49
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 สารละลาย จ านวน 10 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเตรียมสารละลาย (2) เวลาสอน 2 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ั
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
ี่
ิ
ั
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลกและธรรมชาตของการเปลยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการ
เกิดปฏิกิริยาเคมี
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ระบุปริมาณตวละลายในสารละลาย ในหน่วยความเขมข้นเป็นร้อยละ ปริมาตรตอปริมาตร มวลตอมวล และมวล
ั
่
่
้
ต่อปริมาตร (ว 2.1 ม. 2/4)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. เตรียมสารละลายในหน่วยร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตรได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการเตรียมสารละลายไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ความเข้มข้นของสารละลายทมีหน่วยร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร เป็นการระบุปริมาตรตัวละลายในสารละลาย
ี่
100 หน่วยปริมาตรเดยวกัน นิยมใชกับสารละลายทเป็นของเหลวหรือแก๊ส โดยความเข้มข้นของสารละลายแปรผนตาม
ี
ี่
้
ั
ปริมาตรของตัวละลาย
5. สาระการเรียนร ู้
ความเข้มข้นของสารละลาย
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการค ิ
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
1. ฝึกการเตรียมสารละลาย (2)
50
2. ฝึกเตรียมน้ าส้มสายชูกลั่น
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามนักเรียนถึงสิ่งต่างๆ ที่พบในชีวิตประจ าวัน เช่น
ี่
ั
ั
– สารละลายชนิดใดในชวิตประจาวันของนักเรียนทมีตวละลายและตวทาละลายเป็นของเหลวเหมือนกัน
ี
(แนวค าตอบ แอลกอฮอล์ล้างแผลและน้ าส้มสายชู)
– หน่วยความเข้มข้นที่เหมาะกับสารละลายชนิดนี้คือหน่วยใด (แนวค าตอบ ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร)
็
ิ
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคดเหนเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง การเตรียม
สารละลาย
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
ี่
ี่
้
ู
ั่
ี่
ื
ู่
ู
ั่
(1) ครูน าแก้วใบที่ 1 ที่ใส่น้ าส้มสายชกลนร้อยละ 5 และแก้วใบท 2 ทใส่น้ าสมสายชกลนทเจอจางแล้วมาวางคกัน
ั
ั
้
ี
ี่
แลวให้ตวแทนนักเรียนออกมาหน้าห้องเรียน จากนั้นให้ตวแทนนักเรียนลองดมของเหลวทอยู่ในแก้วทั้ง 2 ใบเปรียบเทยบ
กัน แล้วถามค าถามนักเรียนดังนี้
– น้ าส้มสายชูกลั่นมีกลิ่นและรสลักษณะใด (แนวค าตอบ มีกลิ่นฉุนและมีรสเปรี้ยว)
ั่
ู
ี่
– น้ าสมสายชกลนในแก้วใบใดมีความเข้มข้นของสารละลายมากกว่า เพราะอะไร (แนวคาตอบ แก้วใบท 1
้
เพราะมีกลิ่นของน้ าส้มสายชูกลั่นแรงกว่า)
ี่
ั่
ู
– น้ าส้มสายชกลนในแก้วใบใดน่าจะมีรสเปรี้ยวมากกว่า เพราะอะไร (แนวคาตอบ แก้วใบท 1 เพราะมีความ
เข้มข้นของน้ าส้มสายชูกลั่นมากกว่า)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม ฝึกการเตรียมสารละลาย (2) ตามขั้นตอน ดังนี้
– ตวงกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้นจ านวน 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร ใส่ลงในบีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
– เตมน้ ากลั่น 20 ลูกบาศก์เซนตเมตร ใช้แท่งแก้วคนกรดไฮโดรคลอริกเขมขนให้ละลายจนหมด แลวเทลงใน
้
้
ิ
้
ิ
กระบอกตวงขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
– ใช้ขวดฉีดน้ ากลั่น ฉีดน้ ากลั่นจานวนเล็กน้อยรอบๆ บีกเกอร์เพื่อล้างกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้นที่ติดอยู่ภายใน
จากนั้นน าไปเทในกระบอกตวง ฉีดน้ ากลั่นล้างบีกเกอร์ซ้ า 2 – 3 ครั้ง
ี
– เติมน้ ากลั่นลงในกระบอกตวงจนถึงขีด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วคนให้เป็นเนื้อเดยวกัน จากนั้นสังเกต
โดยการดมกลิ่น บันทึกผล
ู
ี
่
้
– ดาเนินการเชนเดยวกับขั้นตอนท 1 – 4 แตใชกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 2 ลกบาศก์เซนตเมตร จากนั้น
ี่
่
ิ
สังเกตโดยการดมกลิ่นเปรียบเทียบกับสารละลายในครั้งแรก บันทึกผล
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
ู
ื
ิ
ิ
ิ
(3) ครูคอยแนะน าช่วยเหลอนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดรอบ ๆ ห้องเรียนและเปดโอกาสให้นักเรียน
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
51
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ั
ื
ั
– ตวละลายและตวท าละลายของกิจกรรมนี้คืออะไร (แนวคาตอบ ตวละลาย คอ กรดไฮโดรคลอริก และตว
ั
ั
ท าละลาย คือ น้ ากลั่น)
ิ
– สารละลายกรดไฮโดรคลอริกร้อยละ 1 ลกบาศก์เซนตเมตร/ลกบาศก์เซนตเมตรและร้อยละ 2 ลกบาศก์
ู
ิ
ู
ู
ู
ิ
เซนตเมตร/ลกบาศก์เซนตเมตร มีความหมายว่าอะไร (แนวคาตอบ สารละลายกรดไฮโดรคลอริกร้อยละ 1 ลกบาศก์
ู
ิ
เซนติเมตร/ลูกบาศก์เซนติเมตร หมายถึง ในสารละลาย 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีกรดไฮโดรคลอริก 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร
ี
่
ิ
ู
ู
ิ
ั่
ผสมเป็นเนื้อเดยวกับน้ ากลน 99 ลกบาศก์เซนตเมตร สวนสารละลายกรดไฮโดรคลอริกร้อยละ 2 ลกบาศก์เซนตเมตร/
ิ
ู
ลูกบาศก์เซนตเมตร หมายถึง ในสารละลาย 100 ลกบาศก์เซนติเมตร มีกรดไฮโดรคลอริก 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผสมเป็น
เนื้อเดียวกับน้ ากลั่น 98 ลูกบาศก์เซนติเมตร)
ู
ู
ู
ิ
ิ
– สารละลายกรดไฮโดรคลอริกร้อยละ 1 ลกบาศก์เซนตเมตร/ลกบาศก์เซนตเมตร และร้อยละ 2 ลกบาศก์
เซนติเมตร/ลูกบาศก์เซนติเมตร มีความเข้มข้นแตกต่างกันกี่เท่า (แนวค าตอบ 2 เท่า)
ั
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า สารละลายทมีตวละลาย
ี่
มากกว่าจะมีความเข้มข้นของสารละลายมากกว่า และถ้าตวละลายมีกลนและรส เราอาจเปรียบเทยบความเข้มข้นของ
ิ่
ั
ี
สารละลายโดยสังเกตจากกลิ่นและรสได้ โดยสารละลายที่มีความเข้มข้นมากกว่าจะมีกลิ่นแรงกว่าและมีรสเข้มกว่า
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ี่
(1) ครูแบงนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน เพื่อฝกเตรียมน้ าส้มสายชกลนทมีความเข้มข้นแตกต่างกัน 3 คา จากนั้นน า
่
่
ั่
ึ
ู
ผลการเตรียมสารละลายมาอภิปรายร่วมกันในหัวข้อความเข้มข้น กลิ่น และรสของสารละลายที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน
ี่
่
(2) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องแก๊สโซฮอล์ (gasohol) ให้นักเรียนเข้าใจว่า แก๊สโซฮอล์เป็นน้ ามันเบนซินทมีสวนผสม
ั
ของเอทานอลทไดจากการสกัดพืชทางการเกษตร เชน อ้อย มันสาปะหลง และข้าวโพด โดยแก๊สโซฮอลมีหลายประเภท
้
์
ี่
่
่
ขึ้นอยู่กับอัตราสวนของเอทานอลทผสมในน้ ามันเบนซิน เชน แก๊สโซฮอล 95 หมายถึง แก๊สโซฮอล 95 ปริมาตร 100
่
์
์
ี่
์
ู
ิ
ลูกบาศก์เซนติเมตร มีเอทานอล 5 ลูกบาศก์เซนตเมตร ผสมกับน้ ามันเบนซิน 95 ลกบาศก์เซนติเมตร แสดงว่าแก๊สโซฮอลมี
ความเข้มข้นของเอทานอลร้อยละ 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร/ลูกบาศก์เซนติเมตร
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ั
– หน่วยร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตรเหมาะกับการเตรียมสารละลายลกษณะใด (แนวค าตอบ สารละลายท ี่
มีตัวละลายและตัวท าละลายเป็นของเหลวหรือแก๊ส)
52
ู
ิ
ี่
– ถ้าตองการเตรียมสารละลายกรดแอซีตกทมีความเข้มข้นร้อยละ 10 ลกบาศก์เซนตเมตร/ลกบาศก์
้
ิ
ู
เซนตเมตร ตองเตรียมสารอย่างไร (แนวคาตอบ เตรียมกรดแอซีตก 10 ลกบาศก์เซนตเมตรและน้ ากลน 90 ลกบาศก์
ิ
้
ิ
ิ
ู
ั่
ู
เซนติเมตร)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการเตรียมสารละลาย โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. น้ าส้มสายชูกลั่นร้อยละ 5 และน้ าส้มสายชูกลั่นเจือจาง
2. น้ ากลั่น
3. แก้ว
4. บีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
5. กระบอกตวงขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
6. กระบอกตวงขนาด 10 ลูกบาศก์เซนติเมตร
7. ขวดฉีดน้ ากลั่น
8. แท่งแก้วคนสาร
9. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
10. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 เล่ม 1
ี
ี่
11. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี
12. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องการเตรียม 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
สารละลาย รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
53
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
54
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
55
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 สารละลาย จ านวน 10 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การใช้ประโยชน์จากสารละลาย เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ั
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
ี่
ิ
ั
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลกและธรรมชาตของการเปลยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการ
เกิดปฏิกิริยาเคมี
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ตระหนักถึงความสาคญของการน าความรู้เรื่องความเข้มข้นของสารไปใช โดยยกตวอย่างการใชสารละลายใน
้
ั
้
ั
ชีวิตประจ าวันอย่างถูกต้องและปลอดภัย (ว 2.1 ม. 2/6)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. สืบค้นข้อมูลและเสนอแนะการใช้สารละลายอย่างถูกต้องและปลอดภัยได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการใช้ประโยชน์จากสารละลายไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
การใชสารละลายในชวิตประจาวัน ควรใช้ความเข้มข้นของสารละลายทเหมาะสมตามจดประสงคของการใชงาน
้
ี
ุ
ี่
้
์
และควรค านึงถึงผลกระทบต่อสิ่งชีวิตและสิ่งแวดล้อมด้วย
5. สาระการเรียนร ู้
ความเข้มข้นของสารละลาย
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
1. สืบค้นข้อมูลการใช้ประโยชน์จากสารละลาย
56
2. ออกแบบเครื่องดื่มบรรจุกล่อง
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามเกี่ยวกับประสบการณ์เดิมของนักเรียน เช่น
– นักเรียนใช้สารละลายใดในชีวิตประจ าวันบ้าง และใช้ประโยชน์อะไร (แนวค าตอบ น้ ายาซักผ้าใช้ซักผ้า และ
น้ าเชื่อมใช้ท าขนม)
้
– การใชสารละลายแต่ละครั้ง นักเรียนต้องปรับความเข้มข้นของสารละลายหรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ
ต้องปรับความเข้มข้นของสารละลาย เพราะการใช้แต่ละครั้งมีจุดประสงค์ในการใช้งานแตกต่างกัน)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง การใช ้
ื่
ู่
ิ
ประโยชน์จากสารละลาย
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูให้นักเรียนดรูปพื้นห้องน้ าทสกปรกมากและสกปรกน้อยอย่างละ 1 ห้อง แลวให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย
ี่
้
ู
ดังนี้
้
้
ั้
่
ี่
– นักเรียนจะใชน้ ายาลางห้องน้ าทมีความเข้มข้นเทากันในการทาความสะอาดห้องน้ าทง 2 ห้องนี้หรือไม่
อย่างไร (แนวค าตอบ ไม่ โดยจะใช้น้ ายาล้างห้องน้ าที่มีความเข้มข้นมากกว่ากับพื้นห้องน้ าที่สกปรกมากกว่า)
้
้
– นักเรียนพิจารณาความเข้มข้นของน้ ายาลางห้องน้ าที่ตองใชจากอะไร (แนวคาตอบ จากความสกปรกของ
้
พื้นห้องน้ า)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
่
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องการใช้ประโยชน์จากสารละลาย จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูชวยอธิบาย
ึ
ุ
ื
ให้นักเรียนเข้าใจว่า การเรียนรู้เรื่องความเข้มข้นของสารละลายมีจดประสงค์หลัก คอ การน าสารละลายไปใช้ประโยชน์โดย
ทราบความเข้มข้นที่แน่นอนในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากสารละลาย ตามขั้นตอนดังนี้
ิ
่
ุ่
่
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
ิ
ุ่
ื
้
ี่
้
ื
้
่
่
ชวยกันก าหนดหัวข้อย่อย เชน การใชประโยชน์จากสารละลายในดานตางๆ และการใชสารละลายอย่างถูกตองและ
้
้
่
้
ปลอดภัย
่
ี่
้
ุ่
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
ิ
ื
ุ่
ิ
ื
้
่
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
ี่
– สมาชกกลุ่มน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อน ๆ สมาชิกในกลมฟัง รวมทั้งร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ุ่
ิ
้
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
่
็
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
ึ
ั
เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากสารละลาย
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
57
ิ
ิ
่
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– นักเรียนใช้ประโยชน์จากสารละลายในด้านใดบ้าง (แนวค าตอบ ด้านอาหารและด้านยารักษาโรค)
ี่
ี่
– การใช้สารละลายทมีความเข้มข้นทเหมาะสมมีความส าคัญหรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ มีความส าคญ
ั
ี่
ุ
้
ี่
้
้
์
ี่
เพราะทาให้สารละลายทาหน้าทไดตามจดประสงคทตองการ เนื่องจากการใชความเข้มข้นทมากหรือน้อยเกินไปอาจทา
ให้ผลที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไป)
้
้
้
ี่
ั
ี่
ั
ั
ั
– การใชสารเคมีก าจดศตรูพืชทมีความเข้มข้นมากเพื่อให้ก าจดศตรูพืชไดปริมาณมากๆ เป็นเรื่องทถูกตอง
ิ
ั
ั
หรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ ไม่ถูกต้อง เพราะสารเคมีก าจดศตรูพืชอาจตกค้างในพืชหรือในดน เมื่อฝนตกก็จะไหลไป
สะสมรวมกันในแหล่งน้ า ท าให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การใชสารละลาย ใน
ิ
้
์
ุ
ี่
่
ชีวิตประจ าวัน ควรใช้ความเขมข้นของสารละลายทเหมาะสมตามจดประสงคของการใช้งาน และควรค านึงถึงผลกระทบตอ
้
สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมด้วย
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
่
ุ่
ครูแบงนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน โดยให้แต่ละกลมออกแบบเครื่องดื่มบรรจุกล่องขนาด 180 มิลลิลิตรที่มีน้ าผลไม้
็
เปนสวนประกอบ พร้อมเขียนความเขมข้นของสวนประกอบต่างๆ จากนั้นวาดภาพร่างบนกระดาษชาร์ตแล้วน าเสนอหน้า
้
่
่
ห้องเรียน
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ุ
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
้
ี่
– การถนอมอาหารบางชนิดตองใชสารละลายน้ าตาลทรายทมีความเข้มข้นทเหมาะสมเพราะอะไร (แนว
้
ี่
ค าตอบ เพราะสามารถยับยั้งจุลินทรีย์ในอาหารไม่ให้เจริญเติบโตได้)
ิ่
้
– ถ้าเกษตรกรไม่เจอจางสารเคมีก าจดศตรูพืชก่อนน าไปฉีดพ่น จะสงผลต่อสงแวดลอมอย่างไร (แนวคาตอบ
ื
ั
ั
่
เกิดการตกค้างของสารเคมีก าจัดศัตรูพืชในดินและแหล่งน้ า)
ขั้นสรุป
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการเตรียมสารละลาย โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
่
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศกษาคนคว้าเนื้อหาของบทเรียนชวโมงหน้า เพื่อจดการเรียนรู้ครั้งตอไป โดยให้
้
ั่
ั
ึ
นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายได้ของสาร
58
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นค าถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 ค าถาม เพื่อน ามาอภิปรายร่วมกันในห้องเรียน
ครั้งต่อไป
10. สื่อการเรียนร ู้
1. รูปพื้นห้องน้ าที่สกปรกมากและสกปรกน้อย
2. กระดาษชาร์ต
3. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
4. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ี่
5. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 เล่ม 1
ี
ี่
7. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องการใช้ประโยชน์ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
จากสารละลาย รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
59
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
60
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
61
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 สารละลาย จ านวน 10 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายได้ของสาร (1) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ั
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
ั
ิ
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลกและธรรมชาตของการเปลยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการ
ี่
เกิดปฏิกิริยาเคมี
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
่
ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธิบายผลของชนิดตวละลาย ชนิดตวทาละลาย อุณหภูมิทมีตอสภาพ
ั
ี่
ั
ละลายได้ของสาร รวมทั้งอธิบายผลของความดันที่มีต่อสภาพละลายได้ของสาร โดยใช้สารสนเทศ (ว 2.1 ม. 2/4)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายสารละลายอิ่มตัวและสภาพละลายได้ของสารได้ (K)
2. ทดลองสภาพละลายได้ของสารในตัวท าละลายชนิดต่างๆ ได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
ื่
6. สอสารและน าความรู้เรื่องปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายได้ของสารไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
สภาพละลายไดของสารในตวท าละลาย เป็นค่าทบอกปริมาณของสารที่ละลายได้ในตวท าละลาย 100 กรัม จนได ้
้
ี่
ั
ั
้
้
ั
สารละลายอิ่มตว ณ อุณหภูมิและความดนหนึ่ง ๆ สภาพละลายไดของสารบ่งบอกความสามารถในการละลายไดของตว
ั
ั
ละลายในตวท าละลาย ซึ่งความสามารถในการละลายของสารขึ้นอยู่กับชนิดของตวท าละลายและตวละลาย อุณหภูมิ และ
ั
ั
ั
ความดัน
้
ั
ี
สภาพละลายไดของสารขึ้นอยู่กับชนิดของตัวละลายและตวท าละลาย ตวละลายบางชนิดอาจละลายไดดในตวทา
ั
ั
้
ละลายหนึ่ง แต่อาจละลายได้น้อยมากหรือละลายไม่ได้เลยในอีกตัวท าละลายหนึ่ง
5. สาระการเรียนร ู้
ความเข้มข้นของสารละลาย
ปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายได้ของสาร
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
62
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
้
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
1. ทดลองการละลายของสารในตัวท าละลายต่างกัน
2. ทดสอบสภาพละลายได้ของสารชนิดต่างๆ ในน้ า
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– น้ าเชื่อมมีสารใดเป็นตัวละลาย และมีสารใดเป็นตัวทาละลาย (แนวค าตอบ น้ าตาลทรายเป็นตัวละลาย และ
น้ าเป็นตัวท าละลาย)
– ความเข้มข้นของน้ าเชื่อมจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งใด (แนวค าตอบ ปริมาณน้ าตาลทรายในน้ า)
ิ
้
– ถ้าเตมน้ าตาลทรายลงในน้ าเรื่อยๆ น้ าตาลทรายยังคงละลายในน้ าไดหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ ไม่ได ้
เนื่องจากเมื่อปริมาณน้ าตาลทรายมากจนถึงจุดหนึ่ง น้ าตาลทรายจะไม่ละลายในน้ าได้อีก)
ี่
ู่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ปัจจัยทมี
ผลต่อสภาพละลายได้ของสาร
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายได้ของ
ุ่
่
สาร ทครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ลวงหน้าให้เพื่อน ๆ ในกลมฟัง จากนั้นให้แตละกลมสงตวแทนมาน าเสนอข้อมูลหน้า
่
ั
่
ี่
ุ่
ห้องเรียน
ี่
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนท าภาระงานทไดรับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทกของนักเรียน
้
ึ
และถามค าถามเกี่ยวกับภาระงาน ดังนี้
– สารละลายอิ่มตัวหมายถงอะไร (แนวค าตอบ สารละลายที่มีตัวละลายอยู่สูงสด ไม่สามารถเติมตัวละลาย
ุ
ึ
ลงในสารละลายอิ่มตัวได้อีก)
ี่
– สภาพละลายไดของสารหมายถึงอะไร (แนวคาตอบ ปริมาณของสารทละลายไดในตวทา ละลาย 100
ั
้
้
กรัม จนได้สารละลายอิ่มตัวที่อุณหภูมิและความดันหนึ่ง ๆ)
ั
ั
่
้
ี่
– ปัจจยทมีผลตอสภาพละลายไดของสารคออะไร (แนวคาตอบ ชนิดของตวละลายและตวทาละลาย
ั
ื
อุณหภูมิ และความดัน)
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตงประเดนค าถามที่นักเรียนสงสยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่ง
็
ั้
ั
ครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความคิดเห็น
63
ั
่
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อเพิ่มตวละลายลงใน
สารละลาย จนตวละลายไม่สามารถละลายในตวท าละลายไดแลว สารละลายทเกิดขึ้นเรียกว่า สารละลายอิ่มตว โดยการ
ั
ี่
ั
ั
้
้
้
่
้
ั
ั
ี่
้
ั
เกิดสารละลายอิ่มตวขึ้นอยู่กับสภาพละลายไดของสาร และปัจจยทมีผลตอสภาพละลายไดของสาร ไดแก่ ชนิดของตว
ละลายและตัวท าละลาย อุณหภูมิ และความดัน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ื
้
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องปัจจยทมีผลตอสภาพละลายไดของสาร จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครู
่
ึ
ั
ี่
ช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ชนิดของตัวละลายและตัวท าละลายมีผลต่อสภาพละลายได้ของสาร
ิ
ั
ุ่
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลมละ 5 – 6 คน ปฏิบัตกิจกรรม ทดลองการละลายของสารในตวทาละลายตางกัน ตาม
่
ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ก าหนดปัญหา
่
ี่
ี
้
็
ั
่
ี
– โซเดยมคลอไรด สผสมอาหาร และเชลแลกละลายในตวทาละลายทแตกตางกันไดเทากันหรือไม่ เพราะ
์
อะไร
ขั้นที่ 2 ก าหนดสมมุติฐาน
– โซเดียมคลอไรด สีผสมอาหาร และเชลแล็กละลายได้ไม่เท่ากันในตัวท าละลายที่แตกต่างกัน
์
ขั้นที่ 3 ทดสอบสมมุติฐาน
– เทน้ ากลนและแอลกอฮอลลงในบีกเกอร์ขนาด 250 ลกบาศก์เซนตเมตร ชนิดละ 3 ใบ บีกเกอร์ละ 100
ิ
ู
ั่
์
กรัม
– น าบีกเกอร์ทใส่น้ ากลั่นและแอลกอฮอลมาอย่างละ 1 ใบ จากนั้นใช้ชอนตักสารเบอร์ 1 ตักโซเดียมคลอไรด ์
ี่
์
้
้
ลงในบีกเกอร์แต่ละใบ บีกเกอร์ละ 1 ชอน แล้วท าเครื่องหมายระบุชนิดของสารบนบีกเกอร์ จากนั้นคนจนโซเดียมคลอไรด ์
ละลายหมด
– ตักโซเดียมคลอไรด์เติมลงไปในบีกเกอร์ทั้ง 2 ใบทีละช้อนและคนให้เข้ากันจนกว่าจะไม่ละลาย
ี
์
ี
่
– ดาเนินการเชนเดยวกับขั้นตอนท 2 – 3 แตเปลยนจากโซเดยมคลอไรดเป็นสผสมอาหารและเชลแลก
ี่
็
ี
่
ี่
ตามล าดับ
ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ผลการทดลอง
– แปลความหมายข้อมูลที่ได้จากตารางบันทึกผลการทดลอง
– น าข้อมูลที่ได้มาพิจารณาเพื่ออธิบายว่าเป็นไปตามที่นักเรียนก าหนดสมมุติฐานไว้หรือไม่
ขั้นที่ 5 สรุปผลการทดลอง
– นักเรียนร่วมกันสรุปผลการทดลองแล้วเขียนรายงานสรุปผลการทดลองส่งครู
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ื
่
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลอนักเรียนขณะปฏบัติกิจกรรม โดยครูเดนดรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ิ
ู
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
64
ื
– ตวละลายและตวทาละลายของกิจกรรมนี้คออะไร (แนวคาตอบ ตวละลาย คอ โซเดยมคลอไรด สผสม
์
ั
ื
ี
ี
ั
ั
อาหาร และเชลแล็ก ตัวท าละลาย คือ น้ ากลั่นและแอลกอฮอล์)
ั
่
ั
้
– ชนิดของตวละลายมีผลตอสภาพละลายไดของสารหรือไม่ สงเกตจากอะไร (แนวคาตอบ มีผล โดยสงเกต
ั
ี
่
ี
ี
ั
ื
จากเมื่อใช้ตวท าละลายชนิดเดยวกันและปริมาณเทากัน คอ น้ ากลั่น ผลคือ โซเดยมคลอไรดและสผสมอาหารละลายในน้ า
์
่
่
ื
็
์
้
กลน แตเชลแลกไม่ละลายในน้ ากลน และเมื่อใชตวทาละลายชนิดเดยวกันและปริมาณเทากัน คอ แอลกอฮอล ผลคอ
ื
ั่
ั
ี
ั่
โซเดียมคลอไรด์และสีผสมอาหารไม่ละลายในแอลกอฮอล์ แต่เชลแล็กละลายในแอลกอฮอล์)
ั
– ชนิดของตัวท าละลายมีผลต่อสภาพละลายได้ของสารหรือไม่ สงเกตจากอะไร (แนวคาตอบ มีผล โดยสังเกต
์
ี
ื
ั่
จากเมื่อใช้ตัวละลายชนิดเดยวกันและปริมาณเท่ากัน คือ โซเดียมคลอไรด ผลคอ น้ ากลนสามารถละลายโซเดียมคลอไรด์ได ้
แต่แอลกอฮอลไม่สามารถละลายโซเดยมคลอไรด์ได เมื่อใช้ตวละลายชนิดเดียวกันและปริมาณเท่ากัน คือ สีผสมอาหาร ผล
์
ั
ี
้
่
้
ั
์
ี
้
้
ั่
ี
คอ น้ ากลนสามารถละลายสผสมอาหารได แตแอลกอฮอลไม่สามารถละลายสผสมอาหารได และเมื่อใชตวละลายชนิด
ื
้
ั่
่
์
ี
่
็
ื
็
ื
เดยวกันและปริมาณเทากัน คอ เชลแลก ผลคอ น้ ากลนไม่สามารถละลายเชลแลกได แตแอลกอฮอลสามารถละลาย
เชลแล็กได้)
ิ
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า ตัวละลายชนิดเดียวกัน
้
ั
ั
่
ละลายในตัวท าละลายต่างชนิดได้ตางกัน ตัวละลายต่างชนิดกันละลายในตวท าละลายชนิดเดยวกันไดตางกัน ดงนั้นสภาพ
ี
้
่
ละลายได้ของสารจึงขึ้นอยู่กับชนิดของตัวละลายและตัวท าละลาย
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูแบงนักเรียนกลมละ 3 – 4 คน เพื่อทดสอบสภาพละลายได้ของสารชนิดต่างๆ ในน้ า เช่น น้ ามันพืช ผงชูรส
ุ่
่
แป้งมัน ด่างทับทิม หรือเนยเหลว นักเรียนสังเกตและบันทึกผล จากนั้นน าเสนอหน้าห้องเรียน
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
ุ
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– น้ ามันสนล้างสีน้ ามันที่ติดเสื้อได้เพราะอะไร (แนวค าตอบ เพราะสีน้ ามันละลายในน้ ามันสน)
– น้ าเปล่าไม่สามารถก าจัดคราบไขมันบนจานได้เพราะอะไร (แนวค าตอบ เพราะไขมันไม่ละลายในน้ า)
ขั้นสรุป
้
ี่
ี่
่
ั
ิ
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับปัจจยทมีผลตอสภาพละลายไดของสาร โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนทความคด
หรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม ทดลองการละลายของสารในตัวท าละลายต่างกัน
2. น้ า
3. น้ ามันพืช
4. ผงชูรส
65
5. แป้งมัน
6. ด่างทับทิม
7. เนยเหลว
8. บีกเกอร์
9. แท่งแก้วคนสาร
ั้
10. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 เล่ม 1
ี
ี่
12. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
13. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 เล่ม 1
ี
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องปัจจัยที่มีผลต่อ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
ิ
สภาพละลายได้ของสาร รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
66
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
67
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
68
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 สารละลาย จ านวน 10 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายได้ของสาร (2) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
ั
ี่
ิ
ั
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลกและธรรมชาตของการเปลยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการ
เกิดปฏิกิริยาเคมี
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ั
ี่
่
ั
ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธิบายผลของชนิดตวละลาย ชนิดตวทาละลาย อุณหภูมิทมีตอสภาพ
ละลายได้ของสาร รวมทั้งอธิบายผลของความดันที่มีต่อสภาพละลายได้ของสาร โดยใช้สารสนเทศ (ว 2.1 ม. 2/4)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
้
1. สังเกตปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายไดของสารได้ (K)
2. อธิบายผลของอุณหภูมิและความดันต่อสภาพละลายได้ของสารได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายได้ของสารไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น สารสวนมากจะมีสภาพละลายได้ของสารเพิ่มขน ยกเว้นแก๊สเมื่ออุณหภูมิสงขึ้นสภาพละลายได ้
่
ึ้
ู
ของสารจะลดลง ส่วนความดันมีผลต่อแก๊ส โดยเมื่อความดันเพิ่มขึ้น สภาพละลายได้ของสารจะสูงขึ้น
5. สาระการเรียนร ู้
ปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายได้ของสาร
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
้
69
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สังเกตปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายได้ของสาร
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
็
– น้ าตาลทรายละลายในน้ าร้อนหรือน้ าเยนได้เร็วกว่ากัน เพราะอะไร (แนวคาตอบ น้ าร้อน เพราะอุณหภูมิท ี่
สูงกว่าท าให้น้ ามีพลังงานสูงกว่าจึงละลายน้ าตาลได้ดีกว่า)
– ถ้าเปิดฝาขวดน้ าอัดลมทิ้งไว้ 1 คืน น้ าอัดลมยังคงมีความซ่าอยู่หรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ ไม่ เพราะ
แก๊สที่ถูกอัดอยู่ในน้ าแพร่ออกสู่อากาศจนหมด)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ปัจจัยทมี
ู่
ี่
ผลต่อสภาพละลายได้ของสาร
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
ี่
ี่
่
ู่
้
ั
ี่
ี่
่
(1) ครูน าแก้วใบท 1 ทใสน้ าร้อน และแก้วใบท 2 ทใสน้ าเย็นมาวางคกัน แลวให้ตวแทนนักเรียนออกมาหน้า
ี
ั
่
ั
ห้องเรียน จากนั้นให้ตวแทนตกน้ าตาลทรายละเอียด 1 ชอนลงในน้ าแตละแก้ว โดยไม่ตองคน จากนั้นเปรียบเทยบการ
้
้
ละลายของน้ าตาลทราย แล้วถามค าถามนักเรียนดังนี้
– น้ าตาลทรายละลายในน้ าทั้ง 2 แก้วหรือไม่ (แนวค าตอบ ละลาย)
– น้ าตาลทรายละลายในน้ าในแก้วใบใดได้ดีกว่ากัน (แนวค าตอบ แก้วใบที่ 1)
– อุณภูมิมีผลต่อการละลายของน้ าตาลทรายหรือไม่ (แนวค าตอบ มีผล)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องปัจจยทมีผลต่อสภาพละลายไดของสารจากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูชวย
่
้
ั
่
อธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า อุณหภูมิมีผลต่อการละลายของสาร โดยสวนมากสภาพละลายได้ของสารจะแปรผันกับอุณหภูมิ
ส่วนความดันมีผลต่อสภาพละลายได้ของแก๊ส โดยสภาพละลายได้ของสารจะแปรผันกับอุณหภูมิ
้
่
่
ั
ั
ิ
(2) ครูแบงนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัตกิจกรรม สงเกตปัจจยที่มีผลตอสภาพละลายไดของสาร ตามขั้นตอน
ดังนี้
– ชั่งโซเดียมคลอไรด์จ านวน 2 ส่วน ส่วนละ 50 กรัม ด้วยเครื่องชั่งสาร
– ใส่น้ ากลั่นลงในบีกเกอร์ขนาด 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร จ านวน 2 ใบ บีกเกอร์ละ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
่
ี่
้
ี
์
้
ั
ั
้
– ใชชอนตกสารเบอร์ 2 ตกโซเดียมคลอไรดในสวนท 1 ใส่ลงไปในบีกเกอร์ใบท 1 ทละช้อน แล้วใชแทงแก้ว
่
ี่
คนสารคนจนกว่าโซเดียมคลอไรด์จะไม่ละลายอีก วัดอุณหภูมิของสารละลายที่ได้ด้วยเทอร์มอมิเตอร์ บันทึกอุณหภูมิที่วัดได ้
์
ี่
– น าโซเดยมคลอไรดทเหลอในสวนท 1 ชงดวยเครื่องชงสาร เพื่อหาจานวนโซเดยมคลอไรดทละลายในน้ า
ี่
์
ี
ั่
ั่
้
ื
ี
ี่
่
บันทึกผล
– น าบีกเกอร์ใบที่ 2 ไปให้ความร้อนจนมีอุณหภูมิคงที่ที่ 100 องศาเซลเซียส
70
– ด าเนินการเช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 3–4 แต่ตักโซเดียมคลอไรด์ในส่วนที่ 2 ใส่ลงไปในบีกเกอร์ใบที่ 2 แทน
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
ิ
ิ
(4) ครูคอยแนะน าช่วยเหลอนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดรอบ ๆ ห้องเรียนและเปดโอกาสให้นักเรียน
ื
ู
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– การเพิ่มอุณหภูมิมีผลตอสภาพละลายไดของโซเดยมคลอไรดหรือไม่ สงเกตจากอะไร (แนวคาตอบ มีผล
้
ั
ี
์
่
ั่
์
โดยสงเกตจากการเพิ่มอุณหภูมิของน้ ากลนจาก 26 องศาเซลเซียส เป็น 100 องศาเซลเซียส ทาให้โซเดียมคลอไรดละลาย
ั
ในน้ ากลั่นได้เพิ่มขึ้นจาก 35.7 กรัม เป็น 39.8 กรัม)
่
– สารละลายอิ่มตวของโซเดยมคลอไรดในบีกเกอร์ทงสองแตกตางกันหรือไม่ ลกษณะใด (แนวคาตอบ
ี
ั
ั้
ั
์
่
์
ั
แตกต่างกัน โดยสารละลายอิ่มตวของโซเดียมคลอไรดในบีกเกอร์ใบท 1 มีโซเดียมคลอไรด 35.7 กรัม ที่อุณหภูมิห้อง สวน
์
ี่
ี
์
สารละลายอิ่มตัวของโซเดียมคลอไรดในบีกเกอร์ใบที่ 2 มโซเดียมคลอไรด์ 39.8 กรัม และเป็นสารละลายอิ่มตัวที่มีอุณหภูมิ
สูงกว่า)
ู
ี
– ผลสรุปของกิจกรรมนี้คออะไร (แนวคาตอบ อุณหภูมิทสงขึ้นมีผลทาให้โซเดยมคลอไรดมีสภาพละลายได ้
ี่
์
ื
เพิ่มขึ้น)
็
้
ั
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า อุณหภูมิเปนปัจจยหนึ่งท ี่
ิ
มีผลต่อสภาพละลายได้ของสาร
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ี
(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับผลของอุณหภูมิตอสภาพละลายไดของสารให้นักเรียนเข้าใจว่า ในกรณของแก๊ส
่
ิ
้
ั
้
ื
สภาพละลายไดของสารจะแปรผกผนกับอุณหภูมิ คอ เมื่ออุณหภูมิสงขึ้น สภาพละลายไดของสารจะลดลง เพราะเมื่อ
ู
้
อุณหภูมิสูงขึ้น แก๊สจะมีพลังงานเพิ่มขึ้น แก๊สจึงเกิดการสนและเคลื่อนตัวออกจากสารละลาย
ั่
่
ั
ั
ุ่
์
ุ่
่
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลมละ 3 – 4 คน เลนเกมเกี่ยวกับการหาคาศพท โดยครูให้แตละกลมชวยกันหาคาศพท ์
่
ภาษาอังกฤษที่ตรงกับค าอธิบายที่ก าหนดให้ กลุ่มใดหาครบก่อนและถูกต้องมากที่สุดเป็นฝ่ายชนะ
้
ื
้
(3) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับปัจจยทมีผลตอสภาพละลายไดของสารจากหนังสอเรียน
่
่
ั
ี่
ั
์
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
ิ
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– การเพิ่มอุณหภูมิท าให้สารละลายในตัวท าละลายได้มากขึ้นเสมอหรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ ไม่เสมอ
ไป เพราะสารบางชนิดละลายในตัวท าละลายได้น้อยลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น)
71
– อุณหภูมิและความดันมีผลต่อสภาพละลายได้ของแก๊สเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร (แนวค าตอบ ไม่เหมือนกัน
โดยอุณหภูมิมีผลในลักษณะแปรผกผัน ส่วนความดันมีผลในลักษณะแปรผันตาม)
ขั้นสรุป
ั
ิ
ี่
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับปจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายได้ของสาร โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนทความคด
หรือผังมโนทัศน์
2) ครูดาเนินการทดสอบหลงเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลงเรียน เพื่อวัดความก้าวหน้า/ผลสมฤทธิ์
ั
ั
ั
ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ของนักเรียน
3) ครูเชอมโยงเนื้อหาจากบทเรียนนี้กับบทเรียนชวโมงหน้า เพื่อให้นักเรียนเตรียมความพร้อมในการเรียนชวโมง
ั่
ั่
ื่
ต่อไป โดยการใช้ค าถามกระตุ้น ดังนี้
– เมื่อเรารับประทานอาหาร สารอาหารจะถูกดดซึมเข้าสกระแสเลอด ทาให้เลอดมีความเข้มข้นของ
ู
ู่
ื
ื
่
สารอาหารสงขึ้น สารอาหารเหลานี้หมุนเวียนไปยังส่วนตางๆ ของร่างกายไดอย่างไร (แนวคาตอบ โดยการสูบฉีดเลอดของ
ื
่
้
ู
หัวใจ ท าให้เลือดหมุนเวียนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้)
4) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศกษาคนคว้าเนื้อหาของบทเรียนชวโมงหน้า เพื่อจดการเรียนรู้ครั้งตอไป โดยให้
ึ
้
ั
่
ั่
ึ
นักเรียนศกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อระบบหมุนเวียนเลือด
5) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นค าถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 ค าถาม เพื่อน ามาอภิปรายร่วมกันในห้องเรียน
ครั้งต่อไป
10. สื่อการเรียนร ู้
1. แก้วใส่น้ าร้อน
2. แก้วใส่น้ าเย็น
3. น้ าตาลทรายละเอียด
4. ช้อน
5. ใบกิจกรรม สังเกตปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายได้ของสาร
6. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
7. แบบทดสอบหลังเรียน
8. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ี่
9. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
10. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
11. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 เล่ม 1
ี
72
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องปัจจัยที่มีผลต่อ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
ิ
สภาพละลายได้ของสาร รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
3. ทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
หลังเรียน วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
73
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
74
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
75
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง หัวใจและหลอดเลือด (1) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ิ่
ี
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ิ
ี
ิ่
ั
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
ั
ี่
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
บรรยายโครงสร้างและหน้าที่ของหัวใจ หลอดเลือด และเลือด (ว 1.2 ม. 2/6)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายโครงสร้างของหัวใจและหลอดเลือดได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องหัวใจและหลอดเลือดไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วยหัวใจ หลอดเลือด และเลือด
้
่
หัวใจของมนุษย์แบ่งเป็น 4 ห้อง ไดแก่ หัวใจห้องบน 2 ห้อง และหัวใจห้องลาง 2 ห้อง ระหว่างหัวใจห้องบนและ
หัวใจห้องล่างมีลิ้นหัวใจกั้น
หลอดเลอดแบ่งเป็น 3 ชนิด ไดแก่ หลอดเลอดอาร์เทอรีหรือหลอดเลอดแดง หลอดเลอดเวนหรือหลอดเลอดดา
ื
ื
ื
ื
ื
้
และหลอดเลือดฝอย ซึ่งมีโครงสร้างแตกต่างกัน
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบหมุนเวียนเลือด
– หัวใจและหลอดเลือด
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
76
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สังเกตหัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านม
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ิ
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– นักเรียนรู้จักอวัยวะภายในใดบ้าง (แนวค าตอบ หัวใจ ปอด ตับ กระเพาะอาหาร และล าไส้)
– นักเรียนคดว่าหัวใจของมนุษย์อยู่ตรงตาแหน่งใดของร่างกาย (แนวค าตอบ อยู่ระหว่างปอดทง 2 ข้าง ค่อน
ิ
ั้
ไปทางซ้าย)
– หัวใจท างานเป็นระบบร่วมกับอวัยวะใด (แนวค าตอบ หลอดเลือดและเลือด)
ิ
ื่
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง หัวใจและ
หลอดเลือด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
ั
้
้
ื
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบ่งกลมนักเรียนแลวเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลมน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลอดทครู
ุ่
ี่
ุ่
ื
้
มอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาน าเสนอข้อมูลหน้าห้องเรียน
ี่
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนท าภาระงานทไดรับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทกของนักเรียน
ึ
้
และถามค าถามเกี่ยวกับภาระงาน ดังนี้
– อวัยวะที่ส าคัญในระบบหมุนเวียนเลือดมีอะไรบ้าง (แนวค าตอบ หัวใจ หลอดเลือด และเลือด)
– ระบบหมุนเวียนเลือดท าหน้าที่อะไร (แนวค าตอบ ล าเลียงสารไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย)
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตงประเดนค าถามที่นักเรียนสงสยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่ง
ั
ั้
็
ครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความคิดเห็น
่
ื
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ระบบหมุนเวียนเลอด
ประกอบด้วยหัวใจ หลอดเลือด และเลือด ซึ่งท าหน้าที่ร่วมกันในการล าเลียงสารไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ื
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องระบบหมุนเวียนเลอด จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้
ึ
ื
่
นักเรียนเข้าใจว่า ระบบหมุนเวียนเลือดมีเลือดทาหน้าที่ล าเลียงสาร เชน แก๊สออกซิเจน สารอาหาร และฮอร์โมนไปยังเซลล ์
่
้
ตางๆ เพื่อใชในการดาเนินกิจกรรม และเมื่อเซลลผลตของเสย เชน แก๊สคาร์บอนไดออกไซดและยูเรียจากการดาเนิน
่
์
่
์
ิ
ี
กิจกรรมออกมา เลือดจะท าหน้าที่ล าเลียงสารเหล่านี้ไปก าจัดออกจากร่างกายที่อวัยวะที่ใช้ก าจัดของเสีย
77
ิ
ั้
่
(2) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับหัวใจให้นักเรียนเข้าใจว่า หัวใจของมนุษย์อยู่ระหว่างปอดทง 2 ข้าง คอนไปทาง
่
ี่
่
ด้านซ้าย ทาหน้าทสูบฉีดเลือดไปยังส่วนตางๆ ของร่างกาย มี 4 ห้อง มีลิ้นหัวใจกั้นระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจห้องลาง
ลิ้นหัวใจท าหน้าที่เปิด – ปิด ควบคุมไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ เลือดจึงไหลไปในทิศทางเดียว
่
การศึกษาโครงสร้างหัวใจของมนุษย์ อาจใช้หัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านม เชน หมู วัว หรือควายมาศึกษาแทน
เนื่องจากหัวใจของสัตว์เหล่านี้มีโครงสร้างคล้ายกับหัวใจของมนุษย์
ุ่
ี้
ั
ิ
ู
้
(3) ครูแบ่งนักเรียนกลมละ 5 – 6 คน ปฏิบัตกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ สงเกตหัวใจของสตว์เลยงลกดวยน้ านม
ั
ตามขั้นตอน ดังนี้
– นักเรียนสวมถุงมือยางแล้วน าหัวใจมาล้างให้สะอาด
– สังเกตขนาด รูปร่างภายนอก และหลอดเลือดขนาดเล็กที่ผิวรอบนอกของหัวใจ
ิ
ื
– สังเกตความหนาของผนังหลอดเลอดที่ตดต่อกับหัวใจ ใช้แทงแก้วคนสารสอดลงไปตามหลอดเลือดทมีขนาด
ี่
่
ใหญ่ที่สุด
่
ื
ั
ื
้
ั
– ใชกรรไกรตัดผนังหลอดเลอดเข้ามาจนถึงโคนหลอดเลอด และตดตอเขาไปจนถึงผนังหัวใจ สังเกตลกษณะ
้
่
ของลิ้นหัวใจทกั้นระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจห้องล่าง ใช้กรรไกรตัดส่วนปลายล่างสดของหัวใจห้องลางให้เป็นช่อง และ
ี่
ุ
ใส่น้ าเข้าไปในช่องให้น้ าไหลต้านลิ้นหัวใจ สังเกตว่าลิ้นหัวใจเปิดหรือปิด
ี่
ื
่
้
่
้
่
่
ื
– ใชมีดผาผนังหัวใจตอไปจนถึงโคนหลอดเลอดหลอดหนึ่ง ใชแทงแก้วคนสารสอดไปตามหลอดเลอดทติดตอ
กับหัวใจห้องนี้ สังเกตลิ้นหัวใจที่อยู่บริเวณโคนหลอดเลือด
้
็
– ด าเนินการเช่นเดียวกับขนตอนที่ 4–5 กับหลอดเลือดใหญ่อีกหลอดเลือดหนึ่ง แลวผ่าหัวใจตามยาวออกเปน
ั้
ซีกซ้ายและซีกขวา สังเกตห้องทั้ง 4 ภายในหัวใจ
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ู
ื
(5) ครูคอยแนะน าช่วยเหลอนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
็
ี่
ี่
– รูปร่างภายนอกของหัวใจมีลกษณะใด และหลอดเลอดขนาดเลกทผวรอบนอกของหัวใจทาหน้าทอะไร
ั
ิ
ื
ี่
ื
(แนวคาตอบ หัวใจซีกซ้ายมีขนาดใหญ่กว่าหัวใจซีกขวา โดยหลอดเลือดขนาดเล็กทผิวรอบนอกของหัวใจท าหน้าที่น าเลอด
ั
จากหัวใจมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ แล้วน าเลือดที่แลกเปลี่ยนสารกับกล้ามเนื้อหัวใจแล้วกลบเข้าสู่หัวใจ)
ี่
ั
ี่
ิ้
ิ้
– ลนหัวใจทกั้นระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจห้องล่างมีลกษณะใด (แนวค าตอบ ลนหัวใจทกั้นระหว่างหัวใจ
ั
่
ห้องบนและหัวใจห้องลางมีลกษณะเป็นแผนบางๆ โดยลนหัวใจทกั้นระหว่างหัวใจห้องบนขวาและหัวใจห้องลางขวามี 3
ี่
ิ้
่
่
แผ่น ส่วนลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างหัวใจห้องบนซ้ายและหัวใจห้องล่างซ้ายมี 2 แผ่น)
– ผนังหัวใจทั้ง 4 ห้องมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร (แนวค าตอบ ผนังหัวใจห้องบนบางกว่าผนังหัวใจห้องล่าง
และผนังหัวใจห้องล่างซ้ายหนาที่สุด)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า หัวใจมีหลอดเลอดขนาด
ิ
ื
ี่
็
้
ี้
ื
เลกที่น าเลือดมาเลยงกลามเนื้อหัวใจ โดยหัวใจซีกซ้ายมีขนาดใหญ่กว่าหัวใจซีกขวา หัวใจมี 4 ห้อง และมีหลอดเลอดทน า
เลือดเข้าสู่หัวใจและออกจากหัวใจเชื่อมต่อกับหัวใจแตละห้อง ภายในหัวใจมีลิ้นหัวใจกั้นระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจห้อง
่
78
ิ้
่
ี่
่
ั
็
ล่าง โดยมีลกษณะเปนแผ่นบางๆ ซึ่งลนหัวใจทกั้นระหว่างหัวใจห้องบนขวาและหัวใจห้องลางขวามี 3 แผ่น สวนลิ้นหัวใจท ี่
่
ี่
กั้นระหว่างหัวใจห้องบนซ้ายและหัวใจห้องล่างซ้ายมี 2 แผน นอกจากนี้ยังพบลนหัวใจที่โคนหลอดเลือดทน าเลือดออกจาก
ิ้
่
ั
่
ิ้
่
หัวใจซึ่งมีลกษณะเป็นแผนครึ่งวงกลม 3 ชนวางชนกัน สวนผนังหัวใจพบว่า ผนังหัวใจห้องบนบางกว่าผนังหัวใจห้องลาง
และผนังหัวใจห้องล่างซ้ายหนาที่สุด
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ื
ิ
่
ิ
ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับหลอดเลอดให้นักเรียนเขาใจว่า หลอดเลอดที่ตดตอกับหัวใจมี 3 ชนิด ได้แก่ หลอดเลอด
้
ื
ื
ี่
ื
ื
ู
็
อาร์เทอรี หรือหลอดเลอดแดง เปนหลอดเลอดทน าเลือดออกจากหัวใจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเลอดทมีแก๊สออกซิเจนสง หลอด
ื
ี่
์
เลือดเวน หรือหลอดเลือดด า เป็นหลอดเลือดที่น าเลือดเข้าสู่หัวใจ ซึ่งสวนใหญ่เป็นเลือดที่มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซดสูง และ
่
็
ื
ื่
หลอดเลอดฝอย เป็นหลอดเลอดขนาดเลกทเชอมอยู่ระหว่างปลายหลอดเลอดแดงกับปลายหลอดเลอดดา ซึ่งผนังหลอด
ื
ี่
ื
ื
เลือดฝอยเป็นบริเวณที่มีการแลกเปลี่ยนแก๊สและสารต่างๆ ระหว่างเลือดกับเซลล์ของร่างกาย
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
ิ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัตกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
่
ั้
– หัวใจของมนุษย์มีลกษณะเป็นแบบใด (แนวคาตอบ หัวใจของมนุษย์อยู่ระหว่างปอดทง 2 ข้าง คอนไปทาง
ั
ด้านซ้าย ประกอบด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง มี 4 ห้อง โดยมีลิ้นหัวใจกั้นระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจห้องล่าง)
– ยกตัวอย่างหัวใจของสัตว์ที่มีโครงสร้างคล้ายกับหัวใจของมนุษย์ (แนวค าตอบ หมู วัว และควาย)
ื
– หลอดเลือดมีกี่ชนิด อะไรบ้าง (แนวค าตอบ 3 ชนิด ได้แก่ หลอดเลอดอาร์เทอรี หรือหลอดเลือดแดง หลอด
เลือดเวน หรือหลอดเลือดด า และหลอดเลือดฝอย)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. แบบทดสอบก่อนเรียน
2. ใบกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ สังเกตหัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านม
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
่
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
79
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องหัวใจและหลอด 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
้
เลือด รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใชแบบวัด
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
3. ทดสอบก่อนเรียนโดยใช้แบบทดสอบ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ก่อนเรียน วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
80
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
81
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
82
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 10
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง หัวใจและหลอดเลือด (2) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ิ
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ี
ิ่
ิ่
ั
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ั
ี่
ี่
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
อธิบายการท างานของระบบหมุนเวียนเลือดโดยใช้แบบจ าลอง (ว 1.2 ม. 2/7)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายการท างานของหัวใจได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องหัวใจและหลอดเลือดไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
การบีบตวและคลายตวของหัวใจทาให้เลอดหมุนเวียนและลาเลยงสารอาหาร แก๊ส ของเสย และสารอื่นๆ ไปยัง
ื
ั
ั
ี
ี
อวัยวะและเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย
เลือดที่มีแก๊สออกซิเจนสูงจะออกจากหัวใจไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย ขณะเดียวกัน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จาก
เซลล์จะแพร่เข้าสู่เลือดและล าเลียงกลับเข้าสู่หัวใจ จากนั้นจะถูกส่งไปแลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอด
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบหมุนเวียนเลือด
– หัวใจและหลอดเลือด
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
83
้
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
1. สร้างแบบจ าลองการท างานของหัวใจ
2. สืบค้นข้อมูลหัวใจและหลอดเลือด
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ิ
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– หัวใจท าหน้าที่อะไร (แนวค าตอบ สูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย)
– การแลกเปลี่ยนสารต่างๆ ระหว่างเลือดกับเซลล์เกิดขึ้นบริเวณใด (แนวค าตอบ ผนังหลอดเลือดฝอย)
ื่
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง หัวใจและ
ิ
หลอดเลือด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
ื
ั้
้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั
้
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– หลอดเลือดที่น าเลือดเข้าสู่หัวใจคืออะไร (แนวค าตอบ หลอดเลือดด า)
– หลอดเลือดที่น าเลือดออกจากหัวใจคืออะไร (แนวค าตอบ หลอดเลือดแดง)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ึ
่
ื
่
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องหัวใจของมนุษย์และการหมุนเวียนของเลอดผานหัวใจไปและกลับจากส่วนตางๆ ของ
ร่างกาย จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า หัวใจรับเลือดจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ื
้
ที่มีสารอาหารและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ปนอยู่โดยผ่านทางหลอดเลือดด าเขาสู่หัวใจห้องบนขวา ผ่านลิ้นหัวใจเข้าสู่หัวใจ
่
ี่
ี่
ื
่
ั
ู
ื
้
ห้องลางขวา แลวบีบตวเพื่อสบฉีดเลอดผานทางหลอดเลอดแดงไปยังปอด ปอดจะทาหน้าทแลกเปลยนแก๊สระหว่างแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดกับแก๊สออกซิเจนในถุงลม
ื
เลือดจากปอดที่มีแก๊สออกซิเจนสูงจะถูกส่งไปยังหัวใจห้องบนซ้ายผ่านทางหลอดเลอดดาและไหลผ่านลิ้นหัวใจลงส ู่
่
ื
ื
ื
ั
ู
หัวใจห้องลางซ้าย ซึ่งจะบีบตวเพื่อสบฉีดเลอดไปยังสวนตางๆ ของร่างกายทางหลอดเลอดแดง ถ้าเลอดมีแก๊ส
่
่
คาร์บอนไดออกไซด์สูงก็จะไหลกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนขวาต่อไป
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สร้างแบบจ าลองการท างานของหัวใจ ตามขั้นตอน ดังนี้
– ใส่น้ าลงในบีกเกอร์ขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร 2 ใบ ใบละ 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร
– น าท่อปั๊มน้ าแต่ละอันมาใส่ลงในบีกเกอร์แต่ละใบ
่
ู
่
ั้
่
้
ั้
– บีบลกบีบของทอปั๊มน้ าทง 2 อัน พร้อมๆ กัน ในการบีบแตละครั้งตองให้น้ าทง 2 บีกเกอร์มีปริมาตรเทา
เดิมทุกครั้ง
84
– สังเกตทิศทางการไหลของน้ าในแบบจ าลอง บันทึกผล
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
ิ
่
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ั
ิ
ู
ุ
– เมื่อคลายมือจากลกบีบแล้วน้ าไม่ไหลกลบไปในท่อเดิม เพราะเหตใด (แนวค าตอบ เพราะมีลิ้นปิด–เปดอยู่ท ี่
บริเวณโคนของท่อปั๊มน้ า)
– แบบจาลองการท างานของหัวใจเหมือนหรือแตกต่างจากการทางานของหัวใจมนุษย์ อธิบาย (แนวค าตอบ
มีทั้งส่วนที่เหมือนและส่วนที่แตกต่างกับการท างานของหัวใจมนุษย์ คือ
้
ี่
่
ส่วนทเหมือน ไดแก่ แบบจาลองการทางานของหัวใจมี 4 ห้อง เทากับจานวนห้องของหัวใจมนุษย์ หัวใจห้องลาง
่
ใหญ่กว่าหัวใจห้องบน มีลิ้นปิด–เปิดช่วยป้องกันการไหลย้อนกลับของน้ าได้คล้ายกับการท างานของลิ้นหัวใจ และมีปริมาตร
น้ าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบคงที่คล้ายกับปริมาตรเลือดที่หมุนเวียนอยู่ภายในร่างกาย
้
ี่
่
ั
สวนทแตกตาง ไดแก่ ห้องของแบบจาลองการทางานของหัวใจสลบห้องบน–ลางกับหัวใจมนุษย์ ห้องบนของ
่
่
้
ี
ั
ี่
่
แบบจาลองการทางานของหัวใจไม่สามารถบบตวได และทอพลาสติกทเปรียบเสมือนหลอดเลือดนั้นแขง ไม่สามารถหดตว
็
ั
และขยายตัวได้เหมือนกับหลอดเลือดของมนุษย์)
ิ
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า แบบจาลองการทางาน
ของหัวใจมีระบบการหมุนเวียนคล้ายกับการท างานของหัวใจมนุษย์
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ื
ื
(1) ครูให้นักเรียนสบคนข้อมูลเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลอด จากหนังสอ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์
้
ื
สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ตแล้วน าข้อมูลที่ได้มาน าเสนอหน้าห้องเรียน
ื
่
ื
ั
(2) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลอด จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศ
้
่
์
หรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ี่
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– หัวใจห้องใดท าหน้าที่รับเลือดที่มีแก๊สออกซิเจนสูงซึ่งถูกส่งมาจากปอด (แนวค าตอบ หัวใจห้องบนซ้าย)
– สิ่งที่กั้นระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจห้องล่างคืออะไร (แนวค าตอบ ลิ้นหัวใจ)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
85
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สร้างแบบจ าลองการท างานของหัวใจ
2. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
3. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
4. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
5. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
6. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
7. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องหัวใจและหลอด 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
เลือด รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
86
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
87
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
88
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ความดันเลือด เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ิ่
ิ
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ิ่
ี
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ั
ั
ี่
ี่
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ตระหนักถึงความสาคัญของระบบหมุนเวียนเลือด โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบหมุนเวียน
เลือดให้ท างานเป็นปกติ (ว 1.2 ม. 2/9)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายความดันเลือดได้ (K)
2. บอกปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือดได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องความดันเลือดไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ความดนเลอดเกิดจากการบีบตวและคลายตวของหัวใจ โดยความดนเลอดจะสงหรือตาขึ้นอยู่กับปัจจยหลาย
ั
ั
ื
ั
ั
ั
ื
ู
่
ประการ เช่น เพศ อายุ ขนาดของร่างกาย อารมณ์ การท างานและการออกก าลังกาย และอิริยาบถ
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบหมุนเวียนเลือด
– หัวใจและหลอดเลือด
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
89
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลความดันเลือด
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– นักเรียนเคยลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วหรือไม่ (แนวค าตอบ เคย)
– นักเรียนรู้สึกอย่างไรเมื่อลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว (แนวค าตอบ เวียนศีรษะ)
– การที่นักเรียนเวียนศีรษะเมื่อลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของอะไร (แนวคาตอบ
ความดันเลือด)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ความดน
ิ
ื่
ั
ู่
เลือด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
ั
้
้
ื
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
ื
ั
ั
– ปัจจยใดทาให้ความดนเลอดเปลยนแปลง (แนวคาตอบ เพศ อายุ ขนาดของร่างกาย อารมณ การทางาน
ี่
์
และการออกก าลังกาย และอิริยาบถ)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องความดันเลือด จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจ
ั
ื
ว่า ความดันเลือดเกิดขึ้นเนื่องจากการบีบตัวและคลายตัวของหัวใจ โดยขณะที่หัวใจบีบตัว เลอดจะถูกดนด้วยความดันสูงไป
ี่
่
่
ู่
ื
ั
ื
ตามหลอดเลอดแดงออกไปสสวนตางๆ ของร่างกาย และในขณะทหัวใจคลายตว เลอดจะไหลกลบเข้าสหัวใจทางหลอด
ู่
ั
ื
่
่
ิ
ั
้
่
ึ
ั
ั
เลอดดาดวยความดนตา แพทย์จงวัดความดนเลอดเป็นตวเลข 2 คา มีหน่วยเป็นมิลลเมตรของปรอท เชน 120/80
ื
ั
ั
มิลลิเมตรของปรอท ตัวเลขตัวแรก หมายถึง ค่าความดันเลือดสูงสุดขณะที่หัวใจบีบตัว และตวเลขตัวหลง หมายถง ค่าความ
ึ
ดันเลือดต่ าสุดขณะที่หัวใจคลายตัว
(2) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับปัจจัยทมีผลต่อความดันเลือดให้นักเรียนเข้าใจว่า ความดนเลือดจะสูงหรือต่ าขึ้นอยู่
ี่
ั
ิ
กับปัจจัยหลายประการ เช่น เพศ อายุ ขนาดของร่างกาย อารมณ์ การท างานและการออกก าลังกาย และอิริยาบถ
(3) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับความดันเลือด ตามขั้นตอนดังนี้
้
ื
ี่
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
ื
ุ่
้
ุ่
ิ
่
่
ิ
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น ปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือด โรคความดันเลือดสูง และโรคความดันเลือดต่ า
้
ื
้
่
ื
่
ุ่
ุ่
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
ิ
ิ
ี่
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
90
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ี่
ุ่
ิ
ุ่
ิ
ั้
้
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
ั
ึ
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
็
่
เกี่ยวกับความดันเลือด
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
(5) ครูคอยแนะน าช่วยเหลอนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ู
ื
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ื
่
่
ั
ั
ั
– เมื่อเรามีอายุมากขึ้น คาความดนเลอดจะมีลกษณะใด (แนวคาตอบ คาความดนเลอดจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากผนัง
ื
หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นลดลง ท าให้การบีบตัวของผนังหลอดเลือดมีน้อยลง)
– ขณะออกก าลังกายและขณะพักผ่อนมีความดันเลือดแตกต่างกันหรือไม่ ลักษณะใด (แนวค าตอบ มีความดันเลือด
แตกต่างกัน คือ ขณะออกก าลังกายมีความดันเลือดสูงกว่าขณะพักผ่อน)
ั
ั
– คนที่ก าลงโกรธมีความดันเลือดลักษณะใด เพราะอะไร (แนวค าตอบ คนที่ก าลังโกรธมีความดนเลือดสูงกว่าคนท ี่
ี่
์
มีอารมณปกต เพราะขณะทโกรธร่างกายจะสร้างสารชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งมีผลตอการบีบตวของหัวใจ ทาให้หัวใจสบฉีด
ั
่
ิ
ู
เลือดออกจากหัวใจด้วยความดันสูงกว่าปกติ)
ื
ิ
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ความดนเลอดเกิดจาก
ั
ั
ั
่
ู
ั
ื
ั
ั
การบีบตวและคลายตวของหัวใจ โดยความดนเลอดจะสงหรือตาขึ้นอยู่กับปัจจยหลายประการ เชน เพศ อายุ ขนาดของ
่
ร่างกาย อารมณ์ การท างานและการออกก าลังกาย และอิริยาบถ
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ื
ู
(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับโรคความดนเลอดสงให้นักเรียนเข้าใจว่า คนทมีความดนเลอดมากกว่า 140/90
ั
ื
ี่
ั
ิ
ี่
่
้
ู
ิ
ั
ื
มิลลเมตรของปรอท ถือว่าเป็นโรคความดนเลอดสง และถ้าหากไม่รักษาให้ถูกตองจะเพิ่มความเสยงตอการเกิดโรคแทรก
ซ้อนตางๆ เชน โรคหลอดเลอดในสมองแตก โรคหัวใจขาดเลอด โรคหัวใจวาย และโรคไตวาย โรคความดนเลอดสงโดย
่
ื
ื
ั
่
ู
ื
็
ู้
ส่วนใหญ่มักเปนในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีความเครียดและวิตกกังวลเป็นประจา ผที่โกรธง่าย หรือผที่มีระดับไขมันในเลือดสูง ดังนั้น
ู้
ผู้ที่เป็นโรคความดันเลือดสูงจึงต้องระวังสุขภาพ ทั้งในเรื่องอาหาร อารมณ์ และการออกก าลังกาย
ื
(2) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับความดนเลอดจากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรือ
่
ั
้
ื
่
ั
์
อินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนในห้องฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
91
ั
ั
– ความดันเลอดหมายถึงอะไร (แนวค าตอบ ความดันของเลือดขณะหัวใจบีบตว (ความดนเลือดสูง) และความ
ื
ดันของเลือดขณะหัวใจคลายตัว (ความดันเลือดต่ า))
ี
ึ
– บางคนรู้สกเวียนศรษะเมื่อเปลยนอิริยาบถจากการนั่งเป็นลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเพราะอะไร (แนวค าตอบ
ี่
เพราะขณะนั่งมีความดันเลือดต่ ากว่าขณะยืน)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับความดันเลือด โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนทความคิดหรือผังมโนทัศน์
ี่
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
ี่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องความดันเลือด 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
92
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
93
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
94
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 12
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โรคหัวใจ เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ิ่
ิ
ิ่
ี
ี
ี่
ี่
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ั
ั
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ตระหนักถึงความสาคัญของระบบหมุนเวียนเลือด โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบหมุนเวียน
เลือดให้ท างานเป็นปกติ (ว 1.2 ม. 2/9)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายโรคหัวใจชนิดต่างๆ ได้ (K)
2. บอกสาเหตุและอาการของโรคหัวใจ วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ และวิธีรักษาและการปฏิบติตนเมื่อเป็น
ั
โรคหัวใจได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
้
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องโรคหัวใจไปใชในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
คนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดจะส่งผลท าให้หัวใจสูบฉีดเลือดไม่เป็นปกต ิ
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบหมุนเวียนเลือด
– หัวใจและหลอดเลือด
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
95
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลโรคหัวใจ
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
ั
– โรคความดนเลือดเปนสาเหตุททาให้มีความเสยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนใด (แนวค าตอบ โรคหลอดเลอด
ื
ี่
ี่
็
ในสมองแตก โรคหัวใจ และโรคไต)
– ผู้ทเป็นโรคความดันเลือดสูงและโรคหัวใจสามารถออกก าลังกายได้หรือไม่ ลกษณะใด (แนวค าตอบ ได โดย
้
ั
ี่
ออกก าลังกายอย่างถูกวิธีตามค าแนะน าของแพทย์)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง โรคหัวใจ
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ื
้
ั
้
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– โรคหัวใจเป็นโรคที่อันตรายหรือไม่ เพราะอะไร (แนวค าตอบ เป็นโรคที่อันตราย เพราะเป็นโรคที่มีโอกาสทา
ให้เสียชีวิตได้ การรักษาต้องใช้เวลา และมีโอกาสที่จะรักษาไม่หาย)
ั
ี่
ี่
ั
ุ
ิ
– ยกตวอย่างพฤตกรรมทเป็นปัจจยเสยงซึ่งเป็นสาเหตของโรคหัวใจ (แนวคาตอบ มีความเครียดและวิตก
กังวลเป็นประจ า โกรธง่าย ชอบรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมัน โซเดียม และน้ าตาลสูง)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลโรคหัวใจ ตามขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับโรคหัวใจ โดยค้นคว้าในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
ชนิดของโรคหัวใจ
สาเหตุและอาการของโรคหัวใจ
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ
วิธีรักษาและการปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคหัวใจ
– น าข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน แล้วน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ื
(3) ครูคอยแนะน าชวยเหลอนักเรียนขณะปฏบัติกิจกรรม โดยครูเดนดรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
่
ู
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
96
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– สาเหตุใดที่ท าให้คนเราเป็นโรคหัวใจ (แนวค าตอบ พฤติกรรม อุบัติเหตุ และพันธุกรรม)
็
ื
ื
– โรคหัวใจมีอาการอย่างไร (แนวค าตอบ อาการของโรคหลอดเลอดหัวใจ คอ เจบหรือแน่นหน้าอก บางครั้ง
อาจมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย หรือหมดสติได้ อาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจ คือ เหนื่อยง่าย บวมตามแขน ขา และหนังตา
้
นอนราบไม่ได อาการของโรคหัวใจเตนผดจงหวะ คอ จงหวะการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติ ชากว่าปกต หรือไม่สม่ าเสมอ
ิ
้
ื
ั
ั
้
ิ
ท าให้รู้สึกใจสั่น เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ อาการของโรคลิ้นหัวใจขึ้นอยู่กับความผิดปกติของลิ้นหัวใจ ถ้ามีความ
ิ
่
ผดปกตเพียงเลกน้อยอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลย แตถ้ามีความผดปกตมากก็จะมีอาการเหนื่อยง่าย เกิดภาวะหัวใจวาย
ิ
ิ
็
ิ
ี
ื
่
ั
ั
ั
่
ี่
และน้ าทวมปอด อาการของโรคหัวใจพิการแตก าเนิดทแสดงอาการทนทเมื่อแรกคลอด คอ ตวเขียว สวนอาการภายหลง
่
้
็
ิ
ิ
คือ เหนื่อยง่าย เจริญเติบโตชา ตดเชื้อทางเดนหายใจเปนประจา อาการของโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ คือ มีไข้ เป็นไข้เรื้อรัง
อ่อนเพลีย หัวใจเต้นผิดปกติ ไอเรื้อรัง บวม)
ิ
้
ู้
– ผป่วยโรคหัวใจควรปฏิบัตตนอย่างไร (แนวคาตอบ ตองปฏิบัตตามทแพทย์แนะน า เชน ไม่สบบุหรี่ ไม่
ิ
ู
่
ี่
รับประทานอาหารเคม ควบคมน้ าหนักตว พักผอนให้เพียงพอ ออกก าลงกายที่เหมาะสมเป็นประจา รับประทานยาตามท ี่
ั
่
็
ั
ุ
แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า โรคหัวใจ คือ โรคที่ส่งผล
กระทบตอการทางานของหัวใจ ซึ่งคนทเป็นโรคหัวใจมักเกิดภาวะหลอดเลอดผดปกต ทาให้เลอดไม่สามารถไปเลยง
ิ
ิ
ื
ี้
่
ี่
ื
กล้ามเนื้อหัวใจ และเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันท าให้เสียชีวิตได ้
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ื
่
่
์
ั
้
นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับโรคหัวใจ จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ี่
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ี่
ั
– ยกตวอย่างวิธีการป้องกันโรคหัวใจมา 2 วิธี (แนวคาตอบ ลดการรับประทานอาหารทมีปริมาณไขมัน
โซเดียม และน้ าตาลสูง และออกก าลังกายเป็นประจ า)
ั
่
้
– การรักษาโรคหัวใจท าได้ดวยวิธีใด (แนวคาตอบ การท าหัตถการสวนหัวใจ การผาตดหัวใจ การใช้ยารักษา
ิ
ู
่
ู
ุ
ั
ื
่
และการควบคมปัจจัยเสี่ยงตางๆ เชน โรคเบาหวาน โรคความดนเลอดสง การสบบุหรี่ ความเครียด พฤตกรรมการบริโภค
และการออกก าลังกาย)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับโรคหัวใจ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
97
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สืบค้นข้อมูลโรคหัวใจ
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
่
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องโรคหัวใจ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
98
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู