299
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
300
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
301
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 46
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สนามของแรง เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ี
ี่
ั
่
ื่
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ี่
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ี่
ี่
ี
่
่
่
็
เปรียบเทยบแหลงของสนามแม่เหลก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถวง และทิศทางของแรงทกระท าตอวัตถุทอยู่ใน
แต่ละสนามจากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.2 ม. 2/11)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายความหมายของสนามของแรงได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องสนามของแรงไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
สนามของแรงเป็นบริเวณทมีแรงกระทาตอวัตถุ แบ่งเป็น 3 ประเภท คอ 1. สนามแม่เหลก เป็นบริเวณทมีแรง
็
ี่
ื
่
ี่
แม่เหลกกระทาตอวัตถุทเปนแม่เหล็ก 2. สนามไฟฟ้า เป็นบริเวณที่มีแรงไฟฟ้ากระทาตอวัตถุทมีประจุไฟฟ้า และ 3. สนาม
่
ี่
็
็
่
ี่
โน้มถ่วง เป็นบริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงกระท าต่อวัตถุที่มีมวล
5. สาระการเรียนร ู้
สนามของแรง
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลสนามของแรง
302
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
้
(1) ครูเขียนคาว่า “สนามของแรง” บนกระดานแลวให้นักเรียนชวยกันบอกความรู้เกี่ยวกับสนามของแรงทเคย
่
ี่
เรียนรู้มา โดยครูอาจช่วยนักเรียนโดยการใช้ค าถาม เช่น
– สนามของแรงคืออะไร (แนวค าตอบ บริเวณที่มีแรงกระท าต่อวัตถุ)
– เราสามารถมองเห็นสนามของแรงได้ด้วยตาเปล่าหรือไม่ (แนวค าตอบ ไม่ได้)
(2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง สนามของ
ู่
ื่
แรง
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
้
ั้
ั
้
ื
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลมน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสนามของแรงทครูมอบหมายให้ไป
ี่
ุ่
เรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาน าเสนอข้อมูลหน้าห้องเรียน
้
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนท าภาระงานทไดรับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทกของนักเรียน
ึ
ี่
และถามค าถามเกี่ยวกับภาระงาน ดังนี้
ื
– สนามของแรงแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 3 ประเภท คอ สนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า และ
สนามโน้มถ่วง)
– บริเวณที่ไม่มีแรงใดๆ กระท าต่อวัตถุจะมีสนามของแรงหรือไม่ (แนวค าตอบ ไม่มี)
็
ั
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งประเดนคาถามทนักเรียนสงสยจากการท าภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 ค าถาม ซึ่ง
ี่
ครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความคิดเห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเขาใจว่า สนามของแรงเปนบริเวณ
็
้
่
้
่
้
็
ั
่
ที่มีแรงกระทาตอวัตถุ ซึ่งเปนบริเวณทเราไม่สามารถมองเห็นได้ดวยตาเปลา แตสามารถรับรู้ไดโดยการสงเกตผลของแรงท ี่
ี่
กระท าต่อวัตถุในบริเวณนั้น
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องสนามของแรง จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจ
ึ
ื
ว่า สนามของแรงเป็นบริเวณที่มีแรงกระท าต่อวัตถุ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ สนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถ่วง
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสนามของแรง ตามขั้นตอนดังนี้
ิ
่
ี่
ุ่
ื
้
่
ื
้
ุ่
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
ิ
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น สนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถ่วง
้
ิ
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
ื
ิ
่
ุ่
ี่
่
ื
ุ่
้
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
้
ิ
ุ่
ั้
ุ่
ิ
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ี่
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
303
็
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
่
ึ
ั
เกี่ยวกับสนามของแรง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ื
(4) ครูคอยแนะน าช่วยเหลอนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ู
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– สนามแม่เหล็กคืออะไร (แนวค าตอบ บริเวณที่มีแรงแม่เหล็กกระท าต่อวัตถุที่เป็นแม่เหล็ก)
– สนามไฟฟ้าคืออะไร (แนวค าตอบ บริเวณที่มีแรงไฟฟ้ากระท าต่อวัตถุที่มีประจุไฟฟ้า)
– สนามโน้มถ่วงคืออะไร (แนวค าตอบ บริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงกระท าต่อวัตถุที่มีมวล)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า สนามของแรงเป็นบริ
ิ
็
เวณทมีแรงกระทาตอวัตถุ แบ่งเป็น 3 ประเภท คอ สนามแม่เหลก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถ่วง ซึ่งสนามของแรงเป็น
ื
ี่
่
บริเวณที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สามารถรับรู้ได้โดยการสังเกตผลของแรงที่กระท าต่อวัตถุในบริเวณนั้น
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
นักเรียนค้นคว้าค าศัพท์ภาษาตางประเทศเกี่ยวกับสนามของแรง จากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
่
และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ั
่
็
– สนามแม่เหลก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถ่วงมีลกษณะแตกตางกันหรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ
่
ี่
่
็
ี่
็
ี่
็
แตกตางกัน เพราะสนามแม่เหลกเป็นบริเวณทมีแรงแม่เหลกกระทาตอวัตถุทเป็นแม่เหลก สนามไฟฟ้าเป็นบริเวณทมีแรง
ไฟฟ้ากระท าต่อวัตถุที่มีประจุไฟฟ้า และสนามโน้มถ่วงเป็นบริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงกระท าต่อวัตถุที่มีมวล)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสนามของแรง โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
304
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องสนามของแรง 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
305
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
306
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
307
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 47
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สนามแม่เหล็ก (1) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ี่
ื่
ั
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
่
ี่
ี
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
่
ี
ี่
่
่
เปรียบเทยบแหลงของสนามแม่เหลก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถวง และทิศทางของแรงทกระท าตอวัตถุทอยู่ใน
ี่
็
แต่ละสนามจากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.2 ม. 2/11)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายความหมายของแรงแม่เหล็ก สนามแม่เหล็ก และสารแม่เหล็กได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องสนามแม่เหล็กไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
วัตถุทเป็นแม่เหล็กจะมีสนามแม่เหล็กอยู่โดยรอบ ท าให้วัตถุที่เป็นแม่เหลกสามารถดงดูดวัตถุ อื่นๆ และดึงดดหรือ
ึ
็
ู
ี่
ผลักวัตถุที่เป็นแม่เหล็กด้วยกันได ้
5. สาระการเรียนร ู้
สนามของแรง
– สนามแม่เหล็ก
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลสนามแม่เหล็ก
308
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามเกี่ยวกับประสบการณ์เดิมของนักเรียน เช่น
– นักเรียนรู้จักแม่เหล็กหรือไม่ (แนวค าตอบ รู้จัก)
ู
็
– แม่เหลกมีสมบัติแตกต่างจากวัตถุชนิดอื่นอย่างไร (แนวค าตอบ แม่เหล็กสามารถดึงดูดวัตถุอื่นๆ และดึงดด
หรือผลักแม่เหล็กด้วยกันได้)
ิ
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง
ู่
ื่
สนามแม่เหล็ก
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
้
ั
้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั้
ื
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– แม่เหลกคืออะไร (แนวคาตอบ สารหรือวัตถุที่สามารถดึงดูดวัตถุอื่นๆ และดึงดูดหรือผลักแม่เหล็กด้วยกันได ้
็
เนื่องจากมีสนามแม่เหล็กกระท าอยู่โดยรอบ)
– วัตถุที่แม่เหล็กดึงดูดได้เรียกอะไร (แนวค าตอบ สารแม่เหล็ก)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องสนามแม่เหล็ก จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจ
ื
ึ
ู
ู
ี่
ึ
ั
้
ื
็
ว่า แม่เหลก คอ สารหรือวัตถุทสามารถดงดดวัตถุอื่นๆ และดงดดหรือผลกแม่เหลกดวยกันได เนื่องจากมีสนามแม่เหลก
็
้
็
็
็
กระท าอยู่โดยรอบ สารหรือวัตถุทแม่เหลกดึงดูดได เรียกว่า สารแม่เหลก เช่น เหล็ก นิกเกิล อะลมิเนียม และโคบอลต์ เมื่อ
้
ู
ี่
ี
น าแม่เหล็กเข้าใกลวัตถที่ท าจากสารแม่เหลกเหล่านี้ เช่น ลวดเสยบกระดาษ จะพบว่า ลวดเสียบกระดาษสามารถเคลื่อนตว
็
้
ุ
ั
ั
็
ี
็
ั
้
มาติดกับแม่เหล็กไดโดยที่แม่เหลกไม่ตองสมผัสกับลวดเสยบกระดาษ นอกจากนี้แม่เหล็กยังสามารถดึงดูดหรือผลกแม่เหลก
้
แท่งอื่นได้อีกด้วย โดยแรงที่แม่เหล็กกระท าต่อลวดเสียบกระดาษและแม่เหล็กแท่งอื่นเรียกว่า แรงแม่เหล็ก
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสนามแม่เหล็ก ตามขั้นตอนดังนี้
ิ
ื
่
่
ิ
ุ่
ี่
้
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
ุ่
ื
้
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น แม่เหล็ก สารแม่เหล็ก สนามแม่เหล็ก และแรงแม่เหล็ก
ื
่
่
ิ
้
ื
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
ิ
ุ่
ุ่
ี่
้
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
้
ุ่
ั้
ิ
ิ
ุ่
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ี่
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
็
่
ึ
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
ั
เกี่ยวกับสนามแม่เหล็ก
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
309
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
่
ิ
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– แม่เหล็กมีกี่ขั้ว อะไรบ้าง (แนวค าตอบ แม่เหล็กมี 2 ขั้ว คือ ขั้วเหนือและขั้วใต้)
้
้
ู
็
็
ู
ึ
ึ
– แม่เหลกสามารถดงดดวัตถุอื่นๆ และดงดดหรือผลกแม่เหลกดวยกันได เพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะ
ั
แม่เหล็กมีสนามแม่เหล็กอยู่โดยรอบ)
– สารแม่เหล็กคืออะไร (แนวค าตอบ สารหรือวัตถุที่แม่เหล็กดึงดูดได)
้
ั
ิ
้
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า วัตถุทเป็นแม่เหล็กจะมี
ี่
ั
็
็
ี่
็
สนามแม่เหล็กอยู่โดยรอบ ท าให้วัตถุที่เปนแม่เหล็กสามารถดึงดูดวัตถุอื่นๆ ที่เป็นสารแม่เหลกและดงดูดหรือผลกวัตถุทเปน
ึ
แม่เหล็กด้วยกันได ้
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
่
็
ื
่
้
ั
์
นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับสนามแม่เหลก จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรือ
อินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ี่
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ิ
– แรงแม่เหล็กคออะไร (แนวค าตอบ แรงที่กระทาต่อวัตถุที่เปนแม่เหล็กในทศทางพุ่งเข้าหาแม่เหล็กขั้วใต้หรือ
ื
็
ในทิศทางพุ่งออกจากแม่เหล็กขั้วเหนือ)
– สารแม่เหล็กที่พบในชีวิตประจ าวันมีอะไรบ้าง (แนวค าตอบ เหล็ก นิกเกิล อะลูมิเนียม และโคบอลต์)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสนามแม่เหล็ก โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
่
ึ
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกษาปีที่ 2 เลม 1
ี่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
310
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องสนามแม่เหล็ก 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
311
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
312
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
313
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 48
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สนามแม่เหล็ก (2) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ี
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ี่
ั
ื่
ี่
่
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
่
ี่
ี
1. เปรียบเทยบแหล่งของสนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถวง และทิศทางของแรงที่กระท าต่อวัตถุทอยู่
ในแต่ละสนามจากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.2 ม. 2/11)
2. เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่กระท าต่อวัตถุ (ว 2.2 ม. 2/12)
ี่
3. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงแม่เหลก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงทกระท าต่อวัตถุที่อยู่ในสนาม
็
นั้นๆ กับระยะห่างจากแหล่งของสนามถึงวัตถุจากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.2 ม. 2/13)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายลักษณะของเส้นแรงแม่เหล็กได้ (K)
2. เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็กที่กระท าต่อแม่เหล็กได้ (K)
3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงแม่เหล็กที่กระท าต่อสารแม่เหล็กกับระยะห่างจากแม่เหล็กได้ (K)
4. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
5. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
6. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
7. สื่อสารและน าความรู้เรื่องสนามแม่เหล็กไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
แม่เหลกเป็นวัตถุทมีสนามแม่เหลกอยู่โดยรอบ ทาให้มีแรงแม่เหลกกระทาตอขั้วแม่เหลกในทศทางพุ่งเข้าหา
็
่
ิ
็
็
็
ี่
็
่
ิ
็
่
้
็
แม่เหลกขั้วใตหรือในทศทางพุ่งออกจากแม่เหล็กขั้วเหนือ โดยขนาดของแรงแม่เหลกที่กระทาตอสารแม่เหลกจะมีคาลดลง
เมื่อสารแม่เหล็กอยู่ห่างจากแม่เหล็กมากขึ้น
5. สาระการเรียนร ู้
สนามของแรง
– สนามแม่เหล็ก
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
314
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
1. สังเกตเส้นแรงแม่เหล็ก
2. สังเกตเส้นแรงแม่เหล็กโดยใช้เข็มทิศ
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
้
(1) ครูน าลวดเสยบกระดาษ ยางลบ ตะปู และชอนพลาสตกมาวางไว้หน้าห้องเรียน แลวให้นักเรียนร่วมกัน
ี
้
ิ
อภิปราย ดังนี้
– ถ้าน าแม่เหลกเข้าใกลวัตถุเหลานี้ วัตถุชนิดใดทแม่เหลกสามารถออกแรงดงดดได (แนวคาตอบ ลวดเสยบ
ึ
ี
้
่
ู
็
ี่
็
้
กระดาษและตะปู)
ั
่
ู
็
ึ
็
ึ
็
– เพราะเหตใดวัตถุดงกลาวจงถูกแม่เหลกดงดด (แนวคาตอบ เพราะแม่เหลกมีสนามแม่เหลกกระทาอยู่
ุ
โดยรอบ ท าให้มีแรงแม่เหล็กที่กระท าต่อลวดเสียบกระดาษและตะปู)
ื่
ิ
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง
ู่
สนามแม่เหล็ก
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั
้
ื
ั
ั้
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูน าแม่เหล็กที่มีขั้ว 2 แท่งมาวางในห้องเรียน แล้วให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย ดังนี้
้
ั้
– ถ้าน าแม่เหล็ก 2 แท่งที่มีขั้วเหมือนกันเขาใกล้กันจะเกิดอะไรขึ้น (แนวค าตอบ แม่เหลกทง 2 แทงออกแรง
่
็
ผลักกัน)
่
ั้
็
ี่
่
่
– ถ้าน าแม่เหลก 2 แทงทมีขั้วตางกันเข้าใกลกันจะเกิดอะไรขึ้น (แนวคาตอบ แม่เหลกทง 2 แทงออกแรง
็
้
ดึงดูดกัน)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตเส้นแรงแม่เหล็ก ตามขั้นตอน ดังนี้
– น าผงเหล็กที่เตรียมไว้โรยบนกระดาษ A4 แล้วใช้นิ้วเคาะกระดาษเบาๆ สังเกตการเรียงตัวของผงเหล็ก
็
่
้
– น าผงเหล็กโรยลงบนกระดาษ A4 อีกแผนหนึ่ง ซึ่งวางอยู่บนแม่เหลก 1 แท่ง แลวใช้นิ้วเคาะกระดาษเบาๆ
สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งวาดภาพแสดงลักษณะของเส้นแรงแม่เหล็ก
315
ั้
ี่
่
– ด าเนินการเชนเดยวกับขนตอนท 2 แตเปลยนจากการวางแม่เหลก 1 แทงเปน 2 แทง แลววางแม่เหลกใน
่
ี
ี่
่
้
็
็
่
็
ลักษณะดังนี้
ขั้วชนิดเดียวกันหันเข้าหากัน
ขั้วต่างชนิดกันหันเข้าหากัน
ขนานกันและหันขั้วชนิดเดียวกันไปทางเดียวกัน
ขนานกันและหันขั้วต่างชนิดกันไปทางเดียวกัน
– เปรียบเทียบการเรียงตัวของผงเหล็กเมื่อวางแม่เหล็กในลักษณะต่างๆ
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
(3) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
่
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ั
– การเรียงตวของผงเหลกในแต่ละกรณมีลกษณะเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร (แนวค าตอบ ไม่เหมือนกัน โดย
็
ี
ั
เมื่อโรยผงเหล็กบนกระดาษขาวที่ไม่มีแม่เหล็ก ผงเหล็กจะกระจายตัวทั่วกระดาษโดยไม่มีการเรียงตัว แต่เมื่อโรยผงเหล็กบน
กระดาษขาวที่วางอยู่บนแม่เหล็ก ผงเหล็กจะเรียงตัวเป็นเส้นระหว่างขั้วแม่เหล็กทั้งสองโดยไม่ตัดกัน)
– ผลสรุปของกิจกรรมนี้คืออะไร (แนวค าตอบ เมื่อน าผงเหล็กโรยในบริเวณทมีสนามแม่เหล็กจะมีแรงแม่เหลก
ี่
็
ั
กระท าต่อผงเหล็ก สังเกตได้จากลกษณะการเรียงตัวของผงเหล็กที่เรียงต่อกันจากขั้วหนึ่งไปยังอีกขั้วหนึ่ง และหนาแน่นมาก
ในบริเวณรอบขั้วแม่เหล็กทั้งสอง)
้
ิ
ี่
ั
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า วัตถุทเป็นแม่เหล็กจะมี
สนามแม่เหลกอยู่โดยรอบ และบริเวณรอบๆ แม่เหลกจะมีเส้นสนามแม่เหล็กหรือเสนแรงแม่เหล็กกระท าตอขั้วแม่เหล็กใน
็
็
้
่
็
ทิศทางพุ่งเขาหาแม่เหล็กขั้วใต้หรือในทิศทางพุ่งออกจากแม่เหลกขั้วเหนือ และเส้นแม่เหล็กจะมีความหนาแน่นมากบริเวณ
้
ขั้วแม่เหล็ก
ู้
4) ขั้นขยายความร (Elaboration)
ิ
(1) ครูให้นักเรียนสังเกตเส้นแรงแม่เหล็กโดยใช้เข็มทิศ โดยการน าแม่เหล็กมาวางบนกระดาษ A4 จากนั้นน าเข็มทศ
มาวางที่ต าแหน่งต่างๆ ในบริเวณรอบๆ แม่เหล็ก พร้อมทั้งสังเกตแนวการวางตัวของเข็มทิศ
ี่
็
็
ิ
(2) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับความสมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงแม่เหลกทกระทาตอสารแม่เหลกกับระยะห่าง
ั
่
็
จากแม่เหล็กให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อสารแม่เหล็กอยู่ในสนามแม่เหล็กของแม่เหลกแท่งหนึ่งจะมีแรงแม่เหลกกระท าต่อสาร
็
็
็
็
ั
็
แม่เหลกนั้น โดยขนาดของแรงแม่เหลกจะมีความสมพันธ์กับระยะห่างจากแม่เหลก ซึ่งถ้าสารแม่เหลกอยู่ห่างจากแม่เหลก
็
มากขึ้น แรงแม่เหล็กจะมีค่าลดลง ในทางกลับกัน ถ้าสารแม่เหล็กอยู่ใกล้กับแม่เหล็กมากขึ้น แรงแม่เหล็กจะมีค่ามากขึ้น
(3) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องปรากฏการณ์แสงเหนือและแสงใต้ให้นักเรียนเข้าใจว่า ปรากฏการณ์แสงเหนือและแสง
ี่
์
ใตทเกิดขึ้นในบรรยากาศแถบขั้วโลกเป็นปรากฏการณที่เกิดขึ้นเพราะโลกของเรามีสนามแม่เหลกห่อหุ้มไว้ แสงเหนือและ
้
็
ี่
แสงใตเกิดจากอนุภาคไฟฟ้าจากดวงอาทตย์เคลอนทเข้ามายังสนามแม่เหลกโลก และชนกับโมเลกุลของอากาศใน
็
้
ื่
ิ
บรรยากาศของโลก ท าให้โมเลกุลเหล่านั้นแผ่รังสีของแสงออกมา เกิดเป็นปรากฏการณ์แสงเหนือและแสงใต ้
316
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ี่
็
่
– ขนาดของแรงแม่เหลกทกระทาตอสารแม่เหลกทอยู่ในสนามแม่เหลกมีความสมพันธ์กับระยะห่างจาก
ี่
็
็
ั
แม่เหลกในลกษณะใด (แนวคาตอบ ถ้าสารแม่เหลกอยู่ห่างจากแม่เหลกมากขึ้น แรงแม่เหลกจะมีคาลดลง ในทางกลบกัน
็
็
ั
่
็
็
ั
ถ้าสารแม่เหล็กอยู่ใกล้กับแม่เหล็กมากขึ้น แรงแม่เหล็กจะมีค่ามากขึ้น)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสนามแม่เหล็กโดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ลวดเสียบกระดาษ ยางลบ ตะปู และช้อนพลาสติก
2. แม่เหล็กที่มีขั้ว
3. ใบกิจกรรม สังเกตเส้นแรงแม่เหล็ก
4. กระดาษขนาด A4
ิ
5. เข็มทศ
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องสนามแม่เหล็ก 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
317
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
318
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
319
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 49
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สนามไฟฟ้า เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ั
่
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ี่
ี
ี่
ื่
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
่
ี
1. เปรียบเทยบแหล่งของสนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถวง และทิศทางของแรงที่กระท าต่อวัตถุทอยู่
ี่
ในแต่ละสนามจากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.2 ม. 2/11)
2. เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่กระท าต่อวัตถุ (ว 2.2 ม. 2/12)
็
ี่
3. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงแม่เหลก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงทกระท าต่อวัตถุที่อยู่ในสนาม
นั้นๆ กับระยะห่างจากแหล่งของสนามถึงวัตถุจากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.2 ม. 2/13)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายลักษณะของเส้นแรงไฟฟ้าได้ (K)
2. เขียนแผนภาพแสดงแรงไฟฟ้าที่กระท าต่อวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าได้ (K)
3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงไฟฟ้าที่กระท าต่อวัตถุที่มีประจุไฟฟ้ากับระยะห่างจากแหล่งของ
สนามไฟฟ้าได้ (K)
4. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
5. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
6. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
ี
7. สื่อสารและน าความรู้เรื่องสนามไฟฟ้าไปใช้ในชวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
วัตถุทมีประจไฟฟ้าจะมีสนามไฟฟ้าอยู่โดยรอบ ทาให้มีแรงไฟฟ้ากระทาตอวัตถุนั้น โดยขนาดของแรงไฟฟ้าท ี่
่
ี่
ุ
กระท าต่อวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าจะมีค่าลดลงเมื่อวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าอยู่ห่างจากแหล่งของสนามไฟฟ้ามากขึ้น
5. สาระการเรียนร ู้
สนามของแรง
– สนามไฟฟ้า
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
320
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลแรง
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามเกี่ยวกับประสบการณ์เดิมของนักเรียน เช่น
– นักเรียนเคยสังเกตหรือไม่ว่าในขณะที่หวีผมในฤดูหนาวเกิดสิ่งใดขึ้น (แนวค าตอบ หวีดึงดดเส้นผมเข้าหาหวี)
ู
– นักเรียนคิดว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น (แนวค าตอบ เพราะหวีออกแรงชนิดหนึ่งกระท าตอ
่
เส้นผม)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง สนามไฟฟ้า
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
้
ั้
ั
้
ื
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูน ากระดาษขนาด A4 ไม้บรรทัดพลาสติก และกระดาษเยื่อมาวางหน้าห้องเรียน แล้วให้นักเรียนฉีกกระดาษ
เปนชนเล็กๆ จากนั้นน าปลายไม้บรรทัดพลาสติกมาถูกับกระดาษเยื่อ และน าปลายไม้บรรทดพลาสตกเข้าใกล้เศษกระดาษ
ิ
ั
็
ิ้
แล้วให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย ดังนี้
ิ
้
ิ
ั
้
– เมื่อน าปลายไม้บรรทดพลาสตกมาถูกับกระดาษเยื่อ แล้วน าปลายไม้บรรทดพลาสตกเขาใกลเศษกระดาษ
ั
เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร (แนวค าตอบ เศษกระดาษถูกดึงดูดเข้าหาไม้บรรทัดพลาสติก)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ึ
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องสนามไฟฟ้า จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
ื
่
สนามไฟฟ้าเป็นบริเวณโดยรอบของวัตถุที่มีประจุไฟฟ้า ซึ่งประจุไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ ประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ โดย
สนามไฟฟ้าของประจุไฟฟ้าบวกมีทิศทางพุ่งออกจากประจุไฟฟ้าบวก และสนามไฟฟ้าของประจไฟฟ้าลบมีทิศทางพุ่งเข้าหา
ุ
ประจุไฟฟ้าลบ
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลเส้นแรงไฟฟ้า ตามขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเส้นแรงไฟฟ้า โดยค้นคว้าในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
ความหมายและทิศทางของเส้นแรงไฟฟ้า
ลักษณะของเส้นแรงไฟฟ้าระหว่างประจุไฟฟ้า 2 จุดที่มีประจุไฟฟ้าต่างชนิดกัน
ลักษณะของเส้นแรงไฟฟ้าระหว่างแผ่นโลหะ 2 แผ่นที่วางขนานกันและมีประจุไฟฟ้าต่างชนิดกัน
321
– น าข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน แล้วน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ู
ื
(4) ครูคอยแนะน าช่วยเหลอนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– เส้นแรงไฟฟ้าคออะไร และมีทศทางใด (แนวค าตอบ เสนแรงไฟฟ้า คือ เส้นที่ใช้แสดงทิศทางของแรงไฟฟ้า
ิ
ื
้
ในบริเวณรอบๆ ประจุไฟฟ้า และมีทิศทางพุ่งออกจากประจุไฟฟ้าบวกและพุ่งเข้าหาประจุไฟฟ้าลบเสมอ)
ุ
่
่
้
– เสนแรงไฟฟ้าระหว่างประจไฟฟ้า 2 จดทมีประจไฟฟ้าตางชนิดกันกับเสนแรงไฟฟ้าระหว่างแผนโลหะ 2
้
ุ
ี่
ุ
แผนทวางขนานกันและมีประจุไฟฟ้าต่างชนิดกันมีลกษณะเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร (แนวคาตอบ เสนแรงไฟฟ้า
้
่
ั
ี่
ระหว่างประจุไฟฟ้า 2 จดทมีประจไฟฟ้าตางชนิดกันกับเส้นแรงไฟฟ้าระหว่างแผ่นโลหะ 2 แผ่นที่วางขนานกันและมีประจ ุ
ุ
ี่
่
ุ
ุ
่
ไฟฟ้าต่างชนิดกันมีลักษณะเหมือนกัน คือ มีทิศทางพุ่งออกจากประจุไฟฟ้าบวกและพุ่งเข้าหาประจไฟฟ้าลบเหมือนกัน แตมี
้
ุ
ุ
่
ุ
ี่
ลักษณะแตกต่างกัน คอ เสนแรงไฟฟ้าระหว่างประจไฟฟ้า 2 จดทมีประจไฟฟ้าตางชนิดกันจะมีลักษณะเป็นเสนโคง สวน
้
ื
่
้
่
เส้นแรงไฟฟ้าระหว่างแผ่นโลหะ 2 แผนที่วางขนานกันและมีประจุไฟฟ้าต่างชนิดกันส่วนใหญ่จะเป็นเส้นตรง ยกเว้นบริเวณ
ปลายของแผ่นโลหะทั้งสองที่มีลักษณะเป็นเส้นโค้ง)
้
้
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า เสนแรงไฟฟ้า คือ เส้นท ี่
ใช้แสดงทิศทางของแรงไฟฟ้าในบริเวณรอบๆ ประจุไฟฟ้า มีทิศทางพุ่งออกจากประจุไฟฟ้าบวกและพุ่งเข้าหาประจุไฟฟ้าลบ
้
้
เสมอ โดยที่เส้นแรงไฟฟ้าแต่ละเสนจะไม่ตัดกัน เส้นแรงไฟฟ้าระหว่างจุดประจุไฟฟ้า 2 จุดจะมีลักษณะเป็นเส้นโค้ง ส่วนเสน
แรงไฟฟ้าระหว่างแผ่นโลหะ 2 แผนที่วางขนานกันจะมีลกษณะเปนเสนตรงขนานกันและมีความหนาแน่นสม่ าเสมอ ยกเว้น
้
ั
็
่
บริเวณปลายของแผ่นโลหะทั้งสองจะมีลักษณะเป็นเส้นโค้ง
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
่
ิ
(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับความสมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงไฟฟ้าทกระทาตอวัตถุทมีประจไฟฟ้ากับ
ุ
ี่
ั
ี่
ระยะห่างจากแหล่งของสนามไฟฟ้าให้นักเรียนเข้าใจว่า ในสนามไฟฟ้าหนึ่ง ๆ แรงไฟฟ้าที่กระท าต่อวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าหนึ่ง
่
จะมีขนาดลดลงเมื่อระยะห่างจากแหลงของสนามไฟฟ้ามากขึ้น
้
์
ี่
(2) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องเครื่องพ่นสไฟฟ้าสถิต ให้นักเรียนเข้าใจว่า เครื่องพ่นสเปนอุปกรณทใชสาหรับพ่นผง
็
ี
ี
ี
ี่
ิ
้
ื
หรือละอองสให้เคลอบผวชิ้นงาน โดยใชหลักการของแรงไฟฟ้าและสนามไฟฟ้าทาให้ผงหรือละอองสกลายเป็นอนุภาคทมี
ี
ี่
ี่
ึ
ุ
ุ
ประจไฟฟ้าขณะทถูกพ่นออกจากเครื่องพ่นสี ผงหรือละอองสทมีประจไฟฟ้าจะเกิดแรงดงดดกับผวชิ้นงานทมีประจไฟฟ้า
ิ
ุ
ี่
ู
ี
ตรงกันข้าม ท าให้สีเกาะติดผิวชิ้นงาน นิยมใช้ในการพ่นสีชิ้นงานที่เป็นโลหะ เช่น การพ่นสีโครงสร้างของรถยนต ์
(3) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับสนามไฟฟ้า จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรือ
่
์
ั
่
้
ื
อินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
ุ
ิ
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัตกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
322
ี่
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ทได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– แรงไฟฟ้าคืออะไร (แนวค าตอบ แรงที่กระท าต่อวัตถุที่มีประจุไฟฟ้า)
่
ิ
ุ
– สนามไฟฟ้าของประจไฟฟ้าบวกและประจไฟฟ้าลบมีทศทางแตกตางกันหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ
ุ
ุ
แตกต่างกัน โดยสนามไฟฟ้าของประจไฟฟ้าบวกมีทิศทางพุ่งออกจากประจุไฟฟ้าบวก สวนสนามไฟฟ้าของประจุไฟฟ้าลบมี
่
ทิศทางพุ่งเข้าหาประจุไฟฟ้าลบ)
ี่
– แรงไฟฟ้าที่กระท าตอวัตถุทมีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันแตกต่างจากแรงไฟฟ้าที่กระท าตอวัตถุที่มีประจุไฟฟ้า
่
่
ต่างชนิดกันหรือไม่ อย่างไร (แนวค าตอบ แตกต่างกัน โดยวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันจะผลักกัน แต่วัตถุที่มีประจุไฟฟ้า
ต่างชนิดกันจะดึงดูดกัน)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสนามไฟฟ้า โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. กระดาษขนาด A4
2. กระดาษเยื่อ
3. ไม้บรรทัดพลาสติก
4. ใบกิจกรรม สืบค้นข้อมูลเส้นแรงไฟฟ้า
5. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
6. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
่
7. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
ี่
8. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
9. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องสนามไฟฟ้า 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
323
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
324
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
325
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 50
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สนามโน้มถ่วง (1) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ี่
ั
ื่
่
ี่
ี
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ี
เปรียบเทยบแหลงของสนามแม่เหลก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถวง และทิศทางของแรงทกระท าตอวัตถุทอยู่ใน
่
็
่
่
ี่
ี่
แต่ละสนามจากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.2 ม. 2/11)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายความหมายของสนามโน้มถ่วงและแรงโน้มถ่วงได้ (K)
้
2. อธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุภายใตแรงโน้มถ่วงของโลกได้ (K)
ิ
3. เขียนแผนภาพแสดงทศทางของสนามโน้มถ่วงได้ (K)
4. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
5. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
6. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
7. สื่อสารและน าความรู้เรื่องสนามโน้มถ่วงไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
วัตถุทมีมวลจะมีสนามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบ ทาให้มีแรงโน้มถ่วงทกระทาตอวัตถุนั้นในทศทางพุ่งเข้าหาวัตถุทเป็น
ิ
ี่
่
ี่
ี่
แหล่งของสนามโน้มถ่วง
5. สาระการเรียนร ู้
สนามของแรง
– สนามโน้มถ่วง
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
326
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สังเกตการเคลื่อนที่ของวัตถุภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ิ
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
(1) ครูถามค าถามเกี่ยวกับประสบการณ์เดิมของนักเรียน เช่น
– นักเรียนเคยเห็นใบไม้ที่ร่วงจากต้นลงสู่พื้นดินหรือไม่ (แนวค าตอบ เคย)
ู่
้
ี่
– นักเรียนคดว่าเพราะเหตใดใบไม้จงร่วงจากตนลงสพื้นดนเสมอ (แนวคาตอบ เพราะใบไม้เป็นวัตถุทมีมวล
ิ
ิ
ุ
ึ
และอยู่ในสนามโน้มถ่วงของโลก ท าให้มีแรงชนิดหนึ่งของโลกกระท าต่อใบไม้ในทิศลง)
ู่
ื่
(2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง สนามโน้ม
ถ่วง
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
ั้
ื
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
้
ั
้
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดงนี้
ั
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
่
่
– แรงทกระทาตอวัตถุทมีมวลและอยู่ในสนามโน้มถ่วงคอแรงชนิดใด และมีผลตอวัตถุดงกลาวอย่างไร (แนว
ี่
ื
ี่
ั
่
ค าตอบ แรงโน้มถ่วง โดยมีผลท าให้วัตถุที่มีมวลอยู่บนพื้นโลก ไม่หลุดลอยออกไปสู่อวกาศ)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
่
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องสนามโน้มถวง จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจ
ื
ว่า โลกมีสนามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบ และท าให้เกิดแรงโน้มถ่วงกระท าต่อวัตถุต่างๆ ในทิศทางพุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของโลกเสมอ
ท าให้วัตถุตางๆ อยู่บนพื้นโลก ไม่หลุดลอยออกไปสู่อวกาศ โดยขนาดของแรงโน้มถ่วงที่กระท าตอวัตถุที่อยู่ในสนามโน้มถ่วง
่
่
จะมีค่าลดลงเมื่อวัตถุอยู่ห่างจากแหล่งของสนามโน้มถวงมากขึ้น
่
ื่
ี่
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สงเกตการเคลอนทของวัตถุภายใตสนามโน้มถ่วงของโลก
้
ั
ตามขั้นตอน ดังนี้
ี่
ู
ู
้
– ใชมือก าลกปิงปองไว้ แล้วเหยียดแขนออกและคว่ ามือ จากนั้นปล่อยลูกปิงปอง สังเกตการเคลื่อนทของลก
ปิงปอง บันทึกผล
– ด าเนินการเช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 1 แต่เปลี่ยนจากลูกปิงปองเป็นยางลบและดินน้ ามัน ตามล าดับ
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
่
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
327
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– ลกปิงปอง ยางลบ และดินน้ ามันมีลกษณะการเคลอนทเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร (แนวค าตอบ เหมือนกัน
ู
ี่
ื่
ั
โดยลูกปิงปอง ยางลบ และดินน้ ามันตกลงสู่พื้นโลกเสมอ)
– ทิศทางการเคลื่อนทของลกปิงปอง ยางลบ และดินน้ ามันมีลักษณะใด (แนวค าตอบ ลกปิงปอง ยางลบ และ
ี่
ู
ู
ดินน้ ามันตกลงในแนวดิ่ง มีทิศทางพุ่งลงสู่พื้นโลกเสมอ)
ี่
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า วัตถุทมีมวลและอยู่
ิ
ภายใต้สนามโน้มถ่วงของโลกจะมีแรงโน้มถ่วงของโลกกระท าต่อวัตถุนั้นให้ตกลงสู่พื้นโลกเสมอ
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับแหลงของสนามโน้มถ่วง ให้นักเรียนเข้าใจว่า นอกจากโลกทเป็นแหล่งของสนามโน้ม
ี่
่
ิ
ถ่วงแล้ว ยังมีแหล่งของสนามโน้มถ่วงอื่นๆ อีก เช่น ดวงจนทร์ ดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์ต่างๆ โดยขนาดของสนามโน้มถ่วง
ั
ของแหล่งของสนามโน้มถ่วงเหล่านี้จะมีค่าแตกต่างกันออกไป
่
ี่
(2) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องความเร่งโน้มถวง ให้นักเรียนเข้าใจว่า วัตถุต่างๆ ทมีมวลและอยู่ภายใตสนามโน้มถวง
่
้
ื่
่
ของโลก เมื่อถูกปลอยให้ตกลงสู่พื้นโลก วัตถุนั้นจะเคลอนที่ดวยความเร่งคงตวที่เรียกว่า ความเร่งโน้มถ่วง (gravitational
ั
้
acceleration) แทนด้วยสัญลักษณ์ ซึ่งมีค่าประมาณ 9.8 เมตร/วินาที2 และมีทิศทางพุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของโลกเสมอ
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
ุ
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ิ
– เพราะเหตุใดสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนผิวโลกจึงไม่หลุดลอยออกไปสู่อวกาศ (แนวค าตอบ เพราะสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนผว
ู
ิ
่
ึ
โลกล้วนเป็นวัตถุที่มีมวลและอยู่ในสนามโน้มถ่วงของโลก สิ่งเหล่านี้จงมีแรงโน้มถวงมากระทาในทศทางเข้าสู่ศนย์กลางของ
โลก ท าให้สิ่งต่างๆ บนผิวโลกไม่หลุดลอยออกไปสู่อวกาศ)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสนามโน้มถ่วง โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ลูกปิงปอง
2. ยางลบ
3. ดินน้ ามัน
4. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
5. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
328
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องสนามโน้มถ่วง 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
ิ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
329
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
330
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
331
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 51
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สนามโน้มถ่วง (2) เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ั
่
ี่
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ื่
ี
ี่
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ี
่
1. เปรียบเทยบแหล่งของสนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถวง และทิศทางของแรงที่กระท าต่อวัตถุทอยู่
ี่
ในแต่ละสนามจากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.2 ม. 2/11)
2. เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่กระท าต่อวัตถุ (ว 2.2 ม. 2/12)
็
ี่
3. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงแม่เหลก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงทกระท าต่อวัตถุที่อยู่ในสนาม
นั้นๆ กับระยะห่างจากแหล่งของสนามถึงวัตถุจากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.2 ม. 2/13)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างแรงโน้มถ่วงและสนามโน้มถ่วงได้ (K)
2. เขียนแผนภาพแสดงแรงโน้มถ่วงที่กระท าต่อวัตถุที่มีมวลได้ (K)
3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงโน้มถ่วงที่กระท าต่อวัตถุที่มีมวลกับระดับความสูงต่างๆ จากแหล่ง
ของสนามโน้มถ่วงได้ (K)
4. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
5. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
6. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
7. สื่อสารและน าความรู้เรื่องสนามโน้มถ่วงไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
วัตถุทมีมวลจะมีสนามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบ ทาให้มีแรงโน้มถ่วงทกระทาตอวัตถุนั้นในทศทางพุ่งเข้าหาวัตถุทเป็น
่
ี่
ิ
ี่
ี่
แหล่งของสนามโน้มถ่วง โดยขนาดของแรงโน้มถ่วงที่กระท าต่อวัตถุที่มีมวลและอยู่ในสนามโน้มถวงจะมีคาลดลงเมื่อวัตถุทมี
่
่
ี่
มวลอยู่ห่างจากแหล่งของสนามโน้มถ่วงมากขึ้น
5. สาระการเรียนร ู้
สนามของแรง
– สนามโน้มถ่วง
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
332
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลแรงโน้มถ่วงและสนามโน้มถ่วงของโลก
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนดูรูปน้ าตก แล้วถามค าถามดังนี้
– นักเรียนเคยไปเที่ยวน้ าตกหรือไม่ (แนวค าตอบ เคย)
– เพราะเหตุใดน้ าตกจงไหลลงสู่พื้น ไม่ลอยขนบนทองฟ้า (แนวคาตอบ เพราะน้ าเปนสสารทมีมวลและอยู่ใน
็
ี่
ึ
ึ้
้
สนามโน้มถ่วงของโลก ท าให้มีแรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดน้ าให้ตกลงสู่พื้นโลกเสมอ)
ื่
็
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชอมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง สนามโน้ม
ถ่วง
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
้
ั้
ื
ั
้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– นักเรียนคิดว่าแรงชนิดใดที่ท าให้ตัวเราและวัตถุอื่นๆ อยู่บนผิวโลกได้ (แนวค าตอบ แรงโน้มถ่วง)
– แรงดังกล่าวมีทิศทางใด (แนวค าตอบ มีทิศพุ่งเข้าหาวัตถุที่เป็นแหล่งของสนามโน้มถ่วง)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ื
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลมละ 5 – 6 คน ปฏิบัตกิจกรรม สบคนข้อมูลแรงโน้มถ่วงและสนามโน้มถ่วงของโลก ตาม
้
ุ่
ิ
ขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงและสนามโน้มถ่วงของโลก โดยค้นคว้าในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างแรงโน้มถ่วงและสนามโน้มถ่วงของโลก
ขนาดของแรงโน้มถ่วงของโลกที่ระดับความสูงต่างๆ จากผิวโลก
– น าข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน แล้วน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏบัติกิจกรรม
ิ
(3) ครูคอยแนะน าชวยเหลอนักเรียนขณะปฏบัติกิจกรรม โดยครูเดนดรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ื
่
ิ
ู
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
333
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– แรงโน้มถ่วงและสนามโน้มถ่วงมีความสมพันธ์กันหรือไม่ ลกษณะใด (แนวคาตอบ สมพันธ์กัน เนื่องจาก
ั
ั
ั
สนามโน้มถ่วงเป็นบริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงกระท าต่อวัตถุที่มีมวลในทิศทางพุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของโลก)
ั
ี่
ี่
ี่
– ขนาดของแรงโน้มถ่วงทกระทาตอวัตถุทมีมวล 1 กิโลกรัมทระดบความสงตางๆ จากผวโลกมีคาเทากัน
ู
่
่
ิ
่
่
ี่
่
หรือไม่ ลกษณะใด (แนวคาตอบ มีคาไม่เทากัน โดยเมื่อวัตถุทมีมวล 1 กิโลกรัมมีระดบความสงจากผวโลกมาก ขนาดของ
ิ
ู
ั
ั
่
แรงโน้มถ่วงของโลกที่กระท าต่อวัตถุนั้นจะมีค่าลดลง)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า วัตถุทมีมวลจะมีสนาม
้
ิ
ี่
่
ิ
ู่
ู
โน้มถ่วงอยู่โดยรอบ ทาให้เกิดแรงโน้มถ่วงกระทาตอวัตถุนั้นในทศทางพุ่งเข้าสศนย์กลางของโลกเสมอ โดยขนาดของแรง
โน้มถ่วงที่กระท าต่อวัตถุที่อยู่ในสนามโน้มถ่วงจะมีค่าลดลงเมื่อวัตถุอยู่ห่างจากแหล่งของสนามโน้มถ่วงมากขึ้น
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
้
ิ
(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับขนาดของแรงโน้มถวงของโลก ให้นักเรียนเขาใจว่า โลกเปนวัตถุขนาดใหญ่และมีมวล
็
่
มากทาให้มีสนามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบ โดยนักวิทยาศาสตร์ไดก าหนดให้สนามโน้มถ่วงของโลกเป็นขนาดของแรงโน้มถ่วงท ี่
้
กระทาตอวัตถุทมีมวล 1 กิโลกรัม และมีทศทางเดยวกับทศทางของแรงทกระทาตอวัตถุทมีมวลและอยู่ในสนามโน้มถ่วง
ี่
่
่
ิ
ิ
ี
ี่
ี่
่
่
นั้นๆ ซึ่งถ้าน าวัตถุที่มีมวลมาวางไว้ในสนามโน้มถวงจะมีแรงดึงดูดกระท าตอวัตถุดังกล่าวในทิศทางพุ่งเข้าสู่จุดศูนย์กลางมวล
ที่เป็นแหล่งของสนามโน้มถ่วงเสมอ ดังนั้นสนามโน้มถ่วงจึงมีทิศทางพุ่งเข้าสู่แหล่งของสนามโน้มถ่วงด้วย
ี่
ี่
่
ิ
(2) ครูให้นักเรียนฝกเขียนแผนภาพแสดงขนาดและทศทางของแรงโน้มถ่วงของโลกทกระทาตอวัตถุทมีมวล เมื่อ
ึ
วัตถุนั้นอยู่ในต าแหน่งต่างๆ ดังนี้
ต าแหน่งที่ 1
ต าแหน่งที่ 2
ต าแหน่งที่ 6
ต าแหน่งที่ 3
ต าแหน่งที่ 5
ต าแหน่งที่ 4
แนวค าตอบ
334
ต าแหน่งที่ 1
ต าแหน่งที่ 2
ต าแหน่งที่ 6
ต าแหน่งที่ 3
ต าแหน่งที่ 5
ต าแหน่งที่ 4
่
(3) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับสนามโน้มถ่วง จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรือ
้
ื
่
ั
์
อินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
ึ
็
ึ
ื
ั
ึ
(4) ครูให้นักเรียนศกษาเกี่ยวกับกิจกรรมสะเตมศกษา หัวข้อ ฝกเพิ่มพูนทกษะ ในหนังสอเรียน โดยครูอธิบาย
ึ
็
็
ึ
ั้
ิ
ความหมายของกิจกรรมสะเตมศกษา ประโยชน์จากกิจกรรมสะเตมศกษา รวมทงกระบวนการออกแบบเชงวิศวกรรม 6
ั
้
ั
้
ขั้นตอนในการปฏิบติกิจกรรมสะเต็มศึกษาไดจากเนื้อหาในภาคผนวกประกอบการอธิบายให้นักเรียนเขาใจ (ครูสามารถจด
กิจกรรมสะเต็มศึกษาเสริมนอกเวลาเรียนได้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้กิจกรรมสะเตมศึกษาในเอกสารความรู้เสริมส าหรับ
็
ครู**)
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
ี่
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ทได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ี่
่
ิ
– สนามโน้มถ่วงของโลกที่ระดับความสูงตางๆ จากผวโลกมีการเปลยนแปลงหรือไม่ อย่างไร (แนวค าตอบ มี
การเปลี่ยนแปลง โดยยิ่งระดับความสูงจากผิวโลกมากขึ้น สนามโน้มถ่วงของโลกจะมีค่าลดลง)
ขั้นสรุป
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสนามโน้มถ่วง โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศกษาคนคว้าเนื้อหาของบทเรียนชวโมงหน้า เพื่อจดการเรียนรู้ครั้งตอไป โดยให้
ั
่
้
ึ
ั่
นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อ การเคลื่อนท ี่
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นค าถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 ค าถาม เพื่อน ามาอภิปรายร่วมกันในห้องเรียน
ครั้งต่อไป
335
10. สื่อการเรียนร ู้
1. รูปน้ าตก
2. ใบกิจกรรม สืบค้นข้อมูลแรงโน้มถ่วงและสนามโน้มถ่วงของโลก
3. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
4. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
5. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
6. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
7. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องสนามโน้มถ่วง 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
336
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
337
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
338
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 52
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่ เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ี
ื่
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ั
่
ี่
ี่
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
s
s
ี่
ื่
อธิบายและคานวณอัตราเร็วและความเร็วของการเคลอนทของวัตถุ โดยใชสมการ v = และ v = จาก
้
t t
หลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ม. 2/14)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. สังเกตและอธิบายการบอกตาแหน่งของวัตถุได้ (K)
2. ระบุต าแหน่งของวัตถุโดยใช้กรอบอ้างอิงได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการเคลื่อนที่ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นการเคลอนทจากต าแหน่งเดมไปยังตาแหน่งใหม่ ซึ่งระยะทางของการเคลอนทวัดได้จาก
ี่
ิ
ื่
ื่
ี่
่
ต าแหน่งเริ่มต้นไปตามเส้นทางการเคลื่อนที่ของวัตถุจนถึงต าแหน่งสุดท้าย ดังนั้นตาแหน่งต่างๆ ของวัตถุจึงมีความส าคัญตอ
ื่
ื่
การอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถเสมอ โดยการอธิบายการเคลอนที่ของวัตถุตองบอกทิศทางและระยะทางของการเคลอนท ี่
้
ุ
ควบคู่กันไปทุกครั้ง
5. สาระการเรียนร ู้
การเคลื่อนท ี่
– ต าแหน่งของวัตถ ุ
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
339
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
้
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
ส ารวจต าแหน่งของวัตถ
ุ
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– เมื่อนักเรียนนัดหมายกับเพื่อนๆ นักเรียนอธิบายจดนัดพบให้เพื่อนๆ ฟังอย่างไร (แนวค าตอบ บอกสถานท ี่
ุ
อ้างอิง แล้วบอกทิศทางการเดินทางเทียบกับสถานที่อ้างอิง)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง การ
ื่
ู่
ิ
เคลื่อนท ี่
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
้
ั
ั
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
้
ื
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
ื่
้
ี่
(1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแลวเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการเคลอนทที่ครูมอบหมายให้ไป
เรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาน าเสนอข้อมูลหน้าห้องเรียน
ี่
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนท าภาระงานทไดรับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทกของนักเรียน
ึ
้
และถามค าถามเกี่ยวกับภาระงาน ดังนี้
ิ่
้
– การบอกต าแหน่งของวัตถุที่เคลื่อนที่จากต าแหน่งเดิมไปยังต าแหน่งใหม่ตองทราบถึงสงใดก่อน (แนวค าตอบ
กรอบอ้างอิง)
ั
๊
– ถ้านักเรียนตองการบอกตาแหน่งของโตะเรียนของตวเองในห้องเรียน นักเรียนจะใชสิ่งใดเป็นกรอบอ้างอิง
้
้
(แนวค าตอบ ประตูหน้าห้องเรียน)
ั
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตงประเดนค าถามที่นักเรียนสงสยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่ง
็
ั้
ครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความคิดเห็น
่
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การบอกตาแหน่งของ
วัตถุที่เคลื่อนที่จากต าแหน่งเดิมไปยังต าแหน่งใหม่ควรบอกเทียบกับต าแหน่งอ้างอิง หรือที่เรียกว่า กรอบอ้างอิง
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ื่
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องการเคลอนท จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
ี่
ี่
ื่
ี่
การเคลอนทของวัตถุเป็นการเคลื่อนที่จากตาแหน่งเดมไปยังต าแหน่งใหม่ ซึ่งระยะทางของการเคลอนทวัดไดจากต าแหน่ง
ิ
้
ื่
ึ
ื่
ี่
่
ุ
้
้
้
่
ั
ั
เริ่มตนไปตามเสนทางการเคลอนทของวัตถุจนถึงตาแหน่งสดทาย ดงนั้นตาแหน่งตางๆ ของวัตถุจงมีความสาคญตอการ
ื่
ื่
ี่
ื่
ี่
้
ิ
อธิบายการเคลอนทของวัตถุเสมอ โดยการอธิบายการเคลอนทของวัตถุตองบอกทศทางและระยะทางของการเคลอนท ี่
ควบคู่กันไปทุกครั้ง
340
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม ส ารวจต าแหน่งของวัตถุ ตามขั้นตอน ดังนี้
– เขียนแผนผังของห้องเรียน พร้อมทั้งแสดงต าแหน่งของสิ่งต่างๆ ในห้องเรียน
– บอกต าแหน่งที่นั่งของตนเองที่อยู่ในห้องเรียน
– บอกต าแหน่งที่นั่งของตนเองด้วยวิธีอื่นอีก 1–2 วิธี
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ิ
่
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ี่
– แผนผังของห้องเรียนทนักเรียนนั่งนั้นให้ข้อมูลอะไร (แนวคาตอบ ท าให้รู้ว่ามีอะไรอยู่ในห้องเรียนบ้างและ
สิ่งเหล่านั้นอยู่ที่ต าแหน่งใด)
้
้
– นักเรียนสามารถบอกตาแหน่งทนั่งของตนเองให้ถูกตองและชดเจนทสดไดโดยวิธีใด (แนวคาตอบ บอก
ั
ี่
ี่
ุ
ระยะห่างและทิศทางของต าแหน่งที่นั่งเทียบกับกรอบอ้างอิง โดยจะต้องระบุกรอบอ้างอิงที่อยู่ใกล้กับที่นั่งของตนเอง)
– กรอบอ้างอิงที่นักเรียนก าหนดควรมีลักษณะใด (แนวค าตอบ ควรเป็นจุดที่อยู่นิ่ง อยู่ใกล้วัตถุ และสังเกตได ้
ง่าย)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การบอกตาแหน่งของ
ิ
ั้
ี
ี
ิ
้
วัตถุใดๆ ตองบอกเทยบกับกรอบอ้างอิง โดยระบุทงระยะห่างและทศทางของตาแหน่งนั้นเทยบกับกรอบอ้างอิง ซึ่งกรอบ
อ้างอิงควรเป็นจุดที่อยู่นิ่ง อยู่ใกล้กับวัตถุ และสังเกตได้ง่าย
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องการบอกตาแหน่งตางๆ โดยใช GPS ให้นักเรียนเข้าใจว่า GPS เป็นระบบการบอกต าแหน่ง
่
้
ั
ี
ั
่
่
่
ตางๆ บนพื้นโลกจากดาวเทยมทโคจรรอบโลก โดยดาวเทยมจะสงสญญาณไปยังเครื่องรับสญญาณตางๆ เชน
ี
ี่
่
์
ั
โทรศพทเคลอนทและเครื่องน าทาง จากนั้นเครื่องรับสญญาณจะประมวลผลออกมาเป็นตาแหน่งบนพื้นโลก ทาให้เรา
ี่
ั
ื่
สามารถค้นหาต าแหน่งต่างๆ ที่เราต้องการได ้
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ุ
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– กรอบอ้างอิงที่ใช้ในการบอกต าแหน่งของวัตถุควรมีลักษณะอย่างไร (แนวค าตอบ เป็นจุดที่อยู่นิ่ง ไม่ไกลจาก
ี่
ิ่
่
้
ั
วัตถุ และสงเกตไดชดเจน อาจเป็นสงทเกิดขึ้นเองตามธรรมชาต เชน ตนไม้และแม่น้ า หรือเป็นสงทมนุษย์สร้างขึ้น เชน
ั
ิ่
่
้
ี่
ิ
อาคาร สะพาน หรือหลักกิโลเมตร)
341
้
ี่
– การบอกตาแหน่งของวัตถุเมื่อวัตถุมีการเคลอนทสามารถทาไดอย่างไร (แนวคาตอบ บอกทศทางและ
ื่
ิ
ระยะทางในการเคลื่อนที่ของวัตถุเทียบกับกรอบอ้างอิง)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม ส ารวจต าแหน่งของวัตถุ
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
4. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องการเคลื่อนท ี่ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
ิ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
342
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
343
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
344
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 53
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนต าแหน่งของวัตถ เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ุ
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ี่
ี
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ั
ื่
่
ี่
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
s
s
ื่
ี่
้
อธิบายและคานวณอัตราเร็วและความเร็วของการเคลอนทของวัตถุ โดยใชสมการ v = และ v = จาก
t t
หลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ม. 2/14)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายและระบุต าแหน่งใหม่ของวัตถุเมื่อวัตถุเกิดการเปลี่ยนต าแหน่งได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการเปลี่ยนต าแหน่งของวัตถุไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
เมื่อวัตถุมีการเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนต าแหน่ง ระยะทางของการเคลื่อนทวัดไดจากต าแหน่งเริ่มต้นไปตามเส้นทางการ
ี่
้
ี่
้
้
ี่
เคลอนทของวัตถุจนถึงตาแหน่งสดทาย โดยระยะทวัดไดจริงตามการเคลอนทของวัตถุกับระยะทวัดไดในแนวตรงจาก
ื่
ุ
้
ื่
ี่
ี่
ต าแหน่งเริ่มต้นถึงต าแหน่งสุดท้าย อาจจะมีขนาดเท่ากันหรือแตกต่างกันก็ได
้
5. สาระการเรียนร ู้
การเคลื่อนท ี่
– ต าแหน่งของวัตถ ุ
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
้
345
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สังเกตการเปลี่ยนต าแหน่งของวัตถ
ุ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ิ
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้ว โดยใช้ค าถามต่อไปนี้
้
้
– การบอกต าแหน่งของวัตถุทาไดอย่างไร (แนวคาตอบ ท าไดโดยก าหนดกรอบอ้างอิงแลวบอกต าแหน่งของ
้
วัตถุ โดยระบุระยะห่างและทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุเทียบกับกรอบอ้างอิง)
– กรอบอ้างอิงที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร (แนวค าตอบ เป็นจุดที่อยู่นิ่ง ไม่ไกลจากวัตถุ และสังเกตได้ชัดเจน)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยน
ู่
็
ต าแหน่งของวัตถ ุ
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
ั้
ั
้
ื
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
้
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
ี่
้
ี่
– ถ้านักเรียนตองการนัดหมายกับเพื่อนขณะทนักเรียนยืนอยู่ริมถนนแห่งหนึ่งทมีป้ายรถโดยสารประจาทาง
้
ื่
ี่
่
์
ั
รถยนต และรถจกรยานยนตเคลอนทผาน นักเรียนจะบอกตาแหน่งของตวเองโดยใชสงใดเป็นกรอบอ้างอิง เพราะอะไร
ั
ิ่
์
(แนวคาตอบ ป้ายโดยสารประจาทาง เพราะป้ายรถโดยสารประจาทาง เปนจุดทอยู่นิ่ง ไม่ไกลจากตัวเรา และสังเกตไดชด
ี่
ั
็
้
แจน)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ื
ี่
ึ
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องการเปลยนตาแหน่งของวัตถุ จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้
ื่
ี่
ี่
นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อวัตถุมีการเปลี่ยนต าแหน่ง ระยะทวัดได้จริงตามการเคลอนทของวัตถุกับระยะทวัดได้ในแนวตรงจาก
ี่
ต าแหน่งเริ่มต้นถึงต าแหน่งสุดท้าย อาจมีขนาดเท่ากันหรือแตกต่างกันก็ได ้
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตการเปลี่ยนต าแหน่งของวัตถุ ตามขั้นตอน ดังนี้
– ก าหนดขนาดของรูปสเหลยมโดยการวาดรูปสเหลี่ยมจาลองลงในกระดาษ จากนั้นสร้างรูปสเหลยมบนพื้น
ี่
ี่
ี่
ี่
ี่
ห้องหรือสนามของโรงเรียน บันทึกขนาดและลักษณะของรูปสี่เหลี่ยมที่สร้างขึ้น
ุ
ั
้
ี่
ี่
ี่
– ก าหนดจดเริ่มตนทตาแหน่งใดตาแหน่งหนึ่ง แลวเดนไปตามเสนรอบรูปสเหลยมจนกลบมาถึงจดเริ่มตน
ุ
้
ิ
้
้
บันทึกระยะทางและทิศที่เดิน
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ิ
ิ
่
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
346
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– ระยะทางที่เดินได้กับระยะทางในแนวตรงจากต าแหน่งเริ่มต้นไปยังต าแหน่งสุดท้ายมีค่าเท่ากันหรือไม่ (แนว
ค าตอบ อาจเท่ากันหรือไม่เทากันก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะและทิศทางของการเดิน)
่
ี่
ิ
– เมื่อนักเรียนเดนรอบรูปสเหลี่ยมที่สร้างขึ้นจนครบรอบจะมีระยะทางในแนวตรงหรือไม่ เพราะอะไร (แนว
ค าตอบ ไม่มี เพราะจุดเริ่มต้นกับจุดสุดท้ายเป็นจุดเดียวกัน)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อวัตถุมีการเปลยน
ิ
ี่
ต าแหน่ง ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้จากจุดเริ่มต้นถึงจดสุดท้าย และระยะทางที่วัดในแนวตรงจากจุดเริ่มต้นไปถึงจุดสุดท้าย
ุ
ิ
ื่
ี่
่
้
ื่
ี่
ี่
่
อาจมีขนาดเทากันหรือแตกตางกันก็ได ถ้าเป็นการเคลอนทแนวตรงโดยไม่มีการเปลยนทศทางการเคลอนทจะมีขนาด
่
ี่
่
ี่
ิ
ั้
่
่
้
เทากัน แตถ้ามีการเปลยนทศทาง ปริมาณทงสองจะมีคาไม่เทากัน เรียกระยะห่างทวัดในแนวตรงจากตาแหน่งเริ่มตนถึง
ต าแหน่งสุดท้ายว่า การกระจัด
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ี่
์
นักเรียนค้นคว้าคาศัพทภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับการเปลยนตาแหน่งของวัตถุ จากหนังสือเรียนภาษาตางประเทศ
่
หรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ั
– การก าหนดกรอบอ้างอิงมีความสาคญตอการบอกต าแหน่งของวัตถุอย่างไร (แนวค าตอบ กรอบอ้างอิงเป็น
่
จุดเริ่มต้นของการวัดระยะทางและก าหนดทิศทาง ณ เวลาต่างๆ)
ขั้นสรุป
ั
ิ
ี่
ี่
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการเปลยนต าแหน่งของวัตถุ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนทความคดหรือผงมโน
ทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สังเกตการเปลี่ยนต าแหน่งของวัตถ ุ
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
ี่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
347
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องการเปลี่ยน 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
ต าแหน่งของวัตถ ุ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
348
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู