192
2. แนวคดิ / ทฤษฎที ี่เก่ยี วข้อง (Concept / Related Theories)
ผลงานสร้างสรรค์ “สติ ความกลัว และที่ว่าง” นำทฤษฎีจิตวิสัย หรือ อัตวิสัย (Subjectivism) ที่เชื่อ
ว่า คุณค่าทางสุนทรียะของงานศิลปะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ดังที่ กำจร สุนพงษ์ศรี (2555) กล่าวไว้ว่า
“บุคคลล้วนมีอัตตา (Ego) เป็นองค์ประกอบหน่ึงของความเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งเที่ยงแท้ถาวรที่ทำหน้าท่ีเป็น
ศูนย์กลางแห่งการรับรแู้ ละแสดงความเป็นปัจเจกของแต่ละคน” โดยคุณค่าทางสุนทรียะดงั กลา่ วไม่ไดข้ ้ึนอยู่ที่
คุณสมบัติของวัตถุ แต่มาจากมนุษย์เกิดความรู้สึกให้คุณค่าต่อวัตถุนั้น ผลงานสร้างสรรค์ชุด “สติ และ ความ
กลัว” ตอ้ งการส่อื ความงามและอารมณ์ (Beauty and Mood) ผ่านเทคนิคส่ือผสม และการตัดกระดาษ เพื่อ
นำเสนอให้เห็นมุมมองของมนุษย์คนหน่ึงที่ใช้การทำงานศิลปะต่อสู้กับความกลัว และใช้หลักธรรมในเรื่องของ
“สติ” คือ ความระลึกรู้ในปัจจุบันขณะน้ี จะเกิดขึ้นก่อน หรือเป็นตัวชักนำ ให้เกิดความรู้ตัว หรือสัมปชัญญะ
ขึ้นด้วย หมายถึง เมื่อทำให้เกิดสติข้ึน จะชักนำให้เกิดความรู้ตัวเกิดข้ึนด้วยเสมอ เพราะเหตุนี้ จึงมักพูดติดต่อ
ไปด้วยกัน หรือพูดเป็นคำเดียวกันว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ คือ เม่ือมีความระลึกรู้ในปัจจุบันขณะจะเกิดความรู้ตัว
ดว้ ยเสมอเปน็ สิ่งยึดเหนี่ยวจติ ใจ
ผลงานชุดนี้ใช้ทัศนธาตุทางศิลปะ ได้แก่ เส้น สี น้ำหนัก รูปร่าง รูปทรง พื้นที่ว่าง และพ้ืนผิว เพื่อ
แสดงออกเป็นภาพท่ีสามารถกระตุ้นประสาทสัมผัสของผู้รับสารให้เกิดความหมายในการส่ือสารและมีผลต่อ
การรับรู้ (Perception) โดยให้ความสำคัญกับการรับรู้ภาพของมนุษย์ ซ่ึงสอดคล้องกับทฤษฎีเกสตัลต์
(Gestalt Theory) ท่อี ธิบายเรื่องจติ วิทยาการรบั รภู้ าพวา่ มนษุ ย์มกี ารจดั ระบบระเบียบสิ่งที่มองเหน็ เพ่ือทำให้
เกิดการรับรู้แบบองค์รวมและรับรู้ความหมายมากกว่าการดูจากส่วนย่อย ผู้วจิ ัยได้นำทฤษฎีดังกล่าวมาพัฒนา
รว่ มกับการมองความงามในงานศิลปะ ทำให้ไดแ้ นวคดิ เกีย่ วกับการรับรู้ความงามทางศิลปะว่าเกดิ ขน้ึ จากปัจจัย
ต่างๆ ที่ส่งผลต่อการรับรู้ความงามทางศิลปะ ดังนี้ 1) ปัจจัยความใกล้ชิด 2) ปัจจัยจากความคล้ายคลึงกัน 3)
ปัจจยั จากการเปล่ยี นแปลงที่เหมอื นกัน 4) ปัจจัยการจัดเตรยี มการรับรู้ 5) ปัจจัยความต่อเนือ่ ง 6) ปัจจัยจาก
การปดิ ส่วนที่ไม่สมบรู ณ์ และ 7) ปจั จัยจากประสบการณ์เดิม
นอกจากนี้ยังใช้หลักการเร่ือง ท่ีว่างบวก (Positive Space)ท่ีว่างลบ (Negative Space) และท่ีว่าง
สองนัย (Ambiguous Space) ในการจัดวางรูปร่าง และกำหนดค่าน้ำหนักในงานที่ว่างบวกและท่ีว่างลบใน
งานศิลปะเป็นท่ีวา่ งที่ได้ถูกควบคุมและกำหนดให้มีขอบเขตและความหมายตามที่ศิลปินต้องการ เม่ือที่ว่างบริ
เวณหนึ่งถูกกำหนดด้วยเส้นรูปนอกให้เกิดเป็นเส้นรูปร่างข้ึน ที่ว่างที่เป็นรูปร่างน้ีจะเริ่มมีพลัง มีความ
เคล่ือนไหวและมีความหมายมากข้ึน ส่วนที่ว่างที่อยู่รอบๆ จะยังคงเป็นความว่างท่ีค่อนข้างเฉยๆ อยู่ ที่ว่างที่มี
รูปร่างนี้ เรยี กว่า ทวี่ า่ งบวก หรือท่วี า่ งท่ที ำงาน (Active Space) สว่ นที่ว่างทีอ่ ยู่รอบๆ เรยี กว่า ทีว่ ่างลบ หรือท่ี
ว่างท่อี ยู่เฉย (Passive Space) การกำหนดความเป็นบวก เป็นลบให้แก่ทว่ี ่างนี้ ทำข้ึนเพียงเพ่ือความสะดวกใน
การศึกษาทางทฤษฎี มิได้มีความหมายว่าส่วนท่ีเป็นลบ จะมีค่าน้อยกว่าส่วนท่ีเป็นบวก เพราะในทัศนะของผู้
สร้างสรรค์นั้น ทุกส่วนในงานมีความสำคัญที่จะต้องพิจารณาเท่าเทียมกัน สำหรับท่ีว่างสองนัย (Ambiguous
Space) คอื บรเิ วณว่างทถ่ี ูกกำหนดด้วยเส้นให้เปน็ รูปรา่ งข้ึน แต่รปู รา่ งของที่ว่างทเ่ี กิดข้นึ น้ันมคี วามสำคัญหรือ
มีความหมายเท่าๆ กันกับท่วี ่างท่ีเหลืออยู่ จนไม่อาจตัดสินได้วา่ ส่วนใดเป็นที่ว่างบวก ส่วนใดเป็นที่ว่างลบ ท้ัง
193
สองส่วนจะเป็นทั้งบวกและลบสลบั กัน ทำใหเ้ กิดพลังความเคล่ือนไหวของความไมแ่ นน่ อนตลอดเวลา จากบวก
ไปเปน็ ลบ และจากลบมาเปน็ บวก
กล่าวโดยสรุปได้ว่า เมื่อมีส่ิงใดสิ่งหนง่ึ ปรากฏข้นึ บนที่วา่ ง จะเกิดเป็นรูปกับพ้ืนหรอื รูปทรงกับที่วา่ งขึ้น
และท่ีว่างนั้นจะเร่ิมมคี วามหมายตามแต่ทัศนธาตุที่ใช้ประกอบกันให้เกิดเป็นรูปทรง ในทางตรงกันขา้ มท่ีว่างท่ี
ล้อมรอบรูปทรงท่ีแสดงความหมายนั้นก็จะสร้างปฏิกิริยาทางสายตาให้กับผู้ชม ถึงแม้จะถูกเรียกว่าเป็นท่ีว่าง
ลบ แต่กส็ ามารถแสดงพลงั ผลักดันกับท่ีว่างบวกอยตู่ ลอดเวลาไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ ในทน่ี ้ีผู้วจิ ยั เปรยี บ
ที่ว่างทั้งสองแบบนี้ เหมือนกับ “ความกลัว” และ “สติ” ที่ว่างสีดำ จัดเป็นพ้ืนที่ของความกลัว ที่เต็มไปด้วย
อุปสรรคต่างๆ ซึ่งแทนค่าด้วยวัสดุต่างๆจัดวางอย่างไร้ระเบียบ แต่ในขณะท่ี “สติ” ถูกแทนค่าด้วย สีทอง จัด
วางอยใู่ นวงกลมและพื้นหลังเพ่ือแสดงให้เห็นว่า “สติ” เป็นส่ิงสำคัญ แม้ในความกลวั สติ กย็ งั คงแฝงตัว ข้ึนอยู่
ที่ว่ามนุษยจ์ ะสามารถใชไ้ ด้อยา่ งถูกทถี่ ูกเวลาหรือไม่
นอกจากแนวคิดและทฤษฎีทางด้านศิลปะแล้ว งานสร้างสรรค์ชุดน้ี ยังได้นำแนวคิดเกี่ยวกับ “ความกลัว (Fear)”
มาใช้ประกอบการวิเคราะห์งานด้วย ความกลัวเป็นอารมณ์ที่ข้ันธรรมดาสามัญของมนุษย์ความกลัวนั้นมีอยู่ 2
รูปแบบ รูปแบบหน่ึง คือ ความกลัวธรรมดา เป็นความกลัวที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ความกลัวในรูปแบบน้ี มนุษย์
ทกุ คนมีเหมอื นกันหมด ส่วนความกลัวอีกอยา่ งหน่ึง คือ ความกลัวที่ได้มาจากการเรียนรู้ คือ มาเรยี นรู้เอาจาก
สังคมที่ตัวเองอยู่ ดังน้ัน ความกลัวท่ีได้มาจากการเรียนรู้นั้น แตกต่างไปตามสิ่งแวดล้อมในสังคม (กนกวรรณ
พิภักดิ์สมุทร, 2561) ความกลัวที่เกิดจากการเรียนรู้นั้นเกิดมาได้ 3 ทาง คือ 1) เกิดจากการถูกวางเง่ือนไข
2) เกิดจากอทิ ธพิ ลของสังคม และ 3) เกดิ จากเม่อื เหตุการณ์ร้ายเกดิ ขึ้นกับตัวเอง ทำให้รผู้ ลของสาเหตุแห่งการ
กลัวนั้น เช่น เดก็ อาจจะไมเ่ คย กลัวสุนัขมาก่อน เมื่อถูกกดั เขา้ คร้ังหนึ่งก็อาจจะสร้างความกลัวสุนขั ข้ึนมา หรือ
การถูกตี ถ้าไม่เคยถกู ตี ก็ไม่กลวั หรอื บางครง้ั อาจจะไมเ่ คยได้รบั ประสบการณจ์ รงิ ๆ แตไ่ ดท้ ราบผลมนั จากผู้อื่น
กอ็ าจเกิดความกลัวได้ เชน่ ทราบว่าถกู กัดแล้วจะตาย อหวิ าตกโรคเป็นแล้วรอดยาก การฉีดยาทำให้เจ็บ เป็นตน้
จากแนวคิดและทฤษฎีดังกล่าว นำมาพัฒนาเป็นกรอบแนวคิดเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ผลงาน
สร้างสรรค์ ดังนี้
ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ การสร้างสรรคง์ าน
194
3. กระบวนการในการสรา้ งสรรค์ (Creative Process)
ผลงานสร้างสรรค์ ชดุ “สติ ความกลัว และท่วี ่าง” ผวู้ จิ ัยดำเนินตามขั้นตอน ดงั น้ี
3.1 ศึกษาองค์ความรู้ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งและสรปุ แนวคิดทใี่ ชใ้ นการสร้างสรรค์
ผู้วิจัยศึกษาแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ ดังน้ี ทฤษฎีเกสตัลต์ (Gestalt Theories) ทฤษฎีทางศิลปะ
(Art Theory) ในเรื่อง ส่วนประกอบของงานศิลปะ (Elements of Art) หลักการจัดองค์ประกอบของศิลปะ
(Principles of Art) ที่ว่างบวก ที่ว่างลบ และท่ีว่างสองนัย (Positive Space, Negative Space and
Ambiguous Space) และงานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วข้องกับ “สติ” และ “ความกลัว” นำมาใชเ้ ป็นแรงบันดาลใจนำเสนอ
แนวคดิ เชิงเปรียบเทียบระหว่าง “สติ และ ความกลัว” โดยการแทนค่า สติ ดว้ ยสที องและสสี ันของบรรยากาศ
ท่ีสดใส ส่วน ความกลัว ใช้สีดำ และวัสดุอ่ืนๆ ได้แก่ ลูกปัดสี ที่ถูกจัดวางไว้ในพื้นท่ีว่างสีดำ เป็นตัวแทนของ
อปุ สรรคทางความคิดเชิงลบ และประสบการณ์ท่ีสะสมมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดเปน็ ความกลัวอยา่ งหา
เหตผุ ลทแี่ ทจ้ รงิ ไมพ่ บ
3.2 รวบรวมข้อมลู และจดั เตรียมอปุ กรณส์ ำหรบั ทำงาน
3.2.1 การรวบรวมข้อมูลเพื่อสรา้ งสรรค์ผลงานชุด “ความงามในความร่วงโรย”จากการศึกษา
แนวคดิ และทฤษฎี ท่ีสอดคล้องกบั สิ่งที่ตอ้ งการนำเสนอ เพื่อกำหนดเป็นแนวความคิดของงาน (Concept) ของ
งานสร้างสรรค์
3.2.2 จัดเตรียมอุปกรณ์การทำงาน ได้แก่ ผ้าใบขนาด 100 X 100 เซนติเมตร จำนวน 2 ชิ้น
สีอะคลีริค (สดี ำ สีทอง สีขาว สเี หลือง สฟี า้ และสแี ดง) ลูกปัดสเี ขม้ ผ้าสักหลาดเนื้อหนา และปากกาสดี ำ
3.3 ลงมือการปฏบิ ัตงิ าน
3.3.1 ออกแบบร่างตามแนวความคดิ ที่กำหนดไว้ และนำภาพร่างไปขยายเปน็ แบบงาน
3.3.2 กำหนดสี และวัสดุ ท่ีแทนค่าความหมาย ได้แก่ สีทอง แทนความหมายของสติ สีดำ
แทนความหมายของพื้นที่ของความกลัวภายในจิตใจ ลูกปัดสีต่างๆ แทนอุปสรรคในแต่ละช่วงของชีวิต ผ้า
สกั หลาด (ตัดเปน็ วงกลมขนาดต่างๆ) แทนสติ ทซี่ อ่ นตัวอยู่ในทต่ี ่างๆ ทั้งภายในความมดื มนของความกลัว และ
ในพ้ืนท่ีว่างท่ีสว่างสดใส สว่ นสีขาว สีเหลอื ง สีฟ้า และสแี ดง ใชป้ ัดป้ายเป็นทีเส้น เปน็ ตวั แทนของร่องรอยชีวิต
ที่มสี สี นั อยใู่ นความทรงจำ
3.3.3 ตัวอย่างการลงมอื ปฏิบตั งิ าน ปรากฏตามภาพที่ 2 ถงึ 5 ดงั นี้
ภาพท่ี 2 – ภาพที่ 4 แสดงข้ันตอนการขยายแบบร่างและลงสพี ้ืน
195
ภาพท่ี 5 แสดงการจัดวางลกู ปดั สี และผา้ สกั หลาด
3.3.4 ปรบั แกไ้ ขผลงานตามคำแนะนำผเู้ ชยี่ วชาญ
ภายหลังจากการสร้างสรรค์ผลงานสำเร็จแล้วผู้วิจัยได้นำผลงานให้ผู้เช่ียวชาญทางด้าน
จิตรกรรม และบุคคลอื่น ๆ ท่ีไม่ได้อยู่ในแวดวงศิลปะได้แสดงความคิดเห็น และให้คำแนะนำ โดยผู้วิจัยได้
นำมาปรับปรุงผลงานเพื่อให้สามารถสื่อสารแนวความคิดได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังแสดงในภาพที่ 6 และ
ภาพท่ี 7
ภาพท่ี 6 และ ภาพที่ 7 แสดงการปรับแกไ้ ขสพี ืน้ หลังและรายละเอยี ดรูปทรงตา่ งๆ
จากสรุปแสดงข้ันตอนการทำงานดังกล่าว ผู้วิจัยขอนำเสนอผลงานชุด “สติ ความกลัว และที่ว่าง”
จำนวน 2 ภาพ ดงั ภาพท่ี 8 และภาพที่ 9 น้ี
ภาพที่ 8 สติ ความกลวั และทว่ี ่าง 1
196
ภาพที่ 9 สติ ความกลวั และทีว่ ่าง 2
4. การวิเคราะห์ผลงาน
ผลงานสร้างสรรค์ชุด “สติ ความกลัว และท่ีว่าง” มีแนวความคิดสื่อถึงความกลัวที่ซ่อนอยู่ภายใน
จติ ใจของมนุษย์ เป็นความกลัวที่สะสมอยู่ในความดำมืดที่เวิ้งว้างมาอย่างยาวนาน แตใ่ นขณะเดียวกันก็มีความ
พยายามที่จะฟันผ่าความกลัวอันมืดบอดน้ัน ด้วยการใช้ “สติ” เป็นที่ตั้ง ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ผลงานตาม
กรอบแนวคิดที่กำหนดไว้ โดยจำแนกเป็น 2 ประเด็น คือ ประเด็นที่ 1 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรูค้ วามงามทาง
ศิลปะตามทฤษฎีของเกสตัลท์ ประเด็นท่ี 2 ผลการใช้ที่ว่างบวก ท่ีว่างลบ และที่ว่างสองนัย ปรากฏผลการ
วิเคราะห์ ดงั นี้
ตารางท่ี 1 แสดงผลการวิเคราะหป์ จั จัยทส่ี ง่ ผลตอ่ การรับรคู้ วามงามทางศลิ ปะ
ปัจจยั ทส่ี ่งผลต่อการ ผลการวเิ คราะห์ ผลงานสร้างสรรค์
รบั รคู้ วามงามทางศลิ ปะ
ปจั จัยความใกล้ชดิ การจัดวางองค์ประกอบใช้เส้นโค้ง และรูปทรง
กลม เป็นรูปทรงหลัก สร้างความเช่ือมโยงด้วย
การจัดวางตำแน่งของรูปทรงวงกลม ให้อยู่
ใกล้ชิดกัน เน้นให้เห็นการเชื่อมต่อ ทำให้เกิด
เอกภาพที่กลมกลืนข้ึน ดังภาพงานช่ือ “สติ
ความกลวั และทว่ี ่าง 1”
ปัจจยั จากความ ผลงานท้ัง 2 ภาพ ใช้ความคล้ายคลึงกันในด้าน
คลา้ ยคลึงกนั ของรูปทรงและลักษณะของพื้นผิว แต่ภาพท่ี
แสดงให้เห็นถึงความกลมกลมกลืนท่ีเกิดขึ้นจาก
โครงสร้างขององค์ประกอบที่มีความคล้ายคลึง
กนั มากที่สุดคือ ภาพที่ 1 มโี ครงสร้างของการจัด
วางรูปทรงด้วยรูปทรงวงกลม และเส้นโค้งท้ัง
ภาพ
ปจั จยั ท่สี ่งผลต่อการ ผลการวิเคราะห์ 197
ผลงานสรา้ งสรรค์
รบั รู้ความงามทางศลิ ปะ
ปจั จัยจากการเปลย่ี นแปลงท่ี ตามทฤษฎีของเกสตัลท์ กล่าวถึงการสร้างการ
เหมือนกนั รับ รู้ร่วม กั น ด้ วย ก ารก ำห น ด ให้ เกิ ด ก าร
เปล่ียนแปลงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ดัง
ตวั อย่างงานในภาพท่ี 1 และ 2 แสดงให้เหน็ ทิศ
ทางการเคล่ือนไหวจากด้านล่างไปสู่ด้านบน
และทิศทางการกระจายตัวของรูปทรงในพ้ืนท่ีสี
ดำทีไ่ มเ่ ป็นระเบียบ
ปัจจยั การจดั เตรียม การเช่ือมต่อของแต่ละรูปทรงในผลงาน เกิดข้ึน
การรบั รู้ จากการกำหนดเป้าหมายท่ีชัดเจน ส่ือแนว
ความคิดถึง ความกลัวที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของ
มนุษย์ โดยใช้พ้ืนที่สีดำ และลูกปัด เป็นสื่อแทน
ส่วน สติ คือ สิ่งที่ฉุดดึงให้หลุดพ้นจากสภาวะ
ของความกลัว ใช้สที อง ซึ่งเปน็ สีแทนความสูงค่า
หลกั ธรรม และความดงี าม เป็นส่อื แทนที่มีความ
เป็นสากลผูค้ นสว่ นมากสามารถเขา้ ใจรว่ มกนั ได้
ปจั จยั ความตอ่ เนือ่ ง ผลงานท้ังสองภ าพแสดงให้ เห็ นถึงความ
ต่อเน่ืองกันท้ังของรูปร่างรูปทรง ค่าน้ำหนัก
พ้ืนผวิ และทศิ ทางขององคป์ ระกอบในภาพ
ปัจจัยจากการปิดสว่ นทไ่ี ม่ ผลงานช่ือ “สติ ความกลัว และที่ว่าง 2” ใช้
สมบรู ณ์ รปู ทรงวงรี และวงกลม ปกปิดลายเส้นที่ยุ่งเหยิง
เพ่ือส่ือถีง การใช้สติ ควบคุม ความกลัว หรือ
ปจั จัยจากประสบการณ์เดมิ ระงับความกลัวนั้นไว้ การใช้เทคนิคการปิด
บางส่วนนี้ เพื่อให้เกิดมุมมองท่ีแปลกตายิ่งข้ึน
สามารถทำใหผ้ ชู้ มได้ใชจ้ ินตนาการของตนเองได้
อย่างเตม็ ท่ี
ผลงานท้ังสองภาพน้ี เกิดขึ้นจากการกล่ันกรอง
ประสบการณ์ชีวิตในช่วงสามปีท่ีผ่านมา การตก
อยู่ห้วงแห่งความกลัวโดยไม่มีสาเหตุ ผสมผสาน
กับความเศร้าท่ีมาจากการขาดความเช่ือม่ันใน
ตนเอง แต่ในขณะเดียวกันประสบการณ์เดิมที่
ผู้วิจัยเคยฝึกปฏิบัติธรรม จึงได้ใช้การเจริญสติ
ชว่ ยแกป้ ัญหาจนทุเลาเบาบางลง
ตารางท่ี 2 แสดงผลการใชท้ ี่วา่ งบวก ท่ีว่างลบ และที่ว่างสองนัย 198
ผลงานสรา้ งสรรค์
ความหมาย ผลการวเิ คราะห์
1. ทวี่ า่ งบวก การใช้ที่ว่างบวกเพ่ือส่ือความหมาย ปรากฏอยใู่ นผลงาน
ทั้ง 2 ภาพ โดยเฉพาะในภาพ “สติ ความกลัว และทีว่ า่ ง
2. ท่ีว่างลบ 2” มีการใช้ท่ีว่างบวกเพื่อส่ือถึงการปกปิด ความกลัว
(แทนด้วยลายเส้นยุ่งเหยิง) และรูปทรงกลมสีทอง แทน
สติ ท่อี ยู่กึ่งกลาง
ผลงานท้ัง 2 ภาพ ใช้ท่ีว่างลบ เป็นพื้นท่ีด้านหลังสื่อสาร
ความหมายเดียวกัน ในภาพ “สติ ความกลัว และที่ว่าง
1” พ้ืนหลังแบ่งเป็นคร่ึงหนงึ่ ของภาพพอๆ กนั ที่วา่ งสีดำ
มีบรเิ วณมากกว่าพืน้ ท่ีสีทอง แสดงให้เห็นความกลัวที่ฝัง
รากลึกมายาวนาน ส่วนในภาพ “สติ ความกลัว และ
ทวี่ ่าง 2” ที่วา่ งลบแทนค่าด้วยลายเส้นท่ียุ่งเหยิงและพ้ืน
สีดำเรียบสนิท มีบริเวณกว้างเต็มกรอบของภาพ ท้ัง 2
ภาพตา่ งแสดงมุมมองของความกลัวท่มี ีอยู่อย่างมากมาย
ภายในจิตใจ
3. ทวี่ ่างสองนยั การใช้ที่ว่างสองนัย ปรากฏอย่างชัดเจนในภาพ “สติ
ความกลัว และท่ีว่าง 1” คือ การใช้พื้นหลงั สีทอง และสี
ดำ โดยกำหนดสัดส่วนให้มีพื้นท่ีสีดำเป็นบริเวณกว้าง
กว่า ถ้ามองเผินๆ อาจให้ความรู้สึกว่า พ้ืนท่ีนี้มี
ความสำคัญและเป็นพ้ืนท่ีแสดงเนื้อหาหรือมีความเป็น
ทว่ี า่ งบวกมากกวา่ แตเ่ ม่ือมองท่ีพน้ื หลังสีทอง ถึงแม้จะมี
พน้ื ท่ีไม่มาก แต่ก็ใหค้ วามรู้สึกถึงความสำคัญไม่แตกต่าง
กันเลย อยู่ท่ีว่า ผู้ชมจะสามารถรับรู้กับพ้ืนที่ใดได้
มากกว่ากัน
5. สรปุ (Conclusion)
งานสร้างสรรค์ ชุด “สติ ความกลัว และที่ว่าง” มีแนวความคดิ ส่ือถงึ ความกลัวที่ซอ่ นอย่ภู ายในจิตใจ
ของมนุษย์ เป็นความกลัวท่สี ะสมอยูใ่ นความดำมืด มเี พียง “สติ” เท่านั้นที่จะช่วยให้ก้าวข้ามความกลัวเหล่าน้ี
ไปได้ ผลงานชุดนี้ มีความพยายามท่ีจะถ่ายทอดให้เห็นถึงการจัดการกับความกลัวด้วยสติ การควบคุมหรือกด
ทับความกลัวนั้นไว้อาจไม่สามารถช่วยให้เราก้าวข้ามความกลัวไปได้ สาระสำคัญที่ปรากฏขึ้นในผลงานชุดนี้
แบ่งออกได้เปน็ 3 ประเดน็ คือ
199
1. ประเด็นความงามของศิลปะ ความงามทางศิลปะของผลงานชุดนี้ เกิดขึ้นการจัดวางทัศนธาตุทาง
ศิลปะ ไดแ้ ก่ เส้น รูปรา่ ง รูปทรง พื้นที่ว่าง คา่ นำ้ หนัก และพน้ื ผวิ ประกอบกับการใช้หลักการจัดองคป์ ระกอบ
ของศลิ ปะ เร่ืองความมีเอกภาพ ทเ่ี กิดขึ้นจากการสร้างความสมดุล ความกลมกลืน ความขัดแย้ง และใช้การซ้ำ
เพ่ือสร้างจังหวะที่สง่ ผลให้เกิดการเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการใช้ทัศนธาตุเรือ่ ง ที่
ว่าง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การส่ือแนวความคิดได้อย่างชัดเจน
2. ประเด็นการตีความ “สติ” และ “ความกลัว” ทั้งสองคำน้ี อาจฟังดูมีความเป็นนามธรรมอยู่มาก
อาศัยมุมมองความเข้าใจในความเป็นจริงของมนุษย์การจัดการกับความกลัวเป็นส่ิงที่สามารถทำให้เกิดข้ึนได้
ด้วยวิธีการพิจารณาดูโดยให้เหตุผลว่า มันเป็นเหตุที่สมควรกลัวหรือไม่ ยิ่งเราทำความเข้าใจมันได้เร็วเพียงใด
เราก็ยิ่งอาจจะผ่อนคลายความกลัวได้มากข้ึนเท่านั้น โดยการใช้ “สติ” มองเห็นความเป็นจริงแท้ให้ประจักษ์
แล้วความกลัวจะค่อย ๆ เลือนลางหายไป ท่ีสำคัญก็คือเมื่อเราควานหารากแท้ของความกลัวได้แล้ว นั่นคือ
ด้วยความกล้าที่จะเผชิญกบั ความจรงิ
3. ประเด็นการนำผลงานสร้างสรรคไ์ ปใช้ และการอรรถประโยชน์ของผลงานสร้างสรรค์ ผลงานชุดนี้
กลั่นกรองมาจากประสบการณ์ตรงของผู้วิจัยและจากข่าวสารท่ีเกิดข้ึนในช่วงการแพร่ระบาดอย่างหนักของ
Covid-19 ท่ีส่งผลกระทบทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ ท่ีพังพินาศลงอย่างแทบตั้งหลักกันไม่อยู่
ผลกระทบดงั กล่าวจะไมส่ ามารถลดทอนลงได้เลย หากผู้คนยังมคี วามหวาดกลวั อยภู่ ายในจิตใจ และเต็มไปด้วย
ความท้อแท้ส้ินหวัง ผลงานชุดนี้อาจไม่สามารถช่วยให้ผู้คนพ้นจากความกลัวไปได้ในทางตรง แต่ในทางอ้อม
สามารถสร้างเสริมกำลังใจให้ได้ ด้วยภาพท่แี สดงให้เหน็ ถงึ การใช้หลักธรรมในการดำเนนิ ชีวติ ในช่วงเวลาวกิ ฤต
เติมเต็มความมุ่งม่ันท่ีจะต่อสู้กับอุปสรรคชีวิตต่าง ๆ ท่ีถาโถมเข้ามาด้วยการมี “สติ” เป็นท่ีตั้งอันมั่นคง และ
แขง็ แกรง่ วกิ ฤตตา่ ง ๆ ที่ผา่ นเขา้ มาในชีวิตกจ็ ะกลับกลายเปน็ เพียงประสบการณอ์ ยู่ในความทรงจำเท่านนั้
เอกสารอ้างองิ
กำจร สุนพงษ์ศรี. (2555). สุนทรียศาสตร์ หลักปรัชญาศิลปะ ทฤษฎีทัศนศิลป์ ศิลปวิจารณ์. กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
พระวชิรวิชญ์ ภัทรเกียรตินันท์. (2564). หลักธรรมทางพุทธศาสนากับการดำเนินชีวิตในช่วงโควิด-19.
วารสารภาวนาสารปริทศั น์. ปที ี่ 1 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-เมษายน 2564), 109-120.
Katchwattana, P. (2020). พระไพศาล วิสาโล แนะเมื่อในร้ายมีดี ในวิกฤตโควิด-19 ก็มี โอกาสแห่งการ
สร้างสติ. สืบค้นข้อมูลเมื่อ 2 มิถุนายน 2022, เข้าถึงได้จาก https://www.salika.co/2020/04
/12/phra-paisarn-visalo-howto-fight-covid-for-buddhism/
200
ภกิ ษุ
The Monk
ประชารักษ์ วงษศ์ รีแกว้ , PRACHARAK WONGSRIKAEW
สาขาภาพยนตร์และสือ่ ดจิ ิตลั คณะนิเทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศรีปทุม
E-mail : [email protected]
บทคดั ยอ่
การสื่อสารด้วยภาพถ่ายไม่ใช่แค่การบันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนตรงหน้าเท่านั้น แต่การสื่อสารด้วย
ภาพถ่ายยังสามารถเป็นการบันทึกความเคลื่อนไหวของวัตถุที่กำลังเคลื่อนท่ี เช่น การถ่ายภาพรถแข่งท่ีใช้การ
เคลื่อนท่ีด้วยความเร็วสูง หรือการถ่ายภาพนักกีฬาท่ีกำลังเคลื่อนท่ีด้วยความเร็ว เมื่อเราเห็นภาพเหล่านั้นเรา
สามารถรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วการสื่อสารด้วยภาพการเคลื่อนที่จึงเป็นการถ่ายภาพด้วยความ
สร้างสรรค์ท่ีเรียกว่าการถ่ายภาพเคล่ือนไหว (Panning) โดยมีลักษณะของการวาดกล้องในแนวระนาบไปกับวัตถุ
ให้ทันด้วยการปรับค่ากล้องเพื่อให้สนองต่อการเคลื่อนท่ีของวัตถุโดยให้ฉากหลังมีความเบลอ ความไม่ชัด เพื่อให้
เกิดจุดสนใจของภาพไปที่วัตถุที่ผู้สร้างสรรค์ต้องการจะนำเสนอการถ่ายภาพในลักษณะน้ีทำให้ภาพของวัตถุที่ถูก
บันทึกเสมือนกำลังเคลื่อนที่ หรือ กำลังเคล่ือนไหว นอกจากนั้นการจัดองค์ประกอบของภาพยังคงเป็นสิ่งสำคัญใน
การถ่ายภาพการเคลื่อนไหว (Panning) ซึ่งการจัดองค์ประกอบภาพน้ันเพื่อให้เกิดความสวยงามและการเล่าเร่ือง
ด้วยภาพท่ีสามารถส่ือความหมายได้เช่น การมีฉากหน้า (Foreground) เพื่อบดบังวิสัยทัศน์ของผู้รับชม โดยเป็น
การบังคบั ใหผ้ รู้ บั ชมเพ่งมองไปท่ีวัตถุทผี่ ูส้ ร้างสรรคต์ อ้ งการนำเสนอเป็นต้น
คำสำคญั : ถ่ายภาพ องคป์ ระกอบ การถา่ ยภาพเคลือ่ นไหว
Abstract
Visual communication is more than just capturing what is happening in front of you.
However, visual communication can also be defined as the recording of the movement of
moving objects, such as shooting a racing car in slow motion. or photographing quick-moving
athletes We can see fast movements when we see those images. Creative photography is
defined as moving visual communication. Motion photography is characterized by the nature of
drawing the camera in a plane with the object in time by adjusting the camera settings to
respond to the movement of the subject by causing the background to be blurry, blurry, in
201
order to get the point of interest. of the image to the object that the creator wishes to present.
Shooting in this manner results in recorded subject appears to be moving or moving
Furthermore, image composition is still important in motion photography, where the image
composition is to create beauty and tell a meaningful visual narrative, such as having a
foreground to obscure the viewer's vision. For example, by compelling the viewer to focus on
the object the creator wishes to present.
Keywords: photography, composition, motion photography
1. ความสำคัญหรือความเป็นมาของปญั หา
เม่ือราวพุทธศตวรรษท่ี 3 ประมาณปี พ.ศ. 235 หลังจากสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ 3 พระเจ้าอโศก
มหาราชได้ทรงส่งสมณฑูตไปเผยแพร่ศาสนายังดินแดนต่างๆ รวม 9 สายดว้ ยกัน หนงึ่ ในนัน้ คือประเทศไทย ซึ่งใน
ขณะนนั้ เป็นดนิ แดนสวุ รรณภูมิ ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง มปี ระเทศรวมกันในดนิ แดนน้ีไมน่ ้อยกวา่ 7 ประเทศ ได้แก่
ไทย พม่า ลาว กัมพูชา ศรีลังกา ญวน และมาเลเซีย จนกระทั่งในปัจจุบันประเทศไทยมีศาสนาประจำชาติคือ
ศาสนาพทุ ธและมีพระสงฆท์ ี่เป็นดงั่ ตัวแทนของศาสนาจำนวนมากในประเทศไทย
พระมหาพงศ์ทราทิตย์ ก้องเสียง, หอมหวล บัวระภา และวิเชียรแสนมี (2020: 5-6) ได้กล่าวถึงส่ิงสำคัญ
หรอื บทบาทของพระสงฆไ์ ทยในปจั จบุ นั ทถี่ ูกกำหนดขึ้นภายใตก้ รอบของพระธรรมวนิ ัย ซ่งึ มดี ังน้ี
1) บทบาทในอุดมคติ คือบาทบาทของพระสงฆ์ที่ปรากฏตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้า ทรงวาง
แนวทางในการปฏบิ ัตติ ่อชาวโลกแก่ภกิ ษสุ าวกของพระองค์ในครั้งพระพุทธกาลโดยที่พระองคไ์ ด้ทรงเป็นแบบอยา่ ง
ในการบำเพ็ญประโยชน์ต่อชาวโลกในฐานะทรงเป็นพระพุทธเจ้า ความประพฤติน้ันเรียกว่า พุทธจริยา เช่น การ
ออกบณิ ฑบาตดว้ ยอาการสำรวม การแสดงธรรมด้วยความเคารพเป็นตน้
2) บทบาทท่ีบุคคลเข้าใจ คือ บทบาทท่ีบุคคลเข้าใจโดยถือเป็นภาพลักษณ์ของพระสงฆ์และอยู่ในความ
คาดหวังของสังคม เช่น เป็นศูนย์กลางความเช่ือและความศรัทธาของประชาชน พระสงฆ์ต้องประพฤติตนให้
ถูกต้องอย่างดีงาม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งทางสติปัญญาและจิตวิญญาณ และด้านการเผยแผ่ศาสนาพระสงฆ์ต้องเป็น
ผู้นำด้านการรู้เท่าทันตนและปรากฏการณ์ของสังคม นอกจากน้ีบทบาทสำคัญของพระสงฆ์คือ พระสงฆ์ต้องเป็น
ผนู้ ำเพ่อื ปลกู ปญั ญาหรอื การตื่นรู้ให้กบั ชาวพทุ ธ
ในการถ่ายภาพพระสงฆใ์ นปัจจุบันของประเทศไทยในอิริยาบถต่างๆนั้น เป็นการบนั ทกึ ภาพที่สามารถเป็น
ภาพทางประวัติศาสตร์ในศาสนาพุทธได้และยังสามารถรับรู้ถึงการเคล่ือนไหวของรา่ งกายผ่านเทคนิคการถ่ายภาพ
นอกจากน้ันยังสามารถรับรู้ได้ถึงชีวิตประจำวันของพระสงฆ์ในยุคปัจจุบันซึ่งมีโรคระบาดเกิดข้ึน หากในอนาคตได้
ย้อนกลับมาดภู าพเหลา่ น้นั จะสามารถรบั รู้ได้ถงึ เรือ่ งราวในอดีต สิง่ น้ีจึงเป็นภาพทางประวัตศิ าสตร์
202
2. แนวคดิ / ทฤษฎีท่ีเกยี่ วขอ้ ง
ภาพถ่ายภิกษุ (The Monk) เป็นภาพที่ถกู ถ่ายด้วยเทคนิคทฤษฎีการถ่ายภาพเคล่ือนไหว (Panning) โดย
มุง่ เน้นให้วัตถุที่ต้องการจะนำเสนอได้เคลอ่ื นไหวผา่ นการถ่ายภาพนงิ่ ด้วยวธิ ีการวาดกล้องไปในแนวระนาบกับวตั ถุ
โดยใชเ้ ทคนคิ ของการปรับคา่ กล้องระหว่างชตั เตอร์ท่ีความเร็วต่ำ
การถ่ายภาพในลักษณะนี้จะต้องแพนกล้องไปตามวัตถุที่เคล่ือนไหวพร้อมๆกับการกดชัดเตอร์ ความเร็ว
ของชตั เตอร์ต้องตง้ั ให้ช้า เช่น 1/60 วนิ าที 1/30 วนิ าที 1/15 วินาที หรอื ช้ากว่าน้ีขน้ึ อย่กู ับวตั ถุทเี่ คลือ่ นที่ด้วยการ
ปรับระยะชัดไปที่ตรงจุดของวัตถุเคล่ือนท่ีผ่าน นอกจากนั้นในการถ่ายภาพเคลื่อนไหวโดยใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ
หรือเทคนิคการถ่ายภาพที่เรียกว่า “แพนกล้อง” ซ่ึงเป็นเทคนิคที่แสดงถึงการเคลื่อนที่อย่างชัดเจนของวัตถุท่ีเรา
ต้องการถ่าย ภาพที่ได้จะปรากฏว่าส่ิงท่ีกำลังเคล่ือนไหวจะดูพร่า ทำให้เห็นว่าวัตถุนั้นกำลังเคลื่อนที่ส่วนวัตถุหรือ
สิ่งทอี่ ยนู่ ง่ิ จะคมชัด (ณัฐวุฒิ สิงหนองสวง, 2558)
นอกจากน้ียังมีการใช้แนวคิดขององค์ประกอบภาพ (Elements of Composition) คือการใช้ฉากหน้า
(Foreground) คอื พ้ืนท่ใี นส่วนของภาพทอ่ี ยู่ด้านหนา้ Subject และใกล้คนดูมากทสี่ ุด ฉากหน้าจะชว่ ยสร้างมิติเชิง
ลึกให้กับภาพ เพราะคนท่ัวไปจะรับรู้หรือเห็นส่ิงท่ีอยู่ตรงหน้ามากท่ีสุด ซ่ึงมีขนาดใหญ่กว่า อีกทั้งฉากหน้ายังช่วย
ชักนำไปสู่ Subject และดูโดดเด่นขึ้น (วิโรจน์ เจียรวัชระมงคล และ เอกนฤน บางท่าไม้, 2558 อ้างถึงใน
จักกฤษณ์ กติ ตทิ รัพยเ์ จริญ และ ปญั จราศี ปณุ ณชัยยะ, 2562)
3. กระบวนการในการสร้างสรรค์
กระบวนการในการสร้างสรรค์ภาพ ภิกษุ (Monk) ผู้สร้างสรรค์ผลงานต้องการให้ภาพสื่อความหมายของ
ชีวิตประจำวันของภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันท่ีประสบปัญหาของโรคระบาดโควิด19 จึงมีความคิดริเริ่มที่จะหาสถานที่
ถ่ายภาพท่ีเป็นชุมชน โดยมุ่งเน้นไปที่ตลาดในช่วงเวลาเช้าซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนสัญจรผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก
และรอจังหวะการถา่ ยภาพ
เมอื่ พิจารณาภาพถ่ายจะพบวา่ Subject ของภาพจะอยู่ตรงกลางของภาพ เป็นรูปของภกิ ษรุ ูปหนึ่งกับเด็ก
วัดท่ีกำลังเดินทางกลับวัดในช่วงเวลาหลังฝนหยุดตก โดยการสร้างสรรคก์ ารถ่ายภาพเป็นการสร้างสรรค์ในรูปแบบ
ของการถ่ายภาพเคลื่อนไหว (Panning) ตาม Subject ท่ีเป็นภกิ ษุตรงกลาง โดยใช้วิธีการวาดกล้องไปทางขวาของ
ภาพเพ่ือให้ภาพเกิดความคมชัดที่ Subject และให้ฉากหลังมีความเบลอโดยใช้เทคนิคการตั้งค่ากล้องที่ความเร็ว
ชัตเตอร์ต่ำ ผู้สร้างสรรค์ผลงานใช้ความเร็วชัดเตอร์ท่ี 1/30 วินาที เพื่อให้เกิดความเบลอของฉากหลัง และตั้งค่ารู
รบั แสงที่ F/6.3 เพือ่ ใหร้ ะยะความชดั ของภาพไม่เบลอมากเกินไปและทำใหภ้ าพมีความคมชัดมาดขึน้
นอกจากน้ียังมีการใช้เทคนิคขององค์ประกอบภาพ โดยผู้สร้างสรรค์ผลงานใช้องค์ประกอบภาพของฉาก
หน้า (Foreground) เพื่อให้เป็นการบังคับสายตาให้มองไปท่ี Subject ของภาพท่ีจะสื่อสาร โดยได้มีการรอให้รถ
203
มอเตอร์ไซต์ซึ่งเป็นฉากหน้าขับผ่าน เมื่อความเร็วของรถมอเตอร์ไซต์ผสมกับเทคนิคการถ่ายภาพเคล่ือนไหว
(Panning) จึงทำให้รถมอเตอร์ไซต์มีความเบลอและยังช่วยเป็นฉากหน้า (Foreground) ช่วยให้สร้างมิติเชิงลึก
ใหก้ ับภาพและยังช่วยชกั นำไปสู่ Subject ใหโ้ ดดเดน่ อีกดว้ ย
ภาพที่ 1 ภิกษุ (The Monk)
ท่ีมา : ประชารกั ษ์ วงษ์ศรแี ก้ว
4. การวเิ คราะหผ์ ลงาน
ภาพภิกษุ (The Monk) จะเห็นได้ว่าภาพมีการเคล่ือนไหวตามการถ่ายของผู้สร้างสรรค์ โดยได้ใช้เทคนิค
การถ่ายภาพเคล่ือนไหว (Panning) ตาม Subject ท่ีเป็นภิกษุตรงกลางภาพ ผสมกับฉากหน้าที่เป็นรถมอเตอร์ไซต์
ขับผ่านจึงทำให้เกิดฉากหน้าที่มีความเบลอ ช่วยส่งเสริมให้การสร้างมิติในเชิงลึกของภาพเพ่ือชักนำไปสู่ Subject
ให้ดโู ดดเด่น ซ่ึงจะสอดคลอ้ งกับแนวคิดเร่ืององค์ประกอบภาพ (Elements of Composition) (วิโรจน์ เจียรวัชระ
มงคล และ เอกนฤน บางทา่ ไม,้ 2558 อ้างถึงใน จกั กฤษณ์ กติ ติทรัพยเ์ จริญ และ ปญั จราศี ปุณณชยั ยะ, 2562)
เยาวนารถ พันธเุ์ พ็ง (2560) ได้พดู ถึงประโยชน์ของการถา่ ยภาพไวด้ ังนี้
204
1) ด้านการศึกษา สามารถนำภาพถ่ายมาประกอบการเรียนการสอนเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เรียน ทำ
ให้เขา้ ใจบทเรียนไดร้ วดเร็วและจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้แม่นยำถาวร ภาพถ่ายสามารถเอาชนะปรากฏการณ์ทาง
ธรรมชาติไดห้ ลายประการ เช่น สามารถบันทกึ เหตุการณ์ตา่ งๆท่ีเกดิ ขน้ึ ในอดตี และนำมาศึกษาได้ทั้งในปัจจุบันและ
อนาคต หรือ บันทึกเหตการณ์หรือสถานท่ีที่อยู่ห่างไกลเพ่ือมาใช้ศึกษาในชั้นเรียน บันทึกส่ิงที่เคลื่อนไหวอย่าง
รวดเร็วซึ่งสายตาของคนเราไม่สามารถมองตามทันได้ หรือบันทึกส่ิงที่มีการเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนไหวช้ามาก ๆ
เพ่ือศึกษาการเปล่ียนแปลงเป็นระยะ ๆ เช่น การถ่ายดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน การถ่ายจากส่ิงเล็กมาก ๆ หรือสิ่งที่
ใหญ่โตเกินกว่าสายตาทจี่ ะมองเหน็ ได้ และสามารถบนั ทึกสง่ิ ซอ่ นเรน้ อยภู่ ายในหรอื ทล่ี ี้ลบั ได้
2) ด้านการสำรวจ ค้นคว้า วิจัยในสาขาต่าง ๆ เช่น สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ การอุตสาหกรรม การ
เกษตร การทหาร การส่ือสาร จำเป็นต้องใช้กล้องบันทึกภาพ อาจติดตั้งกล้องจุลทรรศน์หรืออุปกรณ์เอ็กซ์เรย์
เชือ่ มโยงกับระบบคอมพิวเตอร์บันทึกภาพส่วนต่างๆของรา่ งกายเพอื่ ทำการวินจิ ฉัยโรค หรือการใชก้ ล้องชนิดพิเศษ
บันทึกภาพพื้นผิวโลกและรายระเอยี ดของจักรวาลจากเคร่ืองบินหรือดาวเทยี มเพื่อการสำรวจอวกาศ การทำแผนที่
เปน็ ตน้
3) ด้านการโฆษณา ประชาสัมพนั ธ์ ภาพถ่ายจะเป็นสื่อหลักในการสร้างสรรคโ์ ฆษณาสินค้าและการบริการ
รวมท้งั การประชาสมั พนั ธ์ของหนว่ ยงานตา่ ง ๆ
4) ด้านการส่ือความหมาย ภาพถ่ายสามารถถ่ายทอดความรู้ ข่าวสารต่าง ๆ ไปยังรับโดยผ่านสื่อมวลชน
แขนงต่าง ๆ เช่น หนงั สือพมิ พ์ วารสาร แผ่นภาพโฆษณา และโทรทัศนเ์ ปน็ ตน้
5) ภาพถา่ ยสามารถบันทกึ เหตุการณ์ในช่วงเวลาต่าง ๆ เพือ่ เปน็ หลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ ในกอ่ นปี ค.ศ.
1839 เราสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ด้วยภาพเขียน ภาพวาด ภาพการแกะสลักเท่าน้ัน ในระหว่างสงครามโลก
ค.ศ.1853-1856 นบั เปน็ ครง้ั แรกทไ่ี ดม้ ีการบนั ทึกภาพถ่ายของสงครามไว้ให้คนรุ่นหลงั ไดศ้ ึกษา
6) ภาพถ่ายสามารถนำมาประกอบหลักฐานและเอกสารที่สำคัญ เช่น บัตรประจำตัว ใบแสดงวุฒิ
การศึกษา และใบรับรองอื่น ๆ ตลอดไปเป็นหลักฐานแสดงความเท็จจริงและความถูกต้อง เช่น นำมาใช้เป็น
หลกั ฐานในการประกอบการตัดสินใจของศาลเกี่ยวกบั อาชญากรรม การใชแ้ รงงานเดก็ เปน็ ต้น
7) ดา้ นศลิ ปะ ภาพถา่ ยจะให้ประโยชนใ์ นการสร้างสรรค์ส่ิงสวยงามและจรรโลงใจ
8) งานอดิเรก งานด้านภาพถ่ายจะให้ความเพลิดเพลินถือเป็นงานอดิเรกของผู้รักงานถ่ายภาพ และงาน
ถ่ายภาพสามารถยึดเป็นงานอิสระได้ ซ่ึงจะแยกเป็นภาพกีฬา ภาพข่าวการเมือง ภาพสารคดีประกอบเรื่อง
ภาพถ่ายบุคคล ภาพถ่ายโฆษณา ภาพแฟช่ัน ภาพนู้ด ตลอดจนเหตุการณ์สำคัญ เช่น งานวันเกิด งานอุปสมบท
งานมงคลสมรสเป็นต้น
จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายภาพภิกษุ (The Monk) จึงเป็นประโยชน์ทางด้านการบันทึกภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ
ทางประวัติศาสตร์ เน่ืองจากภาพท่ีถูกถ่ายเป็นช่วงของการระบาดของโรคโควิด19 จะสังเกตได้จากการท่ีบุคคลใน
205
ภาพสวมผ้าปิดจมกู ภาพนี้จึงเป็นทั้งภาพของการบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตรแ์ ละยงั เป็นภาพของการศึกษา
ในดา้ นของเทคนิคการถา่ ยภาพการเคล่ือนไหว
5. สรปุ
ภาพภิกษุ (The Monk) จึงเป็นภาพท่ีให้ความรู้สึกเหมือน Subject กำลังเคล่ือนท่ีด้วยเทคนิคการ
สร้างสรรค์การถ่ายภาพเคล่ือนไหว (Panning) และยังสามารถมีประโยชน์ในด้านของภาพประวัติศาสตร์ท่ีถูก
บันทึกในช่วงของการระบาดของโรคโควิด 19 ซ่ึงในขณะท่ีถ่ายภาพนั้นผู้คนยังไม่สารมถถอดหน้ากากอนามัย
ออกมาใช้ชีวิตเหมือนเม่ือก่อนได้ ภาพน้ีจึงเป็นภาพประวัติศาสตร์หากในอนาคตได้กลับมามองภาพนี้อีกคร้ัง จะ
สามารถรับรู้ได้ถึงการใช้ชีวติ ของภิกษุและประชาชนชาวไทยได้อยา่ งชัดเจน
เอกสารอ้างองิ
จกั กฤษณ์ กติ ตทิ รัพย์เจรญิ และ ปัญจราศี ปณุ ณชยั ยะ. (2562). ลักษณะของภาพถ่ายโฆษณาทส่ี ่งผลตอ่ ทัศนคติ
ของลกู ค้าท่มี ีตอ่ ภาพถา่ ยโฆษณาขายสินค้าบนอินสตาแกรม กรณศี กึ ษา: กระเปา๋ แฟชัน่ ทีไ่ ม่ใชส่ นิ ค้า
แบรนด์เนม.วารสารระบบสารสนเทศดา้ นธุรกจิ , 5 (4), (ตุลาคม-ธันวาคม).
ณัฐวุฒิ สิงห์หนองสวง. (2558). การสร้างสรรค์ภาพนิ่งเพ่ือส่ือความเคลื่อนไหวแบบการแพนกล้อง. วารสารนิเทศสยาม
ปรทิ ศั น์, 4(17), 52-59.
ดำรงค์ สมฤทธิ์. พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย. สืบค้นเมอื่ 4 มิถุนายน 2565, เขา้ ถึงได้จาก
http://www.dhammathai.org/thailand/thailand.php
พระมหาพงศ์ทราทิตย์ ก้องเสียง, หอมหวล บัวระภา, และวิเชียรแสนมี. (2020). บทบาทท่ีพึงประสงค์ของพระสงฆ์
ไทยในปจั จุบนั และอนาคต. วารสารสังคมศาสตรแ์ ละมานุษวทิ ยาเชิงพทุ ธ, 5 (1), 1-15.
เยาวนารถ พันธุ์เพ็ง. (2560). การส่ือสารด้วยและกระบวนการถ่ายภาพ. สืบค้นเม่ือ 4 มิถุนายน 2565, เข้าถึงได้
จาก https://www.chonburi.spu.ac.th/comm/admin/knowledge/A523one.pdf
206
การออกแบบเครื่องแตง่ กายบรุ ุษเพอื่ พฒั นาสินค้าชมุ ชนโดยใชแ้ นวคดิ การออกแบบ
จากศิลปะรปู แบบเมมฟิส: กรณีศึกษาผา้ ขาวมา้ นาหมื่นศรอี ำเภอนาโยง จงั หวดั ตรงั
MENSWEAR DESIGN TO DEVELOP LOCAL PRODUCT BY USING MEMPHIS STYLE
ART: CASE STUDY NAMEUNSRI LOINCLOTH AMPHOE NA YONG, TRANG
ปรชั ญา พิระตระกลู , Prashya Piratrakul
หลักสูตรการออกแบบและธุรกิจแฟชัน่ คณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลยั ธุรกิจบณั ฑติ ย์กรงุ เทพฯ ประเทศไทย
E-mail : [email protected]
บทคดั ย่อ
ผลงานสร้างสรรค์น้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางในการสร้างสรรค์เคร่ืองแต่ งกายบุรุษพื่อพัฒนา
ผ้าขาวมา้ วิสาหกจิ ชุมชนผา้ ทอนาหม่ืนศรี อำเภอนาโยง จังหวัดตรงั ให้เป็นผลิตภัณฑ์ท่ีมีความทันสมัยสามารถ
สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวันและเพ่ิมทางเลือกใหม่ๆให้กับผู้บริโภคได้ใช้ อีกทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ
ผลิตภณั ฑข์ องชุมชน โดยใช้แนวคดิ การออกแบบจากศิลปะรูปแบบเมมฟสิ (Memphis Style) ในการออกแบบ
โดยการดำเนินการคือหาหลักการสำคัญของแนวความคิดศิลปะรูปแบบเมมฟิสจากข้อมูลทุติยภูมิคือจาก
เอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ศึกษาข้อมูลแนวโน้มแฟชั่น
เครื่องแต่งกายบุรุษในปัจจุบันเพ่ือค้นหาแนวทางและแรงบันดาลใจในการออกแบบ โดยสรุปผลการสร้างสรรค์
ได้ดังน้ีเครื่องแต่งกายมีรูปแบบเสื้อผ้าลำลองที่ตรงตามแนวโน้มแฟช่ันเคร่ืองแต่งกายบุรุษและกลุ่มผู้บริโภคใน
ปัจจุบัน มีลักษณะเด่นจำเพาะตามแนวคิดศิลปะรูปแบบเมมฟิส คือใช้รูปทรงเรขาคณิตหลาย ๆ แบบนำมา
รวมกันในเคร่ืองแต่งกาย พร้อมท้ังวางรูปแบบตัดตอ่ โดยไม่คำนึงถึงความสมดุลและสัดส่วนของเครื่องแต่งกาย
ใช้สีสันและลวดลายที่ขัดแย้งและตัดกัน เพื่อสร้างความแปลกใหม่และร่วมสมัยให้แก่ผ้าขาวม้าวิสาหกิจชุมชน
ผ้าทอนาหม่ืนศรี เป็นการสร้างทางเลือกให้กับกลุ่มผู้บริโภคและเป็นต้นแบบท่ีชุมชนสามารถนำไปพัฒนาต่อ
ยอดในอนาคตต่อไป
คำสำคญั : เคร่ืองแต่งกายบรุ ุษ, ศลิ ปะรูปแบบเมมฟิส, ผา้ ขาวมา้
Abstract
This research objective is to design and develop menswear from the Na Muen Si
loincloth fabric of Na Yong, Trang to be more fashionable and wearable in everyday life and
add new options for consumers to use. It also creates added value for the community's
products by using Memphis style art the research method involves a review of Memphis
style’sart main idea and a definition of customer profile and men’s fashion trends to
develop concept design. The research reveals a casual style of clothing that meets the
207
current trends in menswear fashion and consumer groups. It has unique features based on
the Memphis style art. It is a style that emphasizes many geometric shapes combined in a
single cloth, accompanied by a layout regardless of the balance of the cloth. Use
contrasting and contrasting colors and patterns. To create a novelty and contemporary for
the Na Muen Si Weaving Community. Create alternatives for consumer groups and be a
model that communities can develop in the future.
Keywords: Menswear, Memphis style art, Loincloth Fabric
1. ความสำคัญหรือความเป็นมาของปญั หา
ผ้ าไท ย ถื อ เป็ น ม ร ด ก ท า งวั ฒ น ธ ร รม ส ำ คั ญ ท่ี สื บ ท อ ด กั น ม า ตั้ งแ ต่ อ ดี ต จ น ถึ งปั จ จุ บั น เป็ น งา น
ศลิ ปหัตถกรรมทส่ี ะท้อนวิถีชวี ิตและวัฒนธรรมทเ่ี ปน็ เอกลักษณ์ของคนในทอ้ งถนิ่ นัน้ ๆผา่ นลวดลายและสสี นั บน
ผืนผ้า โดยเฉพาะผ้าขาวม้าซ่ึงเป็นผ้าที่คนไทยทั่วไปรู้จักกันดีมาแต่โบราณเพราะสามารถนำมาใช้งานได้
หลากหลายสารพัดประโยชน์มีลักษณะทอเป็นลายตารางเลก็ ๆ นยิ มใช้เส้นด้ายหลายสีแตกตา่ งกันไปตามความ
นิยมของแต่ละท้องถ่ินจึงได้รบั การส่งเสริมท้ังจากภาครัฐและเอกชน อาทิ โครงการผ้าขาวม้าท้องถ่ินหัตถศิลป์
ไทย ท่ีมุ่งผลักดันให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าผ้าขาวม้าทอมือของชุมชนต่างๆท่ัวประเทศ ช่วยเพ่ิม
รายได้และพัฒนาทักษะอาชีพให้กับชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทั่วประเทศภายใต้การทำงานของคณะทำงานการ
พัฒนาเศรษฐกจิ ฐานรากและประชารัฐ ซ่ึงเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนในการร่วมกนั พัฒนาชีวิต
ความเป็นอยู่และรายได้ของชุมชนในชนบทท่ัวประเทศ ช่วยชุมชนสร้างรายได้ให้แก่ตนเองและสร้างความ
ภาคภูมิใจในชุมชนผ่านการสร้างสรรค์ผลงานผลิตภัณฑ์และการบอกเล่าประวัติความเป็นมาของผ้าขาวม้าทอ
มอื ไปพร้อมกับการสร้างความตระหนักถึงคุณค่า ในเชิงศิลปวัฒนธรรมให้เกิดข้ึนในสังคมอย่างย่ังยืน และยังมี
การขยายเครือข่ายความร่วมมืออยา่ งต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันพัฒนาการผลิตและการตลาดของสินคา้ ผ้าขาวม้าทอ
มือให้ผู้บริโภคเป็นวงกว้างทวั่ ประเทศ
จากการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นและการลงพ้ืนสำรวจวิสาหกิจชุมชน ผ้าทอนาหมื่นศรีอำเภอนาโยง
จังหวัดตรัง ซึ่งมีช่ือเสียงในด้านการทอผ้าพื้นเมืองมาอย่างยาวนาน แต่ได้ขาดหายไปช่วงหนึ่งในระหว่าง
สงครามโลกคร้ังท่ีสองเพราะขาดเสน้ ด้ายที่จะใช้ทำวัตถุดิบ รวมท้ังการทอผ้าประจำบ้านที่ใช้วัสดธุ รรมชาติปั่น
ฝ้ายย้อมสีเองก็ลดลง เน่ืองจากการมีเส้นใยย้อมสีสำเร็จรูปเข้ามาแทนที่ หรือการมีผ้าจากโรงงานและเส้ือผ้า
สำเร็จรูปที่สามารถซื้อได้ง่ายกว่าการลงมือทอเอง การทอผ้านาหมื่นศรีได้กลับฟื้นคืนมาอีกครั้งเม่ือราว พ.ศ.
2514 โดยยายนาง ชว่ ยรอด คนด้ังเดิมของหมู่บ้านรวบรวมคนทอผ้าอายุร่นุ เดียวกัน ได้ 3 ช่วยกันซ่อมแซม ก่ี
กับเครื่องมือเก่าๆ ให้ใช้การได้แล้วลงมือทอผ้าด้วยความตั้งใจว่าจะให้ลูกหลานได้รู้จักผ้าทอและวิธีทอผ้าแบบ
ด้ังเดิม ต่อมา นางกุศล นิลลออ บุตรสาวของยายนาง เป็นผู้รับช่วงกิจกรรมงานทอผ้า จากนั้นหน่วยงาน
ราชการจึงได้ใหค้ วามสนใจและเข้ามาส่งเสริม
208
ลักษณะผ้าทอของวิสาหกิจชุมชนผ้าทอนาหมื่นศรี แบ่งตามลักษณะโครงสร้างของผืนผ้า ได้ 3 ชนิด
ได้แก่ ผ้าพ้ืน ผ้าตา และ ผ้ายกดอก แต่ละชนิดแบ่งย่อยเป็นช่ือลายต่าง ๆ ได้อีกหลายลาย โดยเฉพาะผ้าตา
หรือผ้าขาวม้าได้พัฒนาให้มีเอกลักษณ์เพิ่มมากขนึ้ ท้ังการใช้สีสันทส่ี ดใสและผสมผสานการทอแบบยกดอกร่วม
เข้าไป จึงทำให้เกิดเป็นผ้าขาวม้านาหมื่นศรีท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชุมชนขึ้นมา แต่จากการสัมภาษณ์คุณ
อารอบ เรืองสังข์ ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าทอนาหม่ืนศรีพบว่า ในปัจจุบันทางวิสาหกิจชุมชน
นอกจากการทอผ้ายังได้พัฒนาผ้าทอเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อาทิ เส้ือ หมวก กระเป๋า ผ้าพันคอ สินค้าท่ีระลึก
แต่รูปแบบของผลิตภัณฑ์ยังคงเป็นรูปแบบเดิม ได้รับความนิยมเฉพาะในกลุ่มลูกค้าดั้งเดิมซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็น
กลุ่มวัยทำงานไปจนถีงกลุ่มผู้สูงอายุ และสินค้ายังไม่ได้รับความนิยมที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันตามสภาพ
สังคมที่เปล่ียนไปเป็นสังคมเมืองและตามกระแสแนวโน้มแฟช่ันเท่าท่ีควรยังขาดการพัฒนาและสร้างสรรค์
ผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆให้ตอบสนองต่อกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ ๆ ทางวิสาหกิจชุมชนจึงมีความต้องการที่จะ
พัฒนาผลติ ภัณฑ์ผา้ ขาวม้าไปสูก่ ลุม่ ผ้บู ริโภคกลุ่มใหม่โดยเฉพาะกลุ่มบุรุษที่มีอายุน้อยลงและพฒั นารปู แบบของ
ผลิตภณั ฑ์ใหม่ ๆ เพ่ือสามารถแข่งขันกับตลาดสินคา้ แฟชนั่ ในปัจจบุ ัน
ภาพท่ี 1 ผ้าขาวมา้ วสิ าหกิจชมุ ชนผา้ ทอนาหมน่ื ศรี
จากปัญหาและความต้องการของวิสาหกิจชุมชนผ้าทอนาหมื่นศรี ผู้ออกแบบจึงมีความมุ่งหวังท่ีจะหา
แนวทางในการสร้างสรรคเ์ คร่ืองแต่งกายบุรุษ ในรปู แบบเคร่ืองแตง่ กายลำลองสำเรจ็ รูป ที่ใชผ้ ้าขาวม้านาหม่ืน
ศรี เป็นวัสดุหลักในการออกแบบ โดยพัฒนารูปแบบสินค้าเคร่ืองแต่งกายให้มีความทันสมัย เข้ากับกระแส
แนวโน้มแฟช่ันและสามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน พร้อมยังคงเอกลักษณ์ผ้าขาวม้าของชุมชนไว้ได้ โดยใช้
แนวความคิดจากศิลปะรูปแบบเมมฟิสเป็นแนวคิดหลกั ในการออกแบบ ใช้ผา้ ขาวม้าที่เปน็ เอกลักษณ์ของชุมขน
นาหม่ืนศรีนำมาผสมผสานกับผ้าสีพื้นท่ีมีจำหน่ายในท้องตลาดนำมาออกแบบสร้างสรรค์ ซ่ึงจะสร้างลวดลาย
และรูปแบบให้เคร่ืองแต่งกายมีลักษณะเด่นจำเพาะ มีมิติแปลกตาน่าสนใจและเป็นที่จดจำสำหรับผู้บริโภคที่
พบเห็นในท้องตลาดมากข้ึนนอกจากนี้ยังเป็นการเพ่ิมทางเลือกใหม่ในตลาดสินค้าเคร่ืองแต่งกาย ลำลอง
สำเรจ็ รูป สำหรับกลุ่มผูบ้ ริโภคทมี่ ีความทันสมยั และใหค้ วามสำคัญกบั ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย
209
2.แนวคดิ /ทฤษฎที ี่เกย่ี วข้อง
การออกแบบสร้างสรรค์นี้ผู้ออกแบบใช้หลักการออกแบบจากแนว คิดศิลปะรูปแบบเมมฟิส
(Memphis Style) ซึ่งเริ่มต้นข้ึนในปี 1981 เมืองมิลาน ประเทศอิตาลีโดยดีไซเนอร์ Ettore Sottsass ก่อตั้ง
Memphis Group ร่วมกับนักออกแบบและสถาปนิกอีก 22 คน ข้ึนมาเพื่อต้องการสร้างศิลปะแบบใหม่ท่ีเป็น
การผสมผสานกันระหว่าง อาร์ตเดโค (Art Deco) และป๊อปอาร์ต (Pop Art) เพื่อต่อต้านการออกแบบของ
กลุ่ม Functionalism ท่ีค่อนข้างจะเป็นระบบระเบียบ จากนั้นแนวคิดศิลปะแบบเมมฟิสได้แพร่หลายไปสู่งาน
ออกแบบหลากหลายแขนง อาทิ สินคา้ เฟอร์นิเจอร์ การตกแตง่ บา้ น งานออกแบบกราฟกิ เคร่ืองแตง่ กาย
ลักษณะท่ีโดดเด่นของแนวความคิดศิลปะรูปแบบเมมฟิส (Memphis Style)คือเป็นงานดีไซน์ท่ีให้
ความสำคัญกับรูปทรง เน้นรูปทรงเรขาคณิตหลากหลายแบบนำมารวมกันในงานชิ้นเดียวกัน โดยมี
แนวความคดิ ดงั น้ี
1. ยกเลกิ เรือ่ ง เอกภาพ (Unity) ให้ความสำคญั กบั การประกอบชนิ้ ส่วนทอ่ี ิสระไมต่ ่อเนื่องกนั
2. มกี ารแสดงออกถึงความหมายใหม่ ท่ีมปี รศิ นาอยภู่ ายในการออกแบบ
3. การรอื้ ฟืน้ นำสิ่งประดบั ประดา และสซี ึง่ เป็นสญั ลกั ษณ์ ของความเป็นอิสระการคิดคน้ สร้างสรรค์
4. ผา่ นเลยข้อจำกดั และเหตุผลที่เก่ียวกับการใชง้ านอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นเฉพาะผลกระทบต่อ
ความสำคัญของมนุษยโ์ ดยตรงอกี ทั้งยงั เนน้ ไปทางสสี นั ทีส่ ดใส โดยใข้สีมากกว่า 2 สขี นึ้ ไปนำมาตัดกนั ไปมา
ถือได้ว่าเป็นสไตล์การออกแบบที่แปลกใหม่ต่างจากสไตล์ในสมัยนั้นโดยส้ินเชิงจึงทำให้ ศิลปะรูปแบบ
เมมฟิสไมค่ ่อยประสบความสำเรจ็ ในสมัยนน้ั แต่กลับเปน็ ต้นแบบผลงานใหก้ ับศิลปินและนักออกแบบหลายคน
ในปัจจุบันที่นักออกแบบนิยมนำมาเป็นส่วนหนึ่งในแนวคิดในการออกแบบท้ังการตกแต่งบ้านออกแบบ
ผลติ ภัณฑ์ออกแบบกราฟฟกิ และออกแบบแฟช่นั
ภาพท่ี 2 ผลงานการออกแบบตามแนวศิลปะแบบเมมฟสิ
ทมี่ า : https://www.architecturaldigest.com/story/turns-out-saint-laurent-is-also-obsessed-with-the-
memphis-design-group
210
3. กระบวนการในการสร้างสรรค์
1. ศึกษาความหมายและหลักการสำคัญของแนวคิดศิลปะรูปแบบเมมฟิส (Memphis Style) โดย
ศึกษาข้อมูลทุติยภูมจากเอกสารวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง วิเคราะห์ตัวอย่างงานออกแบบจากการศึกษาพบว่า
แนวทางการออกแบบของศิลปะเมมฟิสคอื การเสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์เฉพาะตัวเกดิ งานออกแบบใหม่
ที่ผสมผสานความขดั แย้ง ของรูปทรงรปู ร่างวสั ดุ สี และลวดลาย ในสว่ นของการสร้างสรรค์นี้ได้นำแนวคิดการ
ใช้รูปร่างเรขาคณิตหลากหลายรูปแบบนำมารวมกันและการวางรูปแบบท่ีแปลกตาโดยจะวางแบบไม่คำนึงถึง
ความสมดุล อีกท้ังยงั ใชส้ ีสนั และลวดลายท่สี ดใสมากกวา่ 2 สขี ึ้นไปนำมาตัดกัน
2. กำหนดกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสาร เพ่ือหาความต้องการและลักษณะการ
ดำเนนิ ชีวติ และพฤตกิ รรมการบริโภคสินค้าเคร่ืองแตก่ ายบรุ ษุ อายุ 20-280 ปี
3. ศึกษาแนวโน้มเครื่องแต่งกายบุรุษในปัจจุบัน โดยจะมีลักษณะที่อ้างอิงแฟช่ันในปี 1990 มาใช้โดย
จะมีลักษณะเด่นดงั นี้โครงร่างเส้ือผา้ หลวม การใช้ผ้าลายตาราง การใช้ลวดลายเรขาคณติ กางเกงขาสนั้ และยาว
ทรงหลวมมกี ระเปา๋
ภาพที่ 3 ภาพแฟชั่นในทศวรรษ 1990
ทมี่ า : https://www.thetrendspotter.net/90s-fashion-men/
4. ออกแบบและพัฒนาเครื่องแต่งกายตามองค์ประกอบการออกแบบที่ได้วิเคราะห์นำมาออกแบบ
แบบรา่ ง (Sketch)
แบบร่าง 1-1 แบบร่าง 1-2 แบบร่าง1-3
ภาพท่ี 4 ภาพแบบรา่ งการออกแบบเครอ่ื งแตง่ กายบรุ ษุ
5. นาํ แบบร่างในการออกแบบเคร่ืองแต่งกายบรุ ุษ ปรึกษากบั ช่างผู้ชาํ นาญการในการตัดเย็บและไดต้ ัด
เย็บเครื่องแตง่ กาย ทั้งหมด 1 คอลเล็กชั่น ประกอบด้วยเครื่องแตง่ กายบุรษุ 3 ชุด
211
4. การวิเคราะหผ์ ลงาน
จากวิธีดำเนินการข้างต้นนำมาวิเคราะห์และสรุปออกมาเป็นองค์ประกอบในการออกแบบและนำไป
ตัดเย็บจนได้เครื่องแต่งกายท้ังหมด 3 ชุด ประกอบไปด้วย เสื้อเช้ิตแขนส้ัน เสื้อฮู้ดแขนกุด เสื้อเช้ิตแขนยาว
กางเกงขาสั้น กางเกงขายาว ซ่ึงมีลักษณะเด่นคือเป็นเคร่ืองแต่งกายลำลองสำหรับบุรษุ ที่มีอายุระหว่าง 20-28
ปีมีลักษณะโครงรา่ งที่หลวมตามแนวโน้มแฟชั่นท่ีอ้างอิงมาจากทศวรรษ 1990 ผลิตจากผ้าขาวม้าชุมชนผ้าทอ
นาห ม่ืน ศรีตัดต่อ ผ ส มผ ส าน กับ ผ้ าใน ท้ องตล าดส ร้างรูป แบ บ ที่ แตกต่ างแ ล ะแป ล กตาส ำหรับผ้ าขาวม้ า
นอกจากน้ียังเป็นเคร่ืองแต่งกายที่สอดคล้องกับแนวความคิดศิลปะแบบเมมฟิส โดยสามารถแบ่งแนวคิดท่ี
นำมาใช้ไดด้ ังน้ี
การใช้รูปร่างเรขาคณิตหลากหลายรูปแบบนำจัดวางรวมกนั ในเสื้อผา้ จากแนวคดิ ของศิลปะรูปแบบ
เมมฟิศจะใช้รูปร่างเรขาคณิตหลากหลายมาจัดวางในพื้นที่เดียวกัน เม่ือวิเคราะห์ในแนวทางการออกแบบ
เคร่ืองแต่งกาย จะแทนค่ารูปร่างเรขาคณิตด้วยองค์ประกอบของเคร่ืองแต่งกายคือการใช้กระเป๋าซ่ึงเป็น
เอกลักษณ์และองค์ประกอบของเสื้อผ้าลำลองบุรุษมาจัดวางในตำแหน่งต่างๆ อีกทั้งยังใช้ความหนาและขนาด
ของกระเป๋าท่ีแตกต่างกัน โดยไม่คำนึงถึงความสมดุลมากนัก อีกทั้งยังจัดวางกระป๋าในตำแหน่งท่ีล้ำและยื่น
ออกมาจากชายเส้ือและชายกางเกงซึ่งไม่เป็นไปตามหลักสัดส่วนของเครื่องแต่งกาย เพ่ือสร้างความแปลกตา
และดูสนุกสนานมากย่งิ ข้ึน
ภาพท่ี 6 ภาพดา้ นหนา้ ผลงานสรา้ งสรรค์ออกแบบเครอื่ งแตง่ กายบรุ ุษ
การใช้สีสันและลวดลายผ้าขาวม้านำมาตัดต่อสลับผ้าสีพ้ืนในงานออกแบบของศิลปะรูปแบบเมม
ฟสิ จะใช้สีดำตัดกบั สีอ่อนและสีสันที่สดใสมากกวา่ 2 สีขึ้นไปเมื่อววิเคราะห์ในแนวทางการออกแบบเคร่ืองแต่ง
กายสามารถใชผ้ ้าขาวม้าท่ีลวดลายสีสันสดใสเข้ามาตัดต่อสลบั กับผ้าสีอ่อนและสีดำ โดยตัดต่อลงไปในตำแหน่ง
ตา่ งๆ อาทิ หน้าอก แผ่นหลงั ดา้ นหลังกางเกง อีกท้ังยงั ผสมกับรปู ร่างของกระเป๋าทเ่ี ยบ็ ปะทับซ้อนลงไป จึงทำ
ให้เกิดรูปร่างจากพ้ืนท่ีว่างที่สร้างจากการตัดต่อและเย็บทับซ้อนของสีผ้าขาวม้าและผ้าสีพ้ืนสร้างระนาบพื้นท่ี
เครือ่ งแตง่ กายให้ดนู า่ สนใจมากยง่ิ ข้ึน
212
ภาพที่ 7 ภาพดา้ นหลังผลงานสรา้ งสรรค์ออกแบบเครือ่ งแต่งกายบรุ ษุ
5. สรปุ
จากผลงานสร้างสรรค์ที่เสร็จสมบูรณ์ ได้แนวทางออกแบบเครื่องแต่งกายลำลองบุรุษอายุ 20-28 ปีที่
ผลิตจากผ้าขาวม้าวิสาหกิจชมุ ชนผ้าทอนาหมน่ื ศรี อำเภอนาโยง จงั หวัดตรงั ผสมผสานกบั ผ้าในท้องตลาด โดย
เคร่ืองแต่งกายมีรูปแบบลำลองตรงตามแนวโน้มแฟช่ันเคร่ืองแต่งกายบุรุษและความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค
ในปัจจุบัน มลี ักษณะเด่นจำเพาะตามแนวคิดศิลปะรูปแบบเมมฟิส คอื ใช้รปู ร่างเรขาคณิตหลากหลายแทนด้วย
ขนาดและความหนาของกระเปา๋ นำมาจดั วางในเคร่อื งแตง่ กายอกี ทั้งวางรปู แบบโดยไม่คำนึงถึงความสมดุลและ
หลักสัดส่วนของเคร่ืองแต่งกายใช้สีสันและลวดลายท่ีขัดแย้งกันจากผ้าขาวม้าและผ้าสีพื้นวางตัดต่อกัน ทำให้
เกดิ พ้นื ทบี่ นเครอ่ื งแต่งกายที่น่าสนใจ ผลงานการออกแบบนี้ยังไดส้ รา้ งประโยชน์หลายสว่ น คอื ช่วยสืบสานและ
อนุรักษ์ผ้าทอพ้ืนถ่ินของชุมชนให้คงอยู่ต่อไปสร้างการรับรู้ถึงการมีอยู่และคุณค่าของผ้าทอชุมชนให้เผยแพร่
ไปสู่วงกว้างมากข้ึน อีกท้ังสร้างรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์และเกิดการจดจำให้กับผู้บริโภคกลุ่มใหม่ สามารถ
นำมาสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน ท้ังยังสามารถเข้ากับกระแสแนวโน้มแฟช่ันท่ีเปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ซึ่ง
เป็นโอกาสในการสร้างงานและรายได้ให้กับคนในชุมชน รวมทั้งสร้างลักษณะเด่นจำเพาะให้กับผลิตภัณฑ์ของ
ชุมชนให้เกิดความแตกต่างจากสินค้าคู่แข่งจากชุมชนอื่น ๆ นอกเหนือจากนั้นกลุ่มชุมชนผ้าทอยังสามารถ
นำไปใช้เพือ่ เป็นแนวคดิ ตน้ แบบและพฒั นาตอ่ ยอดต่อไปในอนาคต
เอกสารอ้างองิ
นวลน้อยบุญวงษ์ . (2539). การออกแบบ . (พิมพค์ รั้งที่ 1). กรุงเทพ : สำนกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั
วัฒนะ จฑู ะวภิ าต. (2527). การออกแบบ.(พิมพ์ครงั้ ท่ี 1). กรุงเทพ:คณะครุ ุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
อารอบ เรืองสงั ข.์ สมั ภาษณ์, 6 พฤศจิกายน 2564.
Radice, B. (1994). Memphis: research, experiences, results, failures and successes of new
design (1st ed.). London :Thames and Hudson.
Tang, L. (2016). Discussion on the Aesthetic Style of “Memphis” Design. Proceedings of the
213
2016 International Conference on Arts, Design and Contemporary EducationTim
Nelson .(20 พฤษภาคม 2564). Turns Out Saint Laurent Is Also Obsessed With the
Memphis Design Group. (ออนไลน์) สืบคน้ เม่อื 15 ธนั วาคม 2564.
Taylah Brewer.90s Fashion for Men (How to Get the 1990’s Style. (ออนไลน์) สืบค้นเม่ือ 20
มกราคม 2565 จาก https://www.thetrendspotter.net/90s-fashion-men/
Thomas Hauffe. (1998). Design A Concise History (1st ed). London, :Laurence King Publishing
214
ลีลาวถิ ชี วี ติ
Style of life
ปัทมาสน์ พณิ นกุ ลู , PatamasPinnukul
คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ภูเก็ต
Faculty of Humanities and Social SciencesPhuket Rajabhat University
E-mail : [email protected]
บทคดั ย่อ
การสรา้ งสรรคผ์ ลงานศิลปกรรมมาประยุกต์กระบวนการสร้างสรรค์รปู แบบทัศนศิลป์ 2 มิติท่ีแสดงถึง
คุณค่าของสรรพสิ่งในธรรมชาติและวิถีชีวิตโดยอาศัยลักษณะทางสรีรวิทยาของพรรณไม้สรรพส่ิงในธรรมชาติ
วถิ ีชีวิตและทุกส่ิงทุกอย่างที่ขับเคลื่อนโดยระบบนิเวศเป็นกลไกท่ีถูกสร้างข้ึนเพื่อเป็นวัฏจักรธรรมชาติมาสู่แรง
บันดาลใจและเป็นที่มาของแนวความคิดเกิดการจินตนาการและมโนภาพท่ีซับซ้อนถึงเรื่องราว "การดำรงอยู่
ของวิถธี รรมชาติ" ผ่านรปู ทรงธรรมชาติจากภาพความจรงิ เป็นการสรา้ งสรรค์ผลงานของศลิ ปะดิจิทลั เพ้นท์
คำสำคญั : ธรรมชาติ, วิถชี วี ิต, ดจิ ติ อล
Abstract
A creation of a work of art applied to the 2D visual art creation process. The value of
all things in nature and the way of life, through the application of its physiological look of
species of flora, everything in nature and the way of life and everything else, that naturally
driven by the ecosystem with mechanism created to be a natural cycle that would lead to
inspiration and that could also be the source of concepts beyond imagination with
communicative complexity in order to tell the story of "Existence in the Natural Way of Life"
through the Natural shapes from real images is a creation of a work of art applied to the
digital painting
Keywords: Natural Way, Life, digital painting
1. ความสำคญั หรือความเปน็ มาของปัญหา
พื้นท่ีชุ่มน้ำเป็นแหล่งน้ำซ่ึงเป็นท่ีอยู่ของสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงหลายชนิดที่เป็นอาหารของมนุษย์พืช
และสัตว์บก-น้ำ นกนานาชนิด ส่วนใหญ่เป็นนกน้ำเป็นนกประจำถ่ินนกอพยพผ่านตามฤดูกาลเข้าไปใช้
ประโยชน์โดยตรง จึงมีความสำคัญ และนับได้ว่าเป็นระบบนิเวศท่ีมีคุณค่าต่อวิถีชีวิตมนุษย์ พืช และสัตว์ ทั้ง
ทางนิเวศวิทยา เศรษฐกจิ สังคม ระดับท้องถ่ิน และระดับชาติ (ฐปณี รัตนถาวร, 2545, น. 1) เป็นพื้นที่แหล่ง
215
เรียนรู้แห่งการศึกษาระบบนิเวศทางธรรมชาติพ้ืนถ่ิน และการอนุรักษ์เชิงท่องเท่ียวธรรมชาติทางเกษตรกรรม
การได้เห็นถึงวิถี ลีลาของหลากหลายนานาชนิดของนกน้ำที่ผูกพันกับสายน้ำ เปรียบเสมือนห่วงโซ่อาหารท่ีอยู่
ในภาวะสมดุล และเกือ้ กลู ซ่งึ กนั กลายเปน็ เอกลักษณ์ทางชาติธรรมเฉพาะพื้นถ่ินที่โดดเดน่
ด้วยความงามทางระบบวิถี ลีลาพฤติกรรมของนกน้ำตามธรรมชาติ รวมทั้งสรรพส่ิงแห่งชีวิต
กลายเป็นแรงบันดาลใจสู่แนวคิดทางศิลปกรรม นำไปสู่การพัฒนารูปแบบผลงานทางทัศนศิลป์ ดังที่ ศุภชัย สิงห์ยะ
บุศย์ (2546) อธิบายไว้ว่า ศิลปกรรมมิใช่ธรรมชาติ แต่ธรรมชาติอาจเป็นสิ่งกระตุ้นหรือแรงบันดาลใจในการ
สร้างศิลปกรรม หรือแสดงออกทางศิลปกรรมท่ีเก่ียวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ การรับรู้ชื่นชมทางความงาม
และส่ิงสำคัญต้องเข้าถึงธรรมชาติ รู้จกั ถา่ ยทอดแรงบันดาลใจทเี่ กิดจากธรรมชาติใหเ้ ห็นเปน็ รูปทรงที่มเี รื่องราว
ถูกต้องตามความเป็นจริงเท่าท่ีความงามตามธรรมชาติจะอำนวย อย่างไรก็ตาม การเลียนแบบธรรมชาติมี
ความหมายเพียงว่าศิลปินต้องพยายามเสาะหาความจริง (Reality) จากความงามที่กระจายซ่อนเร้นอยู่ใน
ธรรมชาติ และรู้จกั เลือกแสดงออกเฉพาะส่วนที่ศิลปนิ เหน็ ว่าธรรมชาตมิ ีความสำคัญแก่ตนให้เป็นรปู ทรงเท่าน้ัน
จากข้อมูลข้างต้นจึงเป็นแรงบันดาลใจทำให้ผู้สร้างสรรค์ นำมาประยุกต์เป็นรูปลักษณ์ และนำมา
ถ่ายทอดสู่ผลงานภาษาภาพทางทัศนศิลป์ด้วยกระบวนการสร้างสรรค์ในรูปแบบจิตรกรรม 2 มิติ นำไป
ประยุกต์ต่อยอดการพฒั นาองค์ความร้ใู นการสร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ท่ีมคี ุณคา่ ทางสนุ ทรยี ะ
2. แนวคดิ /ทฤษฎที ีเ่ กี่ยวข้อง
ทรรศนะในสุนทรีย์หรือความงามกำจร สุนพงษ์ศรี (2559,น. 99)กล่าวถึง ความงามที่มีลักษณะเป็น
สุนทรียภาพ (Aesthetic Beauty)ซงึ่ เพลโต (Plato) ให้ทรรศนะทางความงาม (สุนทรียภาพ) ว่า ท่แี ท้จริงทุก
สิ่งบนโลกนี้ไม่ใช่วัตถุความจริงน้ีเรียกว่ามโนภาพ (Idea) หรือแบบ (Form) เป็นความจริง และสำคัญเท่าโลก
ทางวัตถุ หากแต่อยู่ในโลกแห่งมโนคติ/มโนภาพ ซึ่งเป็นความงามนริ ันดร์ หรือสุนทรียภาพอนั สมบูรณ์อยู่ในตัว
ศิลปินมีหน้าท่ีในการแสดงออก การลอกเลียนแบบเพ่ือถ่ายทอดสุนทรียะเชิงนามธรรมให้อยู่ในของรูปธรรม
ในขณะท่ีทรรศนะของ อริสโตเติล (Aristotle) เชื่อว่าสุนทรียภาพท่ีแท้จริงน้ันมีอยู่แต่ในมโนภาพ เพียงแต่
ศิลปินเป็นผู้สามารถค้นพบความงาม และทำให้บังเกิดขึ้นได้ด้วยการนำสัดส่วนต่าง ๆ ของ “สุนทรียธาตุ”มา
ประกอบกันผสมผสานให้บังเกิดสุนทรียะได้ศุภชัยสิงห์ยะบุศย์ (2560, น. 35 - 45) อธิบายองค์ประกอบที่
เกยี่ วข้องกบั ความงามได้ 2 สว่ นคอื อารมณ์ทางความงามกบั วตั ถทุ างความงามหรืออารมณ์ทางสุนทรียะกับวตั ถุ
ทางสุนทรียะโดยกล่าวว่าความงามเป็นอาการทางอารมณ์ประเภทหน่ึงท่ีเกิดข้ึนเมื่อได้สัมผัสกับปรากฏการณ์
ศลิ ปะและ/หรือธรรมชาติท่ีสง่ ผลให้เกิดความรู้สึกถึงความเพลิดเพลินยินดีจากการสัมผัสกับปรากฏการณต์ ่างๆ
ด้วยประสาทสัมผัสทางการเห็นหรือได้ยินหรือผ่านสัญลักษณ์ทางภาษาและไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์เชิงวัตถุ
หรือพฤติกรรมการแสดงออกและไม่ว่าสิ่งน้ันจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือประสบการณ์อันเกิดจาก
การกระทําของมนุษย์/ส่ิงมีชีวิต เราย่อมเกิดอารมณ์แตกต่างกันเช่นโกรธเกลียดรําคาญยินดีเพลิ ดเพลินพึง
พอใจเป็นต้นจึงเรียกว่าอารมณ์สุนทรียะหรืออารมณ์ทางความงามและหากวัตถุหรือการแสดงออกใดๆอัน
ก่อให้เกิดอารมณ์ทางสุนทรียะแก่เราได้ส่ิงน้ันวัตถุนั้นหรือพฤติกรรมน้ันหรือปรากฏการณ์น้ันเรียกว่าเป็นวัตถุ
216
ทางสุนทรียะหรือวัตถทุ างความงามซึ่งสุนทรียะเป็นสาระในมิติของความคิดท่ีเกี่ยวกับความรู้สึกของการรับรู้ท่ี
จะนำไปสู่ความรู้สึกความเขา้ ใจในเหตผุ ลครอบคลมุ กระบวนการสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะเฉพาะของแต่ละความคิด
ดังน้ันการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเปรียบได้กับ “วัตถุ”ทางผลงานช้ินหนึ่งในมิติของวัตถุศิลปะซ่ึงจะ
ประกอบด้วยรูปแบบศิลปะ(Art Style)เน้ือหาศิลปะ (Art Content) และเทคนิคหรือกลวิธีศิลปะ (Art
Technique) เพ่ือทำความเข้าใจในการวิเคราะห์ผลงานรูปแบบศิลปะเนื้อหาศิลปะและกลวิธีอันเป็นพื้นฐาน
เพื่อสร้างความเข้าใจและการอธิบายกระบวนการสร้างสรรค์วัตถุศิลปะซึ่งมีแนวคิดและทฤษฎีด้านคุณค่า
สุนทรยี ะเข้ามาเกย่ี วข้อง
3. กระบวนการในการสร้างสรรค์
การเก็บข้อมูลและการรวบรวมข้อมูลมีส่วนสำคัญต่อการสร้างสรรค์ผลงานกระบวนการทางความคิด
ในรปู แบบศลิ ปะโดยผู้สรา้ งสรรค์ได้แบง่ วิธีการเก็บขอ้ มูลและรวบรวมเน้ือหาเพอื่ นำมาสรา้ งสรรค์ผลงานดังนี้
3.1 การเกบ็ ข้อมลู โดยการถ่ายภาพ
เก็บข้อมูลจากสภาพความเป็นจริงท่ีสัมผัสจากการลงพื้นท่ีชุ่มน้ำโดยบันทึกเป็นภาพถ่ายทุก
กระบวนการต้ังแต่บริบททางธรรมชาติอันเป็นผลผลิตจากพ้ืนที่ชุ่มน้ำเป็นแหล่งทำการประมงที่อุดมสมบูรณ์
การเปล่ียน แปล งความสมดุล ทางภูมิทัศน์ และวิถีชีวิต ของสรรพสิ่งที่มีชีวิตต่างๆน ำมาสู่กระบวน การทาง
ความคิดและสร้างสรรคผ์ ลงานศลิ ปะทางรปู ธรรม
3.2 การเก็บข้อมูลโดยการบนั ทึกภาพร่างหรือลายเส้น
นำข้อมูลจากการลงพ้ืนที่ชุ่มน้ำท่ีพบเห็นเชิงรูปธรรมมาแปรถอดรูปสญั ญะทางรปู ทรงดา้ นเนอื้ หา
เร่ืองราวสู่แนวคิดที่สอดคล้องกับประเด็นการศึกษาด้วยการทำแบบภาพร่างรูปทรงจากภาพความจริงผ่าน
อารมณค์ วามร้สู ึกลีลา นำมาสกู่ ระบวนการสร้างสรรค์ตามลีลา วถิ ีของนกน้ำในพื้นท่ีจินตนาการบนสายน้ำเป็น
กลไกท่ีสร้างข้ึนเพ่ือเป็นวัฏจักรธรรมชาติความอุดมสมบูรณ์นำรูปแบบท่ีได้จากภาพร่างลดทอนรูปร่างรูปทรง
ตามภาพจินตนาการแสดงออกผ่านกระบวนการขั้นตอนและกลวิธีในรูปแบบของจิตรกรรม 2 มิติโดยยึดหลัก
องค์ประกอบศลิ ปแ์ ละทัศนธาตุทางศิลปะ
3.3 การสร้างพื้นสใี หเ้ กิดลวดลายท่ีทับซอ้ นให้ชดั เจนขึ้นนำไปสู่การสร้างเร่อื งราวเน้ือหาและกดทับให้
รูปทรงเส้นสีเกิดมิติที่ซับซ้อนของลวดลายท่ีผสมผสานตามสุนทรียธาตุในการสร้างสรรค์ผลงานได้แสดงถึง
สารัตถะวิถีธรรมชาติท่ีสะท้อนสุนทรีย์บนพ้ืนท่ีชุ่มน้ำผ่านมุมมองความเป็นภูมิทัศน์ทางธรรมชาติท่ีแปรสภาพ
ห้วงความเป็นจริงและภาพเจตคติผนวกตามรูปร่างรูปทรงท่ีลดทอนบิดเบือน ผ่านการใช้คอมพิวเตอร์ใน
โปรแกรมClip Studio Paint ในการสร้างรูปแบบจิตรกรรมเทคนิคสื่อดิจิทัล (Digital Paint) และเพ่ิมความ
เป็นรว่ มสมัย
217
ภาพที่ 1 Style of life
ทีม่ า : ปัทมาสน์ พณิ นุกูล
4. การวิเคราะหผ์ ลงาน
พื้นที่ชุ่มน้ำได้สะท้อนให้เห็นถึง “ลีลา ชีวิตของนกน้ำ” ที่มีกลไกธรรมชาติที่แอบแฝงด้วยปัจจัย
เงื่อนไขซึ่งถูกกำหนดในห้วงของธรรมชาติที่เก็บซ่อนความงาม ความธรรมดาสามัญอยู่รอบ ๆ วิถี
ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิทัศน์ทางธรรมชาติกับประชากรสิ่งมีชีวิตต่อสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ จึง
กลายเป็นนิเวศวิทยาวัฒนธรรม (Cultural ecology) ส่ิงเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจ และ
แนวความคิดในการสรา้ งสรรค์ผลงาน จนนำไปสู่กระบวนการสรรค์สรา้ งผลงานศิลปกรรม เทคนิค และวิธีการ
ที่ทับซ้อน ด้วยหลักการทางทฤษฎีศิลป์ การแสดงรูปลักษณ์ทางศิลปธาตุ (Art Elements) และหลักการจัดภาพ
องค์ประกอบศิลป์ (Principles of Composition)ลกั ษณะ 2 มติ ิ
การสร้างสรรค์ได้แสดงถงึ ทางความคดิ ท่ีสะทอ้ นทางสุนทรยี ศลิ ป์ “พื้นท่ชี ุ่มน้ำ”เป็นบ่อเกิดแห่งสรรพ
สิ่งชีวิตในมิติปรากฏการณ์ที่มองเห็นถึงวิถี การดำรงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกัน ที่มีการ
ปรับเปลี่ยนหมุนเวียนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแสดงถึงสัจธรรมเชิงตรรกะอันเป็น “แก่น” ความจริงเชิง
นามธรรมที่ปรากฏอยู่บนพื้นฐาน โดยอาศัยภาพแทนความหมายเชิงรูปลักษณ์ผ่านรูปทรงสรีระ ลีลาชีวิต
ของนกน้ำ และการดำรงวิถีชีวิตร่วมกันอย่างเกื้อกูล
นกน้ำแทนค่าความหมายนกที่มกี ารดำรงชีวิตทเ่ี กยี่ วข้องสัมพันธก์ ับแหล่งน้ำอย่างมีอิสรภาพ
บัว/ใบบัว นานาชนิด แทนค่าความหมายความดีงามทางจริยศาสตร์ในเชิงพุทธศาสนา และเป็น
ภาพแทนความหมายสายใยแห่งผืนน้ำท่ีเกาะกลุ่มเช่ือมสัมพันธ์กันอย่างงดงาม
โครงสร้างรูปร่างรูปทรงทำหน้าท่ีเล่าเน้ือหาหรือเล่าเรื่องดังที่ชะลูดน่ิมเสมอ (2559, น. 269) ได้
กล่าวถึง รูปทรงอินทรียรูป (Organic form) ท่ีเกิดข้ึนในผลงานช้ินน้ีเป็นรูปร่างรูปทรงของสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้น
จากภาพความเป็นจริง (Realistic Form) ตามธรรมชาติแต่มีการเลียนแบบเสมือนจริงท่ีแทนความหมายผสม
218
รปู ทรงท่ีลดทอนให้เหลอื แคบ่ างส่วนท่ีสำคัญเชน่ รูปร่างรูปทรงดอกบัวใบบัวที่มีลกั ษณะลดทอนรูปทรงให้เหลือ
เพียงลายเส้นแทนภาพความรู้สึกท่ีสะท้อนทางเส้นรูปโครงสร้างท่ีทับซ้อนของรูปร่างรูปทรงเพื่อเช่ือมโยงให้
สัมพันธ์สอดคล้องเส้นชีวิตความเป็นจริงภาวะที่มีอยู่จริงภาวะท่ีเป็นอย่างน้ันแน่แท้เป็นบ่อเกิดการกำเนิด
เปล่ี ย น แปล งการดำรงชีพที่ อยู่ ภ าย ใต้ระบ บนิ เวศวิท ย ารูปท รงมิติให ม่ที่ถ่ายท อดด้าน สุ น ท รีย์ /ความงาม
(Beauty) นกน้ำนานาชนิดท่ีเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญเป็นตัวแทนท่ีแสดงถึงการดำรงอยู่คู่กับพื้นท่ีแหล่งชุ่มน้ำ
ในการใช้ชีวิตท่ีอิสระซึ่งมีท่าทางลีลาของการเคล่ือนไหวอันเป็นพลวัตของพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆผนึก
รวมตัวที่หมุนเวียนเปล่ียนผ่านตลอดเวลาและรวมถึงรูปทรงอิสระ (Free form)ท่ีปล่อยไปตามการ
เปลี่ยนแปลงการลดทอนลวดลายสายน้ำรูปแบบผันแปรตามความรู้สึกจินตนาการที่เคล่ือนไหวหมุนเวียนอัน
สะท้อนถงึ เส้นสกี ารขบั เคลอื่ นตามวิถีของสายน้ำ
5. สรปุ
การม องผ่ าน พ้ื น ท่ี ชุ่ มน้ ำท่ี เป็ น แห ล่ งท่ อ งเท่ี ย ว ท างภู มิ ทั ศ น์ ธร ร มช าติ ท างสั งคม วิ ถีส่ิ งมีชี วิ ต ต าม
ธรรมชาติที่แฝงด้วยคุณค่า และความเรียนรู้จากวิถีการดำเนินชีวิตอันดีงาม สะท้อนให้เห็นอารยธรรมของ
ท้องถ่ินท่ีทรงคุณค่า และมีลักษณะเด่นเป็นอัตลักษณ์ จึงถือเป็นทรัพยากรการท่องเที่ยวท่ีสวยงาม ซ่ึงในการ
สร้างสรรค์ผลงานได้ถ่ายทอดวิถีธรรมชาติภาพจริงที่สะท้อนความงามบนพื้นท่ีชุ่มน้ำให้ได้อรรถรส ลีลา
พฤติกรรมของนกน้ำท่ีสื่อ“ลีลาวิถีชีวิต”ผ่านรูปทรงทางศิลปะ ในมิติมุมมองภาพความจริงและภาพความรู้สึก
ในรูปแบบจิตรกรรมเทคนิคสื่อดิจิทัล (Digital Paint) เพ่ิมความร่วมสมัย มาปรับประยุกต์ใช้สู่ผลงานศิลปะ
ภาษาภาพทางทัศนศิลป์ และเพื่อเป็นประโยชน์กับการศึกษาค้นคว้า และนำไปประยุกต์ต่อการพัฒนาองค์
ความรู้ในการสร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ท่ีมคี ณุ ค่าทางสนุ ทรียะ
เอกสารอา้ งอิง
กำจร สุนพงษ์ศรี. (2559). สุนทรียศาสตร์ หลักปรัชญาศิลปะ ทฤษฎีทัศนศิลป์ ศิลปวิจารณ์. กรุงเทพฯ:
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
ชลดู นิ่มเสมอ. (2559). องค์ประกอบของศิลปะ. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทร์.
ฐปณี รัตนถาวร. (2545). แนวทางการพัฒนาพ้ืนท่ีเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเล
น้อย จังหวัดพัทลุง. วิทยานิพนธ์สาขาวิชาสถาปัตยกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณ
ทหารลาดกระบงั .
ศุภชัยสิงห์ยะบุศย์. (2560). สุนทรียศาสตร์.มหาสารคาม: สาขาทัศนศิลป์คณะศิลปกรรมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
219
มติ แิ หง่ ความสงบรม่ เย็น
Dimension of peaceful
พงศกร ฉ่งิ กงั วานชัย, Pongskorn Chingkunvanchai
315/2 พหลโยธิน 44 แยก 11 ถนนพหลโยธิน แขวงเสนานคิ ม เขตจตุจักร กรงุ เทพมหานคร
315/2 Phahonyothin 44 Lane, Phahonyothin Road, Senanikom Sub-district,
Chatuchak district, Bangkok, 10900
E-mail : [email protected]
บทคัดยอ่
ธรรมชาติเป็นพลังอันย่ิงใหญ่ ที่สร้างสรรค์ความงามก่อให้เกิดความสุนทรีย์ ที่ผ่านการรับรู้ของมนุษย์
ในรูปแบบอันเป็นรูปธรรม ได้แก่ ต้นไม้ ต้นหญ้า อากาศ น้ำ ผืนป่า ภูเขา ท้องฟ้า แม่น้ำ พื้นดิน เป็นต้น
ในธรรมชาติล้วนมีความงดงามซ่อนอยู่ มีปฏิกิริยาและกระบวนการ ก่อให้เกิดความงามอันล้ำลึก บริสุทธิ์ การ
เคล่ือนไหวของธรรมชาติ สายลม แสงแดด ผ่านกาลเวลาไปอย่างไม่มีท่ีสิ้นสุด เม่ือข้าพเจ้าได้สัมผัส ก่อให้เกิด
การสมั ผัส ทางรปู กล่นิ คลื่น เสยี ง สี บรรยากาศ เป็นความประทบั ใจท่ีถกู บันทกึ โดยผ่านการรับรู้ และนำไปสู่
จังหวะลีลา การเคลื่อนไหว ไปสู่ความสงบร่มเย็น แล้วหวนกลับไปสู่ความเคล่ือนไหว แปรเปล่ียนอีกคร้ังเป็น
วัฏจักร ส่ังสมเป็นประสบการณ์ จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจและผลักดันให้ค้นคว้า ทดลอง วิเคราะห์ และ
บนั ทึก โดยกระบวนการสร้างสรรคท์ างจิตรกรรมทิวทัศน์เทคนิคสีนำ้
Abstract
Nature is an immense force that brings about beauty and consequent aesthetics
concretely perceived by human in a variety of forms: trees, grasses, air, water, forests,
mountains, sky, rivers, and land, just to name a few. Nature itself retains hidden yet
profound and refined beauty through ongoing reactions and processes. Wind and sunlight,
as a part of such natural movement, infinitely progresses through time. Experienced
physically, audibly, aurally, or even through smells, waves, colors, and inviting atmosphere,
my impression is substantially enhanced. Eventually, it leads to a better understanding of
interconnected rhythms and movements, juxtaposing with serenity, repeatedly in an eternal
cycle of natural transformation. Accumulative experience then forcefully ignites inspiration
and encouragement to research, experiment, analyze and portray ideas vividly, executed by
a creative painting Watercolour process.
220
1. ความสำคญั หรือความเป็นมาของปัญหา
จากความประทับใจในธรรมชาติที่มีความงดงามอันบริสุทธ์ท่ีมีพลังงานอันล้ำลึก เป็นจุดริเริ่มของ
ความคิด และเชื่อมโยงไปสู่ความรู้สึกอยากเป็นส่วนหน่ึงของธรรมชาติท่ีกว้างใหญ่เหล่าน้ี ซ่ึงข้าพเจ้ารักอิสระ
รักความสงบ และภาพสะท้อนภายในจิตใจของข้าพเจ้า จึงก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการนำเสนอเร่ืองราว
ท่ีเรียบง่ายจากสถานท่ีจริง แต่สอดแทรกอารมณ์ ความรู้สึก ความสะเทือนต่ออารมณ์และความรู้สึกจิตใต้
สำนกึ เปน็ ปจั จยั หลกั ในการสร้างสรรคผ์ ลงานในรูปแบบงานจิตรกรรมสีนำ้
ข้าพเจ้าปรารถนาสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงถึงความงามของธรรมชาติจากสถานท่ีจริง ผ่าน
ประสบการณ์การรับรู้อย่างมีสุนทรียะ เพ่ือถ่ายทอดการพรรณาถึงธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ทางทัศนียภาพ
อันเกดิ จาก เส้น สี รปู ทรง พลังทางอารมณ์ ความร้สู ึกทเี่ ปน็ อสิ ระ
2. แนวคดิ / ทฤษฎีที่เกย่ี วข้อง
ข้าพเจา้ ต้องการแสดงออกถึงภาพความประทบั ใจ ความงามและ สุนทรยี ภาพจากธรรมชาติ ที่มีความ
แตกต่างแต่กลมกลืน การอย่รู ่วมกันระหว่างมนษุ ย์และธรรมชาติเป็นหน่ึงเดียวกัน ท่ีมีการสรรคส์ ร้างความงาม
ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกภายในและการรับรู้ ภายนอกของข้าพเจ้า ธรรมชาติมีรูปทรง โครงสร้าง การ
ประกอบกันของทุกสรรพสิ่งล้วนมาจากทัศนธาตุทางธรรมชาติผสานโยงใยน่าค้นหา ล้ำลึก มีความบริสุทธเ์ิ ป็น
อนันต์ การผ่านกาลเวลาไปอย่างไม่มีทสี่ นิ้ สุด เช่น การเคล่ือนไหว ผสานกลมกลืนในรูปแบบรปู ธรรม ท่เี กิดจาก
ทัศนธาตุทางศิลปะลดทอนให้เหลือเพียงความเรียบง่าย ความสงบ และอิสระ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก
ทีก่ ่อให้เกิดความงามทางสนุ ทรยี ภาพ
3. กระบวนการในการสรา้ งสรรค์
ภาพที่ 1 การจัดทำแบบรา่ ง โดยเปน็ การขนึ้ โครงสร้างแบบเรขาคณติ เพือ่ กำหนดตำแหนง่ องค์ประกอบศลิ ป์ในการเขยี นภาพ
ทวิ ทศั น์ด้วยการลงสีบรรยากาศโดยภาพรวม ตั้งแตพ่ นื้ ฉากหลังด้วยการระบายแบบเปยี กบนเปยี ก และลงสีจากดา้ นหนา้
221
4. การวิเคราะห์ผลงาน
จากการที่ได้ศึกษาแหล่งข้อมูลท่ีสำคัญ เช่น การอ่านหนังสือภาพประกอบสารคดี และประสบการณ์
จากการรับรู้ สัมผัสจากสถานท่ีจริง จึงก่อให้เกิด สี กล่ิน รูปทรง บรรยากาศ การเคลื่อนไหว และพ้ืนผิวส่ิงที่
ธรรมชาติสร้างขึ้นและมนุษย์สรรสร้างข้ึนมาเพ่ือใช้เป็นพ้ืนท่ีสาธารณะ ประสบการณ์การเดินทางเป็นสิ่งที่
สำคัญของข้อมูลในการนำมาสร้างสรรค์ผลงาน เดินทาง เพ่ือซึมซับความงามของสภาพความเป็นจริงของ
ทิวทัศน์บรรยากาศช่วงเวลาหน่ึงที่เป็นความประทับใจการปรากฏและเกิดข้ึนจากปฏิกิริยาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
องค์ประกอบหลายๆ ส่วนมารวมตัวกันกลายเป็นบรรยากาศในบริเวณว่างในโลกที่เป็น 3 มิติท่ีแสดงความยาว
ความลึกความกว้าง ข้อมูลสร้างแรงบันดาลใจที่นำมาผ่านกระบวนการสร้างสรรค์เป็นรูปแบบ เพ่ือแสดง
ความคิดความเข้าใจ กระตุ้นความรู้สึกของคนรับ อันเกิดจากการความรู้สึกภายในของศิลปินต่อไปยังผู้รับ
กระตุ้นจินตนาการของผู้รับร่วมกับข้าพเจ้าท่ีแสดงออกอย่างนุ่มนวล ซึ่งใช้หลักสุนทรียภาพในการมองหลัก
ทศั นธาตุและหลกั องคป์ ระกอบศลิ ป์เปน็ หัวใจสำคัญ
ด้านรูปแบบของงาน มีการลดทอนความจำเป็นของรูปทรงจากธรรมชาติ ทิวทัศน์ ภาพรวมมุมกว้าง
เพ่ือให้เกิดความสมดุลโดยใช้สีน้ำ สร้างให้เกิดอารมณ์ความรู้สึก คุณสมบัติของสีน้ำเหมือนน้ำ สายฝนและ
สายลมท่ีตกลงมาจากช้ันบรรยากาศ การประสานกันของสีให้เกิดบรรยากาศและความบางเบาด้วยจังหวะ
การใช้เทคนิคแบบฉับพลนั
ด้านองค์ประกอบศิลป์ ในการสร้างมิติของภาพทิวทัศน์จากธรรมชาติ มีความสำคัญในประเภทงาน
จิตรกรรม 2 มิติ มวลของสีและชั้นของสีจะเป็นการนำสายตาไปสู่จุดต่าง ๆ จุด เส้น พื้นผิว (Element) สร้าง
ให้เกิดการเคล่ือนไหว มุ่งเน้นด้วยน้ำหนักและแสงเงา เน้นการสร้างระยะใกล้ไกล สภาวะอารมณ์ที่กลั่นกรอง
ออกมา คือ แสงที่กำลังจะหมดลงในเวลาเย็นไปพร้อมไปฟ้าครึ้มท่ีจวนฝนจะตกลงมา มีการแทรกสีคู่ตรงข้าม
ร่วมกับสีเหลืองในส่วนของสีสว่าง ทำให้เกิดความสดใส มีชีวิตชีวา ร่วมไปกับรู้สึกถึงความหวัง ในส่วนของ
ภาพรวม ส่วนมากจะใช้สมี ่วง สนี ้ำเงิน สีเขียว สฟี ้า ทับซ้อนกันเปน็ บรรยากาศ ทำใหภ้ าพรวมมีความกลมกลืน
และเกิดเอกภาพในวรรณะเยน็
5. สรปุ
ความงามท่ีเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ปรากฏเกิดข้ึนปราศจากฝมือมนุษยมีสุนทรียภาพทางอารมณที่
สงผลตอการสัมผัสกับรับรูโดยตรงตอขาพเจา ความเขาใจเหลาน้ันเนนแรงบันดาลใจใหเกิดการสรางสรรค
ผลงานช้ินนี้ข้นึ มา อิทธพิ ลที่ไดรบั ในงานศิลปกรรมในยุคตางๆ วิเคราะห์ความคดิ การเช่อื มโยงของทกุ สิ่งรอบตัว
มาใชเปนพื้นฐานของความสนใจหลักในตัวตน เดนิ ทางเกบ็ เก่ยี วประสบการณเริ่มตนของการคิดตอในการสราง
สรรคผลงานชิ้นน้ี
ทงั้ น้ี การสรางสรรคผลงานจิตรกรรมสีน้ำทิวทศั น์ชิ้นน้ีไดสรุปกระบวนการทํางาน และแนวคิดใหสอด
คลองกับเนื้อหามีจุดเช่ือมโยงกันกลายเปนรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ มีเสน่ห์ที่แสดงบุคลิก อุปนิสัย และตัวตนที่มี
ลักษณะเฉพาะตัวของข้าพเจ้าโดยใช้ขอมูล ความคิด ประสบการณ์ กระบวนการวิเคราะหปญหาและพัฒนา
222
ผลงาน เพ่ือใหตรงตามจุดมุงหมายและเปนประโยชนแกผูศึกษาคนควาและตัวของขาพเจาในการสรางสรรค
และพฒั นาตอไปในอนาคต
เอกสารอา้ งองิ
กาํ จร สุนพงษศรี, สุนทรียศาสตร.กรงุ เทพฯ: บรษิ ัททวี พร้นิ ท์, 1991.
ชลูด นม่ิ เสมอ, องคป์ ระกอบของศิลปะ, พมิ พค์ รงั้ ท่ี 5 (กรุงเทพฯ:ไทยวัฒนาพานิช,2542),308-30.
วีรวรรณ มณี. ภาพวิวทิวทัศน์ในจิตรกรรมตะวันตก. ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี
มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. 2538.
อทิ ธพิ ล ต้งั โฉลก, แนวทางการสอนและสร้างสรรค์จติ รกรรมขนั้ สงู ,16.
223
ชุดการเรียนรู้ “ถอดรหสั ฮูปแต้มสกู่ ารออกแบบผลิตภัณฑ์”
Decrypting Esan Mural Paintings to Product Design
พชร วงชัยวรรณ์, Pachara Wongchaiwan
อนิ ทริ า พรมพันธุ์, Intira Phrompan
สาขาวิชาศลิ ปศกึ ษาคณะครุศาสตรจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย เขตปทุมวันกรงุ เทพมหานคร 10330
Faculty of Education, Chulalongkorn University, Pathum Wan, Krung ThepMaha Nakhon, 10330
E-mail : [email protected]
บทคัดยอ่
ชดุ การเรียนรู้“ถอดรหัสฮูปแต้มสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์” มีวัตถุประสงค์1) เพ่ือส่งเสริมให้เยาวชนมี
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอัตลักษณ์ฮูปแต้มในจังหวัดขอนแก่น2)เพื่อพัฒนาชุดการเรียนรู้ฮูปแต้มขอนแก่น
สำหรับเยาวชนในยุควิถีใหม่โดยมีวิธีดำเนินการศึกษาแบ่งออกเป็น3ระยะดังน้ีระยะท่ี1 ศึกษาสภาพปัญหา
เก่ียวกับการจัดกิจกรรมเก่ียวกับฮูปแต้มและการลงพื้นที่ศึกษาระยะที่2ร่างต้นแบบและพัฒนาชุดการเรียนรู้
รว่ มกับผู้เชยี่ วชาญและระยะที่3ศึกษาทดลองใช้ชุดการเรยี นรู้กบั กลุ่มเป้าหมายและปรับปรงุ แก้ไขขอบเขตของ
การศึกษาฮูปแต้มในการสร้างสรรค์ผลงานคือฮูปแต้มกลุ่มพื้นบ้านในจังหวัดขอนแก่น 4 สถานที่ดังน้ี 1)วัด
ไชยศรี 2) วัดสนวนวารีพัฒนาราม 3) วัดมัชฌิมวิทยาราม และ 4) วัดสระบัวแก้วจากผลการศึกษาได้นำมาสู่
การออกแบบชุดการเรียนรูใ้ นลักษณะชุดกิจกรรมแบบ Box set หรือชดุ Kits ที่ประกอบด้วย 1) สอ่ื ให้ความรู้
เกี่ยวกับฮูปแต้มไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์เกมออนไลน์คู่มือการเรียนรู้หนังสือให้ความรู้และแผนที่เส้นทางการ
เรียนรู้ฮูปแต้มARและ2)ชุดกิจกรรมปฏิบัติแผ่นอะคริลิคลอกลายฮูปแต้มซ่ึงการพัฒนาชุดนวัตกรรมการเรียนรู้
แบบผสมผสานน้ีเป็นการหยิบยกทุนวัฒนธรรมอีสานมาประยุกต์ออกแบบชุดการเรียนรู้ทำให้เยาวชนได้เกิด
การเรียนรู้เก่ียวกับศิลปะท้องถิ่นในรูปแบบใหม่อย่างมีปฏิสัมพันธ์ผ่านแนวคิด Play&Learn และสามารถนำ
อตั ลกั ษณ์ของฮูปแต้มไปประยุกต์ใช้ออกแบบผลติ ภณั ฑห์ รือสร้างสรรค์ผลงานในรปู แบบอน่ื ๆ ต่อไป
คำสำคัญ: ฮปู แตม้ อสี าน, การออกแบบผลติ ภัณฑ์, ชุดการเรียนรู้
Abstract
The objectives of learning kit “Decrypting Esan Mural Paintings to Product Design” are
1) To encourage youth to have knowledge about identity of Esan Mural Paintings in
KhonKaen province. 2) to develop learning kit of Esan Mural Paintings in KhonKaen province
for youth in new era. The study method was divided into three phases: Phase 1 studied the
problem of art activities about Esan Mural Paintings and study in community area. Phase 2
sketch and develop learning kit with expert. And phase 3 experimented with a learning
package with target groups and improve learning kit. The scope of study is traditional isan
224
mural paintings in Khonkaen province 4 places as follows: Wat Chai Sri, Wat SanuanwareePatanaram,
Wat MatchimWitthayaram and Wat Sa Bua Kaeo. The results of the study, it led to the
design of a learning kit in the form of a Box set or Kits that consisted of 1) Media to educate
about Esan Mural Paintings such as Game online, Learning guide, Book and Learning trails
map AR. 2) Acrylic activities set The development blended learning package is the
application of Isan cultural capital to design learning kits for youth. The youth can learn
about folk art by Play&Learn theory and use identity of Esan Mural Paintings to design
product or creative art by themselves.
Keywords: Esan Mural Paintings, Product Design, Learning Kit
1. ความสำคญั หรือความเป็นมาของปญั หา
ความหลากหลายของทุนทางวฒั นธรรมไทยสามารถนำมาตอ่ ยอดสู่การออกแบบสรา้ งสรรคน์ วตั กรรม
และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์สินค้าและบรกิ ารในระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์“ฮูปแต้ม” หรือจติ รกรรมฝาผนัง
ในภาคอีสานเป็นหน่ึงในทุนทางวัฒนธรรมของชาวอีสานที่เปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ที่สามารถสะท้อน
ถึงอัตลักษณ์ในด้านคติความเช่ือประเพณีวัฒนธรรมตลอดจนวิถีชีวิตของชาวอีสาน (ชิงชัยศิริธร, 2562) โดย
จังหวัดขอนแก่นได้ปรากฏพบฮูปแต้มพื้นบ้านที่ยังคงอัตลักษณ์ความงดงามของลักษณะทางทัศนศิลป์
เนื้อหาด้านวรรณกรรมและวิถีชีวิตแต่อย่างไรก็ดีในปัจจุบันฮูปแต้มได้เผชิญกับสภาพปัญหาความเสื่อมโทรม
ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ท้ังสภาพปัญหาจากทางธรรมชาติความทรุดโทรมตามอายุไขตลอดจนการปล่อยปละละเลย
ของมนุษย์ (ศุภชัยสิงห์ยะบุศย์, 2561) จึงควรหาแนวทางส่งเสริมการเรียนรู้ให้เยาวชนเกิดความตระหนักเห็น
คณุ คา่ ภาคภูมใิ จในศลิ ปะทอ้ งถิน่ และเหน็ แนวทางในการนำทนุ วัฒนธรรมท้องถน่ิ อย่างฮปู แต้มไปพัฒนาต่อยอด
สกู่ ารออกแบบผลติ ภัณฑส์ ินคา้ และบรกิ ารในรปู แบบตา่ ง ๆ
ปัจจุบันมีกระแสการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมเกิดการทอดทิ้งวัฒนธรรมดั้งเดิมเพ่ือเข้าหา
ทนุ นิยมความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีตลอดจนคา่ นิยมที่คิดว่าศิลปะพ้ืนบ้านเชยปัจจยั ต่าง ๆ ท่ีกล่าวมานี้
ส่งผลทำให้ศิลปะพื้นบ้านมีคุณค่าลดลง (วัฒนะจูฑะวิภาต, 2552) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่าง
เยาวชนและศิลปะพื้นบ้านนอกจากนี้ในด้านของส่ือหรืออุปกรณ์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะในท้องถิ่น
ยังขาดความหลากหลายมีลักษณะรูปแบบหรือกิจกรรมที่ไม่สามารถกระตุ้นความสนใจได้เท่าที่ควรจาก
การศกึ ษาแนวทางการจัดการแหล่งการเรียนรู้ทางด้านศลิ ปะและประวตั ศิ าสตร์หรือพิพธิ ภัณฑ์ตา่ ง ๆ พบว่าใน
ต่างประเทศได้ให้ความสำคัญกับแหล่งการเรียนรู้ทางศิลปะเป็นอย่างมากทั้งในด้านของส่ือหรือกิจกรรมการ
เรียนรู้ พิพิธภัณฑ์ทางด้านศิลปะหลายแห่งมีการออกแบบกิจกรรมและการนำชมให้มีรูปแบบผสมผสาน
(Hybrid learning) และยืดหยุ่นต่อการเรียนรู้ในสภาวะการณ์ COVID-19 ซึ่งเป็นยุคของการใช้ชีวิตวิถีใหม่
ยกตัวอย่าง
225
เช่นBritish Museumได้ออกแบบกิจกรรมMuseumexplorer trailsการสำรวจเส้นทางสายประวัติศาสตร์
ผ่านการทำภารกิจต่าง ๆ ที่มีการกำหนดช่วงอายุที่เหมาะสมสามารถเรียนรู้ได้ในรูปแบบออนไลน์หรือ
ดาวน์โหลดเอกสารเพ่ือใช้เป็นคู่มือประกอบการเรียนรู้ในพ้ืนที่นอกจากน้ียังมีการจัดกิจกรรม Workshop
ออนไลนใ์ ห้ผู้ทส่ี นใจเรยี นรู้สามารถปฏิบัตกิ ิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรคไ์ ดท้ ่ีบ้านเป็นต้นจากตวั อย่างที่กล่าวมาน้ีจะ
เห็นแนวทางในการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ทางศิลปะในยุควิถีใหม่ สามารถนำมาปรับให้เหมาะสม
กบั บรบิ ทของศิลปะในแต่ละท้องถ่นิ ซึง่ จะเป็นแนวทางท่ีจะชว่ ยลดช่องวา่ งระหว่างเยาวชนและศลิ ปะพ้ืนบา้ นได้
ขอนแก่นเป็นจังหวัดท่ีมุ่งส่งเสริมด้านศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านโดยผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์
จากการต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมอีสานไปสู่ผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการท่ีตอบสนองธุรกิจและคุณภาพชีวิต
เพ่ือให้เป็นต้นแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์สำหรับภูมิภาคอื่นต่อไป (สำนักงานส่งเสริม
เศรษฐกิจสร้างสรรค์, 2563) จากที่กล่าวมาข้างต้นชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการนำทุนทางวัฒนธรรมอย่างฮูป
แต้มอีสานไปพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ จึงนำมาสู่การพัฒนาผลงานชุด
การเรียนรู้“ถอดรหัสฮูปแต้มสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์”เพื่อให้เยาวชนได้ตระหนักถึงคุณค่าของศิลปะพ้ืนบ้าน
และเกิดการเรียนรู้ผ่านส่ืออย่างมีปฏิสัมพันธ์ผ่านแนวคิด Play&Learn ตอบโจทย์การเรียนรู้แบบผสมผสาน
(Hybrid learning) ส่งเสริมให้เยาวชนเห็นแนวทางในการนำอัตลักษณ์ฮูปแต้มไปประยุกต์ออกแบบได้อีก
ทั้งเพื่อต้องการผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐเอกชนสถาบันการศึกษาหรือชุมชนได้นำชุดการเรียนรู้ไปจัด
กจิ กรรมเชงิ สรา้ งสรรคใ์ นแหล่งการเรยี นรู้ชมุ ชนหรอื พืน้ ที่อน่ื ๆ ต่อไป
2. แนวคดิ / ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
หลักการออกแบบชุดการเรียนรู้เริ่มจากการศึกษารูปแบบความต้องการของกลุ่มเป้าหมายตลอดจน
ทฤษฎีที่ใช้ในการออกแบบเพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มเยาวชนถัดมาคัดเลือกเนื้อหาสาระเกี่ยวกับฮูปแต้มโดย
สามารถศึกษาและเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากแหลง่ การเรียนร้หู รอื จากการสัมภาษณ์ผ้เู ช่ียวชาญจากน้ันนำไปสู่การ
คิดค้นกิจกรรมปฏิบัติที่เหมาะสมต่อไปเมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบทั้ง 4 แล้วการพัฒนาชุดการเรียนรู้
ออกแบบภายใต้กรอบของชุมชนต่อยอดเข้าถึงเพื่อเป็นช่องทางในการนำชุดการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นแหล่งการเรยี นรู้ในชุมชนการจดั เวิร์คชอปของหนว่ ยงานรัฐตลอดจนต่อยอดในเชิงพาณิชยส์ ามารถ
สรุปหลักการออกแบบดงั แผนภาพตอ่ ไปน้ี
ภาพท่ี 1 แผนภาพแสดงหลักการออกแบบชุดการเรยี นรู้
226
ทฤษฎที ใ่ี ช้ในการออกแบบ
1) การจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับเยาวชน โดยเยาวชนคือช่วงวัยระหว่าง 15-24 ปีเป็นวัยท่ีมีความ
อยากรู้อยากลองในส่งิ ตา่ ง ๆ มีความสนใจที่หลากหลายและมรี ูปแบบความสนใจทแี่ ตกต่างกนั
1.1 แนวทางการจัดกจิ กรรมศิลปะสำหรับเยาวชน
1.1.1 เน้นผเู้ รียนเปน็ ศูนยก์ ลางจัดการเรียนรตู้ ามความสนใจของผู้เรียน
1.1.2 เป็นกิจกรรมท่ีผ้เู รียนสามารถศกึ ษาได้ดว้ ยตนเอง
1.1.3 เปน็ กิจกรรมทม่ี ีการคำนึงถงึ ปริมาณเนอื้ หาที่เหมาะสม
1.1.4 คู่มือการใช้ชุดการเรียนรู้ควรมีเน้ือหาที่สั้นเข้าใจง่ายมีความกระชับชัดเจน
1.1.5 ส่ือการเรยี นรู้ที่หลากหลายน่าสนใจเพ่ือให้สอดคล้องกับความสนใจของวัยรุ่น
จากการศึกษาจุดมุ่งหมายและแนวทางในการออกแบบกิจกรรมกา รเรียนรู้สำหรับเยาวชนควรมีการ
ออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติการเรียนรู้ของช่วงวัยที่มีความอยากรู้อยากลอง ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้
และสนุกสนานผ่านการเล่นเช่นการทำภารกิจต่าง ๆ มีการออกแบบเรขศิลป์ภาพสีหรือใช้เนื้อหาที่มีความ
เหมาะสมมกี ารเรียบเรียงข้อมลู ท่ีไม่ซบั ซ้อนงา่ ยต่อการเรียนรแู้ ละปฏิบัติกจิ กรรม
2) ทฤษฎี PLAY&LEARN การจัดการเรียนรู้แบบ Play + Learn = Plearn เป็นการจัดการเรียนรู้ที่
เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และครูเป็นผู้สร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียนซึ่งเหมาะสมและ
สอดคล้องกับแนวทางของทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์โดย PLEARN เป็นศัพท์บัญญัติที่ศาสตราจารย์ดร.ชัยอนันต์
สมทุ วาณชิ อดตี ผบู้ ังคับการวชริ าวธุ วทิ ยาลัยบญั ญัตขิ ้นึ จากคำว่า Play + Learn ซึง่ เม่อื ออกเสยี งเป็น “เพลิน”
แล้วให้ความหมายท่ีดีกล่าวคือการเล่นเรียนทำให้เด็กเพลินเพราะถ้าเรียน (learn) อย่างเดียวก็เกิดความเบื่อ
เลน่ (play) อย่างเดยี วก็จะเป็นการไร้สาระจนเกินไปดังน้ันทิศทางการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิด
การเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์ผ่านการลงมือปฏิบัติจึงควรเรียนรู้ควบคู่ไปกับการเล่นซึ่งครูควรเข้าใจและต้องมี
ความคิดอย่างสรา้ งสรรค์ (Creativity) จึงจะสร้างกระบวนการเพลนิ ได้
3) ทฤษฎีการเรียนรู้แบบวีเออาร์เค (VARK Learning Style) ธรรมชาติการเรียนรู้ของผู้เรยี นจะมี
การเรียนรู้ที่แตกต่างกันไปบางคนถนัดเรียนรู้จากภาพเสียงหรือการลงมือปฏิบัติ ดังนั้นการจัดการเรียนรู้ควร
จะพิจารณาให้สอดคล้องกับความแตกต่างของผู้เรียนด้วยการเรียนรู้รูปแบบวีเออาร์เค (VARK Learning
Style) โดย Neil Fleming (Fleming, 2008) ได้นําเสนอแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนรู้ที่ชื่อว่า VARK ซึ่ง
เป็นการประเมินเพื่อจัดประเภทของผู้เรียนตามรูปแบบทางการเรียนรู้ท่ีต่างกันโดยได้แบ่งรูปแบบการเรียนรู้
ออกเป็น 4 ประเภทคือ 1) ผู้เรียนท่ีสนใจสิ่งท่ีมองเห็น (Visual: V) เป็นผู้เรียนท่ีสนใจสิ่งท่ีมองเห็นผู้เรียน
ประเภทนี้จึงสามารถกระตุ้นได้ด้วยสื่อการสอนท่ีเน้นรูปภาพและสีสันที่เหมาะสม 2) ผู้เรียนที่ชอบการพูดคุย
(Aural : A)เป็นผู้เรียนที่ชอบการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นรูปแบบการเรียนที่เหมาะสมคือการบรรยาย
การอภิปรายกลุ่ม 3) ผู้เรียนท่ีนิยมการอ่าน (Read/Write : R) เป็นผู้เรียนท่ีนิยมการอ่านการศึกษาเอกสาร
หนังสือหรือเน้ือหาต่าง ๆ ด้วยตนเองละนําไปสรุปเป็นข้อเขียนออกมา 4) ผู้เรียนที่ชอบการลงมือกระทํา
(Kinesthetic : K) เป็นผู้เรียนกลุ่มน้ีจะชอบการลงมือกระทําจริงมากกว่าการฟัง
227
3. กระบวนการในการสร้างสรรค์
ผลผลิตของผลงานสร้างสรรค์ครั้งนี้คือชุดการเรียนรู้ในลักษณะชุดกิจกรรมแบบ Box set ที่ภายใน
ประกอบด้วย 1) ชุดสื่อให้ความรู้เก่ียวกบั ฮูปแต้มคือคู่มือการเรียนรู้เว็บไซต์เกมออนไลน์หนังสือให้ความรู้และ
แผนที่เส้นทางการเรียนรู้ฮูปแต้ม AR และ 2)ชุดกิจกรรมปฏิบัติแผ่นอะคริลิคลอกลายฮูปแต้มโดยมี
กระบวนการในการสรา้ งสรรค์แบ่งออกเปน็ 3 ระยะดงั นี้
ระยะท่ี.1.ระยะศึกษาสภาพปัญหาเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมเก่ียวกับฮูปแต้มโดยการศึกษาสภาพ
ปัญหารวบรวมงานวิจัยและเอกสารทางวิชาการต่าง ๆ การสัมภาษณ์ผู้เช่ียวชาญท่ีเก่ียวข้องและการลงพ้ืนท่ี
ภาคสนามมปี ระเดน็ หลักในการศกึ ษาดงั น้ี
1) ทฤษฎีและแนวคิดท่สี ่งเสริมการเรยี นร้ขู องเยาวชน
2) เนอื้ หาสาระเก่ียวกบั อัตลกั ษณข์ องทุนวฒั นธรรมฮูปแต้มขอนแก่น
3) การเก็บข้อมลู ความต้องการจากกลุม่ เป้าหมายในชุดกจิ กรรม
4) กิจกรรมศลิ ปะรปู แบบผสมผสาน
ระยะที่2 ระยะพัฒนาชุดการเรียนรู้เพื่อให้มีรูปแบบการเรียนรู้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายโดยการ
กำหนดจุดประสงค์ขั้นตอนการทำกิจกรรมสื่อเทคโนโลยีที่ใช้และกิจกรรมปฏิบัติจากน้ันนำเข้าสู่ กระบวนการ
ออกแบบร่างและสร้างต้นแบบชุดการเรียนร้นู อกจากนม้ี ีการตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมโดยผู้ทรงคณุ วุฒิ
ก่อนท่จี ะนำนวัตกรรมไปทดลองใชต้ ่อไป
ระยะที่3 ระยะศึกษาทดลองใช้กิจกรรมต้นแบบนำชุดกิจกรรมท่ีออกแบบไปประเมินความเป็นไปได้
ร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษาจากนั้นนำไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมายและศึกษาความพึงพอใจเพื่อนำข้อมูลไป
ปรบั ปรุงแก้ไขให้นวตั กรรมมีความสมบูรณต์ อ่ ไป
โดยสามารถนำเสนอตัวอยา่ งรายละเอยี ดของชุดการเรียนรู้ดงั นี้
ชุดสื่อให้ความรเู้ กี่ยวกับฮูปแตม้ มีลักษณะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีการออกแบบภาพกราฟิก ปริมาณเน้ือหา
และรูปแบบการดีไซน์ตา่ ง ๆ ทที่ นั สมยั น่าสนใจสอดคล้องกบั ธรรมชาติการเรยี นร้ขู องกลมุ่ เปา้ หมาย
ภาพท่ี 2 ภาพรวมชุดการเรยี นรู้
228
ตัวอยา่ งเวบ็ ไซต์ท่ีสามารถใช้เรียนรู้ได้ในรูปแบบออนไลนโ์ ดยภายในเว็บไซต์จะประกอบด้วยสื่อดิจิทัล
ต่าง ๆ เชน่ หนงั สือE-book แผนท่ีเส้นทางการเรียนรู้ฮปู แต้มฐานข้อมูลทางดา้ นเนื้อหาและรูปภาพของฮูปแต้ม
ในชมุ ชนตา่ ง ๆ
ภาพท่ี 3 เวบ็ ไซต์ฮปู แตม้
ชุดกิจกรรมปฏิบัติแผ่นอะคริลิคลอกลายฮูปแต้มตัวแผ่นอะคริลิคได้ฉลุเป็นลวดลายตัวละครจากฮูป
แต้มโดยเยาวชนสามารถนำไปลอกลายสู่การออกแบบบรรจุภัณฑ์หรือผลงานสร้างสรรค์ในรูปแบบอื่น ๆ ได้
นอกจากน้ีแผ่นอะครลิ ิคยังสามารถปรบั ฟงั ก์ช่นั เปน็ ชิ้นต่อของเล่นหรอื โมเดลสะสมลวดลายได้
ภาพท่ี 4 ชดุ กิจกรรมปฏิบัติแผ่นอะคริลคิ ลอกลายฮูปแต้ม
229
4. การวิเคราะห์ผลงาน
การสร้างสรรค์ผลงานครัง้ นอี้ อกแบบใหม้ ลี กั ษณะเป็นชุดการเรยี นรู้แบบผสมผสานทสี่ ามารถใชเ้ รยี นรู้
และปฏิบัติกิจกรรมได้ในรูปแบบออนไลน์และออนไซต์จากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19มีนโยบาย
การเว้นระยะหา่ งทางสังคมทำให้เกิดอปุ สรรคในการท่องเท่ียวหรือการเขา้ ไปศึกษาแหล่งการเรียนรู้ในชุมชนจึง
เกดิ แนวโน้มการเรียนรู้และปฏิบัตกิ จิ กรรมศิลปะเองทบ่ี ้านดังน้ัน ชุดนวตั กรรมการเรียนรู้ฮูปแต้มทีอ่ อกแบบมา
จึงสามารถนำไปใช้ได้ตามอัธยาศัยเรียกได้วา่ เป็นผลงานชุดนวัตกรรมสรา้ งสรรค์ที่ตอบโจทย์การใช้งานภายใต้
สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งนี้จากการศึกษาการนำจิตรกรรมฮูปแต้มมาต่อยอดในการออกแบบผลงานพบว่าโดย
ส่วนมากมีการนำฮูปแต้มมาต่อยอดในการออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงกราฟิกหรือของใช้เป็นส่วนใหญ่แต่ยังไม่
ปรากฏพบว่ามีการนำฮูปแต้มมาสร้างสรรค์เป็นชุดการเรียนรู้ควบคู่กับการปฏิบัติกิจกรรมสำหรับเยาวชน
ดงั นั้นผลงานน้ีจึงมคี วามโดดเด่นทนั สมัยและสามารถเปน็ ต้นแบบกิจกรรมให้กับแหลง่ การเรียนรู้อืน่ ๆ ได้
5. สรปุ
ผลงานชุดการเรียนรู้ช่วยลดช่องว่างระหว่างเยาวชนและศิลปะในท้องถิ่น โดยเยาวชนสามารถเข้าถึง
ส่ือการเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างมีปฏิสัมพันธ์เกิดความภาคภูมิใจในอัตลั กษณ์ของชุมชน
สามารถนำอัตลักษณ์จากทุนวัฒนธรรมในท้องถิ่นเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยัง
ส่งผลกระทบเชงิ บวกในดา้ นตา่ ง ๆ ดงั นี้
ด้านเศรษฐกิจเป็นการนำทุนวัฒนธรรมฮูปแต้มอีสานมาออกแบบนวัตกรรมชุดการเรียนรู้ท่ีสามารถ
นำไปใช้ได้หลายบริบทถือเป็นการสร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับทุนวัฒนธรรม ซ่ึงเป็นหน่ึงในแนวทางส่งเสริม
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ในจังหวัดขอนแก่นโดยภาครัฐสามารถนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมเวิร์คชอปให้กับ
นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจเพ่ือดึงให้นักท่องเท่ียวเกิดแรงบันดาลใจต้องการมาชมหรือท่องเท่ียวในสถานที่จริง
ตอ่ ไป
ดา้ นชุมชนชุมชนสามารถใช้ชดุ การเรียนรู้ในการจัดกิจกรรมท่องเท่ียววิถีชุมชนเป็นคู่มือประกอบการ
ท่องเที่ยวให้กับแหล่งการเรียนรู้จัดกิจกรรมเวิร์คช็อปหรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการ
ท่องเทยี่ วในชุมชนนอกจากนยี้ งั เป็นการสรา้ งเส้นทางการเรยี นรู้ฮปู แต้มพืน้ บ้านทั้ง 5 ชุมชนในจังหวัดขอนแกน่
ด้านสังคมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นในยุควิถีใหม่โดยเยาวชนหรือผู้ที่มี
ความสนใจเกิดความตระหนักถึงคุณค่าของศิลปะพื้นบ้านอีกทั้งได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ประเพณีและ
วัฒนธรรมอีสานผ่านการศกึ ษาเรียนรแู้ ละปฏิบตั งิ าน
เอกสารอา้ งอิง
ชิงชัยศิริธร. (2562). การออกแบบผลิตภัณฑ์กราฟิกจากอัตลักษณ์ตัวละครและฉากในฮูปแต้มอีสานเพ่ือใช้ใน
ผลิตภัณฑ์และส่ือดิจิทัลเชิงวัฒนธรรม. วารสารศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 11(1),
286-312.
230
นวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศกึ ษา. (30 ธันวาคม 2556). ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ตส์ ่กู ารจดั การ
เรียนรู้Play&learn. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2564 จาก https://antawe.wordpress.
com/2013/12/30/ทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสต์-สู/
วัฒนะจูฑะวิภาต. (2552). ศิลปะพื้นบ้าน.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ศุภชัยสิงห์ยะบุศย์. (2561). วิกฤติมรดกวัฒนธรรมกรณีจิตรกรรมฝาผนังดั้งเดิมพุทธอุโบสถอีสาน Cultural
heritage crisis : A case study of traditional murals in Isan Buddhist ordination halls.
วารสารศิลปศาสตร์มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทรว์ ทิ ยาเขตหาดใหญ่,10(2), 58-84.
สำนกั งานส่งเสรมิ เศรษฐกจิ สร้างสรรค์. (2563). เศรษฐกจิ สรา้ งสรรคก์ ระตนุ้ พลงั ท้องถ่ินอสี าน. เข้าถึงได้จาก
https://www.cea.or.th/th/news/cea-tcdc-khonkaen
Fleming, N. D. & Mills, C. (2008). VARK a guide to learning styles. Retrieved from varklearn.
com: http://www.varklearn.com/Retrieved
OKMD. (2563).VARK การเรียนรู้แบบไหนสไตลค์ ุณ. [ออนไลน์]. สืบค้นเม่ือ15เมษายน 2564 จาก https://
www.okmd.or.th/bbl/articles/217/VARK-how-learning-you-style
231
ลวดลายอัตลกั ษณ์: ท่าฉลอม
ThaChalom: identity pattern
พรพิมล ศักดา, Pornpimon Sakda
ชฎาพร ศรีรนิ ทร,์ Chadaporn Sririn
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลรัตนโกสนิ ทร์
Faculty of Architecture and Design, Rajamangala University of Technology Rattanakosin
E-mail : [email protected] / [email protected]
บทคดั ย่อ
การศึกษาครงั้ นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาอัตลักษณ์ของท่าฉลอม จังหวัดสมทุ รสาครเพ่อื นำไปใชใ้ นการ
ตอ่ ยอดและออกแบบให้สามารถสะท้อนอตั ลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรม ซึ่งจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของท่าฉลอม
ให้เกิดความชัดเจน มีความเป็นเอกภาพ ท้ังน้ีเพราะพ้ืนท่ีแห่งน้ีมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเกิดการ
ผสมผสานกลมกลืนกลายเปน็ หน่ึงเดียว โดยการศึกษาหารปู แบบอตั ลักษณ์ของทา่ ฉลอม เริ่มตน้ จากการคน้ คว้า
เก็บข้อมูลทางเอกสาร การสัมภาษณ์ การถ่ายภาพแล้วนำผลมาวิเคราะห์อัตลักษณ์เพื่อเป็นแนวทางในการ
ออกแบบ
คำสำคัญ: ลวดลาย, อตั ลกั ษณ,์ ท่าฉลอม
Abstract
The purpose of this study was to find the identity of ThaChalom. Samut Sakhon
Province to be used in the development and design to reflect the identity of art and culture
This will enhance the image of ThaChalom to be clear. Unity This is because the cultural
diversity of this area has been blended into one. by studying the identity of ThaChalom It
starts with documentary research, interviews, photography, and then uses the results to
analyze the identity as a guideline for design.
Keywords: Pattern, Identity, ThaChalom
1. ความสำคัญหรือความเปน็ มาของปญั หา
ทา่ ฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร ผคู้ นทอี่ าศัยในพน้ื ทีแ่ ห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นคนไทยเช้อื สายจีน ซึ่งเขา้ มตั้งถ่ิน
ฐาน เป็นผลให้ประชาชนในพื้นท่ียึดถือและปฏิบัติตามความเช่ือทางวัฒนธรรมและประเพณีของตนเรื่อยมา
หล่อหลอมเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัว แต่ในปัจจุบันน้ีในพ้ืนท่ีแห่งนี้มีการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจมาก เป็น
ปัจจัยให้มีแรงงานต่างด้าวจำนวนมากเข้ามาทำงาน แรงงานเหล่านี้มีการรวมกลุ่มและสร้างครอบครัวเกิด
ลูกหลานมากมายจนกลายเป็นประชากรแฝงท่ีมีจจำนวนมากข้ึนๆ ซ่ึงการรวมตัวดังกล่าว แรงงานต่างด้าว
232
พยายามท่ีจะแสดงถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเอง ซ่ึงอาจส่งผลกระทบให้อัตลักษณ์ของพ้ืนท่ีเกิดการ
เบ่ียงเบนได้
ผู้ศึกษาเห็นว่าหากมีการศึกษาค้นคว้า สืบค้น ด้านอัตลักษณ์ของท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาครอย่าง
จริงจังและให้สาธารณชนได้รับรู้เข้าใจผ่านงานออกแบบในการส่ือความหมายต่าง ๆ ในช่วงเวลาหน่ึง เพ่ือให้
เกิดความซึมซับไปในความรู้สึกของคนภายในพื้นท่ีชุมชนแห่งนี้ เกิดเป็นอัตลักษณ์ร่วมกันท่ีชัดเจนและยัง
สามารถพฒั นาไปสเู่ ศรษฐกจิ ในดา้ นต่าง ๆ ของชุมชนได้
2. แนวคดิ /ทฤษฎีทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
ในส่วนของการออกแบบอัตลกั ษณม์ ีจดุ ประสงคห์ ลักคอื เพื่อเป็นที่จดจำ และสื่อสารต่อกลุ่มเปา้ หมาย
ซงึ่ ตามทฤษฎีการออกแบบอตั ลักษณ์พบว่า สัญลักษณ์ตอ้ งมคี วามหมายที่ดี สะทอ้ นถึงเอกลักษณ์ บุคลิกภาพท่ี
โดดเด่น แตกต่าง เพื่อสื่อสารสอดคล้องกับทฤษฎี Cathatine Slade-Brooking (2016: 24) และสุมิตรา ศรี
วบิ ูลย์ (2547 : 52) อา้ งถึงใน ณัฐวดี ศรีคชา (2561) ตามทฤษฎีการออกแบบอัตลักษณ์ องค์ประกอบสำคัญมี
5 ประการ ได้แก้ ช่ือ ตราสัญลักษณ์ รูปแบบตัวอักษร สี และข้อความประกอบ สามารถส่ือสารภาพลักษณ์ไป
ในทศิ ทางเดยี วกันเช่ือมโยงกนั รวมท้งั เป็นท่จี ดจำของผ้พู บเห็น
3. กระบวนการในการสรา้ งสรรค์
- ค้นคว้าขอ้ มูล ในสว่ นของการคน้ ควา้ ข้อมูลก็เร่มิ โดยข้อมลู ในหนงั สอื ที่เกี่ยวขอ้ ง เว็บไซต์
- การถ่ายภาพเก็บข้อมูลโดยถ่ายภาพสถาปัตยกรรมในพื้นท่ี ลวดลายประดับ ตึก อาคาร ส่ิงประดับ
ตกแต่งบนถนน และข้าวของเครือ่ งใช้ทแี่ สดงถึงอตั ลักษณข์ องชมุ ชน
- การถอดแบบคือการทำภาพต้นฉบับให้กลายเป็นเวคเตอร์หรือไฟล์ภาพสำเร็จรูปโดยนำภาพถ่ายเข้า
เคร่ืองคอมพิวเตอร์วาดดราฟปรับรายละเอียดของจุด เส้น น้ำหนัก นำองค์ประกอบตา่ ง ๆ มาจัดองค์ประกอบ
เตรยี มนำผลงานลวดลายการออกแบบไปใช้ในการทำต้นแบบผลติ ภัณฑต์ า่ ง ๆ
- การทำต้นแบบผลิตภัณฑ์
- ผลติ ผลงานจริง
ภาพท่ี 1 ภาพสรปุ กระบวนการดำเนินงานการออกแบบอตั ลกั ษณ์ท่าฉลอม
ท่ีมา : พรพมิ ล ศักดา (PornpimonSakda) / The 4st IADCE2022, 8July 2022)
233
4. การวเิ คราะหผ์ ลงาน
จากกระบวนการทำงานในข้อมท่ี 3 ก็เข้าสู่กระบวนการการนำเสนอการวิเคราะห์ลวดลายเพ่ือนำมา
จัดองค์ประกอบให้เกิดลวดลายจากอัตลักษณ์ของสถาปัตยกรรมที่อยู่ในพ้ืนท่ีท่าฉลอมซึ่งเป็นศูนย์ของคนไทย
เชอ้ื สายจนี
\
ภาพท่ี 2 ตัวอย่างภาพการออกแบบอัตลกั ษณท์ า่ ฉลอม
ที่มา : พรพมิ ล ศักดา(PornpimonSakda) / The 4st IADCE2022, 8July 2022)
5.สรุป
จากกระบวนการในการสร้างสรรค์ได้เอาลวดลายอัตลักษณ์ดังกล่าวข้างต้นไปใช้ในการออกแบบ
ผลิตภัณฑ์ของใช้และของท่ีระลึกที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของท่าฉลอม
234
ภาพที่ 3 ตวั อย่างภาพการใชง้ านผลงานการออกแบบอตั ลกั ษณ์ท่าฉลอม
ที่มา : พรพมิ ล ศักดา(PornpimonSakda) / The 4st IADCE2022, 8July 2022)
เอกสารอ้างอิง
ณัฐวดี ศรีคชา. (2561). การออกแบบอัตลักษณ์องค์กรการศึกษา กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต.
การประชมุ นำเสนอผลงานวจิ ยั ระดบั บัณฑติ ศกึ ษา ครง้ั ที่ 13. มหาวิทยาลยั ธุรกจิ บัณฑิต
มาโนช กงกะนันทน์. (2546). ศลิ ปะการออกแบบ. กรงุ เทพฯ: สำนักพมิ พ์ไทยวฒั นาพาณชิ
สมุ ติ ราศรีวบิ ลู ย.์ (2546). การออกแบบอัตลกั ษณ.์ กรงุ เทพฯ:สำนักพิมพC์ ore Function, 2546, ม.ป.ท., 2554
Slade-Brooking, Catherine.(2016). Creating A Brand Identity: A Guide For Designer. London:
Laurence King Publishing.
235
ละครทดลองในหอ้ งทดลอง:กระบวนการสร้างสรรคล์ ะครเวทเี ร่ือง Laboratory
Experimental drama: the making of the play "Laboratory"
พลฤทธิ์ สมุทรกลิน, Ponlarit Samutkalin
อาจารย์ประจำ มหาวิทยาลยั ธรุ กิจบณั ฑิตย์ 110/1-4 ถนนประชาชน่ื หลักส่ีกรงุ เทพ 10210
110/1-4 Prachachun Rd. Laksi, Bangkok Thailand 10210
E-mail : [email protected]
บทคัดย่อ
ละครทดลองในห้องทดลอง:กระบวนการสร้างสรรค์ละครเวทีเรื่อง Laboratory เป็นงานสร้างสรรค์
จัดทำขึ้นในช้ันเรียนวิชาโครงงานการส่ือสารการแสดง 3 ของภาควิชาการส่ือสารการแสดงดิจิทัล คณะนิเทศ
ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษามีความสามารถประยุกต์ทฤษฎที างการ
ละคร ผลิตละครเวทีเพ่ือสะท้อนสังคม โดยผ่านกระบวนการของละครในแนวปฏิบัติ “ร่วมสมัย” ทางการ
ละคร ในการสร้างโครงเร่ือง และนำมาทดลองสร้างสรรค์กับทฤษฎีละครแนวเอพิคเธียเตอร์ ซึ่งบทความจะ
เขียนถึงกระบวนการในการสร้างสรรค์ท่ีนักศึกษามีส่วนร่วม สร้างบท ฝึกซ้อม นำเสนอสู่สาธารณชน และ
วเิ คราะห์ผลทไี่ ด้จากงานสร้างสรรค์
คำสำคญั : ละครเอพิคเธียเตอร์, กระบวนการสรา้ งสรรค์, บทละคร
Abstract
Experimental drama: the making of the play "Laboratory" is a creative work prepared
in the classroom of Capstone3 for Performing Arts in Communications, of the Department of
Performing Arts in Digital Communication, Faculty of Communication Arts, Dhurakij Pundit
University. Its purpose is to allow the students to adapt drama theories to produce
theatrical drama in order to reflect society, through theatrical process of a "contemporary"
play in creating plot structure and making an experiment with epic theater theory. The
article describes the making process to which the students have participated, have created
the script, have practiced and have presented the play to public and analyzes the results of
the creative work.
Keywords: Epictheatre ,Creative process, Playwriting
236
1. บทนำ
ภาควิชาการส่ือสารการแสดงดจิ ิทัล คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้มีการเรียนการ
สอนวิชา เก่ียวกับศาสตร์ด้านศิลปะการแสดง เพื่อให้นักศึกษาได้มีความรู้ และความเข้าใจในศาสตร์และศิลป์
ทางด้านการแสดงละครเวทใี นแนวทางตา่ งๆ เป็นการเตรียมความพร้อมดา้ นทกั ษะการแสดงเพอื่ นำไปใช้ไดจ้ ริง
โดยได้จดั ให้มีการจดั แสดงละครเวทใี นรายวิชาตา่ งๆของภาควิชาฯ เพ่ือมุ่งสวู่ ัตถปุ ระสงค์ดังกล่าว
จุดเริ่มต้นของงานวิจัยเกิดขึ้นจากการเร่ิมกำหนดโจทย์ในการสร้างสรรค์งานครั้งน้ี เป็นประชุมกับ
นักศกึ ษาในรายวิชาโครงงานการสื่อสารการแสดง3 จำนวนเจ็ดคน โดยจากการสรุปความคิด ท้ังเจ็ดคนมีความ
ตอ้ งการที่อยากจะทดลองทำละครเพ่ือสะท้อนสังคม ภายใต้กรอบความคิดที่อยากจะทำละครเวทีเป็นละครที่
ผสมผสานแนวละครอื่นๆในแนวใหม่ๆ ที่ต่างจากแนวสมจริง หรือ เรียลลิซ่ึมมาทดลองผสมรูปแบบต่างๆเข้า
ด้วยกันเพราะโดยปกติแล้วนักศึกษามีความคุ้นชินกับแนวละครแบบสมจริง รวมไปถึงการแสดงแบบสมจริงท่ี
ตอ้ งรู้สึกจากข้างในนำไปสู่การสื่ออารมณ์ออกมา จากความคิดแรกเร่ิมนั้นนำไปสู่กระบวนการสร้างสรรค์ผู้วิจัย
สนใจท่ีจะนำแนวคิดและแนวปฏิบัติ ของทฤษฎีการละครร่วมสมัยมาใช้ไม่ว่าจะเป็นวิธีการแนวคิดในการวาง
โครงเร่ืองของบทละคร (ความคิดหลัก ความขัดแย้ง ตวั ละครหลัก การกระทำทางการละคร) และเพิ่มเติมด้วย
การนำมาทดลองใช้ผนวกกับแนวทางการละครแบบเอพิคเธียเตอร์ ท่ีละครแนวน้ีแตกต่างจากวิธีการจัดเสนอ
ของเรียลลิซึ่มไม่ว่าจะเป็นการใช้บทเจรจา และลีลาการแสดงตลอดจนฉากแสงสีท่ีมีความต่างจากความ
"เหมือนจริง" ทุกประการ จึงเป็นความท้าทายท่ีจะทดลองนำละครแนวเอพิคเธียเตอร์มาทดลองสร้างสรรค์
รว่ มกัน
จากการประชุมร่วมกันท่ีอยากจะสร้างสรรค์ละครเวทีท่ีจะสะท้อนสังคมน้ัน ผู้วิจัยมีจุดกระทบใจกับ
เร่ืองราวในสังคมประเด็นที่การกระทำต่างๆของมนุษย์นั้นทำเหมือนไม่มีหัวใจ การปฏิบัติตัวต่อคนอ่ืน รวมถึง
การแบ่งพรรค แบง่ พวก มกี ารมองคนอ่นื ใหต้ ่างจากท่ีตวั เองคิด นำไปสปู่ ญั หาความขัดแย้งตา่ งๆในสงั คม
ประเดน็ น้ีเปน็ จุดเรมิ่ ต้นของในการกำหนดทิศทางในการสร้างสรรค์ เป็นการกำหนดความคิดหลักของ
บทละครท่ีมีความขัดแย้ง ความต้องการ และการกระทำของตัวละคร ท่ีนำไปสู่ความต้องการหากลวธิ ีสร้างบท
ละครเวทีเร่ือง Laboratory เพื่อนำเสนอแก่นความคิดเรื่อง “ การมองให้เห็นความสำคัญของหัวใจที่บริสุทธ์ิ
และมองให้เหน็ ถงึ สงิ่ ทีท่ ำให้มนุษย์ตา่ งจากสัตว์” ใหส้ อื่ สารสะทอ้ นไปยงั ผ้ชู มว่าคุณคา่ ของการเกิดมาเปน็ มนษุ ย์
เรียนรู้ที่จะมีหัวใจที่เต็มเป่ียมด้วยความรัก ความเมตตา อันจะนำไปสู่การมองคุณค่าต่อกันและกัน มองให้เห็น
ความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม ไม่ได้มองอีกฝ่ายเป็นศัตรู หรือสัตว์ที่ต่างจากมนุษย์ อันจะนำไปสู่สังคม และ
โลกท่สี วยงามกวา่ ท่เี ปน็ อยู่
2. แนวคดิ / ทฤษฎีท่ีเก่ียวข้อง
แนวคดิ ทฤษฎี หลักการและแนวทางการสร้างสรรค์ทผ่ี ู้วจิ ยั เชิงสรา้ งสรรคใ์ ชใ้ นกระบวนการมดี งั นี้คอื
1. หลักคดิ และแนวปฏบิ ัติ “ร่วมสมยั ” ทางการละคร ได้แก่ แนวคดิ ในการวางโครงเรอื่ งของบทละคร
(ความคดิ หลกั ความขัดแย้ง ตัวละครหลกั การกระทำทางการละคร)
237
2. หลักคิดและแนวปฏบิ ตั ิทางการละคร ทฤษฎีทางงานละครแนวเอพคิ เธียเตอร์ (Epic Theatre) โดย
นักการละครช่ือ แบร์โทลท์ เบรชท์ เป็นผู้วางรากฐาน มีแนวคิดสำคัญเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์งานครั้งน้ี
โดยมกี ารประยกุ ตแ์ นวคิดให้เข้ากบั งานและสิ่งทีต่ ้องการนำเสนอมากขึ้น
สดใส พันธุมโกมล (2550) กล่าวไว้ใน ปริทัศน์ศิลปการละครว่า: ทฤษฎีทางการละครส่วนใหญ่ของ
เบรชท์ เป็นทฤษฎีท่ีคัดค้านการละคร “แนวเรียลิสม์” และ “แนทเชอริลลิสม์” ซึ่งเบรชท์ถือว่าเป็นแบบ
“ดรามาติก” และอยู่ในวงแคบไม่สามารถก้าวตามกาลเวลาท่ีหมุนเวียนเปล่ียนไป และทำหน้าที่ของละครท่ี
แท้จริง ซึ่งต้องมีผลในการส่ือความรู้สึกนึกคิดต่อผู้ชมให้เกดิ แรงบนั ดาลใจที่จะแก้ไขความเส่ือมทรามของสังคม
ใหด้ ขี ึน้ เบรชทไ์ มเ่ หน็ ด้วยกับการทค่ี นดูมาดูละครเพอื่ ความตน่ื เต้นบันเทงิ ใจทีจ่ ะไดร้ ับจากละครแตอ่ ยา่ งเดยี ว
เบรคชท์ต้องการให้ละครเป็นเครื่องมือกระตุ้นปฏิกิริยาสังคม วิสัยในการชมละครควรจะเปลี่ยนไป
ควรชมโดยใชส้ มองคิดไตร่ตรอง อารมณ์และเหตุผลเป็นสิ่งท่ีไม่สามารถไปด้วยกันได้ จึงทดลองนำเสนอ ละคร
ท่มี กี ารตัดอารมณ์รว่ มผชู้ มท้ิงไป โดยเตอื นให้ผชู้ มตระหนักอยู่เสมอวา่ ละครคือละคร จดุ ประสงค์ของละครคือ
ตอ้ งการให้คดิ ไม่ใช่ใหห้ ลงเชื่อ
3. กระบวนการในการสร้างสรรค์
งานสร้างสรรค์นี้ผู้วิจัยได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมการผลิต และ Artistic Director ร่วมพัฒนาบทละคร
ออกแบบงานสรา้ ง โดยมีกระบวนการทำงานดังตอ่ ไปนี้
การกำหนดความคดิ หลกั ของเรอื่ ง
จากการกำหนดโจทย์ในการสร้างสรรค์งานคร้ังน้ี จุดเร่ิมต้นจากการประชุมในรายวิชา โครงงานการ
สื่อสารการแสดงดจิ ิทัล3 ที่นักศึกษาต้องนำเสนอละครเวทีสู่สาธารณชน คือ นักศึกษามีความตอ้ งการอยากทำ
ละครท่ีต่างไปจากความคุ้นชินเดิมที่นักศึกษาจะคุ้นกับละครแนวสมจริง และการแสดงแบบสมจริง จึงได้
ประชุมกันตอ่ วา่ ละครแนวใดบ้างทไ่ี ม่สมจรงิ และเหมาะสมกับความเป็นไปได้ในการนำเสนอ และได้ขอ้ สรปุ วา่
ละครท่ีจะทำต้องเป็นละครที่สามารถสะท้อนสังคม มีความสนุก ผู้ชมสามารถจะเทียบเคียงหรือเช่ือมโยงกับ
เรื่องราวท่ีจะสะท้อนสังคมได้ และแนวละครทีน่ ักศึกษาอยากจะทำคอื ละครแนวเอพิคเธียเตอร์
จากบทสรปุ น้ันท่ีประชมุ จึงได้คิดกันว่า ปัญหาต่างๆในสังคม เกิดข้ึนได้อย่างไร มีการนำเสนอความคิด
กนั ในหลายๆประเด็น และมีประโยคทีท่ กุ คนคิดวา่ เป็นประโยคหลักท่ีคดิ วา่ จะเปน็ จุดเรม่ิ ของการสร้างสรรค์ได้
คอื ประโยคท่ีว่า “ คนเราทำรา้ ยผู้อื่น เหมอื นไม่มีหัวใจ” ประโยคนน้ี ำไปสู่กระบวนการทจ่ี ะสร้างสรรค์บทที่วา่
ด้วยเร่ืองของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการค้นคว้าทดลองนำหัวใจท่ีสามารถยืดอายุมนุษย์ไปใส่ในสัตว์ทดลอง
แตต่ ่อมาสัตวท์ ดลองที่มรี ปู ลักษณ์ภายนอกเหมือนมนุษยท์ กุ อย่างกลบั กอ่ ปัญหาต่างๆขึน้ มากมายจากความเห็น
แก่ตัว ท่ีเทียบเคียงได้กับการสะท้อนสังคมในแง่ของ การปฏิบัติตัวต่อคนอ่นื รวมถึงการแบ่งพรรค แบ่งพวก มี
การมองคนอื่นให้ต่างจากที่ตัวเองคิด นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งต่างๆในสังคม จากน้ันผู้วิจัยจึงได้เริ่ม
กระบวนการในการสร้างสรรค์ ในการกำหนดการกระทำหลัก
238
การกำหนด การกระทำหลกั (Main Action)
ในการสร้างสรรคบ์ ท ผวู้ จิ ยั ไดก้ ำหนดแนวทางของการสรา้ งความขัดแย้งของเร่ืองมาดงั ตอ่ ไปน้ี
คณุ คา่ ทีแ่ ท้จรงิ ของหัวใจท่ีมีความเปน็ มนุษย์ คุณค่า หน้าตา เพศสภาพ ภาพลกั ษณ์ ทข่ี ้างนอก
เหมือนกัน แตข่ า้ งในแตกต่างกนั
ความรูส้ กึ นกึ คดิ เหมอื นมนุษย์ สัญชาติญาณทช่ี ว่ั รา้ ย หัวใจในสัตว์ทดลอง
ตัวตนภายใน อตั ลกั ษณส์ ่วนตวั เอง ภาพ รูปลักษณ์ อัตลกั ษณส์ ว่ นรวม
การเปรยี บเทยี บเรือ่ งราวในห้องทดลอง การเปรียบเทียบเร่อื งราวกบั สังคม
เรื่องย่อบทละคร Laboratory
ในวนั ท่ีโลกน้ีกำลังเคล่ือนตวั อย่างผิดปกติ ส่ิงมีชวี ิตน้อยใหญ่กำลังมีอายุส้ันลงและทยอยตายอย่างน่า
ประหลาดใจ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ ผลกระทบของปัญหาเหล่านี้จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหน่ึงมีความคิดท่ี
อยากจะผลิตและคิดค้นส่ิงที่สามารถทำให้พวกเขามีอายุอยู่บนโลกน้ีได้นานกว่าปกติน่ันก็คือหัวใจดวงใหม่ท่ี
ยืดเวลาชีวิตพวกเขาออกไปได้มากกว่า 10 เท่าของชีวิตมนุษย์หลังจากท่ีผลิตหัวใจได้สำเร็จ พวกเขาได้นำมา
ทดลองใสใ่ ห้กบั สัตว์กนิ เนื้อขนาดเล็กชนิดหน่ึง แต่ดว้ ยสารเคมีในวตั ถุที่ผลติ ขนึ้ มานน้ั เขม้ ข้นมากเกินไปจงึ ทำให้
สัตว์ทดลองตัวน้ีนอกจากจะมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์แล้วยังมีสัญชาติญาณท่ีช่ัวร้ายมากกว่าสัตว์ปกติ
เป็นอย่างมาก มันใช้ความเฉลียวฉลาดของมันหนีรอดออกจากห้องทดลองไปได้ ความวุ่นวายของเร่ืองนี้จึง
เกดิ ข้ึน
หลกั คดิ และแนวปฏบิ ัตขิ องละคร
ในงานสร้างสรรค์ช้ินน้ี ผู้วิจัยได้กำหนดประเภทของละครให้เป็นเอพิค เธียเตอร์ ด้วยเหตุผลที่ว่า
เอพิค เธียเตอร์ เป็นละครที่ไม่เน้นอารมณ์ แต่มุ่งให้เกิดความหมายทางด้านความคิดและสติปัญญาในขณะ
รับชม และจากทฤษฎีทางการละครของเบรชท์ ละครไม่ควรใช้เร่ืองราวปัจจุบันในแบบเหมือนชีวิต แต่ควรจะ
สร้าง “ความห่างไกลจากเหตุการณ์” ให้แก่คนดูเพ่ือจะได้ตัดสินเรื่องราวได้โดยการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
และโดยไมใ่ ช้อารมณเ์ คลิบเคลิ้มไปตามเหตุการณน์ ัน้
บทละครเรื่องนี้ ได้กำหนดเร่ืองให้เป็นยุคอนาคต โดยใช้การเล่าเร่ืองราวตา่ งๆบนแท่นสีขาวต่างขนาด
กัน และใช้โครงเหล็ก ท่ีสามารถปรับเปล่ียนไปตามจุดต่าง ๆ ของเวที และยังได้พัฒนาไปพร้อม ๆ กับการ
ค้นหาการเคล่ือนไหวของนักแสดงในรูปแบบต่าง ๆ ท่ีเป็นท้ังสัญลักษณ์และนามธรรม โดยมีการจัด
องค์ประกอบการเคลอ่ื นไหว การยนื การเดิน การนั่ง เพือ่ ให้มีความหมายทีเ่ กิดขึ้นตามท่ตี ้องการสอ่ื ในแต่ละฉาก
ในส่วนของการแสดง จากเดิมท่ีได้พูดถึงการประชุมแรกเร่ิมที่นักศึกษาอยากทำละครท่ีแตกต่างจาก
ความคุ้นชินเดิม และวิธีการแสดงแบบเดิมท่ีมีกระบวนการเข้าถึงตัวละครอย่างชัดเจน เป็นการแสดงแบบ
สมจริง ที่มีการสร้างอารมณ์ ความรู้สึก การสร้างท่าทางและการเคล่ือนไหว การเปล่งเสียงและการใช้ถ้อยคำ
ใหเ้ หมาะสมกับการวางบคุ ลกิ ลักษณะของตัวละคร ในงานสรา้ งสรรค์นี้จึงไดม้ ่งุ เนน้ ไปท่ี การแสดงในสไตล์ ที่ไม่
เน้นไปในรูปแบบสมจริง แต่ให้แสดงออกมาอย่างท่ีไม่ต้องรู้สึกมาจากข้างใน จึงได้มีกระบวนการฝึกซ้อม และ
239
ค้นหาแนวทางการแสดงที่เข้ากับละครแนวเอพิคเธียเตอร์ และเหมาะกับเน้ือเรื่อง จึงไดก้ ำหนดว่าในเร่ือง ตอ้ ง
มีการใช้ การเคลื่อนไหวร่างกาย (Movement) และการแสดงท่าทาง (Mime) เป็นการส่ือสารด้วยท่าทางการ
กระทำท่ีไม่มีคำพูด แต่มีการส่ือสารให้ผู้ชมได้รับรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เป็นภาษาสากลท่ีแสดงออกมาแล้วคน
ส่วนใหญ่เข้าใจ เช่นในฉากของ การทดลอง การเดินทาง การกระทำต่างๆในห้องแลป หรือการแสดงที่เป็นตัว
สตั วต์ ่าง ๆ เชน่ นก
ภาพที่ 1 ภาพแทน่ สขี าว และโครงเหลก็ ท่ีใช้ในฉากหอ้ งทดลอง
การสรา้ งสรรค์ตวั ละคร
การออกแบบตัวละคร ผู้วจิ ัยเร่ิมสร้างตัวละครจากโครงเรื่องท่ีวา่ มีการนำหัวใจมาใส่ในสัตว์ทดลอง จึง
ไดเ้ ริ่มการแบ่งกลุ่มตัวละครเป็น กลุ่มนักวทิ ยาศาสตร์ และ สัตว์ทดลอง โดยท่ีทั้งสองฝ่ายเป็นเหมือนคู่ตรงข้าม
ท่ีจะนำไปสู่ความขัดแย้งแต่ได้มีความคิดว่า ในตัวละครท่ีเป็นสัตว์ทดลองควรจะให้มีลักษณะภายนอกและทุก
อย่างท่ีเหมือนคน ผู้ชมไม่สามารถรู้แต่แรกว่าคือ สัตว์ทดลอง แล้วค่อยมาค้นพบคำตอบในท้ายเร่ืองนอกจาก
การกำหนดให้ตวั ละครสองฝ่ายดไู ม่แตกต่างกันแลว้ ยังรวมถึงการออกแบบเสอื้ ผ้านักแสดงให้เป็นชดุ ดำทงั้ หมด
ไม่ว่าจะแสดงเป็นตวั ละครใด นอกเหนือจากการส่ือความหมายทีว่ ่าให้คนดูแยกไมอ่ อกแลว้ ยังม่งุ เนน้ ไปที่หัวใจ
ของการแสดงว่าอยทู่ ร่ี า่ งกาย ไม่ไดอ้ ยทู่ อ่ี งคป์ ระกอบภายนอกต่างๆมาประกอบทไี่ มไ่ ดม้ ีความจำเป็นอกี ดว้ ย
การออกแบบการแสดง ฉาก และส่งิ ประกอบการแสดง
การออกแบบการแสดงครั้งนเี้ ปน็ การใช้เทคนิคการนำเสนอจงใจให้เหน็ กลไก ต่างๆของละครอยา่ ง ไม่
อำพราง มีการใช้ หุ่นเชิด มาประกอบ นักแสดงใช้ลีลา การเคลื่อนไหว เต้นรำ ประกอบ การนำเทคนิค
ดังกล่าวมาประกอบเพ่ือท่ีจะทำลาย “กำแพงท่ีส่ี” โดยให้นักแสดงออกมาจากการเป็นตัวละคร การให้
นกั แสดงพดู กับผู้ชมได้โดยตรง การให้นักแสดงหน่ึงคนสามารถเปลี่ยนบทบาทเป็นตวั ละครหลายตวั และมีการ
ใช้การแสดงท่ีแตกตา่ งจาก การแสดงในรูปแบบละครแนวสมจริง หรือ เหมือนชวี ิต และยังใช้เทคนิคในการส่ือ
ความหมายด้วยภาพ โดยใช้การใช้พ้ืนที่ของเวที การเน้นจุดต่างๆ การจัดวางร่างกายของนักแสดง รวมไปถึง
การใช้เคลื่อนไหวประกอบลีลา ในกระบวนการซ้อมมีการค้นหาการเคล่ือนไหวในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นทั้ง
สญั ลกั ษณ์และนามธรรม โดยการจัดองคป์ ระกอบการเคล่ือนไหว การยืน การนง่ั ท่ีมีความหมายบนแท่นสีขาว
240
และโครงเหล็ก ที่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามจุดต่าง ๆ ของเวที โดยการเคลื่อนไหวของนักแสดงนับเป็นส่ิง
สำคัญอย่างย่ิง เพราะสามารถเรียกร้องความสนใจจากผู้ชมได้อย่างดี และยังทำหน้าที่เพ่ือบอกเล่าเร่ืองราวใน
ห้องทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ แทนความหมายของสถานทต่ี ่าง ๆ แทนความหมายสัญลักษณใ์ นเรือ่ ง ซ่ึงสะท้อน
กับความคิดหลักท่ีจะสะท้อนสังคมของเรื่อง ในเรื่องของการถูกจำกัดพ้ืนท่ีต่างๆในห้องทดลอง และการถูกจับ
ขัง เป็นการจำกัดสิทธิ และเสรีภาพ โดยท่ีมีการกำหนดรูปแบบของละครท่ีไม่มุ่งเน้นในการที่จะสร้างฉาก และ
อปุ กรณป์ ระกอบการแสดงท่ีใหญโ่ ตอลงั การ
การเลือกรูปแบบน้ีมานำเสนอเพราะผู้วิจัยคิดว่าเรื่องราวที่จะนำเสนอ มีหัวใจหลักของเรื่องอยู่ที่แก่น
ความคิด ถ้ามีการนำเสนอภาพองคป์ ระกอบภายนอกที่ใหญ่โต หรือ หรูหรา ฟุม่ เฟือยเกินความจำเป็นจะทำให้
พลังของสารทอี่ ยากจะสอ่ื สารอาจไม่ถกู ขบั เน้นออกมา
การใช้หุ่น ประกอบการแสดง โดยมีการออกแบบหุ่นที่ตัดจากกระดาษในลักษณะท่ีไม่ได้สมจริงตาม
แบบจริง เพื่อแทนความหมายเป็นรูปสัตว์ต่างๆที่สะท้อนภาพมุมมองในความคิดของตัวละครเอกในเรื่อง คือ
ซนิ ตี ้าที่เล่าเร่อื งราวของแอนดรวู ใ์ นอดีต แตม่ าจากความคิดตวั เองทตี่ กอยู่ใตค้ วามกดดนั ทางจติ ใจ
ภาพท่ี 2 ภาพการใช้หุน่ เชิดมาประกอบฉาก สะท้อนการมองเหน็ ภาพในความคดิ ของตวั ละคร
4. การวจิ ารณ์และสรปุ ผล
จากการได้ทดลองทำละครเร่ืองนี้ ในส่วนของผู้ร่วมงาน นักศึกษาที่ได้รับบทบาทในการแสดงคิดว่า
การแสดงคร้ังนี้ได้พัฒนาทักษะการแสดงมากข้ึน โดยได้รับประสบการณ์ในการแสดงสดต่อหน้าผู้ชมได้พัฒนา
ทกั ษะการแสดงในรูปแบบใหม่การแสดงในคร้ังนี้มีความตรงกันข้ามจากเดิมมาก พอมาแสดงในอกี รูปแบบท่ีไม่
ต้องตีความก่อนพูดออกมา หรือ ไม่ต้องแสดงออกใดๆทั้งสีหน้า ท่าทาง และอารมณ์ ทุกคนก็มักจะติดการ
แสดงในรูปแบบเดิมๆท่ีจะพยายามตีความและพูดอย่างมีความหมาย ซ่ึงทำให้ตอ้ งมีกระบวนการการฝึกซ้อมที่
เข้มข้นในการหาวิธีการแสดงท่ีเหมาะกับการแสดงแนวน้ี และค้นพบว่า รูปแบบหรือ เทคนิคในการแสดงนั้น
ไม่ได้มีตายตัวในแบบเดียว แต่ข้ึนอยู่กับแนวทางที่เหมาะสมในการเลือกใช้ให้เข้ากับทิศทางหรือแนวของละคร
นักศึกษายังคิดว่าละครเรื่องน้ีมีประโยชน์ต่อสังคมเพราะสะท้อนให้ผู้ชมได้หยุดคิด ถึงแม้วา่ จะไม่สามารถทำให้
ผ้ชู มจะเปลยี่ นวธิ คี ิดได้ แตเ่ ชอื่ ว่าหลงั จากผูช้ มไดช้ มผูช้ มสามารถนำสาระท่ีได้จากละครไปตอ่ ยอดทางความคดิ ได้
241
จากการใช้แนวคิดและแนวทางปฏิบัติในเชิงทฤษฎีการละครร่วมสมัยและทฤษฎีละครแนวเอพิคเธีย
เตอร์มาสร้างสรรค์ละครเรื่องน้ี และนำไปจัดแสดง พบว่า นักแสดง ผู้ร่วมงานรวมถึง ผู้ชม ท่ีภายหลังจากจัด
แสดงได้จัดงานเสวนาเพ่ือแลกเปลี่ยนซักถาม พบวา่ สามารถเข้าถึงและสนุกตาม เข้าใจแก่นความคิดของเรื่อง
ถึงการเสียดสี และสะท้อนสังคมร่วมสมัยได้ เข้าใจคำถามสำคัญของละครเรื่องคุณค่าที่แท้จริงของหัวใจท่ี
บรสิ ุทธไิ์ ด้ทำให้ผูส้ รา้ งสรรค์พอใจกับผลงานครั้งน้ี ในแง่ของความสนกุ ของละครที่มสี าระแฝงอยู่
แม้ละครเรื่องนี้จะมีอิสระในด้านลีลาการแสดง บทเจรจา และเทคนิคของการจัดเสนอท่ีทำให้ดู
ห่างไกลจากแนว เหมือนชีวิต เป็นอันมาก แต่ผู้ชมก็ยังคงติดตามเร่ืองราวและเข้าใจได้ มีตัวละครที่เช่ือได้ว่า
เป็นมนษุ ย์จริงๆ และมภี าพสะท้อนท่ีเก่ียวกับโลกและมนษุ ย์ที่เสนอตอ่ ผู้ชมน้นั ก็ยงั เป็น ความจรงิ ของชวี ิตและ
สังคมท่ีผู้ชมยังสามารถตระหนักและเชื่อมโยงได้ แต่ในอีกทางหน่ึง ผู้ชมอาจสนุกไปกับเนื้อหาและรูปแบบใน
การนำเสนอ แต่ไม่ได้รับรู้ในเชิงของการนำทฤษฎีทางการละครเอพิค มาใช้เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ ซ่ึง
ผู้วจิ ัยคิดว่าทฤษฎีน้ีมีประโยชน์มาก เพราะเป็นการเลือกสรรส่ิงต่างๆมาใชใ้ นการสร้างสรรค์อย่างมีความหมาย
โดยมุ่งเน้นให้ผู้ชมได้คิดตาม และในข้ันตอนการสร้างสรรค์รู้สึกสนุกกับการเลือกสรรมาใช้เพ่ือมุ่งเน้นส่ือสาร
ความคิดตามที่ได้กำหนด
ผู้วิจัยได้ค้นพบข้อความรู้จากกระบวนการสร้างสรรค์ในการนำทฤษฎีทางการละครมาประยุกต์ใช้กับ
งานละคร โดยเฉพาะทฤษฎีละครเอพคิ เธียเตอร์ ท่ีผู้วจิ ยั คดิ วา่ เหมาะกับการสรา้ งสรรคง์ านละครในยคุ น้ี เพราะ
ศิลปะในการเล่าเรอื่ งให้ผู้ชมในปจั จบุ ันตอ้ งการความหลากหลายและแปลกใหม่ สามารถทำให้เกิดการประยกุ ต์
และผสมผสานต่างๆ ท่ีสามารถนำมาสร้างสรรค์งานละครได้เป็นอย่างดี สามารถทำให้เกิดมุมมองใหม่ และ
สื่อสารความคดิ ทตี่ อ้ งการ ผู้ชมสามารถตระหนักถึงสาระทสี่ ะท้อนสังคมได้ในอกี ทางหนึง่ ท้งั ผู้วจิ ัยและนักศึกษา
ยังได้กระบวนการเรียนรู้ละครเวทีท่ีสามารถนำไปบูรณาการเข้ากับการเรียนการสอน และประยุกต์ใช้กับการ
ทำงานในเชงิ วิชาชีพได้ และ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่า ควรให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับแนวคิดในเชิงทฤษฎีทางการ
ละครกับผู้ชมล่วงหน้า หรือเป็นคู่มือในการชมละครแก่ผู้ชม โดยอาจอยู่ในนิทรรศการหรือสูจิบัตร เพ่ือเป็น
แนวทางสำหรับผู้สนใจได้ เพราะแนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ผู้วิจัยคิดว่ามีประโยชน์อย่างย่ิงสำหรับการ
สร้างสรรค์งานละครเวทีร่วมสมัย
เอกสารอ้างอิง
นพมาส ศิริกายะ. (แปลและเรียบเรียง). (มปป). ประพันธ์ศิลป์ของอริสโตเติล (The Poetics of Aristotle).
กรงุ เทพฯ : ภาควชิ าศิลปะการละคร คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
นพมาส แววหงส์. (2550). ปริทศั น์ศิลปะการละคร. กรุงเทพฯ: สำนักพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
พรรณศักด์ิ สขุ ี. (2540). การกำกบั การแสดง1. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยกรงุ เทพ.
.(2541). อ.การเขยี นบทละคร. กรงุ เทพฯ: สำนักพมิ พม์ หาวิทยาลยั กรงุ เทพ.
ศลิ ปะการละครเบื้องต้น 1-2. กรงุ เทพฯ:คุรุสภา