The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่มที่ ๑

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by warayut, 2020-11-25 03:53:33

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่ม ๑

พระอภิธรรมใครว่ายาก เล่มที่ ๑



๑ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา คือ ผู้ส�าเร็จเป็นพระอรหันต์
โดยการตรสั รดู้ ว้ ยพระองค์เองและสอนผู้อน่ื ให้รตู้ ามได้

๒ พระปจเจกพทุ ธเจา คอื ผสู้ า� เรจ็ เปน็ พระอรหนั ตโ์ ดยการตรสั รู้
ด้วยพระองคเ์ อง แต่สอนผอู้ ื่นใหร้ ู้ตามไมไ่ ด้

๓ พระอรหันตสาวก คือ ผู้ส�าเร็จเป็นพระอรหันต์โดยการรู้แจ้ง
เพราะปฏบิ ตั ติ ามคา� สอนขององคพ์ ระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระอรหันตสาวกแบ่งตามความสามารถ ด ๓ ประเภท คอ

๓ ๑ ปกติสาวก หมายถึง พระสาวกหรือพระอรหันตท์ วั่ ไป
๓ ๒ มหาสาวก หมายถึง พระสาวกผู้ใหญ่ผู้ใกล้ชิด
พระพุทธเจ้า ๘๐ รูป และส่วนมากจะได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะ
(มคี วามเป็นเลศิ ในดา้ นตา่ ง ๆ)
๓ ๓ อัครสาวก หมายถึง อัครสาวกเบ้ืองขวาและเบื้องซ้าย
ซึ่งในพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมนี้ อัครสาวกเบ้ืองขวา คือ
พระสารบี ุตร และอคั รสาวกเบื้องซา้ ย คอื พระโมคคลั ลานะ

หากแบ่งประเภทพระอรหันต์ดวยวิธีการบรรลุมรรค ลจะแบ่ง ดเป็น ๒
ประเภท คอ

๑ พระอรหันต์ประเภทป าวิมุตติ หมายถึง พระอรหันต์
ที่ไม่ได้ฌาน กล่าวคือไม่เคยเจริญสมถภาวนาหรือไม่เคยท�าฌานมาก่อน
ท่านเจริญวิปัสสนาภาวนาแต่เพียงอย่างเดียวจนบรรลุอรหัตตมรรค
อรหตั ตผล เรยี กอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ สกุ ขวปิ สสก (สกุ -ขะ-ว-ิ ปดั -สะ-กะ) แปลวา่
ผเู้ หน็ แจง้ อยา่ งแหง้ แลง้ หรอื วปิ สสนายานกิ (ว-ิ ปดั -สะ-นา-ยา-น-ิ กะ) แปลวา่
ผมู้ วี ปิ ัสสนาลว้ น ๆ เปน็ ยาน (เปน็ เครือ่ งนา� ไป)

โล ุกตตร ิจต ๘ (๔๐)๒ พระอรหันต์ประเภทเจโตวิมุตติ หมายถึง ผู้ส�าเร็จเป็น
พระอรหันต์โดยใช้ฌานเป็นบาท (เป็นทางด�าเนิน) ในการเจริญวิปัสสนา
ผล ิจต ๔ ( ๒๐ ) มรรค ิจต ๔ ( ๒๐ )ภาวนาจนบรรลอุ รหัตตมรรค อรหัตตผล เรยี กอีกอยา่ งหน่งึ วา่ สมถยานิก
(สะ-มะ-ถะ-ยา-นิ-กะ) แปลว่า ผู้มีสมถะเป็นยาน คือท่านท่ีเจริญสมถะ
จนไดฌ้ านสมาบตั แิ ลว้ จงึ นา� ฌานทไี่ ดม้ าใชใ้ นการเจรญิ วปิ สั สนาตอ่ จนสา� เรจ็
เป็นพระอรหนั ต์

า อง ลก ร รอ

โสดาปัตติมรรคจติ ๑ หรอื ๕

สกทาคามิมรรคจิต ๑ หรือ ๕

อนาคามมิ รรคจิต ๑ หรือ ๕

อรหตั ตมรรคจิต ๑ หรอื ๕

โสดาปัตติผลจติ ๑ หรอื ๕

สกทาคามิผลจติ ๑ หรือ ๕

อนาคามผิ ลจติ ๑ หรือ ๕

อรหัตตผลจิต ๑ หรอื ๕

ตามทท่ี ราบแลว้ วา่ ผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื บรรลมุ รรค - ผลมอี ยู่ ๒ ประเภท คอื
๑. ผู้ท่ีไม่เคยเจริญสมถภาวนามาก่อนและมาเร่ิมเจริญวิปัสสนา
โดยใชป้ ญั ญาลว้ น ๆ จนเป็นพระอริยบุคคล (พระโสดาบนั พระสกทาคามี
พระอนาคามี และพระอรหันต์) โลกุตตรจิตจึงมเี พียง ๘ ดวง คือ มรรคจติ
๔ ดวง และผลจติ ๔ ดวง ทีเ่ กดิ พร้อมดว้ ยปฐมฌาน

๒. ผู้ท่ีเจริญสมถภาวนาจนได้ฌานแล้ว เป็นฌานลาภีบุคคล
(บุคคลผู้ได้ฌาน) และน�าฌานท่ีได้มาใช้ในการเจริญวิปัสสนาจนเป็น
พระอรยิ บคุ คล (พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ต)์
โลกตุ ตรจิตจงึ มีถงึ ๔๐ ดวง เปน็ มรรคจติ ๒๐ ดวง และผลจิตอกี ๒๐ ดวง
ด้วยเหตุผลดงั น้ี

านลาภีบุคคลทีเ่ จริ วปิ สสนาจน ดมรรค- ลนัน มวี ธิ ปี ฏบิ ตั ิ ๒ วธิ ี คอ

วิธีที่ ๑ ชการเขา านเป็นบาทเบองตน นการเจริ วิปสสนา
กล่าวคอื ก่อนที่ฌานลาภีบุคคลจะเจรญิ วิปัสสนาภาวนาน้ัน ทา่ นจะเขา้ ฌาน
ก่อน จะเป็นฌานระดับใดก็ได้เพื่อให้เกิดสมาธิท่ีมีก�าลัง ฌานที่เข้าก่อนนี้
เรียกวา่ ปาทก าน (ปา-ทะ-กะ-ชาน) ต่อจากน้ันทา่ นจะออกจากปาทกฌาน
แล้วจึงพจิ ารณารปู นาม (กาย กบั จติ ) โดยความเปน็ อนจิ จงั ทุกขงั อนัตตา
จนเหน็ แจ้งไตรลกั ษณ์และบรรลมุ รรค - ผลในทส่ี ดุ

๑. หากอาศยั ปฐมฌาน ปฐมฌาน ปฐมฌานโสดาปัตติมรรคจิต
เปน็ ปาทกฌาน มรรคจติ ปฐมฌานสกทาคามมิ รรคจิต
มรรค - ผลทเี่ กดิ ขึ้น คอื ปฐมฌานอนาคามมิ รรคจติ
ปฐมฌาน ปฐมฌานอรหัตตมรรคจิต
ผลจิต ปฐมฌานโสดาปัตติผลจติ
ปฐมฌานสกทาคามผิ ลจิต
ปฐมฌานอนาคามิผลจิต
ปฐมฌานอรหตั ตผลจติ

๒. หากอาศัยทุติยฌาน ทุติยฌาน ทุตยิ ฌานโสดาปัตติมรรคจติ
เป็นปาทกฌาน มรรคจติ ทตุ ยิ ฌานสกทาคามมิ รรคจิต
มรรค - ผลท่ีเกดิ ขน้ึ คอื ทตุ ยิ ฌานอนาคามิมรรคจติ
ทตุ ิยฌาน ทุตยิ ฌานอรหตั ตมรรคจติ
ผลจิต ทตุ ิยฌานโสดาปัตตผิ ลจิต
ทตุ ยิ ฌานสกทาคามผิ ลจติ
ทตุ ยิ ฌานอนาคามผิ ลจติ
ทุตยิ ฌานอรหัตตผลจติ

๓. หากอาศัยตตยิ ฌาน ตติยฌาน ตตยิ ฌานโสดาปตั ติมรรคจติ
เป็นปาทกฌาน มรรคจิต ตตยิ ฌานสกทาคามมิ รรคจิต
มรรค - ผลทเี่ กิดข้นึ คือ ตตยิ ฌานอนาคามิมรรคจิต
ตตยิ ฌาน ตตยิ ฌานอรหตั ตมรรคจติ
ผลจิต ตติยฌานโสดาปตั ติผลจิต
ตตยิ ฌานสกทาคามผิ ลจิต
ตตยิ ฌานอนาคามผิ ลจิต
ตตยิ ฌานอรหตั ตผลจติ

๔. หากอาศยั จตตุ ถฌาน จตุตถฌาน จตตุ ถฌานโสดาปตั ติมรรคจติ
เป็นปาทกฌาน มรรคจติ จตุตถฌานสกทาคามิมรรคจติ
มรรค - ผลทเี่ กดิ ข้ึน คือ จตุตถฌานอนาคามิมรรคจติ
จตุตถฌาน จตตุ ถฌานอรหตั ตมรรคจิต
ผลจติ จตตุ ถฌานโสดาปัตตผิ ลจติ
จตุตถฌานสกทาคามผิ ลจิต
จตตุ ถฌานอนาคามผิ ลจิต
จตตุ ถฌานอรหัตตผลจติ

ปัญจมฌาน ปัญจมฌานโสดาปตั ติมรรคจติ
มรรคจติ ปัญจมฌานสกทาคามิมรรคจิต
๕. หากอาศยั ปัญจมฌาน ปญั จมฌานอนาคามิมรรคจิต
เป็นปาทกฌาน ปัญจมฌานอรหัตตมรรคจติ
มรรค - ผลที่เกดิ ข้นึ คอื ปัญจมฌานโสดาปัตติผลจิต
ปัญจมฌานสกทาคามผิ ลจิต
ปญั จมฌาน ปัญจมฌานอนาคามิผลจิต
ผลจติ ปญั จมฌานอรหตั ตผลจิต

วิธีที่ ๒ ฌานลาภีบุคคลผู้เจริญวิปัสสนาจะต้องน�า านที่
ตนเคย ดมาแลว จะเป็น านระดับ ดกตามมาพิจารณาองค์ านโดย

ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะเข้าฌานก่อนก็ได้หรือจะไม่เข้าฌาน
กอ่ นก็ได้ ทั้งน้ีจะไม่ถือการเข้าฌานเปน็ ส�าคัญ แต่ถอการพจิ ารณาองค์ าน
เป็นส�าคั เช่น เข้าปัญจมฌานแล้วออกจากปัญจมฌานเพ่ือมาพิจารณา
ความเปน็ อนจิ จัง ทุกขงั อนัตตาขององคฌ์ านในตติยฌาน มรรคจิตและผล
จติ ท่เี กดิ ข้ึนก็เป็นตติยฌานมรรคจิตและตติยฌานผลจิต (มใิ ช่ปัญจมฌาน
มรรคจติ และปญั จมฌานผลจติ ) ในทา� นองเดยี วกนั หากเขา้ จตตุ ถฌานแลว้
ออกจากจตุตถฌานเพื่อไปพิจารณาองค์ฌานในปัญจมฌาน มรรคจิตและ
ผลจติ ที่เกดิ ขึน้ กเ็ ปน็ ปัญจมฌานมรรคจติ และปัญจมฌานผลจิต

การพิจารณาองค์ฌาน ถ้าเป็นฌานต�่า ๆ จะพิจารณาปีติเพราะ
ปรากฏชดั ถา้ เปน็ ฌานสงู ๆ จะพจิ ารณาอเุ บกขา สา� หรบั ทา่ นท่ี ดอรปู าน ๔
ระดับ ดกตาม จะถอเสมอนเป็น านจิต นระดับป จม านเพราะ

อรูป านทัง ๔ มอี งค์ านเช่นเดยี วกับป จม านทกุ ประการ

ด้วยเหตุที่มีฌานทั้ง ๕ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน

จตุตถฌาน และปญั จมฌานเข้ามาเกีย่ วข้องดว้ ย ดังนนั้

โสดาปัตติมรรคจติ ของฌานลาภีบคุ คลจึงมีจ�านวน ๕ ดวง รวมเป็น
สกทาคามมิ รรคจิตของฌานลาภีบุคคลจึงมจี �านวน ๕ ดวง มรรคจิต
อนาคามิมรรคจิตของฌานลาภบี คุ คลจึงมจี า� นวน ๕ ดวง ๒๐ ดวง
อรหัตตมรรคจิตของฌานลาภบี คุ คลจึงมีจา� นวน ๕ ดวง

โสดาปัตติผลจติ ของฌานลาภีบคุ คลจึงมจี �านวน ๕ ดวง รวมเป็น
สกทาคามผิ ลจติ ของฌานลาภบี คุ คลจึงมีจ�านวน ๕ ดวง ลจติ
อนาคามิผลจติ ของฌานลาภีบุคคลจึงมีจา� นวน ๕ ดวง ๒๐ ดวง
อรหตั ตผลจิตของฌานลาภบี ุคคลจงึ มีจา� นวน ๕ ดวง

แต่มีบุคคลอีกประเภทหนึ่งที่หลุดพ้นด้วยปัญญาล้วน ๆ โดย
ไมเ่ คยไดฌ้ านสมาบตั มิ าก่อน ทา่ นอาศยั เพยี งขณกิ สมาธิเพอ่ื เจริญวิปสั สนา
เป็นวิปัสสนาท่ีแห้งแล้งอันปราศจากโลกียฌาน แต่ถึงกระนั้นก็ตามเม่ือ
มรรค - ผลเกดิ ขน้ึ ทา่ นกส็ ามารถเขา้ ถงึ โลกตุ ตรฌานไดแ้ ละมกี า� ลงั เทยี บเทา่
ปฐมฌาน ในอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกากล่าวว่า สุกขวิปสสกตองถงปฐม าน
แน่นอนเพราะมีองค์ านครบทัง ๕ (มีเจตสกิ ท่เี ปน็ องคฌ์ านครบท้งั ๕)

โลกุตตรจิตของบุคคลท่ีมิ ด อาศัย านสมาบัติเป็นบาท

(เป็นทางด�าเนิน) จะมีเพียง ๘ ดวงเท่านันคือปฐมฌานมรรคจิต ๔
และปฐมฌานผลจิต ๔ ซึ่งเป็นโลกุตตรปฐมฌาน (มิใช่โลกียปฐมฌาน)
อันเกิดขึ้นจากการพิจารณารูปนาม (กาย กับ จิต)...อย่างไรก็ตามเม่ือ
มรรคจิตเกิดขึน้ ย่อมบรบิ รู ณ์ดว้ ยองค์ฌานทงั้ ๕ จงึ จดั เปน็

ปฐมฌานโสดาปัตติมรรคจิต, ปฐมฌานโสดาปตั ติผลจติ
ปฐมฌานสกทาคามมิ รรคจิต, ปฐมฌานสกทาคามผิ ลจติ
ปฐมฌานอนาคามิมรรคจิต, ปฐมฌานอนาคามิผลจติ
ปฐมฌานอรหตั ตมรรคจิต, ปฐมฌานอรหตั ตผลจติ

โลกตุ ตรจิตของบุคคลที่ ปฐมฌาน ปฐมฌานโสดาปตั ติมรรคจติ
มิไดอ้ าศัยฌานสมาบตั ิ มรรคจิต ปฐมฌานสกทาคามมิ รรคจิต
เปน็ บาทในการเจรญิ ปฐมฌานอนาคามิมรรคจติ
ปฐมฌาน ปฐมฌานอรหตั ตมรรคจิต
วปิ สั สนา ผลจติ ปฐมฌานโสดาปัตตผิ ลจิต
ปฐมฌานสกทาคามิผลจิต
ปฐมฌานอนาคามผิ ลจิต
ปฐมฌานอรหัตตผลจติ

โลกตุ ตรจติ ของพระอรยิ บคุ คลประเภทนจ้ี งึ มเี พยี ง ๘ ดวงเทา่ น้นั

น่ีคือเหตุผลท่ีทา� ให้โลกุตตรจิตโดยย่อมี ๘ ดวงและโดยพิสดาร
มี ๔๐ ดวง ซง่ึ ส่งผลใหจ้ �านวนจิตโดยย่อมเี พียง ๘๙ ดวง แต่โดยพิสดาร
มีจ�านวนถงึ ๑๒๑ ดวง

บอ ัมมั สัง ห ร เ ่ี รมั

บ ่ี
เ สก ล การ บ่ง

ร เ องเ สก

สก ออะ ร

เจตสิก (เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติชนิดหน่งท่ีเกิดร่วมกับจิต
เปน็ องคป์ ระกอบสา� คั ทท่ี า� หจติ ทา� งาน ด และมบี ทบาท นการปรงุ แตง่ จติ
ท�า หจิตมีสภาพท่ีแตกตา่ งกันถง ๘๙ ลกั ณะโดยย่อ หรอ ๑๒๑ ลัก ณะ
โดยพิสดาร

แกงชนดิ ตา่ ง ๆ เชน่ แกงจดื แกงสม้ แกงเขยี วหวาน แกงเลยี ง ฯลฯ
เกดิ จากวตั ถุดบิ และเครอื่ งปรงุ ทแ่ี ตกตา่ งกันฉันใด จิตแตล่ ะดวงมีลกั ษณะ
แตกต่างกันเพราะมีเคร่ืองปรุงท่ีแตกต่างกันฉันนั้น เคร่ืองปรุงแต่งจิต คือ
เจตสิก นนั่ เอง

เจตสกิ เปน็ นามธรรมท่เี กดิ รว่ มกับจติ มลี ัก ณะ ๔ ประการ คอ
๑ เกิดพรอมกบั จิต
๒ ดับพรอมกบั จิต
๓ มีที่อาศยั ที่เกดิ ที่เดียวกับจติ
๔ รอู ารมณเ์ ดยี วกบั จิต
การท่ีจิตแสดงอาการโลภหรืออาการโกรธออกมานั้น เพราะมี
โลภเจตสกิ (โล-พะ-เจ-ตะ-สกิ ) หรอื โทสเจตสกิ (โท-สะ-เจ-ตะ-สกิ ) เปน็ ตวั
ปรุงแต่งใหเ้ กดิ ความโลภหรอื ความโกรธนน่ั เอง

เจตสิก หรอื เคร่อื งปรุงแต่งจิตมที ัง้ หมด ๕๒ ชนิด จ�าแนกได้เปน็
๓ ขนั ธ์ คอื เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขันธ์ และสังขารขนั ธ์ ในจติ แตล่ ะดวง (จิต
ที่เกดิ ขึน้ แต่ละขณะ) จะมีเจตสกิ เป็นตัวประกอบปรุงแตง่ มากบ้าง นอ้ ยบา้ ง
ตามประเภทและชนดิ ของจติ แตอ่ ยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ จะตอ้ งมเี จตสกิ เขา้ ประกอบ
ไม่น้อยกวา่ ๗ ชนิด

จกั ขุวญิ ญาณ (วิญญาณขันธ์)

๑๒ เวทนาเจตสิก (เวทนาขันธ)์
๓๕ สัญญาเจตสิก (สญั ญาขันธ)์

๔ สังขารเจตสิก ๕ ชนิด
รวมเรยี กว่า สงั ขารขันธ์
ประกอบดว้ ย ๑. ผัสสเจตสกิ
๒. เจตนาเจตสกิ ๓. เอกคั คตาเจตสิก
๔. ชีวิตินทรียเ์ จตสกิ ๕. มนสิการเจตสกิ

สมมตุ วิ า่ วงกลมวงใหญเ่ ปน็ จติ ทท่ี า� หนา้ ทเี่ หน็ (จกั ขวุ ญิ ญาณ) วงกลม
เลก็ ๆ คอื เจตสกิ ทเ่ี กดิ รว่ มกบั จติ เพอื่ ทา� หนา้ ทป่ี ระกอบปรงุ แตง่ ใหเ้ กดิ การเหน็
จิตเป็นเพียงผู้เห็น เจตสิกท�าหน้าที่ปรุงแต่งให้เกิดการเห็น ทั้งจิตและ
เจตสิกต่างกเ็ ปน็ นามธรรม เกิดร่วมกัน องิ อาศยั กนั เมอื่ มจี ิตกต็ ้องมเี จตสิก
เกดิ ร่วมด้วยเสมอ ถึงแมว้ ่าเจตสิกจะเป็นธรรมชาตทิ ่ปี รงุ แตง่ จติ แตจ่ ิตก็ยงั
เป็นใหญ่หรือเปน็ ประธานในการกระทา� ทัง้ ปวง

ระ อง สก

เจตสกิ มีทงั หมด ๕๒ ชนิด แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ห ่ คอ
๑ อั สมานเจตสกิ ๑๓ ชนิด
๒ อกศุ ลเจตสกิ ๑๔ ชนิด
๓ โสภณเจตสิก ๒๕ ชนดิ

น งั สดงการ บ่ง ระ สก

อัญญสมานเจตสกิ สพั พจติ ตสาธารณเจตสกิ ๗ ๑๓

ปกิณณกเจตสกิ ๖

เจตสกิ อกุศลเจตสกิ โมจตุกเจตสกิ ๔ ๑๔ รวม ๕๒ ชนดิ
โลติกเจตสกิ ๓
โทจตกุ เจตสกิ ๔
ถที ุกเจตสกิ ๒
วิจิกจิ ฉาเจตสกิ ๑

โสภณเจตสิก โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ๒๕
วิรตีเจตสกิ ๓

อัปปมญั ญาเจตสกิ ๒
ปัญญาเจตสกิ ๑

การ บง่ ระ สก

อัญญสมานเจต ิสก ๑๓ ผสั สะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชวี ิ มนสิการ สพั พจติ ตสาธารณเจตสกิ ๗
ตินทรยี ์

วติ ก วจิ าร อธโิ มกข์ วิรยิ ะ ปีติ ฉนั ทะ ปกณิ ณกเจตสิก ๖

อ ุกศลเจตสิก ๑๔ โมหะ อหิรกิ ะ อโนต อทุ ธัจจะ โมจตุกเจตสกิ ๔

ตปั ปะ

โลภะ ทฏิ ฐิ มานะ โลตกิ เจตสิก ๓
โทสะ อิสสา มจั ฉริยะ กกุ กจุ จะ โทจตกุ เจตสิก ๔
ถนี ะ มทิ ธะ ถที กุ เจตสิก ๒
วิจกิ ิจฉา วิจิกจิ ฉาเจตสิก ๑

สัทธา สติ หิริ โอตตปั ปะ อโลภะ อโทสะ ตัตตรมัช กาย จติ ต
ฌตั ตตา ปสั สทั ธิ ปัสสทั ธิ

โสภณเจตสิก ๒๕ สัมมา สัมมา สมั มา กาย จติ ต
ลหุตา ลหุตา
วาจา กัมมันตะ อาชีวะ วิรตเี จตสิก ๓

กรณุ า มุทิตา อัปปมัญญาเจตสิก ๒ กาย จิตต
มุทตุ า มทุ ุตา

ปญั ญา ปัญญาเจตสิก ๑ กายกมั จิตต
มัญญตา กัมมัญญ

ตา

กายปา จิตตปา
คญุ ญตา คุญญตา

กายุชุก จิตตุชุก
ตา ตา

โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙

อั ส าน สก

อั สมานเจตสิก (อัน-ยะ-สะ-มา-นะ-เจ-ตะ-สิก) คือ เจตสิก
๑๓ ชนิดที่ประกอบกับจิตได้ทุกประเภทท้ังกุศล อกุศล วิบาก และกิริยา
ตามสมควรแกส่ ภาวะของจิต แบง่ เปน็ ๒ กลมุ่ คอื

กลุ่มท่ี ๑ คือ สัพพจติ ตสาธารณเจตสิกมี ๗ ชนิด
กลุม่ ท่ี ๒ คอื ปกณิ ณกเจตสกิ มี ๖ ชนดิ



สัพพจิตตสาธารณเจตสิก (สับ-พะ-จิด-ตะ-สา-ทา-ระ-นะ-เจ-
ตะ-สกิ ) คอื เจตสกิ ท่เี ป็นองค์ประกอบพนื้ ฐานของจิต จติ ทกุ ดวงทีเ่ กิดข้ึน
จะต้องมีสัพพจิตตสาธารณเจตสิกครบท้ัง ๗ ชนิด หากขาดเจตสิก
อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ไป จติ จะทา� งานไมไ่ ด้ เชน่ เดยี วกบั นาฬกิ า หากขาดเฟอื งจกั ร
ไปแมแ้ ต่ช้ินเดียว นาฬกิ าก็จะท�างานไมไ่ ดเ้ ชน่ กนั

สพั พจิตตสาธารณเจตสกิ ทัง ๗ ดแก่

๑ ัสสเจตสิก (ผัด-สะ-เจ-ตะ-สกิ )
๒ เวทนาเจตสกิ (เว-ทะ-นา-เจ-ตะ-สิก)
๓ สั าเจตสกิ (สนั -ยา-เจ-ตะ-สกิ )
๔ เจตนาเจตสกิ (เจ-ตะ-นา-เจ-ตะ-สิก)
๕ เอกัคคตาเจตสิก (เอ-กกั -คะ-ตา-เจ-ตะ-สกิ )
๖ ชีวติ นิ ทรยี ์เจตสิก (ช-ี ว-ิ ติน-ซี-เจ-ตะ-สิก)
๗ มนสกิ ารเจตสิก (มะ-นะ-ส-ิ กา-ระ-เจ-ตะ-สกิ )

๑ สั สเจตสกิ (ผดั -สะ-เจ-ตะ-สกิ ) เปน็ ธรรมชาตทิ ที่ า� หนา้ ทก่ี ระทบ
อารมณ์ ท�าให้จติ สามารถรับอารมณท์ างตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจได้ กล่าวคือ
รูปมากระทบตาท�าให้เกิดการเห็น เสียงมากระทบหูท�าให้ได้ยิน กล่ินมา
กระทบจมกู ท�าให้ได้กล่นิ รสมากระทบลิน้ ท�าใหร้ รู้ ส เปน็ ต้น

ในมลิ นิ ทปญั หาไดเ้ ปรยี บเทยี บหนา้ ทขี่ องผสั สะไวว้ า่ “ผสั สะเหมอื น
การชนกนั ของแพะ ๒ ตวั ” ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ เปน็ แพะตวั ทห่ี นง่ึ อารมณ์
ตา่ ง ๆ มี รปู เสยี ง กลนิ่ รส สมั ผสั และเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ เปน็ แพะตวั ทสี่ อง เมอ่ื
มผี สั สะ การเหน็ การไดย้ นิ การรกู้ ลน่ิ รรู้ ส รสู้ มั ผสั และการคดิ นกึ จงึ เกดิ ขนึ้ ได้

๒ เวทนาเจตสกิ (เว-ทะ-นา-เจ-ตะ-สกิ ) เปน็ ธรรมชาตทิ ท่ี า� หนา้ ที่
เสวยอารมณ์ หรอื ความรสู้ กึ ตอ่ อารมณ์ เมอ่ื จติ รบั อารมณอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่
ยอ่ มจะตอ้ งมคี วามรสู้ กึ ตอ่ อารมณน์ นั้ ความรสู้ กึ นเ้ี ปน็ อาการของเวทนาเจตสกิ
ซงึ่ มี ๕ ลกั ษณะ คือ

๑.รสู้ กึ สบายกาย เรยี กว่า สขุ เวทนา
๒.ร้สู ึกไมส่ บายกาย เรียกวา่ ทกุ ขเวทนา
๓.รู้สกึ สุขใจ เรียกว่า โสมนัสเวทนา
๔.รู้สึกทกุ ข์ใจ เรยี กวา่ โทมนัสเวทนา
๕.รูส้ กึ เฉย ๆ ไมส่ ขุ ไมท่ ุกข์ เรียกว่า อเุ บกขาเวทนา

ความรสู้ กึ เจบ็ ปวด เมอ่ื ย คนั รอ้ น หนาว ฯลฯ จดั เปน็ ทกุ ขเวทนา
เช่นกันเพราะเป็นความไม่สบายทางกาย ผู้ที่เจริญสติจนแก่กล้าแล้ว
จะเกิดปัญญารู้ความจริงว่าความรู้สึกเหล่านี้ล้วนเป็นอาการของเวทนาที่
ปราศจากค�าว่า “เรา” เข้าไปเก่ียวข้อง กล่าวคือ เห็นมันเจ็บ มิใช่เราเจ็บ
เหน็ มนั ปวด มใิ ชเ่ ราปวด คอื จะไมร่ สู้ กึ วา่ เปน็ ผปู้ วด แตจ่ ะเหน็ ความปวดวา่
เป็นสภาวธรรมอย่างหนง่ึ

ความสุข ความทกุ ข์ ความดใี จ ความเสียใจ หรอื เฉย ๆ (อเุ บกขา
เวทนา) ลว้ นเป็นอาการของเวทนาเจตสิกทงั้ ส้ิน

เวทนาเจตสกิ คอ “เวทนาขนั ธ์” นน่ั เอง

๓ สั าเจตสิก (สัน-ยา-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติท่ีท�าหน้าท่ี
จ�าอารมณ์ การทีม่ นุษยแ์ ละสัตวท์ ้งั หลายจ�าสง่ิ ตา่ ง ๆ เรอื่ งราวตา่ ง ๆ และ
เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้นั้นก็เพราะสัญญาเจตสิก สัญญาเจตสิกจะท�าหน้าท่ี
เสมอื นหน่วยความจ�าซึง่ จะเกิดร่วมกับจติ ทกุ ๆ ขณะ

สั าเจตสกิ คอ “สั าขันธ”์ น่ันเอง

๔ เจตนาเจตสิก (เจ-ตะ-นา-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติอีก
ชนิดหน่ึงท่ีเกิดพร้อมกับจิต ปรุงแต่งจิตให้มุ่งสู่อารมณ์หรือเปาหมาย
อย่างใดอยา่ งหนึ่งท่ีต้องการ อนั เป็นเหตใุ ห้เกดิ การกระทา� ทางกาย ทางวาจา
และทางใจ การกระทา� ต่าง ๆ จะส�าเรจ็ ลงได้ก็ต้องอาศัยเจตนาเป็นประธาน
หรอื เปน็ แกนนา� ดงั น้นั เจตนาจงช่อวา่ กรรม เพราะการกระทา� ตา่ ง ม่วา่
จะเปน็ ทางกาย ทางวาจา หรอทาง จ ลวนมเี จตนาเปน็ บู งการทงั สนิ เมอื่ ใด
ที่ท�าดี พดู ดี และคดิ ดี กจ็ ะเปน็ กศุ ลกรรม แตเ่ มือ่ ใดทา� ชั่ว พูดช่วั คดิ ชว่ั
กจ็ ะเปน็ อกุศลกรรม สรปุ แลว้ บาป หรอ บุ กอยทู่ เ่ี จตนาน่นั เอง

เจตนามหี นาที่ ๒ ประการ

๑ สังวิธานกิจ (สัง-วิ-ทา-นะ-กิด) คือ การจัดแจงปรุงแต่ง
ใหก้ รรมส�าเรจ็ ลง

๒ พีชนิทานกิจ (พี-ชะ-นิ-ทา-นะ-กิด) คือ การเก็บเชื้อของ
กรรมไว้รอโอกาสส่งผล

๕ เอกัคคตาเจตสิก (เอ-กัก-คะ-ตา-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติ
ทปี่ ระกอบกบั จติ ปรงุ แตง่ จติ ทา� ใหจ้ ติ จดจอ่ อยกู่ บั อารมณอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่

เอกัคคตาเจตสิก คือ ตัวสมาธิ การ กสมาธิ คือ การ กจิตให้
ต้ังม่ันอยู่ในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งได้เป็นเวลานาน ๆ เมื่อจิตต้ังมั่นอยู่
ในอารมณ์เดียวได้นานเท่าไหร่ก็เท่ากับมีสมาธิมากข้ึนเท่าน้ัน สมาธิมากข้ึน
เพราะเอกคั คตาเจตสิกมกี า� ลังมากขึ้นน่นั เอง

๖ ชีวิตินทรีย์เจตสิก (ชี-วิ-ติน-ซี-เจ-ตะ-สิก) เป็น
ธรรมชาติที่อนุบาลรักษาจิตและเจตสิก ท�าให้จิตและเจตสิกท่ีเกิดข้ึน
พร้อมกับตนสามารถตั้งอยู่ได้จนครบอายุ คือเกิดข้ึน ต้ังอยู่ และดับไป
พรอ้ มกันทงั้ หมด

ชีวิตินทรีย์มี ๒ อยา่ ง
๑ รูปชีวิตินทรีย์ (รู-ปะ-ชี-วิ-ติน-ซี) เป็นธรรมชาติที่

ท�าหน้าท่ีรักษากลุ่มรูปท่ีเกิดจากกรรมให้คงอยู่ได้จนครบอายุ (ดูค�าอธิบาย
ในเรอื่ งรูปปรมัตถ์)

๒ นามชวี ติ นิ ทรยี ์ (นา-มะ-ช-ี ว-ิ ตนิ -ซ)ี เปน็ ธรรมชาตทิ ท่ี า� หนา้ ท่ี
รกั ษากลุม่ นาม (จิต เจตสิก) ให้ตั้งอยู่และดับไปพร้อมกนั นามชีวิตนิ ทรยี ์
คอื “ชีวิตนิ ทรียเ์ จตสิก” นั่นเอง

๗ มนสิการเจตสิก (มะ-นะ-สิ-กาน-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติ
ท่ีชักน�าจิตและเจตสิกอื่น ๆ ที่เกิดพร้อมกับตนให้มุ่งตรงสู่อารมณ์ที่ก�าลัง
ปรากฏทางทวารใดทวารหน่ึง เปรียบเหมือนการแข่งขันพายเรือ ีพาย
หน้าของเรือ ย่อมเป็นผู้น�าในการยกไม้พายและการพายอย่างเป็นจังหวะ
ลกู พายหลงั ๆ ตอ้ งยกและพายไปตาม พี ายหนา้ เรอื จงึ จะสามารถแลน่ ไปได้
อย่างสม�่าเสมอ ถ้าพายอย่างไมเ่ ป็นจังหวะ คือ ไม่พรอ้ มเพรียงกนั เรอื ย่อม
แล่นไปไม่สม�่าเสมอ อาจมีการโยกโคลงและล่มได้ เช่นเดียวกับมนสิการ
เจตสิกที่ท�าหน้าท่ีเป็นผู้น�าจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกันให้มุ่งสู่อารมณ์ท่ี
ก�าลังปรากฏและควบคุมให้จิตและเจตสิกทั้งหลายเป็นไปโดยสม�่าเสมอ
และทา� หนา้ ทีโ่ ดยพรอ้ มเพรียงกัน



อญั ญสมานเจตสกิ กลุม่ ที่ ๒ ชื่อวา่ ปกิณณกเจตสกิ ซ่งึ ประกอบ
ดว้ ยเจตสิก ๖ ชนดิ ไดแ้ ก่

๑ วิตกเจตสิก ๒ วจิ ารเจตสกิ ๓ อธิโมกขเ์ จตสิก
๔ วริ ยิ เจตสิก ๕ ปติเจตสิก ๖ ันทะเจตสิก

เจตสิกทั้ง ๖ นี้เข้าประกอบกับจิตได้ในจิตทุกประเภทท้ังอกุศล
กศุ ล วิบาก และกริ ยิ า ตามสมควร ต่างจากสพั พจิตตสาธารณเจตสกิ เพราะ
ไม่จ�าเป็นต้องเข้าประกอบพร้อมกันท้ังหมด และแม้ว่าเจตสิกแต่ละชนิด
จะประกอบไดก้ ับจติ ทกุ ประเภท แตก่ ไ็ ม่สามารถประกอบได้กับจติ ทุกดวง

๑ วิตกเจตสิก (วิ-ตะ-กะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติที่ชักน�า
จิตให้ไปจดจ้องอยู่กับอารมณ์อย่างใดอย่างหน่ึง เช่น ในขณะท่ีท�าสมาธิ
ด้วยการก�าหนดลมหายใจเข้าออก วิตกเจตสิกจะท�าหน้าท่ีชักน�าจิตให้ไป
จดจ้องที่ปลายจมูก ในขณะอ่านหนังสือ วิตกเจตสิกจะท�าหน้าท่ีชักน�าจิต
ให้ไปจดจ้องที่ตัวอักษรท่ีก�าลังอ่าน และการที่คิดเร่ืองนั้นเรื่องน้ีได้ก็เพราะ
วติ กเจตสิกเปน็ ผชู้ ักน�าจิตไปสเู่ รื่องราวต่าง ๆ นน่ั เอง

๒ วิจารเจตสิก (วิ-จา-ระ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติท่ีประคอง
จิตไว้ในอารมณท์ วี่ ิตกเจตสกิ กา� ลังจดจอ้ งอยู่ เช่น เม่ือวิตกเจตสิกน�าจิตไป
จดจ้องลมหายใจเข้า - ออกท่ีปลายจมูก วิจารเจตสิกจะท�าหน้าที่ประคอง
มใิ หจ้ ิตหลดุ ไปจากการจดจ้องดลู มหายใจ

โดยปกตแิ ลว้ วติ กกบั วจิ ารจะเกดิ รว่ มกนั เสมอ ยกเวน้ รปู ฌาน
ขั้นท่ี ๒ (ในปัญจกนัย) จะมีวิจารเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีวิตก อุปมา
เหมอื นนายวติ กทา� งานอยใู่ นราชสา� นกั ไดพ้ านายวจิ ารซงึ่ เปน็ บรุ ษุ ชาวบา้ น เขา้ เ า
พระราชาจนเกดิ ความคนุ้ เคยกบั พระราชา แลว้ ตอ่ มานายวจิ ารกเ็ ขา้ เ าพระราชา

ไดเ้ องโดยไมต่ อ้ งใหน้ ายวติ กพาไปอกี ขอ้ นฉ้ี นั ใดในทตุ ยิ ฌาน วจิ ารกเ็ กดิ ได้
โดยไมต่ อ้ งมวี ิตกดว้ ยอา� นาจความคุ้นเคยอนั เกิดจากจิตตภาวนานัน่ เอง

๓ อธิโมกข์เจตสิก (อะ-ทิ-โมก-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติที่
ท�าให้เกิดการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ท�าลายความลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา)
ดงั นนั้ อธโิ มกขก์ บั วจิ กิ จิ ฉาจงึ เกดิ รว่ มกนั ไมไ่ ดเ้ ดด็ ขาด อธโิ มกขจ์ ะทา� หนา้ ท่ี
ตดั สนิ ใจทันทไี มว่ า่ จะถูกหรือผิดก็ตาม

๔ วิริยเจตสิก (วิ-ริ-ยะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติท่ีท�าให้
เกิดความพยายาม ความเพียร อดทนต่อสู้กับความยากล�าบากท่ีเกี่ยวกับ
การงานต่าง ๆ ทั้ง ายกุศลและ ายอกุศล ขณะใดท่ีมีความวิริยอุตสาหะ
ขยนั ขนั แขง็ ทา� นนั่ ท�านี่ ขณะนัน้ วริ ยิ เจตสิกกา� ลังเข้าประกอบปรงุ แตง่ จติ

๕ ปติเจตสิก (ปี-ติ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติท่ีท�าให้เกิด
ความปลาบปลมื้ แชม่ ชน่ื อม่ิ กาย อมิ่ ใจ เกดิ ความซาบซา่ นไปทวั่ สรรพางคก์ าย
ซง่ึ อาจแสดงออกในลกั ษณะใดลักษณะหนึง่ ใน ๕ ลักษณะ ดงั นี้

๑ ขทุ ทกาปติ (ขดุ -ทะ-กา-ป-ี ต)ิ ความปลาบปลมื้ เลก็ นอ้ ย ทา� ให้
ขนลุกชูชัน น้�าตาไหล อาการขนลุกชูชันนี้อาจเกิดเพราะประสบกับอารมณ์
ที่น่ากลัวก็ได้ เช่น กลัวผีก็รู้สึกขนลุกได้เช่นกัน แต่การกลัวผีเป็นไปด้วย
อ�านาจของโทสะชนิดปฏิกกมโทสะ (โทสะชนิดถอยหลัง) มิใช่เกิดจาก
ขุททกาปตี ิ

๒ ขณิกาปติ (ขะ-นิ-กา-ปี-ติ) ความปลาบปลื้มเป็นขณะ ๆ
เหมือนสายฟาแลบ เกดิ ขน้ึ แลว้ ก็หายไป แต่เกดิ ข้ึนไดบ้ ่อย ๆ

๓ โอกกนั ตกิ าปติ (โอก-กนั -ต-ิ กา-ป-ี ต)ิ ความปลาบปลม้ื รสู้ กึ
ซซู่ า่ เป็นระลอก ๆ หรอื มอี าการไหวเอนโยกโคลงของกายกไ็ ด้

๔ อุพเพงคาปติ (อุบ-เพง-คา-ปี-ติ) ความปลาบปล้ืมจน
ตวั ลอย ท�าใหใ้ จฟู ตวั เบา หรือรอ้ งอทุ านออกมาด้วยความเบกิ บานใจ

๕ รณาปติ (ผะ-ระ-นา-ปี-ติ) ความปลาบปลื้มที่แผ่ซ่าน
เอิบอาบไปทวั่ สรรพางคก์ าย ซง่ึ จะเกิดขึ้นไดใ้ นฌานจติ เท่านน้ั และจะตั้งอยู่
ได้นานอีกด้วย เมื่อออกจากฌานแล้วปีติชนิดนี้ก็ยังปรากฏต่อไปอีก
ระยะหน่งึ

๖ ันทเจตสิก (ฉัน-ทะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติที่มี
ความพอ จและปรารถนา นอารมณ์ กลา่ วคอื

ปรารถนารูปารมณ์ (รูป) เพยี งเพอ่ เหน
ปรารถนาสัททารมณ์ (เสยี ง) เพยี งเพอ่ ดยนิ
ปรารถนาคนั ธารมณ์ (กลนิ่ ) เพียงเพอ่ ดกลิ่น
ปรารถนารสารมณ์ (รส) เพียงเพ่อรบั รส
ปรารถนาโผฏฐัพพารมณ์ (อารมณ์ทางกาย) เพียงเพ่อจะ

ถกู ตองสัม ัส

ปรารถนาธรรมารมณ์ (เร่อื งทางใจ) เพียงเพ่อคดิ นก
นี่คือลักษณะของฉันทเจตสิก ฉันทะเป็นความพอใจในอารมณ์
ท้ัง ๖ เพียงเพื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เท่านั้น แต่จะไม่ยึดมั่นและยึดติด
ในอารมณเ์ หล่านีเ้ ลย
ฉนั ทะกบั โลภะนนั้ มลี กั ษณะทใ่ี กลเ้ คยี งกนั มาก คอื มคี วามตอ้ งการ
อารมณ์เหมือนกัน แต่ความต้องการอารมณ์ที่เป็นฉันทะไม่เหมือนกับ
ความต้องการอารมณ์ท่ีเป็นโลภะ เพราะความตองการอารมณ์ที่เป็นโลภะ

ย่อมยดและติด จอยู่ นอารมณ์นัน ส่วนความตองการอารมณ์ที่เป็น ันทะ

จะ ม่ยดและ ม่ติด จ นอารมณ์เหล่านัน อุปมาเหมือนบุคคลที่ต้องการ
รับประทานขนมกับบุคคลท่ีต้องการรับประทานยา ความต้องการขนมเป็น
ความต้องการแบบโลภะเพราะเป็นความต้องการที่ยึดติดอยู่ในรสชาติของ
ขนม ส่วนความต้องการยาเป็นความต้องการแบบฉันทะเพราะไม่ยึดติด
อย่ใู นรสชาตขิ องยา เม่อื หายปวยแล้วก็ไมม่ คี วามตอ้ งการยาอีกต่อไป

ฉนั ทะมีการแสวงหาอารมณแ์ ละมีความตอ้ งการอารมณ์ แต่ไมไ่ ด้
ยดึ มน่ั ไม่ไดต้ ดิ ข้องในอารมณ์
สว่ นโลภะมีการแสวงหาอารมณด์ ว้ ย มคี วามตอ้ งการอารมณด์ ้วย
ทั้งยงั ยึดม่ันและติดขอ้ งในอารมณด์ ้วย

มคี วามต้องการ มีการแสวงหา มกี ารยดึ มัน่
เจตสกิ

อารมณ์ อารมณ์ ติดขอ้ งในอารมณ์

ฉันทะ ✓ ✓ -

โลภะ ✓ ✓ ✓

สรุป อญั ญสมานเจตสิก ๑๓ ชนดิ ท่กี ล่าวมานี้ จะทา� หน้าทเ่ี ป็น
องค์ประกอบของจิตท่ีท�าให้จิตมุ่งสู่อารมณ์ รับอารมณ์ จดจ่อกับอารมณ์
ตงั้ มน่ั ในอารมณ์ มคี วามรสู้ กึ ตอ่ อารมณ์ จดจา� อารมณ์ ตดั สนิ อารมณ์ ทา� ใหจ้ ติ
และเจตสกิ อน่ื ๆ ที่เกิดพร้อมกนั ทา� งานรว่ มกนั ไดโ้ ดยพรอ้ มเพรียง เปน็ ตน้
แต่ยังมิใช่องค์ประกอบหรือตัวปรุงแต่งท่ีท�าให้จิตมีสถานะเป็นอกุศลหรือ
กุศลแต่อย่างใด

บ ่ี
อก ลเ สก

อกุศลเจตสิก เป็นเจตสิก ายชั่ว ายบาป หยาบกระด้าง ไม่ดี
ไมง่ าม ไมม่ ปี ญั ญา เมอ่ื ประกอบกบั จติ แลว้ ยอ่ มทา� ใหจ้ ติ เศรา้ หมอง เรา่ รอ้ น
เป็นเหตใุ ห้อกศุ ลจติ เกิดขนึ้ อกุศลเจตสกิ มที ้งั หมด ๑๔ ชนิด เรียกสน้ั ๆ
ว่า อกุศลเจตสิก ๑๔

หากเปรียบจิตเป็นน�้าใสบริสุทธ์ิท่ีไม่มีสี และเจตสิกเปรียบดังสี
ตา่ ง ๆ ทีห่ ยดลงในนา�้ เมื่อหยดสีเหลอื งลงไป นา้� ก็จะกลายเปน็ สเี หลอื ง เมื่อ
หยดสแี ดงลงไป นา�้ กจ็ ะกลายเปน็ สแี ดง ในทา� นองเดยี วกนั เมอื่ อกศุ ลเจตสกิ
เข้าประกอบกบั จิต ก็จะท�าให้จติ มีสภาพเป็นอกุศล ไมด่ ี ไม่งาม ไม่มปี ัญญา
เป็นจติ ทท่ี �าใหเ้ กิดการกระทา� ช่ัวทางกาย ทางวาจา และทางใจ

เนอ่ งจากอกศุ ลเจตสกิ ๑๔ เปน็ เครอ่ งปรงุ แตง่ หอกศุ ลจติ เกดิ ขน
ดงั นัน อกศุ ลเจตสกิ ๑๔ จงเป็นองค์ประกอบของจิต ายอกุศลเทา่ นัน

อก ล สก ชนด

โมหะ อหริ ิกะ อโนต อุทธจั จะ โมจตกุ เจตสิก ๔
ตัปปะ

อ ุกศลเจตสิก ๑๔ โลภะ ทิฏฐิ มานะ โลติกเจตสิก ๓

โทสะ อสิ สา มัจฉริยะ กุกกจุ จะ โทจตกุ เจตสิก ๔

ถีนะ มทิ ธะ ถีทกุ เจตสกิ ๒

วจิ กิ ิจฉา วิจกิ ิจฉาเจตสิก ๑

อก ล สก บ่งออก น กล่

๑. โมจตุกเจตสิก ๔ ๑. โมหะ ความหลง
๒. อหริ กิ ะ ความไมล่ ะอายต่อทุจริต
๓. อโนตตัปปะ ความไมเ่ กรงกลัวตอ่ บาป
๔. อุทธจั จะ ความฟงุ้ ซา่ น

ประกอบกบั อกศุ ลจิตท้ัง ๑๒ ดวง
เพราะเปน็ อกุศลสาธารณเจตสกิ

๒. โลตกิ เจตสิก ๓ ๑. โลภะ ความตอ้ งการ ความยึดตดิ
๒. ทฏิ ฐิ ความเหน็ ผิด
๓. มานะ ความเย่อหยง่ิ ถอื ตัว ทะนงตน

เปรยี บเทยี บตนกับผูอ้ นื่ (ดหู นา้ ๑๗๐)

ประกอบกับโลภมลู จิต ๘ ดวงเท่านน้ั
(ตามสมควรท่จี ะประกอบได)้

อกศุ ล ๑. โทสะ ความไมพ่ อใจในอารมณ์

เจตสกิ ๒. อิสสา ความรษิ ยา
๑๔
๓. มัจฉริยะ ความตระหน่ี
๓. โทจตกุ เจตสกิ ๔ ๔. กกุ กจุ จะ ความรา� คาญใจ

ประกอบกบั โทสมูลจติ ๒ ดวงเทา่ นัน้
(ตามสมควรทีจ่ ะประกอบได)้

๔. ถที กุ เจตสิก ๒ ๑. ถนี ะ ทา� ให้จิตเซอื่ งซมึ ท้อถอย
๒. มิทธะ ทา� ใหเ้ จตสกิ เซื่องซมึ ทอ้ ถอย

ประกอบกับอกศุ ลจิตทต่ี ้องชกั ชวนให้เกดิ

วจิ ิกิจฉา ความลังเลสงสยั ไม่ตกลงใจ
๕. วิจิกิจฉาเจตสิก ๑ ประกอบกบั วจิ กิ ิจฉาสมั ปยตุ ตจิต ๑ ดวง

เท่านัน้

อก ล สก กล่ ก สก

โมจตุกเจตสิก (โม-จะ-ตุ-กะ-เจ-ตะ-สิก) คือ กลุ่มเจตสิกท่ีมี
โมหเจตสิกเปน็ ประธาน มี ๔ ชนดิ คอื

๑ โมหเจตสิก (โม-หะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติที่ปิดบัง
ความจรงิ ทา� ให้หลงผดิ คิดผิด ทา� ผดิ เพราะไม่รู้ธรรม ๘ ประการ คอื

๑. ไม่รู้ในทุกขว์ ่าทกุ ข์คืออะไร อะไรเป็นตัวทกุ ข์
๒. ไม่รสู้ าเหตุที่ท�าใหเ้ กดิ ทุกข์
๓. ไมร่ ู้จักธรรมอันเป็นที่ดับทกุ ข์อยา่ งถาวร (พระนพิ พาน)
๔. ไม่รวู้ ิธีปฏิบตั เิ พ่อื เขา้ ถึงความดับทุกข์อยา่ งถาวร

(อรยิ มรรคท้ัง ๘)
๕. ไม่เช่อื วา่ อดีตชาติมีจรงิ
๖. ไม่เชอื่ วา่ ชาติหน้ามจี รงิ
๗. ไม่เช่ือทัง้ ชาติก่อนและชาติหน้าว่ามีจริง
๘. ไม่รู้กฎแหง่ กรรม ไมร่ วู้ งจรแห่งการเวียนวา่ ยตายเกดิ

(ปฏจิ จสมุปบาท)

นอกจากนี้ ยังทา� ใหห้ ลงตดิ อยู่ในโลกของสมมุตบิ ญั ญตั ิ คอื หลง
ตดิ อย่ใู นโลกแห่งสมมุติ (ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข) อยา่ งไม่ลืมหูลืมตา

เจตสิกดวงนี้เป็นรากเหง้า คือ เป็นต้นเหตุแห่งอกุศลทั้งปวง
ดงั นน้ั จงึ เกดิ กบั อกศุ ลจติ ไดท้ ง้ั ๑๒ ดวง แตจ่ ะไมเ่ กดิ กบั จติ ประเภทอน่ื ๆ เลย

โมหะนี้บางคร้ังก็เรียกว่า “อวิชชา” ซึ่งแปลว่า ไม่รู้ ไม่รู้ในท่ีนี้
หมายถึงไมร่ ู้ในธรรม ๘ ประการดังกล่าวแล้ว

ทุกครั้งท่ีอกุศลจิตดวงใดดวงหน่ึงเกิดข้ึนจะต้องมีโมหเจตสิก
เข้าประกอบด้วยเสมอ หากไม่มีโมหเจตสิกอกุศลทั้งหลายจะเกิดไม่ได้เลย
เพราะโมหะเปน็ ตัวการท่ีท�าให้จติ หลงอย่ใู นความมดื และความชัว่ ทงั้ หลาย

๒ อหิริกเจตสิก (อะ-หิ-ริ-กะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติที่
ไม่ละอายต่อบาป อหิริกะจะท�าให้จิตเกิดความไม่ละอายในการท�าบาป คือ
พอใจในการทา� อกศุ ลท้งั ปวง

๓ อโนตตัปปเจตสิก (อะ-โนด-ตับ-ปะ-เจ-ตะ-สิก) เป็น
ธรรมชาติท่ีไม่เกรงกลัวผลของบาป ขณะท�าบาปก็ไม่กลัวผลของกรรมที่
จะได้รับในกาลข้างหน้า ไม่สะทกสะท้านต่อบาป เหมือนแมลงเม่าท่ีบินเข้า
กองไฟ โดยไม่มีความสะทกสะทา้ นหวน่ั กลัวภัยจากกองไฟแต่อย่างใด

๔ อทุ ธจั จเจตสกิ (อดุ -ทดั -จะ-เจ-ตะ-สกิ ) เปน็ ธรรมชาตทิ ป่ี ลอ่ ย
จิตให้ไหลไปตามกระแสกิเลสและอารมณ์ท่ีมายั่วยุ เมื่อถูกกิเลสครอบง�า
มากเข้า ย่อมทา� ให้บุคคลนน้ั ขาดความย้ังคดิ ขาดโยนิโสมนสิการ จงึ ท�าให้
อกุศลเกิดขึ้นอยู่เสมอ มีความฟุงซ่านซัดส่ายไปในอารมณ์ต่าง ๆ จนไม่
สามารถสงบระงับอยูใ่ นอารมณอ์ ันเป็นกศุ ลได้

สรุป โมจตุกเจตสกิ ๔ ดวง ไดแ้ ก่ โมหะ อหิริกะ อโนตตปั ปะ
และอทุ ธจั จะ ซง่ึ มโี มหเจตสกิ เปน็ ประธาน โมจตกุ เจตสกิ ทั้ง ๔ น้ี เปน็ อกศุ ล
สาธารณเจตสิกจึงประกอบไดท้ ว่ั ไปในอกุศลจติ ท้ัง ๑๒ ดวง จงึ มชี ื่อเรียกวา่
สัพพากุศลสาธารณเจตสิก (สพั พ อกุศล สาธารณเจตสกิ )

อก ล สก กล่ ล ก สก

โลตกิ เจตสกิ หมายถงึ กลมุ่ เจตสกิ ทมี่ ีโลภเจตสกิ เปน็ ประธาน มี
๓ ชนดิ คือ

๑ โลภเจตสิก (โล-พะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติที่มีความยินดี
ติดใจในอารมณ์ทั้ง ๖ คือยินดีติดใจในรูปสวย ๆ เสียงท่ีไพเราะ กลิ่น
หอม ๆ รสท่ีเอร็ดอร่อย สัมผัสทางกายท่ีให้ความสุข และอารมณ์ทางใจ
ทน่ี า่ รน่ื รมย.์ ..โลภเจตสกิ จะทา� หนา้ ทใ่ี หจ้ ติ เกดิ ความตอ้ งการในอารมณท์ งั้ ๖
เม่ือจิตได้ประสบกับอารมณ์ที่ดีแล้ว โลภเจตสิกจะท�าให้จิตติดใจอยู่กับ
อารมณ์น้ัน ปรารถนาให้อารมณน์ ้ันมาตอบสนองอยู่รา่� ไป

โลภะจะมีความติดข้องในอารมณ์เป็นลักษณะ เหมือนลิงติดตัง
(ในการจะจับลิง เขาจะเอาอาหารวางล่อลิงไว้ แล้วเอายางเหนียว (ตัง) ทา
ต้นไม้ที่เป็นทางผ่านของลิง เม่ือลิงเดินผ่านไปทางนั้นจะไปกินอาหารก็จะ
ติดตัง)



ฉันทะอุปมาเหมือนลงิ เออื้ มมือลงไปในไหเฉย ๆ แต่โลภะเป็นตัว
ก�าส่ิงของที่อยู่ในไหไว้แน่นโดยไม่ยอมปล่อยมือ เมื่อจะชักมือออกจาก
ปากไหจึงชักออกไม่ได้ เพราะปากไหแคบกว่ามือท่ีก�าส่ิงของไว้ ลิงก็วิ่งไป
ท้ัง ๆ ท่มี ือติดอยูใ่ นไหนนั่ เอง

ฉันทะประกอบกับจิตได้ทั้ง ายอกุศลและ ายกุศล แต่โลภะ
ประกอบไดใ้ นโลภมลู จติ (อกศุ ล) เทา่ นนั้ ...ฉนั ทะไมย่ ดึ ตดิ อารมณ์ แตโ่ ลภะ
ยึดติดอารมณ์ ในปรมัตถทีปนฎี ีกามชี อ่ื เรยี กแทนโลภะไดอ้ กี หลายชื่อ เชน่

๑. ตัณหา (ความต้องการ)
๒. ราคะ (ความก�าหนดั )
๓. กามะ (ความใคร่)
๔. นันทิ (ความเพลดิ เพลนิ )
๕. อภิชฌา (ความเพง่ เล็งอยากได้)

โลภะมีลักษณะท่ีละเอียดอ่อนจนบางครั้งไม่ทราบเลยว่าโลภะ
ก�าลังเกิดขึ้น เช่น ความห่วงใย ความผูกพัน ความหวัง ความปรารถนา
ความเพลดิ เพลนิ ความยนิ ดี ความรกั ความหมกมนุ่ ความใครใ่ นอารมณด์ ี ๆ
ความติดใจ ความพอใจ...อาการเหล่าน้ีหากพิจารณาอย่างถ่องแท้จะพบว่า
มโี ลภะเปน็ เหตุอยเู่ บอ้ื งหลังทง้ั สน้ิ

๒ ทฏิ ฐเิ จตสกิ (ทดิ -ถ-ิ เจ-ตะ-สกิ ) เปน็ ธรรมชาตทิ ม่ี คี วามเหน็ ผดิ
จากความเป็นจริง เห็นไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือเห็นคลาดเคล่ือน
ไปจากความเปน็ จรงิ โดยเชอื่ มน่ั วา่ สง่ิ ทตี่ นรสู้ ง่ิ ทต่ี นเขา้ ใจเปน็ ความจรงิ สงิ่ อนื่
นอกน้ันไมจ่ ริง

คา� วา่ ทิฏฐิ แปลตามศัพท์ว่า ความเห็น...แต่ทิฏฐใิ นพระอภธิ รรม
หมายถึง ความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) อันเกิดจากมีทิฏฐิเจตสิกเข้าประกอบ
สว่ นความเหน็ ถกู จะใช้ค�าวา่ สัมมาทิฏฐิ คอื มปี ัญญาเจตสิกเข้าประกอบ

ความเหน ดิ ปจากความเป็นจรงิ นนั อาจแบง่ ดเปน็ ๒ ชนดิ คอ
ทิฏฐสิ ามั และทิฏฐิพิเศ

๒ ๑ ทฏิ ฐิสามั คอื ความเห็นผิดอย่างละเอยี ดตามปกติวสิ ยั
ของสตั ว์ทัง้ หลายซ่งึ จะส�าคัญผิดโดยยึดขนั ธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ) ว่าเป็นตัวเป็นตนท่ีเรียกว่า “สักกายทิฏฐิ” จัดเป็นทิฏฐิสามัญ
เพราะมีอยู่ประจ�าในสัตว์ท้ังหลายที่ยังเป็นปุถุชน (คือผู้ที่ยังไม่ได้เป็น
พระอริยบุคคล)

สักกายทิฏฐิ คือความเห็นผิด ๒๐ ประการอันเป็นความเห็นผิด
ในขนั ธ์ ๕ โดยแตล่ ะขนั ธ์จะเห็นผดิ ๔ ประการ ดงั นี้

เห็นรูปเปน็ ตน ๑ เห็นตนเปน็ รปู ๑
เห็นรูปในตน ๑ เห็นตนในรูป ๑

เหน็ เวทนาเป็นตน ๑ เห็นตนเป็นเวทนา ๑
เห็นเวทนาในตน ๑ เห็นตนในเวทนา ๑

เห็นสญั ญาเปน็ ตน ๑ เหน็ ตนเป็นสัญญา ๑ สกั กายทฏิ ฐิ ๒๐
เหน็ สัญญาในตน ๑ เห็นตนในสญั ญา ๑

เห็นสังขารเปน็ ตน ๑ เห็นตนเปน็ สังขาร ๑
เหน็ สงั ขารในตน ๑ เหน็ ตนในสงั ขาร ๑

เห็นวิญญาณเป็นตน ๑ เห็นตนเป็นวิญญาณ ๑
เห็นวิญญาณในตน ๑ เห็นตนในวญิ ญาณ ๑

พระโสดาบนั บคุ คลสามารถละสกั กายทฏิ ฐิ ดอยา่ งเดดขาด เพราะ
ท่าน ดเหนแจงความจริงชัน นอันเป็น “ปรมัตถสัจจะ” ว่าขันธ์ ๕ มิ ช่
ตวั ตนอย่างหมดขอสงสัย

๒ ๒ ทฏิ ฐพิ เิ ศ เปน็ ความเหน็ ผดิ ทหี่ ยาบกวา่ ทฏิ ฐสิ ามญั ไดแ้ ก่
ความเห็นผดิ ในลกั ษณะตา่ ง ๆ ดังน้ี

๑. เห็นผิดว่า เหตุไมม่ ี (ความสขุ ความทกุ ข์ มิไดเ้ กดิ จากเหต)ุ
๒. เหน็ ผิดว่า การท�าดี ท�าช่วั ยอ่ มไม่มีผล
๓. เหน็ ผดิ วา่ การกระทา� ทกุ อยา่ งไมเ่ ปน็ บาป ไมเ่ ปน็ บญุ ไมเ่ ปน็ เหตุ
ไม่เป็นผล สกั แต่วา่ กระท�าเท่าน้นั
๔. เหน็ ผิดวา่ ชาตกิ อ่ นไม่มี ชาตหิ น้าไม่มี การเวียนว่ายตายเกดิ
ไม่มี
๕. เห็นผดิ วา่ การท�าบญุ ใหท้ านไม่มผี ล
๖. เหน็ ผิดว่า คุณมารดาไม่มี การท�าดีทา� ชัว่ ต่อมารดาไมม่ ผี ล
๗. เห็นผดิ วา่ คณุ บิดาไม่มี การทา� ดีท�าชวั่ ตอ่ บิดาไมม่ ผี ล
๘. เห็นผิดว่า เมื่อตายแล้วทุกอย่างเป็นสูญหมด โลกหน้าไม่มี
สัตวใ์ นภพภูมอิ ื่นไมม่ ี
๙. เหน็ ผดิ ว่า การบูชาไม่มีผล
๑๐. เหน็ ผดิ วา่ สมณพราหมณผ์ ปู้ ฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบ รแู้ จง้ ซงึ่ โลกนี้
และโลกหน้าด้วยตนเอง และประกาศให้ผอู้ ื่นร้ตู ามได้ ไมม่ ีในโลก

ขณะใดทบ่ี คุ คลมคี วามเหน็ ผดิ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ขา้ งตน้ โลภมลู จติ
ท่ีประกอบด้วยทิฏฐิดวงใดดวงหน่ึงใน ๔ ดวง ก�าลังเกิดข้ึนแก่บุคคลน้ัน
ในขณะนน้ั

ความเห็นผิดที่เป็นทิฏฐิพิเศษนี้สามารถน�าสัตว์ไปสู่อบายภูมิได้
พระโสดาบนั บคุ คลสามารถละทฏิ ฐพิ เิ ศษไดท้ งั้ หมด ทา่ นจงึ พน้ จากอบายภมู ิ
ทง้ั ๔ อยา่ งแน่นอน

๓ มานเจตสิก (มา-นะ-เจ-ตะ-สิก) มานะในทางธรรมะจะมี
ความหมายแตกตา่ งจากทางโลก เพราะทางโลกจะแปลวา่ ความวริ ยิ อตุ สาหะ

หรอื ความขยนั หมน่ั เพยี ร แตใ่ นทางธรรมะจะหมายถงึ ความถอื ตวั ทะนงตน
เย่อหย่ิง สา� คัญตนว่าเป็นน่นั เป็นนี่ ชอบเปรียบเทียบตนกับบุคคลอน่ื วา่ ตน
ดกี ว่า เหนือกว่า เก่งกว่า หากด้อยกวา่ ผอู้ ื่นกจ็ ะเกิดการแขง่ ดี หรือบางครั้ง
กย็ กตนเสมอทา่ น

มานเจตสิกประกอบได้กับโลภมูลจิตท่ีไม่ประกอบด้วยความ
เหน็ ผิด ๔ ดวง (ทฏิ ฐคิ ตวิปปยตุ ตจติ ๔) แบง่ เป็น ๒ แบบ คอื

๑ อยาถาวมานะ (อะ-ยา-ถา-วะ-มา-นะ) คือ การถือตัวที่
ไม่เป็นไปตามความเป็นจรงิ (ประเมินตนเองผดิ จากความเป็นจริง)

๒ ยาถาวมานะ (ยา-ถา-วะ-มา-นะ) คือ การถือตัวที่เป็นไป
ตามความเป็นจรงิ

การถอตัวทงั ๒ แบบนี อาจแยกย่อย ดอีก ๙ ลกั ณะ ดังนี

มานะ ๙ ลกั ษณะ มานะ ๒ แบบ
ยาถาวมานะ อยาถาวมานะ
และถือตัวว่าดกี วา่ เขา ๓ ลกั ษณะ ๖ ลกั ษณะ
ตนดกี ว่าเขา แต่ถอื ตวั วา่ เสมอกบั เขา (ถือตัวตามสภาพ (ถอื ตวั ในสภาพ
เป็นจรงิ ) ทไี่ ม่เป็นจริง)
แตถ่ อื ตวั วา่ ดอ้ ยกวา่ เขา
แต่ถอื ตวั ว่าดีกว่าเขา ✓
ตนเสมอกับเขา และถอื ตวั วา่ เสมอกบั เขา
แตถ่ ือตวั ว่าดอ้ ยกว่าเขา X
แต่ถือตวั วา่ ดกี ว่าเขา
ตนด้อยกว่าเขา แต่ถือตัวว่าเสมอกับเขา X
และถือตวั ว่าด้อยกวา่ เขา
X



X

X

X



อยาถาวมานะ ความถือตัวท่ีไม่ตรงความจริง ละได้ด้วยโสดา-
ปตั ติมรรค (เพราะพระโสดาบันจะไมเ่ หน็ ผิดอีกต่อไปแล้ว)

ยาถาวมานะ ความถอื ตวั ทต่ี รงความเปน็ จรงิ ละไดด้ ว้ ยอรหตั ตมรรค

นอภิธรรมขุททกวัตถุวภิ ังค์กล่าวอกี นัยหน่งวา่ มานะมี ๗ ประการ คอ

๑ มานะ ๒ อตมิ านะ ๓ มานาตมิ านะ ๔ โอมานะ ๕ อธิมานะ
๖ อัสมิมานะ ๗ มจิ ามานะ

ซงึ่ คัมภีรใ์ นช้ันอรรถกถาได้อธบิ ายความหมายไวว้ ่า

๑. มานะ คือ ความถอื ตัวในชาติตระกูล ในความรู้ เป็นตน้ แต่
มไิ ด้เปรยี บเทียบกับใคร

๒. อตมิ านะ คอื ความถอื ตวั เกนิ จรงิ วา่ ไมม่ ใี ครเสมอเหมอื นกบั ตน
อกี แลว้ ความถอื ตวั ชนดิ นหี้ ากเกดิ กบั ปถุ ชุ นไมว่ า่ จะเปน็ คนชนั้ สงู -กลาง-ตา่�
กจ็ ะเปน็ เหตใุ หแ้ สดงกริ ยิ าดหู มน่ิ เหยยี ดหยามผทู้ ด่ี อ้ ยกวา่ ขาดความออ่ นนอ้ ม
ถ่อมตน กา้ วร้าว ถอื ตวั หย่ิงยโส หวั ดอ้ื (ถัมภะ) โอ้อวด (สาเถยยะ) ลบหลู่
ไมใ่ หเ้ กียรติผ้อู นื่ เป็นต้น

๓. มานาตมิ านะ คือ ความถือตัวในลักษณะทีว่ ่า “คนนี้เมือ่ กอ่ น
ก็เหมือนเรา แตบ่ ัดน้ีเราประเสรฐิ กว่าและเขาเลวกวา่ เรา”

๔ โอมานะ คอื ความส�าคัญตนว่าตา�่ ตอ้ ยกวา่ ผอู้ ื่น ท�าใหอ้ ยากมี
อยากเป็น อยากเด่น อยากดังเหมือนกับเขาบ้าง อันเป็นแรงขับให้เกิดการ
แขง่ ดี (สารมั ภะ)

๕ อธิมานะ คือ ความส�าคัญตนเกินจริง เช่น ผู้ปฏิบัติธรรม
บางคนทยี่ งั เปน็ ปถุ ชุ น แตส่ า� คญั ตนวา่ เปน็ พระอรยิ บคุ คลหรอื เปน็ พระอรหนั ต์
แล้ว เปน็ ต้น

๖ อัสมิมานะ คือ มานะว่าเราเป็น หรือถือตัวในลักษณะท่ียัง
มีเราเป็นเรา หรือเราเป็นน่ันเป็นนี่ อัสมิมานะเป็นมานะข้ันละเอียดสุด
ซึ่งแม้แตพ่ ระอนาคามกี ็ยังละไม่ได้

๗ มิจ ามานะ คือ ความถอื ตวั ผิด ๆ หยง่ิ ผยองลา� พองในความ
สามารถทีเ่ ปน็ ไปในความชวั่ รา้ ย เช่น ภูมิใจวา่ พดู เทจ็ เกง่ ใคร ๆ กจ็ บั โกหก
ไม่ได้ เป็นต้น



ทิฏฐิ คือ ยดึ ว่าเปน็ ตวั เปน็ ตน หมายถงึ ยดึ ขนั ธ์ ๕ (รูป เวทนา
สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ) วา่ เปน็ ตวั เปน็ ตน ทเี่ รยี กว่า สกั กายทฏิ ฐิ (ดงั กลา่ ว
มาแล้วในเร่อื งทิฏฐเิ จตสิก)

อัสมิมานะ คือ ยึดว่าเป็นนั่นเป็นน่ี เป็นความรู้สึกเกี่ยวกับฐานะ
ของตนและมีการเทียบเคียงกับบุคคลอื่น พระโสดาบัน พระสกทาคามี
พระอนาคามี ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว ไม่ยึดขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตนแล้ว
แตย่ ังยดึ วา่ เป็นนน่ั เป็นนีเ่ พราะยงั มีอัสมมิ านะอยู่

หมายเหตุ

ในหนังสือ “พุทธธรรม” ของสมเด็จพระพุทธโ ษาจารย์ (ป.อ.
ปยุตโต) ไดอ้ ธบิ ายเรือ่ ง “ตวั เรา ของเรา ตัวกู ของก”ู อย่างงา่ ย ๆ ในบนั ทกึ
ท้ายบทที่ ๔ ซ่ึงสรุปได้ ดงั นี้

การยึดว่าเป็นเราเป็นเรื่องของทิฏฐิ (สักกายทิฏฐิ) ซ่ึงจะละได้
เม่อื บรรลโุ สดาปัตตผิ ล

การยึดว่าเป็นของเราคือความรู้สึกผูกพันในของของตน (เช่น
นางวสิ าขามหาอบุ าสกิ า ซง่ึ เปน็ พระโสดาบนั แลว้ กย็ งั เกดิ ความทกุ ขเ์ มอื่ หลาน
เสียชีวิต) เป็นเรอ่ื งของตณั หา (โลภะ) ซง่ึ จะละไดเ้ ม่ือบรรลุอรหตั ตผล

การยึดว่าน่ีเรานะ (เราเป็นน่ันเป็นน่ี) ท�าให้เกิดการเปรียบเทียบ
ระหว่างตนเองกับผู้อ่ืนเป็นเรื่องของอัสมิมานะ ซ่ึงจะละได้เมื่อบรรลุ
อรหตั ตผล

สรปุ

๑. โลตกิ เจตสิก ๓ ไดแ้ ก่ โลภะ ทิฏฐิ และมานะ จะมโี ลภเจตสกิ
เป็นประธาน

๒. โลภเจตสิกจะประกอบกับโลภมูลจติ ทั้ง ๘ ดวง
๓. ทฏิ ฐเิ จตสิกจะประกอบกับทิฏฐคิ ตสมั ปยุตตจิตทงั้ ๔ ดวง
๔. มานเจตสกิ จะประกอบกบั ทิฏฐคิ ตวปิ ปยตุ ตจติ ๔ ดวง (ตาม
โอกาสอนั ควร)

อก ล สก กล่ ก สก

โทจตุกเจตสิก หมายถึง กลุ่มเจตสิกที่มีโทสเจตสิกเป็นประธาน
มี ๔ ชนดิ คอื

๑. โทสเจตสิก ๒. อสิ สาเจตสกิ

๓. มัจฉริยเจตสิก ๔. กุกกุจจเจตสกิ

ทก่ี ลา่ ววา่ มโี ทสเจตสกิ เปน็ ประธานนน้ั หมายความวา่ อสิ สาเจตสกิ
มจั ฉรยิ เจตสกิ และกกุ กจุ จเจตสกิ จะตอ้ งเกดิ ขนึ้ พรอ้ มกบั โทสเจตสกิ ทกุ ครง้ั
จะเกิดโดยไมม่ ีโทสเจตสกิ เปน็ ผูน้ า� ไมไ่ ด้เด็ดขาด

๑ โทสเจตสิก (โท-สะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาตทิ ีแ่ สดงออกถึง
ความไมช่ อบใจในอารมณ์ เช่น ความโกรธ ความไม่พอใจ ความไมช่ อบใจ
ความเขนิ อาย ความหงดุ หงดิ ความเศรา้ โศกเสยี ใจ ความกลวั ตกใจ เกลยี ด
กลุ้มใจ ท�าให้กายและใจหยาบกระด้าง หรือมคี วามดุรา้ ย เปน็ ตน้

๒ อิสสาเจตสิก (อิด-สา-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติที่ไม่ยินดี
ไมพ่ อใจ ไมช่ น่ื ชมในทรพั ยส์ มบตั หิ รอื คณุ ความดขี องบคุ คลอน่ื คอื ไมพ่ อใจ
ท่เี หน็ บุคคลอืน่ ไดด้ ี มคี วามสขุ มฐี านะ มชี ื่อเสียง ไดร้ ับการยอมรับ หรือ
ประสบความส�าเร็จเกินหน้าตน

๓ มจั ริยเจตสกิ (มดั -ฉะ-ร-ิ ยะ-เจ-ตะ-สกิ ) เป็นธรรมชาตทิ ม่ี ี
ความตระหน่ี ไดแ้ ก่ ความหวงแหนในทรพั ยส์ มบัตหิ รอื คณุ ความดขี องตน
ไม่ต้องการสละทรัพย์สมบัติของตนเพ่ือประโยชน์แก่บุคคลอื่นหรือสัตว์อื่น
มี ๕ ลกั ษณะคือ

๓ ๑ ตระหน่ีที่อยู่อาศัย หมายถึง ความหวงแหนที่อยู่อาศัย
ไม่ยอมใหใ้ ครมาพักอาศยั รว่ มด้วย การหวงทน่ี ่ัง - นอน - ยนื - เดนิ กช็ อ่ื วา่
อาวาสมจั ฉรยิ ะเช่นกนั

๓ ๒ ตระหน่ีตระกูล หากเป็นภิกษุก็จะหวงตระกูลที่เป็น
โยมอปุ ฏั ฐากของตน ไม่ยินดีใหภ้ กิ ษุอืน่ ไดร้ จู้ ัก หากเปน็ ราวาสก็จะกีดกนั
ไมใ่ ห้ลูกหลานของตนไปแตง่ งานกับตระกูลอ่นื ท่ตี า�่ กว่า เป็นต้น

๓ ๓ ตระหนล่ี าภ ได้แก่ การหวงแหนสมบตั ติ า่ ง ๆ จะเป็น
เครื่องอุปโภคหรือบริโภคก็ตาม เมื่อมีผู้มาขอก็มีความหวงแหนไม่ยอม
แบง่ ปันให้

๓ ๔ ตระหน่ีวรรณะ (หวงผิวพรรณ หวงความงาม หวง
คุณความดี หวงชนั้ วรรณะ หวงยศต�าแหน่ง) มหี ลายลกั ษณะ เช่น

- หวงแหนในความสวย ความงามของตน ไม่ยินดีให้
ผู้อ่ืนสวยเกินกว่าตน เมื่อได้ยินใครกล่าวชมเชยความสวยงามของผู้อ่ืน
กจ็ ะไมพ่ อใจฟงั

- หวงแหนในคณุ ความดหี รอื ความเกง่ กลา้ สามารถของตน
เมอื่ ไดย้ นิ ใครสรรเสรญิ คณุ ความดหี รอื ความเกง่ กลา้ สามารถของผอู้ นื่ กเ็ กดิ
ความไมส่ บายใจ ไม่อยากฟงั

๓ ๕ ตระหนธ่ี รรม คอื หวงวชิ าความรทู้ งั้ ทางโลก (โดยอนโุ ลม)
และทางธรรมด้วยเกรงวา่ ผูอ้ ื่นจะเหนอื กว่าตน เกง่ กวา่ ตน

๔ กุกกุจจเจตสิก (กุก-กุด-จะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติที่
ท�าให้เกิดความเดือดร้อนใจ เกิดความร�าคาญใจ เม่ือนึกถึงส่ิงไม่ดีท่ีได้
กระท�าไปแล้ว หรือสิ่งดี ๆ ที่ยังไม่เคยกระท�ามาก่อนจึงเกิดความขุ่นมัว
เศรา้ หมอง รนั ทดใจ หมดกา� ลงั ใจ ทา� ใหส้ ภาพจติ กลายเปน็ โทสะอันมคี วาม
เดือดร้อนใจเป็นอาการปรากฏ

การกระท�าที่เป็นเหตุให้บุคคลต้องเดือดร้อนใจในภายภาคหน้า
(กกุ กุจจะ) เช่น

๑. ไมแ่ สวงหาทรัพย์ตอนท่ียังเป็นหนุ่มเป็นสาว ทา� ให้ยากจนใน
วยั ชรา

๒. ไมไ่ ด้ศึกษาศลิ ปวิทยาเม่อื ตอนปฐมวัย ทา� ให้ตอ้ งทา� งานหนกั
เพอ่ื แลกกบั เงิน

๓. ชอบคดโกงหรือใส่ร้ายปายสีจนท�าให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์
ระทมอย่างแสนสาหัส ต่อมาเกิดส�านกึ ผดิ จึงเดอื ดรอ้ นใจวา่ เราไม่นา่ กระทา�
กรรมชั่วช้าเชน่ น้นั เลย

๔. ชอบ า่ สตั วด์ ว้ ยความโหดรา้ ยทารณุ จงึ หวาดผวาตอ่ ผลกรรม
ท่ีจะย้อนมาถงึ ตน

๕. ชอบคบชกู้ บั ภรรยาสามขี องผอู้ น่ื ทา� ใหเ้ ดอื ดรอ้ นใจอยเู่ ปน็ นจิ
เมอ่ื ระลึกถึงกรรมอันชัว่ นั้น

๖. ความตระหนี่ถี่เหนียว หวงแหนในทรัพย์สมบัติของตน
ต่อมาเกิดส�านึกรู้สึกตัวว่าการกระท�าของตนท่ีผ่านมาเป็นไปด้วยอ�านาจ
ความตระหน่ี มแี ต่สรา้ งความทุกข์ใหก้ ับตนเองและบคุ คลรอบขา้ งโดยไม่มี
คณุ งามความดใี ด ๆ เกิดขึ้นจากทรพั ยส์ มบัติเหล่าน้ันเลย

๗. ไม่เคยเลี้ยงดูบิดามารดาและรู้สึกเสียใจในภายหลังเมื่อบิดา
มารดาไดจ้ ากไปแล้ว

๘. ไมเ่ ชอื่ ฟงั คา� อบรมสงั่ สอนของบดิ ามารดา กลบั ดหู มนิ่ เมนิ เฉย
ตอ่ ค�าพร�่าสอนจนเดินทางผดิ และมาคดิ เสยี ใจในภายหลงั

๙. ไม่เคยศึกษาหาความรู้ หรือสนทนาธรรมกับผู้ทรงศีลท่ีเป็น
พหูสูต จึงไม่มีศรัทธาในการกระท�าความดี แต่กลับประพฤติมิชอบอันก่อ
ให้เกิดความทุกขท์ ั้งแก่ตนเองและบคุ คลอน่ื เมอ่ื นกึ ได้ก็สายไปเสยี แล้ว

ขณะใดท่ีปรารภถึงความช่ัวท่ีตนเองได้ท�าไปแล้ว และความดีท่ี
ตนเองยงั ไมเ่ คยทา� จนทา� ใหเ้ กดิ ความเดอื ดรอ้ นใจแสดงวา่ ขณะนน้ั โทสมลู จติ
ก�าลังเกิดขึน้ โดยมกี ุกกุจจเจตสิกเข้าประกอบดว้ ย

เน่ืองจาก กุกกุจจเจตสิกมีอารมณ์ท่ีแตกต่างจากอิสสาเจตสิก
และมัจฉริยเจตสิก ดังนั้นเจตสิกท้ัง ๓ นี้จึงไม่สามารถเกิดร่วมกันได้
เจตสิกท้ัง ๓ ชนิดน้ีมีชื่อเรียกว่า นานากทาจิ (นา-นา-กะ-ทา-จิ) แปลว่า
เจตสกิ ที่ประกอบกบั จิตเป็นบางครง้ั บางคราวและไมเ่ กิดพร้อมกัน


๑. กลา่ ววาจาสอ่ เสยี ด ใสร่ า้ ยปายสีบุคคลท่ตี วั เองเกลยี ดชัง
๒. คิดประทุษรา้ ยบุคคลทตี่ ัวเองเกลียดชงั
๓. ไมอ่ นโุ มทนาในทรพั ยส์ มบตั ิ หรอื คณุ งามความดขี องบคุ คลอน่ื
๔. อกตัญญูต่อผู้มีคณุ เม่ือโกรธข้ึนมาแลว้ ยอ่ มขาดสติ สามารถ
กระท�าไดท้ ุกอยา่ งแม้กบั บคุ คลผมู้ พี ระคุณ
๕. มีจิตใจหยาบกระด้าง ไม่อ่อนน้อม มุทะลุดุดัน ไร้เหตุผล
ขาดสติ ขาดปัญญา

๖. มีความอิจฉาริษยาในทรัพย์สมบัติและคุณงามความดีของ
ผู้อ่ืน เห็นบุคคลอื่นได้ดีแล้วทนไม่ได้ ไม่ต้องการเห็นผู้อ่ืนได้ดีมีความสุข
มากกวา่ ตน และอาจแสวงหาชอ่ งทางทจ่ี ะทา� ลายความเจรญิ ของบคุ คลอนื่ ดว้ ย

๗. เจา้ โทสะ โมโหร้าย
๘. ตระหนห่ี วงแหนทรพั ยส์ มบตั แิ ละคณุ ความดขี องตน ไมต่ อ้ งการ
เห็นบุคคลอืน่ ดีเหมือนตน เก่งเหมอื นตน รวยเหมอื นตน มีความสุข มหี น้า
มตี าเหมอื นตน เปน็ ต้น
๙. ผกู โกรธ เมอ่ื โกรธแลว้ กผ็ กู โกรธเปน็ เวลานาน แมเ้ ปน็ ความผดิ
เล็กน้อยกต็ าม
๑๐. หงดุ หงิดรา� คาญใจง่ายแม้ในเรือ่ งเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่ีไม่ควรถือ
เอาเป็นสาระก็เห็นเป็นเรื่องใหญ่โต โกรธกระฟัดกระเฟียดโดยไร้เหตุผล
เหน็ อะไรก็ขวางหขู วางตาไปหมด
๑๑. มีความอา าต พยาบาท จองเวร หรือหาวิธีการประทุษร้าย
บคุ คลอน่ื หรอื สง่ิ อนื่ ทต่ี นไมช่ อบใจ
๑๒. จิตใจหยาบกระด้าง ไม่อ่อนโยน มีการกล่าวค�าหยาบคาย
ด่าทอ (ผรุสวาจา)
๑๓. เกดิ อาการตกใจหรอื กลวั ภยั ต่าง ๆ
๑๔. เกดิ ความเกลียด (ไมช่ อบ) รังเกยี จ และขยะแขยง
๑๕. เกดิ อาการรอ้ งไหเ้ พราะเสยี ใจในเหตุการณ์บางอยา่ ง
๑๖. อาการกล้มุ ใจก็เปน็ ผลของโทสเจตสกิ เช่นกนั
๑๗. อาการอนื่ ๆ อกี มากมาย

สรปุ

๑. จิตท่ีกระทบกับอารมณ์ท่ีไม่ชอบ ไม่พอใจ ขัดเคืองใจ จะมี
โทสเจตสกิ เขา้ ประกอบ๒๔ ทา� ใหเ้ กดิ อาการโกรธ เกลยี ด กลวั กลมุ้ รา� คาญใจ
เศร้าใจ เสียใจ อบั อาย เปน็ ต้น ด้วยเหตนุ เี้ วทนาของโทสมลู จิตทั้ง ๒ ดวง
จึงเปน็ โทมนัสเวทนา (ไมส่ บายใจ ทกุ ขใ์ จ)

๒. โทจตุกเจตสิกทั้ง ๔ ดวง คือ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ และ
กกุ กุจจะ จะประกอบในโทสมลู จิต ๒ ดวงเท่านัน้ ประกอบกับจติ อ่ืนไม่ได้
และในโทสมลู จติ ๒ ดวงน้ี จะตอ้ งมโี ทสเจตสกิ เขา้ ประกอบอยา่ งแนน่ อน สว่ น
อสิ สา มัจฉรยิ ะ และกกุ กุจจะ ประกอบไดไ้ ม่แนน่ อนขึน้ อยู่กบั สถานการณ์
และอารมณ์ท่กี า� ลงั ประสบอยู่ในขณะนั้น

หากมีสมบัติและคุณความดีของผู้อ่ืนเป็นอารมณ์ เม่ือรู้อารมณ์
น้ันแล้วเกิดความริษยาไม่พอใจ อิสสาเจตสิกจะเข้าประกอบกับโทสมูลจิต
สว่ นมัจฉรยิ ะและกุกกจุ จะจะไม่เข้าประกอบ

หากเป็นอารมณ์เก่ียวกับทรัพย์สมบัติและคุณความดีของตนท่ี
ไม่ยอมให้ตกเป็นของผู้อ่ืน มัจฉริยเจตสิกจะเข้าประกอบกับโทสมูลจิต
สว่ นอสิ สาและกุกกจุ จะจะไมเ่ ข้าประกอบ

หากเป็นอารมณ์เกี่ยวกับทุจริตกรรมที่ตนได้กระท�าไปแล้ว หรือ
สุจริตกรรมท่ีตนอยากจะท�าแล้วยังไม่ได้ท�า กุกกุจจเจตสิกจะเข้าประกอบ
กับโทสมูลจิต ส่วนอสิ สาและมัจฉรยิ ะจะไมเ่ ขา้ ประกอบ

๒๔ ควรยอ้ นกลบั ไปอา่ นเร่อื ง “โทสมูลจิต ๒” ควบคู่ไปด้วย

อก ล สก กล่ ก สก

ถีทุกเจตสิก (ถี-ทุ-กะ-เจ-ตะ-สิก) ประกอบด้วยเจตสกิ ๒ ชนิด
ท่ีท�าให้จิตและเจตสิกท่ีเกิดพร้อมกับตนท้อถอยจากการรับอารมณ์ที่ก�าลัง
เผชญิ อยู่

ถที ุกเจตสกิ ๒ ประกอบดวยถีนเจตสิกและมทิ ธเจตสกิ

๑ ถีนเจตสิก (ถี-นะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติที่ท�าให้จิตหดหู่
ท้อถอยจากอารมณ์ หรือท�าใหจ้ ิตคลายจากความขะมกั เขม้นในอารมณน์ นั้

๒ มทิ ธเจตสกิ (มดิ -ทะ-เจ-ตะ-สิก) เปน็ ธรรมชาตทิ ี่ท�าให้เจตสกิ
ทีเ่ กิดขนึ้ พรอ้ มกับตนเซอ่ื งซมึ ท้อถอยจากอารมณ์

ถีทุกเจตสิก ๒ จะเข้าประกอบกับอกุศลจิตประเภทท่ีเกิดข้ึนได้
เพราะมกี ารกระต้นุ ชกั ชวน (สสงั ขาริก) ซึง่ มเี พยี ง ๕ ดวงเทา่ นนั้ และเจตสิก
๒ ชนดิ นจ้ี ะเขา้ ประกอบพรอ้ มกนั เสมอ โดยถนี เจตสกิ มหี นา้ ทท่ี า� ใหจ้ ติ ทเ่ี กดิ
พร้อมกบั ตนทอ้ ถอยจากอารมณ์ ส่วนมิทธเจตสิกมีหน้าที่ทา� ให้เจตสิกอน่ื ๆ
ท่ีเกิดพร้อมกับตนท้อถอยจากอารมณ์ จึงท�าให้จิต เจตสิกท่ีเกิดร่วมกับ
เจตสิก ๒ ชนิดน้ีมีลักษณะหดหู่ เซ่ืองซึม ห่อเหี่ยว ท้อแท้ หมดหวัง
ซึมเซา หรือเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน เป็นเหตุให้เกิดความเกียจคร้าน
ไมก่ ระตอื รอื รน้ ปลอ่ ยปละละเลย ดงั นน้ั คนทถ่ี กู ถนี ะมทิ ธะครอบงา� จงึ มกั จะ
มอี าการงว่ งเหงาซมึ เซา หรอื มคี วามหดหแู่ ละเซอื่ งซมึ ขาดความกระตอื รอื รน้
ในการท�ากจิ กรรมต่าง ๆ ขาดกา� ลงั ใจและหมดความหวังในชีวิต เกิดความ
เบ่ือหน่ายในชีวิตไม่คิดจะท�าสิ่งใด ๆ ขาดวิริยอุตสาหะในการท�าสิ่งต่าง ๆ
ได้แต่ปลอ่ ยใหค้ วามคิดเลื่อนลอยไปเรื่อย ๆ จึงไม่สามารถรวมเปน็ หนงึ่ ได้

ดงั นน้ั จติ ทมี่ เี จตสกิ ๒ ชนดิ นเี้ ขา้ ประกอบจงึ ตอ้ งอาศยั การกระตนุ้
ชกั ชวนจงึ จะเกดิ ข้นึ ได้

อก ล สก กล่ ก ฉา สก

วจิ กิ ิจ าเจตสกิ (วิ-จ-ิ กิด-ฉา-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาตทิ ่มี คี วาม
เคลือบแคลงสงสยั ในอารมณ์ ทา� ใหเ้ กิดความลังเลใจ ตัดสนิ ใจไม่เดด็ ขาด
ขาดความเชื่อมน่ั ขาดความมั่นใจ จะท�าส่ิงใดกไ็ ปได้ไมต่ ลอดรอด ัง

ความสงสัยในความหมายของวิจิกิจฉาเจตสิกน้ี ได้แก่ ความ
สงสัยในองค์พระศาสดา (ส�าหรับชาวพุทธจะหมายถึงพระพุทธเจ้า) สงสัย
ในหลักธรรมค�าสอน สงสัยในพระสง ์ สงสัยในแนวทางการปฏิบัติเพ่ือ
ความพ้นทุกข์ สงสัยว่าชาติท่ีแล้วมีจริงหรือไม่ ชาติหน้ามีจริงหรือไม่
รวมถึงความสงสัยเรอื่ งกฎแห่งกรรม และการเวียนวา่ ยตายเกิด

ความสงสัยท่ีเป็นวิจิกิจฉานี้ เม่ือเกิดข้ึนในจิตใจของผู้ใดแล้ว
ยอ่ มทา� ใหจ้ ติ ใจของผนู้ นั้ หยาบกระดา้ งและเปน็ เครอื่ งสกดั กน้ั มใิ หก้ ศุ ลธรรม
เกดิ ขน้ึ ได้ หรอื บางทีอาจทา� ให้กุศลทีเ่ กดิ ขึน้ แล้วเสอ่ื มลงได้

สว่ นความสงสัยในชือ่ คน สตั ว์ สง่ิ ของทีย่ ังไมร่ ้จู กั หรอื สงสยั ใน
วิชาการด้านต่าง ๆ ที่ยังไมเ่ ข้าใจ หรอื สงสยั ในสมมตุ บิ ัญญัติตา่ ง ๆ ไมจ่ ดั
เปน็ วจิ กิ จิ ฉาในโมหมลู จติ แตจ่ ดั เปน็ ปฏริ ปู กวจิ กิ จิ ฉา (ปะ-ต-ิ ร-ู ปะ-กะ-ว-ิ จ-ิ
กดิ -ฉา) หรือ วิจิกิจฉาเทยี ม อันเกดิ จากอุทธัจจเจตสกิ

วจิ ิกิจฉาเจตสกิ นจ้ี ะประกอบกบั จิตหมายเลข ๑๑ เพยี งดวงเดียว
เทา่ นั้น

บ ่ี
ส เ สก

โสภณ แปลวา่ งาม ดงั น้ันโสภณเจตสิก (โส-พะ-นะ-เจ-ตะ-สกิ )
จึงหมายถึง เจตสิก ายดีงาม เม่ือประกอบกับจิตแล้วจะท�าให้จิตผ่องใส
ไม่เศร้าหมองเร่าร้อน ต้ังอยู่ในความดีงาม เว้นจากบาปและทุจริตทั้งปวง
ประกอบด้วยเจตสิก ๒๕ ชนิด คอื โสภณสาธารณเจตสกิ ๑๙ วิรตีเจตสกิ ๓
อัปปมัญญาเจตสิก ๒ และปัญญาเจตสิก ๑

จติ ทมี่ โี สภณเจตสกิ เขา้ ประกอบ เรยี กวา่ โสภณจติ (โส-พะ-นะ-จติ )
ซง่ึ มีทัง้ หมด ๕๙ ดวง (โดยยอ่ ) หรอื ๙๑ ดวง (โดยพสิ ดาร) ได้แก่

• กามาวจรโสภณจิต ๒๔
• รูปาวจรจิต ๑๕
• อรูปาวจรจติ ๑๒
• มรรคจติ ๔ หรือ ๒๐
• ผลจติ ๔ หรอื ๒๐

ส สก บ่งออก น กล่

(ดรู ปู ทหี่ นา ๑๕๒)

โสภณเจตสกิ ๒๕ ๑. โสภณสาธารณเจตสกิ ๑๙ สทั ธา (ศรัทธา) กายลหตุ า
๒. วิรตเี จตสกิ ๓ สติ จิตตลหตุ า
หิริ กายมทุ ุตา
โอตตัปปะ จิตตมุทุตา
อโลภะ กายกัมมัญญตา
อโทสะ จิตตกัมมัญญตา
ตตั ตรมัชฌัตตตา กายปาคญุ ญตา
กายปัสสทั ธิ จติ ตปาคุญญตา
จติ ตปัสสัทธิ กายชุ กุ ตา

จติ ตชุ ุกตา

สมั มาวาจา
สัมมากมั มันตะ
สัมมาอาชีวะ

กรุณา
๓. อปั ปมัญญาเจตสกิ ๒ มุทิตา

๔. ปัญญาเจตสิก ๑

ส สก บง่ ออก น กล่

สทั ธา สติ หริ ิ โอตตปั ปะ อโลภะ อโทสะ ตัตตรมัช กาย จติ ต
ฌตั ตตา ปสั สัทธิ ปัสสทั ธิ

สมั มา สัมมา สัมมา กาย จิตต
ลหตุ า ลหุตา
วาจา กมั มนั ตะ อาชีวะ วริ ตีเจตสกิ ๓

กรุณา มุทิตา อปั ปมัญญาเจตสิก ๒ กาย จิตต
มทุ ุตา มทุ ตุ า

ปญั ญา ปญั ญาเจตสิก ๑ กาย จิตต
กัมมัญญ กมั มญั ญ

ตา ตา

กาย จติ
ปาคุญญ ปาคุญญ

ตา ตา

กายุ จิตตุ
ชุกตา ชกุ ตา

โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙

ส สก กล่ ส สา าร สก

โสภณสาธารณเจตสิก (โส-พะ-นะ-สา-ทา-ระ-นะ-เจ-ตะ-สิก) มี
๑๙ ชนดิ เปน็ เจตสกิ ทีป่ ระกอบกบั โสภณจิตท้งั ๕๙ (๙๑) ดวง ทกุ ครังที่
โสภณจติ ดวง ดดวงหนง่ เกดิ ขนจะตองมโี สภณสาธารณเจตสกิ ทงั ๑๙ ชนดิ

เกดิ รว่ มดวยเสมอโดย มม่ ยี กเวน หมายความวา่ จะเกดิ ขนพรอมกนั ครบทงั

๑๙ ชนิด

โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ประกอบดวยเจตสกิ ดังนี

๑ สัทธาเจตสิก (สัด-ทา-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติที่มี
ความเชอื่ และความเลื่อมใสในองค์พระศาสดา ในพระธรรมคา� สอน และใน
พระสง ์ หรือนักบวชในศาสนาท่ีตนนับถือ เฉพาะชาวพุทธยังมีความเชื่อ
เรื่องการเวียนวา่ ยตายเกิด เช่อื เรื่องกรรมและผลของกรรมอกี ส่วนหนึง่ ดว้ ย

สัทธาจึงเป็นพื้นฐานเบ้ืองต้นที่จะท�าให้บุคคลประกอบคุณงาม
ความดี มีการแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น การท�าบุญให้ทาน รักษาศีล และ
เจรญิ ภาวนา เป็นต้น

๒ สติเจตสิก (สะ-ติ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติที่เป็นปฏิปักษ์
ต่อความเผลอตัว เผลอใจ คือเป็นธรรมชาติท่ีท�าให้รู้ว่าส่ิงน้ีมีประโยชน์
สิ่งน้ีไม่มีประโยชน์ ส่ิงนี้เป็นกุศล ส่ิงน้ีเป็นอกุศล ส่ิงนี้มีคุณ ส่ิงน้ีมีโทษ
พิจารณาถึงผลดีผลเสียท่ีจะเกิดข้ึนจากการกระท�าและการพูด โดยยึด
หลกั คุณธรรมและจรยิ ธรรมเป็นที่ตง้ั ร้วู ่าส่งิ ใดควรทา� ส่งิ ใดไมค่ วรท�า เป็น
เหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น กุศลธรรมท่ีเกิดขึ้นแล้วย่อมเจริญ
งอกงามยิ่งขึ้น พร้อมทั้งช่วยปองกันอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
ท�าอกศุ ลธรรมทเ่ี กิดข้ึนแลว้ ให้อ่อนกา� ลงั ลงและหมดสิน้ ไปในที่สดุ

สตเิ ป็นธรรมมีอปุ การะมากทังทางโลกและทางธรรม ไม่วา่ จะเป็น
การกระท�าทางกาย ทางวาจา ตลอดจนการคิดในเร่ืองต่าง ๆ สติจะช่วย
ยบั ยงั้ มใิ หต้ กไปใน ายอกศุ ล มใิ หเ้ กดิ ความเสอ่ื มเสยี สตจิ งเปน็ ธรรม ายดี
หรอธรรม ายขาว ม่สามารถเขาร่วมกับ ายด�าคออกุศลธรรมทังหลาย ด
เม่ือการงานอย่างใดอย่างหนึ่งมีสติเข้าก�ากับย่อมแน่ใจได้ว่าการงานน้ันจะ
เปน็ การงานทชี่ อบ ประกอบดว้ ยธรรม คอื ไมผ่ ดิ ศลี ธรรมและจารตี ประเพณี
อนั ดีงาม ท�าแลว้ ไม่มีโทษหรือไม่มผี ลเสียติดตามมาภายหลังอย่างแนน่ อน

สา� หรบั การกระทา� ทง้ั หลายทเ่ี ปน็ ายอกศุ ล ซง่ึ บางทา่ นอาจจะแยง้ วา่
ก็ต้องใช้สติเหมือนกันจึงจะไม่เกิดความผิดพลาด เช่น จะขโมยสินค้า
จากร้านสะดวกซ้ือก็จะต้องมีสติคอยระมัดระวังเพ่ือมิให้ถูกจับได้ ขอให้
เขา้ ใจวา่ อกุศลกรรมทั้งหลายจะไม่มี “สตเิ จตสกิ ” เข้าประกอบโดยเด็ดขาด
เพราะสตจิ ะปองกนั มใิ หอ้ กศุ ลกรรมเกดิ ขนึ้ ดงั นนั หากมสี ตเิ กดิ ขน อกศุ ลกรรม
ทงั หลายกเกดิ ขน ม่ ด

การท่ีอกุศลกรรมท้ังหลายเกิดขึ้นได้นั้นเพราะมีวิตกเจตสิก
วจิ ารเจตสกิ สญั ญาเจตสกิ วริ ยิ เจตสกิ และเจตนาเจตสกิ เปน็ แรงขบั เคลอื่ น
ท�าให้เกิดการจดจ่อ จดจ�า และต้ังใจเพื่อมิให้การทา� อกศุ ลกรรมของตนเกดิ
ความผดิ พลาด

“สติ” เป็นโสภณสาธารณเจตสิก จงเขาประกอบกับโสภณจิต ด
ทังหมด (ทงั ๕๙ ดวงโดยย่อ หรอ ๙๑ ดวงโดยพิสดาร)

๓ หิริเจตสิก (หิ-ริ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติท่ีละอายต่อ
การทา� บาป ละอายตอ่ การกระทา� ทเ่ี ปน็ อกศุ ลทง้ั ปวง ทงั้ ทางกายและทางวาจา

๔ โอตตัปปเจตสิก (โอด-ตับ-ปะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติท่ี
มีความเกรงกลัวต่อผลของบาป คือ กลัวผู้อื่นติเตียน กลัวถูกลงโทษตาม
กฎหมาย ตลอดจนกลวั ภัยในอบายภมู ิ

๕ อโลภเจตสิก (อะ-โล-พะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติท่ีเป็น
ปฏปิ กั ษ์กับโลภเจตสิก คือไมย่ ึดติดในกามคุณอารมณอ์ นั ได้แก่ รูปสวย ๆ
เสยี งท่ีไพเราะ กล่นิ หอม ๆ รสชาติอร่อย ๆ สุขทางกาย และความร่ืนรมย์
ทางใจ ไม่ยึดติดกับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่หวงแหน เป็นเหตุให้มีการบริจาค
การเสยี สละ การรักษาศลี การเจริญภาวนา เป็นผ้มู กั น้อย รักสนั โดษ และ
เนอ่ื งจากเปน็ ธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ ปฏปิ กั ษก์ บั โลภเจตสกิ จงึ ไดช้ อ่ื วา่ อโลภเจตสกิ

๖ อโทสเจตสิก (อะ-โท-สะ-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติท่ีท�าให้
จติ ไมโ่ กรธ ไม่อา าต ไม่ดรุ า้ ย ไม่พยาบาท ไมเ่ บียดเบียน ไมเ่ คร่งเครียด
ไมข่ ่นุ เคอื ง มคี วามปรารถนาดตี ่อผอู้ นื่ หรอื สัตวอ์ ่ืน ปราศจากความเร่ารอ้ น
ท�าให้จิตเกิดความเยือกเย็นผ่องใส มีความรัก มีความเมตตาต่อบุคคลอื่น
และสตั วอ์ ่นื

๗ ตัตตรมัช ัตตตาเจตสิก (ตัด-ตะ-ระ-มัด-ชัด-ตะ-ตา-เจ-
ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติท่ีท�าให้จิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกับตนในขณะนั้น
ท�ากิจของตนอย่างสม�่าเสมอ ทา� ใหว้ างใจเปน็ กลางไดใ้ นสถานการณท์ ัง้ ปวง
ไมเ่ อนเอยี งดว้ ยอา� นาจอคติ เปน็ ธรรมชาตทิ ท่ี า� ใหเ้ กดิ อเุ บกขา (การวางเฉย)
เชน่

- งคุเปกขา เป็นอุเบกขาของพระอรหนั ต์ ในขณะทีก่ ระทบ
กบั อารมณท์ ่นี ่าพอใจกต็ ามหรอื ไมน่ า่ พอใจกต็ าม ทา่ นย่อมวางเฉยได้

- พรหมวิหารอุเบกขา เป็นอุเบกขาในพรหมวิหาร ๔ คือ
การวางเฉยเปน็ กลางในสตั ว์ทั้งหลายท้งั ทเี่ ปน็ ทกุ ข์และเป็นสุข

- โพช งั คเุ ปกขา เปน็ อเุ บกขาในโพชฌงค์ ๗ คอื สภาพเปน็ กลาง
ของธรรมทั้งหลายทเ่ี ป็นไปโดยสมา�่ เสมอในหนทางแห่งมรรคญาณ

- านุเปกขา ไดแ้ ก่ อุเบกขาของโยคบี คุ คลผูบ้ รรลจุ ตุตถฌาน
(ตามปญั จกนัย) คอื จะวางเฉยต่อสขุ ในฌาน ๔ มสี ภาพเปน็ กลาง (ไม่ใส่ใจ
ในสขุ อันประณีตทเี่ กดิ ขน้ึ ในรปู ฌาณท่ี ๔)

- ปารสิ ทุ ธเุ ปกขา ไดแ้ ก่ อเุ บกขาของปญั จมฌานลาภบี คุ คลทวี่ างเฉย
ในฌาน ๕ อันปราศจากปีติและสุขแล้ว (เป็นคนละส่วนกับอุเบกขาเวทนา
ที่เป็นองค์ฌาน เพราะอเุ บกขาเวทนาเปน็ เวทนาขนั ธ์ มใิ ช่สังขารขันธ)์

ปสสทั ธเิ จตสกิ เปน็ ธรรมชาตทิ ที่ า� ใหจ้ ติ และเจตสกิ ทเ่ี กดิ รว่ มกบั ตน

มอี าการสงบปราศจากความกระวนกระวาย มี ๒ ชนดิ คือ

๘ กายปสสัทธิเจตสิก (กา-ยะ-ปัด-สัด-ทิ-เจ-ตะ-สิก) เป็น
ธรรมชาติท่ีท�าให้เจตสิกขันธ์ ๓ (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์)
มีอาการสงบ อยูใ่ นการงานท่ีเป็นกุศล (กายในท่นี ี้ หมายถึง เจตสกิ ขันธ์ ๓
มิไดห้ มายถึง รูปขนั ธ์)

๙ จิตตปสสัทธิเจตสิก (จิด-ตะ-ปัด-สัด-ทิ-เจ-ตะ-สิก) เป็น
ธรรมชาติทท่ี �าให้จติ (วญิ ญาณขันธ์) มีอาการสงบอยู่ในการงานทีเ่ ปน็ กศุ ล

ลหุตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ท�าให้จิตและเจตสิกที่เกิดร่วม

กับตน มีความเบาและสามารถกระท�าการงานที่เป็นกุศลได้โดยสะดวก
มี ๒ ชนิด คอื

๑๐ กายลหุตาเจตสิก (กา-ยะ-ละ-หุ-ตา-เจ-ตะ-สิก) เป็น
ธรรมชาติที่ท�าให้เจตสิกขันธ์ ๓ (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์)
มคี วามเบาในการงานที่เป็นกศุ ล

๑๑ จติ ตลหตุ าเจตสกิ (จดิ -ตะ-ละ-ห-ุ ตา-เจ-ตะ-สกิ ) เปน็ ธรรมชาติ
ที่ท�าให้จิต (วญิ ญาณขนั ธ)์ มีความเบาในการงานทีเ่ ป็นกุศล

มทุ ตุ าเจตสกิ เปน็ ธรรมชาตทิ ที่ า� ใหจ้ ติ และเจตสกิ ทเ่ี กดิ รว่ มกบั ตน

มีความอ่อนโยนและน้อมเข้าไปหากุศลธรรมหรือความดีงามท้ังหลายได้
โดยสะดวก มี ๒ ชนิด คือ

๑๒ กายมุทุตาเจตสิก (กา-ยะ-มุ-ทุ-ตา-เจ-ตะ-สิก) หมายถึง
ธรรมชาตทิ ที่ า� ใหเ้ จตสกิ ขนั ธ์ ๓ (เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ สงั ขารขนั ธ)์ ออ่ นโยน
ในการงานทเี่ ปน็ กุศล

๑๓ จิตตมุทุตาเจตสิก (จิด-ตะ-มุ-ทุ-ตา-เจ-ตะ-สิก) หมายถึง
ธรรมชาติที่ทา� ใหจ้ ิต (วญิ ญาณขนั ธ)์ ออ่ นโยนในการงานท่ีเปน็ กศุ ล

กัมมั ตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่มีความพร้อมในการงาน

ท่ีเป็นกุศล โดยปราศจากความเหน่ือยหน่าย ความอึดอัด ความเซ่ืองซึม

กัมมัญญตาเจตสิก จึงเปรียบเหมือนยาชูก�าลังที่ท�าให้จิตและเจตสิกมี
ความแชม่ ชนื่ แจ่มใส ปราศจากความเฉ่อื ยชา และมีความพร้อมที่จะกระท�า
การงานอนั เปน็ กศุ ลท้งั ปวง มี ๒ ชนิด คือ

๑๔ กายกัมมั ตาเจตสิก (กา-ยะ-กัม-มัน-ยะ-ตา-เจ-ตะ-สิก)
หมายถงึ ธรรมชาตทิ ที่ า� ใหเ้ จตสกิ ขนั ธ์ ๓ (เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ สงั ขารขนั ธ)์
มคี วามพร้อมท่ีจะกระท�าการงานที่เป็นกศุ ล

๑๕ จิตตกัมมั ตาเจตสิก (จิต-ตะ-กัม-มัน-ยะ-ตา-เจ-ตะ-สิก)
หมายถึง ธรรมชาติท่ีท�าให้จิต (วิญญาณขันธ์) มีความพร้อมที่จะกระท�า
การงานทีเ่ ปน็ กศุ ล

ปาคุ ตาเจตสกิ เปน็ ธรรมชาตทิ ท่ี �าให้เกดิ ความคลอ่ งแคล่ว

วอ่ งไวพร้อมทีจ่ ะกระท�าการงานเปน็ กศุ ลมี ๒ ชนิด คือ

๑๖ กายปาคุ ตาเจตสิก (กา-ยะ-ปา-คุน-ยะ-ตา-เจ-ตะ-สิก)
เป็นธรรมชาติท่ีท�าใหเ้ จตสิกขันธ์ ๓ (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์)
มีความคล่องแคลว่ วอ่ งไวในการงานท่ีเปน็ กุศล

๑๗ จิตตปาคุ ตาเจตสิก (จิด-ตะ-ปา-คุน-ยะ-ตา-เจ-ตะ-สิก)
เป็นธรรมชาติที่ท�าให้จิต (วิญญาณขันธ์) มีความคล่องแคล่วว่องไวใน
การงานทเี่ ปน็ กศุ ล

อชุ กุ ตาเจตสกิ เปน็ ธรรมชาตทิ มี่ คี วามซอื่ ตรงทา� ใหเ้ กดิ ความดงี าม

ทงั้ หลาย เมอ่ื เกดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มทา� ใหค้ ลายจากความคดโกง มคี วามซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ
ประกอบแตก่ จิ ทเ่ี ปน็ คณุ เปน็ ประโยชนแ์ กต่ นเอง คนรอบขา้ ง และประโยชน์
สขุ แกส่ ว่ นรวม ไมม่ จี ติ คดิ คดโกงหรอื สรา้ งความเดอื ดรอ้ นใหบ้ คุ คลอน่ื หรอื
สตั ว์อนื่ เป็นธรรมชาติท่ีกา� จดั การลอ่ ลวง มารยา เล่ห์เหล่ียม ความเจ้าเลห่ ์
ความโออ้ วดทไ่ี มเ่ ป็นจรงิ ให้ส้ินไป มี ๒ ชนดิ คอื

๑๘ กายุชุกตาเจตสิก (กา-ยุ-ชุ-กะ-ตา-เจ-ตะ-สิก) เป็น
ธรรมชาติท่ีท�าให้เจตสิกขันธ์ ๓ (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์)
มีความซ่ือตรงในการงานทเี่ ป็นกศุ ล

๑๙ จติ ตชุ กุ ตาเจตสกิ (จดิ -ต-ุ ช-ุ กะ-ตา-เจ-ตะ-สกิ ) เปน็ ธรรมชาติ
ท่ีท�าให้จิต (วิญญาณขันธ์) มีความซื่อตรงในการงานทีเ่ ปน็ กุศล

สรปุ โสภณสาธารณเจตสกิ ทง้ั ๑๙ ชนดิ จะประกอบกบั โสภณจติ
ท้งั ๕๙ หรอื ๙๑ ดวง โดยไมม่ ยี กเว้น จึงท�าใหโ้ สภณจิตทัง้ หมดเป็นจิตที่
ดีงาม ผ่องใสในการกระท�าความดีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทานกุศล ศีลกุศล
และภาวนากศุ ล

เมื่อเข้าประกอบกับมหากุศลจิต มหาวิปากจิต และมหากิริยาจิต
กจ็ ะทา� ใหจ้ ติ เหลา่ นนั้ เปน็ จติ ทผี่ อ่ งใส มคี วามเบา ความออ่ น ความเหมาะควร
แก่การงาน คล่องแคล่ว และซ่ือตรงม่ันคงอยู่ในการกระท�าคุณงามความดี
เช่นกนั

ส สก กล่ ร สก

วิรตีเจตสิก (วิ-ระ-ตี-เจ-ตะ-สิก) เป็นธรรมชาติท่ีท�าให้งดเว้น
หรอื ระงบั ยบั ยง้ั การทา� บาปทางกายและทางวาจาขณะทก่ี า� ลงั ประสบเหตทุ จ่ี ะ
ให้ท�าบาปเหลา่ น้ันกง็ ดเว้นไมก่ ระทา�

การทา� บาปทางกาย (กายทจุ รติ ๓) ไดแ้ ก่ การ า่ สตั ว์ การลกั ทรพั ย์
การประพฤติผดิ ในกาม

การท�าบาปทางวาจา (วจีทุจริต ๔) ได้แก่ การพูดเท็จ พูดยุยง
ส่อเสียด พดู คา� หยาบ และพดู เพ้อเจอ้

การงดเวนจากบาป (วริ ตั ิ) มี ๓ ลัก ณะ คอ

๑ สัมปตตวิรัติ (สัม-ปัด-ตะ-วิ-รัด) การเว้นเมื่อประสบเหตุ
ซง่ึ ๆ หนา้ คอื ไมไ่ ดส้ มาทานศลี มากอ่ น แตเ่ มอ่ื ประสบเหตใุ หท้ า� บาปกล็ ะเวน้
ได้ทันทใี นขณะนน้ั เพราะคดิ วา่ สัตว์ทัง้ หลายกร็ กั ชีวิตของตนทงั้ สนิ้ แม้แต่
การตบยงุ กเ็ ปน็ สิ่งท่ีไมค่ วรกระท�าเพราะเปน็ บาป

๒ สมาทานวิรัติ (สะ-มา-ทาน-ว-ิ รดั ) การเว้นดว้ ยการสมาทาน
คือ ได้สมาทานศีลไว้ก่อนแล้วเมื่อประสบเหตุที่จะให้ท�าบาปก็งดเว้นได้
ตามที่สมาทานไว้

๓ สมุจเ ทวิรัติ (สะ-หมุด-เฉ-ทะ-วิ-รัด) คือ การงดเว้นจาก
บาปอกศุ ลทง้ั ทางกายและทางวาจาไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด เปน็ การงดเวน้ โดยปกติ
ของพระอริยบุคคลท่ไี มม่ ีโอกาสจะล่วงละเมิดอกี เปน็ อนั ขาด

วิรตีเจตสิกจะท�าให้เกิดการงดเวนเ พาะหนา คือในขณะท่ีก�าลัง
เผชิญหน้ากับเหตุท่ีจะให้ท�าบาปเท่านั้น หากยังไม่มีเหตุการณ์ให้ท�าบาป
แต่ตั้งใจไว้ตลอดเวลาว่าจะไม่ยอมท�าบาป น่ันเป็นอาการของเจตนาเจตสิก
มใิ ชว่ ริ ตีเจตสิก

วิรตีเจตสกิ มี ๓ ชนดิ คอ

๑ สัมมาวาจาเจตสิก (สัม-มา-วา-จา-เจ-ตะ-สิก) เป็นเจตสิก
ทท่ี า� ใหเ้ กดิ การงดเวน้ วจที จุ รติ ทง้ั ๔ คอื พดู เทจ็ พดู ยยุ งสอ่ เสยี ด พดู คา� หยาบ
และพดู เพอ้ เจ้อ ที่ มเ่ กยี่ วกับอาชพี เมื่อเจตสิกชนดิ นเ้ี กิดข้นึ จะระงับยับยัง้
มใิ หก้ ระทา� วจที จุ รติ ๔ ในเหตกุ ารณ์ท่ีก�าลงั ปรากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ น้ัน ถึงแม้
จะมีโอกาสท�าทุจรติ ได้ แต่กไ็ ม่ทา�


Click to View FlipBook Version