The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่มที่ ๑

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by warayut, 2020-11-25 03:53:33

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่ม ๑

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่มที่ ๑

จติ หมายเลข ๔๒ เปน็ วบิ ากจติ ...อนั เปน็ ผลจากมหากศุ ลจติ หมายเลข๓๔
ทีเ่ กดิ ขึ้นเพราะถกู ชักชวน พร้อมดว้ ยความดีใจ ไมป่ ระกอบดว้ ยปญั ญา

จติ หมายเลข ๔๓ เปน็ วบิ ากจติ ...อนั เปน็ ผลจากมหากศุ ลจติ หมายเลข ๓๕
ทเี่ กดิ ขนึ้ เองโดยไมต่ อ้ งชกั ชวน พรอ้ มดว้ ยความเฉย ๆ ประกอบดว้ ยปญั ญา

จติ หมายเลข ๔๔ เปน็ วบิ ากจติ ...อนั เปน็ ผลจากมหากศุ ลจติ หมายเลข ๓๖
ทเ่ี กิดขึน้ เพราะถกู ชกั ชวน พร้อมดว้ ยความเฉย ๆ ประกอบด้วยปัญญา

จติ หมายเลข ๔๕ เปน็ วบิ ากจติ ...อนั เปน็ ผลจากมหากศุ ลจติ หมายเลข๓๗
ทเ่ี กดิ ขน้ึ เองโดยไมต่ อ้ งชกั ชวน พรอ้ มดว้ ยความเฉย ๆ ไมป่ ระกอบดว้ ยปญั ญา

จติ หมายเลข ๔๖ เปน็ วบิ ากจติ ...อนั เปน็ ผลจากมหากศุ ลจติ หมายเลข ๓๘
ท่เี กดิ ขน้ึ เพราะถูกชกั ชวน พรอ้ มดว้ ยความเฉย ๆ ไม่ประกอบดว้ ยปญั ญา

มหาวบิ ากจติ ท้ัง ๘ ดวงน้ี จะมหี น้าท่นี า� เกิด (ปฏิสนธ)ิ เปน็ มนษุ ย์
หรือเทวดา ส่วนจะเป็นมนุษย์หรือเทวดาชั้นไหนนั้น ขึ้นอยู่กับกุศลท่ีท�าไว้
ว่าเป็นติเหตุกกุศล หรือทวิเหตุกกุศล และข้ึนกับเจตนาท้ัง ๓ กาล
ซ่ึงจะเป็นตัวก�าหนดช้ีว่ากุศลกรรมท่ีท�าไปนั้นเป็นอุกกัฏฐกุศล หรือ
โอมกกศุ ล ดงั กล่าวมาแลว้

มหาวิบากจิตท้ัง ๘ ดวงน้ีหลังจากท�าหน้าที่ปฏิสนธิ (น�าเกิด)
เปน็ มนษุ ยห์ รอื เทวดา แล้วยังท�าหนา้ ทเี่ ปน็ ภวังค์เพือ่ รกั ษาภพชาตคิ วามเปน็
มนุษย์หรือเทวดาให้ด�ารงอยู่จนกว่าจะส้ินอายุ และยังท�าหน้าที่จุติ (ตาย)
จากภพนั้น ๆ ด้วย

ในคัมภีร์อัฏฐสาลินี อรรถกถาธัมมสังคณี กล่าวว่า “จิตที่
ท�าหนาที่ปฏิสนธิ นชาติสุดทายของพระสัพพั ูโพธิสัตว์ ( ูที่ถอก�าเนิด
เพ่อมาตรัสรูเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจา) ทุกพระองค์ย่อมถอปฏิสนธิ
(นา� เกิด) ดวยมหาวปิ ากจิตทเี่ ปน็ อสงั ขารกิ เปน็ ติเหตุกะ และเกดิ พรอมดวย
โสมนสั เวทนา (มหาวปิ ากจติ ดวงที่ ๑) อันมีพระเมตตาเป็นประธานเพอ่ มา
บ�าเพ ประโยชนเ์ กอกูลแกส่ รรพสัตวท์ งั หลาย หพนจากทกุ ขท์ ังปวง”

กล่ ากรยา

กิริยาจิตเป็นจิตท่ี ม่ ช่กุศลและอกุศล เป็นจิตท่ี ม่ส่ง ล น
อนาคต มหากริ ยิ าจติ ๘ คอมหากศุ ลจติ ๘ นนั่ เอง ถาเกดิ กบั บคุ คลอน่ ทมี่ ิ ช่
พระอรหันตจ์ ะเรยี กวา่ มหากศุ ลจติ ๘ แต่ถาเกดิ กับพระอรหนั ต์จะเรียกว่า
มหากิรยิ าจิต ๘

มหากริ ยิ าจติ ๘ เปน็ จติ ทที่ า� ใหเ้ กดิ การกระทา� การพดู และการคดิ
ของพระอรหันต์ผู้ท�าลายกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว การกระท�าต่าง ๆ ของ
พระอรหนั ตจ์ งึ ไมเ่ ปน็ ทงั้ บญุ และบาป และจะไมส่ ง่ ผลใหเ้ กดิ วบิ ากในอนาคต
อกี ตอ่ ไป

ากรยา ลกั ะ ด ก่

กามาวจรโสภณ ิจต ๒๔ กล่มุ ท่ี ๑
มหากุศลจติ ๘

กลุ่มที่ ๒
มหาวปิ ากจติ ๘

กลุ่มท่ี ๓
มหากริ ิยาจิต ๘

ากรยา ัง้ ด ง ลกั ะดังน้

กิรยิ า ไมต่ ้องชกั ชวน กิริยา ถกู ชกั ชวน กริ ยิ า ไม่ตอ้ งชกั ชวน กิรยิ า ถูกชกั ชวน
ดีใจ ดใี จ
ดใี จ + ปัญญา ดใี จ + ปญั ญา

กิริยา ไม่ตอ้ งชกั ชวน กิรยิ า ถูกชักชวน กิริยา ไมต่ ้องชักชวน กิริยา ถกู ชักชวน
เฉย ๆ เฉย ๆ
เฉย ๆ + ปัญญา เฉย ๆ + ปญั ญา

จิตหมายเลข ๔๗ เป็นกิริยาจิตที่เกิดข้ึนเองโดยไม่ต้องชักชวน
พร้อมดว้ ยความดใี จ ประกอบดว้ ยปญั ญา

จิตหมายเลข ๔๘ เป็นกิริยาจิตท่ีเกิดข้ึนเพราะถูกชักชวน
พรอ้ มด้วยความดีใจ ประกอบด้วยปญั ญา

จิตหมายเลข ๔๙ เป็นกิริยาจิตท่ีเกิดข้ึนเองโดยไม่ต้องชักชวน
พรอ้ มดว้ ยความดีใจ ไมป่ ระกอบด้วยปัญญา

จติ หมายเลข ๕๐ เปน็ กริ ยิ าจติ ทเี่ กดิ ขนึ้ เพราะถกู ชกั ชวน พรอ้ มดว้ ย
ความดีใจ ไมป่ ระกอบด้วยปญั ญา

จิตหมายเลข ๕๑ เป็นกิริยาจิตที่เกิดข้ึนเองโดยไม่ต้องชักชวน
พร้อมดว้ ยความเฉย ๆ ประกอบดว้ ยปัญญา

จติ หมายเลข ๕๒ เปน็ กริ ยิ าจติ ทเี่ กดิ ขนึ้ เพราะถกู ชกั ชวน พรอ้ มดว้ ย
ความเฉย ๆ ประกอบดว้ ยปัญญา

จิตหมายเลข ๕๓ เป็นกิริยาจิตท่ีเกิดข้ึนเองโดยไม่ต้องชักชวน
พร้อมดว้ ยความเฉย ๆ ไม่ประกอบดว้ ยปัญญา

จิตหมายเลข ๕๔ กริ ยิ าจิตทีเ่ กดิ ขึ้นเพราะถกู ชักชวน พร้อมด้วย
ความเฉย ๆ ไมป่ ระกอบด้วยปญั ญา

มหากริ ยิ าจติ ทป่ี ระกอบดว้ ยปญั ญาสามารถเกดิ ไดก้ บั พระอรหนั ต์
ในโอกาสต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

๑. ในขณะท่ีทา่ นกา� ลงั แสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์
๒. ในขณะทท่ี ่านก�าลังพจิ ารณาหวั ขอ้ ธรรมบางประการ
๓. ในขณะทท่ี า่ นกา� ลงั พจิ ารณาปลงสงั เวชในความเปน็ ไปของสตั ว์
ท้ังหลาย ตามผลของบุญและบาปทสี่ ัตว์นนั้ ๆ ไดก้ ระท�าไว้

๔. เกิดข้ึนในขณะที่พระอรหันต์ก�าลังพิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว
ในปัจจเวกขณญาณ หลังจากท่อี รหตั ตมรรค อรหตั ตผลได้ดับลงแล้ว

๕. เกิดข้ึนในขณะท่ีพระอรหันต์ต้องการเข้าฌานสมาบัติ ก่อนที่
ฌานกิริยาจิตจะเกิดขึ้น มหากิริยาจิตท่ีประกอบด้วยปัญญาต้องเกิดขึ้น
เปน็ บาทฐานกอ่ น

๖. เกิดข้ึนในขณะท่ีพระอรหันต์ต้องการเข้าผลสมาบัติ ก่อนที่
ผลสมาบัติจะเกิดข้ึน มหากิริยาจิตท่ีประกอบด้วยปัญญาต้องเกิดขึ้นเป็น
บาทฐานกอ่ น

๗. เกิดข้ึนในขณะท่ีพระอรหันต์ต้องการเข้านิโรธสมาบัติ ก่อนที่
นิโรธสมาบตั ิจะเกดิ ขึ้น มหากิริยาจติ ท่ปี ระกอบด้วยปัญญายอ่ มเกดิ ขึ้นเปน็
บาทฐานก่อน ต่อจากน้ันฌานกิริยาจิตจึงเกิดข้ึนติดต่อกันไปตามล�าดับ
จนเข้าถึงนิโรธสมาบัติ คือ การดับจิต เจตสิก และจิตตชรูป (อาการของ
รปู ท่เี กดิ จากจติ ) ชว่ั ระยะเวลาหนึ่ง ตามกา� หนดเวลาทที่ ่านต้งั ใจไว้

ภารกิจของพระอรหันต์บางอย่างน้ันไม่ต้องใช้ปัญญา เช่น การ
กระท�าต่าง ๆ ท่ีท่านท�าจนเกิดความเคยชิน เช่น การสวดมนต์ การ
เคลอื่ นไหวสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย มกี ารยนื เดนิ นงั่ นอน ลา้ งหนา้ ทา� ความ
สะอาดเสนาสนะ ฯลฯ จิตของพระอรหันต์ท้ังหลายใช่ว่าจะรับรู้เฉพาะ
พระนพิ พานเทา่ นั้น แต่ท่านยังต้องรับกามารมณ์ (รปู เสียง กลนิ่ รส สมั ผสั )
รับมหัคคตอารมณ์ (อารมณ์อันเป็นท่ีตั้งของฌานสมาบัติ) และรับ
บัญญัติอารมณ์ต่าง ๆ มากมาย แต่จิตใจของพระอรหันต์ท่ีรับอารมณ์
ต่าง ๆ เหล่านี้มิได้เป็นไปกับอาสวะกิเลสทั้งหลาย เพราะท่านได้ท�าลาย
อาสวะกิเลสด้วยปัญญาในอรหตั ตมรรคจนหมดสิ้นแล้ว

สรุป สภาวะจิตของพระอรหันต์เป็นจิตท่ีดีงามเช่นเดียวกับ
มหากุศลจิต จะต่างกันก็ตรงท่ีมหากุศลจิตเกิดข้ึนกับปุถุชนและ
พระเสกขบคุ คล๑๙ เมอ่ื เกดิ ขน้ึ แลว้ กจ็ ะมวี บิ ากทา� ใหม้ ภี พใหมช่ าตใิ หมต่ อ่ ไป

ส่วนมหากิรยิ าจติ เปน็ จติ ทเ่ี กิดขนึ้ กบั พระอรหันตเ์ ทา่ นัน้ เมอื่ เกดิ
ข้นึ แล้วจะไม่มผี ล หรอื ไมม่ วี บิ ากท่ีจะทา� ใหเ้ กดิ ภพใหม่ชาติใหมอ่ ีกตอ่ ไป

การรบั รอาร าง าร อง ระอร นั

ถึงแม้ว่าอกุศลจิต ๑๒ ดวง จะเกิดกับพระอรหันต์ไม่ได้อีกแล้ว
เพราะท่านไดท้ า� ลายอาสวะกเิ ลสจนหมดสิ้นแล้ว แต่อเหตุกจิต ๑๘ ก็ยงั เกิด
กบั ทา่ นได้ เพ่ือท�าหนา้ ทเี่ ห็น ได้ยิน รบั กล่ิน รับรส รบั สมั ผสั ทางกาย ท้ังท่ีดี
และไมด่ ี และทา� ใหเ้ กิดอาการย้มิ ของพระอรหนั ต์อีกดว้ ย

ตราบใดที่พระอรหันต์ยังไม่ปรินิพพาน ท่านก็ยังต้องรับผลของ
กรรมในอดีตทา� ใหเ้ หน็ สิง่ ทีด่ ีบา้ ง - ไม่ดบี า้ ง ไดย้ นิ เสยี งท่ดี บี ้าง - ไม่ดบี ้าง
ได้กล่ินท่ีดีบ้าง - ไม่ดีบ้าง รับรสที่ดีบ้าง - ไม่ดีบ้าง รับสัมผัสทางกาย
ท่ดี บี ้าง - ไมด่ บี ้าง (เช่น เจ็บ ปวด เมอื่ ย มีโรคภัยไขเ้ จบ็ เบยี ดเบียน ฯลฯ)
อันเป็นผลมาจากกรรมเก่าที่ท่านได้กระท�าไว้ในอดีต แต่ถึงแม้จะเกิด
ทุกข์ทางกายมากเพียงใดก็ตาม ท่านก็จะไม่มีความทุกข์ทางใจแม้แต่น้อย
เพราะโทสมูลจิต ๒ (จิตหมายเลข ๙ และ ๑๐) ไม่มีโอกาสเกิดกับ
พระอรหันต์ได้อีกแล้ว นอกจากน้ีโลภมูลจิต ๘ (จิตหมายเลข ๑ ถึง ๘)
และโมหมูลจิต ๒ (จิตหมายเลข ๑๑ และ ๑๒) ก็ไม่มีโอกาสท่ีจะเกิดกับ
พระอรหนั ตอ์ กี เช่นกนั

๑๙ พระเสกขบุคคล ได้แก่ พระโสดาบนั พระสกทาคามี และพระอนาคามี

บ ี่
มหั

จิตประเภทตอ่ ไปทจี่ ะกลา่ วถงึ ในบทน้ี คือ มหัคคตจิต (มะ-หคั -
คะ-ตะ-จติ ) แปลวา่ จติ ที่ านลาภีบุคคล๒๐ ทังหลายสามารถเขาถง ด

มหคั คตจติ มีจา� นวน ๒๗ ดวง แบง่ เปน็ ๒ ประเภทย่อย คอ
๑ รูปาวจรจติ (ร-ู ปา-วะ-จะ-ระ-จติ ) จา� นวน ๑๕ ดวง
๒ อรูปาวจรจติ (อะ-ร-ู ปา-วะ-จะ-ระ-จติ ) จา� นวน ๑๒ ดวง

รา ร

รูปาวจรจิต คือ จิตที่ก�าลังเพ่งอารมณ์ที่เป็นรูปบัญญัติอย่างใด
อย่างหน่ึง จนจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์น้ันอย่างแนบแน่น ไม่ฟุงซ่าน
ไม่ซัดส่าย สงบนิ่งเป็นสมาธิอยู่ในอารมณ์น้ันเพียงอย่างเดียว เป็นจิต
ที่มีสมาธิอยู่ในระดับรูปฌาน (ฌานที่เกิดข้ึนจากการเพ่งอารมณ์ที่เป็น
รปู บัญญตั )ิ แบง่ เป็น ๕ ระดบั คือ

ปฐมฌาน (รูปฌานระดับที่ ๑)
ทุตยิ ฌาน (รูปฌานระดบั ท่ี ๒)

๒๐ ฌานลาภีบคุ คล (ชาน-ลา-พี-บคุ -คน) คอื บุคคลผ้ไู ด้ฌานสมาบัตติ ้ังแตป่ ฐมฌานขนึ้ ไป

ตตยิ ฌาน (รปู ฌานระดับที่ ๓)
จตตุ ถฌาน (รปู ฌานระดบั ที่ ๔)
ปัญจมฌาน (รูปฌานระดบั ที่ ๕)

ร า ร ง้ั ด ด ง บ่ง น กล่ อ

กลมุ่ ท่ี ๑ รูปาวจรกุศลจิต ๕ (จิตทท่ี �าใหเ้ กดิ รูปฌานระดบั ๑ - ๕)
กลมุ่ ท่ี ๒ รูปาวจรวปิ ากจิต ๕ (จิตที่เป็นผลของรปู ฌานระดับ ๑ - ๕)
กลุ่มท่ี ๓ รูปาวจรกิรยิ าจติ ๕ (จติ ของพระอรหันต์ทกี่ า� ลังเข้ารปู ฌาน

ระดับ ๑ - ๕)

ูรปาวจร ิจต ๑๕ รูปาวจรกศุ ลจติ ๕
รูปาวจรวปิ ากจิต ๕
รูปาวจรกริ ิยาจิต ๕

คือ จติ ทใ่ี ช้ท�าอภิญญาได้

กล่ ร า รก ล

รูปาวจรกุศลจิต ๕ (รู-ปา-วะ-จะ-ระ-กุ-สน-ละ-จิต) เป็นจิต
ที่มีสมาธิต้ังม่ันอยู่ในระดับฌาน แบ่งเป็น ๕ ระดับ ต้ังแต่ปฐมฌานถึง
ปัญจมฌาน การท่ีจิตจะต้ังมั่นเป็นสมาธิได้นั้นต้องอาศัยการเพ่งอารมณ์
ที่เป็นรูปบัญญัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อารมณ์ที่ ชเพ่งเพ่อ หจิตเป็นสมาธิ
เรยี กว่า สมถกรรมฐาน

สมถะ หมายถง การทา� จติ หตงั มนั่ เป็นสมาธิ

กรรมฐาน คออารมณ์อันเป็นที่ตังของจิตหรออารมณ์ท่ี ชเพ่ง

เพอ่ หจติ เปน็ สมาธิ มที งั้ หมด ๔๐ อยา่ ง รวมเรยี กวา่ สมถกรรมฐาน ๔๐ แบง่ เปน็
๗ หมวด หมวดที่ ๑ ถึง ๖ เป็นกรรมฐานที่ใช้ท�ารูปฌาน ส่วนหมวดท่ี ๗
เป็นกรรมฐานท่ีใช้ท�าอรูปฌาน



หมวดที่ ๑ กสิณ ๑๐ ไดแ้ ก่

๑ ปถวกี สิณ คอื เพง่ ดิน

๒ อาโปกสณิ คอื เพง่ น�้า

๓ เตโชกสณิ คือ เพง่ ไฟ

๔ วาโยกสิณ คอื เพง่ ลม

๕ นีลกสิณ คือ เพง่ สเี ขียว

๖ ปตกสณิ คอื เพง่ สีเหลือง
๗ โลหติ กสิณ คือ เพง่ สีแดง
๘ โอทาตกสิณ คอื เพ่งสีขาว

๙ อากาสกสิณ คือ เพ่งท่วี ่างเปลา่

๑๐ อาโลกกสิณ คือ เพ่งแสงสว่าง

กสิณทงั ๑๐ นีสามารถท�า หเกิดสมาธิ ดถงขันป จม าน

หมวดที่ ๒ อสุภะ ๑๐ คอื การเพง่ ของไมง่ าม ๑๐ ประการ ได้แก่

๑. ศพทน่ี า่ เกลียด มีอาการขึ้นพองภายหลงั จากตายแลว้ ๒ - ๓ วนั
๒. ศพทน่ี ่าเกลียด เนา่ ข้ึนเขยี ว
๓. ศพที่น่าเกลยี ด มนี ้�าเหลอื งน้�าหนองไหลออกมา
๔. ศพท่นี ่าเกลียด ถกู ตัดขาดเป็นท่อน ๆ

๕. ศพทีน่ ่าเกลยี ด ถกู สัตวแ์ ทะกัดกนิ เหวอะหวะ
๖. ศพทนี่ า่ เกลียด มอื เท้า ศรี ษะอย่คู นละทางสองทาง
๗. ศพทนี่ ่าเกลียด ถูกสบั ฟันยบั เยนิ
๘. ศพที่น่าเกลยี ด มีโลหติ ไหลอาบ
๙. ศพทน่ี ่าเกลียด มหี นอนไชทั่วรา่ งกาย
๑๐. ศพที่น่าเกลยี ด เหลอื แตก่ ระดกู กระจัดกระจายไป

อสุภะทงั ๑๐ นสี ามารถทา� หเกิดสมาธิ ดถงขันปฐม านเท่านนั

หมวดท่ี ๓ อนุสสติ ๑๐ ไดแ้ ก่

๑ พทุ ธานสุ สติ ระลกึ เนือง ๆ ถงึ คณุ ของพระพุทธเจา้
๒. ธัมมานุสสติ ระลึกเนอื ง ๆ ถึงคุณของพระธรรม
๓ สงั านุสสติ ระลกึ เนือง ๆ ถงึ คุณของพระอรยิ สง ์
๔ สลี านสุ สติ ระลึกเนอื ง ๆ ถึงคุณของศีล
๕ จาคานสุ สติ ระลึกเนือง ๆ ถึงคุณของการบริจาค
๖ เทวตานุสสติ ระลกึ เนือง ๆ ถงึ คณุ ของการเป็นเทวดา
๗ อปุ สมานุสสติ ระลึกเนอื ง ๆ ถึงคุณของพระนิพพาน
๘ มรณานุสสติ ระลึกเนอื ง ๆ ถึงความตาย
๙ กายคตาสติ ระลกึ เนอื ง ๆ ถงึ กายโกฏฐาสะ มเี กสา โลมา เปน็ ตน้
๑๐ อานาปานสติ ระลกึ ถงึ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

ในบรรดาอนุสสติทั้ง ๑๐ นี้กรรมฐานท่ที �าใหเ้ กดิ ฌานจติ ได้
มเี พียง ๒ อนุสสตเิ ทา่ น้นั คือ

๑ กายคตาสติ ทา� ให้เกดิ สมาธไิ ดส้ งู สุดถงึ ข้ันปฐม าน
๒. อานาปานสติ ทา� ให้เกิดสมาธไิ ด้สูงสดุ ถงึ ขั้นป จม าน

อนุสสติท่ีเหลออีก ๘ สามารถท�า หจิตเป็นสมาธิ ดเพียงระดับ
อุปจารสมาธิ (เกอื บจะถึงระดบั ปฐมฌาน แต่ยงั ไม่ถึง)

หมวดที่ ๔ อปั ปมั า ๔

อัปปมัญญา หมายถึง การแผ่ไปอย่างไม่มีประมาณ คือแผ่ไป
ในสัตว์ท้ังหลายจนประมาณไม่ได้ บ้างก็เรียกว่า พรหมวิหาร อัปปมัญญา
มี ๔ ได้แก่

๑. เมตตา การแผค่ วามรกั ใคร่ ความปรารถนาดตี อ่ สตั วท์ ง้ั หลาย
ให้มีความสขุ ความสบายโดยทว่ั กัน ไม่เลอื กชาติ ช้นั วรรณะ

๒ กรุณา การแผ่ความสงสารต่อสัตว์ทั้งหลายที่ก�าลังได้รับ
ความทกุ ข์ หรอื ท่จี ะได้รับความทกุ ข์ตอ่ ไปในภายหนา้ และปรารถนาใหส้ ัตว์
เหลา่ นัน้ พน้ จากทกุ ข์ โดยไม่เลอื กชาติ ชน้ั วรรณะ

๓ มุทิตา การแผ่ความช่ืนชมยินดีต่อสัตว์ทั้งหลายที่ก�าลังได้
รับความสุข หรือที่จะได้รับความสุขต่อไปในภายหน้า โดยไม่เลือกชาติ
ช้นั วรรณะ

๔ อุเบกขา การวางเฉยต่อสัตว์ท้ังหลายด้วยอาการวางตนเป็น
กลาง ไม่รักใคร่ ไมส่ งสาร ไมช่ ่นื ชมยนิ ดี โดยไมเ่ ลือกชาติ ช้นั วรรณะ

อัปปมั า ๓ คอ เมตตา กรุณา มุทิตา สามารถท�า ห
เกดิ านจติ ดถงขนั จตตุ ถ าน สว่ นอเุ บกขาเปน็ อารมณท์ ี่ ชเจริ กรรมฐาน
เพอ่ ท�า หเกิดป จม าน ดเพยี งอย่างเดยี วเท่านนั

หมวดที่ ๕ อาหาเรปฏิกลู สั า ๑

คือการพิจารณาอาหารที่บริโภคเข้าไปว่าเป็นของที่น่าเกลียด
การพิจารณาความเป็นปฏิกูลของอาหารนี้จะท�าให้จิตเกิดความสงบ ด
เพยี งอปุ จารสมาธิเท่านั้น (เกือบจะถงึ ปฐมฌาน แตย่ งั ไม่ถึง)

หมวดที่ ๖ จตุธาตวุ วตั ถาน ๑

คอื การพจิ ารณาธาตทุ งั้ ๔ มปี ถวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ
ที่ปรากฏอยู่ในกาย เพื่อให้เห็นว่ากายนี้เกิดจากธาตุต่าง ๆ มาประชุมกัน
เท่าน้ัน หาได้มีสัตว์ บุคคล ตัวตนแต่ประการใดไม่ การก�าหนดพิจารณา
ธาตุท้ัง ๔ เป็นอารมณ์น้ี จะท�าให้เกิดสมาธิ ดเพียงระดับอุปจารสมาธิ
เทา่ นนั (เกอบถงปฐม าน แตย่ งั ม่ถง)

หมวดที่ ๗ อรูปกรรมฐาน ๔

อรูปกรรมฐาน คอกรรมฐานที่ปราศจากรูปบั ัติ เนื่องจาก
ผู้ปฏิบัติต้องการจะเข้าถึงสมาธิในระดับอรูปฌาน (เหนือกว่าสมาธิในข้ัน
รูปฌานข้ึนไปอีก) ดังน้ัน จึงต้องใช้ความว่างจากรูป (อรูปกรรมฐาน)
มาเป็นอารมณ์ ผู้ท่ีจะเจริญอรูปกรรมฐานได้นั้น จะต้องได้ปัญจมฌาน
(รูปฌานระดับที่ ๕) มาแล้ว และมีวสีภาวะ คอ มีความแคล่วคล่องและ
ช�านา นการเขา - ออก านและตังมั่นอยู่ นรูป านทัง ๕ เป็นอย่างดี
แลวจงจะสามารถเจริ อรปู กรรมฐานต่อ ด

อรูปกรรมฐาน (อารมณอ์ นั ปราศจากรูป) ที่ ชเพ่ง มี ๔ อย่าง ดแก่

๑ กสิณุค าฏิมากาสบั ัติ เป็นอรูปกรรมฐานที่ใช้เพ่งเพื่อ
เข้าถงึ อากาสานัญจายตนฌาน (อรูปฌานขั้นที่ ๑)

๒ อากาสานั จายตน านจิต (อรูปฌานจิตข้ันท่ี ๑) เป็น
อรปู กรรมฐานทใ่ี ชเ้ พง่ เพอ่ื เขา้ ถงึ วญิ ญาณญั จายตนฌาน (อรปู ฌานขน้ั ที่ ๒)

๓ นัตถิภาวบั ัติ เป็นอรูปกรรมฐานที่ใช้เพ่งเพ่ือเข้าถึง
อากิญจัญญายตนฌาน (อรปู ฌานข้นั ที่ ๓)

๔ อากิ จั ายตน านจิต (อรูปฌานจิตขั้นท่ี ๓) เป็น
อรูปกรรมฐานที่ใช้เพ่งเพื่อเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน (อรูปฌาน
ข้นั ท่ี ๔)

(รายละเอียดเกี่ยวกับอรูปกรรมฐานจะอธิบายอีกครั้งในหัวข้อ
“อรูปาวจรจติ ๑๒” ในหนา้ ๑๑๙ - ๑๒๐)



ในการเจรญิ สมถกรรมฐานเพอ่ื ใหไ้ ดฌ้ านจติ เกดิ ขน้ึ นนั้ จะมธี รรม
ทคี่ อยขัดขวางไม่ให้ฌานจติ เกดิ ขนึ้ ได้ เรยี กว่า นิวรณ์ มี ๕ ประการ ได้แก่

๑ กาม ันทนิวรณ์ (กา-มะ-ฉัน-ทะ-นิ-วอน) คือความยินดี
ติดใจในกามคุณอารมณ์ ๕ อนั ไดแ้ ก่ รูป เสยี ง กล่ิน รส และการสัมผัส
ทางกายที่ให้ความสุข เมื่อใดที่ยังหลงเพลิดเพลินติดใจในสิ่งเหล่านี้
ยังตอ้ งการส่ิงเหลา่ นี้ จิตจะไม่สามารถเข้าถงึ ฌานได้

๒ พยาปาทนิวรณ์ (พะ-ยา-ปา-ทะ-นิ-วอน) คือความมุ่ง
ปองร้ายผู้อื่น เปรียบเหมือนน�้าท่ีเดือดพล่าน ถ้าจิตครุ่นคิดปองร้ายผู้อ่ืน
ฌานจิต จะเกดิ ไมไ่ ด้

๓ ถีนมิทธนิวรณ์ (ถี-นะ-มิด-ทะ-นิ-วอน) คือความหดหู่
ความท้อถอยไม่ใส่ใจต่ออารมณ์ท่ีเพ่งนั้น เปรียบเหมือนน�้าท่ีมีจอกมีแหน
ปดิ บงั อยู่ ถ้าจิตใจเกดิ ความทอ้ ถอยไมใ่ ส่ใจตอ่ อารมณ์ทีก่ า� ลังเพ่ง ฌานจติ
ยอ่ มเกดิ ข้ึนไมไ่ ด้

๔ อุทธัจจกุกกุจจนวิ รณ์ (อุด-ทดั -จะ-กกุ -กุด-จะ-น-ิ วอน) คอื
ความคิดฟุงซ่าน ความร้อนใจ ความกระวนกระวายใจ ซึ่งเปรียบเหมือน
น�้าที่ถูกลมพัดกระเพ่ือมอยู่เสมอ ถ้าจิตยังมีอาการดังกล่าว ฌานจิตย่อม
เกดิ ขน้ึ ไม่ได้

๕ วิจิกิจ านิวรณ์ (วิ-จิ-กิด-ฉา-นิ-วอน) คือความลังเลสงสัย
เก่ียวกับการปฏิบัติ เปรียบเหมือนน�้าท่ีขุ่นเป็นตม ถ้าเกิดลังเลไม่แน่ใจอยู่
ตราบใด ก็จะเป็นเหตใุ ห้เข้าถึงฌานไมไ่ ด้

อง าน

องค์ าน คอ องค์ประกอบส�าคั ที่ท�า ห านจิตเกิดขน ด
เพราะจะท�าหนาที่ข่มนวิ รณท์ งั ๕ ทีเ่ ป็นอปุ สรรคต่อ าน

องค์ านมี ๕ ประการ ดแก่

๑ วติ ก คือ การยกจติ ข้ึนสอู่ ารมณ์ เมอ่ื เริม่ ต้นทา� สมาธจิ ะต้อง
มีสง่ิ หนง่ึ สง่ิ ใดใหเ้ พ่ง เช่น ต้องการท�าสมาธโิ ดยใช้กสิณ จติ จะตอ้ งเพง่ อยู่ท่ี
ดวงกสิณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เม่ือใดท่ีจิตท้อถอยไม่ใส่ใจต่ออารมณ์
ทเี่ พง่ แสดงวา่ ขณะนน้ั ถนี มทิ ธนวิ รณ์ (ความหดหทู่ อ้ ถอยจากอารมณท์ เี่ พง่ )
กา� ลงั เกดิ ขนึ้ ทา� ใหจ้ ติ ผละออกไปจากดวงกสณิ เมอ่ื เปน็ เชน่ นน้ั จะตอ้ งยกจติ
ให้กลับมาเพ่งดวงกสิณตามเดิม ตราบใดที่จิตไม่คลาดจากดวงกสิณ
แสดงว่าขณะน้ันวิตกได้เกิดข้ึนโดยสมบูรณ์แล้ว และวิตกสามารถ
ข่มถนี มทิ ธนวิ รณไ์ ว้ไดแ้ ล้ว

๒ วิจาร คือการประคองจิตให้ตั้งม่ันอยู่ในอารมณ์ท่ีเพ่งเพียง
อย่างเดียว (ในตัวอย่างนี้คือดวงกสิณ) เม่ือวิตกยกจิตข้ึนสู่อารมณ์ที่เพ่ง
แลว้ วิจารจะประคองจิตไม่ใหผ้ ละออกไปจากอารมณ์ท่ีเพ่ง ในข้ันนีอ้ าจจะ
มีวิจิกิจฉานิวรณ์หรือความลังเลสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติเกิดข้ึนและท�าให้
จิตผละออกไปจากอารมณ์ท่ีเพ่ง หากสามารถประคองจิตไม่ให้ผละออกไป
จากอารมณ์ท่ีเพ่งและละความลังเลสงสัยเสียได้ แสดงว่าวิจารได้เกิดขึ้น
โดยสมบูรณ์แล้วและวจิ ารสามารถขม่ วจิ กิ ิจ านวิ รณไ์ วไ้ ด้แล้ว

แสดงความแตกต่างระหว่าง วติ ก กับ วจิ าร
วิตก เปรยี บเสมอื นการตรี ะ งั
วิจาร เปรียบเสมือนกบั เสยี งกังวานของระ งั เมอ่ื ถูกตี
อกี ตัวอยา่ งหน่ึง

วิตก เปน็ การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ อปุ มาเหมือนนกทก่ี า� ลังจะบินขึ้น
ไปในนภากาศจะต้องกระพือปกี ท้งั สองขา้ งเพอ่ื พยุงตวั ข้ึนไปในอากาศก่อน

สว่ นวจิ าร เปน็ การประคองจติ ไวใ้ นอารมณ์ อปุ มาเหมอื นนกทข่ี ยบั
ปีกเพยี งเลก็ น้อยกส็ ามารถบนิ วอ่ นอยู่ในอากาศได้

๓ ปติ คือความปลาบปล้ืมใจ อิ่มเอิบใจท่ีเกิดขึ้นในขณะเพ่ง
อารมณ์ เมื่อยกจิตข้ึนสู่อารมณ์ (วิตก) และประคองจิตให้ตั้งม่ันอยู่ใน
อารมณ์ (วจิ าร) โดยปราศจากการทอ้ ถอยและลงั เลสงสยั จติ ยอ่ มเกดิ ความ
ปลาบปลื้ม อิ่มเอิบใจในการกระท�าเช่นน้ัน ขณะที่จิตเกิดปีติปลาบปล้ืม
อ่ิมเอิบใจอยู่นั้น จิตจะไม่มีความโกรธ ความอา าต ความพยาบาท
หรอื มงุ่ รา้ ยผู้อนื่ นัน่ หมายถงึ ปตี สิ ามารถข่มพยาปาทนิวรณ์ไวไ้ ดแ้ ล้ว

ปติ มีอยู่ ๕ ลัก ณะคอ

๑ ขทุ ทกาปติ (ขดุ -ทะ-กา-ป-ี ต)ิ เปน็ ความปลาบปลมื้ เพยี งเลก็ นอ้ ย
ทส่ี ามารถท�าให้ขนลุกชูชนั ได้

๒ ขณกิ าปติ (ขะ-น-ิ กา-ป-ี ต)ิ เปน็ ความปลาบปลมื้ ใจชว่ั ขณะหนง่ึ
เมื่อขณิกาปีติเกิดขึ้นจะรู้สึกอ่ิมเอิบไปท่ัวร่างกาย อาการอ่ิมเอิบนี้เกิดขึ้น
ชั่วขณะหนง่ึ เท่าน้ัน เหมือนสายฟาแลบและตงั้ อยไู่ ม่นาน

๓ โอกกันติกาป ติ (โอก-กัน-ติ-กา-ปี-ติ) เป็นความ
ปลาบปล้ืมท่ีซึมซาบกระจายไปทั่วร่างกายเป็นระลอก ๆ บางคร้ังถึงกับ
ตวั โยกตวั โคลงเป็นระลอก

๔ อุพเพงคาปติ (อุบ-เพง-คา-ปี-ติ) เป็นความปลาบปล้ืม
ที่มีก�าลัง เม่ือเกิดขึ้นแล้วร่างกายจะรู้สึกเบา หากมีก�าลังมากสามารถท�าให้
กายลอยขึ้นได้

๕ รณาป ติ (ผะ-ระ-นา-ปี-ติ) เป็นความปลาบปลื้มท่ี
แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ปีติประเภทนี้เมื่อเกิดข้ึนแล้วจะรู้สึกซาบซ่านอิ่มเอิบ
ไปทว่ั ร่างกายและต้งั อยู่ได้นาน

ในบรรดาปีติทั้ง ๕ ลักษณะน้ี ปติท่ีเป็นองค์ าน ่งสามารถ
ประหาณพยาปาทนิวรณ์ ดนันตองถงขนาด รณาปติ ส่วนปีติที่เหลืออีก
๔ ลกั ษณะยังมสี ภาพหยาบและมีกา� ลังนอ้ ย จึงไมใ่ ชป่ ตี ใิ นองค์ฌาน

๔ สุข ในองค์ฌานหมายถึงความสุขใจ (โสมนัสเวทนา) เมื่อ
ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ และประคองจิตให้ตั้งม่ันอยู่ในอารมณ์ จนเกิดปีติขึ้น
ในขณะน้ันย่อมมีความสุขใจย่ิงนัก เมื่อเกิดความสุขและความสงบถึงข้ันน้ี
จิตย่อมปราศจากความฟุงซ่านร�าคาญใจเป็นธรรมดา นั่นหมายถึงสุขท่ี
เกดิ ขนึ้ สามารถขม่ อทุ ธจั จกุกกจุ จนวิ รณไ์ ว้ไดแ้ ล้ว

ความแตกตา่ งของ “ปต”ิ และ “สขุ ”

ปติ เปน็ ธรรมชาติที่มีความปลาบปลม้ื ในอารมณ์ เชน่ ในการทา�
กศุ ล มกี ารใหท้ าน เปน็ ตน้ เมอ่ื เหน็ พระสง ม์ ารบั ไทยทานกนั เปน็ จา� นวนมาก
กร็ ู้สึกปล้มื ปตี ยิ นิ ดี

สุข เป็นธรรมชาติที่เกิดจากการที่ได้เสวยอารมณ์อันน่าปรารถนา
เช่น เวลาท่ีกระหายน�้า เม่ือได้ด่ืมน้�าแล้วก็จะรู้สึกสุขสบาย เมื่อร้อนแล้ว
ได้เขา้ มาในหอ้ งแอรก์ ็จะร้สู ึกสุขสบาย

“ปติ” เป็นสังขารขันธ์ ส่วน “สขุ ” เป็นเวทนาขนั ธ์

คัมภีร์อัฏฐสาลินี กล่าวว่า “ปติมี นที่ ด สุขกมี นที่นัน แต่สุข
มี นที่ ด ม่แน่ว่าปตจิ ะมี นท่นี นั ”

๕ เอกคั คตา (เอ-กกั -คะ-ตา) คือการทีจ่ ิตแนว่ แนอ่ ยู่ในอารมณ์
ที่เพ่งอย่างจดจ่อเพียงอารมณ์เดียวเท่านั้น เอกัคคตานี้จะท�าหน้าท่ีข่ม
กาม นั ทนวิ รณ์ เพราะในขณะทจ่ี ติ เพง่ อยใู่ นอารมณเ์ ดยี วนน้ั จติ จะไมส่ นใจ
ใน รปู เสียง กล่ิน รส สมั ผสั อีกตอ่ ไป

เอกคั คตามี ๓ ระดบั คอ

๑ ขณกิ สมาธิ เปน็ สมาธอิ นั เกดิ จากการทจ่ี ติ ตงั้ มนั่ อยใู่ นอารมณ์
เดียวได้ ชัว่ ขณะหนง่ึ

๒ อปุ จารสมาธิ เปน็ สมาธอิ นั เกดิ จากการทจ่ี ติ ตงั้ มนั่ อยใู่ นอารมณ์
เดยี วจนเกอื บจะไดฌ้ าน

๓. อัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิอันเกิดจากการท่ีจิตตั้งมั่นหรือ
แนบแนน่ อยใู่ นอารมณท์ เี่ พง่ อยเู่ พยี งอยา่ งเดยี ว ไมซ่ ดั สา่ ยไปไหน เพราะขม่
นวิ รณ์ท้ัง ๕ ไดแ้ ลว้

เม่อข่มนิวรณ์ทัง ๕ ่งเป็นปฏิปก ์ต่อ าน ดเม่อ ด เม่อนัน

านจติ จะเกดิ ขน ( ด าน) แตถ่ า้ นวิ รณท์ ง้ั ๕ ยงั คงเหลอื อยอู่ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่
แมเ้ พียงอยา่ งเดยี ว ฌานจติ ก็จะเกดิ ขน้ึ ไม่ได้ ดว้ ยเหตุนี้ วติ ก วจิ าร ปตี ิ สุข
เอกัคคตา จึงมีความส�าคัญยิ่งเพราะเป็นปัจจัยให้เกิดฌานจิต ดังนั้น
จงึ เรยี กธรรมทงั้ ๕ ประการนวี้ า่ เปน็ องค์ าน เพราะเปน็ องคป์ ระกอบสา� คญั
ทท่ี �าให้ฌานจิตเกดิ ข้ึนได้ กลา่ วโดยสรุปกค็ ือ

วิตก ทา� หน้าที่ ขม่ ถีนมทิ ธนวิ รณ์
วจิ าร ทา� หน้าท่ี ข่มวิจิกจิ านวิ รณ์
ปติ ทา� หนา้ ที่ ขม่ พยาปาทนวิ รณ์
สขุ ท�าหนา้ ที่ ขม่ อทุ ธัจจกุกกุจจนวิ รณ์
เอกคั คตา ท�าหน้าท่ี ข่มกาม ันทนิวรณ์

การ บ่งระดับ องร าน

จิตท่ีเปน็ สมาธิในข้ันรปู ฌานสามารถแบ่งได้เป็น ๕ ระดับ ทเ่ี รียก
วา่ านป จกนยั (ชาน-ปนั -จะ-กะ-นัย) แตล่ ะระดบั มอี งคฌ์ านดงั น้ี

ปฐมฌาน มีองคฌ์ าน ๕ คือ วิตก วจิ าร ปตี ิ สขุ เอกคั คตา
ทตุ ิยฌาน ” ๔ คือ - วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ตติยฌาน ” ๓ คือ - - ปีติ สุข เอกัคคตา
จตุตถฌาน ” ๒ คอื - - - สุข เอกคั คตา
ปัญจมฌาน ” ๒ คือ - - - อุเบกขา เอกัคคตา

การแบ่งระดับสมาธิในข้ันรปู ฌาน นอกจากจะแบ่งเป็น ๕ ระดับ
(ฌานท่ี ๑ ถึง ๕) ท่ีเรียกว่า “ฌานปัญจกนัย” แล้ว ยังมีการแบ่งอีก
ลักษณะหน่ึงคือแบ่งออกเป็น ๔ ระดับ (ฌานที่ ๑ ถึง ๔) ที่เรียกว่า

านจตกุ กนยั (ชาน-จะ-ตุก-กะ-นยั )

เมื่อแบ่งเป็น ๔ ระดบั แต่ละระดบั จะมีองคฌ์ านดังนี้
ฌาน ๑ (ปฐมฌาน) มีองค์ฌาน ๕ คอื วติ ก วจิ าร ปีติ สุข เอกัคคตา
ฌาน ๒ (ทุติยฌาน) ” ๓ คอื - - ปตี ิ สขุ เอกคั คตา
ฌาน ๓ (ตตยิ ฌาน) ” ๒ คือ - - - สุข เอกคั คตา
ฌาน ๔ (จตุตถฌาน) ” ๒ คอื - - - อเุ บกขา เอกัคคตา

ที่ท่านแสดงไว้เป็น ๒ แบบ คือ ๔ ระดับ และ ๕ ระดับ
เพราะผลของการปฏบิ ตั จิ ะขน้ึ อยกู่ บั ความสามารถของแตล่ ะบคุ คล กลา่ วคอื
หากเป็นบุคคลที่ปฏิบัติแลว ด ลเรว (ติกขบุคคล) จะสามารถละวิตก
วิจารได้ในเวลาเดยี วกัน ระดบั ฌานจึงมีเพยี ง ๔ เทา่ น้นั

แตห่ ากเปน็ บคุ คลทปี่ ฏบิ ตั แิ ลว ด ลชา (มนั ทบคุ คล) จะละวติ กได้
เพยี งอย่างเดียวกอ่ น เมอ่ื ปฏบิ ตั ติ ่อไปอกี จึงจะละวจิ ารไดใ้ นภายหลัง ทา� ให้
ต้องเพิ่มการแบ่งระดบั ฌานจาก ๔ เป็น ๕

ส า ะ กด น าน ล่ ะระดบั กร าน กนยั

าน ๑ (ปฐม าน) เปน็ ฌานทเี่ กดิ ขน้ึ กอ่ นฌานอนื่ ๆ ปฐมฌานน้ี
ตอ้ งอาศยั องคฌ์ านครบทงั้ ๕ เพอื่ ทา� หนา้ ทขี่ ม่ นวิ รณท์ งั้ ๕ องคฌ์ านทง้ั ๕ น้ี
จะเกดิ พร้อมกนั และท�าหนา้ ท่ีข่มนิวรณพ์ รอ้ มกันด้วย

าน ๒ (ทุติย าน) เม่ือ กจิตให้เข้าฌาน ๑ จนคล่องแคล่ว
ช�านิช�านาญแล้วจิตย่อมเกาะอยู่กับอารมณ์กรรมฐานแนบแน่นขึ้นจึงไม่ต้อง
อาศัยวิตกยกจิตขึ้นสู่อารมณ์อีกต่อไป ระดับของสมาธิจะพั นาข้ึนจาก
ฌาน ๑ เป็นฌาน ๒ โดยมีองค์ฌานเหลือเพยี ง ๔ คอื วิจาร ปตี ิ สขุ และ
เอกคั คตา

าน ๓ (ตติย าน) เมื่อ กจติ จนเขา้ ฌาน ๒ ไดค้ ลอ่ งแคลว่ ช�านิ
ชา� นาญแลว้ ยอ่ มเหน็ โทษของวจิ ารวา่ มสี ภาพหยาบไมค่ งทน จงึ พยายามปฏบิ ตั ิ
เพื่อละวิจาร เมื่อละได้แล้วระดับของสมาธิจะพั นาขึ้นจากฌาน ๒ เป็น
ฌาน ๓ โดยมีองคฌ์ านเหลือเพยี ง ๓ คือ ปีติ สขุ และเอกัคคตา

าน ๔ (จตุตถ าน) เม่ือ กจิตจนเข้าฌาน ๓ ได้คล่องแคล่ว
ชา� นชิ า� นาญแลว้ ยอ่ มเกดิ ความเบอื่ หนา่ ยในฌาน ๓ พรอ้ มกบั พจิ ารณาเหน็ วา่
ปีตทิ ่ีเกิดในฌาน ๓ (ความปลาบปลม้ื ซาบซ่านทัง้ กายและใจ) ยงั เป็นสภาพ
ท่ีหยาบอยู่ หากประสงค์จะได้ฌานที่ประณีตยิ่งข้ึนไปอีก ก็ไม่ควรจะติด
อย่กู ับปีตเิ ช่นนี้ จงึ พยายามปฏิบตั ิเพื่อละปีติ เมื่อละไดแ้ ลว้ ระดับของสมาธิ
จะพั นาขึ้นจากฌาน ๓ เป็นฌาน ๔ โดยเหลอื องค์ฌานเพียง ๒ คอื สุข
กบั เอกคั คตา

าน ๕ (ป จม าน) เม่อื กจิตจนเขา้ ฌาน ๔ ได้คล่องแคลว่
ชา� นชิ า� นาญแลว้ ผทู้ ตี่ อ้ งการจะเจรญิ ไปถงึ ฌาน ๕ (อนั เปน็ ฌานสดุ ทา้ ยในขนั้
รูปฌาน) ผู้ปฏิบัติต้องพิจารณาเห็นโทษของสุข (สุขในที่นี้ หมายถึง

โสมนสั เวทนาอนั เปน็ สขุ ทางใจ) วา่ ยงั มสี ภาพหยาบอยู่ จงึ พยายามปลอ่ ยวางสขุ
(โสมนสั เวทนา) โดยไมใ่ สใ่ จในสขุ อนั ประณตี นน้ั พยายามวางใจใหเ้ ปน็ กลาง
จึงไม่มีทั้งทุกข์ (ทางใจ) และสุข (ทางใจ) เข้ามาปรากฏเลย เวทนา
(ความร้สู กึ ) จงึ เปล่ียนจากโสมนสั เวทนาเปน็ อุเบกขาเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข)์
ท�าให้องค์ฌานเปล่ียนเป็นอเุ บกขากับเอกคั คตา

รปู าวจรกศุ ลจติ ๕ คอื จติ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ทางมโนทวารของบคุ คลทกี่ า� ลงั
อยใู่ นรูปฌานข้ันท่ี ๑ ถึง ๕

จิตท่ีเร่ิมเพ่งอารมณ์กรรมฐานในตอนแรกก็คือ มหากุศลจิต
สมาธิท่ีประกอบกับมหากุศลจิตจะพั นาไปสูงสุดจนถึงอุปจารสมาธิ
(ระดับที่เกือบจะถึงฌาน แต่ยังไม่ถึง) เม่ือเจริญสมาธิจนแนบแน่นถึง
ข้ันอัปปนาสมาธิ จิตจะพั นาข้ึนโดยเปล่ียนจากมหากุศลจิตเป็นรูปาวจร
กศุ ลจิตระดับปฐมฌานที่เกิดพร้อมด้วยองค์ฌาน ๕ (จติ หมายเลข ๕๕)

เม่ือ กจิตให้เข้าปฐมฌานจนคล่องแคล่วช�านิช�านาญแล้ว
จิตก็สามารถจะพั นาข้ึนสู่ทุติยฌาน (จิตหมายเลข ๕๖) ตติยฌาน
(จิตหมายเลข ๕๗) จตุตถฌาน (จิตหมายเลข ๕๘) และปัญจมฌาน
(จติ หมายเลข ๕๙)

ูรปาวจรจิต ๑๕ร า รก ล ัง้ ด ด ง ด ก่

รปู าวจรกุศลจติ ๕
รูปาวจรวิปากจติ ๕
รปู าวจรกิริยาจติ ๕

จติ หมายเลข ๕๕ ปฐม านกศุ ลจติ (ปะ-ถะ-มะ-ชาน-ก-ุ สน-ละ-จติ )
เปน็ จติ ท่ีเกดิ ข้ึนพร้อมดว้ ยองคฌ์ าน ๕ คือ วติ ก วจิ าร ปีติ สขุ เอกคั คตา

จติ หมายเลข ๕๖ ทตุ ยิ านกศุ ลจติ (ท-ุ ต-ิ ยะ-ชาน-ก-ุ สน-ละ-จติ )
เปน็ จติ ทเ่ี กดิ ขึน้ พร้อมด้วยองคฌ์ าน ๔ คอื วจิ าร ปีติ สุข เอกัคคตา

จติ หมายเลข ๕๗ ตตยิ านกศุ ลจติ (ตะ-ต-ิ ยะ-ชาน-ก-ุ สน-ละ-จติ )
เปน็ จติ ทีเ่ กดิ ข้นึ พร้อมดว้ ยองคฌ์ าน ๓ คอื ปตี ิ สขุ เอกัคคตา

จิตหมายเลข ๕๘ จตุตถ านกุศลจิต (จะ-ตุด-ถะ-ชาน-กุ-สน-
ละ-จติ ) เปน็ จิตทีเ่ กดิ ขน้ึ พรอ้ มดว้ ยองค์ฌาน ๒ คือ สขุ เอกัคคตา

จติ หมายเลข ๕๙ ป จม านกศุ ลจติ (ปัน-จะ-มะ-ชาน-กุ-สน-
ละ-จติ ) เปน็ จิตที่เกดิ ข้ึนพรอ้ มดว้ ยองค์ฌาน ๒ คอื อเุ บกขา เอกคั คตา

อา

อภิ า แปลวา่ ความรยู ่ิง ความรูชนั สงู ความรูพเิ ศ นเร่อง
ทงั ๖ เรยี กว่า อภิ า ๖ ดแก่

๑ อทิ ธวิ ธิ ิ (อดิ -ทิ-วิ-ท)ิ แสดงฤทธ์ติ า่ ง ๆ ได้
๒ ทพิ พโสต (ทิบ-พะ-โส-ตะ) หูทพิ ย์
๓ เจโตปรยิ าณ (เจ-โต-ปะ-ร-ิ ยะ-ยาน) ญาณทที่ ายใจผอู้ นื่ ได้
๔ ปุพเพนิวาสานุสติ าณ (ปุบ-เพ-นิ-วา-สา-นุ-สะ-ติ-ยาน)
ญาณทท่ี �าให้ระลกึ ชาติได้
๕ ทิพพจักขุ (ทิบ-พะ-จัก-ขุ) ตาทิพย์
๖ อาสวักขย าณ (อา-สะ-วัก-ขะ-ยะ-ยาน) ญาณที่ท�าให้
อาสวะกิเลสสนิ้ ไป

อภิ า แบ่งเป็น ๒ ประเภท คอ โลกุตตรอภิ า และ
โลกียอภิ า

โลกุตตรอภิ า มีเพียงอย่างเดียวคือ อาสวักขย าณ
เป็นความรู้ย่ิงท่ีท�าให้ส้ินอาสวะกิเลส องค์ธรรมได้แก่ ปัญญาเจตสิก
ในอรหตั ตมรรคจติ เปน็ อภญิ ญาทไี่ มต่ อ้ งอาศยั รปู าวจรปญั จมฌานเปน็ บาท
(เปน็ ทตี่ ง้ั ให้เกดิ ขึน้ )

โลกียอภิ า เป็นอภิญญาท่ีต้องอาศัยรูปาวจรปัญจมฌาน
เป็นบาท ส�าหรับปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี
จะใช้ปัญจมฌานกุศลจิต (จิตหมายเลข ๕๙) เป็นบาทในการท�าอภิญญา
ส่วนพระอรหันต์จะใช้ปัญจมฌานกิริยาจิต (จิตหมายเลข ๖๙) เป็นบาท
ในการท�าอภญิ ญา

ผู้ท่ีจะท�าอภิญญาได้น้ันส่วนใหญ่จะต้องเป็นผู้ที่ช�านาญใน
ฌานสมาบัติทั้ง ๙ คือ รูปฌาน ๕ และอรูปฌาน ๔ มาแล้วเป็นอย่างดี
มเี พียงสว่ นนอ้ ยเท่านนั้ ทไ่ี ด้แค่ปัญจมฌานแตก่ ็สามารถทา� อภิญญาได้

ผู้ที่ได้ฌานสมาบัติท้ัง ๙ แล้วก็มิใช่ว่าจะได้อภิญญาในทันที
แต่จะต้องผ่านกระบวนการ ก นเพ่ือให้เกิดอภิญญาแต่ละอย่างอีก
หลายขน้ั ตอน (รายละเอยี ดเรอ่ื งนจ้ี ะอธบิ ายอกี ครง้ั ในปรจิ เฉท ๙ กมั มฏั ฐาน
สงั คหวิภาค)

กล่ ร า ร าก

รปู าวจรวิปากจติ ๕ (ร-ู ปา-วะ-จะ-ระ-วิ-ปา-กะ-จิต) คอจติ ท่ีเป็น
ลของรปู าวจรกศุ ลจติ ๕ ทา� หนา้ ทนี่ า� บคุ คลทไี่ ดฌ้ านในระดบั ตา่ ง ๆ ไปเกดิ
(ปฏสิ นธ)ิ เปน็ รปู พรหมในรปู ภมู ิ ๑๕ (ถา้ ฌานไมเ่ สอื่ ม) ยกเวน้ อสญั ญสตั ตภมู ิ
(อะ-สนั -ยะ-สดั -ตะ-พมู ) หรอื ทรี่ จู้ กั กนั ในชอื่ พรหมลกู ฟกั ซง่ึ เปน็ กมั มชรปู
ปฏิสนธิ (ไม่มีปฏิสนธิวิญญาณ) (ดูรูปภพภูมิในหน้าถัดไป) นอกจากน้ี
ยงั ทา� หนา้ ทเี่ ปน็ ภวงั คเ์ พอ่ื รกั ษาภพชาตคิ วามเปน็ รปู พรหม ใหด้ า� รงอยไู่ ดจ้ นกวา่
จะหมดอายุในภพนั้น และยงั ท�าหนา้ ท่จี ตุ ิ (ตาย) จากภพน้ัน ๆ ด้วย (เร่อื ง
ภพภมู ิตา่ ง ๆ จะอธบิ ายโดยละเอยี ดในปริจเฉทที่ ๕ วิถมี ตุ ตสงั คหวภิ าค)

๓ อ ูรปภูมิ ๔

เนวสัญญานาสัญญายตนภมู ิ ุสทธาวาสภูมิ ๕
อากญิ จญั ญายตนภมู ิ จ ุตตถฌานภูมิ ๗
วิญญาณญั จายตนภมู ิ ูรป ูภ ิม ๑๖
อากาสานัญจายตนภูมิ
อกนิฏฐาภูมิ เทวภู ิม ๖
สุทัสสภี ูมิ กามสุคติ ูภ ิม ๗
สทุ ัสสาภูมิ กาม ูภมิ ๑๑
อตปั ปาภูมิ
อวหิ าภูมิ

เวหปั ผลาภมู ิ อสญั ญสตั ตภมู ิ
ปริตตสภุ าภูมิ อัปปมาณสุภาภมู ิ สุภกิณหาภมู ิ ตติยฌานภูมิ ๓
ปริตตาภาภูมิ อปั ปมาณาภาภมู ิ อาภัสสราภมู ิ ทุตยิ ฌานภูมิ ๓
พรหมปาริสัชชาภมู ิ พรหมปุโรหิตาภมู ิ มหาพรหมาภูมิ ปฐมฌานภมู ิ ๓

ปรนมิ มติ วสวตั ตภี มู ิ
นิมมานรตภี มู ิ
ดสุ ิตาภมู ิ
ยามาภูมิ
ดาวตงึ สาภูมิ

จาตมุ หาราชิกาภูมิ
มนุษยภูมิ

นิรยภมู ิ เปตตวิ สิ ยภมู ิ อสุรกายภมู ิ ติรจั ฉานภมู ิ อบายภมู ิ ๔

ูรปาวจรจิต ๑๕ร า ร าก ง้ั ด ด ง ด ก่

รปู าวจรกุศลจติ ๕

รูปาวจรวปิ ากจติ ๕

รูปาวจรกิรยิ าจติ ๕

จติ หมายเลข ๖๐ ปฐม านวปิ ากจิต เปน็ จิตท่เี กดิ ขนึ้ พร้อมดว้ ย
องคฌ์ าน ๕ คอื วิตก วจิ าร ปตี ิ สุข เอกคั คตา จะน�าบคุ คลทไ่ี ด้ปฐมฌาน
ไปเกิดและรักษาภพชาติความเป็นรูปพรหมในปฐมฌานภูมิ ๓ อีกท้ัง
ท�าหนา้ ทต่ี าย (จุต)ิ จากปฐมฌานภูมิ ๓

จิตหมายเลข ๖๑ ทุตยิ านวปิ ากจิต เปน็ จิตทเี่ กิดขึ้นพรอ้ มดว้ ย
องค์ฌาน ๔ คอื วจิ าร ปตี ิ สุข เอกคั คตา จะนา� บคุ คลท่ไี ด้ทตุ ิยฌานไปเกดิ
และรักษาภพชาตคิ วามเปน็ รูปพรหมในทุติยฌานภมู ิ ๓ อีกทั้งท�าหน้าที่ตาย
(จตุ ิ) จากทตุ ยิ ฌานภมู ิ ๓

จติ หมายเลข ๖๒ ตติย านวปิ ากจิต เป็นจิตทเ่ี กดิ ขึ้นพร้อมดว้ ย
องค์ฌาน ๓ คือ ปีติ สขุ เอกคั คตา จะนา� บคุ คลทไ่ี ด้ตตยิ ฌานไปเกิดและ
รกั ษาภพชาตคิ วามเปน็ รปู พรหม ในทตุ ยิ ฌานภมู ิ ๓ อกี ทงั้ ทา� หนา้ ทตี่ าย (จตุ )ิ
จากทุตยิ ฌานภูมิ ๓

จิตหมายเลข ๖๓ จตุตถ านวิปากจิต เป็นจิตที่เกิดข้ึน
พร้อมดว้ ยองคฌ์ าน ๒ คือ สุข เอกคั คตา จะนา� บคุ คลท่ไี ดจ้ ตตุ ถฌานไป
เกดิ และรักษาภพชาตคิ วามเปน็ รปู พรหมในตตยิ ฌานภมู ิ ๓ อกี ทงั้ ท�าหน้าท่ี
ตาย (จุต)ิ จากตตยิ ฌานภมู ิ ๓

จติ หมายเลข ๖๔ ป จม านวปิ ากจติ เปน็ จติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ พรอ้ มดว้ ย
องค์ฌาน ๒ คืออุเบกขา เอกัคคตา จะน�าบุคคลที่ได้ปัญจมฌานไปเกิด
และรกั ษาภพชาตคิ วามเปน็ รปู พรหมในจตตุ ถฌานภมู ิ ๖ อกี ทงั้ ทา� หนา้ ทตี่ าย
(จตุ )ิ จากจตตุ ถฌานภมู ิ ๖ ( มร่ วมอสั สตั ตภมู ิ เนอ่ งจากอสั สตั ตภมู ิ
เปน็ ภมู ทิ ีม่ ีแต่รปู ขันธ์จง ม่ตองอาศยั นามขันธน์ �าเกิดและรกั าภพชาติ)

รูปาวจรกุศลจิตเป็นเหตุให้รูปาวจรวิปากจิตเกิดขึ้นเพื่อท�าหน้าที่
ปฏสิ นธิ ภวงั ค์ และจตุ ิ ในภมู ติ ่าง ๆ ดังน้ี

}ปฐมฌานกศุ ล ให้ผลเป็นปฐมฌานวบิ าก ท�าหน้าที่ปฏิสนธิ ภวงั ค์ จตุ ิ ในปฐมฌานภมู ิ ๓

ทตุ ยิ ฌานกศุ ล ใหผ้ ลเปน็ ทตุ ยิ ฌานวิบาก ท�าหน้าที่ ปฏสิ นธิ ภวงั ค์ จุติ
ตตยิ ฌานกศุ ล ใหผ้ ลเป็นตติยฌานวบิ าก ท�าหนา้ ท่ี ในทตุ ยิ ฌานภมู ิ ๓
จตุตถฌานกศุ ล ใหผ้ ลเปน็ จตตุ ถฌานวบิ าก ทา� หน้าที่ปฏสิ นธิ ภวังค์ จตุ ิ ในตติยฌานภูมิ ๓
ปัญจมฌานกุศลให้ผลเป็นปัญจมฌานวบิ าก ทา� หนา้ ที่ปฏิสนธิ ภวงั ค์ จตุ ิ ในจตตุ ถฌานภมู ิ ๖

น่ันคอ รปู าวจรกุศลจิต เป็นเหตุ รปู าวจรวิปากจติ เป็น ล

ขอสงั เกต

ทตุ ยิ ฌานวปิ ากจติ และตตยิ ฌานวปิ ากจติ จะนา� เกดิ ในทตุ ยิ ฌานภมู ิ
เหมือนกนั เพราะวิตกและวิจารมีสภาพใกลเ้ คยี งกัน ดงั น้นั เม่ือละวติ กได้
แตล่ ะวิจารไม่ได้ หรอื ละไดท้ ง้ั วิตกและวิจาร กค็ งใหผ้ ลไปเกดิ ในทตุ ยิ ฌาน
ภูมิเช่นเดียวกัน

ส่วนผทู้ ี่ไปเกดิ ในสทุ ธาวาสภมู ิ ๕ จะตอ้ งเป็นพระอนาคามบี ุคคล
ทไ่ี ดร้ ปู ปญั จมฌาน และมอี นิ ทรยี ์ ๕ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ แกก่ ลา้ (รายละเอยี ด
เรือ่ งนจี้ ะอธบิ ายอีกครง้ั ในปริจเฉทที่ ๕)

ูรปาวจร ิจต ๑๕กล่ ร า รกรยา

รูปาวจรกิริยาจิต ๕ (รู-ปา-วะ-จะ-ระ-กิ-ริ-ยา-จิต) คือ จิต
ท่ีเกิดขึ้นกับพระอรหันต์ท่ีก�าลังเข้ารูปฌาน (ฌาน ๑ - ๕) รูปาวจรกุศล
กับรูปาวจรกิริยา มีสภาวะเหมือนกันทุกประการ เพียงแต่รูปาวจรกุศล
เกดิ ขน้ึ กบั ปถุ ชุ น และพระเสกขบคุ คล (พระเสกขบคุ คล ไดแ้ ก่ พระโสดาบนั
พระสกทาคามี พระอนาคาม)ี สว่ นรปู าวจรกริ ยิ าจะเกดิ กบั พระอรหนั ตเ์ ทา่ นนั้
(ในขณะทที่ า่ นเขา้ ฌาน) และเนอ่ื งจากเปน็ กริ ยิ าจติ จงึ เปน็ กรรมทจี่ ะไมส่ ง่ ผล
ในชาตติ อ่ ไป (ไมน่ า� เกดิ เปน็ รปู พรหมในชาตติ อ่ ไป) ฌานจติ ของพระอรหนั ต์
เรียกวา่ รูปาวจรกริ ิยาจติ มี ๕ ระดบั (จิตหมายเลข ๖๕ - ๖๙)

รปู าวจรกุศลจิต ๕

รปู าวจรวิปากจติ ๕

รูปาวจรกิรยิ าจติ ๕

จิตหมายเลข ๖๕ ปฐม านกริ ยิ าจติ เป็นจติ ท่ีเกดิ ขนึ้ พร้อมด้วย
องคฌ์ าน ๕ คอื วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกคั คตา

จิตหมายเลข ๖๖ ทุตยิ านกริ ิยาจิต เปน็ จติ ทเี่ กดิ ข้นึ พร้อมดว้ ย
องคฌ์ าน ๔ คือ วิจาร ปีติ สุข เอกคั คตา

จิตหมายเลข ๖๗ ตติย านกิรยิ าจิต เปน็ จติ ทเี่ กิดขึ้นพร้อมด้วย
องค์ฌาน ๓ คอื ปตี ิ สุข เอกัคคตา

จิตหมายเลข ๖๘ จตตุ ถ านกริ ยิ าจิต เปน็ จิตที่เกิดขน้ึ พร้อมดว้ ย
องคฌ์ าน ๒ คอื สุข เอกคั คตา

จติ หมายเลข ๖๙ ป จม านกริ ยิ าจติ เปน็ จติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ พรอ้ มดว้ ย
องค์ฌาน ๒ คือ อเุ บกขา เอกคั คตา

อร า ร

โยคีบุคคลผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานจนได้รูปฌาน ๕ แล้ว
หากประสงค์จะได้ฌานสมาบัติที่ละเอียดประณีตยิ่งข้ึนไปอีกจะต้องเจริญ
สมาธิขนั้ สงู (อรปู ฌาน) โดยเพ่งอารมณอ์ นั ปราศจากรปู (อรูปกรรมฐาน)

อรูปาวจรจิต ๑๒ เป็น านจิต นระดับป จม านทังหมด
เพราะองคฌ์ านของอรปู ฌานประกอบด้วย อเุ บกขา เอกัคคตา เชน่ เดียวกบั
องคฌ์ านของปญั จมฌาน (รูปฌานระดับ ๕)

องค์ านของรูป านทงั ๕ และอรปู านทัง ๔

ปฐมฌาน มีองค์ฌาน ๕ ไดแ้ ก่ วิตก วจิ าร ปีติ สุข เอกคั คตา

ทุตยิ ฌาน มอี งค์ฌาน ๔ ไดแ้ ก่ วจิ าร ปีติ สุข เอกคั คตา

ตตยิ ฌาน มีองค์ฌาน ๓ ไดแ้ ก่ ปีติ สขุ เอกคั คตา

จตตุ ถฌาน มอี งค์ฌาน ๒ ไดแ้ ก่ สขุ เอกคั คตา

ปัญจมฌาน มอี งค์ฌาน ๒ ได้แก่ อเุ บกขา เอกคั คตา

อากาสานญั จายตนฌาน มอี งค์ฌาน ๒ ได้แก่ อเุ บกขา เอกคั คตา

วิญญาณญั จายตนฌาน มอี งค์ฌาน ๒ ไดแ้ ก่ อเุ บกขา เอกคั คตา

อากญิ จัญญายตนฌาน มีองค์ฌาน ๒ ได้แก่ อเุ บกขา เอกคั คตา

เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน มอี งคฌ์ าน ๒ ไดแ้ ก่ อเุ บกขา เอกคั คตา

ความแตกตา่ งของอรปู าวจรจติ แตล่ ะระดบั จะตา่ งกนั ทอ่ี ารมณ์ มิ ช่
ต่างกันทอ่ี งค์ าน กลา่ วคอ

อรปู านระดบั ๑ คอ อากาสานั จายตน าน (อา-กา-สา-นนั -
จา-ยะ-ตะ-นะ-ชาน) มีกสณิ คุ าฏมิ ากาสบัญญัติ (กะ-สิ-นุก-คา-ติ-มา-กา-
สะ-บนั -หยัด) เปน็ อารมณก์ รรมฐาน

อรปู านระดับ ๒ คอ วิ าณั จายตน าน (วิน-ยา-นัน-จา-
ยะ-ตะ-นะ-ชาน) มอี ากาสานัญจายตนฌานจิตเป็นอารมณ์กรรมฐาน

อรูป านระดับ ๓ คอ อากิ จั ายตน าน (อา-กนิ -จนั -ยา-
ยะ-ตะ-นะ-ชาน) มนี ัตถภิ าวบญั ญตั ิ (นดั -ถ-ิ พา-วะ-บนั -หยดั ) เป็นอารมณ์
กรรมฐาน

อรูป านระดับ ๔ คอ เนวสั านาสั ายตน าน (เน-วะ-
สัน-ยา-นา-สัน-ยา-ยะ-ตะ-นะ-ชาน) มีอากิญจัญญายตนฌานจิตเป็น
อารมณก์ รรมฐาน

ยาย า

อรูป านระดับ ๑ ช่อว่าอากาสานั จายตน าน ผู้ปฏิบัติท่ี
ต้องการจะเข้าอรปู ฌานระดับ ๑ จะตอ้ งไมพ่ ะวงถึงนมิ ิตท่ีเป็นองคก์ สณิ อีก
ต่อไป คอื ใหท้ ิ้งอารมณ์ของปญั จมฌาน และหันมา ส่ จ นความวา่ งเปล่า
ของอากาศอยา่ ง มม่ ที สี่ ุดเปน็ อารมณ์ อารมณเ์ ชน่ นเ้ี รยี กวา่ กสณิ คุ าฏมิ า-
กาสบั ัติ (กะ-สิ-นุก-คา-ติ-มา-กา-สะ-บัน-หยัด) เรียกสั้น ๆ ว่า
อากาสบั ัติ เมื่อละองค์กสิณที่เป็นรูปบัญญัติได้เด็ดขาดเมื่อใด
ความว่างเปล่าของอากาศอย่างไม่มีท่ีสุด (อากาสบัญญัติ) จะมาปรากฏ
เป็นอารมณ์ขึ้นแทน จิตที่มีอากาสบั ัติเป็นอารมณ์ช่อว่า “อากาสานั
จายตน านจติ ” ระดบั สมาธทิ เี่ กดิ ขน้ึ พรอ้ มกบั จติ ดวงนคี้ อื อรปู ฌานระดบั ๑

อรูป านระดับ ๒ ช่อว่าวิ าณั จายตน าน ผู้ปฏิบัติ
ที่ต้องการจะเข้าอรูปฌานระดับ ๒ จะต้องพยายามพราก จออกจาก
อากาสบั ัติ คือ ให้ท้ิงอารมณ์ของอรูปฌาน ๑ และนอมน�าเอา
อากาสานั จายตน านจติ มาเปน็ อารมณแ์ ทน เมอ่ื จติ สามารถทง้ิ อากาสบญั ญตั ิ
ไดเ้ ดด็ ขาดเมอื่ ใด อากาสานญั จายตนฌานจติ กจ็ ะปรากฏเปน็ อารมณข์ นึ้ แทน
จติ ทมี่ อี ากาสานั จายตน านจติ เปน็ อารมณช์ อ่ วา่ “วิ าณั จายตน านจติ ”
ระดับสมาธทิ ่เี กิดพรอ้ มกับจิตดวงนี้ คือ อรูปฌานระดับ ๒

อรปู านระดบั ๓ ชอ่ วา่ อากิ จั ายตน าน ผปู้ ฏบิ ตั ทิ ตี่ อ้ งการจะ
เขา้ อรปู ฌานระดบั ๓ จะตอ้ งพยายาม ละจากการยดอากาสานั จายตน านจติ
มาเป็นอารมณ์ คือให้ท้ิงอารมณ์ของอรูปฌาน ๒ ด้วยการหน่วงเอานัตถิ
ภาวบั ัติ (นัด-ถิ-พา-วะ-บัน-หยัด) หรอ อภาวบั ัติ (อะ-พา-
วะ-บัน-หยัด) คือความ ม่มีอะ รมาเป็นอารมณ์ เม่ือเจริญภาวนาจน
อากาสานญั จายตนฌานจติ ทเี่ ปน็ อารมณก์ รรมฐานสญู หายไปจากใจในเวลาใด
เวลานั้น นัตถิกิ จิ (นัด-ถิ-กิน-จิ) คือ สภาวะนิดหนึ่งก็ไม่มี หน่อยหนึ่ง
ก็ไม่มี จะมาปรากฏเป็นอารมณ์ขึ้นแทน จิตที่มีนัตถิกิ จิเป็นอารมณ์ช่อว่า
“อากิ จั ายตน านจิต” ระดับสมาธิท่ีเกิดพร้อมกับจิตดวงน้ีคือ
อรูปฌานระดบั ๓

อรปู านระดับ ๔ ช่อว่าเนวสั านาสั ายตน าน ผู้ปฏิบตั ิ
ท่ีต้องการจะเข้าอรูปฌานระดับ ๔ จะต้องพยายามพราก จออกจาก
นัตถิภาวบั ัติ คือให้ทิ้งอารมณ์ของอรูปฌาน ๓ และพยายามหน่วง
เอาอากิ จั ายตน านจิตมาเป็นอารมณ์แทนนัตถิภาวบั ัติ
เม่ือเจริญภาวนาจนนัตถิภาวบัญญัติสูญหายไปจากใจในเวลาใดเวลาน้ัน
อากิญจัญญายตนฌานจิตจะมาปรากฏเป็นอารมณ์ข้ึนแทน จิตท่ีมีอากิ
จั ายตน านจติ เปน็ อารมณเ์ รยี กวา่ “เนวสั านาสั ายตน านจติ ”

อรูปาวจร ิจต ๑๒เนวสญั ญานาสญั ญายตนฌาน เปน็ ฌานระดบั สงู สดุ ของอรปู ฌาน ๔
และสูงสุดในบรรดาฌานสมาบตั ทิ ้ัง ๙ ด้วย

อร า ร บ่ง น กล่ ย่อย ด ก่

๑ อรปู าวจรกุศลจติ ๔ จติ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในขณะทโ่ี ยคบี คุ คล (ยกเวน้ พระอรหนั ต)์
กา� ลังเข้าอรูปฌาน ๑ - ๔

๒ อรูปาวจรวปิ ากจติ ๔ จติ ทเ่ี ป็นวบิ าก (ผล) ของอรูปฌาน ๑ - ๔
๓ อรูปาวจรกริ ิยาจิต ๔ จิตของพระอรหนั ต์ท่กี �าลงั เขา้ อรปู ฌาน ๑ - ๔

กล่ อร า รก ล

อรปู าวจรกุศลจิต ๔

อรปู าวจรวปิ ากจติ ๔

อรปู าวจรกิรยิ าจติ ๔

อรูปาวจรกุศลจิตเป็นจิตท่ีเกิดกับโยคีบุคคล ูที่ก�าลังเจริ
สมถภาวนาอยู่ นอรูป าน มจี า� นวน ๔ ดวง คอ

จิตหมายเลข ๗๐ อากาสานั จายตนกศุ ลจติ เกดิ ขน้ึ พรอ้ มดว้ ย
องค์ฌาน ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา เป็นจิตที่เกิดขึ้นในขณะท่ีบุคคล
กา� ลงั เขา้ อรปู ฌานระดบั ๑ โดยมอี ากาศทวี่ า่ งเปลา่ อนั หาทส่ี ดุ มไิ ดเ้ ปน็ อารมณ์

จติ หมายเลข ๗๑ วิ าณั จายตนกุศลจติ เกดิ ข้ึนพร้อมดว้ ย
องคฌ์ าน ๒ คอื อเุ บกขา เอกคั คตา เปน็ จติ ที่เกดิ ข้ึนในขณะทีบ่ คุ คลกา� ลัง
เข้าอรูปฌานระดับ ๒ โดยหน่วงอากาสานญั จายตนกุศลจิตมาเปน็ อารมณ์

จติ หมายเลข ๗๒ อากิ จั ายตนกุศลจิต เกิดขนึ้ พรอ้ มดว้ ย
องค์ฌาน ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา เป็นจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่บุคคล
ก�าลังเข้าอรูปฌานระดับ ๓ โดยมีความว่างอันปราศจากบัญญัติใด ๆ
(นัตถิภาวบญั ญัติ หรือ อภาวบัญญตั ิ) เปน็ อารมณ์

จิตหมายเลข ๗๓ เนวสั านาสั ายตนกุศลจิต เกิดข้ึน
พร้อมด้วยองคฌ์ าน ๒ คอื อเุ บกขา เอกคั คตา เป็นจติ ทเี่ กิดขนึ้ ในขณะที่
บุคคลก�าลังเข้าอรูปฌานระดับ ๔ โดยหน่วงอากิญจัญญายตนกุศลจิต
มาเป็นอารมณ์

ทู ่ตี องการทา� อรูป านมี ๒ พวก คอ

๑ พวกที่เหนว่ารูปกายเป็นเหตุแห่งทุกข์ เพราะมีความแก่ชรา
มีความเส่ือมโทรม มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน มีความหิวกระหาย ต้อง
เผชิญกับความเย็นความร้อน ตอ้ งคอยปรนนิบัตใิ นเรือ่ งอาหาร ทอี่ ยอู่ าศยั
เคร่ืองนุ่งห่ม และต้องเผชิญกับทุกข์ภัยนานาประการ ฯลฯ หากปราศจาก
รปู ร่างกายเม่ือใด ทกุ ข์เหล่านก้ี ็ไม่สามารถจะเกิดขน้ึ ได้ เพราะไมม่ ีที่ใหเ้ กดิ
จึงท�าให้เกิดความเบื่อหน่ายในรูปร่างกาย ปรารถนาจะเป็นบุคคลที่ไม่มีรูป
มแี ตจ่ ติ ใจเทา่ นนั้ (ปรารถนาไปเกดิ ในภมู ทิ ไ่ี มม่ รี ปู หรอื อรปู ภมู )ิ ซง่ึ ผทู้ จี่ ะไป
เกิดในอรปู ภูมิได้นั้นจะตอ้ งเจริญสมาธิภาวนาจนถึงข้ันอรปู ฌาน

๒ อกี พวกหนง่ ม่ ดคดิ ถงโท ภยั ของรปู รา่ งกายเหมอนพวกแรก
แต่เหนว่า านท่ี ชรูปเป็นอารมณ์ (รูป าน) หยาบกว่า านท่ี ม่ ชรูป
เปน็ อารมณ์ (อรูป าน) อรปู ฌานจงึ มกี า� ลงั มั่นคงและประณีตกว่ารูปฌาน
บุคคลกลุ่มนี้จึงเจริญสมาธิภาวนาเพ่ือต่อยอดจากข้ันรูปฌานไปสู่ข้ัน
อรูปฌาน

อ ูรปาวจรจิต ๑๒กล่ อร า ร าก

อรูปาวจรกุศลจิต ๔

อรปู าวจรวิปากจิต ๔

อรปู าวจรกริ ยิ าจติ ๔

อรปู าวจรวปิ ากจติ เปน็ จติ ทเ่ี ปน็ ผลของอรปู าวจรกศุ ลจติ ทา� หนา้ ที่
น�าบุคคลท่ีได้อรูปฌานระดับต่าง ๆ ไปเสวยผลในอรูปภูมิ โดยท�าหน้าท่ี
ปฏิสนธิ (นา� เกิด) และท�าหน้าทภี่ วงั คเ์ พ่ือรกั ษาภพชาตคิ วามเป็นอรปู พรหม
ในชนั้ นน้ั ๆ จนสน้ิ อายขุ ยั ในวาระสดุ ทา้ ยจะทา� หนา้ ทจี่ ตุ ิ (ตาย) จากอรปู ภพ
นั้น ๆ ด้วย

อรูปาวจรวิปากจิต ๔ มีสภาวะตรงตามอรูปาวจรกุศลจิต
ทกุ ประการ ดังนี

จิตหมายเลข ๗๔ อากาสานั จายตนวิปากจิต เกดิ ขึ้นพร้อมดว้ ย
องคฌ์ าน ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา

จิตหมายเลข ๗๕ วิ าณั จายตนวิปากจติ เกิดขึน้ พรอ้ มด้วย
องค์ฌาน ๒ คือ อเุ บกขา เอกัคคตา

จิตหมายเลข ๗๖ อากิ จั ายตนวปิ ากจติ เกิดข้ึนพร้อมดว้ ย
องค์ฌาน ๒ คอื อเุ บกขา เอกคั คตา

จติ หมายเลข ๗๗ เนวสั านาสั ายตนวปิ ากจติ เกดิ ขนึ้ พรอ้ ม
ด้วยองคฌ์ าน ๒ คือ อเุ บกขา เอกคั คตา

อรปู าวจรวปิ ากจติ ๔ ดวงนี จะนา� เกดิ นอรปู ภมู ิ ๔ เทา่ นนั กลา่ วคอ

อากาสานญั จายตนวปิ ากจิต นา� เกิดในอากาสานญั จายตนภูมิ
วญิ ญาณญั จายตนวิปากจิต นา� เกิดในวญิ ญาณญั จายตนภมู ิ
อากิญจญั ญายตนวิปากจิต นา� เกิดในอากญิ จัญญายตนภมู ิ
เนวสัญญานาสญั ญายตนวิปากจิต นา� เกิดในเนวสญั ญา-

นาสัญญายตนภมู ิ

อรปู าวจรวปิ ากจติ ทงั ๔ จะทา� กจิ ๓ ประการ คอ

๑ น�าเกดิ ในอรูปภูมใิ ดอรูปภมู หิ น่งึ ตามระดบั ของอรปู ฌานที่ได้
๒ รกั าภพชาตคิ วามเปน็ อรปู พรหมในภมู นิ น้ั ๆ จนหมดอายขุ ยั
๓ จุติ (ตาย) จากอรปู พรหมในภูมนิ น้ั ๆ เมอื่ หมดอายุขัย

น่นั คอื รปู าวจรกุศลจติ เปน็ เหตุ รูปาวจรวปิ ากจิต เปน็ ล

อ ูรปาวจร ิจต ๑๒กล่ อร า รกรยา

เปน็ จติ ทเี่ กดิ กบั พระอรหนั ตใ์ นขณะทที่ า่ นกา� ลงั เขา้ อรปู ฌาน เพราะ
การกระท�าใด ๆ ของท่านจะไม่มีวิบากอีกต่อไป จึงเรียกจิตทุกประเภท
ท่ีเกิดกับพระอรหันต์ว่า กิริยาจิต โดยสภาวะแล้วอรูปาวจรกิริยาจิตกับ
อรปู าวจรกศุ ลจติ นน้ั เหมอื นกนั ทกุ ประการ แตท่ ต่ี า่ งกนั กค็ อื อรปู าวจรกริ ยิ าจติ
เกิดกับพระอรหันต์เท่าน้ัน ส่วนอรูปาวจรกุศลจิตเกิดได้กับปุถุชน
พระโสดาบนั พระสกทาคามี และพระอนาคามี อรูปาวจรกิริยาจติ มี ๔ ดวง
เช่นกัน ได้แก่

อรปู าวจรกุศลจิต ๔

อรูปาวจรวปิ ากจติ ๔

อรปู าวจรกิรยิ าจติ ๔

จิตหมายเลข ๗๘ อากาสานั จายตนกิรยิ าจิต เกิดขึน้ พร้อมด้วย
องคฌ์ าน ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา และเกดิ กบั พระอรหันต์เทา่ นัน้

จติ หมายเลข ๗๙ วิ าณั จายตนกริ ยิ าจติ เกดิ ขน้ึ พร้อมด้วย
องค์ฌาน ๒ คือ อุเบกขา เอกคั คต และเกดิ กบั พระอรหันตเ์ ทา่ นน้ั

จติ หมายเลข ๘๐ อากิ จั ายตนกิรยิ าจติ เกิดข้นึ พร้อมด้วย
องคฌ์ าน ๒ คอื อุเบกขา เอกัคคตา และเกดิ กับพระอรหนั ตเ์ ท่านน้ั

จิตหมายเลข ๘๑ เนวสั านาสั ายตนกิริยาจิต เกิดข้ึน
พรอ้ มดว้ ยองคฌ์ าน ๒ คอื อเุ บกขา เอกคั คตา และเกดิ กบั พระอรหนั ตเ์ ทา่ นนั้

หมายเหตุ อรูปาวจรกิริยาจิตทั้ง ๔ จะมีองค์ฌานเหมือนกัน
ทต่ี ่างกันก็คืออารมณ์ที่ใชเ้ พ่งเทา่ น้นั

การปฏบิ ตั ทิ างจติ ในสายสมาธิ (สมถกรรมฐาน) มสี งู สดุ เพยี งเทา่ นี้
คอื รปู าน ๕ อรูป าน ๔ รวมเรยี กวา่ สมาบตั ิ ๙ หรอื ถาแบ่งรปู าน
เปน็ ๔ ระดบั (ตามจตกุ กนยั ) กจะเปน็ รปู าน ๔ อรปู าน ๔ รวมเรยี กวา่
สมาบัติ ๘

พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เมอื่ ครงั้ ยงั เปน็ พระโพธสิ ตั ว์ (กอ่ นทจี่ ะตรสั ร)ู้
ได้เคยศึกษาและปฏิบัติในส�านักของท่านอาฬารดาบสและท่านอุทกดาบส
จนไดอ้ รปู ฌานขนั้ สงู สดุ (เนวสญั ญานาสญั ญายตนฌาน) มาแลว้ แตท่ รงเหน็
ว่าไมใ่ ชท่ างพ้นทกุ ข์ ไม่ใช่ทางตรสั รู้ จงึ อา� ลาจากดาบสท้ัง ๒ มาแสวงหาทาง
พน้ ทุกข์ด้วยพระองค์เอง จนได้ตรัสรูเ้ ปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้า

การปฏบิ ตั ทิ างจติ ในสายสมาธิ (สมถกรรมฐาน) เพยี งอยา่ งเดียว
จงึ ไมใ่ ชท่ างพน้ ทกุ ข์ แตเ่ ปน็ เพยี งการหลบทกุ ขเ์ ทา่ นน้ั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ไดต้ รสั ไวช้ ดั เจนแลว้ วา่ “ทางสายเอกสายเดยี วทจี่ ะนา� สตั วท์ งั หลาย ปสคู่ วาม
บรสิ ทุ ธหิ มดจดจากกเิ ลส พนจากความครา�่ ครว รา� พนั พนจากความทกุ ขก์ าย
ทุกข์ จ สามารถเขาถงอริยมรรคและเหนแจงพระนิพพาน ดนัน มีเพียง
หนทางเดียว คอ การเจริ สติปฏฐาน ๔ เท่านัน”

การปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน คอ การเจริ สตปิ ฏฐาน ๔ นัน่ เอง

บ ี่
ลก ร

โลกุตตรจิต (โล-กุด-ตะ-ระ-จิต) คอ จิตท่ีมีพระนิพพานเป็น
อารมณ์ แบ่งเปน็ ๒ กลุ่ม (ดูรปู ในหนา้ ๓๗)

กล่มุ ที่ ๑ เรียกว่า มรรคจิต (มัค-คะ-จิต) จิตกลุ่มน้ีมี
พระนพิ พานเป็นอารมณ์และทา� หนา้ ท่ีประหาณกิเลส๒๑

กลมุ่ ท่ี ๒ เรียกว่า ลจติ (ผน-ละ-จิต) จติ กลมุ่ นี้มีพระนพิ พาน
เปน็ อารมณแ์ ละท�าหน้าทเี่ สวยผลตอ่ จากการประหาณกเิ ลสของมรรคจติ

มรรคจติ เปน็ กศุ ลจติ ประเภทโลกตุ ตระ จงึ มชี อ่ื เรยี กอกี อยา่ งหนง่ึ
ว่า โลกุตตรกศุ ลจติ (โล-กดุ -ตะ-ระ-ก-ุ สน-ละ-จติ )

ลจติ เปน็ วบิ ากจิตประเภทโลกตุ ตระ จงึ มชี อื่ เรยี กอกี อย่างหน่ึง
ว่า โลกุตตรวิปากจิต๒๒ (โล-กุด-ตะ-ระ-วิ-ปา-กะ-จิต) หรือจ�าง่าย ๆ ว่า
มรรคเป็นกุศล ลเป็นวิบาก

๒๑ การทา� ลายกิเลส จะใชค้ า� วา่ “ประหาณ” หรือ “ปหาน” แตจ่ ะไม่ใช้คา� ว่า “ประหาร”
๒๒ ผลของกรรมในภาษาไทย เรียกว่า “วิบาก” แต่ส�าหรบั ช่อื จิตซงึ่ เป็นภาษาบาลจี ะใช้ “ป”

เปน็ ตวั สะกด เช่น โลกตุ ตรวปิ ากจติ

โลกุตตรจิตน้ีมีเพียงโลกุตตรกุศลและโลกุตตรวิปากเท่านั้น
จะไม่มีโลกุตตรกิริยา เพราะเม่ือพระอรหันต์ท�าลายกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว
มรรคจติ ก็จะไมเ่ กดิ กบั พระอรหนั ต์อกี

รร ล กด ้น ดอยา่ ง ร

ผทู้ เี่ จรญิ วิปัสสนากรรมฐาน (เจริญสติปฏั ฐาน ๔) โดยมสี ติตาม
รูก้ าย เวทนา จติ ธรรม หรอื ตามร้อู าการของกายและจติ (รปู กบั นาม) อยา่ ง
จดจอ่ ต่อเนือ่ ง จะมวี ิปสั สนาญาณ ๑๖ ขัน้ ปรากฏขน้ึ ตามล�าดบั ดังน้ี

วิปสสนา าณ ๑๖ ขัน๒๓
๑ นามรูปปริจเ ท าณ (นา-มะ-รู-ปะ-ปะ-ริด-เฉ-ทะ-ยาน)
ปัญญาทแ่ี ยกไดว้ ่าอะไรเปน็ รปู ธรรม อะไรเป็นนามธรรม
๒ ปจจยปรคิ คห าณ (ปดั -จะ-ยะ-ปะ-รกิ -คะ-หะ-ยาน) ปญั ญา
ท่ีร้วู า่ รปู ธรรมและนามธรรมท้ังหลายต่างเป็นเหตเุ ป็นปัจจยั แกก่ ัน
๓ สัมมสน าณ (สัม-มะ-สะ-นะ-ยาน) ปัญญาที่เริ่มเห็น
ไตรลกั ษณข์ องรปู นาม
๔ อุทยัพพย าณ (อุด-ทะ-ยับ-พะ-ยะ-ยาน) ปัญญาที่เห็นว่า
สภาวธรรมทงั้ หลายเม่อื เกิดขึน้ แล้วตอ้ งดบั ไปเปน็ ธรรมดา
๕ ภงั ค าณ (พงั -คะ-ยาน) ปญั ญาทเี่ หน็ ชดั วา่ สงั ขารทงั้ ปวงลว้ น
ตอ้ งเสอ่ื มสลายไปในที่สุด

๒๓ ในทน่ี จี้ ะขออธบิ ายวปิ สั สนาญาณ ๑๖ พอเปน็ สงั เขปเพอื่ ใหเ้ หน็ วา่ มรรคญาณ (มรรคจติ )
และผลญาณ (ผลจิต) เกดิ ขึ้นไดอ้ ยา่ งไรเทา่ น้ัน รายละเอยี ดทลี่ กึ ซึ้งกวา่ นี้จะอธิบายใน
เร่ืองวิปสั สนากรรมฐาน ปริจเฉทท่ี ๙ อกี ครัง้

๖ ภย าณ (พะ-ยะ-ยาน) ปญั ญาทีเ่ ห็นรปู นามเป็นของน่ากลวั
เพราะลว้ นแต่จะต้องแตกสลาย

๗ อาทีนว าณ (อา-ท-ี นะ-วะ-ยาน) ปญั ญาทเ่ี หน็ ทกุ ข์ เหน็ โทษ
ของรปู นาม

๘ นิพพทิ า าณ (นิบ-พิ-ทา-ยาน) ปญั ญาเหน็ รปู นามเป็นทกุ ข์
เป็นโทษ และเกดิ ความเบอ่ื หน่าย

๙ มุ จติ กุ มั ยตา าณ (มนุ -จ-ิ ต-ุ กมั -ยะ-ตา-ยาน) ปญั ญาทเี่ หน็
รูปนามเปน็ ทุกข์ เปน็ โทษ อยากหนี อยากหลุดพน้ ไปจากรูปนาม

๑๐ ปฏิสังขา าณ (ปะ-ติ-สัง-ขา-ยาน) ปัญญาที่พิจารณา
หาทางหลดุ พ้น ตัง้ ใจปฏบิ ัตอิ ย่างจรงิ จงั เขม้ แขง็ ส้ตู าย ไม่ยอมทอ้ ถอย

๑๑ สงั ขารเุ ปกขา าณ (สงั -ขา-ร-ุ เปก-ขา-ยาน) ปญั ญาเหน็ สภาวะ
ของสงั ขารตามความเป็นจริง ทา� ใหว้ างใจเป็นกลางได้

๑๒ อนุโลม าณ (อะ-นุ-โล-มะ-ยาน) ปัญญาท่ีพิจารณาสังขาร
โดยอนุโลมตามญาณต�่าและญาณสูง เตรยี มเขา้ สู่มรรค ผล นพิ พาน

๑๓ โคตรภู าณ (โค-ตะ-ระ-พ-ู ยาน) ปญั ญาทต่ี ดั ขาดจากโคตร
ของปถุ ุชนเขา้ สโู่ คตรของพระอรยิ เจา้ หน่วงพระนพิ พานเปน็ อารมณ์

๑๔ มรรค าณ (มคั -คะ-ยาน) ปญั ญาทที่ า� ลายกเิ ลสเปน็ สมจุ เฉท
ประหาณมีนพิ พานเปน็ อารมณ์ จิตทีเ่ กิด นมรรค าณกคอมรรคจิตนนั่ เอง

๑๕ ล าณ (ผน-ละ-ยาน) ปัญญาที่สืบต่อมาจากมรรคญาณ
คอื เสวยผลทมี่ รรคประหาณกเิ ลสมาแลว้ มนี พิ พานเปน็ อารมณ์ จติ ทเ่ี กดิ น

ล าณกคอ ลจติ น่ันเอง

๑๖ ปจจเวกขณ าณ (ปัด-จะ-เวก-ขะ-หนะ-ยาน) ปัญญา
ท่ีพิจารณากิเลสท่ีละได้แล้ว (พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
และพระอรหนั ต)์ และกเิ ลสที่ยังเหลอื อยู่ (ยกเว้นพระอรหันต์)

การเกดิ ขนึ้ ของมรรคจติ และผลจติ สามารถแสดงไดด้ ว้ ยภาพวถิ จี ติ
(มรรควถิ )ี ดงั น้ี

รร

มพี ระนพิ พานเป็นอารมณ์

ภ ภ น ท ม ปริ อุป นุ โค/โว ม ผ ผ ภ ภ ภ

โสดาปัตติมรรคจติ โสดาปัตติผลจิต
สกทาคามมิ รรคจิต สกทาคามิผลจิต
อนาคามมิ รรคจติ อนาคามิผลจติ

อรหัตตมรรคจิต อรหตั ตผลจิต

ทกุ ครง้ั ทม่ี รรคจติ เกดิ ขน้ึ กเิ ลสจะถกู ทา� ลายเปน็ สมจุ เฉทประหาณตามอา� นาจแหง่ มรรคนน้ั ๆ

รร ระดับ อ

๑ โสดาปตตมิ รรคจิต เป็นมรรคจติ ทเ่ี กดิ ขึน้ เปน็ ครง้ั แรก
๒ สกทาคามมิ รรคจติ เป็นมรรคจติ ท่เี กิดข้ึนครง้ั ที่ ๒
๓ อนาคามิมรรคจติ เป็นมรรคจิตท่ีเกิดขึ้นคร้งั ที่ ๓
๔ อรหตั ตมรรคจติ เปน็ มรรคจติ ท่ีเกิดขน้ึ ครัง้ ที่ ๔
แต่ละระดับจะเกดิ เพยี งขณะจติ เดยี ว (แวบเดียว) แตม่ ีอานภุ าพ
ในการประหาณกเิ ลสไดอ้ ยา่ งขดุ รากถอนโคน โดยกเิ ลสทถ่ี กู ประหาณแลว้ จะ
ไม่มโี อกาสหวนกลับมาอกี แม้ว่าจะตายจากชาตนิ ี้และไปเกดิ อีกกี่ชาตกิ ็ตาม

ก ลส ระดับ

กเิ ลสแบง่ ได้ ๓ ระดบั ในการประหาณกเิ ลสแตล่ ะระดบั จะตอ้ งใช้
วธิ ีการที่แตกตา่ งกันดงั น้ี

๑ วตี ิกกมกเิ ลส (วี-ติก-กะ-มะ-กิ-เหลด) คือ กิเลสอยา่ งหยาบ
ท่ีแสดงออกทางกายหรือทางวาจา วีติกกมกิเลสสามารถระงับ ดดวยศีล
แต่จะระงับได้ในขณะท่ียังรักษาศีลอยู่เท่านั้น การประหาณในลักษณะนี้
เรยี กวา่ ตทงั คปหาน (ตะ-ทงั -คะ-ปะ-หาน)

๒ ปรยิ ฏุ ฐานกเิ ลส (ปะ-ร-ิ ยดุ -ถา-นะ-ก-ิ เหลด) คอื กเิ ลสอยา่ งกลาง
ท่เี กดิ คกุ รนุ่ อยู่ภายในใจไม่ถงึ กับแสดงออกมาทางกายหรอื วาจา ตัวเองรู้ได้
แต่ผู้อ่ืนมักไม่รู้ ปริยุฏฐานกิเลสสามารถข่ม ว ด ด วยอ�านาจของ
สมาธิ นขัน าน และได้นานตราบเท่าที่ยังอยู่ในฌาน การประหาณ
ในลักษณะนี้เรียกว่า วิกขัมภนปหาน (วิก-ขัม-พะ-นะ-ปะ-หาน) ซึ่งจะข่ม
กิเลสไวไ้ ด้เฉพาะขณะทอ่ี ยู่ในฌานเทา่ นั้น

๓ อนุสัยกิเลส (อะ-นุ-สัย-กิ-เหลด) คือ กิเลสอย่างละเอียด
ท่ีนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของสัตว์ทั้งหลาย อนุสัยกิเลสตองประหาณ
ดวยป า นมรรคจิตอันเป็นการประหาณอย่างขุดรากถอนโคนและ
ไม่สามารถจะกลบั มาเกิดได้อีก การประหาณในลักษณะนเี้ รียกว่า สมุจเ ท
ประหาณ (สะ-หมุด-เฉ-ทะ-ประ-หาน) ซ่ึงจะท�าลายกิเลสได้อย่างเบ็ดเสร็จ
เด็ดขาด โดยกเิ ลสจะไมก่ ลับมาเกิดได้อกี

เมื่ออนุสัยกิเลสถูกท�าลาย ปริยุฏฐานกิเลสและวีติกกมกิเลส
จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น เพราะกิเลสสองชนิดนี้มีอนุสัยกิเลสเป็นต้นเหตุ
อย่เู บอื้ งหลงั

ต่อไปนี้จะแสดงการประหาณกิเลส (สมุจเฉทประหาณ) โดย
มรรคจิตท้ัง ๔ ซ่ึงจะน�ากิเลสในหมวดสังโยชน์ ๑๐ อกุศลกรรมบถ ๑๐
และอกุศลจติ ๑๒ มาแสดง ดงั นี้

การ ระ า สัง ยชน ดย รร ้งั

สงั โยชน์ ๑๐ หมายถงึ ธรรมชาติ ๑๐ ประการ ท่ผี ูกสตั ว์ทั้งหลาย
ใหต้ ดิ อยใู่ นสงั สารวฏั ได้แก่

๑ สักกายทิฏฐิ (สัก-กา-ยะ-ทิด-ถิ) ความเห็นผิดว่าเป็นตัว
เป็นตน คือเหน็ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณวา่ เป็นตวั เปน็ ตน

๒ วิจิกิจ า (วิ-จิ-กิด-ฉา) คือ ความลังเลสงสัยและขาด
ความมั่นใจในผลของกรรมดี ซ่ึงจะเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการท�ากรรมดี
ท้ังปวง

๓ สีลัพพตปรามาส (สี-ลับ-พะ-ตะ-ปะ-รา-มา-สะ) คือ
การปฏิบัติผิด ๆ ท่ีคิดว่าจะน�าไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ เช่น การ ่าสัตว์เพื่อ
บูชายัญ การทรมานตนเพอ่ื ให้บรรลธุ รรม การเขา้ พธิ ีตัดกรรม เขา้ พิธีนอน
ในโลงศพเพอ่ื ต่ออายุ เชื่อเรื่องส่งจดหมายลูกโซ่แลว้ จะท�าใหโ้ ชคดี เปน็ ตน้

๔ กามราคะ (กา-มะ-รา-คะ) คอื ความยนิ ดตี ิดใจในกามคณุ ๕
ได้แก่ รปู เสยี ง กลน่ิ รส และสัมผสั ทางกาย

๕ ปฏิ ะ (ปะ-ต-ิ คะ) คอื ความไมช่ อบใจ ไมพ่ อใจ โกรธ เกลยี ด
คดิ ประทุษรา้ ย ความหงดุ หงดิ ขัดเคืองใจ เป็นต้น

๖ รูปราคะ (รู-ปะ-รา-คะ) คือ ความยินดีพอใจในรูปฌาน
รวมถึงความปรารถนาอยากเกิดในรูปภูมิ

๗ อรูปราคะ (อะ-รู-ปะ-รา-คะ) คือ ความยินดีพอใจใน
อรปู ฌาน รวมถึงความปรารถนาอยากเกิดในอรูปภมู ิ

๘ มานะ (มา-นะ) คือ ความเยอ่ หยง่ิ ถอื ตนวา่ เป็นนั่นเป็นนี่
๙ อทุ ธัจจะ (อดุ -ทัด-จะ) คอื ความฟุงซา่ น
๑๐ อวิชชา (อะ-วิด-ชา) คือ ความหลงผิด ความเข้าใจผิด
อันเป็นเหตใุ หต้ อ้ งเวียนว่ายในสังสารวฏั อยา่ งหาทส่ี ดุ มไิ ด้

การ ระ า ย ยมรรค ิ

๑. โสดาปตั ติมรรคจิต ประหาณ ๑. สกั กายทฏิ ฐิ
(สมจุ เฉทประหาณ) ๒. วจิ ิกจิ ฉา
๒. สกทาคามมิ รรคจติ
๓. อนาคามมิ รรคจติ ๓. สีลพั พตปรามาส
๔. อรหัตตมรรคจิต
ท�าสงั โยชนท์ ี่เหลือใหเ้ บาบางลง
(การทา� ใหเ้ บาบาง เรียกว่า ตนุกรประหาณ)

ประหาณ ๔. กามราคะ
(สมุจเฉทประหาณ) ๕. ปฏิฆะ

ประหาณ ๖. รูปราคะ
(สมจุ เฉทประหาณ) ๗. อรปู ราคะ
๘. มานะ
๙. อทุ ธัจจะ
๑๐.อวชิ ชา

การ ระ า อก ลกรร บ
ดย รร ั้ง

อกศุ ลกรรมบถ คอื กรรมชั่วอนั เป็นทางน�าไปสคู่ วามเส่ือม น�าไป
สู่ความทุกข์ และน�าไปสู่ทุคติ (อบายภูมิ ๔) กรรมช่ัวเหล่านี้จะถูกท�าลาย
อย่างขุดรากถอนโคนโดยไม่มีโอกาสหวนกลับมาอีก (สมุจเฉทประหาณ)
ดว้ ยมรรคจิตท้งั ๔ ตามล�าดับ ดงั น้ี



๑. โสดาปตั ตมิ รรคจิต ประหาณ ๑. ปาณาติบาต (การฆา่ สัตว)์
(สมุจเฉทประหาณ) ๒. อทินนาทาน (การลักทรัพย์)

๓. กาเมสมุ จิ ฉาจาร (การประพฤติผดิ ในกาม)
๔. มสุ าวาท (การพูดเทจ็ )
๕. มิจฉาทิฏฐิ (ไมเ่ ชือ่ เร่อื งกรรมและการเวยี นว่าย

ตายเกดิ )

๒. สกทาคามมิ รรคจิต ท�าอกศุ ลกรรมบถที่เหลอื ให้เบาบางลง
(การทา� ใหเ้ บาบาง เรยี กว่า ตนุกรประหาณ)

๓. อนาคามมิ รรคจิต ประหาณ ๖. ปสิ ุณาวาจา (พดู ยุยงส่อเสยี ด)
(สมุจเฉทประหาณ) ๗. ผรสุ วาจา (พดู ค�าหยาบคาย ดา่ ทอ)
๘. พยาบาท (คิดทา� ลายผู้อืน่ )

๔. อรหัตตมรรคจติ ประหาณ ๙. สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจอ้ )
(สมจุ เฉทประหาณ) ๑๐.อภชิ ฌา (ความยินดีพอใจในอารมณ์ที่นา่ ยินด)ี

การ ระ า อก ล
ดย รร งั้

โสดาปตติมรรคจิต จะประหาณ (สมุจเฉทประหาณ) โลภมลู จิต
ที่ประกอบด้วยความเห็นผิด ๔ ดวง และโมหมูลจิตที่ประกอบด้วย
ความสงสัย ๑ ดวง รวม ๕ ดวง

โลภมูลจติ ๘
โทสมูลจติ ๒
โมหมลู จิต ๒

สกทาคามมิ รรคจติ จะประหาณกเิ ลสอยา่ งหยาบทเ่ี หลอื ใหม้ กี า� ลงั
เบาบางลง ท่ีเรียกวา่ ตนุกรประหาณ (ตะ-น-ุ กะ-ระ-ประ-หาน)

โลภมูลจิต ๘
โทสมลู จติ ๒
โมหมลู จติ ๒

อนาคามิมรรคจิต จะประหาณ (สมุจเฉทประหาณ) โทสมูลจิต
ทัง้ ๒ ดวง และประหาณกามราคะ (ในโลภมลู จติ หมายเลข ๓, ๔, ๗, ๘)

โลภมูลจิต ๘

โทสมลู จิต ๒

โมหมูลจิต ๒
อรหัตตมรรคจิต จะประหาณ (สมุจเฉทประหาณ) โลภมูลจิต
ท่ีไมป่ ระกอบดว้ ยความเหน็ ผิดทเี่ หลืออีก ๔ ดวง (คอื โลภมลู จติ หมายเลข
๓, ๔, ๗, ๘) และโมหมลู จิตทีป่ ระกอบด้วยความฟงุ ซา่ นอกี ๑ ดวง (คือ
โมหมูลจิต หมายเลข ๑๒)

โลภมลู จิต ๘

โทสมูลจิต ๒

โมหมลู จิต ๒
หลงั จากอรหตั ตมรรคจิตดบั ลง อกศุ ลจติ ท่ีเหลือท้งั ๕ ดวงจะถกู
ประหาณจนหมดส้ิน หมายความว่า อกุศลจิตท้ัง ๑๒ ดวง อันประกอบ
ด้วยโลภมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒ และโมหมูลจิต ๒ จะไม่เกิดขึ้นกับ
พระอรหนั ตอ์ ีกต่อไป
มรรคจิตทั้ง ๔ นี้ แต่ละดวงจะเกิดเพียงครั้งเดียวเท่าน้ัน เช่น
โสดาปตั ตมิ รรคจะไมเ่ กดิ เปน็ ครงั้ ที่ ๒ อยา่ งแนน่ อน เพราะเมอื่ พระโสดาบนั
ไปเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ จะอีกกี่ชาติก็ตามกิเลสที่ถูกท�าลายโดย
โสดาปัตติมรรคจะไม่หวนกลับมาอีก ดังน้ัน โสดาปัตติมรรคจึงไม่จ�าเป็น
ต้องเกิดขึ้นอีกคร้ังเพื่อท�าหน้าที่ประหาณกิเลสเหล่านี้ มรรคจิตที่เหลือ
อีก ๓ ดวงก็เป็นไปในทา� นองเดยี วกนั

ล ลก ร าก

ลจติ ๔ คือ จิตท่ีเป็นผลของมรรคจิต ๔ เมื่อมรรคจติ เกิดขน้ึ
และดับลง ผลจิตก็จะเกิดติดต่อกันในทันทีทันใดน้ันเพื่อเสวยผลจากการ
ประหาณกเิ ลสของมรรคจติ แต่ละดวง ด้วยเหตนุ ี้ผลจติ จงึ มีจา� นวน ๔ ดวง
เทา่ กบั มรรคจติ อนั ได้แก่ (ดูรปู ในหน้า ๓๗)

๑ โสดาปตติ ลจิต
๒ สกทาคามิ ลจิต
๓ อนาคามิ ลจิต
๔ อรหตั ต ลจติ

เม่ือโสดาปัตติมรรคจิตเกิดขน้ึ กบั บคุ คลใด โสดาปตั ตผิ ลจิตยอ่ ม
เกิดติดตามมาทันทีเพื่อเปล่ียนสถานะจากปุถุชนเป็นพระโสดาบัน (พระ-
โส-ดา-บัน)

เม่ือสกทาคามมิ รรคจติ เกิดข้ึนกบั บคุ คลใด สกทาคามิผลจติ ย่อม
เกิดติดตามมาทันทีเพ่ือเปล่ียนสถานะของบุคคลจากพระโสดาบันเป็น
พระสกทาคามี (พระ-สะ-กะ-ทา-คา-มี)

เมื่ออนาคามิมรรคจิตเกิดขึ้นกับบุคคลใด อนาคามิผลจิตย่อม
เกิดติดตามมาทันทีเพ่ือเปลี่ยนสถานะจากพระสกทาคามีเป็นพระอนาคามี
(พระ-อะ-นา-คา-มี)

เมื่ออรหัตตมรรคจิตเกิดข้ึนกับบุคคลใด อรหัตตผลจิตย่อมเกิด
ติดตามมาทันทีเพ่ือเปล่ียนสถานะจากพระอนาคามีเป็นพระอรหันต์ (พระ-
อะ-ระ-หัน)

ผลจิตที่เกิดต่อจากมรรคจิตนั้นจะเกิดขึ้น ๓ ขณะ (ในบุคคล
ทบ่ี รรลเุ ร็ว) และจะเกิดเพยี ง ๒ ขณะ (ในบคุ คลทบี่ รรลุชา้ )

พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
รวมเรยี กวา่ พระอรยิ บุคคล (พระ-อะ-ร-ิ ยะ-บคุ -คน)

การ บง่ ระ ระอรยบ ล


๑ เอกพชี ีโสดาบัน (เอ-กะ-พี-ชี-โส-ดา-บัน) คือ พระโสดาบันท่ี
เกิดอกี ชาตเิ ดียวกจ็ ะบรรลุเป็นพระอรหันต์
๒ โกลังโกลโสดาบัน (โก-ลัง-โก-ละ-โส-ดา-บัน) คือ
พระโสดาบนั ที่ต้องเกิดอกี ๒ - ๖ ชาติก็จะบรรลเุ ป็นพระอรหันต์
๓ สตั ตกั ขตั ตงุ ปรมโสดาบนั (สดั -ตกั -ขดั -ตงุ -ปะ-ระ-มะ-โส-ดา-
บนั ) คอื พระโสดาบันทีต่ อ้ งเกดิ อีก ๗ ชาติจึงจะบรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์
พระโสดาบนั ท้งั ๓ ประเภทนีจ้ ะไปเกดิ เปน็ มนุษยบ์ ้าง เทวดาบ้าง
พรหมบ้าง แต่จะ ม่ ปเกดิ นอบายภมู ิ ๔ อยา่ งแนน่ อน

ในคัมภีร์ปรมัตถมัญชุสาได้จ�าแนกพระสกทาคามีท่ี ม่ ด าน
ออกเปน็ ๕ ประเภท คอื

๑. ผู้ส�าเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยภูมิและจะบรรลุเป็น
พระอรหันต์ในมนษุ ยภูมิ

๒. ผู้ส�าเร็จเป็นพระสกทาคามีในเทวภูมิและจะบรรลุเป็น
พระอรหันตใ์ นเทวภมู ิ

๓. ผู้ส�าเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยภูมิและจะบรรลุเป็น
พระอรหนั ต์ในเทวภมู ิ

๔. ผู้ส�าเร็จเป็นพระสกทาคามีในเทวภูมิและจะบรรลุเป็น
พระอรหันต์ในมนษุ ยภมู ิ

๕. ผู้ส�าเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยภูมิแล้วไปเกิดในเทวภูมิ
หมดอายุในเทวภูมิแล้ว จะกลับมาเกิดในมนุษยภูมิอีกคร้ัง เพื่อบรรลุเป็น
พระอรหันต์ (ที่กล่าวว่าพระสกทาคามีจะกลับมาเกิดอีกคร้ังก็คือประเภทที่
๕ นเ้ี อง)

แตห่ ากเปน็ พระสกทาคามที ่ี ด าน ทา่ นจะไปเกดิ ในรปู ภมู ิ ๑๐ ชนั้
(ปฐมฌานภมู ิ ๓ ทตุ ยิ ฌานภูมิ ๓ ตติยฌานภมู ิ ๓ เวหัปผลาภมู ิ ๑) หรือ
อรูปภมู ิ ๔ ภูมิใดภูมิหนง่ึ ตามฌานขัน้ สงู สดุ ท่ีท่านได้และจะ มห่ วนกลบั มา
เกิด นภูมิท่ีต่�ากว่าภูมิท่ีท่าน ปเกิดเป็นอันขาด แต่สามารถเกิด �าภูมิที่
ทา่ น ปเกดิ ด หรอทา� าน หสงู ขนเพอ่ ปเกดิ นภมู ทิ ส่ี งู ขนจนถงึ เนวสญั ญา
นาสญั ญายตนภมู กิ ไ็ ด้ ยกเวน ทู ี่ ปเกดิ นเวหปั ลาภมู ิ ง่ จะตองบรรลเุ ปน็
พระอรหนั ต์ นเวหปั ลาภมู นิ นั เอง โดยสามารถเกดิ ทเ่ี วหปั ผลาภมู กิ ค่ี รง้ั กไ็ ด้
แตจ่ ะ มม่ กี ารยายภมู ิ ปทอี่ น่ อกี แลว ถงแมวา่ จะเจริ ภาวนาจน ดอรปู าน
กจะ ม่ ปเกิด นอรูปภูมิ



๑. อันตราปรินิพพายี (อัน-ตะ-รา-ปะ-ริ-นิบ-พา-ยี) คือ
พระอนาคามีท่ีเกิดในพรหมโลกช้ันใดชั้นหน่ึงแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์
และจะปรินิพพานภาย นคร่งแรกของอายุขัย นภูมินัน เช่น ถ้าไปเกิดใน
อวิหาภูมิซ่ึงมีอายุขัย ๑,๐๐๐ มหากัป ก็จะปรินิพพานขณะที่ท่านมีอายุ
ไมเ่ กิน ๕๐๐ มหากปั

๒ อุปหัจจปรินิพพายี (อุ-ปะ-หัด-จะ-ปะ-ริ-นิบ-พา-ยี) คือ
พระอนาคามที เ่ี กดิ ในพรหมโลกชนั้ ใดชนั้ หนงึ่ แลว้ บรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ และ
จะปรนิ พิ พานภาย นครง่ หลงั ของอายขุ ยั นภมู นิ นั เชน่ หากไปเกดิ ในอวหิ าภมู ิ
ท่านจะปรนิ พิ พานเม่ือมอี ายมุ ากกว่า ๕๐๐ มหากปั ข้ึนไป

๓ อสังขารปรินิพพายี (อะ-สัง-ขา-ระ-ปะ-ริ-นิบ-พา-ยี) คือ
พระอนาคามีท่ีเกิดในพรหมโลกช้ันใดช้ันหนึ่งแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ ด
อยา่ งสะดวกโดย ม่ตอง ชความเพยี รมากและจะปรนิ พิ พาน นภมู นิ ัน

๔ สสังขารปรินิพพายี (สะ-สัง-ขา-ระ-ปะ-ริ-นิบ-พา-ยี) คือ
พระอนาคามที เี่ กดิ ในพรหมโลกชน้ั ใดชนั้ หนง่ึ แตจ่ ะบรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ ด
อย่างยากลา� บาก คอ ตอง ชความเพยี รอยา่ งแรงกลาจงจะบรรลุอรหัตต ล
และจะปรนิ พิ พาน นภูมินนั

๕ อทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี (อดุ -ทงั -โส-โต-อะ-กะ-นดิ -ถะ-คา-ม)ี
คอื พระอนาคามที ี่ได้รูปฌานระดบั ๕ (นบั แบบปัญจกนัย) และมีอนิ ทรยี ์
อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ แกก่ ลา้ ทา่ นจะไปเกดิ ในสทุ ธาวาสตงั้ แตช่ นั้ ที่ ๑ ถงึ ชนั้ ท่ี ๕
ตามก�าลังของอินทรีย์ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้ว หากยังไม่บรรลุอรหัตตผล
ในภมู ทิ ไ่ี ปเกดิ ครง้ั แรกกจ็ ะไปเกดิ ใหมใ่ นภมู ทิ สี่ งู ถดั ขน้ึ ไปตามลา� ดบั จนกวา่
จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ท่ีภูมิใดภูมิหน่ึง หากยังไม่บรรลุในสุทธาวาส
๔ ภมู แิ รกกจ็ ะไดบ้ รรลเุ ปน็ พระอรหนั ตใ์ นภมู ทิ ี่ ๕ (อกนฏิ ฐาภมู )ิ อยา่ งแนน่ อน

เมื่ออรหัตตมรรคจิตเกิดขึ้นแก่บุคคลใด อรหัตตผลจิตย่อม
เกิดติดตามมาทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น ท�าให้บุคคลน้ันเข้าถึงความเป็น
พระอรหันต์

พระอรหันต์มชี ่ือเรยี กได้หลายช่อื เช่น
ชื่อว่า “พระอรหนั ต์” เพราะเปน็ บคุ คลผู้สมควรได้รบั การบชู าเปน็ อยา่ งย่ิง
ช่ือวา่ “พระขณี าสพ” เพราะเปน็ บุคคลผ้ปู ราศจากอาสวะกิเลสทั้งปวงแลว้
ชอ่ื วา่ “พระอเสกขบคุ คล” เพราะเปน็ บคุ คลผไู้ มต่ อ้ งศกึ ษาอกี ตอ่ ไป (บรบิ รู ณ์
ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา แลว้ )


Click to View FlipBook Version