อก ล กล่ ล ล
โลภมลู จติ (โล-พะ-มนู -ละ-จติ ) คอื จติ ทมี่ โี ลภะเปน็ มลู (เปน็ เหตุ
หรอื เปน็ ประธาน) จงึ ถกู เรยี กวา่ ขณะทโ่ี ลภมลู จติ ดวงใดดวงหนง่ึ กา� ลงั เกดิ ขน้ึ
ในใจของบคุ คลใด บคุ คลน้ันจะเกดิ อาการอย่างใดอย่างหน่ึง เชน่
- เกดิ ความตอ้ งการ - เพ่งเลง็ อยากได้ของผู้อ่นื
- เกิดความอยากได้ - อยากมี
- เกิดความกา� หนดั - อยากเป็น
- เกดิ ความเสน่หา - อยากเดน่
- เกิดความปรารถนา - อยากดงั
- เกดิ ความเพลิดเพลิน - เกดิ ความผกู พนั
- เกดิ ความชอบใจ - เกิดความคลง่ั ไคล้ เป็นต้น
การขวนขวายเพอ่ื ให้ได้สิ่งตา่ ง ๆ มาตอบสนองความต้องการน้นั
หากได้มาโดยสุจริตก็ไม่มีโทษอะไร แต่หากได้มาโดยการท�าทุจริตทางกาย
หรือทางวาจา เชน่ ่าสตั ว์ ลักทรพั ย์ ประพฤติผดิ ในกาม โกหกหลอกลวง
เอาเปรยี บ คดโกง หรอื เบยี ดเบยี นผอู้ น่ื กจ็ ะใหผ้ ลเปน็ ความทกุ ขใ์ นกาลขา้ งหนา้
โลภมูลจิตน้ีบางครั้งเกิดขึ้นได้โดยไม่มีการชักชวน (เกิดข้ึนเอง)
แต่บางคร้ังก็เกิดข้ึนเพราะถูกชักชวน บางครั้งเกิดขึ้นพร้อมด้วยความดีใจ
แต่บางคร้ังก็เกิดข้ึนพร้อมด้วยความเฉย ๆ บางครั้งประกอบด้วยความ
เหน็ ผดิ แตบ่ างครงั้ กไ็ มป่ ระกอบดว้ ยความเหน็ ผดิ จงึ ขออธบิ ายความหมาย
ของสภาวะต่าง ๆ เหล่าน้ี ดงั น้ี
กรณีทีม่ กี ารชกั ชวน
การชกั ชวน๖ หมายถงึ ความเพยี รทางกายและทางวาจาทบี่ คุ คลอน่ื
กระท�าด้วยการหว่านล้อม ชกั น�า เชอ้ื เชญิ ขม่ ขู่ หรือวางอุบาย และยงั รวมถึง
การระลึกใคร่ครวญด้วยเหตุผลน้ัน ๆ ด้วยตนเองอกี ด้วย
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง เด็ดเด่ียว มักจะตัดสินใจกระท�าการต่าง ๆ
ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่โดยไม่ต้องอาศัยการชักชวนจากผู้อื่น แต่หาก
ต้องอาศยั การชักชวนกจ็ ะมี ๒ ลักษณะ คือ
๑ การชักชวนท่ีเกิดขนดวยตนเอง ตัวอย่างเช่น น้องชายจะไป
ทา� งานตา่ งประเทศ ไดน้ า� พระพทุ ธรปู เชยี งแสนอายกุ วา่ ๒๐๐ ปมี า ากพช่ี าย
ไว้เพราะไว้ใจว่าเป็นคนซื่อสัตย์และมีฐานะดี ต่อมาภายหลังพ่ีชายประสบ
ปัญหาทางธุรกิจจึงนึกถึงพระพุทธรูปโบราณท่ีน้องชายน�ามา ากไว้
คดิ กลบั ไปกลับมาว่าจะเอาไปขายดีหรือไม่ ใจกช็ กั ชวนตัวเองวา่ เอาเถอะนา่
เราก�าลังไม่มีเงิน ในท่ีสุดจึงตัดสินใจน�าพระพุทธรูปโบราณอันมีค่าของ
น้องชายไปขายเพ่อื น�าเงนิ มาใช้
อีกตัวอย่างหนึ่ง หลังจากที่ลุงมีอ่านหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพแล้ว
จึงตั้งใจว่าจะออกก�าลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๓ คร้ัง ครั้งละไม่ต�่ากว่า
๓๐ นาที ตามทแ่ี พทย์แนะนา� จงึ ไปซื้อล่วู ่งิ มา ๑ เครื่อง ช่วง ๓ เดอื นแรก
สามารถท�าได้ตามท่ีแพทย์แนะน�า แต่พอเข้าเดือนท่ี ๔ เริ่มท�าได้บ้าง
ไม่ได้บ้าง ถึงเดือนที่ ๕ จะออกก�าลังกายแต่ละครั้งต้องชักชวนตัวเอง
โดยหาเหตุผลต่าง ๆ นานา มาหว่านล้อมเพ่ือเอาชนะความเกียจคร้านของ
ตนเองใหไ้ ด้ หากวนั ไหนชกั ชวนตนเองไมส่ า� เรจ็ วนั นน้ั กไ็ มไ่ ดอ้ อกกา� ลงั กาย
๖ หากกระท�าเพราะถูกชักชวน ภาษาธรรมะ เรียกว่า “สสังขาริก” แต่หากกระท�าเอง
โดยไมต่ อ้ งอาศยั การชกั ชวน ภาษาธรรมะ เรยี กว่า “อสงั ขาริก”
๒ การชกั ชวนทเี่ กดิ จาก อู น่ เชน่ มผี มู้ าคะยนั้ คะยอ เกลย้ี กลอ่ ม
ชกั ชวน จงู ใจ ขดู่ ว้ ยวาจา หรอื กวกั มอื พยกั หนา้ แสดงอากปั กริ ยิ าอาการตา่ ง ๆ
เป็นตน้
ความหมายของ “เกิดพรอมดวยความดี จ” หรอ “เกดิ พรอม
ดวยความเ ย ”
โลภมลู จติ นี้ บางครง้ั กเ็ กดิ พรอ้ มดว้ ยความสขุ ใจ ดใี จ เพลดิ เพลนิ ใจ
ยินดีพอใจ บางครัง้ เกดิ พรอ้ มดว้ ยอาการสนุกสนานร่นื เริง ยิ้มแย้มแจม่ ใส
หัวเราะชอบใจ อันปรากฏออกมาให้สังเกตเห็นได้ทางกายและทางวาจา
แต่บางคร้ังก็เกิดพร้อมด้วยความเฉย ๆ ซ่ึงอาจเป็นเพราะความเป็นบุคคล
ผู้มีปกติสุขุม ลึกซึ้ง หรือไม่ก็เพราะอารมณ์ ๖ ท่ีก�าลังประสบอยู่น้ัน
เปน็ อารมณ์สามัญธรรมดา จงึ ไมเ่ ป็นเหตุใหเ้ กดิ ความดใี จ
ความหมายของ “ประกอบดวยความเหน ดิ ” และ “ มป่ ระกอบ
ดวยความเหน ิด”
ความเหน ิด (ภา าธรรมะ เรียกว่า มิจ าทิฏฐิ) หมายถึง
ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อเร่ืองการเวียนว่ายตายเกิด แต่กลับเช่ือว่า
บุญบาปไม่มี ชาติหน้าไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี
ความสุข ความทุกข์ท่ีได้รับอยู่น้ีมิได้เกิดจากเหตุในอดีต เป็นเรื่องของ
ความโชคดี โชครา้ ย ไม่เก่ียวกบั เรือ่ งของกรรมแตอ่ ย่างใด เป็นตน้
แต่หาก ม่ประกอบดวยความเหน ิด ถึงแม้จะมีความโลภ แต่
บุคคลผู้นี้ยังเชื่อเรื่องกรรม เชื่อเร่ืองผลของกรรม เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง
เชอ่ื วา่ โลกนม้ี ี โลกหนา้ กม็ ี เชอ่ื วา่ เมอ่ื ตายแลว้ ตอ้ งเกดิ ใหมใ่ นภพใดภพหนง่ึ
แล้วแต่กรรมจะจัดสรร สัตว์อายุสั้นก็เพราะกรรม อายุยืนก็เพราะกรรม
เกดิ มาในตระกลู ท่รี า่� รวยก็เพราะกรรม มปี ัญญาดหี รอื โง่เขลากเ็ พราะกรรม
แตท่ ที่ า� บาปลงไปกเ็ พราะกา� ลงั ของโลภะมมี ากกวา่ จงึ ทา� ใหข้ าดสตใิ นบางขณะ
ต่างจากผู้ท่ีมีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) โดยไม่เกรงกลัวผลของบาป
เจตนาในการท�าบาปของผ้ทู ่มี ีความเหน็ ผิดจึงมคี วามรนุ แรงมากกวา่ เม่อื นา�
องค์ประกอบ ๓ ประการอนั ไดแ้ ก่
๑ ม่มกี ารชกั ชวน หรอมกี ารชกั ชวน
๒ เกดิ พรอมดวยความดี จ หรอเกดิ พรอมดวยความเ ย
๓ ประกอบดวยความเหน ดิ หรอ มป่ ระกอบดวยความเหน ดิ
มาประมวลเขา้ ดว้ ยกนั จงึ ทา� ใหโ้ ลภมลู จติ มลี กั ษณะตา่ ง ๆ กนั ถงึ ๘ ลกั ษณะ
ดังน้ี
โลภ ไม่ตอ้ งชักชวน โลภ ถูกชักชวน โลภ ไมต่ ้องชักชวน โลภ ถกู ชักชวน
ดใี จ ไม่เชอื่ ดีใจ ไมเ่ ชอ่ื ดใี จ เชอื่ ดใี จ เชอ่ื
กฎแหง่ กรรม กฎแหง่ กรรม กฎแหง่ กรรม กฎแห่งกรรม
โลภ ไมต่ ้องชักชวน โลภ ถูกชักชวน โลภ ไมต่ ้องชกั ชวน โลภ ถูกชกั ชวน
เฉย ๆ ไมเ่ ช่ือ เฉย ๆ ไม่เชื่อ เฉย ๆ เช่ือ เฉย ๆ เชื่อ
กฎแหง่ กรรม กฎแหง่ กรรม กฎแห่งกรรม กฎแห่งกรรม
จิตหมายเลข ๑ เป็นจติ ทเ่ี กิดความโลภข้นึ เองโดยไม่ต้องชกั ชวน
พรอ้ มดว้ ยความดใี จ ประกอบดว้ ยความเหน็ ผดิ (ไมเ่ ชอื่ กฎแหง่ กรรม เปน็ ตน้ )
จิตหมายเลข ๒ เป็นจิตท่ีเกิดความโลภ เพราะถูกชักชวน
พรอ้ มดว้ ยความดใี จ ประกอบดว้ ยความเหน็ ผดิ (ไมเ่ ชอ่ื กฎแหง่ กรรม เปน็ ตน้ )
จิตหมายเลข ๓ เป็นจติ ท่เี กดิ ความโลภขึน้ เองโดยไมต่ อ้ งชักชวน
พรอ้ มดว้ ยความดใี จ ไมป่ ระกอบดว้ ยความเหน็ ผดิ (เชอ่ื กฎแหง่ กรรม เปน็ ตน้ )
จิตหมายเลข ๔ เป็นจิตที่เกิดความโลภ เพราะถูกชักชวน
พรอ้ มดว้ ยความดใี จ ไมป่ ระกอบดว้ ยความเหน็ ผดิ (เชอ่ื กฎแหง่ กรรม เปน็ ตน้ )
จติ หมายเลข ๕ เป็นจิตทเี่ กดิ ความโลภขน้ึ เองโดยไม่ต้องชักชวน
พร้อมด้วยความเฉย ๆ ประกอบด้วยความเห็นผิด (ไม่เชื่อกฎแห่งกรรม
เป็นตน้ )
จิตหมายเลข ๖ เป็นจิตท่ีเกิดความโลภ เพราะถูกชักชวน
พร้อมด้วยความเฉย ๆ ประกอบด้วยความเห็นผิด (ไม่เช่ือกฎแห่งกรรม
เป็นต้น)
จติ หมายเลข ๗ เป็นจติ ที่เกดิ ความโลภขึ้นเองโดยไมต่ อ้ งชกั ชวน
พร้อมด้วยความเฉย ๆ ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด (เช่ือกฎแห่งกรรม
เปน็ ตน้ )
จิตหมายเลข ๘ เป็นจิตท่ีเกิดความโลภ เพราะถูกชักชวน
พร้อมด้วยความเฉย ๆ ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด (เช่ือกฎแห่งกรรม
เป็นต้น)
เหตุท่ีพระพุทธองคท์ รงจ�าแนกโลภมลู จิตออกเปน็ ๘ ลกั ณะ
เพ่ือความชัดเจนในเร่ืองนี้จะขอยก “ชานอชานปัญหา”
ใน “มิลนิ ทปญั หา” ซึ่งเป็น ปจุ ฉา - วิสชั นา ระหว่างพระเจ้ามลิ นิ ท์ กษัตรยิ ์
เชอื้ สายกรกี ผปู้ กครองแควน้ แบกเตรยี และพระนาคเสน ซงึ่ เปน็ พระอรหนั ต์
ในยคุ นัน้ มาใหพ้ ิจารณา ดังนี้
พระเจ้ามิลินท์ ตรสั ถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน คนหนึง่ รู้ว่าอย่างไรเป็นบาป
และบาปนนั้ มโี ทษอยา่ งไร กบั อกี คนหนง่ึ ทไี่ มร่ เู้ รอ่ื งนเี้ ลย เมอ่ื สองคนนท้ี า� บาป
ใครจะบาปมากกว่ากัน?
พระนาคเสน ทลู ตอบว่า ขอถวายพระพร ผู้ท่ไี มร่ ยู้ อ่ มบาปมากกว่า
พระเจา้ มลิ นิ ท์ เหตใุ ดจงึ เปน็ เชน่ นน้ั เลา่ เพราะในทางบา้ นเมอื ง ผทู้ ไ่ี มร่ กู้ ฎหมาย
แลว้ กระทา� ผดิ บางอยา่ ง ยอ่ มไดร้ บั การลดหยอ่ นผอ่ นโทษมากกวา่ ผรู้ กู้ ฎหมาย
พระนาคเสน ขอถวายพระพร กอ้ นเหลก็ ซ่ึงเผาจนแดงโชน คนหน่ึงรูว้ า่ เปน็
เหลก็ แดง สว่ นอกี คนหนงึ่ ไมร่ ู้ เมอื่ สองคนนห้ี ยบิ กอ้ นเหลก็ แดงนนั้ คนไหน
จะหยิบไดเ้ ตม็ มอื และถูกความร้อนเผามอื มากกว่ากนั
พระเจา้ มลิ นิ ท์ คนทร่ี วู้ า่ รอ้ นจะหยบิ เตม็ มอื ไดอ้ ยา่ งไร คนทไี่ มร่ ตู้ า่ งหาก ควร
จะหยิบอยา่ งเตม็ มือ จึงควรถูกความรอ้ นเผามือมากกว่า
พระนาคเสน ฉันใดก็ฉันน้ัน ผู้ท่ีรู้เหตุรู้ผลแห่งบาปกรรมในขณะท่ี
ทา� บาป ยอ่ มเกดิ ความละอายความกลวั จงึ ทา� บาปไดไ้ มเ่ ตม็ ที่ สว่ นผทู้ ไ่ี มร่ จู้ กั
บาป ยอ่ มไมม่ คี วามตะขดิ ตะขวงใจในการประกอบอกศุ ล จึงกระทา� บาปได้
เต็มทกี่ ว่า และยอ่ มไดร้ ับผลของบาปแรงกว่า
จากข้อความข้างต้นจะเห็นได้ว่า ูท่ีมีมิจ าทิฏฐิเขาประกอบ
นการท�าบาป คอ ม่เช่อเร่องบาปบุ คุณโท ม่เช่อเร่องกรรมและ ล
ของกรรม เม่อท�าบาปลง ป บาปจะหนักกว่า ูท่ีเช่อเร่องบาปบุ คุณโท
นี่คือเหตุผลที่พระพุทธองค์ต้องแบ่งลักษณะในการท�าบาป ว่าเป็นการ
ทา� บาปพรอ้ มดว้ ยความเหน็ ผดิ (มจิ ฉาทฏิ ฐ)ิ หรอื ทา� บาปแตไ่ มป่ ระกอบดว้ ย
ความเห็นผิด เพราะความรุนแรงของเจตนาในการกระท�าน้ันต่างกัน
ผลของบาปท่จี ะได้รบั จงึ มีความรุนแรงต่างกันด้วย
ในท�านองเดียวกัน การท�าบาป (อกุศล) เพราะถูกชักชวน
กบั ตดั สนิ ใจทา� เองทนั ทโี ดยไมต่ อ้ งอาศยั การชกั ชวน กา� ลงั ของบาป (อกศุ ล)
กต็ า่ งกนั เพราะการตดั สนิ ใจทา� เองทนั ทโี ดยไมต่ อ้ งอาศยั การชกั ชวนนนั้ เจตนา
ในการท�าบาปจะมีก�าลังมากกว่า เน่ืองจากสภาพจิตมีความเข้มแข็ง และ
ตดั สนิ ใจในเรอ่ื งตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด โดยไมต่ อ้ งกระตนุ้ เตอื นหรอื ชกั ชวน
ดว้ ยเหตนุ ้กี า� ลงั ของบาป (อกุศล) จึงรนุ แรงตามไปดว้ ย ผลของบาปท่ีจะได้
รบั จงึ หนักกวา่
สว่ นการทา� บาป (อกศุ ล) พรอ้ มดว้ ยความดใี จ ปลาบปลมื้ ใจ ลงิ โลด
ทที่ า� บาปไดส้ า� เรจ็ จะมกี า� ลงั ของบาป (อกศุ ล) รนุ แรงกวา่ การทา� บาปพรอ้ มดว้ ย
ความรู้สึกความเฉย ๆ ผลของบาปท่ีจะได้รับจึงหนักกว่า น่ีคือเหตุผลที่
พระพุทธองค์ทรงจา� แนกโลภมูลจิตออกเปน็ ๘ ลักษณะ
๑ โลภมลู จิตของสัตว์เดรจั าน ย่อมอยากกนิ อยากนอน และ
อยากสบื พนั ธ์ุ เปน็ ตน้
๒ โลภมลู จติ ของมนุ ย์ ยอ่ มอยากเหน็ สง่ิ สวย ๆ งาม ๆ อยากฟงั
เสยี งทไ่ี พเราะ อยากไดก้ ลน่ิ หอม ๆ อยากไดล้ ม้ิ รสอาหารทอ่ี รอ่ ย ๆ อยากได้
สัมผัสอันเป็นสุข อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ อยากมีชื่อเสียง อยากมี
ความสขุ มาก ๆ อยากเป็นผมู้ สี ุขภาพดีปราศจากโรคภยั ไข้เจ็บ และอยากมี
อายยุ นื ยาว เป็นต้น
๓ โลภมูลจิตของเทวดา ย่อมอยากได้ทิพยสมบัติยิ่ง ๆ ข้ึนไป
และยินดพี อใจในรปู เสยี ง กล่ิน รส สมั ผัสอันประณตี เปน็ ต้น
๔. โลภมลู จติ ของพรหม สำ� หรบั รปู พรหมยอ่ มยนิ ดพี อใจอยใู่ นรปู
กรรมฐาน เสวยปีติและสุข ส่วนอรูปพรหมก็จะยินดีในอรูปกรรมฐาน
และดำ� รงมั่นอยใู่ นอรปู ฌานของตน
๕. โลภมูลจิตของพระอริยบุคคลระดับพระโสดาบันและพระ
สกทาคามี ยังมคี วามยนิ ดีพอใจในรปู เสียง กลนิ่ รส สมั ผัส แต่นอ้ ยกว่า
ปุถุชนท่ัวไป เพราะมีโลภะ โทสะ โมหะ ที่เบาบาง และไม่เป็นไปด้วย
ความเห็นผดิ
๖. โลภมูลจิตของพระอนาคามี ยังมีความยินดีพอใจในสุข
อนั เกดิ จากการทำ� รปู ฌานและอรปู ฌาน แตไ่ มม่ คี วามยนิ ดใี นรปู เสยี ง กลน่ิ
รส สัมผสั อีกต่อไปแล้ว
๗. ส�ำหรับพระอรหันต์ สามารถท�ำลายโลภะได้หมดส้ินแล้ว
โลภมูลจิตจึงไมส่ ามารถจะเกดิ ขน้ึ ได้ในทุกกรณี
48
อก ล กล่ สล
กลุม่ ท่ี ๑ โลภมลู จติ ๘อ ุกศลจิต ๑๒
กลุ่มท่ี ๒ โทสมลู จติ ๒
กลุ่มที่ ๓ โมหมลู จิต ๒
โทสมลู จติ (โท-สะ-มนู -ละ-จติ ) คอื จติ ทม่ี โี ทสะเปน็ มลู (เปน็ เหตุ
หรือเป็นประธาน) เป็นจิตที่ตอบสนองต่ออารมณ์ในทางลบ หมายถึง
ไมพ่ อใจหรอื ขดั เคอื งใจในอารมณท์ มี่ ากระทบ ความ มพ่ อ จหรอขดั เคอง จ
นอารมณ์ ภา าธรรมะเรียกวา่ “ปฏิ ะ”
ปฏิ ะ มาจากภา าบาลี แปลวา่ ความ ม่พอ จ หรอขัดเคอง จ
องค์ธรรม๗ คอ โทสะเจตสิก
จิตที่มีปฏิ ะ คอ จิตท่ีมีโทสะเจตสิกเขาประกอบ เม่ือจิตดวงนี้
เกิดข้ึน จะแสดงอาการอย่างใดอยา่ งหนึ่ง ดงั นี้
- โกรธ - กลัว - เกลยี ด - ตกใจ
- ไม่พอใจ - เขินอาย - เบ่อื เซง็ - มีอาการรา�่ ไรร�าพัน
- ไม่ปรารถนา - เสยี ใจ - หงุดหงิด - ทกุ ข์ใจ
- อา าต - หมัน่ ไส้ - คดิ ประทษุ รา้ ย - รงั เกียจ
- คิดเบียดเบียน - ขยะแขยง - คดิ ทา� ลาย - อจิ ฉา ริษยา
๗ องค์ธรรม คือ ความจริงระดับปรมัตถ์ (ความจริงอันเป็นท่ีสุด) อันเป็นธรรมชาติ
ท่ีอยู่ภายในมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายซึ่งอธิบายได้ด้วยจิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง เจตสิก
๕๒ ชนดิ และรปู ๒๘ ชนดิ
- แค้น - ตระหนี่ (ไม่อยากให)้ - กังวลใจ
- ไม่แชม่ ชนื่ - นอ้ ยใจ - ฉนุ เฉยี ว - กลุ้มใจ
- หรือการกระท�าอนื่ ๆ ท่ีมีผลในแงล่ บต่ออารมณ์นั้น
จะเห็นว่า “โทสะ” มิได้มีอาการเพียงแค่ความโกรธ ความโมโห
ฉนุ เฉียวตามความหมายทค่ี ุ้นเคยกันเท่านัน้ แต่อาการของ “โทสะ” ยงั มอี กี
มากมายตามทย่ี กตัวอย่างขา้ งต้น
โทสมลู จติ จะเกดิ พรอมกบั ความทกุ ข์ จเสมอ (ภา าธรรมะเรยี กวา่
โทมนัสเวทนา) เพราะโทสมูลจิตเป็นจิตที่เกิดจากการรับอารมณ์ทางทวาร
ทง้ั ๖ ท่ไี มน่ ่ายนิ ดี ไม่นา่ พอใจ ไมน่ ่าปรารถนา จึงมีเวทนาเพียงอย่างเดียว
เทา่ น้นั คอื โทมนสั เวทนา (โท-มะ-นดั -สะ-เว-ทะ-นา)
อกี ประการหนง่ึ โทสมูลจิต จะ มม่ ี “ความเหน ดิ ” เขาประกอบ
เพราะ “ความเห็นผิด” จะเกิดข้ึนในขณะที่จิตรับอารมณ์ที่น่ายินดีหรือ
น่าพอใจเทา่ นน้ั
ดังนั้น สิง่ ที่ทา� ให้โทสมูลจติ ๒ ดวง มีความแตกตา่ งกนั จึงเหลือ
เพียงประการเดียวคอื เกิดขนึ้ เองโดยไมต่ อ้ งชักชวน (อสงั ขารกิ ) กับเกดิ ข้ึน
เพราะถูกชักชวน (สสังขาริก) ซึ่งอาจเกิดจากการชักชวนของบุคคลอ่ืน
ท้ังทางกายและทางวาจา หรือเกิดจากการชักชวนตนเองโดยคิดไปเองแล้ว
เกดิ โทสะข้นึ มาก็ได้
โทสะ ไมต่ ้อง โทสะ ถกู
ทกุ ข์ใจ ชักชวน ทกุ ข์ใจ ชักชวน
จิตหมายเลข ๙ เป็นโทสมูลจิตท่ีเกิดขึ้นเองโดย ม่ตองชักชวน
พรอ้ มดว้ ยความทกุ ข์ จ (โทมนสั เวทนา) ประกอบดว้ ยปฏิ ะ (ความไมพ่ อใจ
หรือขดั เคอื งใจ)
จิตหมายเลข ๑๐ เป็นโทสมูลจิตท่ีเกิดขึ้นเพราะถูกชักชวน
พรอ้ มดว้ ยความทกุ ข์ จ (โทมนสั เวทนา) ประกอบดว้ ยปฏิ ะ (ความไมพ่ อใจ
หรือขดั เคอื งใจ)
เหตุ หเกิดโทสะทส่ี า� คั คอ
๑ ) ดประสบกับอารมณ์ทางตา หู จมกู ลนิ กาย จ ท่ี ม่ยินดี
ม่พอ จ
๒ ) เกดิ จากอา าตวตั ถุ ๑๐ ประการ๘
โทสมูลจิตอาจเกิดข้ึนเองในทันทีที่ประสบกับอารมณ์ที่ท�าให้
เกิดความโกรธ เชน่ อา าตวตั ถุ ๑๐ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ โดยไม่ต้องมีการ
กระตุ้นเตือนหรือชักชวน เน่ืองมาจากบุคคลนั้นเป็นผู้มักโกรธ หงุดหงิด
ร�าคาญง่ายโดยสันดาน หรือเป็นบุคคลผู้มีความคิดไม่สุขุม หรือเป็นผู้ที่
ประสบแต่อารมณ์ที่ไม่ดีอยู่เสมอ หรือเป็นผู้ท่ีประสบอา าตวัตถุหรือ
เก็บกดความอา าตไว้ในใจอยู่เสมอ เม่ือมีเหตุปัจจัยเหล่านี้อย่างใด
อย่างหน่ึงหรือหลายอย่างรวมกันย่อมท�าให้บุคคลนั้นเกิดความโกรธข้ึนมา
ไดโ้ ดยไมต่ ้องมีการชกั ชวน
๘ ดูความหมายในหน้าถัดไป
อา าตวัตถุ หมายถึง เหตุที่ท�าให้เกิดความโกรธ ความอา าต
พยาบาท ปองร้าย ความคดิ เบยี ดเบยี นทา� ร้าย หรือความไม่พอใจ อนั เป็น
เหตุหน่ึงท่ที า� ให้โทสมลู จติ เกดิ ข้ึน มี ๑๐ ประการ คอื
๑ อา าตเพราะคดิ วา่ เขาเคยทา� ความเสอ่ มเสยี หแกต่ น เปน็ การ
นึกคิดถึงเรื่องราวท่ีผ่านมาแล้วในอดีตว่าบุคคลน้ันเคยท�าความเดือดร้อน
หรือสร้างความเส่ือมเสียให้แก่ตน ขณะเผชิญหน้ากับบุคคลนั้นย่อมท�าให้
เกิดความโกรธ ความเกลยี ด ความกลัวข้ึนมาได้
๒ อา าตเพราะคิดว่า เขาก�าลังท�าความเส่อมเสีย หแก่ตน
ขณะที่เผชิญหน้ากับบุคคลท่ีเป็นปฏิปักษ์กับตนและคิดว่าเขาก�าลังน�า
ความเดอื ดรอ้ นหรอื ความเสอ่ื มเสยี มาสตู่ น (ซงึ่ อาจจะไมเ่ ปน็ ดงั ทตี่ นคดิ กไ็ ด)้
ยอ่ มทา� ให้เกดิ ความโกรธ ความเกลยี ด ความกลัวขนึ้ มาได้
๓ อา าตเพราะคิดว่า เขาจะท�าความเส่อมเสีย หแก่ตน
ซ่ึงเป็นการคาดคะเนเอาเองว่าบุคคลนั้นจะท�าความเดือดร้อนหรือสร้าง
ความเสื่อมเสยี ใหแ้ ก่ตน ย่อมทา� ใหเ้ กิดความโกรธ ความเกลยี ด ความกลวั
ขน้ึ มาได้
๔ อา าตเพราะคิดว่า เขาเคยท�าความเส่อมเสีย หแก่ ูท่ีตนรัก
เป็นการนึกคิดถึงเรื่องราวท่ีผ่านมาแล้วในอดีตว่าบุคคลน้ันเคยท�าความ
เดอื ดรอ้ นหรอื สรา้ งความเสอ่ื มเสยี ใหแ้ กผ่ ทู้ ตี่ นรกั ขณะเผชญิ หนา้ กบั บคุ คล
น้ันยอ่ มทา� ใหเ้ กิดความโกรธ ความเกลยี ด ความกลวั ขึ้นมาได้
๕ อา าตเพราะคิดวา่ เขาก�าลงั ทา� ความเสอ่ มเสยี หแก่ ทู ต่ี นรัก
ขณะท่ีเผชิญหน้ากับบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับผู้ท่ีตนรักและคิดว่าเขาก�าลังน�า
ความเดือดร้อนหรือความเส่ือมเสียมาสู่ผู้ที่ตนรัก (ซ่ึงอาจจะไม่เป็นดังที่
ตนคดิ ก็ได้) ย่อมทา� ใหเ้ กดิ ความโกรธ ความเกลยี ด ความกลัวขน้ึ มาได้
๖ อา าตเพราะคิดว่า เขาจะท�าความเส่อมเสีย หแก่ ูท่ีตนรัก
ซึ่งเป็นการคาดคะเนเอาเองว่าบุคคลนั้นจะท�าความเดือดร้อนหรือสร้าง
ความเสื่อมเสียให้แก่ผู้ที่ตนรัก ย่อมท�าให้เกิดความโกรธ ความเกลียด
ความกลัวข้นึ มาได้
๗ อา าตเพราะคดิ วา่ เขาเคยทา� ประโยชน์ หแก่ ทู ตี่ นเกลยี ดชงั
เปน็ การนกึ คดิ ถงึ เรอ่ื งราวทผ่ี า่ นมาในอดตี วา่ บคุ คลนนั้ เคยทา� ประโยชน์ หรอื
สร้างความเจรญิ ใหก้ บั บุคคลท่ีตนเกลยี ดชัง เมอ่ื ไดเ้ ผชิญหน้ากับบุคคลน้นั
ยอ่ มทา� ให้เกดิ ความโกรธ ความเกลียด ความกลัวขึ้นมาได้
๘ อา าตเพราะคดิ วา่ เขากา� ลงั ทา� ประโยชน์ หแก่ ทู ต่ี นเกลยี ดชงั
ขณะทเี่ ผชญิ หนา้ กบั บคุ คลทเ่ี ปน็ ายเดยี วกบั บคุ คลทต่ี นเกลยี ดชงั และกา� ลงั
น�าความเจริญ น�าประโยชน์มาสบู่ ุคคลท่ีตนเกลียดชัง (ซงึ่ อาจจะไมเ่ ป็นดงั ที่
ตนคดิ กไ็ ด)้ เนอ่ื งจากตนเกดิ ความหวาดระแวงดว้ ยอา� นาจโทสะจงึ ทา� ใหเ้ กดิ
ความโกรธ ความเกลียด ความกลัวข้นึ มาได้
๙ อา าตเพราะคิดว่า เขาจะท�าประโยชน์ หแก่ ูที่ตนเกลียดชัง
ซงึ่ เปน็ การคาดคะเนเอาเองวา่ บคุ คลนนั้ จะทา� คณุ ประโยชนห์ รอื สรา้ งความเจรญิ
ร่งุ เรืองใหแ้ กบ่ คุ คลทตี่ นเกลียดชัง ย่อมทา� ให้เกดิ ความโกรธ ความเกลยี ด
ความกลัว ขึ้นมาได้
๑๐ อา าตดวยเหตุอนั ม่สมควรเลก นอย เชน่ เดินไป
สะดดุ นน่ั ชนนี่ เปน็ ตน้ แลว้ เกดิ บนั ดาลโทสะ เกดิ ความโกรธ ความไมช่ อบใจ
เกิดความหงุดหงิด ร�าคาญใจหาว่าส่ิงนั้นสิ่งน้ีไม่รู้จักหลบจักหลีกหรือ
อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ซ่ึงอาจเป็นเพราะความพลั้งเผลอขาดสติของตนก็ดี
เพราะความไม่มีระเบียบไม่รู้จักจัดเก็บวัตถุส่ิงของให้เป็นที่เป็นทางก็ดี
ด้วยเหตุเหลา่ น้ีท�าให้เกิดความโกรธ หรอื หงดุ หงดิ รา� คาญใจขึ้นมาได้
อ อ าค
โทสะเกดิ ไดเ้ พราะ ๑. เขาเคยท�าความ ๒. เขากา� ลังทา� ความ ๓. เขาจะทา� ความ
เสอื่ มเสยี ใหแ้ ก่ตน เส่อื มเสยี ให้แกต่ น เสอ่ื มเสียใหแ้ ก่ตน
โทสะเกดิ ไดเ้ พราะ ๔. เขาเคยท�าความ ๕. เขาก�าลังทา� ความ ๖. เขาจะทา� ความ
เสื่อมเสียใหแ้ ก่ เสื่อมเสยี ใหแ้ ก่ เส่ือมเสยี ให้แก่
ผู้ที่ตนรกั ผู้ทต่ี นรกั ผู้ทต่ี นรกั
โทสะเกดิ ได้เพราะ ๗. เขาเคยท�า ๘. เขาก�าลังท�า ๙. เขาจะทา�
คณุ ประโยชน์ใหแ้ ก่ คุณประโยชน์ให้แก่ คณุ ประโยชนใ์ หแ้ ก่
ผูท้ ่ตี นเกลียดชัง ผทู้ ่ตี นเกลียดชงั ผู้ทต่ี นเกลียดชัง
๑๐. โทสะเกดิ ไดเ้ พราะเหตอุ นั ไม่สมควรเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ
เม่ือโทสมูลจิตเกิดกับบุคคลใด จะท�าให้บุคคลน้ันมีสภาพหยาบ
กระด้าง หรือดุร้าย ไม่อ่อนโยน เศร้าหมอง เร่าร้อน ขุ่นมัว เดือดพล่าน
สามารถท�าอกุศลไดท้ ้งั ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่สามารถท�าการงาน
ท่ีเป็นกุศล หรือท�าคุณความดีได้ และอาจท�าให้บุคคลอ่ืนท่ีพบเห็นหรือ
เก่ียวข้องพลอยได้รับผลกระทบจากอาการนั้น ท�าให้เกิดความไม่สบายใจ
มคี วามเศรา้ หมอง ขุ่นมัว หรอื เดือดพล่านตามไปดว้ ย
โทสมูลจิตนี้ หากมีก�าลังมากย่อมประทุษร้ายสิ่งที่ท�าให้ไม่พอใจ
(ไมว่ า่ จะเป็นคน สัตว์ หรอื ส่ิงของก็ตาม) ใหพ้ นิ าศย่อยยบั ไป
อก ล กล่ ล
อ ุกศลจิต ๑๒ กลุม่ ท่ี ๑ โลภมูลจติ ๘
กลุ่มท่ี ๒ โทสมลู จติ ๒
กลุ่มที่ ๓ โมหมูลจติ ๒
โมหมูลจติ (โม-หะ-มูน-ละ-จติ ) คอื จติ ทีม่ โี มหะเปน็ มูล (เปน็ เหตุ
หรอื เปน็ ประธาน) เปน็ จติ ทไี่ มร่ สู้ ภาพธรรมตามความเปน็ จรงิ มคี วามหลงผดิ
เข้าใจผดิ เม่ือเกิดขน้ึ กบั บคุ คลใด บุคคลนน้ั จะมอี าการดงั ต่อไปนี้
๑. หลงใหลไปในส่ิงท่ไี ม่เปน็ สาระ ไม่เป็นประโยชน์
๒. ไม่รูว้ า่ อะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไมค่ วร
๓. ไมร่ สู้ รรพสิง่ ทง้ั ปวงตามความเปน็ จรงิ คอื รไู้ ปโดยประการอนื่
ซ่ึงตรงข้ามกบั ความเป็นจริง
๔. เห็นผิดเป็นชอบ เห็นสิง่ ทไ่ี มค่ วรว่าควร
๕. ไมร่ ู้อริยสัจ ๔ มัวเมาไปตามกระแสโลก และกเิ ลสอยู่เสมอ
โมหะ ไมต่ ้องชักชวน โมหะ ไม่ต้องชักชวน
เฉย ๆ ประกอบด้วย เฉย ๆ ประกอบดว้ ย
ความสงสัย ความฟุ้งซ่าน
๒
จติ หมายเลข ๑๑ เปน็ จติ ทเี่ กดิ ขนึ้ พรอ้ มดว้ ยความเฉย ๆ ประกอบ
ดว้ ยความสงสยั
จติ หมายเลข ๑๒ เปน็ จติ ทเี่ กดิ ขนึ้ พรอ้ มดว้ ยความเฉย ๆ ประกอบ
ด้วยความ ุง ่าน
ความหมายของจติ หมายเลข ๑๑ และ ๑๒
จิตหมายเลข ๑๑ เป็นจิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความรู้สึกเฉย ๆ
ประกอบด้วยความสงสัย จิตดวงนี้มีความสงสัยเป็นลักษณะเด่น มีโมหะ
(ความหลงผดิ ) สนบั สนนุ อยูเ่ บ้ืองหลงั ดว้ ยอ�านาจความลังเลสงสัยบวกกบั
ความไม่ม่ันใจจึงท�าให้จิตไม่ยินดียินร้ายและมีสภาพเป็นอุเบกขาเวทนา
(รสู้ กึ เฉย ๆ) จติ ดวงนเ้ี มอื่ เกดิ ขนึ้ กบั บคุ คลใด บคุ คลนน้ั จะมคี วามสงสยั เชน่
สงสยั เรอื่ งผลของการทา� ความดแี ละผลของการทา� ความชวั่ สงสยั เรอ่ื งชาตนิ ้ี
ชาติหนา้ สงสัยเร่อื งการเวยี นวา่ ยตายเกดิ มีความเคลอื บแคลงสงสัยในการ
ท�าบญุ ทา� กศุ ล หรอื การทา� ความดีต่าง ๆ เป็นต้น เป็นจิตไมด่ งี าม ไม่ผ่องใส
มดื มดิ ด้วยอ�านาจของความหลงผดิ
จิตหมายเลข ๑๒ เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉย ๆ ประกอบด้วย
ความฟงุ ซา่ น จิตดวงนีเ้ ม่อื เกิดขน้ึ กบั บุคคลใด บคุ คลน้ันจะมีอาการฟุงซา่ น
มคี วามคดิ ซดั สา่ ยไปในอารมณต์ า่ ง ๆ ไมส่ งบ วนุ่ วายใจ หรอื มอี าการเหมอ่ ลอย
เซื่องซึม ถ้าจิตดวงน้ีเกิดติดต่อกันนาน ๆ อาจท�าให้เสียสติได้เน่ืองจาก
จิตดวงนม้ี อี าการฟงุ ซา่ น โดยมโี มหะ (ความหลงผดิ ) อยูเ่ บอ้ื งหลงั จึงท�าให้
จิตปราศจากความยินดยี นิ รา้ ยและมสี ภาพเป็นอเุ บกขาเวทนา (รู้สกึ เฉย ๆ)
เช่นเดยี วกบั จติ หมายเลข ๑๑ อาการที่ฟุงซา่ น ซดั ส่ายไปในอารมณ์ต่าง ๆ
อยู่เสมอนั้นท�าให้จิตไม่สามารถตั้งม่ันในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งได้
นาน ๆ สภาพจิตจึงมีก�าลังอ่อน ด้วยเหตุน้ีในบรรดาอกุศลจิต ๑๒ ดวง
จิตหมายเลข ๑๒ จึงเป็นจิตท่ีมีก�าลังอ่อนท่ีสุดและไม่สามารถส่งผลให้
ไปเกิดในอบายภมู ิได้
ในคมั ภรี ์อฏั ฐสาลินี อรรถกถาธรรมสังคณี กล่าววา่ สตั ว์โดยมาก
ปเกดิ เปน็ เปรต (และอสรุ กาย) ดวยอ�านาจของตัณหา (คอโลภะ) และ ป
เกดิ นนรกดวยอา� นาจของโทสะ สว่ นสตั วท์ ลี่ มุ่ หลงดวยโมหะอยเู่ ปน็ นจิ ยอ่ ม
เขาถงกา� เนดิ สัตวด์ ริ ัจ าน
คา� ว่า อกศุ ล (บาลี อกสุ ล) แปลว่า ความชั่ว ความไม่ดี เปน็ บาป
ตรงขา้ มกับค�าว่า “กุศล” ซึง่ หมายถึง ความดี ความฉลาด
คา� วา่ กรรม แปลวา่ การกระท�า
อกศุ ลกรรม คอ การกระท�าที่ มด่ ี การกระท�าความชวั่ ง่ ความชวั่
ที่กระท�านันย่อมส�าเรจดวยอ�านาจของจิต ายบาป อัน ดแก่ อกุศลจิตทัง
๑๒ ดวงนี่เอง
การกระท�าความชั่วแต่ละอย่างนั้น บางอย่างก็เป็นอกุศลกรรมที่
ไมน่ �าไปสู่อบายภูมิ แต่บางอย่างก็มีอ�านาจนา� ไปอบายภูมิได้ อกุศลกรรมน้ี
จึงมีชื่อเรียกว่า “อกุศลกรรมบถ” (ค�าว่า “บถ” แปลว่า ทาง) เพราะมี
ความหมายวา่ เป็นหนทางนา� ไปสอู่ บายภมู ิได้
อกศุ ลกรรมบถมีอยู่ดวยกนั ๑๐ อยา่ ง คอ
๑ ปาณาตบิ าต การทา� ชวี ติ สตั วใ์ หต้ กลว่ งไป หมายถงึ การ า่ สตั ว์
๒ อทนิ นาทาน การถอื เอาของทเ่ี ขามไิ ดใ้ ห้ หมายถงึ การลกั ขโมย
๓ กาเมสมุ ิจ าจาร ความประพฤติผิดในกาม หมายถงึ การล่วง
ละเมิดในหญิงท่ีมเี จ้าของหรือมีผปู้ กครองด้วยความประพฤตทิ ่ลี ามก
๔ มสุ าวาท การกล่าวค�าเทจ็
๕ ปสณุ วาจา การกลา่ ววาจาส่อเสียดยุยงให้เขาแตกกนั
๖ รสุ วาจา การกล่าวค�าหยาบ
๗ สมั ปั ปลาปะ การพดู เรื่องเพอ้ เจ้อเหลวไหล
๘ อภิช า ความเพง่ เล็งอยากไดข้ องของผู้อ่นื
๙ พยาบาท ความผูกโกรธปองร้ายผ้อู น่ื
๑๐ มิจ าทิฏฐิ ความเห็นผิดไปจากท�านองคลองธรรม เช่น
เห็นว่าทานที่ให้แล้วไม่มีผล บุญบาปไม่มี กฎแห่งกรรมไม่มี การเวียนว่าย
ตายเกดิ ไม่มี เปน็ ต้น
ดงั นั้น จติ ายบาป หรือ อกศุ ลจติ ทงั้ ๑๒ ดวง จงึ เปน็ ปหาตัพพ
ธรรม หมายถง ธรรมทจ่ี ะตองละ หหมด ปจากขนั ธสนั ดาน เพราะเปน็ สง่ิ ทม่ี ี
แตโ่ ทษและใหผ้ ลเปน็ ความทกุ ขโ์ ดยสว่ นเดยี ว ยอ่ มไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ประโยชน์
เกื้อกูลและความสุขทั้งของตนเองและบุคคลอื่น เมื่อรู้ว่าจิต ายบาปเป็น
ตัวต้นเหตุให้เกิดบาปอกุศลท้ังปวง และเป็นต้นเหตุให้เกิดความทุกข์ความ
เดือดรอ้ นตา่ ง ๆ จึงควรไตร่ตรองใหร้ อบคอบกอ่ นกระทา� การใด ๆ ถึงโทษ
และผลอันเผ็ดร้อนของจิต ายบาปเหล่านี้ โดยพยายามส�ารวมระวัง
ไม่ให้อกุศลเกิดข้ึนได้ ขณะเดียวกันต้องพยายามสร้างกุศลกรรมที่ยัง
ไม่เคยเกิดให้เกิดขึ้น และพยายามรักษากุศลกรรมความดีที่เกิดข้ึนแล้ว
ใหเ้ จรญิ ย่ิง ๆ ข้ึนต่อไป
บ ่ี
อเห ก
อเหตุกะ แปลวา่ ไมป่ ระกอบด้วยเหตุ
อเหตุกจิต หมายถง จติ ที่ มป่ ระกอบดวยเหตุ
จติ สว่ นใหญจ่ ะตอ้ งประกอบดว้ ยเหตอุ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ไมเ่ หตบุ าป
(อกุศลเหต)ุ กเ็ หตบุ ุญ (กศุ ลเหต)ุ
เหตบุ าป หรอ อกศุ ลเหตุ มี ๓ ดแก่ โลภะ โทสะ โมหะ
เหตบุ ุ หรอ กศุ ลเหตุ มี ๓ เชน่ กนั ดแก่ อโลภะ (ไมโ่ ลภ) อโทสะ
(ไม่โกรธ) อโมหะ (ไม่หลง)
เหตบุ าป ๓ เหตบุ ุ ๓ เหตุ ๖
จิตทมี่ เี หตุเข้าประกอบ (อาจเขา้ ประกอบเพยี งเหตุเดยี ว สองเหตุ
หรือสูงสุดถึงสามเหตุ) เรียกว่า สเหตุกจิต (สะ-เห-ตุ-กะ-จิต) แต่ยัง
มีจิตอีกประเภทหนึ่งที่ไม่มีเหตุใด ๆ เข้าประกอบ เรียกว่า อเหตุกจิต
(อะ-เห-ตุ-กะ-จิต)
อเห ุตก ิจต ๑๘อเหตกุ จติ หรอจิตท่ี ม่ประกอบดวยเหตุ ด มีทังหมด ๑๘ ดวง
แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม ดังนี
อกศุ ลวิปากจติ ๗ ดวง
อเหตกุ กุศลวปิ ากจิต ๘ ดวง
อเหตกุ กิริยาจิต ๓ ดวง
กล่ อก ล าก
อกศุ ลวิปากจิต ๗ เปน็ จิตทเ่ี ปน็ ลของบาป (อกศุ ลกรรม) ท่ี ด
กระท�า วแลว นอดีต อกุศลกรรม (บาป) ทั้งหลายที่ไดก้ ระทา� ไปแลว้ ยอ่ ม
ไม่สูญหายไปไหน แต่จะคอยโอกาสตอบสนองให้ได้รับอารมณ์ทางตา
หู จมูก ลิ้น กาย ท่ีไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ จิตท่ีรับผลของอกุศลกรรม
เหล่านช้ี ่อื วา่ อกุศลวปิ ากจิต (อะ-ก-ุ สน-วิ-ปา-กะ-จติ ) มี ๗ ดวง ดแก่
จิตหมายเลข ๑๓ เป็นจิตท่ีเกิดทางตา เห็นรูปที่ไม่ดี และรู้สึก
เฉย ๆ (ภาษาธรรมะเรียกว่า จักขุวิ าณ ายอกุศลวิบาก) ตัวอย่างเช่น
เห็นสุนัขเน่า ศพเน่า เห็นสิ่งปฏิกูลโสโครก เห็นคนตีกัน เห็นวินาศภัย
และสง่ิ ต่าง ๆ ทีเ่ ห็นแลว้ ทา� ใหเ้ กิดความทุกข์ เป็นตน้
จิตหมายเลข ๑๔ เป็นจิตที่เกิดทางหู รับเสียงท่ีไม่ดี และรู้สึก
เฉย ๆ (ภาษาธรรมะเรียกว่า โสตวิ าณ ายอกุศลวิบาก) ตัวอย่างเช่น
ได้ยินเสียงบ่น เสียงด่า เสียงการทะเลาะวิวาท เสียงเปรตร้องโหยหวน
เสียงต่าง ๆ ท่ีไดย้ นิ แล้วท�าใหเ้ กิดความทกุ ข์ เป็นตน้
จติ หมายเลข ๑๕ เปน็ จติ ทีเ่ กดิ ทางจมูก รบั กลนิ่ ท่ไี ม่ดี และรู้สึก
เฉย ๆ (ภาษาธรรมะเรียกว่า านวิ าณ ายอกุศลวิบาก) ตัวอย่างเช่น
กล่ินสัตว์ตาย กลิ่นปฏิกูล กล่ินเน่าเหม็น กลิ่นสาบสางของอบายสัตว์
และกลน่ิ ทง้ั ปวงท่ีไมช่ อบ เป็นต้น
จติ หมายเลข ๑๖ เปน็ จติ ทเี่ กดิ ทางลน้ิ รบั รสทไี่ มด่ ี และรสู้ กึ เฉย ๆ
(ภาษาธรรมะเรยี กวา่ ชิวหาวิ าณ ายอกุศลวบิ าก) ตวั อยา่ งเชน่ การได้
บริโภคอาหารที่ไร้คุณภาพ เหลือเดน ไม่มีความเอร็ดอร่อย บูดเน่า
หมดอายุ อันไมเ่ ป็นที่นา่ ปรารถนา เป็นต้น
จิตหมายเลข ๑๗ เปน็ จติ ทเี่ กิดทางกาย รับสัมผัสทางกายที่ไม่ดี
และท�าให้ทุกข์กาย (ภาษาธรรมะเรียกว่า กายวิ าณ ายอกุศลวิบาก)
ตวั อยา่ งเชน่ ถูกตอ่ ย ถูกตี ถกู ยิง ถกู กระแทกด้วยของแขง็ ได้รบั อบุ ตั เิ หตุ
หรือประสบกับสภาพท่ีร้อนเกินไป หนาวเกินไป อาการเจ็บปวดทางกาย
ความเจ็บปวดทรมานของสัตวใ์ นนรก เป็นต้น
จติ หมายเลข ๑๘ เปน็ จิตทีเ่ กดิ ทางใจ ทา� หน้าท่ีรบั อารมณ์ท้ัง ๕
(คอื รปู เสยี ง กลนิ่ รส สมั ผสั ) ทไี่ มด่ ี ตอ่ จากปญั จวญิ ญาณ๙ และรสู้ กึ เฉย ๆ
(ภาษาธรรมะเรียกว่า สมั ปฏิจ นจติ ๑๐ ายอกุศลวบิ าก)
จิตหมายเลข ๑๙ เป็นจิตท่ีเกิดทางใจ ท�าหน้าท่ีไต่สวนอารมณ์
ทั้ง ๕ (คอื รปู เสียง กล่ิน รส สัมผัส) ทไี่ ม่ดี และรู้สึกเฉย ๆ (ภาษาธรรมะ
เรียกวา่ สนั ตรี ณจติ ๑๑ ายอกศุ ลวบิ าก)
๙ ปญั จวญิ ญาณ หมายถึง วญิ ญาณท้งั ๕ ไดแ้ ก่ จิตทท่ี �าหน้าทีเ่ ห็น ได้ยนิ ได้กลิน่ รู้รส
รู้สัมผสั
๑๐ สมั ปฏิจฉนจติ อา่ นว่า สัม-ปะ-ตดิ -ฉะ-นะ-จติ
๑๑ สนั ตีรณจิต อา่ นว่า สนั -ตี-ระ-นะ-จิต
๒
๑ สง่ ลเพอ่ นา� ปเกดิ นภพ หมช่ าติ หม่ (ปฏสิ นธกิ าล๑๒) อกศุ ล
กรรมทงั้ หลายทไี่ ดก้ ระทา� ไวห้ ากเปน็ กรรมหนกั กจ็ ะนา� ไปเกดิ ในอบายภมู ิ ๔
เปน็ สตั วน์ รกบา้ ง เปน็ เปรตบา้ ง เปน็ อสรุ กายบา้ ง เปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉานบา้ ง โดย
มสี ันตีรณจิต ายอกุศลวบิ าก (จติ หมายเลข ๑๙) เป็น ูทา� หนาที่ ปปฏิสนธิ
(นา� เกดิ ) นอบายภมู ิทัง ๔
๒ ส่ง ลหลังจาก ปเกิด นภูมิ ดภูมิหน่งแลว (ปวัตติกาล๑๓)
ไมว่ า่ จะเกดิ เปน็ สตั วน์ รก เปรต อสรุ กาย สตั วเ์ ดรจั ฉาน อกศุ ลกรรมทง้ั หลาย
ท่ีไดก้ ระท�าไว้จะตามสง่ ผลให้เหนรูปที่ มด่ ี ดยินเสยี งที่ ม่ดี ดกลิ่นที่ มด่ ี
ดรับรสที่ ม่ดี ดรับการสัม ัสทางกายที่ ม่ดี ดวยอกุศลวิปากจิตดวงที่
๑๓ - ๑๗
ส�าหรับผู้ท่ีเกิดมาเป็นมนุษย์หรือเทวดาจะได้รับความสุขบ้าง
ความทกุ ข์บ้าง ขณะใดทีก่ �าลังไดร้ บั ความทกุ ข์ คอื เห็นรูปทไี่ มด่ ี ได้ยินเสยี ง
ที่ไม่ดี ได้กล่ินที่ไม่ดี ได้รับรสที่ไม่ดี ได้รับการสัมผัสทางกายท่ีไม่ดี
พึงรู้ว่าขณะน้ันอกุศลวิปากจิต (อันเป็นผลของบาปที่ท�าไว้ในอดีต) ก�าลัง
ท�างานอยู่
บางท่านอาจสงสัยว่าเพราะเหตุใดจิตที่เกิดทางตา หู จมูก ล้ิน
(จติ หมายเลข ๑๓, ๑๔, ๑๕, ๑๖) ซงึ่ รับอารมณ์ท่ไี มด่ ี แต่เหตใุ ดจึงไม่เกิด
ทุกข์ ซึ่งตา่ งจากจติ ที่เกดิ ทางกาย (จติ หมายเลข ๑๗) เมอ่ื รับสมั ผสั ทางกาย
ที่ไม่ดีแล้วเกิดทุกข์ ส�าหรับเร่ืองน้ีต้องเข้าใจก่อนว่าเม่อตาเหนรูปจะยัง ม่รู
๑๒ ปฏิสนธกิ าล (ปะ-ติ-สน-ทิ-กาน) คือ เวลา ณ ขณะทส่ี ัตว์อุบัติขึน้ ในภพชาตใิ หม่
๑๓ ปวัตติกาล (ปะ-วัด-ติ-กาน) คือ ช่วงเวลาหลังจากที่สัตว์ได้อุบัติข้ึนในภพชาติใหม่
ไปจนกระท่งั วาระสุดท้ายก่อนทจ่ี ะตายจากภพชาตนิ ัน้
อเหตุกจิต ๑๘ความหมายของรูปนัน ทางหู ทางจมูก ทางลนิ กเช่นเดียวกัน เม่อรับเสยี ง
รับกลิ่น รับรสกเพียงสักแต่ว่ารู แต่ยัง ม่เขาถงความหมายของอารมณ์
เหล่านัน เพราะความหมายของอารมณ์ท่ีรับรูทางตา หู จมูก ลิน จะเกิด
ทางมโนทวาร (ทาง จ) เท่านัน ดังน้ันจิตทีเ่ กดิ ทางตา หู จมกู ล้นิ จึงร้สู กึ
เฉย ๆ (อุเบกขาเวทนา) ส่วนจิตที่เกิดทางกายเมื่อรับสัมผัสทางกายท่ีไม่ดี
เช่น เย็นจดั ร้อนจัด ถกู ตี ถกู แทง ถกู ยงิ จะร้สู กึ เจ็บปวดทางกายได้ทันที
โดยไม่ต้องอาศัยการตีความทางมโนทวาร จิตที่เกิดทางกายจึงรู้สึกทุกข์
(หรือสุข) ได้ในขณะนนั้
กล่ อ กก ล าก
อเหตกุ กศุ ลวปิ ากจติ ๘ เปน็ จติ ทเ่ี กดิ มารบั ลของบุ (กศุ ลกรรม)
ที่ ดกระท�า วแลว นอดีต บุ (กุศลกรรม) ทั้งหลายท่ีได้กระท�าไว้ย่อม
ไมส่ ญู หายไปไหน แตจ่ ะคอยโอกาสตอบสนองใหไ้ ดร้ บั ผลดว้ ยกศุ ลวปิ ากจติ
๘ ดวง รวมเรียกว่า อเหตุกกศุ ลวิปากจติ ๘ (อะ-เห-ตุ-กะ-ก-ุ สน-วิ-ปา-กะ-
จติ ) ได้แก่
อกุศลวิปากจติ ๗ ดวง
อเหตุกกุศลวปิ ากจติ ๘ ดวง
อเหตกุ กิรยิ าจิต ๓ ดวง
จติ หมายเลข ๒๐ เปน็ จติ ทเี่ กดิ ขนึ้ ทางตา เหน็ รปู ทดี่ ี และรสู้ กึ เฉย ๆ
(ภาษาธรรมะเรียกว่า จักขวุ ิ าณ ายกศุ ลวบิ าก) ตวั อยา่ งเชน่ เห็นส่งิ ของ
สวย ๆ งาม ๆ เห็นสถานท่ที ีส่ วยงาม เหน็ ธรรมชาติที่น่ารื่นรมย์ ฯลฯ
จติ หมายเลข ๒๑ เปน็ จติ ทเี่ กดิ ขน้ึ ทางหู รบั เสยี งทดี่ ี และรสู้ กึ เฉย ๆ
(ภาษาธรรมะเรียกวา่ โสตวิ าณ ายกุศลวิบาก) ตวั อย่างเช่น ได้ยินเสยี ง
ชมเชย เสยี งเพลงอนั ไพเราะถูกใจ เสยี งสวดมนต์ เสียงพระเทศน์ ฯลฯ
จติ หมายเลข ๒๒ เปน็ จติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ทางจมกู รบั กลนิ่ ทดี่ ี และรสู้ กึ เฉย ๆ
(ภาษาธรรมะเรียกว่า านวิ าณ ายกุศลวบิ าก) ตวั อยา่ งเชน่ ไดก้ ล่ินทด่ี ี
กลน่ิ ท่หี อมถกู ใจ ฯลฯ
จติ หมายเลข ๒๓ เปน็ จติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ทางลน้ิ รบั รสทด่ี ี และรสู้ กึ เฉย ๆ
(ภาษาธรรมะเรยี กวา่ ชิวหาวิ าณ ายกศุ ลวบิ าก) ตัวอย่างเชน่ ไดบ้ ริโภค
อาหารชนั้ เลศิ มีรสชาตเิ อรด็ อร่อย
จิตหมายเลข ๒๔ เปน็ จิตที่เกดิ ข้ึนทางกาย รับสมั ผัสทางกายทดี่ ี
และรู้สึกสุขกาย (ภาษาธรรมะเรียกว่า กายวิ าณ ายกุศลวิบาก)
ตัวอย่างเช่น อยู่ในอุณหภูมิท่ีก�าลังสบาย ท่ีน่ังสบาย ๆ ท่ีนอนสบาย ๆ
เพียบพร้อมด้วยส่ิงอา� นวยความสะดวกทางกาย ประสบแต่ส่ิงต่าง ๆ ท่ีให้
ความสุขทางกาย
จิตหมายเลข ๒๕ เป็นจิตท่ีเกิดข้ึนทางใจ รับปัญจารมณ์ท่ีดี
ตอ่ จากปัญจวิญญาณ และรสู้ ึกเฉย ๆ (ภาษาธรรมะเรียกวา่ สมั ปฏจิ นจติ
ายกศุ ลวบิ าก)
จิตหมายเลข ๒๖ เป็นจิตที่เกิดข้ึนทางใจ ท�าหน้าท่ีไต่สวน
ปัญจารมณ์๑๔ ท่ีดี และรู้สึกเฉย ๆ (ภาษาธรรมะเรียกว่า อุเบกขาสันตีรณ
ายกศุ ลวบิ าก)
จิตหมายเลข ๒๗ เป็นจิตที่เกิดขึ้นทางใจ ท�าหน้าท่ีไต่สวน
ปัญจารมณ์ท่ีดียิ่ง เกิดพร้อมด้วยความดีใจ (ภาษาธรรมะเรียกว่า โสมนัส
สันตีรณ๑๕ ายกศุ ลวิบาก)
เม่อื จิตที่เกิดทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย รับอารมณ์ที่ดีก็จะสง่ ต่อไป
ยังสัมปฏิจฉนจิต ายกุศลวิบาก สัมปฏิจฉนจิต ายกุศลวิบากจะส่งต่อไป
ยังสันตีรณจิต ายกุศลวิบาก เพื่อท�าการไต่สวนอารมณ์ต่อไปโดยแยกเป็น
๒ กรณี คือ
๑. หากเป็นอารมณ์ที่ดี อุเบกขาสันตีรณจิต ายกุศลวิบาก
จะเกดิ ขน้ึ เพือ่ ไตส่ วนอารมณ์นัน้ ต่อไป
๒. หากเป็นอารมณ์ท่ีดียิ่ง โสมนัสสันตีรณจิต ายกุศลวิบาก
จะเกิดขึ้นเพ่ือไตส่ วนอารมณน์ ้นั ตอ่ ไป
๑๔ ปัญจารมณ์ คอื อารมณท์ ง้ั ๕ ได้แก่ รปู เสียง กลนิ่ รส และสมั ผสั ทางกาย
๑๕ โสมนสั สนั ตีรณ อา่ นวา่ โส-มะ-นัด-สนั -ตี-ระ-นะ
จติ เกิดทางตา + รสู้ กึ เฉย ๆ ถา้ อารมณ์ทด่ี ี
อเุ บกขาสนั ตรี ณจิตฝา่ ยกศุ ลวบิ าก
จติ เกดิ ทางหู + รูส้ กึ เฉย ๆ (จิตหมายเลข ๒๖)
สมั ปฏิจฉนจติ
ถา้ อารมณท์ ดี่ ยี ่ิง
จิตเกดิ ทางจมูก + รู้สึกเฉย ๆ ฝา่ ยกุศลวบิ าก โสมนัสสันตีรณจติ ฝ่ายกศุ ลวิบาก
จิตเกิดทางลิ้น + รูส้ ึกเฉย ๆ (จติ หมายเลข ๒๕) (จติ หมายเลข ๒๗)
จติ เกิดทางกาย + ร้สู กึ สขุ กาย
อาจมีผู้สงสัยว่า อกุศลวิปากจิตมีเพียง ๗ ดวง แต่เหตุใด
อเหตุกกุศลวิปากจิตจึงมี ๘ ดวง ขอตอบว่าในอเหตุกกุศลวิปากจิตนั้นมี
สนั ตีรณจติ ๒ ดวง คอื ดวงท่ี ๒๖ และ ๒๗
จิตหมายเลข ๒๖ จะเกิดในวิถีจิตเม่ือประสบกับปัญจารมณ์ท่ีดี
ท�าให้มคี วามรู้สกึ (เวทนา) เป็นอเุ บกขาเวทนา
จติ หมายเลข ๒๗ จะเกดิ ในวถิ จี ติ เมอื่ ประสบกบั ปญั จารมณท์ ด่ี ยี ง่ิ
ท�าให้มีความสุขใจ (โสมนัสเวทนา)
ส่วนสันตีรณจิต ายอกุศลจะเกิดในวิถีจิตในขณะท่ีรับอารมณ์
ทีไ่ มด่ ี ดังน้ัน จึงมเี วทนาเป็นอเุ บกขาเพียงอย่างเดียว สนั ตีรณจติ จงึ มีเพยี ง
อเุ บกขาสันตีรณจติ เทา่ นนั้ (ไม่มีโสมนสั สนั ตีรณจิต)
กลมุ่ อกศุ ลวิปากจิต ๗ ดวง ทุกขก์ าย (ทกุ ขเวทนา)
จะมเี วทนาเพยี ง ๒ อย่าง คือ ไดแ้ ก่ จติ หมายเลข ๑๗
รู้สึกเฉย ๆ (อเุ บกขาเวทนา)
ไดแ้ ก่ จิตท่ีเหลืออกี ๖ ดวง
สุขกาย (สุขเวทนา) ได้แก่
จิตหมายเลข ๒๔
กลุม่ อเหตกุ กุศลวิปากจิต ๘ ดวง สุขใจ (โสมนสั เวทนา)
จะมเี วทนา ๓ อย่าง คือ ไดแ้ ก่ จติ หมายเลข ๒๗
ร้สู กึ เฉย ๆ(อเุ บกขาเวทนา)
ได้แก่ จิตทเ่ี หลืออีก ๖ ดวง
ผู้ท่ีเกิดมาเป็นมนุษย์หรือเทวดาจะได้รับความสุขบ้าง ความทุกข์
บ้าง ในขณะท่ีกา� ลงั ไดร้ บั ความสุข คอื เหน็ รูปท่ดี ี ไดย้ นิ เสยี งทีด่ ี ไดก้ ล่นิ ทดี่ ี
ได้รับประทานอาหารอันโอชะ ได้รับการสัมผัสทางกายท่ีดี ฯลฯ พึงรู้ว่า
ขณะนนั้ กศุ ลวปิ ากจติ อนั เปน็ ผลของบญุ (กศุ ลกรรม) ทไี่ ดก้ ระทา� ไวใ้ นอดตี
ก�าลังตดิ ตามมาใหผ้ ล โดยจติ หมายเลข ๒๐ - ๒๗ จะเป็นผ้รู บั อารมณ์ที่ดี
และอารมณ์ทด่ี ีย่งิ เหล่านน้ั
แต่ในขณะที่ได้รับความทุกข์ คือ เห็นรูปท่ีไม่ดี ได้ยินเสียงไม่ดี
ไดก้ ลิ่นไมด่ ี ได้รบั ประทานอาหารไมด่ ี ไดร้ บั การสมั ผสั ทางกายไม่ดี พึงรวู้ ่า
ขณะนนั้ อกุศลวิปากจิต อันเป็นผลของบาป (อกุศลกรรม) ที่ได้กระทา� ไวใ้ น
อดตี กา� ลังติดตามมาให้ผล โดยจิตหมายเลข ๑๓ - ๑๙ จะเปน็ ผรู้ ับอารมณ์
ที่ไมด่ เี หลา่ น้ัน
อเห ุตก ิจต ๑๘กล่ อ กกรยา
อเหตุกกิริยาจิต เป็นจิตท่ีเกิดขนสักแต่ว่ากระท�าหนาท่ีของตน
เทา่ นนั มเ่ ปน็ บุ มเ่ ปน็ บาป และ ม่ ชจ่ ติ ทเี่ ปน็ ลของบุ หรอ ลของบาป
เปน็ จติ ที่ไม่ใช่เหตุ และไมใ่ ช่ผล อเหตกุ กิรยิ าจิต ได้แก่ จิต ๓ ดวง คอื จิต
หมายเลข ๒๘, ๒๙, ๓๐
อกศุ ลวปิ ากจิต ๗ ดวง
อเหตกุ กุศลวปิ ากจติ ๘ ดวง
อเหตกุ กิรยิ าจติ ๓ ดวง
ก่อนที่จะอธิบายธรรมชาติของจิตหมายเลข ๒๘ - ๒๙ - ๓๐
จะขออธิบายกระบวนการท�างานของจิต (วิถีจิต) โดยสังเขปเสียก่อน
ซ่ึงนอกจากจะท�าให้เข้าใจหน้าที่ของจิตหมายเลข ๑๓ ถึง ๒๗ แล้วยัง
ชว่ ยให้เข้าใจหน้าท่ขี องจติ หมายเลข ๒๘ และ ๒๙ ไดเ้ ป็นอย่างดอี กี ด้วย
กระบวนการทา� งานของจติ (วถิ จี ิต) มี ๒ แบบ คอ
๑. กระบวนการทา� งานของจติ เพ่ือรับอารมณ์ทางตา หู จมกู ล้ิน
กาย (อารมณท์ างปญั จทวาร) ภาษาธรรมะเรยี กว่า ป จทวารวถิ ี
๒. กระบวนการทา� งานของจิตเพ่อื รบั อารมณ์ทางใจ (อารมณ์ทาง
มโนทวาร) ภาษาธรรมะเรยี กวา่ มโนทวารวิถี
าร
คอื กระบวนการทา� งานของจติ เพอื่ รบั รปู เสยี ง กลน่ิ รส และสมั ผสั
ทางกาย (รวมเรียกว่า ปัญจารมณ์) ซง่ึ สามารถแสดงโดยภาพได้ ดงั น้ี
อตตี ภวังค์
จิตนอกวถิ ี ภวงั คจลนะ
ภวังคปุ ัจเฉทะ
ปญั จทวาราวชั ชนะ (จิตหมายเลข ๒๘)
ปัญจวิญญาณ (จติ หมายเลข ๑๓ ถึง ๑๗ และ ๒๐ ถึง ๒๔)
สมั ปฏจิ ฉนะ (จติ หมายเลข ๑๘ และ ๒๕)
สนั ตีรณะ (จติ หมายเลข ๑๙, ๒๖, ๒๗)
โวฏฐัพพนะ (จติ หมายเลข ๒๙)
จิตในวถิ ี
ชวนะ ๗ ขณะ (จิตท่ที า� หนา้ ทีน่ ้ี คอื จิตหมายเลข
๑-๑๒, ๓๐-๓๘, ๔๗-๕๔ รวมเรียกว่า กามชวนะ ๒๙)
ตทาลมั พนจิต (จติ หมายเลข ๑๙, ๒๖, ๒๗ และ
จติ หมายเลข ๓๙ ถึง ๔๖ คอื มหาวิปากจิต ๘)
ภ ภวังค์
ภ ภวงั ค์
ความหมายโดยสังเขป
ขณะท่ี ๑ อตีตภวังค์ (อะ-ตี-ตะ-พะ-วัง) เป็นภวังคจิตดวงที่
เร่ิมรบั รู้เป็นอันดับแรกวา่ จะมีปัญจารมณเ์ ข้ามาใหม่
ขณะท่ี ๒ ภวังคจลนะ (พะ-วัง-คะ-จะ-ละ-นะ) เป็นภวังคจิต
ดวงทรี่ ้วู ่าจะมีปัญจารมณ์เขา้ มาและเร่ิมหว่นั ไหว
ขณะที่ ๓ ภวงั คปุ จเ ทะ (พะ-วงั -ค-ุ ปัด-เฉ-ทะ) เป็นภวังคจติ ท่ี
เตรยี มรับอารมณใ์ หม่ โดยจะขาดจากอารมณ์เก่าทนั ทีทีจ่ ิตดวงนี้ดับลง
ขณะท่ี ๔ ป จทวาราวัชชนะ (ปัน-จะ-ทะ-วา-รา-วดั -ชะ-นะ) คือ
จติ หมายเลข ๒๘ เกิดขน้ึ เพ่ือตอ้ นรับอารมณใ์ หมท่ ่จี ะเขา้ มาทางตา หู จมกู
ลิ้น หรอื กาย จิตดวงนจ้ี ะทา� หนา้ ท่นี ้อมไปหาอารมณ์ใหม่ (อาวัชชนะ นอ้ ม
ไปหาอารมณ์) โดยพจิ ารณาว่าอารมณ์น้ันจะเขา้ มาทางทวารไหนใน ๕ ทวาร
(เป็นจิตดวงแรกท่ีขนึ้ วิถเี พอื่ รับอารมณใ์ หม)่
ขณะท่ี ๕ ป จวิ าณ (ปัน-จะ-วิน-ยาน) คือ จิตท่ีรับรู้
รปู เสียง กลน่ิ รส สัมผัส ท่ีเปน็ อกศุ ลวบิ าก (จิตหมายเลข ๑๓ ถึง ๑๗)
หรอื อเหตุกกศุ ลวิบาก (จติ หมายเลข ๒๐ ถงึ ๒๔)
ขณะที่ ๖ สัมปฏจิ นะ (สมั -ปะ-ติด-ฉะ-นะ) คอื จติ หมายเลข
๑๘ และ ๒๕ ท�าหน้าท่ีรับปัญจารมณ์ (อย่างใดอย่างหนึ่ง) ต่อจาก
ปญั จวิญญาณเพอื่ สง่ ตอ่ ไปยงั สนั ตรี ณจติ
ขณะที่ ๗ สันตีรณะ (สนั -ตี-ระ-นะ) คือ จิตหมายเลข ๑๙, ๒๖,
๒๗ มหี นา้ ทไ่ี ตส่ วนอารมณท์ รี่ บั มาจากสมั ปฏจิ ฉนะวา่ อารมณน์ น้ั ดหี รอื ไมด่ ี
เพ่ือประมวลใหโ้ วฏฐัพพนะเป็นผตู้ ัดสนิ
ขณะที่ ๘ โวฏฐัพพนะ (โวด-ถับ-พะ-นะ) เป็นข้ันตอนท่ีตัดสิน
อารมณ์โดยความเป็นกุศล อกุศล หรือกิริยา ตามควรแก่การตัดสินของ
แต่ละบุคคล เพ่ือท่ีจะเสพอารมณ์ท่ีก�าลังปรากฏน้ันโดยความเป็นกุศล
อกุศล หรือกิริยา (กิริยา คือ ธรรมที่มิใช่กุศลและมิใช่อกุศล) จิตที่ท�า
หน้าทโ่ี วฏฐพั พนะ คือ จติ หมายเลข ๒๙ (มโนทวาราวชั ชนจิต)
ขณะท่ี ๙ - ๑๕ ชวนะ (ชะ-วะ-นะ) เป็นจิตที่ท�าหน้าที่
เสพอารมณ์อย่างเดียวกันทั้ง ๗ ขณะ ถาเป็น กุศล อกุศล หรอ กิริยา
กจะเป็น ปอย่างเดียวกันทัง ๗ ขณะ บาป - บุ จะเกิดขนกเพราะชวนจิต
(ชะ-วะ-นะ-จติ ) ๗ ขณะนี คอื จติ หมายเลข ๑-๑๒, ๓๐, ๓๑-๓๘, ๔๗-๕๔
ขณะท่ี ๑๖ - ๑๗ ตทาลัมพนะ (ตะ-ทา-ลัม-พะ-นะ) เกิดขึ้น
๒ ขณะ เป็นจิตที่เกิดข้ึนเพ่ือรับอารมณ์ต่อจากชวนะ และหน่วงกลับไปสู่
ภวังค์ต่อไป เม่ือมีอารมณ์ใหม่เข้ามาจึงจะขึ้นวิถีใหม่อีกคร้ัง จิตที่ท�าหน้าที่
ตทาลัมพนะคือ จิตหมายเลข ๑๙, ๒๖, ๒๗ และ ๓๙-๔๖
หมายเหตุ เร่ืองวิถีจิตนี้จะอธิบายโดยละเอียดอีกครั้งใน
ปรจิ เฉทที่ ๔ (วถิ สี งั คหวภิ าค) ในขน้ั นจ้ี ะอธบิ ายเพยี งครา่ ว ๆ เพราะมวี ตั ถปุ ระสงค์
เพียงเพ่ือให้เห็นหน้าที่ของจิตหมายเลข ๑๓-๓๐ ในปัญจทวารวิถี
และมโนทวารวิถีเท่านัน้
น าร
จะขอยกกามชวนะมโนทวารวิถี (กระบวนการท�างานของจิตทาง
มโนทวารทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับกามอารมณ์) มาแสดงเปน็ ตัวอย่าง ดังน้ี
น ภวงั คจลนะ
ท ภวังคุปจั เฉทะ
ม มโนทวาราวัชชนจิต (จิตหมายเลข ๒๙)
ช
ช
ช
ช ชวนะ ๗ ขณะ
จติ ในวถิ ี ช
ช
ช
ต ตทาลมั พนะ (จติ หมายเลข ๑๙, ๒๖, ๒๗
ต และมหาวปิ ากจติ ๘)
ภ
ภวังค์
ภ
ความหมายโดยสงั เขป
ภวงั คจติ ท่ไี หวตวั รับอารมณใ์ หม่ เรยี กว่า ภวังคจลนะ ภวังคจิต
ดวงต่อไปที่ก�าลังจะท้ิงอารมณ์เก่าและเตรียมรับอารมณ์ใหม่เรียกว่า
ภวงั คุปจั เฉทะ
ตอ่ จากน้นั มโนทวาราวัชชนจติ (จติ หมายเลข ๒๙) ก็เกิดขนึ้ เพอ่ื
รับอารมณ์ใหม่ ๑ ขณะ และท�าหน้าที่ก�าหนดความเป็นกุศล อกุศล หรือ
กิริยาพร้อมกันไปด้วย มโนทวาราวชั ชนจิต เป็นจิตดวงแรกในมโนทวารวิถี
เมื่อมโนทวาราวัชชนจิตดับลง ชวนจิตก็เกิดข้ึนเพื่อเสพอารมณ์ทางใจ
(ทางมโนทวาร) ติดต่อกันไป ๗ ขณะ ต่อจากนน้ั ตทาลมั พนะก็เกิดตอ่ จาก
ชวนจิตดวงที่ ๗ อกี ๒ ขณะ จงึ ส้นิ สดุ วถิ ีและกลบั ลงส่ภู วังค์ต่อไป
จากปญั จทวารวถิ แี ละมโนทวารวถิ ที กี่ ลา่ วมา สามารถสรปุ ธรรมชาติ
ของจิตหมายเลข ๒๘ และ ๒๙ ไดด้ ังน้ี
จิตหมายเลข ๒๘ (ป จทวาราวชั ชนจติ ) เปน็ จติ ท่เี กิดขนึ้ พร้อม
ดว้ ยความเฉย ๆ ทา� หนา้ ทพี่ จิ ารณาปญั จารมณท์ ม่ี าปรากฏทางปญั จทวารโดย
พจิ ารณาว่าอารมณ์นนั้ จะเข้ามาทางทวารใดในทวารทั้ง ๕ เพอื่ เป็นปจั จัยให้
จติ ดวงถดั ไปออกมารับอารมณต์ ามทวารนั้น ๆ อยา่ งถกู ต้อง
จิตหมายเลข ๒๙ (มโนทวาราวัชชนจิต) เป็นจิตท่ีเกิดขึ้นทาง
มโนทวารพร้อมด้วยความเฉย ๆ ทา� หนา้ ที่ ๒ บทบาท คือ
๑. เมอ่ื เกดิ ขน้ึ ทางมโนทวารวถิ ี จะทา� หนา้ ทอี่ าวชั ชนะ (นอ้ มไปหา
อารมณ์ คอื การพิจารณาอารมณใ์ หม)่
๒. เม่ือเกิดข้ึนทางปญั จทวารวิถจี ะทา� หนา้ ทโี่ วฏฐัพพนะ (ตดั สนิ
อารมณ์)
จติ หมายเลข ๓๐ (หสติ ปุ ปาทจติ ) เปน็ จติ ทเี่ กดิ ไดท้ งั้ ทางปญั จทวารวถิ ี
และทางมโนทวารวิถี ซึ่งจะท�าให้เกิดการยิ้มแบบสิตะ หรือ หสิตะ โดยมี
รายละเอียด ดงั น้ี
การยิมและการหวั เราะมีทังหมด ๖ ลัก ณะ คอ
๑. สติ ะ ยม้ิ อยใู่ นใบหน้า ไม่เห็นไรฟัน
๒ หสติ ะ ยมิ้ พอเห็นไรฟัน
๓ วิหสติ ะ หวั เราะเบา ๆ
๔ อปุ หสติ ะ หัวเราะจนกายไหว
๕ อปหสิตะ หวั เราะจนน้�าตาไหล
๖ อตหิ สติ ะ หวั เราะจนสัน่ พล้ิว และโยกโคลงไปทง้ั ตวั
ขยายความ
๑ การยิมแบบสิตะ และยิมแบบหสิตะ เป็นการยิ้มของพระ
สมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ และพระอรหนั ตท์ ง้ั หลาย เกดิ ไดจ้ ากโสมนสั
หสติ ปุ ปาทจติ ๑, มหากิรยิ าโสมนสั ๔
ถ้าอารมณ์เป็นอโน าริกะ คือ อารมณ์ละเอียดที่บุคคลธรรมดา
ไม่สามารถจะรับรู้ได้ เช่น พิจารณาเห็นกรรมของเปรตที่ได้รับความทุกข์แล้ว
ยอ้ นกลบั มาพจิ ารณาตวั ทา่ นเองวา่ ทา่ นไดพ้ น้ จากทกุ ขท์ ง้ั ปวงแลว้ จงึ เกดิ โสมนสั ขน้ึ
ขณะน้ันท่านจะยิ้มด้วยหสิตุปปาทจิต ซึ่งเป็นจิตท่ีท�าให้เกิดการย้ิมโดย
ไมย่ ดึ มน่ั ในอารมณ์ ซง่ึ ตา่ งจากจติ ทท่ี า� ใหเ้ กดิ การหวั เราะแบบอนื่ ๆ หสติ ปุ ปาทจติ
เป็นจิตที่มีก�าลังน้อย เป็นอเหตุกจิต (เป็นจิตท่ีปราศจากเหตุบุญและเหตุบาป)
เปน็ จิตพเิ ศษทก่ี ่อให้เกิดการย้มิ ได้เพียงสติ ะ และหสิตะเท่านน้ั
หากอารมณ์เปน็ โอ ารกิ ะ คอื อารมณ์ท่ีหยาบ ซึ่งบุคคลท่วั ๆ ไป
ก็สามารถจะรับรู้ได้ ในกรณีน้ีท่านจะย้ิมด้วยมหากิริยาโสมนัส ๔ (ดวงใด
ดวงหน่งึ )
พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน และปุถุชนท่ัวไป
ก็สามารถยิ้มแบบสิตะ และหสิตะได้เช่นกัน แต่จะเป็นการยิมดวยสเหตุกจิต
(เปน็ จติ ทมี่ เี หตบุ ุ หรอเหตบุ าปเขาประกอบ) มใิ ชเ่ ปน็ การยม้ิ ดว้ ยหสติ ปุ ปาทจติ
ซ่งึ เป็นอเหตุกจิต
๒ วิหสิตะ และอุปหสิตะ เป็นการหัวเราะของพระอนาคามี
พระสกทาคามี พระโสดาบนั และปถุ ชุ นทวั่ ไป เปน็ การหวั เราะทเ่ี กดิ จากสเหตกุ จติ
๓ อปหสติ ะ และอตหิ สติ ะ เปน็ การหวั เราะของปถุ ชุ นเทา่ นนั้ เกดิ จาก
สเหตุกจิตเช่นกัน
จติ ท่ที �าใหเ้ กิดการยมิ้ หรือหวั เราะขึ้นไดน้ น้ั คือ จติ ๑๓ ดวง ไดแ้ ก่
โลภมลู โสมนสั ๔, โสมนสั หสติ ปุ ปาทจติ ๑, มหากศุ ลโสมนสั ๔, มหากริ ยิ าโสมนสั ๔
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ท้ังหลาย
ย้มิ ดว้ ยจติ ๕ ดวง คือ โสมนัสหสิตปุ ปาทจิต ๑, มหากริ ยิ าโสมนสั ๔
พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน ยิ้มหรือหัวเราะด้วยจิต
๖ ดวง คอื ทิฏฐคิ ตวปิ ยตุ ตโสมนสั ๒, มหากุศลโสมนัส ๔
ปุถุชน ย้ิมหรือหัวเราะด้วยจิต ๘ ดวง คือ โลภมูลโสมนัส ๔,
มหากศุ ลโสมนัส ๔
ขอสงั เกต เหตทุ อี่ กศุ ลวปิ ากจติ ไมม่ คี า� วา่ “อเหตกุ ะ” นา� หนา้ เหมอื นกบั
อเหตกุ กุศลวปิ ากจิตและอเหตกุ กริ ยิ าจิต เพราะกุศลวิปากจติ และกริ ิยาจิต มีทง้ั
ประเภท “อเหตุกะ” และ “สเหตุกะ” จึงตอ้ งมีค�าวา่ “อเหตกุ ะ” หรอื “สเหตกุ ะ”
น�าหน้า แต่ “อกุศลวิปากจิต” มีประเภทเดียว คือ “อเหตุกะ” เท่านั้น ดังนั้น
จึงไมม่ คี วามจ�าเปน็ ท่ีจะต้องมคี า� ว่า “อเหตุกะ” น�าหน้า
ขอคิดจากอเหตกุ วิปากจติ
อเหตกุ วปิ ากจติ เปน็ เครอื่ งพสิ จู นแ์ สดงใหเ้ หน็ วา่ ผลของกรรมนน้ั มจี รงิ
เพราะนอกจากจะส่งผลใหส้ ัตวต์ อ้ งไปเกิดในทคุ ติภูมิ (อบายภมู ิ ๔) ในปฏสิ นธิ
กาลแล้ว ยังส่งผลในปวัตติกาล (หลังจากเกิดแล้ว)ให้สัตว์ท้ังหลายในทุคติภูมิ
และสคุ ตภิ มู ิ ประสบกบั อารมณท์ งั้ ทไี่ มด่ แี ละทดี่ ี สลบั สบั เปลย่ี นกนั อยตู่ ลอดเวลา
ตามเหตุในอดีตและปัจจัยในปัจจุบัน บางครั้งก็เห็นสิ่งไม่ดี ได้ยินเสียงท่ีไม่ดี
รบั กลนิ่ ทไี่ มด่ ี รบั รสทไ่ี มด่ ี รบั สมั ผสั ทางกายทไ่ี มด่ ี บางครงั้ กไ็ ดเ้ หน็ สงิ่ ทส่ี วยงาม
ไดย้ นิ เสยี งทน่ี า� ความสขุ มาให้ ไดก้ ลน่ิ หอม ๆ ไดล้ ม้ิ รสอนั โอชะ ไดร้ บั สมั ผสั ทางกาย
ทีด่ ี เหล่านี้ลว้ นเปน็ ผลของกรรมทเ่ี ราได้กระท�าไวแ้ ล้วในอดีตทงั้ สนิ้
บ ี่
กามาว ร ส
จิตประเภทตอ่ ไปทจ่ี ะกลา่ วถึงในบทน้คี ือ “กามาวจรโสภณจิต”
กามาวจร แปลว่า ยงั วนเวียนอย่ใู นกามภมู ิ คือ ยงั ตอ้ งเวียนว่าย
ตายเกดิ อย่ใู นกามภูมิ ๑๑๑๖ นนั่ เอง
โสภณ แปลวา่ ดงี าม
โสภณจิต คือ จิตที่ดีงาม เพราะเป็นจิตที่มีโสภณเจตสิก๑๗
เข้าประกอบ (เจตสิก คอ ธรรมชาติ ่งเป็นองค์ประกอบส�าคั ท่ีท�า หจิต
สามารถทา� งาน ด และยงั ปรงุ แตง่ จติ หมลี กั ณะตา่ ง ตามคณุ สมบตั ขิ อง
เจตสกิ ง่ มที งั หมด ๕๒ ชนดิ )
ดังนน้ั กามาวจรโสภณจิต หมายถงึ จิตที่ท�าให้เกดิ การกระท�าทาง
กาย ทางวาจา และทางใจท่ีดีงาม เป็นจิต ายกุศล ไม่เบียดเบียนหรือก่อ
ความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อ่ืน ให้ผลเป็นความสุข เป็นจิตประเภท
“สเหตุกะ” คอมีเจตสกิ ท่ีเป็นเหตุ ายดีงาม ดแก่ อโลภะ ( มโ่ ลภ) อโทสะ
( ม่โกรธ) และอโมหะ ( ม่หลง) เขาประกอบตามควรแก่ลัก ณะของจิต
แต่อย่างไรก็ตามจิตประเภทนี้ยังไม่สามารถน�าสัตว์ให้พ้นไปจากวังวนของ
กามภูมิ ๑๑
๑๖ กามภูมิ ๑๑ ไดแ้ ก่ อบายภูมิ ๔ มนุษยภูมิ ๑ เทวภูมิ ๖
๑๗ โสภณเจตสิก คือ เจตสิก ายที่ดีงาม เม่ือเข้าประกอบกับจิตจึงท�าให้จิตมีสภาพเป็น
จิตทด่ี งี าม
กา า ร ส บง่ น กล่ อ
กามาวจรโสภณ ิจต ๒๔ กลุม่ ท่ี ๑
มหากศุ ลจิต ๘
กลุ่มที่ ๒
มหาวปิ ากจิต ๘
กล่มุ ท่ี ๓
มหากิริยาจิต ๘
กลุ่มที่ ๑ มหากุศลจิต ๘ (จิตหมายเลข ๓๑ ถงึ ๓๘) เปน็ จิตท่ี
เกิดขึ้นในขณะทท่ี �าบุญ ท�ากศุ ลทั้งปวง มที ้งั หมด ๘ ลกั ษณะ
กล่มุ ท่ี ๒ มหาวิปากจิต ๘ (จิตหมายเลข ๓๙ ถงึ ๔๖) เป็นจิต
ที่เป็นผลของมหากุศลจิตโดยตรง มหากุศลจิตเป็นเหตุ ส่วนมหาวิปากจิต
เป็นผล คือจะสง่ ผลนา� เกดิ ในกามสคุ ติภูมิ ๗ (มนุษยภมู ิ ๑ เทวภูมิ ๖)
และตามรักษาความเปน็ สตั ว์ในภมู ินั้น ๆ ตลอดจนทา� หน้าทจ่ี ุติ (ตาย) จาก
ภูมิน้ัน ๆ อีกด้วย มหาวิปากจิตมี ๘ ลักษณะเช่นเดียวกับมหากุศลจิต
ทกุ ประการ
กลุม่ ท่ี ๓ มหากริ ิยาจติ ๘ (จิตหมายเลข ๔๗ ถึง ๕๔) เปน็ จติ ที่
เป็นมหากุศลน่ันเอง แต่ท่ีเรียกว่ามหากิริยา เพราะเป็นจิตท่ีเกิดข้ึนกับ
พระอรหันต์ผู้ก�าจัดอาสวะกิเลสได้หมดส้ินแล้ว ดังน้ัน การกระท�า
ทางกาย ทางวาจา และความคิดของท่าน จึงไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากใน
อนาคต กล่าวโดยสรุป จิตประเภทนี้ถ้าเกิดกับบุคคลที่ยังมีกิเลสเรียกว่า
มหากุศลจิต แต่เมื่อเกิดกับพระอรหันต์ซ่ึงหมดกิเลสแล้วจะเรียกว่า
มหากริ ยิ าจติ มี ๘ ลักษณะเชน่ เดยี วกบั มหากศุ ลจิตทกุ ประการ
ยาย า
กล่ าก ล
มหากศุ ลจติ ๘ เปน็ จติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในขณะทที่ า� บญุ ทา� กศุ ล คอื เปน็ ไป
ในบญุ กิริยาวัตถุ ๑๐ บา้ ง หรอื เปน็ ไปในกุศลกรรมบถ ๑๐ บา้ ง
บุ กริ ิยาวัตถุ ๑๐ (ทต่ี ง้ั แห่งการทา� บญุ ทางท�าความดี)
๑ ทานมยั คอื ทา� บญุ ด้วยการใหป้ นั สง่ิ ของ
๒ สลี มยั คือ ทา� บญุ ด้วยการรกั ษาศีลหรอื ประพฤตดิ ี
๓. ภาวนามัย คือ ทา� บุญด้วยการเจริญภาวนา
๔ อปจายนมยั คือ ทา� บญุ ด้วยการประพฤติอ่อนน้อม
๕ เวยยาวจั จมยั คอื ทา� บญุ ด้วยการมจี ติ อาสา เช่น ชว่ ยเหลอื
บคุ คลอื่นหรือบา� เพ็ญสาธารณประโยชนต์ ่าง ๆ
๖ ปตตทิ านมัย คอื ทา� บุญดว้ ยการอุทศิ ส่วนกุศลให้ผู้อ่นื
๗ ปตตานโุ มทนามยั คอื ทา� บญุ ดว้ ยใจทย่ี นิ ดใี นการทา� บญุ กศุ ล
ของผู้อ่นื
๘ ธมั มัสสวนมยั คือ ทา� บญุ ด้วยการฟังธรรม
๙ ธัมมเทสนามัย คือ ท�าบุญด้วยการสั่งสอนธรรมหรือให้
ความรแู้ กผ่ ้อู ่นื
๑๐ ทิฏ ุชุกรรม คือ ท�าความเห็นให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
เชอ่ื เรอ่ื งกรรมและการใหผ้ ลของกรรม เชอื่ เรอ่ื งเวยี นวา่ ยตายเกดิ และเขา้ ใจ
ความหมายของอริยสจั ๔ อยา่ งถกู ต้องนน่ั เอง
กุศลกรรมบถ ๑๐ คอื ทางแห่งกรรมดี (กศุ ลกรรม) อนั เป็นทาง
น�าไปสู่สุคติ (ภพภมู ทิ มี่ คี วามสขุ ) มี ๑๐ ประการ คือ
๑ ปาณาติบาตวิรัติ งดเว้นจากการ า่ สตั ว์
๒ อทนิ นาทานวริ ตั ิ งดเวน้ จากการถอื เอาสงิ่ ของทเ่ี จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้
๓ กาเมสมุ ิจ าจารวิรตั ิ งดเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม
๔ มุสาวาทวริ ัติ งดเว้นจากการพดู เทจ็
๕ ปสุณาวาจาวิรตั ิ งดเวน้ จากการพดู สอ่ เสียด
๖ รสุ วาจาวิรตั ิ งดเว้นจากการพูดคา� หยาบ
๗ สัม ปั ปลาปวิรัติ งดเว้นจากการพดู เพ้อเจ้อ
๘ อนภิช า ไม่เพง่ เลง็ อยากไดข้ องของผอู้ น่ื
๙ อพยาปาท ไมค่ ดิ อา าต พยาบาทปองรา้ ยผอู้ ่นื
๑๐ สมั มาทฏิ ฐิ มคี วามเหน็ ถกู ตอ้ งตามความเปน็ จรงิ (มคี วามหมาย
เดียวกบั ทฏิ ชุ กุ รรมในบุญกิริยาวัตถขุ อ้ ๑๐)
ขณะที่บุคคลก�าลังกระท�าบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่างใดอย่างหน่ึง
อยกู่ ด็ ี หรอื กา� ลงั กระทา� กศุ ลกรรมบถ ๑๐ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ อยกู่ ด็ ี จติ ทเี่ กดิ
ในขณะนั้น คอื มหากศุ ลจิตดวงใดดวงหนง่ึ ใน ๘ ดวงนั่นเอง
กามาวจรโสภณ ิจต ๒๔าก ล ลกั ะ ด ก่
กล่มุ ที่ ๑
มหากุศลจติ ๘
กลุ่มท่ี ๒
มหาวิปากจิต ๘
กลุ่มที่ ๓
มหากิรยิ าจติ ๘
จิตหมายเลข ๓๑ เป็นกุศลจิตท่ีเกิดข้ึนเองโดยไม่ต้องชักชวน
พร้อมด้วยความดใี จ ประกอบดว้ ยปัญญา (ดูภาพในหนา้ ๘๓)
จิตหมายเลข ๓๒ เป็นกุศลจิตท่ีเกิดขึ้นเพราะถูกชักชวน
พร้อมดว้ ยความดีใจ ประกอบด้วยปญั ญา
จิตหมายเลข ๓๓ เป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องชักชวน
พร้อมด้วยความดใี จ ไมป่ ระกอบดว้ ยปัญญา
จติ หมายเลข ๓๔ เปน็ กศุ ลจติ ทเี่ กดิ ขน้ึ เพราะถกู ชกั ชวน พรอ้ มดว้ ย
ความดใี จ ไมป่ ระกอบดว้ ยปญั ญา
จิตหมายเลข ๓๕ เป็นกุศลจิตท่ีเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องชักชวน
พรอ้ มดว้ ยความเฉย ๆ ประกอบด้วยปญั ญา
จติ หมายเลข ๓๖ เปน็ กศุ ลจติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะถกู ชกั ชวน พรอ้ มดว้ ย
ความเฉย ๆ ประกอบด้วยปัญญา
จิตหมายเลข ๓๗ เป็นกุศลจิตท่ีเกิดข้ึนเองโดยไม่ต้องชักชวน
พรอ้ มดว้ ยความเฉย ๆ ไมป่ ระกอบดว้ ยปัญญา
จติ หมายเลข ๓๘ เปน็ กศุ ลจติ ทเ่ี กดิ ขนึ้ เพราะถกู ชกั ชวน พรอ้ มดว้ ย
ความเฉย ๆ ไม่ประกอบด้วยปญั ญา
กุศลจิตท่ีเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องชักชวน (รวมถึงไม่ต้องชักชวน
ตนเองดว้ ย) จะมกี า� ลงั แรงกว่ากศุ ลจิตท่ีเกิดขึ้นเพราะถูกชักชวน
กุศลจิตท่เี กดิ พรอ้ มดว้ ยความดีใจ สุขใจ จะเกิดในขณะท่ที า� บุญ
ท�ากุศลแล้วเกิดความปลาบปลื้ม บางคร้ังอาจมีปีติเกิดร่วมด้วย กุศล
ลกั ษณะนจ้ี ะมกี า� ลงั แรงกวา่ การทา� บญุ ทา� กศุ ลทมี่ คี วามรสู้ กึ เฉย ๆ เพราะความ
รู้สึกเฉย ๆ ในมหากุศลจิตเกิดเพราะมีศรัทธาน้อย ก�าลังของกุศลจึงน้อย
ตามไปดว้ ย
ส�าหรับความหมายของค�าว่า “ประกอบด้วยปัญญา”๑๘ ในมหา
กุศลจิต หมายถึงปัญญาที่มีความเห็นถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ได้แก่
กัมมัสสกตาป า (กัม-มัด-สะ-กะ-ตา-ปัน-ยา) และวิปสสนาป า
(วิ-ปดั -สะ-นา-ปัน-ยา)
กัมมัสสกตาป า เป็นปัญญาที่รู้ว่าสัตว์ท้ังหลายมีกรรมเป็น
ของตนเอง รู้ว่าชาติหน้ามีจริง นรกสวรรค์มีจริง ชาตินี้ได้เกิดเป็นมนุษย์
แตช่ าติหนา้ อาจเกิดเป็นสตั วใ์ นอบายภมู ิอนั ไดแ้ ก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย
หรือสัตว์เดรัจฉานก็ได้ การรู้เร่ืองเหล่าน้ีจะเป็นเหตุให้เห็นทุกข์ เห็นโทษ
เห็นภยั ของการเวยี นวา่ ยตายเกิด ไมว่ ่าจะไปเกิดเป็นอะไรกม็ แี ตท่ กุ ข์ทง้ั สิ้น
๑๘ คา� วา่ “ประกอบดว้ ยปญั ญา” ภาษาธรรมะเรยี กวา่ าณสมั ปยตุ ต์ (ยา-นะ-สมั -ปะ-ยดุ )
คา� วา่ “ไมป่ ระกอบดว้ ยปญั ญา” ภาษาธรรมะเรยี กวา่ าณวปิ ปยตุ ต์ (ยา-นะ-วปิ -ปะ-ยดุ )
ดังน้ันในขณะท่ีท�าบุญ ให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนาก็จะตั้งเจตนา
เพอ่ื ลด-ละ-และท�าลายกิเลส คอื ตอ้ งการเปน็ ผู้ปราศจากกเิ ลสเพราะทราบดี
ว่าเม่ือท�าลายกิเลสได้หมดสิ้นแล้วจะเป็นเหตุให้หยุดการสืบต่อของขันธ์ ๕
คือไม่ต้องเวียนเกิด เวียนตาย ไม่มีภพใหม่ชาติใหม่อีกต่อไป บุญกุศล
ที่ท�าด้วยเจตนาเช่นน้ีจึงจะเป็นวิวัฏฏะกุศลหรือกุศลอันเป็นเหตุให้ตัดภพ
ตัดชาติ เป็นบุญกศุ ลทป่ี ระกอบด้วยปัญญาอยา่ งแท้จริง
วิปสสนาป า เป็นปัญญาที่ประจักษ์แจ้งว่าแท้จริงแล้วหาได้มี
สัตว์ มีบุคคล มีตัวตนแต่ประการใดไม่ สัตว์ท้ังหลายมีเพียงกายกับจิต
หรือรูปกับนามที่ท�างานร่วมกัน และเกิดดับ ๆ สืบต่อกันไปอย่างรวดเร็ว
รปู กบั นามมสี ภาพไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อนตั ตา หาสาระแกน่ สารและตวั ตน
มิได้ เป็นของน่ากลัวเพราะมีการแตกสลายอยู่ตลอดเวลา ท�าให้เห็นทุกข์
เห็นโทษของรูปนาม เกิดความเบื่อหน่ายและต้องการที่จะหนีให้พ้นไปจาก
รูปนาม วิปสสนา าณตังแต่ าณที่ ๑ จนถง าณที่ ๑๓ และ าณท่ี
๑๖ กคอวิปสสนาป าที่เกิดขน นมหากุศลจิตหมายเลข ๓๒ และ ๓๖
(จติ ทปี่ ระกอบดว้ ยวปิ สั สนาปญั ญา เปน็ จติ ทเี่ กดิ ขน้ึ เพราะถกู ชกั นา� จากสภาวะ
ของรูป-นามทีก่ า� ลังปรากฏอยู่ในขณะน้นั )
ต่อไปนี้จะยกตัวอย่างสภาวะของมหากุศลจิตท้ัง ๘ ลักษณะ
ให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะเรื่องน้ีมีความส�าคัญอย่างมาก หากท�าบุญอย่าง
ไมถ่ กู ตอ้ ง บญุ นน้ั จะเปน็ “วฏั ฏะกศุ ล” คอื เปน็ เหตใุ หจ้ มอยใู่ นวงั วนของการ
เวยี นว่ายตายเกิดอย่างไม่รจู้ กั จบจกั ส้ิน
ส า ะ อง าก ล งั้ นดงั น้
กศุ ล ไม่ตอ้ งชักชวน กุศล ถูกชกั ชวน กุศล ไมต่ ้องชกั ชวน กศุ ล ถกู ชกั ชวน
ดใี จ ดีใจ
ดีใจ + ปญั ญา ดีใจ + ปญั ญา
กศุ ล ไม่ตอ้ งชักชวน กุศล ถูกชักชวน กุศล ไม่ต้องชกั ชวน กุศล ถกู ชักชวน
เฉย ๆ เฉย ๆ
เฉย ๆ + ปัญญา เฉย ๆ + ปญั ญา
จิตหมายเลข ๓๑ เป็นกุศลจิตท่ีเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องชักชวน
พรอ้ มดว้ ยความดีใจ ประกอบดว้ ยปัญญา เชน่ ทนั ทีทเ่ี หน็ ศาลาการเปรยี ญ
ซึ่งเป็นสถานท่ีท่ีชาวบ้านมาท�าบุญเลี้ยงพระ มาฟังเทศน์ มาถือศีลอุโบสถ
มีสภาพช�ารุดทรุดโทรมจนเกรงว่าจะเกิดอันตราย จึงเข้าไปกราบเรียน
ท่านเจ้าอาวาสเพ่ือขอเป็นเจ้าภาพในการซ่อมแซมใหม่ทั้งหลัง ในขณะที่
เจา้ อาวาสกา� ลงั กลา่ วอนโุ มทนาอยนู่ นั้ ไดเ้ กดิ ปตี ิ (ขนลกุ ชชู นั ไปทงั้ ตวั ) ในใจ
กต็ งั้ ความปรารถนาใหเ้ ขา้ ถงึ มรรค-ผล-นพิ พาน โดยเรว็ พลนั (ไมอ่ ยากเกดิ อกี )
เพราะเห็นว่าการเกดิ เปน็ ทกุ ข์ ณ ขณะนัน้ มหากศุ ลจติ หมายเลข ๓๑ ก�าลัง
ท�าหน้าทโ่ี ดยเกิดดับ - เกดิ ดบั ...อยู่ในใจของบุคคลผู้นน้ั
จติ หมายเลข ๓๒ เปน็ กศุ ลจติ ทเี่ กดิ ขน้ึ เพราะถกู ชกั ชวน พรอ้ มดว้ ย
ความดีใจ ประกอบด้วยปัญญา เช่น มีผู้น�าซองผ้าปามาแจกเพ่ือน�าปัจจัย
ไปสร้างอาคารเรียนให้แก่โรงเรียนในถ่ินทุรกันดารแห่งหน่ึง ในขณะที่
น�าเงินใส่ซองได้เกดิ ความคิดขึ้นว่า นอกจากจะชว่ ยใหเ้ ดก็ ๆ มที ี่เรียนแล้ว
ยังดีใจทสี่ ามารถเอาชนะความตระหนถ่ี เี่ หนียวได้อีกครงั้ พร้อมทง้ั ต้ังความ
ปรารถนาใหต้ นเองสามารถลด ละ และทา� ลายกเิ ลส เพอื่ เขา้ ถงึ ความพน้ ทกุ ข์
คือพระนิพพานได้โดยเร็วไว ขณะเดียวกันอาการขนลุกชูชัน (ปีติ) ก็
บังเกิดขึ้น ณ ขณะน้ัน มหากุศลจิตหมายเลข ๓๒ ก�าลังท�าหน้าที่โดย
เกิดดับ - เกิดดับ อยใู่ นใจของบุคคลน้นั
จิตหมายเลข ๓๓ เป็นกุศลจิตท่ีเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องชักชวน
พรอ้ มดว้ ยความดใี จ ไมป่ ระกอบดว้ ยปญั ญา เชน่ ขณะทกี่ า� ลงั ทา� บญุ ตกั บาตร
ด้วยจิตที่ร่าเริงเบิกบานใจก็ตั้งความปรารถนาให้เกิดมารวย ให้เกิดมาสวย
ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ปราศจากความจนในทุกภพทุกชาติตลอดไป
ความปรารถนาเช่นนี้เป็น “วัฏฏะกุศล” คือกุศลท่ีจะส่งผลให้เวียนว่าย
ตายเกิดในสังสารวัฏเพราะขณะท�าบุญได้ต้ังความปรารถนาว่าต้องการ
จะเกิดเป็นอย่างน้ันอย่างนี้ ท�าให้ติดอยู่ในวังวนของสังสารวัฏต่อไป
การท�าบุญเช่นน้ีถือว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา ณ ขณะนั้นมหากุศลจิต
หมายเลข ๓๓ ก�าลงั ทา� หน้าทีโ่ ดยเกดิ ดบั - เกิดดับ อยใู่ นใจของบุคคลน้นั
จิตหมายเลข ๓๔ เป็นกุศลจิตที่เกิดข้ึนเพราะถูกชักชวน
พร้อมด้วยความดีใจ ไม่ประกอบด้วยปัญญา เช่น เพ่ือนมาชวนไปถือศีล
อุโบสถท่ีวัดทุกวันพระ โดยแนะน�าว่าทุกคร้ังท่ีไปถือศีลอุโบสถให้อธิษฐาน
ว่าเมื่อตายแล้วขอให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ ในขณะท่ีต้ังจิตอธิษฐานอยู่นั้น
ได้เกดิ ปีติ (ขนลกุ ไปทงั้ ตวั ) ณ ขณะนน้ั มหากุศลจิตหมายเลข ๓๔ ก�าลัง
ท�าหน้าท่ีโดยเกดิ ดับ - เกิดดับ อยูใ่ นใจของบคุ คลนน้ั
สาเหตทุ ไี่ ม่มปี ญั ญาเขา้ ประกอบเพราะการปรารถนามนุษย์สมบัติ
ก็ดี สวรรค์สมบัติก็ดี ถือว่ายังยินดีท่ีจะเกิดมารับผลของบุญคือต้องการ
จะมภี พชาติอีกตอ่ ไปซ่งึ เปน็ “วัฏฏะกศุ ล”
จิตหมายเลข ๓๕ เป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องชักชวน
พร้อมด้วยความเฉย ๆ ประกอบด้วยปัญญา เช่น ตั้งใจด้วยตนเองว่า
จะรกั ษาศลี ๕ ไปตลอดชวี ติ เพอื่ เปน็ พนื้ ฐานในการปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน
เพราะเข้าใจดีว่า พระนพิ พาน คอื สภาวะทป่ี ราศจากกเิ ลส ปราศจากขนั ธ์ ๕
ปราศจากทุกข์ ผู้ที่จะเข้าถึงได้จะต้องปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ
ศลี สมาธิ ปัญญา ดงั นนั้ จึงตอ้ งเร่ิมจากความเปน็ ผ้มู ศี ีลเสยี ก่อน ขณะที่มี
สติระลึกได้เช่นน้ี ขณะนั้นมหากุศลจิตหมายเลข ๓๕ ก�าลังท�าหน้าท่ี
โดยเกิดดับ - เกิดดับ อยู่ในใจของบคุ คลนน้ั
จติ หมายเลข ๓๖ เปน็ กศุ ลจติ ทเ่ี กดิ ขนึ้ เพราะถกู ชกั ชวน พรอ้ มดว้ ย
ความรู้สึกเฉย ๆ ประกอบด้วยปัญญา เช่น ไปเข้าคอร์สปฏิบัติวิปัสสนา
กรรมฐานทสี่ า� นกั วปิ สั สนาแหง่ หนง่ึ ยา่ งเขา้ วนั ท่ี ๕ ขณะกา� ลงั เดนิ จงกรมอยนู่ นั้
จติ เหน็ แจง้ ขนึ้ เองวา่ อาการเดนิ กบั จติ ทร่ี อู้ าการเดนิ เปน็ คนละสว่ นกนั (วปิ สั สนา
ญาณขั้นท่ี ๑ คือ นามรูปปริจเฉทญาณก�าลังเกิดข้ึน) จิตท่ีประกอบด้วย
วปิ สั สนาญาณ (วปิ สั สนาปญั ญา) คอื มหากศุ ลจติ หมายเลข ๓๖ นนั่ เอง โดยมี
สภาวะของรปู - นามมาชกั นา� ใหเ้ กดิ วปิ สั สนาปญั ญาวา่ แทจ้ รงิ แลว้ องคป์ ระกอบ
ของชวี ติ กม็ เี พยี งรปู กบั นามทที่ า� งานรว่ มกนั ทงั้ รปู และนามมกี ารเกดิ ดบั สบื ตอ่
อยู่ตลอดเวลาโดยปราศจากความเป็นสัตว์ บคุ คลตัวตน ตามท่ีหลงผดิ
จิตหมายเลข ๓๗ เป็นกุศลจิตท่ีเกิดขึ้นโดยไม่ต้องชักชวน
พร้อมด้วยความเฉย ๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา เช่น ลุงมีจะต่ืนตี ๕
เพอ่ื มานง่ั สมาธทิ ุกวัน วนั ละ ๓๐ นาที โดยมีเปาหมายอยากได้ฌานสมาบตั ิ
เพอื่ ไปเกดิ ในพรหมโลก ขณะทลี่ งุ มนี งั่ สมาธแิ ละมสี ตติ ามรลู้ มหายใจอยนู่ นั้
มหากุศลจิตหมายเลข ๓๗ ก�าลังท�างาน ซ่ึงก็เป็นเพียง “วัฏฏะกุศล”
เพราะถงึ แมว้ า่ ในทสี่ ดุ จะไดฌ้ านสมาบตั ิ (ภาวนาจนทา� ใหฌ้ านจติ เกดิ ขนึ้ ได)้
เม่ือตายจากชาติน้ีแล้วก็ต้องไปเกิดในพรหมโลก หมดอายุจากพรหมโลก
ก็ต้องเวียนเกิดเวียนตาย ในสังสารวัฏต่อไป ยังมิใช่หนทางที่น�าไปสู่ความ
พน้ ทกุ ข์อย่างแทจ้ รงิ
จติ หมายเลข ๓๘ เปน็ กศุ ลจติ ทเี่ กดิ ขนึ้ จากการชกั ชวน พรอ้ มดว้ ย
ความเฉย ๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา เช่น นายมาเป็นคนสุขุม ย้ิมยาก
เม่อื ถงึ วันคล้ายวนั เกดิ ของเขา ภรรยาได้ชวนไปไถช่ วี ติ โคกระบือ และยังได้
แนะน�าให้ต้ังจิตอธิษฐานขออ�านาจแห่งบุญน้ีจงดลบันดาลให้ประสบ
แตค่ วามสขุ ปราศจากทกุ ขโ์ ศกโรคภยั ทงั้ ปวง มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งทางธรุ กจิ
ท�ามาค้าขายเ ง ๆ รวย ๆ ตลอดไป ณ ขณะที่นายมามีจิตเป็นกุศลช่วย
ไถ่ชวี ติ โค (โดยการชักชวนของภรรยา) เขามีความร้สู ึกเฉย ๆ และไดต้ ั้งจติ
อธษิ ฐานตามทภ่ี รรยาแนะนา� ขณะนนั้ มหากศุ ลจติ หมายเลข ๓๘ กา� ลงั ทา� งาน
ในลักษณะเกิดดับ - เกิดดบั อยูภ่ ายในใจของเขา แต่เน่อื งจากสง่ิ ทีน่ ายมา
ปรารถนาล้วนเป็นโลกียสมบัติท้ังสิ้น ซึ่งจะเป็นเหตุให้นายมาต้องจม
อยใู่ นวงั วนแหง่ การเวยี นวา่ ยตายเกดิ อกี ตอ่ ไป จงึ ถอื วา่ บญุ ครง้ั นไ้ี มม่ ปี ญั ญา
เขา้ ประกอบ
จติ ทม่ี กี ารชกั ชวน นอกจากจะถกู ชกั ชวนโดยบคุ คลอนื่ แลว้ ตนเอง
ก็สามารถชักชวนตนเองได้ ด้วยการนึกคิดไตร่ตรองในเหตุการณ์น้ัน ๆ
กอ่ นตดั สนิ ใจทจี่ ะกระทา� ตวั อยา่ งเชน่ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ไดย้ นิ เสยี งระ งั ปลกุ ตอน
ตสี เ่ี พอื่ ใหไ้ ปสวดมนตท์ า� วตั รเชา้ ในโบสถ์ แตเ่ พราะความเกยี จครา้ นครอบงา�
จึงคิดว่าวันนี้ขอไม่ไปสวดมนต์ท�าวัตรเช้าสักวันเถิด แต่เม่ือนึกไตร่ตรอง
ทบทวนกลับไปกลับมาเห็นว่าการไม่ไปนั้นเป็นการไม่สมควรแก่ผู้เป็นภิกษุ
ในทสี่ ดุ จงึ ตัดสนิ ใจไปสวดมนต์ท�าวัตรเช้าตามปกติ
กุศลกรรมทังหลาย มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ที่มุ่งตรง
ตอ่ การลดกเิ ลส ละกิเลส ท�าลายกิเลส อันเปน็ เหตุ หพนจากการเวียนเกดิ
เวยี นตาย คอ มม่ ขี นั ธ์ ๕ อกี ตอ่ ป (พระนพิ พาน) เรยี กวา่ ตเิ หตกุ กศุ ลกรรม
ซ่ึงเป็นกุศลกรรมที่ประกอบด้วยเหตุ ๓ อันได้แก่ อโลภเหตุ (ไม่โลภ)
อโทสเหตุ (ไม่โกรธ) และอโมหเหตุ (ไม่หลงผิด คอื มีปญั ญาเข้าประกอบ)
การบริจาคทาน รักษาศีล และการเจริญภาวนาท่ีมีปัญญา
เข้าประกอบจะท�าให้รู้เหตุ รู้ผล รู้วิธีวางใจ และตั้งความปรารถนาได้
ถูกต้อง เป็นกุศลที่มีผลมาก มีอานิสงส์มากเพราะเป็น วิวัฏฏะกุศล
คอเปน็ กศุ ล ทจ่ี ะนา� พา หพนจากวฏั ฏะหรอการเวยี นเกดิ เวยี นตาย ด นทส่ี ดุ
ผทู้ ม่ี ปี ญั ญายอ่ มรวู้ า่ กเิ ลสและกรรม (ทงั้ กรรมดแี ละกรรมชวั่ ) เปน็ เหตุ
ให้มีการเวียนเกิดเวียนตายอย่างไม่รู้จักจบส้ิน เม่ือมีเกิดก็ต้องมีทุกข์
เปน็ ธรรมดา การทจ่ี ะพ้นทกุ ข์ได้คือต้องไม่เกดิ อกี (ไม่มขี ันธ์ ๕ อีกต่อไป)
ดังน้ันในการท�ากุศลทุกครั้งจะต้องวางใจให้ถูกและรู้ว่าท�าเพ่ือลดกิเลส
ละกเิ ลส ทา� ลายกเิ ลส โดยมมี รรค - ผล - นพิ พานเปน็ เปาหมาย หากมปี ญั ญา
อย่างน้ีทุกคร้ังท่ีท�าบุญท�ากุศล ปัญญาน้ีก็จะสนับสนุนให้ใกล้พระนิพพาน
เข้าไปทกุ ขณะ
สว่ นกุศลกรรม ด ที่ ม่มีป าดงั กลา่ วขางตน กศุ ลกรรมนนั
เรียกว่า ทวิเหตุกกุศลกรรม เป็นกุศลกรรมท่ีประกอบด้วยอโลภเหตุ
(ไม่โลภ) และอโทสเหตุ (ไมโ่ กรธ) เพียง ๒ เหตุเท่านั้น แต่ไมม่ ีอโมหเหตุ
(ไม่มีปัญญาเข้าประกอบ) ตัวอย่างเช่น การท�าบุญให้ทาน การรักษาศีล
หรือการเจริญภาวนาท่ีปฏิบัติตาม ๆ กันมาโดยไม่ประกอบด้วยปัญญา
คอื มีแต่ศรทั ธาเป็นตัวน�าเท่าน้ันจึงไมเ่ ป็นเหตใุ ห้พ้นไปจากวฏั ฏทุกขไ์ ด้
การท�ากุศลใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นติเหตุกกุศล หรือ ทวิเหตุกกุศล
ก็ตาม ความส�าเร็จแห่งบุญจะมีมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับเจตนาในกาล
ทัง้ ๓ ไดแ้ ก่
๑ ปุพพเจตนา คือ เจตนาทเ่ี กิดข้นึ ก่อนท�ากศุ ล
๒ มุ จนเจตนา คอื เจตนาทเ่ี กดิ ขนึ้ ในขณะกา� ลังทา� กศุ ล
๓ อปรเจตนา คือ เจตนาทเ่ี กิดข้ึนภายหลงั จากการทา� กศุ ลแล้ว
การสร้างกุศลต่าง ๆ มที าน ศลี ภาวนา เป็นต้น จะเป็นก่อนท�าก็ดี
ขณะทา� กด็ ี หรอื ภายหลงั จากทท่ี า� แลว้ กด็ ี หากไมม่ อี กศุ ลใด ๆ เขา้ แทรกแซง
ท�าด้วยความเต็มใจ แน่วแน่ ไม่ท้อถอยต่อความล�าบากเหน็ดเหน่ือย
มีกุศลเจตนาที่บริสุทธ์ิในกาลท้ัง ๓ ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล
ที่กระท�าน้ันจัดเป็นกุศลชันสูง (อุกกัฏฐกุศล) ถ้ากุศลนั้นเป็นติเหตุกกุศล
ดว้ ย เรยี กวา่ ตเิ หตกุ อกุ กฏั ฐกศุ ล แตถ่ า้ กศุ ลนนั้ เปน็ ทวเิ หตกุ กศุ ลกจ็ ะเรยี กวา่
ทวเิ หตุกอกุ กฏั ฐกศุ ล
ติเหตกุ กศุ ล + กุศลชน้ั สูง (อกุ กัฏฐกศุ ล) ตเิ หตกุ อุกกฏั ฐกุศล
ทวเิ หตุกกศุ ล + กศุ ลช้นั สูง (อุกกฏั ฐกศุ ล) ทวเิ หตุกอกุ กฏั ฐกศุ ล
ติเหตุกอุกกัฏฐกุศล จะน�าเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาชั้นสูง
และสามารถทา� มรรค ผล นพิ พาน ฌานสมาบัติ ให้เกดิ ขนึ้ ได้
ทวิเหตุกอุกกัฏฐกุศล จะน�าเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาชั้นกลาง
ไม่สามารถทา� มรรค ผล นพิ พาน ฌานสมาบัติ ให้เกิดข้นึ ได้
หากมีอกุศลเข้าแทรกแซงในระหว่างการท�ากุศล เช่น เกิดความ
เสียดายในทรัพย์ (เกิดมัจฉริยะ) หรือท�าบุญเพ่ือหวังถูกลอตเตอร่ี
(เกิดโลภะ) หรือเห็นพระภิกษุที่มารับบิณ บาตมีท่าทางไม่ส�ารวมก็เกิด
ความไมพ่ อใจ (เกิดโทสะ) หรอื ท�ากุศลเพราะถกู บงั คบั (เกดิ โทสะ) ทา� บญุ
เพือ่ แข่งกบั เขา หรือหวังประโยชนส์ ่วนตัวทางโลก (เกิดโลภะ) กเ็ ป็นเหตุให้
กศุ ลเจตนาในกาลท้งั ๓ ไมบ่ รสิ ุทธิ์ บญุ กุศลทกี่ ระท�านั้นจดั เปน็ กุศลชนั ต่�า
(โอมกกุศล) ถ้ากุศลนั้นเป็นติเหตุกกุศลด้วยจะเรียกว่า ติเหตุกโอมกกุศล
แตถ่ ้ากุศลนนั้ เป็นทวิเหตกุ กุศลก็จะเรียกว่า ทวิเหตุกโอมกกุศล
ติเหตกุ กศุ ล + กศุ ลชน้ั ตา่� (โอมกกุศล) ติเหตกุ โอมกกศุ ล
ทวิเหตกุ กุศล + กศุ ลชนั้ ตา�่ (โอมกกุศล) ทวิเหตกุ โอมกกศุ ล
ติเหตุกโอมกกุศล จะน�าเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาช้ันกลาง และ
ไม่สามารถท�ามรรค ผล นพิ พาน ฌานสมาบตั ิ ให้เกดิ ขนึ้ ได้ (เชน่ เดยี วกับ
ทวเิ หตกุ อกุ กัฏฐกศุ ล)
ทวเิ หตกุ โอมกกศุ ล จะนา� เกดิ เปน็ มนษุ ยท์ มี่ รี า่ งกายไมส่ มประกอบ
เชน่ เปน็ ใบ้ เปน็ บา้ ตาบอด หหู นวก หรอื ปญั ญาออ่ นแตก่ า� เนดิ เปน็ ตน้ หรอื
เกดิ เป็นเทวดาชั้นต�่ากไ็ ด้
การให้ผลของ “อุกกัฏฐกุศล” ย่อมให้ผลที่ดีและประณีตกว่า
“โอมกกศุ ล” ดงั นนั้ การทา� กศุ ลทกุ ครง้ั จงึ ควรรกั ษาเจตนาใหบ้ รสิ ทุ ธทิ์ ง้ั ๓ กาล
ดว้ ยเหตผุ ลดังกล่าวมาแล้ว
สรปุ มหากศุ ลจติ ๘ เปน็ จติ ทด่ี งี าม (โสภณจติ ) เปน็ จติ ทเี่ กดิ ขนึ้
ในขณะท�าบญุ ทา� กศุ ล ไม่มีโทษ ใหผ้ ลเปน็ ความสุข เป็นเหตใุ หไ้ ปเกดิ ใหม่
ในภพภูมิท่ีดี (สุคติภูมิ ๗ อันได้แก่ มนุษยภูมิ ๑ และเทวภูมิ ๖)
หลงั จากเกดิ แลว้ ยงั ตามสง่ ผลใหไ้ ดร้ บั อารมณท์ างตา หู จมกู ลน้ิ กาย ทดี่ ี ๆ
อกี ด้วย
นอกจากน้ี ในภพปจั จบุ ัน มหากศุ ลจติ ๘ ยงั เปน็ ต้นทางของฌาน
สมาบตั ิ อภญิ ญา (การแสดงฤทธติ์ า่ ง ๆ) มรรค ผล เพราะกอ่ นทฌี่ าน อภญิ ญา
มรรคผล จะเกดิ ขนึ้ ได้นั้น จะตอ้ งมีมหากศุ ลจติ เกิดข้นึ ก่อนเสมอ มหากุศล
จิตจึงเปรียบเสมือนผู้น�าทาง หรือเป็นบาทเบ้ืองต้นท่ีท�าให้ฌาน อภิญญา
และมรรคผล เกดิ ขึ้นได้
กามาวจรโสภณ ิจต ๒๔กล่ า าก
มหาวิปากจิตหรอมหาวิบากจิต คอจิตที่เป็น ลของมหากุศล...
ท�าบุ ดวยมหากุศลจิตดวง ดกจะ ดมหาวิปากจิตท่ีมีลัก ณะตรงกัน
ทกุ ประการ เช่น ทา� บุญด้วยมหากุศลทพ่ี ร้อมดว้ ยความดีใจกจ็ ะใหผ้ ลเป็น
มหาวิปากจิตท่ีพร้อมด้วยความดีใจ ท�าบุญด้วยมหากุศลท่ีประกอบด้วย
ปญั ญาก็จะให้ผลเปน็ มหาวิปากจติ ทีพ่ ร้อมด้วยปัญญาเช่นกนั
มหากศุ ลจติ ๘ เปน็ เหตุ มหาวปิ ากจติ ๘ เปน็ ผล
กลมุ่ ที่ ๑
มหากศุ ลจติ ๘
กลุ่มท่ี ๒
มหาวิปากจติ ๘
กลมุ่ ที่ ๓
มหากริ ิยาจติ ๘
จติ หมายเลข ๓๙ เปน็ วบิ ากจติ ...อนั เปน็ ผลจากมหากศุ ลจติ หมายเลข ๓๑
ที่เกิดขึน้ เองโดยไมต่ อ้ งชกั ชวน พร้อมดว้ ยความดใี จ ประกอบด้วยปัญญา
จติ หมายเลข ๔๐ เปน็ วบิ ากจติ ...อนั เปน็ ผลจากมหากศุ ลจติ หมายเลข ๓๒
ที่เกดิ ขึ้นเพราะถกู ชกั ชวน พรอ้ มด้วยความดใี จ ประกอบดว้ ยปญั ญา
จติ หมายเลข ๔๑ เปน็ วบิ ากจติ ...อนั เปน็ ผลจากมหากศุ ลจติ หมายเลข ๓๓
ทเ่ี กดิ ขน้ึ เองโดยไมต่ อ้ งชกั ชวน พรอ้ มดว้ ยความดใี จ ไมป่ ระกอบดว้ ยปญั ญา