249
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
250
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 38
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง แรงเสียดทาน (1) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ื่
ี่
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ั
่
ี
ี่
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
่
ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่มีผลตอขนาดของแรงเสียดทาน (ว 2.2 ม.
2/7)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายความหมายและทิศทางของแรงเสียดทานได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องแรงเสียดทานไปใชในชีวิตประจ าวันได้ (P)
้
4. สาระส าคัญ
แรงเสยดทานเปนแรงตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างผิวสมผัสของวัตถุ 2 ชนิด และมีทศทางตรงกัน
ี
็
้
ั
ิ
ข้ามกับทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถ ุ
5. สาระการเรียนร ู้
แรง
– แรงเสียดทาน
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลแรงเสียดทาน
251
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามเกี่ยวกับประสบการณ์เดิมของนักเรียน เช่น
– นักเรียนเคยลนในห้องน้ าหรือไม่ และในขณะนั้นพื้นห้องน้ ามีสภาพเป็นแบบใด (แนวค าตอบ เคย ห้องน้ ามี
ื่
คราบสบู่)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง แรงเสยด
ี
ู่
ทาน
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั
้
ั้
ื
้
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูน ากลองบรรจุของหนัก 10 กิโลกรัม มาวางไว้หน้าห้องเรียน จากนั้นให้นักเรียน 2 คน ออกแรงผลักกล่องให้
่
เคลื่อนที่ไปด้านหน้า โดยให้กล่องเคลื่อนที่ไปได้ประมาณ 1 เมตร จากนั้นครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– เมื่อนักเรียนออกแรงผลักกล่องแล้วกล่องยังไม่เคลื่อนที่ แรงลัพธ์มีขนาดเท่าใด (แนวค าตอบ ศูนย์)
ี่
่
่
ั
ี่
้
ื่
ี่
่
ิ
– การทกลองยังไม่เคลอนทแสดงว่ามีแรงตานแรงทนักเรียนผลกกลองใชหรือไม่ นักเรียนคดว่าแรงนั้นมี
ทิศทางใด (แนวค าตอบ ใช่ มีทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางของแรงผลัก)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องแรงเสียดทาน จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
ุ
ุ
แรงเสียดทานเกิดขึ้นเมื่อมีแรงภายนอกมากระทาต่อวัตถท าให้วัตถเคลอนท แรงเสยดทานเป็นแรงทกระท าตอผิวของวัตถท ี่
ุ
ี่
ี่
ี
่
ื่
ี่
ื่
สัมผสกับพื้น และมีทศทางตรงกันข้ามกับทศทางการเคลอนทของวัตถุ การทวัตถุจะเคลอนทได แรงลพธ์จะตองมีทศทาง
ี่
ื่
ั
้
ิ
้
ิ
ี่
ั
ิ
เดียวกับแรงที่กระท าต่อวัตถุ นั่นคือ ต้องออกแรงที่มีขนาดมากกว่าแรงเสียดทาน
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับแรงเสียดทาน ตามขั้นตอนดังนี้
ื
้
ี่
ิ
ิ
ุ่
่
ุ่
่
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
ื
้
ี
ี่
ี
ิ
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น ความหมายของแรงเสยดทาน ทศทางของแรงเสยดทาน และปัจจัยทมีผลต่อขนาดของแรง
เสียดทาน
ุ่
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
่
ิ
ิ
ื
้
ุ่
ื
ี่
่
้
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
ิ
ุ่
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ี่
ุ่
้
ั้
ิ
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
็
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
ึ
่
ั
เกี่ยวกับแรงเสียดทาน
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
252
ิ
ิ
่
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ี
– แรงเสยดทานคืออะไร (แนวคาตอบ แรงต้านการเคลื่อนทของวัตถุ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีแรงภายนอกมากระทา
ี่
ต่อวัตถุท าให้วัตถุเคลื่อนที่)
ิ
– เมื่อออกแรงผลักวัตถุจะเกิดแรงเสยดทานขึ้นในทศทางใด (แนวคาตอบ ทิศทางตรงกันข้ามกับทศทางของ
ิ
ี
แรงผลัก)
ี
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า แรงเสยดทานเป็นแรงท ี่
เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ 2 ชนิด เพื่อต้านการเคลอนทของวัตถุ ซึ่งมีทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางการเคลื่อนทของ
ี่
ี่
ื่
วัตถ ุ
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
นักเรียนค้นคว้าค าศัพทภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับแรงเสียดทาน จากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
์
และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ี
ี
ี่
– ขณะทเราเดนอยู่กลางสนามฟุตบอลมีแรงเสยดทานเกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ มีแรงเสยดทาน
ิ
้
ี่
ิ
ี่
เกิดขึ้น โดยแรงเสยดทานเกิดขึ้นระหว่างพื้นรองเทากับพื้นสนามฟุตบอล ซึ่งขณะทเราเดนรองเทาจะเคลื่อนทไปทางดาน
ี
้
้
หลัง แรงเสียดทานที่กระท าต่อรองเท้าจึงมีทิศทางไปด้านหน้า ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับทิศทางที่เราก าลังเดิน)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับแรงเสียดทาน โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. กล่องบรรจุของ
2. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
3. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
ี
4. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 เล่ม 1
่
5. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
6. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
7. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
253
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องแรงเสียดทาน 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
254
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
255
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิไไชยศึกษา
256
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 39
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง แรงเสียดทาน (2) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ี่
ื่
ี
ี่
่
ั
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
1. อธิบายแรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลน์จากหลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ม. 2/6)
ี่
ั
2. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีทเหมาะสมในการอธิบายปัจจยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน (ว 2.2
ม. 2/7)
3. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงอื่นๆ ที่กระท าต่อวัตถุ (ว 2.2 ม. 2/8)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายการเกิดแรงเสียดทานได้ (K)
2. สังเกตความแตกต่างของแรงเสียดทานทเกิดขึ้นขณะที่วัตถุยังไม่เคลื่อนที่กับขณะที่วัตถุเริ่มเคลื่อนที่หรือก าลัง
ี่
เคลื่อนที่ได้ (K)
3. ทดลองและระบุปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทานได้ (K)
4. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
5. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
ู้
6. ท างานร่วมกับผอื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
้
7. สื่อสารและน าความรู้เรื่องแรงเสียดทานไปใชในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
แรงเสยดทานเปนแรงตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างผิวสมผัสของวัตถุ 2 ชนิด และมีทศทางตรงกัน
ิ
ั
้
ี
็
ข้ามกับทศทางการเคลอนทของวัตถุ โดยขนาดของแรงเสยดทานทเกิดขึ้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงปฏิกิริยาตงฉาก
ี่
ี
ิ
ื่
ี่
ั้
ระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุและลักษณะผิวสัมผัสของวัตถ ุ
5. สาระการเรียนร ู้
แรง
– แรงเสียดทาน
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
257
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
1. ทดลองปัจจัยที่มีผลต่อแรงเสียดทาน
2. สังเกตลักษณะผิวสัมผัสของวัตถุที่มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ิ
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้ว โดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– แรงเสยดทานคออะไร และมีผลตอการเคลอนที่ของวัตถุอย่างไร (แนวคาตอบ แรงเสยดทาน คือ แรงตาน
ี
ื
้
ี
่
ื่
การเคลื่อนที่ของวัตถุ และมีผลท าให้วัตถุเคลื่อนที่ช้าลง)
– ปัจจยทมีผลตอขนาดของแรงเสยดทานมีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ ขนาดของแรงปฏิกิริยาตงฉากระหว่าง
ั้
ั
ี
ี่
่
ผิวสัมผัสของวัตถุและลักษณะผิวสัมผัสของวัตถุ)
ู่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง แรงเสยด
ี
ทาน
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
้
ั
้
ั้
ั
ื
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามเกี่ยวกับประสบการณ์เดิมของนักเรียน เช่น
้
ิ
่
– ระหว่างการใสถุงเทาเดินบนพื้นไม้กับการเดนดวยเท้าเปล่าบนพื้นไม้แตกต่างกันอย่างไร (แนวคาตอบ การ
้
ใส่ถุงเท้าเดินบนพื้นไม้ลื่นกว่าการเดินด้วยเท้าเปล่าบนพื้นไม้)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องการเกิดแรงเสียดทาน จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียน
เข้าใจว่า การเกิดแรงเสียดทานสามารถพิจารณาจากผลที่เกิดขึ้นกับวัตถุได้ในหลายๆ กรณีดังนี้
– เมื่อวัตถุหยุดนิ่งไม่มีแรงภายนอกมากระท าให้วัตถุเคลื่อนที่ แรงเสียดทานจะมีค่าเป็นศูนย์
่
ี่
ิ
ิ
– เมื่อมีแรงมากระทาตอวัตถุทหยุดนิ่งให้เคลอนท แรงเสยดทานทเกิดขึ้นจะมีทศทางตรงกันข้ามกับทศ
ี
ี่
ื่
ี่
ี่
ี่
่
ี
ั
ี่
ทางการเคลื่อนทของวัตถุ โดยวัตถุจะเคลื่อนทไดเมื่อแรงลพธ์มีทิศทางเดยวกับแรงที่กระท าตอวัตถุ นั่นคือ ตองออกแรงทมี
้
้
ขนาดมากกว่าแรงเสียดทาน
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม ทดลองปัจจัยที่มีผลต่อแรงเสียดทาน ตามขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ก าหนดปัญหา
258
ั
– เมื่อออกแรงกระท าต่อวัตถุ แรงเสียดทานทเกิดขึ้นมีค่าคงตวหรือไม่
ี่
ขั้นที่ 2 ก าหนดสมมุตฐาน
ิ
– ขนาดของแรงที่วัดได้เมื่อวัตถุเริ่มเคลื่อนที่น่าจะมีค่ามากกว่าขนาดของแรงที่วัดได้เมื่อวัตถุเคลื่อนที่ด้วย
ความเร็วคงตัว และขนาดของแรงที่วัดได้น่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อจ านวนถุงทรายเพิ่มขึ้น และขนาดของแรงที่วัดได้อาจเพิ่มขึ้นหรือ
ลดลงก็ได้เมื่อผิวสัมผัสเปลี่ยนไป
ิ
ขั้นที่ 3 ทดสอบสมมุตฐาน
– ติดเทปกาวบนโต๊ะเป็นเครื่องหมายแสดงตาแหน่งที่วางแผ่นไม้อัด จากนั้นน าถุงทราย 1 ถุงมาวางทับลง
บนแผ่นไม้อัด ใช้เครื่องชั่งสปริงคล้องห่วงที่แผ่นไม้อัดให้อยู่ในแนวระดับ
– ค่อย ๆ ออกแรงดึงแผ่นไม้อัดให้เคลื่อนที่ บันทึกขนาดของแรงที่สังเกตได้เมื่อแผ่นไม้อัดเริ่มเคลื่อนที่ และ
บันทึกขนาดของแรงอีกครั้งเมื่อถุงทรายเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัว พร้อมทั้งเขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระท าต่อถุงทราย
้
่
– วางแผ่นไม้อัดไว้ตรงต าแหน่งเดิม แล้วด าเนินการเช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 2 แตเพิ่มจ านวนถุงทรายวางซ้อน
กันบนแผ่นไม้อัดเป็น 2, 3 และ 4 ถุง ตามล าดบ บันทึกขนาดของแรงพร้อมทั้งเขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระท าต่อถุงทราย
ั
– ด าเนินการเช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 1–3 แตหุ้มแผนไม้อัดด้วยถุงพลาสติก
่
่
ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ผลการทดลอง
– แปลความหมายข้อมูลที่ได้จากตารางบันทึกผลการทดลอง
– น าข้อมูลที่ได้มาพิจารณาเพื่ออธิบายว่าเป็นไปตามที่นักเรียนก าหนดสมมุติฐานไว้หรือไม่
ขั้นที่ 5 สรุปผลการทดลอง
– นักเรียนร่วมกันสรุปผลการทดลองแล้วเขียนรายงานสรุปผลการทดลองส่งครู
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏบัติกิจกรรม
ิ
่
ู
ื
ิ
ิ
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลอนักเรียนขณะปฏบัติกิจกรรม โดยครูเดนดรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ึ
่
ี่
– ถุงทรายทวางนิ่งอยู่บนแผ่นไม้อัดโดยที่ยังไม่ออกแรงดง จะมีแรงชนิดใดที่กระท าตอถุงทราย (แนวค าตอบ
ี่
แรงโน้มถ่วงของโลกทกระทาตอถุงทราย (น้ าหนักของถุงทราย) และแรงทพื้นโตะกระทาตอถุงทราย (แรงปฏิกิริยาใน
่
ี่
่
๊
แนวตั้งฉากระหว่างผิวสัมผัส))
่
ี่
ี่
่
– ขณะออกแรงดงถุงทรายแตถุงทรายยังไม่เคลอนท จะมีแรงชนิดใดทกระท าตอถุงทราย (แนวค าตอบ แรง
ื่
ึ
่
่
ั้
โน้มถ่วงของโลกทกระทาตอถุงทราย (น้ าหนักของถุงทราย) แรงทพื้นโตะกระทาตอถุงทราย (แรงปฏิกิริยาในแนวตงฉาก
ี่
๊
ี่
ระหว่างผิวสัมผัส))
้
่
ี่
ื่
ึ
– ขณะออกแรงดงถุงทรายให้เคลอนทดวยความเร็วคงตว จะมีแรงชนิดใดทกระทาตอถุงทราย (แนวคาตอบ
ี่
ั
ี่
แรงโน้มถ่วงของโลกที่กระท าต่อถุงทราย (น้ าหนักของถุงทราย) แรงทพื้นโต๊ะกระท าต่อถุงทราย (แรงปฏิกิริยาในแนวตั้งฉาก
ระหว่างผิวสัมผัส) แรงดึงถุงทราย และแรงต้านการเคลื่อนที่ของถุงทราย (แรงเสียดทาน))
259
่
ี
– จานวนถุงทรายทเพิ่มขึ้นมีผลตอขนาดของแรงเสยดทานหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ จานวนถุงทรายท ี่
ี่
ั
เพิ่มขึ้นมีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน เนื่องจากเมื่อเพิ่มจ านวนถุงทรายจะทาให้แรงกดบนพื้นโต๊ะมากขึ้น ดงนั้นขนาดของ
แรงเสียดทานจึงมีค่าเพิ่มขึ้น)
– การหุ้มแผ่นไม้อัดดวยถุงพลาสติกมีผลต่อขนาดของแรงเสียดทานหรือไม่ อย่างไร (แนวค าตอบ การหุ้มแผน
่
้
ิ
ุ
ี
ิ
่
ไม้อัดด้วยถงพลาสตกมีผลตอขนาดของแรงเสยดทาน เนื่องจากเมื่อหุ้มแผ่นไม้อัดด้วยถุงพลาสตกจะท าให้พื้นผิวสัมผัสเรียบ
และลื่นมากขึ้น ส่งผลให้ขนาดของแรงเสียดทานมีค่าลดลง)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ขนาดของแรงเสียดทาน
ิ
จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของแรงปฏิกิริยาตั้งฉากระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุและลักษณะผิวสัมผัสของวัตถ ุ
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ั
ั
ี่
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลมละ 5 – 6 คน ปฏิบติกิจกรรม สังเกตลักษณะผวสมผสของวัตถุทมีผลตอขนาดของแรงเสียด
่
ั
ิ
ุ่
ทาน ตามขั้นตอน ดังนี้
– ติดกระดาษทรายให้ตึงกับพื้น และวางถุงทรายลงบนกระดาษทราย
้
– น าเครื่องชั่งสปริงมาเกี่ยวถุงทรายแลวค่อย ๆ เพิ่มแรงดึงมากขึ้นเรื่อย ๆ บันทึกขนาดของแรงที่ทาให้แผ่นไม้
เริ่มเคลื่อนที่ โดยอ่านตัวเลขที่เครื่องชั่งสปริง
ี่
่
็
ิ
่
ู
่
– ด าเนินการเชนเดียวกับขั้นตอนท 1 และ 2 แต่เปลี่ยนจากกระดาษทรายเปนแผนพลาสตกลกฟูก และแผน
โฟม ตามล าดบ
ั
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
ุ
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ี่
– วัตถุทวางนิ่งอยู่บนพื้นโดยไม่มีแรงภายนอกมากระทาจะมีแรงเสยดทานเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะอะไร (แนว
ี
้
ึ
่
ี
คาตอบ ไม่มีแรงเสยดทานเกิดขึ้น เพราะไม่มีแรงภายนอกมากระทาตอวัตถุและวัตถุอยู่นิ่งบนพื้นจงไม่มีแรงตานการ
เคลื่อนที่ของวัตถุ)
ิ
ั
ี
ิ
– ปัจจัยใดที่มีผลต่อขนาดของแรงเสยดทาน (แนวค าตอบ ขนาดของแรงปฏกิริยาตั้งฉากระหว่างผวสัมผสของ
วัตถุและลักษณะผิวสัมผัสของวัตถุ)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับแรงเสียดทาน โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
260
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม ทดลองปัจจัยที่มีผลต่อแรงเสียดทาน
2. ถุงทราย
3. เครื่องชั่งสปริงแบบแขวน
4. กระดาษทราย
5. แผ่นพลาสติกลูกฟูก
6. แผ่นโฟม
7. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
8. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
9. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
ี่
10. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องแรงเสียดทาน 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
261
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
262
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิไไชยศึกษา
263
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 40
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ประเภทของแรงเสียดทาน เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ื่
ี่
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ั
่
ี่
ี
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
อธิบายแรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลน์จากหลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ม. 2/6)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายความแตกต่างของแรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลน์ได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องประเภทของแรงเสียดทานไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
แรงเสียดทานเป็นแรงทเกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผสของวัตถุ เพื่อต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น ซึ่งถ้าออกแรงกระท าตอ
่
ั
ี่
ื่
้
ี่
่
วัตถุที่อยู่นิ่งให้เคลอนทจะเกิดแรงตานการเคลอนทของวัตถุ โดยแรงเสียดทานแบงเป็น 2 ประเภท คอ แรงเสยดทานสถิต
ี
ี่
ื่
ื
และแรงเสียดทานจลน์
5. สาระการเรียนร ู้
แรง
– แรงเสียดทาน
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลประเภทของแรงเสียดทาน
264
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนดูรูปหรือสื่อมัลติมีเดียที่แสดงให้เห็นถึงการเข็นรถเข็น แล้วให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย ดังนี้
ั
– ขณะก าลงเข็นรถเข็นมีแรงเสยดทานเกิดขึ้นในบริเวณใด (แนวคาตอบ ขณะเข็นรถเข็นมีแรงเสยดทาน
ี
ี
เกิดขึ้น 2 บริเวณ คือ บริเวณผิวสัมผัสของล้อรถเข็นกับพื้น และบริเวณผิวสัมผัสของพื้นรองเท้ากับพื้น)
ี่
ี่
ี่
– นักเรียนคิดว่าการออกแรงเข็นรถเข็นขณะทรถเข็นยังไม่เคลื่อนทกับขณะทรถเข็นก าลงเคลอนทแตกต่างกัน
ื่
ี่
ั
ื่
ี่
ี่
้
ี่
หรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ แตกตางกัน โดยขณะทรถเข็นยังไม่เคลอนทตองออกแรงเข็นรถเข็นมากกว่าขณะทรถเข็น
่
ก าลังเคลื่อนที่)
ู่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ประเภท
ของแรงเสียดทาน
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
้
ั
ั
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
้
ื
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
ี่
– แรงเสียดทานทเกิดขึ้นขณะออกแรงพยายามทาให้วัตถุเคลอนที่และแรงเสียดทานทเกิดขึ้นเมื่อวัตถุเคลื่อนท ี่
ื่
ี่
ุ
่
ี่
มีค่าเท่ากันหรือไม่ อย่างไร (แนวค าตอบ ไม่เท่ากัน โดยแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นขณะออกแรงพยายามท าให้วัตถเคลื่อนทมีคา
มากกว่าแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นเมื่อวัตถุเคลื่อนที่)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของแรงเสียดทาน ตามขั้นตอนดังนี้
่
ิ
ุ่
้
ื
ิ
ี่
้
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
่
ื
ุ่
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น แรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลน์
ิ
ิ
ุ่
ี่
่
้
่
ื
้
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
ุ่
ื
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ิ
ุ่
ุ่
้
ิ
ี่
ั้
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
ึ
ั
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
็
่
เกี่ยวกับประเภทของแรงเสียดทาน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
ิ
(3) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
่
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
265
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ี่
– แรงเสยดทานสถิตเกิดขึ้นเมื่อใด (แนวคาตอบ เกิดขึ้นเมื่อมีแรงมากระทาตอวัตถุให้เคลื่อนท แตวัตถุยังไม่
่
่
ี
เคลื่อนที่)
– ขนาดของแรงเสยดทานสถิตขึ้นอยู่กับปัจจยใด (แนวคาตอบ ขึ้นอยู่กับขนาดของแรงปฏิกิริยาตงฉาก
ี
ั
ั้
ระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุและลักษณะผิวสัมผัสของวัตถุ)
ี่
ี
– แรงเสยดทานจลน์เกิดขึ้นเมื่อใด (แนวค าตอบ เกิดขึ้นเมื่อมีแรงมากระท าต่อวัตถ แล้ววัตถุเริ่มเคลื่อนทหรือ
ุ
ก าลังเคลื่อนที่ มีผลท าให้วัตถุเคลื่อนที่ช้าลงหรือหยุดนิ่ง)
– ขนาดของแรงเสยดทานจลน์ขึ้นอยู่กับปัจจยใด (แนวคาตอบ ขึ้นอยู่กับขนาดของแรงปฏิกิริยาตงฉาก
ั้
ี
ั
ระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุและลักษณะผิวสัมผัสของวัตถุ)
ั
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า แรงเสยดทานแบ่งเปน
ี
2 ประเภท คอ แรงเสยดทานทเกิดขึ้นในขณะทมีแรงมากระทาตอวัตถุ แตวัตถุยังไม่เคลอนท เรียกว่า แรงเสยดทานสถิต
ี่
ื่
ี
ี่
่
ี
่
ื
ี่
และแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นขณะวัตถุเริ่มเคลื่อนที่หรือก าลังเคลื่อนที่ เรียกว่า แรงเสียดทานจลน์
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ี
่
ุ
ู
ิ
(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับแรงเสยดทานสถิตสงสดให้นักเรียนเข้าใจว่า ขนาดของแรงเสียดทานสถิตจะมีคาไม่
ี่
่
ู
ี่
คงท กลาวคอ แรงเสยดทานสถิตจะมีขนาดเพิ่มขึ้นตามขนาดของแรงทมากระทาตอวัตถุ และจะมีคาสงสดเมื่อวัตถุเริ่ม
ุ
่
่
ี
ื
เคลื่อนที่ เรียกแรงเสียดทานในขณะนั้นว่า แรงเสียดทานสถิตสูงสุด
ี
ื
ั
(2) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับประเภทของแรงเสยดทาน จากหนังสอเรียน
้
์
่
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ี
ี
– แรงเสียดทานแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 2 ประเภท คอ แรงเสยดทานสถิตและแรงเสยด
ื
ทานจลน์)
– แรงเสียดทานสถิตมีค่าสูงสุดเมื่อใด (แนวค าตอบ เมื่อวัตถุเริ่มเคลื่อนที่)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับประเภทของแรงเสียดทาน โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
266
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
ี่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องประเภทของแรง 1. ประเมินเจตคตทาง 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
เสียดทาน วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคลโดยการ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ สังเกตและใชแบบวัดเจตคติทาง 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
้
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วิทยาศาสตร์ กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
2. ประเมินเจตคติต่อ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคลโดยการ กลุ่ม
สังเกตและใชแบบวัดเจตคติต่อ
้
วิทยาศาสตร์
267
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
268
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิไไชยศึกษา
269
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 41
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การน าแรงเสียดทานไปใช้ประโยชน์ เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ี่
ี
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ื่
ี่
่
ั
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
์
ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เรื่องแรงเสียดทาน โดยวิเคราะห์สถานการณปัญหาและเสนอแนะวิธีการลดหรือ
เพิ่มแรงเสียดทานที่เป็นประโยชน์ต่อการท ากิจกรรมในชีวิตประจ าวัน (ว 2.2 ม. 2/9)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจากสถานการณต่างๆ ได้ (K)
์
2. อธิบายการเพิ่มหรือลดแรงเสียดทานเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการด ารงชีวิตได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการน าแรงเสียดทานไปใช้ประโยชน์ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
กิจกรรมในชีวิตประจ าวันบางกิจกรรมต้องการแรงเสียดทาน เช่น การเปิดฝาเกลียวขวดน้ าและการใช้แผ่นกันลื่นใน
ห้องน้ า บางกิจกรรมไม่ต้องการแรงเสียดทาน เช่น การลากวัตถุบนพื้นและการใช้น้ ามันหล่อลื่นในเครื่องยนต ์
5. สาระการเรียนร ู้
แรง
– แรงเสียดทาน
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
270
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลการน าแรงเสียดทานไปใช้ประโยชน์
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามนักเรียนถึงสิ่งต่างๆ ที่พบในชีวิตประจ าวัน เช่น
– ของใช้ในชีวิตประจ าวันทเกี่ยวข้องกับแรงเสยดทานมีอะไรบ้าง (แนวค าตอบ ยางรถยนต์ รองเท้า และแถบ
ี
ี่
ยางติดขอบบันได)
– บริเวณขอบของบันไดมีการตดแถบยางไว้ นักเรียนคิดว่าตดไว้เพื่ออะไร (แนวค าตอบ ช่วยให้ผู้ทใช้บันไดใน
ิ
ี่
ิ
การขึ้น–ลงไม่ลื่นตกบันได)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง การน าแรง
เสียดทานไปใช้ประโยชน์
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
้
ั้
ั
้
ื
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูให้นักเรียนดูรูปการวิ่งและการเล่นสไลเดอร์ แล้วถามค าถามนักเรียนดังนี้
– กิจกรรมใดต้องเพิ่มแรงเสียดทาน และกิจกรรมใดต้องลดแรงเสียดทาน (แนวค าตอบ กิจกรรมที่ต้องเพิ่มแรง
เสียดทาน คือ การวิ่ง ส่วนกิจกรรมที่ต้องลดแรงเสียดทาน คือ การเล่นสไลเดอร์)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ึ
ื
ี
่
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องการน าแรงเสยดทานไปใชประโยชน์ จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวย
้
ี
ี
้
อธิบายให้นักเรียนเขาใจว่า กิจกรรมในชีวิตประจาวันบางกิจกรรมต้องการเพิ่มแรงเสยดทาน เช่น การเปิดฝาเกลยวขวดน้ า
ื่
บริเวณฝาขวดน้ าจะมีร่องเล็ก ๆ เพื่อช่วยให้เปิดได้ง่ายขึ้น และการใช้แผนกันลนในห้องน้ าเพื่อกันลื่น ในขณะที่บางกิจกรรม
่
ี
ต้องการลดแรงเสยดทาน เช่น การเคลื่อนย้ายวัตถุบนพื้นผิวขรุขระเกิดแรงเสียดทานมากท าให้เคลื่อนย้ายวัตถุได้ยาก ดังนั้น
ุ
จึงควรใช้ผ้าหรือวัสดุที่มีผิวเรียบรองวัตถุก่อนแล้วจึงท าการเคลื่อนย้าย เนื่องจากผ้าหรือวัสดผิวเรียบจะช่วยลดแรงเสียดทาน
ระหว่างพื้นกับผวของวัตถุลงทาให้เคลอนย้ายวัตถุไดง่ายขึ้น และการใสน้ ามันหลอลนบริเวณโซ่รถจกรยานยนตหรือใน
้
ั
์
ื่
่
่
ื่
ิ
เครื่องยนต์เพื่อลดความฝืดบริเวณโซ่รถจักรยานยนต์หรือในเครื่องยนต ์
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการน าแรงเสียดทานไปใช้ประโยชน์ ตามขั้นตอนดังนี้
ื
้
ุ่
ิ
ิ
ื
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
้
ื
่
ี่
ุ่
่
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น กิจกรรมที่ต้องเพิ่มแรงเสียดทานและกิจกรรมที่ต้องลดแรงเสียดทาน
ิ
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
ิ
้
่
้
ื
ื
ุ่
ี่
่
ุ่
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ิ
ี่
้
ุ่
ั้
ิ
ุ่
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
271
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
็
ึ
ั
่
เกี่ยวกับการน าแรงเสียดทานไปใช้ประโยชน์
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
่
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– กิจกรรมใดบ้างที่ต้องเพิ่มแรงเสียดทานเพื่อความปลอดภัย (แนวค าตอบ ขับรถ วิ่ง และปีนเขา)
– กิจกรรมใดบ้างที่ต้องลดแรงเสียดทาน (แนวค าตอบ ว่ายน้ าและเข็นของหนัก)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การเพิ่มหรือลดแรงเสียด
ทานต้องค านึงถึงการน าไปใช้ประโยชน์ เพราะถ้าเพิ่มหรือลดแรงเสียดทานไม่ถูกต้องอาจท าให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได ้
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
่
ี
(1) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องประโยชน์ของข้อตอให้นักเรียนเข้าใจว่า ร่างกายมนุษย์มีระบบการลดแรงเสยดทาน
ี่
ู
ู
่
พบไดทบริเวณข้อตอของกระดกเข่าหรือข้อพับ บริเวณนี้เป็นบริเวณทมีของเหลวซึ่งทาหน้าทเป็นสารหลอลนให้กระดก
่
ี่
ี่
้
ื่
้
้
่
เคลื่อนไหวไดง่าย ถ้าขาดของเหลวเหลานี้จะท าให้ขอต่อท างานผิดปกต เป็นผลท าให้เข่าบวมและเกิดอาการปวดบริเวณข้อ
ิ
ต่อที่เรียกว่า โรคไขข้ออักเสบได ้
ื
ั
ี
่
้
์
้
(2) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับการน าแรงเสยดทานไปใชประโยชน์ จากหนังสอเรียน
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ี่
– การลดหรือเพิ่มแรงเสยดทานควรลดหรือเพิ่มในปริมาณทพอเหมาะ เพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะการ
ี
ี่
้
้
่
ิ
ลดแรงเสยดทานทมากเกินไปอาจทาให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ เชน ดอกยางทพื้นรองเทาทาให้เดนบนพื้นได แตถ้ามี
ี่
่
ี
ดอกยางมากเกินไปจะท าให้ต้องออกแรงเดินเพิ่มมากขึ้น เพราะพื้นรองเท้าฝืดเกินไป)
้
ั
– เรือทตองการความเร็วในการเคลอนทควรมีลกษณะใด เพราะอะไร (แนวคาตอบ ควรมีรูปทรงเพรียว
ื่
ี่
ี่
เพราะจะช่วยลดแรงเสียดทานของอากาศและน้ า)
– ในการแข่งวอลเลย์บอลมีการเช็ดพื้นเมื่อถึงเวลาพักครึ่งเพราะเหตุใด (แนวค าตอบ เพราะเหงื่อของนักกีฬาท ี่
หยดลงพื้นจะท าให้พื้นลื่น ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน)
่
่
ุ
ั
– เพราะเหตใดพื้นรองเทาของนักกีฬาแตละประเภทจงมีลกษณะตางกัน (แนวคาตอบ เพราะกีฬาแตละ
่
ึ
้
ประเภทแข่งขันบนพื้นที่มีพื้นผิวแตกต่างกัน แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจึงมีค่าไม่เท่ากัน)
272
ี
– เราใชยางรัดรอบฝาขวดน้ าแบบเกลยวก่อนทาการเปิดเพื่ออะไร (แนวคาตอบ เพื่อเพิ่มแรงเสยดทานทาให้
้
ี
เปิดฝาขวดน้ าได้ง่ายขึ้น)
ขั้นสรุป
้
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการน าแรงเสียดทานไปใชประโยชน์ โดยร่วมกันเขยนเป็นแผนทความคิดหรือ
ี่
ี
ผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. รูปการวิ่งและการเล่นสไลเดอร์
2. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
3. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
4. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
5. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
ี่
6. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
7. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องการน าแรงเสียด 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
ทานไปใช้ประโยชน์ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
273
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
274
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิไไชยศึกษา
275
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 42
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โมเมนต์ของแรง (1) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
่
ื่
ี่
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ั
ี่
ี
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายโมเมนต์ของแรง เมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดุลต่อการ
หมุน และค านวณโดยใช้สมการ M = Fl (ว 2.2 ม. 2/10)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายหลักการของโมเมนต์ของแรงได้ (K)
2. ระบุปัจจัยที่มีผลต่อโมเมนต์ของแรงได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องโมเมนต์ของแรงไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
โมเมนต์ของแรงเป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุรอบจุดหมุนเมื่อมีแรงมากระท าต่อวัตถุโดยไม่ผ่าน
์
ศูนย์กลางมวล โดยโมเมนตของแรงขึ้นอยู่กับขนาดของแรงทกระทาตอวัตถุกับระยะห่างจากจดหมุนตงฉากกับแนวแรง ดง
ี่
ั
ั้
่
ุ
สมการ M = Fl
5. สาระการเรียนร ู้
แรง
– โมเมนต์ของแรง
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
276
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลโมเมนต์ของแรง
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
ี
ี่
้
่
ู
ื่
ิ
1) ครูให้นักเรียนดรูปหรือสอมัลตมีเดยทแสดงให้เห็นถึงการเลนไม้กระดานหก แลวให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย
ดังนี้
– ไม้กระดานหกเคลื่อนทขึ้นและลงได้เพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะมีแรงกระทาให้ไม้กระดานหกเกิดการ
ี่
เคลื่อนที่รอบจุดหมุน)
ิ
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง โมเมนต ์
ู่
ของแรง
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
ั้
้
ื
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
้
ั
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
๊
ื
ั
ั
ั
่
้
(1) ครูน าหนังสอมาวางไว้บนโตะหน้าห้องเรียน แลวให้นักเรียนลองผลกสนหนังสอในตาแหน่งตางๆ สงเกตการ
ื
เคลื่อนที่ของหนังสือ จากนั้นถามค าถามนักเรียนดังนี้
ั
ั
ั
่
ั
– เมื่อผลกสนหนังสอในตาแหน่งตางๆ หนังสอมีการเคลอนทในลกษณะใด (แนวคาตอบ เมื่อผลกตรงกลาง
ื่
ื
ื
ี่
้
้
ื
้
ื
ื
ของสันหนังสอ พบว่า หนังสอเคลอนที่ไปขางหน้า และเมื่อผลักที่มุมดานใดดานหนึ่งของสันหนังสอ พบว่า หนังสอเกิดการ
ื
ื่
หมุน)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
่
ึ
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องโมเมนต์ของแรง จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจ
ุ
ว่า เมื่อมีแรงกระท าต่อวัตถุรอบจุดจดหนึ่ง แล้วท าให้วัตถเกิดการหมุนรอบจุดนั้น เราเรียกว่าเกิดโมเมนต์ของแรง และเรียก
ุ
จุดที่วัตถุหมุนรอบว่า จุดหมุน โดยแรงที่กระท าต่อวัตถุ และระยะห่างระหว่างแรงถึงจุดหมุนมีผลต่อโมเมนต์ของแรง
(2) ครูแบงนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับโมเมนต์ของแรง ตามขั้นตอนดังนี้
่
่
ื
้
ิ
่
ุ่
ิ
ุ่
้
ื
ี่
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น ความหมายโมเมนต์ของแรงและปัจจัยที่มีผลต่อโมเมนต์ของแรง
ิ
ิ
่
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
ื
้
้
ื
่
ุ่
ี่
ุ่
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
ี่
ิ
ุ่
ุ่
ั้
ิ
้
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
ั
็
ึ
่
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับโมเมนต์ของแรง
ิ
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัตกิจกรรม
277
ิ
ิ
ิ
่
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– โมเมนต์ของแรงคออะไร (แนวค าตอบ โมเมนตของแรง คอ การเคลื่อนที่ของวัตถุรอบจุดหมุนเมื่อมีแรงมา
ื
ื
์
กระท าต่อวัตถุโดยไม่ผ่านศูนย์กลางมวล)
ั
์
– โมเมนตของแรงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจยใด (แนวคาตอบ ขึ้นอยู่กับขนาดของแรงทกระทาตอวัตถุ
่
ี่
และระยะห่างจากจุดหมุนตั้งฉากกับแนวแรง)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า โมเมนต์ของแรงเป็นการ
ิ
ื่
เคลอนที่ของวัตถุรอบจุดหมุนเมื่อมีแรงมากระท าต่อวัตถุโดยไม่ผ่านศนย์กลางมวล โดยโมเมนตของแรงขึ้นอยู่กับขนาดของ
์
ู
แรงที่กระท าต่อวัตถุและระยะห่างจากจุดหมุนตั้งฉากกับแนวแรง
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
้
ั
์
่
่
นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับโมเมนตของแรง จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรือ
ื
์
อินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ี่
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
์
ุ
– ถ้าออกแรงกระทาตอวัตถุโดยแนวแรงผานจดหมุน โมเมนตของแรงจะเป็นอย่างไร (แนวค าตอบ โมเมนต ์
่
่
ของแรงจะมีค่าเท่ากับศูนย์)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับโมเมนต์ของแรง โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. รูปหรือสื่อมัลติมีเดียที่แสดงให้เห็นถึงการเล่นไม้กระดานหก
2. หนังสือ
3. โต๊ะ
4. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
5. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
6. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
7. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
8. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
278
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องโมเมนต์ของแรง 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
279
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
280
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิไไชยศึกษา
281
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 43
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โมเมนต์ของแรง (2) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ั
ื่
่
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ี่
ี่
ี
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายโมเมนต์ของแรง เมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดุลต่อการ
หมุน และค านวณโดยใช้สมการ M = Fl (ว 2.2 ม. 2/10)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายการเกิดโมเมนต์ของแรงได้ (K)
2. ทดลองและระบุปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดสภาพสมดุลต่อการหมุนได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องโมเมนต์ของแรงไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
เมื่อมีแรงมากระท าตอวัตถุโดยไม่ผ่านศูนย์กลางมวลของวัตถ จะเกิดโมเมนต์ของแรง ท าให้วัตถุหมุนรอบศูนย์กลาง
่
ุ
ู
ี่
มวลของวัตถุนั้น โดยโมเมนตของแรงเป็นผลคณของแรงทกระทาตอวัตถุกับระยะห่างจากจดหมุนตงฉากกับแนวแรง ดง
์
ุ
ั้
ั
่
สมการ M = Fl และเมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดุลต่อการหมุน ผลรวมของโมเมนต์ของแรงมีค่าเป็นศูนย์
5. สาระการเรียนร ู้
แรง
– โมเมนต์ของแรง
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
282
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
ทดลองการเกิดสมดุลของคาน
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูน าขวดพลาสติกมาวางไว้บนโต๊ะหน้าห้องเรียน จากนั้นถามค าถามนักเรียนดังนี้
ิ
่
– ถ้าต้องการให้ขวดพลาสตกเกิดการหมุน นักเรียนควรออกแรงกระทาตอขวดพลาสติกในต าแหน่งใด (แนว
ค าตอบ ควรออกแรงกระท าต่อขวดพลาสติกตรงต าแหน่งปากขวดหรือก้นขวด)
ู่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง โมเมนต ์
ิ
ของแรง
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
้
ื
ั
้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั
ั้
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้ว โดยใช้ค าถามต่อไปนี้
่
่
– การออกแรงกระทาตอวัตถุโดยไม่ผานจุดหมุน และท าให้วัตถุเกิดการหมุนเรียกว่าอะไร (แนวคาตอบ การ
เกิดโมเมนต์ของแรง)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ิ
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัตกิจกรรม ทดลองการเกิดสมดุลของคาน ตามขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ก าหนดปัญหา
– ต าแหน่งของแรงดึงที่ห่างจากจุดหมุนมีผลต่อสมดุลของคานหรือไม่
ขั้นที่ 2 ก าหนดสมมุติฐาน
– เมื่อต าแหน่งของแรงดึงที่ห่างจากจุดหมุนเปลี่ยนไป แรงที่ใช้ดึงคานให้อยู่ในสภาพสมดุลจะเปลี่ยนไป
ขั้นที่ 3 ทดสอบสมมุติฐาน
– น าเชือกไนลอนผูกตรงกึ่งกลางไม้บรรทัด แล้วแขวนให้ไม้บรรทัดอยู่ในสภาพสมดุลในแนวระดับ ชั่งถุงทราย
ั่
ั
้
ุ
ดวยเครื่องชงสปริง แลวบันทกผล จากนั้นน ามาแขวนบนไม้บรรทดทางดานซ้ายของจดหมุน โดยให้ห่างจากจดหมุน 5
ุ
้
ึ
้
เซนติเมตร
ั่
้
ุ
ุ
– ใช้เครื่องชงสปริงดึงไม้บรรทัดลงที่จดซึ่งห่างจากจดหมุนไปทางด้านขวา 5 เซนติเมตรแลวอ่านค่าแรงที่ใช้ดง
ึ
ถุงทรายและท าให้ไม้บรรทัดอยู่ในแนวระดับ บันทึกผล
ี
– ด าเนินการเช่นเดยวกับขั้นตอนที่ 2 โดยเปลี่ยนต าแหน่งทใช้เครื่องชั่งสปริงดงไม้บรรทัดให้ห่างจากจุดหมุนเป็น
ี่
ึ
10 เซนติเมตร และ 15 เซนติเมตร ตามล าดับ บันทึกค่าที่อ่านได้จากเครื่องชั่งสปริง
ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ผลการทดลอง
– แปลความหมายข้อมูลที่ได้จากตารางบันทึกผลการทดลอง
– น าข้อมูลที่ได้มาพิจารณาเพื่ออธิบายว่าเป็นไปตามที่นักเรียนก าหนดสมมุติฐานไว้หรือไม่
283
ขั้นที่ 5 สรุปผลการทดลอง
– นักเรียนร่วมกันสรุปผลการทดลองแล้วเขียนรายงานสรุปผลการทดลองส่งครู
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
(3) ครูคอยแนะน าช่วยเหลอนักเรียนขณะปฏิบตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ิ
ั
ื
ื่
ทุกคนซักถามเมอมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ึ
่
– การอ่านคาแรงดงจากเครื่องชงสปริงแตละครั้งตองให้ไม้บรรทดอยู่ในแนวระดบเสมอเพราะเหตใด (แนว
ั่
ั
ุ
ั
่
้
ค าตอบ เพราะค่าแรงดึงที่ได้จะเป็นค่าของแรงดึงที่แท้จริง เนื่องจากแรงพยายามเท่ากับแรงต้าน)
– เมื่อนักเรียนเลื่อนเครื่องชงสปริงออกห่างจากจุดหมุนเพื่อให้คานอยู่ในสภาพสมดุล แรงดึงมีค่าเปลี่ยนแปลง
ั่
ไปอย่างไร (แนวค าตอบ แรงดึงจะลดน้อยลงตามล าดับ)
– ผลคูณของแรงดึงกับระยะห่างจากจดหมุนถึงเครื่องชั่งสปริงในแต่ละต าแหน่งมีค่าเท่าใด และสัมพันธ์กับผล
ุ
คูณของน้ าหนักของถุงทรายกับระยะห่างจากจดหมุนถึงถุงทรายหรือไม่ อย่างไร (แนวค าตอบ มีคาประมาณ 0.25 นิวตัน –
ุ
่
เมตร ซึ่งมีค่าเท่ากับผลคูณของน้ าหนักของถุงทรายกับระยะห่างจากจุดหมุนถึงถุงทราย)
ิ
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อมีแรงหลายแรงมา
กระท าต่อวัตถุโดยไม่ผ่านศูนย์กลางมวลของวัตถุ จะเกิดโมเมนต์ของแรง ท าให้วัตถุหมุนรอบศูนย์กลางมวลของวัตถุนั้น และ
ี่
ุ
่
ุ
่
เมื่อโมเมนตของแรงทกระทาตอวัตถุรอบจดหมุนมีคาเทากัน วัตถุจะอยู่ในสภาพสมดล โดยแรงทกระทาตอวัตถุและ
่
ี่
่
์
ระยะห่างจากจุดหมุนตั้งฉากกับแนวแรงมีผลต่อโมเมนต์ของแรง
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการค านวณหาโมเมนต์ของแรงให้นักเรียนเข้าใจว่า โมเมนต์ของแรงค านวณได้จาก
ผลคณระหว่างขนาดของแรงที่กระท าต่อวัตถุกับระยะห่างจากจุดหมุนตั้งฉากกับแนวแรง ซึ่งเขียนเป็นสมการแสดง
ู
ความสัมพันธ์ได้ดังนี้
M = Fl
เมื่อ M คือ โมเมนต์ของแรง มีหน่วยเป็นนิวตัน–เมตร
F คือ ขนาดของแรงที่กระท าต่อวัตถุ มีหน่วยเป็นนิวตัน
l คือ ระยะห่างจากจุดหมุนตั้งฉากกับแนวแรง มีหน่วยเป็นเมตร
(2) ครูยกตัวอย่างโจทย์การค านวณโมเมนต์ของแรง เพื่อให้นักเรียนได้ลงมือท าและฝึกทักษะการคิดค านวณ โดย
ครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจหลักการของการค านวณโมเมนต์ของแรงว่า เป็นผลคณระหว่างขนาดของแรงที่กระท าต่อวัตถุกับ
ู
ระยะห่างจากจุดหมุนตั้งฉากกับแนวแรง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 1 ถ้ามีแรง 30 นิวตัน มากระทาต่อวัตถุหนึ่งทมีน้ าหนักเบามาก ดงรูป แรงดงกลาวท าให้วัตถุหมุนในทศทางใด
ิ
ี่
ั
่
ั
และเกิดโมเมนต์ของแรงที่มีค่าเท่าใด
284
จุดหมุน
0.5 เมตร
F = 30 นิว
วิธีการค านวณ
่
์
ิ
ิ
์
้
จากรูป มีแรงมากระทาตอวัตถุแลวทาให้เกิดโมเมนตของแรงในทศทางทวนเข็มนาฬกา โดยโมเมนตของแรงท ี่
กระท าต่อวัตถุสามารถหาได้ดังนี้
จากโจทย์ แรงที่กระท าต่อวัตถุ (F) = 30 นิวตัน
ระยะห่างจากจุดหมุนตั้งฉากกับแนวแรง (l) = 0.5 เมตร
จากสมการ M = Fl
แทนค่า M = 30 นิวตัน × 0.5 เมตร
M = 15 นิวตัน–เมตร
ดังนั้น แรง 30 นิวตันท าให้วัตถุหมุนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา และท าให้เกิดโมเมนตของแรงที่มีค่าเท่ากับ 15 นิว
์
ตัน–เมตร
ตัวอย่างที่ 2 ถ้ามีแรง 20 นิวตัน และ 40 นิวตัน มากระท าต่อวัตถุหนึ่งที่มีน้ าหนักเบามาก ดงรูป แรงทงสองทา
ั
ั้
ให้วัตถุหมุนในทิศทางใด และเกิดผลรวมของโมเมนต์ของแรงที่มีค่าเท่าใด
F1 = 20 นิว
ตัน 0.5 จุดหมุน
0.8
เมตร
F2 = 40 นิว
วิธีการค านวณ
จากรูป มีแรง 2 แรงมากระท าต่อวัตถุแล้วท าให้เกิดโมเมนต์ของแรงในทิศทางตามเข็มนาฬิกา และผลรวมของ
โมเมนต์ของแรงที่กระท าต่อวัตถุสามารถหาได้ดังนี้
จากโจทย์ แรงที่ 1 กระท าต่อวัตถุ (F1) = 20 นิวตัน
ระยะห่างจากจุดหมุนตั้งฉากกับแนวแรงที่ 1 (l1) = 1.3 เมตร
แรงที่ 2 กระท าต่อวัตถุ (F2) = 40 นิวตัน
ระยะห่างจากจุดหมุนตั้งฉากกับแนวแรงที่ 2 (l2) = 0.8 เมตร
จากสมการ M = Fl
จะได ้ Mรวม = M1 + M2
Mรวม = F1l1 + F2l2
แทนค่า Mรวม = (20 นิวตัน × 1.3 เมตร) + (40 นิวตัน × 0.8 เมตร)
Mรวม = 58 นิวตัน–เมตร
285
ั
ิ
ั
ดังนั้น แรง 20 นิวตน และ 40 นิวตน ท าให้วัตถุหมุนในทศทางตามเข็มนาฬกา และท าให้เกิดผลรวมของโมเมนต ์
ิ
ของแรงที่มีค่าเท่ากับ 58 นิวตัน–เมตร
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแตละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างทยังไม่เข้าใจ
่
ุ
ี่
ี่
หรือยังมีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ทไดรับจากการปฏิบัตกิจกรรม และการน า
ิ
ี่
้
ิ
ความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับโมเมนต์ของแรง โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ขวดพลาสติก
2. โต๊ะ
3. ใบกิจกรรม ทดลองการเกิดสมดลของคาน
ุ
4. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
5. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
6. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
7. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องโมเมนต์ของแรง 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
ิ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์และ วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีเป็นรายบุคคลโดยการ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
้
สังเกตและใชแบบวัดเจตคติต่อ สังเกตการท างานกลุ่ม
วิทยาศาสตร์ 3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
286
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
287
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิไไชยศึกษา
288
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 44
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ประเภทของโมเมนต์ของแรง เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ื่
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ี่
่
ี่
ั
ี
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายโมเมนต์ของแรง เมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดุลต่อการ
หมุน และค านวณโดยใช้สมการ M = Fl (ว 2.2 ม. 2/10)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายหลักการจาแนกประเภทของโมเมนต์ของแรงได้ (K)
ุ
2. อธิบายและค านวณโมเมนต์ของแรงเมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดลต่อการหมุนได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องประเภทของโมเมนต์ของแรงไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
เมื่อมีแรงหลายแรงมากระท าตอวัตถุโดยไม่ผานศูนย์กลางมวลของวัตถ จะเกิดโมเมนต์ของแรง ท าให้วัตถุหมุนรอบ
่
่
ุ
ิ
ิ
ศูนย์กลางมวลของวัตถุนั้น เมื่อพิจารณาทศทางการหมุนของวัตถุกับการหมุนของเข็มนาฬกาพบว่า สามารถแบ่งโมเมนต ์
ื
ิ
ิ
์
ั
์
ของแรงตามลกษณะการหมุนได 2 ประเภท คอ โมเมนตของแรงในทศตามเข็มนาฬกาและโมเมนตของแรงในทิศทวนเข็ม
้
์
นาฬกา และถ้าวัตถุอยู่ในสภาพสมดลต่อการหมุน ผลรวมของโมเมนตของแรงจะมีค่าเป็นศูนย์ โดยโมเมนตของแรงในทศ
ิ
ิ
์
ุ
ทวนเข็มนาฬิกามีขนาดเท่ากับโมเมนต์ของแรงในทิศตามเข็มนาฬิกา
5. สาระการเรียนร ู้
แรง
– โมเมนต์ของแรง
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
289
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลประเภทของโมเมนต์ของแรง
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้ว โดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– โมเมนต์ของแรงเกิดขึ้นเมื่อใด (แนวค าตอบ เกิดขึ้นเมื่อมีแรงมากระท าต่อวัตถุโดยไม่ผ่านศนย์กลางมวลของ
ู
วัตถุ)
– โมเมนต์ของแรงขึ้นอยู่กับปัจจัยใด (แนวค าตอบ ขนาดของแรงกับระยะห่างจากจุดหมุนตั้งฉากกับแนวแรง)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ประเภท
ู่
ของโมเมนต์ของแรง
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
้
ั้
้
ื
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
ู
่
่
– การออกแรงกระทาตอวัตถุโดยไม่ผานศนย์กลางมวลของวัตถุ ทาให้วัตถุเกิดการหมุนในทศทางใด (แนว
ิ
ค าตอบ ทิศทางตามเข็มนาฬิกาและทิศทางทวนเข็มนาฬิกา)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของโมเมนต์ของแรง ตามขั้นตอนดังนี้
้
ื
ุ่
่
ิ
้
ี่
ุ่
่
ิ
ื
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น โมเมนต์ของแรงในทิศตามเข็มนาฬิกาและโมเมนต์ของแรงในทิศทวนเข็มนาฬิกา
้
ิ
ื
ี่
ื
ุ่
ุ่
่
ิ
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
้
่
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ิ
ุ่
ี่
ิ
ุ่
้
ั้
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
ุ่
ึ
ั
็
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
่
เกี่ยวกับประเภทของโมเมนต์ของแรง
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
290
ิ
่
ิ
(3) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– การแบ่งประเภทโมเมนต์ของแรงใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์ (แนวค าตอบ ลักษณะการหมุนของวัตถุ)
ิ
– โมเมนตของแรงแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 2 ประเภท คอโมเมนตของแรงในทศตามเข็ม
ื
์
์
นาฬิกาและโมเมนต์ของแรงในทิศทวนเข็มนาฬิกา)
้
่
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า เมื่อมีแรงมากระทาตอ
ิ
ู
ื่
ุ
ี่
วัตถุโดยไม่ผ่านศนย์กลางมวลของวัตถุ วัตถุจะเกิดการเคลอนทรอบจดหมุน เมื่อพิจารณาทิศทางการหมุนของวัตถุกับการ
์
ั
ื
ิ
หมุนของเข็มนาฬิกาพบว่า สามารถแบ่งโมเมนตของแรงตามลกษณะการหมุนได้ 2 ประเภท คอ โมเมนต์ของแรงในทศตาม
เข็มนาฬิกาและโมเมนต์ของแรงในทิศทวนเข็มนาฬิกา
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับโมเมนต์ของแรงเมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดุลต่อการหมุน ให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อมีแรง
้
์
่
มากระทาตอวัตถุรอบจดหมุน แลววัตถุอยู่ในสภาพสมดลตอการหมุน ผลรวมของโมเมนตของแรงจะมีคาเป็นศนย์ โดย
ุ
่
่
ู
ุ
โมเมนต์ของแรงในทิศทวนเข็มนาฬิกามีขนาดเท่ากับโมเมนต์ของแรงในทิศตามเข็มนาฬิกา
์
ุ
ี่
่
่
(2) ครูยกตัวอย่างโจทย์การคานวณปริมาณตางๆ ทเกี่ยวข้องกับโมเมนตของแรงเมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดลตอการ
ึ
ั
ิ
หมุน เพื่อให้นักเรียนได้ลงมือท าและฝกทกษะการคดคานวณ โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจหลักการคานวณโมเมนต์ของแรง
ิ
่
เมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดลตอการหมุนว่า โมเมนตของแรงในทศทวนเข็มนาฬกามีขนาดเทากับโมเมนตของแรงในทศตาม
ิ
์
่
ิ
์
ุ
เข็มนาฬิกา ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 1 คานอันหนึ่งมีน้ าหนักสม่ าเสมอ วางอยู่บนฐานรองรับตรงจุดกึ่งกลางของคาน และมีวัตถุหนัก 10, 40
และ 20 นิวตัน แขวนอยู่ในต าแหน่งตางๆ ดังรูป ถ้าต้องการให้คานอยู่ในสภาพสมดุลต่อการหมุน ต้องแขวนวัตถุ 20 นิวตัน
่
ไว้ห่างจากจุดหมุนเท่าใด
0.5 เมตร 0.3 เมตร A
10 40 20
นิวตัน นิวตัน นิวตัน
วิธีค านวณ
เมื่อคานอยู่ในสภาพสมดุลจะได ้
โมเมนต์ของแรงในทิศทวนเข็มนาฬิกา = โมเมนต์ของแรงในทิศตามเข็มนาฬิกา
Mทวน = Mตาม
F1l1 + F2l2 = F3l3
(10 นิวตัน × 0.8 เมตร) + (40 นิวตัน × 0.3 เมตร) = 20 นิวตัน × A
291
20 นิวตัน–เมตร = 20 นิวตัน × A
20 นิวตัน–เมตร
A =
20 นิวตัน
A = 1 เมตร
ดังนั้น ถ้าต้องการให้คานอยู่ในสภาพสมดุลต่อการหมุน ต้องแขวนวัตถุ 20 นิวตนไว้ห่างจากจุดหมุน 1 เมตร
ั
ั
ั
ตวอย่างที่ 2 วัตถุหนึ่งมีน้ าหนักน้อยมาก มีแรง F1 มากระทา ดงรูป ถ้าตองการให้วัตถุอยู่ในสภาพสมดลตอการ
ุ
่
้
หมุน ต้องน าวัตถุที่มีน้ าหนักกี่นิวตันมาแขวนที่ขอเกี่ยว
0.8 เมตร 2 เมตร
F1 = 50 นิวตัน
วิธีค านวณ
เมื่อคานอยู่ในสภาพสมดุลจะได ้
โมเมนต์ของแรงในทิศทวนเข็มนาฬิกา = โมเมนต์ของแรงในทิศตามเข็มนาฬิกา
Mทวน = Mตาม
F1l1 = F2l2
50 นิวตัน × 0.8 เมตร = F2 × 2 เมตร
40 นิวตัน–เมตร = F2 × 2 เมตร
40 นิวตัน–เมตร
F2 =
2 เมตร
F2 = 20 นิวตัน
ดังนั้น ถ้าต้องการให้วัตถุอยู่ในสภาพสมดุลต่อการหมุน ต้องน าวัตถุที่มีน้ าหนัก 20 นิวตันมาแขวนที่ขอเกี่ยว
์
(3) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับประเภทของโมเมนตของแรง จากหนังสอเรียน
ื
ั
้
่
์
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ุ
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
292
์
์
ิ
–โมเมนตของแรงที่ทาให้วัตถุหมุนรอบจดหมุนในทิศตามเข็มนาฬกาเรียกว่าอะไร (แนวคาตอบ โมเมนตของ
ุ
แรงในทิศตามเข็มนาฬิกา)
ิ
– โมเมนต์ของแรงที่ทาให้วัตถุหมุนรอบจุดหมุนในทิศทวนเข็มนาฬกาเรียกว่าอะไร (แนวคาตอบ โมเมนตของ
์
แรงในทิศทวนเข็มนาฬิกา)
ขั้นสรุป
์
ิ
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับประเภทของโมเมนตของแรง โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนทความคดหรือผังมโน
ี่
ทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
่
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องประเภทของ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
โมเมนต์ของแรง รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
293
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
294
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิไไชยศึกษา
295
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 45
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การน าโมเมนต์ของแรงไปใช้ประโยชน์ เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ื่
ี่
่
ั
ี่
ี
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายโมเมนต์ของแรง เมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดุลต่อการ
หมุน และค านวณโดยใช้สมการ M = Fl (ว 2.2 ม. 2/10)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายการใช้หลักการของโมเมนต์ของแรงในการออกแบบและประดิษฐ์ของเล่นและของใช้ต่างๆ ได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการน าโมเมนต์ของแรงไปใช้ประโยชน์ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ความรู้เรื่องโมเมนตของแรงสามารถน าไปใช้ออกแบบและประดิษฐของเลนและของใช้ตางๆ ได เชน กรรไกร คม
์
์
ี
้
่
่
่
ตัดลวด ที่เปิดขวด เครื่องชั่งสองแขน ไม้กระดานหก โมไบล์ หุ่นยนต์ และม้าหมุน
5. สาระการเรียนร ู้
แรง
– โมเมนต์ของแรง
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลการน าโมเมนต์ของแรงไปใช้ประโยชน์
296
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนดูรูปการหาบเร่ของพ่อค้าและแม่ค้า แล้วถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
้
์
้
– นักเรียนคดว่าการหาบเร่ของพ่อคาและแม่คาเกี่ยวข้องกับโมเมนตของแรงหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ
ิ
เกี่ยวข้อง โดยขณะที่พ่อค้าและแม่ค้าก าลังหาบเร่ต้องอาศัยหลักการของสภาพสมดุลในการท าให้คานอยู่นิ่ง)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง การน า
ิ
ื่
ู่
โมเมนต์ของแรงไปใช้ประโยชน์
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั้
ั
้
ื
้
ั
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูให้นักเรียนดูโมไบล์ แล้วถามค าถามนักเรียน เช่น
ั
ึ
– เพราะเหตใด โมไบล์จงวางตวอยู่ในแนวระดับโดยไม่เอียงไปดานใดด้านหนึ่ง (แนวค าตอบ เพราะแขนแต่ละ
ุ
้
ด้านของโมไบล์อยู่ในสภาพสมดุล ท าให้ผลรวมของโมเมนต์ของแรงมีค่าเป็นศูนย์)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการน าโมเมนต์ของแรงไปใช้ประโยชน์ ตามขั้นตอนดังนี้
ิ
่
ื
้
ื
้
ี่
ิ
ุ่
่
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
ุ่
่
ิ
ิ
์
ชวยกันก าหนดหัวข้อย่อย เชน ของเลนทประดษฐขึ้นโดยใชหลกการของโมเมนตของแรงและของใชทประดษฐขึ้นโดยใช ้
ั
้
้
ี่
์
ี่
่
่
์
หลักการของโมเมนต์ของแรง
้
้
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
ุ่
ี่
ิ
่
ุ่
ิ
่
ื
ื
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
ั้
้
ุ่
ิ
ี่
ุ่
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ิ
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
ั
็
่
ึ
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับการน าโมเมนต์ของแรงไปใช้ประโยชน์
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
(3) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
่
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ี่
– ของเลนทประดษฐขึ้นโดยใชหลักการของโมเมนตของแรงมีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ ไม้กระดานหก โมไบล ์
่
์
้
ิ
์
และม้าหมุน)
297
้
์
– ของใชที่ประดิษฐขึ้นโดยใช้หลักการของโมเมนต์ของแรงมีอะไรบ้าง (แนวค าตอบ คานกรรไกร คีมตัดลวด ท ี่
เปิดขวด และเครื่องชั่งสองแขน)
้
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า หลักการของโมเมนต์ของ
แรงสามารถน าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ าวันไดมากมาย โดยเฉพาะของใช้ชนิดต่างๆ เช่น คาน กรรไกร คีมตัดลวด ที่เปด
้
ิ
์
้
่
ขวด และเครื่องชั่งสองแขน นอกจากนี้ของเล่นหลายชนิดยังประกอบดวยอุปกรณ์หลายสวนที่ใชหลักการโมเมนตของแรง
้
เช่น ไม้กระดานหก โมไบล์ และม้าหมุน
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องโมเมนตของแรงกับการออกแบบสงก่อสร้าง ให้นักเรียนเข้าใจว่า การออกแบบ
์
ิ่
้
่
้
ี่
้
ี
์
สงก่อสร้างตางๆ ทเราพบเห็นในชวิตประจาวันตองคานึงถึงโมเมนตของแรงดวย โดยตองมีการคานวณก่อนลงมือสร้าง
ิ่
่
เพื่อให้โครงสร้างของสิ่งก่อสร้างเหลานั้นอยู่ในสภาพสมดุลต่อการหมุน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายหรือพังทลาย เชน
่
โครงสร้างของบ้านที่ตองออกแบบให้มีความแข็งแรงมั่นคง เครนที่ใช้ในการก่อสร้างต้องออกแบบให้สมดุลเพื่อไม่ให้เครนลม
้
้
รวมทั้งเสาและลวดสปริงของสะพานขึงที่ต้องออกแบบให้แข็งแรงพอทจะรองรับน้ าหนักของตัวสะพานให้อยู่ในสภาพสมดล
ุ
ี่
ต่อการหมุน
ั
์
่
(2) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับการน าโมเมนตของแรงไปใชประโยชน์ จากหนังสอเรียน
ื
์
้
้
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– วัตถุที่อยู่ในสภาพสมดลต่อการหมุนแสดงว่าไม่เกิดโมเมนต์ของแรงจริงหรือไม่ เพราะอะไร (แนวค าตอบ ไม่
ุ
่
จริง เพราะมีโมเมนต์ของแรงเกิดขึ้น คือ โมเมนต์ของแรงในทิศตามเข็มนาฬิกาเทากับโมเมนต์ของแรงในทิศทวนเข็มนาฬิกา)
้
– เครนทใชในการก่อสร้างตองอาศยหลกการสมดลตอการหมุนหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ ตองอาศย
ี่
้
่
้
ั
ั
ุ
ั
้
ุ
้
หลกการสมดลตอการหมุน โดยการใชวัตถุทมีน้ าหนักมากมาถ่วงไว้ดานตรงกันข้ามกับดานทใชในการยกวัตถุ เพื่อทาให้
ี่
ั
ี่
้
้
่
ิ
ิ
ิ
โมเมนต์ของแรงในทศทวนเข็มนาฬกามีค่าเท่ากับโมเมนต์ของแรงในทศตามเข็มนาฬกา ส่งผลให้เครนอยู่ในสภาพสมดุล ไม่
ิ
เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง)
ขั้นสรุป
ิ
ี่
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการน าโมเมนต์ของแรงไปใชประโยชน์ โดยร่วมกันเขียนเปนแผนทความคด
้
็
หรือผังมโนทัศน์
้
ั
่
ึ
ั่
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศกษาคนคว้าเนื้อหาของบทเรียนชวโมงหน้า เพื่อจดการเรียนรู้ครั้งตอไป โดยให้
นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อ สนามของแรง
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นค าถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 ค าถาม เพื่อน ามาอภิปรายร่วมกันในห้องเรียน
ครั้งต่อไป
298
10. สื่อการเรียนร ู้
1. รูปการหาบเร่ของพ่อค้าและแม่ค้า
2. โมไบล ์
3. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
4. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
5. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
่
6. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
7. แบบฝึกทกษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
ั
8. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องการน าโมเมนต์ของ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
แรงไปใช้ประโยชน์ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคตต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม