The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่มที่ ๑

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by warayut, 2020-11-25 03:53:33

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่ม ๑

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่มที่ ๑

การ กด น้ องร น ่าง

ภพภมู ทิ สี่ ตั วจ์ ะไปเกดิ ไดน้ นั้ มที งั้ หมด ๓๑ ภพภมู ิ ดงั รปู ในหนา้ ๑๑๔

ภูมิใด จะมีรูปชนิดใดเกิดข้ึนได้น้ัน (ดูภาพประกอบในหน้า
๒๙๖ - ๒๙๗) รายละเอียดมีดังนี้

๑ นกามภมู ิ ๑๑ (อบายภูมิ ๔, มนษุ ยภูมิ ๑, เทวภูมิ ๖) รูปท้งั
๒๘ ย่อมเกดิ ขึ้นได้ทงั้ หมด แต่ในบคุ คลใดบุคคลหนง่ึ จะมีรปู เกดิ ได้สูงสดุ
เพยี ง ๒๗ รูปเทา่ น้นั เพราะหากเป็นเพศหญิงกจ็ ะไม่มีปุรสิ ภาวรูป หากเป็น
เพศชายก็จะไมม่ ีอติ ถีภาวรูป

นอกจากน้ี บางคนเกิดมาตาบอดก็จะไม่มีจักขุปสาทรูป บางคน
หูหนวกก็จะไม่มีโสตปสาทรูป แต่เม่ือกล่าวโดยรวมแล้ว รูปทัง ๒๘ ชนิด
ยอ่ มเกดิ ดครบ นกามภูมิ ๑๑

๒ นรปู ภมู ิ ๑๕ (เวน้ อสญั ญสตั ตภมู )ิ ซงึ่ เปน็ ทเ่ี กดิ ของพวกพรหม
ท้ังหลายนนั้ านปสาทรปู ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรปู อิตถภี าวรปู และ
ปรุ สิ ภาวรปู ยอ่ มไมเ่ กดิ ขน้ึ เพราะรปู เหลา่ นเ้ี ปน็ รปู ทส่ี นบั สนนุ การรบั รกู้ ามคณุ
อารมณ์โดยส่วนเดียว แต่พรหมท้ังหลายเป็นบุคคลที่เกิดด้วยอ�านาจของ
รูปฌานซ่ึงปราศจากความยินดีพอใจในกามคุณอารมณ์แล้ว ธรรมชาติจึง
ไมส่ รา้ งรปู เพอ่ื รบั กามคณุ มาให้ ดว้ ยเหตนุ รี้ ปู ทง้ั ๕ ดงั กลา่ วจงึ ไมเ่ กดิ ในรปู ภมู ิ

ส�าหรับจักขุปสาทรูปและโสตปสาทรูปที่เกิดกับรูปพรหมได้น้ัน
เพราะรูปท้ัง ๒ นี้มิได้มีไว้รับรู้กามคุณอารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมี
คุณประโยชน์อย่างอื่นด้วย กล่าวคือ จักขุปสาทรูปมีประโยชน์ในการมอง
เห็นสิ่งต่าง ๆ ส่วนโสตปสาทรูปก็มีประโยชน์ในการฟังเสียงต่าง ๆ ดังน้ัน
รปู ทง้ั ๒ คือ จกั ขุปสาทรปู และโสตปสาทรปู จงึ เกิดข้นึ ไดใ้ นรปู ภูมโิ ดยไมม่ ี
ขาดตกบกพร่องเลย

สรุปแลวรูปที่เกิด ด นรูปภูมิ ๑๕ มีทังหมด ๒๓ รูป (เว้น
านปสาทรปู ชวิ หาปสาทรปู กายปสาทรปู อติ ถภี าวรปู และปรุ สิ ภาวรปู ) และ
รูปที่เกดิ ได้นจี้ ะเกิดมาจาก ๓ สมุฏฐาน (เว้นอาหารสมุฏฐาน) เพราะบรรดา
รูปพรหมทั้งหลายไม่ได้กินอาหารอย่างพวกมนุษย์หรือเทวดา แต่รูปพรหม
ทง้ั หลายดา� รงชวี ติ อยไู่ ดด้ ว้ ยอา� นาจของรปู าวจรกศุ ลเจตนาในระดบั ฌานจาก
อดีตภพ ด้วยเหตนุ จ้ี ึงไม่มอี าหารชรูปเกดิ ข้นึ ในรปู ภมู ิ ๑๕

๓ นอสั สัตตภมู ิ ๑ ยอ่ มมรี ปู เกิด ดเพยี ง ๑๗ รูปเทา่ นัน คือ
อวนิ พิ โภครูป ๘, ชีวติ รูป ๑, ปรจิ เฉทรูป ๑, วิการรปู ๓ และลักขณรปู ๔
ทเ่ี ปน็ เชน่ นเี้ พราะอสญั ญสตั ตพรหมทง้ั หลาย เปน็ พรหมทไี่ มม่ นี ามธรรม คอื
ไมม่ จี ติ และเจตสกิ เกดิ ขน้ึ เลย เพราะเปน็ บคุ คลซง่ึ เกดิ ขนดวยอา� นาจของการ
เจริ สั าวิราคภาวนาท่ีปราศจากความยินดี นนามขันธ์ ด้วยเหตุนี้รูป
ซง่ึ เปน็ ทีอ่ าศยั เกดิ ของจติ และเจตสิก อนั ได้แก่ ปสาทรูป ๕ และหทยรปู ๑
จึงไม่เกิดขึ้นแก่อสัญญสัตตพรหม ส่วนภาวรูป ๒ แม้จะไม่เกี่ยวกับจิต
และเจตสิก แต่ส�าหรับพรหมทั้งหลายน้ันปกติก็ไม่มีเพศอยู่แล้วจึงไม่มี
ภาวรูป ๒ นอกจากน้ีสทั ทารมณ์ (เสียงต่าง ๆ) กจ็ ะไม่มปี รากฏออกมาจาก
อสัญญสัตตพรหมด้วย

ดังน้ัน รูปท่ีเกิดได้ในอสัญญสัตตภูมิจึงมีเพียง ๑๗ รูปเท่านั้น
โดยเกิดมาจาก ๒ สมุฏฐาน คอื กรรมสมุฏฐาน และอุตสุ มุฏฐาน

๔ นอรปู ภมู ิ ๔ อนั เปน็ ทเี่ กดิ ของอรปู พรหมทง้ั หลาย ซงึ่ เกดิ ดวย
อ�านาจของการเจริ รปู วริ าคภาวนาท่ปี ราศจากความยนิ ดี นรปู ขนั ธ์ ดงั นนั้
อรปู พรหมทัง้ หลายจงึ ไมม่ ีรูปใด ๆ เกิดขนึ้ ไดเ้ ลย อีกทงั้ ในภมู ทิ ่อี ยูน่ ีก้ ไ็ ม่มี
รปู อยา่ งหน่ึงอย่างใดปรากฏเกิดขึ้นเช่นกนั

แสดงรูปทีเ่ กดิ ด นกามภมู ิ๑๑ และ รูปภมู ิ ๑๕ พรอมทังสมฏุ ฐานของรูป

ในกามภมู ิ ๑๑ ในรปู ภูมิ ๑๕
มีรูปเกดิ ได้ทงั้ ๒๘ รปู (เว้นอสญั ญสัตตภมู )ิ
มีรปู เกิดได้ ๒๓ รปู

มหาภตู รูป ๔ ก จิ ก จิ ก จิ ก จิ ก จิ ก จิ ก จิ ก จิ
อุ อา อุ อา อุ อา อุ อา อุ อุ อุ อุ

ปสาทรูป ๕ ก ก ก ก ก กก

วิสยรปู ๔ (๗) ก จิ จิ ก จิ ก จิ ก จิ จิ ก จิ ก จิ
อุ อา อุ อุ อา อุ อา อุ อุ อุ อุ

ภาวรูป ๒ ก ก

หทยรูป ๑ ก ก

ชวี ติ รปู ๑ ก ก

อาหารรปู ๑ ก จิ ก จิ
อุ อา อุ

ปริจเฉทรูป ๑ ก จิ ก จิ จิ
อุ อา อุ อุ

วญิ ญัตริ ูป ๒ จิ จิ จิ จิ

วิการรปู ๓ จิ อุ จิ อุ จิ อุ จิ จิ
อุ อุ
อา อา อา

ลกั ขณรูป ๔

ก = รปู ทเ่ี กิดจากกรรมเปน็ สมฏุ ฐาน จิ = รูปที่เกิดจากจติ เปน็ สมฏุ ฐาน

อุ = รูปท่ีเกดิ จากอุตุเปน็ สมฏุ ฐาน อา = รูปทีเ่ กิดจากอาหารเปน็ สมุฏฐาน

จิ = รูปทีเ่ กดิ จากสมฏุ ฐาน ๒(เกดิ จากจิตก็ได้ อตุ กุ ไ็ ด)้ = อวนิ ิพโภครูป ๘
อุ

จิ อุ = รปู ทเ่ี กิดจากสมฏุ ฐาน ๓ (เกดิ จากจิตก็ได้ อุตุก็ได้ อาหารกไ็ ด)้

อา

ก จิ = รูปท่เี กิดจากสมุฏฐาน ๓ (เกิดจากกรรมก็ได้ จิตกไ็ ด้ อตุ ุกไ็ ด้) ในวงกลมที่มอี กั ษรย่อของสมุฏฐาน

อุ มากกว่า ๑ อย่าง หมายความว่า
ก จิ
อุ อา = รูปที่เกิดจากสมุฏฐาน ๔ (เกดิ จากกรรมก็ได้ จติ ก็ได้ อตุ กุ ไ็ ด้ อาหารกไ็ ด)้ รูปนัน้ สามารถเกิดจากสมฏุ ฐาน

= รูปทไี่ มไ่ ด้เกิดจากสมุฏฐานใดเลย อยา่ งใดอย่างหนึง่ ก็ได้ในบรรดา

= รปู ท่ีเกิดไม่ไดใ้ นภูมนิ ั้น ๆ สมุฏฐานเหล่านนั้

แสดงรปู ทเี่ กดิ ด นอสั สตั ตภมู ิ และอรปู ภมู ิ ๔ พรอมทงั สมฏุ ฐานของรปู

ในอสัญญสตั ตภมู ิ ในอรูปภมู ิ ๔
มรี ปู เกิดได้ ๑๗ รูป

มหาภตู รูป ๔ ก ก ก ก
อุ อุ อุ อุ

ปสาทรูป ๕

วสิ ยรปู ๔ (๗) ก กก
อุ อุ อุ

ภาวรปู ๒

หทยรปู ๑

ชีวิตรูป ๑ ก ไมม่ ีรูปอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ
เกิดได้เลย
อาหารรปู ๑ ก
อุ

ปรจิ เฉทรูป ๑ ก
อุ

วญิ ญตั ิรูป ๒

วิการรูป ๓ อุ อุ อุ

ลกั ขณรูป ๔

ก = รูปทีเ่ กิดจากกรรมเปน็ สมฏุ ฐาน

อุ = รปู ทีเ่ กดิ จากอุตเุ ปน็ สมฏุ ฐาน

ก = รปู ที่เกิดจากสมุฏฐาน ๒ (เกิดจากกรรมก็ได้ อุตกุ ไ็ ด้)
อุ

= รปู ทไี่ มไ่ ด้เกดิ จากสมุฏฐานใดเลย

= รปู ท่เี กิดไม่ไดใ้ นภูมินั้น ๆ

= อวนิ พิ โภครูป ๘

การกา นด องสั

ก�าเนดิ ของสัตว์ทงั หลาย มี ๔ ลัก ณะ ห ่ คอ

๑ สงั เสทชะกา� เนดิ สตั วท์ งั้ หลายทปี่ ฏสิ นธดิ ว้ ยสงั เสทชะกา� เนดิ น้ี
ไม่ต้องอาศัยบิดา มารดา เพราะอาศัยเกิดจากต้นไม้ ผลไม้ ดอกไม้ท่ีมี
ยางเหนยี ว โลหติ นา�้ โสโครก ทชี่ นื้ แฉะ เชน่ พวกหนอนตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ จากผลไม้
หรือส่ิงโสโครก เป็นต้น สัตว์ท่ีเป็นสังเสทชะก�าเนิดนี้จะเกิดเป็นตัวเล็ก ๆ
กอ่ น แลว้ จงึ ค่อย ๆ โตขนึ้

๒ โอปปาติกะก�าเนิด สัตว์ท้ังหลายที่ปฏิสนธิด้วยโอปปาติกะ
ก�าเนิดนี้ จะเกิดผุดข้ึนแล้วโตเป็นหนุ่มเป็นสาวทันที คล้ายกับถูกเนรมิต
ข้นึ มาโดยไมต่ อ้ งค่อย ๆ เจรญิ เตบิ โตทีละเลก็ ละน้อย

๓ อัณ ชะก�าเนิด สัตว์ท้ังหลายที่ปฏิสนธิด้วยอัณ ชะก�าเนิดนี้
จะเกิดจากครรภ์มารดา เมื่อปฏิสนธิแล้ว ในระยะแรกต้องอยู่ในฟองไข่
เสยี กอ่ น เมื่อมารดาคลอดฟองไข่ออกมาแลว้ สตั ว์นนั้ จึงจะฟกั ตัวออกจาก
ฟองไขอ่ ีกทีหน่งึ แลว้ คอ่ ย ๆ เจรญิ เติบโตขน้ึ ตามลา� ดับ ไดแ้ ก่ พวกไก่ เปด็
นก จ้ิงจก งู จระเข้ เปน็ ตน้

๔ ชลาพุชะก�าเนิด สัตว์ท้ังหลายที่ปฏิสนธิด้วยชลาพุชะก�าเนิดน้ี
จะเกดิ จากครรภม์ ารดาเชน่ กนั แตไ่ มต่ อ้ งมฟี องไขห่ มุ้ หอ่ อยา่ งอณั ชะกา� เนดิ
เม่ือคลอดออกมาจะเป็นทารกตัวเล็ก ๆ ก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เจริญเติบโต
ข้นึ ตามลา� ดับ ได้แก่ พวกมนษุ ย์ ภมุ มฏั ฐเทวดา (เป็นเทวดาจา� พวกหนง่ึ ใน
ชนั้ จาตมุ หาราชกิ าภมู ิ ซงึ่ อาศยั อยตู่ ามสถานทตี่ า่ ง ๆ ในโลกมนษุ ย์ เชน่ ภเู ขา
แม่น้�า บ้าน เจดีย์ ศาลา เป็นต้น) และสัตว์เดรจั ฉานบางจา� พวก ได้แก่ สงิ โต
ช้าง ม้า ววั สนุ ัข แมว เปน็ ตน้

อัณ ชะก�าเนิด และชลาพุชะก�าเนิด รวมเรียกว่า คัพภเสยยกะ
ก�าเนดิ ซึง่ หมายถงึ ก�าเนิดจากครรภ์มารดา



กมั มชกลาป

ที่เกิดขึ้นได้ ท่ีอาจขาดตกบกพรอ่ งได้

ก�าเนดิ ภูมิ ใน ใน

ในปฏิสนธิ ปวัตติ รวม ในปฏสิ นธิ ปวตั ติ รวม

กาล กาล
กาล กาล

จกั . โส. ฆา. ช.ี จัก.โส.ฆา.

สังเสทชะ เปรต (เว้นนิชฌามตณั หกิ เปรต*), อสรุ กาย, ชิว.กาย. ภาว.

สัตวเ์ ดรจั ฉาน, มนษุ ย,์ ภมุ มฏั ฐเทวดา** ภาว. วตั ถุ.
๗ ๑๘ ๔ -๔

สตั วน์ รก, จัก. โส. ฆา. ช.ี จัก.
โส.ภาว.
ทุคติ เปรตทุกจ�าพวก ชวิ .กาย.
(รวมนิชฌาม ภาว. วัตถุ.

ตณั หกิ เปรตดว้ ย) ๗ ๑ ๘ ๓ - ๓

อสรุ กาย สัตวเ์ ดรัจฉาน

กามภูมิ จกั . โส. ฆา. ชี. ภาว.

ชิว.กาย.

มนุษย์ ภาว. วัตถ.ุ

(สมัยตน้ กปั ) ๗ ๑๘ ๑ - ๑
สุคติ

โอป- เทวดาทกุ ช้ัน จกั . โส. ฆา. ชี.

ปาตกิ ะ (รวมภมุ มฏั ฐเทวดา ชิว.กาย.
ดว้ ย) ภาว. วตั ถ.ุ

๗ ๑๘ - --

รปู ภูมิ ๑๕ จัก.โส. --
(เวน้ อสญั ญสัตตภมู ิ ๑)
วัตถ.ุ ชี.

๔ -๔ -

รปู ภมู ิ

อสัญญสตั ตภมู ิ ๑ ช.ี

๑ -๑ - --

กัมมชกลาป

ทีเ่ กิดขนึ้ ได้ ทอี่ าจขาดตกบกพรอ่ งได้

ก�าเนดิ ภูมิ ในปฏสิ นธิ ใน ในปฏิสนธิ ใน
ปวัตติ รวม ปวตั ติ รวม
คัพภ สตั วเ์ ดรจั ฉาน, กาล กาล
เสยยกะ เปรต (เว้นนิชฌามตณั หกิ เปรต), กาล กาล
(อณั ฑชะ อสุรกาย, มนษุ ย,์ ภุมมัฏฐเทวดา
และ กาย. ภาว. จกั . ภาว. จัก.
ชลาพชุ ะ)
วัตถุ. โส.ฆา. โส.ฆา.

ชิว.ช.ี

๓ ๕๘ ๑ ๓๔

นิชฌามตณั หิกเปรต เปน็ เปรตจ�าพวกหนึง่ ทถ่ี ูกไฟเผาอยู่เปน็ นติ ย์ จะแตกต่างจากเปรต
จ�าพวกอน่ื เพราะเกดิ โดยโอปปาตกิ ะกา� เนดิ ได้เพียงอยา่ งเดียวเทา่ น้ัน
ภมุ มัฏฐเทวดา เปน็ เทวดาจ�าพวกหนึ่งในช้ันจาตุมหาราชกิ าภูมิ ซึ่งอาศยั อย่ใู นโลกมนษุ ย์
ตามสถานทตี่ า่ ง ๆ เชน่ ภูเขา แม่น้�า บ้าน เจดีย์ ศาลา เปน็ ต้น จะแตกตา่ งจากเทวดา
จ�าพวกอ่นื เพราะมีกา� เนดิ ไดท้ ัง้ ๔ แบบ

บเรอ่ื งร รมั

บ ่ี
ร น าน
น าน รมั

บัดนี้ได้มาถึงความจริงอันเป็นที่สุด เร่ืองสุดท้ายแล้ว คือเรื่อง
นิพพานปรมตั ถ์

า าย องน าน

นพิ พาน มาจากค�าวา่ นิ วาน
นิ แปลวา่ ออกไป หรือ พน้ ไป
วาน แปลวา่ ธรรมชาติทีเ่ กี่ยวโยงไว้ หมายถึง ตณั หาทเ่ี กย่ี วโยง
ร้อยรดั สัตว์ท้ังหลายให้ตดิ อยใู่ นสงั สารวัฏ
นพิ พาน จงแปลว่า ธรรมชาตทิ ีพ่ น ปจากเครอ่ งเกย่ี วโยงรอยรัด
คอ พนจากตัณหานั่นเอง
เม่ือกล่าวโดยสามัญลักษณะ (ลักษณะพ้ืนฐานท่ัวไป) นิพพานมี
เพยี งอนัตตลกั ณะ เทา่ นัน้ เพราะนพิ พานมีลักษณะที่วา่ งเปล่า ปราศจาก
ตัวตน (อนัตตา) บงั คับบญั ชาไม่ได้

นพิ พาน ไมม่ อี นจิ จลกั ษณะ เพราะนพิ พานมลี กั ษณะมน่ั คง ยงั่ ยนื
ไมแ่ ปรผัน ไมแ่ ตกดับ (นิจจัง)

นพิ พาน ไมม่ ที กุ ขลกั ษณะ เพราะนพิ พานมลี กั ษณะทวี่ า่ งเปลา่ และ
จะคงอย่ใู นสภาพที่วา่ งเปลา่ นัน้ ตลอดไป

สรปุ แลวสามั ลัก ณะของนิพพาน คอ นิจจงั สขุ ขงั อนตั ตา

สสลัก ะ ลัก ะ ฉ าะ ั อง ระน าน

๑. มคี วามสงบจากกเิ ลส และรปู นามขนั ธ์ ๕ (สงบจากทกุ ขท์ งั้ ปวง)
... เปน็ ลกั ณะ

๒. มีความไมแ่ ตกดบั เปน็ กจิ (เพราะมีลกั ษณะทีว่ ่างเปลา่ )
๓. ไมม่ นี มิ ติ เครอ่ื งหมาย (ไมม่ รี ปู รา่ ง สณั ฐาน ไมใ่ ชส่ ถานทใี่ ด ๆ)
เปน็ อาการปรากฏ (หรอื ) มกี ารสลดั ออกจากภพ (คอื พน้ จาก ๓๑ ภพภมู )ิ
เพราะไม่มีตัวตนท่ีจะไปเวยี นวา่ ยตายเกิด อกี ตอ่ ไปแล้ว เป็น ล
๔. ไมม่ เี หตใุ กล้ใหเ้ กิด เพราะนพิ พานเป็นอสงั ขตธรรม (ธรรมท่ี
ไมต่ อ้ งอาศัยปัจจยั ปรุงแตง่ )
จิต เจตสิก และรูป เป็นสังขตธรรม คือ เป็นธรรมที่ต้องอาศัย
ปจั จัยปรุงแต่งจึงเกดิ ขน้ึ ได้ กลา่ วคอื
จติ และเจตสกิ ตอ้ งมที วาร อารมณ์ วตั ถุ และมนสกิ าร เปน็ ปจั จยั
จงึ จะเกิดขนึ้ ได้
รูป ตอ้ งมกี รรม จิต อุตุ หรืออาหาร เปน็ ปจั จยั จึงจะเกดิ ขนึ้ ได้

ส่วน นพิ พาน เป็นธรรมที่พน้ จากปัจจยั ปรุงแต่งท้งั ปวง (อสังขตธรรม) คอื
ไม่ต้องอาศัยปจั จัยใด ๆ ท้ังสิ้น

ปรมัตถธรรม ๔ ๑. จิต สงั ขตธรรม
๒. เจตสกิ อสังขตธรรม

๓. รูป
๔. นิพพาน

ปทมจจุตมจจนต� อสงขตมนตุ ตร�
นิพพานมติ ิ ภาสนติ วานมุตตา มเหสโย

พระสัมมาสมั พุทธเจา้ ทั้งหลาย ผพู้ น้ แล้วจากตัณหาเคร่ืองรอ้ ยรดั
ทรงกลา่ ววา่ มสี ภาวธรรมชนดิ หนง่ึ ทเี่ ขา้ ถงึ ได้ มอี ยโู่ ดยเฉพาะ ไมใ่ ชส่ งั ขตธรรม
เป็นธรรมท่ีไมต่ าย (ไม่มีเกดิ ไม่มีดับ) พน้ จากขนั ธ์ ๕ (ขนั ธวมิ ุต)ิ ไมถ่ กู
ปรุงแต่งด้วยปัจจัยใด ๆ (อสังขตธรรม) และเป็นธรรมท่ีประเสริฐท่ีสุด
สภาวธรรมน้นั ได้แก่ นพิ พาน

ประเภทของนพิ พาน โดยสภาวลกั ขณะ สอปุ าทิเสสนิพพาน
มี ๑ ประเภท คือ อนปุ าทิเสสนพิ พาน
สนั ติลักขณะ สุญญตนิพพาน
อนิมติ ตนพิ พาน
โดยความดา� รงอยู่ อัปปณหิ ติ นพิ พาน
ของขนั ธ์ ๕ มี ๒
ประเภท คือ

โดยอาการท่เี ขา้ ถึง
มี ๓ ประเภท คือ

นพิ พาน วา่ โดยสภาวลกั ขณะ มเี พยี งประเภทเดยี ว คอ สนั ตลิ กั ขณะ

สันตลิ กั ขณะ หมายถึง ธรรมชาติทส่ี งบจากกเิ ลส และขนั ธ์ ๕

พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อปรินิพพานแล้ว ย่อมเข้าถึงสันติสุข
(สันตลิ กั ขณะ) ด้วยกันทั้งสิน้

นิพพาน เป็นสภาวะที่พ้นจากตัณหาเครื่องร้อยรัด เป็นสภาวะที่
พน้ จากกเิ ลสและขนั ธ์ ๕ ไม่มีความทกุ ข์ ไม่มีความแปรปรวน มีสภาพคงท่ี
สงบเยอื กเย็น เปน็ บรมสุข เปน็ อนตั ตา คือไม่มรี ปู ร่างสัณฐานทีจ่ ะรู้ได้ทาง
ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ไมใ่ ช่ภพภูมิใด ๆ ไมใ่ ชส่ ถานทแ่ี ห่งหน่งึ แห่งใด ไมใ่ ช่
แดนสุขาวดีท่ีมชี ีวติ สุขสบายเปน็ อมตะชว่ั นิรันดร

สรุปง่าย ๆ ก็คือ หลังจากท่ีพระอรหันต์ปรินิพพานแล้ว การสืบ
ตอ่ ของรูปนาม (ขันธ์ ๕) จะจบสนิ้ ลงทันที โดยไม่มีการปฏิสนธิ (การเกดิ )
ในภพใหม่ชาติใหม่อีกต่อไป อุปมาดังเปลวเทียนที่ดับลงเพราะหมดไส้
เปลวเทียนสุดท้ายที่ดับลง ย่อมไม่มีเปลวเทียนใหม่มาสืบต่ออีกแล้ว และ
เปลวเทียนสุดท้ายท่ีดับลงนั้น ก็มิได้ย้ายไปเกิดใหม่ ณ ท่ีแห่งหน่ึงแห่งใด
อีกเลย (ดภู าพปรินิพพานวิถขี องพระอรหนั ต์ในหนา้ ถดั ไป)

ปรนิ ิพพานจิตของพระอรหนั ต์

ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช จตุ ิ

หลงั จากจตุ ิจติ ของพระอรหันต์
ดบั ลงแล้ว การสืบต่อของขนั ธ์ ๕
กจ็ บส้นิ ลง คือ ไม่มีการปฏสิ นธิ

อกี ต่อไป

นพิ พาน (โดยความด�ารงอยู่ของขันธ์ ๕) มี ๒ ประเภท
๑ สอุปาทเิ สสนพิ พาน คอื นิพพานท่ียงั มีอุปาทิเหลอื อยู่ (อุปาทิ
หมายถงึ ขนั ธ์ ๕ อนั ไดแ้ ก่ วบิ ากและกมั มชรปู ) สอปุ าทเิ สสนพิ พาน จงึ หมายถงึ
นิพพานที่เป็นไปกับขันธ์ ๕ เม่ือกล่าวโดยบุคลาธิษฐานก็คือพระอรหันต์
ทง้ั หลายทท่ี า� ลายกเิ ลสไดห้ มดสน้ิ แลว้ (กเิ ลสนพิ พานแลว้ ) แต่ทา่ นยงั มชี วี ติ
อยูน่ ่นั เอง
๒ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานท่ีไม่มีอุปาทิเหลืออยู่ เป็น
นิพพานของพระอรหันต์ หลังจากที่ท่านละสังขารไปแล้ว (ปรินิพพานแล้ว)
จะไมม่ อี ุปาทิ (ขนั ธ์ ๕) เหลืออย่อู ีกตอ่ ไป กลา่ วอีกนัยหนึ่งกค็ อื ดบั สิ้นทั้ง
กเิ ลส และดับสิน้ ทง้ั ขนั ธ์ ๕ โดยไม่มเี หลือ

นพิ พาน โดยอาการทเี่ ขาถง
กอ่ นจะอธบิ ายเรอื่ งนี้ จา� เปน็ ตอ้ งทราบมรรควถิ โี ดยสงั เขปเสยี กอ่ น

มรรควิถี คอื วถิ จี ติ ท่มี โี ลกตุ ตรจิต (มรรคจติ และผลจิต) เกดิ ขึ้น
ในวิถีนั้น โดยมรรคจิตจะท�าหน้าที่ประหาณกิเลสแบบขุดรากถอนโคน
(สมุจเฉทประหาณ) ตามอ�านาจของมรรคจิตท่ีเกิดข้ึน โลกุตตรจิตน้ีจะมี
นพิ พานเปน็ อารมณ์ ดังรูป

มีไตรลักษณ์ของรปู นาม มีนิพพาน๒๙

เปน็ อารมณ์ เป็นอารมณ์

ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค มัค ผ ผ ภ
โว

มหากุศลญาณสัมปยุตตจติ ๔ ผลจิต ๔
มรรคจิต ๔

จติ ท่ีเกดิ ได้ในมรรควิถี ไดแ้ ก่ มโนทวาราวชั ชนจติ ๑ มหากศุ ล
ญาณสมั ปยุตตจิต ๔ มรรคจติ ๔ และผลจติ ๔

มหากศุ ลญาณสมั ปยตุ ตจติ ๔ น้ี ในขณะทา� หนา้ ทป่ี รกิ รรม อปุ จาร
และอนุโลม มีไตรลักษณ์ของรูปนามเป็นอารมณ์ แต่ในขณะท่ีท�าหน้าที่
โคตรภู (หรอโวทาน) จะมีนพิ พานเป็นอารมณ์

มรรคจติ ๔ และ ลจติ ๔ จะมีนิพพานเป็นอารมณเ์ ทา่ นัน

๒๙ นิพพานเปน็ ธรรมารมณ์ คอื เปน็ อารมณข์ องโคตรภจู ติ โวทานจิต มรรคจติ และผลจติ
ดว้ ยเหตุน้ีจึงกล่าวว่า พระนพิ พานเป็นปรมตั ถธรรมทม่ี อี ยู่จริง และเขาถง ด

นิพพาน เมอ่ กล่าวโดยอาการที่เขาถงจะมี ๓ ประเภท คอ

๑ สุ ตนพิ พาน

๒. อนิมติ ตนิพพาน

๓ อปั ปณิหิตนิพพาน

๑ สุ ตนิพพาน

คือ พระนิพพานของผู้เจริญวิปัสสนาภาวนาท่ีเหน ตรลัก ณ์
ของรูปนามโดยความเป็นอนัตตา คือเห็นรูปนามโดยความไม่ใช่ตัวตน
(อนัตตลักษณะ) เมื่อเพ่งรูปนามโดยความเป็นอนัตตาต่อไป จนบรรลุ
มรรคผลซงึ่ มนี พิ พานเปน็ อารมณ์ นพิ พานทเี่ ปน็ อารมณข์ องผทู้ เี่ หน็ อนตั ตาชดั
ช่ือว่า สุ ตนิพพาน (เห็นสภาวะของนิพพานว่าสูญส้ินจากกิเลส และ
อปุ าทานขนั ธ์ ๕)

วิปัสสนาภาวนาที่มีสุญญตนิพพานเป็นอารมณ์นี้จะเกิดกับผู้ที่
สงั่ สมบารมีด้านปัญญามามาก

๒. อนิมติ ตนพิ พาน

คือ พระนพิ พานของผเู้ จริญวปิ ัสสนาภาวนาท่ีเหน ตรลกั ณ์ของ
รปู นามโดยความ ม่เที่ยง ไมม่ เี ครือ่ งหมายแหง่ ความเทย่ี ง (อนจิ จลักษณะ)
เมอ่ื เพง่ รปู นามโดยความเปน็ อนจิ จงั ตอ่ ไป จนบรรลมุ รรคผลซงึ่ มนี พิ พานเปน็
อารมณ์ นิพพานท่ีเปน็ อารมณ์ของผู้เหน็ อนิจจังชัด ชอื่ วา่ อนมิ ติ ตนพิ พาน
(คือจะเห็นสภาวะของนพิ พานว่า ไม่มนี ิมติ เครอ่ื งหมาย และรปู ร่างสัณฐาน
แตอ่ ยา่ งใด)

วิปัสสนาภาวนาที่มีอนิมิตตนิพพานเป็นอารมณ์นี้จะเกิดกับผู้ที่
สัง่ สมบารมีดา้ นศีลมามาก

๓ อัปปณหิ ิตนพิ พาน

คือ พระนิพพานของผเู้ จรญิ วิปสั สนาภาวนาท่ีเหน ตรลกั ณข์ อง
รปู นามโดยอาการเปน็ ทกุ ข์ คอื ลกั ษณะทท่ี นอยไู่ มไ่ ด้ จะตอ้ งเปลย่ี นแปลงอยู่
ตลอดเวลา ตอ้ งแตกดบั ไป (ทกุ ขลกั ษณะ) เมอ่ื เพง่ รปู นามโดยความเปน็ ทกุ ข์
ต่อไป จนบรรลุมรรคผลซึ่งมีนพิ พานเปน็ อารมณ์ นพิ พานท่ีเป็นอารมณ์ของ
ผเู้ หน็ ทกุ ขช์ ดั ชอ่ื วา่ อปั ปณหิ ติ นพิ พาน (คอื จะเหน็ สภาวะของนพิ พานวา่ ไมม่ ี
อารมณ์ทน่ี ่าปรารถนา ไมม่ ีตัณหา ไม่มีความดิน้ รนอันเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ทุกข์)

วิปัสสนาภาวนาท่ีมีอัปปณิหิตตนิพพานเป็นอารมณ์น้ีจะเกิดกับ
ผู้ทส่ี ั่งสมบารมดี า้ นสมาธมิ ามาก

ความหมายของพระนพิ พานยงั มอี ีกหลายประการ เชน่

๑ ราคกขโย นิพพานเป็นสภาวะท่ีปราศจากราคะ

๒ โทสกขโย นพิ พานเป็นสภาวะทีป่ ราศจากโทสะ

๓ โมหกขโย นิพพานเป็นสภาวะทปี่ ราศจากโมหะ

๔ ตณหกขโย นพิ พานเปน็ สภาวะทป่ี ราศจากตัณหา

๕ อนปุ ปาโท นพิ พานเป็นที่ดบั ขนั ธ์ทัง ๕

๖ อปวตต� นพิ พานเป็นท่ดี ับรปู -นาม

๗ อนิมิตต� มม่ นี มิ ติ เครอ่ งหมาย ( มม่ รี ปู รา่ งสณั ฐาน)

๘ อปปฏสิ นธิ ปราศจากการปฏิสนธิ

๙ อนุปปตติ ปราศจากการอุบัติ

๑๐ อคติ มเ่ ปน็ ที่ ปเกดิ ของสตั ว์

๑๑ อชาต� ม่มีความเกิดของรูป-นาม

๑๒ อเสสภวนิโรโธ ธรรมทดี่ บั ภพโดย ม่มเี หลอ เป็นตน

หลงั จากพระอรหันตป์ รินพิ พานแล้ว การสืบต่อของขนั ธ์ ๕ กจ็ บ
สน้ิ ลง ไมม่ ี รปู เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ อกี ต่อไป น่ันคอื ไม่มกี าร
เกิดใหม่ ไม่มีภพใหม่ชาติใหม่ของท่านอีกต่อไปแล้ว จบการเวียนว่ายตาย
เกิดในสังสารวัฏ พน้ จากวัฏฏทุกขโ์ ดยส้ินเชิง เชน่ เดยี วกบั เปลวไฟทดี่ บั ลง
และหายไปเม่อื หมดเช้ือ

จะขอยกเร่องพระโคธิกะ และพระวังคีสะ มาเป็นตัวอย่างสัก
๒ เร่อง ดังนี

๑ เรอ่ งพระโคธกิ ะเถระ

มีพระเถระเจา้ องคห์ นง่ึ ช่ือวา่ “พระโคธกิ ะ” ไดบ้ รรลุเจโตวมิ ตุ ิอนั
เปน็ โลกยี ฌานสมาบตั ิ แตท่ ่านเสอ่ื มจากฌานถงึ ๖ คร้งั พอครงั้ ท่ี ๗ ก็คิด
อยากจะตายในขณะที่ฌานยังไม่เส่ือม จึงหยิบมีดโกนแล้วนอนลงท่ีเตียง
เพอื่ จะเชอื ดคอตนเองใหต้ าย มารจงึ เขา้ ไปหา้ ม ดว้ ยเหน็ วา่ พระเถระเจา้ รปู น้ี
จะไดส้ า� เรจ็ เปน็ พระอรหันต์ แต่เมอ่ื ห้ามไม่ฟงั จึงจา� แลงเปน็ คนแก่ไปขอให้
พระพทุ ธเจา้ ทรงหา้ ม แตข่ ณะนัน้ พระโคธกิ ะได้ลงมอื เชอื ดคอตนเองไปแล้ว
และขณะทก่ี า� ลงั เชอื ดคอนนั้ วปิ สั สนาญาณของทา่ นกม็ กี า� ลงั แกก่ ลา้ อยา่ งเตม็ ที่
จงึ ไดส้ �าเร็จเปน็ พระอรหันต์แลว้ ปรินิพพานทนั ที

พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปพรอ้ มดว้ ยพระภกิ ษเุ ปน็ อนั มาก ณ ทนี่ น้ั มาร
ไดจ้ า� แลงตนเปน็ ควนั ไฟ เทยี่ วคน้ หาวญิ ญาณของพระโคธกิ ะอยู่ พระพทุ ธเจา้
ทอดพระเนตรเหน็ จงึ ตรสั บอกภกิ ษทุ งั้ หลายใหท้ ราบ เมอื่ มารคน้ หาวญิ ญาณ
พระโคธิกะไม่พบ จึงจ�าแลงเป็นเด็กหนุ่มเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า

พระโคธกิ ะไปอยทู่ ่ไี หน พระพทุ ธเจา้ ตรสั ตอบว่า พระโคธกิ ะปรินพิ พานแลว้
มารก็เสยี ใจ แล้วหายวับไป พระพุทธเจา้ ตรสั ตอ่ ไปว่า "มารเอย๋ ไมม่ ผี ูใ้ ดจะ
ค้นพบวิญญาณของพระโคธิกะได้อีกต่อไป เพราะพระโคธิกะได้ดับไปจาก
สังสารวัฏแลว้ " ดังน้ี

เรอื่ งนีช้ ีใ้ หเ้ ห็นว่านพิ พานเปน็ ทส่ี ุดแหง่ การเวียนว่ายตายเกดิ เมอ่
พระอรหนั ต์ปรินพิ พานแลว กจะ มม่ ีการสบต่อของขันธ์ ๕ อกี ตอ่ ป มม่ ี
การเกดิ หม่ มม่ ีทอ่ี ยู่ หม่ และ ม่มภี พ หม่ ชาติ หม่ อีกตลอด ป

๒ พระวังคสี ะเถระ

พระวงั คสี ะ เกดิ ในตระกลู พราหมณ์ นครสาวตั ถี เรยี นจบไตรเพท
และได้เรียนมนต์พิเศษอีกอย่างหน่ึงชื่อว่า ฉวสีสมนต์ ซึ่งเป็นมนต์ที่ใช้
นว้ิ เคาะหรอื ดดี ทห่ี วั ของศพหรอื กะโหลก กจ็ ะรวู้ า่ เจา้ ของศรี ษะหรอื กะโหลก
นนั้ ตายแลว้ ไปเกดิ เปน็ อะไร เกดิ ทไี่ หน ทา่ นมคี วามเชยี่ วชาญในมนตน์ มี้ าก
จงึ ได้อาศยั มนตน์ ี้เปน็ เครอ่ื งเล้ยี งชีพ จนมชี ือ่ เสียงเล่อื งลอื ไปทัว่ และมีฐานะ
ร�่ารวยขึ้น และแล้ววันหนึ่งคณะของเขาได้กลับมาที่เมืองสาวัตถีพักอยู่ในท่ี
ไม่ไกลจากประตูพระเชตวันมหาวิหารมากนัก ได้เห็นประชาชนถือดอกไม้
และเคร่ืองสักการะไปยงั วัดพระเชตวนั จึงถามว่า

“ทา่ นทงั้ หลาย จะไปไหนกนั ?” คณะของวงั คสี ะพราหมณถ์ าม

“พวกเรา จะไปฟังเทศน์ทีว่ ดั พระเชตวัน” พทุ ธบรษิ ทั ตอบ

“ทา่ นทงั้ หลาย ไปหาวงั คสี ะดกี วา่ เพราะทา่ นสามารถรวู้ า่ คนทต่ี าย
ไปแล้ว ไปเกิดเปน็ อะไร ไปเกิดท่ีไหน” พวกคณะของวังคีสะชกั ชวน

“ในโลกน้ี ไมม่ ผี ใู้ ดจะรเู้ ทา่ เทยี มพระพทุ ธเจา้ ของพวกเราไดห้ รอก”
พุทธบรษิ ทั แยง้ ข้นึ

การโตต้ อบกลายเปน็ การโตเ้ ถยี งและเรม่ิ ทวคี วามรนุ แรงขน้ึ ไมเ่ ปน็ ท่ี
ยตุ ิ กลมุ่ ของวงั คสี ะพราหมณจ์ งึ ตามไปทพี่ ระเชตวนั มหาวหิ าร เพอื่ พสิ จู นค์ วาม
สามารถวา่ ใครจะเหนอื กวา่ กนั พระพทุ ธองคท์ รงลว่ งรดู้ ถี งึ วตั ถปุ ระสงคข์ องกลมุ่
วงั คีสะพราหมณ์ไดด้ ี จึงทรงรบั ส่งั ใหน้ �ากะโหลกคนตายมา ๕ กะโหลก คือ

๑ กะโหลกคนที่ตาย ปเกดิ นนรก
๒ กะโหลกคนที่ตาย ปเกดิ นสวรรค์
๓ กะโหลกคนทตี่ าย ปเกิดเปน็ สัตว์ดิรัจ าน
๔ กะโหลกคนท่ีตาย ปเกดิ เป็นมนุ ย์
๕ กะโหลกของพระอรหนั ต์

เม่ือได้กะโหลกศรี ษะมาครบแล้ว ทรงไดม้ อบใหว้ ังคสี ะพราหมณ์
ตรวจสอบดวู า่ เจา้ ของกะโหลกเหล่านัน้ ไปเกดิ ทไ่ี หนกันบา้ ง

วงั คสี ะพราหมณเ์ คาะกะโหลกเหลา่ นนั้ มาตามลา� ดบั และทราบสถานท่ี
ทไี่ ปเกดิ ถกู ตอ้ งทั้ง ๔ กะโหลก แตพ่ อมาถึงกะโหลกสดุ ทา้ ย ซง่ึ เปน็ กะโหลก
ของพระอรหนั ต์ เขาไมส่ ามารถจะทราบได้ ไมม่ เี สยี งตอบจากเจา้ ของกะโหลก
วา่ ไปเกิดท่ไี หน จงึ น่งิ อยูค่ รหู่ นึง่ พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรัสถามว่า :-

“วังคสี ะ เธอไม่รู้หรอื ?”
“ขา้ พระพทุ ธเจ้า ไม่รู้ พระเจ้าขา้ ”
“วังคสี ะ ตถาคต รู้”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงทราบด้วยมนต์อะไร
พระเจา้ ขา้ ”
“ดว้ ยกา� ลังมนต์ของตถาคตเอง”

ลา� ดบั นน้ั วงั คสี ะพราหมณไ์ ดก้ ราบทลู ขอเรยี นมนตน์ น้ั จากพระบรม
ศาสดา ซง่ึ พระพทุ ธองคก์ ท็ รงรบั ทจ่ี ะสอนมนตน์ น้ั ให้ แตม่ ขี อ้ แมว้ า่ ผเู้ รยี นจะ
ตอ้ งบวชเสียกอ่ นจึงจะทรงสอนให้ วังคสี ะพราหมณ์คดิ วา่ ถา้ เรยี นมนตน์ ้จี บ
กจ็ ะไมม่ ผี ใู้ ดเทยี บเทยี มไดเ้ ลย จะเปน็ ประโยชนแ์ กอ่ าชพี ของตนเปน็ อยา่ งยง่ิ
จงึ ยอมบวช

เมื่อวังคีสะบวชแล้ว พระบรมศาสดาได้สอนให้เจริญวิปัสสนา
กรรมฐาน เวลาลว่ งไปไมน่ านนกั ทา่ นกไ็ ดบ้ รรลอุ รหตั ผล เปน็ พระอรยิ บคุ คล
ในพระพทุ ธศาสนา ทา่ นดา� รงอายสุ งั ขารสมควรแกก่ าลเวลากด็ บั ขนั ธปรนิ พิ พาน

เรอ่ื งนก้ี เ็ ปน็ อกี ตวั อยา่ งหนงึ่ ทแี่ สดง หเหนวา่ หลงั จากทพ่ี ระอรหนั ต์
ดปรนิ พิ พานแลว (อนปุ าทเิ สสนพิ พาน) จะ มม่ ภี พ หม่ ชาติ หม่ ห ปเกดิ อกี
ต่อ ปแลว เพราะกระแสแห่งการสบต่อของรูปนามขันธ์ ๕ ดดับสินลง
ชัว่ นริ ันดร

บเรื่องน าน รมั
บอ รรมมั สงั ห ร เ ่ี ร รมั ล น าน รมั

า นวก ก

ชอ ด ง
น า าบาล รอ า ล

อก ล
ดแก่ โลภมลู จิต ๘ โทสมลู จิต ๒ โมหมูลจิต ๒

อ ุกศลจิต ๑๒ โลภมลู จติ ๘

โทสมลู จิต ๒
โมหมลู จติ ๒

จติ ดวงท่ี

ช่อจิตเปน็ ภา าบาลพี รอมค�าแปล

โสมนสสสหคต� ทฏิ คตสมปยุตต� อสงขาริก�
จติ ทเ่ี กดิ ขึ้นโดยไม่มกี ารชักชวน พรอ้ มดว้ ยความดใี จ
ประกอบดว้ ยความเหน็ ผิด

โสมนสสสหคต� ทิฏ คตสมปยตุ ต� สสงขารกิ �
จิตทเ่ี กิดข้ึนโดยมกี ารชักชวน พร้อมดว้ ยความดีใจ
ประกอบดว้ ยความเหน็ ผิด

โสมนสสสหคต� ทฏิ คตวปิ ปยตุ ต� อสงขารกิ �
จติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ โดยไม่มกี ารชักชวน พร้อมด้วยความดใี จ
ไมป่ ระกอบดว้ ยความเหน็ ผิด

โสมนสสสหคต� ทฏิ คตวิปปยุตต� สสงขาริก�
จิตทเ่ี กดิ ขึน้ โดยมีการชกั ชวน พร้อมด้วยความดีใจ
ไม่ประกอบดว้ ยความเห็นผดิ

อเุ ปกขาสหคต� ทฏิ คตสมปยตุ ต� อสงขาริก�
จติ ทเ่ี กิดขน้ึ โดยไม่มกี ารชักชวน พร้อมดว้ ยความเฉย ๆ
ประกอบดว้ ยความเหน็ ผิด

อเุ ปกขาสหคต� ทิฏ คตสมปยุตต� สสงขาริก�
จติ ที่เกิดขึ้นโดยมกี ารชักชวน พรอ้ มด้วยความเฉย ๆ
ประกอบด้วยความเหน็ ผดิ

อุเปกขาสหคต� ทฏิ คตวิปปยุตต� อสงขาริก�
จติ ทเ่ี กิดขน้ึ โดยไม่มีการชกั ชวน พร้อมดว้ ยความเฉย ๆ
ไมป่ ระกอบด้วยความเหน็ ผิด

อเุ ปกขาสหคต� ทฏิ คตวิปปยุตต� สสงขาริก�
จติ ท่เี กิดขน้ึ โดยมีการชกั ชวน พรอ้ มด้วยความเฉย ๆ
ไม่ประกอบด้วยความเหน็ ผดิ

จติ ดวงที่ ๒

ชอ่ จิตเปน็ ภา าบาลพี รอมค�าแปล

โทมนสสสหคต� ปฏิ สมปยุตต� อสงขารกิ �
จติ ท่ีเกิดขน้ึ โดยไม่มีการชกั ชวน พรอ้ มดว้ ยความเสียใจ
ประกอบดว้ ยความโกรธ

โทมนสสสหคต� ปฏิ สมปยตุ ต� สสงขารกิ �
จิตทเี่ กดิ ข้นึ โดยมกี ารชกั ชวน พร้อมดว้ ยความเสยี ใจ
ประกอบด้วยความโกรธ

จติ ดวงท่ี ๒

ชอ่ จติ เป็นภา าบาลพี รอมค�าแปล

อเุ ปกขาสหคต� วิจกิ จิ าสมปยตุ ต�
จิตทเ่ี กิดขน้ึ พรอ้ มดว้ ยความเฉย ๆ ประกอบด้วยความสงสัย

อุเปกขาสหคต� อุทธจจสมปยุตต�
จติ ทเี่ กดิ ขึ้นพร้อมดว้ ยความเฉย ๆ ประกอบดว้ ยความฟุงซา่ น

อก
ดแก่ อกศุ ลวิปากจิต ๗ อเหตกุ กศุ ลวปิ ากจิต ๘ อเหตุกกิริยาจติ ๓

อเห ุตก ิจต ๑๘ อกศุ ลวิปากจติ ๗

อเหตุกกศุ ลวปิ ากจติ ๘

อเหตกุ กริ ยิ าจิต ๓

ณ� คา� แปล
จิตดวงท่ี ช่อจติ เป็นภา าบาลี
จิตท่อี าศยั จักขวุ ัตถุ เห็นรูปารมณท์ ี่
อุเปกขาสหคต� จกขวุ ิ ไมด่ ี เกดิ ข้ึนพร้อมด้วยความเฉย ๆ

อุเปกขาสหคต� โสตวิ ณ� จติ ท่อี าศัยโสตวตั ถุ ไดย้ ินเสียงที่
ไม่ดี เกดิ ขน้ึ พรอ้ มดว้ ยความเฉย ๆ
อเุ ปกขาสหคต� านวิ ณ�
จติ ท่ีอาศัย านวตั ถุ รกู้ ลิน่ ท่ไี ม่ดี
อเุ ปกขาสหคต� ชิวหาวิ ณ� เกดิ ข้นึ พรอ้ มด้วยความเฉย ๆ

จิตที่อาศัยชวิ หาวัตถุ รรู้ สทีไ่ มด่ ี
เกิดขึ้นพร้อมดว้ ยความเฉย ๆ

ทกุ ขสหคต� กายวิ ณ� จติ ที่อาศยั กายวตั ถุ รสู้ ึก
โผฏฐพั พารมณ์ (ความแข็ง-อ่อน,
เยน็ -รอ้ น, หย่อน-ตงึ ) ทไี่ มด่ ี
เกิดขน้ึ พร้อมด้วยความทกุ ข์กาย

อเุ ปกขาสหคต� สมปฏิจ นจติ ต� จติ ที่รบั ปญั จารมณท์ ี่ไม่ดี
เกิดขึน้ พรอ้ มด้วยความเฉย ๆ

อุเปกขาสหคต� สนตีรณจิตต� จติ ทีไ่ ต่สวนปญั จารมณ์ทีไ่ มด่ ี
เกิดขนึ้ พร้อมดว้ ยความเฉย ๆ



จิตดวงท่ี ช่อจติ เป็นภา าบาลี คา� แปล

อเุ ปกขาสหคต� จกขุวิ ณ� จติ ทอี่ าศัยจกั ขวุ ตั ถุ เหน็ รูปารมณ์
ท่ดี ี เกดิ ข้ึนพร้อมด้วยความเฉย ๆ

อุเปกขาสหคต� โสตวิ ณ� จิตทอ่ี าศยั โสตวัตถุ ไดย้ นิ เสียงทด่ี ี
เกดิ ขึ้นพรอ้ มด้วยความเฉย ๆ

อุเปกขาสหคต� านวิ ณ� จติ ท่ีอาศัย านวตั ถุ รกู้ ลิ่นทีด่ ี
เกิดข้ึนพรอ้ มด้วยความเฉย ๆ

อุเปกขาสหคต� ชิวหาวิ ณ� จิตทอี่ าศยั ชิวหาวัตถุ รู้รสทด่ี ี
เกดิ ขึ้นพร้อมดว้ ยความเฉย ๆ

สขุ สหคต� กายวิ ณ� จิตทีอ่ าศัยกายวัตถุ ร้สู ึก
โผฏฐพั พารมณ์ (ความแขง็ -ออ่ น,
เยน็ -รอ้ น, หยอ่ น-ตงึ ) ทดี่ ี เกิดขึ้น
พรอ้ มดว้ ยความสุขกาย

อเุ ปกขาสหคต� สมปฏจิ นจติ ต� จติ ทีร่ ับปัญจารมณท์ ด่ี ี
เกิดขึ้นพร้อมดว้ ยความเฉย ๆ

อเุ ปกขาสหคต� สนตีรณจติ ต� จติ ทไ่ี ตส่ วนปญั จารมณท์ ่ีดี
เกิดขน้ึ พรอ้ มด้วยความเฉย ๆ

โสมนสสสหคต� สนตีรณจติ ต� จติ ทีไ่ ต่สวนปัญจารมณท์ ่ดี ี
เกิดขึ้นพรอ้ มด้วยความดใี จ


จิตดวงท่ี ชอ่ จิตเปน็ ภา าบาลพี รอมคา� แปล

อเุ ปกขาสหคต� ป จทวาราวชชนจติ ต�
จิตทพี่ ิจารณาอารมณท์ างปัญจทวาร (ทางตา หู จมกู ล้นิ กาย) ท่ดี ี
และไม่ดี เกิดข้นึ พรอ้ มด้วยความเฉย ๆ

อุเปกขาสหคต� มโนทวาราวชชนจิตต�
จติ ทพ่ี จิ ารณาอารมณท์ างมโนทวาร (ทางใจ) ทีด่ ี และไม่ดี
เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉย ๆ

โสมนสสสหคต� หสิตปุ ปาทจิตต�
จิตทีท่ �าใหเ้ กิดการยิม้ ของพระอรหนั ต์ เกิดขน้ึ พรอ้ มดว้ ยความดใี จ

กา า ร ส
ดแก่ มหากุศลจติ ๘ มหาวิปากจิต ๘ มหากิริยาจิต ๘

กามาวจรโสภณ ิจต ๒๔ มหากุศลจิต ๘
มหาวิปากจิต ๘
มหากิรยิ าจิต ๘

จติ ดวงท่ี ช่อจติ เป็นภา าบาลพี รอมค�าแปล มหากุศลจิต (๓๑)
มหาวปิ ากจิต (๓๙)
๓๑, ๓๙, ๔๗ โสมนสสสหคต� ณสมปยตุ ต� อสงขารกิ � มหากิริยาจิต (๔๗)
จิตทเ่ี กิดขึน้ โดยไม่มีการชกั ชวน พร้อมด้วย
ความดีใจ ประกอบด้วยปัญญา มหากศุ ลจติ (๓๒)
มหาวิปากจิต (๔๐)
๓๒, ๔๐, ๔๘ โสมนสสสหคต� ณสมปยตุ ต� สสงขาริก� มหากิรยิ าจิต (๔๘)
จติ ทีเ่ กิดขึน้ โดยมีการชกั ชวน พร้อมดว้ ย
ความดใี จ ประกอบด้วยปญั ญา

จติ ดวงท่ี ช่อจิตเปน็ ภา าบาลีพรอมค�าแปล มหากศุ ลจติ (๓๓)
มหาวปิ ากจติ (๔๑)
๓๓, ๔๑, ๔๙ โสมนสสสหคต� ณวิปปยุตต� อสงขารกิ � มหากริ ิยาจติ (๔๙)
จิตที่เกดิ ขึ้นโดยไม่มีการชกั ชวน พรอ้ มดว้ ย
ความดใี จ ไมป่ ระกอบดว้ ยปญั ญา มหากุศลจิต (๓๔)
มหาวิปากจติ (๔๒)
๓๔, ๔๒, ๕๐ โสมนสสสหคต� ณวปิ ปยตุ ต� สสงขารกิ � มหากริ ยิ าจิต (๕๐)
จติ ที่เกดิ ขึ้นโดยมีการชกั ชวน พรอ้ มดว้ ย
ความดใี จ ไมป่ ระกอบด้วยปัญญา มหากศุ ลจิต (๓๕)
มหาวิปากจติ (๔๓)
๓๕, ๔๓, ๕๑ อุเปกขาสหคต� ณสมปยตุ ต� อสงขาริก� มหากิรยิ าจติ (๕๑)
จิตทีเ่ กิดขึ้นโดยไมม่ ีการชกั ชวน พร้อมด้วย
ความเฉย ๆ ประกอบดว้ ยปญั ญา มหากศุ ลจิต (๓๖)
มหาวิปากจิต (๔๔)
๓๖, ๔๔, ๕๒ อเุ ปกขาสหคต� ณสมปยตุ ต� สสงขารกิ � มหากิรยิ าจิต (๕๒)
จิตทเี่ กดิ ข้ึนโดยมกี ารชักชวน พร้อมดว้ ย
ความเฉย ๆ ประกอบด้วยปญั ญา มหากุศลจิต (๓๗)
มหาวิปากจติ (๔๕)
๓๗, ๔๕, ๕๓ อุเปกขาสหคต� ณวปิ ปยุตต� อสงขาริก� มหากิริยาจิต (๕๓)
จิตทเี่ กดิ ขึ้นโดยไมม่ กี ารชักชวน พร้อมดว้ ย
ความเฉย ๆ ไม่ประกอบดว้ ยปญั ญา มหากุศลจิต (๓๘)
มหาวปิ ากจิต (๔๖)
๓๘, ๔๖, ๕๔ อุเปกขาสหคต� ณวิปปยุตต� สสงขารกิ � มหากริ ยิ าจิต (๕๔)
จิตที่เกดิ ขึ้นโดยมกี ารชักชวน พร้อมดว้ ย
ความเฉย ๆ ไมป่ ระกอบดว้ ยปญั ญา

รา ร

ดแก่ รูปาวจรกศุ ลจติ ๕ รปู าวจรวปิ ากจติ ๕ รูปาวจรกริ ยิ าจิต ๕

จิตดวงที่ ชอ่ จิตเปน็ ภา าบาลพี รอมค�าแปล

วติ กกวิจารปติสขุ เอกคคตาสหติ � ป มช าน กุสลจติ ฺต� (๕๕)
วิปากจิตฺต� (๖๐)
๕๕ ปฐมฌานกศุ ลจิต กรฺ ยิ จติ ฺต� (๖๕)
๖๐ ปฐมฌานวิปากจิต ที่เกิดพร้อมดว้ ยองค์ฌาน ๕
๖๕ ปฐมฌานกิริยาจิต คือ วติ ก วจิ าร ปตี ิ สุข เอกคั คตา กุสลจติ ตฺ � (๕๖)
วปิ ากจติ ตฺ � (๖๑)
วิจารปติสุขเอกคคตาสหติ � ทุตยิ ช าน กรฺ ิยจิตฺต� (๖๖)

๕๖ ทตุ ิยฌานกศุ ลจติ
๖๑ ทตุ ิยฌานวิปากจิต ที่เกิดพรอ้ มดว้ ยองคฌ์ าน ๔
๖๖ ทตุ ิยฌานกริ ิยาจิต คือ วิจาร ปตี ิ สขุ เอกัคคตา

ปตสิ ขุ เอกคคตาสหติ � ตตยิ ช าน กสุ ลจิตฺต� (๕๗)
๕๗ ตตยิ ฌานกศุ ลจิต วปิ ากจิตตฺ � (๖๒)
๖๒ ตตยิ ฌานวิปากจิต ที่เกิดพรอ้ มด้วยองคฌ์ าน ๓ กฺรยิ จิตตฺ � (๖๗)
๖๗ ตตยิ ฌานกิรยิ าจิต คือ ปตี ิ สขุ เอกัคคตา
กสุ ลจิตตฺ � (๕๘)
สุขเอกคคตาสหติ � จตตุ ถช าน วิปากจติ ตฺ � (๖๓)
กรฺ ิยจิตฺต� (๖๘)
๕๘ จตตุ ถฌานกศุ ลจิต
๖๓ จตุตถฌานวิปากจติ ท่ีเกดิ พรอ้ มด้วยองค์ฌาน ๒
๖๘ จตุตถฌานกริ ยิ าจิต คือ สขุ เอกคั คตา

อเุ ปกขาเอกคคตาสหิต� ป จมช าน กสุ ลจติ ตฺ � (๕๙)

รปู าวจรจติ ๑๕ ๕๙ ปัญจมฌานกุศลจติ ทเี่ กดิ พรอ้ มด้วย วิปากจิตฺต� (๖๔)

๖๔ ปญั จมฌานวปิ ากจิต องคฌ์ าน ๒ กรฺ ิยจติ ฺต� (๖๙)

ูรปาวจรปฐมฌาน ิจต ๓ ๖๙ ปญั จมฌานกริ ยิ าจติ คือ อุเบกขา เอกคั คตา
ูรปาวจรทุ ิตยฌานจิต ๓
ูรปาวจรตติยฌาน ิจต ๓
ูรปาวจรจตุตถฌานจิต ๓
ูรปาวจร ัปญจมฌานจิต ๓

รูปาวจรกุศลจิต ๕
รูปาวจรวิปากจติ ๕
รปู าวจรกริ ยิ าจิต ๕

อร า ร

ดแก่ อรปู าวจรกศุ ลจิต ๔ อรูปาวจรวปิ ากจิต ๔ อรูปาวจรกิรยิ าจิต ๔

จติ ดวงที่ ชอ่ จติ เปน็ ภา าบาลีพรอมค�าแปล กสุ ลจิตตฺ � (๗๐)
วิปากจิตตฺ � (๗๔)
อุเปกขาเอกคคตาสหติ � อากาสาน จายตน กฺรยิ จติ ตฺ � (๗๘)

๗๐ อากาสานัญจายตนกุศลจติ
๗๔ อากาสานญั จายตนวปิ ากจิต ทีเ่ กดิ พรอ้ มด้วยองค์ฌาน ๒
๗๘ อากาสานญั จายตนกริ ิยาจติ คือ อเุ บกขา เอกัคคตา

อุเปกขาเอกคคตาสหิต� วิ ณ จายตน กุสลจิตฺต� (๗๑)
วิปากจติ ฺต� (๗๕)
๗๑ วิญญาณัญจายตนกุศลจติ กฺรยิ จติ ฺต� (๗๙)
๗๕ วญิ ญาณัญจายตนวปิ ากจิต ทเ่ี กิดพร้อมด้วยองค์ฌาน ๒
๗๙ วญิ ญาณญั จายตนกริ ยิ าจติ คอื อุเบกขา เอกคั คตา

อเุ ปกขาเอกคคตาสหติ � อากิ จ ยตน กสุ ลจติ ฺต� (๗๒)
วปิ ากจติ ฺต� (๗๖)
๗๒ อากญิ จัญญายตนกุศลจติ กรฺ ิยจติ ตฺ � (๘๐)
๗๖ อากิญจญั ญายตนวิปากจติ ท่ีเกิดพรอ้ มดว้ ยองคฌ์ าน ๒
๘๐ อากญิ จัญญายตนกิริยาจิต คือ อุเบกขา เอกัคคตา

อรปู าวจรจิต ๑๒ อเุ ปกขาเอกคคตาสหติ � เนวส านาส ายตน กสุ ลจติ ตฺ � (๗๓)
๗๓ เนวสญั ญานาสญั ญายตนกศุ ลจติ ทเี่ กดิ พรอ้ มดว้ ย วปิ ากจิตตฺ � (๗๗)
๗๗ เนวสญั ญานาสญั ญายตนวิปากจิต องคฌ์ าน ๒ กฺรยิ จติ ฺต� (๘๑)
๘๑ เนวสญั ญานาสญั ญายตนกิรยิ าจติ คือ อเุ บกขา
เอกัคคตา
อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓
ิวญญาณัญจายตนฌานจิต ๓
อา ิกญ ัจญญายตนฌานจิต ๓
เนว ัสญญานา ัสญญายตนฌานจิต ๓

อรปู าวจรกศุ ลจิต ๔
อรปู าวจรวปิ ากจติ ๔
อรูปาวจรกริ ิยาจติ ๔

รร

ดแก่ โสดาปตติมรรคจติ ๑ (๕) สกทาคามมิ รรคจติ ๑ (๕)
อนาคามิมรรคจติ ๑ (๕) อรหัตตมรรคจิต ๑ (๕)

จติ ดวงที่ ชอ่ จิตเป็นภา าบาลีพรอมค�าแปล

วิตกกวิจารปติสุขเอกคคตาสหิต� ป มช าน โสตาปตฺตมิ คคฺ จิตฺต� (๘๒)

๘๒ ปฐมฌานโสดาปตั ตมิ รรคจติ สกทาคามิมคคฺ จิตฺต� (๘๗)
อนาคามมิ คคฺ จิตตฺ � (๙๒)
๘๗ ปฐมฌานสกทาคามิมรรคจติ ที่เกิดพร้อมดว้ ยองค์ฌาน ๕ อรหตฺตมคคฺ จติ ตฺ � (๙๗)
๙๒ ปฐมฌานอนาคามิมรรคจิต คอื วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกคั คตา
๙๗ ปฐมฌานอรหัตตมรรคจิต โสตาปตฺตมิ คคฺ จติ ตฺ � (๘๓)

วจิ ารปตสิ ุขเอกคคตาสหิต� ทุติยช าน

๘๓ ทตุ ิยฌานโสดาปตั ตมิ รรคจิต สกทาคามมิ คคฺ จติ ตฺ � (๘๘)
อนาคามิมคฺคจิตตฺ � (๙๓)
๘๘ ทุตยิ ฌานสกทาคามิมรรคจติ ท่เี กิดพรอ้ มด้วยองคฌ์ าน ๔ อรหตตฺ มคคฺ จิตตฺ � (๙๘)
๙๓ ทุติยฌานอนาคามมิ รรคจิต คอื วจิ าร ปตี ิ สขุ เอกคั คตา
๙๘ ทุตยิ ฌานอรหัตตมรรคจติ

ปตสิ ุขเอกคคตาสหติ � ตตยิ ช าน โสตาปตตฺ ิมคคฺ จิตตฺ � (๘๔)

๘๔ ตตยิ ฌานโสดาปตั ติมรรคจติ ท่เี กดิ พร้อมด้วยองค์ สกทาคามมิ คคฺ จิตฺต� (๘๙)
๘๙ ตติยฌานสกทาคามิมรรคจติ ฌาน ๓ คือ ปีติ สขุ อนาคามมิ คฺคจติ ฺต� (๙๔)
๙๔ ตตยิ ฌานอนาคามมิ รรคจติ เอกคั คตา อรหตฺตมคคฺ จติ ฺต� (๙๙)
๙๙ ตติยฌานอรหตั ตมรรคจิต

สขุ เอกคคตาสหติ � จตุตถช าน โสตาปตฺติมคฺคจติ ตฺ � (๘๕)

๘๕ จตตุ ถฌานโสดาปตั ตมิ รรคจติ สกทาคามมิ คคฺ จติ ตฺ � (๙๐)
๙๐ จตุตถฌานสกทาคามิมรรคจติ ทเี่ กดิ พร้อมดว้ ย อนาคามิมคฺคจติ ตฺ � (๙๕)
๙๕ จตตุ ถฌานอนาคามิมรรคจติ องค์ฌาน ๒ อรหตฺตมคฺคจติ ฺต� (๑๐๐)
๑๐๐ จตตุ ถฌานอรหัตตมรรคจิต คอื สขุ เอกคั คตา
โสตาปตตฺ ิมคฺคจิตตฺ � (๘๖)
มรรคจติ ๔ (๒๐) อุเปกขาเอกคคตาสหิต� ป จมช าน

ปฐมฌานมรรคจิต ๔ ๘๖ ปญั จมฌานโสดาปตั ตมิ รรคจติ ที่เกิดพรอ้ มด้วย สกทาคามมิ คฺคจติ ตฺ � (๙๑)
ุท ิตยฌานมรรค ิจต ๔
ต ิตยฌานมรรคจิต ๔ ๙๑ ปญั จมฌานสกทาคามิมรรคจติ องคฌ์ าน ๒ อนาคามิมคคฺ จิตตฺ � (๙๖)
จ ุตตถฌานมรรคจิต ๔ ๙๖ ปัญจมฌานอนาคามมิ รรคจิต คอื อุเบกขา อรหตตฺ มคคฺ จติ ฺต� (๑๐๑)
ัปญจมฌานมรรคจิต ๔ ๑๐๑ ปญั จมฌานอรหัตตมรรคจติ เอกคั คตา

โสดาปัตตมิ รรคจติ ๑ หรือ ๕
สกทาคามมิ รรคจติ ๑ หรือ ๕
อนาคามมิ รรคจติ ๑ หรอื ๕
อรหตั ตมรรคจติ ๑ หรอื ๕



ดแก่ โสดาปตติ ลจติ ๑ (๕) สกทาคามิ ลจิต ๑ (๕)
อนาคามิ ลจิต ๑ (๕) อรหตั ต ลจิต ๑ (๕)

จิตดวงท่ี ชอ่ จติ เป็นภา าบาลีพรอมค�าแปล

วิตกกวิจารปติสขุ เอกคคตาสหิต� ป มช าน โสตาปตตฺ ิผลจิตฺต� (๑๐๒)
สกทาคามผิ ลจิตฺต� (๑๐๗)
๑๐๒ ปฐมฌานโสดาปัตตผิ ลจติ อนาคามผิ ลจติ ฺต� (๑๑๒)
อรหตตฺ ผลจติ ฺต� (๑๑๗)
๑๐๗ ปฐมฌานสกทาคามผิ ลจติ ท่เี กิดพร้อมดว้ ยองคฌ์ าน ๕
๑๑๒ปฐมฌานอนาคามผิ ลจิต คอื วติ ก วิจาร ปีติ สุข เอกคั คตา โสตาปตตฺ ิผลจติ ตฺ � (๑๐๓)
๑๑๗ปฐมฌานอรหตั ตผลจติ สกทาคามิผลจติ ฺต� (๑๐๘)
อนาคามิผลจติ ฺต� (๑๑๓)
วิจารปตสิ ขุ เอกคคตาสหติ � ทตุ ิยช าน อรหตตฺ ผลจติ ตฺ � (๑๑๘)

๑๐๓ ทุติยฌานโสดาปตั ตผิ ลจิต โสตาปตตฺ ิผลจติ ฺต� (๑๐๔)
สกทาคามผิ ลจติ ตฺ � (๑๐๙)
๑๐๘ทตุ ิยฌานสกทาคามผิ ลจิต ท่ีเกดิ พรอ้ มดว้ ยองค์ฌาน ๔ อนาคามผิ ลจิตฺต� (๑๑๔)
๑๑๓ ทุตยิ ฌานอนาคามผิ ลจติ คอื วจิ าร ปีติ สขุ เอกัคคตา อรหตตฺ ผลจติ ฺต� (๑๑๙)
๑๑๘ทตุ ิยฌานอรหตั ตผลจติ
โสตาปตตฺ ิผลจติ ตฺ � (๑๐๕)
ปติสุขเอกคคตาสหติ � ตติยช าน สกทาคามผิ ลจติ ตฺ � (๑๑๐)
อนาคามิผลจิตตฺ � (๑๑๕)
๑๐๔ ตติยฌานโสดาปตั ติผลจิต อรหตฺตผลจติ ฺต� (๑๒๐)

๑๐๙ตติยฌานสกทาคามผิ ลจิต ทเี่ กดิ พรอ้ มด้วยองคฌ์ าน ๓ โสตาปตตฺ ิผลจิตฺต� (๑๐๖)
สกทาคามผิ ลจิตตฺ � (๑๑๑)
๑๑๔ตติยฌานอนาคามิผลจิต คือ ปตี ิ สุข เอกัคคตา อนาคามิผลจติ ตฺ � (๑๑๖)
อรหตตฺ ผลจิตตฺ � (๑๒๑)
๑๑๙ตตยิ ฌานอรหตั ตผลจิต
สขุ เอกคคตาสหติ � จตุตถช าน

ผลจติ ๔ (๒๐) ๑๐๕จตตุ ถฌานโสดาปตั ติผลจติ

ปฐมฌานผลจิต ๔ ๑๑๐ จตตุ ถฌานสกทาคามิผลจิต ทเ่ี กดิ พร้อมดว้ ยองค์ฌาน ๒

ุท ิตยฌานผล ิจต ๔ ๑๑๕จตตุ ถฌานอนาคามผิ ลจติ คือ สุข เอกคั คตา

ต ิตยฌานผลจิต ๔ ๑๒๐ จตุตถฌานอรหตั ตผลจิต
จ ุตตถฌานผลจิต ๔
ัปญจมฌานผลจิต ๔ อเุ ปกขาเอกคคตาสหติ � ป จมช าน
๑๐๖ ปัญจมฌานโสดาปัตติผลจิต
๑๑๑ ปญั จมฌานสกทาคามิผลจติ ทเี่ กิดพร้อมดว้ ย
๑๑๖ ปญั จมฌานอนาคามิผลจิต องคฌ์ าน ๒
๑๒๑ ปญั จมฌานอรหัตตผลจิต คอื อุเบกขา เอกัคคตา

โสดาปัตตผิ ลจิต ๑ หรอื ๕
สกทาคามผิ ลจติ ๑ หรอื ๕
อนาคามิผลจติ ๑ หรอื ๕
อรหัตตผลจติ ๑ หรอื ๕

า นวก

า า บางส่ น
ากนัก ก าออน ลน



จิตในทางจิตวิทยา และจิตในพระอภิธรรมมีความหมายต่างกัน
อย่างไร?

อบ

จติ ในทางจติ วทิ ยา หมายถงึ สงิ่ ทกี่ า� หนดกระบวนการของพฤตกิ รรม
(Behavior) ที่แสดงออกของมนุษย์ วิชาจิตวิทยาเป็นสาขาหน่ึงของวิชา
วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพทพี่ ยายามจะศกึ ษาพฤตกิ รรมการแสดงออก (Behavior)
ของมนุษย์และสัตว์อย่างเป็นระบบ โดยใช้หลักเหตุและผลตามทฤษฎีทาง
วิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับการทดลอง (Experiment) แต่ก็ยังมีข้อจ�ากัดที่จะ
ตอบค�าถามในสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น เร่ืองอ�านาจจิต จิตขณะใกล้ตาย
จติ ทีน่ �าเกิดในภพชาตใิ หม่ จติ ทอี่ ยใู่ นฌานสมาบัติ เปน็ ตน้

ส่วนในพระอภิธรรม จติ หมายถงึ ธรรมชาตทิ ท่ี า� หนา้ ทรี่ ้อู ารมณ์
ซึง่ จะเกิดได้ ๖ แหง่ คือ

๑. เกิดที่ตา......เพื่อทา� หน้าทเี่ ห็น
๒. เกิดทหี่ .ู .......เพ่ือท�าหน้าท่ไี ดย้ นิ
๓. เกิดทจ่ี มกู ...เพ่อื ท�าหนา้ ท่รี ับกลิน่
๔. เกิดทลี่ ิ้น.....เพ่อื ทา� หนา้ ทร่ี ับรส
๕. เกดิ ท่กี าย... เพอื่ ท�าหนา้ ท่รี ับร้สู ัมผสั ทางกาย

๖. เกดิ ทใ่ี จ...เพ่ือท�าหน้าท่ีคดิ นึกเรอ่ื งราวต่าง ๆ และส่งั การให้
เกิดการกระทา� ต่าง ๆ ทง้ั ทางกาย และทางวาจา

การศึกษาเร่ืองจิตในพระอภิธรรมจะสามารถตอบได้ทุกค�าถามท่ี
เกย่ี วขอ้ งกบั เรอื่ งของนามธรรม ซงึ่ ทางวทิ ยาศาสตรไ์ มส่ ามารถจะใหค้ า� ตอบได้



ขอเรียนถามว่า จติ กบั ใจคอื สง่ิ เดียวกันหรือไม่ จากประสบการณ์
ที่ผมเคยท�าธุรกิจขายตรงจนมีความก้าวหน้าในระดับหน่ึง รู้สึกสนุก
และมุ่งมั่นกับงาน แต่อยู่มาวันหนึ่ง (หลังปฏิบัติกรรมฐานได้เดือนเศษ)
จิตกลับมองเห็นว่างานดังกล่าวต้องใช้กิเลสเป็นแรงขับ ท�าให้อยากได้
อยากมี อยากเปน็ ตลอดเวลา ซ่ึงกพ็ อยอมรบั ได้ เพราะธุรกจิ กต็ ้องมกี เิ ลส
เปน็ ตวั ขบั เคลอื่ น ผมเปน็ หวั หนา้ ทมี ซงึ่ จะตอ้ งคอยกระตนุ้ ใหล้ กู ทมี เกดิ กเิ ลส
ตลอดเวลาเช่นกัน ย่ิงมากเท่าไรก็ยิ่งดี ความรู้สึกขณะน้ัน ใจอยากท�าต่อ
อยา่ งยง่ิ แตจ่ ติ ปฏเิ สธอยา่ งเดยี ว เหมอื นคนสองคนทะเลาะกนั เอาเปน็ เอาตาย
ซึ่งสภาวะดงั กล่าวเปน็ ทกุ ข์มาก ในที่สดุ จงึ ตดั สนิ ใจหยดุ ท�า เหมือนยกภูเขา
ออกจากอก ในสภาวะแบบนเ้ี หมอื นจติ และใจแยกออกจากกนั ใชไ่ หมครบั ?

อบ

จิต คือ ธรรมชาติทท่ี �าหนา้ ท่ีร้อู ารมณ์ หรือธาตรุ ู้ มีสถานท่ีทา� งาน
อยู่ ๖ แห่ง คือ ๑) เกิดท่ีตา ๒) เกิดที่หู ๓) เกิดท่ีจมูก ๔) เกิดที่ลิ้น
๕) เกิดท่กี าย ๖) เกิดทใ่ี จ

ใจจึงเป็นเพียงสถานที่ท�างานแห่งหนึ่งของจิตเท่านั้น เหตุที่มี
ความรู้สึกเหมือนคนสองคนทะเลาะกัน คนหนึ่งชื่อจิต ส่วนอีกคนชื่อใจ
แทจ้ รงิ แลว้ เปน็ การเถยี งกนั ระหวา่ งจติ กบั จติ เพราะจติ เกดิ ดบั เรว็ มาก แตล่ ะ
ขณะของจติ ใช้เวลาเพยี ง ๑/๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ วนิ าที (เศษหนงึ่ ส่วน
ลา้ นล้านวินาที) เทา่ น้ัน จิตทีก่ า� ลังพจิ ารณาปญั หาน.ี้ ..ขณะหนึ่งอาจเป็น YES

แตอ่ กี ขณะหนงึ่ อาจเปน็ NO...เดยี วเปน็ YESเดยี วเปน็ NO เถยี งกนั อยไู่ มจ่ บ
เหมือนคนสองคนก�าลังทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สิ่งน้ีคืออาการที่จิต
ก�าลังต่อสู้กับจิต...หากไม่มีสติ กิเลสจะเป็น ายชนะ...แต่หากมีสติ กิเลส
ก็จะเปน็ ายพ่ายแพค้ รับ



เข้าใจว่าจิตคือกระแสไฟฟาท่ีว่ิงในสมองระหว่างเซลล์หนึ่งไปอีก
เซลลห์ นงึ่ ทา� ใหเ้ กิดการเห็น ได้ยนิ ไดก้ ล่ิน และเกดิ ความนึกคดิ ความจา�
ไมท่ ราบวา่ ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ โดยมตี า หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ เปน็ ตวั รบั กระทบกอ่ น
แลว้ จงึ สง่ ไปยังสมอง

อบ

หากมองในแง่วิทยาศาสตร์ก็อาจจะอธิบายได้เช่นนั้น แต่ใน
พระอภธิ รรมจะอธบิ ายการทา� งานของชวี ติ ในอกี ลกั ษณะหนง่ึ ซง่ึ เปน็ ความจรงิ
ของธรรมชาตใิ นระดบั ปรมตั ถ์ ซงึ่ เปน็ ความจรงิ ระดบั ลกึ สดุ ของมนษุ ยแ์ ละสตั ว์
ทั้งหลาย เป็นความจริงอยา่ งทีส่ ดุ โดยกล่าววา่ ชีวิตคือการทา� งานของขนั ธ์ ๕
(หรอื จติ เจตสกิ รปู ) ทเี่ กดิ -ดบั -เกดิ -ดบั ....สบื ตอ่ กนั อยตู่ ลอดเวลา หาความ
เป็นสตั ว์ ความเป็นบุคคล เปน็ ตัวตนมไิ ดเ้ ลย แม้แตป่ ระสาทตา ประสาทหู
ประสาทจมกู ประสาทลน้ิ ประสาทกาย กไ็ มม่ รี ปู รา่ งสณั ฐานทจ่ี บั ตอ้ งไดห้ รอื
มองเหน็ ได้ แตเ่ ปน็ เพยี งความใสทสี่ ามารถรบั รปู เสยี ง กลนิ่ รส สมั ผสั ไดเ้ ทา่ นนั้
ทกุ อยา่ งลว้ นอยภู่ ายใตก้ ฎไตรลกั ษณ์ คอื ไมเ่ ทย่ี ง ตอ้ งเปลย่ี นแปลงผนั แปร
อยู่ตลอด ไม่มีตัวตนและบังคับบัญชาไม่ได้...ความจริงระดับปรมัตถ์น้ี
ไม่สามารถรู้ได้ด้วยการเรียน การฟัง การคิด...แต่สามารถรู้ได้ด้วย
ภาวนามยปัญญา อันเกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเท่าน้ัน...ผู้ท่ี
เข้าถึงความจริงระดบั ปรมัตถ์จะสามารถละอตั ตาตัวตน และสามารถท�าลาย
กเิ ลสใหห้ มดสน้ิ ได้ครบั



ที่กล่าวว่า “จิตจะว่างจากอารมณ์ไม่ได้” หมายความว่า เมื่อจิต
ท�าหน้าท่ีเห็นทางตา ได้ยินทางหู ได้กลิ่นทางจมูก รับรสทางล้ิน หรือรู้
การสัมผัสทางกาย จะท�าให้เกิดปฏิกิริยา คืออารมณ์ดี หรืออารมณ์ไม่ดี
ติดตามมาดว้ ยทกุ ครง้ั ใช่หรอื ไม่?

อบ

ผู้ถามยังเข้าใจความหมายของค�าว่า “อารมณ์” ไม่ถูกต้องครับ
ในทางธรรมะ “อารมณ์” หมายถึง ส่ิงท่ีถูกรู้ทางตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ
ซงึ่ กค็ อื รปู เสียง กล่นิ รส สงิ่ ทก่ี ระทบทางกาย และเร่อื งท่ีใจคิดนึก มิได้
หมายถงึ อารมณด์ ี อารมณไ์ มด่ ี ตามความหมายทใี่ ชก้ นั ในภาษาไทยนะครบั

ท่ีกล่าวว่าจิตจะว่างจากอารมณ์ไม่ได้ หมายความว่าจิตเป็นตัวรู้
อารมณ์เป็นสิ่งท่ีถูกจิตรู้ เมื่อมีการรู้ก็ต้องมีส่ิงท่ีถูกรู้ การรู้จะเกิดข้ึนไม่ได้
หากไม่มีส่งิ ใดให้รู้



หากจิตมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เหตุใดกิเลสและบุญบาป
จึงไมส่ ญู หายไปกบั การเกิดดับของจติ ?

อบ

ผมอยากให้ลองพิจารณากฎธรรมชาติสกั เร่ืองหนึ่ง

สมมุติน�าเม็ดมะม่วงจากมะม่วงอกร่องต้นที่ ๑ ไปปลูก...ก็จะ
ได้มะม่วงอกร่องต้นท่ี ๒...น�าเม็ดจากต้นท่ี ๒ ไปปลูก...ก็จะได้มะม่วง

ต้นที่ ๓...น�าเม็ดจากต้นท่ี ๓ ไปปลูก...ก็จะได้มะม่วงต้นท่ี ๔...ท�าเช่นนี้
ต่อไปเร่ือย ๆ จนนา� เม็ดจากตน้ ที่ ๙๙ ไปปลูก...ก็จะได้มะมว่ งต้นท่ี ๑๐๐...
ขอถามวา่ มะม่วงต้นท่ี ๑๐๐ จะเปน็ มะม่วงพนั ธุ์อะไร?

แนน่ อนมะมว่ งตน้ ท่ี ๑๐๐ กย็ งั คงเปน็ “มะมว่ งอกรอ่ ง” เหมอื นเดมิ
แต่รสชาติอาจผิดเพ้ียนไปบ้างตามเหตุและปัจจัยแวดล้อม...ถึงแม้ว่า
เม็ดมะม่วงหมายเลข ๑ หมายเลข ๒ หมายเลข ๓ หมายเลข ๔ จนถึง
เม็ดมะม่วงหมายเลข ๙๙ จะเป็นคนละเม็ดกัน แต่ก็สามารถสืบทอด
ความเปน็ “อกรอ่ ง” จากตน้ ทหี่ นง่ึ ไปยงั ตน้ ท่ี ๑๐๐ ได้ สงิ่ นเ้ี ปน็ กฎธรรมชาติ
อย่างหนึง่ ทีเ่ รียกวา่ “พชี นยิ าม” (กฎธรรมชาติของพืช)

การท�างานของจิตก็มีลักษณะเดียวกัน จิตขณะที่ ๑...จิตขณะที่
๑๐๐...จติ ขณะท่ี ๑,๐๐๐...จติ ขณะที่ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐...
ก็สามารถสืบทอดกิเลสและบุญและบาปท่ีได้กระท�าไว้จากอดีตไปสู่อนาคต
ขา้ มภพขา้ มชาตไิ ด้ (เชน่ เดยี วกบั การสบื ทอดความเปน็ “อกรอ่ ง” จากเมด็ ท่ี ๑
ถึงเมด็ ที่ ๙๙)

กฎธรรมชาติของชีวิตท่ีสืบทอดกิเลสและอุปนิสัยได้ทั้ง ๆ ท่ีจิต
เกิดดบั อย่ตู ลอดเวลา เรียกวา่ “จติ นยิ าม”

กฎธรรมชาติของชีวิตท่ีสืบทอดบุญบาปได้ท้ัง ๆ ที่จิตเกิดดับอยู่
ตลอดเวลา เรยี กวา่ “กรรมนิยาม”

พระพุทธองค์มิได้เป็นผู้ต้ังกฎเหล่านี้ข้ึนมา กฎเหล่าน้ีเป็นกฎ
ของธรรมชาติ จะมพี ระพทุ ธเจา้ มาเสดจ็ อบุ ตั หิ รอื ไมก่ ต็ าม กฎธรรมชาตเิ หลา่ น้ี
ก็ท�าหน้าท่ีของเขาอยู่ตลอดเวลา พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และทรงน�ามา
เปิดเผยให้ทราบเท่านั้น แม้แต่พระองค์เองก็ยังต้องอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ
เหลา่ นี้เชน่ กนั



การที่เรามีความทุกข์ใจ หรือเกิดความกังวลใจจากค�าพูด หรือ
การบอกเลา่ จากบคุ คลอนื่ เพราะเรอ่ื งทไี่ ดย้ นิ มานนั้ ทา� ใหต้ อ้ งเกบ็ เอามาคดิ ...
ไมท่ ราบวา่ จะสามารถนา� เรอ่ื งอกศุ ลวปิ ากจติ ๗ มาอธบิ ายไดห้ รอื ไม่ อยา่ งไร?

อบ

ตอ้ งเขา้ ใจกอ่ นวา่ เสยี งทไ่ี ดย้ นิ (ทางห)ู เปน็ คา� ๆ นนั้ ยงั ไมส่ ามารถ
ท�าให้เกิดทุกข์ทางใจได้ ทุกข์ทางใจจะเกิดข้ึนต่อเมื่อเสียงท่ีได้ยินแต่ละค�า
ถูกน�าไปปะติดปะต่อเป็นประโยคที่ใจ (ทางมโนทวาร) จากน้ันความหมาย
ของแต่ละประโยคก็จะปะติดปะต่อเป็นเรื่องราว (ทางมโนทวารเช่นกัน)
ถ้าเร่ืองราวนั้นท�าให้เกิดทุกข์ทางใจแสดงว่าเสียงท่ีรับมาเป็นค�า ๆ นั้นรับมา
ด้วยจิตหมายเลข ๑๔ (จิตที่เกิดทางหู ได้ยินเสียงท่ีไม่ดี และรู้สึกเฉย ๆ)
ซึ่งเป็นหนึ่งในอกุศลวิปากจิต ๗ ส่วนความทุกข์ท่ีเกิดตามมาน้ันเกิดจาก
จิตหมายเลข ๑๐ คอื โทสมูลจิต (จิตที่เกิดขนึ้ ทางใจโดยมีเหตุชักนา� ให้เกิด
อาการทกุ ขใ์ จ กลมุ้ ใจ รอ้ นใจ กงั วลใจ) แมเ้ หตกุ ารณจ์ ะผา่ นไปแลว้ หลายวนั
แต่เสียงในอดีตที่ดับไปแล้วก็ยังสามารถย้อนกลับมาปรากฏทางใจ
(มโนทวาร) ดว้ ยจติ หมายเลข ๑๐ (มเี สยี งในอดตี เปน็ อารมณ)์ และทา� ให้
เกิดความทกุ ขใ์ จขน้ึ ได้อีกทุกคร้ังทีน่ ึกถงึ คา� พดู หรอื ค�าบอกเลา่ นั้น



ขอแยง้ วา่ การรบั รทู้ างหกู เ็ กดิ ความทกุ ขท์ หี่ ไู ดโ้ ดยไมต่ อ้ งสง่ ตอ่ ไป
ยังมโนทวาร เช่น การไดย้ นิ เสียงประทัดท่ีดงั มากจนต้องเอาน้วิ อุดหูไว้

อบ

จิตที่ออกมารับเสียงดังมาก ๆ คือจิตหมายเลข ๑๔ ซึ่งเป็นจิต
ายอกศุ ลวิบาก จิตดวงนีจ้ ะรบั เสยี งด้วยความรู้สกึ เฉย ๆ (อุเบกขาเวทนา)
แต่ความกลัว หรือความร�าคาญนั้นเกิดมาจากโทสมูลจิตหมายเลข ๑๐
ท่ีเกิดติดตามมาทางใจ (มิได้เกดิ จากจติ หมายเลข ๑๔) การเคล่อื นน้วิ ขน้ึ มา
อดุ หเู พราะกลวั หจู ะแตกกด็ ี หรอื กลวั เสยี งประทดั กด็ ี คอื จติ ตชรปู ทเ่ี กดิ จาก
โทสมลู จิตหมายเลข ๑๐ นนั่ เอง



การรับรู้ทางกายอาจทา� ใหเ้ กดิ ทุกข์ทางใจก็เป็นได้ เชน่ คนทเ่ี ป็น
มะเรง็ ในสมอง ทกุ ครง้ั ทมี่ อี าการปวดจะเกดิ ความทกุ ขใ์ จและตดั พอ้ วา่ เหตใุ ด
จึงต้องมาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ ท�าให้ไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
และอาการทีป่ วดมาก ๆ น้ีจะส่งผลเสียต่อสภาพจติ ใจของผปู้ วยด้วย

อบ

การรับรู้อาการปวดของมะเร็งในสมอง เป็นหน้าที่ของจิต
หมายเลข ๑๗ แต่ความทุกข์ทางใจเป็นผลมาจากโทสมูลจิตหมายเลข ๑๐
จิตหมายเลข ๑๗ และหมายเลข ๑๐ จะเกิดดับสลับกันไปอย่างรวดเร็ว
จนทา� ใหร้ สู้ กึ วา่ อาการปวดของมะเรง็ ในสมองและความทกุ ขท์ างใจนน้ั เกดิ ขนึ้
พรอ้ ม ๆ กนั แตใ่ นความเปน็ จรงิ แลว้ อาการปวดทสี่ มองกบั ใจทเ่ี ปน็ ทกุ ขน์ น้ั
เกิดจากจิตคนละดวงกนั ครบั



เมอ่ื มอี าการปวดและได้รับยาชา หรอื ยาระงบั อาการปวดจะทา� ให้
หายปวดเป็นปลิดทิ้ง อยากทราบว่าในขณะที่ยาก�าลังออกฤทธ์ิ เหตุใดจิต
หมายเลข ๑๗ จึงไม่ทา� งาน?

อบ

อาจเปน็ เพราะผปู้ วยรายนเ้ี คยทา� บญุ ไวม้ ากในอดตี ในขณะทเี่ กดิ
อาการปวด (อนั เนอื่ งจากบาปทที่ า� ไวใ้ นอดตี กา� ลงั สง่ ผล) บญุ ทเี่ คยทา� ไวม้ าก
จะมีก�าลังแรงกว่าบาป และจะมาช่วยส่งผลให้ได้รับการบ�าบัดด้วยยาชา
จนพน้ จากอาการปวดได้ จติ หมายเลข ๑๗ อนั เปน็ ผลของบาปจงึ ไมส่ ามารถ
ใหผ้ ลได้



ในขณะทท่ี านอาหารรอ้ นๆ ลนิ้ กจ็ ะไดร้ บั ความรอ้ นจากอาหารนนั้ ดว้ ย
แสดงวา่ นอกจากชวิ หาปสาทจะรบั รสของอาหารไดแ้ ลว้ ยงั รบั รคู้ วามรอ้ นของ
อาหารได้อีกดว้ ยใชห่ รือไม่

อบ

ท่ลี ิ้นนั้น นอกจากจะมีชิวหาปสาทแล้ว ยังมีกายปสาทดว้ ย เพราะ
กายปสาทสามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย (ยกเว้นที่ผม ขน เล็บ และ
หนังท่ีหนาดา้ น)

ขณะที่รับประทานอาหารร้อน ๆ รูปที่รับกระทบความร้อน คือ
กายปสาท (มิใช่ชวิ หาปสาท) และจติ ทร่ี บั รคู้ วามรอ้ น คอื จติ หมายเลข ๑๗
(กายวญิ ญาณทเี่ ปน็ อกศุ ลวบิ ากซงึ่ เกดิ พรอ้ มดว้ ยความทกุ ขก์ าย) ตอ้ งอยา่ ลมื
วา่ ชวิ หาปสาทรบั รสชาตขิ องอาหารไดเ้ พยี งอยา่ งเดยี วเทา่ นน้ั จะรบั ความเยน็
ความรอ้ น ความออ่ น ความแข็ง ฯลฯ ไม่ได้เดด็ ขาด



อยากให้อาจารย์ช่วยยกตัวอย่าง “โลภมูลจิต” ที่เกิดพร้อมด้วย
ความเฉย ๆ และโลภมลู จติ ทเ่ี กดิ พรอ้ มดว้ ยความดใี จ วา่ จะเกดิ ในเหตกุ ารณ์
หรอื สถานการณใ์ ดบ้าง?

อบ

นยิ ามของ “โลภะ” คือ ความอยาก ความต้องการ ความปรารถนา
ความเพลิดเพลนิ ความยึดมัน่ ความหวงั ความยนิ ดีพอใจ

ตวั อยา่ งของโลภะทเ่ี กดิ พรอ้ มดว้ ยความเฉย ๆ เชน่ อยากไปซอื้ ของ
อยากเดนิ อยากยืน อยากนง่ั อยากนอน อยากทาน อยากดืม่ อยากหล่อ
อยากสวย อยากรวย อยากอายุยนื เป็นตน้

ส่วนโลภะท่ีเกิดพร้อมด้วยความดีใจ เช่น ขณะท่ีตรวจ
ลอตเตอร่ีและพบว่าตนเองถูกรางวัลท่ี ๑ แล้วดีใจ...ขณะที่ทราบข่าวว่า
ได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศแล้วดีใจ...ขณะท่ีตกได้ปลาตัวใหญ่
แลว้ ดีใจ เปน็ ตน้



กรณเี ราใหท้ านนาย ก และ นาย ข ดว้ ยความเมตตา ตอ่ มา นาย ก
นา� ทานของเราไปทา� กศุ ลกรรมตอ่ ...สว่ นนาย ข นา� ทานของเราไปทา� อกศุ ลกรรม
เรยี นถามวา่ กรรมของนาย ก และนาย ข จะเป็นของเราหรือไม่? และถ้าเรา
รับทราบกับไม่รับทราบกรรมของนาย ก และนาย ข กรรมของท้ังสองคน
จะมผี ลตอ่ กรรมของเราไหมคะ จติ จะบนั ทึกกรรมอยา่ งไรคะ

อบ

กรรมคือเจตนาทอี่ ยเู่ บอื้ งหลงั การกระทา� ยกตัวอย่างเชน่ คณุ ลุง
สองคนใสบ่ าตรตอนเชา้ ทกุ วนั เหมอื นกนั แตเ่ จตนาทอี่ ยเู่ บอ้ื งหลงั การใสบ่ าตร
อาจตา่ งกนั เชน่ คนแรกใสบ่ าตรเพอื่ ตอ้ งการบญุ โดยหวงั วา่ บญุ นจี้ ะชว่ ยให้
ได้รับความสุขสบายในชาติต่อ ๆ ไป...ส่วนคนท่ีสองท�าบุญเพื่อเป็นเหตุให้
เขา้ ถึงมรรคผลนพิ พานโดยเรว็ พลนั

เม่ือมีเจตนาในการใส่บาตรท่ีแตกต่างกัน ผลท่ีคุณลุงทั้งสองจะ
ได้รับจึงต่างกันไปด้วย คุณลุงคนแรกถึงจะเกิดมาพบกับความสุขสบายแต่
ก็ยังต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ ส่วนคุณลุงคนท่ีสองปรารถนามรรคผล
นพิ พาน บญุ กศุ ลทท่ี า� ไวจ้ ะมาหนนุ นา� ใหเ้ ขา้ สหู่ นทางของการปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนา
กรรมฐาน สามารถทา� ลายกเิ ลส และบรรลมุ รรค ผล นพิ พานไดใ้ นอนาคตกาล
โดยไมเ่ นิ่นช้า ตามเจตนาที่ต้งั ไว้

จากคา� ถามทถี่ ามมา เมอื่ ใหท้ านแกน่ าย ก และนาย ข ดว้ ยความเมตตา
ปรารถนาจะให้ นาย ก และนาย ข มคี วามสขุ เจตนาน้กี จ็ ะยอ้ นกลับมาหา
เราท�าใหไ้ ดร้ ับความสุขในอนาคต ไมว่ า่ นาย ก หรอื นาย ข จะนา� เงนิ นน้ั
ไปท�าอะไรก็ตาม...จาคะ คือ การให้ หรือการสละละวางที่จะท�าให้หมด
ความยึดติด หรือเพื่อสลายความมีใจคับแคบหวงแหน การติดตามดูว่า
ผู้รับน�าเงินท่ีเราให้ไปใช้ท�าอะไรน้ันยังมิใช่เป็นจาคะท่ีแท้จริง นอกจากน้ี
หากไปเห็นว่าผู้รับมีพฤติกรรมท่ีเราไม่พอใจ นอกจากจะเกิดอกุศลขึ้น
ในใจเราแลว้ ยังทา� ใหอ้ ปรเจตนาของเราเสยี หายยับเยินอกี ดว้ ย



ภาพท่ีปรากฏในความ ันบางภาพก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เช่น
ภูเขาที่สวยงาม ร่มร่ืน เย็นสบาย แล้วใน ันก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ไปที่น่ัน
แต่ในบทเรียนกล่าวว่าจิตจะมีความสุขหรือดีใจนั้นต้องผ่านอายตนะ เช่น
ตามองเห็น เปน็ ต้น แต่ใน ัน คนเรานอนหลบั หลบั ตา แลว้ ภาพใน ันมา
จากไหน? ความรสู้ ึกดใี จใน นั มาจากจิตดวงไหน?

อบ

ในบทเรยี นเปน็ การกลา่ วถงึ การทา� งานของจติ ในขณะปจั จบุ นั เทา่ นน้ั
เช่น การเห็นเกิดข้ึนทางตา การได้ยินเกิดขึ้นทางหู เป็นต้น แต่ส่ิงต่าง ๆ
ที่ประสบมาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการเห็น การได้ยิน การรู้กลิ่น รู้รส
รู้สัมผัส รวมถึงเหตุการณ์และเร่ืองราวต่าง ๆ จิตสามารถท่ีจะหวนระลึก
นึกถึงเรื่องราวและเหตุการณ์เหล่าน้ันได้ตลอด (หากยังไม่ลืม) โดยอาศัย
จิตที่เกิดทางใจเป็นผู้คิดนึกข้ึนมาอีกครั้ง บางเรื่องเราอาจจะลืมไปแล้ว
เพราะเปน็ เรอ่ื งตง้ั แตส่ มยั เดก็ ๆ แตว่ นั ดคี นื ดี เรอื่ งนนั้ กก็ ลบั มาปรากฏทางใจ
ในรปู ของความ นั ได้อกี ครง้ั

หาก ันว่าไปเที่ยวชายทะเลท่ีสวยงามแล้วมีความสุข ขณะนั้น
โลภมลู จติ ทเี่ กดิ พรอ้ มดว้ ยความสขุ ใจกา� ลงั เกดิ ขน้ึ ในสบุ นิ วถิ ี (วถิ จี ติ ทางใจ
ในขณะ นั )

หาก นั ว่าเข้าไปในบา้ นร้างและเกดิ ความกลวั ขณะน้ันโทสมลู จิต
ก�าลังเกดิ ข้ึนในสบุ ินวถิ ี

หาก นั วา่ ไปทา� บญุ ตกั บาตรทว่ี ดั ขณะนน้ั มหากศุ ลจติ กา� ลงั เกดิ ขน้ึ
ในสุบนิ วถิ ี



อยากทราบความหมายของคา� ตอ่ ไปนี้
- อรหัตตมรรค
- อรหัตตผล
- ฌานสมาบตั ิ
- ผลสมาบัติ
- นิโรธสมาบตั ิ

อบ

๑. “อรหตั ตมรรค” เปน็ จติ ทเี่ กดิ ขนึ้ เพอื่ ทา� ลายกเิ ลสเปน็ ครง้ั สดุ ทา้ ย
หลังจากท่ีอรหัตตมรรคดับลงแล้ว กิเลสจะถูกท�าลายจนพินาศย่อยยับและ
ไม่มีเศษหลงเหลืออีกแม้แต่น้อย

๒. “อรหตั ตผล” เปน็ จติ ทเ่ี กดิ ตอ่ จาก “อรหตั ตมรรค” เมอื่ บคุ คลใด
สามารถท�าลายกิเลสให้พินาศย่อยยับท้ังหมดด้วย “อรหัตตมรรค” แล้ว
“อรหตั ตผล” จะเกิดแก่บคุ คลนน้ั ทันที (เปน็ พระอรหนั ต์)

๓. “ฌานสมาบตั ”ิ คอื การทา� สมาธจิ นถงึ ระดบั ฌาน (เกดิ จากการ
เพ่งอารมณ์อย่างใดอย่างหน่ึงจนใจแน่วแนเ่ ป็นอัปปนาสมาธิ)

๔. “ผลสมาบตั ”ิ คอื การเขา้ สมาบตั โิ ดยมพี ระนพิ พานเปน็ อารมณ์
ผทู้ ีจ่ ะเข้าผลสมาบตั ไิ ดจ้ ะตอ้ งเปน็ พระอริยบคุ คลเท่านนั้

๕. “นิโรธสมาบตั ิ” คือ การเข้าสมาบตั ิเพอ่ื ดับจิต เจตสกิ และ
จิตตชรูป เป็นการเข้าสู่ความดับสนิทแห่งนามขันธ์ โดยไม่มีส่ิงใดมาท�า
อนั ตรายได้ และสามารถอยู่ในสมาบตั ินี้ไดส้ งู สุดถึง ๗ วัน

ผทู้ จ่ี ะเขา้ “นิโรธสมาบตั ”ิ ได้นั้นจะต้องมคี ณุ สมบัติ ดังนี้

๑. ต้องเปน็ พระอนาคามี หรอื พระอรหนั ต์

๒. ต้องได้ฌานสมาบัติข้ันสูงสุด (ถึงเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌาน)

๓. ช�านาญในวิปัสสนาญาณ
๔. ช�านาญในฌานสมาบตั ิ
หมายเหตุ ค�าว่า “สมาบัติ” หมายถึง สภาวะท่ีสงบประณีต
“สมาบตั ิ” มหี ลายอย่าง เชน่ ฌานสมาบตั ิ ผลสมาบตั ิ นิโรธสมาบัติ



ขอเรยี นถามวา่ เวลาตายจติ หรอื วญิ ญาณจะออกจากรา่ งทางไหน ?
ทางการแพทย์เม่ือสมองตายและวัดสัญญาณชีพไม่ได้ จะถือว่าสิ้นชีวิต
อยากทราบวา่ ทางอภธิ รรมใช้อะไรเป็นเกณ ต์ ดั สินการตาย ?

อบ

การท่ีเข้าใจว่าจิต หรือวิญญาณจะออกจากร่างขณะที่ตาย
ยังเป็นความเข้าใจท่ีคลาดเคล่ือน เพราะจิตไม่มีตัวตน จิตเป็นเพียงธาตุรู้
เปน็ นามธรรมทท่ี า� หน้าท่ีเหน็ ไดย้ นิ รกู้ ล่นิ รู้รส รสู้ ัมผัส และคิดนกึ เทา่ น้ัน
จติ จะเกดิ -ดบั -เกดิ -ดบั -เกดิ -ดบั ...อยตู่ ลอดเวลา เมอ่ื จติ ดวงสดุ ทา้ ย (จตุ จิ ติ )
ในชาตินี้ดับลง (ตาย) จิตดวงใหม่ (ปฏิสนธิจิต) ซึ่งเกิดข้ึนติดต่อกัน
ในทันทีทันใดจะน�าเกิดในภพภูมิใหม่ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง โดยไม่มีส่ิงใด
ลอ่ งลอยออกจากร่างทงั้ ส้นิ

ทถี่ ามวา่ การตายใชอ้ ะไรเปน็ เกณ ต์ ดั สนิ นน้ั ตามหลกั พระอภธิ รรม
จะใช้ “จตุ จิ ติ ” เปน็ เกณ ต์ ดั สนิ เมอ่ื จตุ จิ ติ ดบั ลงขณะใด ณ ขณะนน้ั คอื การ
ดบั ของชวี ิตในภพภมู ินนั้ โดยสมบูรณ์



เวลาคนจะตาย จิตจะออกจากกายหยาบไป ๑๒๑ ดวง หรือ
ออกไปดวงเดียว? กรณที ี่ถกู าตกรรม หรอื ตายเพราะอบุ ัติเหตุ (ตายโหง)
อยากทราบว่าถ้าไม่ท�าพิธีอัญเชิญวิญญาณ ผู้ตายจะไม่สามารถออกไปจาก
สถานท่ที ่ีเสียชีวติ ใชห่ รือไม่คะ?

อบ

จติ เกดิ ไดค้ รง้ั ละดวงเทา่ นน้ั ขณะตายกใ็ ชเ้ พยี งหนงึ่ ดวง คอื จตุ จิ ติ
ไปเกิดใหม่ก็ใช้จิตน�าเกิดเพียงหน่ึงดวง คือ ปฏิสนธิจิต ไม่ว่าจะเป็นกรณี
ตายโหง หรือ ตายตามธรรมชาติ ทนั ทที ่ตี ายลง (จตุ ิจติ ดบั ลง) ปฏสิ นธจิ ิต
ทเี่ กดิ สบื ตอ่ จากจตุ จิ ติ ภายในเสยี้ ววนิ าทจี ะทา� หนา้ ทนี่ า� เกดิ ในภพใหมช่ าตใิ หม่
ทนั ทตี ามวถิ แี หง่ กรรมของแตล่ ะบคุ คล โดยไมจ่ า� เปน็ จะตอ้ งใหใ้ ครมาทา� พธิ ี
อัญเชญิ วญิ ญาณใด ๆ ทงั้ ส้ินครบั



ผทู้ กี่ า� ลงั จะตายคนหนงึ่ มจี ติ เปน็ อกศุ ล อกี คนหนงึ่ มจี ติ เปน็ สมาธิ
สองคนนจี้ ะไปเกิดต่างกนั อย่างไร?

อบ

ผู้ที่ก�าลังจะตาย หากมีจิตเป็นอกุศลก่อนตาย ก็จะไปเกิดใน
ทคุ ตภิ มู ิ (เป็นสัตวน์ รก เปรต อสรุ กาย หรอื สัตวเ์ ดรจั ฉาน)...หากมจี ิตเป็น
มหากศุ ลก็จะไปเกดิ ในกามสุคตภิ มู ิ ๗ ไดแ้ ก่ มนุษยภมู ิ ๑ และเทวภมู ิ ๖
...หากไดฌ้ านสมาบตั แิ ละยงั ไมเ่ สอื่ มจะไปเกดิ ในรปู ภมู หิ รอื อรปู ภมู ิ ขนึ้ อยกู่ บั
วา่ ไดฌ้ านสมาบตั ิถึงขนั้ ไหน

บรร านกรม

าา ย

ขุนสรรพกิจโกศล (โกวิท ปัทมะสุนทร). ลักขณาทิจตุกะแห่งปรมัตถธรรม.
กรุงเทพมหานคร : บริษทั คลั เลอร์สโฟร์ จ�ากดั , ๒๕๓๗.
. คมู่ อการศก าพระอภธิ รรม ปรจิ เ ทที่ ๑ จติ ปรมตั ถ.์ พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๔.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพว์ ิญญาณ, ๒๕๔๓.
. คู่มอการศก าพระอภิธรรม ปริจเ ทท่ี ๒ เจตสิกปรมัตถ์.
พิมพ์คร้งั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์วญิ ญาณ, ๒๕๔๕.
. คมู่ อการศก าพระอภธิ รรม ปรจิ เ ทท่ี ๖ รปู ปรมตั ถ.์ พมิ พค์ รงั้ ที่ ๓.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์วญิ ญาณ, ๒๕๔๖.

ธนติ อยู่โพธิ.์ ต�านานพระอภิธรรม. พมิ พ์ครงั้ ที่ ๒. กรงุ เทพมหานคร : ห้างหนุ้ ส่วน
จ�ากดั ศวิ พร, ๒๕๒๗.

พระครสู ังวรสมาธวิ ัตร. คูม่ อการศก าพระอภธิ รรมป ก. กรุงเทพมหานคร : พทิ ักษ์
อักษร, ๒๕๓๐.

พระเทพกติ ตปิ ญั ญาคณุ (กติ ตวิ ุ โ ภกิ ข)ุ . ปรมตั ถธรรม ๔ (จติ เจตสกิ รปู นพิ พาน).
พมิ พ์คร้งั ท่ี ๗. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ บริษัท สหธรรมกิ จา� กัด, ๒๕๔๙.

พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โต) . พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ บบั ประมวลธรรม. พมิ พ์
ครัง้ ท่ี ๗. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๓.
. พจนานุกรมพุทธศาสตร์ บับประมวลศัพท์. พิมพ์คร้ังที่ ๙.
กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท สอ่ื ตะวัน จา� กัด, ๒๕๔๓.

พระมหาชินวั น์ จกกวโร. พระอภิธรรมจิตโดยพิสดาร “๑๒๑ ดวง”. นนทบุรี :
จารุชา ๑๙๘ การพิมพ,์ ๒๕๕๔.
. พระอภธิ รรม เจตสกิ ปรมตั ถ.์ นครปฐม : สาละพมิ พการ, ๒๕๕๖.

พระศรคี มั ภรี ญาณ. อภธิ ัมมัตถสังคหะ ๙ ปรจิ เ ท เลม่ ๑. กรุงเทพมหานคร : ส�านัก
วัดระ งั โ สิตารามวรมหาวิหาร, ๒๕๓๙.

พระสทั ธมั มโชตกิ ะ. ปรมตั ถโชตกิ ะ ปรจิ เ ทที่ ๑-๒-๖. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๙. กรงุ เทพมหานคร :
โรงพิมพท์ พิ ยวิสทุ ธกิ์ ารพิมพ,์ ๒๕๔๓.

พระอนุรุทธเถระ, พระญาณธชะ. อภิธัมมัตถสังคหะและปรมัตถทีปนี. แปลโดย
พระคนั ธสาราภวิ งศ.์ กรงุ เทพมหานคร : หา้ งหนุ้ สว่ นจา� กดั ไทยรายวนั กราฟฟคิ
เพลท, ๒๕๔๖.

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระ ตรป ก ประวัติความเป็นมา.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕.

มลู นธิ วิ อ่ งวานชิ . คมู่ อ งสวดพระอภธิ รรม. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พว์ ญิ ญาณ, ๒๕๓๕.
ราชบณั ติ ยสถาน. พจนานกุ รม บบั ราชบณั ติ ยสถาน พ ศ ๒๕๔๒. กรงุ เทพมหานคร :

บริษทั นานมีบคุ ส์พบั ลิเคชัน่ จ�ากัด, ๒๕๔๖.
วรรณสทิ ธิ ไวทยะเสว.ี คมู่ อการศก าพระอภธิ มั มตั ถสงั คหะ ปรจิ เ ทที่ ๑ จติ ปรมตั ถ.์

กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๔๒.
. คู่มอการศก าพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเ ทท่ี ๒ เจตสิก

สังควภิ าค. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ทพิ ยวิสุทธิก์ ารพิมพ์, ๒๕๔๒.
. คู่มอการศก าพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเ ทท่ี ๖ รูปสังคห

วิภาค และนพิ พานปรมัตถ์ กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธ,์ิ ๒๕๔๒.
วินยั อ.ศวิ ะกุล. พุทธจิตวิทยา. พมิ พค์ รั้งที่ ๒. กรงุ เทพมหานคร : อภธิ รรมมลู นิธิ,

๒๕๒๕.
วศิ ษิ ฐ์ ชยั สวุ รรณ. สาระนา่ รเู กยี่ วกบั พระอภธิ รรม. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒๐. กรงุ เทพมหานคร :

บรษิ ทั บิกไลน์ จ�ากดั , ๒๕๖๐.

ส.บุญอารักษ์. พจนานุกรมพระอภิธรรมเจดคัมภีร์. กรุงเทพมหานคร : อภิธรรม
โชติกะวิทยาลัย.

ส.สายเกษม. พระอภิธรรมโดยพิสดารภาค ๑ - ๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
ศรีส�าราญการพิมพ,์ ๒๕๓๒.

สรรค์ชัย พรหมฤาษ.ี สภาวธรรม ๗๒. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั สหธรรมิก จา� กดั ,
๒๕๓๕.

บรร านกรม

า าองั ก

Bodhi, Bhikkhu. A Comprehensive Manual of Abhidhamma. Kandy : Buddhist
Publication Society, 1999.

Mehm Tin Mon. The Essence of Buddha Abhidhamma. Yangon : U Tin Maung
Win, 2010.

Narada. A Manual of Abhidhamma. Taiwan : The Corporate Body of the Buddha
Education Foundation, 2002.

ร วั เรยบเรยง

ดร ชยั ส รร

• เกดิ วันพฤหสั บดีท่ี ๓ กันยายน ๒๔๙๖ ที่กรุงเทพมหานคร
• ส�ำเรจ็ มธั ยมศึกษำตอนปลำย จำกโรงเรียนสำธติ มศว ปทมุ วัน
• ปริญญำตรีวิศวกรรมไฟฟำ้ จำกมหำวิทยำลัยขอนแกน่
• ปริญญาโทวิศวกรรมไฟฟา จากจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย
• (ด้านบริหารการเงิน) จากสถาบันบณั ติ พั นบรหิ ารศาสตร์ ( )
• ประกำศนียบัตรอภธิ รรมบัณฑิต จำกอภิธรรมโชตกิ ะวิทยำลัย

มหำวทิ ยำลยั มหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลยั
• ปริญญำเอกสำขำวชิ ำพระพทุ ธศำสนำ จำกมหำวทิ ยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย
• ได้รับโล่และเกียรตบิ ัตร “คนดีศรแี ่นดินตามรอยธรรมราชา” ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๒

สาขาการทา� นบุ �ารงุ พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม จากมลู นิธิ ๑๐๐ พระชันษา
สมเด็จพระญาณสังวรานุสรณ์ ในพระสงั ราชปู ถมั ภ์

บนั

• ประธานกรรมการบริษทั เอสเทล จ�ากัด (ผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟา) โดยการร่วมทุนกับ
Wagner + Grimm AG (Switzerland) และได้รำงวลั ธรรมำภิบำลดำ้ นกำรปฏบิ ตั ิ
ตอ่ พนกั งาน จากสถาบนั ปวย องึ ภากรณ์ และสมาคมธนาคารไทย เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๘

• ประธานกรรมการบรษิ ทั นิธิภมู ิ จา� กดั (ประกอบธรุ กิจดา้ นอสังหารมิ ทรพั ย)์
• ประธานกรรมการมูลนธิ ิเผยแผ่พระสทั ธรรม (เป็นสถาบันสอนพระไตรปิฎก

และภาษาบาฬี ทงั้ หลักสูตรในห้องเรียน ( - ), หลกั สูตร - และหลักสตู รทาง
ไปรษณีย์ โดยไม่เก็บคา่ เลา่ เรียน)
• กรรมการผู้ทรงคุณวุ ิอภธิ รรมโชตกิ ะวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
• กรรมการบริหารหลกั สูตรปริญญาเอก (ภาคพิเศษ) สาขาวิชาพระพุทธศาสนา
มหำวิทยำลยั มหำจฬุ ำลงกรณรำชวทิ ยำลยั
• ทป่ี รึกษาคณะอนกุ รรมการวิชาการ ยุวพทุ ธกิ สมาคมแหง่ ประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
• ผบู้ รรยายวิชาพระพทุ ธศาสนา ได้แก่
๑. พุทธศาสนาเถรวาท
๒. ทัวรพ์ ระไตรปฎิ ก ๔๕ เลม่
๓. อภธิ ัมมตั ถสงั คหะ
๔. กำรปฏิบัตวิ ิปัสสนำกรรมฐำน
๕.

มลู นิธิเผยแผ่พระสทั ธรรม


ทอ่ี ยู่ : ๕/๑๐๘ ซอยบรมราชชนนี ๑๓ แขวงอรุณอมรนิ ทร์
เขตบางกอกนอ้ ย กรุงเทพมหานคร ๑๐๗๐๐

โทรศัพท์ : ๐-๒๘๘๔-๕๐๙๒, ๐-๒๔๔๙-๙๔๘๔

Facebook : มลู นธิ ิเผยแผพ่ ระสทั ธรรม สอนพระไตรปฎิ ก-บาฬี-หลกั สตู รเรง่ รดั
YouTube : มูลนิธเิ ผยแผพ่ ระสทั ธรรม

เรียบเรยี งโดย ดร.วิศิษฐ์ ชยั สุวรรณ
พมิ พ์คร้ังที่ ๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๓

จ�านวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม

ISBN 978-616-572-758-7

แยกสีและพิมพ์ที่ จัดจา� หนา่ ยโดย

บรษิ ัทอมรินทร์พรน้ิ ติง้ แอนด์พับลิชชิง่ จ�ากดั (มหาชน) บรษิ ัทอมรินทร์บคุ๊ เซ็นเตอร์ จ�ากัด
๓๗๖ ถนนชยั พฤกษ์ แขวงตลิ่งชนั ๑๐๘ หมู่ ๒ ถนนบางกรวย-จงถนอม
เขตตลิ่งชัน กรงุ เทพมหานคร ๑๐๑๗๐ ต�าบลมหาสวสั ด์ิ อ�าเภอบางกรวย
โทรศัพท์ ๐-๒๔๒๒-๙๐๐๐, ๐-๒๘๘๒-๑๐๑๐ จงั หวัดนนทบุรี ๑๑๑๓๐
โทรสาร ๐-๒๔๓๓-๒๗๔๒, ๐-๒๔๓๔-๑๓๘๕ โทรศพั ท์ ๐-๒๔๒๓-๙๙๙๙
Homepage : https://amarin.co.th โทรสาร ๐-๒๔๔๙-๙๕๐๐-๑
E-mail : [email protected] Homepage : https://www.naiin.com


Click to View FlipBook Version