พระอภิธรรม
ใครวา่ ยาก
ฉบบั ย่อ กระชบั ลัด สนั้ งา่ ย
สามารถศึกษาไดด้ ้วยตนเอง
ท่ีทรงหยง่ั รูค้ วามจรงิ ของสง่ิ ทง้ั ปวงในสากลจกั รวาลท้งั ที่เปน็ อดีต ปัจจบุ ัน และ
อนาคตโดยไมม่ สี ว่ นเหลอื คา� ตอบทง้ั หมดนม้ี ปี รากฏอยแู่ ลว้ ในพระอภธิ รรมปฎิ ก
ซง่ึ เป็นปิฎกท่สี ามของพระไตรปฎิ กนนั่ เอง
หนังสือเล่มนี้เกิดจากการน�าบทเรียน “พระอภิธรรมใครว่ายาก”
ชุดที่ ๑ - ๔๓ ที่ผมได้สอนออนไลน์ผ่านทาง Facebook และทาง Line โดยมี
ผู้ติดตามไม่น้อยกว่า ๑,๕๐๐ รูป/คน มาแก้ไขปรับปรุง และพิมพ์ออกมาเป็น
รปู เลม่ เพือ่ ความสะดวกในการอา่ นและทบทวน โดยใชช้ ื่อวา่ “ความจรงิ อนั เป็น
ทีส่ ุด ๔ ประการ (จติ -เจตสกิ -รปู -นพิ พาน)” ซง่ึ เป็นเน้ือหาโดยสรุปของคมั ภีร์
อภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๑, ๒ และ ๖ ท่ีอธิบายธรรมชาติของจิต (หรือ
วิญญาณ) ประเภทของจิต การท�างานของจติ องค์ประกอบภายในจิต (เจตสิก)
เรอื่ งของรปู (รา่ งกาย) ทเี่ จาะลกึ ลงไปจนถงึ ระดบั ทเี่ ลก็ ทสี่ ดุ จนไมส่ ามารถมองเหน็
ไดด้ ว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์อเิ ลก็ ตรอน เรื่องจักรวาลวิทยา (ภพภูมติ ่าง ๆ) และเรอ่ื ง
พระนพิ พาน สว่ นเน้อื หาทีเ่ หลอื อกี ๖ ปรจิ เฉท คอื ปริจเฉทที่ ๓, ๔, ๕, ๗, ๘ และ
๙ ซงึ่ ได้สอนผ่านระบบออนไลนไ์ ปแลว้ เชน่ กัน ก็จะค่อย ๆ ทยอยพมิ พ์ออกมา
เปน็ เลม่ ตามล�าดบั ต่อไป
ผมขอเป็นก�าลังใจให้ทุกท่านประสบความส�าเร็จในการศึกษา
พระอภธิ รรมอนั เปน็ แกน่ ธรรมของพระพทุ ธศาสนา และสามารถนา� ความรนู้ ไ้ี ปใช้
ในการปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ถงึ มรรค ผล นพิ พาน ไดโ้ ดยเรว็ พลนั
ด้วยกันทกุ ท่านเทอญ
(ดร.วิศษิ ฐ์ ชัยสวุ รรณ)
ประธานมูลนธิ ิเผยแผพ่ ระสัทธรรม
๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
()
นงั สอ ล่ น้ าะสา รบั
๑. ผู้ท่ีต้องการศึกษาพระอภิธรรมด้วยตนเอง เพราะจะใช้ภาษา
งา่ ย ๆ ในการอธิบาย
๒. ผ้ทู ่ีก�าลงั ศึกษาพระอภธิ รรมในชั้นจูฬอาภธิ รรมิกะตรี โดยใช้
เป็นหนงั สืออา่ นประกอบเพื่อใหเ้ ขา้ ใจเนอื้ หาของบทเรียนได้ชดั เจนยง่ิ ข้ึน
๓. ผู้ท่ีเคยเรียนพระอภิธรรมมาก่อน แต่ต้องการร้ือฟื้นความรู้
ทเี่ คยศกึ ษามาแล้วได้อย่างรวดเรว็
อ อบ
๑. กองทุนโสภณชัยสุวรรณ และกองทุนลออชัยสุวรรณ ที่ร่วม
สนับสนนุ การดา� เนินงานของมูลนธิ เิ ผยแผพ่ ระสทั ธรรมมาโดยตลอด
๒. นักศึกษาท่ีติดตามบทเรียนออนไลน์ทั้งทาง Line และ
Facebook ซึ่งเป็นแรงขับเคล่ือนให้เกิดบทเรียนพระอภิธรรมใครว่ายาก
ครบถ้วนสมบรู ณท์ ั้ง ๙ ปริจเฉท
๓. คุณพงษ์ศักด์ิ เวชพาณิชย์ ผู้ท�าหน้าท่ีแอดมินในการเผยแผ่
บทเรียนพระอภิธรรมใครว่ายากผ่านระบบ Line ทั้ง ๓ ห้อง เร่ิมตั้งแต่
ปริจเฉทที่ ๑ เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จนจบปริจเฉทท่ี ๙ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓
๔. ดร.พรศิลป์ รัตนชูเดช ที่อนุญาตให้น�า “ภาพมงคล ๑๐๘
บนพระพทุ ธหตั ถ”์ จากหนงั สอื “ภาพลายเสน้ พทุ ธศลิ ปล์ า้ นนา” มาใชป้ ระกอบ
ปกหนา้ ของหนงั สือเลม่ น้ี
๕. อุบาสิกาธนภัทร รักประดิษฐ์ ท่ีช่วยตรวจทานต้นฉบับก่อน
จดั พิมพ์
()
สารบัญ หน้า
เก่ยี วกบั หนงั สือเลม่ นี้ [๒]
สารบัญ [๕]
๑
บทท่ี ๑ บทนา� ๒
พระอภิธรรมคอื สว่ นไหนของพระไตรปฎิ ก ๔
คัมภรี ์อภธิ มั มัตถสงั คหะ คอื อะไร และมาจากไหน? ๘
ความหมายของปรมตั ถธรรม ๑๕
ขนั ธ์ ๕ กบั ปรมัตถธรรม ๔ ๑๙
ความหมายของบัญญตั ธิ รรม ๒๐
ความจรงิ ๒ ระดบั ๒๒
การสวดพระอภิธรรมในงานศพ ๒๔
ประโยชน์จากการศึกษาพระอภธิ รรม
๒๗
อ ั ั สัง ะ ร ฉ รั ๒๘
๓๐
บทท่ี ๒ ธรรมชาติของจิต และประเภทของจติ ๓๑
การทา� งานของจิต ๓๒
ลกั ษณะของจิต ๓๔
ทีเ่ กดิ ของจติ ๔๐
อา� นาจของจติ ๔๑
การจา� แนกประเภทของจติ ๔๙
๕๕
บทที่ ๓ อกุศลจิต ๑๒ ๕๙
โลภมลู จติ ๘ ๖๐
โทสมูลจิต ๒ ๖๓
โมหมลู จิต ๒ ๖๘
บทที่ ๔ อเหตกุ จิต ๑๘
อกศุ ลวปิ ากจิต ๗
อเหตกุ กุศลวิปากจติ ๘
อเหตุกกริ ิยาจติ ๓
()
บทที่ ๕ กามาวจรโสภณจติ ๒๔ ๗๖
มหากุศลจติ ๘ ๗๘
มหาวิปากจติ ๘ ๙๐
มหากริ ยิ าจิต ๘ ๙๒
๙๗
บทที่ ๖ มหัคคตจิต ๒๗ ๙๘
รปู าวจรกศุ ลจติ ๕ ๑๑๓
รูปาวจรวปิ ากจิต ๕ ๑๑๗
รปู าวจรกริ ยิ าจิต ๕ ๑๒๑
อรูปาวจรกศุ ลจติ ๔ ๑๒๓
อรูปาวจรวิปากจติ ๔ ๑๒๕
อรูปาวจรกิรยิ าจติ ๔ ๑๒๗
๑๒๘
บทท่ี ๗ โลกุตตรจติ ๘ ๑๓๐
มรรคจิต ผลจิตเกิดขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร ๑๓๒
มรรคจิต ๔ ระดบั ๑๓๔
การประหาณสงั โยชน์ ๑๐ โดยมรรคจิตทัง้ ๔ ๑๓๕
การประหาณอกุศลกรรมบถ ๑๐ โดยมรรคจิตท้ัง ๔ ๑๓๗
การประหาณอกศุ ลจิต ๑๒ โดยมรรคจิตทง้ั ๔ ๑๓๘
ผลจติ ๔ ๑๔๒
การแบง่ ประเภทพระอริยบคุ คล
ทม่ี าของโลกตุ ตรจติ ๘ หรือ ๔๐ ๑๔๙
๑๔๙
อ ั ั สงั ะ ร ฉ สก ร ั ๑๕๑
๑๕๓
บทที่ ๘ เจตสกิ และการแบง่ ประเภทของเจตสิก ๑๕๗
เจตสกิ คอื อะไร ๑๖๑
ประเภทของเจตสกิ ๑๖๑
อัญญสมานเจตสิก กลุ่มที่ ๑ : สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ๑๖๔
อัญญสมานเจตสิก กลมุ่ ที่ ๒ : ปกณิ ณกเจตสิก ๖ ๑๖๕
บทที่ ๙ อกศุ ลเจตสกิ ๑๔
ความหมายและการจ�าแนกประเภทของอกุศลเจตสิก
อกุศลเจตสิกกลมุ่ ที่ ๑ : โมจตกุ เจตสิก ๔
อกุศลเจตสิกกลมุ่ ท่ี ๒ : โลตกิ เจตสกิ ๓
()
อกศุ ลเจตสกิ กลุ่มท่ี ๓ : โทจตกุ เจตสิก ๔ ๑๗๓
อกศุ ลเจตสกิ กลุ่มที่ ๔ : ถีทุกเจตสกิ ๒ ๑๗๙
อกศุ ลเจตสกิ กลุ่มที่ ๕ : วิจกิ จิ ฉาเจตสกิ ๑ ๑๘๐
บทที่ ๑๐ โสภณเจตสกิ ๒๕ ๑๘๑
ความหมายและการจ�าแนกประเภทของโสภณเจตสิก ๑๘๑
โสภณเจตสิกกลมุ่ ที่ ๑ : โสภณสาธารณเจตสกิ ๑๙ ๑๘๓
โสภณเจตสิกกลุ่มท่ี ๒ : วิรตีเจตสกิ ๓ ๑๘๙
โสภณเจตสิกกลมุ่ ท่ี ๓ : อปั ปมัญญาเจตสกิ ๒ ๑๙๓
โสภณเจตสิกกลุ่มที่ ๔ : ปญั ญาเจตสิก ๑ ๑๙๔
บทที่ ๑๑ สัมปโยคนยั และสังคหนัย ๑๙๗
ความหมายของสมั ปโยคนัย ๑๙๗
อนิยตโยคีเจตสกิ ๑๙๙
- นานากทาจเิ จตสกิ ๘ ๑๙๙
- กทาจเิ จตสิก ๑ ๑๙๙
- สหกทาจเิ จตสกิ ๒ ๒๐๐
นยิ ตโยคเี จตสกิ ๔๑ ๒๐๕
ตารางสัมปโยคนยั ๒๐๗
สังคหนัย ๒๑๐
ตารางสงั คหนัย ๒๑๑
อ ั ั สงั ะ ร ฉ ร ร ั ละน าน ร ั ๒๑๓
๒๑๓
บทท่ี ๑๒ รปู ปรมตั ถ์ ๒๑๕
รูปปรมตั ถ์ คอื อะไร ๒๑๗
ความหมายของรปู ทงั้ ๒๘ ชนดิ ๒๒๔
หมวดที่ ๑ มหาภูตรูป ๔ ๒๒๘
หมวดที่ ๒ ปสาทรูป ๕ ๒๓๐
หมวดที่ ๓ วิสยรูป ๔ (หรือ ๗) ๒๓๑
หมวดท่ี ๔ ภาวรปู ๒ ๒๓๑
หมวดที่ ๕ หทยรปู ๑ ๒๓๒
หมวดท่ี ๖ ชีวิตรูป ๑ ๒๓๔
หมวดที่ ๗ อาหารรปู ๑
หมวดที่ ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑
()
หมวดที่ ๙ วิญญัติรปู ๒ ๒๓๕
หมวดท่ี ๑๐ วกิ ารรูป ๓ ๒๓๖
หมวดที่ ๑๑ ลกั ขณรูป ๔ ๒๓๗
ต�าแหนง่ ทเ่ี กิดของรูป ๒๘ ในร่างกายมนุษย์ ๒๔๑
ค�าศัพท์ส�าคัญท่คี วรร้ใู นเร่อื งรปู ปรมัตถ์ ๒๔๔
บทท่ี ๑๓ สมฏุ ฐานของรปู ขนั ธ์ ๒๔๘
กมั มชรปู ๒๔๙
จิตตชรปู ๒๕๒
อตุ ุชรปู ๒๖๑
อาหารชรูป ๒๖๕
บทท่ี ๑๔ กลาปของรปู ขนั ธ์ ๒๖๘
กมั มชกลาป ๙ ๒๗๐
จิตตชกลาป ๘ ๒๗๗
อุตชุ กลาป ๔ ๒๘๒
อาหารชกลาป ๒ ๒๘๖
การเกิดขนึ้ ของรูป ๒๘ ในภพภมู ติ า่ ง ๆ ๒๙๑
การกา� เนิดของสตั ว์ ๒๙๕
บทที่ ๑๕ นพิ พานปรมตั ถ์ ๒๙๘
ความหมายของนิพพาน ๒๙๘
ประเภทของนิพพาน ๓๐๑
สญุ ญตนิพพาน ๓๐๔
อนิมติ ตนพิ พาน ๓๐๔
อปั ปณิหิตนิพพาน ๓๐๕
พระอรหันต์ที่ปรินิพพานแลว้ ไปไหน ? ๓๐๖
า น กก ๓๑๐
ชือ่ จิต ๑๒๑ ดวง เปน็ ภาษาบาลีพรอ้ มคา� แปล
๓๒๒
า นก
๓๒๒
ค�าถามบางส่วนจากนกั ศกึ ษาออนไลน์
บรร านกร
ระ ั รยบ รยง
บ ี่
บ นา
เม่ือกล่าวค�าว่า พระอภิธรรม ก็มักจะถูกถามเสมอว่า
พระอภิธรรมคืออะไร พระอภิธรรมเรียนเกี่ยวกับอะไร ใครเป็นผู้แต่ง
พระอภิธรรม เรียนพระอภิธรรมแล้วได้ประโยชน์อะไร คนส่วนใหญ่
จะเข้าใจแต่เพียงว่าพระอภิธรรมเป็นบทสวดในงานศพท่ีไม่ค่อยจะมีใคร
ฟังรู้เร่ือง จึงขออธิบายให้ทราบว่าเนื้อหาของพระอภิธรรมจะกล่าวถึง
การทา� งานของชีวติ เป็นขณะ ๆ (ในแต่ละเสย้ี ววนิ าท)ี เพ่อื ใหเ้ ห็นว่าส่วน
ประกอบของชวี ิตหรือขนั ธ์ ๕ ที่ประกอบข้ึนเปน็ บคุ คลหรือเปน็ สตั วใ์ ด ๆ
กต็ าม แทจ้ รงิ แลว้ ไมม่ สี าระแกน่ สารอะไร เพราะเปน็ เพยี งการประชมุ กนั ของ
สว่ นประกอบทมี่ ีความไมเ่ ท่ยี ง (เกิดดับสืบต่อกนั อย่างรวดเรว็ ) ทนอย่ใู น
สภาพเดมิ ไมไ่ ด้ (เกดิ แลว้ กด็ บั ) เปน็ สภาพทหี่ าเจา้ ของมไิ ด้ ไมเ่ ปน็ ของใคร
ไมม่ ใี ครเปน็ เจา้ ของ ไมอ่ ยใู่ นอา� นาจบงั คบั บญั ชาของผใู้ ด เปน็ สภาวธรรม
ท่ีเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ขึ้นกับเหตุข้ึนกับปัจจัย เกิดขึ้นแล้วดับไป
เกิดข้ึนใหม่แล้วก็ดับไปอีก มีสภาพเกิดดับอยู่เช่นนี้ตลอดเวลานาน
แสนนาน ไม่รู้กี่แสนชาติกี่ล้านชาติมาแล้วที่เกิดดับสืบต่อกันอยู่เช่นน้ี
โดยไม่รู้จักจบจักส้ิน พระพุทธองค์จะอุบัติข้ึนหรือไม่ก็ตามขันธ์ ๕ ก็คง
มีอยู่ตามธรรมชาติ พระพุทธองค์เป็นแต่เพียงผู้ทรงค้นพบธรรมชาติน้ี
และนา� มาเปดิ เผยใหเ้ ราทง้ั หลายไดท้ ราบเทา่ นัน้
ระอ รร อส่ น น อง ระ ร ก
หลงั จากทพ่ี ระสมณโคดมสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดต้ รสั รแู้ ลว้ พระองค์
ได้ทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตวเ์ ป็นเวลายาวนานถึง ๔๕ พรรษา คา� สอน
ท่ีพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ทั้งหมดรวบรวมได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
เรียกว่า พระ ตรป ก ซึ่งบรรจุค�าสอนและเร่ืองราวของพระพุทธศาสนาไว้
โดยละเอยี ด แบ่งออกเปน็ ๓ ปิฎก หรอื ๓ หมวด คอื
๑ พระวนิ ยั ป ก
๒ พระสตุ ตันตป ก
๓ พระอภธิ รรมป ก
พระวินัยป ก หรือเรียกส้ัน ๆ ว่า พระวินัย เป็นบทบัญญัติ
ของพระพุทธองค์เกี่ยวกับศีลของภิกษุและภิกษุณี ตลอดจนพิธีกรรมและ
ธรรมเนยี มของสง ์ รวมถงึ พทุ ธประวตั บิ างตอนและประวตั กิ ารทา� สงั คายนา
มที ้ังสิ้น ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระสุตตันตป ก หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พระสูตร เป็นหมวดท่ี
รวบรวมพระธรรมเทศนาของพระพทุ ธองคแ์ ละของพระอรยิ สาวกทต่ี รสั ไวห้ รอื
แสดงไว้แกภ่ ิกษุ ภิกษณุ ี พราหมณ์ กษตั ริย์ คฤหบดี สามัญชน เหลา่ เทวดา
และเจา้ ลัทธิทง้ั หลาย ดงั น้นั จึงมเี หตกุ ารณ์ สถานที่ และบคุ คลทแี่ สดงธรรม
เขา้ มาเกย่ี วขอ้ ง มีคา� สอนทั้งส้นิ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์
พระอภิธรรมป ก หรอื เรยี กสั้น ๆ ว่า พระอภธิ รรม เปน็ หมวด
ท่ีกล่าวถึงหลักธรรมล้วน ๆ มีค�าสอนทั้งส้ิน ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระอภิธรรมเปรียบเสมอน วยากรณ์อันเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา
อยา่ งแทจรงิ
ธรรมะสว่ นใหญท่ ป่ี รากฏในพระอภธิ รรมแทจ้ รงิ แลว้ กเ็ ปน็ ธรรมะ
ท่ีปรากฏอยู่ในพระสตู ร แต่ในพระอภิธรรมจะนา� หลักธรรมะเหลา่ นั้นมาจัด
เป็นหมวดหมู่ เป็นประเภทอย่างเป็นระบบ และขยายความให้สุขุมลุ่มลึก
ย่ิงขึ้นไปอีก โดยตัดเหตุการณ์ สถานที่ และบุคคลที่เก่ียวข้องกับการ
แสดงธรรมนน้ั ๆ ออกไปเพอ่ื ใหเ้ หลอื แตห่ ลกั ธรรมทเ่ี ปน็ วชิ าการวา่ ดว้ ยเรอ่ื ง
ของปรมตั ถธรรมล้วน ๆ
เน้ือหาโดยละเอียดของพระอภิธรรมปิฎกมีมากถึง ๔๒,๐๐๐
พระธรรมขนั ธ์ (พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๓๔ - ๔๕ รวม ๑๒ เลม่ ) โดยแบง่ ออกเปน็
๗ คัมภรี ์ คอื
๑. คมั ภีรธ์ มั มสังคณี (เล่มที่ ๓๔)
๒. คัมภีร์วภิ ังค์ (เล่มที่ ๓๕)
๓. คมั ภรี ธ์ าตุกถา (เล่มที่ ๓๖)
๔. คมั ภรี ์ปุคคลบัญญตั ิ
๕. คัมภีรก์ ถาวตั ถุ (เลม่ ที่ ๓๗)
๖. คัมภีร์ยมก (เลม่ ท่ี ๓๘ - ๓๙)
๗. คัมภรี ์ปฏั ฐาน (เล่มท่ี ๔๐ - ๔๕)
การศึกษาพระอภิธรรมปิฎกโดยตรงเป็นเร่ืองยาก เพราะเน้ือหา
ของพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์จะกล่าวถึงธรรมะช้ันสูงที่มีความละเอียด
ลกึ ซง้ึ เปน็ อย่างย่งิ
ดังน้ัน ก่อนจะเข้าไปศึกษาพระอภิธรรมท้ัง ๗ คัมภีร์ จึงจ�าเป็น
ต้องปูพ้ืนด้วยคัมภีร์ชันอรรถกถาช่อว่า “อภิธัมมัตถสังคหะ” เสียก่อน
เชน่ เดยี วกบั การจะเรียนคณิตศาสตรช์ ้นั สงู เชน่ วชิ าแคลคูลสั ไดน้ ั้นจะต้อง
มคี วามรูค้ ณติ ศาสตร์ช้ันต้นมากอ่ น
ั รอ ั ั สัง ะ ออะ ร ละ า าก น
ราวปี พ.ศ. ๑๕๐๐ มพี ระเถระผทู้ รงความรใู้ นพระไตรปฎิ กทา่ นหนง่ึ
นามว่า พระอนุรุทธเถระ (พระอนุรุทธาจารย์) ท่านเป็นชาวกาวิลกัญจิ
แขวงเมืองมัทราช ภาคใต้ของประเทศอินเดีย ซึ่งมาศึกษาพระอภิธรรม
อยทู่ ส่ี า� นกั วดั ตมุ ลู โสมาราม เมอื งอนรุ าธบรุ ี ประเทศลงั กา จนมคี วามแตกฉาน
และได้รับยกย่องว่าเป็นปราชญ์ทางพระอภิธรรมท่านหน่ึง ต่อมาท่านได้รับ
การขอร้องจากนัมพะอุบาสกให้ช่วยเรียบเรียงพระอภิธรรมปิฎก ซ่ึงเป็น
คัมภีร์ท่ีมีความละเอียดลึกซึ้งและยากแก่การท�าความเข้าใจให้ส้ันและง่าย
เพื่อสะดวกแก่การศึกษาและจดจ�า พระอนุรุทธาจารย์จึงได้เรียบเรียง
พระอภิธรรมฉบบั ย่อนข้ี ้นึ และเรียกช่อื คัมภีร์นี้วา่ “อภิธัมมตั ถสงั คหะ”
อภธิ มมตถสงคห แยกเปน็ ๓ บท คอื
อภิธมฺม แปลว่า ธรรมอันย่ิงใหญ่ ธรรมอันวิเศษ ได้แก่
พระอภธิ รรม ๗ คมั ภีร์
อตถ แปลวา่ เน้อื ความ
สงคห แปลวา่ โดยย่อ
อภิธัมมัตถสังคหะ จงหมายถง คัมภีร์ ่งรวบรวมเนอความ
ของพระอภิธรรมทัง ๗ คัมภีร์ วโดยย่อ ่งเปรียบเสมอนแบบเรียนเรว
พระอภิธรรม แบ่งเป็น ๙ ปริจเ ท (๙ ตอน) แต่ละปริจเฉทมีเนื้อหา
โดยสังเขปดังนี้
ปริจเ ทท่ี ๑ จติ ตสังคหวภิ าค (จติ ปรมัตถ์)
แสดงเร่ือง ธรรมชาติของจติ ประเภทของจติ ท้ังโดยยอ่ และโดย
พสิ ดาร ทา� ใหเ้ ขา้ ใจถงึ จติ ประเภทตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ กศุ ลจติ อกศุ ลจติ วบิ ากจติ
กิริยาจติ มหัคคตจิต และโลกตุ ตรจิต
ปรจิ เ ทท่ี ๒ เจตสกิ สังคหวิภาค (เจตสกิ ปรมตั ถ)์
กล่าวถึงองค์ประกอบของจิต หรือเคร่ืองปรุงแต่งจิต (ภาษา
ธรรมะ เรยี กวา่ เจตสกิ ) ทที่ า� ใหจ้ ติ สามารถทา� งานได้ และทา� ใหจ้ ติ มลี กั ษณะ
แตกตา่ งกันไปถงึ ๘๙ ลกั ษณะ (โดยยอ่ ) หรือ ๑๒๑ ลกั ษณะ (โดยพสิ ดาร)
ปรจิ เ ทที่ ๓ ปกณิ ณกสังคหวภิ าค
แสดงการน�าจิตและเจตสิกมาสัมพันธ์กับธรรม ๖ หมวด ได้แก่
ความรู้สกึ ของจติ (เวทนา ๓ และ ๕) ตน้ เหตขุ องกศุ ลและอกุศล (เหตุ ๖)
หนา้ ท่ี ๑๔ ประการของจิต (กจิ ๑๔) ชอ่ งทางรับรู้ของจติ (ทวาร ๖) สิ่งทีจ่ ิตรู้
(อารมณ์ ๖) และทตี่ ั้งทอ่ี าศัยของจิต (วัตถุ ๖)
ปรจิ เ ทท่ี ๔ วิถสี ังคหวภิ าค
แสดงวิถีจิต อันได้แก่ กระบวนการท�างานของจิตที่เกิดทางตา
ทางหู ทางจมกู ทางลน้ิ ทางกาย ทางใจ เมอ่ื ได้ศึกษาปริจเฉทนแ้ี ล้วจะทา� ให้
รู้กระบวนการท�างานของจิตทุกประเภท บุญบาปไม่ได้เกิดที่ไหน เกิดที่
วิถีจิตนี้เอง ก่อนท่ีจะเกิดจิตบุญหรือจิตบาป จะมีจิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นก่อน
เพื่อคอยเปิดประตูให้เกิดจิตบุญหรือจิตบาป จิตดวงนี้เกี่ยวข้องกับการ
วางใจอย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) หรือการวางใจอย่างไม่แยบคาย
(อโยนโิ สมนสกิ าร) หากเราไดเ้ ขา้ ใจกจ็ ะมปี ระโยชนใ์ นการปองกนั มใิ หจ้ ติ บาป
เกดิ ขึ้นได้
ปริจเ ทท่ี ๕ วิถมี ตุ ตสงั คหวภิ าค
แสดงถงึ การทา� งานของจติ ขณะใกลต้ าย ขณะตาย (จตุ )ิ และขณะ
เกดิ ใหม่ (ปฏสิ นธ)ิ กลา่ วถงึ เหตแุ หง่ การตาย การเกดิ ของสตั วใ์ นภพภมู ติ า่ ง ๆ
โดยแบง่ ไดถ้ ึง ๓๑ ภพภูมิ (มนุษยภมู เิ ปน็ เพียง ๑ ใน ๓๑ ภูม)ิ ขณะใกล้
จะตายภาวะจิตเป็นเช่นไร ควรเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไรจึงจะไปเกิดใน
ภพภูมิท่ีดี พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าตายแล้วต้องเกิดใน
ทันทีทันใด มิใช่ตายแล้ววิญญาณ (จิต) ต้องล่องลอยเร่ร่อนเพ่ือไปหาท่ี
เกิดใหม่ และยงั ได้อธิบายเร่อื งของกรรม ลา� ดับแห่งการให้ผลของกรรมไว้
อยา่ งละเอยี ดลึกซึง้ ด้วย
ปรจิ เ ทท่ี ๖ รปู สงั คหวภิ าค และนพิ พาน (รปู ปรมตั ถ์ และนพิ พาน
ปรมตั ถ)์
เมื่อได้ศึกษาท�าความเข้าใจเร่ืองจิตและเจตสิก อันเป็นนามธรรม
มาแล้ว ในปรจิ เฉทที่ ๖ น้ี พระอนุรทุ ธาจารยไ์ ด้แสดงองค์ประกอบที่ส�าคญั
อีกอยา่ งหน่งึ ของมนุษย์ และส่งิ มีชวี ิตทัง้ หลาย นั่นก็คอื เรือ่ งของรูปร่างกาย
(รปู ธรรม) โดยจ�าแนกออกเปน็ รปู ชนิดต่าง ๆ ถึง ๒๘ ชนดิ และอธบิ ายถึง
สมฏุ ฐาน (เหต)ุ ในการเกดิ รปู แตล่ ะอยา่ งไวอ้ ยา่ งละเอยี ดพสิ ดาร ในตอนทา้ ย
ยังได้กล่าวถึงเรื่อง “พระนิพพาน” ว่ามีสภาวะอย่างไร อันจะท�าให้เข้าใจ
เร่อื งของพระนิพพานได้อยา่ งถกู ตอ้ งและชัดเจน
ปริจเ ทท่ี ๗ สมุจจยสงั คหวภิ าค
เมื่อได้ศึกษาปรมตั ถธรรม ๔ อนั ได้แก่ จติ เจตสิก รปู นพิ พาน
มาจากปรจิ เฉทที่ ๑ ถึง ๖ แล้ว ในปรจิ เฉทนี้จะแสดงธรรมที่เปน็ ายกศุ ล
ซึ่งให้ผลเป็นความสุข และธรรมท่ีเป็น ายอกุศลซ่ึงให้ผลเป็นความทุกข์
โดยความเป็นจริงแล้วกุศลจิต (จิตบุญ) และอกุศลจิต (จิตบาป) จะเกิด
สลับสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนจะเกิดจิตชนิดไหนมากน้อย
เพยี งใดนน้ั ยอ่ มขนึ้ อยกู่ บั คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของแตล่ ะบคุ คล คนทวั่ ไป
มักไม่เข้าใจและไม่รู้จักกับกุศลและอกุศลเหล่านี้ จึงท�าให้ชีวิตตกอยู่ใน
วฏั ฏทุกขไ์ มร่ จู้ ักจบสิ้น ในปรจิ เฉทที่ ๗ นี้ไดแ้ สดงธรรมสา� คัญ ๆ ทคี่ วรรู้
ได้แก่ อกุศลประเภทต่าง ๆ อุปาทานขันธ์ ๕ (ขันธ์ ๕ ท่ีถูกอุปาทาน
ยึดมั่นอย่างเหนียวแน่น) อายตนะ ๑๒ (สิ่งเชื่อมต่อเพื่อให้รู้อารมณ์)
ธาตุ ๑๘ (ธรรมชาตทิ ีท่ รงไว้ซ่ึงสภาพของตน) อรยิ สจั ๔ (ความจริงที่ทา� ให้
ผู้เข้าถงึ กลายเป็นพระอรยิ ะ) และโพธิปกั ขยิ ธรรม (ธรรมทเ่ี กื้อกลู การตรสั รู้
ธรรมท่ีเกื้อหนุนแก่อริยมรรค) มี ๓๗ ประการ คือ สติปัฏฐาน ๔
สัมมปั ปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรยี ์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมอี งค์ ๘
และหมวดธรรมอ่ืน ๆ ทสี่ �าคัญอีกมากมาย
ปริจเ ทที่ ๘ ปจจยสังคหวภิ าค
ในปรจิ เฉทน้ี ท่านได้แสดงเรื่องปฎจิ จสมุปบาท (เหตแุ ละปัจจยั ที่
ทา� ใหต้ อ้ งเวยี นวา่ ยตายเกดิ ในสงั สารวฏั ) ในตอนทา้ ยยงั ไดแ้ สดงความหมาย
ของบญั ญตั ิธรรม ซึง่ เป็นความจรงิ ทีช่ าวโลกบัญญัติขนึ้ มา หรือสมมุติขนึ้ มา
เรียกวา่ สมมตุ ิสจั จะ หรือ สมมตุ ิบัญญตั ิ (Artificial Truth , Conventional
Truth) ที่ยังมิใช่ความจริงอันเป็นที่สุด ที่เรียกว่า ปรมัตถธรรม (Absolute
Truth , Ultimate Reality)
ปรจิ เ ทท่ี ๙ กมั มฏั ฐานสงั คหวิภาค
กล่าวถึงกรรมฐาน ๒ แบบ คือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนา
กรรมฐาน ว่ามีวิธปี ฏบิ ตั ิทแ่ี ตกต่างกนั อย่างไร ผลทไี่ ด้รับ (อานิสงส์) ตา่ งกัน
อย่างไร เรื่องฌานสมาบัติ (รูปฌาน, อรูปฌาน) เรื่องอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ
หนทางสู่วิมุตติ (วิสุทธิ ๗) สติปัฏฐาน ๔ วิปัสสนาภูมิ ๖ ไตรลักษณ์
วิปัสสนาญาณ ๑๖ การประหาณกเิ ลสของพระอรยิ ะ และโลกตุ ตรธรรม ๙
เนอื้ ความในพระอภธิ รรมเกอื บทง้ั หมด (ยกเวน้ คมั ภรี ป์ คุ คลบญั ญตั )ิ
จะกล่าวถึงปรมัตถธรรมล้วน ๆ โดยไม่มีบัญญัติธรรม (สมมุติบัญญัติ)
เขา้ มาเกีย่ วขอ้ ง
า าย อง ร ั รร
ปรมตั ถธรรม คอ ธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ ความจรงิ อนั เปน็ ทส่ี ดุ (Absolute
Truth, Ultimate Reality) ที่ด�ารงลัก ณะเ พาะของตน วโดย ม่ ันแปร
เปลย่ี นแปลง เปน็ ธรรมทปี่ ฏเิ สธความเปน็ สัตว์ ความเปน็ บุคคล ความเป็น
อตั ตาตัวตนโดยสินเชิงมี ๔ ประการ คอ
๑ จิต
๒ เจตสกิ
๓. รูป
๔ นิพพาน
ปรมัตถธรรมทัง้ ๔ มคี วามหมายโดยยอ่ ดังนี้
จติ คอ ธรรมชาติที่ท�าหนาท่เี หน ดยนิ รบั กล่นิ รบั รส รูสัม สั
ถกู ตอง ตลอดจนธรรมชาตทิ ท่ี า� หเกดิ การคดิ นก จติ มที งั หมด ๘๙ ลกั ณะ
(โดยย่อ) หรอ ๑๒๑ ลัก ณะ (โดยพิสดาร) แต่เมอื่ กล่าวโดยสภาวะแลว้
มเี พียงหน่ึงเดยี วเท่านนั้ คือ รู้อารมณ.์ ..อารมณ์ เป็นภา าธรรมะ หมายถง
ธรรมชาตทิ ี่ถกู จติ รหู รอเครอ่ งยดหน่วงจิตอัน ดแก่ รปู เสียง กลิน่ รส ส่งิ ท่ี
กายสมั สั และเรอ่ งราวตา่ ง ทจ่ี ติ คดิ นก มไิ ดม้ คี วามหมายดงั ทใี่ ชก้ นั ทว่ั ไป
เชน่ อารมณด์ ี อารมณเ์ สยี หรอื มไิ ดห้ มายถงึ สภาพนสิ ยั ใจคอ เชน่ อารมณเ์ ยน็
อารมณร์ ้อน อารมณ์โรแมนติก อารมณข์ ัน ฯลฯ
จิตที่เกิดแต่ละขณะจะรับอารมณ์ ดเพียงอย่างเดียวเท่านัน เช่น
ในขณะท่ีเราดูโทรทัศน์ จิตท่ีเห็นภาพทางตากับจิตท่ีได้ยินเสียงทางหู
เป็นคนละขณะกนั ขณะที่เห็นภาพก็จะไม่ได้ยินเสียง ขณะทีไ่ ดย้ นิ เสียงก็จะ
ไม่เห็นภาพ แต่เพราะจิตเกิดดับสลับกันเร็วมากจึงท�าให้เราแยกไม่ออก
และเข้าใจผิดวา่ การเหน็ และการได้ยินนนั้ เกิดขน้ึ พรอ้ ม ๆ กัน แทจ้ รงิ แลว้
จิตแต่ละขณะจะรับอารมณ์ได้เพียงหนึ่งเดยี วเท่านั้น
เพอื่ ความชดั เจนในเรอื่ งจติ กบั อารมณ์ ขอใหพ้ จิ ารณาการรบั อารมณ์
ของจติ ทางประตูทงั้ ๖ (ทวารท้ัง ๖) ดังน้ี
ทางตา จิตทา� หนาที่เหน ส่ิงท่ีเหน คออารมณ์ทางตา
ทางหู จติ ท�าหนาที่ ดยิน เสยี งที่ ดยิน คออารมณ์ทางหู
ทางจมกู จิตทา� หนาทรี่ ูกล่ิน กลิ่น คออารมณ์ทางจมูก
ทางลนิ จิตทา� หนาทีร่ รู ส รส คออารมณ์ทางลนิ
ทางกาย จติ ท�าหนาทรี่ ูสมั สั ทางกาย สง่ิ ทก่ี ายสมั สั หรอสง่ิ ทม่ี ากระทบกาย
คออารมณ์ทางกาย
ทาง จ จติ ท�าหนาทคี่ ิดนก เรอ่ งราวท่คี ิดนก คออารมณท์ าง จ
ร สดง า สั ัน ระ ่าง
อาร าร า
อารมณ์ท้ัง ๖ ทวารทั้ง ๖ วญิ ญาณท้งั ๖
รูปารมณ์ จกั ขุวิญญาณ
(คลน่ื แสงสีต่าง ๆ) (เหน็ )
จกั ขุทวาร โสตวิญญาณ
(ไดย้ นิ )
สัททารมณ์ โสตทวาร
(เสียง) ฆานวิญญาณ
(รู้กลน่ิ )
คนั ธารมณ์ ฆานทวาร
(กล่นิ ) ชิวหาวญิ ญาณ
(รรู้ ส)
รสารมณ์
(รส)
ชวิ หาทวาร
โผฏฐพั พารมณ์ กายวิญญาณ
(สงิ่ ทีก่ ายสัมผสั (ร้สู ัมผัส
หรอื ส่ิงทีม่ ากระทบกาย)
หรอื รกู้ ระทบทางกาย)
กายทวาร
ธรรมมารมณ์ มโนวิญญาณ
(จติ ท่ีคิดนึก)
(เรื่องราวทค่ี ิดนึก)
มโนทวาร
จิตท่ีเกิดทางทวารทั้ง ๖ จะว่างจากอารมณ์ไม่ได้ เม่ือจิตเกิดข้ึน
ทุกคร้ังจะต้องมีอารมณ์ให้รู้เสมอ จิตคอตัวรู ส่วนอารมณ์คอตัวถูกรู
ดังนัน เม่อมีจิตกตองมีอารมณค์ ู่กันเสมอ
อารมณ์ทางตา (คล่ืนแสงสีต่าง ๆ) เรยี กว่า รปู ารมณ์
อารมณท์ างหู (เสียงตา่ ง ๆ) เรยี กวา่ สทั ทารมณ์
อารมณ์ทางจมกู (กล่นิ ตา่ ง ๆ) เรยี กว่า คันธารมณ์
อารมณ์ทางลน้ิ (รสตา่ ง ๆ) เรยี กว่า รสารมณ์
อารมณท์ างกาย (ส่ิงทก่ี ายสัมผัส หรือสง่ิ ที่มากระทบกาย ไดแ้ ก่
ปถวี คือ ความแข็ง ความออ่ น เตโช คอื ความร้อน ความเย็น
วาโย คอื ความหย่อน ความตงึ ) รวมเรียกว่า โ ฏฐัพพารมณ์
อารมณท์ ่ที างใจ (เร่อื งราวทีใ่ จคดิ นกึ )เรยี กว่า ธรรมมารมณ์
จติ ทีท่ �าหนา้ ที่เห็น (ทางตา) เรยี กวา่ จกั ขุวิ าณ
จิตที่ท�าหนา้ ทไ่ี ด้ยิน (ทางหู) เรียกว่า โสตวิ าณ
จิตที่ท�าหนา้ ท่ไี ด้รับกล่นิ (ทางจมกู ) เรยี กวา่ านวิ าณ
จิตทท่ี �าหน้าที่รบั รส (ทางลิน้ ) เรยี กว่า ชิวหาวิ าณ
จติ ทีท่ �าหนา้ ที่รสู้ มั ผสั (ทางกาย) เรียกวา่ กายวิ าณ
จิตทท่ี �าหน้าท่ีคิด นึก (ทางใจ) เรียกวา่ มโนวิ าณ
จติ กบั วิ าณ คอสง่ิ เดยี วกนั (เปน็ ศพั ทท์ ม่ี คี วามหมายเดยี วกนั )
นอกจากนี้ จิต กบั วญิ ญาณยังมีชอ่ื อื่น ๆ อกี เชน่ วิญญาณขันธ์ มนนิ ทรยี ์
มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ มนายตนะ เป็นต้น
จติ เปน็ นามธรรม มที งั หมด ๘๙ ลกั ณะ (โดยยอ่ ) และ ๑๒๑ ลกั ณะ
(โดยพสิ ดาร) ซงึ่ จะได้ศกึ ษารายละเอียดในบทต่อไป
๒
เจตสิก คอ ธรรมชาติที่ประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิต ท�า หเกิด
ความรูสก นก คิด และการกระท�าต่าง ทงั นทางที่ดีและ มด่ ี มีทังหมด
๕๒ ชนิด (ประกอบดวย เวทนาเจตสิก ๑ สั าเจตสิก ๑ และสังขาร
เจตสิก ๕๐)
เจตสิกเป็นนามธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คอเกิดพรอมกับจิต ดับ
พรอมกับจิต รูอารมณ์เดียวกันกับจิต และอาศัยท่ีเกิดที่เดียวกันกับจิต
การท่ีจิตโกรธหรือจิตโลภ เป็นเพราะมีเจตสิกเข้าประกอบปรุงแต่งให้
เกิดความโกรธหรือความโลภน่ันเอง จิตเปรียบเสมือนน�้าท่ีไม่มีสี เจตสิก
เปรียบเสมือนสีท่ีหยดลงในน�้าแล้วท�าให้น้�าเปล่ียนเป็นสีต่าง ๆ หรืออีก
นยั หนงึ่ จติ เปรยี บเสมอื นเมด็ ยา เจตสกิ เปรยี บเสมอื นตวั ยาทอ่ี ยใู่ นเมด็ ยานนั้
จติ
เจตสิก
เจตสกิ
เจตสิก
แมวา่ จติ จะเปน็ ประธาน นการรอู ารมณก์ จรงิ แตก่ ารรอู ารมณข์ องจติ
จะเกดิ ขน ดกตองอาศยั เจตสกิ ประกอบปรงุ แตง่ ลา� พงั จติ อยา่ งเดยี ว มส่ ามารถ
รอู ารมณ์ ด เปรียบเสมอนเรอกับคนพายเรอทต่ี องอิงอาศยั กนั ล�าพังแค่เรอื
อย่างเดียวไม่สามารถจะแล่นไปสู่จุดหมายปลายทางได้ หรืออีกนัยหน่ึง
จิตเปรียบเสมอื นนาฬิกา เจตสิกเปรยี บเสมอื นเฟืองจักรต่าง ๆ ทอี่ ยภู่ ายใน
เพ่ือท�าให้นาฬิกาสามารถทา� งานได้
จิตเกิดโดย ม่มีเจตสิก ม่ ด และเจตสิกกเกิดโดย ม่มีจิต ม่ ด
เนื่องจากจิตและเจตสิกเป็นสิ่งที่ต้องเกิดร่วมกันตลอดเวลา ดังนัน
เมอ่ พดู ถงจติ ก หเขา จวา่ มเี จตสกิ เกดิ รว่ มดวยทกุ ครงั เสมอ ป การอธบิ าย
นหนังสอเล่มนีบางครังจงเขียนว่า จิต เจตสิก เพ่อ หระลก วเสมอว่า
จิตและเจตสิกเป็นธรรมชาติท่ีตองเกิดร่วมกัน ตองอิงอาศัย ่งกันและกัน
และ ม่สามารถแยกออกจากกัน ด
๓
รูป เปน็ สภาวะที่รอู ารมณ์ ม่ ด รปู ท่ีมวี ิญญาณ (จติ เจตสกิ )
เกิดร่วมด้วย ได้แก่ ร่างกายของมนุษย์และสัตว์ท้ังหลาย ส่วนรูปท่ีไม่มี
วญิ ญาณ (จติ เจตสกิ ) เกดิ รว่ มดว้ ย ไดแ้ ก่ ตน้ ไม้ พชื กอ้ นหนิ โตะ ตู้ ประตู
หน้าตา่ ง ยานพาหนะ วตั ถุส่ิงของนานาชนดิ และสรรพสิง่ ทง้ั ปวงทีไ่ มม่ ีชวี ิต
รูปเป็นธรรมชาติทไี่ ม่มีความรู้สึกนกึ คิดใด ๆ ทงั้ สิ้น (เปรียบดัง
ท่อนไม)้ ...ส่วนนามธรรม อันประกอบด้วย จิต เจตสิก จะทา� หน้าทร่ี บั รู้
สง่ิ ท่ีมาปรากฏทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย ทา� หนา้ ที่คิดนกึ เรือ่ งราวตา่ ง ๆ และ
สง่ั การใหเ้ กิดการกระทา� ตา่ ง ๆ ทั้งทางกายและทางวาจา
นิพพาน (นิบ-พาน) เม่ือแยกออกแล้วมี ๒ บท คือ นิ วาน
นิ แปลวา่ พน้ สน้ิ ไป...พาน มาจาก วาน แปลวา่ เคร่ืองเกยี่ วโยงอันหมายถงึ
ตณั หา...นพิ พานจงหมายถง สภาวะทพี่ นจากตณั หา
พระพุทธองค์ทรงค้นพบว่าสัตว์ท้ังหลายท่ีต้องเวียนว่ายอยู่ใน
สังสารวัฏก็เพราะยังมีกิเลส และทรงพบว่ามีวิธีการอย่างหนึ่งที่จะส�ารอก
กิเลสได้คือการปฏิบัติตามมรรคทั้ง ๘ ผู้ที่ปฏิบัติตามมรรคทั้ง ๘ ได้
อยา่ งสมบูรณแ์ ลว้ กิเลสทั้งหลายก็จะคอ่ ย ๆ ถูกท�าลายจนหมดสิ้นไป
นิพพานโดยความดำ� รงอยู่ของขันธ์ ๕ มี ๒ ประเภท คอื
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ยังเป็นไปกับขันธ์ ๕
หมายถึง การท่ีประหาณกิเลสได้หมดส้ินแล้ว (กิเลสนิพพาน) แต่ขันธ์ ๕
ยังมกี ารเกิดดับอย่างต่อเน่ือง ซ่ึงหมายถึง พระอรหนั ตท์ ย่ี ังมีชวี ติ อยู่
๒. อนปุ าทเิ สสนพิ พาน คอื นพิ พานทป่ี ราศจากขนั ธ์ ๕ ซง่ึ หมายถงึ
นพิ พานของพระอรหนั ต์ (ผหู้ มดจดจากกเิ ลส) และท่านได้ละสงั ขารไปแล้ว
(คือ กเิ ลสกไ็ ม่เหลือ ขันธ์ ๕ กไ็ ม่เหลือ) หรือทเี่ รียกว่า ปรินพิ พาน (ปริ =
โดยรอบ) เมอื่ ปรนิ พิ พานแล้ว จิต+เจตสิก จะหยดุ การสืบต่อและดับลงโดย
สิ้นเชิง นิพพานมิได้อยู่บนฟ้าหรือมีดินแดนอยู่ ณ ท่ีใด เมื่อพระอรหันต์
ปรนิ พิ พานไปแลว้ กจ็ ะไมม่ กี ารเกดิ อกี หรือไม่มีภพใหมช่ าติใหมอ่ กี ต่อไป
นพิ พาน เป็นจุดหมายสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนาทีพ่ ุทธศาสนกิ ชน
ท้งั หลายจะตอ้ งพยายามเข้าถึงให้จงได้ จึงจะเรยี กได้ว่าเป็นพทุ ธสาวก หรือ
เปน็ ทายาทผู้รับมรดกธรรมในพระพทุ ธศาสนานี้
14
นั กับ ร ั รร
ขันธ์ ๕ กบั ปรมตั ถธรรม ๔ (จติ เจตสิก รูป นิพพาน) มคี วาม
สมั พันธก์ นั ดงั นี้
๑ รูปขันธ์ คือ รปู
ชีวิต คอื การทา� งาน ๒ เวทนาขนั ธ์ รวมเรยี กว่า
ร่วมกนั ของธรรมชาติ ๓ สัญญาขันธ์
๕ ประการ รวมเรียก เจตสิก
๔ สังขารขนั ธ์
ขนั ธ์ ๕ ได้แก่ จติ + เจตสกิ
๕ วญิ ญาณขนั ธ์ คือ จติ
ดังนั้น ขันธ์ ๕ กค็ อื การทา� งานของ รปู และ จติ + เจตสิก นัน่ เอง
ส่วน “นพิ พาน” เป็นธรรมชาตทิ พี่ นจากขนั ธ์ ๕ เรยี กวา่ ขันธวิมุตติ
า าย อง ัน
ขนั ธ์ แปลว่า กอง หรือ ส่วน
ขนั ธ์ ๕ หมายถง สว่ นประกอบ ๕ สว่ นทร่ี วมตวั เปน็ ชวี ติ อนั ดแก่
๑ รูปขันธ์ คือ ส่วนของชีวิตท่ีรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ไม่ได้
โดยสมมุติสัจจะ หมายถึง ร่างกายของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง
โดยปรมตั ถสจั จะ หมายถง รปู ปรมตั ถ์ ๒๘ ชนดิ ทเี่ ปน็ สว่ นประกอบของกาย
๒ เวทนาขนั ธ์ คอื สว่ นทเี่ สวยอารมณ์ (ความรสู้ กึ ตอ่ อารมณ)์ ไดแ้ ก่
ความรู้สึกสุขกาย สุขใจ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรือรู้สึกเฉย ๆ ่งเกิดจาก
การทา� งานของ เวทนาเจตสิก (เปน็ เจตสกิ ชนิดหน่งึ ใน ๕๒ ชนิด)
๓ สั าขนั ธ์ คอื สว่ นทท่ี า� หนา้ ทจ่ี ดจา� สง่ิ ตา่ ง ๆ และเรอื่ งราวตา่ ง ๆ
ง่ เกดิ จากการทา� งานของ สั าเจตสกิ (เปน็ เจตสกิ ชนดิ หนง่ึ ใน ๕๒ ชนดิ )
๔ สงั ขารขนั ธ์ คอื องคป์ ระกอบทที่ า� ใหจ้ ติ ทา� งานได้ และปรงุ แตง่
ใหจ้ ิตมีลักษณะต่าง ๆ นานา เจตสกิ ทท่ี า� หนาท่ีนี คอ สังขารเจตสิก ซ่ึงกค็ อื
เจตสิกท่เี หลอื อีก ๕๐ ชนิด มที ง้ั ายอกศุ ล ( ายบาป) ายกศุ ล ( ายบญุ )
และ ายทม่ี ิใช่ทัง้ กุศลและอกศุ ล (อพยากฤต)
สังขารเจตสิก ายอกุศล เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ความไม่ละอายต่อบาป ความไม่กลัวบาป ความฟุงซ่าน ความเห็นผิด
ไม่เชื่อบาปบุญคุณโทษ ความถือตัวทะนงตน ความริษยา ความตระหนี่
ความเรา่ รอ้ นใจ ความหดหทู่ อ้ ถอย ความงว่ งเหงาหาวนอน ความลงั เลสงสยั
เปน็ ต้น
สงั ขารเจตสกิ ายกุศล เชน่ ความมศี รัทธา ความมีสตลิ ะเว้นบาป
ความละอายบาป ความเกรงกลวั บาป ความไมโ่ ลภ ความไมโ่ กรธ ความไมห่ ลง
ความสงบ ไม่ฟุงซ่าน ความเบาใจโปร่งใจ ความอ่อนโยนไม่แข็งกระด้าง
เวน้ การ า่ สตั ว์ เวน้ การลกั ทรพั ย์ เวน้ การประพฤตผิ ดิ ในกาม เวน้ การพดู ปด
เว้นการพูดยุยงส่อเสียด เว้นการพูดค�าหยาบ เว้นการพูดเพ้อเจ้อ มีความ
กรุณา คิดประกอบแต่อาชีพสุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและสัตว์อื่น และ
ความมปี ัญญา เป็นต้น
นอกจากน้ียังมีสังขารเจตสิกที่เป็นกลาง ๆ (มิใช่กุศลและมิใช่
อกุศล) ซง่ึ จะกลา่ วโดยละเอยี ดเมอ่ื ถงึ เร่อื งเจตสกิ
สังขารเจตสิกนีเป็นตัวการที่ปรุงแต่ง หจิตท�างาน ด และท�า ห
จิตมีลัก ณะต่าง กันถง ๘๙ ลัก ณะ (โดยย่อ) หรอ ๑๒๑ ลัก ณะ
(โดยพิสดาร) ซงึ่ จะกลา่ วโดยละเอียดในบทตอ่ ไป
๕ วิ าณขนั ธ์ (วิ าณ) หรอื เรยี กอีกอย่างวา่ “จติ ” มหี นา้ ที่
ร้อู ารมณ์ท่มี าปรากฏทางตา หู จมกู ลิ้น กาย และใจ
วิ าณมิ ช่สง่ิ ที่สงิ สถติ อยู่ นกายมนุ ย์ และล่องลอยออกจาก
ร่างเพ่อ ปหาท่ีเกิด หม่หลังจากตายแลวตามท่ีเขา จ ิดกันมาโดยตลอด
แต่วิ าณ นภา าธรรมะ หมายถง จิต ่งเป็นธรรมชาติท่ีรูอารมณ์
ทางทวารทัง ๖ น่นั เอง
จิต (หรอวิ าณ) จะเกิดขนโดย ม่มีเจตสิก ๓ ชนิด ( ดแก่
เวทนาเจตสกิ สั าเจตสกิ สงั ขารเจตสกิ ) ม่ ดเดดขาด ลา� พงั จติ อยา่ งเดยี ว
ไม่สามารถรับรู้หรือนึกคิดอะไรได้เลย จิตและเจตสิกต้องเกิดร่วมกัน
องิ อาศยั กนั แตล่ ะขณะของจติ จะตอ้ งมเี จตสกิ เกดิ ร่วมด้วยเสมอ (ดงั รปู )
จติ (วญิ ญาณขนั ธ์)
เวทนาเจตสกิ (เวทนาขันธ์)
สัญญาเจตสกิ (สัญญาขันธ)์
สงั ขารเจตสกิ (สังขารขนั ธ)์
ใน ๑ ขณะจิตจะมสี งั ขารเจตสกิ
เกดิ ร่วมดว้ ยอยา่ งน้อยทีส่ ุด ๕ ชนดิ
(ดูตารางสังคหนยั ที่หน้า ๒๑๑ - ๒๑๒)
โดยความเปน็ จรงิ แลว “จติ ” มิ ดมรี ปู รา่ งสณั ฐาน ด เพราะ “จติ ”
เป็นนามธรรม ท่ีแสดงเปน็ วงกลมเปน็ เพียงภาพสั ลกั ณ์แทน ๑ ขณะจติ
เทา่ นนั
า าย องบั ั รร
บั ัติธรรม หรอ สมมตุ สิ จั จะ คอื สิ่งทมี่ นุษย์สรา้ งความหมาย
ขน้ึ มาเพื่อให้รูว้ า่ คอื อะไร เปน็ อะไร เชน่ นาย ก นาย ข บุคคล ตัวตน ผหู้ ญิง
ผชู้ าย ทศิ เหนอื ทศิ ใต้ วนั จนั ทร์ วนั องั คาร ขา้ งขนึ้ ขา้ งแรม เดอื น ๘ เดอื น ๑๐
ปชี วด ปฉี ลู เวลาเชา้ เวลาเยน็ เวลา ๒๔.๐๐ น. พลเอก อธบิ ดี รฐั มนตรี เหรยี ญ
๕๐ สตางค์ ธนบัตร ๑๐๐ บาท ระยะทาง ๑ กิโลเมตร นา�้ หนกั ๑ กโิ ลกรมั
เนื้อท่ี ๑ ไร่ แม้แต่ ต้นไม้ ภูเขา แม่น�้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หนังสือ
ปากกา นาฬิกา บา้ น โตะ เกา้ อี้ แก้วนา้� ช้อน ชาม พดั ลม วทิ ยุ เกวียน เรือ
รถยนต์ คน และสัตว์ท้ังหลาย...ฯลฯ ล้วนเป็นบัญญัติธรรม หรือ สมมุติ
สจั จะ (ความจรงิ โดยสมมตุ )ิ ทงั้ ส้นิ
หากไมม่ มี นษุ ยเ์ กดิ ขนึ้ ในโลกน้ี ความหมายของสง่ิ ตา่ ง ๆ ทม่ี นษุ ย์
บัญญัติขึ้นมาว่าเป็นนั่นเป็นน่ี มีชื่อเรียกอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น
แมแ้ ต่ ต้นไม้ ภเู ขา แม่น�้า พน้ื ดนิ ดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ ตลอดถงึ ส่ิงต่าง ๆ
ทอ่ี ยรู่ อบตวั เรา กเ็ ปน็ เพยี งธรรมชาติ ทป่ี ราศจากความหมาย และปราศจากชอ่ื
ทง้ั ส้ิน
า รง ระดบั
บญั ญตั ธิ รรมทงั้ หลายทห่ี อ้ มลอ้ มตวั เราในชวี ติ ประจา� วนั รวมถงึ
ความเปน็ ตวั เรา เปน็ ของเรา มศี ีรษะ มลี �าตัว มแี ขน ตา มีการท�างานของ
อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย มชี อ่ื นามสกลุ มยี ศถาบรรดาศักด์ิ ตา� แหนง่ หน้าท่ี
เกยี รตยิ ศชอื่ เสยี ง ฐานะทางครอบครวั ฐานะทางสงั คม ญาตสิ นทิ มติ รสหาย
และบรวิ ารทง้ั หลาย ลว้ นเปน็ ความจรงิ ชนั เปลอกนอกทเ่ี รยี กวา่ สมมตุ บิ ั ตั ิ
หรอ สมมุติสัจจะ (Artificial Truth, Conventional Truth)
ยังมีความจริงอีกระดับหน่ึง ซ่ึงเป็นความจริงภาย นระดับลกสุด
ของมนุ ย์และสัตว์ทังหลาย และเป็นความจริงอันเป็นท่ีสุด ที่เรียกว่า
ปรมัตถธรรม หรอปรมัตถสัจจะ๑ (Absolute Truth, Ultimate Reality)
ความจริงในระดับนี้เป็นการท�างานของจิต เจตสิก และรูป ที่มีการ
เกิด-ดับ-เกิด-ดับ สืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา เป็นความจริงของธรรมชาติ
ท่ีปราศจากความมีตัวตน ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
แต่พระพทุ ธองคส์ ามารถเข้าถงึ ได้ รไู้ ดด้ ้วยพระสพั พญั ญตุ ญาณแล้วจงึ ทรง
นา� มาแสดงใหพ้ วกเราไดร้ ตู้ าม ผทู้ ป่ี ระจกั ษแ์ จง้ ความจรงิ ชน้ั นจ้ี ะสามารถละ
อัตตาตวั ตน ละกิเลส และบรรลุมรรคผลนพิ พานได้ในทส่ี ดุ
๑ ความจรงิ อนั เปน็ ทส่ี ดุ ภาษาธรรมะเรยี กวา่ ปรมตั ถสจั จะ หรอื ปรมตั ถธรรม เปน็ ธรรมชาติ
ที่อยู่ภายในมนุษย์และสัตว์ท้ังหลาย สามารถอธิบายได้ด้วยจิต ๘๙ ดวง (โดยย่อ)
หรอื ๑๒๑ ดวง (โดยพิสดาร), เจตสิก ๕๒ และ รูป ๒๘
มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายล้วนมี จิต เจตสิก และรูป เป็น
ส่วนประกอบ กล่าวคือ
มนุ ยก์ มี จิต เจตสกิ และรปู
เทวดากมี จติ เจตสิก และรปู
รปู พรหมกมี จติ เจตสกิ และรปู
สตั ว์ นอบายภมู ทิ งั ๔ กมี จติ เจตสกิ และรปู จะแตกตา่ งกนั ก็
ทรี่ ปู รา่ งหนา้ ตา ผวิ พรรณ ซงึ่ เกดิ ขน้ึ ดว้ ยอา� นาจของกรรมทก่ี ระทา� ไวใ้ นอดตี
จิต เจตสิก และรูป มีลักษณะสามัญตามธรรมชาติ (สามั ลัก ณะ) อยู่
๓ ประการ คือ
๑ อนจิ จลกั ณะ คอื ลกั ษณะทไ่ี มเ่ ทย่ี ง ไมค่ งท่ี ตอ้ งเปลยี่ นแปลง
อยูต่ ลอดเวลา
๒ ทกุ ขลกั ณะ คือ ลกั ษณะทีท่ นอยู่ในสภาพเดมิ ไม่ได้ เกดิ ขึน้
แลว้ ต้องดับไปอยู่ตลอดเวลา
๓ อนัตตลัก ณะ คือ ลักษณะท่ีว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน
และไมส่ ามารถบงั คับบญั ชาได้ สามัญลักษณะทั้ง ๓ นี้ เรยี กวา่ ตรลกั ณ์
จิต เจตสิก และรูป กคอส่วนประกอบของมนุ ย์และสัตว์
ทงั หลาย สว่ นนพิ พานเปน็ ธรรมภายนอกที่ มม่ อี ยู่ นตวั เราและสตั วท์ งั หลาย
ด้วยเหตุนี้การศึกษาเรื่องจิต เจตสิก และรูป จึงเป็นการศึกษาการท�างาน
ของชวี ติ และการหมนุ เวยี นเปลย่ี นภพของสรรพสตั วท์ ง้ั หลาย ซง่ึ เปน็ เนอ้ื หา
ของพระอภธิ รรมนน่ั เอง
การส ด ระอ รร นงาน
ตามหลักฐานของท่านผู้รู้กล่าวว่ามีการนา� เอาพระอภิธรรมมาสวด
ในพิธีศพของพุทธศาสนิกชนชาวไทยต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และท่านได้
ใหค้ วามเหน็ วา่ การบา� เพญ็ กศุ ลในงานศพเพอื่ อทุ ศิ ใหผ้ วู้ ายชนมน์ น้ั เปน็ เรอื่ ง
เกี่ยวกับความรัก ความกตัญญูต่อผู้วายชนม์ซ่ึงจากไปไม่มีวันกลับ การท่ี
พทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยนา� เอาคมั ภรี พ์ ระอภธิ รรมเขา้ มาเกยี่ วขอ้ งกบั ประเพณี
น้ันตามขอ้ สันนิษฐาน คงจะเกิดจากเหตผุ ลประการตา่ ง ๆ ดงั น้ี
ประการแรก เป็นเพราะพระอภธิ รรมไมก่ ลา่ วถึงสตั ว์ ไมก่ ล่าวถึง
บุคคล ไม่มตี วั ตนอะไรทัง้ สนิ้ แตจ่ ะกระจายชีวติ ของสตั วท์ ้งั หลายท่ีรวมกนั
เป็นกลุ่มก้อนออกเป็นขันธ์ ๕ บ้าง อายตนะ ๑๒ บ้าง ธาตุ ๑๘ บ้าง
อนิ ทรยี ์ ๒๒ บา้ ง อนั ปราศจากตวั ตน ซงึ่ กค็ อื การทา� งานของจติ เจตสกิ และ
รูป นัน่ เอง
การไดฟ้ งั พระอภธิ รรมจะทา� ใหผ้ ฟู้ งั นอ้ มนา� มาเปรยี บเทยี บกบั การ
จากไปของผวู้ ายชนม์ ทา� ใหเ้ หน็ สจั ธรรมทแี่ ทจ้ รงิ ของชวี ติ ทา่ นโบราณบณั ติ
คงจะเหน็ วา่ ในงานเชน่ นเ้ี ปน็ โอกาสอนั ดที ที่ า่ นผฟู้ งั และทา่ นผรู้ ว่ มบา� เพญ็ กศุ ล
ในงานศพจะสามารถพิจารณาเหน็ ความจรงิ ของชีวิตไดโ้ ดยงา่ ย จงึ ไดน้ �าเอา
พระอภิธรรมมาแสดงใหฟ้ งั
อกี ประการหนง่ เพราะเหน็ วา่ ในการตอบแทนพระคณุ พทุ ธมารดา
ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ นน้ั ทา่ นไดเ้ สดจ็ ขน้ึ ไปทรงแสดงพระอภธิ รรมเทศนา
บนสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ สเ์ พอื่ โปรดพทุ ธมารดาซง่ึ สนิ้ พระชนมแ์ ลว้ และไปเกดิ เปน็
เทวดา ดงั นน้ั เมอื่ บพุ การอี นั ไดแ้ ก่ มารดา บดิ า ถงึ แกก่ รรมลง ทา่ นผเู้ ปน็ บณั ติ
จงึ ไดน้ า� เอาพระอภธิ รรมเขา้ มาเกย่ี วขอ้ งในการบา� เพญ็ กศุ ลใหแ้ กผ่ วู้ ายชนมโ์ ดย
ถือว่าเป็นการสนองพระคุณมารดา บิดา ตามแบบอย่างพระจริยวัตรของ
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตอ่ มาถงึ แมว้ า่ ทา่ นผวู้ ายชนมจ์ ะมใิ ชม่ ารดาบดิ ากต็ าม
แตก่ ารนา� เอาพระอภิธรรมมาแสดงในงานศพกถ็ ือเปน็ ประเพณไี ปแลว้
ประการสุดทาย เพราะเช่ือว่าพระอภิธรรมเป็นค�าสอนข้ันสูงที่มี
เนื้อหาละเอียดลึกซ้ึงเกี่ยวกับปรมัตถธรรม ๔ (จิต เจตสิก รูป นิพพาน)
หากน�ามาแสดงในงานบ�าเพ็ญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์แล้ว ผู้วายชนม์จะได้
บญุ มาก
การสวดพระอภธิ รรมกค็ อื การน�าเอาคา� บาลีขึ้นต้นสั้น ๆ ในแต่ละ
คัมภีร์ของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์มาเรียงต่อกัน การสวดพระอภิธรรมนี
บางทเี รยี กวา่ สวดมาตกิ า ถา้ เปน็ งานพระศพบคุ คลสา� คญั ในราชวงศเ์ รยี กวา่
พิธีสดับปกรณ์ ่งเพียนมาจากค�าว่า สตั ตปกรณ์ อันหมายถึงพระอภิธรรม
๗ คมั ภรี น์ น่ั เอง (สตั ต เจ็ด ปกรณ์ คมั ภีร์ ตา� รา)
ต่อมาภายหลังมีผู้น�าเอาคาถาในพระอภิธัมมัตถสังคหะของ
พระอนุรุทธาจารย์มาสวดเป็นท�านองสรภัญญะ (คือการสวดเป็นจังหวะ
ส้นั - ยาว) เรยี กวา่ สวดสงั คหะ โดยน�าเอาคา� บาลี นตอนตนและตอนทาย
ของแตล่ ะปรจิ เ ท ่งมีทงั หมด ๙ ปริจเ ทมาเรียงตอ่ กันเป็นบทสวด
ระ ยชน ากการ ก า ระอ รร
ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรมมีอยู่มากมาย
หลายประการ แตท่ ส่ี า� คัญมโี ดยสังเขปดังน้ี
๑. การศกึ ษาพระอภธิ รรมจะทา� ใหเ้ ขา้ ถงึ แกน่ ของพระพทุ ธศาสนา
เพราะพระอภธิ รรมเกดิ จากพระสพั พญั ญตุ ญาณของพระพทุ ธองค์ การเขา้ ถงึ
พระอภิธรรมจงึ เท่ากบั เข้าถึงพระปญั ญาคุณของพระพุทธองค์อยา่ งแท้จรงิ
๒. การศึกษาพระอภิธรรม ก็คือศึกษาธรรมชาติการท�างานของ
กายและใจซ่ึงเป็นธรรมชาติท่ีมีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้เกิด
ความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั เรอื่ งจิต (วญิ ญาณ) เรื่องเจตสิก เรอ่ื งอา� นาจจิต
เร่ืองวิถีจิต เร่ืองกรรมและการส่งผลของกรรม เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
เรือ่ งสตั วใ์ นภพภูมิต่าง ๆ และเรอ่ื งกลไกการทา� งานของกิเลส ทา� ให้รวู้ ่าชีวิต
ของเราในชาติปัจจุบันน้ีมาจากไหน และมาได้อย่างไร มีอะไรเป็นเหตุ
มีอะไรเป็นปัจจัย เม่ือได้ค�าตอบชัดเจนดีแล้วก็จะรู้ว่าตายแล้วไปไหนและ
ไปไดอ้ ยา่ งไร อะไรเปน็ ตวั เชอ่ื มโยงระหวา่ งชาตนิ ก้ี บั ชาตหิ นา้ ทา� ใหห้ มดความ
สงสัยวา่ ตายแลว้ เกดิ อีกหรอื ไม่ นรก สวรรค์ มีจรงิ ไหม ทา� ใหม้ ีความเขา้ ใจ
เรื่องกรรม และการส่งผลของกรรม (วิบาก) อยา่ งละเอยี ดลกึ ซึง้
๓. ผู้ศึกษาพระอภิธรรมจะเข้าใจเรื่องของปรมัตถธรรมซ่ึงเป็น
ความจรงิ อยา่ งทส่ี ดุ (AbsoluteTruth,UltimateReality)ทพ่ี น้ จากสมมตุ บิ ญั ญตั ิ
(ArtificialTruth,ConventionalTruth)ความรจู้ ากพระอภธิ รรมจะทา� ใหเ้ กดิ
ปัญญาที่จะละอัตตาตัวตน เพราะรู้ว่าแท้จริงแล้วมิได้มีสัตว์ มิได้มีบุคคล
มไิ ดม้ อี ตั ตาตัวตน ตามท่หี ลงเข้าใจผิดมาตลอด
๔. ผู้ศึกษาพระอภิธรรมจะเข้าใจเรื่องของปรมัตถธรรม หรือ
ความจริงอันเป็นที่สุดของธรรมชาติ ในพระอภิธรรมจะแยกสภาวะออก
ให้เห็นว่าทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลอะไรท้ังน้ัน คงมีแต่
สภาวธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ท่ีวนเวียนอยู่ในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
โดยอาศัยเหตุ อาศยั ปจั จยั อุดหนนุ ซ่งึ กันและกัน เกดิ ข้ึนแล้ว กด็ บั ไป เกิด
ขนึ้ ใหมแ่ ลว้ กด็ บั ไปอกี มสี ภาพเกดิ ดบั อยเู่ ชน่ น้ี โดยไมร่ จู้ กั จบจกั สน้ิ แมใ้ คร
จะรหู้ รอื ไมร่ กู้ ต็ าม สภาวธรรมทงั้ ๓ นกี้ ท็ า� งานอยเู่ ชน่ นโี้ ดยไมม่ เี วลาหยดุ พกั
เลย สภาวธรรมหรอื ธรรมชาตเิ หลา่ นมี้ ใิ ชเ่ กดิ ขนึ้ จากพระผเู้ ปน็ เจา้ พระพรหม
พระอนิ ทร์ หรอื สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธใ์ิ ด ๆ เปน็ ผบู้ นั ดาลหรอื เปน็ ผสู้ รา้ ง แตส่ ภาวธรรม
เหล่านเี้ ปน็ ผลอันเกดิ มาจากเหตุ คอื กเิ ลสตณั หานน่ั เองที่เปน็ ผู้สรา้ ง
๕. การศกึ ษาพระอภธิ รรมจะทา� ใหเ้ ขา้ ใจสภาวธรรมอกี ประการหนง่ึ
อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาที่ต้องการให้เข้าถึง นั่นก็คือ
นพิ พาน อันเปน็ สภาวะทหี่ ลดุ พน้ จากกเิ ลสตณั หา ผทู้ ี่ปราศจากกเิ ลสตณั หา
แล้ว เมื่อสิ้นชีวิตลงก็จะไม่มีการสืบต่อของจิต เจตสิกและรูปอีกต่อไป
ไม่มกี ารสบื ตอ่ ภพชาติ หยดุ การเวยี นวา่ ยตายเกิดอยา่ งสมบูรณ์ จงึ พน้ จาก
ทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง นิพพานมิใช่เป็นแดนสุขาวดีท่ีเป็นอมตะและ
เพียบพร้อมดว้ ยความสขุ ล้วน ๆ ชว่ั นิรนั ดรตามทคี่ นสว่ นใหญ่เขา้ ใจผิดกนั
๖. การศึกษาพระอภิธรรมจะท�าให้เข้าใจค�าสอนที่มีคุณค่าสูงสุด
ในพระพุทธศาสนา เพราะแค่การท�าทาน รักษาศีล และการท�าสมาธิ ก็ยัง
มิใช่ค�าสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา เน่ืองจากเป็นเหตุให้ต้องเกิด
มารับผลของกุศลเหล่าน้ันอีก ท่านเรียกว่า วัฏฏกุศล เพราะกุศลชนิดน้ี
ยังไมท่ า� ใหพ้ น้ ไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ค�าสอนที่มคี ่าสูงสุดในพระพทุ ธ
ศาสนา คือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐาน ๔ เพื่อ
ให้เห็นว่าทั้งนามธรรม (จิต เจตสิก) และรูปธรรม (รปู ) มสี ภาพทีไ่ ม่เทยี่ ง
ทนอยไู่ มไ่ ด้ ไมใ่ ชต่ วั ตน บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ มกี ารเกดิ ดบั เกดิ ดบั ตลอดเวลา
หาแกน่ สาร หาตวั ตน หาเจา้ ของไมไ่ ดเ้ ลย เมอ่ื มปี ญั ญาเหน็ แจง้ ในสภาวธรรม
ตามความเป็นจริงเช่นนี้แล้ว ก็จะน�าไปสู่การประหาณกิเลสและเข้าถึง
พระนพิ พานได้ในที่สดุ
๗. การศกึ ษาพระอภธิ รรมจะทา� ใหเ้ ขา้ ใจเรอื่ งอารมณข์ องวปิ สั สนา
ซึ่งต้องใช้นามธรรม และรูปธรรมเป็นอารมณ์ เมื่อก�าหนดรู้อารมณ์ในการ
ปฏบิ ัติวปิ สั สนากรรมฐานได้ถูกต้อง การปฏิบตั กิ ย็ ่อมได้ผลตามท่ตี อ้ งการ
๘. การศึกษาพระอภิธรรมเป็นการสั่งสมปัญญาบารมีที่ประเสริฐ
ทส่ี ดุ ไม่มวี ิทยาการใด ๆ ในโลกที่ศึกษาแลว้ จะท�าให้เกดิ ปญั ญารแู้ จง้ โลก
เทา่ กบั การศกึ ษาพระอภิธรรม
๙. การศึกษาพระอภิธรรมเป็นการช่วยกันรักษาหลักธรรม
ค�าสอนของพระพุทธองค์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง และเป็นการช่วยสืบทอด
พระพทุ ธศาสนาใหม้ ั่นคงสถาพรสบื ตอ่ ไป
บ ่ี
รรม า อง
ล ร เ อง
ตามที่ทราบแล้วว่า จิต หรอ วิ าณ หมายถง
ส่ิงเดียวกัน นอกจากนี้ “จิต” ยังมีช่ือเรียกอีกหลายช่ือ เช่น
มโน มนสั มนินทรยี ์ มโนธาตุ มโนวญิ ญาณธาตุ มนายตนะ
และวิญญาณขันธ์ แม้จะเรียกช่ืออย่างไรก็ตาม ชื่อเหล่านั้น
กห็ มายถงึ “จติ ” ง่ เปน็ ธรรมชาติที่รูอารมณ์ น่นั เอง
การ างาน อง
การท�างานของจิตจะเกิดดับสบต่อกัน ปอย่าง ม่ขาดสาย ใน
พระสตู รตอนหนง่ึ พระพทุ ธองคท์ รงแสดงไวว้ า่ “ยากทจ่ี ะนา� สงิ่ อน่ ทงั หลาย
นโลกมาเปรยี บเทยี บกบั ความเกดิ ดบั อนั รวดเรวของจติ เพราะจติ เกดิ ดบั
รวดเรวกวา่ สง่ิ ด นโลก เพยี งชวั่ ลดั นวิ มอ จติ จะเกดิ ดบั ถงแสนโกฏขิ ณะ”
หรือเกิดดับด้วยความเร็วหน่ึงล้านล้านขณะจิตต่อวินาทีโดยประมาณ
(แสนโกฏิ เทา่ กับ หนงึ่ ล้านลา้ น และประมาณว่าการงอนิว้ มอื เขา้ หา ามอื จะ
ใชเ้ วลาประมาณ ๑ วินาท)ี
ทวี่ ่า “จติ ” มีการเกดิ ดับสืบตอ่ อยา่ งไม่ขาดสาย เพราะหลงั จากท่ี
จติ ดวงกอ่ นเกดิ ขนึ้ และดบั ไป จติ ดวงหลงั กจ็ ะเกดิ ตดิ ตอ่ กนั ทนั ทแี ลว้ กด็ บั ไป
อกี เปน็ เชน่ น้ตี อ่ เน่อื งขา้ มภพข้ามชาติกนั มานานแสนนานแลว้ (ดังในภาพ)
ภพที่ ๑ (อดตี ) ภพที่ ๒ (ปจั จุบนั ) ภพที่ ๓ (อนาคต)
จป จป
ตาย เกดิ ใหม่ ตาย เกิดใหม่
จิตเป็นนามธรรมท่ีไม่มีรูปร่างสัณฐาน ที่เขียนเป็นดวงกลม ๆ น้ันเป็น
เพยี งภาพสัญลักษณ์แทน ๑ ขณะจิตเทา่ นั้น
จ จุตจิ ติ คอื ตายนนั่ เอง
ป ปฏสิ นธิจติ คอื เกิดใหม่
ภาวะท่ีจิตเกิดดับสืบต่อกันเป็นกระแสนี้ท่านเรียกว่า สันตติ
ซงึ่ สามารถเปรียบเทยี บได้กบั กระแสน้�าที่ประกอบไปดว้ ยอณเู ลก็ ๆ ของนา�้
ที่เรียงตดิ ตอ่ กันเปน็ สาย
เมอื่ ใดกต็ ามทจี่ ติ ออกมารบั รเู้ รอื่ งราว (อารมณ)์ ทางประตู (ทวาร)
ทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เม่ือนั้นจิตจะขึ้นสู่วิถีซ่ึงเรียกว่า
วิถีจิต เม่ือสิ้นสุดแต่ละวิถีก็จะมีภวังคจิตท่ีคอยรักษาภพชาติเกิดค่ันอยู่
ทกุ ครงั้ แตเ่ ราจะไมร่ สู้ กึ ตวั เพราะการเปลยี่ นแปลงกลบั ไปกลบั มานนั้ เกดิ ขน้ึ
รวดเร็วมาก แม้แต่แสงไฟจากหลอดไฟฟาท่ีเราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มีการ
กะพริบ (เกิด - ดับ) ตามความถ่ีของไฟฟากระแสสลับด้วยความเร็วเพียง
๕๐ ครง้ั ตอ่ วนิ าที เรากย็ งั ไมส่ ามารถสงั เกตเหน็ การกะพรบิ ของแสงไฟไดเ้ ลย
ดงั นนั้ จติ ซึ่งมีการเกิดดบั อยา่ งรวดเรว็ ถงึ ประมาณ ๑ ล้านลา้ นครงั้ ต่อวนิ าที
จงึ ไม่นา่ สงสยั เลยว่าเพราะเหตุใดเราจงึ ไม่สามารถรู้สึกได้
สภาพรูทังหลายเกิดจากจิต แต่ปุถุชนจะเข้าใจผิดว่า เราเห็น
เราได้ยนิ เรารู้กลน่ิ เรารรู้ ส เราเย็น เราร้อน เรารสู้ ึก เราคิดนึก แทจรงิ แลว
สภาพรูทังหลายเป็น “จิต” ม่ ช่เรา เพราะเป็นเพียงสภาวธรรมที่เกิดข้ึน
ตามเหตุตามปจั จยั เกิดข้ึนแลว้ ก็ดบั ไปอยา่ งรวดเร็ว หาแกน่ สาร หาเจา้ ของ
หาตวั ตนมไิ ด้เลย มแี ต่ “จติ ” กับ “อารมณ”์ เท่านนั ท่ีเกดิ ขน ตงั อยู่ แลว
กดับ ป เพราะไม่รู้ความจริงเช่นน้ี จึงหลงผิดคิดว่าเป็นเราอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เพราะมีเรานี้เองจึงได้มีแต่ความทุกข์อยู่ตลอด
เพราะมีเรานี้เองจึงมีความรู้สึกเหมือนกับแบกโลกไว้ท้ังโลก ถ้าเอา “เรา”
ออกเสียได้ก็จะรสู้ กึ เหมือนกบั ว่ากา� ลงั ยืนอยเู่ หนือโลก
ลัก ะ อง
จิตมีลกั ณะสามั ตามธรรมชาติ (สามั ลกั ณะ) อยู่ ๓ ประการ คอ
๑ อนจิ จลัก ณะ คือ มีลักษณะท่ีไม่เท่ียง ไม่คงท่ี ต้อง
เปลี่ยนแปลง (เกดิ -ดับ) อยูต่ ลอดเวลา
๒ ทกุ ขลกั ณะ คือ มีลักษณะท่ีทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
(เกิดขนึ้ แล้วต้องดับไป)
๓ อนัตตลัก ณะ คือ มีลักษณะท่ีมิใช่ตัว มิใช่ตน ไม่อยู่ใน
อา� นาจบงั คบั บญั ชาของผใู้ ด จะบงั คบั ใหห้ ยดุ
การเกดิ ดับกไ็ มไ่ ด้
ลกั ษณะสามญั ทง้ั ๓ ประการนี้ เปน็ กฎธรรมชาตทิ เ่ี รยี กวา่ ตรลกั ณ์
(รปู ธรรมอนั ไดแ้ ก่ รปู และนามธรรมอนั ไดแ้ ก่ จติ เจตสกิ ยอ่ มมลี กั ษณะสามญั
ท่ีเรียกวา่ ไตรลกั ษณ์เหมือนกนั ท้ังหมด)
นอกจากจติ จะมลี กั ษณะสามญั ตามทก่ี ลา่ วมาแลว้ จติ ยงั มลี กั ณะ
พเิ ศ เ พาะตวั หรอวิเสสลัก ณะ (วิ-เส-สะ-ลกั -สะ-หนะ) อกี ๔ ประการ
คือ
๑. มีการร้อู ารมณ์ เป็นลักษณะ
๒. เปน็ ประธานในธรรมทงั้ ปวง เปน็ กจิ
๓. มกี ารเกิดดับสบื ต่อกนั อย่างไมข่ าดสาย เป็นผล
๔. มีอดีตกรรม ทวาร อารมณ์ และเจตสิก เป็นเหตุใกล้ให้จิต
เกดิ ข้ึน
กด อง
เปลวเทียนต้องอาศัยไส้เทียนในการลุกไหม้ฉันใด จิตจะเกิดข้ึน
ได้กต็ อ้ งอาศยั ทีต่ ั้งฉันน้นั ที่ต้งั อนั เป็นท่อี าศัยเกิดของจติ มี ๖ แห่ง คอื
๑ ประสาทตา ภาษาธรรมะเรียกว่า จักขุปสาทรูป (จัก-ขุ-ปะ-
สา-ทะ-รูป) เป็นที่ต้ังของจิตที่ท�าหน้าที่เห็น (จักขุวิญญาณ) อยู่กลางตาด�า
มคี วามสามารถในการรบั คล่ืนแสง (รปู ารมณ)์ ทม่ี ากระทบ
๒ ประสาทหู ภาษาธรรมะเรยี กวา่ โสตปสาทรูป (โส-ตะ-ปะ-สา-
ทะ-รูป) เป็นที่ต้ังของจิตท่ีท�าหน้าท่ีได้ยิน (โสตวิญญาณ) อยู่ภายในช่องหู
มคี วามสามารถในการรับเสยี ง (สัททารมณ์) ที่มากระทบ
๓ ประสาทจมกู ภาษาธรรมะเรยี กว่า านปสาทรปู (คา-นะ-ปะ-
สา-ทะ-รูป) เป็นท่ีต้ังของจิตท่ีท�าหน้าท่ีรับกลิ่น ( านวิญญาณ) อยู่ภายใน
ช่องจมูก มีความสามารถในการรบั กล่ิน (คนั ธารมณ)์ ทม่ี ากระทบ
๔ ประสาทลิน ภาษาธรรมะเรียกว่า ชิวหาปสาทรูป (ชิว-หา-
ปะ-สา-ทะ-รูป) เป็นทตี่ ้งั ของจติ ท่ที �าหน้าท่ีรบั รส (ชวิ หาวญิ ญาณ) อยทู่ ีล่ น้ิ
มีความสามารถในการรับรส (รสารมณ์) ท่มี ากระทบ
๕ ประสาทกาย ภาษาธรรมะเรยี กวา่ กายปสาทรปู (กา-ยะ-ปะ-สา-
ทะ-รปู ) เปน็ ทตี่ งั้ ของจติ ทรี่ บั รกู้ ารสมั ผสั ทางกาย (กายวญิ ญาณ) ประสาทกายนี้
จะเกิดอยทู่ ั่วรา่ งกาย (ยกเวน้ ท่ปี ลายผม ขน เลบ็ และหนังทหี่ นากระด้าง)
มคี วามสามารถในการรับสง่ิ สมั ผสั ต่าง ๆ คอื รับรปู เยน็ ร้อน ออ่ น แขง็
หย่อน ตงึ (โผฏฐพั พารมณ์) ทมี่ ากระทบทางกาย
ขอควรจ�า ปสาทรูป (ปะ-สา-ทะ-รูป) ทั้ง ๕ นี้เปน็ รูปปรมตั ถ์
ซ่ึงมีสภาพเป็นเพียงความใสท่ีรับกระทบอารมณ์ได้ มิใช่เส้นประสาทท่ีทาง
การแพทยอ์ ธบิ ายไว้ (เสน้ ประสาททจี่ บั ตอ้ งไดแ้ ละมองเหน็ ไดเ้ ปน็ บญั ญตั ธิ รรม
มิใชป่ รมตั ถธรรม)
๖ หทยรูป เป็นที่ต้ังที่อาศัยของจิตท่ีเกิดทางใจ (มโนวิ าณ)
หทยรูปน้ีจะตั้งอยบู่ รเิ วณหัวใจ
อานา อง
จิต หรือ วิญญาณ นี้ นอกจากจะเป็นธรรมชาติท่ีรู้อารมณ์ตาม
ที่ทราบแล้ว ยังท�าหน้าที่เป็นประธานในธรรมทั้งปวงคือ การงานต่าง ๆ
ทง้ั ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่วา่ จะเป็นบญุ (กศุ ลกรรม) หรอื เป็นบาป
(อกุศลกรรม) จะส�าเร็จได้ก็ด้วยจิตท้ังส้ิน ดังในธรรมบทท่ีแสดงไว้ว่า
มโนปพุ พงคมา ธมมา มโนเสฏ มโนมยา ซง่ึ มคี วามหมายวา่ ธรรมทงั หลาย
มจี ิตเป็นหวั หนา มจี ิตเปน็ ห ่ สา� เรจ ดดวยจติ
แมจ้ ติ จะเปน็ นามธรรมทไี่ มม่ รี ปู รา่ งตวั ตนกจ็ รงิ แตม่ อี า� นาจวเิ ศษ
อย่างนา่ อัศจรรยแ์ ละวจิ ิตรพสิ ดารยิง่ นกั กล่าวคอื
๑ มอี า� นาจ นการกระทา� ไมว่ า่ จะเปน็ การทา� งานของอวยั วะนอ้ ยใหญ่
ในรา่ งกาย การพดู การเคลอื่ นไหว การกระทา� ตา่ ง ๆ ตลอดจนการคดิ กเ็ กดิ ขนึ้
จากจิตท้ังสิ้น สรรพสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถ เรือ เคร่ืองบิน ยานอวกาศ
อาวธุ ยทุ โธปกรณ์ อปุ กรณส์ อ่ื สาร คอมพวิ เตอร์ สงิ่ อา� นวยความสะดวกตา่ ง ๆ
สิ่งก่อสรา้ ง ภาพวาด วทิ ยาการและเทคโนโลยีตา่ ง ๆ ฯลฯ ล้วนเกดิ จากจิต
เป็นผู้คิดทั้งสิ้น
๒ มีอ�านาจดวยตนเอง จิตจะมีสภาพต่าง ๆ อย่างน่าพิศวง
เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบา้ ง โลภะบ้าง โทสะบา้ ง บางคร้งั ก็ทา� หน้าท่ีเสวยผล
ของบญุ (กศุ ลวบิ ากจติ ) บางครง้ั กท็ า� หนา้ ทเี่ สวยผลของบาป (อกศุ ลวบิ ากจติ )
บางครั้งก็อยู่เหนือบุญ บาป (กิริยาจิต) ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดอีกคร้ังใน
เร่ืองประเภทของจิต
๓ มีอ�านาจ นการสรางกรรม จิตเป็นต้นเหตุให้เกิดการท�าบุญ
ท�าบาป ท�าฌาน ท�าอรูปฌาน แสดงอิทธิฤทธ์ิต่าง ๆ ตลอดจนมีอ�านาจใน
การทา� ลายอนุสยั กิเลสทเ่ี ป็นเหตใุ หม้ ีการเวียนว่ายตายเกดิ
๔ มอี า� นาจ นการรกั าวบิ าก (ผลของกรรม) การกระทา� ทงั้ หลาย
ทไ่ี ดก้ ระทา� ลงไปแลว้ ไมว่ า่ บญุ หรอื บาป แมจ้ ะนานเพยี งใดกต็ าม กภี่ พกช่ี าติ
ก็ตาม ผลของการกระท�าเหล่านนั้ ยอ่ มตดิ ตามส่งผลไดต้ ลอดไป จนกวา่ จะ
ปรินิพพานกด็ ้วยอ�านาจของจิต
๕ มอี า� นาจ นการสง่ั สมสนั ดานของตนเอง การกระทา� ใด ๆ หาก
กระทา� อยบู่ อ่ ย ๆ กระทา� อยเู่ สมอ ๆ กจ็ ะตดิ เปน็ สนั ดานและคดิ จะทา� เชน่ นน้ั
อยู่รา�่ ไปกด็ ้วยอ�านาจของจติ
๖ มีอ�านาจ นการรับอารมณต์ ่าง ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิน้
กาย และใจ
แม้จิตจะเกดิ ดับอยู่ตลอดเวลากต็ าม แต่ บาป บุญ ท่ีทา� ไว้ และ
อนุสัยกิเลสท่ีนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานจะไม่สูญหายไปพร้อมกับการดับ
ของจิตแต่ละดวง ท้ังนี้เพราะจิตดวงใหม่มีเหตุมีปัจจัยมาจากจิตดวงเดิม
และจิตดวงใหมท่ ี่เกดิ ขนึ้ ก็เป็นเหตปุ จั จัยใหแ้ กจ่ ิตดวงต่อ ๆ ไป เพื่อสบื ตอ่
บาปบญุ และกิเลสทส่ี ่งั สมไว้ไปจนกว่าจะปรินิพพาน
การ า นก ระ อง
การกระท�าต่าง ๆ ทางกายและทางวาจา ความโลภ ความโกรธ
ความหลง การเห็น การได้ยิน การรับกล่ิน การรับรส การรับรู้ทางกาย
การคดิ นกึ เรอื่ งราวตา่ ง ๆ การทา� บญุ การทา� บาป การเขา้ ฌาน การเขา้ อรปู ฌาน
การแสดงอิทธฤิ ทธ์ติ า่ ง ๆ การเกดิ ใหม่ การรักษาภพชาติ การตาย ตลอดถงึ
การบรรลุมรรคผล ล้วนเกิดได้ก็เพราะ “จิต” ท้งั ส้ิน
ด้วยเหตุนี้จิตจึงมีลักษณะต่าง ๆ มากมายถึง ๑๒๑ ลักษณะ๒
ซงึ่ สามารถจ�าแนกเปน็ ประเภทต่าง ๆ ดงั รูปในหน้าถัดไป
๒ จติ ท้งั ๑๒๑ ลกั ษณะน้ี แต่ละลักษณะจะแทนดว้ ยสญั ลักษณ์รปู วงกลมเปน็ ดวง ๆ แต่
ขอใหร้ ะลกึ ไวเ้ สมอวา่ จติ เปน็ นามธรรมทไี่ มม่ รี ปู รา่ งสณั ฐานใด ๆ การเขยี นรปู วงกลมเพอ่ื
แสดงลักษณะต่าง ๆ ของจติ เป็นเพียงภาพสมมุติเพอ่ื ใชเ้ ป็นส่อื การสอนเทา่ น้นั
ัง สดงการ า นก ระ อง
อกุศลจิต ๑๒ โลภมูลจติ ๘
โทสมูลจิต ๒
โมหมูลจติ ๒
กามาวจรจติ อเหตุกจติ ๑๘ อกศุ ลวปิ ากจิต ๗
๕๔๔ อเหตุกกศุ ลวปิ ากจติ ๘
อเหตุกกริ ยิ าจิต ๓
มหากศุ ลจิต ๘
กามาวจรโสภณจิต ๒๔ มหาวิปากจติ ๘
มหากริ ิยาจิต ๘
จติ ๘๙ (๑๒๑)๓ รูปาวจรจิต ๑๕ รปู าวจรกุศลจติ ๕
รปู าวจรวปิ ากจติ ๕
ฌานจติ ๓๕ มหคั คตจิต ๒๗ รปู าวจรกริ ยิ าจิต ๕
(๖๗)๕
อรปู าวจรจติ ๑๒ อรูปาวจรกุศลจิต ๔
อรูปาวจรวปิ ากจิต ๔
อรปู าวจรกิริยาจติ ๔
มรรคจิต ๔ (๒๐) โสดาปตั ตมิ รรคจติ ๑ หรอื ๕
สกทาคามิมรรคจิต ๑ หรือ ๕
อนาคามมิ รรคจิต ๑ หรือ ๕
อรหตั ตมรรคจิต ๑ หรือ ๕
โลกุตตรจติ ๘ (๔๐)
ผลจติ ๔ (๒๐) โสดาปตั ติผลจติ ๑ หรือ ๕
สกทาคามิผลจิต ๑ หรอื ๕
อนาคามิผลจิต ๑ หรอื ๕
อรหตั ตผลจติ ๑ หรอื ๕
๓ จิต ๘๙ (๑๒๑) หมายถึง จิตโดยย่อมี ๘๙ ลักษณะ (๘๙ ดวง) โดยพิสดารมี
๑๒๑ ลักษณะ (๑๒๑ ดวง)
๔ กามาวจรจติ ๕๔ หมายถงึ กามาวจรจติ มี ๕๔ ลกั ษณะ (๕๔ ดวง)
๕ ฌานจิต ๓๕ (๖๗) หมายถึง ฌานจิตโดยย่อมี ๓๕ ลักษณะ (๓๕ ดวง) โดยพิสดารมี
๖๗ ลกั ษณะ (๖๗ ดวง)
ร สดงการ า นก ระ อง
กามาวจรจิต ๕๔ โลภมูลจิต ๘
กามาวจรโสภณ ิจต ๒๔ อเหตุกจิต ๑๘ อกุศลจิต ๑๒ โทสมูลจิต ๒
โมหมูลจติ ๒
อกุศลวปิ ากจติ ๗
อเหตุกกุศลวปิ ากจิต ๘
อเหตกุ กิรยิ าจติ ๓
มหากุศลจิต ๘
มหาวปิ ากจติ ๘
มหากริ ยิ าจิต ๘
มหัคคต ิจต ๒๗ มรรค ิจต ๔ ( ๒๐ ) อ ูรปาวจร ิจต ๑๒ ูรปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจรกุศลจติ ๔ รูปาวจรกุศลจิต ๕
อรปู าวจรวปิ ากจิต ๔ รปู าวจรวิปากจติ ๕
ฌานจิต ๓๕ (๖๗) อรปู าวจรกริ ยิ าจิต ๔ รูปาวจรกิรยิ าจติ ๕
โลกุตตรจิต ๘ (๔๐) ผล ิจต ๔ ( ๒๐ ) โสดาปัตตมิ รรคจติ ๑ หรอื ๕
สกทาคามมิ รรคจิต ๑ หรอื ๕
อนาคามิมรรคจติ ๑ หรือ ๕
อรหตั ตมรรคจติ ๑ หรอื ๕
โสดาปัตติผลจติ ๑ หรอื ๕
สกทาคามิผลจิต ๑ หรือ ๕
อนาคามิผลจติ ๑ หรอื ๕
อรหัตตผลจิต ๑ หรือ ๕
คือ จติ ท่ใี ชท้ า� อภญิ ญาได้
หมายเหตุ ช่อของจติ แตล่ ะดวง หดทู ่ีภาค นวก ก
ลัก ะ ดง
บ่ง น ระ ่อ
หรือเรยี กส้ัน ๆ ว่า กามจติ เปน็ จิตท่เี กดิ ขน้ึ ในชวี ิตประจ�าวันของ
บุคคลท้ังหลาย ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม สัตว์นรก
เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน ย่อมมีกามาวจรจิตเกิดขึ้นเป็นปกติ
ดังนัน กามาวจรจิตจงเป็นจิตพนฐานของสัตว์ทังหลาย ท้ังน้ีเพราะ โลภะ
โทสะ โมหะ จติ ทท่ี า� บญุ จติ ทที่ า� บาป จติ ทที่ า� หนา้ ทเ่ี หน็ ไดย้ นิ รบั กลนิ่ รบั รส
รับรู้ทางกาย และคิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งท่ีเป็นกุศลและอกุศล ล้วนเป็น
กามาวจรจิตท้งั ส้นิ
กามาวจรจติ มที ังหมด ๕๔ ดวง แบง่ เป็น ๓ ประเภทยอ่ ย คอ
๑ ๑ อกุศลจิต ๑๒ (อะ-กุ-สน-ละ-จิต) เป็นจิต ายบาป
มที งั้ หมด ๑๒ ดวง
๑ ๒ อเหตุกจติ ๑๘ (อะ-เห-ตุ-กะ-จติ ) เป็นจติ ทท่ี า� หน้าที่เห็น
ได้ยิน รับกลนิ่ รบั รส รบั รู้ทางกาย และทา� หนา้ ทบ่ี างอย่างในวิถจี ติ รวมถึง
การยม้ิ ของพระอรหนั ต์ มที งั้ หมด ๑๘ ดวง
๑ ๓ กามาวจรโสภณจติ ๒๔ (กา-มา-วะ-จะ-ระ-โส-พะ-นะ-จติ )
เป็นจติ ายบญุ มที ้ังหมด ๒๔ ดวง
๒
คอื จติ ท่ีเกย่ี วขอ้ งกับฌาน อภญิ ญา (การแสดงอิทธิฤทธิต์ า่ ง ๆ)
และมรรคผล
านจิต มที ังหมด ๓๕ (๖๗) ดวง แบง่ เป็น ๒ ประเภทย่อย คอ
๒ ๑ มหคั คตจติ ๒๗ (มะ-หัค-คะ-ตะ-จิต) เป็นจิตทีเ่ กย่ี วข้อง
กบั ฌานสมาบตั ิ ทั้งรปู ฌาน อรปู ฌาน และอภญิ ญา
๒ ๒ โลกุตตรจิต ๘ หรอ ๔๐ (โล-กุด-ตะ-ระ-จิต) เป็นจิตท่ี
เกี่ยวข้องกับมรรค-ผล-นพิ พาน
รายละเอียดของจิตแต่ละประเภท และแต่ละดวง จะกล่าวโดยละเอียดใน
บทตอ่ ไป
อ ุกศลจิต ๑๒บ ี่
อก ล
กามาวจรจิตประเภทแรกที่จะกล่าวถึงในบทนี้คอื อกศุ ลจติ ๑๒
อกุศลจติ คือ จติ ท่ีมอี กุศลเจตสกิ (เครอื่ งปรงุ แตง่ จิต ายอกศุ ล
เป็นองค์ประกอบ) เป็นจิตท่ีแสดงความโลภ ความโกรธ และความหลง
แบง่ ออกเปน็ ๓ กลมุ่ คอื
กล่มุ ที่ ๑ คอื โลภมูลจิต มี ๘ ดวง
กลุ่มที่ ๒ คอื โทสมูลจิต มี ๒ ดวง
กลุ่มที่ ๓ คอื โมหมลู จิต มี ๒ ดวง
กลมุ่ ที่ ๑ โลภมูลจติ ๘
กลุ่มที่ ๒ โทสมลู จติ ๒
กลุ่มที่ ๓ โมหมูลจิต ๒