The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่มที่ ๑

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by warayut, 2020-11-25 03:53:33

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่ม ๑

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่มที่ ๑



ปถวี อาโป เตโช วาโย ๑-๔. มหาภูตรูป ๔ เกิดอยทู่ ว่ั ร่างกาย

๕. จักขปุ สาท เกดิ อยู่ในลูกตา

จกั ขุ โสต ฆาน ชวิ หา กาย ๖. โสตปสาท เกดิ อยใู่ นช่องหู
ปสาท ปสาท ปสาท ปสาท ปสาท ๗. ฆานปสาท เกิดอยใู่ นช่องจมกู

รูปา สทั ทา คันธา รสา โผฏ. ๘. ชวิ หาปสาท เกิดอยทู่ ่ลี น้ิ
รมณ์ รมณ์ รมณ์ รมณ์ ๙. กายปสาท เกิดอยทู่ ว่ั รา่ งกาย
ป เต เกดิ ได้ทว่ั ร่างกาย
วา

อติ ถี ปุรสิ ๑๐. รปู ารมณ์
ภาวะ ภาวะ ๑๑. สทั ทารมณ์

๑๒. คันธารมณ์

หทยรูป ๑๓. รสารมณ์

โผฏฐพั พารมณ์ เกดิ อยทู่ ว่ั ร่างกาย

ชีวติ รูป ๑๔. อติ ถีภาวะ

๑๕. ปรุ สิ ภาวะ

อาหาร ๑๖. หทยรปู เกิดอยู่ที่หวั ใจ
รปู ๑๗. ชีวติ รปู

ปรจิ เฉท ๑๘. อาหารรปู เกิดอยทู่ ัว่ รา่ งกาย
รปู ๑๙. ปริจเฉทรปู

กาย วจี ๒๐. กายวิญญตั ิ เกดิ ได้ทว่ั รา่ งกาย
วญิ ญัติ วญิ ญตั ิ ๒๑. วจีวิญญตั ิ เกิดได้ในขณะท่เี ปลง่ วาจา

ลหตุ า มทุ ตุ า กมั มญั ญ หรือร้องเพลง (เกิดไดท้ ่ีปาก)
ตา ๒๒-๒๔. วิการรูป ๓ เกดิ ได้ทว่ั รา่ งกาย

อุปจยะ สันตติ ชรตา อนจิ จตา ๒๕-๒๘. ลักขณรปู ๔ เกิดอยู่ทว่ั ร่างกาย

๑. รูปท่ีเกิดอย่ตู ลอดเวลา และเกิดได้ทว่ั รา่ งกาย มี ๑๗ รปู (๑๘ รปู ) ขอ้ สังเกต

ค�าอธิบายมี ๒ ลักษณะ คอื

๒. รปู ที่เกดิ อยตู่ ลอดเวลา แตเ่ กดิ ได้เฉพาะที่ มี ๕ รูป ๑. เกดิ อยู่ หมายถึง เกดิ อยู่ตลอดเวลา

๓. รปู ที่เกิดเปน็ บางครั้งบางคราว แตเ่ กิดได้ทั่วร่างกาย มี ๕ รปู ๒. เกิดได้ หมายถงึ เกิดไดเ้ ป็นบางครัง้

๔. รูปท่ีเกดิ เปน็ บางครัง้ บางคราว และเกิดได้เฉพาะที่ มี ๑ รปู บางคราว



๑ รปู ทเ่ี กดิ อยตู่ ลอดเวลาและเกดิ ดทว่ั รา่ งกาย มที ง้ั หมด ๑๗ รปู
(หรอื ๑๘ ถ้านบั โผฏฐัพพารมณ์ดว้ ย) ได้แก่

มหาภูตรูป ๔, กายปสาท, รูปารมณ์, คันธารมณ์, รสารมณ์,
โผฏฐพั พารมณ,์ ภาวรปู ๒, ชวี ติ รปู , อาหารรปู , ปรจิ เฉทรปู และลกั ขณรปู ๔

มหาภตู รปู ๔ ยอ่ มเกิดอยู่ท่วั รา่ งกายตลอดเวลาไมว่ ่าจะเปน็ สว่ นไหนของ
ร่างกายจะต้องมีมหาภูตรูปเกดิ ครบ ทัง้ ๔ เสมอ

กายปสาท ย่อมเกิดอยู่ท่ัวร่างกายตลอดเวลา (ยกเว้นท่ีปลายผม ขน
เล็บ หนังท่ีหนาด้าน) แม้ในขณะนอนหลับเม่ือมีอะไรมา
กระทบยอ่ มรู้สึกตัวต่นื ขนึ้ มาได้

รูปารมณ์ คอื สีตา่ ง ๆ ตอ้ งมีอยทู่ ัว่ รา่ งกายตลอดเวลา เชน่ สีผิวหนงั
หรอื สขี องอวยั วะต่าง ๆ ในรา่ งกาย

คนั ธารมณ์ กล่ินตัวยอ่ มมีอยทู่ ่วั รา่ งกายตลอดเวลา
รสารมณ์ รสของเน้อื หนงั มงั สาและอวัยวะตา่ ง ๆ ในร่างกายกย็ ่อมมี

อย่ทู ว่ั รา่ งกายตลอดเวลา
โ ฏฐพั พารมณ์ ความเย็น ร้อน ออ่ น แขง็ หย่อน ตึง ของตวั เรายอ่ มปรากฏ

อยู่ท่ัวร่างกายตลอดเวลา
ภาวรปู ๒ สภาวะที่เป็นเพศหญิงหรือเพศชาย (อย่างใดอย่างหน่ึง)

ย่อมเกิดอยู่ทวั่ ร่างกายตลอดเวลา
ชีวติ รปู ย่อมเกิดอยู่ทั่วร่างกายตลอดเวลา เพื่อรักษารูปท่ีเกิดจาก

กรรม ถ้าไม่มีกต็ าย

อาหารรปู ยอ่ มเกดิ อยทู่ ว่ั รา่ งกายตลอดเวลา (ทกุ สว่ นของรา่ งกายยอ่ ม
เปน็ อาหารรปู ใหแ้ กส่ ัตว์อ่ืนได)้
ปริจเ ทรปู จะคัน่ ระหวา่ งรปู กลาปทั่วรา่ งกายอยู่ตลอดเวลา
ลกั ขณรูป ๔ การเกิดขึ้น-ตง้ั อย-ู่ ดบั ไปของรปู นาม ยอ่ มมอี ยตู่ ลอดเวลา

๒ รปู ทีเ่ กดิ อยู่ตลอดเวลา แต่เกิด ดเ พาะท่ี มี ๕ รูป คอื

จักขปุ สาท เกิดอยู่ในลูกตาเท่านั้น แม้ขณะหลับก็มีจักขุปสาทเกิดอยู่
ตลอดเวลา

โสตปสาท เกิดอยู่ในช่องหูเท่านั้น แม้ขณะหลับก็มีโสตปสาทเกิดอยู่

ตลอดเวลา เมอ่ื มใี ครมาเรยี กจงึ ไดย้ ินเสียงได้

านปสาท เกิดอย่ใู นชอ่ งจมูกเท่าน้นั แมใ้ นขณะหลบั ก็
ชิวหาปสาท เกิดอยู่ทล่ี ิน้ เทา่ น้ัน เกดิ ได้ตลอดเวลา
หทยรปู เกดิ อย่ทู ่ีหวั ใจเท่านั้น

๓ รปู ทเ่ี กดิ เปน็ บางครงั บางคราว แตเ่ กดิ ดทว่ั รา่ งกาย มี ๕ รปู คอื

สัททารมณ์ (เสียง) เกิดได้ในเวลาท่ีเอามือตีส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จะตี
ตรงไหนกม็ เี สียงเกดิ ขึน้ ทุกท่ี

กายวิ ตั ิ การเคลื่อนไหวกาย สามารถเคล่ือนไหวได้ท่ัวร่างกาย
ตามที่ต้องการ

วิการรปู ๓ เม่ืออากาศร้อน หรือเย็นจัด เมื่อจิตใจขุ่นมัว หรือกิน
อิ่มมากเกินไปจนง่วงเหงาหาวนอน ไม่คล่องแคล่ว
ไม่กระฉบั กระเฉง ฯลฯ ขณะนั้นวิการรปู ๓ ยอ่ มไม่เกิด
(วิการรูป ๓ เกิดไดเ้ ปน็ บางครงั้ บางคราวเทา่ นนั้ )

๔ รปู ทเี่ กิดเปน็ บางครงั บางคราว แต่เกิด ดเ พาะท่ี

มีเพียง ๑ คือ วจีวิ ัติ เพราะเกิดได้ในขณะท่ีมีการพูด หรือ
เปล่งเสียงจากปากเทา่ นัน้


วัตถุรูป หมายถง รูปอันเป็นที่ตังของจิต หรอเป็นท่ีเกิดของจิต

มี ๖ รปู ได้แก่
๑) จักขุวตั ถุ องคธ์ รรมคอื จกั ขปุ สาท ซง่ึ เปน็ ทเี่ กดิ ของจติ ทางตา
๒) โสตวัตถุ องคธ์ รรมคือ โสตปสาท ซง่ึ เป็นทเี่ กดิ ของจติ ทางหู
๓) านวัตถุ องค์ธรรมคือ านปสาท ซ่ึงเป็นท่ีเกิดของจิตทาง
จมูก
๔) ชวิ หาวัตถุ องคธ์ รรมคอื ชวิ หาปสาท ซง่ึ เปน็ ทเี่ กดิ ของจติ ทาง
ล้ิน
๕) กายวตั ถุ องคธ์ รรมคอื กายปสาท ซง่ึ เปน็ ทเ่ี กดิ ของจติ ทางกาย
๖) หทัยวตั ถุองคธ์ รรมคือ หทยรูป ซ่งึ เปน็ ที่เกิดของจติ ทางใจ
กล่าวอีกนยั หนง่ คอ
จกั ขุวิญญาณ ๒ ดวง อาศยั จกั ขวุ ตั ถุ เปน็ ท่ีเกิด
โสตวิญญาณ ๒ ดวง อาศยั โสตวตั ถุ เปน็ ท่ีเกดิ
านวญิ ญาณ ๒ ดวง อาศยั านวัตถุ เป็นทีเ่ กิด
ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง อาศัย ชิวหาวัตถุ เป็นทเ่ี กดิ
กายวิญญาณ ๒ ดวง อาศัย กายวตั ถุ เป็นทีเ่ กดิ

จิต ๗๕ ดวง ที่เหลอื (เว้นอรูปาวจรวิปากจติ ๔ ) อาศัย หทยั วัตถุ
เปน็ ท่เี กิด

วตั ถุรปู กับ วัตถธุ รรม มีความหมายต่างกัน กลา่ วคอ
วตั ถรุ ปู มีความหมายดังแสดงมาแล้วขา้ งตน้
วตั ถธุ รรม หมายถึง ธรรม ๗๒ ประการ ได้แก่
จติ ๑ (จติ ทง้ั ๘๙ ดวง นบั รวมเปน็ ๑ เพราะมสี ภาวะอยา่ งเดยี วกนั
คือ เป็นธาตรุ )ู้
เจตสกิ ๕๒
นิปผนั นรปู ๑๘ (นับเฉพาะรูปปรมตั ถแ์ ท้เท่านั้น)
และนิพพาน ๑



โคจรัคคาหกรปู คอ รปู ทร่ี ับกระทบป จารมณ์ ด มี ๕ รูป ได้แก่
ปสาทรูป ๕ คอื จักขปุ สาท โสตปสาท านปสาท ชิวหาปสาท และกายปสาท

๑ จักขปุ สาท รับกระทบรูปารมณ์ (สตี า่ ง ๆ) การเหน็ จึงเกิดข้ึน
(จกั ขุวญิ ญาณ ทา� หนา้ ที่เหน็ )

๒ โสตปสาท รับกระทบสัททารมณ์ (เสียงตา่ ง ๆ) การได้ยนิ จึง
เกดิ ขน้ึ (โสตวิญญาณ ท�าหน้าทไ่ี ดย้ ิน)

๓ านปสาท รบั กระทบคนั ธารมณ์ (กลนิ่ ตา่ ง ๆ) การไดก้ ลน่ิ จงึ
เกิดขน้ึ ( านวิญญาณ ทา� หน้าท่รี กู้ ลิน่ )

๔ ชวิ หาปสาท รบั กระทบรสารมณ์ (รสตา่ ง ๆ) การรรู้ สจงึ เกดิ ขน้ึ
(ชิวหาวิญญาณ ทา� หน้าท่รี รู้ ส)

๕ กายปสาท รับกระทบโผฏฐัพพารมณ์ (ส่ิงท่ีมากระทบกาย)
ความรูส้ กึ ต่าง ๆ ทางกายจึงเกิดขน้ึ (กายวญิ ญาณ ท�าหน้าท่ี
ร้กู ารกระทบสมั ผัส)



โอ ารกิ รปู คอ รูปหยาบ หรอรูปทป่ี รากฏชัด ดแก่ ปสาทรูป ๕
และ วสิ ยรปู ๗ รวมเรยี กวา่ โอ ารกิ รปู ๑๒ กลา่ วอกี นยั หนงึ่ กค็ อื ตา หู จมกู
ลิ้น กาย เป็นอายตนะภายใน ส่วนรูป เสียง กลนิ่ รส สัมผัส เปน็ อายตนะ
ภายนอก ซึง่ เป็นสภาวะท่ีรู้ไดง้ ่าย จงึ จัดเป็นรูปหยาบ

ส่วนรูปท่ีเหลืออีก ๑๖ รูป เป็นรูปที่ไม่ปรากฏชัดเจน พิจารณา
ได้ยากกว่าโอฬาริกรปู และรบั รู้ได้เฉพาะทางมโนทวารเท่าน้ัน จึงจดั เป็นรปู
ละเอียด (สขุ ุมรูป)



อินทริยรูป หมายถง รูปที่เป็น ห ่เป็น ูปกครอง นหนาท่ี
อย่าง ดอย่างหน่ง แต่ละรูปก็มีบทบาทหน้าท่ีเป็นพิเศษเฉพาะของตน โดย
ไม่กา้ วกา่ ยกัน มีทั้งหมด ๘ รูป ได้แก่ ปสาทรูป ๕, ภาวรปู ๒, ชีวติ รปู ๑
ด้วยเหตุผล ดงั น้ี

๑ จกั ขปุ สาท คอื รปู ทเ่ี ปน็ ใหญใ่ นการเหน็ เพราะการเหน็ จะเกดิ
ขนึ้ ได้ตอ้ งอาศยั จักขุปสาท ถ้าขาดจักขุปสาทเสียแลว้ การเหน็
จะเกดิ ขนึ้ ไมไ่ ด้ การเหน็ ชดั ไมช่ ดั เหน็ ไดใ้ กลห้ รอื ไกล กข็ นึ้ กบั
จักขุปสาทอีกเช่นกัน ถ้าจักขุปสาทดีก็เห็นได้ชัดเจนและเห็น
ได้ไกล เนื่องจากจักขุปสาทเป็นใหญ่ในการเห็น จึงจัดเป็น
อินทริยรูปอยา่ งหนง่ึ

๒ โสตปสาท ๓ านปสาท ๔ ชิวหาปสาท ๕ กายปสาท ก็เปน็
ไปในท�านองเดียวกันกับจักขุปสาท จึงจดั เปน็ อินทรยิ รูปด้วย
เชน่ กัน

๖ อิตถภี าวรปู เป็นใหญเ่ ป็นผปู้ กครองในความเปน็ เพศหญงิ
๗ ปรุ สิ ภาวรปู เป็นใหญเ่ ป็นผ้ปู กครองในความเป็นเพศชาย
๘ ชีวิตรูป คือ รูปที่เป็นใหญ่และเป็นผู้ปกครองในการรักษา

กัมมชรูปท่ีเกิดพร้อมกับตนให้ตั้งอยู่จนครบอายุ คือ ๕๑
อนขุ ณะของจติ

กมั มชรปู เกิดจากกรรมในอดตี เม่อื กัมมชรปู เกิดข้นึ ชวี ิตรปู จะทา�
หนา้ ทรี่ กั ษากมั มชรปู ทเ่ี กดิ ขน้ึ แทนอดตี กรรมทนั ที เนอื่ งจากชวี ติ รปู เปน็ ใหญ่
และเป็นผปู้ กครองในการรกั ษากมั มชรูป จงึ จัดเป็นอินทริยรปู ดว้ ยเช่นกัน



อวนิ พิ โภครปู คอ รปู ทแ่ี ยกจากกนั ม่ ด ประกอบดวยรปู ๘ ชนดิ
ไดแ้ ก่ มหาภตู รูป ๔, รปู ารมณ,์ คนั ธารมณ,์ รสารมณ์ และโอชา (อาหารรูป)
รูปทั้ง ๘ นี้จะแยกจากกนั ไมไ่ ด้เด็ดขาด ตอ้ งเกดิ ร่วมกันเสมอ แมใ้ นอณูท่ี
เลก็ ทสี่ ดุ ของสิ่งตา่ ง ๆ กต็ ้องประกอบดว้ ยอวินพิ โภครปู ทั้ง ๘ นี้

บรรดารูปทั้งหลายทีม่ อี ยู่ในจักรวาล ไม่วา่ จะเป็นรูปของสิ่งมชี วี ติ
หรือไม่มีชีวิต จะขาดอวินิพโภครูป ๘ ไม่ได้เลย อย่างน้อยที่สุดจะต้อง
ประกอบด้วยรปู ทั้ง ๘ น้ี

อวินิพโภครปู ๘ น้ี มมี หาภูตรปู ๔ เป็นประธาน (เป็นตวั หลัก)
และมอี ปุ าทายรูปเกดิ รว่ มดว้ ยอีก ๔ ได้แก่ รูปารมณ์ คอื สีของมหาภูตรปู ,
คนั ธารมณ์ คือ กล่ินของมหาภูตรูป, รสารมณ์ คอื รสของมหาภตู รูป และ
โอชา (อาหารรูป) ท่แี งอยใู่ นมหาภตู รปู โอชาน้ีกค็ อื คุณคา่ ทางโภชนาการ
ทีม่ ปี ระโยชน์แกส่ ัตวอ์ ่ืน เช่น ไมเ้ ป็นโอชาของปลวก เป็นต้น

บ ี่
สม าน องร นั

สมฏุ ฐาน คอ ธรรมทีเ่ ป็นเหตุ หรปู เกดิ ขน รปู ท้ังหลายจะเกดิ ข้นึ
ไดแ้ ละทรงตวั อยไู่ ดจ้ ะตอ้ งมเี หตอุ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ คอยชกั นา� และสนบั สนนุ
อย่เู บ้ืองหลงั

สมุฏฐาน หรอเหตุทท่ี า� หรูปเกดิ ขน มี ๔ ประการ คอ ๑ กรรม
๒ จติ ๓ อตุ ุ ๔ อาหาร

รูปที่เกิดจาก กรรมเปน็ สมุฏฐาน เรียกว่า กัมมชรูป ในรปู ๒๘
จะมี กมั มชรปู อยู่ ๑๘ รปู

รูปที่เกิดจาก จิตเป็นสมุฏฐาน เรียกว่า จิตตชรูป ในรูป ๒๘
จะมี จิตตชรูปอยู่ ๑๕ รูป

รูปท่ีเกิดจาก อุตุเป็นสมุฏฐาน เรียกว่า อุตุชรูป ในรูป ๒๘
จะมี อุตุชรูปอยู่ ๑๓ รปู

รูปทเี่ กดิ จาก อาหารเป็นสมุฏฐาน เรยี กวา่ อาหารชรปู ในรปู ๒๘
จะมี อาหารชรูปอยู่ ๑๒ รปู

กั ชร

กัมมชรูป คอ รูปทีเ่ กิดจากกรรม นอดีต

กรรม คือ การกระทา� ทางกาย วาจา ใจ เป็นอกศุ ลบ้าง เป็นกศุ ล
บา้ ง ไดแ้ ก่ กรรม ๓๓ คือ เจตนาท่อี ยู่ในอกุศลจติ ๑๒, มหากุศลจติ ๘,
รปู าวจรกศุ ลจติ ๕, อรูปาวจรกุศลจติ ๔ และโลกุตตรกุศลกรรม ๔

แตก่ รรมทเ่ี ปน็ ตน้ เหตใุ หเ้ กดิ กมั มชรปู มเี พยี ง ๒๕ ชนดิ คอื เจตนา
ในอกศุ ลจิต ๑๒, เจตนาในมหากศุ ลจิต ๘ และเจตนาในรูปาวจรกศุ ลจิต ๕
ส่วนเจตนาในอรปู าวจรกุศลจติ ๔ จะน�าเกิดใน อรปู ภมู ิ ๔ จึงไม่เปน็ เหตใุ ห้
เกิดรปู และเจตนาในโลกุตตรกศุ ลกรรม ๔ ก็เปน็ กรรมที่ตัดภพตดั ชาติ จงึ
ไมเ่ ป็นเหตุให้เกดิ กัมมชรูปใด ๆ เช่นกนั

กรรม ๓๓

(อกศุ ลกรรม ๑๒, กศุ ลกรรม ๒๑)

กรรมที่ท�าลายภพชาติ มี ๔ คอื กรรมท่ที า� ให้รปู นามเกิดขนึ้ (กล่าวโดยรวม)
โลกุตตรกศุ ลกรรม ๔ มี ๒๙ คอื อกุศลกรรม ๑๒, มหากุศลกรรม ๘,
(หรือ มรรคกรรม ๔) รปู าวจรกุศลกรรม ๕, อรูปาวจรกุศลกรรม ๔

กรรมทีท่ �าใหน้ ามเกิดข้นึ อย่างเดียว กรรมทท่ี า� ให้ทั้งรปู และนามเกดิ ข้นึ กรรมทีท่ า� ใหร้ ูปเกิดขนึ้ อยา่ งเดียว
แตไ่ มท่ �าใหร้ ปู เกดิ ข้นึ มี ๔ มี ๒๕ คือ แตไ่ มท่ า� ใหน้ ามเกิดขนึ้
คือ อรปู าวจรกศุ ลกรรม ๔
• อกศุ ลกรรม ๑๒ คือ รปู าวจรปญั จมฌานกุศลกรรม ๑
ไปเกดิ ในอรปู ภมู ิ ๔ • มหากุศลกรรม ๘ ท่ีเป็นไปดว้ ยอา� นาจของ
เปน็ อรูปพรหม • รปู าวจรกุศลกรรม ๕ สัญญาวริ าคภาวนา
ไมม่ รี ูป
อกศุ ลกรรม ๑๒ เกิดในอบายภมู ิ ๔ ไปเกดิ ในอสญั ญสัตตภมู ิ
มหากศุ ลกรรม ๘ เกิดในกามสคุ ตภิ ูมิ ๗ เปน็ อสัญญสัตตพรหม
รปู าวจรกศุ ลกรรม ๕ เกิดในรูปภมู ิ ๑๕

(เวน้ อสญั ญสัตตภมู ิ)

ในบรรดารปู ๒๘ มีรปู ทีเ่ กิดจากกรรมในอดีต (กมั มชรปู ) เพียง
๑๘ รูป เรียกวา่ กมั มชรปู ๑๘ ได้แก่ ปสาทรปู ๕, ภาวรปู ๒, หทยรูป ๑,
ชีวิตรูป ๑, อวินิพโภครปู ๘ และปรจิ เฉทรปู ๑ ดังภาพ



มหาภูตรูป ๔ ก จิ ก จิ ก จิ ก จิ ก
อุ อา อุ อา อุ อา อุ อา
ินปผันน ูรป ๑๘ ปสาทรปู ๕
ก กก ก
วิสยรูป ๔
(หรือ ๗) ก จิ จิ ก จิ ก จิ
ภาวรูป ๒ อุ อา อุ อุ อา อุ อา

กก

หทยรปู ๑ ก รปู ท่เี กดิ จากกรรมเปน็ สมฏุ ฐาน (กมั มชรูป) มี ๑๘ รูป
ชีวิตรปู ๑ รูปทเ่ี กดิ จากจติ เปน็ สมุฏฐาน (จติ ตชรูป) มี ๑๕ รูป
อาหารรูป ๑ ก รูปที่เกิดจากอตุ ุเปน็ สมฏุ ฐาน (อุตชุ รูป) มี ๑๓ รปู
รูปที่เกดิ จากอาหารเป็นสมุฏฐาน (อาหารชรปู ) มี ๑๒ รปู
ก จิ
อุ อา

อ ินป ัผนนรูป ๑๐ ปรจิ เฉทรูป ๑ ก จิ
อุ อา

วิญญตั ริ ูป ๒ จิ จิ

วกิ ารรปู ๓ จิ อุ จิ อุ จิ อุ

อา อา อา

ลักขณรปู ๔

ก = รปู ท่เี กดิ จากกรรมเปน็ สมุฏฐาน จิ = รปู ทเ่ี กดิ จากจติ เปน็ สมฏุ ฐาน

อุ = รปู ท่เี กิดจากอุตเุ ป็นสมุฏฐาน อา = รปู ท่ีเกิดจากอาหารเปน็ สมฏุ ฐาน

จิ = รูปท่ีเกดิ จากสมุฏฐาน ๒ (เกิดจากจติ กไ็ ด้ อตุ ุกไ็ ด)้
อุ

จิ อุ = รูปทเี่ กดิ จากสมฏุ ฐาน ๓ (เกดิ จากจติ กไ็ ด้ อุตกุ ไ็ ด้ อาหารก็ได)้

อา

ก จิ = รูปทีเ่ กดิ จากสมฏุ ฐาน ๔ (เกิดจากกรรมกไ็ ด้ จิตกไ็ ด้ อุตกุ ไ็ ด้ อาหารกไ็ ด้)

อุ อา

= รูปท่ไี มไ่ ดเ้ กิดจากสมฏุ ฐานใดเลย ในวงกลมทีม่ อี กั ษรย่อของสมฏุ ฐานมากกวา่ ๑ อยา่ ง
= อวนิ ิพโภครูป ๘ หมายความว่า รปู นัน้ สามารถเกดิ จากสมฏุ ฐาน
อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงก็ได้ในบรรดาสมุฏฐานเหล่านั้น

กัมมชรปู ๑๘ นี แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คอ

๑ รปู ทเี่ กดิ จากกรรมเปน็ สมฏุ ฐานเพยี งอยา่ งเดยี วเทา่ นนั ไดแ้ ก่
ปสาทรปู ๕ ภาวรูป ๒ หทยรูป ๑ ชีวิตรูป ๑

๒ รปู ท่ี ม่ ดเกดิ จากกรรมเปน็ สมฏุ ฐานเพยี งอยา่ งเดยี ว (เกดิ ด
จากหลายสมุฏฐาน) ไดแ้ ก่ อวินพิ โภครูป ๘ และปริจเฉทรูป ๑

สตั วบ์ างพวกมีกมั มชรปู เกดิ ขึ้นได้ครบทัง้ ๑๘ รูป แตบ่ างพวกก็
มไี มค่ รบ เช่น ในรปู ภูมิ ๑๕ จะไม่มี านปสาท ชวิ หาปสาท กายปสาท และ
ไมม่ ภี าวรูปทั้ง ๒ (ไม่มีเพศ) ส่วนสตั ว์ในอสญั ญสัตตภมู ิจะไม่มปี สาทรปู ๕
ภาวรูป ๒ และหทยรปู ๑ ดงั ภาพในหนา้ ๒๙๓ - ๒๙๔

กัมมชรปู (ก�) จะเกดิ ขน นสตั ว์ทงั หลายทกุ อนขุ ณะ๒๗ ของจติ แต่ละดวง
นบั ตงั แตป่ ฏสิ นธิจติ เปน็ ตน ป

อดีตภพ ปจั จุบนั ภพ อนาคตภพ

ปฏสิ นธิกาล ปวตั ตกิ าล จตุ กิ าล

๑๗ ๑๖ ๑๕ ๑๔ ๑๓ ๑๒ ๑๑ ๓๒๑

ปฏิ ภ๑ ภ๒ ฯลฯ จุติ

ฯลฯ

ก� ก� ก� ก� ก� ก� ก� ก�

กมั มชรูป กมั มชรูป กมั มชรูป

เกิดขน้ึ ครง้ั แรกท่ีอุปปาทกั เกดิ ขน้ึ เปน็ ครงั้ สดุ ทา้ ยทีอ่ ปุ ปาทกั ขณะ ดบั ลงพร้อมกนั กับจุติจติ
ขณะของปฏสิ นธจิ ติ และ ของจิตดวงท่ี ๑๗ ท่นี ับถอยหลงั จากจุติจติ ขึน้ ไป

จะเกดิ อย่างตอ่ เนือ่ งทกุ ๆ

อนุขณะของจิต

๒๗ จติ แต่ละดวงจะมี ๓ อนุขณะ คอื จิต
๑. อปุ ปาทกั ขณะ ขณะเกิดขน้ึ
๒. ฐิตขิ ณะ ขณะท่กี า� ลังตงั้ อยู่ ๑๒๓
๓. ภงั คกั ขณะ ขณะดบั ลง

ปฏสิ นธิกาล คอื ที่อปุ ปาทกั ขณะของปฏสิ นธจิ ติ เพยี งขณะเดยี วเท่าน้ัน
ปวตั ตกิ าล คือ ช่วงเวลานับต้ังแต่ฐิติขณะของปฏิสนธิจิต จนถึงฐิติขณะ

ของจตุ จิ ติ
จุตกิ าล คือ ที่ภังคกั ขณะของจตุ ิจิตเพียงขณะเดียวเทา่ นัน้

ร่างกายของสัตว์จะต้องอาศัยกัมมชรูปเป็นพื้นก่อน หากไม่มี
กมั มชรปู เปน็ พน้ื รองรบั แลว้ รา่ งกายของสตั วท์ งั้ หลายกจ็ ะไมต่ า่ งไปจากตน้ ไม้
หรอื ท่อนไม้

ชร

ในรูป ๒๘ จะมีรูปท่ีเกิดจากจิตเพียง ๑๕ รูปเท่านั้น เรียกว่า
จติ ตชรปู ๑๕ ไดแ้ ก่ วญิ ญตั ริ ปู ๒, สทั ทารมณ์ ๑, วกิ ารรปู ๓, อวนิ พิ โภครปู ๘
และปริจเฉทรูป ๑ ดงั ภาพในหนา้ ๒๕๐

จิตตชรปู ทงั ๑๕ นี แบ่ง ดเปน็ ๒ ประเภท คอ

๑ รูปท่ีเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานเพียงอย่างเดียวเท่านัน คือ
วิญญัติรูป ๒

๒ รูปที่ ม่ ดเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานเพียงอย่างเดียว ได้แก่
สัททารมณ์ ๑, วกิ ารรปู ๓, อวนิ ิพโภครปู ๘ และปริจเฉทรูป ๑

จิตทังหมดมี ๘๙ ดวง แต่จิตท่ีท�า หเกิดจิตตชรูป ดนันมีเพียง
๗๕ ดวง เวน้ ทวิปัญจวิญญาณจติ ๑๐ (เพราะมีกา� ลังออ่ น), เวน้ อรูปาวจร
วปิ ากจติ ๔ (เพราะนา� เกดิ ในอรปู ภมู )ิ , เวน้ ปฏสิ นธจิ ติ ของสตั วท์ ง้ั หลาย (เพราะ
มกี า� ลงั ออ่ น) และจตุ จิ ติ ของพระอรหนั ต์ (เพราะทา� ลายกเิ ลสไดห้ มดสน้ิ แลว้ )

จติ ตชรปู จะเกดิ ขน นสตั วท์ งั หลายทกุ อปุ ปาทกั ขณะ (ขณะเกดิ ขน)
ของจติ แตล่ ะดวง นบั ตงั แตภ่ วงั คด์ วงแรก (ปฐมภวงั ค)์ ทเี่ กดิ ตอ่ จากปฏสิ นธิ
จิตเปน็ ตน ป

อดตี ภพ ปจั จุบันภพ อนาคตภพ
ปฏิสนธิกาล ปวตั ติกาล จตุ กิ าล

๒๑ ๑๒ ๑๕ ๑๖ ๑๗

ปฏิ ภ๑ ภ๒ ภ๓ ภ๔ ฯลฯ จุติ

ฯลฯ

จิ.รุ จ.ิ รุ จิ.รุ จติ ตชรูปของปถุ ุชนและผลเสกขบคุ คล
เกิดเป็นครง้ั สุดทา้ ยทีอ่ ุปปาทักขณะของจุติจิต
จติ ตชรปู และยงั ตง้ั อยตู่ อ่ ไปอีกเทา่ กบั จติ ๑๖ ดวง
ตอ่ จากจุตจิ ิต
เกดิ ขึน้ ครั้งแรกที่อปุ ปาทักขณะของ

ปฐมภวงั ค์ และจะเกดิ อยา่ งตอ่ เนือ่ ง

ทุก ๆ อปุ ปาทักขณะของจิต จิตตชรูปดบั

(ยกเว้นขณะทเี่ ขา้ นโิ รธสมาบัต)ิ จติ ตชรปู ของพระอรหนั ต์ เกดิ เปน็ ครั้งสุดทา้ ย
ท่อี ปุ ปาทกั ขณะของจิตดวงท่ี ๒
ที่นบั ถอยหลังจากจตุ ิขึน้ ไป และตอ้ งตั้งอยู่ จติ ตชรปู ดับ
ต่อไปอีกเท่ากับจติ ๑๕ ดวง ตอ่ จากจุตจิ ิต



๑ จติ ตชรปู สามั หมายถงึ จติ ตชรปู ที่ตอ้ งเกดิ ขน้ึ ตามธรรมชาติ
เพอ่ื ใหร้ ปู ตงั้ อยไู่ ด้ (ทา� ใหม้ ชี วี ติ อยไู่ ด)้ เชน่ การหายใจเขา้ ออก
การเตน้ ของหวั ใจ การทา� งานของระบบตา่ ง ๆ ในรา่ งกาย รวมไปถงึ
ภาวะในขณะท่นี อนหลบั สนทิ (ไม่ นั ) เปน็ ตน้

๒ จิตตชรูปขณะหวั เราะ หรอ ยิม อาการที่หวั เราะ หรือ ยิม้ เป็น
รปู ทเ่ี กดิ จากจิต

๓ จิตตชรูปขณะรอง ห อาการรอ้ งไห้กเ็ ป็นรปู ที่เกิดจากจติ
๔ จติ ตชรปู ขณะเคลอ่ น หวอิรยิ าบถย่อย เชน่ การคู้ เหยยี ด ก้ม

เงย เหลยี วซา้ ย แลขวา เดนิ หน้า ถอยหลงั กะพริบตา อา้ ปาก
เคี้ยว เป็นต้น การเคลื่อนไหวอิริยาบถย่อย (กายวิญญัติ)
กเ็ ปน็ รปู ทเ่ี กิดจากจิต
๕ จติ ตชรปู ขณะทเ่ี ปลง่ เสยี งพดู รองเพลง ทอ่ งหนงั สอ (วจวี ญิ ญตั )ิ
ก็เปน็ รูปทเ่ี กิดจากจติ

๖ จิตตชรูปขณะก�าลังเปล่ียนอิริยาบถ ห ่ทัง ๔ เช่น จากนอน
เปน็ นงั่ จากนง่ั เปน็ ยนื จากยนื เปน็ เดนิ จากเดนิ เปน็ ยนื จากยนื
เปน็ นัง่ จากนงั่ เปน็ นอน เป็นต้น (กายวิญญตั ิในขณะเปลย่ี น
อิริยาบถใหญ่ทงั้ ๔ ก็เป็นรูปท่เี กิดจากจติ )

๗ จติ ตชรปู ขณะทีอ่ ยนู่ ิ่ง นอิรยิ าบถ ดอิรยิ าบถหน่ง คอื ขณะ
อยู่ในท่านง่ั ท่านอน ทา่ ยืน (ยกเวน้ เดิน) อาการที่กายต้งั มั่น
อย่นู ิง่ ๆ ในอิรยิ าบถใดอิรยิ าบถหนึ่งโดยไม่เคล่อื นไหว กเ็ ป็น
รปู ทีเ่ กิดจากจิต

หมายเหตุ จติ ตชรปู ทงั ๗ อยา่ งนี เมอ่ วา่ โดยองคธ์ รรมแลว ดแก่
จติ ตชรูป ๑๕ น่ันเอง

ชร ้ัง อยา่ งน้ กด าก ระ า่ ง ดงั น้

๑ จติ ทท่ี า� หจติ ตชรปู สามั เกดิ ขน ดแก่ จติ ๗๕ ดวง ทงั หมด
(ดทู ห่ี น้า ๒๕๘ - ๒๕๙)

๒ จติ ทท่ี �า หหัวเราะ หรอ ยมิ มี ๑๓ ดวง คอื
• โลภมลู โสมนสั ๔
• โสมนัสหสติ ปุ ปาทจติ ๑
• มหากศุ ลโสมนสั ๔
• มหากริ ยิ าโสมนัส ๔

หมายเหตุ

๑) พระพทุ ธเจ้าและพระอรหนั ต์ย้ิมดว้ ยจติ ๕ ดวง คอื
โสมนสั หสิตปุ ปาทจิต ๑, มหากิริยาโสมนสั ๔

๒) พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี หวั เราะดว้ ยจติ ๖ ดวง
คอื ทิฏฐคิ ตวปิ ปยุตตโสมนัส ๒, มหากศุ ลโสมนัส ๔

๓) ปุถชุ นหัวเราะด้วยจิต ๘ ดวง คอื โลภมลู โสมนสั ๔,
มหากศุ ลโสมนัส ๔

การยิมแยมและการหัวเราะนัน นคัมภีร์อลังการะจ�าแนก ด
๖ อยา่ ง คอ

๑. สิตะ ยม้ิ อยู่ในใบหน้า ไม่เหน็ ไรฟัน
๒ หสิตะ ย้มิ แย้มพอเหน็ ไรฟัน
๓ วิหสิตะ หวั เราะเบา ๆ
๔ อุปหสติ ะ หวั เราะจนกายไหว
๕ อปหสติ ะ หวั เราะจนนา้� ตาไหล
๖ อติหสติ ะ หัวเราะจนส่ันพลิว้ และโยกโคลงไปทงั้ ตัว
พระพทุ ธเจา้ และพระอรหนั ต์ ยมิ้ ได้ ๒ แบบ คอื แบบที่ ๑ และ ๒
พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ย้ิมได้ ๔ แบบ คือ
แบบท่ี ๑, ๒, ๓ และ ๔
ปุถชุ น ยม้ิ ไดท้ ง้ั ๖ แบบ
๓ จิตทีท่ า� หรอง ห มี ๒ ดวง คอ

• โทสมลู จิต ๒
๔ จิตทีท่ า� หเกดิ การเคลอ่ น หวอิริยาบถยอ่ ย มี ๓๒ ดวง คอื

• มโนทวาราวัชชนจิต ๑
• กามชวนะ ๒๙ (ดงั ภาพในหน้า ๒๕๘ - ๒๕๙)
• อภิญญาจิต ๒ (คอื รปู าวจรปญั จมฌานกศุ ลจติ ๑ และ

รปู าวจรปัญจมฌานกริยาจติ ๑)
๕ จติ ท่ีทา� หเปลง่ เสยี งพูด รองเพลง ทอ่ งหนงั สอ มี ๓๒ ดวง
เหมือนขอ้ ๔
๖ จิตท่ีท�า หเกิดการเปล่ียนอิริยาบถ ห ่ทัง ๔ มี ๓๒ ดวง
เหมอื นขอ้ ๔

๗ จติ ที่ทา� หอิริยาบถ ดอริ ยิ าบถหน่งตังมนั่ (คอ อย่นู งิ่ โดย

มเ่ คล่อน หว) มี ๕๘ ดวง คอื

• มโนทวาราวัชชนจติ ๑

• กามชวนะ ๒๙ รวม ๓๒ ดวง

• อภิญญาจติ ๒

• อัปปนาชวนะ ๒๖ เป็นฌานจิตท่ีหนุนให้อิริยาบถใด

อริ ยิ าบถหนง่ึ (เวน้ การเดนิ ) ตง้ั มนั่ โดยไมเ่ คลอื่ นไหวไดเ้ ปน็

เวลานาน ๆ

ขอสงั เกต มโนทวาราวชั ชนจติ ๑, กามชวนะ ๒๙ และอภญิ ญาจติ ๒
จะมี ๔ บทบาท คอื

๑. ทา� ใหเ้ กดิ การเคลอ่ื นไหวทางกาย (กายวญิ ญตั )ิ ทง้ั อริ ยิ าบถใหญ่
และอิรยิ าบถยอ่ ย

๒. ท�าใหเ้ กิดวจีวญิ ญัติ (การพูด รอ้ งเพลง ท่องหนังสือ เป็นต้น)
๓. ท�าให้อิริยาบถใดอิริยาบถหน่ึงตั้งม่ัน (คืออยู่นิ่ง ๆ โดยไม่
เคล่ือนไหว)
๔. ทา� ให้เกิดจติ ตชรปู สามัญ



โลภมูลโสมนัสสหคตจติ ๔ ๖ ๖ ๖ ๖ เวน้ ร้องไห้
โลภมลู อเุ บกขาสหคตจิต ๔ ๕ ๕ ๕ ๕ เวน้ หวั เราะ, เวน้ รอ้ งไห้
เว้นหัวเราะ
โทสมลู จิต ๒ ๖ ๖ เว้นหวั เราะ, เวน้ ร้องไห้
โมหมูลจิต ๒ ๕ ๕

ทว.ิ ๑๐ สมั ปฏจิ . ๒ สนั ต.ี ๓ ๑๑
จิตตชรูป
๑ปญั จ.๑ มโน.๑ หสติ ปุ .๑ ๕ ๖
๑ ๑ ๑ สามัญ
มหากุศลโสมนัสสหคตจิต ๔ ๖ ๖ ๖ ๖
มหากุศลอเุ บกขาสหคตจติ ๔ ๕ ๕ ๕ ๕ เว้นรอ้ งไห้
เว้นหัวเราะ, เว้นรอ้ งไห้
๑๑๑๑ เวน้ ร้องไห้
มหาวปิ ากจิต ๘ ๑ ๑ ๑ ๑ เว้นหัวเราะ, เว้นร้องไห้

จิตตชรูปสามญั

มหากริ ยิ าโสมนัสสหคตจิต ๔ ๖ ๖ ๖ ๖ เวน้ ร้องไห้

มหากริ ยิ าอุเบกขาสหคตจติ ๔ ๕ ๕ ๕ ๕ เว้นหวั เราะ, เวน้ รอ้ งไห้

รูปาวจรกุศลจิต ๕ ๒ ๒ ๒ ๒ ๒ จิต ๒ ดวงนี้ เป็นอภิญญาจิตไดด้ ้วย กลา่ วคือ
๕ • เมอื่ เปน็ รปู าวจรปญั จมฌานกศุ ลหรอื กริ ยิ าทา� ใหเ้ กดิ
จติ ตชรปู ได้๒อยา่ งคอื จติ ตชรปู สามญั และจติ ตชรปู
รูปาวจรวิปากจติ ๕ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ทห่ี นนุ ใหอ้ ริ ยิ าบถใดอริ ยิ าบถหนงึ่ (เวน้ การเดนิ )ตง้ั มนั่
โดยไมเ่ คลอื่ นไหวไดเ้ ปน็ เวลานาน ๆ
รูปาวจรกริ ยิ าจติ ๕ ๒ ๒ ๒ ๒ ๒ • เม่ือเป็นอภญิ ญาจิต ท�าใหเ้ กดิ จติ ตชรปู ได้ ๕ อยา่ ง
๕ (เวน้ หัวเราะ, เวน้ รอ้ งไห)้

อรปู าวจรกุศลจิต ๔ ๒ ๒ ๒ ๒

อรูปาวจรวปิ ากจติ ๔

อรูปาวจรกิริยาจิต ๔ ๒ ๒ ๒ ๒


คา� อธบิ ายภาพ

๒ ๖ = จติ ท่ที า� ใหจ้ ติ ตชรปู ๖ อยา่ ง (เว้นร้องไห)้ เกิดขึน้ ได้

๒ ๖ = จิตทที่ า� ให้จติ ตชรปู ๖ อย่าง (เว้นหวั เราะ) เกดิ ข้ึนได้

โลกตุ ตรจติ ๘ ๒ ๕ = จติ ทท่ี า� ใหจ้ ิตตชรูป ๕ อย่าง (เว้นหวั เราะ, เวน้ ร้องไห้) เกิดข้ึนได้
(โดยย่อ) ๒ ๒ = ฌานจิตท่ีทา� ให้เกิดจิตตชรปู ได้ ๒ อยา่ ง คอื จติ ตชรปู สามัญ และจิตตชรูปทีห่ นุนให้

อริ ิยาบถใดอริ ิยาบถหน่ึง (เว้นการเดนิ ) ต้งั มัน่ โดยไม่เคล่ือนไหวไดเ้ ปน็ เวลานานๆ

๒๒ =รปู าวจรปญั จมฌานกศุ ลจิต หรือรูปาวจรปัญจมฌานกริ ยิ าจิต


๒ ทีเ่ ปน็ อภญิ ญาจติ ไดด้ ้วย

๑ =จิตทท่ี า� ใหจ้ ิตตชรูปสามัญเกิดขน้ึ ไดอ้ ย่างเดยี ว

๒ =จติ ที่ไม่สามารถทา� ใหจ้ ติ ตชรูปอย่างใดอยา่ งหน่ึงเกิดขนึ้ ได้เลย

กกกก จติ ทีท่ �าหน้าท่ีชวนะมีทัง้ หมด ๕๕ ดวง คือ
กกกก ๑. กามชวนะ ๒๙
กก ๒. อปั ปนาชวนะ ๒๖
กก
ก กามชวนะ ๒๙ คือ

•อกุศลจิต ๑๒
•หสติ ุปปาทจติ ๑
•มหากุศลจติ ๘
•มหากิริยาจิต ๘

ก อ อปั ปนาชวนะ ๒๖ คอื
กกกก
กกกก •มหคั คตกศุ ลจิต ๙
•มหัคคตกิรยิ าจิต ๙
•โลกุตตรจติ ๘

กกกก จติ ทไี่ มใ่ ชช่ วนะแตท่ า� ใหจ้ ติ ตชรปู เกดิ ขน้ึ ได้
มี ๒๐ ดวง คอื
กกกก •มโนธาตุ ๓ (สัมปฏิจฉนจิต ๒,
ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑)
อออออ ๒ ดวงน้เี ปน็ •สันตรี ณจิต ๓
อออออ อภญิ ญาจิตได้ดว้ ย •มโนทวาราวชั ชนจติ ๑
•มหาวิปากจติ ๘
ออออ •รูปาวจรวปิ ากจติ ๕

อ จิตทไ่ี มท่ �าใหเ้ กิดจติ ตชรูปใด ๆ เลย
มี ๑๔ ดวง คือ
•ทวิปญั จวิญญาณจติ ๑๐
•อรปู าวจรวปิ ากจติ ๔

อ ออออ



อ แสดงโลกุตตรจติ หมายเหตุ : ทางปัญจทวารวถิ ี จติ ตชรูปทเ่ี กิดจากชวนจติ จะมีกา� ลังออ่ น
ไว้โดยยอ่ จงึ มีเพยี ง ๘ ไม่สามารถทา� ใหร้ ปู เคลื่อนไหวได้ รปู จะเคล่ือนไหวได้ด้วยชวนจติ

อ หากแสดงโดยพิสดาร ทเ่ี กดิ ในมโนทวารวิถเี ท่าน้ัน ดงั เช่นตัวอยา่ งในกามชวนมโนทวารวิถี

อ จะเปน็ ๔๐ กามชวนะ ๒๙

อ ภ น ท ม ช๑ ช๒ ช๓ ช๔ ช๕ ช๖ ช๗ ภ
อ จ.ิ รุ จิ.รุ จ.ิ รุ จิ.รุ จิ.รุ จิ.รุ จิ.รุ

สรุป

๑. จิตที่ไม่สามารถท�าให้จิตตชรูปเกิดขึ้นได้เลย คือ ทวิปัญจ-
วญิ ญาณจติ ๑๐, อรปู าวจรวปิ ากจิต ๔, ปฏสิ นธจิ ิตของสตั วท์ ั้งหลาย และ
จตุ ิจติ ของพระอรหนั ต์

๒. จติ ทเ่ี หลอื อกี ๗๕ ดวงเทา่ นน้ั ทท่ี า� ใหจ้ ติ ตชรปู เกดิ ขน้ึ ได้ และ
ทงั้ ๗๕ ดวงน้ี สามารถท�าใหจ้ ติ ตชรูปสามญั เกิดขึน้ ได้ทกุ ดวง

๓. ทางปัญจทวารวิถี จิตตชรูปที่เกิดจากชวนจิตมีก�าลังอ่อน
ไมส่ ามารถท�าให้รปู เคลอ่ื นไหวได้ รปู จะเคลอื่ นไหวไดโ้ ดยชวนจติ ทเี่ กิดทาง
มโนทวารวถิ เี ทา่ นั้น

๔. จิตแต่ละดวงท�าให้จิตตชรูปเกิดข้ึนได้ไม่เท่ากัน โดยจ�าแนก
จติ ไดเ้ ป็น ๓ กลุ่ม ดังนี้

ทา� ใหก้ ายเคร่งตึง
ทา� ให้ ทา� ใหเ้ กดิ
อยู่น่ิง ๆ ในอิริยาบถใด
กลุ่มที่ จติ จติ ตชรปู สามญั กายวญิ ญตั ิ
อิริยาบถหน่งึ
เกดิ ข้ึนได้ และวจีวญิ ญตั ไิ ด้
(เวน้ การเดนิ )

๑ จิต ๑๙ ดวง คือ ✓ ✓
• มโนธาตุ ๓ ✓

• สันตรี ณจติ ๓ ๑๙

• มหาวิปากจติ ๘
• รปู าวจรวิปากจิต ๕

๒ อปั ปนาชวนะ ๒๖

๓ จติ ๓๒ ดวง คอื
• มโนทวาราวชั ชนจติ ๑

• กามชวนะ ๒๙ ๓๒ ✓ ✓ ✓

• อภญิ ญาจติ ๒

จิตที่ทา� ให้ จติ ทีท่ า� ใหก้ ายเครง่ ตงึ จติ ทที่ า� ใหเ้ กดิ
จิตตชรูปสามญั อยนู่ ิง่ ๆ ในอริ ิยาบถใด วิญญตั ริ ูป (คือการ
เกิดขน้ึ ไดม้ ี ๗๕ ดวง อิริยาบถหนง่ึ เคลอื่ นไหวกาย
(๑๙+๒๖+๓๐) (เว้นการเดิน) และการเปล่งวาจา)
เว้นอภิญญาจิต ๒ มี ๕๘ ดวง (๒๖+๓๒) มี ๓๒ ดวง

๑. ขณะท่ีก�าลังนอนหลับสนิท (ไม่ ัน) ท่านอนท่ีปรากฏน้ัน
ไม่ใช่อิริยาบถนอน เพราะอิริยาบถนอนจะตอ้ งเกดิ จากกามชวนะ ๒๙ หรือ
อปั ปนาชวนะ ๒๖ ทเ่ี กดิ ในมโนทวารวถิ เี ทา่ นนั้ สา� หรบั บคุ คลปกตจิ ติ ทเ่ี กดิ ขนึ้
ในขณะหลบั (ไม่ นั ) คอื มหาวปิ ากจติ ๘ ดวงใดดวงหนงึ่ ทเ่ี ปน็ ภวงั คจติ ของ
บุคคลนัน้ .....มหาวิปากจติ ๘ เปน็ จิตตชรปู กลุ่มที่ ๑ หากเกดิ ขน้ึ ตดิ ตอ่ กัน
นาน ๆ จะรสู้ ึกง่วง แม้ขณะนง่ั ก็จะท�าใหเ้ กดิ อาการสัปหงก โงกเงก หรือหนา้
วูบลง เพราะจิตกลุ่มนไ้ี ม่สามารถจะทา� ใหอ้ ิริยาบถใหญท่ ัง้ ๔ เกิดขึน้ ได้เลย

๒. เมอื่ ลมื ตาตนื่ ขน้ึ แตย่ งั ไมข่ ยบั ตวั กามชวนะ ๒๙ ในจติ กลมุ่ ท่ี ๓
ที่ตอ้ งการจะนอนเฉย ๆ จะท�าให้เกิดธาตุลม (วติ ถมั ภนวาโย) มาคา�้ จุนกาย
ให้เครง่ ตงึ อย่ใู นอริ ยิ าบถนอนโดยที่ยังไมม่ กี ารเคลอื่ นไหวใด ๆ ท้งั สิ้น

๓. เมอ่ื มีเจตนาจะเปล่ยี นอริ ยิ าบถจากนอนเป็นนง่ั กามชวนะ ๒๙
ในจิตกลุ่มที่ ๓ ที่ต้องการจะเปลี่ยนอิริยาบถ (กายวิญญัติ) จะท�าให้เกิด
ธาตุลม (สมีรณวาโย) ดันกายให้ตั้งข้ึนจากนอนเป็นนั่ง หลังจากน้ัน
กามชวนะ ๒๙ ทตี่ อ้ งการจะนงั่ อยนู่ ง่ิ ๆ กจ็ ะทา� ใหเ้ กดิ ธาตลุ ม (วติ ถมั ภนวาโย)
มาคา�้ จนุ กายใหเ้ ครง่ ตงึ อย่ใู นอริ ยิ าบถนง่ั นงิ่ ๆ ตอ่ ไป

๔. สา� หรบั จติ กลมุ่ ที่ ๒ คอื อปั ปนาชวนะ ๒๖ (ดภู าพในหนา้ ๒๕๘ -
๒๕๙) ซงึ่ เปน็ ฌานจติ ทงั้ หมด ซง่ึ นอกจากจะทา� ใหจ้ ติ ตชรปู สามญั เกดิ ขน้ึ ไดแ้ ลว้
ยงั ทา� ใหก้ ายเครง่ ตงึ อยูน่ งิ่ ๆ ในอิรยิ าบถใด อริ ยิ าบถหนงึ่ (เว้นการเดนิ ) ได้
เป็นเวลานาน ๆ หลาย ๆ ชว่ั โมง หรือเปน็ วนั ไดอ้ ีกด้วย

๕. จติ ทีท่ �าใหเ้ กิดจติ ตชรูปไดห้ ลายอยา่ งนน้ั อยา่ งน้อยทส่ี ุดตอ้ ง
ท�าให้เกดิ จิตตชรูปสามัญได้หนงึ่ อยา่ ง เพอื่ รักษาภพชาติเอาไว้ ตวั อย่างเชน่
โทสมลู จติ จะทา� ใหเ้ กดิ จติ ตชรปู ได้ ๖ อยา่ ง (เวน้ การหวั เราะ) ขณะทโ่ี ทสมลู จติ
กา� ลงั เกดิ ขนึ้ นน้ั อยา่ งนอ้ ยกต็ อ้ งทา� ใหเ้ กดิ จติ ตชรปู สามญั คอื การหายใจเขา้ ออก

และทา� ให้หัวใจเตน้ อยตู่ ลอดเวลา เพ่อื ใหช้ วี ิตด�ารงอยูไ่ ด้ ขณะเดียวกันอาจ
มีจิตตชรูปอื่น ๆ เกิดข้ึนพร้อม ๆ กันได้ด้วย เช่น การแสดงอาการโกรธ
การรอ้ งไห้ การเปล่งวาจาด่าทอออกไป หรอื การทา� รา้ ยรา่ งกายผอู้ น่ื เปน็ ต้น
แสดงให้เห็นว่าในขณะท่ีโทสมูลจิตก�าลังเกิดขึ้นนั้น อาจท�าให้เกิดจิตตชรูป
ได้หลายอย่างในเวลาเดยี วกนั (อาจครบทง้ั ๖ อย่าง หรือไม่กไ็ ด)้

สว่ นจติ ดวงอน่ื ๆ กส็ ามารถทา� ใหจ้ ติ ตชรปู เกดิ ขนึ้ ไดห้ ลาย ๆ อยา่ ง
ในขณะเดียวกันได้เชน่ กนั ดังภาพในหนา้ ๒๕๖ - ๒๕๗

๖. จิตตชรูปจะเกิดข้ึนได้ต้องอาศัยกัมมชรูป อุตุชรูป และ
อาหารชรปู เปน็ ทตี่ งั้ กลา่ วคอื จติ ตชรปู ไมส่ ามารถเกดิ ตามลา� พงั ได้ ตอ้ งอาศยั
ร่างกายของสตั วเ์ ปน็ ท่เี กดิ หากไมม่ รี า่ งกายแล้ว จิตตชรูปกเ็ กดิ ข้นึ ไม่ได้

อ ชร

อุตุ ได้แก่ สีหเตโช (ความเยน็ ) และ อณุ หเตโช (ความร้อน) ที่
อยภู่ ายในสตั ว์ และภายนอกสัตว์ อตุ ุชรูป จงหมายถง รูปตา่ ง ท่ดี �ารงอยู่
ดโดยอาศัยเตโชธาตุเป็น ูสนับสนุนหรออุปถัมภ์ ว ตัวอย่างเช่น น้�าจะ
ไมก่ ลายเปน็ ไอตอ้ งมีอณุ หเตโช (ความร้อน) ท่เี หมาะสม (ไมเ่ กิน ๑๐๐๐C)
หรือนา�้ แขง็ จะไม่ละลายกลายเป็นนา้� ตอ้ งมสี หี เตโช (ความเย็น) ที่เหมาะสม
(๐๐C หรอื ตา�่ กวา่ ) รูปธรรมทัง้ หลายก็เช่นกนั จะด�ารงสถานะของตนอยไู่ ด้ก็
ต้องมีเตโชธาตุทีเ่ หมาะสมเปน็ ผู้อปุ ถัมภ์ไว้

อุตุ เป็นสมฏุ ฐานท�า หเกิดรูป ด ๑๓ ชนิด ท่ีเรียกวา่ อตุ ชุ รูป ๑๓
ดแก่ อวินิพโภครูป ๘ สัททารมณ์ ๑ ปริจเ ทรูป ๑ และวิการรูป ๓
ดงั ภาพ นหนา ๒๕๐

อุตุชรูป เกิดขนครังแรกท่ีฐิติขณะของปฏิสนธิจิต และจะเกิดขนต่อ ป
ทกุ อนขุ ณะของจติ แตล่ ะดวง

อดตี ภพ ปจั จบุ นั ภพ อนาคตภพ
ปฏิสนธกิ าล ปวตั ติกาล จุตกิ าล

ปฏิ ภ๑ ภ๒ ภ๓ ภ๔ ฯลฯ จตุ ิ

อุอุ อุ อุอุ อุ อุอุ อุ อุอุ อุ อุ ฯลฯ
อุ อุ อุอุ อุ อุ อุ อุ
อตุ ุชรูป
เกดิ ขน้ึ ครั้งแรกที่ฐิตขิ ณะของปฎสิ นธจิ ิต อตุ ุชรปู ของพวกสังเสทชะ และคพั ภเสยยกะ
และจะเกิดอย่างต่อเนอื่ งทกุ ๆ อนขุ ณะ หลงั จุตจิ ติ แล้วกย็ งั คงเกิดไดต้ ลอดไป
ของจิต ตลอดไปจนตาย (คอื เปน็ ซากศพนัน่ เอง)
ส่วนของพวกโอปปาติกะเม่อื ตายลง อุตุชรปู ย่อม
ดบั ลงพร้อมกับจุตจิ ติ เพราะพวกนจี้ ะไม่มีซากศพ
เหลอื อยู่

ร่างกายของมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย จะมีอุตุชรูปปกคลุม
ไปทวั่ รา่ งกาย เพราะรปู ทเี่ กดิ จากกรรม เกดิ จากจติ เกดิ จากอตุ ุ และเกดิ จาก
อาหาร ในท่ีสุดจะไปท�าใหเ้ กิดอตุ ชุ รูปเหมอื นกนั ท้งั หมด ดงั นั้น อุตชุ รปู จง
เกิด ดจาก ๔ สมฏุ ฐาน และมชี อ่ เรยี กตา่ งกัน ดงั นี

๑ กมั มปจจยอุตุชรปู อตุ ุชรปู ทม่ี ีกรรมเป็นสมุฏฐาน
๒ จิตตปจจยอุตชุ รปู อุตชุ รูปที่มจี ติ เป็นสมุฏฐาน
๓ อุตุปจจยอุตชุ รปู อุตุชรปู ท่ีมอี ุตุเป็นสมุฏฐาน
๔ อาหารปจจยอุตุชรูป อตุ ุชรปู ทมี่ ีอาหารเปน็ สมฏุ ฐาน

ดงั แสดง นภาพจ�าลองตอ่ ปนี

ก) ภาพจ�าลอง แสดงการเกดิ ขนครังแรก และครงั ต่อ ปของ
กัมมชรูป กัมมปจจยอุตชุ รปู และอุตุปจจยอตุ ุชรูป

ปฏสิ นธิจิต ภวงั คจิต ภวังคจติ ภวังคจติ ภวงั คจิต ฯลฯ
(ปฏ)ิ (ภ) (ภ) (ภ) (ภ) ฯลฯ

* ก� ก� ก� ก� ก� ก� ก� ก� ก� ก� ก� ก� ก� ก� ก�

ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ ก.อุ

อ.ุ อุ อ.ุ อุ อุ.อุ อุ.อุ อุ.อุ อ.ุ อุ อ.ุ อุ อ.ุ อุ อุ.อุ อุ.อุ อุ.อุ อุ.อุ อุ.อุ อ.ุ อุ อ.ุ อุ

กมั มชรปู เกิดขนครงั แรกทอ่ี ปุ ปาทักขณะของปฏสิ นธิจิต และจะเกิดขนต่อ ปทุก อนขุ ณะ
ของจิต ตดิ ตอ่ กนั เรอ่ ย ป

กัมมชรูป (ก�) เป็นปจั จยั ใหเ้ กดิ กัมมปจั จยอตุ ชุ รปู (ก.อุ) ถดั ไป ๑ อนขุ ณะเร่อื ยไป
กมั มปจั จยอตุ ุชรปู (ก.อ)ุ เปน็ ปจั จยั ให้เกดิ อตุ ุปัจจยอุตุชรูป (อ.ุ อ)ุ ถดั ไป ๑ อนขุ ณะ

เรือ่ ยไป

ข) ภาพจ�าลอง แสดงการเกิดขนครังแรก และครังต่อ ปของ
จิตตชรูป จิตตปจจยอุตุชรปู และอุตุปจจยอตุ ชุ รูป

ปฏสิ นธจิ ติ ภวงั คจติ ๑ ภวงั คจติ ๒ ภวงั คจิต ๓ ภวงั คจติ ๔ ภวงั คจิต ๕
(ปฏิ) (ภ๑) (ภ๒) (ภ๓) (ภ๔) (ภ๕)

* ฯลฯ

ฯลฯจิ.รุ จิ.รุ จ.ิ รุ จ.ิ รุ จ.ิ รุ

จ.ิ อุ จิ.อุ จ.ิ อุ จ.ิ อุ จ.ิ อุ ฯลฯ
อุ.อุ อุ.อุ อ.ุ อุ อุ.อุ อุ.อุ ฯลฯ

จิตตชรูป เกิดขนครังแรกท่ีอุปปาทักขณะของปฐมภวังค์ (ภ๑) และจะเกิดขนต่อ ปทุก
อปุ ปาทกั ขณะของจิต

จิตตชรูป (จิ.ร)ุ เป็นปัจจยั ให้เกิด จิตตปัจจยอุตชุ รปู (จ.ิ อ)ุ ถัดไป ๑ อนุขณะ
จติ ตปัจจยอุตุชรปู (จิ.อ)ุ เปน็ ปัจจยั ใหเ้ กดิ อุตปุ ัจจยอตุ ุชรปู (อ.ุ อุ) ถัดไป ๑ อนุขณะ

ค) ภาพจา� ลอง แสดงการเกิดขนครังแรก และครังต่อ ปของ
อตุ ุชรปู และอตุ ุปจจยอตุ ชุ รูป

ปฏสิ นธิจิต ภวงั คจิต ภวังคจิต ภวงั คจิต ภวงั คจติ ภวังคจติ

(ปฏ)ิ (ภ) (ภ) (ภ) (ภ) (ภ) ฯลฯ

*อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ ฯลฯ

ฯลฯอ.ุ อุ อุ.อุ อ.ุ อุ อุ.อุ อุ.อุ อ.ุ อุ อ.ุ อุ อ.ุ อุ อ.ุ อุ อุ.อุ อุ.อุ อุ.อุ อุ.อุ อ.ุ อุ อุ.อุ อุ.อุ อุ.อุ

อตุ ชุ รปู เกดิ ขนครงั แรกทฐ่ี ติ ขิ ณะของปฏสิ นธจิ ติ และจะเกดิ ขนตอ่ ปทกุ อนขุ ณะของจติ
ตลอด ปจนตาย

อตุ ุชรูป (อุ) เปน็ ปัจจยั ให้เกิด อุตปุ ัจจยอุตุชรปู (อุ.อุ) ถัดไป ๑ อนขุ ณะเรอื่ ยไป

ง) ภาพจา� ลอง แสดงการเกดิ ขนครังแรก และครงั ตอ่ ปของ
อาหารชรูป อาหารปจจยอตุ ุชรูป และอตุ ปุ จจยอตุ ุชรปู

๑ ส�าหรับสังเสทชะ และโอปปาติกะ (เวนพรหม) อาหารชรูป
จะเกิดขึ้นคร้ังแรกที่มโนทวารวิถีหลังจากปฏิสนธิจิต และภวังคจิต และจะ
เกดิ ต่อไปทุก ๆ อนขุ ณะของจิต

ปฏสิ นธิจิต ภวงั คจิต มโน ชวนะ ๑ ชวนะ ๒ ชวนะ ๓
(ปฏิ) (ภ) ทวาราวชั ชน (ช) (ช) (ช)

(ม) ฯลฯ
อา อา อา อา อา อา อา อา อา อา อา อา ฯลฯ

ฯลฯอา.อุ อา.อุ อา.อุ อา.อุ อา.อุ อา.อุ อา.อุ อา.อุ อา.อุ อา.อุ อา.อุ อา.อุ
ฯลฯอ.ุ อุ อ.ุ อุ อ.ุ อุ อ.ุ อุ อุ.อุ อ.ุ อุ อุ.อุ อ.ุ อุ อุ.อุ อ.ุ อุ อุ.อุ อุ.อุ

อาหารชรูป (อา) เป็นปจั จัยให้เกิด อาหารปัจจยอตุ ชุ รูป (อา.อ)ุ ถัดไป ๑ อนุขณะเรอ่ื ยไป
อาหารปจั จยอุตุชรูป (อา.อ)ุ เปน็ ปัจจัยใหเ้ กิด อตุ ปุ ัจจยอตุ ชุ รูป (อุ.อุ) ถัดไป ๑ อนขุ ณะ

เรอ่ื ยไป

๒ ส�าหรับคัพภเสยยกบุคคล อาหารชรูปของพวกคัพภเสยยกะ
เกิดข้ึนคร้ังแรกเมื่ออาหารต่าง ๆ ที่มารดาบริโภคเข้าไปแผ่ซึมซาบไปใน
รา่ งกายของสตั วท์ อี่ ยใู่ นครรภม์ ารดา ราวสปั ดาหท์ ่ี ๒ หรอื ท่ี ๓ นบั แตป่ ฏสิ นธิ
และย่อมเกิดต่อไปทกุ ๆ อนุขณะของจิต อาหารชรูปนี้จะเป็นปัจจยั ให้เกิด
อาหารปัจจยอุตุชรูป และอาหารปัจจยอุตุชรูปจะเป็นปัจจัยให้เกิด
อตุ ุปจั จยอุตุชรปู เชน่ เดียวกับขอ้ ๑ ทกุ ประการ

ด้วยเหตุน้ีในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจึงมีอุตุชรูป
ปกคลุมอยทู่ ว่ั ไปหมด เมื่อสัตวต์ ายลง อตุ ุชรูปจะยงั คงปรากฏอยู่ตลอดไป
สว่ นกัมมชรูป จติ ตชรปู และอาหารชรูปนนั้ ปรากฏอยไู่ ดใ้ นระหว่างทสี่ ัตว์
ยงั มีชีวิตอยเู่ ทา่ นน้ั เมื่อสัตว์ตายลงรูปทง้ั ๓ นก้ี ็จะดบั ลงทั้งหมด

อา ารชร

อาหารกเ็ ปน็ ตน้ เหตุอกี ประการหนึ่งท่ที า� ให้เกิดรปู เพราะอาหารท่ี
รบั ประทานเขา้ ไปจะชว่ ยหลอ่ เลยี้ งรา่ งกายใหเ้ จรญิ เตบิ โตและมพี ละกา� ลงั เมอื่
เตบิ โตเต็มทแ่ี ลว้ กห็ ลอ่ เลีย้ งใหค้ งรูปร่างอยู่ต่อไปได้ อาหารทุกประเภทจะมี
คณุ คา่ ทางโภชนาการมากบา้ ง นอ้ ยบา้ ง ขน้ึ อยกู่ บั ชนดิ และประเภทของอาหาร
คุณคา่ ทางโภชนาการของอาหารนีภา าธรรมเรียกวา่ โอชา หรอ อาหารรูป
(อา-หา-ระ-รปู ) ดังน้นั ค�าวา่ อาหารในที่น้จี ึงหมายถึงอาหารรปู หรือคุณค่า
ทางโภชนาการทแ่ี งอยใู่ นอาหารเหลา่ นน้ั มไิ ดห้ มายถงึ อาหารทม่ี องเหน็ ดว้ ยตา

เม่ือบุคคลบริโภคอาหารเข้าไป ปาจกเตโชธาตุ จะท�าหน้าท่ีย่อย
อาหาร ค้ันเอาแต่โอชาไปบ�ารุงร่างกาย เพ่ือท�าให้ร่างกายของสัตว์ท้ังหลาย
มีก�าลังวงั ชา เจรญิ เติบโต แข็งแรง และดา� รงชีวติ อย่ไู ด้ รปู ทเี่ กดิ จากอาหาร
เรียกวา่ อาหารชรปู (อา-หา-ระ-ชะ-รปู )

โอชา หรือ อาหารรูป ที่ท�าให้อาหารชรูปเกิดนั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่
โอชาทีอ่ ย่ใู นอาหารตา่ ง ๆ เทา่ นั้น ในยาตา่ ง ๆ ท่ีรบั ประทาน หรอื ฉดี หรอื
ทา ก็ท�าใหอ้ าหารชรูปเกดิ ขึ้นได้เชน่ กนั

โอชาในอาหารและในยาจากภายนอกน้ีรวมเรียกว่า รูปอาหาร
ภายนอก หรอ พหิทธโอชา คือ โอชารูปท่ีอยู่ในอาหาร เครื่องดื่ม หรือยา
ท่ีบริโภคด้วยการรับประทาน หรือทา หรือฉีดเข้าไป โอชารูปน้ีจะไปสร้าง
อาหารชรูปในร่างกายสัตว์ องคธ์ รรมของอาหารชรูป ดแก่ อวินิพโภครปู ๘
ปรจิ เ ทรปู ๑ วกิ ารรปู ๓ หรอทเ่ี รยี กวา่ อาหารชรปู ๑๒ ดงั ภาพในหนา้ ๒๕๐

อาหารชรูปท่ีเกิดจากอาหารภายนอกนี้ยังช่วยอุปถัมภ์รูปท่ีเกิด
จากสมุฏฐานอ่ืน ๆ ใหม้ ีกา� ลงั ต้ังอยูเ่ ป็นอย่างดอี กี ดว้ ย เชน่ อาหารชรูปไป
อุปถมั ภ์รูปที่เกดิ จากกรรม มจี กั ขุปสาทรปู เปน็ ต้น ทา� ใหต้ าดแี จ่มใสแลเหน็
ได้ชัดเจนเพราะได้อาหารสมบูรณ์ ถ้าจักขุปสาทรูปขาดอาหารก็ท�าให้เกิด
โรคตา ตามวั ตา าฟาง เปน็ ตน้ อาหารชรปู ยงั ชว่ ยอปุ ถมั ภร์ ปู ทเ่ี กดิ จากจติ เชน่
รปู อริ ยิ าบถ ๔ ทา� ใหย้ นื เดนิ นง่ั นอน ไดส้ ะดวกคลอ่ งแคลว่ แตถ่ า้ ขาดอาหารชรปู
ก็จะผอมแห้งไม่มีเรี่ยวมีแรง อาหารชรูปยังไปอุปถัมภ์รูปท่ีเกิดจากอุตุ
ท�าให้รูปน้ันไม่เย็นไม่ร้อนเกินไปเพราะได้อาหารสมบูรณ์ ท�าให้ไม่เป็นโรค
ท่ีเกิดจากอุตุ นอกจากนี้อาหารชรูปยังอุปถัมภ์รูปท่ีเกิดจากอาหารด้วยกัน
ใหม้ กี า� ลังเพม่ิ ขนึ้ อีกดว้ ย

ส่วนรูปอาหารภาย น หรอ อัช ัตตโอชา ก็คือโอชารูปท่ีเกิด
ร่วมกันในอวนิ ิพโภครูป ๘ ท่ตี ง้ั อยภู่ ายในรา่ งกายสัตวน์ ่นั เอง หากโอชานนั้
อยู่ในกลุ่มกัมมชรูปก็เรียกว่า กัมมชโอชา หากโอชาน้ันอยู่ในกลุ่มอุตุชรูป
กเ็ รยี กวา่ อุตชุ โอชา

ในคัมภีร์สุทธิมรรค พระพุทธโ ษาจารย์ แสดงวา่ “ในมนุษยโ์ ลก
ผูท้ ่ไี ด้กินอาหารเต็มทคี่ รัง้ หนงึ่ จะรกั ษาร่างกายของผูน้ ั้นใหอ้ ยู่ได้นาน ๗ วนั

โดยไม่ต้องกินอะไรอีก สา� หรบั ในเทวโลกนั้น อาหารทพิ ย์ของพวกเทวดาท่ี
เสวยคร้งั หนึ่งจะรักษารา่ งกายใหอ้ ยู่ไดต้ ลอดหน่งึ เดือน หรือสองเดอื น โดย
ไมต่ อ้ งเสวยอกี เชน่ เดยี วกนั ทเี่ ปน็ เชน่ นก้ี เ็ พราะโอชาทอ่ี ยใู่ นอาหารทกี่ นิ เขา้ ไป
ผสมกบั กมั มชโอชาทอี่ ยภู่ ายในรา่ งกาย จะทา� ให้อาหารชรปู เกิดข้ึนไดต้ ลอด
๗ วันในมนษุ ยโ์ ลก และเกดิ ขน้ึ ตลอดหนึง่ เดอื น หรอื สองเดอื นในเทวโลก
สา� หรบั ทารกทอี่ ยใู่ นครรภม์ ารดา เมอ่ื มารดากนิ อาหารเขา้ ไปแลว้ ภายใน ๒-๓
สปั ดาห์ โอชาก็จะแผซ่ มึ ซาบเข้าส่รู ่างกายของทารก และจะท�าให้อาหารชรูป
เกดิ ขึน้ แก่ทารกได”้

การเกิดขนของอาหารชรูป ดังแสดง นภาพ

อดีตภพ ปจั จบุ นั ภพ อนาคตภพ
ปฏสิ นธิกาล
ภ๓ ฯลฯ ปวัตตกิ าล จตุ กิ าล ๑๕ ๑๖ ๑๗
ปฏิ ภ๑ ภ๒
ม ช๑ ช๒ ฯลฯ ๑๒๓ ฯลฯ

จตุ ิ อาหารชรปู ดับ

อา อา อา อา อา อา อา อา อา อา อา อา อา อาอาอา

อาหารชรปู อาหารชรูปเกดิ ขนึ้ เปน็ ครง้ั สุดทา้ ยที่
• ของพวกสงั เสทชะ และโอปปาติกะ (เวน้ พรหม) เกิดขึน้ ครงั้ แรก ภังคกั ขณะของจุติจติ แลว้ ยงั คงตั้งอยู่
ไดอ้ กี เท่ากับ จิต ๑๗ ดวง แตไ่ ม่เตม็ ที่
ทมี่ โนทวารวถิ ี หลังจากปฏสิ นธิจติ และภวังคจิต และเกดิ ขนึ้ (เพียง ๕๐ อนขุ ณะเท่านน้ั )
ต่อไปทกุ ๆ อนุขณะของจติ
• ของพวกคัพภเสยยกะ เกิดขึ้นคร้งั แรกเม่ืออาหารต่าง ๆ
ทมี่ ารดาบริโภคเขา้ ไปได้แผ่ซึมซาบเข้าสูใ่ นร่างกายของสตั ว์
ทอ่ี ยใู่ นครรภ์ (ราวสปั ดาหท์ ี่ ๒ หรือ ๓ นบั ตงั้ แต่ปฏิสนธิ)
และจะเกิดอยา่ งตอ่ เน่อื งทกุ ๆ อนุขณะของจติ

อาหารชรูป (อา) จะเป็นปัจจัยใหเ้ กดิ อาหารปจั จยอุตชุ รูป (อา.อุ)
และอาหารปัจจยอตุ ชุ รูป (อา.อ)ุ จะเป็นปัจจยั ให้เกดิ อุตปุ จั จยอุตุชรปู (อ.ุ อุ)
ดังรายละเอยี ดทแ่ี สดงไว้ในหวั ข้อกอ่ นหนา้ น้แี ลว้

บ ี่
กลา องร ัน

ในทางชวี วทิ ยา เ ลล์(Cell)คอื หนว่ ยยอ่ ยพน้ื ฐานทไ่ี มส่ ามารถมอง
เหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ และเปน็ หนว่ ยทเ่ี ลก็ ทสี่ ดุ ของสงิ่ มชี วี ติ เซลลส์ ตั วก์ เ็ ปน็ สว่ น
ทเี่ ลก็ ทส่ี ดุ ของสัตว์ อวยั วะต่าง ๆ ของสตั ว์จะเกดิ จากการรวมตัวของเซลล์
หลาย ๆ ล้านเซลล์น่นั เอง เซลล์เหล่านส้ี ามารถเห็นได้จากกลอ้ งจลุ ทรรศน์
ซึง่ มีส่วนประกอบต่าง ๆ ดังรูป

แต่ในพระอภิธรรมจะเรยี กหนว่ ยท่เี ล็กท่ีสุดว่า กลาป

รปู กลาป กคอสว่ นทเ่ี ลกทสี่ ดุ ของรปู ง่ มส่ ามารถมองเหน ดดวย
ตาเปลา่ (ดูภาพสมมุตขิ องจกั ขทุ สกกลาปในหนา้ ๒๗๓)

ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะเกิดจากการรวมตัวของกลาปต่าง ๆ
หลายล้านกลาปเช่นกัน แต่ขนาดของกลาปจะเล็กกว่าขนาดของเซลล์มาก
จงึ ไม่สามารถเห็นไดด้ ว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน์

รปู ทงั้ หลายไมว่ า่ จะเกดิ จากสมฏุ ฐานใดกต็ าม ยอ่ มเกดิ ขนึ้ เปน็ กลมุ่
ในแต่ละกลุม่ จะมรี ูปมาประชุมกันมากบา้ ง นอ้ ยบ้าง กลมุ่ ของรปู ท้ังหลายนี้
เรยี กวา่ กลาป (คา� วา่ กลาป แปลวา่ กลมุ่ ) ในแตล่ ะกลาปอยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ จะตอ้ ง
มีรปู เกดิ ขึ้นพร้อมกัน ๘ รูปเสมอ ไดแ้ ก่ ปถวี อาโป เตโช วาโย สี กลิน่
รส และโอชา รูปท้ัง ๘ น้ีจะแยกจากกันไม่ได้และมีช่ือเรียกโดยเฉพาะว่า
อวนิ พิ โภครปู ๘ ซง่ึ เปน็ กลมุ่ รปู พนื้ ฐานของทกุ สมฏุ ฐาน จงึ เรยี กกลมุ่ รปู นวี้ า่
สุทธฏั ฐกกลาป (กลาปทมี่ ีรปู ๘ ชนดิ คอื อวนิ พิ โภครูป ๘ ล้วน ๆ )

การเกดิ ขนของรปู กลาปจะตองประกอบดวยองค์ ๓ คอ

๑. เกิดพร้อมกนั
๒. ดบั พรอ้ มกนั
๓. มที อ่ี าศยั คือ มหาภูตรูปเดียวกนั

กัมมชกลาป ๙ ๒๓
จิตตชกลาป ๘ รวม ๒๓ กลาป
อุตชุ กลาป ๔
อาหารชกลาป ๒

รูปกลาปท้ัง ๒๓ น้ี เกิดจากการรวมตัวกนั ของรูป ๒๓ รูป (เว้น
ปริจเฉทรูป ๑ และลักขณรูป ๔) เน่องจากปริจเ ทรูปเป็นเพียงช่องว่าง
ระหว่างกลาป จง ม่นับเป็นองค์ประกอบของรูปกลาป ส่วนลักขณรูป ๔
เป็นเพียงความเปน็ ป (การเกิดขน-ตังอยู-่ ดบั ป) ของรูปกลาป จง มน่ บั
เปน็ องคป์ ระกอบของกลาปเชน่ กัน

กั ชกลา

กัมมชกลาป คอ กลุ่มของกัมมชรูปที่รวมตัวกันเพ่อท�าหนาท่ี
อย่าง ดอย่างหน่ง ในแตล่ ะกลมุ่ (กลาป) จะมีจ�านวนรูปมากบ้าง นอ้ ยบ้าง
แตกตา่ งกนั ไป

เน่ืองจากกัมมชรูปเป็นรูปที่เกิดจากกรรม ดังนั้น กัมมชกลาป
จงเกดิ ดเ พาะ นสัตว์ท่มี ชี ีวิตเท่านนั

กัมมชรูปทัง ๑๘ จะเป็นองค์ประกอบของกัมมชกลาป ดเพียง
๑๗ รปู เทา่ นนั (เวนปรจิ เ ทรูป ๑)

ดงั นนั กมั มชรปู ทที่ า� หเกดิ กมั มชกลาปจงมเี พยี ง อวนิ พิ โภครปู ๘
ปสาทรูป ๕ ภาวรปู ๒ หทยรูป ๑ และชวี ิตรูป ๑ (รวม ๑๗ รปู )

กัมมชรูปทั้ง ๑๗ นี้ อุปมาเหมือนช้ินส่วนของนาฬิกาท่ียังไม่ได้
ประกอบเข้าด้วยกัน จึงยังใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ต่อเมื่อน�ามาประกอบ
เข้าด้วยกันจึงเป็นนาฬิกาทสี่ ามารถบอกเวลาได้ กมั มชรปู ๑๗ ก็เชน่ กนั จะ
ทา� งานไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื รวมตวั กนั เปน็ กลาป (กลมุ่ ของรปู ) จงึ จะทา� หนา้ ทตี่ า่ ง ๆ ได้

กัมมชกลาป ๙ ความหมาย องคธ์ รรม คือ

๑. จกั ขุทสกกลาป กลาปทป่ี ระกอบด้วย อวินพิ โภครปู ๘,

(จกั -ขุ-ทะ-สะ-กะ-กะ- กมั มชรปู ๑๐ ชนดิ โดยมี ชีวิตรปู ๑, จักขุปสาท ๑

หลาบ) จักขปุ สาทเปน็ ประธาน

๒. โสตทสกกลาป กลาปที่ประกอบด้วย อวินิพโภครูป ๘,

(โส-ตะ-ทะ-สะ-กะ-กะ- กัมมชรปู ๑๐ ชนดิ โดยมี ชวี ติ รูป ๑, โสตปสาท ๑

หลาบ) โสตปสาทเปน็ ประธาน

๓. ฆานทสกกลาป กลาปทป่ี ระกอบด้วย อวนิ พิ โภครูป ๘,

(ฆา-นะ-ทะ-สะ-กะ-กะ- กัมมชรูป ๑๐ ชนิด โดยมี ชีวิตรปู ๑, ฆานปสาท ๑

หลาบ) ฆานปสาทเปน็ ประธาน

๔. ชวิ หาทสกกลาป กลาปที่ประกอบดว้ ย อวินิพโภครูป ๘,
(ชิว-หา-ทะ-สะ-กะ-กะ- กัมมชรปู ๑๐ ชนดิ โดยมี ชวี ติ รูป ๑, ชวิ หาปสาท ๑
หลาบ) ชิวหาปสาทเป็นประธาน

๕. กายทสกกลาป กลาปท่ีประกอบด้วย อวินิพโภครูป ๘,

(กา-ยะ-ทะ-สะ-กะ-กะ- กัมมชรปู ๑๐ ชนิด โดยมี ชวี ิตรูป ๑, กายปสาท ๑

หลาบ) กายปสาทเป็นประธาน

๖. อิตถภี าวทสกกลาป กลาปที่ประกอบดว้ ย อวินิพโภครูป ๘,

(อติ -ถี-ภา-วะ-ทะ-สะ-กะ- กมั มชรูป ๑๐ ชนิด โดยมี ชวี ติ รูป ๑, อิตถีภาวรปู ๑

กะ-หลาบ) อติ ถีภาวรปู เป็นประธาน

๗. ปรุ ิสภาวทสกกลาป กลาปที่ประกอบดว้ ย อวนิ ิพโภครปู ๘,

(ปุ-ร-ิ สะ-ภา-วะ-ทะ-สะ- กัมมชรูป ๑๐ ชนดิ โดยมี ชีวิตรูป ๑, ปรุ ิสภาวรปู ๑

กะ-กะ-หลาบ) ปุรสิ ภาวรูปเป็นประธาน

กัมมชกลาป ๙ ความหมาย องค์ธรรม คอื

๘. วัตถทุ สกกลาป กลาปท่ีประกอบด้วย อวินิพโภครปู ๘,

(วดั -ถ-ุ ทะ-สะ-กะ-กะ- กมั มชรูป ๑๐ ชนดิ โดยมี ชวี ติ รปู ๑,

หลาบ) หทยวัตถรุ ูปเปน็ ประธาน หทยวตั ถุรปู ๑

๙. ชวี ติ นวกกลาป กลาปทป่ี ระกอบด้วย อวนิ ิพโภครูป ๘,

(ชี-วิ-ตะ-นะ-วะ-กะ-กะ- กมั มชรปู ๙ ชนดิ โดยมี ชวี ติ รูป ๑

หลาบ) ชวี ติ รปู เป็นประธาน

อวินิพโภครูป ๘ เป็นรูปท่ี ม่สามารถแยกจากกัน ด ประกอบ

ดวยรูป ๘ ชนดิ ดแก่ ปถวี อาโป เตโช วาโย วัณณะ (คอ สตี า่ ง หรอ

รปู ารมณ)์ คนั ธะ (คอ กลิ่นตา่ ง หรอคันธารมณ)์ รสะ (คอ รสตา่ ง หรอ

รสารมณ์) และโอชา (คอ คุณค่าทางโภชนาการของอาหาร หรออาหารรปู )
ยกตวั อย่างเชน่ กลบี กุหลาบ ๑ กลบี จะมมี หาภตู รปู ๔ (ปถวี อาโป เตโช
วาโย) เปน็ รปู หลกั (เปน็ รปู มลู ฐาน) สว่ นสี กลนิ่ รส และโอชา เปน็ คณุ สมบตั ิ
ทป่ี ระกอบอยใู่ นกลบี กหุ ลาบนนั้ (เปน็ อปุ าทายรปู ) โดยไมส่ ามารถจะแยกรปู
ทั้ง ๘ ชนิดนีอ้ อกจากกนั ไดเ้ ลย

นท่นี จี ะขอยก จักขุทสกกลาป ขนแสดงเป็นตวั อยา่ ง

จกั ขทุ สกกลาป หมายถง กลาปท่ปี ระกอบดวยกัมมชรปู ๑๐ ชนิด
(ทสกะ กลมุ่ ๑๐)๒๘ โดยมจี กั ขปุ สาทเปน็ ประธาน มมี หาภตู รปู ๔ คอื ปถวี
อาโป เตโช วาโย เปน็ รปู มลู ฐาน มสี ี กลนิ่ รส โอชา เปน็ รปู ทเี่ กดิ ขนึ้ พรอ้ มกนั
กบั มหาภูตรปู ทงั้ ๔ และมีชีวติ รูปเปน็ ผรู้ กั ษากลมุ่ รปู นใ้ี หม้ ชี วี ิตอยไู่ ด้

จักขุปสาท เป็นความ สของมหาภูตรูปที่สามารถรับรูปารมณ์ ด
แตก่ ารเห็นเกดิ ไดเ้ พราะจกั ขวุ ญิ ญาณที่อาศยั จักขปุ สาทเป็นที่ต้งั

ภาพสมมตุ ขิ องจักขทุ สกกลาป (เพียงกลาปเดยี ว) เปน็ ดังนี

ดิน นา�้ ไฟ จกั ขุทสกกลาป ๑ กลาป
ลม สี กลิ่น รส มี จักขปุ สาท เป็นประธาน

โอชา จัก ชี

๒๘

จ�านวนเลขบาลี นรปู กลาป

จ�านวนเลข บาลี
๘ อฏ
๙ นว
๑๐ ทส
๑๑ เอกาทส
๑๒ ทวาทส, พารส
๑๓ เตรส

อกั ษรตวั “ก” ตรง ทสก เปน็ “ก-ปจั จัย” แปลวา่ หมวด

ดังน้ัน จักขุทสกกลาป จงึ แปลวา่ กลาปหมวด ๑๐ ง่ มจี กั ขปุ สาท เปน็ ประธาน

หมายเหตุ การเขียนรูปทงั้ ๑๐ แยกกันเช่นนกี้ ็เพ่อื ให้เหน็ วา่ ใน
จกั ขทุ สกกลาปประกอบดว้ ยรปู อะไรบา้ ง แตใ่ นความเปน็ จรงิ แลว้ รปู ทงั้ ๑๐ นี้
จะแยกออกจากกนั ไมไ่ ดโ้ ดยเดด็ ขาด เชน่ เดยี วกบั กาแฟรอ้ นจะมคี วามรอ้ น
ความขม ความหวาน ความหอม และคุณค่าทางโภชนาการหลอมรวมอยู่
ดว้ ยกนั โดยไมส่ ามารถแยกออกจากกนั ได้

การเกิดขนของจักขุทสกกลาปนี ม่ ดเกิดขนเพียงกลาปเดียว
แต่จะเกิดพรอมกันครังละหลายลานกลาป นท่ีนีจะแสดงการเกิดขน
พรอม กนั ของ ๑๒ กลาป เทา่ นนั พอเป็นตัวอยา่ ง ดังรูป

ดิน นา้� ไฟ ดิน นา�้ ไฟ ดิน นา้� ไฟ วงกลมแต่ละวง
ลม สี กล่นิ รส ลม สี กลิ่น รส ลม สี กล่ิน รส หมายถึง จักขทุ สกกลาป
เพียง ๑ กลาป
โอชา จกั ชี โอชา จัก ชี โอชา จกั ชี แต่ละกลาปจะประกอบ
ด้วยรปู ๑๐ ชนดิ
ดิน นา้� ไฟ ดนิ นา�้ ไฟ ดนิ นา�้ ไฟ ดิน นา้� ไฟ (ดังแสดงมาแลว้ )
ลม สี กล่ิน รส ลม สี กลน่ิ รส ลม สี กล่ิน รส ลม สี กล่ิน รส

โอชา จกั ชี โอชา จกั ชี โอชา จัก ชี โอชา จัก ชี

ดนิ นา้� ไฟ ดิน นา้� ไฟ ดนิ นา�้ ไฟ
ลม สี กล่นิ รส ลม สี กลนิ่ รส ลม สี กลิน่ รส

โอชา จัก ชี โอชา จกั ชี โอชา จกั ชี

ปรจิ เฉทรปู ดิน นา้� ไฟ ดนิ นา้� ไฟ
ลม สี กลน่ิ รส ลม สี กลิ่น รส

โอชา จัก ชี โอชา จัก ชี

(รปู ที่คัน่ แต่ละกลาป)

ปรจิ เฉทรูป
(รูปท่คี นั่ แตล่ ะกลาป)

จักขุทสกกลาป จะรวมตวั กันเพือ่ เปน็ ท่ตี งั้ ของ จกั ขุวิ าณ

กัมมชกลาปทีเ่ หลืออกี ๘ กลาปก็เปน็ ไปในท�านองเดยี วกนั นี้

าน ัง้ องกั ชกลา นร่างกาย น ย

นรา่ งกายของคนเรานแี บ่งออกเปน็ ๓ สว่ น คอ

๑ อปุ รมิ กาย กายส่วนบน นบั ตง้ั แตค่ อข้ึนไปตลอดศีรษะ
๒ มชั มิ กาย กายส่วนกลาง นับตั้งแต่คอลงมาถงึ สะดือ
๓ เหฏฐมิ กาย กายส่วนลา่ ง นบั ตั้งแตส่ ะดือลงมาถงึ เท้า

อุปรมิ กาย ในอปุ รมิ กาย มีกมั มชกลาป
เกิดได้ ๗ กลาป คือ
(กายส่วนบน) ๑. จักขุ ๕. กาย
๒. โสต ๖. ภาว
มัชฌมิ กาย ๓. ฆาน ๗. ชีวิต
๔. ชิวหา
(กายสว่ นกลาง)
ในมชั ฌมิ กาย มีกมั มชกลาป
เกดิ ได้ ๔ กลาป คอื
๑. วัตถุ ๓. ภาว
๒. กาย ๔. ชวี ิต

เหฏฐิมกาย ในเหฏฐมิ กาย มกี มั มชกลาป
เกดิ ได้ ๓ กลาป คือ
(กายสว่ นล่าง) ๑. กาย
๒. ภาว
๓. ชวี ิต

นอุปรมิ กาย มีกัมมชกลาปเกดิ ด ๗ กลาป คอ

๑. จักขุทสกกลาป ๒. โสตทสกกลาป ๓. านทสกกลาป
๔. ชิวหาทสกกลาป ๕. กายทสกกลาป ๖. ภาวทสกกลาป ๗. ชวี ิตนวกกลาป

นมัช ิมกาย มีกมั มชกลาปเกดิ ด ๔ กลาป คอ

๑. วัตถทุ สกกลาป ๒. กายทสกกลาป ๓. ภาวทสกกลาป
๔. ชวี ิตนวกกลาป

นเหฏฐิมกาย มกี ัมมชกลาปเกดิ ด ๓ กลาป คอ

๑. กายทสกกลาป ๒. ภาวทสกกลาป ๓. ชีวติ นวกกลาป

ขอสงั เกต

๑. จะเหน็ ว่ากลาปท้งั ๓ คอื กายทสกกลาป ภาวทสกกลาป และ
ชวี ติ นวกกลาป จะมปี รากฏอยทู่ ว่ั ทุกสว่ นของร่างกาย

ส่วนกัมมชกลาปที่เหลืออีก ๕ กลาป คือ จักขุทสกกลาป
โสตทสกกลาป านทสกกลาป ชวิ หาทสกกลาป และวตั ถทุ สกกลาป จะมฐี าน
ที่ตง้ั ของตนโดยเฉพาะ มไิ ดก้ ระจายอยทู่ วั่ ร่างกาย

๒. กมั มชกลาป มี ๙ กลาป แต่ในคนคนหนง่ึ จะมีกลาปเกิดได้
อยา่ งมากที่สดุ เพยี ง ๘ กลาปเทา่ นัน้ เพราะอิตถีภาวทสกกลาป (รูปกลาปท่ี
แสดงความเปน็ หญงิ ) และปรุ สิ ภาวทสกกลาป (รปู กลาปทแ่ี สดงความเปน็ ชาย)
จะเกิดพรอ้ มกนั ในคนคนเดยี วไม่ได้

ชกลา

จติ ตชกลาป คอ กลมุ่ ของจติ ตชรปู ทรี่ วมตวั กนั เพอ่ ทา� หนาทอี่ ยา่ ง ด
อย่างหน่ง โดยในแต่ละกลุ่ม (กลาป) จะมีจ�านวนรูปมากบ้าง น้อยบ้าง
แตกต่างกันไป จติ ตชกลาปจะเกิด ดเ พาะ นสงิ่ ท่มี ีชวี ิตเทา่ นนั

จติ ตชรูปท้งั ๑๕ จะเปน็ องคป์ ระกอบของจิตตชกลาปไดเ้ พียง ๑๔
รูปเทา่ นัน้ (เวน้ ปรจิ เฉทรูป ๑) ดงั นนั้ จติ ตชรปู ทที่ า� ใหเ้ กดิ จติ ตชกลาปจึงมี
เพียง วิญญัตริ ูป ๒, สัททารมณ์ ๑, วกิ ารรปู ๓ และอวินพิ โภครปู ๘ (รวม
๑๔ รปู )

การแสดงกมั มชกลาปในหวั ขอ้ ทแี่ ลว้ เปน็ การแสดงโดยการยกเอา
รูปที่เกิดจากกรรมโดยแน่นอนขึ้นมากล่าวเป็นประธาน เช่น จักขุปสาทรูป
โสตปสาทรปู านปสาทรูป ฯลฯ แล้วบวกด้วยอวนิ พิ โภครูป ๘, ชีวติ รปู ๑

สว่ นการแสดงจติ ตชกลาป อตุ ชุ กลาป อาหารชกลาป เปน็ การแสดง
โดยความเปน็ มลู (ม-ู ละ) คอ บทตงั และ มลู ี คอ บทตาม ซง่ึ ในบทตามน้ี
จะมวี กิ ารรูป ๓ เขา้ ประกอบด้วย โดยจะ ชค�าว่า ลหุตาทิ เพ่อแสดง หรูว่า
ประกอบดวยวิการรปู ๓ ดังแสดงในตารางหน้าถดั ไป

หมายเหตุ
มูลกลาป หมายถง กลาปเดมิ
มูลกี ลาป หมายถง กลาปที่มอี งคป์ ระกอบเพ่มิ จากกลาปเดิม

จติ ตชรปู ๑๔ (เวนปรจิ เ ทรปู ๑) ทา� หเกิดจิตตชกลาป ด ๘ กลาป ดงั นี

จิตตชกลาป ๘ คอื

มูลกลาป มลู ีกลาป

๑. สุทธัฏฐกกลาป ๕. ลหตุ าทเิ อกาทสกกลาป

หมายถงึ กลาปทมี่ ีจ�านวนรปู ๘ หมายถึง กลาปทีม่ จี �านวนรูป ๑๑

ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ เท่านน้ั ได้แก่ อวนิ ิพโภครปู ๘, วกิ ารรูป ๓

๒. สัททนวกกลาป ๖. สทั ทลหตุ าททิ วาทสกกลาป

หมายถงึ กลาปทม่ี จี �านวนรูป ๙ หมายถงึ กลาปทมี่ ีจ�านวนรูป ๑๒

ไดแ้ ก่ อวนิ พิ โภครปู ๘, สัททรูป ๑ ไดแ้ ก่ อวินพิ โภครปู ๘, สทั ทรปู ๑,

วกิ ารรูป ๓

๓. กายวิญญตั นิ วกกลาป ๗. กายวญิ ญตั ลิ หุตาททิ วาทสกกลาป

หมายถึง กลาปท่มี ีจ�านวนรูป ๙ หมายถงึ กลาปทมี่ ีจ�านวนรูป ๑๒

ได้แก่ อวนิ ิพโภครูป ๘, กายวิญญตั ิ ๑ ไดแ้ ก่ อวนิ พิ โภครปู ๘, กายวญิ ญัติ ๑,

วิการรปู ๓

๔. วจีวญิ ญัติสัทททสกกลาป ๘. วจีวญิ ญตั สิ ัททลหุตาทเิ ตรสกกลาป

หมายถึง กลาปท่มี ีจ�านวนรูป ๑๐ หมายถึง กลาปทม่ี ีจ�านวนรปู ๑๓

ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘, วจีวญิ ญตั ิ ๑, ได้แก่ อวินิพโภครปู ๘, วจีวิญญตั ิ ๑,

สัททรปู ๑ สทั ทรูป ๑, วกิ ารรูป ๓



๑ สุทธัฏฐกกลาป (สุด-ทัด-ถะ-กะ-กะ-หลาบ) คือ กลาปท่ี
ประกอบดว้ ยจติ ตชรปู ๘ ชนดิ ได้แก่ อวินพิ โภครูป ๘ ลว้ น ๆ เชน่ เวลาท่ี
หายใจ เมื่อเกิดอาการหน้าแดงในขณะที่โกรธ อาการขนลุกในขณะเกลียด
หรือกลัว เป็นต้น กลาปน้ีจะไม่เกี่ยวกับการเคล่ือนไหวร่างกาย การพูด
หรือการออกเสียงแต่อยา่ งใด

๒ สัททนวกกลาป (สดั -ทะ-นะ-วะ-กะ-กะ-หลาบ) คือ กลาป
ท่ีประกอบด้วยกลุ่มรูป ๙ รูป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ ท่ีเกิดพร้อมด้วย
สัททรูป เป็นรูปกลาปที่เกิดขึ้นในขณะที่มีเสียงปรากฏโดยไม่เก่ียวกับ
การพูด เช่น เสียงที่เกิดจากลมหายใจ เสียงไอ จาม หาวเพราะง่วงนอน
เสยี งละเมอที่ไมร่ เู้ รื่อง เป็นตน้

๓ กายวิ ตั นิ วกกลาป (กา-ยะ-วนิ -ยดั -นะ-วะ-กะ-กะ-หลาบ)
คอื กลาปทปี่ ระกอบดว้ ยกลมุ่ รปู ๙ รปู ไดแ้ ก่ อวนิ พิ โภครปู ๘ ทเ่ี กดิ พรอ้ มดว้ ย
กายวญิ ญตั ริ ปู ทา� ใหเ้ กดิ การเคลอ่ื นไหวกาย เชน่ ยนื เดนิ นงั่ นอน คู้ เหยยี ด
ก้ม เงย เหลยี วซ้าย แลขวา เดนิ หน้า ถอยหลงั ทไ่ี ม่กระฉับกระเฉง เป็นต้น
สาเหตทุ ท่ี า� ใหไ้ มก่ ระฉบั กระเฉงอาจเป็นเพราะความเจ็บปวย ฯลฯ

๔ วจวี ิ ตั สิ ทั ททสกกลาป (วะ-จ-ี วนิ -ยดั -สดั -ทะ-ทะ-สะ-กะ-
กะ-หลาบ) คือ กลาปทป่ี ระกอบดว้ ยกลมุ่ รูป ๑๐ รูป ไดแ้ ก่ อวินพิ โภครปู ๘
ที่เกิดพร้อมด้วยวจีวิญญัติรูป และสัททรูป ท�าให้เกิดเสียงพูด เสียงอ่าน
หนงั สอื เสยี งรอ้ งเพลง เสยี งสวดมนต์ ทไ่ี มแ่ คลว่ คลอ่ ง เนอื่ งจากอยใู่ นอาการ
ท่ีไม่สบาย เช่น หนาวเกินไป ปวยเป็นไข้ หรืออยู่ในอาการท่ีไม่เต็มใจพูด
ไมเ่ ตม็ ใจอา่ น เปน็ ต้น

๕ ลหุตาทิเอกาทสกกลาป (ละ-หุ-ตา-ทิ-เอ-กา-ทะ-สะ-กะ-
กะ-หลาบ) คือ กลาปทปี่ ระกอบด้วยกลมุ่ รูป ๑๑ รูป ได้แก่ อวินพิ โภครปู ๘
ทีเ่ กิดพร้อมดว้ ยวกิ ารรปู ๓ ทา� ใหเ้ กดิ อาการหน้าตาสดชนื่ ยมิ้ แย้มแจ่มใส
จะเกดิ ขนึ้ ในขณะทจ่ี ติ ใจสบาย ดใี จ หรอื อาการขนลกุ ชชู นั อนั เนอื่ งมาจากปตี ิ
กลาปน้ีจะไม่เกย่ี วกับการเคลื่อนไหว การพดู หรือการออกเสยี งแตอ่ ยา่ งใด

๖ สัททลหุตาทิทวาทสกกลาป (สัด-ทะ-ละ-หุ-ตา-ทิ-ทะ-วา-
ทะ-สะ-กะ-กะ-หลาบ) คือ กลาปท่ีประกอบด้วยกลุ่มรูป ๑๒ รูป ได้แก่
อวินิพโภครูป ๘, สัททรูป ๑, วิการรูป ๓ ซึ่งก็คือสัททนวกกลาปที่
มีวิการรูป ๓ เกดิ ร่วมดว้ ยนน่ั เอง จะเกิดในเวลาที่จติ ใจสบาย เข้มแข็ง เช่น
เสยี งหายใจทเี่ บาสบาย เสยี งละเมอทเ่ี ปน็ เรอ่ื งเปน็ ราว เปน็ ตน้ แสดงถงึ จติ ใจ
ในขณะท่ีมีความสบายใจ แต่เสยี งเหลา่ นไี้ มใ่ ชเ่ ป็นเสยี งทีเ่ กีย่ วกบั การพูด

๗ กายวิ ัติลหุตาทิทวาทสกกลาป (กา-ยะ-วิน-ยัด-ละ-
หุ-ตา-ทิ-ทะ-วา-ทะ-สะ-กะ-กะ-หลาบ) คือ กลาปที่ประกอบด้วยกลุ่ม
รูป ๑๒ รูป ไดแ้ ก่ อวนิ ิพโภครปู ๘, กายวญิ ญัติ ๑, วิการรูป ๓ ซึง่ กค็ อื
กายวิญญัตินวกกลาปที่มีวิการรูป ๓ เกิดร่วมด้วยนั่นเอง ท�าให้เกิดการ
เคล่ือนไหวกายในอิริยาบถต่าง ๆ ท้ังอิริยาบถใหญ่ทั้ง ๔ และอิริยาบถ
ย่อยท่ีรวดเร็ว คล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง อันเน่ืองมาจากจิตใจท่ีสบาย
ไมป่ วย ไม่ทกุ ข์

๘ วจวี ิ ตั สิ ทั ทลหตุ าทเิ ตรสกกลาป (วะ-จ-ี วนิ -ยดั -สดั -ทะ-
ละ-หุ-ตา-ทิ-เต-ระ-สะ-กะ-กะ-หลาบ) คือ กลาปทป่ี ระกอบดว้ ยกล่มุ รูป
๑๓ รูป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘, วจีวิญญัติ ๑, สัททรูป ๑, วิการรูป ๓
ซึ่งก็คือ วจีวิญญัติสัทททสกกลาปท่ีมีวิการรูป ๓ เกิดร่วมด้วยน่ันเอง
จะทา� ใหเ้ กดิ เสยี งพดู เสยี งอา่ นหนงั สอื เสยี งรอ้ งเพลง เสยี งสวดมนต์ เปน็ ตน้
ท่ีเป็นปกติ เกิดข้ึนในขณะที่จิตใจสบาย ไม่ปวย ไม่ทุกข์ ท�าให้การพูด
การอา่ นเหลา่ นน้ั เปน็ ไปโดยสะดวก คลอ่ งแคลว่ ฉะฉาน ชดั ถอ้ ยชดั คา� ฯลฯ

าน ั้ง อง ชกลา นร่างกาย น ย

อุปริมกาย ในอปุ รมิ กาย มีจติ ตชกลาปเกิดได้ ๘ กลาป คอื
(กายส่วนบน)
๑. สทุ ธัฏฐกกลาป
๒. สทั ทนวกกลาป
๓. กายวญิ ญตั นิ วกกลาป
๔. วจีวญิ ญัติสัทททสกกลาป
๕. ลหุตาทเิ อกาทสกกลาป
๖. สัททลหตุ าททิ วาทสกกลาป
๗. กายวิญญตั ลิ หุตาททิ วาทสกกลาป
๘. วจวี ญิ ญัติสทั ทลหตุ าทเิ ตรสกกลาป

มชั ฌมิ กาย ในมชั ฌมิ กาย และ เหฏฐิมกาย
(กายสว่ นกลาง) มีจติ ตชกลาปเกดิ ได้ ๔ กลาป คอื
๑ สทุ ธัฏฐกกลาป
เหฏฐิมกาย ๒. กายวญิ ญตั นิ วกกลาป
(กายสว่ นลา่ ง) ๓. ลหุตาทเิ อกาทสกกลาป
๔. กายวิญญตั ลิ หตุ าททิ วาทสกกลาป

(เวน้ กลาปทีเ่ ก่ยี วกับสทั ทะ
เพราะจะเกิดไดเ้ ฉพาะที่ปากเท่าน้ัน)

อ ชกลา

อุตุชรูป หมายถง รูปท่ีเกิดจากอุณหภูมิ คอ ความรอน หรอ
ความเยน ทเ่ี รียกวา่ อณุ หเตโช หรอ สีตเตโช

อุตุชกลาป คอ กลุ่มของอตุ ชุ รูปท่ีรวมตัวกนั เพอ่ ท�าหนาท่ีอยา่ ง ด
อย่างหน่ง ในแตล่ ะกลมุ่ (กลาป) จะมีจ�านวนรูปมากบา้ ง น้อยบา้ ง แตกตา่ ง
กันไป

อุตุชรูปทั้ง ๑๓ จะเป็นองค์ประกอบของจิตตชกลาปได้เพียง
๑๒ รปู เท่านนั้ (เวน้ ปริจเฉทรูป ๑) ดังนนั้ อุตชุ รูปท่ที า� ให้เกดิ อุตุชกลาปจงึ
มีเพยี ง อวินิพโภครปู ๘ สัททารมณ์ ๑ และวิการรปู ๓ (รวม ๑๒ รปู )

อตุ ชุ รปู นเ้ี กดิ ไดท้ งั้ ภายในและภายนอกรา่ งกายสตั ว์ คอื เกดิ ไดท้ งั้
ในส่ิงทีม่ ชี ีวติ และสง่ิ ท่ไี ม่มีชีวิต

อุตุชรูป ๑๒ (เวนปรจิ เ ทรูป ๑) ทา� หเกดิ อตุ ชุ กลาป ด ๔ กลาป ดงั นี

อุตชุ กลาป ๔ คอื

มลู กลาป มลู ีกลาป

(เกดิ ได้ทั้งในสิ่งที่มชี วี ติ และไม่มชี วี ติ ) (เกดิ ไดเ้ ฉพาะในสิง่ ทมี่ ีชวี ติ เท่าน้ัน)

๑. สุทธัฏฐกกลาป ๓. ลหตุ าทเิ อกาทสกกลาป
หมายถึง กลาปทีม่ ีจ�านวนรูป ๘ หมายถงึ กลาปทม่ี ีจ�านวนรูป ๑๑
ได้แก่ อวนิ ิพโภครูป ๘ เทา่ น้นั ได้แก่ อวินพิ โภครูป ๘,
วกิ ารรปู ๓
๒. สัททนวกกลาป
หมายถงึ กลาปทม่ี ีจ�านวนรูป ๙ ๔. สัททลหุตาททิ วาทสกกลาป
ไดแ้ ก่ อวนิ พิ โภครูป ๘, สัททรูป ๑ หมายถึง กลาปที่มีจ�านวนรปู ๑๒
ได้แก่ อวินิพโภครปู ๘,
สัททรูป ๑, วกิ ารรูป ๓

อุตชุ กลาปนีสามารถเกิด นร่างกายของสตั ว์ ดครบทัง ๔ กลาป

๑ สุทธัฏฐกกลาป (สุด-ทัด-ถะ-กะ-กะ-หลาบ) คือ กลาปที่
ประกอบด้วยกลมุ่ รปู ๘ รปู ได้แก่ อวนิ ิพโภครปู ๘ ลว้ น ๆ

สุทธัฏฐกกลาป ได้แก่ ร่างกายของสัตว์ท้ังหลายน่ันเอง เพราะ
อุตุชกลาปนี้เป็นกลาปพ้ืนฐานท่ีรองรับกลาปอ่ืน ๆ ถ้าไม่มีอุตุชกลาปแล้ว
กลาปอน่ื ๆ เชน่ กมั มชกลาป จติ ตชกลาป ฯลฯ กไ็ มส่ ามารถปรากฏขึน้ ได้
สุทธัฏฐกกลาปน้ีจะเกิดขึ้นในเวลาที่ร่างกายของสัตว์ไม่เป็นปกติ เช่น
อ่อนเพลยี ไมส่ บาย เปน็ ตน้

๒ สทั ทนวกกลาป (สดั -ทะ-นะ-วะ-กะ-กะ-หลาบ) คอื กลาปที่
ประกอบดว้ ยกลมุ่ รปู ๙ รปู ไดแ้ ก่ อวนิ พิ โภครปู ๘ ทเี่ กดิ พรอ้ มดว้ ยสทั ทรปู ๑

สทั ทนวกกลาปนเ้ี กดิ เมอื่ เวลาทมี่ เี สยี งปรากฏออกมาจากรา่ งกาย
บางสว่ น เชน่ ทอ้ งรอ้ ง กรน หรือเสียงที่เกดิ จากการตบมือ ดีดนว้ิ มอื และ
เสยี งทเ่ี กดิ จากการตที ส่ี ว่ นใดสว่ นหนงึ่ ของรา่ งกาย เปน็ ตน้ แตเ่ สยี งเหลา่ นนั้
จะไมค่ อ่ ยชัดเจนนัก

๓. ลหุตาทิเอกาทสกกลาป (ละ-หุ-ตา-ทิ-เอ-กา-ทะ-สะ-กะ-
กะ-หลาบ) คือ กลาปทปี่ ระกอบดว้ ยกลมุ่ รปู ๑๑ รปู ไดแ้ ก่ อวนิ ิพโภครูป ๘
ท่เี กิดพรอ้ มด้วยวิการรปู ๓ ซึง่ กค็ อื สทุ ธฏั ฐกกลาปที่มวี ิการรูป ๓ เกิดรว่ ม
ด้วยนั่นเอง คือ ร่างกายของสัตว์ทั้งหลายในเวลาท่ีเป็นปกติสบาย มีความ
คล่องแคลว่ กระฉับกระเฉง ไมอ่ ืดอาด ไมท่ ้อถอย ไมเ่ ซ่ืองซมึ เปน็ ตน้

๔ สัททลหุตาทิทวาทสกกลาป (สัด-ทะ-ละ-หุ-ตา-ทิ-ทะ-
วา-ทะ-สะ-กะ-กะ-หลาบ) คือ กลาปท่ีประกอบด้วยกลุ่มรูป ๑๒ รูป
ได้แก่ อวินิพโภครปู ๘, สัททรูป ๑, วิการรูป ๓ ซึ่งก็คอื สทั ทนวกกลาป
ที่มีวิการรูป ๓ เกิดร่วมด้วยน่ันเอง คือ เสียงต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไว้แล้วใน
สทั ทนวกกลาปนัน่ เอง แตเ่ สยี งนนั้ จะปรากฏแจ่มใส ชัดเจนย่งิ ข้นึ

ในรา่ งกายสตั วจ์ ะมอี ตุ ชุ กลาปเกดิ ได้ ๔ กลาป แตภ่ ายนอกรา่ งกาย
สตั ว์ (ในสงิ่ ทไ่ี ม่มชี ีวิต) จะมีอตุ ุชกลาปเกิดไดเ้ พยี ง ๒ กลาปเท่านนั้ คือ

๑ สุทธฏั ฐกกลาป ไดแ้ ก่ วตั ถสุ ่งิ ของตา่ ง ๆ ท่มี ีอยใู่ นโลกนี้ เชน่
พน้ื ดนิ ภเู ขา ทะเล แมน่ ้�า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ต้นไม้ พชื ผัก
ผลไม้ บ้าน อาคาร รถยนต์ โตะ เก้าอี้ โทรศัพท์ พัดลม เตารีด
กระจก แว่นตา ปากกา อัญมณี ธนบัตร ระ ัง รวมถึงซากศพต่าง ๆ
ท่ีเสยี ชีวิตแลว้ ดว้ ย เปน็ ตน้

๒ สทั ทนวกกลาป ได้แก่ เสียงลมพัด เสยี งฟาร้อง เสยี งนา�้ ไหล
เสยี งรถ เสียงเรือ เสยี งระ ัง เปน็ ต้น

าน ั้ง องอ ชกลา นรา่ งกาย อง น ย

อปุ ริมกาย ในร่างกาย ๓ ส่วน คือ
(กายสว่ นบน) อปุ ริมกาย
มัชฌมิ กาย
มชั ฌมิ กาย และเหฏฐมิ กาย
(กายส่วนกลาง) อุตุชกลาปทัง้ ๔ ย่อมเกิดขึ้นได้
หมายความว่า อตุ ชุ กลาปท้งั ๔
เหฏฐิมกาย มีอยทู่ ว่ั ไปในร่างกายของมนุษย์
(กายส่วนล่าง)
โดยทีส่ ุทธัฏฐกกลาป
และ ลหตุ าทเิ อกาทสกกลาป
จะเกดิ อย่ทู ่ัวร่างกาย
เปน็ ประจ�าตลอดเวลา

แตส่ ทั ทนวกกลาป
และสัททลหุตาททิ วาทสกกลาป
จะเกดิ เปน็ บางครัง้ บางคราว
เท่านั้น ไม่ได้เกดิ เปน็ ประจ�า
ตลอดเวลา

อา ารชกลา

อาหารชกลาป คอ กลุ่มของอาหารชรูปที่รวมตัวกันเพ่อท�าหนาที่
อยา่ ง ดอยา่ งหนง่ ในแตล่ ะกลมุ่ (กลาป) จะมจี �านวนรปู มากบ้าง นอ้ ยบ้าง
แตกตา่ งกันไป

อาหารชรูปท้ัง ๑๒ จะเป็นองค์ประกอบของอาหารชกลาปได้
เพียง ๑๑ รูปเท่านั้น (เว้นปริจเฉทรูป ๑) ดังน้ัน อาหารชรูปที่ท�าให้เกิด
อาหารชกลาปจึงมีเพียง อวินพิ โภครปู ๘ และวิการรปู ๓ (รวม ๑๑ รูป)

อาหารชรปู ๑๑ (เวนปรจิ เ ทรปู ๑) ทา� หเกดิ อาหารชกลาป ด ๒ กลาป ดงั นี

อาหารชกลาป ๒

(เกิดไดเ้ ฉพาะในส่งิ ทม่ี ีชีวิตเท่านนั้ )

มูลกลาป มูลกี ลาป

๑. สทุ ธัฏฐกกลาป ๒. ลหุตาทเิ อกาทสกกลาป

หมายถึง กลาปทีม่ ีจ�านวนรปู ๘ หมายถึง กลาปทมี่ จี �านวนรปู ๑๑

ไดแ้ ก่ อวินิพโภครปู ๘ ไดแ้ ก่ อวินิพโภครปู ๘, วกิ ารรปู ๓

ขอสังเกต เอาขอ ๒ และ ๔ ของอตุ ุชกลาปออก ที่เหลอนอกนนั
เป็นอาหารชกลาป



๑ สุทธัฏฐกกลาป เกิดข้ึนเมื่อเวลาที่รับประทานอาหาร หรือยา
เข้าไป แลว้ ยงั ไม่เกิดความสดช่ืนกระปรก้ี ระเปรา่ หรือเม่ือรบั ประทานเข้าไป
แลว้ ทา� ให้ร่างกายรู้สึกไมส่ บาย แนน่ อึดอดั อาการตา่ งๆ เหลา่ นี้ แสดงว่า
อาหารชกลาปที่เกิดจากอาหาร หรือยาท่ีรับประทาน ยังไม่มีวิการรูป ๓
เกดิ รว่ มด้วย

๒ ลหุตาทิเอกาทสกกลาป เกดิ ขึ้นเมอ่ื อาหารต่าง ๆ หรือยาตา่ ง ๆ
เมื่อกินเขา้ ไปแลว้ ท�าให้รา่ งกาย รูส้ กึ สดชืน่ แขง็ แรง สบาย กระปร้กี ระเปร่า
อาการตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี หมายความวา่ อาหารชกลาปทเี่ กดิ จากยา หรอื อาหารเหลา่ น้ี
มวี ิการรปู ๓ เกดิ รว่ มดว้ ย

อาหารชกลาปท้ัง ๒ น้ีจะเกิดภายนอกสัตว์ไม่ได้ เพราะ
อาหารชกลาปจะเกดิ ไดน้ น้ั ตอ้ งอาศยั กมั มชโอชาทอี่ ยใู่ นรา่ งกายของสตั วเ์ ปน็
ผอู้ ุปการะแกโ่ อชาท่ีอยู่ในอาหารตา่ ง ๆ ทีบ่ ริโภคเข้าไปอกี ทอดหนึง่ ดงั นัน้
รูปกลาปท่ีอยู่ในอาหารต่าง ๆ เม่ือยังไม่ได้บริโภคเข้าไปนั้น จึงยังไม่ใช่
อาหารชกลาป แต่เป็นอุตชุ กลาปทัง้ สิน้

โอชาท่ีท�า หอาหารชรูปเกิดขนนันมี ๒ อย่างคอ พหิทธโอชา และ
อชั ตั ตโอชา
๑ พหทิ ธโอชา ได้แก่ โอชาทีอ่ ยู่ในอาหารต่าง ๆ ทก่ี นิ เขา้ ไป เป็นตัว

ท�าให้อาหารชกลาปเกดิ โดยตรง เรียกวา่ ชนกสัตติ
๒ อัช ัตตโอชา ได้แก่ กัมมชโอชา ท่ีเกิดอยู่ภายในร่างกายของ

สัตว์ กัมมชโอชาจะท�าหน้าที่อุปถัมภ์ให้อาหารชกลาปเกิดขึ้น
เรียกว่า อปุ ถัมภกสัตติ

ต้นไม้ต่าง ๆ ท่ีเจริญงอกงามเติบโต ออกดอก ออกผลได้
โดยอาศัยดิน น�้า ปุย เหล่าน้ี มักมีผู้เข้าใจกันว่า ดิน น้�า และปุย ท�าให้
อาหารชกลาปเกิดแก่ต้นไม้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดิน น้�า และปุย
เหล่านั้น ไม่ได้ท�าให้อาหารชกลาปเกิดแก่ต้นไม้แต่อย่างใดเลย เพียงแต่
ท�าให้อุตุชกลาปเกิดข้ึนเท่าน้ัน เพราะพืชไม่มีกัมมชโอชาที่จะช่วยอุปการะ
ให้เกดิ อาหารชกลาปข้ึนมาได้

หมายเหตุ อาหารในจาน หรืออาหารที่มองเห็นด้วยตาเปล่า
เปน็ อุตชุ กลาปภายนอกสัตว์ ไมใ่ ช่อาหารชกลาป



อุปริมกาย
(กายส่วนบน)

มัชฌิมกาย อาหารชกลาป ๒
(กายส่วนกลาง) ย่อมเกดิ ได้ใน
ร่างกายทง้ั ๓ ส่วน
เหฏฐิมกาย
(กายสว่ นล่าง)




สุทธัฏฐกกลาป ลหุตาทเิ อกาทสกกลาป อาหารชกลาป ๒
จิตตชกลาป ๘
อุตชุ กลาป ๔

สัททนวกกลาป สัททลหุตาททิ วาทสกกลาป

กายวิญญตั นิ วกกลาป กายวิญญตั ลิ หุตาทิ
ทวาทสกกลาป

วจวี ิญญัตสิ ทั ททสก วจีวิญญตั สิ ทั ทลหุตาทิ
กลาป เตรสกกลาป

รปู ท่ีเกิดไดต้ ามสมควรในแตล่ ะกลาป

จา� นวนรปู
ชอ่ื กลาป ในแต่ละ

กลาป
อ ิวนิพโภครูป ๘
ชี ิวต ูรป ๑
จัก ุขปสาท ๑
โสตปสาท ๑
ฆานปสาท ๑
ชิวหาปสาท ๑
กายปสาท ๑
ิอตถีภาวรูป ๑
ุปริสภาวรูป ๑
หทย ูรป ๑
กาย ิวญ ัญติ ๑
วจี ิวญญัติ ๑
สัททรูป ๑
ิวการ ูรป ๓

๑. กมั มชกลาป ๙ ๑๐ ๘ ๑ ๑
๑. จักขทุ สกกลาป
๒. โสตทสกกลาป ๑๐ ๘ ๑ ๑
๓. ฆานทสกกลาป
๔. ชิวหาทสกกลาป ๑๐ ๘ ๑ ๑
๕. กายทสกกลาป
๖. อิตถภี าวทสกกลาป ๑๐ ๘ ๑ ๑
๗. ปรุ ิสภาวทสกกลาป
๘. วัตถุทสกกลาป ๑๐ ๘ ๑ ๑
๙. ชีวติ นวกกลาป
๑๐ ๘ ๑ ๑

๑๐ ๘ ๑ ๑

๑๐ ๘ ๑ ๑

๙ ๘๑

รูปทีเ่ กิดไดต้ ามสมควรในแตล่ ะกลาป
จา� นวนรปู
ชือ่ กลาป ในแตล่ ะ
กลาป
อวินิพโภครูป ๘
ชีวิต ูรป ๑
จัก ุขปสาท ๑
โสตปสาท ๑
ฆานปสาท ๑
ชิวหาปสาท ๑
กายปสาท ๑
ิอต ีถภาวรูป ๑
ุปริสภาวรูป ๑
หทย ูรป ๑
กายวิญ ัญติ ๑
วจีวิญญัติ ๑
ัสทท ูรป ๑
วิการ ูรป ๓

๒. จติ ตชกลาป ๘

๑. สุทธฏั ฐกกลาป ๘ ๘

๒. สทั ทนวกกลาป ๙ ๘ ๑
๘ ๑
๓. กายวญิ ญตั นิ วกกลาป ๙ ๘
๘ ๑๑
๔. วจีวญิ ญัตสิ ทั ททสกกลาป ๑๐ ๘ ๓

๕. ลหตุ าทเิ อกาทสกกลาป ๑๑ ๘ ๑๓
๑๓
๖. สัททลหตุ าททิ วาทสกกลาป ๑๒ ๘
๘ ๑๑๓
๗. กายวิญญตั ิลหตุ าททิ วาทสก ๘
๑๒ ๘ ๑

กลาป ๘
๘ ๑๓
๘. วจีวญิ ญัติสัททลหตุ าทิ
๑๓ ๓

เตรสกกลาป

๓. อตุ ชุ กลาป ๔

๑. สุทธฏั ฐกกลาป ๘

๒. สัททนวกกลาป ๙

๓. ลหุตาทเิ อกาทสกกลาป ๑๑

๔. สัททลหุตาททิ วาทสกกลาป ๑๒

๔. อาหารชกลาป ๒

๑. สุทธฏั ฐกกลาป ๘

๒. ลหุตาทเิ อกาทสกกลาป ๑๑


Click to View FlipBook Version