สัมมาวาจาเจตสิกนี้เกิดได้ในมหากุศลจิต ๘ และโลกุตตรจิต
๘ หรือ ๔๐ เท่านั้น เมอ่ื เกดิ กับมหากศุ ลจติ ๘ จะระงับยบั ยั้งวจที ุจริต ๔
ในเหตุการณ์ที่ก�าลงั ปรากฏเฉพาะหนา้
แต่เมื่อเกิดกับโลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ จะท�าหน้าท่ีประหาณ
วจีทจุ ริต ๔ เพอ่ื ใหเ้ วน้ จากวจที ุจรติ ๔ ไดโ้ ดยเด็ดขาด
๒ สัมมากัมมันตเจตสิก (สัม-มา-กัม-มัน-ตะ-เจ-ตะ-สิก) เป็น
เจตสกิ ทท่ี า� ใหเ้ กดิ การงดเวน้ จากกายทจุ รติ ทงั้ ๓ คอื การ า่ สตั ว์ การลกั ทรพั ย์
การประพฤติผิดในกาม ท่ี ม่เกี่ยวของกับอาชีพ เม่ือเจตสิกชนิดนี้เกิดขึ้น
จะระงับยับยั้งมิให้กระท�ากายทุจริต ๓ ในเหตุการณ์ท่ีก�าลังปรากฏอยู่
เฉพาะหนา้ น้นั ถึงแม้จะมโี อกาสท�าทจุ รติ ได้ แตก่ ็ไม่ทา�
สมั มากมั มนั ตเจตสกิ นเี้ กดิ ไดใ้ นมหากศุ ลจติ ๘ และโลกตุ ตรจติ ๘
หรือ ๔๐ เท่านั้น เม่ือเกิดกับมหากุศลจิต ๘ จะระงับยับยั้งกายทุจริต ๓
ในเหตกุ ารณท์ ก่ี �าลงั ปรากฏเฉพาะหน้า
แต่เมื่อเกิดกับโลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ จะท�าหน้าท่ีประหาณ
กายทุจริต ๓ เพอื่ ใหเ้ ว้นจากกายทจุ รติ ๓ ไดโ้ ดยเด็ดขาด
๓ สัมมาอาชวี เจตสิก (สัม-มา-อา-ชี-วะ-เจ-ตะ-สกิ ) เปน็ เจตสกิ
ท่ีท�าให้เกิดการงดเว้นจากกายทุจริต ๓ และวจีทุจริต ๔ ที่เกี่ยวกับอาชีพ
ในเหตุการณ์ท่ีก�าลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้าน้ัน ถึงแม้จะมีโอกาสท�าทุจริตได้
แต่ก็ไม่ท�า เช่น คิดจะโกงตาช่ัง อวดอ้างสรรพคุณสินค้าเกินความเป็นจริง
น�าสิ่งปลอมปนมาผสมเพอ่ื ให้มีก�าไรมาก ๆ โกหกหลอกลวงลูกคา้ เป็นต้น
สมั มาอาชวี เจตสกิ น้เี กดิ ได้ในมหากุศลจิต ๘ และโลกุตตรจิต ๘
หรือ ๔๐ เทา่ นนั้ เมอื่ เกิดกับมหากศุ ลจิต ๘ จะระงับยบั ยงั้ การกระท�าทุจรติ
เกีย่ วกับอาชีพในเหตุการณท์ ่ีกา� ลงั ปรากฏเฉพาะหนา้
แต่เมื่อเกิดกับโลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ จะท�าหน้าที่ประหาณ
กายทุจริต ๓ และวจีทจุ รติ ๔ ท่เี ก่ยี วกับอาชีพ เพื่อใหเ้ ว้นทจุ รติ ท่เี กี่ยวกับ
อาชพี ได้โดยเด็ดขาด
อน่งึ เมอื่ คดิ จะทา� ธรุ กิจดังตอ่ ไปน้ี เชน่
• า่ สตั ว์เปน็ อาชีพ
• ลกั ขโมยเป็นอาชพี
• คา้ อาวธุ
• ค้ายาพิษ
• ขายยาเสพตดิ หรอื ของมนึ เมา
• คา้ มนุษย์ เป็นตน้
แต่ฉุกคดิ ไดว้ า่ อาชีพเหล่านี้เป็นบาปเป็นส่ิงไม่ดี จึงเปลีย่ นใจที่จะ
ไม่ประกอบอาชีพเหล่านี้ กเ็ ป็นผลมาจากสมั มาอาชีวเจตสิกทง้ั สน้ิ
วิรตีเจตสิกท้ัง ๓ จะเกิดข้ึนได้ต่อเมื่อมีส่ิงท่ีพึงงดเว้นมาปรากฏ
เฉพาะหน้าที่เรียกว่า วิรมิตัพพวัตถุ (วิ-ระ-มิ-ตับ-พะ-วัด-ถุ) ตัวอย่างเช่น
ในขณะที่มีคนมาด่าจึงคิดจะด่าตอบ แต่เห็นว่าการด่าตอบ
คนอื่นน้ันเป็นส่ิงไม่ดี จึงหยุดค�าด่าท่ีจะหลุดออกจากปากไว้ได้ นี้เรียกว่า
สัมมาวาจา
ในขณะที่ยุงก�าลังกัดตนอยู่น้ันจะเงื้อมือไปตบ แต่เกิดความคิด
ขน้ึ มาในขณะนนั้ วา่ การตบยงุ เปน็ สง่ิ ทไ่ี มค่ วรทา� เปน็ บาป จงึ ไลย่ งุ ไปโดยไมต่ บ
นี้เรยี กว่า สัมมากมั มันตะ
ในขณะทล่ี กู คา้ มาซอ้ื ของ ตอนแรกคดิ จะนา� ของปลอมมาให้ แตก่ ลบั
คิดได้ว่าการกระทา� เชน่ น้เี ปน็ การหลอกลวง ฉ้อโกงลูกคา้ จงึ หยดุ ความคดิ
ที่จะทา� ทจุ ริตดงั กล่าวแลว้ ไปนา� ของแท้มาใหล้ กู คา้ น้เี รยี กว่า สัมมาอาชวี ะ
วีรติเจตสกิ ๓ เปน็ เจตสกิ จ�าพวกนานากทาจิ (นา-นา-กะ-ทา-จิ)
เพราะประกอบกับมหากุศลจิต ๘ ได้เป็นบางคร้ังบางคราวและประกอบ
ไมพ่ รอ้ มกนั เนอ่ื งจากอารมณท์ ท่ี า� การงดเวน้ นนั้ แตกตา่ งกนั แตเ่ มอื่ ประกอบ
กับโลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ จะประกอบได้โดยแน่นอนและพร้อมกัน
เรยี กวา่ นยิ ตเอกโตโยคเี จตสกิ (น-ิ ยะ-ตะ-เอ-กะ-โต-โย-ค-ี เจ-ตะ-สกิ ) แปลวา่
เจตสกิ ทปี่ ระกอบกับจติ โดยแน่นอนและพร้อมกนั
ส สก กล่ อั ั า สก
อัปปมั า (อบั -ปะ-มัน-ยา) แปลวา่ ธรรมชาติทท่ี �าใหจ้ ิตแผ่ไป
ในสัตวท์ ง้ั หลายอยา่ งประมาณมิได้ (ไรข้ อบเขต กว้างขวางจนนบั ไมไ่ ด)้
อัปปมัญญา มี ๔ อย่าง คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พรหมวิหาร ๔ เพราะคุณสมบัติทั้ง ๔ ประการน้ี
เป็นวิหารธรรม (ธรรมอันเป็นหลักในการด�าเนินชีวิต ธรรมประจ�าใจ)
ของพรหมบคุ คลทง้ั หลายนั่นเอง
เมตตา คอื ความรกั ปรารถนาดี อยากให้เขามีความสขุ เป็นผล
อนั เกดิ จากอโทสเจตสิก
กรณุ า คอื ความสงสาร จงึ คดิ ชว่ ยให้พน้ ทกุ ข์ เปน็ ผลอันเกดิ จาก
กรุณาเจตสกิ
มทุ ติ า คอื พลอยยนิ ดเี มอื่ เหน็ ผอู้ นื่ ไดด้ มี คี วามสขุ เปน็ ผลอนั เกดิ จาก
มุทิตาเจตสิก
อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง มีจิตเรียบตรงเท่ียงธรรม
ดุจตราชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาทุกข์และสุขที่สัตว์ทั้งหลาย
ได้รับว่าสมควรแก่เหตุที่ได้กระท�าไว้แล้วจึงวางเฉย เป็นผลอันเกิดจาก
ตัตตรมชั ฌัตตตาเจตสิก
อโทสเจตสิก และ ตัตตรมัช ัตตตาเจตสิกเป็นนิยตโยคีเจตสิก
(นิ-ยะ-ตะ-โย-คี-เจ-ตะ-สิก) คือ ประกอบได้แน่นอนในโสภณจิตทุกดวง
จึงจัดอยใู่ นกลมุ่ โสภณสาธารณเจตสกิ
สว่ นกรณุ า และมทุ ติ าเปน็ อนยิ ตโยคเี จตสกิ (อะ-น-ิ ยะ-ตะ-โย-ค-ี
เจ-ตะ-สกิ ) เพราะเกดิ ขนึ้ เปน็ บางคร้งั บางคราวไม่แน่นอน และเมอ่ื เกิดขึน้ ก็
จะไม่เกดิ พร้อมกัน (นานากทาจเิ จตสิก) ขณะใดทก่ี รุณาเกดิ มทุ ิตากไ็ ม่เกิด
ขณะใดทมี่ ทุ ติ าเกดิ กรณุ ากไ็ มเ่ กดิ เพราะอารมณข์ องเจตสกิ ๒ ดวงนตี้ า่ งกนั
เจตสกิ ในกล่มุ อปั ปมญั ญาจึงมีเพียง ๒ ชนิด คือ กรุณา และมทุ ิตา เทา่ นั้น
๑ กรุณาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่สงสารเพ่ือนมนุษย์และสัตว์
ทั้งหลายท่ีก�าลังได้รับความทุกข์ยากล�าบาก หรือท่ีจะได้รับความทุกข์ยาก
ลา� บากในกาลขา้ งหนา้ จึงต้องการชว่ ยให้พน้ จากทกุ ขท์ ง้ั หลายเหล่านัน้
๒ มุทิตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่พลอยยินดีกับผู้ท่ีก�าลังประสบ
ความสุข หรือผู้ที่จะได้ประสบความสุขในกาลข้างหน้า มีความไม่ริษยาใน
ความสุขของผ้อู นื่ มคี วามปรารถนาใหผ้ ู้อื่นได้รับความสขุ ความเจรญิ
ส สก กล่ า สก
ป าเจตสิก เป็นธรรมชาติที่เป็นใหญ่ หรือเป็นประธานใน
การรเู้ หตรุ ผู้ ลของสงิ่ ทงั้ ปวงตามความเปน็ จรงิ ซงึ่ จะกา� จดั ความมดื คอื อวชิ ชา
ให้หมดไป ไดแ้ ก่ การรใู้ นเรื่องตา่ ง ๆ ดงั น้ี
๑ กัมมสั สกตาป า (กมั -มัด-สะ-กะ-ตา-ปัน-ยา) คือ รู้เรือ่ ง
กฎแหง่ กรรมและการเวียนว่ายตายเกดิ
๒ านป า (ชา-นะ-ปนั -ยา) คอื ปญั ญาทร่ี อู้ บุ ายในการทา� ใจ
ให้สงบจากนิวรณ์ รู้ความเป็นไปของฌานและองค์ฌาน ตลอดจนปัญญา
ในอภญิ ญาจติ ท่สี ามารถระลกึ ชาติไดแ้ ละแสดงอิทธฤิ ทธติ์ า่ ง ๆ ได้
๓ วิปสสนาป า (วิ-ปัด-สะ-นา-ปัน-ยา) เป็นปัญญาท่ีรู้
รูป-นาม (ขันธ์ ๕) วา่ ไม่เทีย่ ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา
๔ มคั คป า (มคั -คะ-ปนั -ยา) คอื ปญั ญาในมรรคจติ ๔ หรอื
๒๐ ท่ที �าหน้าทีป่ ระหาณอนสุ ัยกิเลส โดยมพี ระนิพพานเป็นอารมณ์
๕ ลป า (ผะ-ละ-ปนั -ยา) คอื ปัญญาท่ีเสวยผลจากการที่
มรรคญาณไดท้ า� การประหาณอนสุ ยั กเิ ลสแลว้ โดยมพี ระนพิ พานเปน็ อารมณ์
เรยี กว่า “เสวยวิมุตตสิ ุข”
๖ ปจจเวกขณป า (ปดั -จะ-เวก-ขะ-หนะ-ปนั -ยา) คอื ปญั ญา
ที่เกิดข้ึนภายหลังจากมรรคญาณและผลญาณดับลงแล้วเพ่ือพิจารณาธรรม
ตา่ ง ๆ ดงั น้ี
๖.๑ พจิ ารณามรรค - ผล - นพิ พาน ที่เพ่ิงประสบมา
๖.๒ พจิ ารณากเิ ลสท่ลี ะได้แลว้
๖.๓ พิจารณากิเลสท่ียังเหลืออยู่ (เฉพาะพระโสดาบัน
พระสกทาคามี และพระอนาคาม)ี
หมายเหตุ
ปัญญาในขอ้ ๑ และ ๒ มีมากอ่ นพุทธกาล
ปญั ญาในขอ้ ๓ - ๔ - ๕ - ๖ เกดิ ขน้ึ ไดจ้ ากการปฏบิ ตั ติ ามอรยิ มรรค
มีองค์ ๘ เท่าน้ัน
เหตุ หเกดิ ป ามี ๓ ประการ คอ
๑ สุตมยป า (สุ-ตะ-มะ-ยะ-ปัน-ยา) ปัญญาที่เกิดจาก
การศกึ ษาเลา่ เรยี น การฟัง การอา่ น การสอบถาม
๒ จินตามยป า (จิน-ตา-มะ-ยะ-ปัน-ยา) ปัญญาท่ีเกิดจาก
การคิด พิจารณา จากสงิ่ ที่ไดย้ ิน ไดฟ้ งั หรือได้ศึกษาเลา่ เรยี นมา
๓ ภาวนามยป า (พา-วะ-นา-มะ-ยะ-ปัน-ยา) ปัญญาที่
เกดิ จากการปฏบิ ัตภิ าวนา มี ๒ แบบ
๓ ๑ สมถภาวนา (สะ-มะ-ถะ-พา-วะ-นา) คอื การเจรญิ สมาธิ
จนกระทัง่ ฌานจิตเกิด อันเปน็ เหตุให้ไดฌ้ านปัญญา (ปญั ญาในโลกยี ฌาน)
๓ ๒ วิปสสนาภาวนา (วิ-ปัด-สะ-นา-พา-วะ-นา) คือ
การเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ เพอื่ ใหเ้ หน็ ธรรมชาตขิ องรปู - นาม (ขนั ธ์ ๕) วา่ ไมเ่ ทยี่ ง
เปน็ ทุกข์ เป็นอนตั ตา เห็นโทษเหน็ ภยั ของรูป - นาม (ขันธ์ ๕) อยากจะหนี
อยากจะพน้ ไปจากรปู -นาม (ขนั ธ์ ๕) จนบรรลมุ รรค ผล นพิ พานไดใ้ นทส่ี ดุ
ปัญญาเจตสิกน้ีเม่ือเกิดข้ึนแล้วย่อมรู้ทั่วถึงธรรมทั้งหลายอย่าง
แจม่ แจง้ เชน่ รเู้ รอ่ื งกรรมและการสง่ ผลของกรรม รแู้ นวทางปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความ
พน้ ทกุ ข์ รธู้ รรมชาตขิ องรปู -นาม (ขนั ธ์ ๕) รวู้ า่ สงั ขารทง้ั หลาย (ขนั ธ์ ๕) ไมเ่ ทยี่ ง
เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อนตั ตา รตู้ งั้ แตร่ ะดบั โลกยี ปญั ญา จนถงึ ระดบั โลกตุ ตรปญั ญา
ที่ประหาณกิเลสได้อย่างเด็ดขาด จึงนับว่า “ปัญญา” มีความเป็นใหญ่
(เปน็ อนิ ทรีย)์ ในการก�าจัดอวชิ ชา (ความไมร่ ทู้ ้งั ปวง) ดงั นน้ั ปญั ญาเจตสกิ
จึงมชี อ่ื เรียกอกี อยา่ งหนงึ่ วา่ ป ินทรีย์เจตสิก
บ ี่
สัม ย นยั
ล สงั หนยั
สั ย นยั
สัมปโยคนัย หมายถง การยกเจตสิกแต่ละตัวขนเป็นประธาน
แลวดูว่าเจตสิกแต่ละตัวนีสามารถเขาประกอบกับจิตดวง ด ดบาง จาก
แผนผังเจตสิก ตัวเลขในวงกลมคือจ�านวนจิตท่ีเจตสิกนั้น ๆ สามารถ
เข้าประกอบได้ เช่น สัพพจิตตสาธารณเจตสิกทั้ง ๗ สามารถเข้าประกอบ
กับจิตได้ท้ังหมด ๑๒๑ ดวง วิตกเจตสิกเข้าประกอบกับจิตได้ ๕๕ ดวง
วจิ ารเจตสิกเขา้ ประกอบกบั จิตได้ ๖๖ ดวง เปน็ ต้น
น งั สก
อ ุกศลเจตสิก ๑๔ ัอญญสมานเจตสิก ๑๓ ผสั สะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชวี ิตนิ ทรีย์ มนสิการ สพั พจิตตสาธารณเจตสกิ ๗
๑๒๑ ๑๒๑ ๑๒๑ ๑๒๑ ๑๒๑ ๑๒๑ ๑๒๑
วิตก วิจาร อธิโมกข์ วริ ิยะ ปตี ิ ฉนั ทะ ปกิณณกเจตสิก ๖
๕๕ ๖๖ ๑๑๐ ๑๐๕ ๕๑ ๑๐๑
โมหะ อหริ กิ ะ อโนต อุทธัจจะ โมจตุกเจตสิก ๔
๑๒ ๑๒ ตัปปะ ๑๒
๑๒
โลภะ ทิฏฐิ มานะ โลติกเจตสกิ ๓
๘ ๔ ๔
โทสะ อสิ สา มจั ฉรยิ ะ กุกกจุ จะ โทจตกุ เจตสกิ ๔
๒ ๒๒๒
ถนี ะ มทิ ธะ ถที กุ เจตสิก ๒
๕๕
วจิ ิกจิ ฉา วจิ ิกิจฉาเจตสิก ๑
๑
โสภณเจต ิสก ๒๕ สัทธา สติ หิริ โอตตปั ปะ อโลภะ อโทสะ ตตั ตรมชั กาย จติ ต
๙๑ ๙๑ ๙๑ ๙๑ ๙๑ ๙๑ ฌตั ตตา ปัสสัทธิ ปัสสัทธิ
๙๑ ๙๑ ๙๑
สมั มา สมั มา สัมมา กาย จิตต
ลหตุ า ลหุตา
วาจา กมั มนั ตะ อาชีวะ วิรตเี จตสิก ๓ ๙๑ ๙๑
๔๘ ๔๘ ๔๘
กรณุ า มุทิตา อัปปมญั ญาเจตสกิ ๒ กาย จิตต
๒๘ ๒๘ มทุ ุตา มทุ ุตา
๙๑ ๙๑
ปญั ญา กายกัม จติ ตกมั
มัญญตา มัญญตา
๗๙ ปญั ญาเจตสกิ ๑
๙๑ ๙๑
กายปา จิตตปา
คุญญตา คุญญตา
๙๑ ๙๑
กายุชกุ จิตตชุ กุ
ตา ตา
๙๑ ๙๑
โสภณสาธารณเจตสกิ ๑๙
การที่จะรู้ว่าเจตสิกแต่ละตัวสามารถเข้าประกอบกับจิตดวงใด
ไดบ้ า้ งนน้ั จะตอ้ งศกึ ษาเรอ่ื ง อนยิ ตโยคเี จตสกิ และ นยิ ตโยคเี จตสกิ ใหเ้ ขา้ ใจ
เสียก่อน ดงั น้ี
อนย ย สก
อนิยตโยคีเจตสิก (อะ-นิ-ยะ-ตะ-โย-คี-เจ-ตะ-สิก) คือ เจตสิก
ที่ประกอบกับจิตได้ไม่แน่นอน ค�าว่าประกอบกับจิตได้ไม่แน่นอน
หมายความวา่ เมอื่ จติ ประเภทนนั้ ๆ เกดิ ขนึ้ อาจมเี จตสกิ ตวั นปี้ ระกอบรว่ มดว้ ย
หรอื ไมก่ ไ็ ด้ คอื บางครงั้ กเ็ ขา้ ประกอบ บางครงั้ กไ็ มเ่ ขา้ ประกอบ เรยี กเจตสกิ
ชนิดน้ีว่า อนิยตโยคีเจตสิก ตัวอย่างเช่น มานเจตสิก (มา-นะ-เจ-ตะ-สิก)
เปน็ อนยิ ตโยคเี จตสิก กลา่ วคอื ในโลภมลู จิตดวงที่ ๓, ๔, ๗, ๘ บางครั้ง
ก็มีมานเจตสิกเข้าประกอบ บางคร้ังก็ไม่มีมานเจตสิกเข้าประกอบ
แล้วแต่ว่าขณะน้ันมีความเย่อหย่ิงถือตัว หรือมีการเปรียบเทียบสถานะ
ในเรือ่ งใดเรอื่ งหน่ึงระหวา่ งตนกับผูอ้ ่ืนหรือไม่ เป็นต้น
อนย ย สก บง่ ออก น ก อ
๑ นานากทาจิเจตสิก เป็นกลุ่มเจตสิกทเ่ี ข้าประกอบเป็นบางคร้ัง
บางคราวและจะไมเ่ กดิ ขน้ึ พร้อมกนั มี ๘ ตัว คอ อิสสา มัจ รยิ ะ กุกกจุ จะ
วิรตี ๓ อปั ปมั า ๒
๒ กทาจิเจตสิก เป็นเจตสิกท่ีเข้าประกอบเป็นบางคร้ังบางคราว
มเี พยี งตวั เดียว คอื มานเจตสิก
มานเจตสกิ ประกอบกบั โลภมลู จติ ทไ่ี มป่ ระกอบดว้ ยความเหน็ ผดิ
๔ ดวง (คอื จติ หมายเลข ๓, ๔, ๗, ๘) เฉพาะกรณที ม่ี กี ารเปรยี บเทยี บระหวา่ ง
ตนกับบุคคลอื่นหรือสิ่งอื่นเท่านั้น เจตสิกลักษณะน้ีเรียกว่า กทาจิเจตสิก
(เจตสิกท่ีประกอบได้เป็นบางคร้ังบางคราว หากไม่มีการเปรียบเทียบ
มานเจตสกิ ก็ไม่เข้ามาประกอบ)
๓ สหกทาจิเจตสิก เป็นกลุ่มเจตสิกที่เข้าประกอบเป็นบางครั้ง
บางคราว (ไม่แน่นอน) แต่เมื่อเกิดข้ึนจะต้องเกิดพร้อมกันท้ังกลุ่ม ได้แก่
ถีนเจตสิกและมิทธเจตสิก เจตสิก ๒ ตัวนี้ประกอบกับอกุศลจิตได้
ไมแ่ นน่ อนเชน่ กนั (บางครั้งกเ็ กดิ บางครัง้ กไ็ ม่ได้เกิด) แลว้ แต่สภาพของจติ
แต่เวลาท่ีเกิดจะเกิดพร้อมกันเสมอ (จะเกิดคู่กันเสมอ) เจตสิกลักษณะนี้
เรยี กวา่ สหกทาจเิ จตสกิ
เจตสิกอีก ๔๑ ตัวที่เหลือ (นอกเหนือจาก ๑๑ ตัวข้างต้น)
เปน็ เจตสกิ ทเ่ี ขา้ ประกอบกับจติ ได้แนน่ อน ชือ่ วา่ นิยตโยคเี จตสกิ (นิ-ยะ-
ตะ-โย-คี-เจ-ตะ-สกิ )
ยาย า อนย ย สก ระ นานาก า สก
อนิยตโยคีเจตสกิ ประเภทนานากทาจิเจตสกิ แบง่ เป็น ๓ กลุ่ม คอื
กลมุ่ ท่ี ๑ อสิ สา มจั รยิ ะ กกุ กจุ จะ เปน็ เจตสกิ ในกลมุ่ โทจตกุ ะ ๔
กลุ่มที่ ๒ สมั มาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชวี ะ เปน็ เจตสิก
ในกลุ่มวิรตี ๓
กลมุ่ ที่ ๓ กรุณา มทุ ิตา เป็นเจตสกิ ในกลุ่มอัปปมั า ๒
กล่ อสสา ั ฉรยะ กกก ะ
เจตสิกท้ัง ๓ น้ีเกิดได้ในโทสมูลจิต ๒ ดวงเท่านั้น (คือเกิดกับ
จติ หมายเลข ๙ และ ๑๐) แตเ่ กดิ ไมแ่ นน่ อนและไมพ่ รอ้ มกนั ขนึ้ กบั สถานการณ์
ตามตวั อยา่ งดังนี้
ขณะใดท่ีประสบกับอารมณท์ ่ีไมช่ อบใจ ไมพ่ อใจ อนั เป็นเหตุให้
โทสมลู จติ ดวงใดดวงหนง่ึ เกดิ ขน้ึ แตไ่ มม่ คี วามอจิ ฉารษิ ยาหรอื ความตระหน่ี
ถเ่ี หนยี ว หรอื ความเดอื ดรอ้ นใจ ขณะนนั้ จะไมม่ อี สิ สาเจตสกิ มจั ฉรยิ ะเจตสกิ
และกกุ กุจจเจตสกิ เข้าประกอบในโทสมลู จิตนนั้
ขณะใดที่มีความไม่ชอบใจเพราะเกิดความอิจฉาริษยาใน
ความส�าเร็จของผู้อื่น ขณะน้ันโทสมูลจิตย่อมเกิดขึ้นโดยมีอิสสาเจตสิก
เขา้ ประกอบ แต่ไมม่ มี ัจฉริยเจตสกิ และกุกกจุ จเจตสกิ เข้าประกอบ
ขณะทมี่ ผี มู้ าเรยี่ ไรบอ่ ย ๆ แลว้ เกดิ ความไมพ่ อใจ ไมอ่ ยากบรจิ าค
ขณะน้ันโทสมูลจิตย่อมเกิดข้ึนโดยมีมัจฉริยเจตสิกเข้าประกอบ แต่จะไม่มี
อสิ สาเจตสกิ และกุกกุจจเจตสกิ เข้าประกอบ
ขณะใดท่ีมีความเดือดร้อนใจเพราะนึกถึงกรรมชั่วท่ีได้ท�าไว้แล้ว
ขณะน้ันโทสมูลจิตย่อมเกิดข้ึนโดยมีกุกกุจจเจตสิกเข้าประกอบ แต่ไม่มี
อิสสาเจตสิกและมจั ฉรยิ เจตสิกเขา้ ประกอบ
อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ จะเข้าประกอบกับโทสมูลจิต ๒ ได้
ไมแ่ นน่ อน (บางครงั้ กเ็ กดิ รว่ มกบั โทสมลู จติ ๒ บางครงั้ กไ็ มเ่ กดิ ) และจะเกดิ
พรอ้ ม ๆ กันไมไ่ ดเ้ ด็ดขาด เจตสิกลักษณะนเี้ รยี กว่า นานากทาจเิ จตสกิ
กล่ อ ร สก
สั า า า สั ากั นั ะ สั าอาช ะ
เจตสิกกลุ่มนีจะประกอบกับมหากุศลจิต ดเป็นบางครังบางคราว
และ ม่พรอมกัน ขณะที่มีวิรมิตัพพวัตถุ (วิ-ระ-มิ-ตับ-พะ-วัด-ถุ) หรอสิ่ง
ที่พงงดเวนอยู่เ พาะหนาจงจะมีวิรตีเจตสิกเกิดขน เพ่ืองดเว้นการกระท�า
บาปทุจริตน้ัน ๆ แต่หากไม่มีวิรมิตัพพวัตถุอยู่เฉพาะหน้า วิรตีเจตสิกก็จะ
ไม่เกิดขึ้น และวิรตีเจตสกิ ทัง ๓ นีจะ ม่เกดิ พรอมกนั เชน่
ขณะที่มหากุศลจิตอาศัยบุญกิริยาวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดข้ึน
โดยไม่มีการงดเว้นจากบาปทุจริตใด ๆ ขณะนั้นจะไม่มีวิรตีเจตสิกท้ัง ๓
เข้าประกอบดว้ ยเลย
ขณะที่งดเวนจากวจีทุจริต เช่น ไม่โกหก (ในเร่ืองท่ีไม่เกี่ยวกับ
การประกอบอาชพี ) มหากศุ ลจิตทเี่ กิดขึ้นในขณะน้ันจะมสี ัมมาวาจาเจตสิก
เข้าประกอบ แตไ่ ม่มีสมั มากมั มันตะ และสัมมาอาชวี เจตสกิ เขา้ ประกอบ
ขณะทงี่ ดเวนจากกายทจุ รติ เชน่ ไม่ า่ สตั ว์ (ในเรอ่ื งทไ่ี มเ่ กย่ี วขอ้ ง
กับการประกอบอาชีพ) มหากุศลจิตที่เกิดขึ้นในขณะน้ันจะมีสัมมากัมมันต
เจตสิกเข้าประกอบ แต่ไม่มสี ัมมาวาจา และสมั มาอาชีวเจตสิกเข้าประกอบ
ขณะทงี่ ดเวนมจิ าอาชพี ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การ า่ สตั ว์ งดเวน้ ทจ่ี ะไม่
โกงตาชงั่ งดเวน้ การโ ษณาสนิ คา้ เกนิ ความจรงิ งดเวน้ ทจ่ี ะไมห่ ลอกลวงลกู คา้
งดเวน้ ทจี่ ะไมเ่ อารดั เอาเปรยี บลกู คา้ งดเวน้ การคา้ ยาเสพตดิ คา้ อาวธุ คา้ มนษุ ย์
โดยเด็ดขาด ฯลฯ มหากุศลจิตที่เกิดข้ึนในขณะน้ันจะมสี ัมมาอาชีวเจตสิก
เขา้ ประกอบ แต่ไมม่ สี มั มาวาจา และสมั มากมั มันตะเจตสกิ เขา้ ประกอบ
ขอยกเวน
๑. ในโลกตุ ตรจติ ๘ (๔๐) วริ ตเี จตสกิ ทงั้ ๓ จะตอ้ งเกดิ ขนึ้ พรอ้ มกนั
อยา่ งแนน่ อน เนอ่ื งจากโลกตุ ตรจติ ๘ (๔๐) จะเกดิ ขนึ้ ไดก้ ต็ อ่ เมอื่ องคม์ รรค
ทงั้ ๘ จะตอ้ งเกดิ ขนึ้ ครบสมบรู ณเ์ ทา่ นน้ั วริ ตเี จตสกิ ทงั้ ๓ ตา่ งกเ็ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของ
องคม์ รรค ๘ ดงั นน้ั หากวริ ตเี จตสกิ ทงั้ ๓ เกดิ ขนึ้ ไมค่ รบ อรยิ มรรคทง้ั ๘ กจ็ ะ
ไม่สมบรู ณ์
ดงั นนั้ วิรตเี จตสิกทั้ง ๓ จึงเปน็ ได้ทัง้ นิยตโยคี และ อนิยตโยคเี จตสกิ
เปน็ นิยตโยคีเจตสิก เม่อประกอบกับ โลกุตตรจิต ๘ (๔๐)
เปน็ อนยิ ตโยคีเจตสกิ เมอ่ ประกอบกับ มหากุศลจติ ๘
๒. วริ ตเี จตสกิ ๓ ไมป่ ระกอบกบั มหากริ ยิ าจติ ๘ เพราะมหากริ ยิ า
จติ ๘ เปน็ จิตของพระอรหันต์ ซ่ึงท่านได้ละกายทุจรติ ๓ และวจที ุจรติ ๔
ได้โดยเดด็ ขาดแล้ว จงึ ไม่จา� เปน็ ตอ้ งใชว้ ิรตเี จตสกิ ทัง้ ๓ ในการงดเวน้ จาก
ทุจริตดังกล่าว
๓. วริ ตเี จตสกิ ๓ ไมป่ ระกอบกบั มหาวปิ ากจติ ๘ เพราะมหาวปิ ากจติ
มไิ ด้มีบทบาทหนา้ ทใ่ี นการละเวน้ กายทจุ ริต ๓ และวจที ุจรติ ๔
๔. วิรตเี จตสกิ ท้ัง ๓ ยอ่ มไม่ประกอบกบั มหัคคตจติ ๒๗ เพราะ
มหัคคจิตเป็นจิตที่ตั้งม่ันของบุคคลผู้มีกายวาจาบริสุทธิ์อยู่ในฌานสมาบัติ
ดังนนั้ วริ ตเี จตสกิ ทั้ง ๓ จึงไมม่ โี อกาสเกดิ ข้ึนกบั มหัคคจิต ๒๗ ได้เลย
กล่ อั ั า สก กร า ละ า
เจตสิก ๒ ชนิดน้ปี ระกอบกบั จิตได้ ๒๘ ดวง คอื มหากุศลจติ ๘
มหากริ ยิ าจติ ๘ รปู าวจรจติ ๑๒ (เวน้ รปู าวจรปญั จมฌานจติ ๓ เพราะกรณุ า
และมุทิตาไม่สามารถเป็นอารมณ์ของปัญจมฌานได้) เจตสิกสองชนิดนี
จะเกดิ ขน ม่แน่นอนและ มเ่ กิดพรอมกันดวย กล่าวคือ
๑. ขณะใดที่มหากุศลจิต ๘ และมหากิริยาจิต ๘ มิได้มีสัตว์ที่
ได้รับความทกุ ข์ หรอื สตั ว์ท่ีไดร้ ับความสุขเปน็ อารมณ์ และรปู าวจรจติ ๑๒
ที่มิได้ใช้กรุณาหรือมุทิตาเป็นอารมณ์กรรมฐาน ขณะนั้นกรุณาเจตสิก
และมุทติ าเจตสิกย่อมไม่เกดิ ขน้ึ
๒. ขณะที่จิต ๒๘ ดวงในข้อ ๑ เกิดข้ึนโดยมีสัตว์ที่ได้รับ
ความทุกข์เดือดร้อนเป็นอารมณ์ และเกิดความสงสารอยากจะช่วยเหลือ
ขณะนัน้ กรุณาเจตสกิ ย่อมเข้าประกอบกบั จิต แตม่ ทุ ิตาเจตสกิ จะไมเ่ กิดขึ้น
๓. ขณะใดที่จิต ๒๘ ดวงในข้อ ๑ เกิดข้ึนโดยอาศัยสัตว์ที่มี
ความสุขเป็นอารมณ์ และเราก็มีความยินดีร่วมด้วย ขณะน้ันมุทิตาเจตสิก
ย่อมเขา้ ประกอบกับจิต แตก่ รุณาเจตสกิ จะไม่เกดิ ขนึ้
๔. อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ย่อมไม่ประกอบกับโลกุตตรจิต
เพราะโลกุตตรจติ มีนพิ พานเปน็ อารมณ์ แต่อปั ปมัญญาเจตสกิ ๒ มสี ัตวท์ ี่
ได้รับความทุกข์หรือสัตวท์ ี่ไดร้ บั ความสขุ เป็นอารมณ์
๕. อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ย่อมไม่ประกอบกับมหาวิปากจิต ๘
เพราะสตั วท์ ไี่ ดร้ บั ความทกุ ขแ์ ละสตั วท์ ไ่ี ดร้ บั ความสขุ ไมส่ ามารถเปน็ อารมณ์
ของมหาวิปากจิต ๘ ได้
นย ย สก
นิยตโยคีเจตสิก คอ เจตสิกท่ีเกิดประกอบกับจิต ดแน่นอน
มี ๔๑ ชนิด ประกอบด้วย
สัพพจติ ตสาธารณเจตสิก ๗ ชนิด
ปกิณณกเจตสิก ๖ ชนดิ
โมจตกุ เจตสกิ ๔ ชนดิ
โลภเจตสกิ ๑ ชนดิ
ทฏิ ฐเิ จตสกิ ๑ ชนิด
โทสเจตสกิ ๑ ชนดิ
วิจิกิจฉาเจตสกิ ๑ ชนิด
โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ชนดิ
ปญั ญาเจตสิก ๑ ชนดิ
รวม ๔๑ ชนดิ
๑ สพั พจิตตสาธารณเจตสกิ ๗ คอื ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา
เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ มนสิการ ย่อมเกิดร่วมกับจิตทั้งหมด (๑๒๑ ดวง)
อย่างแนน่ อน
๒ ปกณิ ณกเจตสิก ๖ คอื วติ ก วจิ าร อธิโมกข์ วริ ยิ ะ ปตี ิ ฉันทะ
ย่อมเกดิ ร่วมกับจิตบางดวงอยา่ งแนน่ อนเสมอ
๓ โมจตุกเจตสิก ๔ คือ โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ
ยอ่ มประกอบกบั อกศุ ลจติ ๑๒ อย่างแนน่ อน ครบทงั้ ชุด (จิตหมายเลข ๑
ถึง ๑๒)
๔ โลภเจตสิก ย่อมเกิดร่วมกันกับโลภมูลจิต ๘ อย่างแน่นอน
(จติ หมายเลข ๑ ถึง ๘)
๕ ทิฏฐิเจตสิก ย่อมเกิดร่วมกันกับโลภมูลจิตท่ีประกอบด้วย
ความเห็นผดิ ๔ ดวง อยา่ งแนน่ อน (จติ หมายเลข ๑, ๒, ๕, ๖)
๖ โทสเจตสิก ย่อมประกอบกับโทสมลู จติ ๒ อย่างแน่นอน (จติ
หมายเลข ๙, ๑๐)
๗ วิจิกจิ าเจตสิก ยอ่ มเกดิ ร่วมกันกบั โมหมลู จิตทปี่ ระกอบดว้ ย
ความสงสัย (จติ หมายเลข ๑๑) อยา่ งแนน่ อน
๘ โสภณสาธารณเจตสิกทัง ๑๙ ชนดิ ยอ่ มเกิดรว่ มกนั กับโสภณ
จิต ๙๑ อยา่ งแนน่ อน (จติ หมายเลข ๓๑ ถงึ ๑๒๑)
๙ ป าเจตสิก ย่อมเกิดร่วมกันกับจิตท่ีประกอบด้วยปัญญา
๗๙ ดวง อยา่ งแนน่ อน (ดขู ้อ ๔.๔ หนา้ ๒๑๐)
เม่ือเขา้ ใจเรื่อง อนิยตโยคเี จตสกิ และ นิยตโยคีเจตสิก เปน็ อยา่ ง
ดีแล้ว ก็สามารถสร้างตารางสัมปโยคนัยเพื่อดูว่าเจตสิกแต่ละตัวสามารถ
เข้าประกอบกบั จติ ดวงใดไดบ้ า้ ง ดังนี้
ารางสั ย นยั
แสดงจ�ำนวนจิตที่เจตสิกแต่ละชนิดเข้ำประกอบได้ โดยยกเจตสิกขน้ึ เป็นประธำน
กามาวจรจติ ๕๔ มหัคคตจติ ๒๗ โลกตุ ตรจิต ๔๐
โลภ ูมลจิต ๘
โทส ูมลจิต ๒
ิวจิ ิกจฉาสัม ๑
อุท ัธจจสัม ๑
ท ิวปัญจ ิวญญาณ ๑๐
สัมป ิฎจฉนจิต ๒
สัน ีตรณ ิจต ๓
ปัญจทวารา ัวชชน ๑
มโนทวาราฯ และ หสิ ๒
มหา ุกศล ๘
มหา ิวปาก ๘
มหา ิก ิรยา ๘
ปฐมฌาน ๓
ทุ ิตยฌาน ๓
ต ิตยฌาน ๓
จ ุตตถฌาน ๓
ปัญจมฌาน ๑๕
ปฐมฌาน ๘
ทุ ิตยฌาน ๘
ต ิตยฌาน ๘
จ ุตตถฌาน ๘
ปัญจมฌาน ๘
จ�านวนจิตที่เจตสิกแ ่ตละชนิด
เ ้ขาประกอบไ ้ด
จติ อกศุ ลจติ ๑๒ อเหตกุ จติ ๑๘ กามโสภณจติ ๒๔ รูปา-อรูปาวจรจติ
เจตสิก
สพั พจิตตสาธารณเจตสกิ ๗ ๘ ๒ ๑ ๑ ๑๐ ๒ ๓ ๑ ๒ ๘ ๘ ๘ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๑๒๑
ัอญญสมานเจตสิก ๑๓ วติ ก ๘ ๒ ๑ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒ ๘ ๘ ๘ ๓ ๘ ๕๕
วจิ าร ๘ ๒ ๑ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒ ๘ ๘ ๘ ๓ ๓ ๘๘ ๖๖
ปกิณณกเจตสกิ ๖ อธิโมกข์ ๘ ๒ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒ ๘ ๘ ๘ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๑๑๐
วิริยะ ๘ ๒ ๑ ๑ ๒ ๘ ๘ ๘ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๑๐๕
ปตี ิ ๔ ๑ ๑ ๔ ๔ ๔ ๓๓๓ ๘๘๘ ๕๑
ฉนั ทะ ๘ ๒ ๘ ๘ ๘ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๑๐๑
โมหะ ๘ ๒ ๑ ๑ ๑๒
อหิรกิ ะ ๘ ๒ ๑ ๑ ๑๒
๑๒
โมจตุกเจตสกิ ๔
อโนตตปั ปะ ๘ ๒ ๑ ๑
อุทธจั จะ ๘ ๒ ๑ ๑ ๑๒
โลภะ ๘ ๘
อกุศลเจต ิสก ๑๔ โลตกิ เจตสิก ๓ ทฎิ ฐิ ๔ ๔
มานะ ๔ ๔
โทสะ ๒ ๒
อสิ สา ๒ ๒
๒ ๒
โทจตกุ เจตสกิ ๔
มจั ฉรยิ ะ
กุกกจุ จะ ๒ ๒
ถีนะ ๔๑ ๕
๔๑ ๕
ถีทกุ เจตสิก ๒
มิทธะ
วจิ ิกิจฉาเจตสกิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ ๑
โสภณสาธารณเจตสกิ ๑๙ ๘ ๘ ๘ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๙๑
โสภณเจต ิสก ๒๕ สัมมาวาจา ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๔๘
วริ ตีเจตสิก ๓ สมั มากัมมนั ตะ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๔๘
สมั มาอาชวี ะ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๔๘
อปั ปมัญญา กรุณา ๘ ๘ ๓๓๓๓ ๒๘
เจตสิก ๒ มทุ ติ า ๘ ๘ ๓๓๓๓ ๒๘
ปัญญาเจตสกิ ๑ ปญั ญา ๔ ๔ ๔ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๗๙
ยาย า
๑ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ คอ ผัสสะ เวทนา สัญญา
เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ มนสิการ จะเข้าประกอบกับจิตทุกดวง
(ท้ัง ๑๒๑ ดวง) อยา่ งแนน่ อน
๒ ปกณิ ณกเจตสิก ๖ คอื วิตก วจิ าร อธโิ มกข์ วริ ิยะ ปตี ิ ฉนั ทะ
จะเข้าประกอบกับจิตได้ต่างกัน (ดูรายละเอียดในตารางสัมปโยคนัย หน้า
๒๐๗)
๓ อกุศลเจตสิก ๑๔ จะเข้าประกอบกับอกุศลจิต ๑๒ เท่านั้น
เจตสกิ ตวั ไหนจะเขา้ ประกอบกบั อกศุ ลจติ ดวงใดไดบ้ า้ งนน้ั มหี ลกั เกณ ด์ งั น้ี
๓ ๑ โมจตกุ เจตสกิ ๔ คอื โมหะ อหริ กิ ะ อโนตตปั ปะ อทุ ธจั จะ
จะเขา้ ประกอบกับอกศุ ลจิต ๑๒ ทุกดวง
๓ ๒ โลตกิ เจตสกิ ๓ คอื โลภะ ทฏิ ฐิ มานะ จะเขา้ ประกอบกบั
โลภมูลจิต ๘ เทา่ นั้น โดยมหี ลักเกณ ์ดงั น้ี
โลภเจตสกิ จะเขา้ ประกอบกับโลภมลู จติ ๘ ทกุ ดวง
ทิฏฐิเจตสิก จะเข้าประกอบกับโลภมูลจิต ๔ ดวง เฉพาะท่ี
ประกอบดว้ ยความเหน็ ผิดเทา่ นัน้
มานะเจตสกิ จะเขา้ ประกอบกบั โลภมลู จติ ๔ ดวงทไ่ี มป่ ระกอบ
ดว้ ยความเหน็ ผดิ และเขา้ ประกอบเปน็ บางครงั้ เฉพาะในขณะทเ่ี ยอ่ หยงิ่ ถอื ตวั
ทะนงตวั แขง่ ดี หรอื มีการเปรยี บเทียบสถานะของตนกับผู้อ่นื
๓ ๓ โทจตุกเจตสกิ ๔ คอื โทสะ อิสสา มจั ฉริยะ กุกกจุ จะ
จะเข้าประกอบกับโทสมูลจิต ๒ เทา่ นั้น โดยมหี ลักเกณ ์ดังนี้
โทสเจตสกิ จะเขา้ ประกอบกบั โทสมลู จติ ทงั้ ๒ ดวง อยา่ งแนน่ อน
อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ จะเข้าประกอบกับโทสมูลจิต ๒
เปน็ บางครงั้ บางคราว และเจตสิกท้งั ๓ น้จี ะไม่เกิดพรอ้ มกนั เป็นอันขาด
๓ ๔ ถีทุกเจตสกิ ๒ คือ ถนี ะ และ มทิ ธะ จะเขา้ ประกอบกับ
อกศุ ลจิต ๕ ดวงทเ่ี กิดขนึ้ ได้เพราะมีการชกั ชวน (จิตหมายเลข ๒, ๔, ๖, ๘,
๑๐) และเจตสกิ คู่น้จี ะเข้าประกอบพร้อมกันเสมอ (เกิดขน้ึ พร้อมกนั เสมอ)
๓ ๕ วจิ กิ จิ าเจตสกิ จะเขา้ ประกอบกบั จติ ไดเ้ พยี งดวงเดยี ว
คือ โมหมูลจิตท่ปี ระกอบดว้ ยความสงสัยเท่าน้นั (จติ หมายเลข ๑๑)
๔ โสภณเจตสกิ ๒๕ จะเขา้ ประกอบกบั โสภณจติ ๙๑ ดวงเทา่ นน้ั
แตเ่ จตสิกตวั ไหนจะเขา้ ประกอบกบั จติ ดวงใดไดบ้ ้างน้ัน มีหลกั เกณ ์ดงั นี้
๔ ๑ โสภณสาธารณเจตสกิ ๑๙ คอื สทั ธา สติ หริ ิ โอตตปั ปะ
อโลภะ อโทสะ ตัตตรมัชฌัตตตา กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ กายลหุตา
จิตตลหุตา กายมุทุตา จิตตมุทุตา กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา
กายปาคุญญตา จิตตปาคญุ ญตา กายุชุกตา จิตตชุ ุกตา จะเข้าประกอบกบั
โสภณจิตทัง้ ๙๑ ดวง อย่างแน่นอนพรอ้ มกันท้ังชุด
๔ ๒ วิรตีเจตสิก ๓ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สมั มาอาชวี ะ จะประกอบได้กบั จติ ได้ ๑๖ ดวง (โดยย่อ) คือ มหากุศลจิต ๘
และโลกุตตรจิต ๘ เมื่อประกอบกับมหากุศลจิต ๘ วิรตีเจตสิก ๓ จะเข้า
ประกอบได้ทีละอย่าง หรืออาจไม่เข้าประกอบสักอย่างก็เป็นได้ แต่ใน
โลกตุ ตรจติ ๘ (โดยยอ่ ) เจตสกิ ทงั้ ๓ นจี้ ะเขา้ ประกอบพรอ้ มกนั อยา่ งแนน่ อน
นนั่ คอื ทกุ ครง้ั ทโี่ ลกตุ ตรจติ ๘ (๔๐) เกดิ ขน้ึ จะตอ้ งมวี ริ ตเี จตสกิ ทง้ั ๓ เกดิ รว่ ม
ด้วยเสมอ
๔ ๓ อัปปมั าเจตสิกมี ๒ คือ กรุณา มุทิตา จะเข้า
ประกอบกับจิตได้ ๒๘ ดวง คือ มหากุศลจิต ๘ มหากิริยาจิต ๘ และ
รูปาวจรจิต ๑๒ (เวน้ ปัญจมฌานจติ ๓)
เจตสิกทั้ง ๒ ชนิดน้ีจะประกอบกับจิตเป็นบางคร้ังบางคราว
(ไมแ่ น่นอน) และไม่เกิดพร้อมกนั ดว้ ย
๔ ๔ ป าเจตสกิ จะเขา้ ประกอบกบั จติ ได้ ๔๗ ดวง (โดยยอ่ )
อยา่ งแน่นอน คอื มหากศุ ลจติ ทป่ี ระกอบด้วยปัญญา ๔ ดวง มหาวปิ ากจติ
ท่ีประกอบด้วยปัญญา ๔ ดวง มหากิริยาที่ประกอบด้วยปัญญา ๔ ดวง
มหัคคตจติ ๒๗ ดวง และโลกตุ ตรจติ ๘ (โดยยอ่ )
สัง นัย
สังคหนัย คอ การแสดงโดยยกจิตแต่ละดวงขนเป็นประธาน
เพอ่ ดวู า่ นจิตแต่ละดวงนันมเี จตสิก ดเขาประกอบบาง
เม่ือเข้าใจเร่ืองสัมปโยคนัยมาเป็นอย่างดีแล้วก็ย่อมเข้าใจ
สังคหนยั ได้โดยง่าย
จิตแต่ละดวงมีเจตสิกชนิดใดเข้าประกอบได้บ้างน้ันได้สรุปไว้
ใหแ้ ลว้ ในตารางสังคหนัย (หน้า ๒๑๑ - ๒๑๒)
ารางสงั นัย
แสดงจ�ำนวนเจตสกิ ท่เี ข้ำประกอบในจติ แต่ละดวง โดยยกจิตขน้ึ เป็นประธำน
อญั ญสมานเจตสิก ๑๓ อกศุ ลเจตสกิ ๑๔ โสภณเจตสกิ ๒๕
อกุศลจิต ๑๒
ัสพพ ิจตตสาธารณะ ๗ เจตสิก
วิตก ๑
วิจาร ๑ จติ หมายเลข
อธิโมก ์ข ๑ (ดูรปู ท่ี
วิ ิรยะ ๑
ปี ิต ๑ หนา้ ๓๖-๓๗)
ัฉนทะ ๑
โมจ ุตกะ ๔จิต
โลภะ ๑
ทิฎ ิฐ ๑
มานะ ๑
โทจตุกะ ๔
ีถนะมิทธะ ๒
วิจิ ิกจฉา ๑
โสภณสาธารณะ ๑๙
วิรตี ๓
ัอปป ัมญญา ๒
ปัญญา ๑
รวมจ�านวนเจต ิสกที่เ ิกดร่วม ักบจิต
โลภมลู ดวงที่ ๑ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๔ ๑ ๑ ๑๙ ๑
โลภมูล ดวงที่ ๓ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๔ ๑ ๑ ๑๙ ๓
โลภมลู ดวงท่ี ๒ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๔ ๑ ๑ ๒ ๒๑ ๒
โลภมูล ดวงท่ี ๔ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๔ ๑ ๑ ๒ ๒๑ ๔
โลภมูล ดวงท่ี ๕ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๔ ๑ ๑ ๑๘ ๕
โลภมลู ดวงที่ ๗ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๔ ๑ ๑ ๑๘ ๗
โลภมลู ดวงที่ ๖ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๔ ๑ ๑ ๒ ๒๐ ๖
โลภมูล ดวงท่ี ๘ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๔ ๑ ๑ ๒ ๒๐ ๘
โทสะมูล ดวงที่ ๑ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๔ ๔ ๒๐ ๙
โทสะมลู ดวงท่ี ๒ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๔ ๔๒ ๒๒ ๑๐
โมหมลู ดวงท่ี ๑ ๗ ๑ ๑ ๑ ๔ ๑ ๑๕ ๑๑
โมหมลู ดวงท่ี ๒ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๔ ๑๕ ๑๒
ทวปิ ญั จวิญญาณ ๑๐ ๗ ๗ ๑๓ - ๑๗, ๒๐ - ๒๔
มหา ิวปาก ิจต ๘ มหากุศล ิจต ๘ อเหตุก ิจต ๑๘ อุเบกขาสันตรี ณ ๒ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑๐ ๑๙, ๒๖
มโนธาตุ ๓ ๗๑๑๑ ๑๐ ๑๘, ๒๕, ๒๘
โสมนัสสันตีรณ ๑ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๑ ๒๗
มโนทวาราวัชชน ๑ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๑ ๒๙
หสติ ปุ ปาท ๑ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๒ ๓๐
มหากศุ ล คู่ที่ ๑ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๙ ๓ ๒ ๑ ๓๘ ๓๑, ๓๒
มหากุศล ค่ทู ่ี ๒ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๙ ๓ ๒ ๓๗ ๓๓, ๓๔
มหากุศล คทู่ ่ี ๓ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๙ ๓ ๒ ๑ ๓๗ ๓๕, ๓๖
มหากุศล คู่ท่ี ๔ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๙ ๓ ๒ ๓๖ ๓๗, ๓๘
มหาวปิ าก คทู่ ี่ ๑ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๙ ๑ ๓๓ ๓๙, ๔๐
มหาวปิ าก คูท่ ่ี ๒ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๙ ๓๒ ๔๑, ๔๒
มหาวิปาก ค่ทู ่ี ๓ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๙ ๑ ๓๒ ๔๓, ๔๔
มหาวปิ าก คู่ที่ ๔ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๙ ๓๑ ๔๕, ๔๖
ารางสัง นัย ่อ
แสดงจ�ำนวนเจตสกิ ท่เี ข้ำประกอบในจิตแต่ละดวง โดยยกจิตขึน้ เป็นประธำน
อญั ญสมานเจตสิก ๑๓ อกศุ ลเจตสิก ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕
ฌานโลกีย ิจต ๒๗ มหา ิกริยา ิจต ๘
ัสพพจิตตสาธารณะ ๗เจตสกิ
วิตก ๑
วิจาร ๑ จิตหมายเลข
อธิโมกข์ ๑ (ดรู ูปท่ี
วิ ิรยะ ๑
ปี ิต ๑ หนา้ ๓๖-๓๗)
ัฉนทะ ๑
โมจตุกะ ๔จิต
โลภะ ๑
ิทฎฐิ ๑มหากิริยา คทู่ ี่ ๑๗๑๑๑๑๑๑ ๑๙ ๒ ๑ ๓๕ ๔๗, ๔๘
มานะ ๑มหากิริยา คทู่ ี่ ๒๗๑๑๑๑๑๑
โทจ ุตกะ ๔มหากริ ยิ า คู่ท่ี ๓๗๑๑๑๑ ๑ ๑๙ ๒ ๓๔ ๔๙, ๕๐
ีถนะมิทธะ ๒มหากิรยิ า คู่ที่ ๔๗๑๑๑๑ ๑
วิ ิจ ิกจฉา ๑ปฐมฌาน ๓๗๑๑๑๑๑๑ ๑๙ ๒ ๑ ๓๔ ๕๑, ๕๒
โสภณสาธารณะ ๑๙ทตุ ิยฌาน ๓๗ ๑๑๑๑๑
วิรตี ๓ตติยฌาน ๓๗ ๑๑๑๑ ๑๙ ๒ ๓๓ ๕๓, ๕๔
อัปปมัญญา ๒จตุตถฌาน ๓๗ ๑๑ ๑
ัปญญา ๑ปญั จมฌาน ๑๕๗ ๑๑ ๑ ๑๙ ๒ ๑ ๓๕ ๕๕, ๖๐, ๖๕
รวม �จานวนเจต ิสกที่เ ิกดร่วม ักบ ิจต
๑๙ ๒ ๑ ๓๔ ๕๖, ๖๑, ๖๖
ปฐมฌาน ๘ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑
๑๙ ๒ ๑ ๓๓ ๕๗, ๖๒, ๖๗
ทตุ ยิ ฌาน ๘ ๗ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑
๑๙ ๒ ๑ ๓๒ ๕๘, ๖๓, ๖๘
ฌานโลกุตตรจิต ๔๐ ตตยิ ฌาน ๘ ๗ ๑๑๑๑
๑๙ ๑ ๓๐ ๕๙, ๖๔, ๖๙,
จตุตถฌาน ๘ ๗ ๑๑ ๑ ๗๐ - ๘๑
ปญั จมฌาน ๘ ๗ ๑๑ ๑ ๑๙ ๓ ๑ ๓๖ ๘๒, ๘๗, ๙๒, ๙๗,
๑๐๒, ๑๐๗, ๑๑๒,
๑๑๗
๑๙ ๓ ๑ ๓๕ ๘๓, ๘๘, ๙๓, ๙๘,
๑๐๓, ๑๐๘, ๑๑๓,
๑๑๘
๑๙ ๓ ๑ ๓๔ ๘๔, ๘๙, ๙๔, ๙๙,
๑๐๔, ๑๐๙, ๑๑๔,
๑๑๙
๑๙ ๓ ๑ ๓๓ ๘๕, ๙๐, ๙๕, ๑๐๐,
๑๐๕, ๑๑๐, ๑๑๕,
๑๒๐
๑๙ ๓ ๑ ๓๓ ๘๖, ๙๑, ๙๖, ๑๐๑,
๑๐๖, ๑๑๑, ๑๑๖,
๑๒๑
บอ มั มั สงั ห ร เ ี่ เ สก รมั
บ ่ี
ร รมั
ได้อธบิ ายความจริงอย่างที่สุด (ปรมตั ถธรรม) จบไปแลว้ ๒ เร่อื ง
คือ จิตปรมัตถ์ และเจตสิกปรมัตถ์ ในบทนี้จะอธิบายเรื่อง รูปปรมัตถ์
ซึ่งเปน็ ปรจิ เฉทท่ี ๖ ของคมั ภีร์อภธิ มั มตั ถสงั คหะ เปน็ ล�าดบั ต่อไป
ร ร ั ออะ ร
คา� วา่ รูป มี ๒ ความหมาย คอ
๑ รูป หมายถง รูปบั ัติ คอื รูปที่มีช่อื เรียกตามรปู ร่างสณั ฐาน
ที่ปรากฏ เช่น โตะ เก้าอี้ รถยนต์ วัตถุสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ อาคาร
บา้ นเรอื น ถนน ตน้ ไม้ ภูเขา แผน่ ดิน แม่น�้า ทะเล บุคคลตา่ ง ๆ และสัตว์
ประเภทตา่ ง ๆ เป็นตน้
ดังน้ัน รูปบัญญัติก็คือส่ิงท่ีมองเห็นได้ด้วยตาทั้งหมด และมีช่ือ
เรียกตา่ ง ๆ นานา ไปตามภาษาของแตล่ ะท้องถ่ิน ซึง่ ลว้ นเปน็ บญั ญัตธิ รรม
ทง้ั สิ้น (ยังไม่ใช่ปรมัตถธรรมซึ่งเป็นความจริงอนั เปน็ ท่สี ดุ )
๒ รูป หมายถง รูปปรมัตถ์ คอื สภาวลกั ษณะท่ีซ่อนอยูภ่ ายใน
รูปบัญญัติ เช่น ความแข็ง ความอ่อน ความเย็น ความร้อน ความหย่อน
ความตงึ สี กลน่ิ รส และรปู ทเ่ี ปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ การเหน็ การไดย้ นิ ไดก้ ลน่ิ รรู้ ส
รสู้ มั ผสั การคดิ นกึ ตลอดจนรปู ทเ่ี ปน็ เหตแุ หง่ ความเปน็ หญงิ เปน็ ชาย เปน็ ตน้
รูปปรมตั ถ์มีทงั หมด ๒๘ ชนิด แบง่ ออกเปน็ ๑๑ กล่มุ ดงั นี
ปถวี อาโป เตโช วาโย มหาภูตรปู ๔
จักขุ โสต ฆาน ชวิ หา กาย ปสาทรปู ๕
ปสาท ปสาท ปสาท ปสาท ปสาท
วิสยรปู ๔
ินป ัผนน ูรป ๑๘ รูปา สัททา คนั ธา รสา โผฏ. (หรอื ๗)
รมณ์ รมณ์ รมณ์ รมณ์ ภาวรปู ๒
ป เต
อติ ถี ปรุ สิ วา
ภาวะ ภาวะ
หทยรูป หทยรปู ๑
อนิป ัผนน ูรป ๑๐ ชวี ติ รปู ชวี ติ รปู ๑ อปุ าทายรปู ๒๔
อาหาร อาหารรปู ๑
รปู ปรจิ เฉทรูป ๑
วิญญตั ิรปู ๒
ปริจเฉท วกิ ารรูป ๓
รปู ลกั ขณรูป ๔
กาย วจี
วญิ ญตั ิ วญิ ญตั ิ
ลหุตา มทุ ตุ า กัมมัญญ
ตา
อุปจยะ สันตติ ชรตา อนจิ จตา
ความหมายของรปู ทงั ๒๘ ชนดิ โดยสงั เขป (รายละเอยี ดจะอธบิ ายในหวั ขอ้
ถัดไป)
๑ ปถวี (ดนิ ) คอื สภาวะท่แี ขง็ หรอื อ่อน (ไมใ่ ชด่ นิ ท่ปี ลูกต้นไม)้
๒ อาโป (นา� ) คือ สภาวะที่ไหล หรือเกาะกุม (ไม่ใช่น้�าท่ีอาบ หรือ
ดื่มกิน)
๓ เตโช ( ) คือ สภาวะทรี่ ้อน หรือเยน็ (ไมใ่ ช่เปลวไฟท่มี องเหน็ )
๔ วาโย (ลม) คอื รปู ทเ่ี ครง่ ตึง หรอื เคลอื่ นไหว (มใิ ชล่ มทีพ่ ดั ไปมา)
๕ จักขุปสาท คอื ความใสท่สี ามารถรบั สตี า่ ง ๆ (รูปารมณ)์ ได้
๖ โสตปสาท คอื ความใสทสี่ ามารถรบั เสยี งตา่ ง ๆ (สทั ทารมณ)์ ได้
๗ านปสาท คอื ความใสทสี่ ามารถรบั กลนิ่ ต่าง ๆ (คนั ธารมณ์) ได้
๘ ชวิ หาปสาท คอื ความใสท่สี ามารถรับรสตา่ ง ๆ (รสารมณ์) ได้
๙ กายปสาท คอื ความใสที่สามารถรับส่ิงที่มากระทบทางกาย
(โผฏฐัพพารมณ์) ได้
๑๐ รปู ารมณ์ คอื วณั ณรปู (วนั -นะ-รปู ) หรอื สตี า่ ง ๆ ทเี่ ปน็ อารมณ์
ทางตา
๑๑ สัททารมณ์ คือ สทั ทรปู (สดั -ทะ-รปู ) หรอื เสยี งตา่ งๆ ทเี่ ปน็ อารมณ์
ทางหู
๑๒ คันธารมณ์ คือ คนั ธรปู (คนั -ทะ-รปู ) หรอื กลน่ิ ตา่ งๆ ทเี่ ปน็ อารมณ์
ทางจมูก
๑๓ รสารมณ์ คือ รสรูป (ระ-สะ-รูป) หรือรสต่าง ๆ ท่ีเป็นอารมณ์
ทางลิ้น
๑๔ โ ฏฐพั พารมณ์ คอื รูปท่มี ากระทบกาย ได้แก่ แข็ง-อ่อน, รอ้ น-เย็น,
เคร่งตึง-เคล่ือนไหว (ซ่ึงก็คือ ปถวี เตโช วาโย
ที่เป็นมหาภตู รูปนน่ั เอง) ซงึ่ เป็นอารมณท์ างกาย
๑๕ อติ ถภี าวะ คือ รูปที่ท�าใหเ้ กดิ ความเป็นหญงิ
๑๖ ปุรสิ ภาวะ คือ รูปท่ีทา� ให้เกิดความเป็นชาย
๑๗ หทยรูป คอื รปู ทีเ่ กิดอยู่ในหัวใจและเปน็ ท่อี าศยั เกิด (ทตี่ ั้ง)
๑๘ ชีวติ รูป ของจติ ทเ่ี กิดทางมโนทวาร (ทางใจ)
๑๙ อาหารรูป คือ รูปท่ที �าหน้าที่รักษากัมมชรูปทงั้ หลาย
๒๐ ปริจเ ทรปู คอื คณุ คา่ ทางโภชนาการท่อี ย่ใู นอาหาร
คือ อากาสรูป (ช่องวา่ ง) ทค่ี นั่ ระหว่างรปู กลาป
๒๑ กายวิ ัติ
ต่อรูปกลาป
๒๒ วจีวิ ตั ิ คือ การเคลอ่ื นไหวกายในลักษณะตา่ ง ๆ
๒๓ ลหตุ า
(จติ เป็นผู้สง่ั การ)
๒๔ มทุ ตุ า คือ การเคลื่อนไหวเพื่อให้เกดิ เสียง (จิตเป็นผูส้ งั่ การ)
๒๕ กัมมั ตา คือ ความเบาของนปิ ผนั นรูป (ดูความหมายของ
๒๖ อปุ จยะ นิปผันนรูปในหนา้ ท่ี ๒๓๓-๒๓๔)
คอื ความออ่ นพล้ิวของนิปผนั นรูป
๒๗ สนั ตติ คือ ความเหมาะควรแก่การงาน (ความพรอ้ ม)
๒๘ ชรตา
๒๙ อนจิ จตา ของนปิ ผนั นรูป
คอื การเกดิ ข้ึนครง้ั แรก และเกิดขน้ึ คร้งั หลงั ๆ
จนกระทง่ั ครบจ�านวนนปิ ผนั นรปู ท่จี ะพงึ มไี ด้
ในสัตวแ์ ต่ละจ�าพวก
คอื การเกิดสืบต่อกันของนปิ ผันนรูปจนกระท่งั ตาย
คือ ความแกข่ องนปิ ผนั นรูป
คือ การดบั ของนปิ ผนั นรปู
หมายเหตุ ล�าดับท่ี ๑๔ โผฏฐัพพารมณ์ องคธ์ รรมไดแ้ ก่ ปถวี เตโช วาโย
ซึ่งรูปท้งั ๓ น้ี ถูกนบั ไวใ้ นมหาภตู รปู แล้ว จงึ ไม่นับซ้�าอกี ดังน้ัน รูปท้ังหมด
จึงมเี พยี ง ๒๘ ชนิด เท่านน้ั (หักโผฏฐพั พารมณ์ออกไป)
ส า ลกั ะ องร ร ั ั้ง
ด าร
มหาภูตรูป หมายถงึ รูปท่เี ป็นใหญ่ รปู ท่เี ปน็ ประธาน มี ๔ ชนิด
ไดแ้ ก่
ปถวี หรอ ธาตุดิน มี ๔ ความหมาย คอ
๑ ปรมัตถปถวี (ปะ-ระ-มัด-ถะ-ปะ-ถะ-วี) คือ ความแข็ง-
กระดา้ ง-หนกั หรอื ออ่ น-นม่ิ -เบา ซงึ่ เปน็ ความหมายของปถวใี นพระอภธิ รรม
เปน็ สภาวลกั ษณะทีม่ ีปรากฏในสง่ิ มชี ีวิตและไม่มีชวี ติ ทงั้ หลาย
๒ สสัมภารปถวี (สะ-สมั -พา-ระ-ปะ-ถะ-วี) หรอื สุตตันตปถวี
(สุด-ตัน-ตะ-ปะ-ถะ-วี) เป็นความหมายของปถวีในพระสูตรเพ่ือการ
เจรญิ กายคตาสตกิ รรมฐาน หมายถงึ อวยั วะหรอื สว่ นของรา่ งกายทมี่ ธี าตดุ นิ
ปรากฏชดั มีอยู่ ๒๐ อยา่ ง ได้แก่ เกสา (ผม), โลมา (ขน), นะขา (เล็บ),
ทนั ตา (ฟัน), ตะโจ (หนัง), มังสัง (เนือ้ ), นะหารู (เอ็น), อัฏฐิ (กระดกู ),
อัฏฐมิ ิญชงั (เย่ือในกระดกู ), วกั กัง (ไต), หะทะยงั (หัวใจ), ยะกะนงั (ตับ),
กิโลมะกัง (พังผืด), ปิหะกัง (ม้าม), ปัปผาสัง (ปอด), อันตัง (ไส้ใหญ่),
อันตะคุณัง (ไส้น้อย), อุทะริยัง (อาหารใหม่), กะรีสัง (อาหารเก่า),
มตั ถะลุงคัง (มนั สมอง)
นอกจากน้ียังรวมไปถึงส่ิงต่าง ๆ ท่ีอยู่ภายนอกร่างกายสัตว์
ซงึ่ มีธาตดุ ินปรากฏชดั เชน่ กอ้ นดนิ กอ้ นหนิ กอ้ นกรวด เหล็ก โลหะตา่ ง ๆ
อัญมณี และแรธ่ าตตุ ่าง ๆ เปน็ ตน้
สสัมภาระ หมายถึง สิ่งที่ประกอบด้วยธาตุท้ัง ๔ แต่จะมี
สภาวลักษณะของธาตุใดธาตุหนึ่งปรากฏชัด เช่น กระดูก มีสภาวลักษณะ
ของปถวีปรากฏชดั จึงเรยี กว่าสสัมภารปถวี เป็นต้น
๓ กสิณปถวี (กะ-สิ-นะ-ปะ-ถะ-วี) คือ ดินท่ีน�ามาท�าเป็น
แผน่ กลม เพอ่ื ใช้เป็นบริกรรมนมิ ติ (ใช้เพง่ ) ในการเจริญปถวีกสณิ
๔ สมมตุ ปิ ถวี (สม-ม-ุ ต-ิ ปะ-ถะ-ว)ี คอื พน้ื แผน่ ดนิ ทกี่ ลา่ วตาม
โวหารของชาวโลก
ปถวีที่จะกล่าวถึงในหนังสือเล่มน้ี คือ ปรมัตถปถวี ซึ่งหมายถึง
สภาวะลักษณะท่ีแข็ง-กระด้าง-หนัก หรือ อ่อน-นิ่ม-เบา (พูดส้ัน ๆ ว่า
สภาวะที่แข็งหรอื ออ่ น) อนั เปน็ สภาวลักษณะตามธรรมชาตขิ องสิ่งต่าง ๆ ที่
ปราศจากความหมายว่าเป็นน่ัน เปน็ นี่
สงิ่ ใดมปี รมัตถปถวีมากกจ็ ะมลี กั ษณะแข็งมาก เชน่ ไม้ หนิ เหลก็
เป็นต้น แตห่ ากมปี รมตั ถปถวีน้อยก็จะมีลักษณะอ่อนหรอื น่มิ เช่น สา� ลี ยาง
ฟองน�้า เปน็ ต้น
๒
อาโป เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งท่ีมีสภาวลักษณะไหลหรือเกาะกุม
ถ้ามอี ยูเ่ ปน็ จ�านวนมากในสิ่งหน่งึ สิ่งใด ยอ่ มทา� ใหส้ ่ิงน้ันเหลวและไหลไปได้
ถ้ามีอยู่จ�านวนนอ้ ยกท็ �าใหส้ ง่ิ นั้น ๆ เกาะกมุ กันเป็นกลุ่มก้อนเกิดเปน็ รปู รา่ ง
สณั ฐานตา่ ง ๆ อปุ มาเหมอื นกาวหรอื ยางเหนยี วทสี่ ามารถเชอื่ มสง่ิ ของตา่ ง ๆ
ให้ติดกนั เปน็ กลุ่มเปน็ กอ้ น
น้�าในแม่น�้าล�าคลองไหลไปมาได้ก็เพราะมีอาโปธาตุมากกว่า
ปถวธี าตุ แตข่ อให้เข้าใจว่าสงิ่ ที่ หล คอ ปถวธี าตุ มิ ช่อาโปธาตุ แตไ่ หลได้
ด้วยอา� นาจของอาโปธาตุ
เม่ือจุ่มมือลงไปในน้�าท่ีก�าลังไหล เราจะสัมผัสได้เฉพาะปถวีธาตุ
(ความแขง็ ความออ่ น) เทา่ นน้ั แตไ่ มส่ ามารถจะสมั ผสั กบั อาโปธาตไุ ด้ เพราะ
อาโปธาตไุ มส่ ามารถสมั ผสั ไดด้ ว้ ยกาย หรอื เหน็ ไดด้ ว้ ยตา ขณะเหน็ นา�้ ทก่ี า� ลงั
ไหลก็ไม่สามารถรูอ้ าโปธาตุได้ แต่การเหน็ จะเปน็ ข้อมลู ใหใ้ จรวู้ า่ มีอาโปธาตุ
อยใู่ นน้�านัน้ มากน้อยเพียงใด เพราะอาโปธาตเุ ปน็ ธาตุทีร่ ู ดดวย จเทา่ นัน
อาโป หรอ ธาตนุ �า มี ๔ ความหมาย คอ
๑ ปรมัตถอาโป (ปะ-ระ-มดั -ถะ-อา-โป) คือ สภาวะท่ีไหล หรือ
เกาะกุม ซ่ึงเป็นความหมายของอาโปในพระอภิธรรมจะรู้ได้ด้วยใจเท่าน้ัน
ไม่ใชด่ ้วยการเหน็ หรอื การสมั ผัส
๒ สสัมภารอาโป (สะ-สมั -พา-ระ-อา-โป) หรอื สุตตันตอาโป
คอื สว่ นของรา่ งกายทม่ี ธี าตนุ า�้ ปรากฏชดั ซงึ่ กลา่ วไวใ้ นพระสตู รเพอ่ื ใชใ้ นการ
เจริญกายคตาสตกิ รรมฐาน มอี ยู่ ๑๒ อยา่ ง ได้แก่ ปิตตงั (นา�้ ด)ี , เสมหงั
(นา�้ เสลด), ปุพโพ (นา�้ หนอง), โลหติ งั (เลือด), เสโท (เหง่อื ), เมโท (มันข้น),
อสั สุ (นา้� ตา), วะสา (มันเหลว), เขโฬ (นา้� ลาย), สิง าณกิ า (นา�้ มูก), ลสกิ า
(ไขขอ้ ), มตุ ตงั (นา้� มูตร)
๓ กสิณอาโป (กะ-สิ-นะ-อา-โป) คือ น้�าที่ใส่ในบาตร หรือ
หมอ้ นา�้ หรอื ขนั นา�้ เพอื่ ใชเ้ ปน็ บรกิ รรมนมิ ติ (ใชเ้ พง่ ) ในการเจรญิ อาโปกสณิ
๔ สมมุติอาโป (สม-มุ-ต-ิ อา-โป) คือ น้�าในความหมายท่เี ขา้ ใจ
กันโดยท่ัวไป เช่น น้�าในแม่น�้า ล�าคลอง น้�าค้าง น้�า น น�้าผลไม้ น�้าด่ืม
น้�าใชใ้ นชวี ติ ประจา� วัน เปน็ ต้น
๓
มีลกั ษณะรอ้ น หรอื เยน็
ลักษณะร้อน เรียกวา่ อณุ หเตโช
ลกั ษณะเย็น เรยี กวา่ สีตเตโช
เตโช หรอ ธาตุ มี ๔ ความหมาย คอ
๑ ปรมัตถเตโช (ปะ-ระ-มัด-ถะ-เต-โช) คือ ความร้อน หรือ
ความเย็น ที่ปรากฏในส่ิงท่ีมีชีวิตและไม่มีชีวิตท้ังหลาย ซึ่งเป็นความหมาย
ของเตโชในพระอภธิ รรม
๒ สสมั ภารเตโช (สะ-สมั -พา-ระ-เต-โช) หรอื สตุ ตนั ตเตโช คอื
ส่วนของร่างกายท่มี ีธาตุไฟปรากฏชัดซ่งึ แสดงไวใ้ นพระสตู ร มี ๕ อย่าง คือ
๑) อสุ มาเตโช (อดุ -สะ-มา-เต-โช) ไออุน่ ภายในรา่ งกาย
๒) สันตัปปนเตโช (สนั -ตบั -ปะ-นะ-เต-โช) ไฟธาตทุ ท่ี า� ให้
อณุ หภมู ใิ นรา่ งกายสงู ผดิ ปกติ (เชน่ ขณะทม่ี ไี ขส้ งู ตวั รอ้ น
ผดิ ปกต)ิ
๓) ทหนเตโช (ทะ-หะ-นะ-เต-โช) ไฟธาตทุ มี่ คี วามรอ้ นสงู จดั
จนสะบดั ร้อนสะบดั หนาว ถึงขั้นกระวนกระวายจนเพอ้ ได้
๔) ชิรณเตโช (ชิ-ระ-นะ-เต-โช) ไฟธาตุท่ีท�าให้ร่างกาย
แกช่ ราทรุดโทรม
๕) ปาจกเตโช (ปา-จะ-กะ-เต-โช) ไฟธาตทุ ท่ี า� หนา้ ทยี่ อ่ ยอาหาร
๓ กสณิ เตโช (กะ-ส-ิ นะ-เต-โช) คอื เปลวไฟทที่ า� ใหเ้ ปน็ วงกลม
(โดยเจาะรฉู ากทีบ่ ังไฟเพอื่ ใหเ้ หน็ เปลวไฟเปน็ วงกลม) และใชเ้ ป็นบริกรรม
นมิ ติ (ใช้เพง่ ) ในการเจริญเตโชกสิณ
๔ สมมตุ ิเตโช (สม-มุ-ต-ิ เต-โช) คือ ไฟในความหมายท่เี ขา้ ใจ
กันโดยทั่วไป เช่น ไฟไหม้ฟืน ไฟไหม้หญ้า ไฟไหม้แกลบ ไฟจากแกส
ไฟจากตะเกยี ง ไฟจากเทยี น เปน็ ตน้
วาโย เป็นธาตุชนิดหน่ึง เรียกกันว่า ธาตุลม มีลักษณะเคร่งตึง
หรอื เคลอื่ นไหว
ธาตุลมท่มี ีลักษณะเครง่ ตงึ เรยี กวา่ วิตถมั ภนวาโย (วดิ -ถ�า-พะ-
นะ-วา-โย)
วติ ถมั ภนวาโยจะทา� ใหร้ ปู ทเี่ กดิ พรอ้ มกบั ตนมอี าการเครง่ ตงึ ตงั้ มนั่
ไม่เคลื่อนไหว เช่น ธาตุลมท่ีค้�าจุนให้ร่างกายเคร่งตึงอยู่ในอิริยาบถใหญ่
ท้ัง ๔ โดยไมเ่ คลอื่ นไหว
ธาตุลมที่มลี ักษณะเคลอ่ื นไหว เรยี กวา่ สมรี ณวาโย (สะ-มี-ระ-
นะ-วา-โย)
สมีรณวาโยจะท�าให้รูปท่ีเกิดพร้อมกันกับตนเคล่ือนไหวไปมาได้
เชน่ ธาตลุ มทที่ า� ใหเ้ กดิ การเคลอื่ นไหวของอริ ยิ าบถใหญท่ งั้ ๔ และ อริ ยิ าบถ
ย่อยทั้งหลาย
วาโย คอ ธาตุลม มี ๔ ความหมาย คอ
๑ ปรมตั ถวาโย (ปะ-ระ-มดั -ถะ-วา-โย) คอื ลักษณะเคร่งตงึ
หรอื เคลอื่ นไหว ซง่ึ เป็นความหมายของวาโยในพระอภธิ รรม
๒ สสมั ภารวาโย (สะ-สมั -พา-ระ-วา-โย) หรอื สตุ ตนั ตวาโย คอื
สว่ นของรา่ งกายทมี่ ธี าตลุ มปรากฏชดั ทก่ี ลา่ วไวใ้ นพระสตู รมี ๖ ลกั ษณะ คอื
๑) อุทธังคมวาโย (อุด-ธัง-คะ-มะ-วา-โย) วาโยธาตุท่ีพัด
ขึน้ สู่เบือ้ งบน ทา� ใหเ้ กดิ การเรอ การหาว การไอ การจาม
เป็นต้น
๒) อโธคมวาโย (อะ-โท-คะ-มะ-วา-โย) วาโยธาตุทีพ่ ดั ลงสู่
เบอ้ื งตา่� ทา� ใหเ้ กดิ การผายลม การเบ่ง(ลมเบ่ง) เปน็ ตน้
๓) กุจ ิฏฐวาโย (กุด-ฉิด-ถะ-วา-โย) วาโยธาตุท่ีอยู่ใน
ชอ่ งท้อง ทา� ใหจ้ ุก เสียด แนน่ ทอ้ ง ปวดทอ้ ง เป็นตน้
๔) โกฏฐาสยวาโย (โกด-ถา-สะ-ยะ-วา-โย) วาโยธาตุที่
อยูใ่ นลา� ไสใ้ หญ่ ทา� ใหท้ อ้ งลนั่ ท้องรอ้ ง เป็นตน้
๕) อังคมังคานุสารีวาโย (อัง-คะ-มัง-คา-นุ-สา-รี-วา-โย)
วาโยธาตุที่อยู่ทั่วร่างกายจะท�าให้มหาภูตรูปท่ีเกิดพร้อม
กับตนเคล่ือนไหวไปมาได้ ท�าให้เกิดการเคล่ือนไหวของ
อิรยิ าบถทง้ั ๔ คอื ยนื เดิน น่ัง นอน และอริ ยิ าบถยอ่ ย
เช่น คู้ เหยียด ก้ม เงย กะพริบตา อ้าปาก ขยับแขน
ขยับขา ฯลฯ การท่ีสัตว์เคลื่อนไหวไปมาได้นั้นก็เพราะ
วาโยธาตุ เชน่ การเดนิ เกดิ ขนึ้ ไดเ้ พราะมวี าโยธาตผุ ลกั ดนั ให้
เดนิ วาโยธาตทุ ที่ า� ใหเ้ กดิ การเคลอื่ นไหวมชี อ่ื เรยี กโดยเฉพาะ
วา่ สมรี ณวาโย ซึง่ เกดิ ขึ้นไดเ้ พราะมีเจตนาท่อี ยากจะเดนิ
ขณะท่ีมีอาการเก็งแขน ขา หรือขณะที่เพ่งมองดู
สงิ่ ใดโดยไมก่ ะพรบิ ตากเ็ ปน็ อาการของธาตลุ มทท่ี า� ใหส้ ว่ น
ต่าง ๆ ของรา่ งกายตงั ม่ัน มเ่ คล่อน หว (มอี าการเครง่ ตึง
นนั่ เอง) เช่น ในขณะที่อยใู่ นอริ ยิ าบถใดอิริยาบถหนง่ึ โดย
ไมเ่ คลอ่ื นไหว หากเกดิ ในวตั ถสุ งิ่ ของตา่ ง ๆ (ภายนอกรา่ งกาย)
ก็จะท�าให้สิ่งน้ันต้ังอยู่ได้อย่างม่ันคง เช่น ในยางรถยนต์
หรอื ในลูกบอลท่ีสูบลมเขา้ ไปจนเตม็ กจ็ ะเกดิ ภาวะเคร่งตงึ
ขน้ึ มา วาโยธาตทุ ท่ี า� ใหเ้ กดิ การเครง่ ตงึ มชี อ่ื เรยี กโดยเฉพาะ
ว่า วิตถัมภนวาโย
๖) อัสสาสปสสาสวาโย (อัด-สา-สะ-ปัด-สา-สะ-วา-โย)
คอื วาโยธาตุท่ีอยใู่ นลกั ษณะของลมหายใจเข้าออก
๓ กสณิ วาโย (กะ-ส-ิ นะ-วา-โย) คอื ลมตามธรรมชาตทิ นี่ า� มาเปน็
อารมณ์ในการเพง่ กสณิ โดยอาศยั การไหวของใบไม้บา้ ง ของยอดหญา้ บา้ ง
หรอื การไหวของวตั ถุใด ๆ ก็ตามท่นี า� มาเปน็ อารมณ์ในการเจรญิ วาโยกสิณ
๔ สมมุติวาโย (สม-มุ-ติ-วา-โย) คือ ลมในความหมายท่ี
เขา้ ใจกันโดยทั่วไป หรอื ลมตามธรรมชาติท่ีพดั ไปมา เชน่ ลมบก ลมทะเล
ลมเหนอื ลมพายุ เปน็ ต้น
มหาภูตรูปทัง ๔ นี หากสังเกต หดีจะเหนว่าแต่ละรูปจะมีสภาว
ลกั ณะท่ีตรงขามกันอยู่ นตัวเอง กลา่ วคอ
ปถวี มีลักษณะท้ังแข็ง และอ่อน (ส่ิงใดมีปถวีมากก็จะแข็ง
มปี ถวีน้อยก็จะออ่ น)
อาโป มลี ักษณะท้งั ไหล และเกาะกุม (สง่ิ ใดมีอาโปมากกจ็ ะเหลว
จนไหลได้ มอี าโปน้อยก็แค่ท�าหนา้ ที่เกาะกุมจบั ตวั กันให้เป็นก้อนเท่านน้ั )
เตโช มีลักษณะทั้งร้อน และเย็น (สิ่งใดมีเตโชมากก็จะร้อน
มีเตโชน้อยก็จะเย็น)
วาโย มลี กั ษณะทงั้ เครง่ ตงึ และเคลอ่ื นไหว (เมอื่ วาโยมากจะเกดิ
อาการเครง่ ตึง หากมวี าโยไม่มากจนเกนิ ไปก็จะท�าใหเ้ คลือ่ นไหวได)้
ธาตุทัง ๔ นี ตองเกิดพรอมกันเสมอ จะเกิดอย่างเอกเทศ ม่ ด
เดดขาด จงรวมเรียกว่า มหาภูตรปู ๔
มหาภตู รปู ๔ เปน็ รปู พน้ื ฐานซงึ่ เปน็ ประธานของรปู อน่ื ๆ และเปน็
รูปทปี่ รากฏชดั เจน กล่าวคอื วัตถสุ ง่ิ ของต่าง ๆ ท่ปี รากฏเป็นรปู ร่างสัณฐาน
ขนึ้ มาได้นนั้ ก็เพราะอาศัยมหาภูตรปู ทง้ั ๔ น้ีเอง
อุปาทายรูป หมายถง รูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด ถ า ม่มี
มหาภูตรูปแลว อุปาทายรูปก ม่สามารถจะเกิดขน ด ่ง ดแก่รูปท่ีเหลอ
อกี ๒๔ รปู (หมวดท่ี ๒ ถง ๑๑) ไดแ้ ก่ ปสาทรปู ๕, วสิ ยรปู ๔ (หรอื ๗), ภาวรปู ๒,
หทยรปู ๑, ชวี ติ รปู ๑, อาหารรปู ๑, ปรจิ เฉทรปู ๑, วญิ ญตั ริ ปู ๒, วกิ ารรปู ๓,
ลกั ขณรูป ๔
ด สา ร
คา� ว่า ปสาท (ปะ-สา-ทะ) แปลว่า ความใส
ปสาทรูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรม นอดีต (มีกรรมเป็นสมุฏฐาน)
มีลักษณะเป็นเพียงความใสที่รับกระทบอารมณ์ได้ ไม่ใช่เส้นประสาทท่ีทาง
การแพทย์อธิบายไว้ มีทง้ั หมด ๕ ชนิด คอื
๑ จกั ขปุ สาทรูป (จกั -ข-ุ ปะ-สา-ทะ-รูป) อยู่กลางตาด�า มคี วาม
สามารถในการรบั คลื่นแสงตา่ ง ๆ (รปู ารมณ)์ ที่มากระทบ เปน็ ทต่ี ัง้ ของจิต
ทที่ �าหน้าทเี่ ห็น (จกั ขวุ ญิ ญาณ)
๒ โสตปสาทรูป (โส-ตะ-ปะ-สา-ทะ-รูป) อยู่ภายในช่องหู
มีความสามารถในการรบั คลนื่ เสยี งต่าง ๆ (สทั ทารมณ์) ทมี่ ากระทบ เป็นที่
ตั้งของจิตทท่ี �าหนา้ ที่ได้ยิน (โสตวิญญาณ)
๓ านปสาทรูป (คา-นะ-ปะ-สา-ทะ-รูป) อยู่ภายในช่องจมูก
มคี วามสามารถในการรบั กลน่ิ ตา่ ง ๆ (คนั ธารมณ)์ ทม่ี ากระทบ เปน็ ทต่ี งั้ ของ
จติ ทที่ �าหน้าทร่ี ูก้ ล่ิน ( านวิญญาณ)
๔ ชิวหาปสาทรูป (ชิว-หา-ปะ-สา-ทะ-รูป) อยู่ท่ีล้ิน มีความ
สามารถในการรับรสต่าง ๆ (รสารมณ์) ท่ีมากระทบ เป็นท่ีตั้งของจิตที่ท�า
หนา้ ท่รี ู้รส (ชิวหาวญิ ญาณ)
๕ กายปสาทรูป (กา-ยะ-ปะ-สา-ทะ-รูป) ประสาทกายน้ีจะ
เกิดอยทู่ ว่ั ร่างกาย (ยกเวน้ ท่ปี ลายผม ขน เลบ็ หนังท่หี นากระด้าง) มคี วาม
สามารถในการรับสิ่งสัมผัสต่าง ๆ คือ รับรูปเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน
ตึง (โผฏฐพั พารมณ์) ทีม่ ากระทบ เป็นที่ตั้งของจติ ทรี่ ับรกู้ ารกระทบสัมผัส
ทางกาย (กายวญิ ญาณ)
๑ จกั ขุปสาทรปู
จกั ขปุ สาทรปู ไมไ่ ดห้ มายถงึ นยั นต์ า หรอื ลกู ตาทง้ั ลกู แตห่ มายถงึ
เฉพาะจักขุปสาทรูป (ความใส) ที่ตั้งอยู่กลางตาด�าเท่านั้น (ลูกตาทั้งลูก
จะเรียกว่า สสัมภารจักขุ ซงึ่ หมายถึง ก้อนรูปทม่ี จี ักขุปสาทรปู เปน็ ประธาน)
จักขุปสาทรูปเป็นรูปชนิดหนึ่งที่เกิดจากกรรม กรรมในอดีตจะ
ส่งผลให้มีจักขุปสาทรูปท่ีดีหรือไม่ดี (ตาดี หรือตาบอด) บางคนเกิดมา
เปน็ คนตาดี แตพ่ อโตขน้ึ กลบั กลายเปน็ คนตาบอดกเ็ พราะจกั ขปุ สาทมกี รรม
ในอดีตเป็นสมฏุ ฐาน (เป็นต้นเหต)ุ น่ันเอง
อเห ุตก ิจต ๑๘ อกุศลวปิ ากจิต ๗
อเหตุกกศุ ลวิปากจติ ๘
อเหตุกกริ ิยาจิต ๓
จักขุปสาทรูปเปน็ ที่ตง้ั ของจักขุวญิ ญาณ ๒ ดวง คือ จิตหมายเลข
๑๓ และ ๒๐ เพ่อทา� หนาทีร่ บั อารมณท์ างตา (รูปารมณ์) ที่ ม่ดแี ละทด่ี ีตาม
ลา� ดบั จกั ขปุ สาทรปู จะทา� หนา้ ทรี่ บั รปู ารมณท์ ม่ี ากระทบเทา่ นน้ั แตไ่ มส่ ามารถ
เหน็ รูปารมณไ์ ด้ จกั ขวุ ิญญาณต่างหากท่เี ปน็ ผ้เู ห็นรปู ารมณ์
จกั ขุปสาทรูป มหี นา้ ท่ี ๒ ประการ คือ
๑. เป็นที่ตง้ั ของจักขุวญิ ญาณในการเหน็ รปู ารมณต์ า่ ง ๆ
๒. เปน็ ทวาร คอื ประตใู หจ้ กั ขทุ วารวถิ เี กดิ ขน้ึ เพอ่ื รบั รรู้ ปู ารมณต์ า่ ง ๆ
๒ โสตปสาทรูป
เปน็ รปู ชนดิ หนง่ึ ทเี่ กดิ จากกรรม อยภู่ ายในชอ่ งหสู ว่ นลกึ มลี กั ษณะใส
เปน็ ทต่ี ง้ั ของโสตวญิ ญาณ ๒ ดวง คอื จติ หมายเลข ๑๔ และ ๒๑ เพอ่ รบั เสยี ง
(สทั ทารมณ)์ ท่ี มด่ แี ละทด่ี ตี ามลา� ดบั โสตปสาทรปู ไมส่ ามารถไดย้ นิ เสยี งได้
แต่โสตวิญญาณท่ีเกิดขึ้นโดยอาศัยโสตปสาทรูปต่างหากที่เป็นผู้ได้ยิน
โสตปสาทรปู มหี นา้ ทร่ี บั กระทบเสยี งทมี่ าปรากฏ และเปน็ ทต่ี ง้ั ของโสตวญิ ญาณ
ซึ่งจะมาทา� หน้าทีไ่ ดย้ นิ เสียง
โสตปสาทรูป มีหน้าที่ ๒ ประการ คอื
๑. เป็นทต่ี ั้งของโสตวิญญาณในการรับร้เู สยี งตา่ ง ๆ
๒. เปน็ ทวาร คอื ประตใู หโ้ สตทวารวถิ เี กดิ ขน้ึ เพอื่ รบั รเู้ สยี งตา่ ง ๆ
๓ านปสาทรูป
เป็นรปู ชนิดหนง่ึ ท่ีเกิดจากกรรม อยภู่ ายในชอ่ งจมูกมลี ักษณะใส
เป็นที่ต้ังของ านวิญญาณ ๒ ดวง คือจิตหมายเลข ๑๕ และ ๒๒
เพ่อรบั กลนิ่ (คันธารมณ์) ท่ี ม่ดีและทดี่ ีตามล�าดับ านปสาทรปู ไม่สามารถ
รู้กลิ่นได้ แต่ านวิญญาณท่ีเกิดขึ้นโดยอาศัย านปสาทรูปต่างหากท่ีเป็น
ผูร้ ับรูก้ ลิน่
านปสาทรูป มีหนา้ ท่ี ๒ ประการ คอื
๑. เป็นที่ตั้งของ านวิญญาณในการรบั รกู้ ลน่ิ ต่าง ๆ
๒. เปน็ ทวาร คอื ประตใู ห้ านทวารวถิ เี กดิ ขนึ้ เพอ่ื รบั รกู้ ลน่ิ ตา่ ง ๆ
๔ ชวิ หาปสาทรปู
เปน็ รปู ชนดิ หนง่ึ ทเี่ กดิ จากกรรม อยกู่ ลางลนิ้ มลี กั ษณะใส เปน็ ทต่ี งั้
ของชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง คือ จิตหมายเลข ๑๖ และ ๒๓ เพ่อรับรส
(รสารมณ์) ท่ี ม่ดีและที่ดีตามล�าดับ ชิวหาปสาทรูปไม่สามารถรู้รสได้ แต่
ชวิ หาวญิ ญาณทเี่ กดิ ขนึ้ โดยอาศยั ชวิ หาปสาทรปู ตา่ งหากทเ่ี ปน็ ผรู้ บั รรู้ สตา่ ง ๆ
ชวิ หาปสาทรูป มีหนา้ ที่ ๒ ประการ คอื
๑. เปน็ ทต่ี ั้งของชวิ หาวญิ ญาณในการรับรรู้ สตา่ ง ๆ
๒. เปน็ ทวาร คอื ประตูใหช้ ิวหาทวารวิถเี กดิ ขึน้ เพ่ือรับรรู้ สต่าง ๆ
๕ กายปสาทรูป
เป็นรูปชนิดหน่ึงท่ีเกิดจากกรรมแผ่ซ่านอยู่ทั่วร่างกาย (ยกเว้นท่ี
ปลายผม ขน เลบ็ หนงั ทหี่ นากระดา้ ง) มลี กั ษณะใส เปน็ ทต่ี ง้ั ของกายวญิ ญาณ
๒ ดวง คอื จติ หมายเลข ๑๗ และ ๒๔ ทา� หรูสัม สั ต่าง คอ เยน รอน
ออ่ น แขง หยอ่ น ตง ท่ี มด่ แี ละทด่ี ีตามล�าดบั กายปสาทรปู ไม่สามารถรบั รู้
สัมผสั ต่าง ๆ ได้ แต่กายวญิ ญาณทเี่ กิดข้ึนโดยอาศัยกายปสาทรปู ต่างหากท่ี
เปน็ ผ้รู ับรสู้ ัมผัสตา่ ง ๆ น้ัน
กายปสาทรปู มีหนา้ ท่ี ๒ ประการ คอื
๑. เปน็ ที่ตงั้ ของกายวญิ ญาณเพอื่ รบั รู้สมั ผัสตา่ ง ๆ ทางกาย
๒. เปน็ ทวาร คอื ประตใู หก้ ายทวารวถิ เี กดิ ขนึ้ เพอ่ื รบั รสู้ มั ผสั ตา่ ง ๆ
ทางกาย
โปรดเขา้ ใจวา่ ปสาทรปู ทง้ั ๕ นไ้ี มใ่ ชเ่ สน้ ประสาททที่ างการแพทยไ์ ด้
อธบิ ายไว้ เพราะเสน้ ประสาททที่ างการแพทยอ์ ธบิ ายไวน้ นั้ เปน็ บญั ญตั ธิ รรม
ท่ีเรียกว่า สมมุติสัจจะ (Artificial Truth) ส่วนปสาทรูปในพระอภิธรรม
เป็นความจริงในชั้นปรมัตถ์ท่ีเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ (Absolute Truth)
ซง่ึ มสี ภาพเปน็ ความใสอนั ปราศจากรปู รา่ งสณั ฐาน และไมส่ ามารถจบั ตอ้ งได้
แตส่ ามารถรับกระทบรปู เสียง กลนิ่ รส และการสัมผสั ได้ เปน็ รปู ที่เกดิ จาก
อดตี กรรม มกี ารเกดิ -ดบั -เกดิ -ดบั สบื เนอื่ งกนั ไปตลอดเวลา โดยปราศจาก
อตั ตาตวั ตน และไมม่ ใี ครเปน็ เจา้ ของ สามารถยกมาเปน็ อารมณข์ องวปิ สั สนา
คอื น�ามาพจิ ารณาโดยความเป็นอนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา ได้
ด สยร รอ
วสิ ยะ (วิ-สะ-ยะ) แปลว่า อ�านาจ
วสิ ยรปู หมายถงึ รปู ทมี่ อี า� นาจชกั นา� จติ ใหม้ ารบั อารมณ์ (ทางทวาร
ทั้ง ๕) หรอื รปู ทีเ่ ป็นอารมณ์ (ของจติ ) ทางทวารทั้ง ๕ คอื ทางตา หู จมูก
ล้ิน กาย มที ัง้ หมด ๗ รูป ได้แก่
๑ รูปารมณ์ คือ คลื่นสีต่าง ๆ (วัณณรูป) ที่มากระทบกับ
จักขุปสาท และท�าใหเ้ กิดจักขุวิญญาณ (เกดิ การเหน็ )
๒ สัททารมณ์ คือ คลื่นเสียงต่าง ๆ (สัททรูป) ท่ีมากระทบกับ
โสตปสาท และท�าใหเ้ กดิ โสตวิญญาณ (เกิดการได้ยนิ )
๓ คนั ธารมณ์ คอื กลนิ่ ตา่ ง ๆ (คนั ธรปู ) ทม่ี ากระทบกบั านปสาท
และทา� ใหเ้ กดิ านวญิ ญาณ (ได้กลิ่น)
๔ รสารมณ์ คือ รสต่าง ๆ (รสรูป) ที่กระทบกับชิวหาปสาท
และทา� ให้เกิดชิวหาวญิ ญาณ (รู้รส)
๕ โ ฏฐพั พารมณ์ คือ ความแข็ง-ออ่ น (ปถวีธาต)ุ , ความเย็น-
รอ้ น (เตโชธาต)ุ , ความหยอ่ น-ตงึ (วาโยธาต)ุ ทม่ี ากระทบกบั กายปสาท และ
ท�าให้กายวญิ ญาณเกดิ ข้ึนเพื่อรับร้อู ารมณเ์ หลา่ น้นั
โ ฏฐัพพารมณม์ ี ๓ ลกั ณะ คอ
๑) ปถวีโ ฏฐัพพารมณ์ ได้แก่ อารมณ์ที่มสี ภาพแขง็ หรอื ออ่ น
องค์ธรรมคือ ปถวธี าตุ
๒) เตโชโ ฏฐัพพารมณ์ ไดแ้ ก่ อารมณ์ที่มสี ภาพเย็นหรอื รอ้ น
องคธ์ รรมคอื เตโชธาตุ
๓) วาโยโ ฏฐัพพารมณ์ ได้แก่ อารมณ์ที่มีสภาพหย่อน
(เคล่ือนไหว) หรอื เครง่ ตึง องคธ์ รรมคอื วาโยธาตุ
สาเหตุท่ีไม่มีอาโปธาตุเพราะอาโปธาตุไม่สามารถกระทบ
กายปสาทได้ คอื สมั ผสั ถูกต้องไมไ่ ด้ (รู้ได้ดว้ ยใจเท่านนั้ ) ดังน้ัน จึงไม่มี
อาโปโผฏฐัพพารมณ์
ดังน้ัน วสิ ยรปู ๗ จึงประกอบด้วย ๑. รปู ารมณ์ ๒. สทั ทารมณ์
๓. คนั ธารมณ์ ๔. รสารมณ์ บวกกับโผฏฐพั พารมณ์ อีก ๓ รูป คอื ๕. ปถวี
โผฏฐัพพารมณ์ ๖. เตโชโผฏฐัพพารมณ์ และ ๗. วาโยโผฏฐัพพารมณ์
รวมท้ังหมดเปน็ ๗ รปู
วิสยรูป ๗ ถกู เรยี กว่า วิสยรปู ๔ (หรอ ๗) เพราะประกอบดวยรปู
๗ ชนิด แต่นบั เพยี ง ๔ เพราะ ๓ รูปหลงั นนั มีองคธ์ รรมคอ ปถวี เตโช วาโย
่งนับอยู่ นมหาภตู รปู ๔ แลว จง มน่ า� มานับ �าอกี
วิสยรูป เรียกอีกอยา่ งหน่งว่า โคจรรปู (โค-จะ-ระ-รปู ) ก ด
โคจรรปู หมายถงึ รปู ทช่ี กั นา� จติ และเจตสกิ ใหโ้ คจร (เคลอ่ื น หมนุ )
ไปยงั ทวารทง้ั ๕ นัน่ เอง
หมายเหตุ วัณณรปู (คลื่นแสงต่างๆ) , สทั ทรปู (เสยี ง), คันธรูป
(กลน่ิ ), รสรปู (รส), ปถว,ี เตโช, วาโย จะเปน็ รปู ารมณ,์ สทั ทารมณ,์ คนั ธารมณ,์
รสารมณ์, ปถวโี ผฏฐัพพารมณ,์ เตโชโผฏฐัพพารมณ์, วาโยโผฏฐพั พารมณ์
กต็ ่อเม่อื มาปรากฏเป็นอารมณท์ างตา, ห,ู จมูก, ลิน้ , กาย แลว้ เทา่ นน้ั
เนอ่ งจากปสาทรปู ๕ และ วสิ ยรปู ๗ เป็นรูปหยาบทังคู่ จงมชี อ่
เรียกรวมกนั ว่า โอ ารกิ รูป ๑๒
จิตที่เกิดทางตา หู จมูก ล้ิน จะมีเวทนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
คือ อุเบกขาเวทนา แต่จิตทเ่ี กดิ ทางกาย จะมีเวทนา ๒ อยา่ ง คือ ทุกขเวทนา
(ทกุ ขก์ าย) และสขุ เวทนา (สุขกาย)
เมอื่ มโี ผฏฐพั พารมณท์ ไ่ี มด่ มี ากระทบกายปสาท กายวญิ ญาณ าย
อกุศลวิบาก (จิตหมายเลข ๑๗) จะเกดิ ข้ึนพรอ้ มดว้ ยทุกขเวทนา
เม่ือมีโผฏฐัพพารมณ์ที่ดีมากระทบกายปสาท กายวิญญาณ าย
กุศลวิบาก (จิตหมายเลข ๒๔) จะเกิดข้ึนพรอ้ มด้วยสขุ เวทนา
ด าร
ภาวรูป (พา-วะ-รปู ) คอื รปู ที่เป็นเหตใุ หเ้ กิดความเป็นหญงิ หรือ
เปน็ ชาย ซง่ึ รไู้ ดด้ ว้ ยใจ โดยอาศยั รปู รา่ งสณั ฐาน นสิ ยั และกริ ยิ าอาการตา่ ง ๆ
เปน็ เคร่ืองแสดงออก มี ๒ ลกั ษณะ คอื อิตถีภาวรูป และปุริสภาวรูป
อิตถภี าวรปู คอ รปู ทเี่ ปน็ เหตุ หเกดิ ความเป็นห งิ ในบุคคลหนงึ่ ๆ
จะมีภาวรปู ได้เพยี ง
ปรุ สิ ภาวรูป คอ รูปที่เปน็ เหตุ หเกดิ ความเปน็ ชาย อย่างใดอย่างหน่งึ
เทา่ น้นั
ภาวรูปท้ัง ๒ เกิดจากกรรมในอดีตและจะแผ่ซ่านไปท่ัวร่างกาย
การตดั สินความเป็นเพศหญิง หรอื เพศชายจากสิ่งทต่ี าเห็น เช่น หนวดเครา
หรือเคร่ืองหมายท่ีแสดงเพศ อาจไม่เพียงพอท่ีจะตัดสินได้อย่างถูกต้องว่า
เขาเป็นหญิงหรือชายกันแน่ ดังนั้น จึงจ�าเป็นต้องสังเกตกิริยาอาการ เช่น
การเดนิ การยนื การน่งั การนอน การกนิ การพูด และอปุ นสิ ัยสว่ นตวั ด้วย
จงึ จะตดั สินได้ถกู ตอ้ ง
ถา้ อติ ถภี าวรปู เปน็ ผปู้ กครอง แมว้ า่ รปู รา่ งสณั ฐานและอวยั วะเพศ
จะเปน็ ชาย แตอ่ ากปั กริ ิยาทา่ ทาง และนสิ ยั ใจคอจะเปน็ หญงิ
ถ้าปุริสภาวรปู เปน็ ผูป้ กครอง แม้วา่ รปู รา่ งสณั ฐานและอวัยวะเพศ
จะเป็นหญงิ แต่อากปั กริ ิยาท่าทางและนิสยั ใจคอจะเป็นชาย
ด ยร
หทยรปู (หะ-ทะ-ยะ-รูป) เป็นรูปชนดิ หนง่ึ ซ่ึงเกิดจากกรรมเปน็
สมฏุ ฐาน อยภู่ ายในหวั ใจ มคี วามสา� คญั มากเพราะเปน็ ทตี่ งั้ ของจติ ทเี่ กดิ ทาง
มโนทวาร ๗๕ ดวง ไดแ้ ก่ มโนธาตุ ๓ ดวง และมโนวญิ ญาณธาตุ ๗๒ ดวง
(เว้น ทวปิ ัญจวิญญาณจิต ๑๐, อรูปาวจรวปิ ากจติ ๔)
หทยรูป เปน็ รปู ทสี่ ัมผสั ไมไ่ ด้ เพราะเป็นสุขมุ รูป
ด ชร
ชวี ติ รูป (ช-ี วิ-ตะ-รปู ) เป็นรปู ทมี่ หี นา้ ทรี่ ักษากมั มชรูป (รปู ทเี่ กดิ
จากกรรม) ชีวิตรูปจะแผ่ปกคลุมไปท่ัวร่างกายของสัตว์ การที่กัมมชรูป
ทั้งหลายตั้งอยู่ได้ก็เพราะมีชีวิตรูปเป็นผู้รักษา กัมมชรูปเหล่าน้ีแม้จะเกิด
จากกรรมกจ็ ริง แต่กรรมไม่ได้เปน็ ผู้รักษา เพราะกรรมที่เปน็ ต้นเหตุใหเ้ กิด
กมั มชรปู เหลา่ นีเ้ ป็นอดีตทด่ี ับไปแล้ว ด้วยเหตนุ ีจ้ งึ ต้องมรี ปู โดยเฉพาะ คือ
ชีวิตรูปมาท�าหน้าที่เป็นผู้รักษา เปรียบเสมือนน้�าในแจกันที่รักษาความสด
ของดอกไม้ทป่ี ักไวใ้ นแจกัน
ส่วนจิตตชรูป อุตุชรูป และอาหารรปู ไม่ตอ้ งมรี ปู โดยเฉพาะเปน็
ผู้อนบุ าลรักษา เพราะรูปเหล่าน้มี สี มฏุ ฐานของตนเปน็ ผู้อนุบาลรักษาไว้
ด อา ารร
กพ การ แปลวา่ อาหารที่กระท�าใหเ้ ป็นค�า
อาหาร แปลวา่ อาหารทกี่ ลืนกิน
กพ การาหาร (กะ-พะ-ลี-กา-รา-หาน) แปลวา่ อาหารทก่ี ระท�า
ให้เป็นค�าด้วยและกลืนกินด้วย ซึ่งหมายถึงอาหารท่ีอยู่ในจานนั่นเอง เช่น
ข้าว เนอื้ สตั ว์ ผกั ผลไม้ เปน็ ต้น แต่ในทางปรมตั ถ์ (ความจรงิ อนั เปน็ ทสี่ ุด)
อาหารท่ีแทจ้ รงิ คือคณุ ค่าทางโภชนาการที่อยู่ในกพฬีการาหาร เชน่ วติ ามนิ
และแร่ธาตุต่าง ๆ ท่ีอยู่ในกพฬีการาหาร ภาษาธรรมเรียกว่า อาหารรูป
(อา-หา-ระ-รูป) หรอ โอชา
เมอื่ อาหารรปู (โอชา) เข้าไปอยใู่ นรา่ งกายของสัตวแ์ ล้วย่อมทา� ให้
อาหารชรูป (อา-หา-ระ-ชะ-รปู ) เกิดข้นึ กล่าวคอื เมอื่ บคุ คลบรโิ ภคอาหาร
เขา้ ไป ปาจกเตโชธาตจุ ะท�าหนา้ ทยี่ ่อยอาหาร ค้นั เอาแตโ่ อชาไปบา� รงุ รา่ งกาย
เพอื่ ท�าใหร้ า่ งกายของสตั วท์ งั้ หลายมกี �าลังวังชา เจรญิ เติบโต แขง็ แรง และ
ด�ารงชีวิตอยไู่ ด้ รปู ท่ีเกดิ จากอาหารรูป เรยี กวา่ อาหารชรปู
กอ่ นจะกลา่ วถงึ รปู ปรมตั ถห์ มวดตอ่ ไป จะขออธบิ ายเรอ่ื งรปู ปรมตั ถ์
แทแ้ ละรูปปรมัตถเ์ ทยี มใหท้ ราบเสียก่อน ดังน้ี
ร ร ั ละ ร ร ั ย
รปู ทอี่ ธบิ ายมาแลว้ ทงั้ หมดตง้ั แตต่ น้ คอื มหาภตู รปู ๔, ปสาทรปู ๕,
วิสยรูป ๔ (หรือ ๗), ภาวรปู ๒, หทยรูป ๑, ชวี ติ รูป ๑ และอาหารรปู ๑ รวม
๑๘ รูป (ดูทห่ี น้า ๒๑๔) เปน็ รปู ปรมตั ถแ์ ท มีชอ่ เรียกว่า นิป นั นรูป ๑๘
รูปเหลา่ น้ีมีคณุ สมบตั พิ ิเศษเฉพาะตัว คือ
๑ เป็นรูปที่มีสภาวลัก ณะประจ�าตัวโดยเ พาะ เช่น ปถวี
(ธาตดุ นิ ) มลี กั ษณะแขง็ หรอื ออ่ น, อาโป (ธาตนุ า้� ) มลี กั ษณะไหล หรอื เกาะกมุ ,
เตโช (ธาตไุ ฟ) มลี กั ษณะรอ้ น หรอื เยน็ เปน็ ตน้ รปู เหลา่ นจ้ี ะทรงสภาวลกั ษณะ
ของตนไว้โดยไม่เปลย่ี นแปลงเปน็ อย่างอืน่
๒ เป็นรปู ท่เี กดิ จากสมฏุ ฐาน (เหต)ุ ทงั ๔ คอ เกิดจากกรรม จิต
อตุ ุ อาหาร (จะอธิบายโดยละเอียดในเร่ืองสมุฏฐานของรูปขันธ์ หน้า ๒๔๘)
๓ เป็นรปู ทม่ี สี ามั ลกั ณะ ๓ ประการ (ไตรลักษณ์) กลา่ วคอื
- ไม่เที่ยง (อนิจจลักษณะ)
- ทนอยูใ่ นสภาพเดิมไมไ่ ด้ (ทกุ ขลกั ษณะ)
- ไม่ใช่ตัวตน บงั คบั บัญชาไมไ่ ด้ (อนัตตลกั ษณะ)
๔ นา� มา ชเปน็ อารมณ์ นการเจริ วปิ สสนากรรมฐาน ด เพราะ
มอี าการของไตรลกั ษณ์มาปรากฏ
นิป นั นรูป แบ่งเปน็ ๒ ประเภท คอ
๑ อนิ ทรยิ นปิ นั นรปู (อนิ -ทะ-ร-ิ ยะ-นบิ -ผนั -นะ-รปู ) หมายถงึ
รูปปรมัตถ์แท้ที่เป็นส่วนประกอบของส่ิงมีชีวิตทั้งหลาย มีท้ังหมด ๑๘ รูป
ดงั กล่าวมาแลว้
๒ อนินทริยนิป ันนรูป (อะ-นิน-ทะ-ริ-ยะ-นิบ-ผัน-นะ-รูป)
หมายถงึ รปู ปรมตั ถแ์ ทท้ เี่ ปน็ สว่ นประกอบของสง่ิ ทไี่ มม่ ชี วี ติ ทงั้ หลาย เชน่ โตะ
เกา้ อี้ รถยนต์ อาคารบา้ นเรอื น ภูเขา ต้นไม้ เปน็ ต้น มีทัง้ หมดเพียง ๘ รูป
คือ มหาภตู รปู ๔ รูปารมณ์ คนั ธารมณ์ รสารมณ์ และอาหารรูป (โอชา)
ส่วนรปู ทเี่ หลอื อีก ๑๐ รูป ไดแ้ ก่ ปรจิ เฉทรูป ๑, วญิ ญัตริ ปู ๒,
วกิ ารรปู ๓, ลักขณรูป ๔ เป็น รปู ปรมัตถ์เทยี ม มชี อ่ เรยี กวา่ อนปิ นั นรูป
(อะ-นบิ -ผนั -นะ-รปู ) คอื รปู ทไ่ี มใ่ ชร่ ปู ปรมตั ถแ์ ท้ แตเ่ กยี่ วเนอื่ งโดยความ
เป็นอาการ หรือเป็นเครื่องหมายของนปิ ผนั นรปู อนปิ นั นรูปจะตองอาศัย
นิป ันนรูปเป็นที่เกิด ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เป็นรูปที่ไม่มีลักษณะ
ประจ�าตัวโดยเฉพาะ ไม่ได้เกิดจากกรรม จิต อุตุ อาหาร ไม่มีอาการของ
ไตรลกั ษณม์ าปรากฏ และใชเ้ ปน็ อารมณใ์ นการเจรญิ วปิ สั สนากรรมฐานไมไ่ ด้
ส่วนรูป นหมวดท่ี ๘ ถง ๑๑ เปน็ อนปิ นั นรูปทงั หมด มีรายละเอยี ด ดังน้ี
ด ร ฉร
ปรจิ เ ทรปู (ปะ-ริด-เฉ-ทะ-รูป) คือ อากาศธาตุ หรอื ชอ่ งวา่ งที่
คน่ั ระหวา่ งรปู กลาปตอ่ รปู กลาป (คลา้ ยกบั ชอ่ งวา่ งทค่ี นั่ ระหวา่ งเซลลต์ อ่ เซลล)์
ไม่มลี ักษณะเฉพาะของตนเอง มแี ตช่ อ่ งว่างซ่ึงเป็นอากาศ
ด ัร
วิ ัติรูป (วิน-ยัด-ติ-รูป) คือ อาการพิเศษของนิปผันนรูป
ซง่ึ มจี ติ เป็นผูบ้ งการ มี ๒ ลกั ษณะ คือ
๑ กายวิ ัตริ ปู คือ การเคลอื่ นไหวกาย โดยมีจติ เปน็ ผบู้ งการ
กายวญิ ญตั ริ ปู เปน็ รปู ทเี่ กดิ จากจติ (จติ ตชรปู ) เชน่ เมอ่ื จติ คดิ จะเดนิ
จิตตชวาโยธาตุ (ธาตุลมท่ีเกิดจากจิต) จะผลักดันขาท้ังสองข้างให้ก้าว
ไปขา้ งหนา้ ซง่ึ เปน็ อาการเคลอ่ื นไหวของนปิ ผนั นรปู โดยปราศจากบญั ญตั วิ า่
นาย ก ก�าลังเดิน การเคล่ือนไหวของนิปผันนรูปโดยมีจิตเป็นผู้บงการน้ี
เรยี กวา่ กายวิญญัติ
กายวิ ตั ิมี ๒ ลัก ณะ คอ
๑ การเคลอ่ น หวกายทจี่ ง จ ห อู น่ รคู วามประสงคข์ องตน เชน่
กวกั มือ (เปน็ การเรยี กให้เขา้ มาหา) โบกมอื ไล่ (ไม่ต้องการใหเ้ ขา้ มา) หรือ
การใช้ภาษามือเพ่ือการส่อื สาร เปน็ ตน้
๒ การเคลอ่ น หวกายทเี่ ปน็ ปตามปกติ โดยมิ ดมงุ่ หมาย ห อู น่
รูความประสงค์ของตน เช่น การเดิน การยืน การนง่ั การนอน ฯลฯ แต่ถึง
แม้จะมิได้จงใจให้ผู้อื่นรู้ความหมาย แต่อาการเหล่านี้ก็ย่อมท�าให้ผู้อ่ืนรู้ได้
วา่ เรากา� ลงั เดิน ยนื นงั่ นอน อย่ใู นขณะน้ัน
๒ วจีวิ ตั ิรปู คือ การเปลง่ วาจา โดยมจี ติ เปน็ ผบู้ งการ
วจีวิญญัติ เป็นรูปท่ีเกิดจากจิต (จิตตชรูป) เม่ือจิตคิดจะเปล่ง
วาจา จิตตชวาโยธาตจุ ะท�าให้นปิ ผันนรปู สรา้ งเสยี งตามทีจ่ ิตบงการ ธาตุลม
ที่เกิดจากจิตจะผลักดันให้มีการขยับปาก ขยับลิ้น และขับลมออกมา
เปน็ เสยี งตา่ ง ๆ ตามทจี่ ติ ตอ้ งการ เสยี งทเี่ ปลง่ ออกมาเปน็ รปู ปรมตั ถ์ (สทั ทรปู )
อาการของนิปผันนรปู ท่ีทา� ให้เสยี งเกดิ ข้นึ คือ วจีวญิ ญัติ (เปน็ รูปปรมัตถ์)
ส่วนความหมายของเสยี งเป็นบัญญตั ธิ รรม
ถาท�าปากเคล่อน หวแต่ ม่มีเสียง ม่เรียกว่า วจีวิ ัติ แต่เป็น
กายวิ ตั ิ
วจีวิ ัติมี ๒ ลัก ณะ คอ
๑ การเปลง่ วาจาทต่ี องการ ห อู น่ รคู วามประสงคห์ รอความหมาย
เชน่ การตะโกนเรียก การพดู คุย การเล่าเร่อื งราวตา่ ง ๆ ให้ผ้อู ืน่ ฟัง เปน็ ตน้
๒ การเปลง่ วาจาท่ี มต่ องการส่อความหมาย เช่น การเปลง่ เสยี ง
(อุทาน) ออกมาขณะตกใจ หรอื การท่องหนังสอื อยคู่ นเดยี ว ซึ่งมิได้เจาะจง
ใหเ้ กดิ ความหมายแก่ผ้ใู ด โดยผทู้ ไ่ี ดย้ นิ เสยี งจะทราบความหมายของเสยี ง
หรือไมก่ ต็ าม
ด การร
วกิ ารรปู (ว-ิ กา-ระ-รปู ) คอื รปู ทแ่ี สดงอาการพเิ ศษ ไดแ้ ก่ อาการ
เบากาย อาการออ่ นพลวิ้ และอาการทพี่ รอ้ มในการทา� กจิ ตา่ ง ๆ มี ๓ ลกั ษณะ
ดังนี้
๑ รปู ลหตุ า คอื รปู ทท่ี า� ใหร้ า่ งกายเบา คลอ่ งแคลว่ ในการเคลอื่ นไหว
หรอื เปลง่ วาจา (การพูด)
๒ รปู มุทตุ า คือ รปู ที่ทา� ให้ร่างกายอ่อนพลิว้ ไมแ่ ข็งท่ือ ในเวลาที่
เคล่ือนไหว หรือเปลง่ วาจา
๓ รปู กัมมั ตา คอื รูปทีท่ า� ให้ร่างกายมีความพรอ้ มในการท�า
กจิ ตา่ ง ๆ เชน่ การเคล่อื นไหว หรือการเปล่งวาจา
การทเี่ ราเคลอ่ื นไหวกาย (กายวญิ ญตั )ิ หรอื เปลง่ วาจา (วจวี ญิ ญตั )ิ
ได้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไว ก็เพราะวิการรูปท้ัง ๓ หากไม่มีวิการรูป
การเคลื่อนไหวกาย และการพดู ได้อย่างคลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว จะเกิดขึ้นไม่ได้
วกิ ารรูป ๓ เกิดได้ทวั่ รา่ งกาย ถา้ เกดิ ก็ตอ้ งเกดิ พรอ้ มกันท้งั ๓ รปู
ถ้าไม่เกิดกไ็ ม่เกดิ ด้วยกันทง้ั ๓ รูป ไม่ได้เกิดตลอดเวลา และเกิดไดใ้ นสงิ่ ท่ี
มีชีวติ เทา่ นั้น โดยเกดิ จาก ๓ สมุฏฐาน คอื เกิดจากจิต หรืออุตุ หรืออาหาร
หากเกิดจากจิต ก็จะเกิดในขณะที่จิตใจสบาย ปลอดโปร่ง
การทา� งาน และการพดู กพ็ ลอยคลอ่ งแคล่ว ไมต่ ิดขัด
หากเกิดจากอุตุ คือ ความเย็น ความร้อน เช่น ถ้าอากาศร้อน
มากเกินไป หรือร่างกายร้อนจัดจนเป็นไข้ก็จะท�าอะไรได้ไม่กระฉับกระเฉง
หากเย็นเกินไปก็จะหนาวสั่นไม่คล่องแคล่วว่องไว หรือท�าให้เป็นไข้
วิการรูป ๓ ก็เกิดไม่ได้
หากเกิดจากอาหาร เช่น อดอาหาร หรืออาหารเป็นพิษ ท�าให้
ไม่สบาย ไมก่ ระปรก้ี ระเปรา่ วิการรูป ๓ กเ็ กดิ ไมไ่ ด้
หมายเหตุ วิ ัติรูป ๒ และวกิ ารรูป ๓ เกิด ด นสัตวท์ ม่ี ชี วี ิต
เทา่ นนั
ด ลกั ร
ลกั ขณรูป (ลัก-ขะ-หนะ-รูป) คอื เครื่องหมายท่ีแสดงความเปน็
สงั ขตธรรม (สงั ขารธรรม)
สังขตธรรม คือ ธรรมทงั้ หลายที่ถกู ปรงุ แต่งดว้ ยปจั จัย ๔๒๕ คือ
กรรม จิต อุตุ อาหาร
๒๕ ธรรมทีไ่ มถ่ กู ปรงุ แตง่ ด้วยปจั จัย ๔ เรียกว่า “อสงั ขตธรรม” ไดแ้ ก่ นพิ พาน และบัญญตั ิ
ธรรมท้ัง ๒ นจ้ี ะไม่มีลกั ขณรปู
สังขตธรรม ไดแ้ ก่ จติ เจตสิก รูป (รวมเรียกวา่ ขันธ์ ๕)
จติ เจตสกิ รปู เทา่ นนั้ ทมี่ ลี กั ขณรปู คอื มกี ารเกดิ ขน้ึ ตงั้ อยู่ ดบั ไป
อสงั ขตธรรม คือ ธรรมท้งั หลายท่ไี มถ่ กู ปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔
ได้แก่ นพิ พาน บญั ญตั ิ
นิพพานและบญั ญตั ิ จะไมม่ ีลักขณรูป คือ ไมม่ กี ารเกิดขึน้
ตง้ั อยู่ ดับไป
ลักขณะของนามธรรม คอ จติ และเจตสกิ มี ๓ อยา่ ง คอ
๑. ชาติ คอื การเกิดข้ึน (อุปปาทะ)
๒. ชรตา คือ การตัง้ อยู่ (ฐติ ิ)
๓. อนิจจตา คอื การดบั ไป (ภงั คะ)
ลกั ขณะของรูปธรรม มี ๔ อยา่ ง ท่ีเรียกว่า ลกั ขณรูป ๔ ดแก่
๑. ชาติ คอื การเกิดขนึ้ แยกได้เปน็ ๒ ข้ันตอน คือ
อุปจยะ และสนั ตติ
๒. ชรตา คอื การตั้งอยู่
๓. อนจิ จตา คอื การดบั ไป
๑ อปุ จยรปู (อ-ุ ปะ-จะ-ยะ-รปู ) คอื การเกดิ ขน้ึ ครง้ั แรก และการ
เกิดขึ้นครง้ั หลัง ๆ จนครบรูปทค่ี วรเกดิ ข้นึ ไดข้ องนปิ ผันนรูป ชอ่ื ว่า อปุ จยะ
๒. สนั ตตริ ปู (สนั -ตะ-ต-ิ รปู ) หลงั จากขนั้ ตอนท่ี ๑ แลว้ การเกดิ ขนึ้
สืบต่อกันของนปิ ผันนรูป ช่อื วา่ สันตติ
๓ ชรตารปู (ชะ-ระ-ตา-รปู ) คอื ภาวะแหง่ ความแกข่ องนปิ ผนั นรปู
ชื่อวา่ ชรตา
๔ อนจิ จตารูป (อะ-นดิ -จะ-ตา-รูป) คือ ภาวะแหง่ ความดับของ
นิปผันนรปู ช่ือวา่ อนิจจตา
ลกั ขณะรปู ทงั้ ๔ นแี้ สดงใหเ้ หน็ ธรรมชาตขิ องนปิ ผนั นรปู วา่ จะตอ้ ง
เกดิ -ดบั ..เกดิ -ดบั สบื ตอ่ กนั ไปตลอดเวลา เพราะนปิ ผนั นรปู เปน็ สงั ขตธรรม
จงึ มีลกั ษณะสามญั ๓ ประการ คือ อนจิ จัง (ไมเ่ ท่ียง), ทกุ ขงั (ทนอยู่ใน
สภาพเดิมไม่ได้) และอนัตตา (มใิ ชต่ วั ตน บังคับบัญชาไมไ่ ด)้
การเกดิ ขนของรปู เรยี กวา่ อปุ จยะ มเ่ รยี กวา่ อปุ ปาทะ เพราะอะ ร
อปุ จยะ แปลตามศพั ท์ หมายถึง การเข้าไปสัง่ สม คือ การเขา้ ไป
สั่งสมหลาย ๆ กลาป จนกว่าจะครบจ�านวนของนิปผันนรูปท่ีจะพึงมีได้ใน
สัตวแ์ ต่ละประเภท
สา� หรับพวกคัพภเสยยกะ ( ูอาศัยครรภ์มารดาเกิด)
• นิปผันนรูปเกิดขึ้นครั้งแรกที่ปฏิสนธิจิต มี ๓ กลาป๒๖ คือ
กายทสกกลาป ภาวทสกกลาป วัตถทุ สกกลาป
• ผา่ นไปหน่ึงสัปดาห์ จะมชี ีวติ นวกกลาปเกดิ เพม่ิ อกี ๑ กลาป
• ในสัปดาห์ที่ ๑๑ จักขุทกสกกลาป โสตทกสกกลาป
านทกสกกลาป ชิวหาทกสกกลาป จะเกดิ เพ่ิมอกี ๔ กลาป
รวมเป็น ๘ กลาป (ดูภาพในหน้าถดั ไป)
การเกิดขึ้นของรูปเหล่านี้ ตั้งแต่ปฏิสนธิเป็นต้นไปจนถึงสัปดาห์
ท่ี ๑๑ ซงึ่ จะมีจา� นวนกลาปเกดิ ขึน้ ครบสมบูรณ์เรยี กวา่ อปุ จยะ
ต่อจากนั้นการเกิดข้ึนสืบต่อกันของรูปกลาปท้ังหมดไปจนกระท่ัง
ตายจะเรยี กวา่ สนั ตติ (ไมเ่ รียกวา่ อปุ จยะ)
๒๖ ความหมายของ กลาป ใหด้ ทู ่หี น้า ๒๖๙
ยกตวั อยา่ งสตั วท์ เี่ กดิ จากครรภม์ ารดา เชน่ มนุ ย์ จุติ
ภายในสัปดาหแ์ รก สัปดาหท์ ี่ ๑๑
ปฎิ
๓ กลาป คือ ชวี ิตนวกกลาป จกั ขุ-โสต-ฆาน-ชิวหาทสกกลาป
เกดิ เพม่ิ อกี ๑ กลาป เกิดเพ่มิ อกี ๔ กลาป
กายทสกกลาป รวมเป็น ๔ กลาป รวมเป็น ๘ กลาป ครบสมบรู ณ์
ภาวทสกกลาป
วัตถุทสกกลาป
ทวี่ า่ เกดิ ๓ กลาปนน้ั จะเรยี กวา่ ๓ ประเภทกไ็ ด้ คอื กายะประเภท
หนงึ่ ภาวะประเภทหนง่ึ และหทยวตั ถปุ ระเภทหนงึ่ เพราะในความเปน็ จรงิ แลว้
แตล่ ะประเภทจะเกดิ จากการรวมตวั ของรปู หลายลา้ นกลาป มใิ ชเ่ กดิ ขน้ึ เพยี ง
อยา่ งละ ๑ กลาป (ดูภาพในหนา้ ๒๗๔)
หากเปน็ พวกโอปปาตกิ ปฏสิ นธิ เชน่ เทวดา เปรต สตั วน์ รก อสรุ กาย
• นิปผันนรูปเกิดข้ึนคร้ังแรกตอนปฏิสนธิมี ๗ กลาป คือ
จกั ขทุ สกกลาป โสตทสกกลาป านทสกกลาป ชวิ หาทสกกลาป
กายทสกกลาป ภาวทสกกลาป และวัตถทุ สกกลาป
• เมื่อถึงฐิติขณะของปฏิสนธิจิต ชีวิตนวกกลาปเกิดเพ่ิมอีก
๑ กลาป รวมเป็น ๘ กลาป ครบสมบรู ณ์
การเกิดข้ึนของรูปกลาปเหล่านี้ หลังจากปฏิสนธิจิตเป็นต้นไปจน
กระทัง่ ตาย เรยี กว่า สนั ตติ
ปฎิ ฯลฯ จตุ ิ
ชีวติ นวกกลาป เกดิ เพม่ิ ๑ กลาป
รวมเป็น ๘ กลาป ครบสมบรู ณ์
๗ กลาป