูฟูองคดี น้ัน หนังสือขององค์การบริหารสํวนตําบลฯ
ดังกลําวเป็นเพียงหนังสือแจ๎งการสิ้นสุดสัญญาจ๎าง อันเป็นการใช๎สิทธิเลิกจ๎างตามสัญญาเทําน้ัน
ไมํใชํคาํ ส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหํงพระราชบญั ญตั ิวิธปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครองฯ ผ๎ูฟูองคดี
จึงไมํใชผํ ู๎ทไี่ ด๎รับความเดอื ดร๎อน หรอื เสยี หายหรอื อาจจะเดอื ดรอ๎ นหรอื เสยี หายท่จี ะมีสทิ ธฟิ อู งคดใี น
ประเด็นนีต้ อํ ศาลปกครองได๎ (คาํ สง่ั ศาลปกครองสงู สุดที่ ๓๑๓/๒๕๕๕)

กรณฟี อู งขอใหเ๎ พิกถอนสญั ญาจ๎างและมตเิ ลิกจา๎ ง และให๎ บรษิ ทั อ. ประธานบริษทั
อ. คณะกรรมการบริษัท อ. นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีวําการกระทรวงการคลังชดใช๎คําเสียหาย
ใหแ๎ กผํ ู๎ฟูองคดี น้นั เมอ่ื ผฟ๎ู อู งคดีไมํได๎เป็นคํูสัญญาตามสญั ญาจ๎างฉบบั ดังกลาํ ว ผูฟ๎ ูองคดีจึงไมํมีสิทธิ
ทีจ่ ะโตแ๎ ย๎งเกี่ยวกับสิทธิและหน๎าท่ีตามท่ีกําหนดไว๎ในสัญญาได๎ ดังนั้น ผู๎ฟูองคดีจึงไมํมีสิทธิฟูองคดี
ตอํ ศาลปกครอง (คาํ สั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ ๔๕๖/๒๕๕๕)

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๘๔

กรณีฟูองขอให๎สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยศิลปากร
จํายคําตอบแทนค๎างจํายเงินชดเชยคําตอบแทนตามสัญญาจ๎าง และคําเสียหาย เม่ือสัญญาจ๎าง
พนักงานของสาํ นักงานบรหิ ารโครงการพัฒนากําลงั คนด๎านมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ (ทุนเรียน
ดีมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์แหงํ ประเทศไทย) มีคํสู ัญญาสองฝุาย คือ ฝาุ ยมหาวิทยาลัยศลิ ปากร
เป็นผว๎ู าํ จา๎ ง และฝุายผฟู๎ อู งคดเี ป็นผรู๎ บั จา๎ ง ซึ่งคสูํ ญั ญาทงั้ สองฝาุ ยตํางมสี ทิ ธิ หน๎าท่ี และความรบั ผดิ
ที่จะต๎องปฏิบัติตํอกันตามท่ีกําหนดไว๎ในสัญญา สํวนสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแม๎จะ
เป็นผทู๎ อี่ นุมัตใิ ห๎มกี ารจัดตั้งและเป็นผส๎ู นับสนนุ งบประมาณในการดาํ เนินงานของสํานักงานดังกลําว
แตํก็หาได๎เขา๎ เปน็ คูํสญั ญาตามสญั ญาจา๎ งดังกลําวดว๎ ยไมํ สํานกั งานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจึง
ไมํได๎มีสิทธิ หน๎าที่ และความรับผิดที่จะต๎องปฏิบัติตํอผ๎ูฟูองคดีตามที่กําหนดในสัญญาจ๎างระหวําง
มหาวทิ ยาลยั ศิลปากรกับผ๎ฟู ูองคดีแตอํ ยาํ งใด ดงั นนั้ ผู๎ฟอู งคดจี งึ มิได๎เป็นผไู๎ ดร๎ ับความเดอื ดร๎อนหรือ
เสียหาย โดยมิอาจหลีกเล่ียงได๎อันเนื่องจากมีข๎อโต๎แย๎งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองกับสํานักงาน
คณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา (คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสุดที่ 8๒๖/๒๕๕๕)

เมื่อสัญญาจ๎างสิ้นสุดลงด๎วยเหตุระยะเวลาการจ๎างครบกําหนด ตามท่ีได๎ทําสัญญา
กันไว๎ กรณีจึงเป็นการเลิกจ๎างตามสัญญา ซึ่งมีผลให๎ความผูกพันระหวําง คํูสัญญาสิ้นสุดลงตาม
สญั ญา สํวนการที่องค์การบริหารสํวนตําบลหาดแพงจะทําสัญญาจ๎าง ผู๎ฟูองคดีตํอไปอีกหรือไมํนั้น
เป็นอํานาจดุลพนิ จิ ขององคก์ ารบริหารสวํ นตาํ บลหาดแพงทีจ่ ะต๎องดําเนินการตามความจําเป็นและ
ความเหมาะสม ดงั น้นั เมื่อสัญญาจา๎ งระหวํางผ๎ฟู ูองคดกี บั องค์การบริหารสํวนตําบลหาดแพงส้ินสุด
ลงด๎วยเหตุครบกําหนดระยะเวลาตามสัญญาจ๎าง และองค์การบริหารสํวนตําบลหาดแพงไมํตํอ
สญั ญาจ๎างผู๎ฟูองคดี เนื่องจากไดข๎ อกําหนด ตาํ แหนงํ เจา๎ พนักงานจัดเกบ็ รายได๎ (ระดับ ๒-๔/๕) เพม่ิ
ใหมํในแผนอัตรากําลังสามปี ซ่ึงได๎รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการพนักงานสํวนตําบลจังหวัด
นครพนมแล๎ว ผฟู๎ อู งคดจี ึงมใิ ชผํ ไ๎ู ด๎รับความเดือดร๎อนหรือเสียหายและไมํมีข๎อโต๎แย๎งเก่ียวกับสัญญา
ทางปกครอง ทจ่ี ะมีสทิ ธิฟูองเรยี กให๎องคก์ ารบริหารสวํ นตาํ บลหาดแพงชดใช๎คําสินไหมทดแทนจาก
การท่ี ไมํตอํ สัญญาจา๎ งผ๎ูฟอู งคดี (คาํ สัง่ ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี ๑๐๑/๒๕๕๖)

กรณีมติของคณะกรรมการพนักงานสํวนตําบลจังหวัดสกลนคร ที่มีมติให๎ลงโทษผ๎ู
ฟูองคดีโดยไลํออกจากราชการ เป็นเพียงข้ันตอนการดําเนินการภายในระหวํางคณะกรรมการ
พนักงานสํวนตําบลจังหวัดสกลนครกับนายกองค์การบริหารสํวนตําบลนาตงวัฒนา ซ่ึงเป็น
ผู๎บังคับบัญชาของผ๎ูฟูองคดีท่ีมีอํานาจหน๎าท่ีพิจารณาส่ังลงโทษทางวินัยแกํผ๎ูฟูองคดีเทํานั้น มติ
ดังกลําวจึงยังไมํมีผลทางกฎหมายออกสูํภายนอกไปกระทบกระเทือน ตํอสถานภาพของสิทธิหรือ
หนา๎ ที่ของผูฟ๎ อู งคดี คงมีเฉพาะคาํ สั่งของนายกองค์การบริหาร สํวนตําบลนาตงวัฒนาเทํานั้นท่ีมีผล
ทางกฎหมายกระทบกระเทอื นตอํ สถานภาพของสทิ ธิ หรอื หนา๎ ท่ีตามสัญญา ผูฟ๎ อู งคดีจึงไมใํ ชผํ ูไ๎ ด๎รบั
ความเดือดร๎อนหรือเสียหายที่มีสิทธิฟูองขอให๎เพิกถอนมติของคณะกรรมการพนักงานสํวนตําบล
จังหวัดสกลนคร และเนือ่ งจากสญั ญาท่พี พิ าทเปน็ สญั ญาท่ที ําข้นึ ระหวํางผ๎ฟู ูองคดีกบั องค์การบรหิ าร
สํวนตําบลนาตงวัฒนา ผู๎ที่มีสิทธิหน๎าท่ีและความรับผิดตามสัญญากับผ๎ูฟูองคดีจึงคงมีเพียงนายก

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๘๕

องค์การบริหารสํวนตําบลนาตงวัฒนา ซึ่งเป็นคูํสัญญาเทําน้ัน ผู๎ฟูองคดีจึงไมํใชํผู๎ท่ีได๎รับความ
เดือดรอ๎ นหรือเสียหายท่มี ีสิทธฟิ อู งขอให๎นายกองค์การบริหารสวํ นตําบลนาตงวัฒนาและ

คณะกรรมการพนักงานสํวนตําบลจังหวัดสกลนครรํวมกันชดใช๎คําเสียหายให๎แกํผู๎ฟูองคดี
เชํนเดียวกัน (คาํ ส่ังศาลปกครองสูงสดุ ที่ 9๙/๒๕๕๗)

กรณีผ๎ูฟูองคดีซ่ึงเป็นผ๎ูค๎ารายยํอยและเป็นผู๎จองแผงค๎า ฟูองโต๎แย๎งสัญญาเชําชํวง
ท่ีดนิ ระหวาํ งกรงุ เทพมหานคร (ผถ๎ู กู ฟอู งคดีท่ี ๑) กับบรษิ ทั ท. (ผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๒) เพ่ือจัดให๎มีตลาด
ธนบรุ ี (สนามหลวง ๒) โดยฟูองขอใหศ๎ าลมีคาํ พิพากษาหรอื คําส่ังวาํ สญั ญาเชาํ ชวํ งท่ีดินดังกลําวเป็น
โมฆะ น้ัน เม่ือในการพิจารณาวําผู๎ฟูองคดีมีสิทธิฟูองคดีเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองหรือไมํ ต๎อง
พิจารณาตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหํงพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ท่ีบัญญัติให๎ผู๎ท่ีจะมี
สิทธิฟูองคดีได๎จะต๎องเป็นผู๎ท่ีมี ข๎อโต๎แย๎งเกี่ยวกับสัญญาที่พิพาทนั้นด๎วย ซ่ึงโดยหลักแล๎วจะมีเพียง
คูํสัญญาเทําน้ันที่จะมี ข๎อโต๎แย๎งกันในสัญญาน้ัน ๆ ได๎ ดังน้ัน แม๎ในคดีน้ีผ๎ูฟูองคดีจะเป็นผู๎จองและ
เชาํ แผงคา๎ ตามสัญญาจองและเชําแผงคา๎ ระหวาํ งผ๎ูฟูองคดีกับผถ๎ู ูกฟูองคดีที่ ๒ กต็ าม แตํเม่ือสัญญา
จอง และเชําแผงค๎าดงั กลําวไมไํ ด๎มีความเก่ยี วพนั กบั สญั ญาเชําชํวงที่ดนิ ระหวาํ งผ๎ูถูกฟอู งคดที ี่ ๑ กับ
ผู๎ถูกฟูองคดีท่ี ๒ แตํอยํางใด และมิได๎เป็นคํูสัญญาในสัญญาเชําชํวงที่ดินดังกลําว ผู๎ฟูองคดี จึงไมํมี
สทิ ธฟิ อู งคดนี ตี้ อํ ศาล (คาํ สั่งศาลปกครองสูงสดุ ที่ ๖๒๕/๒๕๕๘)

กรณผี ๎ูฟูองคดซี ่ึงปฏิบตั ิหน๎าท่ีผูอ๎ ํานวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขตามสัญญา
จ๎างปฏิบัติงานสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขท่ีทําไว๎กับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขโดย
รัฐมนตรีวําการกระทรวงสาธารณสุข (ผู๎ถูกฟูองคดีที่ ๑) ฟูองโต๎แย๎ง การประชุมคณะกรรมการ
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขซึ่งมีมติท่ีประชุมให๎ยกเลิกสัญญาจ๎าง ผ๎ูฟูองคดี กรณีถูกกลําวหาวํา
กระทําการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยฟูองขอให๎ศาลมีคําพิพากษา หรือคําส่ังเพิกถอนคําส่ัง
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเก่ียวกับการแตํงต้ังคณะกรรมการสรรหา และคัดเลือกกรรมการ
ผู๎ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และให๎เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี
เกยี่ วกับการแตงํ ตง้ั ผทู๎ รงคณุ วฒุ ใิ นคณะกรรมการสถาบันวจิ ัยระบบสาธารณสขุ นัน้ เห็นวํา แทท๎ จี่ ริง
แล๎วผู๎ฟูองคดีมีความประสงค์ขอให๎ศาลตรวจสอบและเพิกถอนกระบวนการดําเนินการเพ่ือปลด
ผฟู๎ ูองคดีออกจากตาํ แหนํงและบอกเลิกสัญญาจ๎างผู๎ฟูองคดี ซ่ึงทําให๎ผ๎ูฟูองคดีได๎รับความเดือดร๎อน
หรือเสยี หายเพราะถูกเลกิ จ๎างกอํ นหมดสญั ญาจา๎ งคดีนี้ จงึ เป็นคดีพพิ าทเก่ยี วกับสัญญาทางปกครอง
ตามมาตรา ๙ วรรคหน่งึ (๔) แหงํ พระราชบัญญตั ิจดั ตั้งศาลปกครองฯ อยํางไรก็ตาม แมผ๎ ฟู๎ ูองคดีจะ
เปน็ ผูม๎ ขี อ๎ โตแ๎ ย๎งเก่ียวกับสัญญาทางปกครอง ซ่ึงมีสิทธิฟูองคดีตํอศาลได๎ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
แหํงพระราชบัญญัติเดียวกันก็ตาม แตํเมื่อปรากฏวําในขณะย่ืนฟูองคดีน้ีตํอศาลปกครองชั้นต๎น
คณะกรรมการสถาบันวิจยั ระบบสาธารณสุข (ผถู๎ ูกฟอู งคดีท่ี ๓) ยงั ไมไํ ดม๎ ีมติเลิกจ๎างผ๎ูฟูองคดี แตํได๎
มีมติเลิกจ๎างผ๎ูฟูองคดีในคราวประชุมหลังจากนั้น และได๎มีหนังสือบอกเลิกจ๎างผู๎ฟูองคดีในวัน

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๘๖

เดยี วกนั จึงเป็นกรณีทีใ่ นขณะย่ืนฟูองคดีน้ยี ังไมํมขี อ๎ โต๎แย๎งเกยี่ วกับสญั ญาทางปกครอง ผู๎ฟูองคดีจึง
ยังไมมํ สี ทิ ธิฟอู งคดนี ้ีตอํ ศาล (คาํ สง่ั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คบ.๑๕๑/๒๕๕๘)

กรณฟี ูองวํา ผฟ๎ู ูองคดไี ด๎ทําสัญญาซอ้ื ขายไฟฟาู กับการไฟฟูา สวํ นภูมิภาค (ผ๎ูถูกฟูอง
คดีที่ ๔) โดยไดร๎ ับการสนบั สนนุ สํวนเพ่ิมราคารับซื้อไฟฟูาแบบ Adder ตํอมา คณะกรรมการกํากับ
กิจการพลังงาน (ผู๎ถูกฟูองคดีท่ี ๓) ได๎ออกประกาศคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน เร่ือง การ
รับซ้ือไฟฟูาจากพลังงานหมุนเวียน (ไมํรวมพลังงาน แสงอาทิตย์) ในชํวงเปลี่ยนผํานจากแบบ
Adder เป็น Feed-in Tarif (FIT) พ.ศ. ๒๕๕๘ ลงวันท่ี ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยมีข๎อกําหนดวํา
ไมํให๎ใช๎บังคับกับโครงการที่ผลิตไฟฟูาจากพลังงานหมุนเวียนในแบบ Adder ที่ได๎จํายไฟฟูาเข๎า
ระบบแล๎ว ทําใหผ๎ ฟู๎ ูองคดีท่ีได๎รับคําไฟฟูา แบบ Adder ไมํมีสิทธิขอปรับเปล่ียนไปเป็นแบบ Feed-
in Tarif (FIT) ผ๎ูฟูองคดีจึงฟูองขอให๎ ผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๔ แก๎ไขเปล่ียนแปลงสัญญาซื้อขายไฟฟูากับผู๎
ฟูองคดีจากแบบ Adder เป็นแบบ Feed-in Tarif (FIT) มีกําหนด ๒๐ ปี โดยไมํรวมระยะเวลาท่ีผู๎
ฟูองคดีได๎จํายไฟฟูา เข๎าระบบแล๎วจนถึงวันท่ีมีประกาศ และให๎ผู๎ถูกฟูองคดีท่ี ๔ จํายเงินคําไฟฟูา
สํวนเพิ่ม จากแบบ Adder เป็น Feed-in Tarif (FiT) ให๎แกํผู๎ฟูองคดี น้ัน เม่ือข๎อ ๔ ของประกาศที่
พิพาท กาํ หนดวํา ไมํให๎ใชบ๎ ังคับกับโครงการท่ีผลติ ไฟฟาู จากพลังงานหมุนเวียนในแบบ Adder ท่ีได๎
จาํ ยไฟฟาู เข๎าระบบแล๎ว การท่ีผ๎ฟู อู งคดีไมํอยูใํ นหลกั เกณฑก์ ารขอรบั การสนบั สนนุ สวํ นเพิม่ ราคารับ
ซื้อไฟฟูาในแบบ Feed-in Tarif (FIT) ตามประกาศของผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๓ ดังกลําว จึงไมํได๎เกิดจาก
การกระทาํ ของผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๔ ในฐานะคสํู ญั ญา หรือมีข๎อโต๎แย๎งเก่ียวกับ สัญญาระหวํางผู๎ฟูองคดี
กบั ผู๎ถกู ฟอู งคดที ี่ ๔ แตอํ ยํางใด อีกทง้ั การแกไ๎ ขขอ๎ สญั ญาระหวําง คูํสัญญาก็เป็นเรื่องความสมัครใจ
ของคสํู ญั ญา ศาลไมํอาจกาํ หนดคาํ บงั คับให๎ผถู๎ ูกฟอู งคดีท่ี ๔ ดําเนินการนอกเหนือหรือเกินไปกวําท่ี
กําหนดในสัญญาหรอื แกไ๎ ขสญั ญาได๎ ดังนัน้ ผ๎ูฟอู งคดี จงึ ไมมํ สี ิทธฟิ ูองขอให๎ผถู๎ กู ฟอู งคดที ่ี ๔ จาํ ยเงนิ
คําไฟฟูาสํวนเพิ่มจากแบบ Adder เป็น Feed-in Tariff (FIT) ให๎แกํผู๎ฟูองคดีได๎ตามมาตรา ๔๒
วรรคหนง่ึ แหํงพระราชบัญญัตจิ ดั ตง้ั ศาลปกครองฯ (คําสงั่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี ๔๐๖/๒๕๕๙)

กรณีฟอู งวาํ ผู๎ฟูองคดีเป็นผู๎แทนจาหนํายซอฟต์แวร์ระบบไอซีอาร์ (ICR) อยํางเป็น
ทางการของบริษัท อ. โดยแตํงต้ังให๎บริษัท ท. เป็นตัวแทนในการจําหนํายซอฟต์แวร์ดังกลําวให๎แกํ
สํานักงานสถิติแหํงชาติ (ผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๑) เพื่อใช๎ในการบันทึกข๎อมูลสํามะโนประชากร ประจําปี
พ.ศ. ๒๕๕๑ และปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซ่ึงบริษัท ท. ในฐานะตัวแทนของผ๎ูฟูองคดี ได๎เข๎าทําสัญญาขาย
เคร่ืองคอมพิวเตอร์พร๎อมกับซอฟต์แวรอ์ โี ฟว์ของผ๎ูฟูองคดกี บั ผูถ๎ กู ฟอู งคดีท่ี ๑ แตํหลงั จากติดตัง้ และ
สํงมอบให๎แกผํ ถู๎ ูกฟอู งคดที ี่ ๑ โดยไดร๎ บั เงนิ จากผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ ตามสัญญาแล๎ว บริษัท ท. กลับไมํ
นําเงินมาชําระให๎แกํผู๎ฟูองคดี ผู๎ฟูองคดี จึงนําคดีมาฟูองขอให๎ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให๎มีการ
เรํงรัดติดตามบริษัทคูํสัญญาหลักจํายเงินคําลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ดังกลําวให๎แกํผ๎ูฟูองคดี หากไมํ
สามารถดําเนินการได๎ ก็ให๎ชําระคําเสียหายแกํผ๎ูฟูองคดี และให๎ผู๎ถูกฟูองคดีที่ ๑ ฟูองเรียก
คําเสียหายจากบริษัทคูํสัญญาให๎มีการแจ๎งข๎อมูลการนําซอฟต์แวร์ของผ๎ูฟูองคดีไปใช๎ และให๎ผู๎ถูก
ฟอู งคดที ี่ ๑ ชําระเงนิ ทน่ี ําไปใช๎ในทุกโครงการ นัน้ ผูฟ๎ อู งคดเี ปน็ เพยี งผแ๎ู ตงํ ต้งั ใหบ๎ ริษัท ท. เป็นผ๎ูย่ืน
เสนอราคาให๎แกํผู๎ถกู ฟูองคดีท่ี ๑ ตามหนังสอื แตํงตัง้ การเปน็ ตวั แทนจําหนําย ลงวันท่ี ๑๘ มกราคม

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๘๗

๒๕๕๑ ผ๎ูฟูองคดีจึงไมํมีนิติสัมพันธ์กับผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ ตามสัญญาซ้ือขายครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์
ดงั กลําวทีจ่ ะมีสิทธเิ รยี กรอ๎ งหรอื มีข๎อโตแ๎ ย๎งเก่ียวกับสัญญาซื้อขายฉบับน้ีกับผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ ผู๎ฟูอง
คดีจึงไมํมีสิทธิฟูองผู๎ถูกฟูองคดีท่ี ๑ ให๎รับผิดตามสัญญาซ้ือขายฉบับดังกลําวตามมาตรา ๔๒ วรรค
หน่งึ แหงํ พระราชบัญญตั จิ ัดตงั้ ศาลปกครองฯ (คําสง่ั ศาลปกครองสูงสุดท่ี ๓๖๘/๒๕๖๐)

กรณีฟูองขอให๎เพิกถอนคําส่ังของผู๎อํานวยการองค์การกระจายเสียงและแพรํภาพ
สาธารณะแหงํ ประเทศไทย (ผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๒) ท่ีให๎ผ๎ูฟูองคดีออกจากการเป็นพนักงาน ซ่ึงผู๎ฟูองคดี
เห็นวําเป็นการเลิกจ๎างผ๎ูฟูองคดีตามสัญญาจ๎างพนักงานองค์การกระจายเสียงและแพรํภาพ
สาธารณะแหํงประเทศไทยโดยไมํชอบด๎วยกฎหมาย และให๎องค์การกระจายเสียงและแพรํภาพ
สาธารณะแหงํ ประเทศไทย (ผ๎ถู ูกฟูองคดีที่ ๑) ผถู๎ กู ฟูองคดีท่ี ๒ และคณะกรรมการนโยบายองค์การ
กระจายเสียงและแพรํภาพสาธารณะแหํงประเทศไทย(ผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๓) ชดใช๎คําเสียหายหรือ
คาํ ชดเชยอันเกิดจากการเลิกจ๎างให๎แกํผ๎ูฟูองคดี น้ัน เมื่อผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ เป็นคูํสัญญากับผ๎ูฟูองคดี
และเป็นผู๎เลิกจ๎างผู๎ฟูองคดี ผ๎ูฟูองคดีจึงมีสิทธิฟูองผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ เพื่อให๎รับผิดตามสัญญาเทําน้ัน
สําหรับผู๎ถูกฟูองคดีที่ ๒ ถึงแม๎จะเป็นผู๎ลงนามในสัญญาจ๎างผ๎ูฟูองคดีเป็นพนักงานก็ตาม แตํการลง
นามของผู๎ถูกฟูองคดีท่ี ๒ เป็นการลงนามในฐานะผ๎ูแทนของผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๑ ซ่ึงเป็นนิติบุคคลตาม
กฎหมายเทําน้ัน ทั้งน้ี ตามมาตรา ๓๒ ประกอบกับมาตรา ๓๘ (๒) แหํงพระราชบัญญัติองค์การ
กระจายเสียงและแพรํภาพสาธารณะแหํงประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๒ จึงไมํใชํ
คสํู ัญญากบั ผ๎ฟู อู งคดตี ามสญั ญาจ๎างพนักงานดังกลําว สวํ นผู๎ถกู ฟอู งคดที ี่ ๓ เปน็ เพยี งคณะกรรมการ
ที่มีอาํ นาจหน๎าทใ่ี นการพิจารณาวนิ ิจฉัยอทุ ธรณ์ตามข๎อ ๔๗ ของระเบียบองค์การกระจายเสียงและ
แพรํภาพสาธารณะแหํงประเทศไทยวําด๎วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๕๓ และข๎อ ๑๖ ของ
ระเบยี บองคก์ ารกระจายเสยี งและแพรภํ าพสาธารณะแหงํ ประเทศไทยวาํ ดว๎ ยหลกั เกณฑก์ ารอุทธรณ์
และการพิจารณาอุทธรณ์คําสั่งลงโทษทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๓ เทํานั้น มิได๎เป็นคํูสัญญากับผู๎ฟูองคดี
จึงถือไมํได๎วําผ๎ูฟูองคดีถูกโต๎แย๎งสิทธิจากการกระทําของผู๎ถูกฟูองคดีที่ ๒ และผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๓
ดังน้ัน ผ๎ูฟูองคดีจึงไมํมีสิทธิฟูองผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๒ และผู๎ถูกฟูองคดีท่ี ๓ ตํอศาลปกครองตามมาตรา
๔๒ วรรคหน่ึง แหํงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ (คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๑๔/
๒๕๖๐)

กรณฟี อู งวํา ผ๎ูฟูองคดีเป็นผู๎แทนจําหนํายซอฟต์แวร์ระบบไอซีอาร์ (ICR) อยํางเป็น
ทางการของบริษัท อ. โดยแตํงตั้งให๎บริษัท ท. เป็นตัวแทนในการจําหนํายซอฟต์แวร์ดังกลําวให๎แกํ
สํานักงานสถิติแหํงชาติ (ผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑) เพื่อใช๎ในการบันทึกข๎อมูลสํามะโนประชากร ประจําปี
พ.ศ. ๒๕๕๑ และปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งบริษัท ท. ในฐานะตัวแทนของผ๎ูฟูองคดี ได๎เข๎าทําสัญญาขาย
เครอ่ื งคอมพิวเตอรพ์ ร๎อมกับซอฟตแ์ วร์อโี ฟว์ของผู๎ฟอู งคดีกบั ผูถ๎ ูกฟูองคดีที่ ๑ แตํหลงั จากติดตง้ั และ
สํงมอบให๎แกผํ ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ โดยไดร๎ บั เงนิ จากผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ ตามสัญญาแล๎ว บริษัท ท. กลับไมํ
นําเงินมาชําระให๎แกํผ๎ูฟูองคดี ผ๎ูฟูองคดี จึงนําคดีมาฟูองขอให๎ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให๎มีการ

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๘๘

เรํงรัดติดตามบริษัทคูํสัญญาหลักจํายเงินคําลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ดังกลําวให๎แกํผู๎ฟูองคดี หากไมํ
สามารถดําเนินการได๎ ก็ให๎ชําระคําเสียหายแกํผ๎ูฟูองคดี และให๎ผู๎ถูกฟูองคดีที่ ๑ ฟูองเรียก
คําเสียหายจากบริษัทคํูสัญญาให๎มีการแจ๎งข๎อมูลการนําซอฟต์แวร์ของผู๎ฟูองคดีไปใช๎ และให๎ผ๎ูถูก
ฟูองคดที ี่ ๑ ชําระเงนิ ท่ีนําไปใช๎ในทุกโครงการ นน้ั ผู๎ฟอู งคดเี ปน็ เพยี งผแ๎ู ตํงตง้ั ใหบ๎ รษิ ทั ท. เป็นผ๎ูย่ืน
เสนอราคาใหแ๎ กผํ ถ๎ู ูกฟอู งคดที ี่ ๑ ตามหนงั สือแตงํ ตัง้ การเป็นตวั แทนจําหนําย ลงวันที่ ๑๘ มกราคม
๒๕๕๑ ผ๎ูฟูองคดีจึงไมํมีนิติสัมพันธ์กับผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ ตามสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์
ดังกลาํ วทีจ่ ะมีสทิ ธิเรียกร๎องหรือมขี ๎อโต๎แยง๎ เก่ียวกับสัญญาซ้ือขายฉบับนี้กับผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๑ ผู๎ฟูอง
คดจี ึงไมํมีสิทธิฟูองผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ ให๎รับผิดตามสัญญาซ้ือขายฉบับดังกลําวตามมาตรา ๔๒ วรรค
หนึ่ง แหงํ พระราชบัญญตั จิ ัดตัง้ ศาลปกครองฯ (คาํ สงั่ ศาลปกครองสงู สุดที่ ๓๖๘/๒๕๖๐)

กรณีฟูองขอให๎เพิกถอนคําสั่งของผ๎ูอํานวยการองค์การกระจายเสียงและแพรํภาพ
สาธารณะแหํงประเทศไทย (ผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๒) ที่ให๎ผู๎ฟูองคดีออกจากการเป็นพนักงาน ซ่ึงผู๎ฟูองคดี
เห็นวําเป็นการเลิกจ๎างผ๎ูฟูองคดีตามสัญญาจ๎างพนักงานองค์การกระจายเสียงและแพรํภาพ
สาธารณะแหํงประเทศไทยโดยไมํชอบด๎วยกฎหมาย และให๎องค์การกระจายเสียงและแพรํภาพ
สาธารณะแหํงประเทศไทย (ผถู๎ กู ฟอู งคดที ี่ ๑) ผ๎ถู ูกฟูองคดีท่ี ๒ และคณะกรรมการนโยบายองค์การ
กระจายเสียงและแพรํภาพสาธารณะแหํงประเทศไทย(ผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๓) ชดใช๎คําเสียหายหรือ
คาํ ชดเชยอันเกิดจากการเลิกจ๎างให๎แกํผู๎ฟูองคดี น้ัน เมื่อผู๎ถูกฟูองคดีท่ี ๑ เป็นคํูสัญญากับผู๎ฟูองคดี
และเป็นผ๎ูเลิกจ๎างผ๎ูฟูองคดี ผ๎ูฟูองคดีจึงมีสิทธิฟูองผู๎ถูกฟูองคดีท่ี ๑ เพ่ือให๎รับผิดตามสัญญาเทํานั้น
สาหรับผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๒ ถึงแม๎จะเป็นผ๎ูลงนามในสัญญาจ๎างผู๎ฟูองคดีเป็นพนักงานก็ตาม แตํการลง
นามของผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๒ เป็นการลงนามในฐานะผู๎แทนของผู๎ถูกฟูองคดีที่ ๑ ซ่ึงเป็นนิติบุคคลตาม
กฎหมายเทํานั้น ทั้งน้ี ตามมาตรา ๓๒ ประกอบกับมาตรา ๓๘ (๒) แหํงพระราชบัญญัติองค์การ
กระจายเสียงและแพรํภาพสาธารณะแหํงประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ผู๎ถูกฟูองคดีท่ี ๒ จึงไมํใชํ
คูํสัญญากับผู๎ฟอู งคดตี ามสญั ญาจา๎ งพนกั งานดงั กลาํ ว สํวนผู๎ถกู ฟูองคดที ี่ ๓ เป็นเพยี งคณะกรรมการ
ท่มี ีอานาจหน๎าท่ใี นการพิจารณาวนิ ิจฉัยอทุ ธรณ์ตามข๎อ ๔๗ ของระเบียบองค์การกระจายเสียงและ
แพรํภาพสาธารณะแหํงประเทศไทย วําด๎วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๕๓ และข๎อ ๑๖ ของ
ระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพรํภาพสาธารณะแหํงประเทศไทย วําด๎วยหลักเกณฑ์การ
อุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์คําส่ังลงโทษทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๓ เทํานั้น มิได๎เป็นคํูสัญญากับผู๎
ฟูองคดี จึงถือไมไํ ด๎วํา ผู๎ฟูองคดี ถูกโต๎แย๎งสิทธิจากการกระทําของผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๒ และผู๎ถูกฟูอง
คดีที่ ๓ ดงั น้ัน ผ๎ฟู ูองคดจี งึ ไมํมสี ทิ ธฟิ ูองผ๎ูถูกฟอู งคดีท่ี ๒ และผูถ๎ กู ฟูองคดที ี่ ๓ ตอํ ศาลปกครองตาม
มาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหํงพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ (คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.
๑๑๔/๒๕๖๐)

กรณีฟูองวํา ผ๎ูฟูองคดีเป็นผู๎ได๎สิทธิการเชําพ้ืนท่ีลานจอดรถยนต์(พ้ืนที่มูลนิธิสวน
สมเด็จพระนางเจ๎าสิริกิติ์ฯ) จากกรุงเทพมหานคร (ผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๔) มาพัฒนาเป็นตลาดนัด

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๘๙

Jatujak Green (JJ Green) โดยมีการจัดทําเป็นศูนย์อาหารและร๎านค๎า รวมทั้งบริหารจัดการเป็น
พื้นทจ่ี อดรถยนต์ โดยมีข๎อตกลงวํา หากผู๎ฟูองคดีมีความประสงค์จะขอรับสิทธิในการดําเนินการใช๎
พ้ืนท่ีตามสัญญาน้ีตํอไป ให๎แจ๎งความจํานงเป็นลายลักษณ์อักษรตํอผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๔ ลํวงหน๎าไมํตํ่า
กวํา ๑ เดือน กํอนครบกําหนดสัญญา ตํอมา ผู๎ฟูองคดี ได๎มีหนังสือลงวันท่ี ๘ เมษายน ๒๕๕๙ ถึง
ผ๎ูถูกฟอู งคดที ่ี ๑ ขอตํออายสุ ญั ญาออกไปอกี ๑ ปี แตํผ๎ูอํานวยการตลาดนัดกรุงเทพมหานคร (ผู๎ถูก
ฟูองคดีที่ ๑) มีหนงั สอื ยกเลกิ การพิจารณาตอํ อายสุ ัญญากับผูฟ๎ ูองคดอี อกไปอีก ๑ ปี และจะตํออายุ
สัญญาให๎แกผํ ฟ๎ู อู งคดีอกี เพียง ๕ เดอื น และตอํ มา ผู๎ถูกฟอู งคดที ี่ ๑ ไดม๎ หี นงั สือแจง๎ ผ๎ูฟูองคดีให๎ออก
จากพื้นที่ภายในเวลาที่กําหนดและให๎ชําระคําเสียหายจากการใช๎ประโยชน์ในพ้ืนที่ โดยอ๎างวํา
สัญญาให๎ผู๎ฟูองคดีใช๎พ้ืนท่ีลานจอดรถยนต์ได๎สิ้นสุดลงแล๎ว ผ๎ูฟูองคดีจึงนําคดีมาฟูองขอให๎ศาลเพิก
ถอนหรือระงับคําส่ังของผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ ตามหนังสือดังกลําว และให๎ผู๎ถูกฟูองคดีที่ ๑ ประธาน
กรรมการควบคุมการจัดตลาดนัดกรุงเทพมหานคร (ผู๎ถูกฟูองคดีที่ ๒) และผู๎วําราชการ
กรุงเทพมหานคร (ผู๎ถูกฟูองคดีที่ ๓) ตํออายุสัญญาให๎แกํผู๎ฟูองคดี รวมท้ังให๎ผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ ถึงผ๎ู
ถูกฟูองคดีท่ี ๓ รํวมกันชดใช๎คําเสียหายให๎แกํผ๎ูฟูองคดี นั้น เม่ือผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๔ เป็นคํูสัญญากับผ๎ู
ฟูองคดี ยํอมจะต๎องรับผิดตํอความเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญา ผู๎ฟูองคดียํอมมีสิทธิฟูองผู๎ถูก
ฟูองคดี ท่ี ๔ ใหร๎ ับผิดตามสัญญาไดโ๎ ดยตรง สํวนการกระทาํ ของผ๎ถู ูกฟอู งคดที ี่ ๑ ซ่งึ กระทําการแทน
ผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๓ ในฐานะเป็นผู๎แทนผู๎ถูกฟูองคดีท่ี ๔ ซ่ึงเป็นนิติบุคคล และผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๒ ซึ่งมี
หน๎าท่ีรับผิดชอบบริหารงานตลาดนัดในขอบอํานาจของผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๔ มิใชํคํูสัญญากับผ๎ูฟูองคดี
ประกอบกับการท่ีผ๎ูถูกฟูองคดีที่ ๑ มีหนังสือแจ๎งความเห็นเกี่ยวกับการตํออายุสัญญากับผู๎ฟูองคดี
รวมทงั้ มีหนังสือแจ๎งเงอื่ นไขอนั เป็นเหตใุ ห๎ไมํตอํ สัญญา รวมท้งั ใหอ๎ อกจากพ้ืนที่และชําระคําเสียหาย
น้ัน เป็นการใช๎สิทธิตามสัญญาพิพาท โดยมิได๎เป็นการใช๎อํานาจตามกฎหมาย จึงไมํเป็นคําส่ังทาง
ปกครอง ดังน้ัน ผู๎ฟูองคดีจึงมิใชํผู๎ได๎รับความเดือดร๎อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร๎อนหรือ
เสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดอ๎ ันเนื่องจากมีข๎อโต๎แย๎งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองกับผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี
๑ ถงึ ผูถ๎ กู ฟอู งคดีท่ี ๓ ผู๎ฟอู งคดจี งึ ไมํมสี ิทธฟิ ูองผถู๎ กู ฟูองคดีท่ี ๑ ถงึ ผู๎ถกู ฟูองคดีท่ี ๓ ตํอศาลปกครอง
ท้ังนี้ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึงแหงํ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ (คาํ สงั่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี
๗๑๓/๒๕๖๐)

คดีน้ผี ู๎ฟอู งคดที ้ังสามยนื่ ฟูองสถาบนั วจิ ยั และพฒั นาพ้ืนท่ีสูง(องค์การมหาชน) (ผู๎ถูก
ฟอู งคดีท่ี ๑) และผอ๎ู าํ นวยการสถาบนั วจิ ยั และพัฒนาพื้นทส่ี ูง (ผ๎ถู ูกฟูองคดี ท่ี ๒) โดยมคี ําขอใหศ๎ าล
พิพากษาวํา สัญญาเลขที่ (อร) ๑๗/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ และสัญญาแก๎ไขเพิ่มเติม
(ฉบบั ท่ี ๑) ลงวันท่ี ๒๖ กนั ยายน ๒๕๖๐ เป็นสัญญาที่ไมํชอบด๎วยกฎหมาย และคําส่ังทางปกครอง
อ่ืน ๆ ที่ออกภายหลังโดยอาศัยสัญญาทั้งสองฉบับดังกลําวไมํชอบด๎วยกฎหมาย และให๎ทําสัญญา
ฉบับใหมํให๎ถูกต๎องตามกฎหมายโดยอาศัยผลการประกวดราคาฉบับเดิม นั้น เห็นวํา ผ๎ูฟูองคดีทั้ง

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๙๐

สามมีความประสงค์ขอให๎ศาลพิพากษาวํา สัญญาพิพาททั้งสองฉบับไมํมีผลผูกพันผู๎ฟูองคดีทั้งสาม
อันมีผลตํอไปวํา ผ๎ถู ูกฟูองคดที ี่ ๑ ไมมํ ีสิทธริ ิบหลกั ประกันท่ีผู๎ฟูองคดีทั้งสามวางตํอผ๎ูถูกฟูองคดีท่ี ๑
แตํเน่ืองจากคดีนี้เป็นคดีพิพาทเก่ียวกับการจัดจ๎างอันเป็นสัญญาทางปกครอง โดยผ๎ูที่เป็นคํูสัญญา
เทํานั้นท่ีมีสิทธินําคดีมาฟูองตํอศาลได๎ เมื่อข๎อเท็จจริงปรากฏวํา ผ๎ูฟูองคดีท่ี ๑ เป็นบริษัทมีฐานะ
เปน็ นติ ิบุคคลโดยมีผ๎ฟู ูองคดที ี่ ๒ และผู๎ฟูองคดีที่ ๓ เป็นกรรมการผ๎ูมีอํานาจในฐานะตัวแทนในการ
ทํานิติกรรมผูกพันบริษัทผ๎ูฟูองคดีที่ ๑ หากมีกรณีโต๎แย๎งสิทธิกันระหวํางผู๎ฟูองคดีกับคํูกรณีตาม
สัญญา ผ๎ฟู ูองคดที ่ี ๑ โดยกรรมการผม๎ู ีอาํ นาจกระทาํ การแทนนิตบิ คุ คลมสี ทิ ธเิ สนอข๎อพิพาทตํอศาล
แทนผฟ๎ู ูองคดที ี่ ๑ ในฐานะตวั แทนกระทําการแทนตัวการ แตํไมํมีสิทธิฟูองคํูสัญญาในฐานะสํวนตัว
เม่ือปรากฏข๎อเทจ็ จริงจากคาํ ฟูองวํา ผ๎ูฟูองคดีท่ี ๒ และผู๎ฟูองคดีท่ี ๓ มิได๎มีนิติสัมพันธ์กับผู๎ถูกฟูอง
คดีที่ ๑ ตามสัญญาพิพาท ผ๎ูฟูองคดีท่ี ๒ และผ๎ูฟูองคดีท่ี ๓ จึงไมํใชํผ๎ูเสียหายท่ีจะมีสิทธินําคดีมา
ฟูองผถ๎ู ูกฟอู งคดที ้ังสองให๎ตอ๎ งรบั ผิดตามสัญญา สวํ นผ๎ูถกู ฟอู งคดีท่ี ๒ เป็นเพยี งตัวแทนของผถ๎ู ูกฟอู ง
คดี ท่ี ๑ จงึ ไมํมีนิตสิ มั พันธ์ในสญั ญาพิพาทกับผฟ๎ู ูองคดที ี่ ๑ ผูฟ๎ อู งคดีที่ ๑ จึงไมํอาจใช๎สทิ ธฟิ อู งเรียก
ให๎ผ๎ถู กู ฟอู งคดที ี่ ๒ รบั ผดิ ในสัญญาพพิ าทได๎ (คําสง่ั ศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๙๐/๒๕๖๑)

กรณีฟูองวํา ในการดําเนินการตามสัญญาวําจ๎างผ๎ูฟูองคดีให๎ทํางานกํอสร๎างถนน
สาย ง๒ และ ง๓ ผงั เมืองรวมเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ตามสัญญาจ๎างเลขที่ ๑๕๓/๒๕๕๙
ลงวันท่ี ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ มีอุปสรรคที่ทําให๎ผ๎ูฟูองคดี ไมํอาจกํอสร๎างให๎แล๎วเสร็จภายใน
ระยะเวลาท่ีกําหนด เพราะกรมทางหลวงชนบท (ผ๎ูถูกฟูองคดี) ไมํแก๎ไขปัญหาและอุปสรรคในการ
กํอสร๎างและสํงมอบพืน้ ทใ่ี ห๎แกํผ๎ูฟูองคดี อีกท้งั ผ๎ถู กู ฟอู งคดี กระทําการไมชํ อบดว๎ ยกฎหมายและผิด
สัญญาโดยการออกคาํ สัง่ ตัดสิทธิไมใํ ห๎ผูฟ๎ ูองคดีมีสทิ ธเิ สนอราคางานอื่น ๆ ของผ๎ูถูกฟูองคดี อ๎างเหตุ
วําผฟ๎ู อู งคดที ํางานลํวงเลยกําหนดระยะเวลาแล๎วเสร็จตามสัญญา ผ๎ูฟูองคดีเห็นวําการกระทําของผู๎
ถูกฟูองคดีดังกลําวเป็นการกระทําที่ไมํชอบด๎วยกฎหมาย จึงนําคดีมาย่ืนฟูองคดีตํอศาล น้ัน
ข๎อเท็จจริงปรากฏวํา ระหวํางการทํางานกํอสร๎างตามสัญญา ผ๎ูฟูองคดีได๎มีหนังสือถึงประธาน
กรรมการตรวจการจ๎างแจ๎งปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับพ้ืนที่กํอสร๎าง ทําให๎ผ๎ูฟูองคดีไมํสามารถ
ทํางานได๎ และขอสงวนสิทธิในการงดหรือลดคําปรับและขอขยายระยะเวลากํอสร๎าง แตํประธาน
กรรมการตรวจการจ๎างได๎มีหนังสือถึงผู๎ฟูองคดีแจ๎งวํา ผ๎ูฟูองคดีไมํสามารถขอสงวนสิทธิในการงด
หรือลดคาํ ปรับและขอขยายระยะเวลากํอสร๎างได๎ หลังจากน้ัน ประธานกรรมการตรวจการจ๎างได๎มี
หนังสือคณะกรรมการตรวจการจ๎างถงึ ผู๎ฟูองคดแี จง๎ วํา คณะกรรมการตรวจการจ๎างได๎ตรวจสอบแลว๎
เห็นวําโครงการฯยังมีพื้นที่สํวนใหญํสามารถให๎ผ๎ูฟูองคดีทํางานได๎โดยไมํติดขัด จึงไมํสามารถ
พิจารณาใหผ๎ ฟู๎ ูองคดี ขอสงวนสิทธิในการงดหรือลดคําปรับและขอขยายระยะเวลากํอสร๎างได๎ เห็น
วาํ โดยที่ข๎อ ๒๐ ของสัญญาจา๎ งเลขท่ี ๑๕๓/๒๕๕๙ ลงวนั ที่ ๑๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๙ กําหนดวาํ ผ๎ูรับ
จ๎างสามารถแจ๎งเหตทุ ไี่ มํสามารถทาํ งานให๎แล๎วเสร็จตามเงื่อนไขและกําหนดเวลาแหํงสัญญาไปยังผู๎

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๙๑

วําจา๎ งได๎ เพ่อื ขอขยายระยะเวลาทาํ งานออกไป โดยการขยายกําหนดเวลาทํางานดังกลําว ให๎อยํูใน
ดุลพินิจของผ๎ูวําจ๎างท่ีจะพิจารณาตามที่เห็นสมควร เม่ือขณะยื่นฟูองคดีน้ี ผ๎ูถูกฟูองคดียังมิได๎บอก
เลิกสัญญาจ๎างกบั ผ๎ฟู อู งคดี และไมปํ รากฏวาํ ผฟู๎ ูองคดีไดถ๎ ูกโตแ๎ ยง๎ สทิ ธิใด ๆ ตามสัญญาดังกลําว แตํ
เปน็ กรณที ผี่ ู๎ฟูองคดีกบั ผู๎ถกู ฟอู งคดมี ีความเห็นไมํตรงกนั ในเร่อื งการขอขยายระยะเวลาทํางานของผู๎
ฟูองคดตี ามข๎อสัญญาดังกลําวเทํานั้น ซ่ึงยังไมํถือเป็นข๎อโต๎แย๎งเก่ียวกับสัญญาทางปกครองท่ีผู๎ฟูอง
คดีจะนํามาฟูองตํอศาลได๎ ดังน้ัน เมื่อขณะยื่นฟูองคดีตํอศาล ยังไมํมีข๎อโต๎แย๎งเกี่ยวกับสัญญาทาง
ปกครองระหวํางผ๎ูฟูองคดีกับผ๎ูถูกฟูองคดีตามสัญญาจ๎างดังกลําว ผู๎ฟูองคดีจึงมิใชํผ๎ูมีสิทธิฟูองคดีนี้
ตํอศาล (คาํ ส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี ๗๐/๒๕๖๒ และที่ ๕๙/๒๕๖๒ วนิ จิ ฉยั แนวทางเดยี วกนั )

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๙๒

บทท่ี ๕
แนวคาวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ

เกี่ยวกบั อนญุ าโตตลุ าการ

------------------

(ก) หลักการและแนวทางปฏิบัติเก่ียวกับการอนุญาโตตุลาการ ตาม พ.ร.บ
อนุญาโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕

พ.ร.บ. อนญุ าโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ได๎ยกเลิก พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๓๐
และเปน็ กฎหมายท่บี งั คับใชก๎ บั อนุญาโตตุลาการท้ังภายในประเทศและอนุญาโตตุลาการตํางประเทศ
ทต่ี ๎องมีการยอมรบั หรอื บงั คบั ในประเทศไทย การมีพระราชบัญญัติดังกลําวก็เพอื่ ใหป๎ ระเทศไทยมีกลไก
กฎหมายที่เอ้ืออํานวยตํอการค๎าและการลงทุนอยํางมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และมีลักษณะสากล
ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาวําด๎วยการยอมรับนับถือ และการใช๎บังคับคําช้ีขาดอนุญาโตตุลาการ
ตาํ งประเทศฉบับนครนวิ ยอร์ค ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๑ (ค.ศ.๑๙๕๘) (Convention on
the Recognition and Enforcement of Foreign Arbitral Awards New York, 10 June
1958) หรือท่ีเรียกกันวํา อนุสัญญานิวยอร์ค อันเป็นอนุสัญญาที่มีความสําคัญที่สุดเกี่ยวกับ
อนญุ าโตตลุ าการ พ.ร.บ. อนุญาโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงเป็นกฎหมายอนุวตั รการพนั ธะกรณีของ
ประเทศไทยในอนุสัญญาดังกลําว และยังเป็นกฎหมายที่ยกรํางโดยอาศัยบทบัญญัติในกฎหมาย
แมํแบบเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการของคณะกรรมาธิการกฎหมายการค๎าระหวํางประเทศขององค์การ
สหประชาชาติ (Uncitral Model Law) และบริบทพิเศษในประเทศไทย เชํน อนุญาโตตุลาการ
ในสัญญาทางปกครอง และความรับผดิ ทางอาญาของอนญุ าโตตลุ าการ จึงเปน็ กฎหมายเกยี่ วกบั การ
ระงับข๎อพพิ าทที่นําสนใจท่สี ุดฉบบั หนึง่

๑. ศาลที่มเี ขตอานาจตาม พ.ร.บ. อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕
ศาลทีม่ เี ขตอํานาจตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ อาจแบํงได๎เป็นศาล

ยุติธรรมและศาลปกครอง ทั้งนี้ เน่ืองจาก มาตรา ๑๕ 8 บัญญัติวํา “ในสัญญาระหว่างหน่วยงาน
ของรัฐกับเอกชนไม่ว่าเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ก็ตาม คู่สัญญาอาจตกลงให้ใช้วิธีการ
อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทได้ และให้สัญญาอนุญาโตตุลาการดังกล่าวมี ผลผูกพัน
คู่สัญญา” และมาตรา ๔๕ วรรคสองบัญญัติให๎ “การอุทธรณ์คาสั่งหรือคาพิพากษาของศาลตาม
พระราชบัญญัตินี้ให้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาหรือศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่กรณี” จึงมีข๎อสังเกต
เก่ยี วกบั ศาลทมี่ เี ขตอํานาจตาม พ.ร.บ. อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังตอํ ไปน้ี

8 การอา้ งถงึ บทมาตราต่าง ๆ ต่อไปน้ี หากมไิ ดร้ ะบุไวโ้ ดยเฉพาะเจาะจงใหห้ มายถงึ พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.
๒๕๔๕

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๙๓

๑.๑ หากเป็นกรณีข๎อพิพาทเก่ียวกับสัญญาทางปกครอง 9 ที่มีข๎อสัญญา
อนญุ าโตตลุ าการตามมาตรา ๑๕ ศาลทีม่ เี ขตอาํ นาจตามกฎหมายคือศาลปกครอง10

๑.๒ ในสัญญาระหวํางหนํวยงานของรัฐกับเอกชนท่ีไมํมีลักษณะเป็นสัญญาทาง
ปกครอง หรือสัญญาที่นิติสัมพันธ์ระหวํางคํูสัญญาเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย์
ศาลท่ีมีเขตอํานาจตามกฎหมายคือศาลยตุ ิธรรม

๑.๓ หากมีปัญหาเกิดขึ้นเกี่ยวกับการขัดกันแหํงเขตอํานาจศาล ระหวํางศาล
ยตุ ธิ รรมและศาลปกครอง ใหเ๎ ปน็ ไปตาม พ.ร.บ. วําด๎วยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน๎าท่ีระหวํางศาล
พ.ศ. ๒๕๔๒ และข๎อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน๎าท่ีระหวํางศาล วําด๎วยวิธีการ
เสนอเรื่อง การพิจารณา และวินิจฉยั พ.ศ. ๒๕๔๔

๑.๔ หากปรากฏวําศาลที่มีเขตอํานาจตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
เป็นศาลยุตธิ รรม กรณีก็อาจแบํงได๎อีกวําศาลท่ีมีเขตอํานาจคือศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค๎า
ระหวาํ งประเทศ หรือศาลที่มีอํานาจพิจารณาพพิ ากษาคดีแพํงทั่วไป

9 พ.ร.บ. จดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ นิยาม สญั ญาทางปกครองว่า
สญั ญาทางปกครองหมายความรวมถงึ สญั ญาทค่ี สู่ ญั ญาอย่างน้อยฝา่ ยใดฝา่ ยหน่ีงเป็นหน่วยงานทางปกครองหรอื
เป็นบคุ คลซง่ึ กระทาการแทนรฐั และมลี กั ษณะเป็นสญั ญาสมั ปทาน สญั ญาทใ่ี หจ้ ดั ทาบรกิ ารสาธารณะ หรอื จดั ใหม้ ี
สง่ิ สาธารณูปโภค หรอื แสวงประโยชน์จากทรพั ยากรธรรมชาติ
10 พ.ร.บ. จดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙(๔) ศาลปกครองมอี านาจ
พจิ ารณาพพิ ากษาหรอื มคี าสงั่ ในคดพี พิ าทเกย่ี วกบั สญั ญาทางปกครอง

อย่างไรกต็ าม ในขณะท่อี ยู่ในระยะคาบเกย่ี วของการก่อตงั้ ระบบศาลปกครอง คณะกรรมการวนิ ิจฉัยช้ี
ขาดอานาจหน้าทร่ี ะหวา่ งศาลมคี าวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดอานาจหน้าทร่ี ะหว่างศาลท่ี ๑/๒๕๔๖ ระหว่าง ศาลแพ่งกรุงเทพ
ใต้ และศาลปกครองกลาง ในกรณีการบงั คบั ตามคาชข้ี าดของอนุญาโตตุลาการระหว่างกจิ การร่วมคา้ บบี ซี ดี ี เจา้ หน้ี
ตามคาชข้ี าด และการทางพเิ ศษแห่งประเทศไทย ลูกหน้ีตามคาชข้ี าด คณะกรรมการวนิ ิจฉยั ช้ขี าดอานาจหน้าท่ี
ระหวา่ งศาลเหน็ ว่า

“...ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายจาเป็นต้องมีศาลท่มี ีเขตอานาจตงั้ แต่เริ่มต้นกระบวนพิจารณาชนั้
อนุญาโตตุลาการเพ่อื รองรบั การใช้สทิ ธทิ างศาลของบุคคล ตลอดจนช่วยเหลอื ใหก้ ระบวนการอนุญาโตตุลาการ
ดาเนนิ ต่อไปได.้ .. ซง่ึ ขณะทเ่ี รม่ิ มกี ารดาเนินการอนุญาโตตุลาการในเร่อื งน้ี (เสนอขอ้ พพิ าทวนั ท่ี ๒๔ พฤษภาคม
๒๕๔๓) ศาลปกครองยงั ไม่เปิดทาการ (เปิดทาการเม่อื วนั ท่ี ๙ มนี าคม ๒๕๔๔) และค่กู รณีทงั้ สองฝา่ ยไดข้ อให้
ศาลแพ่งออกหมายเรยี กพยานของตน ซง่ึ ศาลแพ่งไดอ้ อกหมายเรยี กพยานให้ตามขอ ทาใหศ้ าลยุตธิ รรมได้ใช้
อานาจเหนือขอ้ ขดั แยง้ น้มี าแต่เรมิ่ ตน้ จงึ ตอ้ งถอื วา่ ศาลยุตธิ รรมเป็นศาลทม่ี กี ารพจิ ารณาชนั้ อนุญาโตตุลาการอย่ใู น
เขตศาลตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๔ เพือ่ ให้การตรวจสอบกระบวนพิจารณาชัน้
อนุญาโตตุลาการอย่ใู นเขตศาลเดยี วกนั โดยตลอด ดงั นนั้ แมข้ อ้ พพิ าทในเรอื่ งน้ีเป็นการขอบงั คบั ใหค้ ่สู ญั ญาปฏบิ ตั ิ
ตามคาช้ขี าดของอนุญาโตตุลาการอนั สบื เนือ่ งมาจากสญั ญาทางปกครอง กต็ ้องให้ศาลยุติธรรมเป็นศาลทมี่ เี ขต
อานาจ ในทานองเดยี วกบั กรณีทม่ี กี ารฟ้องคดปี กครองต่อศาลยุตธิ รรมภายหลงั พระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครอง
และวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ใช้บงั คบั แต่ก่อนมกี ารประกาศใหศ้ าลปกครองสงู สุดและศาลปกครอง
กลางเปิดทาการ ตามคาวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดอานาจหน้าทร่ี ะหวา่ งศาลท่ี ๒/๒๕๔๔”

คาวนิ ิจฉัยน้ีจงึ ต้องถือเป็นกรณีพเิ ศษ และเป็นขอ้ ยกเว้นในพฤติการณ์พเิ ศษของหลกั การในกฎหมาย
ขา้ งตน้

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๙๔

๑.๕ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค๎าระหวํางประเทศมีอํานาจพิจารณา
พิพากษาคดีแพํงเก่ียวกับอนุญาโตตุลาการเพื่อระงับข๎อพิพาททรัพย์สินทาง ปัญญาและการค๎า
ระหวํางประเทศตาม พ.ร.บ. จัดต้ังศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค๎าระหวํางประเทศ และวิธี
พิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค๎าระหวํางประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๗ (๑๑) ดังนั้น
ในกรณขี องอนญุ าโตตลุ าการทีเ่ กย่ี วกับทรพั ย์สนิ ทางปัญญาหรือการค๎าระหวํางประเทศจึงอยํูในเขต
อํานาจของศาลทรัพย์สินทางปญั ญาและการค๎าระหวาํ งประเทศกลาง

๑.๖ ในกรณีมีปัญหาวําคดีใดจะอยํูในอํานาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญา
และการค๎าระหวํางประเทศหรือไมํ ไมํวําปัญหานั้นจะเกิดขึ้นในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค๎า
ระหวํางประเทศหรือศาลยุติธรรมอื่น ให๎ศาลนั้นรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว๎ชั่วคราวแล๎วเสนอ
ปญั หานนั้ ให๎ประธานศาลฎกี าเป็นผู๎วินิจฉัย คําวินิจฉัยของประธานศาลฎกี าใหเ๎ ปน็ ที่สุด

๑.๗ ศาลยุติธรรมอื่นท่ีอาจมีเขตอํานาจตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ คือศาลที่มีการพิจารณาช้ันอนุญาโตตุลาการอยูํในเขตศาล หรือศาลท่ีคูํพิพาทฝุายใด
ฝาุ ยหน่ึงมีภมู ลิ ําเนาอยํูในเขตศาล หรอื ศาลทีม่ ีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษาข๎อพิพาทซึ่งได๎เสนอตํอ
อนุญาโตตลุ าการ (มาตรา ๙)

๒. การส่งั จาหนา่ ยคดจี ากศาลเม่อื มขี ้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ (การสง่ั คารอ้ งตามมาตรา ๑๔)
กรณีท่ีศาลจะพบบํอย ๆ เกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการคือจําเลยจะยกข๎อตํอสู๎ในช้ันยื่น

คําให๎การ หรือทําเป็นคําร๎องตามมาตรา ๑๔ อ๎างวําข๎อพิพาทที่โจทก์ฟูองจําเลยตํอศาลนั้น
มีข๎อสัญญาให๎ระงับข๎อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ จึงขอให๎ศาลส่ังจําหนํายคดีเพ่ือให๎คูํความไป
ดําเนินการทางอนุญาโตตุลาการตามสัญญา เมื่อศาลได๎รับคําร๎องหรือข๎อตํอส๎ูในคําให๎การเชํนน้ัน
ให๎ศาลทําการไตํสวนทันทีเพ่ือดูความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการ หากศาลเห็นวําสัญญา
ดังกลําวมีผลใช๎บงั คับได๎ ไมํเป็นโมฆะ และไมมํ ีเหตอุ น่ื ทท่ี ําใหไ๎ มสํ ามารถปฏิบตั ิตามสัญญา ศาลก็ตอ๎ ง
มีคาํ ส่งั จําหนาํ ยคดีจากสารบบความ

การสง่ั คํารอ๎ งตามมาตรา ๑๔ มีขอ๎ สงั เกตดังตอํ ไปนี้
๒.๑ เม่ือไตํสวนแล๎ว เห็นวําข๎อสัญญาอนุญาโตตุลาการมีผลบังคับได๎ ศาลก็ต๎องสั่ง
จําหนาํ ยคดี หากไตํสวนแล๎วเห็นวาํ สัญญาอนญุ าโตตุลาการเป็นโมฆะ หรือใช๎บังคับไมํได๎ หรือมีเหตุ
อ่ืนท่ที าํ ให๎ไมํสามารถปฏิบตั ติ ามสญั ญา ศาลกต็ อ๎ งส่ัง ยกคาํ ร๎องพร๎อมแสดงเหตผุ ลแหํงการยกคําร๎อง
ศาลจะส่ังวํา “รอไว้ส่ังเมื่อมีคาพิพากษา” ไมํได๎ เพราะการรอเชํนน้ันยํอมมีผลเทํากับเป็นการยกคํา
รอ๎ งโดยไมแํ สดงเหตแุ หงํ คําสงั่
๒.๒ หากจําเลยมิได๎ยกข๎อตํอส๎ูในเรื่องข๎อสัญญาอนุญาโตตุลาการ ก็ต๎องถือวํา
คสํู ญั ญาประสงคจ์ ะให๎ศาลเปน็ ผูช๎ ้ขี าดในขอ๎ พิพาท โดยยกเลิกข๎อสัญญาอนุญาโตตุลาการโดยปรยิ าย
เชนํ นี้ ศาลจะยกขอ๎ สญั ญาอนญุ าโตตุลาการข้นึ เพือ่ จาํ หนํายคดีเองโดยไมมํ ฝี าุ ยใดร๎องขอมิได๎ เพราะ
สัญญาอนุญาโตตลุ าการมิใชํขอ๎ กฎหมายเกีย่ วกับความสงบเรยี บร๎อยท่ีศาลจะยกข้ึนได๎เอง
๒.๓ การไตํสวนถึงความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการนั้น มีแนวทาง
ประกอบดุลพินจิ ของศาลสองแนว แนวแรกเป็นแนวด้งั เดมิ ทศี่ าลมองสัญญาอนุญาโตตลุ าการวําเป็น
สญั ญาจํากัดสทิ ธจิ ึงตอ๎ งตคี วามโดยเครงํ ครดั สํวนแนวทางทส่ี องเป็นแนวความคิดใหมํและสากลกวาํ

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๙๕

คือมองการตีความสัญญาวําต๎องดูถึงเจตนาที่แท๎จริงย่ิงกวําถ๎อยคําสํานวนตามตัวอักษร (ป.พ.พ.
มาตรา ๑๗๑) ตอ๎ งดูความประสงคใ์ นทางสจุ รติ โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด๎วย (ป.พ.พ. มาตรา
๓๖๘) และใน พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ เอง มาตรา ๑๑ ก็ยอมรับข๎อสัญญา
อนุญาโตตุลาการท่ี “ปรากฏข้อสัญญาในเอกสารท่ีคู่สัญญาโต้ตอบทางจดหมาย โทรสาร โทรเลข
โทรพิมพ์ การแลกเปล่ียนข้อมูลโดยมีการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือทางอ่ืนซ่ึงมีการบันทึกข้อ
สัญญานั้นไว้” แสดงให๎เหน็ แนวโน๎มในการตคี วามท่ีเครํงครดั นอ๎ ยกวาํ อยาํ งไรก็ตาม หากคสํู ัญญาใช๎ขอ๎
สัญญาอนุญาโตตุลาการท่ีเป็นของสถาบันตําง ๆ ก็จะไมํมีปัญหาเหลําน้ี เนื่องจากมีการยกรํางอยําง
ชดั เจนและรัดกุม11

๓. การขอใหศ้ าลมีคาสั่งคุม้ ครองชว่ั คราวก่อนหรอื ขณะดาเนินการทางอนุญาโตตลุ าการ
(การสัง่ คารอ้ งตามมาตรา ๑๖)

การค๎มุ ครองชั่วคราวโดยศาลในกรณีที่มีข๎อสัญญาอนุญาโตตุลาการคงเป็นปัญหาที่
ยุํงยากท่ีสุดสําหรับศาลในกระบวนพิจารณาของศาลท่ีเก่ียวกับการอนุญาโตตุลาการ เพราะตาม
พ.ร.บ. การให๎ความคุ๎มครองชั่วคราว (ป.วิ.พ. ภาค ๔ ลักษณะ ๑ มาตรา ๒๕๓ – ๒๗๐) เป็นวิธีการ
ชัว่ คราวกํอนพิพากษาหมายความวาํ ในการขอค๎มุ ครองชว่ั คราวน้ัน โจทกต์ ๎องยนื่ คําฟอู งมาพรอ๎ มกับ
คําร๎องเพื่อค๎ุมครองชั่วคราว (ป.วิ.พ. มาตรา ๒๕๔) ในทางปฏิบัติเพื่อให๎เกิดความรวดเร็วโจทก์ก็
มกั จะยน่ื คาํ ขอในเหตุฉุกเฉนิ (ป.วิ.พ. มาตรา ๒๖๖) เพ่ือให๎ศาลส่งั ทําการไตสํ วนในทันที

สํวนการขอค๎ุมครองชั่วคราวในช้ันอนุญาโตตุลาการนั้น คํูสัญญาอาจย่ืนคําร๎องตํอ
ศาลท่ีมีเขตอํานาจให๎มีคําส่ังใช๎วิธีการช่ัวคราวเพ่ือคุ๎มครองประโยชน์ของตน กํอน หรือ ขณะ
ดําเนนิ การทางอนุญาโตตลุ าการได๎ จึงมขี อ๎ ควรสังเกตดงั นี้

๓.๑ ผ๎ูร๎องอาจย่ืนคําร๎องตามมาตรา ๑๖ ตํอศาลโดยท่ียังมิได๎เสนอข๎อพิพาทตํอ
อนุญาโตตุลาการเลย การขอคุ๎มครองช่ัวคราวเชํนน้ีเรียกวํา การคุ๎มครองช่ัวคราวกํอน ดําเนินการ
ทางอนุญาโตตลุ าการ12 ศาลทรี่ ับคาํ รอ๎ งจงึ ไมมํ ีคาํ เสนอข๎อพิพาทในชนั้ อนญุ าโตตุลาการ การไตํสวน
จึงต๎องกระทําโดยระมัดระวังในเรื่องความสมบูรณ์ของข๎อสัญญาอนุญาโตตุลาการกํอน จากน้ันจึง
ไตสํ วนวาํ ขอ๎ พพิ าทมีมูลและมเี หตุเพยี งพอทจ่ี ะนําวธิ คี ๎ุมครองชว่ั คราวมาใชห๎ รือไมํ

11 แบบอยา่ งสญั ญาอนุญาโตตุลาการของสถาบนั อนุญาโตตุลาการ สานกั ระงบั ขอ้ พพิ าท สานักงานศาลยุตธิ รรม มี
ดงั น้ี

“ขอ้ พพิ าท ขอ้ ขดั แยง้ หรอื ขอ้ เรยี กร้องใด ๆ ซงึ่ เกดิ ข้นึ จากสญั ญาน้ี หรอื เกยี่ วเนือ่ งกบั สญั ญาน้ี รวมทงั้
ปญั หาการผิดสญั ญา การเลกิ สญั ญา หรือความสมบูรณ์แห่งสญั ญาดังกล่าว ให้ทาการวินิจฉัยช้ขี าดโดยการ
อนุญาโตตุลาการ ตามขอ้ บงั คบั อนุญาโตตุลาการของสถาบนั อนุญาโตตุลาการ สานกั งานศาลยุตธิ รรม ซงึ่ ใชบ้ งั คบั
อยใู่ นขณะทมี่ กี ารเสนอขอ้ พพิ าทเพอื่ การอนุญาโตตุลาการ และใหอ้ ยภู่ ายใตก้ ารจดั การของสถาบนั ดงั กล่าว”
12 เทยี บเคยี งไดก้ บั การขอคมุ้ ครองชวั่ คราวกอ่ นฟ้องตามขอ้ กาหนดขอ้ ๑๒ – ๑๙ ขอ้ กาหนดคดที รพั ยส์ นิ ทาง
ปญั ญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๐

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๙๖

๓.๒ ศาลอาจนําบทบัญญัติ ภาค ๔ ลักษณะ ๑ มาตรา ๒๕๓ – ๒๗๐ มาใช๎บังคับ
โดยอนโุ ลม

๓.๓ ศาลพึงกําหนดอายุแหํงการคุ๎มครองชั่วคราวด๎วย เพื่อให๎คํูสัญญารีบเสนอข๎อ
พิพาทตํออนุญาโตตุลาการ หากศาลมิได๎กําหนดระยะเวลาดังกลําวไว๎ มาตรา ๑๖ กําหนดให๎มีผล
เพยี ง ๓๐ วันนบั แตวํ นั ทศ่ี าลมีคําสง่ั

๓.๔ การขอคมุ๎ ครองช่วั คราวตามมาตรา ๑๖ อาจเป็นการขอคมุ๎ ครองชั่วคราว ขณะ
ดําเนินการทางอนญุ าโตตุลาการ ในกรณีดังกลําว กระบวนพิจารณาก็จะมีความใกล๎เคียงกับวิธีการ
ช่วั คราวก่อนพพิ ากษาตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความแพํงมากขึน้

๓.๕ เนื่องจากมาตรา ๑๖ เป็นวิธีการใหมํ มาตรการท่ีอาจเทียบเคียงได๎นําจะเป็น
บทบัญญัติการขอคุ๎มครองช่ัวคราวก่อนฟูองตามข๎อกําหนดข๎อ ๑๒ – ๑๙ ข๎อกําหนดคดีทรัพย์สิน
ทางปญั ญาและการค๎าระหวํางประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๐ ศาลจึงอาจเทียบเคียงบทบัญญัติดังกลําวและ
นํามาปรับใช๎ในการพิจารณาการสั่งคําร๎องตามมาตรานี้ เชํน การให๎ผู๎ร๎องวางประกันความเสียหาย
ใหแ๎ กคํ ูํกรณีอีกฝาุ ยหน่ึงหากศาลจะสัง่ คุ๎มครองช่วั คราว เปน็ ตน๎

๔. การขอให้ศาลตัง้ อนญุ าโตตลุ าการตามมาตรา ๑๘ และการคัดค้านอนุญาโตตุลาการ
ตอ่ ศาลตามมาตรา ๒๐ วรรคสอง

กรณีอาจเกิดขึ้นได๎วํา คํูสัญญาไมํอาจตกลงกันได๎วําจะเลือกใครเป็น
อนญุ าโตตลุ าการ และในสัญญากาํ หนดใหม๎ อี นญุ าโตตุลาการเพยี งคนเดียว [มาตรา ๑๘ (๑)]หรือใน
กรณีท่ีสัญญากําหนดให๎มีอนุญาโตตุลาการมากกวําหน่ึงคน แตํคํูพิพาทฝุายใดฝุายหนึ่งมิได๎ตั้ง
อนญุ าโตตลุ าการภายในกําหนด หรือในกรณีที่ไมํอาจหาประธานอนุญาโตตุลาการได๎ [(มาตรา ๑๘
(๒)] คํูกรณีฝุายใดฝาุ ยหน่ึงก็อาจยืน่ คํารอ๎ งตํอศาลทมี่ ีเขตอํานาจใหม๎ ีคําสัง่ ตงั้ อนุญาโตตุลาการได๎

ข๎อสงั เกตของศาลในการแตงํ ตง้ั อนุญาโตตลุ าการมีดงั นี้

๔.๑ นัดพร๎อมคํูกรณีท้ังสองฝุายเพื่อให๎เสนอชื่ออนุญาโตตุลาการ พร๎อมคุณสมบัติ
และประวตั ิเพ่ือการพจิ ารณาของศาล โดยอาจใหท๎ ง้ั สองฝุายเสนอชื่อมาฝุายละ ๓ คน แล๎วศาลอาจ
พิจารณาจากรายชื่อที่ตรงกัน การไตํสวนคํูกรณีท้ังสองฝุายกํอนถึงคุณสมบัติท่ีทั้งสองฝุาย ประสงค์
ในตวั นญุ าโตตลุ าการจะทําใหม๎ ีโอกาสเสนอรายช่ือทตี่ รงกันไดม๎ าก

๔.๒ คุณสมบัติที่สําคัญคืออนุญาโตตุลาการต๎องมีความเป็นกลางและเป็นอิสระ
(มาตรา ๑๙)

๔.๓ หากศาลเหน็ วาํ รายชอื่ ท่เี สนอโดยคกํู รณอี าจไมเํ ป็นกลางหรอื ไมํเป็นอิสระหรือ
ในกรณีที่ฝุายใดฝุายหนึ่งไมํยอมเสนอชื่ออนุญาโตตุลาการ ศาลอาจขอให๎สํานักระงับข๎อ พิพาท
ของสํานักงานศาลยตุ ธิ รรม ซง่ึ ดแู ลเรอื่ งอนญุ าโตตุลาการจัดสํงรายช่ืออนุญาโตตุลาการในบัญชีของ

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๙๗

สํานักงานที่มีการแยกความเช่ียวชาญของอนุญาโตตุลาการในสาขาตํางๆไว๎ เพื่อประกอบการ
พิจารณา

๔.๔ ศาลควรสอบถามความยนิ ยอมของอนุญาโตตุลาการกํอนการแตงํ ตั้ง

๕. การขอใหศ้ าลวินจิ ฉยั ช้ขี าดเก่ยี วกบั ขอบเขตอานาจของอนญุ าโตตุลาการ
(มาตรา ๒๔ วรรคสาม)
ปกติ คณะอนุญาโตตุลาการ13 มีอํานาจวินิจฉัยขอบเขตอํานาจของตน (กฎหมาย

อนุญาโตตุลาการเรียกหลักการนี้วํา Competence de la Competence) อํานาจน้ีรวมถึงการ
วินิจฉัยถึงความมีอยูํ หรือความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ความสมบูรณ์ของการแตํงตั้ง
คณะอนุญาโตตุลาการ และประเด็นข๎อพิพาทอันอยูํภายในขอบเขตอํานาจของคณะ
อนุญาโตตุลาการด๎วย (มาตรา ๒๔) การให๎อนุญาโตตุลาการมีอํานาจวินิจฉัยถึงขอบอํานาจของ
ตนเอง แม๎จะเป็นกรณีท่ีตนมีสํวนได๎เสียโดยตรงน้ัน ก็เพื่อให๎กระบวนพิจารณาสามารถดําเนินไปได๎
โดยไมํติดขดั อยาํ งไรก็ตาม หากคณะอนุญาโตตุลาการได๎ชีข้ าดเบอ้ื งตน๎ วําตนมีอาํ นาจพิจารณา คูพํ พิ าท
ฝุายใดฝุายหนงึ่ อาจย่นื คาํ ร๎องตอํ ศาลทมี่ เี ขตอาํ นาจใหว๎ นิ จิ ฉัยช้ขี าดปญั หาดงั กลําวได๎ภายในสามสิบวัน
นบั แตํวนั ไดร๎ ับแจ๎งคําชีข้ าดเบ้อื งตน๎ นั้น

๖. การขอใหศ้ าลออกหมายเรยี กพยาน หรือมคี าส่ังให้ส่งเอกสารหรอื วัตถุใด (มาตรา ๓๓)
เนื่องจากอํานาจของอนุญาโตตุลาการเกิดจากความยินยอมหรือสัญญาของ

คูํสญั ญา อนญุ าโตตุลาการจึงไมํมอี ํานาจในการออกหมายเรยี ก หรอื มคี าํ สง่ั ใหส๎ งํ เอกสารหรือวัตถุใด
เพ่ือเป็นพยานหลักฐานในคดี อํานาจดังกลําวเป็นของศาลซึ่งเป็นผ๎ูใช๎อํานาจรัฐาธิปัตย์โดยเฉพาะ
การขัดขืนหมายหรือคําส่ังศาลจึงมีบทลงโทษตามกฎหมาย พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๓๓ ให๎อาํ นาจอนุญาโตตลุ าการ หรอื คูํกรณโี ดยความยนิ ยอมของอนญุ าโตตลุ าการ ย่ืนคําร๎องตํอ
ศาลท่มี เี ขตอาํ นาจขอใหอ๎ อกหมายเรยี ก หรอื มีคาํ ส่งั ใหส๎ ํงเอกสารหรอื วัตถเุ พ่อื เป็นพยานหลกั ฐานใน
กระบวนพิจารณาช้ันอนุญาโตตุลาการได๎ ข๎อสังเกตในเรื่องนี้มีเพียงประการเดียวคือ เมื่อศาลออก
หมายเรียกพยาน หรือคําส่ังให๎สํงเอกสารหรือวัตถุ ในหมายเรียกหรือคําสั่งต๎องดูวําการให๎ไปเป็น
พยานตามหมายเรียก หรือการสํงเอกสารหรือวัตถุตามคําส่ัง เป็นการไปเป็นพยาน หรือสํงเอกสาร
หรือวัตถุยังสถานท่ีท่ีมีการดําเนินกระบวนพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการ มิใชํไปท่ีศาลที่ออก
หมายเรยี ก หรอื มคี ําสั่ง

๗. การคดั ค้านคาช้ีขาดโดยการย่นื คาร้องขอใหศ้ าลเพกิ ถอนคาชี้ขาด (มาตรา ๔๐)
การคัดคา๎ นคําชี้ขาดเป็นเรอื่ งใหมํของกฎหมายอนญุ าโตตุลาการไทยที่เพิ่งบัญญัติไว๎

ใน พ.ร.บ. อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕ แตํเดมิ พ.ร.บ. อนญุ าโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๒๒
บัญญัติเป็นหลักวํา คําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการยํอมเป็นที่สุดและผูกพันคูํกรณี ปัจจุบัน พ.ร.บ.

13 ตามบทนยิ ามมาตรา ๕ คณะอนุญาโตตุลาการหมายความรวมถงึ กรณีทม่ี อี นุญาโตตุลาการเพยี งคนเดยี วดว้ ย

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๙๘

อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๐ บัญญัติให๎คํูพิพาทอาจคัดค๎านคําช้ีขาดของคณะ
อนญุ าโตตุลาการได๎โดยการขอใหศ๎ าลท่ีมีเขตอํานาจเพิกถอนคําชี้ขาด

หลักเกณฑ์ในการขอให๎ศาลเพิกถอนคําชี้ขาดตามมาตรา ๔๐ มีข้อสังเกต
ดังตํอไปน้ี

๗.๑ การขอให๎เพิกถอนต๎องทําเป็นคําร๎องขอตํอศาลโดยระบุคูํพิพาทอีกฝุายหน่ึงเป็น
“ผ๎ูคดั ค๎าน” การย่นื ต๎องทําภายใน ๙๐ วนั นับแตวํ นั ท่ี “ผู๎ร๎อง” ไดร๎ ับสําเนาคําช้ีขาด

๗.๒ เม่ือตรวจคําร๎องขอแล๎วเห็นวําถูกต๎อง ศาลอาจมีคําส่ังเกี่ยวกับคําร๎องขอดังนี้
“รับคาํ ร๎องขอ นัดไตสํ วน สํงสําเนาพร๎อมหมายนัดให๎แกํผู๎คัดค๎าน หากผู๎คัดค๎านประสงค์จะคัดค๎าน
คาํ ร๎องขอ ใหย๎ ่ืนคําคัดค๎านภายใน ๑๕ วันนับแตวํ นั ทราบคําสง่ั มฉิ ะน้นั จะถือวาํ ไมตํ ดิ ใจคดั คา๎ น”

๗.๓ เหตุแหํงการคัดค๎านคําช้ีขาดมีได๎เฉพาะท่ีระบุไว๎ในมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๑)
(ก) – (จ) และมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๒) (ก) – (ข) รวม ๗ ประการเทําน้ัน ดังนั้น เมื่อศาลทําการช้ี
สองสถานกาํ หนดประเดน็ ข๎อพิพาท ประเด็นข๎อพิพาทจึงไมํอาจมนี อกเหนือจากเหตแุ หํงการคัดค๎าน
ทัง้ ๗ ประการได๎ สํวนภาระการพิสูจน์น้ันตกอยูํแกํผู๎ร๎อง หรือคํูพิพาทฝุายที่ขอให๎เพิกถอนคําช้ีขาด
ยกเว๎นกรณีตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๒) (ก) – (ข) ท่ีศาลอาจยกข้ึนได๎เองเพราะเป็นข๎อกฎหมาย
เกยี่ วกบั ความสงบเรียบรอ๎ ย 14

14 มาตรา ๔๐ การคดั คา้ นคาชข้ี าดของคณะอนุญาโตตุลาการอาจทาไดโ้ ดยการขอใหศ้ าลทม่ี เี ขต
อานาจเพกิ ถอนคาชข้ี าดตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตราน้ี

ค่พู พิ าทฝา่ ยใดฝา่ ยหน่ึงอาจขอใหเ้ พกิ ถอนคาชข้ี าดได้ โดยย่นื คารอ้ งต่อศาลทม่ี เี ขตอานาจภายในเกา้ สบิ วนั
นบั แต่วนั ไดร้ บั สาเนาคาชข้ี าด หรอื ถา้ เป็นกรณีมกี ารขอใหค้ ณะอนุญาโตตุลาการแกไ้ ขหรอื ตคี วามคาชข้ี าด หรอื ช้ี
ขาดเพมิ่ เตมิ นบั แต่วนั ทค่ี ณะอนุญาโตตุลาการไดแ้ กไ้ ขหรอื ตคี วามคาชข้ี าดหรอื ทาคาชข้ี าดเพมิ่ เตมิ แลว้

ใหศ้ าลเพกิ ถอนคาชข้ี าดไดใ้ นกรณีดงั ต่อไปน้ี
(๑) ค่พู พิ าทฝา่ ยทข่ี อใหเ้ พกิ ถอนคาชข้ี าดสามารถพสิ จู น์ไดว้ ่า

(ก) คสู่ ญั ญาตามสญั ญาอนุญาโตตุลาการฝา่ ยใดฝ่ายหน่ึงเป็นผบู้ กพร่องในเร่อื งความสามารถ
ตามกฎหมายทใ่ี ชบ้ งั คบั แก่ค่สู ญั ญาฝา่ ยนนั้

(ข) สญั ญาอนุญาโตตุลาการไม่มผี ลผูกพนั ตามกฎหมายแห่งประเทศทค่ี ู่พพิ าทไดต้ กลงกนั ไว้
หรอื ตามกฎหมายไทยในกรณีทไ่ี มม่ ขี อ้ ตกลงดงั กล่าว

(ค) ไม่มกี ารแจ้งให้คู่พิพาทฝ่ายท่ขี อให้เพิกถอนคาช้ีขาดรู้ล่วงหน้าโดยชอบถึงการแต่งตัง้
คณะอนุญาโตตุลาการหรอื การพจิ ารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ หรอื บคุ คลดงั กล่าวไม่สามารถเขา้ ต่อสคู้ ดใี นชนั้
อนุญาโตตุลาการไดเ้ พราะเหตุประการอน่ื

(ง) คาชข้ี าดวนิ ิจฉัยขอ้ พพิ าทซ่งึ ไม่อยู่ในขอบเขตของสญั ญาอนุญาโตตุลาการ หรอื คาชข้ี าด
วนิ ิจฉัยเกนิ ขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพพิ าทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ถ้าคาชข้ี าดท่วี นิ ิจฉัยเกิน
ขอบเขตนนั้ สามารถแยกออกไดจ้ ากคาชข้ี าดสว่ นทว่ี นิ ิจฉยั ในขอบเขตแลว้ ศาลอาจเพกิ ถอนเฉพาะส่วนทว่ี นิ ิจฉัย
เกนิ ขอบเขตแหง่ สญั ญาอนุญาโตตุลาการหรอื ขอ้ ตกลงนนั้ กไ็ ด้ หรอื

(จ) องคป์ ระกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรอื กระบวนพจิ ารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ
มไิ ดเ้ ป็นไปตามทค่ี พู่ พิ าทไดต้ กลงกนั ไว้ หรอื ในกรณที ค่ี พู่ พิ าทไม่ไดต้ กลงกนั ไวเ้ ป็นอย่างอน่ื องคป์ ระกอบดงั กล่าว
ไมช่ อบดว้ ยกฎหมายน้ี

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๑๙๙

๗.๔ เม่ือมีคํูพิพาทย่ืนคําร๎องและศาลเห็นสมควรศาลอาจใช๎วิธีเลื่อนการ
พิจารณาออกไปเพ่ือให๎อนุญาโตตุลาการพิจารณาทบทวนคําช้ีขาดเพ่ือให๎เหตุแหํงการเพิกถอนหมด
สนิ้ ไปกไ็ ด๎

๗.๕ “ข๎อพิพาทที่ไมํสามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการได๎ตาม
กฎหมาย” ตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๒) (ก) เป็นเร่ืองยากท่ีสุดเรื่องหน่ึงในกฎหมาย
อนญุ าโตตุลาการ หลัก Arbitrability หมายความวาํ กรณีพพิ าทบางเร่อื งตอ๎ งไดร๎ ับการวนิ ิจฉยั ชข้ี าด
โดยสถาบันศาลซึ่งเป็นสถาบันที่ใช๎อํานาจรัฐาธิปัตย์เทําน้ัน อนุญาโตตุลาการซึ่งเป็นเอกชนไมํอาจ
วินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องดังกลําวได๎ เชํน สถานะของบุคคล ความสามารถของบุคคล สถานะของ
ครอบครัว การเพิกถอนการจดทะเบียนท่ีเป็นอํานาจรัฐ สํวนข๎อพิพาทเก่ียวกับสัญญาทางปกครอง
นั้น ใหว๎ ินจิ ฉยั ชขี้ าดโดยอนุญาโตตุลาการได๎ เน่อื งจากมาตรา ๑๕ ใหอ๎ ํานาจไว๎โดยชัดเจน สํวนกรณี
อ่ืน ๆ ขณะน้ีไมํมีกฎหมายหรือคําพิพากษาท่ีเป็นแนวทางการวินิจฉัย จึงต๎องรอแนวคําพิพากษา
ตอํ ไป

๘. การยอมรับและบังคับตามคาชขี้ าดโดยการย่ืนคาร้องขอใหศ้ าลบังคับให้ (มาตรา ๔๑)
คําช้ีขาดของอนญุ าโตตลุ าการอาจเป็นคําชี้ขาดทก่ี ระทาํ ภายในประเทศ หรือมาจาก

ตํางประเทศ ประเทศไทยเป็นภาคีของอนุสัญญานิวยอร์ควําด๎วยการยอมรับและบังคับคําชี้ขาด
อนญุ าโตตลุ าการตํางประเทศ ค.ศ.๑๙๕๘ พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นกฎหมายอนุ
วัตรการของอนุสัญญาดังกลําว ศาลจึงมีพันธะกรณีที่จะต๎องบังคับสัญญาและคําชี้ขาด
อนุญาโตตุลาการตํางประเทศในลักษณะตํางตอบแทนกับที่ศาลตํางประเทศต๎องบังคับตามสัญญา
และคําช้ีขาดจากประเทศไทย การพิสูจน์วําคําชี้ขาดมาจากประเทศภาคีเป็นหน๎าท่ีของผู๎ร๎อง
อยํางไรก็ตาม การตรวจสอบรายช่ือประเทศภาคี อนุสัญญานิวยอร์คอาจทําได๎จาก
http:// www.uncitral.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการกฎหมายการค๎าระหวํางประเทศ
ขององคก์ ารสหประชาชาติ ในขณะเขยี นคูํมือน้มี ปี ระเทศภาคี ๑๓๓ ประเทศ15

(๒) มกี รณปี รากฏต่อศาลวา่

(ก) คาชข้ี าดนนั้ เกย่ี วกบั ขอ้ พพิ าททไ่ี ม่สามารถจะระงบั โดยการอนุญาโตตุลาการไดต้ ามกฎหมาย
หรอื

(ข) การยอมรบั หรือการบังคบั ตามคาช้ีขาดนัน้ จะเป็นการขดั ต่อความสงบเรียบร้อยหรือ
ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน

ในการพจิ ารณาคารอ้ งใหเ้ พกิ ถอนคาชีข้ าด ถา้ คู่พพิ าทยื่นคารอ้ งและศาลพจิ ารณาเหน็ ว่ามเี หตุผล
สมควร ศาลอาจเล่อื นการพจิ ารณาคดอี อกไปตามทเ่ี หน็ สมควร เพ่อื ใหค้ ณะอนุญาโตตุลาการพจิ ารณาอกี ครงั้ หน่ึง
หรอื ดาเนนิ การอย่างใดอย่างหน่งึ ทค่ี ณะอนุญาโตตุลาการเหน็ สมควร เพ่อื ใหเ้ หตุแห่งการเพกิ ถอนนนั้ หมดสน้ิ ไป

15 ดรู ายช่อื ประเทศภาคอี นุสญั ญานวิ ยอรค์ ไดท้ ภ่ี าคผนวก

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๐๐

การยอมรับหรือบงั คับคาชีข้ าดอนุญาโตตลุ าการ มขี อ้ สงั เกต ดงั น้ี
๘.๑ การขอให๎ศาลยอมรบั คําชี้ขาดอาจเป็นกรณที ่ีโจทกฟ์ ูองในขอ๎ พิพาทที่ได๎รบั การ

วินิจฉัยชีข้ าดโดยอนญุ าโตตลุ าการแลว๎ จําเลยจึงยกข๎อตํอสู๎วํา ความจริงข๎อพิพาทที่โจทก์นํามาฟูอง
ได๎มีการวินิจฉัยโดยอนุญาโตตุลาการแล๎ว และอนุญาโตตุลาการมีคําชี้ขาดให๎ยกข๎อเรียกร๎องของ
โจทก์ กรณนี ี้เป็นการท่ีจําเลยตัดฟูองโจทก์ด๎วยการให๎ศาลยอมรับคําช้ีขาดอนุญาโตตุลาการ กรณีน้ีมี
คอํ นขา๎ งนอ๎ ย

๘.๒ กรณีสํวนใหญํเป็นเรื่องที่ผู๎ร๎องยื่นคําร๎องขอให๎ศาลบังคับตามคําช้ีขาดของ
อนุญาโตตุลาการ ผู๎ร๎องจะต๎องยื่นตํอศาลที่มีเขตอํานาจภายในกาํ หนดเวลา ๓ ปีนับนับแตํวันที่อาจ
บังคับตามคาํ ช้ีขาดได๎ (มาตรา ๔๒ วรรคแรก)

๘.๓ เมื่อตรวจคําร๎องขอแล๎วเห็นวําถูกต๎อง ศาลอาจมีคําส่ังเกี่ยวกับคําร๎องขอดังน้ี
“รบั คาํ ร๎องขอ นัดไตํสวน สงํ สาํ เนาพร๎อมหมายนัดให๎แกํผู๎คัดค๎าน หากผู๎คัดค๎านประสงค์จะคัดค๎าน
คําร๎องขอ ให๎ยื่นคาํ คัดค๎านภายใน ๑๕ วันนับแตํวันทราบคาํ สั่ง มิฉะน้ันจะถือวําไมํติดใจคัดคา๎ น”

๘.๔ ผู๎ร๎องต๎องเสียคําข้ึนศาลในอัตราร๎อยละ ๑ ของจํานวนที่อนุญาโตตุลาการ
กําหนดไว๎ในคําชีข้ าด แตํไมเํ กิน ๘๐,๐๐๐ บาท (ตาราง ๑ ท๎าย ป.ว.ิ พ.)

๘.๕ ไมํต๎องมีการติดอากรแสตมป์คําช้ีขาดเน่ืองจาก พ.ร.ฎ. ออกตามความใน
ประมวลรษั ฎากร (ฉบบั ที่ ๓๗๔) พ.ศ. ๒๕๔๓ ไดย๎ กเวน๎ อากรแสตมปใ์ หแ๎ กอํ นุญาโตตลุ าการในเรื่อง
ตราสารคาํ ชขี้ าดของอนุญาโตตลุ าการแล๎ว

๘.๖ ผ๎ูร๎องขอบงั คบั ตามคาํ ช้ีขาดต๎องมีเอกสารคือ ๑. ต๎นฉบับคําช้ีขาด หรือสําเนา
ที่รับรองถูกต๎อง ๒. ต๎นฉบับสัญญาอนุญาโตตุลาการ หรือสําเนาท่ีรับรองถูกต๎อง ๓. คําแปลของ
(๒) และ (๓) ในกรณที ่ีเอกสารดงั กลาํ วมไิ ด๎ทําเปน็ ภาษาไทย โดยผ๎ูแปลได๎สาบาน หรือปฏิญาณแล๎ว
ซึ่งโดยปกติ ผู๎ร๎องจะนําผ๎ูแปลมาสาบานหรือปฏิญาณตนตํอศาลในขณะศาลไตํสวนเพ่ือการบังคับ
ตามคําช้ขี าด (มาตรา ๔๒ วรรคสอง)

๘.๗ เหตุแหํงการท่ีศาลจะไมํรับบังคับตามคําช้ีขาดมีได๎เฉพาะกรณีท่ีระบุไว๎ใน
มาตรา ๔๓ (๑) – (๖) และมาตรา ๔๔ อีกสองกรณี รวม ๘ กรณีเทาํ นน้ั ดังนนั้ เมื่อศาลทําการชส้ี อง
สถานกําหนดประเด็นข๎อพิพาท ประเด็นข๎อพิพาทจึงไมํอาจมีนอกเหนือจากเหตุแหํงการคัดค๎านทั้ง
๘ ประการได๎ สํวนภาระการพิสูจน์นั้นตกอยํูแกํผู๎คัดค๎าน หรือคูํพิพาทฝุายที่จะถูกบังคับตามคําช้ี
ขาด ยกเว๎นกรณีตามมาตรา ๔๔ ท่ีศาลอาจยกข้ึนได๎เองเพราะเป็นข๎อกฎหมาย เกี่ยวกับความสงบ
เรยี บร๎อย 16

16 มาตรา ๔๓ ศาลมอี านาจทาคาสงั ่ ปฏเิ สธไม่รบั บงั คบั ตามคาชขี้ าดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ไม่ว่าคาชข้ี าดนนั้ จะไดท้ าขน้ึ ในประเทศใด ถา้ ผซู้ ง่ึ จะถูกบงั คบั ตามคาชข้ี าดพสิ จู น์ไดว้ ่า

(๑) คู่สญั ญาตามสญั ญาอนุญาโตตุลาการฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเป็นผูบ้ กพร่องในเร่อื งความสามารถตาม
กฎหมายทใ่ี ชบ้ งั คบั แกค่ ่สู ญั ญาฝา่ ยนนั้

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๐๑

๘.๘ เหตุแหงํ การขอใหศ๎ าลเพกิ ถอนคําชขี้ าด และเหตุท่ขี อใหศ๎ าลไมํรับบงั คบั ตามคาํ ชี้
ขาดมีเหตตุ รงกัน สวํ นกรณีที่การไมรํ บั บังคับตามคําช้ีขาดมีเหตุเพิ่มอีกหน่ึงเหตุตามมาตรา ๔๓ (๖)
นน้ั กค็ อื กรณที ีค่ ําชขี้ าดถูกเพกิ ถอนนนั่ เอง

๘.๙ แม๎ภาระการพสิ จู น์ในกรณีเพิกถอนคําชี้ขาดจะเป็นของผ๎ูร๎อง และการปฏิเสธบังคับ
ตามคําชี้ขาดจะเป็นของผูค๎ ดั คา๎ น แตํในทางเปน็ จรงิ ภาระการพสิ ูจน์ดังกลาํ วมกั จะตกแกํคํูกรณีฝุาย
เดยี วกนั คือลกู หนี้ตามคาํ ชีข้ าดเสมอ เหตุดงั กลาํ วมาจากอนุสัญญานิวยอร์คที่ยกรํางในลักษณะวาง
ข๎อสันนิษฐานในความถกู ตอ๎ งสมบูรณ์ของคาํ ช้ีขาดอนญุ าโตตุลาการ

๘.๑๐ ข๎อสังเกตประการสุดท๎ายคือ ทั้งเหตุที่ร๎องขอให๎เพิกถอน หรือปฏิเสธการ
บังคับตามคําชี้ขาด เป็นเหตุเก่ียวกับข๎อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ
ความสามารถของคํูสัญญา หรือความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการ กฎหมายมิได๎
เปิดชอํ งใหศ๎ าลเขา๎ ไปพิจารณามูลความแหงํ คดใี หมแํ ตํอยาํ งใด ยกเว๎นแตเํ ปน็ เรอ่ื งเกี่ยวกับความสงบ
เรยี บรอ๎ ยหรอื ศลี ธรรมอันดีของประชาชน

๙. การห้ามอทุ ธรณ์คาพิพากษาหรอื คาสง่ั ของศาล (มาตรา ๔๕)
หลักการของระบบอนุญาโตตุลาการคือความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ดังน้ัน

พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงให๎คําสั่งหรือคําพิพากษาของศาลช้ันต๎นเป็นที่สุด เว๎นแตํ

(๒) สญั ญาอนุญาโตตุลาการไม่มผี ลผูกพนั ตามกฎหมายแห่งประเทศทค่ี ู่สญั ญาได้ตกลงกนั ไว้ หรอื
ตามกฎหมายของประเทศทท่ี าคาชข้ี าดนนั้ ในกรณที ไ่ี มม่ ขี อ้ ตกลงดงั กล่าว

(๓) ไม่มีการแจ้งให้ผู้ซ่ึงจะถูกบังคับตามคาช้ีขาดรู้ล่วงหน้าโดยชอบถึงการแต่งตัง้ คณะ
อนุญาโตตุลาการหรอื การพจิ ารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ หรือบุคคลดงั กล่าวไม่สามารถเขา้ ต่อสคู้ ดีในชนั้
อนุญาโตตุลาการไดเ้ พราะเหตุประการอน่ื

(๔) คาชข้ี าดวนิ ิจฉัยข้อพพิ าทซ่งึ ไม่อยู่ในขอบเขตของสญั ญาอนุญาโตตุลาการหรอื คาช้ขี าดวนิ ิจฉัย
เกนิ ขอบเขตแห่งขอ้ ตกลงในการเสนอขอ้ พพิ าทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ถ้าคาชข้ี าดทว่ี นิ ิจฉัยเกนิ ขอบเขตนนั้
สามารถแยกออกได้จากคาช้ขี าดส่วนทว่ี นิ ิจฉัยในขอบเขตแล้วศาลอาจบงั คบั ตามคาชข้ี าดส่วนท่วี นิ ิจฉัยอยู่ใน
ขอบเขตแห่งสญั ญาอนุญาโตตุลาการหรอื ขอ้ ตกลงนนั้ กไ็ ด้

(๕) องค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนพจิ ารณาของคณะอนุญาโตตุลาการมไิ ด้
เป็นไปตามทค่ี ่พู พิ าทไดต้ กลงกนั ไว้ หรอื มไิ ดเ้ ป็นไปตามกฎหมายของประเทศทท่ี าคาชข้ี าดในกรณีทค่ี ่พู พิ าทมไิ ด้
ตกลงกนั ไว้ หรอื

(๖) คาชข้ี าดยงั ไมม่ ผี ลผกู พนั หรอื ไดถ้ ูกเพกิ ถอน หรอื ระงบั ใชเ้ สยี โดยศาลทม่ี เี ขตอานาจหรอื ภายใต้
กฎหมายของประเทศทท่ี าคาชข้ี าด เวน้ แต่ในกรณีทย่ี งั อย่ใู นระหว่างการขอใหศ้ าลทม่ี เี ขตอานาจทาการเพกิ ถอน
หรอื ระงบั ใช้ซ่งึ คาชข้ี าด ศาลอาจเล่อื นการพจิ ารณาคดที ่ขี อบงั คบั ตามคาช้ีขาดไปได้ตามทเ่ี หน็ สมควร และถ้า
ค่พู พิ าทฝา่ ยทข่ี อบงั คบั ตามคาชข้ี าดรอ้ งขอ ศาลอาจสงั่ ใหค้ ู่พพิ าทฝ่ายทจ่ี ะถูกบงั คบั วางประกนั ทเ่ี หมาะสมก่อนก็
ได้

มาตรา ๔๔ ศาลมอี านาจทาคาสงั่ ปฏเิ สธการขอบงั คบั ตามคาชข้ี าดตามมาตรา ๔๓ ได้ ถ้าปรากฏ
ต่อศาลวา่ คาชข้ี าดนนั้ เกย่ี วกบั ขอ้ พพิ าททไ่ี มส่ ามารถจะระงบั โดยการอนุญาโตตุลาการไดต้ ามกฎหมาย หรอื ถา้ การ
บงั คบั ตามคาชข้ี าดนนั้ จะเป็นการขดั ต่อความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๐๒

กรณี ๕ ประการดังที่บัญญัติไว๎ในมาตรา ๔๕ อยํางไรก็ตาม แม๎กรณีที่อาจใช๎สิทธิอุทธรณ์ได๎ พ.ร.บ.
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ก็ให๎อุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา หรือศาลปกครองสูงสุด แล๎วแตํกรณี อันเป็น
บทบญั ญตั ิทใ่ี ห๎ “กระโดดข๎าม” (Leap Frog Procedure) ไปยังศาลสูงสุดโดยไมํผํานศาลชัน้ กลาง

บทบัญญัติทเ่ี กี่ยวขอ๎ ง
มาตรา ๔๕ ห้ามมิให้อุทธรณ์คาสั่งหรือคาพิพากษาของศาลตามพระราชบัญญัติน้ี
เว้นแต่
(๑) การยอมรับหรือการบังคับตามคาชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบ
เรียบรอ้ ยหรือศีลธรรมอนั ดขี องประชาชน
(๒) คาส่ังหรือคาพิพากษาน้ันฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบ
เรียบรอ้ ยของประชาชน
(๓) คาสั่งหรอื คาพพิ ากษานน้ั ไม่ตรงกบั คาชีข้ าดของคณะอนุญาโตตุลาการ
(๔) ผู้พิพากษา หรือตุลาการซึ่งพิจารณาคดีนั้นได้ทาความเห็นแย้งไว้ในคา
พิพากษา หรือ
(๕) เป็นคาสั่งเกี่ยวด้วยการใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของ
คู่พพิ าทตามมาตรา ๑๖
การอุทธรณค์ าส่งั หรือคาพิพากษาของศาลตามพระราชบัญญัตินี้ให้อุทธรณ์ต่อศาล
ฎกี าหรือศาลปกครองสูงสุด แลว้ แตก่ รณี

ข้อสงั เกต
๙.๑ ผ๎ูพิพากษาไมํอาจ “รับรอง” ให๎มีการอุทธรณ์ได๎ การจะใช๎สิทธิอุทธรณ์โดย

อาศยั ความเหน็ ชอบของผู๎พิพากษาต๎องเป็นกรณีท่ีผู๎พิพากษาซ่ึงพิจารณาคดีน้ันได๎ทําความเห็นแย๎งไว๎
ในคาํ พิพากษา

๙.๒ อทุ ธรณ์ไปยังศาลฎีกาโดยตรง
๙.๓ คําส่ังเกี่ยวด๎วยวิธีการชั่วคราวเพ่ือค๎ุมครองประโยชน์ของคูํพิพาทตามมาตรา
๑๖ สามารถอทุ ธรณไ์ ปยังศาลฎีกาไดท๎ นั ทีไมวํ ําศาลช้ันต๎นจะสั่งอนุญาตหรอื ยกคาํ ขอ

๑๐. ค่าธรรมเนยี ม คา่ ใช้จา่ ย และคา่ ป่วยการอนุญาโตตลุ าการ (มาตรา ๔๖)

บทบัญญัติทเ่ี กี่ยวขอ๎ ง
มาตรา ๔๖ ในกรณีที่คู่พิพาทมิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ค่าธรรมเนียมและ
ค่าใช้จ่ายในชั้นอนุญาโตตุลาการ ตลอดจนค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการ แต่ไม่รวมถึงค่า
ทนายความและค่าใช้จ่ายของทนายความ ให้เป็นไปตามที่กาหนดไว้ในคาชี้ขาดของคณะ
อนญุ าโตตุลาการ

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๐๓

ในกรณีทม่ี ไิ ดก้ าหนดคา่ ธรรมเนยี มและค่าใช้จ่ายในช้ันอนุญาโตตลุ าการหรอื ค่าป่วย
การอนุญาโตตลุ าการไวใ้ นคาชีข้ าด คู่พพิ าทฝา่ ยใดฝ่ายหนึ่งหรือคณะอนญุ าโตตลุ าการอาจย่ืนคารอ้ ง
ใหศ้ าลท่ีมีเขตอานาจมคี าส่ังเรื่องคา่ ธรรมเนยี มและค่าใช้จา่ ยในช้ันอนุญาโตตุลาการและค่าป่วยการ
อนญุ าโตตลุ าการไดต้ ามท่เี หน็ สมควร

ข้อสงั เกต

๑๐.๑ สถาบันอนุญาโตตุลาการตํางๆ เชํนสถาบันอนุญาโตตุลาการของ
หอการค๎าระหวํางประเทศ (ICC – International Chamber of Commerce) สถาบัน
อนุญาโตตุลาการของอเมริกัน (AAA – American Arbitration Association) หรือสถาบัน
อนุญาโตตุลาการที่ลอนดอน (LCIA – London Court of International Arbitration) ตํางมี
ข๎อกาํ หนดเกย่ี วกับคาํ ธรรมเนยี มของสถาบัน และคาํ ธรรมเนยี มอนญุ าโตตุลาการ ซ่ึงมีราคาคํอนข๎าง
แพงจนถึงแพงมาก บางสถาบันมีการกําหนดให๎ผู๎แพ๎คดีต๎องจํายคําใช๎จํายของทนาย ความและ
คําปวุ ยการทนายความให๎ผูช๎ นะคดดี ๎วย

๑๐.๒ คําชี้ขาดอาจกําหนดเกี่ยวกับ คําธรรมเนียม คําใช๎จําย และคําปุวยการ
อนุญาโตตุลาการสํวนหนึ่ง และคําใช๎จําย รวมถึงคําปุวยการของทนายความอีกสํวนหนึ่ง หาก
คํูพิพาทมิได๎ตกลงกันเป็นอยํางอื่น ศาลต๎องบังคับคําชี้ขาดในสํวนท่ีเก่ียวกับคําธรรมเนียม คําใช๎จําย
และคาํ ปุวยการของอนุญาโตตุลาการให๎ สํวนคาํ ใช๎จําย และคาํ ปุวยการของทนายความศาลอาจส่ังให๎ตก
เปน็ พบั หรือตามควร (มาตรา ๔๖ วรรคแรก) การบญั ญตั ิเชํนน้ี นับวํามเี หตุผล เน่ืองจากคํูพิพาทควรจะ
ทราบถึงอตั ราคําธรรมเนยี ม คําใช๎จาํ ย และคําปุวยการของอนญุ าโตตลุ าการตง้ั แตํในชั้นทาํ สญั ญาแลว๎
จงึ เป็นเรือ่ งท่ีอาจคาดเห็นได๎ สํวนคําใช๎จําย และคําปุวยการทนายความฝุายท่ีชนะคดีนั้น เน่ืองจาก
คําใช๎จํายและคําปุวยการของทนายความในช้ันอนุญาโตตุลาการ โดยเฉพาะอนุญาโตตุลาการระหวําง
ประเทศมีความแตกตาํ งคอํ นขา๎ งมาก ดงั นัน้ หากมไิ ดม๎ ีการตกลงเป็นอยํางอ่ืน การส่ังให๎เป็นพับ หรือ
การทศ่ี าลกําหนดให๎ตามควร จึงเปน็ สิ่งทีถ่ กู ตอ๎ งและเป็นธรรม

๑๐.๓ ในกรณีที่คําชี้ขาดมิได๎กําหนดเรื่องคําใช๎จําย คําธรรมเนียม และ
คําปวุ ยการอนญุ าโตตลุ าการ และคูํพิพาทหรืออนุญาโตตุลาการขอให๎ศาลเป็นผ๎ูกําหนดตามมาตรา
๔๖ วรรคสองน้ัน เนื่องจากระบบอนุญาโตตุลาการเป็นระบบเอกชน “กลไกตลาด” จึงมสี ํวนสาํ คัญ
ในการกําหนดจํานวนเงินท่ีเหมาะสม ในการน้ี ศาลอาจไตํสวนหาคําที่เหมะสม หรืออาจให๎สํานัก
ระงับข๎อพพิ าท สาํ นกั งานศาลยตุ ธิ รรม ซ่ึงมผี เู๎ ช่ียวชาญทั้งที่เปน็ ผพ๎ู พิ ากษาชํวยราชการ และเจา๎ หนา๎ ที่
ประจําที่พร๎อมจะอํานวยความสะดวกแกํผ๎ูพิพากษาและศาลตําง ๆ เก่ียวกับการอนุญาโตตุลาการให๎
ความเห็นเบอื้ งตน๎ ได๎

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๐๔

๑๑. บทเฉพาะกาล ปัญหาคาบเกี่ยวระหว่าง พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๓๐ และ พ.ร.บ.
อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕

บทบัญญตั ิท่เี กย่ี วข๎อง

มาตรา ๔๘ บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติน้ีไม่กระทบกระเทือนถึงความ
สมบรู ณ์แห่งสญั ญาอนุญาโตตุลาการ และการดาเนนิ การทางอนญุ าโตตลุ าการใดที่ได้กระทาไปก่อน
วนั ที่พระราชบญั ญตั นิ ี้ใชบ้ ังคบั

การดาเนินการทางอนุญาโตตุลาการใดที่ยังมิได้กระทาและยังไม่ล่วงพ้น
กาหนดเวลาที่จะต้องกระทาตามกฎหมายท่ีใช้บังคับอยู่ก่อนพระราชบัญญัติน้ี ให้ดาเนินการทาง
อนุญาโตตลุ าการนัน้ ได้ภายในกาหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้

ขอ้ สงั เกต
๑๑.๑ พ.ร.บ. อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มีผลใชบ๎ ังคบั ต้ังแตวํ ันที่ ๓๐ เมษายน

๒๕๔๕ เปน็ ตน๎ ไป17
๑๑.๒ พระราชบญั ญัติน้มี ีท้งั บทบญั ญัตทิ เ่ี ป็นสารบญั ญตั ิ และวิธีสบัญญัติ ในสํวนที่

เป็นสารบัญญัตมิ ที งั้ ทเี่ ป็นบทบัญญตั ิสํวนแพงํ และสวํ นอาญา บทบญั ญตั ิในสวํ นอาญา18 ยํอมไมํมีผล
ย๎อนหลงั

๑๑.๓ บทบัญญตั คิ วามรบั ผดิ ในทางแพํงของอนญุ าโตตุลาการตามมาตรา ๒๓ วรรค
แรก ต๎องถือเป็นบทบัญญัติให๎ความคุ๎มกัน (Immunity) แกํอนุญาโตตุลาการ เพราะให๎ต๎องรับผิด
เฉพาะกรณีจงใจ หรือประมาทเลินเลํออยํางร๎ายแรง จึงถือเป็นบทบัญญัติที่เป็นคุณและมีผล
ย๎อนหลัง

๑๑.๔ ตามกฎหมายเกําการขอใหศ๎ าลบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการต๎อง
ยื่นคําร๎องขอภายในหน่ึงปีนับแตํวันสํงสําเนาคําชี้ขาดให๎ฝุายที่ต๎องถูกบังคับ (มาตรา ๒๓ และ ๓๐
พ.ร.บ. อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๓๐) สวํ น พ.ร.บ. อนญุ าโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๒ ใหผ๎ ๎ู
ร๎องยืน่ คําร๎องขอตํอศาลภายในกําหนดเวลาสามปีนับแตํวันที่อาจบังคับตามคําชี้ขาดได๎ ดังน้ัน การ
ใช๎บทบัญญัติวรรคสองของมาตรา ๔๘ จึงหมายความวํา หากยังมิได๎มีการบังคับตามคําชี้ขาดของ
อนุญาโตตุลาการตามกฎหมายเกําภายในวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๔๕ และในวันดังกลําวยังไมํครบ
กําหนด ๑ ปีนับแตํวันสํงสําเนาคําช้ีขาด ก็ให๎ใช๎กําหนดเวลาใหมํคือ ๓ ปีนับแตํวันที่อาจบังคับตาม
คําช้ีขาดได๎

๑๑.๕ ปญั หาท่ีมีผลกระทบคํอนขา๎ งมากระหวํางกฎหมายเกําและกฎหมายปัจจุบัน
คือปัญหาการบังคับตามคําชี้ขาดอนุญาโตตุลาการภายในประเทศ พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.

17 มาตรา ๒ ใหพ้ ระราชบญั ญตั ดิ งั กล่าวมผี ลใชบ้ งั คบั ตงั้ แต่วนั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาวนั ท่ี ๒๙ เมษายน ๒๕๔๕
18 มาตรา ๒๓ วรรคสอง ความรบั ผดิ ทางอาญาของอนุญาโตตุลาการ และวรรคสาม ความรบั ผดิ ทางอาญาของ
บุคคลผูใ้ ห้ ขอให้ หรอื รบั ว่าจะให้ทรพั ย์สนิ หรอื ประโยชน์อ่นื ใดแก่อนุญาโตตุลาการ เพ่อื จูงใจให้กระทาการ ไม่
กระทาการหรอื ประวงิ การกระทาการใดอนั มชิ อบดว้ ยหน้าท่ี

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๐๕

๒๕๓๐ มกี ารแบํงแยกระหวํางอนุญาโตตุลาการภายในประเทศ และอนุญาโตตุลาการตํางประเทศแตํ
พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ได๎ยกเลิกความแตกตํางดังกลําวแล๎ว อยํางไรก็ตาม การ
ดําเนินการทางอนุญาโตตุลาการ หรือกระบวนพิจารณาของศาลเก่ียวกับอนุญาโตตุลาการที่กําลัง
ดาํ เนินอยใูํ นขณะทีก่ ฎหมายใหมํใช๎บังคับยํอมไมํถูกกระทบกระเทือนโดยกฎหมายใหมํ เชํน มาตรา
๒๔ พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๓๐ ให๎ศาลมีอํานาจปฏิเสธไมํรับบังคับคําช้ีขาด
ภายในประเทศ หากคําช้ีขาดดังกลําวไมํชอบด๎วยกฎหมายที่ใช๎บังคับแกํข๎อพิพาทน้ัน สํวน พ.ร.บ.
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ไมํมีบทบัญญัติในสํวนนี้ อยํางไรก็ตาม หากใช๎หลักการตีความวํา
“ไมชํ อบด๎วยกฎหมายทใ่ี ช๎บังคับ” หมายถึงกฎหมายเก่ียวกบั ความสงบเรยี บรอ๎ ยก็จะไมทํ าํ ใหผ๎ ลของ
กฎหมายเกาํ และกฎหมายใหมมํ คี วามแตกตํางกันแตอํ ยาํ งใด

๑๑.๖ บทบัญญตั ใิ นเรอื่ งการเพกิ ถอนคาํ ช้ีขาดตามมาตรา ๔๐ เป็นบทบัญญตั ใิ หมํที่
ไมํมใี น พ.ร.บ. อนญุ าโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๓๐ แตํด๎วยเงื่อนเวลาที่จะต๎องร๎องขอตํอศาลภายใน ๙๐
วันนบั แตํวนั ได๎รบั สาํ เนาคาํ ชีข้ าด จงึ ไมมํ ีผลกระทบในทางปฏิบตั ิตํอคาํ ชีข้ าดตามกฎหมายเกาํ

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๐๖

ภาคผนวก

Convention on the Recognition and Enforcement of Foreign Arbitral Awards
(New York, 1958*)

State Signature Ratification, Accession (a), Entry into force
Succession (d)

Albania . 27 June 2001 a 25 September 2001
7 February 1989 a 8 May 1989
Algeria 1/ 2/ . 2 February 1989 a 3 May 1989
14 March 1989 12 June 1989
Antigua and Barbuda 1/ 2/ . 29 December 1997 a 29 March 1998
26 March 1975 a 24 June 1975
Argentina 1/ 2/ 7/ 26 August 1958 2 May 1961 a 31 July 1961
29 February 2000 a 29 May 2000
Armenia 1/ 2/ . 6 April 1988 a 5 July 1988
6 May 1992 a 4 August 1992
Australia . 16 March 1993 a 14 June 1993
15 November 1960 13 February 1961
Austria . 18 August 1975 16 November 1975
16 May 1974 a 14 August 1974
Azerbaijan . 28 April 1995 a 27 July 1995

Bahrain 1/ 2/ .

Bangladesh .

Barbados 1/ 2/ .

Belarus 3/ 29 December 1958

Belgium 1/ 10 June 1958

Benin .

Bolivia .

Bosnia and Herzegovina e/ 1/ 2/ . 1 September 1993 d 6 March 1992
6/

Botswana 1/ 2/ . 20 December 1971 a 19 March 1972
7 June 2002 a 5 September 2002
Brazil . 25 July 1996 a 23 October 1996
10 October 1961 8 January 1962
Brunei Darussalam 1/ . 23 March 1987 a 21 June 1987
5 January 1960 a 4 April 1960
Bulgaria 1/ 3/ 17 December 1958 19 February 1988 a 19 May 1988
12 May 1986 a 10 August 1986
Burkina Faso . 15 October 1962 a 13 January 1963
4 September 1975 a 3 December 1975
Cambodia . 22 January 1987 a 22 April 1987
25 September 1979 a 24 December 1979
Cameroon . 26 October 1987 24 January 1988
1 February 1991 a 2 May 1991
Canada 4/ . 26 July 1993 d 8 October 1991
30 December 1974 a 30 March 1975
Central African Republic 1/ 2/ .

Chile .

China 1/ 2/ .

Colombia .

Costa Rica 10 June 1958

Coto d' Ivoire .

Croatia e/ 1/ 2/ 6/ .

Cuba 1/ 2/ 3/ .

* Last updated on 20 March 2003

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๐๗

State Signature Ratification, Accession (a), Entry into force
Succession (d)
Cyprus 1/ 2/ .
Czech Republic a/ e/ . 29 December 1980 a 29 March 1981
Denmark 1/ 2/ . 30 September 1993 d 1 January 1993
Djibouti e/ . 22 December 1972 a 22 March 1973
Dominica . 14 June 1983 d 27 June 1977
Dominican Republic . 28 October 1988 a 26 January 1989
Ecuador 1/ 2/ 17 December 1958 11 April 2002 a 10 July 2002
Egypt . 3 January 1962 3 April 1962
El Salvador 10 June 1958 9 March 1959 a 7 June 1959
Estonia . 26 February 1998 27 May 1998
Finland 29 December 1958 30 August 1993 a 28 November 1993
France 1/ 25 November 1958 19 January 1962 19 April 1962
Georgia . 26 June 1959 24 September 1959
Germany b/ 1/ 10/ 10 June 1958 2 June 1994 a 31 August 1994
Ghana . 30 June 1961 28 September 1961
Greece 1/ 2/ . 9 April 1968 a 8 July 1968
Guatemala 1/ 2/ . 16 July 1962 a 14 October 1962
Guinea . 21 March 1984 a 19 June 1984
Haiti . 23 January 1991 a 23 April 1991
Holy See 1/ 2/ . 5 December 1983 a 4 March 1984
Honduras . 14 May 1975 a 12 August 1975
Hungary 1/ 2/ . 3 October 2000 a 1 January 2001
Iceland . 5 March 1962 a 3 June 1962
India 1/ 2/ 10 June 1958 24 January 2002 a 24 April 2002
Indonesia 1/ 2/ . 13 July 1960 11 October 1960
Iran (Islamic Rep. of) 1/ 2/ . 7 October 1981 a 5 January 1982
Ireland 1/ . 15 October 2001 a 13 January 2002
Israel 10 June 1958 12 May 1981 a 10 August 1981
Italy . 5 January 1959 7 June 1959
Jamaica 1/ 2/ . 31 January 1969 a 1 May 1969
Japan 1/ . 10 July 2002 a 8 October 2002
Jordan 10 June 1958 20 June 1961 a 18 September 1961
Kazakhstan . 15 November 1979 13 February 1980
Kenya 1/ . 20 November 1995 a 18 February 1996
Kuwait 1/ . 10 February 1989 a 11 May 1989
Kyrgyzstan . 28 April 1978 a 27 July 1978
Lao People's Democratic . 18 December 1996 a 18 March 1997
Republic .
Latvia 17 June 1998 a 15 September 1998

14 April 1992 a 13 July 1992

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๐๘

State Signature Ratification, Accession (a), Entry into force
Succession (d)

Lebanon 1/ . 11 August 1998 a 9 November 1998
13 June 1989 a 11 September 1989
Lesotho . 14 March 1995 a 12 June 1995
9 September 1983 8 December 1983
Lithuania 3/ . 16 July 1962 a 14 October 1962
5 November 1985 a 3 February 1986
Luxembourg 1/ 11 November 1958 8 September 1994 a 7 December 1994
22 June 2000 a 20 September 2000
Madagascar 1/ 2/ . 30 January 1997 a 30 April 1997
19 June 1996 a 17 September 1996
Malaysia 1/ 2/ . 14 April 1971 a 13 July 1971
2 June 1982 31 August 1982
Mali . 24 October 1994 a 22 January 1995
12 February 1959 a 7 June 1959
Malta 1/ 11/ . 11 June 1998 a 9 September 1998
4 March 1998 a 2 June 1998
Mauritania . 24 April 1964 23 July 1964
6 January 1983 a 6 April 1983
Mauritius 1/ . 14 October 1964 a 12 January 1965
17 March 1970 a 15 June 1970
Mexico . 14 March 1961 a 12 June 1961
25 February 1999 a 26 May 1999
Monaco 1/ 2/ 31 December 1958 . .
10 October 1984 a 8 January 1985
Mongolia 1/ 2/ . 8 October 1997 a 6 January 1998
7 July 1988 a 5 October 1988
Morocco 1/ . 6 July 1967 4 October 1967
3 October 1961 1 January 1962
Mozambique 1/ . 18 October 1994 a 16 January 1995
30 December 2002 a 30 March 2003
Nepal 1/ 2/ . 8 February 1973 a 9 May 1973
18 September 1998 a 17 December 1998
Netherlands 1/ 10 June 1958 13 September 1961 a 12 December 1961
24 August 1960 22 November 1960
New Zealand 1/ .

Niger .

Nigeria 1/ 2/ .

Norway 1/ 5/ .

Oman .

Pakistan 30 December 1958

Panama .

Paraguay .

Peru .

Philippines 1/ 2/ 10 June 1958

Poland 1/ 2/ 10 June 1958

Portugal c/ 1/ .

Qatar .

Republic of Korea 1/ 2/ .

Republic of Moldova 1/ 6/ .

Romania 1/ 2/ 3/ .

Russian Federation d/ 3/ 29 December 1958

Saint Vincent and the Grenadines . 12 September 2000 a 11 December 2000
1/ 2/

San Marino . 17 May 1979 a 15 August 1979
19 April 1994 a 18 July 1994
Saudi Arabia 1/ . 17 October 1994 a 15 January 1995

Senegal .

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๐๙

State Signature Ratification, Accession (a), Entry into force
Succession (d)

Serbia and Montenegro f/ 1/ 2/ 6/ . 12 March 2001 d 27 April 1992
21 August 1986 a 19 November 1986
Singapore 1/ . 28 May 1993 d 1 January 1993
6 July 1992 d 25 June 1991
Slovakia a/ e/ . 3 May 1976 a 1 August 1976
12 May 1977 a 10 August 1977
Slovenia e/ 1/ 2/ 6/ . 9 April 1962 8 July 1962
28 January 1972 27 April 1972
South Africa . 1 June 1965 30 August 1965
9 March 1959 a 7 June 1959
Spain . 21 December 1959 a 20 March 1960

Sri Lanka 30 December 1958

Sweden 23 December 1958

Switzerland 8/ 29 December 1958

Syrian Arab Republic .

Thailand .

The former Yugoslav Republic of . 10 March 1994 d 17 September 1991
Macedonia e/ 1/ 2/ 6/

Trinidad and Tobago 1/ 2/ . 14 February 1966 a 15 May 1966
17 July 1967 a 15 October 1967
Tunisia 1/ 2/ . 2 July 1992 a 30 September 1992
12 February 1992 a 12 May 1992
Turkey 1/ 2/ . 10 October 1960 8 January 1961

Uganda 1/ .

Ukraine 3/ 29 December 1958

United Kingdom of Great Britain . 24 September 1975 a 23 December 1975
and Northern Ireland 1/

United Republic of Tanzania 1/ . 13 October 1964 a 12 January 1965
30 September 1970 a 29 December 1970
United States of America 1/ 2/ . 30 March 1983 a 28 June 1983
7 February 1996 a 7 May 1996
Uruguay . 8 February 1995 a 9 May 1995
12 September 1995 a 11 December 1995
Uzbekistan . 14 March 2002 a 12 June 2002
29 September 1994 a 28 December 1994
Venezuela 1/ 2/ .

Vietnam 1/ 2/ 3/ 9/ .

Zambia .

Zimbabwe .

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๑๐

Parties: 133

a/ The Convention was signed by the former Czechoslovakia on 3 October 1958 and an
instrument of ratification was deposited on 10 July 1959. On 28 May 1993, Slovakia and, on 30
September 1993, the Czech Republic deposited instruments of succession.

b/ The Convention was acceded to by the former German Democratic Republic on 20 February
1975 with reservations 1/, 2/ and 3/.

c/ On 12 November 1999, Portugal presented a declaration of territorial application of the
Convention in respect of Macau. The notification has taken effect for Macau on 10 February 2000,
in accordance with article X(2).

d/ The Russian Federation continues, as from 24 December 1991, the membership of the former
Union of Soviet Socialist Republics (USSR) in the United Nations and maintains, as from that
date, full responsibility for all the rights and obligations of the USSR under the Charter of the
United Nations and multilateral treaties deposited with the Secretary-General.

e/ The date of effect of the succession is as follows: for Bosnia and Herzegovina, 6 March 1992;
for Croatia, 8 October 1991; for Czech Republic, 1 January 1993; for Djibouti, 27 June 1977; for
Slovakia, 1 January 1993; for Slovenia, 25 June 1991; and for The former Yugoslav Republic of
Macedonia, 17 September 1991.

f/ The former Yugoslavia had acceded to the Convention on 26 February 1982. On 12 March
2001, the Secretary-General received from the Government of Yugoslavia a notification of
succession, confirming the declaration dated 28 June 1982 by the Socialist Federal Republic of
Yugoslavia. (see footnotes 1/, 2/ and 6/ below)

Declarations and reservations

(Excludes territorial declarations and certain other reservations and declarations of a political
nature)

1/ State will apply the Convention only to recognition and enforcement of awards made in the
territory of another Contracting State.

2/ State will apply the Convention only to differences arising out of legal relationships whether
contractual or not which are considered as commercial under the national law.

3/ With regard to awards made in the territory of non-contracting States, State will apply the
Convention only to the extent to which these States grant reciprocal treatment.

4/ Canada declared that it will apply the Convention only to differences arising out of legal
relationships, whether contractual or not, which are considered as commercial under the laws of
Canada, except in the case of the Province of Quebec where the law does not provide for such
limitation.

5/ State will not apply the Convention to differences where the subject matter of the proceedings
is immovable property situated in the State, or a right in or to such property.

6/ State will apply the Convention only to those arbitral awards which were adopted after the
coming of the Convention into effect.

7/ Argentina declared that the present Convention should be construed in accordance with the
principles and rules of the National Constitution in force or with those resulting from reforms
mandated by the Constitution.

8/ On 23 April 1993, Switzerland notified the Secretary-General of its decision to withdraw the
reciprocity declaration it had made upon ratification.

9/ Viet Nam declared that interpretation of the Convention before the Vietnamese Courts or
competent authorities should be made in accordance with the Constitution and the law of Viet
Nam.

10/ On 31 August 1998, Germany withdrew the reservation made upon ratification mentioned in
footnote 1.

11/ The Convention only applies in regard to Malta with respect to arbitration agreements
concluded after the date of Malta's accession to the Convention

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๑๑

(ข) แนวคาวินิจฉัยของศาลปกครองสงู สดุ เกี่ยวกบั การอนญุ าโตตลุ าการ

๑. กรณเี ก่ยี วกบั การแตง่ ตัง้ อนญุ าโตตุลาการ

เมื่อคูํพิพาทในฐานะผู๎เรียกร๎องได๎เสนอข๎อพิพาทตํอสถาบันอนุญาโตตุลาการ และ
ได๎ดําเนนิ การตั้งอนญุ าโตตลุ าการฝุายตนและไดม๎ หี นังสือแจ๎งการตั้งอนุญาโตตุลาการฝุายตนเพ่ือให๎
คพํู พิ าทอกี ฝาุ ยหนงึ่ ดาํ เนนิ การตง้ั อนญุ าโตตลุ าการฝุายของตนภายในสามสบิ วันนับแตวํ ันที่ไดร๎ ับแจ๎ง
ตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึง่ แหํงพระราชบัญญัติ อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ แล๎ว แตํคูํพิพาทอีก
ฝุายหน่งึ มิได๎ดาํ เนนิ การตามวิธีการที่กําหนดไว๎ จึงเป็นกรณีท่ีคํูพิพาทฝุายนั้นไมํประสงค์ที่จะใช๎สิทธิ
ตง้ั อนุญาโตตลุ าการฝาุ ยของตน คูพํ พิ าทฝุายผ๎เู รยี กร๎องจึงมีสิทธยิ ่นื คํารอ๎ งตอํ ศาลที่มีเขตอํานาจาศัย
อํานาจตามมาตรา 18 แหํงพระราชบัญญัติอนุญาตโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ให๎ดําเนินการต้ัง
อนญุ าโตตลุ าการที่ศาลเห็นสมควรได๎ตามมาตรา ๑๔ วรรคสอง แหํงพระราชบัญญัติ ฉบับเดียวกัน
(คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี 685/2550)

หลักการสําคัญของการระงับข๎อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ คือ หลักความ
เสมอภาค หลักเสรีภาพในการแสดงเจตนา และหลักความศักด์ิสิทธิ์ของ การแสดงเจตนา ดังนั้น
หากคูํพิพาทสมัครใจตกลงกันบนหลักความเสมอภาค โดยกําหนดองค์ประกอบของคณะ
อนญุ าโตตุลาการไว๎เป็นอยํางอื่น อันแตกตํางจาก บทบัญญัติแหํงกฎหมายวําด๎วยอนุญาโตตุลาการ
และมิได๎มีฝุายใดโต๎แย๎งคัดค๎าน จนกระท่ังคณะอนุญาโตตุลาการได๎ทําคําวินิจฉัยช้ีขาดตามอํานาจ
หน๎าที่แล๎ว กรณี ยอํ มไมมํ ีเหตุให๎ศาลนําประเดน็ เกี่ยวกบั องคป์ ระกอบของอนุญาโตตลุ าการดังกลําว
มาใช๎ในการเพกิ ถอนคําวนิ ิจฉยั ชขี้ าดของคณะอนุญาโตตุลาการที่คพํู พิ าทแตงํ ต้งั ข้ึนนน้ั อีก

เม่ือข๎อเท็จจรงิ ปรากฏวาํ สัญญาจ๎างพิพาทมีข๎อตกลงกําหนดให๎การระงับข๎อพิพาท
กระทําโดยอนุญาโตตุลาการ ๒ คน ซ่ึงขอ๎ ตกลงดังกลําวทําขึ้นภายหลังการบังคับใช๎พระราชบัญญัติ
อนุญาโตตุลาการฯ เพียง ๓ วัน หากผ๎ูร๎องเห็นวําข๎อตกลงในเรื่องการระงับข๎อพิพาท โดย
อนุญาโตตุลาการได๎กระทําตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการเดิม ซึ่งไมํ
สอดคล๎องกับพระราชบัญญตั ิอนญุ าโตตุลาการฯ ที่เปล่ียนแปลงไป ผ๎ูร๎องทั้งในฐานะ หนํวยงานของ
รัฐท่ีต๎องผูกพันตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติของทางราชการ และในฐานะ ผ๎ูวําจ๎างยํอมมีสิทธิ
โดยชอบที่จะขอแก๎ไขเปลี่ยนแปลงข๎อสัญญาเดิมให๎องค์ประกอบของ คณะอนุญาโตตุลาการที่
กําหนดไว๎เป็นไปตามมาตรา ๑๗ แหํงพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯ การที่ผู๎ร๎องมิได๎แก๎ไข
เปล่ียนแปลงสัญญาในข๎อดังกลําวจนกระทั่งเกิดข๎อพิพาทตามสัญญา และผู๎ร๎องกับผ๎ูคัดค๎านท่ี ๒ ก็
ได๎เลือกวิธกี ารระงบั ขอ๎ พิพาทโดยการตั้งอนญุ าโตตุลาการฝุายตน ตามท่ีได๎ตกลงกันไว๎ในสัญญา อีก
ท้ังในระหวํางการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการดังกลําว ก็มิได๎มีคํูพิพาทฝุายใดคัดค๎านวํา
องค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการน้ันไมํชอบด๎วย มาตรา ๑๗ แหํงพระราชบัญญัติ
อนญุ าโตตลุ าการฯ กรณยี อํ มถือไดว๎ าํ ผร๎ู ๎องได๎ยอมรับ องคป์ ระกอบของคณะอนญุ าโตตุลาการตามท่ี
กาํ หนดไว๎ในสญั ญาแล๎ววํามีอํานาจวินิจฉัย ชี้ขาดข๎อพิพาทได๎ การที่ผู๎ร๎องเพ่ิงกลําวอ๎างมาในคําร๎อง

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๑๒

เป็นคดีนี้วํา องค์ประกอบของ คณะอนุญาโตตุลาการไมํชอบด๎วยกฎหมาย จึงเป็นการใช๎สิทธิไมํ
สุจริต ประกอบกับกรณีนี้ ศาลจะเพิกถอนคําวินิจฉัยชี้ขาดของผ๎ูคัดค๎านที่ ๑ ซึ่งเป็นคณะ
อนญุ าโตตุลาการกรณีพพิ าท ระหวํางผ๎รู อ๎ งกบั ผู๎คัดค๎านท่ี ๒ ได๎ ก็ตํอเมื่อองค์ประกอบของผู๎คัดค๎าน
ที่ ๑ ไมํเป็นไปตาม ข๎อสัญญาเทําน้ัน ศาลไมํอาจนําหลักเกณฑ์องค์ประกอบของอนุญาโตตุลาการ
ตามมาตรา ๑๗ ดังกลําว มาวินิจฉัยเพิกถอนคําวินิจฉัยช้ีขาดของผู๎คัดค๎านท่ี ๑ ได๎ และเม่ือ
ข๎อเท็จจริงปรากฏ ตํอไปวําอนุญาโตตุลาการฝุายผ๎ูร๎องและฝุายผู๎คัดค๎านมีความเห็นรํวมกันวํา ผู๎
คัดค๎านที่ ๒ ไมํต๎องชําระเงินตามท่ีผู๎ร๎องเรียกร๎อง จึงเป็นกรณีที่อนุญาโตตุลาการสามารถ
ประนีประนอม ข๎อพพิ าทได๎โดยไมํจาํ ต๎องตั้งอนุญาโตตุลาการผชู๎ ีข้ าด จึงเห็นได๎วําองคป์ ระกอบของผ๎ู
คัดค๎านท่ี ๑ เป็นไปตามทีผ่ ร๎ู ๎องและผู๎คัดคา๎ นท่ี ๒ ไดต๎ กลงกนั ไวใ๎ นสัญญาแล๎ว อันเปน็ กรณที ่ีผร๎ู อ๎ งไมํ
สามารถ พิสูจนไ์ ด๎วาํ องคป์ ระกอบของผู๎คัดคา๎ นท่ี ๑ มิได๎เป็นไปตามท่ีผู๎ร๎องและผู๎คัดค๎านท่ี ๒ ได๎ตก
ลงกันไว๎ ศาลจึงไมํอาจเพกิ ถอนคาํ วินิจฉัยช้ีขาดของผ๎ูคัดค๎านท่ี ๑ ได๎ตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๑)
(จ) แหํงพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯ พิพากษายกคําร๎อง (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่
อ.๒๔๗๖/๒๕๕๖)

กรณกี ารแตง่ ตั้งอนญุ าตโตตุลาการคดีคลองดา่ น

เมื่อศาลฎีกาเคยมีคําพิพากษาถึงที่สุดวําการดําเนินการแตํงต้ังอนุญาโตตุลาการ
ของศาลชั้นตน๎ ชอบแล๎ว คํูความในคดีดังกลําวยํอมต๎องผูกพันในผลแหํงคําพิพากษา แม๎ตํอมาผู๎ร๎อง
จะนําคําวนิ จิ ฉยั ชีข้ าดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกลําวมาร๎องขอให๎ ศาลปกครองบังคับเน่ืองด๎วย
คดนี ี้เป็นคดีพพิ าทเกย่ี วกบั สญั ญาทางปกครอง กไ็ มํมผี ล ทาํ ให๎ข้ันตอนการแตงํ ตัง้ อนุญาโตตลุ าการที่
สมบูรณด์ งั กลาํ วตอ๎ งเสียไป การแตํงต้ัง คณะอนญุ าโตตลุ าการจึงชอบด๎วยกฎหมาย

สรปุ ขอ๎ เทจ็ จริง

กิจการรํวมค๎าเอ็นวีพเี อสเคจีซ่ึงประกอบด๎วยผรู๎ ๎องที่ ๑ ถึงผู๎ร๎องท่ี ๕ และบริษัท น.
เข๎าทําสัญญารับจ๎างดําเนินงานสัญญาโครงการจัดการนํ้าเสียจังหวัดสมุทรปราการ (ฝ่ังตะวันออก
และฝ่ังตะวันตก) กับกรมควบคุมมลพิษ (ผ๎ูคัดค๎าน) โดยมีผู๎ร๎องท่ี ๑ เป็นผู๎ลงนามในฐานะผู๎รับจ๎าง
ตํอมา ภายหลังจากทําสัญญามีการคัดค๎าน ร๎องเรียน และกลําวหาเก่ียวกับการทําสัญญาและ การ
บริหารสญั ญาวาํ อาจทําใหร๎ ฐั ได๎รบั ความเสยี หาย รฐั มนตรวี าํ การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และ
ส่ิงแวดล๎อมจึงมีคําส่ังแตํงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและเสนอแนะการบริหารสัญญา โครงการ
จดั การน้าํ เสียและควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ และคําส่ังแตํงตั้งคณะกรรมการ ตรวจสอบ
และเสนอแนะความเหมาะสมของการดําเนินการโครงการจดั การน้าํ เสียและควบคุม มลพิษ จังหวัด
สมุทรปราการ เพื่อตรวจสอบกรณีร๎องเรียนดังกลําว ผลการสอบสวนข๎อเท็จจริง สรุปได๎วํา ในการ
ทําสญั ญาระหวาํ งผ๎ูรอ๎ งและผ๎คู ดั คา๎ นมกี ารสาํ คัญผิดในสาระสําคัญแหํงสัญญา อันได๎แกํ ตัวคูํสัญญา
ฝุายรับจ๎างวํามีผ๎ูเช่ียวชาญเฉพาะด๎าน คือ บริษัท น. เป็นคูํสัญญาและเป็น Operator อยํูด๎วย แตํ
ความจรงิ ไมํมีเพราะได๎ถอนตัวไปกํอนแลว๎ จึงไมถํ กู ต๎องตามสญั ญาจา๎ ง ในระบบ Turn Key

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๑๓

ผู๎คัดค๎านจึงมีหนังสือแจ๎งความเป็นโมฆะของสัญญา โดยให๎ผู๎ร๎องยุติ การกํอสร๎างใด ๆ ในโครงการ
และดําเนินการใด ๆ เพ่ือให๎คํูสัญญากลับคืนสํูฐานะเดิมตามกฎหมาย แตํผ๎ูร๎องปฏิเสธและยังคง
กํอสร๎างโครงการดังกลําวตํอไป รวมท้ังมีหนังสือทวงถามเงินคําจ๎าง ถึงผู๎คัดค๎าน หลังจากน้ันผู๎
คัดค๎านได๎ฟูองผู๎ร๎องที่ ๑ ถึงผ๎ูร๎องที่ ๕ ตํอศาลแพํง แตํศาลแพํงได๎มีคําสั่ง จําหนํายคดีให๎คํูความไป
ดําเนินการทางอนุญาโตตุลาการกํอน ตํอมา คณะอนุญาโตตุลาการ ได๎ช้ีขาดให๎ผ๎ูคัดค๎านชําระเงิน
คําจ๎าง คําเสียหาย รวมดอกเบี้ยตามข๎อเรียกร๎องให๎แกํผ๎ูร๎อง แตํผู๎คัดค๎านมีหนังสือแจ๎งปฏิเสธการ
ปฏบิ ัติตามคําช้ีขาดดังกลําวไปยังผ๎ูร๎อง ผ๎ูร๎องจึงนําคดี มาฟูองขอให๎ศาลปกครองมีคําพิพากษาหรือ
คาํ สัง่ บังคับตามคําช้ขี าดของคณะอนญุ าโตตุลาการ ขณะเดียวกันผูค๎ ดั คา๎ นกไ็ ดย๎ ื่นฟอู งเพอ่ื ขอใหศ๎ าล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกลําวเชํนเดียวกัน โดยผู๎
คัดค๎านไดอ๎ ทุ ธรณใ์ นสํวนของขัน้ ตอน การแตงํ ตง้ั คณะอนุญาโตตลุ าการวาํ เปน็ การดําเนินการโดยไมํ
ชอบด๎วยกฎหมาย

คําวนิ จิ ฉัยของศาลปกครองสูงสุด

เม่ือข๎อเท็จจริงปรากฏวําผ๎ูร๎องท้ังหกมีหนังสือขอให๎ผ๎ูคัดค๎านต้ังอนุญาโตตุลาการ
ภายใน ๓๐ วัน นับจากวันที่ได๎รับหนังสือ ซึ่งผ๎ูคัดค๎านได๎รับหนังสือดังกลําวแล๎วแตํไมํได๎แตํงต้ัง
อนุญาโตตุลาการฝุายตนภายในกําหนดเวลา ผู๎ร๎องทั้งหกจึงชอบที่จะยื่นคําร๎องตํอศาลเพ่ือขอให๎
แตํงตั้งอนุญาโตตุลาการแทนผู๎คัดค๎านตามมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง (๒) แหํงพระราชบัญญัติ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งผ๎ูร๎องก็ได๎ดําเนินการยื่นคําร๎องตํอศาลแพํงเพื่อขอให๎ ดําเนินการ
ดังกลาํ ว โดยตอํ มาศาลแพํงไดม๎ คี าํ สั่งแตงํ ตงั้ นาย ค. เป็นอนญุ าโตตลุ าการฝาุ ยผ๎ูคดั คา๎ น แตผํ ค๎ู ัดคา๎ น
ไดอ๎ ทุ ธรณ์คาํ ส่ังดงั กลําวโดยอ๎างเหตุวาํ ศาลชั้นตน๎ ดาํ เนนิ กระบวนพจิ ารณาไมชํ อบ ดว๎ ยกฎหมายและ
ข๎อสัญญาอนุญาโตตลุ าการเปน็ โมฆะ ไมํอาจต้งั อนุญาโตตลุ าการแทนผ๎คู ดั คา๎ นได๎ ตอํ มา ศาลฎีกาได๎
มีคําวินิจฉัยวํา เมื่อมาตรา ๒๔ แหํงพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯ บัญญัติ ให๎คณะ
อนุญาโตตุลาการมีอํานาจวินิจฉัยขอบเขตอํานาจของตน รวมถึงความมีอยูํหรือ ความสมบูรณ์ของ
สัญญาอนุญาโตตุลาการ แตํข๎อกลําวอ๎างของผ๎ูคัดค๎านล๎วนเป็นเร่ือง ความสมบูรณ์ของสัญญา
อนญุ าโตตุลาการอันเปน็ กระบวนพิจารณาท่ีคณะอนุญาโตตุลาการ จักเป็นผู๎วินิจฉัยตามบทบัญญัติ
ดังกลําว ศาลฎีกาจึงมีคําพิพากษายืนตามคําพิพากษาของศาลแพํง ซึ่งผ๎ูร๎องทั้งหกและผู๎คัดค๎านใน
ฐานะคํูความยอํ มต๎องผกู พันในผลแหงํ คําพิพากษาดังกลําว ตามมาตรา ๑๔๔ แหํงประมวลกฎหมาย
วธิ ีพจิ ารณาความแพงํ นอกจากน้ี ข๎อเทจ็ จริงปรากฏวํา ผค๎ู ัดค๎านมโี อกาสทีจ่ ะโต๎แย๎งเขตอํานาจศาล
มาตั้งแตํต๎นตามมาตรา ๑๐ แหํงพระราชบัญญัติ วําด๎วยการชี้ขาดอํานาจหน๎าท่ีระหวํางศาล พ.ศ.
๒๕๔๒ แตํผู๎คัดค๎านก็มิได๎ดําเนินการแตํอยํางใด ดังนั้น การท่ีผ๎ูร๎องท้ังหกและศาลแพํงเห็นวํา คดี
ดังกลําวอยํูในเขตอํานาจของศาลแพํงและ ได๎มีการแตํงต้ังอนุญาโตตุลาการไปตามข้ันตอนของ
กฎหมาย วิธีการแตํงตั้งอนุญาโตตุลาการ ดังกลําวจึงถึงท่ีสุดและชอบด๎วยมาตรา ๑๘ แหํง
พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯ แล๎ว แม๎ตํอมา ผ๎ูร๎องทั้งหกจะนําคําวินิจฉัยช้ีขาดของคณะ

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๑๔

อนุญาโตตุลาการดังกลําวมาร๎องขอให๎ศาลปกครอง บังคับ เนื่องด๎วยคดีน้ีเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับ
สัญญาทางปกครอง ก็ไมํมีผลทําใหข๎ ้ันตอนการแตงํ ตง้ั อนุญาโตตุลาการดงั กลําวที่สมบูรณ์ตอ๎ งเสยี ไป
การแตงํ ตั้งคณะอนุญาโตตุลาการในกรณีนี้ จึงชอบแล๎ว (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.487-
48๘/๒๕๕๗)

๒. การรอ้ งคัดคา้ นเกย่ี วกบั ความเปน็ กลางของอนญุ าโตตลุ าการ

ในเรื่องความเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการนั้น นอกจากจะต๎องพิจารณาจากการ
ไมํมีสํวนได๎เสียหรือผลประโยชน์ท่ีเกี่ยวข๎องกับคํูพิพาทหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด ท่ีเกี่ยวข๎องกับ
คูํพพิ าทแล๎ว ยงั ต๎องพิจารณาจากความสัมพนั ธ์ระหวํางอนุญาโตตลุ าการ กับคํูพิพาทหรือบุคคลหนึ่ง
บุคคลใดที่เก่ียวข๎องกับคํูพิพาท วํามีความสัมพันธ์ใกล๎ชิดกัน หรือไมํด๎วย สํวนความเป็นอิสระของ
อนุญาโตตลุ าการนนั้ จะตอ๎ งพิจารณาจากการท่ี อนุญาโตตุลาการต๎องไมํอยํูภายใต๎การควบคุมหรือ
อยํูภายใต๎อิทธิพลของคูํพิพาทหรือ บุคคลหน่ึงบุคคลใดท่ีเกี่ยวข๎องกับคํูพิพาท หรือต๎องไมํพึ่งพา
อาศัย หรือมีการติดตํอ สัมพันธ์กับคูํพิพาทหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดท่ีเกี่ยวข๎องกับคํูพิพาทอยูํเป็น
ประจาํ

เมื่อปรากฏวําพนกั งานอยั การซง่ึ เปน็ อนญุ าโตตลุ าการที่ผ๎ูคดั ค๎านแตงํ ตั้ง มิได๎ มสี ํวน
ไดเ๎ สยี หรอื ผลประโยชนท์ ีเ่ ก่ยี วขอ๎ งโดยเฉพาะทางการเงนิ กบั ผ๎ูคัดคา๎ นหรอื บุคคลอืน่ ที่เก่ยี วข๎องกับผ๎ู
คัดค๎าน ไมํได๎มีหน๎าที่ในการดูแลรักษาผลประโยชน์ของผู๎คัดค๎าน และมิได๎เป็นพนักงานอัยการผู๎
ดําเนินคดีในข๎อพิพาทน้ีแทนผู๎คัดค๎าน ประกอบกับ การเป็นอนุญาโตตุลาการมิได๎มีผลตํอความ
เจริญก๎าวหน๎าทางราชการและการรักษาวินัย ของพนักงานอัยการ อีกท้ัง คําธรรมเนียม คําใช๎จําย
และคําปวุ ยการของอนุญาโตตุลาการ ก็ไมํได๎ข้ึนอยูํกับผลของการทําคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ
แตํอยํางใด พนักงานอัยการ ซึ่งเป็นอนุญาโตตุลาการที่ผู๎คัดค๎านแตํงต้ัง จึงมิได๎มีสํวนได๎เสียหรือ
ประโยชนท์ เ่ี กีย่ วขอ๎ ง กบั ผค๎ู ัดค๎านหรือบคุ คลอนื่ ท่เี กยี่ วขอ๎ งกับผูค๎ ดั คา๎ นในขอ๎ พพิ าทนี้ นอกจากนี้ แม๎
พนักงานอัยการผู๎ตรวจรํางสัญญาพิพาทจะเป็นกรรมการของผ๎ูคัดค๎านและเป็น ผ๎ูรับมอบอํานาจ
ดําเนินคดีแทนผ๎ูคัดค๎านซ่ึงสังกัดอยูํในสํานักงานอัยการสูงสุด เชํนเดียวกับพนักงานอัยการซึ่งเป็น
อนุญาโตตุลาการท่ีผู๎คัดค๎านแตํงตั้งขึ้นก็ตาม แตํเม่ือไมํปรากฏวําพนักงานอัยการข๎ างต๎นมี
ความสัมพันธ์ใกล๎ชิดหรือต๎องปฏิบัติงานในสถานท่ีทํางานปะปนกัน อันจะนําไปสูํการแนะนําหรือ
การนาํ ขอ๎ มลู เกี่ยวกับขอ๎ พพิ าทซง่ึ อาจจะ มีผลตํอการวินจิ ฉยั ชี้ขาดขอ๎ พิพาทนไ้ี ด๎ เหตุอนั ควรสงสัยถงึ
ความเป็นกลางกรณนี ้ี จงึ ไมํมีน้ําหนักเพียงพอที่จะรบั ฟงั ได๎

สําหรบั การพจิ ารณาความเป็นอิสระจากผ๎ูคัดค๎านนั้นเม่ือปรากฏวําพนักงานอัยการ
ซ่ึงเป็นอนุญาโตตุลาการท่ีผู๎คัดค๎านแตํงตั้ง มิได๎อยูํภายใต๎การบังคับบัญชาของผู๎คัดค๎าน
กระทรวงการคลัง หรือบุคคลที่เก่ียวข๎องกับผู๎คัดค๎าน อีกทั้ง เงินเดือน เงินประจําตําแหนํง สิทธิ

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๑๕

ประโยชน์ และความเจริญก๎าวหน๎าทางหน๎าที่การงานและการดําเนินการทางวินัย ของพนักงาน
อัยการ ต๎องเปน็ ไปตามทีก่ ฎหมายกําหนด ไมํได๎เกี่ยวข๎องกับการเป็น อนุญาโตตุลาการในข๎อพิพาท
ประกอบกับไมํปรากฏพฤติการณ์วําพนักงานอัยการ จะติดตํอสัมพันธ์หรือต๎องพึ่งพาอาศัยกับผ๎ู
คัดค๎าน กระทรวงการคลังหรือบุคคลที่เก่ียวข๎อง กับผู๎คัดค๎าน การเป็นอนุญาโตตุลาการของ
พนักงานอัยการในข๎อพิพาทน้ีจึงถือวํา เป็นอิสระจากผู๎คัดค๎านแล๎ว (คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ค.
9/2554)

หากปรากฏวําใน ขณะ ท่ีมีการแตํงตั้งอนุ ญาโ ตตุลาการข องผ๎ูคัดค๎าน
อนุญาโตตุลาการที่ได๎รับการแตํงตั้งดํารงตําแหนํงอธิบดีอัยการฝุายคดีปกครองซึ่งมีอํานาจหน๎าที่ที่
เกี่ยวข๎องกับการดําเนินคดีชั้นอนุญาโตตุลาการ อีกทั้งยังปฏิบัติงานในสํานักงานคดีปกครอง
เชํนเดียวกับพนักงานอัยการผู๎รับมอบอํานาจจากผู๎ถูกคัดค๎าน จึงต๎องมีการปฏิบัติงานรํวมกันหรือ
เก่ียวข๎องกันหรือต๎องปฏิบัติงานในสถานที่ทํางานปะปนกัน อันอาจจะนําไปสูํการแนะนําหรือนํา
ข๎อมูลเก่ียวกับข๎อพิพาทตํอกัน ซ่ึงอาจจะมีผลตํอการวินิจฉัยช้ีขาดข๎อพิพาท กรณีจึงมีนํ้าหนักเพียง
พอทีจ่ ะเป็นเหตอุ ันควรสงสัยถงึ ความเป็นกลางและ ความเปน็ อิสระของอนุญาโตตุลาการทผี่ ๎ูคัดค๎าน
แตํงต้ังข้ึน การแตํงต้ังอนุญาโตตุลาการในคดีนี้จึงเป็นการขัดตํอมาตรา ๑๙ วรรคหน่ึง แหํง
พระราชบญั ญัตอิ นญุ าโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ (คาํ สงั่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี ค.4/2554)

หมายเหตุ ตอํ มา คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ค.4/2557 ได๎กลับแนวคําวินิจฉัยเดิม โดยกรณี
ไมํปรากฏเหตุเฉพาะตัวของพนักงานอัยการผู๎ถูกคัดค๎านที่อาจกระทบถึงความเป็นกลางและความ
เป็นอิสระในการทําหน๎าที่อนุญาโตตุลาการ การเป็นอนุญาโตตุลาการของพนักงานอัยการจึงไมํมี
เหตอุ ันควรสงสยั ถึงความเปน็ กลางและความเปน็ อิสระแตํอยาํ งใด

เมื่อพิจารณาตามพระราชกฤษฎีกาแบํงสํวนราชการสํานักงานอัยการสูงสุด พ.ศ.
๒๕๔๐ ซ่ึงกําหนดให๎องค์กรอยั การมีภารกิจหนา๎ ทท่ี ่ีหลากหลาย มิใชํแตํการรักษา ผลประโยชน์ของ
รัฐเพียงอยํางเดียว แตํขึ้นอยํูกับบทบาทของพนักงานอัยการ ในแตํละด๎านด๎วย ประกอบกับการ
รกั ษาผลประโยชน์ของรัฐยํอมหมายถึงการรักษา ผลประโยชน์ที่รัฐพึงมีโดยชอบด๎วยกฎหมาย มิใชํ
การเอาเปรยี บหรอื เอาประโยชนท์ เ่ี อกชน พึงมีโดยชอบด๎วยกฎหมายมาเปน็ ของรฐั แตอํ ยาํ งใด ดังนัน้
พนกั งานอัยการท่ีเปน็ อนุญาโตตลุ าการจงึ มหี นา๎ ที่ในการปกปูองผลประโยชน์ของรัฐ ขณะเดยี วกนั ก็
ตอ๎ ง ค๎ุมครองสทิ ธิของเอกชนด๎วยเชํนเดียวกัน โดยในการพิจารณาถึงเหตอุ นั ควรสงสัย ถึงความเป็น
กลางและความเปน็ อิสระของพนักงานอัยการท่เี ป็นอนุญาโตตลุ าการ จะต๎องพิจารณาถึงข๎อเท็จจริง
และเหตผุ ลเฉพาะตวั เป็นรายกรณีไป เม่อื ไมํปรากฏ ข๎อเท็จจริงวําพนักงานอัยการซ่ึงถูกร๎องคัดค๎าน
เคยได๎รับมอบอาํ นาจใหว๎ ําตํางแก๎ตาํ ง ทางคดีแทนผ๎ูคัดค๎าน หรือเป็นผู๎ตรวจหรือมีสํวนเก่ียวข๎องกับ
การตรวจรํางสญั ญา ทพี่ พิ าท หรอื ใหค๎ าํ ปรึกษาเก่ียวกับสญั ญาที่พิพาทกนั ในชัน้ อนญุ าโตตุลาการมา
กํอน และมิได๎เป็นผู๎รับมอบอํานาจในการตํอส๎ูคดีกับผ๎ูร๎อง หรือเป็นหรือเคยเป็นกรรมการ ของผู๎
คัดค๎านมากํอน ประกอบกับไมํเคยเป็นลูกจ๎างของคํูพิพาทฝุายใดฝุายหนึ่ง หรือเคยเป็นท่ีปรึกษา

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๑๖

ผ๎ูรับมอบอํานาจ ทนายความ หรือผู๎รับจ๎างแกํคูํพิพาท เห็นได๎วํา กรณีไมํปรากฏเหตุเฉพาะตัวของ
พนักงานอัยการผ๎ูถูกคัดค๎านที่อาจกระทบถึง ความเป็นกลางและความเป็นอิสระในการทําหน๎าท่ี
อนุญาโตตุลาการ การเป็น อนุญาโตตุลาการของพนักงานอัยการจึงไมํมีเหตุอันควรสงสัยถึงความ
เปน็ กลาง และความเปน็ อิสระแตอํ ยาํ งใด (คําส่งั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ค.๔/๒๕๕๗)

โดยท่ีพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มิได๎บัญญัตินิยามหรือ
ลักษณะของความเป็นกลางและเป็นอิสระของอนุญาโตตุลาการไว๎เป็นการเฉพาะ การพิจารณา
ลักษณะความเป็นกลางและเป็นอิสระของอนุญาโตตุลาการจึงต๎องพิจารณาตามเจตนารมณ์ของ
กฎหมาย รวมถึงเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นกลางหรือความเป็นอิสระตามท่ีผู๎ร๎องกลําวอ๎าง
ประกอบด๎วยบนพืน้ ฐานความเช่ือมั่นและการยอมรับของคูํพิพาท ซึ่งจะพิจารณาจากข๎อเท็จจริงอัน
เป็นเหตุควรสงสัยของแตํละรายกรณีไป โดยผู๎ร๎อง จะต๎องแสดงพฤติการณ์ให๎เห็นอยํางเพียงพอถึง
ข๎อเท็จจริงท่ีสนับสนุนในเร่ือง ความสงสัยนั้น อีกท้ัง ต๎องพิจารณาจากการมีสํวนได๎เสียหรือ
ผลประโยชน์ท่ีเกี่ยวข๎องกับ คูํพิพาทหรือบุคคลที่เก่ียวข๎อง โดยต๎องไมํอยํูภายใต๎การควบคุมหรือ
ภายใตอ๎ ทิ ธิพล ของคํพู พิ าท

สวํ นประเด็นวาํ ไมมํ บี ทกฎหมายให๎อํานาจพนักงานอัยการเป็นอนุญาโตตุลาการนั้น
ข๎อ ๔ ของประกาศสถาบันอนุญาโตตลุ าการ เรือ่ ง คณุ สมบตั ขิ องผทู๎ จ่ี ะขึ้นทะเบียนอนญุ าโตตลุ าการ
ของสถาบันอนญุ าโตตลุ าการ สํานักระงบั ขอ๎ พิพาท สํานกั งานศาลยตุ ธิ รรม กาํ หนดวาํ นอกจาก การ
ยื่นคําขอจดทะเบียนเป็นอนุญาโตตุลาการตามข๎อ ๕ แล๎ว สถาบันอาจสรรหาบุคคลซ่ึงเป็น
ผู๎ทรงคุณวุฒิเพ่ือขึ้นทะเบียนเป็นอนุญาโตตุลาการตามประกาศนี้ได๎ โดยบุคคลดังกลําวจะต๎อง มี
คุณสมบัติและไมํมีลักษณะต๎องห๎ามดังตํอไปนี้ประกอบด๎วย (ข) รับราชการหรือเคยรับราชการ ไมํ
น๎อยกวํา ๕ ปี ในตําแหนํงอัยการจังหวัดหรือเทียบเทํา เม่ือประกาศฉบับดังกลําวกําหนดให๎
พนักงานอัยการสามารถเปน็ อนญุ าโตตลุ าการได๎ ประกอบกบั พระราชบัญญัติอนุญาโตตลุ าการ พ.ศ.
๒๕๕๔ ก็มิได๎กําหนดห๎ามพนักงานอัยการเป็นอนุญาโตตุลาการ เม่ือไมํมีบทบัญญัติของกฎหมาย
ฉบับใดห๎ามมิให๎พนักงานอัยการเปน็ อนญุ าโตตลุ าการ อีกทงั้ ตามพระราชบัญญตั ิ ระเบยี บข๎าราชการ
ฝาุ ยอยั การ พ.ศ. ๒๕๒๑ และประมวลจริยธรรมข๎าราชการฝุายอัยการ และบุคลากรของสํานักงาน
อยั การสงู สดุ ก็มไิ ดก๎ ําหนดวําการปฏบิ ัตหิ นา๎ ทีอ่ นญุ าโตตลุ าการ เปน็ การละทง้ิ หน๎าที่ราชการหรือไมํ
อทุ ศิ ตนใหก๎ ับทางราชการ การทพ่ี นกั งานอัยการทําหน๎าท่ี อนุญาโตตุลาการจงึ ไมขํ ัดตอํ มาตรา ๒๕๕
วรรคหก” ของรฐั ธรรมนูญแหงํ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐

เมื่อเหตุอันควรสงสัยของผ๎ูร๎องยังไมํมีน้ําหนักพอให๎รับฟังได๎วํา ผู๎คัดค๎านท่ี ๔ และ
ผ๎ูคดั คา๎ นที่ ๔ ขาดความเป็นกลางและเป็นอิสระในการทําหน๎าท่ีอนุญาโตตุลาการ จึงมีคําสั่ง ยกคํา
รอ๎ งคดั คา๎ นอนญุ าโตตลุ าการของผู๎ร๎อง (คาํ สัง่ ศาลปกครองสูงสุดที่ ค.๕/๒๕๕๗ และ ที่ ค.๖/๒๕๕๗
วินจิ ฉัยแนวทางเดียวกัน)

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๑๗

๓. การเพิกถอนคาชีข้ าดของอนุญาโตตุลาการ
มาตรา ๔๐ “การคัดค๎านคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการอาจทําได๎โดยการ

ขอให๎ศาลที่มเี ขตอาํ นาจเพิกถอนคําชีข้ าดตามทบี่ ญั ญัติไวใ๎ นมาตรานี้

คูพํ พิ าทฝุายใดฝาุ ยหน่งึ อาจขอให๎เพิกถอนคําชี้ขาดได๎ โดยย่ืนคําร๎องตํอศาลที่มีเขต
อํานาจภายในเก๎าสิบวันนับแตํวันได๎รับสําเนาคําช้ีขาด หรือถ๎าเป็นกรณีมีการขอให๎คณะ
อนญุ าโตตลุ าการแกไ๎ ขหรือตคี วามคําชี้ขาด หรือชขี้ าดเพิ่มเติม นับแตํวันท่ีคณะอนุญาโตตุลาการได๎
แก๎ไขหรือตีความคาํ ช้ีขาดหรอื ทาํ คาํ ชข้ี าดเพิม่ เติมแล๎ว

ใหศ๎ าลเพิกถอนคาํ ชข้ี าดได๎ในกรณีดงั ตํอไปนี้
(๑) คํพู ิพาทฝาุ ยท่ีขอใหเ๎ พกิ ถอนคาํ ชีข้ าดสามารถพิสจู นไ์ ดว๎ ํา

(ก) คํูสัญญาตามสัญญาอนุญาโตตุลาการฝุายใดฝุายหนึ่งเป็นผู๎บกพรํองใน
เรื่องความสามารถตามกฎหมายทใี่ ช๎บังคับแกํคํสู ัญญาฝาุ ยนน้ั

(ข) สัญญาอนุญาโตตุลาการไมํมีผลผูกพันตามกฎหมายแหํงประเทศท่ี
คํูพพิ าทไดต๎ กลงกนั ไว๎ หรือตามกฎหมายไทยในกรณีทไ่ี มํมีขอ๎ ตกลงดงั กลาํ ว

(ค) ไมมํ ีการแจ๎งใหค๎ ูํพิพาทฝุายท่ีขอให๎เพิกถอนคําชี้ขาดร๎ูลํวงหน๎าโดยชอบ
ถึงการแตํงตงั้ คณะอนญุ าโตตลุ าการหรอื การพจิ ารณาของคณะอนุญาโตตลุ าการ หรือบคุ คลดงั กลาํ ว
ไมสํ ามารถเข๎าตอํ สูค๎ ดใี นช้นั อนุญาโตตลุ าการไดเ๎ พราะเหตุประการอนื่

(ง) คําช้ีข าด วินิ จฉัยข๎ อพิพาทซ่ึงไ มํอยํูใน ข อบเข ตข องสัญ ญา
อนุญาโตตุลาการหรือคําชี้ขาดวินิจฉัยเกินขอบเขตแหํงข๎อตกลงในการเสนอข๎อพิพาทตํอคณะ
อนุญาโตตุลาการ แตํถ๎าคําชี้ขาดท่ีวินิจฉัยเกินขอบเขตน้ันสามารถแยกออกได๎จากคําชี้ขาดสํวนที่
วิ นิ จ ฉั ย ใ น ข อ บ เ ข ต แ ล๎ ว ศ า ล อ า จ เ พิ ก ถ อ น เ ฉ พ า ะ สํ ว น ท่ี วิ นิ จ ฉั ย เ กิ น ข อ บ เ ข ต แ หํ ง สั ญ ญ า
อนุญาโตตลุ าการหรอื ข๎อตกลงนัน้ ก็ได๎ หรือ

(จ) องคป์ ระกอบของคณะอนญุ าโตตุลาการหรอื กระบวนพจิ ารณาของคณะ
อนญุ าโตตุลาการมไิ ด๎เปน็ ไปตามท่ีคพูํ ิพาทไดต๎ กลงกันไว๎ หรือในกรณีที่คํูพิพาทไมํได๎ตกลงกันไว๎เป็น
อยาํ งอื่นองคป์ ระกอบดังกลาํ วไมํชอบดว๎ ยกฎหมายนี้

(๒) มกี รณปี รากฏตอํ ศาลวํา
(ก) คําช้ีขาดน้ันเก่ียวกับข๎อพิพาทที่ไมํสามารถจะระงับโดยการ

อนุญาโตตุลาการไดต๎ ามกฎหมาย หรอื
(ข) การยอมรับหรือการบังคับตามคําชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดตํอความสงบ

เรียบร๎อยหรือศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน
ในการพิจารณาคําร๎องให๎เพิกถอนคําช้ีขาด ถ๎าคูํพิพาทย่ืนคําร๎องและศาลพิจารณา

เห็นวํามีเหตุผลสมควร ศาลอาจเล่ือนการพิจารณาคดีออกไปตามท่ีเห็นสมควร เพื่อให๎คณะ

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๑๘

อนุญาโตตุลาการพิจารณาอีกครั้งหนึ่งหรือดําเนินการอยํางใดอยํางหน่ึงท่ีคณะอนุญาโตตุลาการ
เห็นสมควร เพ่ือใหเ๎ หตุแหงํ การเพิกถอนนน้ั หมดส้ินไป”

แนวคาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดการเพิกถอนคาช้ขี าดอนุญาตโตตลุ การ

ศาลปกครองยํอมสามารถเพิกถอนคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการท่ีช้ีขาดวํา
คูํสัญญาปฏบิ ัตผิ ิดขอ๎ สัญญาอนั เปน็ ข๎อสัญญาซ่งึ เกดิ จากการแก๎ไขเพม่ิ เติมโดยไมเํ ป็นไปตาม ขั้นตอน
ที่กําหนดไว๎ในมาตรา ๒๑ แหํงพระราชบัญญัติวําด๎วยการให๎เอกชนเข๎ารํวมงาน หรือดําเนินการใน
กจิ การของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ รวมท้งั เพกิ ถอนคําชี้ขาดทีม่ ีผลเป็นการ แก๎ไขสาระสําคัญของสัญญาใน
สวํ นทีเ่ กี่ยวกับการจดั ทําบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยูํ ในขอบเขตอํานาจและความรับผิดชอบ
ของรัฐ มใิ ชํอยใูํ นอํานาจของอนุญาโตตุลาการได๎ โดยถือวําเป็นกรณีที่ปรากฏตํอศาลวําการยอมรับ
หรือการบงั คบั ตามคาํ ชขี้ าดของอนุญาโตตุลาการดังกลําวจะเป็นการขัดตํอความสงบเรียบร๎อยหรือ
ศีลธรรมอันดี ของประชาชนตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๒) (ข) แหํงพระราชบัญญัติ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ (คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.349/2549)

การวินิจฉัยช้ีขาดข๎อพิพาทท่ีเกิดจากสัญญาทางปกครอง คณะอนุญาโตตุลาการ
จะต๎องคํานึงถึงหลักการจัดทําบริการสาธารณะของฝุายปกครอง กลําวคือ การค๎ุมครอง ประโยชน์
ของมหาชนหรือประโยชน์สํวนรวมยํอมอยูํเหนือกวําประโยชน์ของปัจเจกบุคคล เสมอ แตํหากการ
ปฏิบัติตามสัญญาทางปกครองกํอให๎เกิดความเสียหายแกํคูํสัญญา เอกชน คํูสัญญาฝุายเอกชนก็มี
สิทธิเรียกร๎องให๎ฝุายปกครองชดใช๎เยียวยาความเสียหาย ท่ีเกิดขึ้นได๎ ดังนั้น การที่คูํสัญญาฝุาย
เอกชนยกเอาเหตทุ ีฝ่ ุายปกครองผิดนดั ไมํจาํ ย เงนิ คําจา๎ งตามสัญญามาบอกเลกิ สัญญา โดยทาํ ใหก๎ าร
จัดทําบริการสาธารณะของ ฝุายปกครองต๎องหยุดชะงักจึงไมํอาจกระทําได๎ การท่ีคณะ
อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยวํา กรณีท่ีฝุายปกครองไมํจํายเงินคําจ๎างให๎แกํเอกชนคูํสัญญาใน
กําหนดเวลา ถือวาํ เป็นฝาุ ย ผดิ นดั และผิดสัญญา เอกชนคูสํ ญั ญาจงึ มสี ิทธิบอกเลกิ สัญญา และการที่
เอกชนคํูสัญญา บอกเลิกสัญญากับฝุายปกครองเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยชอบด๎วยกฎหมาย จึง
เป็น คําชี้ขาดทฝ่ี าุ ฝืนตํอมาตรา ๓๔ วรรคสี่ แหํงพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่ง
ถือวําคําวินิจฉัยช้ีขาดดังกลําวไมํอยํูในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ และการ ยอมรับหรือ
บังคับตามคําช้ีขาดนั้นจะเป็นการขัดตํอความสงบเรียบร๎อยหรือศีลธรรม อันดีของประชาชนตาม
มาตรา ๔๐ วรรคสาม (๑) (ง) และ (๒) (ข) แหํงพระราชบัญญัติ เดียวกัน จึงมีเหตุสมควรที่ศาล
ปกครองจะพิพากษาให๎เพิกถอนคําช้ีขาดของคณะ อนุญาโตตุลาการดังกลําว (คําพิพากษาศาล
ปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๖๗๖/๒๕๕๔)

กฎหมายวําด๎วยอนุญาโตตุลาการให๎สิทธิ์คํูพิพาทกําหนดกระบวนพิจารณา ของ
อนุญาโตตุลาการเป็นการเฉพาะได๎ แตํหากคูํพิพาทไมํได๎ตกลงกันไว๎หรือไมํสามารถ หาข๎อสรุป
รํวมกันได๎ กใ็ หด๎ าํ เนนิ การตามวธิ กี ารทีก่ ฎหมายกาํ หนด ดังน้ัน ในกรณีที่ คูพํ พิ าทกาํ หนดใหก๎ ระบวน
พิจารณาของอนุญาโตตุลาการให๎ถือตามข๎อบังคับของสถาบัน อนุญาโตตุลาการ จึงเป็นการท่ี

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๑๙

คูํพิพาทได๎ตกลงเร่ืองการดําเนินกระบวนพิจารณาของ อนุญาโตตุลาการไว๎เป็นอยํางอ่ืน และเมื่อ
ขอ๎ บงั คับดงั กลาํ วกําหนดให๎คณะอนญุ าโตตลุ าการ มีอํานาจใชด๎ ลุ พินิจดาํ เนนิ กระบวนพจิ ารณาใด ๆ
ได๎ตามท่ีเห็นสมควร ตามหลัก แหํงความยุติธรรม อันสอดคล๎องกับบทบัญญัติแหํงกฎหมายวําด๎วย
อนุญาโตตุลาการ จึงเป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบด๎วยกฎหมายแล๎ว (คําพิพากษาศาล
ปกครองสงู สุดที่ อ.๒๗๖/๒๕๕๖)

การระงับขอ๎ พพิ าทโดยวิธกี ารอนุญาโตตลุ าการจะยุตกิ ต็ อํ เมอ่ื คณะอนญุ าโตตลุ าการ
ตัดสินชี้ขาดข๎อพิพาทตามหลักการที่กฎหมายกําหนด แตํการจะนําบทกฎหมายใดมาใช๎ วินิจฉัยช้ี
ขาดข๎อพิพาทดังกลําวนั้น จะต๎องพิจารณาในเน้ือหาท่ีพิพาทวําเป็นเร่ืองใด แล๎วจึงนํากฎหมายท่ี
เกีย่ วขอ๎ งกบั เรอ่ื งนน้ั มาตดั สนิ โดยในกรณีที่คูพํ พิ าทไมํได๎กําหนดถึง กฎหมายท่ีจะนํามาใช๎บังคับกับ
ขอ๎ พิพาท มาตรา ๓๔ วรรคสอง แหงํ พระราชบญั ญตั ิ อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๕๕ บญั ญตั ิให๎คณะ
อนญุ าโตตุลาการชข้ี าดขอ๎ พิพาทไปตาม กฎหมายไทย ดังนน้ั ในกรณีทคี่ ณะอนญุ าโตตุลาการเห็นวํา
จํานวนคําปรับที่ผ๎ูร๎องใช๎สิทธิ ริบไว๎จากเงินคําจ๎างเป็นจํานวนสูงเกินสํวน จึงนําบทบัญญัติมาตรา
๓๘๓ วรรคหน่ึง แหํงประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย์ มาใช๎บังคับ จึงเป็นการนําบทบัญญัติแหํง
กฎหมายไทยมาใชป๎ ระกอบการพจิ ารณาเพื่อความเป็นธรรมและเพื่อให๎ได๎จํานวน เงินคําปรับท่ีต๎อง
จํายกันจริงเทําน้ัน ซึ่งแม๎วําคณะอนุญาโตตุลาการจะไมํใชํศาล แตํคําวินิจฉัยของคณะ
อนุญาโตตุลาการก็มีลักษณะเป็นการใช๎อํานาจตุลาการ ดังน้ัน การท่ีคณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
วาํ ผรู๎ อ๎ งมสี ทิ ธปิ รบั ผูค๎ ดั ค๎านตามสัญญา แตผํ ูร๎ อ๎ ง หักคําจ๎างไว๎เป็นคําปรับสูงเกินสํวน จึงเห็นสมควร
ลดคําปรับลงตามมาตรา ๓๘๓ แหํงประมวลกฎหมายดังกลําว โดยชี้ขาดให๎ผ๎ูร๎องคืนเงินคําปรับ
บางสวํ นใหแ๎ กํผคู๎ ัดคา๎ น จงึ เปน็ คําชขี้ าดที่อยใูํ นขอบเขตของสัญญาและไมํเกินขอบเขตแหํงข๎อตกลง
ในการเสนอข๎อพิพาทตํอคณะอนุญาโตตุลาการด๎วย อยํางไรก็ตาม การที่คณะอนุญาโตตุลาการ
วนิ ิจฉัยช้ีขาดให๎ผูร๎ อ๎ งชําระดอกเบี้ยของต๎นเงินคําปรับท่ีต๎องคืนให๎แกํผ๎ูคัดค๎านดังกลําวด๎วยน้ัน เป็น
คําช้ีขาดให๎ผ๎ูร๎องชําระเงิน ในสํวนท่ีเป็นดอกเบี้ยโดยไมํมีกฎหมายให๎อํานาจที่จะชี้ขาดเชํนน้ันได๎
เนื่องจาก การหักเงินคําปรับดังกลําวเป็นการใช๎สิทธิตามสัญญา จึงเป็นกรณีปรากฏตํอศาลวํา การ
บังคับตามคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในสํวนที่บังคับให๎ชําระดอกเบี้ย เป็นการขัดตํอความ
สงบเรียบร๎อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งศาลมีอํานาจ เพิกถอนคําชี้ขาดในสํวนท่ีบังคับให๎
ชําระดอกเบี้ยดังกลําวได๎ ทั้งน้ี ตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๒) (ข) แหํงพระราชบัญญัติ
อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๕๕

การนําคดีขึ้นสํูศาลเพื่อขอเพิกถอนคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ เป็นสิทธิ
ตามมาตรา ๔๐ แหํงพระราชบญั ญตั อิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยศาลมีอํานาจ เพิกถอนคําชี้
ขาดได๎ในกรณีท่ีมีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งรวมถึงกรณีท่ีการยอมรับ หรือการบังคับตามคําช้ี
ขาดนนั้ จะเป็นการขัดตํอความสงบเรยี บรอ๎ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดี ของประชาชนด๎วย การมีข๎อตกลงวํา
จะไมนํ าํ คดขี น้ึ สศํู าลมผี ลเป็นการตัดอาํ นาจรัฐ ท่จี ะเพกิ ถอนคําชข้ี าดของคณะอนุญาโตตุลาการตาม

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๒๐

บทบัญญัติแหํงพระราชบัญญัติ ดังกลําว เม่ือสัญญาพิพาทในคดีนี้เป็นสัญญาให๎จัดทําบริการ
สาธารณะดา๎ นขนสงํ สินคา๎ ขอ๎ ตกลงข๎างตน๎ ยอํ มมผี ลกระทบตอํ ประโยชนส์ าธารณะ จึงเปน็ ข๎อสัญญา
ท่ขี ัดตํอความสงบเรียบร๎อยหรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน ซ่ึงเป็นโมฆะ

สาํ หรับการพจิ ารณาคาํ เสียหายน้นั เมือ่ สญั ญาไมํไดก๎ าํ หนดให๎ผู๎ร๎องซ่ึงเป็น ผ๎ูวําจ๎าง
มีหน๎าที่ต๎องชําระคําเสียหายให๎แกํผู๎คัดค๎านซ่ึงเป็นผู๎รับจ๎าง และคํูสัญญามิได๎ กําหนดให๎คณะ
อนุญาโตตุลาการช้ีขาดข๎อพิพาทตามกฎหมายใด รวมทั้งไมํได๎กําหนดไว๎ โดยชัดแจ๎งวําให๎คณะ
อนญุ าโตตุลาการช้ขี าดขอ๎ พิพาทโดยใช๎หลักแหงํ ความสจุ รติ และเปน็ ธรรม คณะอนญุ าโตตุลาการจึง
ตอ๎ งชข้ี าดข๎อพพิ าทไปตามกฎหมายไทย ท้งั นี้ ตามมาตรา ๓๔ แหงํ พระราชบญั ญตั ิอนญุ าโตตลุ าการฯ
ซ่ึงกฎหมายไทย ท่ีคณะอนุญาโตตุลาการต๎องใช๎ในการชี้ขาดข๎อพิพาทดังกลําว คือ ประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย์ ดังน้ัน เมื่อคณะอนุญาโตตุลาการเห็นวําผ๎ูร๎องมิได๎ชําระคําจ๎างให๎แกํ
ผคู๎ ัดค๎าน ผคู๎ ดั ค๎านซึ่งเป็นเจ๎าหนี้จึงมีสิทธิเรยี กคําสินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหาย ดังกลําวได๎ โดย
มีสทิ ธิเรยี กคําสนิ ไหมทดแทนเพอ่ื ความเสียหายเชนํ ที่ตามปกติยํอมเกิดขน้ึ แตํการไมํชําระหน้ี รวมทง้ั
มีสิทธิเรียกคําสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย อันเกิดแกํพฤติการณ์พิเศษ หากผู๎ร๎องได๎คาดเห็น
หรือควรจะได๎คาดเห็นพฤติการณ์ เชํนน้ันลํวงหน๎ากํอนแล๎ว อยํางไรก็ตาม หากความเสียหาย
ดังกลําวไมํใชํเบ้ียปรับตามท่ี กําหนดไว๎ในสัญญา ผ๎ูคัดค๎านซึ่งเป็นฝุายเรียกร๎องคําทดแทนยํอมมี
หน๎าที่ต๎องพิสูจน์ ให๎เห็นถึงคําเสียหายดังกลําวด๎วย โดยคณะอนุญาโตตุลาการมีหน๎าที่ต๎องวินิจฉัย
ชข้ี าด โดยมีพยานหลกั ฐานสนบั สนุน ไมํอาจใช๎ดุลพินิจโดยปราศจากพยานหลักฐานรับรองได๎ ทั้งน้ี
ตามมาตรา ๒๙ แหงํ พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯ

สําหรับการพิจารณาเพิกถอนคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการท้ังหมด หรือ
บางสํวนนั้น ศาลจําเป็นต๎องใช๎อํานาจตามบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อพิจารณา ให๎ข๎อพิพาทที่
เกิดขึ้นในทุกประเด็นมีข๎อยุติ และหากเป็นข๎อพิพาทตามสัญญาทางปกครอง ก็ต๎องคํานึงถึง
ประโยชน์สาธารณะประกอบด๎วย ดังนั้น ในกรณีที่คําช้ีขาดของ คณะอนุญาโตตุลาการเป็นการ
คํานวณคําปรับซ่ึงสามารถแยกคํานวณได๎เป็นรายวัน จึงเป็นคําช้ีขาดที่สามารถแยกสํวนที่ไมํอยํูใน
ขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ออกจากสํวนที่อยํูในขอบเขตของสัญญาได๎ ศาลยํอมสามารถ
เพิกถอนคําชี้ขาดเฉพาะสํวนท่ี วินิจฉัยเกินขอบเขตแหํงสัญญาอนุญาโตตุลาการได๎ตามมาตรา ๔๐
วรรคสาม (๑) (3) แหํงพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯ สํวนคําชี้ขาดให๎ชําระคําเสียหายเป็น
คาํ แรงงานน้ัน เม่ือสัญญามิได๎มีข๎อกําหนดให๎ผ๎ูร๎องมีหน๎าที่ต๎องชําระคําเสียหายให๎แกํผ๎ูคัดค๎าน การ
กําหนดคําเสียหายในสํวนนี้จึงเป็นการฝุาฝืนบทบัญญัติแหํงกฎหมาย และเม่ือคําชี้ขาด ดังกลําว
สามารถแยกจากคําชขี้ าดในสํวนอืน่ ได๎ ศาลจงึ สามารถเพกิ ถอนคาํ ชข้ี าดเฉพาะสํวนน้ีได๎เชํนเดียวกัน
(คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๒๕-๒๖/๒๕๕๙)

สญั ญาจา๎ งกํอสรา๎ งถนนคอนกรตี เสริมเหล็ก

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๒๑

เม่ือขอ๎ พพิ าทในคดีน้ีเกิดจากการที่ผ๎คู ัดคา๎ นซง่ึ เปน็ ผรู๎ บั จ๎างตามสัญญาจ๎าง กํอสร๎าง
ถนนคอนกรีตไมชํ ดใช๎คําเสียหายจากการทผ่ี ู๎ร๎องซง่ึ เป็นหนวํ ยงานทางปกครอง ผู๎วําจ๎างต๎องจ๎างผู๎รับ
จ๎างรายใหมํเข๎าทํางานเพ่ือแก๎ไขความชํารุดบกพรํองของถนน ตามสัญญาโดยการรื้อถนนเส๎นเดิม
และกํอสร๎างถนนข้ึนใหมํ ซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการ กําหนดประเด็นวํา ผ๎ูคัดค๎านต๎องรับผิดชอบตํอ
ความชํารุดบกพรํองของงานตามสัญญา หรือไมํ แตํคําวินิจฉัยชี้ขาดกลับวินิจฉัยแตํเพียงวํา ควา ม
ชํารดุ บกพรํองดังกลําวเกิดจาก งานที่ไมํถูกต๎องตามมาตรฐานแหํงหลักวิชาการและการทํางานที่ไมํ
เรียบรอ๎ ย ผค๎ู ัดค๎าน จึงไมํอาจปฏิเสธความรับผิดในความชํารุดบกพรํองของงานจ๎างดังกลําวได๎ โดย
ไมไํ ด๎ วินจิ ฉยั วําผูค๎ ัดคา๎ นต๎องรับผิดในความชํารุดบกพรํองของงานจ๎างเป็นจํานวนเทําใด หรือความ
ชํารุดบกพรํองของถนนท่ีเกิดการหลุดรํอนของเม็ดทรายทําให๎เกิดเม็ดทราย และฝุนถนน สามารถ
แก๎ไขซํอมแซมโดยวิธีการอื่นซึ่งไมํต๎องซื้อและสร๎างใหมํได๎หรือไมํ จึงเป็นกรณีที่คณะ
อนุญาโตตุลาการมีคําวินิจฉัยช้ีขาดไมํครบถ๎วนตามข๎อโต๎แย๎งในสัญญา และตามคําเสนอข๎อพิพาท
ของผ๎รู อ๎ ง อันถอื เป็นคําวินิจฉัยชี้ขาดข๎อพิพาทซ่ึงไมํอยํูในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือ
เกนิ ขอบเขตแหํงข๎อตกลงในการเสนอขอ๎ พิพาท ตํอคณะอนุญาโตตุลาการตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม
(๑) (ง) แหํงพระราชบัญญัติ อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๕๕ สมควรท่ีศาลจะเพิกถอนคําชี้ขาด
ดังกลําวเพื่อให๎ได๎รับ การพิจารณาข๎อเท็จจริงและพยานหลักฐานอีกคร้ังหน่ึง (คําพิพากษาศาล
ปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๑๓๕/๒๕๕๙)

สญั ญารํวมการงานและรํวมลงทนุ ขยายบรกิ ารโทรศัพท์

เมื่อตามสัญญารํวมการงานและรํวมลงทุนขยายบริการโทรศัพท์ระหวําง บริษัท
ทีโอที จํากัด (มหาชน) (ผู๎ร๎อง) กับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (ผู๎คัดค๎าน) กําหนดให๎
อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยข๎อพิพาทตามกฎหมายไทย อนุญาโตตุลาการจึงต๎องพิจารณาข๎อพิพาทท่ี
เกิดข้นึ ตามกฎหมายไทยทีเ่ กยี่ วข๎องกับกจิ การโทรคมนาคมซึ่งใช๎บงั คบั อยูํในขณะนัน้

โดยท่ีรัฐธรรมนญู แหํงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มีเจตนารมณ์ให๎คล่ืน
ความถี่ท่ีใช๎ในการสํงวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารท่ีใช๎
เพ่ือประโยชน์สาธารณะ ไมํใชํของบุคคลใดบุคคลหนงึ่ หรอื องค์กรใดองคก์ รหนงึ่ และการจดั สรรคล่ืน
ความถีด่ ังกลาํ วตอ๎ งคํานึงถึงประโยชนส์ งู สุดของประชาชนรวมทั้งการแขํงขันโดยเสรีอยํางเป็นธรรม
ประกอบกับพระราชบญั ญัติ การประกอบกจิ การโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ มีบทบญั ญัติใหก๎ ารเรียก
เก็บคําตอบแทน การใช๎หรือเช่ือมตํอโครงขํายโทรคมนาคมต๎องเป็นไปอยํางสมเหตุสมผลและเป็น
ธรรม ตอํ ผ๎ูรบั ใบอนุญาตทมี่ โี ครงขํายโทรคมนาคมกบั ผ๎ขู อใชห๎ รอื เชื่อมตอํ โครงขาํ ยโทรคมนาคม และ
ต๎องมีความเทําเทียมกันในระหวํางผู๎ขอใช๎หรือผู๎ขอเช่ือมตํอโครงขํายโทรคมนาคม ทุกราย โดย
คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแหํงชาติ (กทช.) เป็นผู๎มีอํานาจกําหนด โครงสร๎างอัตรา
คาํ ธรรมเนยี มและคําบริการโทรคมนาคม รวมทัง้ อตั ราคําเชอ่ื มตอํ โครงขํายโทรคมนาคม ท้ังนี้ ตาม
บทบัญญัติแหํงพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกํากับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุ

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๒๒

โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังนั้น การที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคําช้ีขาดให๎ผ๎ู
ร๎องชําระคําตอบแทนจากการนําบริการพิเศษมาใช๎ผํานโครงขํายโทรคมนาคมของผู๎คัดค๎านโดย
พิจารณาแบํงผลประโยชน์ตอบแทนด๎วยการคํานึงถึงความสุจริตยุติธรรมและปกติประเพณีตาม
มาตรา ๓๖๘ แหํงประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย์ โดยไมํได๎พิจารณาถึงความสมเหตุสมผลและ
เป็น ธร รมตํอผ๎ูรับใบอนุญ าตแ ละ ความเทําเทียมกั นระ หวํ างผู๎ขอใช๎ห รือขอเช่ือมตํอโค รง ขําย
โทรคมนาคมทุกราย จึงเป็นการพิจารณาท่ีไมํสอดคล๎องกับบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญและ
บทบัญญัติแหํงกฎหมายที่ใช๎บังคับอยํูในขณะที่มีคําชี้ขาด การยอมรับหรือบังคับตามคําช้ีขาด
ดังกลาํ วจึงเป็นการขดั ตอํ ความสงบเรยี บรอ๎ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน ศาลมีอาํ นาจเพิกถอน
คําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกลําวได๎ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.1259-
1260/2559)

๔. การบังคับตามคาชข้ี าดของอนุญาโตตลุ าการ

มาตรา ๔๑ “ภายใต๎บังคับมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๔๔ คําชี้ขาดของ
คณะอนุญาโตตุลาการไมํวําจะได๎ทําข้ึนในประเทศใดให๎ผูกพันคูํพิพาท และเมื่อได๎มีการร๎องขอตํอ
ศาลท่มี เี ขตอาํ นาจยอํ มบงั คับไดต๎ ามคาํ ชี้ขาดนน้ั .....”

มาตรา ๔๓ “ศาลมีอํานาจทําคําสั่งปฏิเสธไมํรับบังคับตามคําชี้ขาดของคณะ
อนุญาโตตลุ าการไมํวําคําช้ีขาดนั้นจะได๎ทําขึ้นในประเทศใด ถ๎าผู๎ซ่ึงจะถูกบังคับตามคําช้ีขาดพิสูจน์
ได๎วํา

(๑) คํูสัญญาตามสัญญาอนุญาโตตุลาการฝุายใดฝุายหน่ึงเป็นผู๎บกพรํองในเรื่อง
ความสามารถตามกฎหมายที่ใช๎บังคับแกคํ ํสู ัญญาฝุายนั้น

(๒) สญั ญาอนญุ าโตตุลาการไมมํ ผี ลผูกพันตามกฎหมายแหงํ ประเทศทคี่ ํสู ัญญาได๎ตก
ลงกนั ไวห๎ รือตามกฎหมายของประเทศท่ีทาํ คาํ ชี้ขาดนนั้ ในกรณที ่ีไมํมีขอ๎ ตกลงดังกลําว

(๓) ไมํมีการแจ๎งให๎ผ๎ูซึ่งจะถูกบังคับตามคําชี้ขาดร๎ูลํวงหน๎าโดยชอบถึงการแตํงตั้ง
คณะอนุญาโตตุลาการหรือการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ หรือบุคคลดังกลําวไมํสามารถ
เข๎าตํอสูค๎ ดใี นช้ันอนญุ าโตตลุ าการไดเ๎ พราะเหตปุ ระการอนื่

(๔) คําชี้ขาดวินิจฉัยข๎อพิพาทซ่ึงไมํอยํูในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือ
คาํ ชข้ี าดวินจิ ฉยั เกินขอบเขตแหงํ ข๎อตกลงในการเสนอข๎อพิพาทตํอคณะอนุญาโตตุลาการ แตํถ๎าคําช้ี
ขาดที่วนิ ิจฉัยเกินขอบเขตน้นั สามารถแยกออกได๎จากคําชีข้ าดสวํ นทวี่ นิ ิจฉัยในขอบเขตแล๎วศาลอาจ
บงั คบั ตามคาํ ชี้ขาดสวํ นทวี่ ินจิ ฉยั อยํูในขอบเขตแหํงสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือข๎อตกลงนน้ั กไ็ ด๎

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๒๓

(๕) องค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนพิจารณาของคณะ
อนญุ าโตตุลาการมไิ ดเ๎ ปน็ ไปตามท่ีคพํู ิพาทได๎ตกลงกนั ไว๎ หรือมิไดเ๎ ปน็ ไปตามกฎหมายของประเทศท่ี
ทําคาํ ช้ขี าดในกรณที ่ีคํพู พิ าทมิไดต๎ กลงกันไว๎ หรอื

(๖) คําชี้ขาดยังไมํมีผลผูกพัน หรือได๎ถูกเพิกถอน หรือระงับใช๎เสียโดยศาลท่ีมีเขต
อํานาจหรือภายใต๎กฎหมายของประเทศที่ทําคําชี้ขาด เว๎นแตํในกรณีที่ยังอยูํในระหวํางการขอให๎
ศาลทมี่ ีเขตอาํ นาจทาํ การเพกิ ถอนหรอื ระงับใชซ๎ ่ึงคําชีข้ าด ศาลอาจเล่ือนการพิจารณาคดที ข่ี อบังคับ
ตามคาํ ชี้ขาดไปไดต๎ ามที่เห็นสมควร และถ๎าคํูพิพาทฝุายท่ีขอบังคับตามคําชี้ขาดร๎องขอ ศาลอาจสั่ง
ให๎คพูํ พิ าทฝุายทจ่ี ะถกู บงั คับวางประกนั ทีเ่ หมาะสมกอํ นกไ็ ด๎”

มาตรา ๔๔ “ศาลมีอํานาจทําคําสั่งปฏิเสธการขอบังคับตามคําช้ีขาดตามมาตรา
๔๓ ได๎ ถ๎าปรากฏตํอศาลวําคําชี้ขาดน้ันเกี่ยวกับข๎อพิพาทท่ีไมํสามารถจะระงับโดยการ
อนุญาโตตุลาการได๎ตามกฎหมายหรือถ๎าการบังคับตามคําช้ีขาดน้ันจะเป็นการขัดตํอความสงบ
เรียบร๎อยหรือศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน”

มาตรา ๔๕ “หา๎ มมใิ ห๎อุทธรณค์ าํ สง่ั หรอื คาํ พพิ ากษาของศาลตามพระราชบญั ญัตนิ ี้
เว๎นแตํ

(๑) การยอมรับหรอื การบังคับตามคาํ ชขี้ าดนัน้ จะเปน็ การขัดตอํ ความสงบเรียบรอ๎ ย
หรอื ศลี ธรรมอันดขี องประชาชน

(๒) คาํ สั่งหรอื คําพิพากษานั้นฝุาฝืนตอํ บทกฎหมายอันเก่ยี วดว๎ ยความสงบเรียบร๎อย
ของประชาชน

(๓) คําสั่งหรือคําพพิ ากษาน้ันไมํตรงกับคําช้ีขาดของคณะอนญุ าโตตลุ าการ
(๔) ผ๎ูพพิ ากษา หรือตลุ าการซึง่ พิจารณาคดนี ้นั ไดท๎ ําความเห็นแย๎งไว๎ในคําพิพากษา
หรือ
(๕) เป็นคาํ ส่ังเกี่ยวดว๎ ยการใช๎วธิ กี ารชว่ั คราวเพื่อคุ๎มครองประโยชนข์ องคพํู พิ าทตาม
มาตรา ๑๖

การอทุ ธรณ์คาํ สงั่ หรอื คําพิพากษาของศาลตามพระราชบญั ญัตินี้ ให๎อุทธรณ์ตํอศาล
ฎีกาหรือศาลปกครองสูงสดุ แล๎วแตํกรณี”

แนวคาพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดเก่ยี วกับการบังคบั ตามคาช้ีขาดขออนุญาโตตุลาการ

การระงบั ขอ๎ พิพาทโดยวธิ อี นุญาโตตุลาการ จะยุตเิ มือ่ คณะอนญุ าโตตุลาการ ตัดสิน
ชขี้ าดขอ๎ พพิ าทตามหลักการที่กฎหมายกําหนด โดยกฎหมายที่คณะอนุญาโตตุลาการเลือกนํามาใช๎
ในการตัดสนิ นั้น จะต๎องวนิ ิจฉัยจากเน้อื หาของเรื่องโดยการพิจารณาวําข๎อพิพาทเป็นเร่ืองใดแล๎วจึง
นํากฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นมาใช๎บังคับ ดังน้ัน หากปรากฏแกํศาลวํา คณะอนุญาโตตุลาการได๎
วินิจฉัยชี้ขาดข๎อพิพาทตามกฎหมายวําด๎วยอนุญาโตตุลาการประกอบกับบทบัญญัติตามประมวล

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๒๔

กฎหมายแพํงและพาณิชย์อันเป็นกฎหมายไทย แล๎วเห็นวําจํานวนเงินคําปรับท่ีผู๎คัดค๎านหักคําจ๎าง
ของผร๎ู ๎องไว๎ เปน็ คําปรับเปน็ จํานวนทสี่ งู เกินสวํ นจึงวนิ ิจฉยั ให๎ลดคําปรับดังกลาํ วน้ัน เป็นการวินิจฉัย
ช้ีขาดทอ่ี ยํใู นขอบเขตแหํงข๎อตกลงในการเสนอข๎อพิพาทตํอคณะอนุญาโตตุลาการ ศาลจึงไมํจําต๎อง
เพิกถอนคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกลําว (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๔๐๙-
๑.๔๑๐/๒๕๕๑)

เม่ือผจ๎ู ะถูกบังคับตามคําช้ขี าดของคณะอนุญาโตตลุ าการมิไดพ๎ ิสูจน์ใหศ๎ าลเห็นวํา มี
กรณีท่ีสามารถทําคําส่ังปฏิเสธไมํรับบังคับตามคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ตามมาตรา ๔๓
และมาตรา ๔๔ แหงํ พระราชบัญญัตอิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ศาลยํอมมีอํานาจออกคําบังคับ
เพอ่ื ให๎ปฏิบัตติ ามคาํ ช้ขี าดของคณะอนุญาโตตุลาการได๎ (คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.887/
๒๕๕2)

ใ น ก ร ณี ที่ คํู พิ พ า ท ฝุ า ย ท่ี ข อ ใ ห๎ เ พิ ก ถ อ น คํ า ชี้ ข า ด ส า ม า ร ถ พิ สู จ น์ ไ ด๎ วํ า ค ณ ะ
อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขอ๎ พิพาทโดยไมํอยใูํ นขอบเขตของสญั ญาอนุญาโตตุลาการ หรือวินิจฉัยเกิน
ขอบเขตแหํงขอ๎ ตกลงในการเสนอข๎อพิพาทตอํ คณะอนุญาโตตลุ าการ ศาลยํอมมคี ําบังคบั ให๎เพิกถอน
คําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการนั้นได๎ และในกรณีท่ี การวินิจฉัยเกินขอบเขตน้ันสามารถแยก
ออกได๎จากคําช้ีขาดสํวนท่ีวินิจฉัยภายในขอบเขตแล๎ว ศาลจะเพิกถอนเฉพาะสํวนที่วินิจฉัยเกิน
ขอบเขตแหํงสญั ญาอนญุ าโตตุลาการ หรอื ข๎อตกลงนั้นกไ็ ด๎

เมื่อมูลเหตุแหํงข๎อพิพาทระหวํางหนํวยงานทางปกครองในฐานะผ๎ูร๎องกับเอกชน
ผู๎รับจ๎างในฐานะผู๎คัดค๎านในชั้นอนุญาโตตุลาการ เกิดจากการท่ีผู๎คัดค๎านต๎องเสียคําใช๎จําย เพิ่มข้ึน
จากงานกํอสร๎างตามสัญญา ซ่ึงเป็นเร่ืองท่ีเก่ียวเน่ืองกับสัญญาจ๎างในสํวน ความรับผิดของผ๎ูร๎องซ่ึง
เปน็ ผวู๎ ําจ๎างตอํ ผูค๎ ัดคา๎ นซ่งึ เป็นผู๎รับจ๎าง จึงต๎องนําสัญญาจ๎าง ท่ีพิพาทมาวินิจฉัย ดังนั้น ข๎อพิพาทที่
เกิดขึน้ จึงเปน็ ขอ๎ โตแ๎ ยง๎ ระหวาํ งคํสู ัญญาที่เกยี่ วขอ๎ ง กบั ขอ๎ กาํ หนดแหํงสญั ญาหรอื เกี่ยวกับการปฏบิ ตั ิ
ตามสัญญา การทคี่ ณะอนุญาโตตุลาการ กาํ หนดประเด็นพิพาทวํา ผู๎ร๎องมีสิทธิเรียกร๎องราคาวัสดุที่
เพ่มิ ขึน้ หรือไมํ แลว๎ วินจิ ฉัยให๎ ผ๎รู อ๎ งต๎องชําระเงนิ คําวสั ดุทเ่ี พม่ิ ข้ึนดังกลาํ วให๎แกผํ ๎คู ดั ค๎าน จงึ เปน็ การ
วินิจฉัยช้ีขาด ข๎อพิพาทซึ่งอยูํในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ และไมํเกินขอบเขตแหํง
ขอ๎ ตกลง ในการเสนอข๎อพิพาทตอํ คณะอนญุ าโตตลุ าการแตอํ ยํางใด (คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ท่ี อ.746-747/2555)

ข๎อสัญญาอนุญาโตตุลาการเป็นข๎อสัญญาแยกตํางหากจากสัญญาหลัก ท้ังนี้ ตาม
มาตรา ๒๔ แหํงพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดังน้ัน สัญญาหลักจะเป็นโมฆะ
หรอื ไมสํ มบรู ณ์หรอื ไมํ จึงยํอมไมํกระทบกระเทือนถึงขอ๎ สัญญาอนญุ าโตตลุ าการ คําวินิจฉยั ของคณะ
อนุญาโตตลุ าการที่วินิจฉัยประเด็นพพิ าทภายใต๎ขอบเขตอาํ นาจของตน จึงเป็นคาํ วินจิ ฉัยท่ีชอบและ
ไมขํ ัดตอํ ความสงบเรียบร๎อยหรอื ศลี ธรรมอันดขี องประชาชน

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๒๕

สวํ นการทผ่ี รู๎ ๎องมีคาํ ขอให๎คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให๎ผ๎ูคัดค๎านชําระเงิน คําจ๎าง
คาํ เสียหาย รวมดอกเบีย้ และคนื หนงั สอื คา้ํ ประกันพรอ๎ มชําระคาํ ธรรมเนยี มแทน ผูร๎ ๎องน้ัน เมื่อคณะ
อนุญาโตตุลาการรับฟังข๎อเท็จจริงเป็นท่ียุติแล๎ววําผ๎ูร๎องได๎สํงมอบงวดงานตามสัญญาแกํผู๎คัดค๎าน
แล๎ว แตํผู๎คัดค๎านไมํจํายคํางวดงานให๎แกํผู๎ร๎อง ผู๎คัดค๎านจึงตกเป็นฝุายผิดสัญญาและต๎องรับผิดใช๎
คํางวดงานตามสญั ญาดังกลําวให๎แกํผรู๎ ๎อง กรณเี ปน็ การที่คณะอนุญาโตตุลาการระบุเหตุผลแหํงการ
วินิจฉัยข๎อเรียกร๎องไว๎โดยชัดแจ๎ง และเป็นการวินิจฉัยช้ีขาดข๎อพิพาทที่อยูํในขอบเขตของสัญญา
อนุญาโตตุลาการ รวมทั้งไมํเกินคําขอของคํูพิพาทแล๎ว (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.487-
488/2557)

เม่ือพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๕๕ กําหนดให๎คําชี้ขาดของคณะ
อนุญาโตตุลาการมผี ลผกู พันคพูํ พิ าท โดยหากมกี ารร๎องขอตํอศาล ศาลยํอมต๎องบังคับ ตามคําชี้ขาด
นนั้ โดยไมอํ าจทาํ คาํ สั่งปฏเิ สธการขอบงั คบั ตามคาํ ชขี้ าดดังกลาํ วได๎ เว๎นแตํ ผซ๎ู ง่ึ จะถกู บังคับตามคําชี้
ขาดพิสูจน์ได๎วําคําช้ีขาดน้ันเข๎าลักษณะกรณีใดกรณีหนึ่ง ตามมาตรา ๔๓ แหํงพระราชบัญญัติ
ดังกลําวหรือกรณีปรากฏตํอศาลวําคําช้ีขาดน้ันเก่ียวกับ ข๎อพิพาทที่ไมํสามารถจะระงับโดยการ
อนุญาโตตุลาการได๎ตามกฎหมาย หรือการบังคับ ตามคําชี้ขาดน้ันจะเป็นการขัดตํอความสงบ
เรียบร๎อยหรือศีลธรรมอันดขี องประชาชน ตามมาตรา ๔๔ แหํงพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น เมื่อ
ปรากฏวําคําช้ขี าดของ คณะอนุญาโตตุลาการเป็นการชขี้ าดขอ๎ พิพาทเกี่ยวกับกําหนดเวลาแล๎วเสร็จ
ตามสัญญา สทิ ธิของผว๎ู ําจ๎างในการบอกเลิกสัญญา และสิทธิในการเรียกคําปรับตามสัญญา อันเป็น
การวินิจฉยั ชีข้ าดข๎อพิพาทท่ีอยํใู นขอบเขตของสญั ญาอนุญาโตตลุ าการ และไมเํ ข๎ากรณีใด กรณีหน่ึง
ตามมาตรา ๔๓ แหงํ พระราชบญั ญัตอิ นญุ าโตตุลาการฯ รวมทง้ั ไมปํ รากฏวํา การบงั คับตามคาํ ช้ีขาด
ของคณะอนญุ าโตตลุ าการดงั กลําวจะเปน็ การฝาุ ฝนื ตํอ บทกฎหมาย หรือกระทบกระเทือนถึงความ
มั่นคงของรัฐ เศรษฐกิจของประเทศ หรือ กระทบตํอความสงบสุขในสังคม กรณีจึงไมํขัดตํอความ
สงบเรียบร๎อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน ชอบท่ีศาลจะมีคําบังคับตามคําช้ีขาดของคณะ
อนุญาโตตลุ าการดงั กลาํ ว (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.1127/2558)

ข๎อพิพาทตามสัญญาจ๎างกํอสร๎างทางลอดจุดตัดแยกทางหลวงของกรมทางหลวง
กรณีท่สี ัญญาจ๎างกอํ สร๎างเป็นสัญญาแบบปรับราคาได๎ (คํา K) ซ่ึงมีข๎อกําหนดให๎การคํานวณคํางาน
เพิ่มหรือคํางานลดลงจะคํานวณได๎เม่ือทราบดัชนีราคาวัสดุกํอสร๎างซ่ึงนํามาคํานวณหาคํา K ของ
เดือนทสี่ งํ มอบงานในเดือนน้ัน ๆ เปน็ ทแี่ นนํ อนแลว๎ ตํอมา เมือ่ มีเหตุใหผ๎ ู๎คดั ค๎านซ่งึ เปน็ ผ๎วู ําจา๎ งบอก
เลิกสัญญาจ๎างกํอสร๎างกับผู๎ร๎องซ่ึงเป็นผู๎รับจ๎าง กรณีจึงไมํตัดสิทธิของผู๎ร๎องในการนําข๎อพิพาทเข๎า
สํกู ารชขี้ าดของคณะอนุญาโตตุลาการเพ่ือให๎กําหนดจํานวนเงินคําจ๎างให๎เป็นจํานวนที่แนํนอนกํอน
และเมื่อปรากฏวําผู๎ร๎องได๎ทําสัญญาโอนสิทธิเรียกร๎องการรับเงินตามสัญญาให๎กับธนาคารผ๎ูคํ้า
ประกัน รวมท้ังได๎บอกกลําวถึงการโอนสิทธิเรียกร๎องดังกลําวให๎แกํผู๎คัดค๎านทราบแล๎ว เมื่อคํา
วินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการท่ีช้ีขาดให๎ผู๎คัดค๎านจํายเงินคําจ๎างพร๎อมดอกเบ้ียให๎แกํผ๎ูร๎องไมํมี

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๒๖

ลักษณะอยํางหนึ่งอยํางใดอันเป็นข๎อท่ีไมํสามารถระงับโดยการอนุญาโตตุลาการได๎ตามกฎห มาย
หรือ ถ๎าการบังคับตามคําช้ีขาดนั้นจะเป็นการขัดตํอความสงบเรียบร๎อยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชน ศาลจึงไมํอาจทําคําปฏิเสธการขอบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได๎ ทั้งนี้
คําวนิ จิ ฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการนี้ไมํกระทบตํอหนังสือโอนสิทธิเรียกร๎องระหวํางผ๎ูโอนกับผ๎ูรับ
โอน โดยสิทธเิ รียกรอ๎ งตามสัญญาอนญุ าโตตลุ าการในคดีนี้ยํอมผกู พนั ผร๎ู ับโอนด๎วย (คําพิพากษาศาล
ปกครองสงู สุดท่ี อ.๓๒๑-๓๒๒/๒๕๖๐)

เม่ือคําช้ขี าดของคณะอนญุ าโตตุลาการตามสัญญาจ๎างกํอสร๎างอาคารเรียนที่พิพาท
เป็นการชขี้ าดขอ๎ พพิ าทเก่ียวกับสิทธิของผู๎วําจ๎างในการบอกเลิกสัญญาและสิทธิในการเรียกคําปรับ
ของผวู๎ าํ จ๎าง รวมถงึ สทิ ธขิ องผว๎ู ําจ๎างภายหลงั การบอกเลิกสัญญา โดยไมํปรากฏวํามีเหตกุ รณใี ดกรณี
หน่งึ ตามมาตรา ๔๓ แหงํ พระราชบญั ญัติอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ทีศ่ าลจะมีอํานาจสัง่ ปฏิเสธ
การขอบังคับตามคําชี้ขาดดังกลําวได๎ อีกท้ังไมํปรากฏวํา การบังคับตามคําชี้ขาดของคณะ
อนุญาโตตุลาการขา๎ งตน๎ จะเปน็ การฝุาฝืนตํอบทกฎหมายหรอื กระทบกระเทือนถงึ ความม่ันคงแหงํ รัฐ
เศรษฐกจิ ของประเทศ หรอื กระทบตํอความสงบสขุ ในสงั คม อันจะเป็นการขดั ตอํ ความสงบเรยี บร๎อย
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา ๔๔ แหํงพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น คําวินิจฉัยชี้
ขาดของคณะอนญุ าโตตุลาการในคดีนีจ้ ึงไมํอยใูํ นหลักเกณฑ์ท่ศี าลจะมีคําาส่งั ปฏเิ สธไมรํ ับบังคับตาม
คําช้ีขาดดังกลําวได๎ พิพากษาให๎บังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ (คําพิพากษาศาล
ปกครองสงู สุดท่ี อ.๕๕๘/๒๕๖๐)

กรณีฟูองขอให๎บังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการนั้น เมื่อคณะ
อนุญาโตตุลาการได๎กําหนดประเด็นข๎อพิพาทวํา คํูพิพาทฝุายใดเป็นฝุายผิดสัญญาและต๎องรับผิด
เพียงใด และตํอมาก็ได๎วินิจฉัยตามประเด็นข๎อพิพาทดังกลําววํา ผ๎ูคัดค๎านในฐานะผู๎รับจ๎างมิได๎
ดําเนินการตามสัญญา อันถือเป็นผู๎ผิดสัญญา จึงต๎องรับผิดตํอผ๎ูร๎องเป็นคําปรับพร๎อมดอกเบี้ยตาม
สัญญา โดยไมํมีเหตทุ ีจ่ ะลดคําปรบั ใหแ๎ กํผ๎คู ดั ค๎านแตอํ ยํางใด

นอกจากนี้ เมื่อในกรณีท่ีคณะอนุญาโตตุลาการต๎องช้ีขาดข๎อพิพาทเกี่ยวกับสัญญา
ทางปกครองตามกฎหมายไทยน้ัน คณะอนุญาโตตลุ าการตอ๎ งมีคาํ ช้ีขาดตามบทบญั ญัติแหํงประมวล
กฎหมายแพํงและพาณิชย์ ในการพิจารณาเก่ยี วกับจํานวนเบ้ยี ปรับหรือคําปรับทผ่ี คู๎ ัดค๎านตอ๎ งรับผิด
ตํอผู๎ร๎องกรณีสํงมอบงานลําช๎า คณะอนุญาโตตุลาการจึงนํามาตรา ๓๘๓ วรรคหนึ่ง แหํงประมวล
กฎหมายดังกลําว มาใช๎บังคับได๎ โดยหากเบี้ยปรับหรือคําปรับท่ีริบ นั้นสูงเกินสํวน คณะ
อนุญาโตตุลาการก็มอี ํานาจลดเบยี้ ปรบั หรือคาํ ปรบั นนั้ ลงเปน็ จํานวนทีเ่ หน็ สมควรได๎โดยทีผ่ ูค๎ ัดค๎านมิ
พักต๎องมีคําขอให๎คณะอนุญาโตตุลาการลดเบ้ียปรับหรือคําปรับดังกลําวแตํอยํางใด ดังนั้น การท่ี
คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยวํา คําปรับท่ีผู๎ร๎องเรียกจากผู๎คัดค๎านสูงเกินสํวน ประกอบกับ

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๒๗

คําเสียหายบางสํวนในเนื้องานผ๎ูร๎องได๎รับไปแล๎ว จึงให๎ลดคําปรับลง กรณีมิใชํคําชี้ขาดวินิจฉัยข๎อ
พพิ าทซง่ึ ไมอํ ยํใู นขอบเขตของสัญญาอนญุ าโตตลุ าการหรือคาํ ช้ีขาดวนิ ิจฉยั เกนิ ขอบเขตแหงํ ขอ๎ ตกลง
ในการเสนอข๎อพิพาทตํอคณะอนุญาโตตุลาการตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๑) (ง) แหํง
พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตุลาการฯสํวนการที่คณะอนุญาโตตุลาการเห็นวํา จากพยานเอกสารมีการ
ต้ังเร่ืองแจ๎งสงวนสิทธิ์และเรียกคําปรับตามสัญญา และมีการคืนหนังสือสัญญาคํ้าประกัน อันเป็น
การแสดงใหเ๎ ห็นวําผู๎รอ๎ งและผูค๎ ดั คา๎ นพ๎นความผูกพันตามสัญญาตํอกันแล๎ว คําวินิจฉัยในสํวนนี้ของ
คณะอนุญาโตตุลาการจึงมีลักษณะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข๎อเท็จจริงท่ีคํูพิพาทโต๎แย๎งกัน
อันเป็นดุลพินิจของคณะอนุญาโตตุลาการที่จะรับฟังและชั่งน้ําหนักพยานหลักฐานท่ีคูํพิพาทยกขึ้น
เพ่ือสนับสนุนข๎ออ๎างข๎อตํอส๎ูของตน จึงมิใชํ การรับฟังข๎อเท็จจริงนอกเหนือจากพยานหลักฐานใน
สํานวนหรือนอกเหนอื ข๎อตํอสู๎แหํงคดีแตอํ ยํางใด

ดงั น้นั เม่อื คําช้ขี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการมใิ ชคํ ําชี้ขาดวนิ จิ ฉัยข๎อพิพาทซึ่งไมํอยํู
ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือคําชี้ขาดวินิจฉัยเกินขอบเขตแหํงข๎อตกลงในการเสนอ
ข๎อพิพาทตํอคณะอนุญาโตตุลาการ และไมํปรากฏวําการยอมรับหรือการบังคับตามคําช้ีขาดน้ันจะ
เป็นการขัดตํอความสงบเรยี บรอ๎ ยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อีกท้ัง คําช้ีขาดดังกลําวเป็นคําช้ี
ขาดท่ีเกี่ยวกับข๎อพิพาทในสัญญาจ๎างทําของซ่ึงสามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการได๎ตาม
กฎหมาย ไมํมีเหตุที่ศาลจะมคี าํ สั่งปฏเิ สธไมรํ ับบงั คบั ตามคาํ ชขี้ าดไดต๎ ามมาตรา ๔๓ (๔) และมาตรา
๔๔ แหํงพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯ คําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกลําว จึงผูกพัน
คํูพิพาท และชอบท่ีศาลจะบังคับให๎ได๎ตามมาตรา ๔๑ แหํงพระราชบัญญัติเดียวกัน (คําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๓๐๗/๒๕๖๑)

ตามกฎหมายวําด๎วยอนุญาโตตุลาการหรือกฎหมายอื่นแม๎จะไมํได๎มีบทบัญญัติ
กาํ หนดระยะเวลาหรอื อายุความในการเสนอข๎อพพิ าทตอํ อนญุ าโตตุลาการเอาไว๎กต็ าม แตโํ ดยที่การ
มอบขอ๎ พพิ าทตํออนุญาโตตุลาการให๎พิจารณา เป็นการแสดงออกซึ่งการใช๎สิทธิเรียกร๎องอยํางหนึ่ง
จึงต๎องกระทําภายในอายุความ โดยมีหลักวําข๎อพิพาทใดท่ีอาจเสนอเป็นคดีตํอศาลได๎ภายในอายุ
ความการฟูองคดี ข๎อพิพาทนั้นก็สามารถเสนอตํออนุญาโตตุลาการได๎ภายในกําหนดระยะเวลา
เดียวกัน ดังนั้น เมื่อตามสัญญาสัมปทานระหวํางคํูพิพาทอันเป็นสัญญาทางปกครอง ไมํได๎กําหนด
เร่ืองระยะเวลาการเสนอข๎อพิพาทตํออนุญาโตตุลาการเอาไว๎โดยเฉพาะ การเสนอข๎อพิพาทตํอ
อนุญาโตตุลาการจึงกระทําได๎ภายในกําหนดอายุความการฟูองคดีตํอศาลปกครอง โดยกรณีที่ข๎อ
พิพาทเกิดข้ึนกํอนท่ีศาลปกครองจะเปิดทําการ การนับอายุความการฟูองคดีพึงเริ่มนับตั้งแตํวันที่
ศาลปกครองเปิดทําการ คือ วันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ และต๎องนับอายุความตามบทบัญญัติท่ีใช๎
บงั คบั ในขณะท่ีทาํ การพิจารณาคดี กลาํ วคอื ภายในห๎าปนี บั แตํวันรหู๎ รอื ควรร๎ถู งึ เหตุแหํงการฟูองคดี

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสงู สุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๒๘

แตํไมํเกินสิบปีนับแตํวันที่มีเหตุแหํงการฟูองคดี ตามมาตรา ๕๑ แหํงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล
ปกครองฯ ซ่งึ แกไ๎ ขเพ่ิมเตมิ โดยพระราชบญั ญตั ฯิ (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๑ ดงั นน้ั เมือ่ ผ๎ูคัดคา๎ นย่ืนคํา
เสนอข๎อพิพาทตํออนุญาโตตุลาการภายในกําหนดระยะเวลาห๎าปีนับแตํวันท่ีมีข๎อโต๎แย๎งเก่ียวกับ
สัญญาดงั กลําว กรณีจึงเป็นข๎อพิพาทที่เสนอตํออนุญาโตตุลาการภายในกําหนดระยะเวลาโดยชอบ
แลว๎

โดยที่การระงับขอ๎ พิพาทโดยวิธีการทางอนุญาโตตุลาการ เป็นวิธีการระงับขอ๎ พพิ าท
ทเ่ี กิดจากความสมัครใจและความประสงค์รํวมกนั ของคูพํ พิ าท กฎหมายจึงจํากัดให๎มีเพียงกรณีท่ีจะ
เสนอเร่ืองตํอศาลเพื่อขอให๎เพิกถอนหรือบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และจํากัด
เหตุท่ใี หอ๎ าํ นาจศาลควบคุมตรวจสอบคาํ ชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเอาไว๎อยํางเจาะจงและแจ๎ง
ชดั มิใชจํ ะให๎ศาลทบทวนหรือเปลี่ยนแปลงแก๎ไขให๎เป็นเชํนใดก็ได๎เชํนในคดีที่ฟูองตํอศาลตามปกติ
ซ่งึ การที่ศาลจะเพิกถอนคําช้ีขาดหรอื ปฏเิ สธไมํบงั คบั ตามคําช้ีขาด หรือการท่ีศาลสูงจะทบทวนคําช้ี
ขาดหรือคําพิพากษาของศาลชั้นต๎นได๎นั้น ต๎องปรากฏวําการยอมรับหรือบังคับตามคําชี้ขาดของ
คณะอนุญาโตตุลาการ จะเป็นการขัดตํอความสงบเรียบร๎อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตาม
มาตรา ๔๐ วรรคสาม (๒) (ข) แหํงพระราชบญั ญัตอิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕

สําหรับประเด็นวํา สัญญาสัมปทานเลิกกันโดยปริยายหรือโดยข๎อกฎหมายหรือไมํ
รวมท้ังผู๎ร๎องและผ๎ูคัดค๎านจะกลับคืนสํูฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย์ มาตรา
๓๙๑๓ หรือไมํ เพียงใด น้ัน เห็นวํา ในสัญญาทางปกครองนั้น รัฐในฐานะผู๎รับผิดชอบการจัดทํา
บริการสาธารณะ ยํอมมีอํานาจในการตัดสินใจเพียงฝุายเดียวให๎สัญญาเป็นอันเลิกกันเมื่อมีเหตุผล
ความจาํ เป็นเก่ียวกบั ประโยชน์สํวนรวมหรือการบรกิ ารสาธารณะ โดยมผี ลใหส๎ ญั ญาเลิกกันได๎โดยไมํ
ต๎องเสนอเร่ืองตํอศาลเพื่อตัดสินให๎สัญญาเป็นอันเลิกกัน ท้ังนี้ อํานาจการตัดสินใจบอกเลิกสัญญา
ฝุายเดียวดังกลําวมีผลเฉพาะการให๎สัญญาเป็นอันเลิกกันเทํานั้น กรณีมิได๎หมายความวํา การเลิก
สัญญานั้นจะถือเป็นการชอบด๎วยกฎหมาย หรือฝุายปกครองไมํต๎องรับผิดชอบใด ๆ จากการเลิก
สัญญา ซึ่งความรับผิดชอบของคํูสัญญาฝุายใดจะมีอยูํอยํางไรยังคงต๎องพิจารณาตํอไปตาม
ข๎อเทจ็ จรงิ แตลํ ะกรณี อย่างไรกด็ ี หากเปน็ สญั ญาทางปกครองทม่ี คี วามสาคัญมาก เช่น ในกรณที ี่
เป็นสัญญาสัมปทาน การจะให้ฝ่ายปกครองมีอานาจบอกเลิกสัญญาได้เองฝ่ายเดียวดังกรณี
สัญญาทางปกครองทั่ว ๆ ไป อาจเสี่ยงต่อการทาให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการจัดทา
บริการสาธารณะหรือประโยชน์ส่วนรวม หรือเกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อคู่สัญญาอีกฝ่าย
หน่ึงได้ ฝ่ายปกครองจึงไม่มีอานาจตัดสินใจแต่เพียงฝ่ายเดียวให้สัญญาเป็นอันเลิกกันได้ แต่
ต้องรอ้ งขอหรอื เสนอเรอ่ื งตอ่ ศาลเพื่อวนิ ิจฉัยใหส้ ญั ญาเปน็ อันเลกิ กัน

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๒๙

ดังน้ันเม่ือสัญญาพิพาทในคดีนี้มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน การแจ๎งบอกเลิก
สัญญาโดยฝุายปกครองเพียงฝุายเดียว จึงยังไมํมีผลทางกฎหมายให๎สัญญาเป็นอันเลิกกันได๎เอง
ในทนั ที แตกํ ารทีป่ รากฏข๎อเท็จจริงวํา ผ๎ูร๎องได๎มีหนังสือแจ๎งมติคณะรัฐมนตรีท่ีบอกเลิกสัญญาตํอผ๎ู
คัดค๎าน และได๎มีหนังสือแจ๎งยืนยันเจตนาที่ไมํประสงค์จะมีข๎อผูกพันตามสัญญาอีกตํอไป อันถือวํา
เป็นกรณที ผี่ ร๎ู อ๎ งไดแ๎ สดงเจตนาเลิกสัญญาอยาํ งแจ๎งชดั แล๎ว เม่อื ตํอมา ผค๎ู ัดคา๎ นได๎ยินยอมขนย๎ายคน
และเครื่องมือออกจากพื้นท่ี รวมท้ังไมํได๎เข๎าไปดําเนินการใด ๆ ในพื้นที่อีกตํอไป อันเป็นการ
แสดงออกซึ่งการตกลงใหส๎ ญั ญาเปน็ อนั เลิกกนั สัญญาจึงเป็นอันเลิกกนั คูสํ ัญญาแตลํ ะฝาุ ยจําตอ๎ งให๎
อีกฝุายหน่ึงได๎กลับคืนสูํฐานะดังที่เป็นอยูํเดิม คําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการท่ีเห็นวํา สัญญา
เปน็ อันเลกิ กันและให๎คูํสัญญากลับคืนสํูฐานะเดิมดังที่เป็นอยํูเดิม จึงไมํได๎ขัดตํอความสงบเรียบร๎อย
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนดังน้ัน เม่ือประเด็นข๎อโต๎แย๎งของผู๎ร๎องเพื่อขอให๎ศาลเพิกถอนคําชี้
ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการมีลักษณะเป็นการโต๎แย๎งดุลพินิจในการพิจารณาข๎อเท็จจริงและการ
ปรับใช๎กฎหมายรวมท้ังข๎อสัญญาของคณะอนุญาโตตุลาการซึ่งเป็นเร่ืองระหวํางคํูสัญญา ไมํได๎มี
ลักษณะเป็นเรื่องเก่ียวด๎วยความสงบเรียบร๎อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไมํมีเหตุที่
กฎหมายกําหนดให๎อํานาจศาลในการเพิกถอนคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกลําว
(คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๒๒๑-๒๒๓/๒๕๖๒)

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๓๐

บทท่ี 6
แนวคาวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ
เกย่ี วกบั สัญญารับทนุ การศึกษาและการลาศกึ ษาต่อ

-------------------------

สัญญารับทุนการศึกษาและการลาศึกษาตํอ ศาลปกครองสูงสุดได๎วินิจฉัยวําเป็น
สัญญาทางปกครองตามความในมาตรา 3 แหํงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ และอยูํใน
อาํ นาจศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)

๑. ข้อกาหนดเกี่ยวกับสัญญารับทุนการศึกษาและการลาศึกษาต่อ

1.1 ความผูกพันตามสัญญารับทุนการศึกษา

การที่สัญญาลาศึกษากําหนดให๎ผู๎ลาศึกษาที่กระทําผิดสัญญาต๎องใช๎เงินเดือนคืน
พร๎อมท้ังเบี้ยปรับอีกสองเทํา น้ัน เนื่องจากเบี้ยปรับเป็นคําเสียหายซึ่งสํวนราชการผู๎อนุญาตให๎ลา
ศึกษา กําหนดไว๎เพื่อปูองกันไมํให๎มีการกระทําผิดสัญญา และเป็นการลงโทษผู๎กระทําผิดสัญญา
เม่ือการกําหนดเบ้ียปรับในอัตราข๎างต๎นไมํได๎เป็นความได๎เปรียบของรัฐถึงขนาดท่ีผ๎ูลาศึกษาไมํอาจ
ดํารงฐานะตามปกติหรือกระทบตํอสิทธิหน๎าที่ของ ผู๎ลาศึกษารุนแรงเกินสมควร ประกอบกับหาก
ศาลเห็นวาํ เบ้ียปรับท่กี ําหนดไว๎สูงเกินสํวน ศาลมีอํานาจลดลงเป็นจํานวนพอสมควรได๎ ดังน้ัน เบ้ีย
ปรับท่ีกําหนดไว๎ในอัตราข๎างต๎น จึงไมํเป็นการเกินสมควรและเป็นคําเสียหายที่เหมาะสมและเป็น
ธรรม (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๔๗/๒๕4๘ ที่ อ.๓๐๑/๒๕4๙ ที่ อ.๑๖๑/๒๕๕๐
ท่ี อ.๒๔๑/๒๕๕๐ ที่ อ.๔๗/๒๕๕๑ และที่ อ.๒๖๑/๒๕๕๑)

เม่ือพิจารณาสัญญาระหวํางผู๎ฟูองคดีกับผ๎ูถูกฟูองคดี มีชื่อสัญญาวํา “สัญญา ของ
ข๎าราชการที่ไปศกึ ษาหรือฝึกอบรม ณ ตํางประเทศ” โดยผู๎ฟูองคดีอยํูในฐานะผ๎ูรับสัญญา และผ๎ูถูก
ฟูองคดีอยํูในฐานะผู๎ให๎สัญญา ซ่ึงข๎อความในสัญญาได๎ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับช่ือของผู๎ถูกฟูองคดี
โดยไมํมีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการรับราชการของผู๎ถูกฟูองคดีแตํอยํางใด จึงอนุมานได๎วํา
ในขณะทําสัญญาผ๎ูถูกฟูองคดียํอมร๎ูวําตนเองไมํได๎มีฐานะเป็นข๎าราชการตํารวจหรือข๎าราชการอื่น
ใด แตํรู๎วําตนมีฐานะเป็นนักเรียนนายร๎อยตํารวจ เพียงแตํรอการอนุมัติให๎ได๎รับการยกเว๎น
คุณสมบัติเฉพาะรายให๎ไปศึกษาตํอ ณ ตํางประเทศ ตามข๎อ ๑๐ ของระเบียบ วําด๎วยการให๎
ข๎าราชการไปศึกษา ฝึกอบรม และดูงาน ณ ตํางประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๒ และ เนื่องจากในขณะที่ผู๎
ถูกฟูองคดีได๎รับการคัดเลือกผู๎ถูกฟูองคดีมิได๎เป็นข๎าราชการตํารวจระดับ ๒ ขึ้นไป และมีวันรับ
ราชการไมํถึง ๑ ปี ซึ่งคณะกรรมการกําหนดโครงการให๎ข๎าราชการไปศึกษา ฝึกอบรม และ
ปฏิบัติการวิจัย ณ ตํางประเทศ (ก.ข.ต.) ยังมิได๎พิจารณายกเว๎นให๎ และเมื่อพิจารณาระเบียบกรม

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกี่ยวกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๓๑

ตํารวจวําด๎วยการให๎ข๎าราชการตํารวจและนักเรียนนายร๎อยตํารวจรับทุน ไปศึกษา ฝึกอบรม
ปฏิบัติการวิจัย หรือเชิญผู๎เชี่ยวชาญชาวตํางประเทศเพื่อพัฒนาการศึกษาวิชาการตํารวจ พ.ศ.
๒๕๓๘ ในข๎อ ๓ ได๎ให๎นิยามความหมายของคําวํา ผู๎รับทุน หมายความถึง “ผู๎รับทุนพัฒนาอาจารย์
และให๎ความหมายรวมถึงข๎าราชการตํารวจหรือนักเรียนนายร๎อยตํารวจ ที่ผํานการคัดเลือกซึ่ง
ประสงค์จะขอรับทุนพัฒนาอาจารย์ตามโครงการพัฒนาการศึกษาวิชาการ ตํารวจด๎วย” ประกอบ
กับข๎อ ๔ ของระเบียบดังกลําวได๎กําหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการ คัดเลือกนักเรียนนายร๎อย
ตํารวจไปศึกษาขั้นปริญญาตรี ณ ตํางประเทศ โดยทุนพัฒนาอาจารย์ ประเภท ก ผู๎รับทุนต๎อง
สมัครใจทําสัญญาผูกพันเพื่อกลับมาปฏิบัติหน๎าที่อาจารย์ ประจําภาควิชาชดใช๎ทุนตามแผนพัฒนา
อาจารย์ในโครงการพัฒนาการศึกษาวิชาการตํารวจแล๎ว จะเห็นได๎วําแม๎ในสัญญาพิพาทจะระบุวํา
ผู๎ถูกฟูองคดีได๎รับอนุมัติให๎ไปศึกษาหรือฝึกอบรม ณ ตํางประเทศด๎วยทุนประเภท ๑ (ก) ตาม
ระเบียบวําด๎วยการให๎ข๎าราชการไปศึกษา ฝึกอบรม และดูงาน ณ ตํางประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๒ และ
ก.ข.ต. จะยังไมํได๎พิจารณาเพื่ออนุมัติ ให๎ผู๎ถูกฟูองคดีได๎รับการยกเว๎นคุณสมบัติเฉพาะรายให๎ไป
ศึกษาตํอ ณ ตํางประเทศ ตามข๎อ ๑๐ ของระเบียบฉบับดังกลําว ก็ไมํได๎ทําให๎ผู๎ถูกฟูองคดีตกเป็นผู๎
เสียสิทธิหรือขาดคุณสมบัติในการได๎รับทุนไปศึกษาตํอ ณ ตํางประเทศแตํประการใด เนื่องจาก
ในขณะทําสัญญาพิพาทผ๎ูถูกฟูองคดีไมํได๎อยูํในฐานะของข๎าราชการที่อยูํในบังคับตามระเบียบฉบับ
ดังกลําว จึงไมํจําต๎อง ขอยกเว๎นคุณสมบัติตํอ ก.ข.ต. เพ่ือพิจารณาอนุมัติเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
ในกรณีที่มีเวลา รับราชการไมํถึง ๑ ปี เมื่อผู๎ถูกฟูองคดีเป็นผู๎ที่ผํานหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือก
ให๎ไปศึกษาตํอแล๎วและผู๎ถูกฟูองคดีสมัครใจทําสัญญาพิพาทผูกพันตนเพื่อกลับมาปฏิบัติหน๎าที่ใน
หนํวยงาน ของผ๎ูฟูองคดีหรือหนํวยงานของทางราชการอ่ืนเพื่อใช๎ทุนท่ีได๎รับจึงถือไมํได๎วําผู๎ถูกฟูอง
คดี สําคัญผิดในสาระสําคัญของสัญญาเกี่ยวกับสิทธิของตนซึ่งทําให๎นิติกรรมตกเป็นโมฆะ ตาม
มาตรา ๑๕๖ แหํงประมวลกฎหมายแพํงและพาณิชย์แตํประการใด รวมทั้งผู๎ถูกฟูองคดี ก็มิได๎
ปฏิเสธวําตนได๎รับเงินทุนการศึกษา ซึ่งประกอบด๎วย คําตั๋วโดยสาร เงินคําใช๎จําย ประจําตัว คํา
การศึกษา และคําใช๎จํายอื่นๆ ในระหวํางที่ศึกษา ณ ตํางประเทศ จึงถือได๎วํา ผู๎ถูกฟูองคดีได๎
ยอมรับความถูกต๎องและความมีอยูํของสัญญา อีกทั้ง ยังได๎เข๎ารับประโยชน์ ตามสัญญาไปโดย
ครบถ๎วนสมบูรณ์แล๎ว ผ๎ูถูกฟูองคดีจึงต๎องผูกพันตามสิทธิหน๎าท่ีของตน ในสัญญาพิพาทโดยต๎องรับ
ผิดชดใช๎เงินและเบี้ยปรับในกรณีที่ผิดสัญญา รวมทั้งดอกเบี้ยในกรณี ผิดนัดชําระหนี้ เมื่อสัญญา
พิพาทอันเป็นสัญญาประธานไมํตกเป็นโมฆะและมีผลผูกพันคูํสัญญาแล๎ว สัญญาค้ําประกันที่ได๎ทํา
ไว๎กับผู๎ฟูองคดีอันเป็นสัญญาอุปกรณ์ จึงยังมีผลผูกพันผู๎ค้ําประกันด๎วย พิพากษาให๎ผู๎ถูกฟูองคดี
และผู๎คํ้าประกันชดใช๎เงินตามสัญญาพร๎อมทั้งเบี้ยปรับให๎แกํผู๎ฟูองคดี (คําพิพากษาศาลปกครอง
สูงสุดที่ อ.๑๘๖/๒๕๕๒)

การขอระงับทุนการศึกษาและเบ้ียปรับโดยขอเข้าปฏิบัติราชการชดใช้ทุนแทน
เง่ือนไขเกี่ยวกับการเรียกให๎ชดใช๎เงินทุนการศึกษาพร๎อมเบี้ยปรับ กรณีมีการผิด

สัญญา เป็นเพียงข๎อกําหนดที่มีขึ้นเพื่อปูองกันมิให๎ผู๎รับทุนหลีกเลี่ยงการปฏิบัติราชการ และเข๎า

แนวคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด เกีย่ วกบั สญั ญำทำงปกครอง |๒๓๒

ทํางานในหนํวยงานภาคเอกชนเทํานั้น มิได๎มุํงผลโดยตรงตํอการเรียกให๎ผู๎รับทุนต๎องชดใช๎ทุนเป็น
ตัวเงินแตํอยํางใด การที่ผู้รับทุนซึ่งไม่สาเร็จการศึกษาตามสัญญาได้ร้องขอเข้ารับราชการเพื่อ
ชดใช้ทุนแต่หน่วยงานทางปกครองผู้ให้ทุนไม่จัดให้ผู้รับทุนเข้ารับราชการตามที่ร้องขอ เป็น
กรณีท่ีผ๎ูรับทุนในฐานะลูกหนี้ขอชําระหนี้ตามสัญญา แตํหนํวยงานทางปกครองในฐานะเจ๎าหนี้ไมํ
ยอมรับชําระหนี้ พฤติการณ์จึงยังถือไมํได๎วําผู๎รับทุน เป็นฝุายผิดสัญญา แตํทั้งนี้ การจะให๎
หนํวยงานทางปกครองผ๎ูให๎ทุนต๎องรับผ๎ูรับทุนเข๎ารับราชการทั้งทไี่ มํสําเร็จการศึกษาตามสัญญา อีก
ทั้งยังเข๎ารายงานตัวเพื่อขอเข๎ารับราชการลําช๎านั้นยํอมไมํมีเหตุอันสมควร กรณีจึงเป็นการที่
คูํสัญญาท้ังสองฝุายตํางมีสํวนกํอเหตุทําให๎การบังคับตามสัญญาสิ้นสภาพลง โดยไมํประสงค์จะให๎
สัญญามีผลบังคับใช๎ อีกตํอไป ถือเป็นกรณีที่สัญญาเลิกกันโดยปริยาย จําต๎องให๎คูํสัญญาทั้งสอง
ฝุายกลับคืนสูํฐานะเดิมดังนั้น ผู๎รับทุนจึงต๎องคืนเงินทุนการศึกษาพร๎อมดอกเบี้ยให๎แกํผู๎ฟูองคดี
พิพากษาให๎ผู๎ถูกฟูองคดีทั้งสองชดใช๎เงินคืนแกํผู๎ฟูองคดีเป็นเงิน ๔๔,๔๓๔.๖๕ บาท กับอีก
๕๓,๔๗๘.๔๐ ดอลลาร์สหรัฐพร๎อมดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร๎อยละ ๗.๕ ตํอปี ตั้งแตํวันที่ ๒๑
กรกฎาคม ๒๕๕๖ จนกวําจะชําระเสร็จ ให๎แกํผู๎ฟูองคดี (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๖๐/
๒๕๔๙ และที่ อ.๔๔๓/๒๕๕๐)

การลาออกจากราชการเพื่อสมัครรับเลือกตั้ง

การลาออกจากราชการเพื่อสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาไมํวําจะเป็นสมาชิก
สภาผู๎แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา มีความแตกตํางกับการลาออกจากราชการประเภทอื่น ซึ่ง
เป็นการลาออกจากราชการด๎วยเหตุผลสํวนตัว เน่ืองจากการเลือกต้ังดังกลําวเป็นกลไกของการใช๎
อํานาจอธิปไตยหรือการมีสํวนรํวมทางการเมืองในการกําหนดนโยบายสาธารณะที่จะมีผลกระทบ
ตํอประชาชน และการเลือกตั้งเป็นแนวทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่รัฐธรรมนูญ
แหํงราชอาณาจักรไทยทุกฉบับให๎การรับรองไว๎ การลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาจึงถูก
กําหนดให๎เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ การจะจํากัดสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งไมํอาจกระทําได๎
เว๎นแตํ อาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแหํงกฎหมายที่รัฐธรรมนูญกําหนดไว๎โดยเฉพาะอยํางยิ่งทาง
ราชการยังมีหน๎าท่ตี ๎องสงํ เสริมและสนับสนุนให๎ข๎าราชการมีสํวนรํวมทางการเมืองตามแนวนโยบาย
พื้นฐานแหงํ รฐั ดังจะเห็นได๎จากบทบัญญัติมาตรา ๑๑๓ แหํงพระราชบัญญัติระเบียบข๎าราชการพล
เรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซ่ึงนํามาใช๎บังคับโดยอนุโลม ได๎บัญญัติให๎การลาออกจากราชการเพื่อสมัครรับ
เลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ผู๎บังคับบัญชาไมํสามารถใช๎อํานาจยับยั้งได๎ สํวนการลาออกจากราชการ
กรณีอื่นผ๎ูบังคับบัญชามีอํานาจยับยั้งได๎

ทั้งหากภายหลังข๎าราชการที่ได๎รับอนุญาตให๎ลาออกจากราชการไมํได๎รับการ
เลือกตั้ง หรือได๎รับการเลือกต้งั แล๎วแตคํ วามเป็นสมาชิกภาพได๎ส้ินสุดลง ข๎าราชการผ๎ูน้ันก็มีสิทธิขอ
บรรจุกลับ เข๎ารับราชการได๎โดยได๎รับการยกเว๎นไมํจําต๎องอยูํภายใต๎เงื่อนไขที่เกี่ยวกับ
คุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหนํง และสามารถกลับเข๎ารับราชการได๎เมื่อพ๎นกําหนด ๔ ปี ดังนั้น


Click to View FlipBook Version